ส�ำ นกั ง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนุษยชนแห่งช�ติ พนักงานอัยการเพื่อฟ้องคดีต่อศาลภายในสี่สิบแปดชั่วโมงนับแต่ได้ตัวผู้ กระทำาความรุนแรงในครอบครัว (๘) แต่หากมีเหตุจำาเป็นทำาให้ไม่อาจยื่นฟ้องได้ทัน ภายในกำาหนดเวลาดังกล่าว ให้ขอผัดฟ้องต่อศาลได้คราวละไม่เกินหกวัน แต่ทั้งนี้ ต้องไม่เกินสามคราวโดยให้นำากฎหมายว่าด้วยการจัดต้ังศาลแขวง และวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับโดยอนุโลม (๙) ในกรณีที่การกระทำาความผิดตามมาตรา ๔ วรรคหนงึ่ เปน็ ความผดิ กรรมเดยี วกบั ความผดิ ตามกฎหมายอนื่ ใหด้ าำ เนนิ คดี ความผิดตามมาตรา ๔ วรรคหนึ่ง ต่อศาลรวมไปกับความผิดตามกฎหมาย อื่นนั้น เว้นแต่ความผิดตามกฎหมายอื่นน้ันมีอัตราโทษสูงกว่า ให้ดาำ เนินคดี ตอ่ ศาลทมี่ อี าำ นาจพจิ ารณาความผดิ ตามกฎหมายอนื่ นนั้ โดยใหน้ าำ บทบญั ญตั ิ ทั้งหลายแห่ง พ.ร.บ. นี้ไปใช้บังคบั โดยอนโุ ลม (๑๐) ในการสอบปากคำาผู้ถูกกระทำาด้วยความรุนแรง ในครอบครัว พนกั งานสอบสวนต้องจดั ให้มีจิตแพทย์ นกั จิตวิทยา นกั สังคม สงเคราะห์ หรอื บคุ คลทผี่ ถู้ กู กระทำาดว้ ยความรนุ แรงในครอบครวั รอ้ งขอรว่ ม อยู่ด้วยในขณะสอบปากคาำ เพือ่ ให้คำาปรึกษา (๑๑) ในกรณีจำาเป็นเร่งด่วน ซึ่งมีเหตุอันควร ไม่อาจ รอจิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ หรือบุคคลที่ผู้ถูกกระทำา ดว้ ยความรนุ แรงในครอบครวั รอ้ งขอ ใหพ้ นกั งานสอบสวนทำาการสอบปากคาำ ไปก่อนโดยไม่ต้องมบี คุ คลดงั กลา่ วร่วมอยู่ด้วย แต่ต้องบนั ทึกเหตทุ ีไ่ มอ่ าจรอ บคุ คลดังกล่าวไว้ในสาำ นวนการสอบสวน หลักเกณฑ์และวิธีการดำาเนินการของพนักงานสอบสวน ให้เป็นไปตามระเบียบที่รฐั มนตรีประกาศกาำ หนด 177
ค่ม ก�ร ิ ัติง�น ง �หน�ทต�ำ ร ต�มห กั สิทธิมนษุ ยชน (๑๒) เมื่อมีการแจ้งตามมาตรา ๕ หรือมีการร้องทุกข์ ตามมาตรา ๖ แหง่ พ.ร.บ. คมุ้ ครองผถู้ กู กระทาำ ดว้ ยความรนุ แรงในครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๐ แล้ว ห้ามมิให้ผู้ใดลงพิมพ์โฆษณา หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชน ดว้ ยวธิ ใี ดๆ ซงึ่ ภาพ เรอื่ งราว หรอื ขอ้ มลู ใดๆ อนั นา่ จะทำาใหเ้ กดิ ความเสยี หาย แก่ผู้กระทำาความรุนแรงในครอบครัว หรือผู้ถูกกระทำาด้วยความรุนแรง ในครอบครวั ในคดีตาม พ.ร.บ. นี้ (๑๓) ในการดำาเนินการตามมาตรา ๘ ให้พนักงาน เ จ้ า ห น้ า ที่ ซึ่ ง มี ฐ า น ะ เ ที ย บ ไ ด้ ไ ม่ ต่ำ า ก ว่ า พ นั ก ง า น ฝ่ า ย ป ก ค ร อ ง ห รื อ ตำารวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและได้รับ มอบหมายจากรัฐมนตรีมีอำานาจออกคำาสั่งกำาหนดมาตรการหรือวิธีการ เพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่บุคคลผู้ถูกกระทำาด้วยความรุนแรงในครอบครัว เป็นการช่ัวคราว ไม่ว่าจะมีคำาร้องขอจากบุคคลดังกล่าวหรือไม่ โดยให้มี อำานาจออกคำาสั่งใดๆ ได้เท่าที่จำาเป็นและสมควร ซึ่งรวมถึงการให้ผู้กระทาำ ความรุนแรงในครอบครัวเข้ารับการตรวจรักษาจากแพทย์ การให้ผู้กระทาำ ความรุนแรงในครอบครัวชดใช้เงินช่วยเหลือบรรเทาทุกข์เบื้องต้น ตามสมควรแก่ฐานะ การออกคำาส่ังห้ามผู้กระทำาความรุนแรงในครอบครัว เข้าไปในที่พำานักของครอบครัว หรือเข้าใกล้ตัวบุคคลใดในครอบครัว ตลอดจนการกาำ หนดวิธีการดแู ลบตุ ร (๑๔) เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ออกคำาสั่งกำาหนด มาตรการ หรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้เสนอมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ ต่อศาลภายในสี่สิบแปดชั่วโมงนับแต่วันออกคำาสั่งกำาหนดมาตรการ หรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ หากศาลเห็นชอบกับคำาสั่งกำาหนดมาตรการ หรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ดังกล่าว ให้คำาส่ังกำาหนดมาตรการหรือวิธีการ เพื่อบรรเทาทุกข์มีผลต่อไป 178
สำ�นักง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนษุ ยชนแห่งช�ติ (๑๕) ในกรณีที่ศาลไม่เห็นชอบด้วยกับคำาสั่งกำาหนด มาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือมี ข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไป ให้ศาลทำาการไต่สวน และมีคำาสั่งโดยพลัน หากข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์เพียงพอแก่การ วินิจฉัยออกคำาสั่ง ศาลอาจแก้ไขเพิ่มเติม เปลี่ยนแปลง หรือเพิกถอนคาำ สั่ง กำาหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์หรือออกคำาส่ังใดๆ รวมทั้ง กาำ หนดเงื่อนไขเพิ่มเติมก็ได้ (๑๖) ผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับคำาสั่งของพนักงาน เจ้าหน้าที่หรือศาลตามมาตรานี้ สามารถยื่นอุทธรณ์คำาสั่งเป็นหนังสือ ขอใหศ้ าลทบทวนคาำ สงั่ ไดภ้ ายใน สามสบิ วนั นบั แตท่ ราบคาำ สง่ั ใหค้ าำ พพิ ากษา หรือคาำ สัง่ ของศาลเปน็ ที่สุด (๑๗) ในระหว่างการสอบสวนหรือการพิจารณาคดี ให้ศาลมีอำานาจออกคำาส่ังกำาหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ ตามมาตรา ๑๐ แห่ง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระทำาด้วยความรุนแรง ในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ หรือออกคาำ สั่งใดๆ ได้ตามทีเ่ ห็นสมควร (๑๘) ในกรณีที่เหตุการณ์หรือพฤติการณ์เกี่ยวกับ ผู้กระทำาความรุนแรงในครอบครัว หรือผู้ถูกกระทำาด้วยความรุนแรง ในครอบครัวเปลี่ยนแปลงไป ศาลมีอำานาจแก้ไขเพิ่มเติม เปลี่ยนแปลง หรือเพิกถอนคาำ สง่ั กำาหนดมาตรการหรือวิธีการเพือ่ บรรเทาทกุ ข์ หรือคาำ สั่ง ใดๆ รวมทั้งกำาหนดเงื่อนไขเพิม่ เติมก็ได้ (๑๙) ในกรณีที่มีการยอมความ การถอนคำาร้องทุกข์ หรือการถอนฟ้องในความผิดตามมาตรา ๔ ให้พนักงานสอบสวนหรือศาล แล้วแต่กรณี จัดให้มีการทำาบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นก่อนการยอมความ การถอนคำาร้องทุกข์ หรือการถอนฟ้องน้ัน และกำาหนดให้นำาวิธีการตาม วรรคหนึ่งเป็นเงื่อนไขในการปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวโดยอนุโลม 179
ค่ม ก�ร ิ ัติง�น ง �หน�ทต�ำ ร ต�มห กั สิทธิมนษุ ยชน โดยอาจรับฟังความคิดเห็นของผู้เสียหายหรือบุคคลในครอบครัวประกอบ ด้วยก็ได้ (๒๐) หากได้ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงและเงื่อนไข ดังกล่าวครบถ้วนแล้วจึงให้มีการยอมความ การถอนคาำ ร้องทุกข์ หรือการ ถอนฟ้องในความผิดตามมาตรา ๔ ได้ หากผู้ต้องหาหรือจำาเลยฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว ให้พนักงานสอบสวนหรือศาลมีอาำ นาจ ยกคดีขึ้นดาำ เนินการต่อไป (๒๑) วิธีพิจารณา การยืน่ และการรับฟงั พยานหลักฐาน หาก พ.ร.บ. นี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้นำากฎหมายว่าด้วยการจัดต้ัง ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวมาใช้ บังโดยอนโุ ลม (๒๒) เพื่อประโยชน์ในการยอมความในคดีการกระทำา ความรุนแรงในครอบครัว พนักงานเจ้าหน้าที่หรือศาล แล้วแต่กรณี อาจต้ังผู้ประนีประนอมประกอบด้วยบุคคลหรือคณะบุคคลซึ่งเป็นบิดา มารดา ผ้ปู กครอง ญาติของคคู่ วามหรือบคุ คลทพี่ นกั งานเจ้าหน้าที่ หรือศาล เห็นสมควรเพื่อให้คำาปรึกษา หรือช่วยเหลือในการไกล่เกลี่ยให้คู่ความ ได้ยอมความกัน หรืออาจมอบหมายให้นักสังคมสงเคราะห์ หน่วยงาน สังคมสงเคราะห์ หรือบุคคลใดช่วยเหลือไกล่เกลี่ยให้คู่ความได้ยอมความ กันกไ็ ด้ (๒๓) เมื่อผู้ประนีประนอมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ตามวรรคหนึ่งได้ดำาเนินการไกล่เกลี่ยตามคำาสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือศาลแล้ว ให้รายงานผลการไกล่เกลี่ยต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือศาล แล้วแต่กรณีด้วย ในกรณีที่การไกล่เกลี่ยเป็นผลสำาเร็จ บุคคลดังกล่าว จะจัดให้มีการทำาสัญญายอมความขึ้นหรือจะขอให้เรียกคู่ความมาทำา สญั ญายอมความกันต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือศาลก็ได้ 180
