Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore DownloadURL

DownloadURL

Published by buttersky2210, 2022-07-06 07:59:14

Description: DownloadURL

Search

Read the Text Version

บทที่ 2 ความสำ� คญั ของป่าไม้ และการด�ำเนินงานด้านปา่ ไมข้ องประเทศไทย ภาพที่ 2.7 พืน้ ท่ีปา่ ร้อยละ 40 มาจากไหน ที่มา: มูลนิธิสบื นาคะเสถียร (2562) 34

พลิกฟ้นื ผืนป่าด้วยพันธบัตรป่าไม้ นอกจากน้ี ข้อมลู ของมูลนธิ ิสบื นาคะเสถยี รพบวา่ พื้นทีป่ า่ รอ้ ยละ 40 หรอื คิดเป็น 129.41 ล้านไร่ ประกอบด้วย 1) พ้นื ท่ปี า่ อนุรักษ์ 66.12 ลา้ นไร่ คิดเป็นร้อยละ 20.44 2) พน้ื ที่ ปา่ สงวนแหง่ ชาติ 27.87 ลา้ นไร่ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 8.61 3) พน้ื ทปี่ า่ สงวนแหง่ ชาตผิ นวกปา่ อนรุ กั ษ์ 8.5 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 6.57 4) พ้ืนที่ฟื้นฟูบุกรุกหลังปี พ.ศ. 2557 เน้ือท่ี 0.07 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 0.02 และ 5) พ้ืนท่ีส่งเสริมป่าเศรษฐกิจ 26.85 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 4.36 รวมเป็นพน้ื ทปี่ ่าไมท้ ง้ั หมดร้อยละ 40 ดังภาพที่ 2.7   นโยบายและมาตรการของรฐั ดา้ นป่าไม้ จากสถานการณก์ ารลดลงของพนื้ ทป่ี า่ ไมใ้ นประเทศไทยอยา่ งตอ่ เนอื่ งในชว่ งระยะเวลา ทผี่ า่ นมา ทำ� ใหก้ ารอนรุ กั ษแ์ ละฟน้ื ฟสู ภาพปา่ ใหก้ ลบั คนื ความอดุ มสมบรู ณเ์ ปน็ มาตรการทส่ี ำ� คญั ในการแก้ไขปัญหาภาวะวิกฤติของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยท่ีได้ ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและเศรษฐกิจสังคมเป็นอย่างมาก รัฐบาลไทยได้ตระหนักถึง การลดลงของพื้นท่ีป่าของประเทศ จึงได้บรรจุมาตรการการเพ่ิมและรักษาพื้นที่ป่าไว้ในแผน พฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติฉบบั ต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม การอนรุ ักษป์ า่ การปลูกป่า และ การฟน้ื ฟสู ภาพปา่ ทเี่ สอ่ื มโทรมเพอ่ื ใหท้ รพั ยากรปา่ ไมข้ องประเทศสามารถดำ� รงอยอู่ ยา่ งยง่ั ยนื สืบไปนั้น จ�ำเป็นต้องมีการด�ำเนินการที่มีประสิทธิภาพ เป็นรูปธรรม ได้รับการยอมรับและ มีส่วนร่วมของประชาชนในพ้ืนท่ี นอกจากน้ี การด�ำเนินงานของรัฐบาลด้านป่าไม้จ�ำเป็นต้อง พง่ึ พงิ งบประมาณแผน่ ดนิ ทเี่ พยี งพอ เพอ่ื สนบั สนนุ ใหก้ ารดำ� เนนิ งานตา่ ง ๆ เปน็ ไปอยา่ งราบรนื่ และมปี ระสิทธิภาพ ประเทศไทยมกี ารกำ� หนดนโยบายและการดำ� เนนิ การตา่ ง ๆ เพอ่ื รกั ษาพนื้ ทปี่ า่ และ ปลูกป่าเพ่ิมตามเป้าหมายที่ก�ำหนดให้ประเทศไทยต้องมีพื้นท่ีป่าไม้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของพนื้ ทป่ี ระเทศ หรอื ประมาณ 128 ลา้ นไร่ แบง่ เปน็ พนื้ ทป่ี า่ เพอื่ การอนรุ กั ษ์ รอ้ ยละ 25 และ พน้ื ทปี่ า่ เศรษฐกจิ รอ้ ยละ 15 โดยในปี พ.ศ. 2528 ประเทศไทยไดก้ ำ� หนดนโยบายปา่ ไมแ้ หง่ ชาติ และแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายป่าไมแ้ ห่งชาติ จดั ท�ำแผนเพอ่ื สง่ เสริมให้ภาครฐั และเอกชน ดำ� เนนิ การปลกู สรา้ งสวนปา่ ในพนื้ ทป่ี า่ เสอื่ มโทรม และบรรจมุ าตรการการเพมิ่ และรกั ษาพนื้ ทปี่ า่ ไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ต้ังแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 4 เรอื่ ยมาจนถงึ ปจั จบุ นั ฉบบั ที่ 12 โดยมกี ารกำ� หนดพนื้ ทปี่ า่ เปา้ หมาย การลดการบกุ รกุ ทำ� ลายปา่ การปลกู ปา่ ทดแทน และมแี นวทางการสง่ เสรมิ การปลกู ปา่ เศรษฐกจิ ในพนื้ ทปี่ า่ สงวน แหง่ ชาตเิ ส่ือมโทรมในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติฉบับท่ี 5 การจดั ทำ� แนวเขตป่า 35

บทที่ 2 ความส�ำคัญของปา่ ไม้ และการดำ� เนินงานดา้ นปา่ ไมข้ องประเทศไทย ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 7- ฉบับท่ี 10 อีกทั้งมีแนวทางเพ่ิม ประสิทธิภาพการบริหารจัดการป่าไม้และให้ชุมชนอยู่ร่วมกับป่าอย่างย่ังยืนในแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาตฉิ บบั ท่ี 11 ประเทศไทยได้น�ำหลักการทางการคลัง เช่น พันธบัตรป่าไม้บรรจุในแผนพัฒนา เศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาตฉิ บบั ที่ 12 ซงึ่ มแี นวทางการอนรุ กั ษฟ์ น้ื ฟทู รพั ยากรปา่ ไมเ้ พอื่ สรา้ ง สมดุลธรรมชาติ ปกป้องและฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม การบงั คบั ใชก้ ฎหมายอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและเปน็ ธรรม การสนบั สนนุ การปลกู และฟน้ื ฟปู า่ ไม้ ตามแนวพระราชดำ� ริ การสรา้ งเครอื ขา่ ยการมสี ว่ นรว่ มในการฟน้ื ฟแู ละดแู ลผนื ปา่ การเพม่ิ พน้ื ท่ี ป่าเศรษฐกิจเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายร้อยละ 15 ของพื้นที่ประเทศ โดยส่งเสริมการปลูกไม้มีค่า ทางเศรษฐกิจระยะยาว เช่น ไม้สัก ไม้มะค่า และไม้พะยูง ด้วยการปรับปรุงกฎระเบียบเพ่ือ ส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชน ภาคประชาชนและเกษตรกรรายย่อยในการปลูกไม้ มคี า่ ทางเศรษฐกจิ ระยะยาวเชน่ ไมท้ งั้ 3 ชนดิ ดงั กลา่ ว หรอื ปรบั เปลย่ี นจากการปลกู ไมเ้ ศรษฐกจิ ระยะสัน้ มาเป็นไมม้ คี ่าทางเศรษฐกิจระยะยาว จดั ต้งั ตลาดกลางคา้ ไม้ พัฒนาระบบโลจสิ ติกส์ ในการคา้ และขนสง่ ไม้ สนบั สนนุ กลไกทางการเงนิ เพอื่ การปลกู ปา่ เชน่ ดำ� เนนิ โครงการธนาคาร ต้นไม้ หรือกองทุนส่งเสริมการปลูกป่า รวมท้ังพัฒนาสนับสนุนแนวทางการสร้างรายได้จาก การอนรุ กั ษ์ เชน่ การพฒั นาระบบการจดั การพน้ื ทอ่ี นรุ กั ษเ์ พอ่ื สง่ เสรมิ การทอ่ งเทย่ี วอยา่ งยง่ั ยนื หรอื พัฒนาการทอ่ งเทีย่ วของชุมชนท่ีมบี ทบาทโดดเดน่ ด้านการอนรุ ักษ์ นโยบาย แผน ยุทธศาสตร์ท่ีเก่ียวข้องกับการอนุรักษ์และเพิ่มพ้ืนที่ป่าเศรษฐกิจ ท่ีส�ำคัญ ได้แก่ 1) ยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี มีแนวทางการพัฒนาประเทศด้านการสร้าง การเตบิ โตทเ่ี ปน็ มติ รกบั สง่ิ แวดลอ้ มทมี่ งุ่ เนน้ การจดั ระบบอนรุ กั ษ์ ฟน้ื ฟแู ละปอ้ งกนั การทำ� ลาย ทรัพยากรธรรมชาติซ่ึงรวมถึงทรัพยากรป่าไม้ 2) ยุทธศาสตร์กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสง่ิ แวดล้อม 20 ปี มุ่งเน้นอนรุ ักษ์ ค้มุ ครอง ฟื้นฟู สง่ เสริม และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างย่ังยืน โดยการเพ่ิมพื้นที่ป่าไม้จากพื้นที่เสื่อมโทรม สร้างป่าเศรษฐกิจ ส่งเสริมการปลูกป่าเศรษฐกิจ พัฒนาการปลูกสร้างสวนป่าและระบบการ จดั การสวนปา่ อยา่ งยงั่ ยนื พฒั นาอตุ สาหกรรมไมเ้ ศรษฐกจิ ตลอดทงั้ หว่ งโซก่ ารผลติ และมงุ่ เนน้ การลดกา๊ ซเรอื นกระจกและลดผลกระทบจากการเปลย่ี นแปลงสภาพภมู อิ ากาศรวมทง้ั ภยั พบิ ตั ิ ทางธรรมชาติ โดยการเพม่ิ พน้ื ทปี่ า่ ในปา่ อนรุ กั ษ์ และปา่ สงวนตามกฎหมาย และ 3) ยทุ ธศาสตร์ กรมปา่ ไม้ พ.ศ. 2560-2579 มงุ่ เนน้ การบรหิ ารจดั การทรพั ยากรปา่ ไมใ้ หม้ น่ั คงและยงั่ ยนื โดยการ 36

พลกิ ฟน้ื ผนื ปา่ ดว้ ยพันธบตั รป่าไม้ เพ่ิมและฟื้นฟูพ้ืนท่ีป่าไม้ในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และส่ิงแวดล้อม ด้วยการส่งเสริมการปลูกป่า และการปลกู สรา้ งสวนปา่ เชงิ เศรษฐกจิ ในลกั ษณะสวนปา่ ภาคเอกชนและสวนปา่ ในรปู แบบอน่ื ท่เี กย่ี วข้อง นอกจากน้ี ภาครัฐยงั ได้จดั ทำ� รา่ งยุทธศาสตรแ์ ละแผนงานการสง่ เสรมิ ไม้เศรษฐกิจ แบบครบวงจร (พ.ศ. 2561-2579) มุ่งเน้นให้ไม้เศรษฐกิจน�ำประเทศสู่ความมั่นคง มั่งค่ัง และยง่ั ยนื บนฐานการเตบิ โตทเี่ ปน็ มติ รกบั สงิ่ แวดลอ้ มทมี่ เี ปา้ ประสงคจ์ ะสนบั สนนุ การเพม่ิ พน้ื ท่ี ปา่ เศรษฐกิจไมน่ ้อยกวา่ 26 ล้านไร่ ยกระดบั คุณภาพชีวิตและรายไดเ้ ฉล่ยี ของเกษตรกรผูป้ ลกู ไม้เศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 420,000 บาทต่อคนต่อปี และมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคป่าไม้ ของประเทศไม่น้อยกว่า 2 ล้านล้านบาท โดยให้มีการพัฒนาและปรับปรุงกฎหมายเพ่ือเพ่ิม ประสิทธิภาพการส่งเสริมไม้เศรษฐกิจ การจัดเตรียมพ้ืนที่รองรับการส่งเสริมไม้เศรษฐกิจ การพัฒนามาตรการทางการคลัง การเงิน และระบบตลาด เพ่ือสร้างแรงจูงใจในการปลูกไม้ เศรษฐกจิ การสง่ เสรมิ และพฒั นาเกษตรกรและผปู้ ระกอบการไมเ้ ศรษฐกจิ การวจิ ยั และพฒั นา เทคโนโลยแี ละนวตั กรรมไมเ้ ศรษฐกจิ การเพ่มิ ประสทิ ธภิ าพระบบการบรหิ ารงานเพ่ือสง่ เสริม ไมเ้ ศรษฐกจิ และการพฒั นาระบบรบั รองปา่ ไม้ โดยกลไกขบั เคลอ่ื นยทุ ธศาสตร์ ไดแ้ ก่ การจดั ตง้ั คณะกรรมการพฒั นาและสง่ เสรมิ ไมเ้ ศรษฐกจิ การจดั ทำ� แผนปฏบิ ตั กิ าร การจดั ทำ� ระบบขอ้ มลู และสารสนเทศเพอ่ื การตดั สนิ ใจ และการมอี งคก์ รบรหิ ารจดั การทมี่ สี มรรถนะ รวมถงึ การเตรยี ม ความพรอ้ มดา้ นกฎระเบียบและมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ อยา่ งไรกต็ าม แมป้ จั จบุ นั ประเทศไทยจะมนี โยบาย แผน และยทุ ธศาสตรท์ เ่ี กย่ี วขอ้ ง กบั การเพมิ่ พน้ื ทปี่ า่ แตก่ ารไปถงึ เปา้ หมายพน้ื ทปี่ า่ ไมร้ อ้ ยละ 40 ของพนื้ ทปี่ ระเทศนนั้ ตอ้ งอาศยั ความร่วมมือจากหลายภาคส่วน มิใช่ภารกิจของภาครัฐเท่าน้ัน บทบาทของภาคเอกชน และ ภาคประชาชนกม็ คี วามสำ� คญั เปน็ อยา่ งมาก ดงั นนั้ จงึ จำ� เปน็ ทป่ี ระเทศไทยจะตอ้ งศกึ ษาแนวทาง ความสำ� เรจ็ จากตา่ งประเทศ กฎหมายและองคก์ รทเี่ กย่ี วขอ้ งดา้ นปา่ ไมข้ องประเทศไทย รวมถงึ หลกั การทางเศรษฐศาสตร์ แลว้ นำ� มาประยกุ ตใ์ ช้ เพอ่ื สรา้ งความรบั ผดิ ชอบตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม และ ส่งเสริมการอนุรกั ษท์ รัพยากรธรรมชาตใิ ห้มีความยั่งยนื ภาครัฐตระหนักดีถึงการลดลงของพ้ืนที่ป่าของประเทศ จึงได้ก�ำหนดนโยบาย และด�ำเนินการต่าง ๆ เพ่ือรักษาพื้นท่ีป่าและปลูกป่าเพิ่มตามเป้าหมายท่ีก�ำหนดไว้ โดยในปี พ.ศ. 2528 ไดก้ ำ� หนดนโยบายปา่ ไมแ้ หง่ ชาติ ยกเลกิ สมั ปทานปา่ ไม้ และบรรจมุ าตรการการเพมิ่ และรกั ษาพื้นท่ีป่าไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดงั รายละเอียดต่อไปน้ี 37

บทท่ี 2 ความส�ำคัญของป่าไม้ และการด�ำเนนิ งานด้านป่าไม้ของประเทศไทย นโยบายปา่ ไมแ้ ห่งชาติ นโยบายปา่ ไมแ้ หง่ ชาตเิ ปน็ นโยบายทใ่ี หค้ วามสำ� คญั ในเรอื่ งทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ ส่ิงแวดล้อมซ่ึงมุ่งเน้นที่ทรัพยากรป่าไม้ โดยมีการอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายป่าไม้ แหง่ ชาติ และด�ำเนินการจัดทำ� นโยบายป่าไมแ้ หง่ ชาติ เม่ือวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2528 ต่อมา ในการประชุมวนั ท่ี 25 กันยายน 2528 ได้มมี ตเิ หน็ ชอบและรับรองรา่ งนโยบายปา่ ไม้แห่งชาติ ซงึ่ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ใหม้ กี ารจดั การทรพั ยากรปา่ ไมอ้ ยา่ งตอ่ เนอื่ งในระยะยาว เกดิ ความเขา้ ใจ และแนวทางการปฏิบัติร่วมกนั ระหวา่ งสว่ นราชการและภาคเอกชน (กรอบที่ 2.1) กรอบที่ 2.1 นโยบายป่าไม้แห่งชาติ เพ่ือให้การจัดการและพัฒนาทรัพยากรป่าไม้ สามารถกระท�ำโดยต่อเนื่องในระยะยาว และประสานสอดคล้องกับการพัฒนาทรพั ยากรธรรมชาติชนดิ อนื่ จึงสมควรกำ� หนดนโยบาย การป่าไม้แห่งชาติไว้ให้เป็นการแน่นอน เพ่ือให้ส่วนราชการและภาคเอกชนท่ีเก่ียวข้องได้มี ความเขา้ ใจรว่ มกนั และถอื เปน็ แนวทางปฏบิ ตั ิ อนั จะทำ� ใหก้ ารพฒั นาปา่ ไมเ้ ปน็ ไปอยา่ งราบรน่ื และบรรลผุ ลสำ� เรจ็ ตามเป้าหมายทก่ี �ำหนดไว้ ดงั น้ี 1) ใหม้ กี ารกำ� หนดแนวทางการจดั การและการพฒั นาทรพั ยากรปา่ ไมใ้ นระยะยาว อนั จะทำ� ให้ ประเทศได้รับประโยชน์อย่างคุ้มค่าทางสังคม เศรษฐกิจ ความมั่นคงและสิ่งแวดล้อม มากทส่ี ดุ โดยเนน้ ใหม้ กี ารประสานกนั ระหวา่ งทรพั ยากรปา่ ไมแ้ ละทรพั ยากรธรรมชาตอิ นื่ 2) ส่งเสริมบทบาทและหนา้ ท่ีของส่วนราชการต่าง ๆ และภาคเอกชนใหม้ สี ่วนรบั ผิดชอบ ในการจัดการและพฒั นาทรัพยากรปา่ ไม้ร่วมกัน 3) ปรบั ปรงุ ระบบการบรหิ ารงานปา่ ไมข้ องชาตใิ หส้ อดคลอ้ งกบั ปรมิ าณคณุ ภาพและสภาพ ทรัพยากรป่าไม้และส่ิงแวดล้อมที่เปลยี่ นไป 4) กำ� หนดใหม้ ีพื้นท่ีปา่ ไมท้ ัว่ ประเทศอย่างน้อยในอัตรารอ้ ยละ 40 ของพน้ื ท่ปี ระเทศ 4.1) ป่าเพ่ือการอนุรักษ์ ก�ำหนดไว้เพื่ออนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม ดิน น้�ำ พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ที่หายากและป้องกันภัยธรรมชาติอันเกิดจากน้�ำท่วมและการพังทลายของดิน ตลอดทั้งเพ่ือประโยชน์ในการศึกษาวิจัย และนันทนาการของประชาชนในอัตรา รอ้ ยละ 25 ของพื้นทป่ี ระเทศ 4.2) ปา่ เพอ่ื เศรษฐกจิ กำ� หนดไวเ้ พอ่ื การผลติ ไมแ้ ละของปา่ เพอ่ื ประโยชนใ์ นทางเศรษฐกจิ ในอตั ราร้อยละ 15 ของพื้นที่ประเทศ 38