ส�ำ นักง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนุษยชนแห่งช�ติ (๒๔) เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือศาลเห็นว่าสัญญา ยอมความไม่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายและความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม อันดีของประชาชน ให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือศาลดำาเนินการให้เป็นไป ตามสญั ญายอมความน้ัน ๓.๓๐ สทิ ธิมนษุ ยชนของเหยอื่ ๓.๓๐.๑ หลกั การ ผู้เสียหายหรือเหยื่อ คือผู้ที่ได้รับผลร้ายหรือผลกระทบ จากการกระทำาผิดน้ันโดยตรง ทั้งผลกระทบทางด้านร่างกาย ด้านจิตใจ และด้านสังคม (Siegel, 2000 : 84-85) นอกจากนั้นผู้เสียหายยังหมาย รวมถึง บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิตหรือร่างกายหรือจิตใจ เนื่องจากการกระทำาความผิดอาญาของผู้อื่น โดยตนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการกระทำาความผิดน้ัน (พ.ร.บ. ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จาำ เลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ มาตรา ๓ วรรคแรก) ผู้เสียหายจะต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ตลอดจน ได้รับการคุ้มครองป้องกันและปราบปรามจากการกระทำาโดยมิชอบ ซึ่งเป็นการกระทำาที่แสวงหาผลประโยชน์จากการค้าประเวณี การผลิต หรือเผยแพร่วตั ถหุ รือสื่อลามก การแสวงหาประโยชน์ทางเพศในรูปแบบอืน่ การเอาคนลงเป็นทาส การนำาคนมาขอทาน การบังคับใช้แรงงานหรือ บริการ การบังคับตัดอวัยวะเพื่อการค้า หรือการอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน อันเป็นการขูดรีดบุคคล ไม่ว่าบุคคลน้ันจะยินยอมหรือไม่กต็ าม 181
ค่ม ก�ร ิ ตั ิง�น ง �หน�ทต�ำ ร ต�มห กั สิทธิมนุษยชน ความผิดที่กระทำาต่อผู้เสียหาย ซึ่งทำาให้ผู้เสียหายอาจขอรับ ค่าตอบแทนได้ตามมาตรา ๑๗ แห่ง พ.ร.บ. ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำาเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ ได้แก่ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ภาค ๒ ความผิดเหล่านี้ คือ (๑) ลักษณะ ๙ ความผิดเกี่ยวกับเพศ มาตรา ๒๗๖ ถึงมาตรา ๒๘๗ (๒) ลกั ษณะ ๑๐ ความผิดเกี่ยวกบั ชีวิตและร่างกาย (๒.๑) หมวด ๑ ความผิดต่อชีวิตมาตรา ๒๘๘ ถึงมาตรา ๒๙๔ (๒.๒) หมวด ๒ ความผิดต่อร่างกาย มาตรา ๒๙๕ ถึง มาตรา ๓๐๐ (๒.๓) หมวด ๓ ความผิดฐานทาำ ให้แท้งลูก มาตรา ๓๐๑ ถึงมาตรา ๓๐๕ (๒.๔) หมวด ๔ ความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วยเจ็บ หรือคนชรา มาตรา ๓๐๖ ถึงมาตรา ๓๐๘ ๓.๓๐.๒ แนวทางในการปฏิบตั ิ (๑) ในการป้องกนั และปราบปรามการกระทาำ ความผิด ฐานคา้ มนษุ ย์ ใหพ้ นกั งานเจา้ หนา้ ทมี่ อี ำานาจหนา้ ทดี่ งั ตอ่ ไปนี้ (พ.ร.บ. ปอ้ งกนั และปราบปรามการค้ามนษุ ย์ พ.ศ. ๒๕๕๑) (๑.๑) มีหนังสือเรียกให้บุคคลใดมาให้ถ้อยคำา หรือส่งเอกสารหรือพยานหลกั ฐาน (๑.๒) ตรวจตัวบุคคลที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า เป็นผู้เสียหายจากการกระทำาความผิดฐานค้ามนุษย์เมื่อผู้นั้นยินยอม แต่ถ้า ผู้น้ันเปน็ หญิงจะต้องให้หญิงอืน่ เปน็ ผู้ตรวจ 182
ส�ำ นักง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนุษยชนแห่งช�ติ (๑.๓) ตรวจค้นยานพาหนะใดๆ ที่มีเหตุอันควร สงสัยตามสมควรว่ามีพยานหลักฐานหรือบุคคลที่ตกเป็นผู้เสียหาย จากการกระทาำ ความผิดฐานค้ามนษุ ย์อยู่ในยานพาหนะนั้น (๑.๔) เข้าไปในเคหสถานหรือสถานที่ใดๆ เพื่อตรวจค้น ยึด หรืออายัด เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีพยานหลักฐาน ในการค้ามนุษย์ หรือเพื่อพบและช่วยบุคคลที่ตกเป็นผู้เสียหายจากการ กระทำาความผิดฐานค้ามนุษย์ และหากเนิ่นช้ากว่าจะเอาหมายค้นมาได้ พยานหลักฐานน้ันอาจถูกโยกย้าย ซ่อนเร้น หรือทำาลายไปเสียก่อน หรือบคุ คลนั้นอาจถูกประทษุ ร้าย โยกย้าย หรือซ่อนเร้น (๑.๕) ในการใช้อำานาจตามข้อ (๑.๔) พนักงาน เจ้าหน้าที่ต้องแสดงความบริสุทธิ์ก่อนการเข้าค้นและรายงานเหตุผล ที่ทำาให้สามารถเข้าค้นได้ รวมท้ังผลการตรวจค้นเป็นหนังสือต่อผู้บังคับ บัญชาเหนือขึ้นไป ตลอดจนจัดทำาสำาเนารายงานดังกล่าวให้ไว้แก่ ผู้ครอบครองเคหสถานหรือสถานที่ค้น ถ้าไม่มีผู้ครอบครองอยู่ ณ ที่น้ัน ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งมอบสำาเนารายงานน้ันให้แก่ผู้ครอบครองดังกล่าว ในทนั ทีที่กระทาำ ได้ (๑.๖) และหากเป็นการเข้าค้นในเวลาระหว่าง พระอาทิตย์ตกและขึ้น พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้เป็นหัวหน้าในการเข้าค้น ต้องดำารงตำาแหน่งนายอำาเภอ หรือรองผู้กำากับการตำารวจขึ้นไป หรือเป็นข้าราชการพลเรือนต้ังแต่ระดับเจ็ดขึ้นไป ท้ังนี้ให้พนักงาน เจ้าหน้าที่ผู้เป็นหัวหน้าในการเข้าค้นส่งสำาเนารายงานเหตุผลและ ผลการตรวจค้น บัญชีพยานหลักฐาน หรือบุคคลที่ตกเป็นผู้เสียหาย จากการกระทำาความผิดฐานค้ามนุษย์ และบัญชีทรัพย์ที่ได้ยึดหรือ อายดั ไว้ต่อศาลจงั หวดั ทีม่ ีเขตอำานาจเหนือท้องทีท่ ีท่ าำ การค้นหรือศาลอาญา ภายในสีส่ ิบแปดชัว่ โมงหลังจากสิ้นสดุ การตรวจค้นเพื่อเปน็ หลกั ฐาน 183
ค่ม ก�ร ิ ัติง�น ง �หน�ทต�ำ ร ต�มห กั สิทธิมนุษยชน ในการดาำ เนินการตาม (๑.๒) และ (๑.๓) พนักงาน เจ้าหน้าทีอ่ าจสงั่ ให้ผู้ใต้บังคับบญั ชาทำาแทนได้ (๑.๗) ในการปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.บ. ป้องกัน และปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ นี้ พนักงานเจ้าหน้าที่จะขอ ความช่วยเหลือจากบุคคลใกล้เคียงเพื่อดำาเนินการตาม พ.ร.บ. นี้ก็ได้ แต่จะบังคบั ให้ผู้ใดช่วยโดยอาจเกิดอนั ตรายแก่ผู้น้ันไม่ได้ (๒) ในการปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.บ. นี้ พนักงาน เจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำาตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง (มาตรา ๒๘) บัตรประจำาตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้เป็นไปตามแบบ ทีร่ ฐั มนตรีกาำ หนดโดยประกาศในราชกิจจานเุ บกษา (๓) ในกรณีที่มีเหตุจำาเป็นในการแสวงหาข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการค้ามนุษย์และเพื่อคุ้มครองป้องกันภัยแก่บุคคลที่มีเหตุ อันควรเชื่อได้ว่า เป็นผู้เสียหายจากการกระทำาความผิดฐานค้ามนุษย์ พนักงานเจ้าหน้าที่อาจจัดให้บุคคลดังกล่าวอยู่ในความคุ้มครองเป็นการ ชั่วคราวได้แต่ต้องไม่เกินยี่สิบสี่ช่ัวโมง ทั้งนี้ ให้รายงานให้ผู้บัญชาการ ตำารวจแห่งชาติ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ อธิบดีกรมพัฒนาสังคม และสวสั ดิการ หรือผู้ว่าราชการจงั หวัด แล้วแต่กรณี ทราบโดยไม่ชักช้า (๔) ในกรณีที่มีความจำาเป็นต้องให้การคุ้มครองบุคคล ซึ่งอาจจะเป็นผู้เสียหายเกินกว่ากำาหนดเวลาในวรรคหนึ่ง ให้พนักงาน เจ้าหน้าที่ยื่นคำาร้องต่อศาล เพื่อมีคำาสั่งอนุญาต ทั้งนี้ ศาลจะอนุญาตได้ ไม่เกินเจด็ วนั โดยจะกำาหนดเงือ่ นไขใดๆ ไว้ด้วยก็ได้ (๕) การจัดให้บุคคลซึ่งอาจจะเป็นผู้เสียหายอยู่ใน ความคุ้มครองเป็นการชั่วคราวตามมาตรานี้ (มาตรา ๒๙) ต้องจัดให้ 184