พลิกฟ้นื ผนื ป่าด้วยพนั ธบัตรปา่ ไม้ กรอบที่ 2.1 นโยบายป่าไมแ้ ห่งชาติ (ตอ่ ) 5) รฐั และภาคเอกชนจะพัฒนาพนื้ ทป่ี า่ ไมไ้ ปสเู่ ป้าหมายที่ก�ำหนดไว้ และจะจดั การพัฒนา ใหอ้ �ำนวยประโยชนท์ ง้ั ในทางตรงและทางออ้ มโดยสมำ่� เสมอตลอดไป 6) ใหม้ กี ารกำ� หนดแนวทางการจดั การและการพฒั นาทรพั ยากรปา่ ไมใ้ นระยะยาว อนั จะทำ� ให้ ประเทศได้รับประโยชน์อย่างคุ้มค่าทางสังคม เศรษฐกิจ ความมั่นคงและส่ิงแวดล้อม มากทสี่ ดุ โดยเนน้ ใหม้ กี ารประสานกนั ระหวา่ งทรพั ยากรปา่ ไมแ้ ละทรพั ยากรธรรมชาตอิ นื่ 7) ส่งเสริมบทบาทและหน้าท่ีของส่วนราชการต่าง ๆ และภาคเอกชนให้มีส่วนรับผิดชอบ ในการจดั การและพัฒนาทรัพยากรป่าไมร้ ่วมกัน 8) ปรบั ปรงุ ระบบการบรหิ ารงานปา่ ไมข้ องชาตใิ หส้ อดคลอ้ งกบั ปรมิ าณคณุ ภาพและสภาพ ทรพั ยากรป่าไมแ้ ละสงิ่ แวดลอ้ มที่เปลี่ยนไป 9) ใหเ้ พมิ่ การใชว้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยใี นการเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพในการผลติ ทางการเกษตร เพ่อื ลดการท�ำลายพ้ืนทป่ี ่าไม้ 10) เพอื่ กอ่ ใหเ้ กดิ การประสานการใชป้ ระโยชนร์ ว่ มกนั ระหวา่ งปา่ ไมแ้ ละทรพั ยากรธรรมชาติ ชนิดอื่น ๆ เช่น ที่ดิน แหล่งน้�ำ และทรัพยากรธรณี รวมท้ังเพื่อก่อให้เกิดการประสาน ความรว่ มมอื ระหวา่ งหนว่ ยงานของรฐั และหนว่ ยงานของรฐั กบั ภาคเอกชนและประชาชน ในทอ้ งถน่ิ รฐั จะจดั ใหม้ แี ผนพฒั นาปา่ ไมไ้ วเ้ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของแผนพฒั นาทรพั ยากรธรรมชาติ โดยบรรจไุ วใ้ นแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ 11) เพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการผลติ ไมด้ ว้ ยการจดั การปา่ ไมท้ งั้ ในระบบวนวฒั นแ์ บบเลอื กตดั และ ระบบวนวฒั นแ์ บบตัดหมดตามหลักวิชาการ โดยเฉพาะในระบบตดั หมดนี้ เม่อื ตดั แลว้ ให้ปลูกทดแทนในพื้นที่ที่ถกู ตัดทนั ที 12) เพอื่ ประโยชนใ์ นการอนรุ กั ษแ์ ละการปอ้ งกนั ภยั อนั เกดิ จากสง่ิ แวดลอ้ ม รฐั จะตอ้ งเรง่ รดั ปรบั ปรงุ การวางผงั เมอื งและกำ� หนดพนื้ ทปี่ า่ ไมใ้ หแ้ นน่ อน เพอ่ื กำ� หนดเขตการใชป้ ระโยชน์ ท่ีดิน ส�ำหรับเป็นพื้นที่ที่อยู่อาศัย พื้นท่ีประเภทชนบทและพื้นที่เกษตรกรรมในแต่ละ จังหวดั ท่ีแน่นอนเพอื่ ป้องกนั การบกุ รกุ พื้นที่ปา่ ไม้ 13) แตง่ ตงั้ คณะกรรมการนโยบายปา่ ไมร้ ะดบั ชาตใิ หก้ ำ� หนดไวใ้ นกฎหมายวา่ ดว้ ยปา่ ไม้ 14) เพื่อเป็นการปลูกฝังให้ประชาชนมีความรู้สึกรักและหวงแหน รู้จักใช้ทรัพยากรป่าไม้ อยา่ งประหยดั รฐั จะตอ้ งใหค้ วามรู้ ทศั นคติ ความสำ� นกึ ความรสู้ กึ และทกั ษะแกป่ ระชาชน เกย่ี วกบั ผลประโยชนท์ จ่ี ะไดร้ บั จากทรพั ยากรปา่ ไมแ้ ละผลเสยี จากการตดั ไม้ ทำ� ลายปา่ การใชส้ อยไม้อย่างฟุ่มเฟือย จัดให้มีการเผยแพร่ความรู้และความเข้าใจแก่ประชาชน เกย่ี วกับความส�ำคญั ของทรพั ยากรป่าไมท้ ีม่ ีต่อส่วนรวม 39

บทที่ 2 ความสำ� คญั ของปา่ ไม้ และการดำ� เนนิ งานดา้ นป่าไมข้ องประเทศไทย กรอบท่ี 2.1 นโยบายป่าไม้แหง่ ชาติ (ตอ่ ) 15) ให้มีการพัฒนาด้านป่าไม้ โดยส่งเสริมการปลูกป่าภาคเอกชนและภาครัฐบาลเพ่ือใช้ ภายในประเทศเพอื่ ประโยชนใ์ นการอตุ สาหกรรม และสนบั สนนุ ใหม้ กี ารสง่ ออกไปจำ� หนา่ ย ตา่ งประเทศ สง่ เสรมิ การปลกู ปา่ ชมุ ชน สง่ เสรมิ การปลกู ปา่ ในทด่ี นิ ของรฐั และการปลกู ปา่ ตามหัวไรป่ ลายนา หรอื การปลูกป่ารายย่อยเพ่อื ประโยชนใ์ ชส้ อยในครวั เรือน 16) สนบั สนนุ ใหม้ โี รงงานอตุ สาหกรรมแบบตอ่ เนอ่ื งและโรงงานเยอื่ กระดาษ เพอ่ื นำ� ทุกส่วน ของไมม้ าใชป้ ระโยชนแ์ ละส่งเสรมิ ให้มีการใช้วสั ดุอน่ื ทดแทนไม้ 17) ใหม้ กี ารปรบั ปรงุ แกไ้ ขกฎหมาย เพอ่ื อำ� นวยผลใหก้ ารรกั ษาและเพม่ิ ทรพั ยากรปา่ ไมแ้ ละ การตัดฟนั ไมม้ าใช้ประโยชน์ได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ 18) ด�ำเนินการวิจัยด้านป่าไม้ ให้กรมป่าไม้ขอความร่วมมือจากมหาวิทยาลัย และสถาบัน การศึกษาระดบั สูงต่าง ๆ แทนการตัง้ สถาบนั วิจยั ปา่ ไมร้ ะดับชาติ 19) เพื่อลดการน�ำเข้าน้�ำมันเชื้อเพลิง จึงให้มีการใช้ไม้เพ่ือพลังงาน โดยให้มีการปลูกป่า เพอ่ื เปน็ แหลง่ พลังงาน 20) ก�ำหนดพื้นที่ท่ีมีความลาดชันโดยเฉลี่ย 35 เปอร์เซ็นต์ข้ึนไปไว้เป็นพื้นที่ป่าไม้โดย ไม่อนญุ าตใหม้ ีการออกโฉนดหรอื รับรองการท�ำประโยชน์ตามประมวลกฎหมายทด่ี ิน 21) ก�ำหนดแนวทางปฏิบัติงานท่ีแน่นอนชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ปัญหาการท�ำลายป่าใน รูปแบบต่าง ๆ เช่น การท�ำไร่เล่ือนลอย ภัยจากไฟป่า การท�ำลายป่าจากชนกลุ่มน้อย การรกุ ลำ�้ พน้ื ทป่ี า่ จากเชงิ เขา โดยใหม้ กี ารกำ� หนดมาตรการและขนั้ ตอนทแ่ี นน่ อนชดั เจน เกี่ยวกับการปราบปรามและการลงโทษผู้กระท�ำผิด รวมท้ังการจัดตั้งศูนย์รวมการ ปราบปรามในแต่ละภาคและให้มีมาตรการลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้มีอิทธิพล และ ผู้กระท�ำผดิ ไวเ้ ปน็ หลกั ในการปฏิบตั ิงานของหน่วยราชการและภาคเอกชน 22) ก�ำหนดใหม้ สี งิ่ จงู ใจในการส่งเสรมิ การปลกู ป่าภาคเอกชน 23) ก�ำหนดให้มีการวางแผนทรัพยากรมนุษย์และการตั้งถิ่นฐานในท้องถิ่นให้สอดคล้องกับ การใชท้ รพั ยากรและการอนุรักษท์ รพั ยากรธรรมชาติ ที่มา: กรมป่าไม้ (2558) 40

พลิกฟื้นผนื ป่าด้วยพนั ธบัตรป่าไม้ การยกเลกิ สมั ปทานปา่ ไม้ จากการทส่ี ภาพปา่ ไมข้ องประเทศถกู ทำ� ลายจนทำ� ใหส้ ภาพแวดลอ้ มตามธรรมชาติ ขาดความสมดลุ รวมท้ังเหตุการณอ์ ทุ กภัยคร้ังใหญใ่ นภาคใตเ้ ม่อื ปลายปี พ.ศ. 2531 ในพน้ื ท่ี จงั หวดั นครศรธี รรมราชและสรุ าษฎรธ์ านี ประกอบกบั เหตกุ ารณโ์ คลนถลม่ ซงึ่ ไดพ้ ดั พาเอาไมซ้ งุ ท่ีเกิดจากการตัดไม้ท�ำลายป่าไหลมาพังทับบ้านเรือนของราษฎร เป็นเหตุให้ราษฎรเสียชีวิต เปน็ จำ� นวนมาก จึงจำ� เป็นท่จี ะต้องระงับไมใ่ หม้ กี ารน�ำไม้ออกจากปา่ และเรง่ รัดฟน้ื ฟูสภาพปา่ ขน้ึ โดยเรว็ ซงึ่ เปน็ แนวทางในการปอ้ งกนั การบกุ รกุ ทำ� ลายทรพั ยากรปา่ ไมข้ องประเทศ โดยรฐั บาล สมยั พลเอกชาตชิ าย ชณุ หะวัณ ได้ประกาศยกเลกิ สัมปทานป่าไม้ท้ังหมดทัว่ ประเทศเม่อื ตน้ ปี 2532 โดยออกเป็นพระราชก�ำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 ก�ำหนดให้สิทธิ การทำ� กจิ การทไี่ ดร้ บั สมั ปทานและพน้ื ทส่ี มั ปทานทงั้ แปลงหรอื บางแปลงทอี่ ยใู่ นแนวเขตอทุ ยาน แห่งชาติหรือแนวเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าส้ินสุดลง และก�ำหนดให้ผู้ท่ีรับสัมปทานมีสิทธิได้รับ เงินชดเชยตามความเสียหาย มาตรการดังกล่าวถือเป็นมาตรการท่ีส�ำคัญในการป้องกัน การบกุ รกุ ทำ� ลายทรพั ยากรปา่ ไมข้ องประเทศ แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามพบวา่ พนื้ ทปี่ า่ หลงั การประกาศ ยกเลกิ สมั ปทานป่าไมย้ ังคงมกี ารบกุ รกุ ท�ำลายอยู่ ส่งผลใหพ้ นื้ ที่ปา่ ลดลงอย่างตอ่ เนอื่ ง แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาตเิ ปน็ แผนยทุ ธศาสตรท์ จี่ ดั ทำ� ขนึ้ เพอ่ื เปน็ กรอบ และแนวทางในการพัฒนาประเทศแต่ละยุคสมัยให้มีความเป็นเอกภาพและสอดคล้องไปใน ทศิ ทางเดยี วกนั ซง่ึ จะมกี ารปรบั เปลย่ี น เพม่ิ เตมิ ในระยะเวลาทกุ ๆ 5 ปี เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความสอดคลอ้ ง กับสถานการณ์ปัจจุบันและเพ่ือความเหมาะสมกับช่วงเวลาน้ัน ๆ ส�ำหรับนโยบายทางด้าน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มีการริเร่ิมบรรจุลงในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติในฉบับท่ี 4 (ปี พ.ศ. 2520-2524) โดยให้ความส�ำคัญในเรื่องทรัพยากรป่าไม้ ดังที่ กำ� หนดใหป้ ระเทศไทยจะตอ้ งมพี นื้ ทป่ี า่ มากกวา่ รอ้ ยละ 37 ของพนื้ ทป่ี ระเทศ และปรบั เปลย่ี น เปน็ รอ้ ยละ 40 ของพน้ื ทปี่ ระเทศในปี พ.ศ. 2528 จากการดำ� เนนิ การตามนโยบายปา่ ไมแ้ หง่ ชาติ 41

บทท่ี 2 ความส�ำคัญของปา่ ไม้ และการด�ำเนินงานดา้ นปา่ ไมข้ องประเทศไทย ในช่วงเวลาตอ่ มาได้มกี ารปรบั เปล่ียน เพ่มิ เติมนโยบายตา่ ง ๆ ตามความเหมาะสม ในดา้ นการขยายเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ เขตอทุ ยานแหง่ ชาติ การกำ� หนดอตั ราสว่ นระหวา่ งพนื้ ที่ ป่าเศรษฐกิจกับป่าอนุรักษ์ รวมทั้งการออกกฎหมายต่าง ๆ เพิ่มเติมเพ่ือเป็นการสนับสนุน การอนรุ กั ษท์ รพั ยากรปา่ ไม้ จนกระทง่ั แผนพฒั นาฯ ฉบบั ท่ี 11 ไดก้ ำ� หนดใหม้ กี ารดำ� เนนิ การ เตรยี มความพร้อมในด้านตา่ ง ๆ สำ� หรบั การรับมือกับปญั หาการเปลยี่ นแปลงสภาพภูมิอากาศ (ตารางที่ 2.4) ซึ่งเห็นได้ว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติน้ันได้มีการปรับเปลี่ยน กลยทุ ธแ์ ละนโยบายตา่ ง ๆ อยตู่ ลอดเวลาตามความเหมาะสม แตส่ ถานการณป์ า่ ไมใ้ นประเทศไทย ยงั คงมแี นวโนม้ ทรงตัวไมเ่ พมิ่ ขนึ้ ตลอดช่วงระยะเวลาทผี่ า่ นมา ตารางที่ 2.4 แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติดา้ นทรพั ยากรป่าไม้ ฉบบั ที่ รายละเอียด ฉบับที่ 4 - กำ� หนดให้มพี ืน้ ทป่ี า่ > รอ้ ยละ 37 (พ.ศ. 2520-2524) - ลดการบกุ รกุ ท�ำลายป่าจากอตั รา 4.8 ล้านไร/่ ปี ใหเ้ หลอื 0.4 ลา้ นไร่/ปี - ปลูกปา่ ทดแทน โดยใหม้ อี ตั ราเพิ่มขึ้นปีละ 0.5 ลา้ นไร่ - ขยายเขตรักษาพันธสุ์ ตั วป์ า่ และเขตอทุ ยานแห่งชาติ ฉบับท่ี 5 - ส่งเสริมการปลูกปา่ เศรษฐกิจ (ให้เพม่ิ ขน้ึ ปีละ 3 แสนไร)่ (พ.ศ. 2525-2529) - สง่ เสรมิ การปลูกไม้โตเรว็ - เพิ่มผลผลติ ด้านป่าไม้รอ้ ยละ 0.3 ต่อปี - ปรับปรงุ โครงสรา้ งอัตราก�ำลังเจ้าหนา้ ทขี่ องรัฐ - รักษา/ขยาย เขตรกั ษาสัตวป์ า่ และเขตอุทยานแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 6 - แบง่ พน้ื ท่ปี ่าไม้เป็นสองลกั ษณะคอื ปา่ เพอ่ื การอนรุ ักษ์และปา่ เศรษฐกิจ (พ.ศ. 2530-2534) - ให้มพี น้ื ทปี่ า่ เพ่อื การอนุรกั ษร์ ้อยละ 15 และป่าเศรษฐกิจรอ้ ยละ 25 - ปา่ อนรุ ักษ์เน้นการป้องกันและใหเ้ อกชนมสี ว่ นร่วมบางกจิ กรรม - ป่าเศรษฐกิจเน้นการจ�ำแนกป่าเส่อื มโทรมเพ่ือเกษตรและส่งเสรมิ การปลูกปา่ ฉบับที่ 7 - ให้มีพ้นื ทป่ี า่ เพื่อการอนุรกั ษร์ อ้ ยละ 25 (พ.ศ. 2535-2539) - เนน้ การมีส่วนรว่ มจากภาคสงั คม - กำ� หนดแนวเขตปา่ อนุรกั ษ์ และป่านอกเขตอนุรกั ษใ์ ห้ชดั เจน - เร่งรดั การออกกฎหมายรองรบั การอนรุ กั ษพ์ ้นื ที่ปา่ ต้นน�้ำลำ� ธาร กฎหมายรองรบั ป่าชมุ ชน พระราชบัญญัติสวนป่า 42

พลิกฟ้นื ผืนป่าด้วยพันธบัตรป่าไม้ ตารางท่ี 2.4 แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตดิ า้ นทรัพยากรป่าไม้ (ต่อ) ฉบับที่ รายละเอยี ด ฉบบั ที่ 8 - ฟ้นื ฟปู ่าเพื่อการอนรุ กั ษใ์ หไ้ ด้รอ้ ยละ 25 (พ.ศ. 2540-2544) - รักษาพ้นื ทีป่ ่าชายเลนให้ได้ไมต่ ่�ำกว่า 1 ล้านไร่ - หมายแนวเขตป่าอนรุ ักษใ์ หแ้ ล้วเสรจ็ และจดั ทำ� เขตการใช้ประโยชนท์ ด่ี ิน ในพ้นื ทปี่ า่ สงวนฯ - สง่ เสรมิ การจดั การในรปู แบบของป่าชมุ ชนและออกพระราชบัญญัติปา่ ชมุ ชน ฉบบั ที่ 9 - ให้มพี ้นื ทีป่ า่ อนรุ ักษ์ > ร้อยละ 25 และปา่ ชายเลน > 1.25 ล้านไร่ (พ.ศ. 2545–2549) - ตรวจสอบความเหมาะสมพ้ืนทล่ี ุ่มน�้ำช้นั ท่ี 1 จัดทำ� แนวเขตพื้นท่ีป่าอนุรกั ษ์ และป่าชายเลนและแนวกันชน - ปรบั ปรงุ กฎหมายเพอ่ื การสนับสนนุ การมีสว่ นร่วม เช่น พระราชบัญญัตปิ ่าชุมชน ทบทวนกฎหมายปา่ ไม้ ฉบบั ท่ี 10 - คมุ้ ครองพ้นื ทป่ี ่าให้มีความอดุ มสมบรู ณ์ > รอ้ ยละ 33 และปา่ อนุรกั ษ์ > รอ้ ยละ 18 (พ.ศ. 2550-2554) - ฟื้นฟูป่าอนุรกั ษ์ 2,900,000 ไร่ - การบรหิ ารจัดการล่มุ น�ำ้ อย่างบูรณาการ 25 ลมุ่ นำ้� - พฒั นาระบบฐานขอ้ มลู สารสนเทศภมู ศิ าสตร์ และขอ้ มลู แผนท่ี 1:4,000 เพอื่ ใชก้ ำ� หนด แนวเขตอนุรกั ษ์ให้ชดั เจน ฉบบั ท่ี 11 - เพ่มิ ความอุดมสมบรู ณข์ องฐานทรัพยากรธรรมชาตแิ ละความหลากหลายทางชวี ภาพ (พ.ศ. 2555-2559) โดยการรกั ษาพน้ื ทอ่ี นรุ กั ษไ์ วไ้ มน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 19 การเพม่ิ พนื้ ทป่ี า่ ไมใ้ หไ้ ดร้ อ้ ยละ 40 ของพืน้ ท่ปี ระเทศ และการเพ่มิ พื้นท่ปี า่ ชายเลนไมน่ ้อยกวา่ ปลี ะ 5,000 ไร่ - เพิ่มขดี ความสามารถในการปรบั ตัวเพอ่ื รองรับผลกระทบจากการเปล่ยี นแปลง สภาพภูมอิ ากาศและภัยพิบตั ใิ ห้มีความพร้อมทั้งระดับประเทศ พ้นื ที่ และชุมชน - เพิม่ ประสทิ ธิภาพการลดการปลอ่ ยกา๊ ซเรอื นกระจก - เพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการบรหิ ารจดั การทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม และใหช้ มุ ชน สามารถอยู่ร่วมกบั ป่าไดอ้ ยา่ งเกอ้ื กลู กัน ทมี่ า: อดศิ ร์ อศิ รางกรู ณ อยธุ ยา และคณะ (2558) 43