สำ�นกั ง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนษุ ยชนแห่งช�ติ บุคคลดังกล่าวอยู่ในสถานที่อันสมควรซึ่งมิใช่ห้องขังหรือสถานคุมขัง ท้ังนี้ ตามระเบียบที่รฐั มนตรีกาำ หนด การปฏิบตั ิหน้าทีต่ ามมาตรานี้ (มาตรา ๒๙) ให้คาำ นึงถึง หลกั สิทธิมนษุ ยชนโดยเคร่งครัด (๖) ในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเอกสารหรือข้อมูล ข่าวสารอื่นใดซึ่งส่งทางไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องมือหรืออุปกรณ์ในการสื่อสารสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือสื่อสารสนเทศ อื่นใด ถูกใช้หรืออาจถูกใช้เพื่อประโยชน์ในการกระทำาความผิดฐาน ค้ามนุษย์ พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับอนุมัติเป็นหนังสือจากผู้บัญชาการ ตำารวจแห่งชาติ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วแต่กรณี จะยื่นคำาขอฝ่ายเดียวต่อศาลอาญาหรือศาลจังหวัดที่มี เขตอำานาจเพื่อมีคำาสั่งอนุญาตให้พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มาซึ่งเอกสาร หรือข้อมูลข่าวสารดังกล่าวก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กาำ หนด ในข้อบงั คบั ประธานศาลฎีกา (มาตรา ๓๐) (๗) การอนุญาตตามวรรคหนึ่ง (มาตรา ๓๐) ให้ศาล พิจารณาถึงผลกระทบต่อสิทธิส่วนบุคคลหรือสิทธิอื่นใดประกอบกับ เหตุผลและความจาำ เป็น ดังต่อไปนี้ (๗.๑) มีเหตุอันควรเชื่อว่ามีการกระทำาความผิด หรือจะมีการกระทาำ ความผิดฐานค้ามนษุ ย์ (๗.๒) มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะได้ข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับการกระทำาความผิดฐานค้ามนุษย์จากการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ดงั กล่าว (๗.๓) ไม่อาจใช้วิธีการอื่นใดที่เหมาะสมหรือ มีประสิทธิภาพมากกว่าได้ 185
ค่ม ก�ร ิ ัติง�น ง �หน�ทต�ำ ร ต�มห กั สิทธิมนษุ ยชน (๘) การอนุญาตตามวรรคหนึ่ง (มาตรา ๓๐) ให้ศาล ส่ังอนุญาตได้คราวละไม่เกินเก้าสิบวันโดยจะกำาหนดเงื่อนไขใดๆ ก็ได้ แ ล ะ ใ ห้ ผู้ เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั บ เ อ ก ส า ร ห รื อ ข้ อ มู ล ข่ า ว ส า ร ต า ม คำ า สั่ ง ดั ง ก ล่ า ว ให้ความร่วมมือเพื่อให้เป็นไปตามความในมาตรานี้ ภายหลังที่มีคำาสั่ง อนุญาต หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าเหตุผลความจำาเป็นไม่เป็นไปตามที่ ระบุหรือพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไป ให้ศาลมีอำานาจเปลี่ยนแปลงคำาส่ัง อนุญาตได้ตามที่เหน็ สมควร (๙) ในการดำาเนินการตามคำาส่ังของศาล ให้พนักงาน เจ้าหน้าที่มีอำานาจร้องขอให้บุคคลใดช่วยเหลือในการปฏิบัติหน้าที่ได้ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดำาเนินการตามที่ได้รับอนุญาตแล้ว ให้พนักงาน เจ้าหน้าที่บันทึกรายละเอียดผลการดำาเนินการน้ัน และให้ส่งบันทึกน้ัน ไปยังศาลทีม่ ีคาำ ส่ังโดยเรว็ (๑๐) บรรดาเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารที่ได้มา ตามวรรคหนึ่ง ให้เก็บรักษาและใช้ประโยชน์ในการสืบสวนและใช้เป็น พยานหลักฐานในการดำาเนินคดีความผิดฐานค้ามนุษย์เท่านั้น ท้ังนี้ ตามระเบียบทีร่ ฐั มนตรีกำาหนด (๑๑) ในการปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.บ. นี้ ให้พนักงาน เจ้าหน้าที่เปน็ เจ้าพนกั งานตามประมวลกฎหมายอาญา ๓.๓๑ สทิ ธิมนษุ ยชนของผู้ล้ภี ยั และบคุ คลไร้สัญชาติ ๓.๓๑.๑ หลกั การ ผู้ลี้ภัย หมายถึง บุคคลที่อยู่นอกประเทศแห่งสัญชาติของตน เนื่องด้วยความหวาดกลัวที่มีมูลเหตุอันจะกล่าวอ้างได้ว่าจะถูกประหัต 186
ส�ำ นกั ง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนษุ ยชนแห่งช�ติ ประหารด้วยสาเหตุทางเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ สมาชิกภาพในกลุ่ม สังคมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือความคิดเห็นทางการเมือง และไม่สามารถ หรือด้วยความหวาดกลัวนั้น ไม่เต็มใจที่จะได้รับความคุ้มครองจาก ประเทศนั้นๆ (อนสุ ญั ญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัยขององค์การสหประชาชาติ ปี ค.ศ. ๑๙๕๑) ส่วนคนไร้สัญชาตินั้นคือ บุคคลที่ไม่สามารถระบุได้ว่า เป็นผู้ที่มี สถานะที่เป็นสมาชิกของประเทศใด หรือไม่มีประเทศใดรับว่า เป็นสมาชิก หรือเคยเป็นสมาชิกของประเทศนั้นๆ ไม่มีสัญชาติของรัฐสังกัด หรือเป็น คนไร้รัฐ (Stateless) หรือเป็นคนต่างด้าวของทุกประเทศนั่นเอง (UNHCR/ The UN Refugee Agency, February, 2012) ผู้ลี้ภัยและคนไร้สัญชาติตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ มีสถานะเป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย (๑) คนต่างด้าวจะเข้ามาในราชอาณาจักรและมีสิทธิ อยู่ในราชอาณาจักรได้ จะต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามแบบพธิ กี าร การตรวจคนเขา้ เมอื ง ตาม พ.ร.บ. คนเขา้ เมอื ง พ.ศ. ๒๕๒๒ (๒) การลักลอบเข้าเมืองจึงเป็นความผิดมีโทษถึงจำาคุก โดยทั่วไปแล้วคนต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมือง คือ การเข้ามาโดยไม่ได้รับ อนุญาต และอยู่โดยไม่ได้รับอนญุ าต (๓) การจับกุม คุมขังผู้ลี้ภัยและคนไร้สัญชาติโดยอาศัย อำานาจจาก พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ในมุมของเจ้าหน้าที่รัฐถือว่า เป็นการบังคับตามกฎหมายภายในของประเทศไทย เพื่อรักษาไว้ซึ่ง ความม่ันคงของรัฐและความสงบสุขของรัฐ แต่ในทางกลับกัน หากพิเคราะห์จากแง่มุมด้านสิทธิมนุษยชนตามหลักกฎหมายระหว่าง ประเทศแล้ว การจับกุมคุมขังผู้ลี้ภัยและคนไร้สัญชาติถือเป็นการกระทำา ที่ขัดกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน เช่น 187
ค่ม ก�ร ิ ัติง�น ง �หน�ทต�ำ ร ต�มห กั สิทธิมนษุ ยชน สิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ สิทธิที่จะแสวงหาและพักพิงในประเทศอื่นๆ เพื่อลี้ภัยจากการกดขี่ข่มเหง และสิทธิในเสรีภาพและความปลอดภัย ของร่างกายเปน็ ต้น ๓.๓๑.๒ แนวทางในการปฏิบตั ิ (๑) คนต่างด้าวผู้ใดไม่มีใบสำาคัญคนต่างด้าว และไม่มี เอกสารซึ่งแสดงว่าได้รับอนุญาตให้เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย ให้สนั นิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รบั อนญุ าต (๒) ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองส่งตัวให้ พนกั งานสอบสวนดาำ เนินคดีหรือเจ้าหน้าที่ตาำ รวจอื่นๆ จบั กุมดาำ เนินคดี (๓) ให้พนักงานสอบสวนผู้ดำาเนินคดีส่งสำาเนาสำานวน การสอบสวนให้กองตรวจคนเข้าเมืองพิจารณาโดยด่วน โดยไม่ต้องรอให้ เสรจ็ คดี เพือ่ พจิ ารณาว่าพนกั งานสอบสวนได้ตงั้ ข้อหาตรงกบั การกระทำาผิด หรือไม่ หากไม่ถูกต้องประการใด กองตรวจคนเข้าเมือง จะได้แนะนำา ให้ถกู ต้องต่อไป (๔) คนต่างด้าวที่ถูกดำาเนินคดี ไม่ว่าผลคดีถึงที่สุดจะ เป็นประการใด ให้พนักงานสอบสวนผู้ดำาเนินคดีคอยติดตามนำาตัวส่งมอบ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองในท้องที่ดำาเนินการตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมืองต่อไป หากไม่มีพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองในท้องที่ ก็ให้นำาส่งพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองในท้องที่ที่ใกล้ที่สุด เพื่อดำาเนินการตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมืองทุกรายไป (๕) ในกรณีที่คนต่างด้าวถูกจำาคุกให้พนักงานสอบสวน มีหน้าที่อายัดตัวและคอยนำาตัวส่งพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เมือ่ พ้นโทษแล้ว 188
สำ�นกั ง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนษุ ยชนแห่งช�ติ (๖) การจัดการตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมือง ให้ดำาเนินการ ให้เปน็ ไปตามกฎหมายและระเบียบโดยเคร่งครดั (๗) ถ้าคนต่างด้าวน้ันมิต้องถูกส่งตัวกลับออกไป นอกราชอาณาจกั รจึงให้พิจารณาออกใบสำาคญั ประจาำ ตัวคนต่างด้าวให้ (๘) คนต่างด้าวซึ่งเป็นจำาเลยหรือผู้ต้องหาในความผิด อ า ญ า ห รื อ ใ ช้ อุ บ า ย เ ล่ ห์ เ ห ลี่ ย ม ล้ ม ล ะ ล า ย โ ด ย ก า ร ก ร ะ ทำ า อั น ทุ จ ริ ต และหลบหนีออกไปนอกราชอาณาจักร และผู้นั้นเดินทางกลับเข้ามา ในราชอาณาจักรอีกก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาจัดการตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมือง แต่ถ้าปรากฏว่าการกระทำาของผู้นั้นยังไม่ขาดอายุความ ฟ้องร้อง หรือยังไม่ล่วงเลยการลงอาญา หรือมีหมายสั่งจับผู้น้ันอยู่ ก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ติดต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำาเนินการในกรณีนั้นๆ แก่ผู้นั้นก่อน (๙) การกักตัวคนต่างด้าว พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำานาจ กักไว้ได้เท่าที่ตามพฤติการณ์แห่งกรณีแต่ห้ามมิให้กักเกินกว่า สี่สิบแปด ชั่วโมง นับแต่เวลาที่ผู้ถูกกับนั้นมาถึงที่ทำาการของพนักงานเจ้าหน้าที่ ในกรณีที่มีเหตุจำาเป็นจะยืดเวลาเกินกว่าสี่สิบแปดช่ัวโมงก็ได้ เท่าเหตุ จำาเป็น แต่มิเกินเจ็ดวันและให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทำาบันทึกเหตุจำาเป็น ที่ต้องยืดเวลาไว้ให้ปรากฏด้วย (๑๐) ถ้าเกิดความจำาเป็นที่จะต้องกักตัวคนต่างด้าวไว้ เกินกว่ากำาหนดเจ็ดวันให้พนักงานเจ้าหน้าที่ยื่นคำาร้องต่อศาล ขอให้มี อำานาจกักตัวคนต่างด้าวผู้นั้นไว้ต่อไปอีกได้ และศาลอาจส่ังให้มีอำานาจ กักตัวได้เท่าที่จำาเป็นคร้ังละไม่เกินสิบสองวัน แต่ถ้าศาลเห็นสมควรจะส่ัง ให้ปล่อยตวั ไปชวั่ คราวโดยเรียกประกนั หรือเรียกทั้งประกนั และหลกั ประกนั ก็ได้ 189