บทที่ 2 ความสำ� คัญของปา่ ไม้ และการด�ำเนินงานดา้ นปา่ ไม้ของประเทศไทย การสง่ เสรมิ การปลูกป่า การปลูกป่าหรือการปลูกสร้างสวนป่าเป็นภารกิจหน้าท่ีอย่างหนึ่งของกรมป่าไม้ กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธพ์ุ ชื และองคก์ ารอตุ สาหกรรมปา่ ไม้ ซง่ึ ทางแตล่ ะหนว่ ยงาน มกี ารจดั ทำ� แผนการปฏบิ ตั งิ านในดา้ นการปลกู ปา่ ไวต้ ลอดชว่ งระยะเวลาทผี่ า่ นมา โดยตงั้ เปา้ หมาย ในการเพม่ิ พน้ื ทป่ี า่ และเปา้ หมายการปลกู ปา่ ภายใตโ้ ครงการปลกู ปา่ ในแต่ละปี กรมปา่ ไมไ้ ดด้ ำ� เนนิ การปลกู ปา่ ตงั้ แตป่ ี พ.ศ. 2449 โดยการปลกู ปา่ สว่ นใหญจ่ ะปลกู ในเขตป่าสงวนเส่ือมโทรม บางส่วนจะปลูกในพ้ืนท่ีป่าอนุรักษ์และในเขตพื้นที่ต้นน้�ำล�ำธาร ตารางที่ 2.5 แสดงให้เห็นวา่ ในชว่ งปี 10 ปีระหวา่ ง พ.ศ. 2546–2555 กรมป่าไมไ้ ดด้ �ำเนนิ การ ปลกู ป่าดว้ ยเงินงบประมาณเป็นเนือ้ ท่ี 277,680 ไร่ หรือเฉลย่ี ประมาณปีละ 3,000 ไร่ ในชว่ ง เวลาเดยี วกนั กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธพ์ุ ชื ไดด้ ำ� เนนิ การปลกู ปา่ ดว้ ยเงนิ งบประมาณ ในพ้ืนท่ีป่าอนุรักษ์รวมท้ังส้ิน 1,140,541 ไร่ หรือเฉลี่ยประมาณปีละ 168,000 ไร่ ซ่ึงท้ังสอง หนว่ ยงานหลกั ด้านปา่ ไมส้ ามารถปลูกปา่ ฟนื้ ฟูได้เพยี งเฉลยี่ ปีละประมาณ 200,000 ไรเ่ ท่านัน้ สำ� หรบั องคก์ ารอตุ สาหกรรมปา่ ไมไ้ ดเ้ รม่ิ ปลกู สรา้ งสวนปา่ มาตงั้ แต่ พ.ศ. 2510 โดยเรมิ่ ตน้ ปลกู ทภ่ี าคเหนอื และภาคอน่ื ๆ ในชว่ งระยะเวลาตอ่ มา ซง่ึ มพี น้ื ทปี่ ลกู สวนปา่ รวมทงั้ สน้ิ จนถงึ ปจั จบุ นั เทา่ กบั 1.1 ลา้ นไร่ ทง้ั นก้ี ารปลกู ปา่ ขององคก์ ารอตุ สาหกรรมปา่ ไม้ (อ.อ.ป.) เปน็ การปลกู เพื่อ ชดเชยให้กับการท�ำสัมปทานตามเงื่อนไขของ อ.อ.ป. และอีกส่วนหน่ึงเป็นโครงการปลูกป่า โดยใช้งบลงทุนจากทาง อ.อ.ป. ซ่ึงเป็นการด�ำเนินงานตามนโยบายจากทางภาครัฐที่ต้องการ เพิ่มพ้นื ท่ปี ่าให้มากข้ึน การส่งเสริมการปลูกป่าโดยภาครัฐมีกลยุทธ์ในการกระตุ้นและปลูกจิตส�ำนึก ให้กับชุมชนเพื่อให้เกิดความรู้สึกหวงแหนในทรัพยากรป่าไม้ โดยให้ชุมชนเห็นถึงความส�ำคัญ ของป่าไม้เหล่าน้ันและพร้อมท่ีจะมีส่วนร่วมในการดูแลทรัพยากรท้องถิ่นเพ่ือเป็นการรักษา สมดุลของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งรณรงค์และเผยแพร่ความรู้ให้กับประชาชน และภาคส่วนต่าง ๆ ในเรื่องการปลูกป่าและบ�ำรุงสวนป่า ส�ำหรับกิจกรรมในด้านปลูกป่านั้น ได้ก�ำหนดให้มีหน้าที่ในการส่งเสริมและสนับสนุนการปลูกป่าทุกรูปแบบในที่ดินของรัฐ และเอกชน ดงั กรอบท่ี 2.2 44

ตารางที่ 2.5 งบประมาณในการบรหิ ารจัดการทรัพยากรปา่ และการปลกู ป่าแยกตามรายหนว่ ยงาน กรมป่าไม1้ กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธุ์พชื 2 องคก์ ารอุตสาหกรรมปา่ ไม3้ งบประมาณ งบประมาณ พ้ืนท่ีปลูกป่า งบประมาณ งบประมาณ พนื้ ที่ปลกู ป่า งบประมาณ งบประมาณ พน้ื ทป่ี ลกู สวนปา่ ในการบรหิ าร ดา้ นการปลกู ป่า (ไร่) ในการบริหาร ดา้ นการปลูกป่า (ไร)่ ในการบริหาร ด้านการปลูกสวนป่า (ไร่) ปี พ.ศ. จดั การปา่ ท้งั หมด (บาท) จัดการปา่ ท้งั หมด (บาท) จัดการป่าทง้ั หมด (บาท) ท่ีไดร้ บั จดั สรร ท่ีได้รับจดั สรร ท่ไี ด้รับจดั สรร (บาท) (บาท) (บาท) 2546 708,220,300 19,025,000 7,610 7,598,833,000 159,999,000 146,080 na 32,857,950 16,037 2547 921,057,500 20,000,000 8,000 7,794,722,800 197,295,000 165,840 na 43,784,050 17,730 2548 961,481,000 79,275,000 29,650 7,939,052,300 353,637,500 259,167 na 31,471,312 14,688 2549 1,777,166,200 68,500,000 27,400 8,377,302,800 248,635,000 177,150 na 10,340,700 4,892 พลกิ ฟื้นผนื ปา่ ด้วยพนั ธบัตรปา่ ไม้ 2550 2,281,942,800 na na 115,704,697 29,750 45 na 8,818,445,600 72,100,000 39,900 2551 2,626,672,400 249,500,000 78,800 8,709,758,200 112,588,000 61,100 na 39,700,188 12,499 2552 3,371,482,700 137,125,000 54,850 8,318,011,100 207,010,000 199,100 na 32,238,500 12,008 2553 3,031,101,500 125,000,000 50,000 7,135,382,700 na na na 27,848,118 13,331 2554 3,289,798,100 39,500,000 15,000 7,938,538,900 78,816,000 37,000 na 6,464,235 3,288 2555 3,466,114,700 24,949,600 6,373 8,256,454,700 84,233,100 55,204 na 25,281,563 9,213 เฉลี่ย 10 ปี 2,243,503,720 84,763,844 30,854 8,088,650,210 168,257,067 126,727 na 36,569,131 13,344 ทม่ี า: 1 การปลูกป่าของกรมปา่ ไม้ เปน็ การปลกู ป่าจากงบปกติ และงบกลาง การจา้ งเหมาเอกชนปลูกปา่ การปลูกป่าตามโครงการเฉพาะกิจพิเศษ การปลูกป่าทดแทน การปลูกป่าสาธิต และการปลูกหวาย 2 การปลกู ป่าของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธ์ุพืช เป็นการปลกู ป่าท่ัวไป การปลกู ฟ้ืนฟูป่าตน้ นำ�้ การปลูกปา่ พรุ การปลูกป่าไม้ใช้สอย การปลูกป่าแนวกันชน การปลูกปา่ ทดแทน การปลูกปา่ สาธติ และวจิ ัย การปลูกเสริมปา่ ตามธรรมชาติ การปลูกปา่ หวาย ไมพ้ ะยูง ไมก้ ฤษณา และการปลูกปา่ ชายเลน 3 การปลูกปา่ ขององคก์ ารอุตสาหกรรมป่าไม้ เปน็ การปรบั ปรุงพฒั นาสวนป่า การปลูกขยายแปลงใหม่ และการปลูกเสรมิ สวนป่า

บทท่ี 2 ความส�ำคัญของป่าไม้ และการดำ� เนินงานด้านปา่ ไมข้ องประเทศไทย กรอบที่ 2.2 โครงการดา้ นการปลูกปา่ โครงการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกป่าโดยจ่ายเงินสนับสนุน เป็นโครงการท่ีจัดท�ำขึ้นเพื่อ ส่งเสริมให้เกษตรกรประกอบอาชีพปลูกต้นไม้ให้มากข้ึนเพ่ือเป็นการสร้างอาชีพท่ีมั่นคง และลดปัญหาการบุกรุกท�ำลายป่า โดยกรมป่าไม้เป็นผู้สนับสนุนเงินทุนและปัจจัยอื่น ตามความจ�ำเป็น รวมท้ังเพื่อเป็นการเพิ่มพื้นท่ีป่าไม้ของประเทศและลดความผันผวนของ ระดบั ผลผลิตทไี่ มเ่ พียงพอต่อความต้องการจากทัง้ ภายในและภายนอกประเทศ โครงการปลกู ปา่ เฉลมิ พระเกยี รติ เปน็ โครงการทท่ี ำ� ขน้ึ เพอ่ื เฉลมิ พระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ วั เนอ่ื งในมหามงคลวโรกาสเจรญิ พระชนมายคุ รบ ๘๐ พรรษา โดยท�ำการสนอง พระราชด�ำริในการอนุรักษ์พันธุ์ “ไม้ยางนา” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์และส่งเสริม การเพาะขยายพันธุ์และการปลูกไม้ยางนา ให้เป็นไม้พ้ืนเมืองเพ่ือประโยชน์การใช้สอย ในประเทศไทยอยา่ งยงั่ ยนื และเพอ่ื เพม่ิ ปรมิ าณไมย้ นื ตน้ ในพน้ื ทต่ี า่ ง ๆ ทสี่ ง่ ผลใหม้ พี นื้ ทป่ี า่ ไม้ ถาวรเพม่ิ มากขนึ้ และเปน็ แหล่งทรพั ยากรตน้ น�้ำล�ำธารทด่ี ีต่อไป โครงการปลกู ไมเ้ ศรษฐกจิ เปน็ โครงการทส่ี ง่ เสรมิ การปลกู ตน้ ไมเ้ พอื่ เขา้ สกู่ ระบวนการแปรรปู ทางเศรษฐกิจโดยการป้อนวัตถุดิบเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมและส่งเสริมธุรกิจอุตสาหกรรมไม้ แบบครบวงจร เพื่อผลิตสินค้าประเภทต่าง ๆ ให้เพียงพอต่อความต้องการและสร้างอาชีพ ที่ม่ันคงให้กับเกษตรกร รวมท้ังเพ่ือรักษาความสมดุลของระบบนิเวศตามธรรมชาติโดยเน้น การมสี ่วนรว่ มจากภาคประชาชนอีกทางหน่ึง โครงการปลูกป่าในพ้ืนท่ี สทก. เป็นโครงการท่ีส่งเสริมการปลูกไม้ยืนต้นให้กับเกษตรกร ในพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมทไ่ี ดร้ บั สทิ ธทิ ำ� กนิ (สทก.) โดยการแจกกลา้ ไมท้ เี่ ปน็ ทนี่ ยิ มใหแ้ กเ่ กษตรกร ได้แก่ สัก ยูคาลิปตัส สะเดา กระถินเทพา มะค่าโมง ซึ่งให้ตามความเหมาะสมของพ้ืนท่ี ทีเ่ ข้ารว่ มโครงการ โครงการปลูกไม้โตเร็วเพื่อเป็นพลังงานทดแทน เป็นการส่งเสริมการปลูกไม้โตเร็ว เช่น กระถินยักษ์ ยูคาลิปตัส กระถินเทพา กระถินลูกผสม และกระถินณรงค์ เพ่ือใช้เป็นวัตถุดิบ ในการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยมีเป้าในการเพ่ิมอัตราการใช้พลังงานทดแทนในอนาคต และ เปน็ การเพมิ่ อาชพี สรา้ งรายไดใ้ หแ้ กเ่ กษตรกร รวมทงั้ เพมิ่ พนื้ ทป่ี า่ และลดภาวะโลกรอ้ น ทง้ั นี้ เป้าหมายเมื่อสิ้นสุดโครงการในปี 2555 จะส่งเสริมให้มีการปลูกไม้โตเร็วให้ได้ 1 ล้านไร่ โดยการด�ำเนินการน้ันทางส่วนราชการจะเป็นผู้สนับสนุนกล้าไม้โตเร็วให้แก่เกษตรกรและ จะให้เงนิ สนับสนนุ ชว่ ยเหลอื อกี ไร่ละ 500 บาท แตอ่ ยู่ภายใต้เงือ่ นไขทีใ่ หเ้ กษตรกรต้องปลกู และบ�ำรุงต้นไม้ในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี หากต้นไม้ได้รับความเสียหายหรือตายจะต้อง ปลูกทดแทนใหม่ทันที ซ่ึงถ้าหากผู้เข้าร่วมโครงการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขจะต้องคืนเงินต้น พร้อมดอกเบ้ียกลบั คืนให้แกห่ นว่ ยงานที่รบั ผิดชอบ ทมี่ า: อดศิ ร์ อศิ รางกรู ณ อยธุ ยา และคณะ (2558) 46

้พืนที่ (ไ ่ร) พลกิ ฟ้นื ผนื ป่าด้วยพันธบตั รปา่ ไม้ การปลูกป่าและฟื้นฟูป่าของประเทศไทยในพ้ืนท่ีป่าอนุรักษ์และนอกเขตพ้ืนท่ี ปา่ อนรุ กั ษเ์ ปน็ แนวทางทรี่ ฐั โดยกรมปา่ ไม้ กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธพ์ุ ชื และองคก์ าร อุตสาหกรรมป่าไม้ ด�ำเนินการมาโดยตลอด รวมทั้งการส่งเสริมการปลูกป่าในพ้ืนท่ีเศรษฐกิจ โดยให้ภาคเอกชน และเกษตรกรท�ำการปลูกป่าในท่ีดินท่ีมีกรรมสิทธิ์ ได้แก่ การด�ำเนินการ ปลูกป่าในพื้นท่ีป่าอนุรักษ์ ป่าสงวนแห่งชาติ การฟื้นฟูและปรับปรุงนิเวศต้นน�้ำ การฟื้นฟู สภาพป่าตามโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ การพัฒนาเกษตรที่สูง การปลูกโดย จา้ งเหมาเอกชน และการปลกู สรา้ งสวนปา่ ทงั้ นจ้ี ากงานปลกู ปา่ (งบปกต)ิ งานปลกู ปา่ (งบกลาง) งานปลกู ปา่ ทดแทนกรณหี นว่ ยงานไดร้ บั อนญุ าต และงานปลกู ปา่ เงนิ นอกงบประมาณ โดยจาก ข้อมูลพ้ืนที่ป่าท่ีได้รับการฟื้นฟูโดยกรมป่าไม้ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2554-2563 (ภาพที่ 2.8) แสดงใหเ้ หน็ วา่ พนื้ ทปี่ า่ ทไี่ ดร้ บั การฟน้ื ฟขู องประเทศไทยโดยรวมเปน็ ไปอยา่ งไมส่ มำ�่ เสมอ และ มีแนวโน้มลดลงอยา่ งตอ่ เนือ่ งในปี 2560-2563 โดยลดลงจาก 107,800 ไร่ ในปี 2560 เหลอื เพียง 37,306 ไร่ เท่านน้ั ในปี 2563 120,000 100,000 80,000 60,000 40,000 20,000 0 2554 2555 2556 2557 2558 2559 2560 2561 2562 2563 ปีงบประมาณ ภาพที่ 2.8 พ้นื ท่ปี ่าทไี่ ดร้ บั การฟ้นื ฟขู องประเทศไทยโดยกรมปา่ ไม้ ปี พ.ศ. 2554–2563 หมายเหตุ: งานปลูกป่าเงินนอกงบประมาณ หมายถึง งานปลูกป่าโดยเงินนอกงบประมาณที่กรมป่าไม้ได้ เรยี กเกบ็ จากหนว่ ยงานต่าง ๆ ตามเง่ือนไขทกี่ ำ� หนด เพื่อนำ� ไปใชใ้ นการปลกู และบำ� รุงปา่ ทีม่ า: ข้อมลู จากกรมป่าไม้ (2563ข) 47

บทที่ 2 ความส�ำคัญของปา่ ไม้ และการดำ� เนินงานดา้ นป่าไมข้ องประเทศไทย งบประมาณในการฟ้ืนฟปู ่า การด�ำเนินการฟื้นฟูพ้ืนท่ีป่าท่ีผ่านมาของภาครัฐโดยผ่านหน่วยงานต่าง ๆ ใน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบว่า ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการ ฟ้ืนฟูปา่ ไม้มาอย่างตอ่ เนอื่ ง ในชว่ งปี พ.ศ. 2560-2564 และมแี นวโนม้ เพมิ่ ขน้ึ ในปงี บประมาณ พ.ศ. 2561-2564 (ดงั ภาพท่ี 2.9) ซ่ึงโดยเฉล่ยี รัฐบาลจดั สรรงบประมาณเพอื่ การปลูกปา่ ปีละ 500 ลา้ นบาทเทา่ นน้ั 600 500 449.30 459.25 527.64 450.15 2564 397.30 400 งบประมาณ ( ้ลานบาท) 300 200 100 0 2561 2562 2563 2560 ปงี บประมาณ ภาพท่ี 2.9 งบประมาณในการฟืน้ ฟูปา่ ปี พ.ศ. 2560-2564 ที่มา: ขอ้ มลู จากเอกสารงบประมาณประจ�ำปี พ.ศ. 2560-2564 ส�ำนักงบประมาณ 48

พลกิ ฟ้นื ผนื ป่าด้วยพนั ธบัตรปา่ ไม้ สำ� หรบั งบประมาณในการอนรุ กั ษพ์ นื้ ทปี่ า่ อนรุ กั ษข์ องตา่ งประเทศ ในปี พ.ศ. 2542 มีการศึกษางบประมาณในการอนุรักษ์พื้นท่ีป่าอนุรักษ์จำ� นวน 108 ประเทศ พบว่า ประเทศ ต่าง ๆ ใช้งบประมาณเฉลี่ยเพ่ือการอนุรักษ์ป่าเท่ากับ 33,6396 บาทต่อตารางกิโลเมตรต่อปี โดยประเทศพฒั นาแลว้ มงี บประมาณในการอนรุ กั ษป์ า่ เทา่ กบั 77,525 บาทตอ่ ตารางกโิ ลเมตร ต่อปี แต่ประเทศก�ำลังพัฒนามีงบประมาณเฉล่ียในการอนุรักษ์ป่าต่อปี เท่ากับ 5,914 บาท ต่อตารางกิโลเมตร (Green, James, and Paine, 1999) โดยเม่ือเปรียบเทียบงบประมาณ ในการอนุรักษ์พื้นท่ีป่าอนุรักษ์ต่อปีพบว่า ประเทศพัฒนาแล้วให้เงินสนับสนุนการด�ำเนินงาน ในการอนรุ กั ษป์ า่ สงู กวา่ ประเทศกำ� ลงั พฒั นา สำ� หรบั ประเทศไทยอยใู่ นกลมุ่ ประเทศแถบเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีเงินงบประมาณเฉลี่ยในการอนุรักษ์ป่าเท่ากับ 16,311 บาทต่อตาราง กโิ ลเมตรตอ่ ปซี ง่ึ อยใู่ นระดับปานกลางเม่อื เทยี บกับประเทศอน่ื จงึ จะเหน็ ไดว้ า่ งบประมาณทไ่ี ดร้ บั การจดั สรรเพอ่ื การอนรุ กั ษพ์ นื้ ทปี่ า่ ของประเทศไทย ต่อปีต�่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าและการบ�ำรุงรักษาป่าเพ่ือป้องกันไฟ ปอ้ งกนั การบกุ รกุ คา่ ตรวจการ ฯลฯ ของประเทศไทยมจี ำ� กดั มาก เพราะประเทศมคี วามจำ� เปน็ ต้องใช้งบประมาณเพื่อการพัฒนาในหลาย ๆ ด้าน จึงไม่สามารถจัดสรรงบประมาณเพ่ือการ ฟื้นฟปู ่าไม้ได้มากเทา่ ทค่ี วร โดยสรุปจะเห็นได้ว่าแนวโน้มการลดลงของพื้นที่ป่าเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง การใช้ประโยชน์ที่ดินจากเดิมที่เคยเป็นพ้ืนท่ีป่าไม้มาเป็นการใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เพื่อ สนองการเพมิ่ ของประชากรและการเจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ ทำ� ใหม้ คี วามตอ้ งการใชป้ ระโยชน์ จากป่าไม้และการใช้ท่ีดินเพ่ิมขึ้น แม้ว่าภาครัฐจะได้ด�ำเนินการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และ ปอ้ งกนั การบกุ รกุ พน้ื ทปี่ า่ มาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง แตม่ าตรการและการดำ� เนนิ งานตามมาตรการตา่ ง ๆ เหลา่ นนั้ ทง้ั โดยกรมปา่ ไมแ้ ละกรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธพ์ุ ชื ยงั ไมเ่ พยี งพอทจ่ี ะรกั ษา พ้ืนท่ีป่าไม้เพ่ือคงความสมดุลของธรรมชาติ และยังไม่สามารถเพ่ิมพื้นที่ป่าไม้ให้เป็นไปตาม 6 อตั ราแลกเปล่ียน 1 ดอลลารส์ หรัฐ เทา่ กบั 37.67 บาท (ณ วนั ท่ี 31 ธนั วาคม พ.ศ. 2542) 49

บทที่ 2 ความสำ� คัญของป่าไม้ และการดำ� เนนิ งานดา้ นปา่ ไม้ของประเทศไทย เป้าหมายร้อยละ 40 ของพ้นื ท่ีประเทศไทยได้ ดว้ ยอัตราการฟืน้ ฟพู น้ื ที่ป่าไม้โดยใช้กลไกและ งบประมาณของภาครฐั ทจ่ี ดั สรรใหป้ ระมาณปลี ะ 500 ลา้ นบาทของกรมปา่ ไมแ้ ละกรมอทุ ยาน แห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชรวมกัน สามารถฟื้นฟูป่าไม้ได้เพียงประมาณปีละ 200,000 ไร่ ตามที่แสดงในตารางที่ 2.5 เท่าน้ัน จึงอาจค�ำนวณได้ว่า หากประเทศไทยต้องการเพิ่มพ้ืนท่ี ปา่ ไม้ 128 ลา้ นไร่ เพอื่ ใหบ้ รรลพุ นื้ ทป่ี า่ ไมเ้ ปา้ หมายรอ้ ยละ 40 ของพนื้ ทป่ี ระเทศจะตอ้ งใชเ้ วลา ในการด�ำเนินการถงึ 130 ปี ดงั น้นั จึงจ�ำเป็นทีป่ ระเทศไทยต้องหาแนวทางอนื่ ๆ เพอื่ ใหเ้ ป็น เครอื่ งมอื สำ� คญั ทสี่ ามารถแกป้ ญั หาการสญู เสยี พนื้ ทปี่ า่ ไมใ้ นอดตี และขอ้ จำ� กดั ดา้ นงบประมาณ ตลอดจนปญั หาการบุกรกุ ปา่ ไมไ้ ด้ 50