ค่ม ก�ร ิ ตั ิง�น ง �หน�ทต�ำ ร ต�มห ักสิทธิมนุษยชน (๑๑) เมื่อศาลสั่งอนุญาตให้กัก โดยปกติให้นำ าตัว คนต่างด้าวนั้นไปกกั ไว้อย่างเดิม (๑๒) เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่า ผู้ใดกระทำาความผิดต่อ พ.ร.บ. คนเข้าเมือง ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำานาจออกหมายเรียก หมายจับ หมายค้น หรือจบั หรือค้น หรือควบคมุ กักตวั ผู้น้ันเพื่อปฏิบัติการ ให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง และให้มีอำานาจสอบสวนคดีได้ เช่นเดียวกับพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา (๑๓) ถ้าปรากฏหลักฐานว่าเป็นผู้มีความผิดอันควร ดำาเนินคดีก็ให้ส่งเรื่องพร้อมด้วยผู้ต้องหาให้พนักงานสอบสวนดำาเนินคดี ต่อไป (๑๔) คนต่างด้าวผู้ใดต้องโทษตามคำาพิพากษาของศาล เมื่อพ้นโทษแล้วให้พนักงานเจ้าหน้าที่นำาตัวมาเพื่อดำาเนินการตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมืองหรือส่งตัวกลับออกไปนอกราชอาณาจักรก็ได้ ในการนี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งขออายัดตัวคนต่างด้าวนั้นไว้กับพนักงาน สอบสวนเป็นหนังสือ (๑๕) ในการสอบสวนถ้ามีความจำาเป็นจะต้องให้เจ้าหน้าที่ หน่วยราชการอื่นทำาการสอบสวนให้ หรือขอหลักฐานจากเจ้าหน้าที่อื่น กใ็ ห้ดำาเนินการได้ตามควรแก่กรณี 190
ส�ำ นกั ง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนษุ ยชนแห่งช�ติ บทสรปุ 191
ค่ม ก�ร ิ ัติง�น ง �หน�ทต�ำ ร ต�มห ักสิทธิมนุษยชน บทสรุป คู่มือการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำารวจตามหลักสิทธิมนุษยชน เลม่ นี้ เปน็ คมู่ ือทไี่ ดพ้ ยายามเสนอแนวทางในการปฏบิ ตั หิ นา้ ทหี่ รอื ปฏบิ ตั งิ าน ของเจ้าหน้าที่ตำารวจ เพื่อมิให้ละเมิดสิทธิมนุษยชนขึ้นท้ังในปัจจุบัน และในอนาคต โดยพยายามเชื่อมโยงแนวทางดังกล่าว เข้ากับหลักสิทธิ มนุษยชนซึ่งเป็นหลักสากล หลักกฎหมายต่างๆ (เช่นกฎหมายรัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา ประมวล ระเบียบการตำารวจเกี่ยวกับคดี พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครัวและ วิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ร.บ. คุ้มครอง ผู้ถูกกระทำาด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปราม การค้ามนุษย์ ฯลฯ เหล่านี้) นอกจากนั้นยังรวมไปถึงประมวลจริยธรรม และจรรยาบรรณของเจ้าหน้าที่ตำารวจที่นับว่าเป็นหลักที่สำาคัญอย่างยิ่ง ที่เจ้าหน้าที่ตำารวจจะต้องยึดถือในการปฏิบัติอีกส่วนหนึ่ง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ ตาำ รวจสามารถนาำ ไปปฏบิ ตั ไิ ดใ้ นความเปน็ จรงิ และเปน็ การปฏบิ ตั ทิ ไี่ มล่ ะเมดิ สิทธิมนุษยชนดงั กล่าวมาแล้ว การเชื่อมโยงเช่นว่านี้ เป็นการเชื่อมโยงบนพื้นฐานของสภาพ ปัญหาที่มีการศึกษา ค้นคว้า วิจัย และเป็นข้อเท็จจริงที่มีการยอมรับ ในทางวิชาการ อย่างเช่น การศึกษาของสญั ญา บัวเจริญ และคณะ ในเรื่อง “สาเหตุการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรมของเจ้าหน้าที่ ตำารวจ” ในปี ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นการศึกษาทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ที่พบว่า สาเหตุที่สำาคัญที่สุดที่เจ้าหน้าที่ตำารวจละเมิดสิทธิมนุษยชนก็คือ การมีเจตนาหรือจงใจ หรือลแุ ก่อำานาจ หรือใช้อาำ นาจเกินขอบเขต ไม่ปฏิบตั ิ 192
ส�ำ นกั ง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนษุ ยชนแห่งช�ติ หน้าที่ตามกฎหมาย (สัญญา บัวเจริญ และคณะ, ๒๕๕๔: ๙๘-๑๐๑) ซึ่ ง เ ป็ น เ รื่ อ ง ที่ ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ ค ว า ม คิ ด เ ห็ น ข อ ง ผู้ ที่ เ ข้ า ร่ ว ม ป ร ะ ชุ ม เพือ่ รบั ฟงั ความคิดเหน็ ในการปรบั ปรงุ ร่างคู่มือฉบบั นี้ ทีม่ หาวิทยาลยั มหิดล เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๔ และอีกคร้ังหนึ่งเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๖ ที่ผ่านมาคือ มีการทำาร้ายร่างกายโดยปรากฏร่องรอยบาดแผล เป็นหลักฐาน ใช้เสื้อคลุมหัว ตบหูท้ังสองข้าง กระทืบหน้าอกและท้อง นอกจากน้ันยังมีการจับ โดยไม่มีหมายจับฯ เหล่านี้ ซึ่งคู่มือเล่มนี้ ได้พยายามวางแนวทางและหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ตำารวจเพื่อมิให้ละเมิดสิทธิมนุษยชนดังกล่าว โดยอาศัยหลักสิทธิมนุษยชน หรือมาตรฐานสิทธิมนุษยชนที่เป็นสากล กฎหมายรัฐธรรมนูญ ประมวล จริยธรรมและจรรยาบรรณของตำารวจมาวางเป็นแนวทางเพื่อเน้นย้ำา ให้เจ้าหน้าที่ตำารวจปฏิบัติตามแนวทางนี้ตั้งแต่ภาคที่ ๑ เป็นต้นมา อย่างเช่น ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์หรือคุณค่าของคนในฐานะ ที่เขาเป็นมนุษย์ (หลักการของสิทธิมนุษยชนสากล) ทุกคนมีศักดิ์ศรี สิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันและต้องปฏิบัติต่อกันฉันท์พี่น้อง (ปฏิญญาสากล ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ ๑) ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง (รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๔) บุคคลย่อมมี สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย การทรมาน ทารุณกรรม หรือการ ลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรมจะกระทำามิได้ (รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓๒) นอกจากนั้น ไม่เพียงแต่จะอาศัยหลักการของประมวลกฎหมายอาญาที่เจ้าหน้าที่ ตาำ รวจทกุ คนทราบดีอยู่แล้วว่า การกระทำาดงั กล่าวเปน็ การละเมิดกฎหมาย หรือผิดกฎหมายมีโทษทางอาญาไม่สามารถกระทำาได้ ยังอาศัยหลักการ ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ในส่วนที่ ๓ อีกส่วนหนึ่งอย่างเช่น กรณีการจับโดยไม่มีหมายจับดังกล่าว 193
ค่ม ก�ร ิ ัติง�น ง �หน�ทต�ำ ร ต�มห ักสิทธิมนษุ ยชน มาแล้ว ในคู่มือเล่มนี้ก็ได้อาศัยหลักการในเรื่องการจับที่จะต้องใช้ หมายจับในมาตรา ๗๘ มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ตำารวจดังกล่าว ซึ่งในเรื่องนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ได้กำาหนดไว้อย่างชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่ตำารวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับ ไม่ได้เว้นแต่ เมื่อบุคคลน้ันได้กระทำาผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ ในมาตรา ๘๐ อย่างนี้เป็นต้น อย่างไรก็ตามนอกจากสัญญา บัวเจริญและคณะ จะพบ สาเหตุทางด้านการมีเจตนาหรือจงใจ หรือลุแก่อำานาจ หรือใช้อำานาจ เกินขอบเขต ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายแล้ว ยังพบสาเหตุการละเมิด สิทธิมนุษยชนของเจ้าหน้าที่ตำารวจในลำาดับรองลงมาอีกคือ การขาด จิตสำานึกในการสืบสวน สอบสวน กรณีการสืบสวนน้ันคือไม่มีการรวบรวม พยานหลักฐานก่อนและหลังเกิดเหตุอย่างเป็นข้ันเป็นตอน และกรณี การสอบสวนน้ันคือ ไม่มีการรวบรวมพยานหลักฐานหลังเกิดเหตุ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่รวดเร็ว ไม่โปร่งใส และไม่เป็นธรรม (สัญญา บวั เจริญ และคณะ, ๒๕๕๔: ๑๐๒-๑๐๔) ต่อประเดน็ ในเรื่องนี้ คู่มือเล่มนี้ ได้พยายามนำาหลักสิทธิมนุษยชนสากล มาตรฐานสิทธิมนุษยชน กฎหมายรัฐธรรมนูญ ประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของเจ้าหน้าที่ ตำารวจ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ประมวลระเบียบการ ตำารวจเกี่ยวกับคดี กฎหมาย กฎ-ระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องฯ เหล่านี้ เช่นเดียวกับแนวทางในการปฏิบัติงานเพื่อมิให้ลุแก่อำานาจที่กล่าวมาแล้ว มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานในเรื่องนี้อย่างเช่น ในเรื่องความเสมอภาค และการห้ามเลือกปฏิบัติในฐานะที่เราเกิดมาเป็นคน จะต้องได้รับการ ปฏิบตั ิอย่างเท่าเทียมกนั (หลักสิทธิมนษุ ยชนสากล) เป็นหน้าทีข่ องพนักงาน สืบสวนที่จะต้องระลึกเสมอ และเป็นหลักปฏิบัติในการสืบสวนท้ังกรณี ที่จับตัวผู้ต้องหาได้และยังไม่ได้ คือจะต้องสืบสวนหามูลเหตุและเจตนา ในการกระทำาผิดคือ สืบว่า วัตถุประสงค์ หรือความตั้งใจ อันเป็นมูลเหตุ 194
ส�ำ นกั ง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนษุ ยชนแห่งช�ติ จูงใจให้เกิดการกระทำาผิดน้ันเป็นอย่างไร (ประมวลระเบียบการตำารวจ เกี่ยวกับคดี ข้อ ๗) โดยปกติเมื่อเกิดคดีอาญาขึ้น เจ้าหน้าที่ตำารวจผู้มี หน้าที่สืบสวนจำาเป็นที่จะต้องไปสืบสวนและตรวจสถานที่เกิดเหตุ เพื่อให้ได้เห็นสภาพของสถานที่หรือค้นหาวัตถุพยานหรือพยานบุคคลฯ (ประมวลระเบียบการตำารวจเกี่ยวกับคดี ข้อ ๘) บุคคลย่อมมีสิทธิ ที่จะให้คดีของตนได้รับการพิจารณาอย่างถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๔๐ (๓)) ในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจำาเลยมีสิทธิ์ได้รับการสอบสวนหรือพิจารณา คดีที่ถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐, มาตรา ๔๐ (๗)) ในการสอบสวนให้เริ่มสอบสวน โดยมิชักช้า จะทำาการในที่ใดเวลาใดแล้วแต่จะเห็นสมควร โดยผู้ต้องหา ไม่จำาเป็นต้องอยู่ด้วย (ป.วิ.อ. มาตรา ๑๓๐) และให้พนักงานสอบสวน สืบหาหลักฐานอันเกี่ยวแก่คดีทุกชนิดให้เต็มความสามารถ เพื่อที่จะทราบ ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่างๆ อันเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหากัน เพื่อที่จะรู้ตัวผู้กระทำาผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิด (ประมวลระเบียบการ ตำารวจเกี่ยวกับคดี ข้อ ๒๐๘, ๒๑๖) พนักงานสอบสวนพึงระลึกเสมอว่า การสอบสวนตอ้ งรบี กระทำาโดยมชิ กั ชา้ แมก้ ฎหมายจะใหอ้ ำานาจการควบคมุ โดยร้องขอต่อศาลได้ก็ตาม แต่อย่าลืมว่าการสอบสวนล่าช้า ทำาให้เกิด ความเดือดร้อนแก่คู่กรณีและพยาน และอาจทำาให้ข้อเท็จจริงผันแปรไป (ประมวลระเบียบการตำารวจเกี่ยวกับคดี ข้อ ๒๐๙ (๑)) พนักงาน สอบสวนพึงเต็มใจรับแจ้งความ แสวงหา และรวบรวมพยานหลักฐาน ตามหลักเกณฑ์แห่งกฎหมาย ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริงแห่งคดี (ประมวล ระเบียบการตำารวจเกี่ยวกับคดี ข้อ ๒๐๘ (๔)) พนักงานสอบสวน พึงพิเคราะห์ข้อเท็จจริงให้เหตุผลอันน่าเชื่อถือว่า ผู้นั้นได้กระทำาผิด ก่อนมีการแจ้งข้อกล่าวหาจับกุมดำาเนินคดี (ประมวลระเบียบการตำารวจ เกี่ยวกับคดี ข้อ ๒๐๘ (๕)) พนักงานสอบสวนพึงสำานึกและยึดม่ัน 195
ค่ม ก�ร ิ ตั ิง�น ง �หน�ทต�ำ ร ต�มห กั สิทธิมนษุ ยชน ในวิชาชีพการสอบสวน และอุตสาหพยายาม (ประมวลระเบียบการตำารวจ เกี่ยวกับคดี ข้อ ๒๐๘ (๘)) เหล่านี้เปน็ ต้น ไม่เพียงแต่คู่มือเล่มนี้ จะพยายามวางแนวทางในการปฏิบัติ หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำารวจเพื่อมิให้ละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือป้องกัน การละเมิดสิทธิมนุษยชนในเรื่อง การใช้อาำ นาจเกินขอบเขตไม่ปฏิบัติหน้าที่ ตามกฎหมายหรอื ลแุ กอ่ าำ นาจ (ทาำ รา้ ยรา่ งกาย จบั โดยไมม่ หี มายจบั ควบคมุ ตวั หน่วงเหนี่ยวกักขัง ค้นโดยไม่มีหมายค้นฯ) รวมท้ังการขาดจิตสำานึกในการ สบื สวนและสอบสวนดงั กลา่ วมาแลว้ คมู่ อื เลม่ นยี้ งั พยายามทจี่ ะวางแนวทาง ในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำารวจในเรื่องอื่นๆ อีกเช่นเรื่อง การปฏิบัติ ต่อเด็กและเยาวชนทั้งในฐานะผู้ต้องหาและผู้เสียหาย การปฏิบัติต่อ ผู้กระทำาผิดหรือผู้เสียหายในคดีการกระทำารุนแรงภายในครอบครัว การปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยและบุคคลไร้สัญชาติ รวมท้ังการควบคุมฝูงชนในระบบ ประชาธิปไตย เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำารวจเกิดความรู้ความเข้าใจและตระหนัก ต่อแนวทาง และหลักการในการปฏิบัติงานที่ถูกต้องและชอบธรรม ตามกฎหมาย ซึ่งการขาดรู้ความเข้าใจต่อหลักการปฏิบัติงานที่ถูกต้อง ตามกฎหมายนี้ นบั ว่าเป็นสาเหตทุ ี่สำาคญั อีกอันหนึง่ ที่ทาำ ให้เจ้าหน้าที่ตาำ รวจ ละเมิดสิทธิมนุษยชนดังที่สัญญา บัวเจริญ และคณะได้ศึกษามาแล้ว (สญั ญา บัวเจริญ และคณะ, ๒๕๕๔:) คู่มือเล่มนี้จึงน่าจะเปน็ แนวทางพื้นฐานทีส่ าำ คัญ ในการปฏิบตั ิงาน ของเจ้าหน้าที่ตำารวจ เพื่อมิให้เจ้าหน้าที่ตำารวจละเมิดสิทธิมนุษยชน กับประชาชนทั้งในปัจจุบันและในอนาคต 196
ส�ำ นักง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนษุ ยชนแห่งช�ติ บรรณานกุ รม 197
ค่ม ก�ร ิ ตั ิง�น ง �หน�ทต�ำ ร ต�มห ักสิทธิมนุษยชน บรรณานุกรม ภาษาไทย กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยตุ ิธรรม และมหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. (๒๕๕๔). คู่มือสำาหรับองค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชน. กรุงเทพ: สำานกั พิมพ์คณะรฐั มนตรี กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และศูนย์วิจัยและพัฒนา อาชญาวิทยาและกระบวนการยุติธรรม มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์. (๒๕๕๒). คมู่ อื เพอื่ ดาำ เนนิ งานแผนสทิ ธมิ นษุ ยชนแหง่ ชาต ิ ฉบบั ท ี่ ๒ สำาหรบั องค์กรเครือขา่ ยสิทธิมนษุ ยชน. สถานที่พิมพ์: ไม่ปรากฎ. กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม. (๒๕๔๐). รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐. กรุงเทพฯ: สำานักนายก รัฐมนตรี. กระทรวงพฒั นาสงั คมและความมนั่ คงของมนษุ ย.์ (๒๕๔๐). ขอ้ ตกลงความรว่ มมอื การดำาเนินการยุติความรุนแรงในครอบครัวตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองผู้ถูกกระทำาด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก: D:\\Documents and Settings\\UserSH\\ Desktop\\www_violence_ in_th ระบบข้อมูลความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรนุ แรงในครอบครวั . (วนั ทเี่ ขา้ ถงึ ขอ้ มลู ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖). กระทรวงมหาดไทย. (๒๕๐๑). “เรื่องการบันทึกเหตุผลและความจาำ เป็นในการ ขยายระยะเวลาในการทำาสำานวนชันสูตรพลิกศพสำาหรับในส่วน ของตำารวจในภาคต่างๆ”. หนังสือที่ มท. ๑๙๘๕๐/๒๕๐๑ ลงวันที่ ๑๒ ธนั วาคม ๒๕๐๑. อัดสาำ เนา. 198