บทท่ี 3 กลไกทางเศรษฐศาสตร์ และกลไกทางการเงนิ

พันธบตั รปา่ ไมเ้ ป็นเครอื่ งมอื ท่ีมีศักยภาพสงู ในการระดมทนุ เพ่ือฟนื้ ฟสู ภาพป่าไม้ นอกจากนั้นยังเป็นช่องทางการออมให้ประชาชนมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการ ฟ้ืนฟสู ภาพปา่ การลงทนุ ในพนั ธบตั รปา่ ไมโ้ ดยองคก์ รภาคเอกชนยงั เปน็ เครอื่ งมอื ในการชว่ ยเหลอื สงั คมและสง่ิ แวดลอ้ มอกี ทางหนงึ่ ด้วย

พลกิ ฟนื้ ผนื ปา่ ดว้ ยพันธบัตรป่าไม้ สบื เนอ่ื งจากประเทศไทยสญู เสยี พนื้ ทปี่ า่ ไมเ้ ปน็ จำ� นวนมาก จงึ จำ� เปน็ ตอ้ งมกี ารเพม่ิ สัดส่วนพ้ืนทป่ี ่าไม้ในปัจจบุ นั จากประมาณร้อยละ 31-32 ของพ้ืนทป่ี ระเทศใหม้ ากขน้ึ โดยได้ กำ� หนดเปา้ หมายไวท้ ร่ี อ้ ยละ 40 หรอื ราว 128 ลา้ นไร่ แตผ่ ลการดำ� เนนิ งานของรฐั บาลทผ่ี า่ นมา ดังได้กล่าวไว้ในบทที่ 2 แสดงให้เห็นว่า กลไกของภาครัฐไม่สามารถเพิ่มพื้นท่ีป่าไม้ได้อย่างมี ประสิทธิผล เพราะจ�ำนวนของพื้นที่ป่าไม้ยังคงอยู่ในระดับเดิมคือร้อยละ 31-32 ของพื้นท่ี ประเทศอยา่ งทเ่ี ปน็ มาแลว้ กวา่ 20 ปี และไมม่ แี นวโนม้ วา่ จะสามารถเพมิ่ ขนึ้ ได้ เหตผุ ลสว่ นหนงึ่ เปน็ เพราะรฐั บาลมงี บประมาณจำ� กดั ในการปอ้ งกนั พนื้ ทปี่ า่ ไม้ อกี ทง้ั ตอ้ งเผชญิ กบั ปญั หาผบู้ กุ รกุ เขา้ มาลกั ลอบตดั ไม้ ซง่ึ มที ง้ั ทเ่ี ปน็ ผมู้ อี ทิ ธพิ ล และเกษตรกรทบ่ี กุ รกุ พนื้ ทป่ี า่ ไมเ้ พอ่ื ทำ� การเกษตร จงึ ทำ� ใหล้ ำ� พงั การใชก้ ลไกภาครฐั และพลงั จากผมู้ จี ติ ศรทั ธาทรี่ ะดมกนั มาปลกู ปา่ ตามโครงการ หรอื กจิ กรรมตา่ ง ๆ เช่น การปลกู ปา่ เพอ่ื แสดงความรบั ผิดชอบต่อสงั คมของหน่วยงานเอกชน หรือรัฐวิสาหกิจ (Corporate Social Responsibility) ท�ำได้เพียงพอท่ีจะรักษาพ้ืนท่ีป่าไม้ ไว้ไม่ให้ต�่ำกว่าที่เป็นอยู่เท่าน้ัน ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในการเพ่ิมสัดส่วนพ้ืนท่ีป่าไม้ท่ี รอ้ ยละ 40 ของพนื้ ท่ีประเทศไทยไดอ้ ยา่ งแนน่ อน ด้วยเหตนุ ี้ ประเทศไทยจึงจำ� เปน็ ต้องหาแนวทางในการระดมเงนิ ทุน รวมทั้งสรรพ กำ� ลงั บคุ ลากร และเทคโนโลยตี า่ ง ๆ เพอ่ื นำ� มาใชด้ ำ� เนนิ การใหบ้ รรลตุ ามเปา้ หมายการมพี น้ื ที่ ป่าไม้ร้อยละ 40 ของพ้ืนท่ีประเทศ ส�ำหรับการระดมทุนปริมาณมากเพื่อน�ำมาใช้ในการ พลิกฟื้นผืนป่าขนาดใหญ่เช่นนี้ ประเทศไทยต้องหากลไกอื่นนอกเหนือไปจากกลไกภาครัฐ มาช่วย ซ่ึงกลไกส�ำคัญท่ีจะช่วยได้ประการหน่ึงคือ การระดมทุนโดยใช้กลไกทางการเงิน7 ดว้ ยการออกพันธบตั รอันเป็นวธิ ีระดมทุนท่ภี าคเอกชนและภาครฐั ใชเ้ พอ่ื การลงทนุ ขนาดใหญ่ และสามารถช่วยให้ขยายการลงทนุ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี นอกจากการออกพนั ธบตั รเพอ่ื ระดมทนุ จะทำ� ใหผ้ ปู้ ระกอบการสามารถดำ� เนนิ ธรุ กจิ นานบั ประการแลว้ การออกพนั ธบตั รยงั สามารถนำ� มาใชเ้ พอื่ กจิ การดา้ นสงิ่ แวดลอ้ มไดอ้ กี ดว้ ย ตัวอย่างของการใช้พันธบัตรเพื่อส่ิงแวดล้อมเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2551 เม่ือธนาคารโลก (The World Bank) ได้ออกพนั ธบัตร Green Bond เพื่อระดมทนุ ส�ำหรับใช้สนับสนนุ กิจกรรมของ 7 เน้ือหาในบทนี้อ้างอิงและสังเคราะห์มาจากผลงานวิจัย 3 เล่ม ได้แก่ 1) อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา และคณะ (2558) 2) อดศิ ร์ อศิ รางกูร ณ อยธุ ยา (2558) และ 3) อดศิ ร์ อศิ รางกรู ณ อยุธยา และ ปรญิ ญารตั น์ เลี้ยงเจรญิ (2561) 53

บทท่ี 3 กลไกทางเศรษฐศาสตร์ และกลไกทางการเงนิ ทงั้ ภาครฐั และภาคเอกชนในการจดั การกบั ปญั หาการเปลยี่ นแปลงสภาพภมู อิ ากาศ ณ ขณะนน้ั โดยธนาคารโลกไดอ้ อกพันธบัตรประเภท Green Bond รวมทั้งสน้ิ 46 คร้งั เปน็ พันธบตั ร 17 สกุลเงนิ (World Bank Treasury, 2009) บทบาทของพันธบตั ร พันธบัตร เคร่ืองมือที่สถาบันท้ังของภาครัฐและภาคเอกชนใช้ในการระดมทุน ในตลาดการเงิน เป็นตราสารหนี้หรือสินทรัพย์ทางการเงินประเภทหน่ึงท่ีผู้ออกพันธบัตร สญั ญาวา่ จะจ่ายผลตอบแทนให้แกผ่ ้ซู ื้อในอตั ราคงที่ตามงวดการจ่ายทีร่ ะบุไว้ในตราสารนั้น ๆ เมอ่ื ถึงเวลาท่ีก�ำหนด ผ้อู อกพนั ธบตั รกจ็ ะชำ� ระคนื เงนิ ตน้ ทงั้ หมดใหแ้ ก่ผ้ซู ้อื เนอื่ งจากในปจั จบุ นั เงนิ สนบั สนนุ จากภาครฐั สำ� หรบั ปา่ ไมม้ จี ำ� กดั สว่ นการระดมทนุ จากแหล่งอื่น ๆ ก็มีความยากล�ำบากและล่าช้า8 ท�ำให้จ�ำเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องแสวงหา ชอ่ งทางใหม่ ซง่ึ การออกพนั ธบตั รปา่ ไมอ้ นั เปน็ พนั ธบตั รทม่ี วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื นำ� เงนิ ทนุ ทรี่ ะดม ได้ไปลงทุนหรือสนับสนุนกิจกรรมในภาคป่าไม้ ท้ังยังเป็นพันธบัตรระยะยาวท่ีมีผลตอบแทน เป็นดอกเบี้ยก็เป็นช่องทางหนึ่งที่น่าสนใจและสามารถใช้ในการระดมทุนได้ นอกจากนั้น การใช้พันธบัตรป่าไม้เป็นกลไกในการระดมทุนยังมีข้อดีคือ ช่วยให้สามารถระดมเงินทุน จ�ำนวนมากจากภาคเอกชนในลักษณะ Front-Load ได้ภายในระยะเวลาอันส้ัน แต่มีเงื่อนไข วา่ ผอู้ อกพนั ธบตั ร (หรอื ลกู หน)้ี จะตอ้ งบรหิ ารจดั การและใชเ้ งนิ ทนุ ทร่ี ะดมไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ สามารถน�ำเงินที่ระดมได้ไปท�ำให้เกิดดอกผล ท้ังผู้ออกพันธบัตรควรต้องมีกลไกที่เหมาะสม ในการจัดเก็บรายได้เพื่อน�ำมาช�ำระดอกเบี้ยและเงินต้นให้กับผู้ซื้อพันธบัตรตามงวดการจ่าย ท่ีระบุไว้ จงึ อาจกลา่ วได้ว่าพันธบัตรปา่ ไม้สามารถท�ำหนา้ ทเ่ี ปน็ ส่วนประกอบสำ� คญั อย่างหนงึ่ ในการดูแลและอนุรักษ์ปา่ ไม้แบบยั่งยนื ส�ำหรับแนวทางการด�ำเนินงานของพันธบัตรป่าไม้คือ การน�ำเงินท่ีได้จากการขาย พันธบัตรไปใช้ในการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าไม้ด้วยการปลูกป่าเศรษฐกิจ และบ�ำรุงรักษาป่า อย่างเป็นรูปธรรม เน่ืองจากที่ผ่านมาการปลูกป่าตามภารกิจของหน่วยงานหรือตามโครงการ ในวาระพเิ ศษตา่ ง ๆ ทห่ี นว่ ยงานภาครฐั และเอกชนพยายามดำ� เนนิ การนนั้ ยงั ขาดความตอ่ เนอ่ื ง 8 โดยทว่ั ไปนน้ั แหลง่ ทนุ สำ� หรบั ภาคปา่ ไมป้ ระกอบดว้ ย งบประมาณของภาครฐั รายไดจ้ ากการขายสนิ คา้ และบรกิ าร จากป่า การลงทนุ ของภาคเอกชน และเงินชว่ ยเหลอื เพ่อื การพฒั นาจากต่างประเทศ เป็นตน้ 54

พลกิ ฟ้ืนผืนปา่ ดว้ ยพนั ธบัตรป่าไม้ ในเร่ืองการดูแลรักษาพ้ืนท่ีป่าที่ได้ปลูกไว้ ท�ำให้ไม่สามารถฟื้นคืนสภาพป่าได้อย่างรวดเร็ว เม่อื เทยี บกับพ้นื ที่ปา่ ทีถ่ ูกทำ� ลาย ดังนั้น พันธบัตรป่าไม้จึงเป็นเครื่องมือท่ีมีศักยภาพสูงในการฟื้นฟูสภาพป่าไม้ ของประเทศไทย นอกจากนยี้ งั เปน็ ชอ่ งทางทางออ้ มใหก้ บั ผสู้ นใจทไ่ี มม่ โี อกาสเขา้ มามสี ว่ นรว่ ม โดยตรงในการฟื้นฟูสภาพป่า ด้วยการเข้ามาลงทุนซ้ือพันธบัตรป่าไม้ ซ่ึงนอกจากจะเป็น พันธบัตรระยะยาวท่ีมีผลตอบแทนคือดอกเบี้ยดังกล่าวแล้ว การลงทุนในพันธบัตรป่าไม้ โดยองค์กรภาคเอกชนยังเป็นเคร่ืองมือสร้างภาพลักษณ์ให้กับองค์กรในการช่วยเหลือสังคม และสง่ิ แวดลอ้ มอกี ทางหนึ่งดว้ ย สำ� หรบั นกั ลงทุน สถาบันการเงนิ หรือประชาชนท่ีมีความสนใจเรอื่ งการลงทนุ เพอ่ื สง่ิ แวดลอ้ ม (Green Finance) ควรศกึ ษาหลกั การในการแปลงสินทรพั ย์เป็นทนุ กระบวนการ EcoSecuritization การลงทนุ และการระดมทนุ ในตลาดตราสารหนี้ เพอื่ ความเขา้ ใจเรอ่ื งการ แปลงสินทรพั ยท์ ไี่ ม่มีมูลคา่ ตลาด ให้เปน็ สินทรพั ย์ที่กอ่ ให้เกิดกระแสรายรบั ในอนาคต รวมถงึ การระดมทุนระยะยาวส�ำหรับน�ำไปใช้ลงทุนในโครงการหรือกิจกรรมท่ีสามารถสร้างผล ตอบแทนตอ่ ระบบนเิ วศ ตอ่ ผลู้ งทนุ ตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม และตอ่ การสรา้ งภาพลกั ษณท์ ดี่ ใี หก้ บั องคก์ ร ผ่านการอนรุ ักษท์ รพั ยากรธรรมชาติ หลกั การในการแปลงสินทรพั ย์เป็นหลกั ทรพั ย์ กระบวนการแปลงสินทรัพย์ให้เปน็ หลกั ทรพั ย์ (Securitization) คอื กระบวนการ แปลงสินทรัพย์ท่ีไม่มีมูลค่าตลาด (Non-marketable Assets) ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิด กระแสรายรบั ในอนาคต เชน่ สนิ เช่ืออสงั หาริมทรพั ย์ สินเชือ่ บตั รเครดิต สินเชอ่ื เช่าซื้อรถยนต์ เปน็ ตน้ ใหเ้ ปน็ หลกั ทรพั ยท์ มี่ มี ลู คา่ ตลาด (Marketable Securities) เพอื่ จำ� หนา่ ยแกน่ กั ลงทนุ ขน้ั ตอนของกระบวนการแปลงสินทรพั ย์ให้เป็นหลักทรพั ย์น้นั มรี ายละเอยี ดดังตอ่ ไปนี้ 1) การขายสินทรัพย์ของเจ้าของกองทรัพย์สินเดิม (Originator) ให้กับองค์กร ทเ่ี ป็นนติ ิบุคคลเฉพาะกจิ (Special Purpose Vehicle, SPV) 2) องค์กรท่ีเป็นนิติบุคคลเฉพาะกิจท่ีออกหลักทรัพย์ที่มีกองทรัพย์สินเดิม เปน็ หลกั ประกนั (Asset-Backed Securities) และรบั สภาพหนแี้ ทนเจา้ ของกองทรพั ยส์ นิ เดมิ โดยแยกความเป็นเจ้าของหลักทรัพย์ออกจากเจ้าของกองสินทรัพย์เดิม ดังนั้น นักลงทุน จงึ ไมต่ อ้ งรับความเส่ยี งจากการด�ำเนนิ งานของเจ้าของกองสินทรัพย์เดิม 55

บทท่ี 3 กลไกทางเศรษฐศาสตร์ และกลไกทางการเงิน การแปลงสนิ ทรพั ย์เปน็ หลักทรพั ยก์ ่อใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อภาคีต่าง ๆ ดังน้ี ส�ำหรับผู้ขายสินทรัพย์ (Originator) กระบวนการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ เป็นช่องทางหน่ึงในการช่วยเสริมสร้างสภาพคล่องให้ผู้ขายสินทรัพย์ การขายสินทรัพย์ท�ำให้ ผู้ขายสินทรัพย์มีเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้น ซ่ึงสามารถน�ำเงินทุนดังกล่าวไปใช้ในธุรกิจอ่ืน โดยไม่ต้องกันเงินเป็นจ�ำนวนมากเพื่อเป็นเงินส�ำรองต่อสินทรัพย์เส่ียง นอกจากนี้ ตราสาร ที่เกิดจากการท�ำ Securitization มักจะมีอันดับความน่าเช่ือถือสูง เน่ืองจากเป็นหลักทรัพย์ ท่ีมีสินทรัพย์ค้�ำประกัน และมีการแยกความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ออกจากผู้ออกหลักทรัพย์ (Originator) ผู้ออกตราสารดังกล่าวจึงสามารถระดมทุนได้ในอัตราดอกเบ้ียต�่ำ นักลงทุน ก็ได้รับประโยชน์จากการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์เช่นเดียวกัน การท�ำ Securitization จงึ เปน็ การเพม่ิ ทางเลอื กรปู แบบใหม่ ๆ ในการลงทนุ มากขนึ้ นกั ลงทนุ รบั ความเสยี่ งเฉพาะของ กองทรัพย์สินท่ีเป็นนิติบุคคลเฉพาะกิจ ไม่รวมความเส่ียงในการด�ำเนินงานของเจ้าของ กองทรพั ยส์ นิ เดมิ นอกจากนี้ องคก์ รทเ่ี ปน็ นติ บิ คุ คลเฉพาะกจิ มไิ ดป้ ระกอบธรุ กจิ อน่ื ใดนอกจาก การท�ำ Securitization ดังนั้น ตราสารที่ออกโดยนิติบุคคลเฉพาะกิจจึงมีความเสี่ยงต�่ำกว่า ตราสารที่ออกโดย Originator โดยตรง ส�ำหรบั ประโยชน์ที่เกิดตอ่ เศรษฐกิจโดยรวมน้ัน การแปลงสนิ ทรัพยเ์ ป็นหลักทรัพย์ ท�ำให้เกิดตราสารทางการเงินท่ีมีอายุการลงทุนระยะยาวเพิ่มขึ้น ซ่ึงส่งผลให้ตลาดทุนมี เสถียรภาพมากขนึ้ กระบวนการ EcoSecuritization กระบวนการ EcoSecuritization คอื การผนวกกระบวนการแปลงสนิ ทรพั ยใ์ หเ้ ปน็ หลักทรัพย์ (Securitization) ท่ีด�ำเนินการกับตลาดทางด้านส่ิงแวดล้อม (Environmental markets) เพอ่ื ระดมทนุ ระยะยาวสำ� หรบั นำ� ไปใชล้ งทนุ ในโครงการหรอื กจิ กรรมทสี่ ามารถสรา้ ง ผลตอบแทนตอ่ ระบบนเิ วศ เชน่ กจิ กรรมทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ปา่ เขตรอ้ น (Tropical forestry) เปน็ ตน้ ซ่ึงโครงสร้าง EcoSecuritization แต่ละประเภทสรุปได้ดังตารางที่ 3.1 โดยการด�ำเนินการ แปลงสนิ ทรพั ยเ์ ปน็ หลกั ทรพั ยส์ ำ� หรบั ปา่ ไม้ เปน็ การดำ� เนนิ การในรปู แบบกระแสรายรบั ในอนาคต (Future flow) 56

พลกิ ฟืน้ ผนื ปา่ ด้วยพันธบตั รปา่ ไม้ ตารางที่ 3.1 โครงสร้าง EcoSecuritization แตล่ ะประเภท ประเภทโครงสรา้ ง ค�ำอธบิ าย บรบิ ทท่ีเหมาะสม ประโยชน์ เงือ่ นไข กระแสรายรบั เปน็ การนำ� รายรบั บรษิ ัทในประเทศ อันดบั ความน่าเช่อื ผขู้ ายจำ� เป็น ในอนาคต จากการขายสนิ คา้ ก�ำลังพฒั นาหลาย ถอื ของผขู้ ายอาจ ทจี่ ะตอ้ งมอี ันดบั (Future flow) ในต่างประเทศ แห่งมีกระแสรายรับ จะสูงกว่าอันดบั ความน่าเชอื่ ถือ มาเขา้ สกู่ ระบวนการ จากการส่งออก ความน่าเชอื่ ถอื ของ ท่ีคอ่ นขา้ งสงู Securitization สินค้าท่ียังค้างช�ำระ ประเทศและอนั ดับ มีสนิ ทรัพยเ์ ปน็ (Export ความนา่ เชอ่ื ถือ จ�ำนวนมาก และมี receivables) ของตราสารหน้ี ตลาดส่งออกที่ ของบรษิ ัท คอ่ นขา้ งแข็งแกรง่ (Company debt) จ�ำนวนเงนิ ที่ลกู คา้ เป็นการน�ำใบเรยี ก บริษัทที่คอ่ นขา้ ง อนั ดบั ความน่าเช่อื ผู้ขายจำ� เปน็ คา้ งช�ำระค่าสินค้า เก็บเงนิ (Invoice) มั่นคงและมีระบบ ถือของ Issued ทจี่ ะตอ้ งมีอนั ดับ หรอื ค่าบริการที่ ท่ีลูกค้าค้างช�ำระกับ รายงานขอ้ มลู ที่ notes อาจจะสงู กวา่ ความน่าเช่อื ถือ ซ้ือมาเพ่อื ขาย เจา้ ของกองสนิ ทรพั ย์ ค่อนขา้ งดี อันดับความน่าเช่ือ อยา่ งนอ้ ย BB+ (Trade receivables) เดมิ (Originator) มา ถอื ของเจ้าของ หรอื เทียบเท่า กองสินทรพั ยเ์ ดมิ เข้าสู่กระบวนการ (Originator) Securitization ธุรกิจทัง้ หมด เปน็ การนำ� ท้งั บริษทั ท่ีค่อนข้าง มลี กั ษณะที่ บริษทั ควรท่จี ะอยู่ (Whole business) บริษัทหรือสินทรัพย์ มั่นคง ค่อนข้างคลา้ ยกับ ในภาคอุตสาหกรรม ทงั้ หมดของบรษิ ทั มา หนุ้ กู้มีประกนั หรือธรุ กจิ ซง่ึ มี เขา้ สู่กระบวนการ (Secured debt) อปุ สรรคในการ Securitization และมีอนั ดับ เข้าตลาด (barrier ความน่าเชอ่ื ถือ to entry) ท่ีสูงกว่าเงินกู้ชนิดมี หลกั ทรพั ยค์ ำ้� ประกนั (Secured loan) 57

บทท่ี 3 กลไกทางเศรษฐศาสตร์ และกลไกทางการเงิน ตารางท่ี 3.1 โครงสรา้ ง EcoSecuritization แต่ละประเภท (ตอ่ ) ประเภทโครงสร้าง ค�ำอธิบาย บริบททเ่ี หมาะสม ประโยชน์ เงื่อนไข ตราสารท่ีมีหนี้ เปน็ การนำ� เอา เงินกคู้ วรที่จะมกี าร สามารถออกหุ้นกู้ ควรท่ีจะมีการ เปน็ หลักประกัน ทัง้ loan portfolio กระจายความเสี่ยง ซง่ึ มีอนั ดับ ประเมินเครดิต หรือ (Collateralized มาเขา้ สกู่ ระบวนการ และสามารถประเมนิ ความนา่ เชือ่ ถือ ความเส่ยี งสำ� หรับ loan obligation) Securitization เครดติ ได้ ซึง่ สูงกว่าอนั ดบั เงนิ กหู้ รือ loan หลกั ทรัพย์ทมี่ กี อง ความน่าเช่อื ถือ portfolio สินทรัพย์หนนุ หลงั ของเงนิ กู้ เนอ่ื งจาก (Asset-backed ผลของการกระจาย securities) ความเสี่ยง เป็นการน�ำเอา บริษทั ซึง่ มเี งนิ สามารถระดมทุน สินทรพั ย์ควรมี consumer คา้ งช�ำระ ซึ่งมีอนั ดบั ลกั ษณะที่ค่อนข้าง receivable มา (receivables) ความนา่ เชือ่ ถอื สูง เหมือนกนั และมี เขา้ สกู่ ระบวนการ คอ่ นข้างทจ่ี ะมาก กวา่ อันดับ มาตรฐาน Securitization ความนา่ เชื่อถอื ของบรษิ ัท ท่มี า: Forum for the Future and EnviroMarket (2007) การลงทนุ และการระดมทนุ ในตลาดตราสารหนี้ (Bond Markets) พนั ธบตั รหรอื หนุ้ กู้ (Bond) เปน็ เครอ่ื งมอื หนงึ่ ทสี่ ถาบนั ทงั้ ของภาครฐั และภาคเอกชน ใช้ในการระดมเงินทุนในตลาดทุน (Capital market) พันธบัตรถือเป็นสินทรัพย์ทางการเงิน ประเภทตราสารหนี้ (Bond securities) โดยที่ผู้กู้หรือผู้ออกตราสารหนี้ (Issuer) ได้ผูกพัน ตนเองเป็นลูกหนี้ มีภาระหน้าที่ในการจ่ายกระแสเงินสด (Cash flow) ซ่ึงได้แก่ ดอกเบี้ย (Coupon) และมลู คา่ ไถถ่ อน (Par or Principal) ใหแ้ กเ่ จา้ หน้ี (ผใู้ หก้ หู้ รอื นกั ลงทนุ ในตราสารหน)้ี ตามระยะเวลาและขอ้ กำ� หนดของสญั ญาทไ่ี ดร้ ะบไุ วใ้ นตราสาร โดยการจา่ ยดอกเบย้ี (Coupon Payment) จะทำ� อยา่ งสมำ่� เสมอตามงวดการจา่ ยทไ่ี ดร้ ะบไุ ว้ และเมอื่ ถงึ เวลาสน้ิ อายุ (Maturity) ที่เรียกว่า ครบก�ำหนดการไถ่ถอน (Redemption) ผู้ออกตราสารหนี้ก็จะต้องช�ำระคืนมูลค่า ไถถ่ อน (เงนิ ตน้ ) ทง้ั หมดใหแ้ กผ่ ทู้ ถ่ี อื ตราสารหนี้ จากนยิ ามขา้ งตน้ คณุ ลกั ษณะของตราสารหนี้ จงึ ประกอบไปด้วย 1) ผอู้ อกตราสารหน้ี (Issuer) หมายถงึ ผทู้ ตี่ อ้ งการกู้ ซงึ่ มสี ถานะเปน็ ผกู้ หู้ รอื ลกู หนี้ ของสญั ญา 58

พลิกฟ้นื ผืนปา่ ดว้ ยพนั ธบัตรปา่ ไม้ 2) ประเภทของตราสารหน้ี เปน็ การระบุประเภทของตราสารหนีน้ นั้ เชน่ หุ้นกู้ไม่มี ประกัน หุน้ กดู้ อ้ ยสิทธิ/ไมด่ อ้ ยสทิ ธิ ห้นุ กู้แปลงสภาพ เปน็ ตน้ 3) อัตราดอกเบี้ย (Coupon หรือ Interest Rate) หมายถึง ภาระผูกพันที่ผู้ออก ตราสารหนจี้ ะตอ้ งจ่ายใหก้ ับผ้ถู อื ตราสารหนต้ี ามเงอื่ นไขที่กำ� หนด 4) งวดการจา่ ยดอกเบยี้ (Coupon Frequency) เปน็ การระบจุ ำ� นวนครง้ั ของการจา่ ย ดอกเบ้ีย ซึ่งสามารถเป็นได้ท้ัง 1 ครั้งต่อปี 2 ครั้งต่อปี 4 ครั้งต่อปี หรือทุก ๆ เดือน แล้วแต่ ผู้ออกจะก�ำหนด แต่โดยส่วนใหญ่เป็นการจ่ายทุกครึ่งปีโดยเฉพาะพันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาล และองคก์ รภาครัฐ 5) มลู คา่ ไถถ่ อน/มลู คา่ ทต่ี ราไว/้ เงนิ ตน้ (Par หรอื Principal Value) หมายถงึ มลู คา่ ทผี่ ู้ออกตราสารหนีจ้ ะต้องช�ำระคนื เมื่อตราสารหนีค้ รบก�ำหนดไถ่ถอน 6) ระยะเวลา (Maturity) หมายถงึ ระยะเวลาตง้ั แตอ่ อกตราสารหนจ้ี นครบกำ� หนด ไถถ่ อน (หมดอายุ) ของตราสารหนน้ี ้นั 7) วันหมดอายุ (Maturity date) เป็นการก�ำหนดวันหมดอายุของตราสารหนี้นั้น ซึ่งผู้ออกจะต้องท�ำการจ่ายคืนเงินต้นและดอกเบ้ียงวดสุดท้าย (ถ้ามี) ให้กับผู้ถือตราสารหนี้ หรอื ผใู้ หก้ ู้ 8) ขอ้ สญั ญา (Covenants) เปน็ เงอื่ นไขและขอ้ ตกลงทร่ี ะบใุ หผ้ อู้ อกตราสารหนตี้ อ้ ง สัญญาว่าจะทำ� หรอื ไมท่ ำ� ส่งิ หน่ึงสิ่งใดเพ่ือประโยชนข์ องผู้ใหก้ ู้ ผู้ออกตราสารหน้ีสามารถออกตราสารหนี้ได้ในหลายรูปแบบเพื่อให้สอดคล้องกับ ความต้องการเงนิ ทนุ และความสามารถในการชำ� ระหนใี้ นอนาคตของตน ตราสารหนี้สามารถ แบง่ ตามประเภทของผู้ออกตราสารได้ดงั นี้ 1) ตราสารหนี้ท่ีออกโดยรฐั บาลหรอื พนั ธบัตรรฐั บาล (Treasury Bond) เปน็ ตราสารหนที้ อ่ี อกโดยกระทรวงการคลงั ตามระเบยี บและวธิ กี ารทกี่ ฎหมายกำ� หนด โดยเป็นการระดมเงินทุนจากนักลงทุนและประชาชนทั่วไปเพื่อใช้จ่ายในกิจการของรัฐบาล ซงึ่ สว่ นใหญเ่ ปน็ การอดุ หนนุ ภาระขาดดลุ งบประมาณ ตราสารหนชี้ นดิ นผี้ ลู้ งทนุ มฐี านะเปน็ เจา้ หน้ี รฐั บาลโดยตรง รฐั บาลจะจา่ ยผลตอบแทนในรปู ดอกเบย้ี แกน่ กั ลงทนุ ตามอตั ราและระยะเวลา ที่กำ� หนด และจะจา่ ยเงนิ ตน้ คนื ตามราคาท่ตี ราไว้เมื่อครบก�ำหนดไถถ่ อน ตราสารชนดิ นถ้ี ือวา่ ไม่มีความเส่ียงเร่ืองการผิดนัดชำ� ระดอกเบี้ยและเงินต้น (Default Free) เนื่องจากมีรัฐบาล เป็นลูกหน้ี อย่างไรก็ตาม พันธบัตรรัฐบาลยังมีความเส่ียงด้านการเปลี่ยนแปลงของราคา 59

บทที่ 3 กลไกทางเศรษฐศาสตร์ และกลไกทางการเงนิ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาดยังคงมีอยู่ ส�ำหรับประเทศไทย ปัจจุบัน พันธบัตรรัฐบาลมีสัดส่วนมากเป็นอันดับหน่ึงในตลาดตราสารหนี้ ท้ังในด้านมูลค่าคงค้างและ ปรมิ าณการซอ้ื ขาย พนั ธบตั รรฐั บาลสามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ (1) พนั ธบัตรส�ำหรับการออมเงิน (Saving Bond: SB) (2) พันธบัตรส�ำหรับการบริหารจัดหาแหล่งเงินทุนของภาครัฐโดยปกติ (Loan Bond: LB) และ (3) พนั ธบตั รสำ� หรับการระดมทุนเพือ่ นำ� ไปลงทุนในโครงการภาครัฐ ตา่ ง ๆ (Investment Bond) ซึง่ อาจเป็นการลงทนุ ดา้ นการปลูกปา่ เศรษฐกจิ 2) ตราสารหน้ที ่ีออกโดยองค์กรภาครัฐ เปน็ ตราสารหนท้ี อ่ี อกโดยองคก์ รภาครฐั ซง่ึ มชี อื่ เรยี กตามองคก์ รทอี่ อกตราสาร เชน่ พนั ธบตั รธนาคารแหง่ ประเทศไทย พนั ธบตั รกองทนุ เพอื่ การฟน้ื ฟแู ละพฒั นาระบบสถาบนั การเงนิ และพันธบัตรในช่ือของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ พันธบัตรดังกล่าวเป็นการกู้เงินโดยตรงขององค์กร ภาครัฐน้ัน ๆ ซ่ึงจะมีหน้าท่ีและภาระในการชำ� ระหนี้ทั้งดอกเบี้ยและเงินต้นตามที่ก�ำหนดไว้ ความสามารถในการชำ� ระหนแี้ ละฐานะทางการเงนิ ขององคก์ รจงึ เปน็ เรอื่ งทผี่ ลู้ งทนุ ตอ้ งพจิ ารณา อย่างไรก็ตาม พันธบัตรเหล่าน้ีมักได้รับการค้�ำประกันจากรัฐบาลเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและ ระดมทุนได้ในอัตราท่ีถูกลง โดยหากมีการจัดตั้งองค์กรภาครัฐขึ้นมาใหม่เพื่อท�ำหน้าที่บริหาร จัดการป่าเศรษฐกิจของประเทศ องค์กรใหม่นี้ก็สามารถออกพันธบัตรได้โดยกฎหมายจัดต้ัง องค์กรดังกล่าวต้องระบุให้ชัดเจนว่าให้อ�ำนาจในการออกพันธบัตรเพื่อระดมทุนได้และให้น�ำ เงนิ ท่รี ะดมได้มาใช้เพื่อการด�ำเนนิ งานดา้ นปา่ เศรษฐกิจ 3) ตราสารหนี้ภาคเอกชน หรือหนุ้ กู้ภาคเอกชน (Corporate Bond) เปน็ ตราสารหนท้ี อี่ อกโดยภาคธรุ กจิ เอกชนเพอื่ ระดมทนุ จากนกั ลงทนุ และประชาชน ท่ัวไปส�ำหรับใช้ในการด�ำเนินกิจการของตน ตราสารหน้ีเหล่านี้มักจะมีการออกแบบในรูป ลักษณะต่าง ๆ กัน และจะมีความเสี่ยงของการที่ผู้ออกจะผิดนัดในการจ่ายดอกเบ้ียและ เงินต้นอยู่ ซ่ึงจะสะท้อนให้เห็นในรูปของอัตราผลตอบแทนส่วนต่างที่นักลงทุนต้องการเพ่ือ ชดเชยคา่ ความเส่ียงต่าง ๆ (Credit and Option Embedded Spread) ตราสารหนภ้ี าครัฐ ตราสารหนภี้ าครฐั หมายถงึ ตราสารหนที้ ร่ี ฐั บาลโดยกระทรวงการคลงั หรอื หนว่ ยงาน ภาครฐั ออกจำ� หนา่ ยเพอ่ื ระดมทนุ จากประชาชน โดย อญั ญา ขนั ธวทิ ย์ (2545) ไดใ้ หร้ ายละเอยี ด โดยแบ่งตราสารหนภี้ าครัฐเป็น 5 ประเภท ดังตอ่ ไปน้ี 60

พลิกฟ้นื ผืนป่าดว้ ยพันธบตั รป่าไม้ 1) ตราสารหนท้ี อี่ อกโดยรฐั บาล หรอื ทเ่ี รยี กวา่ “หลกั ทรพั ยร์ ฐั บาล” ไดแ้ ก่ ตวั๋ เงนิ คลงั และพันธบตั รรฐั บาล 1.1) ต๋วั เงนิ คลัง (Treasury Bill) เปน็ ตราสารหน้รี ะยะส้ันทอ่ี อกโดยกระทรวง การคลงั ปกตจิ ะมอี ายไุ มเ่ กนิ หนง่ึ ปี วตั ถปุ ระสงคห์ ลกั ของการออกตวั๋ เงนิ คลงั คอื (1) เพอื่ ใชช้ ดเชย สภาวะการขาดดุลของรัฐบาล (2) เพ่ือเป็นเครื่องมือในการบริหารนโยบายการคลัง และ (3) เพอ่ื เปน็ การสรา้ งอตั ราดอกเบี้ยอา้ งอิงระยะส้นั ให้แก่ตลาดการเงนิ ของประเทศ 1.2) พันธบัตรรัฐบาล (Treasury Note and Bond) เป็นตราสารหนี้ท่ีออก โดยรฐั บาลเช่นเดยี วกบั ต๋ัวเงินคลัง แต่มีอายยุ าวกว่า โดยพันธบตั รรัฐบาลจะมีอายตุ ัง้ แตห่ น่ึงปี ขึ้นไป และมีการจ่ายดอกเบ้ียเป็นงวด ๆ ซึ่งปกติจะจ่ายปีละสองครั้ง และเม่ือสิ้นสุดอายุของ พนั ธบตั ร ผลู้ งทนุ จะไดร้ บั คนื เงนิ ตน้ เทา่ กบั ราคาทตี่ ราและดอกเบย้ี งวดสดุ ทา้ ย พนั ธบตั รรฐั บาล สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทตามวัตถุประสงค์ของการออก ได้แก่ พันธบัตรเพื่อการ ลงทนุ พันธบตั รเพอ่ื การกูย้ ืม และพันธบัตรออมทรัพย์ 2) พันธบัตรรฐั วิสาหกิจ เปน็ ตราสารหน้ีที่ออกโดยรฐั วิสาหกจิ เพอ่ื ระดมทนุ สำ� หรบั ไปใช้จ่ายในการด�ำเนินงาน ตลอดจนขยายกิจการ โดยปกติมักมีอายุเกินกว่าหน่ึงปี พันธบัตร รัฐวิสาหกิจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ พันธบัตรที่กระทรวงการคลังค�้ำประกัน และพันธบัตร ท่ีกระทรวงการคลงั ไมไ่ ด้ค้ำ� ประกัน 3) พนั ธบัตรกองทุนเพอ่ื การฟืน้ ฟแู ละพัฒนาระบบสถาบันการเงนิ เปน็ ตราสารหน้ี ที่ออกโดยกองทุนเพ่ือการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institution Development Fund หรอื FIDF) 4) พันธบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นตราสารหน้ีที่ออกโดยธนาคาร แห่งประเทศไทย เพื่อเป็นเครื่องมือส�ำหรับบริหารนโยบายการเงินและเป็นการสร้างอัตรา ดอกเบ้ียอา้ งอิงใหแ้ กต่ ลาดการเงินของประเทศ 5) พนั ธบัตรท่ีออกโดยองค์การบรหิ ารสนิ เชอ่ื อสงั หารมิ ทรัพย์ เปน็ พนั ธบัตรทีอ่ อก โดยองค์การบริหารสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (อบส.) โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือช่วยเหลือธุรกิจ อสงั หารมิ ทรพั ยท์ ป่ี ระสบปญั หา โดยลักษณะพันธบัตรที่เหมาะสมส�ำหรับกลไกพันธบัตรป่าไม้ การศึกษาน้ีเสนอให้ เป็นรูปแบบท่ี 2 ที่ออกโดยองค์กรรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นเพื่อรับผิดชอบด้านพันธบัตรของ ประเทศไทยโดยเฉพาะ และควรเปน็ พนั ธบตั รทีก่ ระทรวงการคลังค้ำ� ประกนั 61

บทท่ี 3 กลไกทางเศรษฐศาสตร์ และกลไกทางการเงนิ ตราสารหนีก้ ับความตอ้ งการเงนิ ทนุ ในระบบเศรษฐกจิ ตลาดตราสารหน้ีนั้น นอกจากจะมีความส�ำคัญในฐานะที่เป็นแหล่งระดมเงินทุน โดยตรงท่ีมปี ระสิทธภิ าพขององคก์ รท้ังภาครัฐและภาคเอกชน และเป็นแหล่งเงนิ ออมท่สี ำ� คญั ของประชาชน ในแง่มมุ ของนกั ลงทนุ แลว้ ตราสารหน้ียงั ถือเป็นทางเลือกในการลงทนุ ทส่ี ำ� คัญ ซง่ึ ผลู้ งทนุ สามารถใชเ้ พอ่ื กระจายความเสยี่ งและเปน็ เครอ่ื งมอื ในการบรหิ ารกลมุ่ สนิ ทรพั ยล์ งทนุ ของผู้ลงทุนได้ โดยเฉพาะผู้ลงทุนท่ีมีภาระผูกพันระยะยาว เช่น กองทุนบ�ำเหน็จบ�ำนาญ ข้าราชการ กองทุนสำ� รองเล้ียงชีพ และกลุม่ ธุรกิจประกนั ภยั เปน็ ต้น เนอ่ื งจากกองทนุ เหลา่ น้ี ถูกจัดต้ังขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพ่ือการออมระยะยาว มิได้มีวัตถุประสงค์มุ่งท�ำก�ำไร ใหไ้ ด้สงู สุด ดงั นน้ั ตราสารหนจี้ งึ เปน็ ทางเลอื กในการลงทนุ ทเี่ หมาะสม เนอื่ งจากมคี ณุ ลกั ษณะเดน่ อยทู่ ผ่ี ลู้ งทนุ สามารถคาดการณถ์ งึ ผลตอบแทนจากการลงทนุ ไดง้ า่ ยกวา่ การลงทนุ ในหนุ้ สามญั อีกทั้งผู้ลงทุนยังสามารถเลือกตราสารในการลงทุนตามระดับของความเส่ียงท่ีตนเองประสงค์ ไดแ้ ทบทกุ ระดบั โดยผลู้ งทนุ ทไี่ มป่ ระสงคแ์ บกรบั ความเสยี่ ง กส็ ามารถเลอื กลงทนุ ในพนั ธบตั ร รฐั บาลซงึ่ เปน็ ตราสารทปี่ ราศจากความเสย่ี งดา้ นเครดติ ของการผดิ นดั ชำ� ระดอกเบยี้ และเงนิ ตน้ ส่วนผู้ลงทุนที่ยอมรับความเส่ียงในระดับที่สูงข้ึน อาจเลือกลงทุนในหุ้นกู้ของภาคเอกชนที่ให้ ผลตอบแทนสงู ขน้ึ แตก่ ม็ คี วามเสย่ี งทเี่ พมิ่ ขน้ึ ดงั นน้ั ตราสารหนจี้ งึ เปน็ องคป์ ระกอบสำ� คญั ของ ระบบเศรษฐกจิ และระบบการเงนิ ของประเทศ ทั้งในแง่ของการเปน็ เครอ่ื งมอื ในการระดมทุน ของภาครัฐและภาคเอกชน เป็นแหล่งเงินออมของประชาชน และเป็นแหล่งลงทุนส�ำคัญของ ผู้ลงทุน หลกั การ Polluter-Pays Principle และ Payment for Ecosystem Service การจดั การทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มมกี ารนำ� เครอ่ื งมอื ทางเศรษฐศาสตร์ หลายชนดิ มาประยกุ ตใ์ ช้ เชน่ ภาษมี ลพษิ ระบบมดั จำ� คา่ ธรรมเนยี มกำ� จดั ของเสยี ราคารบั ซอ้ื พลงั งานหมุนเวยี น ตลาดซื้อขายคารบ์ อน หรอื การออกพนั ธบัตรป่าไม้ เป็นตน้ เครื่องมือทาง เศรษฐศาสตร์เหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือส่งสัญญาณทางราคาให้ผู้ผลิตหรือผู้บริโภคปรับ พฤติกรรมให้เป็นมิตรต่อส่ิงแวดล้อม และบางเคร่ืองมือยังสามารถหารายได้เข้ารัฐได้ด้วย (Double Dividend) เช่น การเก็บภาษคี ารบ์ อน นอกจากเครื่องมอื ทางเศรษฐศาสตรเ์ หล่าน้ี 62