สำ�นกั ง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนุษยชนแห่งช�ติ กระทรวงมหาดไทย. (๒๕๕๑). “เรื่องการบันทึกเหตุผลและความจำาเป็นในการ ขยายระยะเวลาในการทำาสำานวนชันสูตรพลิกศพสำาหรับในส่วน ของตำารวจในภาคต่างๆ”. หนังสือที่ มท. ๐๓๐๗.๑/ว ๑๐๘ ลงวนั ที ่ ๔ มกราคม ๒๕๕๑. อัดสำาเนา. กระทรวงมหาดไทย. (๒๕๒๓). ข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยว่าด้วย ระเบียบ การดาำ เนินคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๒๓. อัดสาำ เนา. กระทรวงมหาดไทย. (๒๕๓๖). “เรื่องหารือแนวทางการปฏิบัติในการควบคุม การสอบสวนคดเี กยี่ วกบั ปา่ ไมแ้ ละทรพั ยากรธรรมชาต”ิ . หนงั สอื ท ี่ มท ๐๑๐๗/ว ๙๒๘๑ ลงวนั ที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๓๖ อดั สาำ เนา. กระทรวงมหาดไทย. (๒๕๓๖). ข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยระเบียบ การดาำ เนนิ คดอี าญา พ.ศ. ๒๕๒๓ แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ ฉบบั ท ี่ ๕ อดั สาำ เนา. กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงยุติธรรม. (๒๕๕๐). “กฎกระทรวงกำาหนด หลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่พนักงานสอบสวนต้องปฏิบัติในการ จดั หาทนายความใหแ้ กผ่ ตู้ อ้ งหาในคดอี าญา พ.ศ. ๒๕๔๙”. ราชกจิ จา นุเบกษา, เล่มที่ ๑๒๔ ตอนที่ ๑๑ ก (๑๖ กุมภาพันธ์):๓๑ กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงยุติธรรม. (๒๕๕๓). “กฎกระทรวงกำาหนด หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการทำาสำานวนการสอบสวนร่วมกัน ระหว่างพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการ”. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ ๑๒๗, ตอนที่ ๓๗ ก (๙ มิถนุ ายน):๑๖. กองกฎหมาย สาำ นกั งานตำารวจแห่งชาติ. (๒๕๔๕).ประมวลระเบียบการตาำ รวจ เกีย่ วกบั คดี. กรงุ เทพฯ: สำานกั พิมพ์หรรษา. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ชาติ ชัยเดชสุริยะ และ ณัฐวสา ฉัตรไพฑูรย์. (๒๕๔๘). มาตรฐานองค์การสหประชาชาติว่าด้วยกระบวนการยุติธรรม ทางอาญา. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์เดือนตุลา. กเู้ กยี รติ เจรญิ บญุ . (๒๕๕๒). ขนั้ ตอนการจบั ผตู้ อ้ งหาของเจา้ พนกั งาน. (ออนไลน)์ . เข้าถึงได้จาก: http://forums.212cafe.com/board/ 199
ค่ม ก�ร ิ ัติง�น ง �หน�ทต�ำ ร ต�มห ักสิทธิมนุษยชน 24304/4f0d2647846567ae0507d15c.(วนั ทีเ่ ข้าถึงข้อมลู ๑๐ มิถนุ ายน ๒๕๕๔). คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ. (๒๕๔๖). รายงานผลการตรวจสอบ การละเมิดสิทธิมนุษยชน ลงวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๔๖ กรณี ความรุนแรงอันเนื่องมาจากโครงการ ท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย ทีอ่ ำาเภอหาดใหญ ่ จงั หวัดสงขลา. อดั สำาเนา. คณะกรรมการสทิ ธิมนษุ ยชนแห่งชาติ. (๒๕๕๐). หลกั กฎหมายระหวา่ งประเทศ ทว่ั ไปเกยี่ วกบั สนธสิ ญั ญาดา้ นสทิ ธมิ นษุ ยชน กตกิ าระหวา่ งประเทศ ว่าด้วยการขจัดการเลือกปฎิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ และ Conventional on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination (CERD). กรุงเทพฯ: เอส. เอม็ . เซอร์คิทเพลส. คณะกรรมการสทิ ธิมนษุ ยชนแห่งชาติ. (๒๕๕๐). หลกั กฎหมายระหวา่ งประเทศ ท่ัวไปเกี่ยวกับสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชน กติการะหว่าง ประเทศว่าดว้ ยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และ UN International Covenant of Economic, Social and Cultural Rights (ICESCR). กรุงเทพฯ: มิราเคิล ครีเอชน่ั อินเตอร์ พริ้นท์. คณะกรรมการสิทธมิ นษุ ยชนแหง่ ชาติ. (๒๕๕๐). หลกั กฎหมายระหวา่ งประเทศ ท่ัวไปเกี่ยวกับสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชน อนุสัญญาต่อต้าน การทรมาน และการปฏบิ ตั หิ รอื การลงโทษอนื่ ทโี่ หดรา้ ยไรม้ นษุ ยธรรม หรอื ทยี่ าำ่ ยศี กั ดศิ์ ร ี พธิ สี ารเลอื กรบั ของอนสุ ญั ญาตอ่ ตา้ นการทรมาน และการปฎบิ ตั หิ รอื การลงโทษอนื่ ทโี่ หดรา้ ยไรม้ นษุ ยธรรมหรอื ทยี่ าำ่ ยี ศกั ดศิ์ ร ี Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment(CAT) และ Optional Protocol to the Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment. กรุงเทพฯ: เอส. เอม็ . เซอร์คิทเพลส. 200
ส�ำ นกั ง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนุษยชนแห่งช�ติ คณะกรรมการสทิ ธมิ นษุ ยชนแหง่ ชาต.ิ (๒๕๕๒). ปฏญิ ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธมิ นษุ ยชน. กรงุ เทพฯ: สาำ นักงานคณะกรรมการสิทธิมนษุ ยชนแห่งชาติ. คมกรชิ ดลุ ยพทิ กั ษ.์ (๒๕๕๑). ขอ้ พจิ ารณาทางกฎหมายในการควบคมุ และจดั การ เกยี่ วกบั การชมุ นมุ และกอ่ เหตจุ ลาจลของฝงู ชน. (ออนไลน)์ . เขา้ ถงึ ไดจ้ าก: www.jehrrming.net. (วนั ทเี่ ขา้ ถงึ ขอ้ มลู ๑๐ มถิ นุ ายน ๒๕๕๔). พระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ.์ (๒๕๐๕). นคิ หกรรมและการสละสมณเพศ: มาตรา ๔๒. กรงุ เทพฯ: นิติเวช. พระราชบัญญตั ิคนเข้าเมือง พุทธศกั ราช ๒๕๒๒. (๒๕๒๒). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม ๙๖, ตอนที่ ๒๘ ฉบบั พิเศษ (๑ มีนาคม): ๔๕. พระราชบญั ญตั คิ วบคมุ การโฆษณาโดยใชเ้ ครอื่ งขยายเสยี ง พ.ศ. ๒๔๙๓. (๒๔๙๓). ราชกิจจานเุ บกษา. เล่มที่ ๘, ตอนที่ ๑๗๒ (๗ กมุ ภาพันธ์). พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำาเลย ในคดอี าญา พ.ศ. ๒๕๔๔. (๒๕๔๔). ราชกจิ จานเุ บกษา. เลม่ ที่ ๑๑๘, ตอนที่ ๑๐๔ ก (๑๒ พฤศจิกายน). พระราชบญั ญัติคุ้มครองเดก็ พ.ศ. ๒๕๔๖. (๒๕๔๖). ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ ๑๒๔, ตอนที่ ๗๒ ก (๒ ตุลาคม): ๑๒. พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำาด้วยความรนุ แรงในครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๐. (๒๕๕๐). ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ ๑๒๔, ตอนที่ ๔๑ ก (๑๔ สิงหาคม): ๑. พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒. (๒๕๒๒). ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ ๙๖, ตอนที่ ๘ ฉบบั พิเศษ (๒๙ มกราคม): ๑. พระราชบัญญัติตำารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗. (๒๕๔๗). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม ๑๒๑, ตอนที่ ๑๘ก (๑๔ กมุ ภาพันธ์): ๑. พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑. (๒๕๕๑). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม ๑๒๕, ตอนที่ ๒๙ ก (๖ กุมภาพันธ์): ๒๘. 201
ค่ม ก�ร ิ ัติง�น ง �หน�ทต�ำ ร ต�มห กั สิทธิมนษุ ยชน พระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๑๙. (๒๕๑๙). ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ ๙๓, ตอนที่ ๑๔๔ ก (๑๙ พฤศจิกายน). พระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕. (๒๕๔๕). ราชกิจจานเุ บกษา. เล่มที่ ๑๑๙, ตอนที่ ๙๖ ก (๓๐ กนั ยายน): ๒๖. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔. (๒๕๓๔). ราชกจิ จานเุ บกษา. เลม่ ๑๐๘, ตอนที่ ๑๕๖ ฉบบั พเิ ศษ (๔ กนั ยายน): ๑. พระราชบญั ญตั ศิ าลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓. (๒๕๕๓). ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ ๑๒๔, ตอนที่ ๗๒ ก (๒๒ มิถนุ ายน): ๑๒. พระราชบญั ญตั สิ ่งเสรมิ และพฒั นาคณุ ภาพชิวิตคนพกิ าร พ.ศ. ๒๕๕๐. (๒๕๕๐). ราชกิจจานเุ บกษา. เล่มที่ ๑๒๔, ตอนที่ ๖๑ ก (๒๗ กันยายน). พระราชบญั ญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๔๙๙. (๒๔๙๙). ราชกิจจา นุเบกษา. เล่มที่ ๗๓, ตอนที่ ๙๕ ฉบบั พิเศษ (๑๕ พฤศจิกายน): ๑. ระเบียบสำานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิบัติและประสานงานกรณีทหารถูกหา ว่ากระทำาความผิดอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ ๑๑๘, ตอนพิเศษ ๑๑๘ ง (๓๐ พฤศจิกายน): ๑. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐. (๒๕๕๐). ราชกิจจา นเุ บกษา. เล่ม ๑๒๔, ตอนที่ ๔๗ ก (๒๔ สิงหาคม): ๑. วิเชียร ดิเรกอุดมศักดิ์.(๒๕๕๔). วิ. อาญาพิสดาร เล่ม ๑ (ฉบับปรับปรุงใหม่ ปี ๒๕๕๔). กรุงเทพฯ: แสงจนั ทร์การพิมพ์. วินัย เลิศประเสริฐ. (๒๕๕๓). วิธีไล่สายกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (เล่มที ่ ๓). กรงุ เทพฯ: อินเตอร์บคุ ส์. วีรพล กุลบุตร (๒๕๔๘).กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และคำาสั่งเกี่ยวกับ การค้น การจบั และการควบคมุ .กรงุ เทพฯ: ธนรุ่งชัย. 202
ส�ำ นักง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนษุ ยชนแห่งช�ติ ศูนย์ปฏิบัติการสำานักงานตำารวจแห่งชาติ. (๒๕๕๓). บทเรียนการปฏิบัติงาน ควบคมุ ฝงู ชนของตาำ รวจ ป ี พ.ศ. ๒๕๕๓. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พต์ าำ รวจ. ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสนั ติวิธี มหาวิทยาลยั มหิดล. (๒๕๔๙). รายงานการศึกษา “เรอื่ ง สทิ ธเิ สรภี าพขนั้ พนื้ ฐานตามกรอบรฐั ธรรมนญู ในบรบิ ทของสงั คม ไทยและมาตรฐานสากลระหวา่ งประเทศดา้ นสทิ ธมิ นษุ ยชน”. อดั สาำ เนา. สภารา่ งรฐั ธรรมนญู . (๒๕๕๐). รา่ งรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สภารา่ งรฐั ธรรมนญู . (๒๕๕๐). รา่ งรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สมชาย พงษ์พฒั นาศิลป์ และเผ่าพนั ธ์ ชอบน้ำาตาล. (๒๕๕๒). ประมวลกฎหมาย อาญา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์. กรุงเทพฯ: เจริญรัฐ การพิมพ์. สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์ และเผ่าพันธ์ุ ชอบน้ำาตาล. (๒๕๕๓). ประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธี พิจารณาความอาญาในศาลแขวง. กรุงเทพฯ: เจริญรฐั การพิมพ์. สมชาย พงษ์พฒั นาศิลป์ และเผ่าพนั ธ์ุ ชอบนำ้าตาล. (๒๕๕๓). ประมวลกฎหมาย อาญา. กรเุ ทพฯ: เจริญรัฐการพิมพ์. สกั กอแสงเรือง และบุญทรง พฤกษาพงษ์. (๒๕๕๓). ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา. กรงุ เทพฯ: นติ บิ รรณการ. สญั ญา บวั เจริญ และคณะ. (๒๕๕๔). รายการวิจัย “เรื่องสาเหตุการละเมิดสิทธิ มนษุ ยชนในกระบวนการยตุ ิธรรมของเจ้าหน้าที่ตำารวจ”. อดั สาำ เนา. สำานักงานตำารวจแห่งชาติ. (๒๕๔๕). “เรื่องแนวทางในการปฏิบัติเกี่ยวกับการขอ ใหศ้ าลออกหมายจบั หมายคน้ และหมายขงั สาำ หรบั บคุ คลทอี่ ยใู่ นอาำ นาจ ศาลทหาร”. หนังสือ ที่ ๐๐๐๔.๖/๑๓๒๐๕ ลงวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๔๕. อดั สาำ เนา. 203
ค่ม ก�ร ิ ัติง�น ง �หน�ทต�ำ ร ต�มห กั สิทธิมนุษยชน สำานักงานตำารวจแห่งชาติ. (๒๕๔๙). “เรื่องกาำ หนดแนวทางการดำาเนินคดีอาญา กรณแี พทยถ์ กู กลา่ วหาวา่ ทาำ การตรวจรกั ษาผปู้ ว่ ย จนเปน็ เหตใุ หผ้ ปู้ ว่ ย เสียชีวิต”. หนังสือ ที่ ๐๐๓๑.๒๑๒/ว ๙๑ ลงวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๙. อดั สำาเนา. สาำ นกั งานตาำ รวจแหง่ ชาต.ิ (๒๕๕๒). การจดั การเหตชุ มุ นมุ เรยี กรอ้ ง หนา้ พระลาน พ.ศ. ๒๕๐๕. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ตาำ รวจ. สำานกั งานตาำ รวจแห่งชาติ. (๒๕๕๒). แผนรักษาความสงบ. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์ ตำารวจ. สำานักงานตำารวจแห่งชาติ. (๒๕๕๕). คู่มือฉบับตำารวจตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วย ประมวลจรยิ ธรรมและจรรยาบรรณของตาำ รวจ พ.ศ. ๒๕๕๑ (แกไ้ ข ตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของ ตาำ รวจ (ฉบับ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓. สถานที่พิมพ์: ไม่ปรากฏ. สาำ นกั งานตาำ รวจแหง่ ชาต.ิ (๒๕๕๕). แผนปฏบิ ตั ริ าชการ สาำ นกั งานตาำ รวจแหง่ ชาติ ประจาำ ปีงบประมาณ พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๕. อัดสาำ เนา. สำานักงานตำารวจแห่งชาติและสภาทนายความ. (๒๕๔๒). ข้อตกลงระหว่าง สาำ นกั งานตาำ รวจแหง่ ชาติกบั สภาทนายความเรือ่ งแนวทางปฏบิ ตั ิ กรณีผู้ต้องหาใช้สิทธิให้ทนายความเข้าฟังการสอบสวนปากคำา ของตนตามรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๐ มาตรา ๒๔๑. อดั สาำ เนา. สาำ นกั นายกรฐั มนตร.ี (๒๕๔๔). การปฏบิ ตั แิ ละประสานงานกรณที หารถกู กลา่ ว หาวา่ กระทาำ ผิดอาญา. อัดสำาเนา. สุญานี ยอดดำาเนิน. (๒๕๕๕). อนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย (๑๙๕๑). (ออนไลน)์ . เขา้ ถงึ ไดจ้ าก: http://www.learners.in.th/ blogs/posts/515909. (วนั ที่เข้าถึงข้อมลู ๓ มิถุนายน ๒๕๕๖). หยดุ แสงอทุ ัย. (๒๕๕๕). ความร้เู บื้องตน้ เกี่ยวกบั กฎหมายท่วั ไป. กรงุ เทพฯ: ฐานการพิมพ์ จาำ กดั . 204
สำ�นกั ง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนุษยชนแห่งช�ติ องค์การสหประชาชาติ นิวยอร์กและเจนีวา. (๒๐๐๔). มาตรฐานและการปฏิบัติ ทางดา้ นสทิ ธมิ นษุ ยชน สาำ หรบั เจา้ หนา้ ทตี่ าำ รวจคมู่ อื สทิ ธมิ นษุ ยชน ฉบับเพิ่มเติม สำาหรับเจ้าหน้าที่ตำารวจ แปลจากเรื่องการฝึกอบรม วิชาชีพ Series No.5 / Add.3 โดย สำานักงานคณะกรรมการสิทธิ มนุษยชนแห่งชาติ. สถานทีพ่ ิมพ์: ไม่ปรากฏ. ภาษาองั กฤษ Child Rights Center Commission on Human Rights of The Philippines. (2009). Respect, Protect, Promote and Fulfill The Rights of The Children. Philippines: Sida. High Commissioner for Human Rights Centre for Human Rights. (2000). Professional Training Series (no.6) Human Rights Training: A Manual on Human Rights Training Methodology. New York: United Nations Publication. International Committee of the Red Cross. (2002). Human Rights and Humanitarian Law in Professional Policing Concepts. Switzerland: ICRS. Office of the United Nations High Commissioner for Human Rights (2004). Professional Training Series (no.5/add.3) Human Rights Standards and Practice for the Police. New York: United Nations Publication. Siegel, Larry. (2000). Criminology. Wadsworth. 205
ค่ม ก�ร ิ ตั ิง�น ง �หน�ทต�ำ ร ต�มห ักสิทธิมนุษยชน The Philippines National Police Human Rights Affairs Office. (2009). PNP Guide Book on Human Rights-Based Policing. The Philippines. UNHCR/ The UN Refugee Agency. (2012). UN Refugee Agency Concerned over Treatment of Asylum-Seekers in Unkraine. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก http://www.un.org/apps/news/story.asp?News ID=41106&Cr=unhcr&Cr1 (วันที่เข้าถึงข้อมูล ๓ มิถุนายน ๒๕๕๖). United Nations High Commissioner Refugees. (2012). States Parties to the 1951 Convention Relation to the Status of Refugees and the 1967 Protocol. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก http://www.unhcr. org/protect/ PROTECTION/3b73b0d63.pdf. (วันที่เข้าถึงข้อมูล ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕). United Nations. (2012). International Covenant on Civil and Political Rights 1996. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก http://www.ohchr.org/ English/law/ccpr.htm. (วนั ทีเ่ ข้าถึงข้อมลู ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕). United Nations. (2012). The Universal Declaration of Human Rights. (ออนไลน)์ . เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.un.org/en/documents/udhr/index. shtml. (วนั ที่เข้าถึงข้อมูล ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕). United Nations. (2012). UN Basic Principles on the Use of Forces and Firearms by Law Enforcement Officials. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก http://www2.ohchr.org/english/law/firearms.htm. (วันที่เข้าถึงข้อมูล ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕). 206
ส�ำ นกั ง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนุษยชนแห่งช�ติ คณะท่ีปรึกษา คณะทำางานจัดทำาค่มู อื การปฏิบัติงาน ของเจ้าหนา้ ท่ตี าำ รวจตามหลกั สิทธิมนุษยชน 207