พลกิ ฟ้นื ผนื ปา่ ด้วยพันธบัตรปา่ ไม้ จะสามารถปรบั พฤตกิ รรมการผลติ และการบรโิ ภคใหเ้ ปน็ มติ รตอ่ สงิ่ แวดลอ้ มแลว้ ประเดน็ สำ� คญั อีกประการหนึ่งคือ เคร่ืองมือทางเศรษฐศาสตร์ส่วนมากมักสร้างภาระให้กับสังคมในรูปแบบ ต่าง ๆ เพราะสังคมมักต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเม่ือการผลิตหรือการบริโภคมีผลกระทบต่อ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ ม และต้องช�ำระภาษีมลพิษตามมา เปน็ ตน้ การพิจารณาเรื่องภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการน�ำเคร่ืองมือทางเศรษฐศาสตร์ มาใช้เพ่ือจัดการทรัพยากรธรรมชาติส่ิงแวดล้อมมีหลักการส�ำคัญสองหลักการ ได้แก่ หลัก ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter-Pays Principle: PPP) และหลักผู้ได้ประโยชน์เป็นผู้จ่าย (Beneficiary-Pays Principle: BPP) โดยการใช้หลักการใดน้ันจะมีผลกระทบอย่างยิ่งต่อ ความเหมาะสมของการใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์น้ันส่งผลกระทบต่อ ประชาชนทมี่ รี ายไดน้ อ้ ยซง่ึ ไมส่ ามารถจา่ ยหรอื รบั ภาระทางการเงนิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ไดก้ ค็ วรหลกี เลย่ี ง เพ่ือใหเ้ ครอื่ งมอื ทางเศรษฐศาสตรท์ นี่ ำ� มาใช้มีความเป็นธรรมกบั ประชาชนใหม้ ากท่สี ดุ หลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter-Pays Principle) หมายถึง เครื่องมือทาง เศรษฐศาสตร์ที่เป็นการเรียกเก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียมจากผู้ท่ีท�ำลายหรือสร้างความสูญเสีย ต่อทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม เช่น เก็บภาษีกับผู้ปล่อยมลพิษ หรือภาษีคาร์บอน ส่วนหลักผู้ได้ประโยชน์เป็นผู้จ่าย (Beneficiary-Pays Principle) เป็นการเก็บภาษีหรือ ค่าธรรมเนยี มจากผทู้ ่ไี ด้ประโยชนจ์ ากทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อม เช่น ค่าธรรมเนยี ม การใชน้ ำ้� หรอื คา่ เขา้ ชมอทุ ยานแหง่ ชาติ ซงึ่ ทง้ั สองหลกั การนส้ี ามารถนำ� มาใชเ้ พอ่ื บรหิ ารจดั การ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มได้ เพยี งแตก่ ารเลือกหลักการใดจะเหมาะสมนนั้ ขน้ึ อยกู่ บั กลมุ่ ประชาชนทตี่ อ้ งรบั ภาระคา่ ใชจ้ า่ ย หากกลมุ่ ผปู้ ลอ่ ยมลพษิ เปน็ ผมู้ รี ายไดน้ อ้ ยตอ้ งรบั ภาระ ค่าธรรมเนียมภาษีมลพษิ หลักการท่ีควรนำ� มาใชก้ ็ควรเป็นหลกั ผู้ได้ประโยชน์เปน็ ผจู้ า่ ย (BPP) เช่น การใช้ค่าธรรมเนียมภาษีท่ีดินจากเจ้าของทรัพย์สินเพ่ือน�ำเงินรายได้มาใช้ในดูแล สาธารณูปโภคแทนท่ีจะให้ผู้มีรายได้น้อยต้องรับภาระค่าธรรมเนียม แต่ในทางตรงกันข้าม หากผไู้ ดป้ ระโยชนเ์ ปน็ ผมู้ รี ายไดน้ อ้ ยกค็ วรหาทางหลกี เลย่ี งการใชห้ ลกั ผไู้ ดป้ ระโยชนเ์ ปน็ ผจู้ า่ ย (BPP) แต่ควรใช้หลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (PPP) เพ่ือให้ผู้ท่ีมีฐานะดีและเป็นผู้ท�ำลาย สง่ิ แวดลอ้ มเปน็ ผรู้ บั ผดิ ชอบคา่ ใชจ้ า่ ย ดงั นน้ั การเลอื กใชห้ ลกั การใดระหวา่ งหลกั ผไู้ ดป้ ระโยชน์ เป็นผจู้ า่ ย (BPP) หรอื หลกั ผกู้ อ่ มลพษิ เปน็ ผ้จู า่ ย (PPP) จึงขึ้นอยูก่ ับว่าการออกแบบเคร่ืองมือ ทางเศรษฐศาสตร์น้ันจะหลีกเล่ียงการสร้างภาระผลกระทบต่อประชาชนผู้มีรายได้น้อย ได้อย่างไร เพ่ือผลักภาระค่าใชจ้ ่ายไปให้ผู้ทีม่ ฐี านะทางเศรษฐกจิ ท่ดี ีกว่าเป็นผรู้ บั ผิดชอบแทน 63

บทท่ี 3 กลไกทางเศรษฐศาสตร์ และกลไกทางการเงนิ ส�ำหรับการเพ่ิมพื้นที่ป่าให้เป็นไปตามเป้าหมายร้อยละ 40 ของพ้ืนท่ีประเทศไทย กลไกพนั ธบตั รปา่ ไมจ้ งึ พยายามเนน้ หลกี เลยี่ งการสรา้ งผลกระทบตอ่ ผมู้ รี ายไดน้ อ้ ยซงึ่ อาจเปน็ ผสู้ รา้ งแรงกดดนั ตอ่ พน้ื ทปี่ า่ ไม้ เชน่ กลมุ่ เกษตรกรทปี่ ลกู พชื เศรษฐกจิ บนทสี่ งู ดงั นน้ั จงึ นำ� หลกั การผไู้ ดป้ ระโยชนเ์ ปน็ ผจู้ า่ ย (BPP) หรอื ทเ่ี รยี กอกี อยา่ งหนง่ึ วา่ การจา่ ยเพอื่ ตอบแทนคณุ ระบบ นเิ วศ (Payment for Ecosystem Service: PES) มาเปน็ พน้ื ฐานในการออกแบบกลไกพนั ธบตั ร ป่าไม้ เช่น ให้ผู้ท่ีได้ประโยชน์จากป่าไม้เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ได้แก่ ธุรกิจผู้ใช้ไม้ ผู้ท่ีได้ ประโยชนจ์ ากน�ำ้ เพ่อื ธุรกจิ หรอื อุตสาหกรรม นักท่องเทีย่ วธรรมชาติ หรอื การลดลงของปญั หา น้ำ� ท่วมนำ้� แลง้ ที่รฐั บาลสามารถลดงบประมาณการจา่ ยเงินชดเชย เป็นตน้ กลา่ วโดยสรปุ จากหลกั ทกี่ ลา่ วมาขา้ งตน้ ไดแ้ ก่ หลกั การในการแปลงสนิ ทรพั ยเ์ ปน็ หลกั ทรพั ย์ กระบวนการ EcoSecuritization การลงทุนและการระดมทนุ ในตลาดตราสารหน้ี และตามหลกั การ PES ทกี่ ลา่ วขา้ งตน้ นนั้ สามารถนำ� มาปรบั ใชก้ บั ทรพั ยากรปา่ ไมไ้ ด้ เนอื่ งจาก ประโยชนท์ ีส่ งั คมไทยพงึ ไดร้ ับจากป่าไมส้ ามารถแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คอื ประโยชน์ ที่อยู่ในรูปของตัวเงิน (Monetary Benefits) และประโยชน์ซ่ึงไม่ได้อยู่ในรูปของตัวเงิน (Non-Monetary Benefits) สำ� หรับประโยชนท์ ่ีอย่ใู นรูปของตวั เงนิ น้ัน เปน็ ประโยชนท์ ี่มูลคา่ ผลติ ภณั ฑจ์ ากปา่ ไมใ้ หต้ อ่ สงั คมโดยตรง (Direct Benefits) เชน่ การนำ� ไมแ้ ละของปา่ ไปใชส้ อย ในครวั เรอื น หรอื นำ� ไมไ้ ปจำ� หนา่ ยยงั แหลง่ รบั ซอ้ื ตา่ ง ๆ หรอื เพอ่ื การสง่ ออกไปตลาดตา่ งประเทศ โดยท่ัวไปมูลคา่ ทางตรงของป่าไมใ้ นเขตรอ้ นขน้ึ อยกู่ ับปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่ การขยาย ตวั ของราคาทด่ี นิ (Land Appreciation) รายไดจ้ ากการขายเนอ้ื ไม้ (Timber forest products) และรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์จากป่าประเภทอ่ืน ๆ (Non-timber forest products) ส�ำหรับประโยชน์ของป่าไม้ทางอ้อมน้ัน (Indirect Benefits) เกิดจากการท่ีป่าไม้ท�ำหน้าท่ีให้ บริการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ (Ecosystem Services) ตามธรรมชาติของป่าไม้ เช่น เป็นแหล่งต้นน�้ำล�ำธาร เป็นแหล่งอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Protection) เป็นตัวช่วยป้องกันการพังทลายของดิน ช่วยดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Sequestration) และชว่ ยปอ้ งกันปัญหาน�ำ้ ทว่ มและภยั แล้ง 64

บทท่ี 4 การท�ำงานของพนั ธบตั รป่าไม้

ประเทศคอสตาริก้าเพิ่มพ้ืนท่ีป่าไม้จากร้อยละ 21 ของพ้ืนที่ประเทศ เปน็ รอ้ ยละ 53 โดยร้อยละ 75 เป็นการปลูกป่าโดยภาคเอกชน ประเทศเกาหลีใต้สามารถเพ่มิ พ้นื ทีป่ า่ ไม้จากรอ้ ยละ 35 ของพนื้ ทีป่ ระเทศ เปน็ รอ้ ยละ 64 โดยรอ้ ยละ 70 เปน็ การปลูกป่าโดยภาคเอกชน ส�ำหรับประเทศไทย พ้ืนที่ป่าไม้ร้อยละ 87 ยังอยู่ในการดูแลของภาครัฐ โดยภาคเอกชนมบี ทบาทในการบรหิ ารปา่ ไม้เพียงร้อยละ 13 ของการปลกู ไมเ้ ท่าน้นั

พลิกฟื้นผนื ป่าด้วยพันธบตั รป่าไม้ บทท่ี 4 นี้เป็นการน�ำเสนอหลักการท�ำงานของกลไกพันธบัตรป่าไม้ โดยอาศัย หลกั การการออกพันธบตั รตามทก่ี ลา่ วไว้ในบทที่ 3 ซง่ึ แสดงการหมุนเวยี นของเงนิ ที่ไดร้ บั จาก การขายพันธบัตรและจากแหล่งรายได้อ่ืน ๆ ได้แก่ การน�ำเงินไปลงทุนในธุรกิจไม้เศรษฐกิจ การอนรุ กั ษ์ ดแู ลและฟน้ื ฟปู า่ การสรา้ งรายไดใ้ นรปู แบบตา่ ง ๆ เชน่ การขายเนอื้ ไม้ การขายนำ�้ หรือการท�ำหนา้ ที่กักเกบ็ คาร์บอน จากนน้ั เปน็ การนำ� รายได้มาช�ำระดอกเบ้ยี และเงินต้นใหก้ ับ ผลู้ งทนุ ในพนั ธบตั รปา่ ไม้ รวมทงั้ ลกั ษณะขององคก์ รทรี่ บั ผดิ ชอบจดั การดา้ นการเงนิ และการนำ� เงนิ ไปสนบั สนนุ กจิ กรรมภาคปา่ ไม้ ตวั อยา่ งความสำ� เรจ็ ในการดำ� เนนิ การเกยี่ วกบั พนั ธบตั รปา่ ไม้ ตลอดจนการเปรียบเทียบการพัฒนากลไกพันธบัตรป่าไม้จากกรณีการศึกษาของต่างประเทศ ส่วนหัวข้อสดุ ท้ายจะกลา่ วถงึ การดำ� เนินงานท่ีเกีย่ วข้องกับพนั ธบตั รปา่ ไม้ในประเทศไทย โดย ยกตวั อยา่ งโครงการธนาคารตน้ ไม้ อนั เปน็ เครอ่ื งมอื สรา้ งแรงจงู ใจใหค้ นรว่ มกนั อนรุ กั ษส์ ง่ิ แวดลอ้ ม ผ่านเครื่องมอื ทางการเงนิ ที่ทำ� ใหต้ น้ ไมม้ มี ูลค่าและเปน็ หลกั ทรัพย์เพอ่ื การคำ้� ประกนั 9 ที่มาของแนวคดิ ในการระดมทนุ ดว้ ยพนั ธบัตรปา่ ไม้ ท่ีผ่านมา การด�ำเนินการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ของประเทศไทยพ่ึงพา งบประมาณของภาครฐั เปน็ หลกั แตเ่ นอ่ื งจากเงนิ งบประมาณดงั กลา่ วสำ� หรบั ภาคปา่ ไมม้ จี ำ� กดั ไม่เพียงพอท่ีจะดูแลทรัพยากรป่าไม้ของประเทศ จึงจ�ำเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องเสาะหาช่องทาง ในการระดมเงินทุนจากแหล่งทุนอื่น ซ่ึงการออกพันธบัตรป่าไม้ก็เป็นช่องทางหน่ึงท่ีน่าสนใจ และสามารถใช้ในการระดมทุนได้ แล้วน�ำเงินทุนท่ีได้จากการขายพันธบัตรน้ีไปใช้จ่าย ลงทุน และให้การสนับสนุนกิจกรรมการปลูกป่าเศรษฐกิจ การอนุรักษ์ ดูแล และฟื้นฟูป่า ดังน้ัน พันธบัตรป่าไม้จึงเป็นส่วนประกอบส�ำคัญที่จะน�ำไปสู่ความยั่งยืนในการด�ำรงไว้ซ่ึงทรัพยากร ปา่ ไมข้ องประเทศ ข้อดีของการระดมทุนด้วยพันธบัตรป่าไม้คือ เป็นช่องทางที่สามารถเชื่อมโยงกับ ผลู้ งทนุ ในตลาดทนุ ทำ� ใหส้ ามารถระดมเงนิ ทนุ เปน็ จำ� นวนมากจากภาคเอกชนในลกั ษณะ Front Load ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตาม การระดมทุนด้วยพันธบัตรก็ท�ำให้เกิดภาระ หนส้ี นิ ในอนาคต (Future Liability) ทผ่ี อู้ อกพนั ธบตั รซงึ่ อยใู่ นสถานะลกู หนตี้ อ้ งบรหิ ารจดั การ 9 เน้ือหาในบทน้ีอ้างอิงและสังเคราะห์มาจากผลงานวิจัย 3 เล่ม ได้แก่ 1) อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา และคณะ (2558) 2) อดศิ ร์ อศิ รางกูร ณ อยธุ ยา (2558) และ 3) อดศิ ร์ อศิ รางกูร ณ อยธุ ยา และ ปริญญารตั น์ เล้ียงเจริญ (2561) 67

บทท่ี 4 การท�ำงานของพนั ธบัตรป่าไม้ และใชเ้ งนิ ทนุ ทรี่ ะดมไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ เพอ่ื ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายของการระดมทนุ คอื อนรุ กั ษ์ และจัดการทรัพยากรป่าไม้ของชาติอย่างยั่งยืน นอกจากนั้นผู้ออกพันธบัตรป่าไม้ยังต้องมี ความสามารถในการบรหิ ารการจดั เกบ็ รายไดอ้ ยา่ งเหมาะสมเพอื่ ใหม้ กี ระแสเงนิ สดทสี่ มำ่� เสมอ และเพียงพอท่ีจะน�ำมาช�ำระดอกเบี้ยและเงินต้นให้แก่เจ้าหน้ี ซึ่งก็คือผู้ถือครองหรือผู้ท่ีลงทุน ในพันธบัตรป่าไมต้ ามงวดการจ่ายทีต่ กลงไว้ ด้วยเหตนุ ้ี พนั ธบัตรปา่ ไม้จงึ เปน็ กลไกทางการคลังที่สามารถเชอ่ื มโยงปจั จยั ตา่ ง ๆ ทัง้ จากในประเทศและตา่ งประเทศ ท้ังจากภาคประชาชนและภาคธรุ กิจการเงิน มาสนับสนนุ การปลูกป่าเศรษฐกิจและป่าอนุรักษ์ได้ เนื่องจากการปลูกป่าเศรษฐกิจเป็นการด�ำเนินธุรกิจ ทม่ี ผี ลกำ� ไร จงึ เปน็ แหลง่ รายไดส้ ำ� คญั สำ� หรบั ผลู้ งทนุ ในพนั ธบตั รปา่ ไม้ นอกจากนใ้ี นกระบวนการ ปลูกป่าเศรษฐกิจเองก็ยังมีกิจกรรมที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรท่ีเข้ามาท�ำงานในพื้นที่ป่า เศรษฐกจิ ด้วย โดยเปล่ยี นรูปแบบการเกษตรจากการปลูกพชื เศรษฐกิจเชิงเดย่ี ว เชน่ ข้าวโพด มาเปน็ การปลกู และดแู ลปา่ ไม้ ในขณะเดยี วกนั กส็ ามารถปลกู พชื เศรษฐกจิ คลมุ ดนิ แซมในพน้ื ท่ี ป่าไม้ เพ่อื สร้างกระแสเงินสดสำ� หรับการด�ำรงชวี ิตไดด้ ้วย ในชว่ งการดำ� เนนิ งานปลกู ปา่ เศรษฐกจิ กงึ่ ปา่ อนรุ กั ษ์ กลไกพนั ธบตั รปา่ ไมจ้ ะมกี ระแส รายไดจ้ ากแหลง่ ตา่ ง ๆ เชน่ รายไดจ้ ากการขายไมต้ ามระยะเวลาการตดั ไม้ (Harvest rotation) รายได้จากการขายของป่าหรือผลิตภัณฑ์จากป่าท่ีไม่ใช่ไม้ (Non-Timber forest products) รายได้บางส่วนจากรัฐบาลจากการที่พ้ืนท่ีป่าไม้ช่วยลดปัญหาน้�ำท่วม น�้ำแล้ง ซึ่งท�ำให้รัฐบาล สามารถประหยดั เงนิ ชดเชยทต่ี อ้ งจา่ ยกรณนี ำ้� ทว่ มนำ�้ แลง้ ในแตล่ ะปี รายไดจ้ ากภาคอตุ สาหกรรม จากการด�ำเนนิ งานดา้ น Carbon Offset ทป่ี า่ ไม้ดดู ซบั คารบ์ อนแทนผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจก รายไดจ้ ากภาคพลงั งานเมอื่ มกี ารนำ� เศษไมไ้ ปใชใ้ นการผลติ พลงั งานหมนุ เวยี น และรายไดจ้ าก การท่องเทยี่ วเชงิ นิเวศ เป็นต้น รายได้เหล่านนี้ อกจากจะน�ำมาเป็นค่าใช้จา่ ยใหผ้ ปู้ ระกอบการ ท่ีท�ำหน้าที่ปลูกป่าและเพื่อจ่ายให้เกษตรกรผู้เป็นแรงงานในส่วนป่าแล้ว ยังนำ� ส่วนเกินหรือ ก�ำไรจ่ายคนื ใหก้ ับประชาชนหรือผู้ลงทุนซอ้ื พนั ธบัตรปา่ ไมใ้ นท่ีสุดตามทแี่ สดงในภาพ 4.1 จากท่ีกล่าวมาจะเห็นได้ว่า กลไกพันธบัตรป่าไม้เป็นโอกาสส�ำคัญของประเทศไทย ในการพลกิ ฟน้ื ผนื ปา่ โดยการใชผ้ ลประโยชนจ์ ากการปลกู ปา่ เศรษฐกจิ เพอื่ แกไ้ ขปญั หาสงิ่ แวดลอ้ ม พนั ธบตั รปา่ ไมจ้ ึงเป็นกลไกสำ� คญั ในการเช่อื มโยงปัจจยั การผลติ ตา่ ง ๆ ได้แก่ เงนิ ลงทุน ทดี่ ิน แรงงาน และเทคโนโลยี เพ่ือแก้ไขปัญหาการสูญเสยี พื้นท่ีปา่ ไมข้ องประเทศไทย 68