ค่ม ก�ร ิ ตั ิง�น ง �หน�ทต�ำ ร ต�มห กั สิทธิมนุษยชน ขจคอดัณงทะเาำทจคี่ป้ามู่หรือนึกก้าษทาารตี่คปำาณรฏวะิบทจัตาำ งิงาานน ตามหลกั สิทธมิ นษุ ยชน ๑. พล.ต.ต.วิสทุ ธิ์ เปล่งขำา ๒. พ.ต.อ.ดร.ณรชั ต์ เศวตนนั ท์ ๓. พ.ต.ท.วรรณพงศ์ คชรักษ์ ๔. ศ.พ.ต.อ.วีรพล กุลบตุ ร ๕. รศ.พ.ต.อ.ดร.ทิวลิป เครือมา ๖. พ.ต.ท.ดร.พงษ์ธร ธญั ญสิริ ๗. รศ.ดร.วริยา ชินวรรโณ 208
ส�ำ นกั ง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนุษยชนแห่งช�ติ คณะทำางาน จดั ทาำ คมู่ ือการปฏิบตั งิ านของเจ้าหน้าท่ตี าำ รวจ ตามหลกั สทิ ธิมนษุ ยชน 209
ค่ม ก�ร ิ ตั ิง�น ง �หน�ทต�ำ ร ต�มห กั สิทธิมนุษยชน คขอณงเะจทา้ าำหงนาา้ นทตจี่ าำดั รทวาำจคตมู่ามอื หกลากั รสปทิ ฏธมิบิ นตั ษุ งิยาชนน สุริยะมณี หวั หน้าคณะทำางาน ๑. รศ.ดร.ชาญคณิต กฤตยา คณะทำางาน ๒. ศ.พล.ต.ต.ดร.พิศาล มุขแจ้ง คณะทาำ งาน ๓. พ.ต.อ.มานะ เผาะช่วย คณะทำางาน ๔. พ.ต.อ.สมั ฤทธิ์ เกตแุ ย้ม คณะทำางาน ๕. พ.ต.อ.เฉลิมชยั สรุ ิยะมณี คณะทำางาน แก้วช้าง คณะทำางาน ๖. พ.ต.ท.พร พทุ ธิยาวัฒน์ คณะทำางาน ๗. พ.ต.ท.รุ่งโรจน์ ปัญญาพร คณะทำางาน ๘. พ.ต.ท.พิทักษ์ คณะทำางาน กลาำ่ สุ่ม คณะทำางาน ๙. พ.ต.ท.ดนุ ชืน่ สมบัติ คณะทำางาน ๑๐. พ.ต.ท.หญิง ชนิดา วรรณฉวี คณะทำางาน ๑๑. พ.ต.ท.หญิง ฉตั รแก้ว แดนมะตาม ๑๒. พ.ต.ท.หญิง กัญญา เอีย่ มเจริญยิง่ คณะทำางาน วชั รากูล คณะทำางาน ๑๓. พ.ต.ท.สธุ ี คณะทำางาน ๑๔. พ.ต.ท.ธีรพงษ์ รถทอง คณะทำางาน สวรรยาธิปตั ิ คณะทำางาน ๑๕. พ.ต.ท.แมน อุบลเวช ๑๖. ดร.เสกสิทธิ์ สังสุทธิ ๑๗. นายวรวฒุ ิ ๑๘. นางสาวพิมพ์หทัย 210
สำ�นักง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนุษยชนแห่งช�ติ คณะกรรมการสทิ ธมิ นษุ ยชนแห่งชาติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เป็นองค์กรอื่น ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๕๖ และมาตรา ๒๕๗ ประกอบด้วย ประธานกรรมการ ๑ คน และกรรมการอื่น อีก ๖ คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำาแนะนำาของวุฒิสภา ตามรายชื่อที่คณะกรรมการสรรหาเสนอ มีวาระดำารงตำาแหน่ง ๖ ปี และดาำ รงตาำ แหน่งได้วาระเดียว อำานาจหนา้ ท่ี ๑. ตรวจสอบและรายงานการกระทำา หรือการละเลยการกระทำา อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรืออันไม่เป็นไปตามพันธกรณี ระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี และเสนอ มาตรการการแก้ไขทีเ่ หมาะสมต่อบคุ คลหรือหน่วยงานทีก่ ระทาำ หรือละเลย การกระทำาดังกล่าวเพื่อดำาเนินการ ในกรณีที่ปรากฏว่าไม่มีการดำาเนินการ ตามที่เสนอให้รายงานต่อรัฐสภาเพือ่ ดำาเนินการต่อไป 211
ค่ม ก�ร ิ ัติง�น ง �หน�ทต�ำ ร ต�มห กั สิทธิมนุษยชน ๒. เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่ เห็นชอบตามที่มีผู้ร้องเรียนว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกระทบ ต่อสิทธิมนุษยชนและมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาล รฐั ธรรมนูญ ๓. เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง ในกรณีที่ เห็นชอบตามที่มีผู้ร้องเรียนว่า กฎ คำาสั่ง หรือการกระทำาอื่นใดในทาง ปกครองกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วย รัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง ๔. ฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหาย เมื่อได้รับการร้องขอ จากผู้เสียหายและเป็นกรณีที่เห็นสมควร เพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิด สิทธิมนุษยชนเปน็ ส่วนรวม ทั้งนี้ ตามกฎหมายบญั ญัติ ๕. เสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ ต่อรัฐสภา หรือคณะรัฐมนตรีเพื่อส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ๖. ส่งเสริมการศึกษา การวิจัย และการเผยแพร่ความรู้ด้าน สิทธิมนษุ ยชน ๗. ส่งเสริมความร่วมมือและการประสานงานระหว่างหน่วยราชการ องค์การเอกชน และองค์การอื่นในด้านสิทธิมนุษยชน ๘. จดั ทาำ รายงานประจาำ ปเี พอื่ ประเมนิ สถานการณด์ า้ นสทิ ธมิ นษุ ยชน ภายในประเทศและเสนอต่อรฐั สภา 212
ส�ำ นักง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนษุ ยชนแห่งช�ติ ๙. อาำ นาจหน้าทีอ่ ื่นตามทีก่ ฎหมายบญั ญัติ ในการปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ คณะกรรมการสทิ ธมิ นษุ ยชนแหง่ ชาติ ตอ้ งคำานงึ ถงึ ผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติและประชาชน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีอำานาจเรียกเอกสารหรือ หลักฐานที่เกี่ยวข้องจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคำารวมทั้ง มีอาำ นาจอืน่ เพือ่ ประโยชน์ในการปฏิบตั ิหน้าที่ ทั้งนี้ ตามทีก่ ฎหมายบัญญตั ิ 213
ค่ม ก�ร ิ ัติง�น ง �หน�ทต�ำ ร ต�มห ักสิทธิมนษุ ยชน (สำาเนา) ประกาศ แตง่ ตง้ั ประธานกรรมการ และกรรมการสทิ ธิมนษุ ยชนแหง่ ชาติ (พระปรมาภไิ ธย) ภมู ิพลอดุลยเดช ปร. พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช มพี ระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่าโดยที่วุฒิสภาได้ลงมติ เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๒ ให้ความเห็นชอบผู้ซึ่งมีความรู้ หรือประสบการณ์ด้านการคุ้มครอง สิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นที่ประจักษ์ ท้ังนี้ โดยคาำ นึงถึงการมีส่วนร่วม ของผู้แทนจากองค์การเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนด้วยจำานวนเจ็ดคนให้เป็น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และบคุ คลทั้งเจด็ คนได้ประชมุ เลือกกนั เอง ให้คนหนึ่งเปน็ ประธานกรรมการสิทธิมนษุ ยชนแห่งชาติแล้ว อาศัยอำานาจตามความในมาตรา ๒๕๖ ของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจกั รไทย จึงทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ แต่งต้ังประธานกรรมการ และกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามคาำ แนะนำาของวุฒิสภา ดงั ต่อไปนี้ 214
ส�ำ นกั ง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนุษยชนแห่งช�ติ ๑. นางอมรา พงศาพิชญ์ น ระธ�นกรรมก�ร สิทธิมนุษยชนแห่งช�ติ ๒. นายแท้จริง ศิริพานิช นกรรมก�ร ๓. นายนิรันดร์ พิทกั ษ์วชั ระ สิทธิมนษุ ยชนแห่งช�ติ ๔. นายปริญญา ศิริสารการ นกรรมก�ร สิทธิมนุษยชนแห่งช�ติ ๕. นายไพบลู ย์ วราหะไพฑูรย์ นกรรมก�ร ๖. พลตาำ รวจเอก วันชัย ศรีนวลนดั สิทธิมนษุ ยชนแห่งช�ติ ๗. นางวิสา เบญ็ จะมโน นกรรมก�ร สิทธิมนุษยชนแห่งช�ติ นกรรมก�ร สิทธิมนุษยชนแห่งช�ติ นกรรมก�ร สิทธิมนษุ ยชนแห่งช�ติ ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ ๒๕ มิถนุ ายน พุทธศกั ราช ๒๕๕๒ เป็นปีที่ ๖๔ ในรชั กาลปจั จบุ ัน ผู้รบั สนองพระบรมราชโองการ นายประสพสขุ บุญเดช ประธานวฒุ ิสภา 215
ค่ม ก�ร ิ ัติง�น ง �หน�ทต�ำ ร ต�มห กั สิทธิมนุษยชน กา¡รÒรÃอ้ÃŒÍง§เรàÃยี ÂÕ น¹เมàÁ่ือ×Íè ถ¶ูก¡Ù ลÅะÐàเÁม´Ôดิ Êส·Ô ิท¸ธÔÁิม¹นÉØ ุษÂยªช¹น ผู้ร้อง ได้แก่ ส นักงานคณะกรรมการ ผู้ถกู ละเมิด หรือผู้แทน สิทธิมนษุ ยชนแห่งชาติ ผู้พบเห็นการละเมิด กรรมการฯ คนใดคนหนึง่ ร้อง องค์การเอกชน เรียน ด้านสิทธิมนษุ ยชน มายงั ที่คณะกรรมการฯ ก หนด สถานที่ติดต่อ ร้อง ทางจดหมาย ศนู ย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เรียน ทางโทรศัพท์ ๘๐ พรรษา ๕ ธนั วาคม ๒๕๕๐ โดย ด้วยตนเอง ณ ส นักงาน อาคารรัฐประศาสนภกั ดี คณะกรรมการ ชั้น ๖ และ ๗ ถนนแจ้งวฒั นะ ร้อง สิทธิมนษุ ยชนแห่งชาติ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ เรียน ทางโทรสาร กรงุ เทพมหานคร ๑๐๒๑๐ โดย ส่งข้อความทางสือ่ โทรศพั ท์ ๐ ๒๑๔๑ ๓๘๐๐ ระบุ อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) หรือสือ่ อืน่ ๆ ๐ ๒๑๔๑ ๓๙๐๐ โทรสาร ๐ ๒๑๔๓ ๙๕๗๕ ชือ่ ทีอ่ ยู่ของผู้ร้องเรียนหรือ สายด่วน