พลกิ ฟน้ื ผืนป่าดว้ ยพนั ธบัตรปา่ ไม้ ปลกู และฟ� น� ฟูป�าเศรษฐกิจตามเป�าหมาย การปลกู ป�าเศรษฐกิจแบบผสมผสาน รอ้ ยละ 40 ของพ�นื ท�ีประเทศ และรกั ษา (ไมส้ กั ไมพ้ ลังงาน พชื เศรษฐกิจ) การดําเนนิ งานเชงิ พาณิชยโ์ ดยภาคเอกชน สมดลุ ของระบบนิเวศต้นน�ํา การจดั การแบบชุมชนป�าไม้ การตวจสอบพ�นื ท�ีผ่านระบบ GPS ออกพนั ธบตั รปา� ไมเ้ พ�อื ระดมทนุ และ เงินลงทนุ : การออกพนั ธบตั ร ทรพั ยากรสาํ หรบั การปลกู ป�าเศรษฐกิจ ท�ีดิน: พ�นื ท�ีปา� สงวนเส�อื มโทรม (26 ล้านไร)่ แรงงาน: ชุมชนในพ�นื ที�ป�าสงวน จดั ตั�งกองทนุ ปา� ไม้ เพ�อื ให้โอกาสภาคสว่ นต่างๆ เงินจากการออกพนั ธบตั รโดยรฐั บาล มสี ว่ นรว่ มเปน� เจา้ ของใน เงินสมทบจากรฐั บาล การปลกู ปา� เศรษฐกิจของ เงินสมทบจากต่างประเทศ (ถ้าม)ี ประเทศ เงินบรจิ าค (ถ้าม)ี ดําเนินการปลกู ปา� โดยผปู้ ระกอบการเอกชนรายใหญ่ รว่ มกับชุมชนในพ�นื ที�ปา� สงวน (เพ�อื ให้มกี ารบรหิ าร จดั การอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและตรวจสอบได้) ประโยชน์ของปา� เศรษฐกิจ ไมเ้ ศรษฐกิจเพ�อื ใชใ้ นประเทศและสง่ ออก ไมพ้ ลังงานเพ�อื การใชพ้ ลังงานฟอสซลิ รกั ษาสมดลุ ของระบบนวิ เศต้นน�ํา: ชลอการไหลของน�าํ ในฤดฝู น ลดความ สญู เสยี จากอุทกภัย เพมิ� ปรมิ าณน�าํ กักเก็บน�ําไวใ้ ชใ้ นฤดแู ล้ง แหล่งดดู ซบั คารบ์ อน: สง่ เสรมิ การใชไ้ มใ้ นรูปแบบต่างๆ การท่องเที�ยว เก็บรายได้จากผูท้ ี�ได้ประโยชนจ์ ากปา� รายได้จากไมเ้ ศรษฐกิจและไมพ้ ลังงาน เศรษฐกิจ เพ�อื นํารายได้มาจา่ ยเปน� ผล รายได้สมทบจากรฐั บาลจากการปอ� งกันน�ําท่วม ตอบแทนให้กับผูล้ งทนุ ในพนั ธบตั รปา� ไม้ ค่าธรรมเนียมการใชน้ �ํา (รายใหญ)่ รายได้จากคารบ์ อนเครดิต (เก็บกักคารบ์ อน) รายได้จากการท่องเท�ียวเชงิ นเิ วศ ภาพที่ 4.1 กลไกพันธบัตรปา่ ไม้ ทมี่ า: อดศิ ร์ อิศรางกรู ณ อยุธยา และ ปริญญารตั น์ เลยี้ งเจริญ (2561) 69

บทที่ 4 การทำ� งานของพันธบัตรป่าไม้ ดงั นนั้ ขอ้ เดน่ ของการใชก้ ลไกพนั ธบตั รในการทำ� หนา้ ทพ่ี ลกิ ฟน้ื ผนื ปา่ ของประเทศไทย คือ การน�ำกลไกทางธุรกจิ ท่เี นน้ การสรา้ งกำ� ไรมาใชใ้ นการสร้างความสมดุลทางธรรมชาติและ การจดั การสง่ิ แวดลอ้ ม และเนอื่ งจากการปลกู ปา่ เศรษฐกจิ เปน็ การสรา้ งรายไดแ้ ละกำ� ไรใหก้ บั เจา้ ของเงนิ กลไกพนั ธบตั รปา่ ไมจ้ งึ มศี กั ยภาพสงู ในการระดมเงนิ จากภาคการเงนิ เพอ่ื การปลกู ปา่ เศรษฐกจิ ตราบใดทป่ี า่ ไมส้ ามารถสรา้ งกำ� ไรใหก้ บั ผปู้ ระกอบการ พนั ธบตั รปา่ ไมก้ จ็ ะสามารถ ระดมเงินลงทุนมาให้ได้อย่างเพียงพอ ซ่ึงในปัจจุบันมีเพียงกลไกเชิงธุรกิจอย่างเช่น พันธบัตร ป่าไม้ ที่ท�ำงานร่วมกับการปลูกป่าเศรษฐกิจเท่าน้ันท่ีจะมีพลังมากพอในการพลิกฟื้นผืนป่า ให้ประเทศไทยได้ ยงิ่ ไปกวา่ นน้ั กลไกพนั ธบตั รปา่ ไมย้ งั ชว่ ยสง่ เสรมิ ใหภ้ าคสว่ นตา่ ง ๆ ของสงั คมเขา้ มา มสี ว่ นรว่ มในการฟ้นื ฟูพ้นื ท่ีปา่ ไม้และการไดร้ ับส่วนแบง่ ผลตอบแทน โดยประชาชน นักลงทนุ หรือสถาบันการเงินท่ีลงทุนในพันธบัตรป่าไม้จะได้รับผลตอบแทนตามอัตราผลตอบแทนของ พนั ธบตั ร สว่ นเกษตรกรก็จะมีสว่ นร่วมโดยเปลี่ยนสภาพจากการเป็นผู้ท�ำลายและบกุ รุกปา่ ไม้ บนพน้ื ทสี่ งู อยา่ งผดิ กฎหมายมาเปน็ ผปู้ ลกู ปา่ และผดู้ แู ลปา่ โดยไดร้ บั รายไดอ้ ยา่ งมงั่ คง ทส่ี ำ� คญั ประเทศจะมีองค์กรท่ีท�ำหน้าท่ีดูแลป่าไม้อย่างต่อเน่ืองในระยะยาว เพราะองค์กรดังกล่าวมี ก�ำไรเป็นส่งิ จงู ใจจากการบริหารป่าเศรษฐกิจ ดังน้ัน จะเห็นได้ว่ากลไกทางธุรกิจผ่านการระดมทุนในรูปของการออกพันธบัตร เป็นแนวทางการฟื้นฟูป่าไม้ที่มีศักยภาพสูง มีความยั่งยืน เพราะเป็นโครงการท่ีมีประโยชน์ ตอ่ สงั คม สามารถสรา้ งรายไดจ้ ากการขายไมห้ รอื ผลติ ภณั ฑจ์ ากไม้ สามารถเพมิ่ ขดี ความสามารถ ในการป้องกันการลักลอบตัดไม้เถื่อนโดยกลุ่มผลประโยชน์ที่อยู่เหนือกฎหมาย สร้างรายได้ ให้เกษตรกร ดูดซับคาร์บอน (Carbon Sink) ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยปรับตัวเข้าสู่สถานะ ความสมดุลทางคาร์บอนหรือสถานะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutral หรอื Net Zero Emission) และที่สำ� คญั เน่ืองจากการด�ำเนินกลไกพนั ธบตั รป่าไม้มี ความโปร่งใส มีการแสดงรายรบั รายจ่ายทีส่ ามารถตรวจสอบได้ เพราะกระแสเงินเข้าออกของ องคก์ รผอู้ อกพนั ธบตั รปา่ ไมต้ อ้ งเปน็ ไปตามกฎขอ้ บงั คบั ของตลาดหลกั ทรพั ยแ์ หง่ ประเทศไทย 70

พลิกฟ้นื ผนื ป่าด้วยพนั ธบัตรปา่ ไม้ โครงสรา้ งของพันธบตั รปา่ ไมแ้ ละการดำ� เนนิ การ โครงสร้างของพันธบัตรป่าไม้มีองค์ประกอบหลัก 3 ประการ10 ได้แก่ การจัดเก็บ รายไดเ้ พอ่ื นำ� มาชำ� ระดอกเบยี้ และเงนิ ตน้ ใหก้ บั ผถู้ อื พนั ธบตั ร (Revenue generation) องคก์ ร ทรี่ บั ผดิ ชอบและจดั การดา้ นการเงนิ (Institutional arrangement) และการนำ� เงนิ ไปสนบั สนนุ กิจกรรมภาคป่าไม้ (Delivery) (ภาพที่ 4.2) ผู้ซ้อื พนั ธบตั รปา่ ไม้ ผ ตอบะทน การ งทนุ การจัดเกบ็ รายได้ รูปะบบองค์กร การสนบั สนุนทางการเงนิ สาำ หรบั กจิ กรรมภาคป่าไม้ • การจัดเกบ็ รายไดเ้ พือ่ • องคก์ รท่รย ับหนา้ ทย่ นำามาำำารอดอกเบยย้ ะ อ ออกพันธบัตรปา่ ไม้ • รปู ะบบการสนบั สนนุ เงินตน้ • กิจกรรมทค่ย วรไดร้ บั การ • องค์กรทด่ย ะู ด้าน การเงิน สนับสนนุ ภาพท่ี 4.2 โครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของพันธบัตรปา่ ไม้ ท่มี า: Cranford, Parker and Trivedi (2011) ในสว่ นขององคป์ ระกอบท่ีหน่ึง เรอ่ื งการจดั เกบ็ รายได้เพ่อื นำ� มาชำ� ระดอกเบ้ียและ เงนิ ตน้ ใหแ้ กผ่ ซู้ อ้ื พนั ธบตั รปา่ ไมน้ นั้ จากการศกึ ษาของ Cranford, Parker and Trivedi (2011) พบวา่ มีกลไกซ่ึงสามารถน�ำมาใช้เพือ่ จัดเกบ็ รายได้อยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ คือ รายรับท่ีเกดิ จาก ประโยชน์ที่ได้จากป่า (Forest-based Revenue) และรายรับจากแหล่งอื่น ๆ (Non-forest- based revenue) 10 Cranford, Parker and Trivedi (2011) 71

บทท่ี 4 การทำ� งานของพนั ธบตั รปา่ ไม้ การจัดเก็บรายรบั ทีเ่ กิดจากประโยชน์ทีไ่ ด้จากปา่ (Forest-Based Revenue) น้ัน สามารถจดั เก็บได้ดว้ ยกลไกทางตลาด ซง่ึ กลไกดงั กล่าวแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทยอ่ ย คอื กลไก ทางตรง (Direct Market Mechanism) และกลไกทางออ้ ม (Indirect Market Mechanism) ตวั อยา่ งของกลไกทางตรงประกอบดว้ ยการออฟเซต็ ความหลากหลายทางชวี ภาพ (Biodiversity Offset) การจ่ายค่าบริการส�ำหรบั ระบบนเิ วศ (Payment for Ecosystem Services) ซงึ่ เปน็ กลไกตามหลักการผู้ได้ประโยชน์เป็นผู้จ่าย (Beneficiary-Pays Principle) หรือการจ่ายเพื่อ ป้องกนั พื้นทีล่ มุ่ น�ำ้ (Watershed Protection Payments) และตลาดซอื้ ขายคารบ์ อนเครดิต ที่ได้จากป่าไม้ (Forest Carbon Market) ส�ำหรับกลไกทางอ้อมนั้น ภาระตกอยู่ท่ีผู้บริโภค เนอ่ื งจากผบู้ รโิ ภคตอ้ งรบั ภาระในการจา่ ยคา่ ธรรมเนยี มจากผลติ ภณั ฑต์ า่ ง ๆ ทผ่ี า่ นกระบวนการ ผลิตซงึ่ เปน็ มิตรกับป่าไม้ เช่น เนือ้ ไมท้ ่ีผา่ นการรับรองมาตรฐาน (Certified Timber) สนิ คา้ ท่ี เปน็ มติ รกบั สง่ิ แวดลอ้ ม (Green Commodities) และคา่ ธรรมเนยี มจากการทอ่ งเทยี่ วเชงิ นเิ วศ (Ecotourism) ตัวอย่างของแหล่งรายได้อื่น ๆ ที่ไม่ได้เก่ียวข้องกับป่าไม้โดยตรง (Non-Forest based revenue) นัน้ ประกอบดว้ ย ค่าธรรมเนยี มหรือภาษสี นามบนิ (Aviation Levy) ภาษี การเดินเรอื และขนสง่ ทางทะเล (Maritime Levy) ภาษีเบย้ี ประกนั ภัย (Levy on Insurance Premiums) งบประมาณแผ่นดนิ (General Budget Allocation) และเงินชว่ ยเหลอื จากต่าง ประเทศ (Overseas Development Assistance, ODA) สำ� หรบั องคป์ ระกอบทสี่ อง เรอ่ื งรปู แบบองคก์ รทงั้ องคก์ รภาครฐั องคก์ รภาคเอกชน (เชน่ ธนาคารพาณชิ ย)์ หรอื ธนาคารเพอ่ื การพฒั นาระหวา่ งประเทศ (Multilateral Development Bank) สามารถเป็นผู้ออกพันธบัตรป่าไม้ได้ ส่วนรูปแบบในการบริหารจัดการรายรับที่ใช้ เพ่ือช�ำระดอกเบี้ยและเงินต้นให้กับผู้ถือครองพันธบัตรนั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ประเภท On Balance Sheet และประเภท Off Balance Sheet ส�ำหรับประเภท On Balance Sheet นัน้ รายรับที่เกบ็ เพอื่ ชำ� ระดอกเบีย้ และเงนิ ต้นให้กับผซู้ ื้อพันธบตั รจะปรากฏ อยใู่ นงบดลุ ขององคก์ รทอี่ อกพนั ธบตั ร ในกรณที ผ่ี อู้ อกพนั ธบตั รไมส่ ามารถชำ� ระคนื เงนิ ตน้ หรอื ดอกเบ้ยี ได้ตามกำ� หนด ผ้ซู อ้ื พนั ธบัตรสามารถอ้างหรือเรียกร้องสทิ ธใิ นแหล่งรายได้อ่นื ๆ ของ องคก์ รทอี่ อกพนั ธบตั ร ดงั นนั้ สถานะความเสย่ี ง (Risk Profile) ของพนั ธบตั รปา่ ไมจ้ งึ สอดคลอ้ ง กบั สถานะความเสยี่ งของผอู้ อกพนั ธบตั ร สว่ นรปู แบบในการบรหิ ารจดั การประเภท Off Balance Sheet นน้ั มกี ารเคลอ่ื นยา้ ยรายรบั ทจ่ี ดั เกบ็ เพอื่ ชำ� ระดอกเบยี้ และเงนิ ตน้ ไปยงั นติ บิ คุ คลเฉพาะกจิ (Special Purpose Entity, SPE) ซง่ึ องค์กรดังกล่าวจะเปน็ ผูท้ �ำหน้าที่ออกพนั ธบัตรป่าไม้ 72

พลิกฟื้นผนื ป่าด้วยพันธบัตรปา่ ไม้ ส่วนองค์ประกอบท่ีสามของโครงสร้างพันธบัตรป่าไม้คือการน�ำเงินไปสนับสนุน กจิ กรรมภาคปา่ ไมน้ นั้ สง่ิ ทคี่ วรคำ� นงึ ถงึ คอื รปู แบบในการสนบั สนนุ ทางดา้ นการเงนิ แกก่ จิ กรรม ภาคป่าไม้ และการคัดเลือกกิจกรรมหรือผู้ประกอบการท่ีควรได้รับการสนับสนุนทางด้าน การเงิน ท้ังน้ี รูปแบบที่ใช้ในการให้การสนับสนุนทางการเงินควรจะสอดคล้องกับกลไกท่ีใช้ ในการจัดเก็บรายได้เพ่ือช�ำระดอกเบ้ียและเงินต้นให้แก่ผู้ซื้อพันธบัตรป่าไม้ และรูปแบบของ องคก์ รท่ีดแู ลด้านการเงนิ และท�ำหน้าท่ีรบั ผิดชอบด้านการออกพนั ธบตั รปา่ ไม้ รูปแบบกลไกพนั ธบัตรป่าไมข้ องต่างประเทศ ประเทศชลิ ี สำ� หรบั พฒั นาการทางดา้ นการบรหิ ารจดั การปา่ ไมใ้ นประเทศชลิ นี นั้ ไดเ้ รมิ่ โครงการ น�ำร่องในปี พ.ศ. 2543 โดยสถาบัน Sociedad Inversora Forestal (SIF) เป็นผู้ริเร่ิมและ บริหารจัดการ และได้รับการสนับสนุนจาก Fundación Chile โดยลงทุนเบ้ืองต้นเป็นเงิน จ�ำนวน 4.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเช่าสิทธิในการใช้ประโยชน์ที่ดินจากเจ้าของท่ีดินเอกชน ทง้ั ทดี่ นิ ขนาดเลก็ และทดี่ นิ ขนาดกลาง ภายใตโ้ ครงการดงั กลา่ วน้ี ไดม้ กี ารเขา้ ครอบครองพน้ื ที่ ป่าท่ีมีอยู่แล้วจ�ำนวน 4,600 เฮกตาร์ และปลูกป่าใหม่คิดเป็นพ้ืนที่จ�ำนวน 3,100 เฮกตาร์ ในเดอื นพฤศจกิ ายน พ.ศ. 2545 สถาบนั SIF ไดอ้ อกพนั ธบตั รปา่ ไมม้ ลู คา่ 13 ลา้ นดอลลารส์ หรฐั ระยะไถถ่ อน 10 ปี ใหด้ อกเบี้ยในอัตรารอ้ ยละ 8 (ช�ำระเปน็ สกุลเงนิ ดอลลาร์สหรฐั ) โดยได้รับ การสนบั สนนุ จาก Production Development Corporation (CORFO) และกระทรวงเกษตร ของประเทศชิลี วัตถุประสงค์ของการออกพันธบัตรป่าไม้คร้ังนี้ก็เพ่ือจัดการกับความต้องการ ของผถู้ ือครองท่ีดนิ เพ่อื การเกษตรรายยอ่ ยซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศท่ีตอ้ งการเหน็ การนำ� ที่ดินไปใช้ประโยชน์และให้ผลตอบแทน พันธบัตรดังกล่าวมีกระแสเงินสดจากป่าไม้และที่ดิน ซ่ึงสถาบัน SIF ใช้ปลูกยูคาลิปตัสและป่าสนประเภท Insignis เป็นสินทรัพย์ค�้ำประกัน โดย คาดว่ากระแสเงินสดดังกล่าวจะมาจากสิทธิในการเก็บผลผลิตจากป่าสนประเภท Insignis ซึง่ อยใู่ นพ้นื ทีเ่ ขต 7 และ 8 ของประเทศ ชิลไี ดร้ บั การจดั อันดบั ความน่าเช่ือถือในระดับ AA- และ A+ 73

บทท่ี 4 การท�ำงานของพันธบัตรปา่ ไม้ ประเทศบราซิล ประเทศบราซลิ เปน็ ประเทศกำ� ลงั พฒั นาซงึ่ มศี กั ยภาพในการดำ� เนนิ การตามนโยบาย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการท�ำลายป่าและความเส่ือมโทรมของป่าหรือ Reducing Emission from Deforestation and Forest Degradation in Developing Countries (REDD) ซง่ึ มแี นวคดิ วา่ การดแู ลรกั ษาปา่ จะกอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ สงิ่ แวดลอ้ มโดยรวมของโลก ดังน้ัน ผู้ที่ดูแลรักษาป่าควรจะได้รับค่าตอบแทนเพื่อเป็นกลไกที่สร้างแรงจูงใจเชิงบวกในการ รักษาป่า (มูลนิธิโลกสีเขียว, 2554) ประเทศบราซิลสามารถลดการท�ำลายป่าไม้ลงได้ถึง รอ้ ยละ 67 เมือ่ เทยี บกับปพี .ศ. 2548 และตัง้ เป้าท่ีจะลดการทำ� ลายป่าให้ได้รอ้ ยละ 71 ภายใน ปีพ.ศ. 2560 ค�ำถามท่ีตามมาคือ ประเทศบราซิลจะระดมทุนจากแหล่งใดเพอ่ื น�ำมาสนับสนนุ กจิ กรรมดแู ลรกั ษาปา่ มกี ารพจิ ารณาความเปน็ ไปไดท้ จ่ี ะนำ� พนั ธบตั รปา่ ไมม้ าใชใ้ นการระดมทนุ อยา่ งไรกต็ าม ในปจั จบุ นั ประเทศบราซลิ ยงั ไมม่ กี ารออกพนั ธบตั รปา่ ไมเ้ พอื่ ระดมทนุ สนบั สนนุ กิจกรรมภาคปา่ ไม้ ถึงแม้วา่ ทาง Global Canopy Programme ไดม้ ีการศกึ ษารปู แบบในการ ออกพนั ธบตั รไวพ้ อสมควรแลว้ ดงั นี้ รูปแบบการด�ำเนินการพันธบัตรป่าไม้ของประเทศบราซิลเน้นการระดมทุนจาก ภาคเอกชน โดยใช้รปู แบบการด�ำเนนิ การพนั ธบัตรป่าไม้รูปแบบท่ี 1 ซึ่งมแี นวทางการจดั เก็บ รายรบั จากผซู้ อ้ื บรกิ ารของระบบนเิ วศหรอื ผไู้ ดป้ ระโยชนจ์ ากบรกิ ารของระบบนเิ วศ11 เพอื่ นำ� มา จ่ายผลตอบแทนให้นักลงทุน และท�ำการระดมทุนจากนักลงทุนภาคเอกชนและการระดมทุน จากรายได้อ่ืนของภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีผู้ออกพันธบัตรเป็นผู้บริหารจัดการ และ มีเงินสนับสนุนกิจกรรมการอนุรักษ์ป่าไม้ในพ้ืนท่ีเพ่ือให้มีการบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน ดงั รายละเอยี ดในภาพท่ี 4.3 สว่ นรปู แบบการดำ� เนนิ การพนั ธบตั รปา่ ไมร้ ปู แบบท่ี 2 นนั้ มแี นวทางการนำ� เงนิ ทไี่ ด้ เพ่ือการสนับสนุนกิจกรรมด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า โดยมีการระดมทุนจากเงินช่วยเหลือ จากภาครฐั และเอกชนในตา่ งประเทศซงึ่ กำ� หนดระยะเวลาดำ� เนนิ โครงการมาเปน็ ผลตอบแทน คืนให้นักลงทุน โดยมีหน่วยงานบริหารจัดการเป็นองค์กรการเงินระหว่างประเทศด้านป่าไม้ (International Finance Facility for forest: IFF) ดังรายละเอียดในภาพที่ 4.4 11 บริการของระบบนิเวศ หมายถึง บทบาทหน้าท่ีของระบบนิเวศป่าไม้ในการเป็นแหล่งต้นน�้ำ อนุรักษ์ดินและน้�ำ เปน็ แหลง่ ความหลากหลายทางชวี ภาพ เปน็ พนื้ ทป่ี า่ ทม่ี ภี มู ทิ ศั นส์ วยงามและเปน็ แหลง่ กกั เกบ็ และดดู ซบั คารบ์ อน 74

พลกิ ฟ้ืนผืนปา่ ด้วยพนั ธบัตรป่าไม้ รูปะบบท่ย 1 นัก งทนุ ดอกเบยย้ เงนิ ต้น การออกพนั ธบัตร ผอู้ อกพันธบตั ร เงินสนภับาสคนปุน่ากไมจิ ้ กรรม สกำาาหรจรับา่ ยรคอบ่าบบรนกิ เิ วารศ รายได้อ่ืนๆ ผ ตอบงะททุนนการ รฐั บา ปรอำาำน ผ้ทู ่ซย ้ือบรกิ ารของ ภาคธุรกจิ รอบบนเิ วศ ภาพท่ี 4.3 รูปแบบในการออกพนั ธบัตรของ Global Canopy Programme รูปแบบท่ี 1 ทม่ี า: Global Canopy Programme (2011) รูปะบบท่ย 2 ดอกเบ้ยย นัก งทุน เงนิ ตน้ การออกพนั ธบตั ร IFF for Forests เงินสนภบั าสคนปุนา่ กไมจิ ้กรรม เงินำว่ ยเห อื จากตา่ งปรอเทศ หรือรายได้อ่นื ๆ รัฐบา ปรอำาำน ภาคธุรกิจ ภาพท่ี 4.4 รปู แบบในการออกพนั ธบตั รของ Global Canopy Programme รปู แบบท่ี 2 ท่ีมา: Global Canopy Programme (2011) 75

บทท่ี 4 การทำ� งานของพันธบตั รปา่ ไม้ สำ� หรบั รปู แบบพนั ธบตั รปา่ ไมร้ ปู แบบที่ 3 คลา้ ยกบั รปู แบบที่ 1 ทมี่ กี ารจดั เกบ็ รายรบั จากผู้ได้ประโยชน์จากบริการของระบบนิเวศเพ่ือจ่ายดอกเบ้ียให้กับนักลงทุน โดยรูปแบบน้ี มกี ารระดมทนุ จากแหลง่ เดยี ว ไมม่ เี งนิ ทนุ จากแหลง่ รายไดอ้ นื่ เชน่ เดยี วกบั รปู แบบที่ 1 การบรหิ าร จัดการพันธบัตรกระท�ำโดยการจัดตั้งองค์กรบริหารจัดการด้านการเงินส�ำหรับภาคป่าไม้เพื่อ ดแู ลเงนิ ทไี่ ดจ้ ากผซู้ อื้ บรกิ ารทชี่ ำ� ระหนมี้ าจา่ ยคนื เปน็ ดอกเบย้ี ใหน้ กั ลงทนุ และใหเ้ งนิ สนบั สนนุ กิจกรรมการอนรุ กั ษป์ ่าไม้ ดงั รายละเอียดในภาพท่ี 4.5 รปู ะบบท่ย 3 นกั งทุน ดอกเบยย้ เงนิ ต้น การออกพันธบตั ร องค์กรบรหิ ารจัดการ เงินสนภบั าสคนปุน่ากไมิจ้ กรรม ด้านการเงนิ สาำ หรับ การำาำ รอหนย้ ภาคปา่ ไม้ การจา่ ยค่าบรกิ าร สำาหรบั รอบบนเิ วศ ผู้ทยซ่ ื้อบริการของ รอบบนิเวศ ภาพท่ี 4.5 รูปแบบในการออกพันธบตั รของ Global Canopy Programme รูปแบบท่ี 3 ทม่ี า: Global Canopy Programme (2011) รูปแบบการด�ำเนินการพันธบัตรป่าไม้รูปแบบท่ี 4 มีการระดมทุนจากนักลงทุน ที่สนใจ โดยการจัดเก็บรายรับจากผู้ซ้ือบริการของระบบนิเวศหรือผู้ได้ประโยชน์จากบริการ ของระบบนิเวศเพื่อจ่ายเป็นค่าตอบแทนให้นักลงทุน โดยมีองค์กรบริหารจัดการด้านการเงิน สำ� หรับภาคป่าไม้ท�ำหน้าท่ดี ูแลเงิน และน�ำเงินทไี่ ดเ้ พ่ือการสนับสนุนกิจกรรมดา้ นการอนุรักษ์ และฟน้ื ฟปู า่ ซงึ่ คลา้ ยกบั รปู แบบพนั ธบตั รปา่ ไมร้ ปุ แบบท่ี 3 ทมี่ กี ารใชพ้ นั ธบตั รปา่ ไมเ้ ปน็ สนิ ทรพั ย์ ค�้ำประกนั ดังรายละเอยี ดในภาพที่ 4.6 76

พลกิ ฟน้ื ผนื ปา่ ด้วยพันธบัตรป่าไม้ 4 ภาพที่ 4.6 รูปแบบในการออกพันธบัตรของ Global Canopy Programme รูปแบบท่ี 4 ที่มา: Global Canopy Programme (2011) รูปแบบการด�ำเนินการพันธบัตรป่าไม้รูปแบบท่ี 5 มีการระดมทุนจากนักลงทุน ซึ่งมีหน่วยงานภาครัฐโดยกระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานบริหารจัดการในการจัดเก็บภาษี และรายได้อื่น ๆ ซ่ึงน�ำเงินท่ีได้จากการจัดเก็บรายได้จากภาครัฐและภาคเอกชนจ่ายเป็น คา่ ตอบแทนใหก้ บั นกั ลงทนุ และมหี นว่ ยงานภาครฐั โดยกระทรวงการคลงั เปน็ หนว่ ยงานบรหิ าร จัดการในการจัดเก็บภาษีและรายได้อื่น ๆ และน�ำเงินที่ได้ส่วนหน่ึงสนับสนุนกิจกรรมการ อนุรักษ์และฟนื้ ปูพื้นทป่ี ่าไม้ ดงั รายละเอยี ดในภาพที่ 4.7 รปู แบบพนั ธบตั รปา่ ไม้รูปแบบท่ี 6 คลา้ ยกับรปู แบบท่ี 1 ทม่ี ีการจดั เกบ็ รายรับจาก ผไู้ ดป้ ระโยชนจ์ ากบรกิ ารของระบบนเิ วศเพอื่ นำ� มาจา่ ยผลตอบแทนใหน้ กั ลงทนุ แตร่ ปู แบบท่ี 6 เป็นการระดมทุนจากหลายแหล่งร่วมกัน (Corporate Bond) เช่น เงินลงทุนรูปแบบต่าง ๆ ของธนาคาร และนักลงทุนทั่วไป ซึ่งอาจให้เงินสนับสนุนเป็นช่วงระยะเวลาแบบต่อเนื่องเพ่ือ สนับสนุนการท�ำกิจกรรมการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้ โดยมีธนาคารเพื่อการพัฒนาระหว่าง ประเทศเป็นองค์กรบริหารจัดการพันธบัตรป่าไม้ ซ่ึงมีล�ำดับความน่าเชื่อถือค่อนข้างสูง แตพ่ นั ธบตั รรปู แบบนีจ้ ะมคี วามเส่ยี งสงู กว่าพนั ธบตั รรัฐบาล ดงั รายละเอียดในภาพท่ี 4.8 77

บทที่ 4 การท�ำงานของพันธบตั รปา่ ไม้ 5 / ภาพท่ี 4.7 รูปแบบในการออกพันธบตั รของ Global Canopy Programme รูปแบบท่ี 5 ทม่ี า: Global Canopy Programme (2011) 6 ภาพที่ 4.8 รปู แบบในการออกพันธบตั รของ Global Canopy Programme รปู แบบที่ 6 ทม่ี า: Global Canopy Programme (2011) 78

พลิกฟ้นื ผืนป่าด้วยพนั ธบัตรปา่ ไม้ ในการศกึ ษาของ Global Canopy Programme ไดม้ กี ารพจิ ารณาความเปน็ ไปได้ ท่ีประเทศบราซิลจะใช้พันธบัตรป่าไม้เป็นกลไกในการระดมทุนเพื่อสนับสนุนกิจกรรมอนุรักษ์ และดูแลป่าไม้ โดยท่ี Global Canopy Programme ได้วิเคราะห์แต่ละคุณลักษณะของ พันธบัตรป่าไม้ในบริบทของประเทศบราซิล ผลจากการวิเคราะห์ พบว่าความน่าเชื่อถือของ ประเทศบราซิลอยู่ท่ีระดับ BBB- ซึ่งหมายความว่าควรเพิ่มเครดิตให้ตราสารหนี้ประเภท พนั ธบัตรปา่ ไม้ และมอี ตั ราผลตอบแทนทนี่ ักลงทนุ คาดว่าจะได้รับจากการลงทนุ ของพันธบัตร รฐั บาลบราซลิ อยทู่ ร่ี ะดบั รอ้ ยละ 6 ซงึ่ อตั ราผลตอบแทนดงั กลา่ วตำ่� กวา่ ผลตอบแทน (Internal Rate of Return, IRR) ของกิจกรรมภาคป่าไมแ้ ละวนเกษตรบางประเภท (ตารางท่ี 4.1) กล่าวโดยสรุป ประเทศบราซิลมีศักยภาพในการออกพันธบัตรป่าไม้ และใช้กลไก ดังกล่าวในการระดมเงินทุนจ�ำนวนค่อนข้างมากจากภาคเอกชนเพื่อน�ำมาสนับสนุนกิจกรรม อนรุ กั ษ์ ดแู ล และรกั ษาปา่ ไม้ เงนิ ทนุ ทร่ี ะดมไดผ้ า่ นกลไกนส้ี ามารถชว่ ยลดชอ่ งวา่ งทางการเงนิ หรือช่วยลดภาระทางการคลังของภาครัฐ ซึ่งเกิดจากการด�ำเนินโครงการอนุรักษ์และดูแล ปา่ ไม้แบบยั่งยืน (Sustainable Forestry Initiatives) ตารางที่ 4.1 การวิเคราะหค์ ุณลกั ษณะของพนั ธบตั รปา่ ไม้ในบรบิ ทของประเทศบราซลิ คณุ ลกั ษณะของพนั ธบัตรป่าไม้ บรบิ ทของประเทศบราซิล ลำ� ดับความน่าเช่อื ถือ ความน่าเชื่อถือของประเทศบราซิลอยู่ที่ระดับ BBB- ดังนั้น เพื่อ (Credit rating) เสริมสร้างความสนใจในการลงทุนของนักลงทุนสถาบัน ควรท่ีจะ มีการเพ่ิมเครดิตให้ตราสารหนี้ประเภทพันธบัตรป่าไม้ (Credit enhancement) สภาพคลอ่ ง (Liquidity) มีการต้ังข้อสังเกตว่าประเทศบราซิลมีความสามารถในการออก พนั ธบตั รป่าไม้ซึ่งมี national principle ขนาด 5 พนั ลา้ นดอลลาร์ สหรฐั ไดห้ รอื ไม่ อตั ราผลตอบแทนที่นักลงทนุ อตั ราผลตอบแทนของพันธบตั รรัฐบาลบราซิลอยู่ทีร่ ะดบั รอ้ ยละ 6 คาดวา่ จะไดร้ บั จากการลงทนุ (Yield) ซึ่งอัตราผลตอบแทนดังกล่าวต่�ำกว่าผลตอบแทน (Internal Rate of Return, IRR) ของกจิ กรรมภาคปา่ ไมแ้ ละวนเกษตรบางประเภท ทม่ี า: Global Canopy Programme (2011) 79

บทท่ี 4 การท�ำงานของพันธบตั รป่าไม้ ประเทศสหรฐั อเมรกิ า Forum for the Future and EnviroMarket ได้ท�ำการศึกษารูปแบบในการ ออกพันธบัตรป่าไม้ ซึ่งจากผลการศึกษาได้แบ่งรูปแบบของการออกพันธบัตรป่าไม้ออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่ 1) พนั ธบตั รทม่ี รี ายรบั จากการใหส้ มั ปทานปา่ ไมข้ องภาครฐั เพอื่ จา่ ยเปน็ ผลตอบแทน ให้กบั นกั ลงทุน 2) พนั ธบตั รทม่ี กี ลมุ่ สนิ ทรพั ยท์ เี่ กย่ี วขอ้ งกบั โครงการดแู ลและจดั การปา่ ไมแ้ บบยงั่ ยนื เปน็ ผลตอบแทนจา่ ยใหก้ ับนักลงทุน 3) พันธบัตรที่มีสินเช่ือซ่ึงธนาคารพาณิชย์ให้กับโครงการดูแลและจัดการป่าไม้ แบบยั่งยนื เปน็ ผลตอบแทนจ่ายใหก้ ับนักลงทนุ 4) พันธบตั รทไ่ี มม่ กี ารจา่ ยผลตอบแทนหรือดอกเบ้ยี ใหก้ ับผู้ถอื เปน็ รายงวด รปู แบบพนั ธบตั รปา่ ไมข้ องประเทศสหรฐั อเมรกิ าเปน็ การระดมทนุ จากองคก์ รภาครฐั และภาคเอกชน โดยมกี ารจดั ตงั้ นติ บิ คุ คลเฉพาะกจิ เปน็ องคก์ รกลางในการทำ� หนา้ ทบ่ี รหิ ารจดั การ ด้านการเงินและออกพนั ธบัตรป่าไม้ (Forum for the Future and EnviroMarket, 2007) ดงั รายละเอยี ดต่อไปน้ี รปู แบบการออกพนั ธบตั รปา่ ไมข้ อง Forum for the Future and EnviroMarket ประเภทท่ี 1 เปน็ การออกพนั ธบตั รโดยจดั เกบ็ รายไดจ้ ากการใหส้ มั ปทานของภาครฐั ซงึ่ อาจเปน็ รฐั สว่ นกลางหรอื รฐั สว่ นทอ้ งถน่ิ เพอื่ จา่ ยเปน็ ผลตอบแทนใหก้ บั นกั ลงทนุ ในตลาดทนุ โดยรายรบั ท่ีได้ข้ึนอยู่กับการจัดการป่าไม้อย่างย่ังยืน ที่ภาครัฐอาจมีการเพ่ิมทุนโดยจัดเก็บค่าภาคหลวง หรือค่าธรรมเนียมจากการให้สัมปทานเพิ่ม ท้ังน้ี จะมีหน่วยนิติบุคคลเฉพาะกิจเป็นองค์กร ในการบรหิ ารจดั การออกพนั ธบตั ร และจา่ ยคา่ ตอบแทนใหแ้ กน่ กั ลงทนุ โดยรฐั อาจใหส้ ทิ ธทิ าง กฎหมายแกห่ น่วยนติ ิบคุ คลเฉพาะกจิ ในการพัฒนาการหารายไดจ้ ากพื้นทปี่ ่าได้ เช่น โครงการ ขายคารบ์ อนจากการเปน็ แหล่งกกั เก็บและดูดซับคารบ์ อน (ภาพท่ี 4.9) 80

พลิกฟื้นผนื ปา่ ดว้ ยพันธบัตรปา่ ไม้ 1 / (SPV) ภาพที่ 4.9 รปู แบบในการออกพันธบตั รของ Forum for the Future and EnviroMarket ประเภทท่ี 1 ทมี่ า: Forum for the Future and EnviroMarket (2007) ส�ำหรับรูปแบบการออกพันธบัตรป่าไม้ประเภทที่ 2 เป็นการออกพันธบัตรโดย จดั เกบ็ รายไดจ้ ากผไู้ ดร้ บั ประโยชนจ์ ากปา่ ทง้ั ทางตรงและทางออ้ มทมี่ กี ารจดั การปา่ แบบยง่ั ยนื ไม่ว่าจะเป็นระดับภายในประเทศหรือระดับนานาชาติที่มีการส่งออกผลิตภัณฑ์ไม้ไปขายยัง ต่างประเทศ โดยมีองค์กรนิติบุคคลเฉพาะกิจเป็นผู้ออกพันธบัตรและจ่ายผลตอบแทนให้กับ นกั ลงทนุ ทรี่ ว่ มระดมทนุ ในตอนแรก ผลตอบแทนทจี่ ดั เกบ็ สำ� หรบั รปู แบบที่ 2.1 นเี้ ปน็ รายไดเ้ ฉพาะ จากการขายเนื้อไม้ และรายได้จากผู้ได้ประโยชน์จากป่าและระบบนิเวศของป่า แต่รูปแบบ ท่ี 2.2 จะรวมรายได้จากการส่งออกเน้ือไม้ไปต่างประเทศด้วย (ภาพที่ 4.10 ประเภทที่ 2.1 และประเภทท่ี 2.2) 81

บทท่ี 4 การทำ� งานของพันธบัตรปา่ ไม้ (SPV) (PES) 2.1 Senior note 2.2 Junior note (SPV) Senior note (PES) Junior note ภาพที่ 4.10 รูปแบบในการออกพันธบัตรประเภทของ Forum for the Future and EnviroMarket ประเภทที่ 2 ทีม่ า: Forum for the Future and EnviroMarket (2007) 82

พลิกฟืน้ ผืนป่าด้วยพนั ธบตั รป่าไม้ รปู แบบการออกพนั ธบตั รปา่ ไมป้ ระเภทท่ี 3 เปน็ การออกพนั ธบตั รโดยจดั เกบ็ รายได้ จากสินเชื่อซึ่งธนาคารพาณิชย์ให้กับโครงการที่มีการจัดการป่าไม้แบบยั่งยืนเป็นผลตอบแทน จ่ายให้กับนักลงทุน โดยมีองค์กรที่เป็นนิติบุคคลเฉพาะกิจที่เป็นผู้ออกพันธบัตรและจ่ายผล ตอบแทนใหก้ บั นกั ลงทนุ ทซี่ อ้ื พนั ธบตั รปา่ ไม้ ซงึ่ นกั ลงทนุ มี 2 ระดบั คอื นกั ลงทนุ ทซ่ี อ้ื พนั ธบตั ร และมกี ารขาดทนุ เรม่ิ แรก (Junior note) กบั นกั ลงทนุ ทม่ี กี ารเพมิ่ เครดติ ใหต้ ราสารหน้ี (Senior note) ซงึ่ จะไดร้ บั ผลตอบแทนในอตั ราทแี่ ตกตา่ งกนั ทงั้ นผ้ี รู้ บั บรกิ ารการกยู้ มื เงนิ เพอ่ื ดแู ลรกั ษา ป่าไม้จะสามารถกู้ยืมเงินก้อนใหม่เพื่อไปใช้คืนยอดเงินกู้เดิมจากธนาคารพาณิชย์ท่ีให้บริการ กู้ยมื ส�ำหรับผ้ตู อ้ งการท�ำโครงการอนุรักษแ์ ละฟน้ื ฟูปา่ อย่างยั่งยนื (ภาพที่ 4.11) 3 (Refinancing of loans) Servicer (SPV) Senior note (Credit enhancement) Junior note ภาพที่ 4.11 รูปแบบในการออกพันธบัตรประเภทของ Forum for the Future and EnviroMarket ประเภทที่ 3 ทีม่ า: Forum for the Future and EnviroMarket (2007) 83


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook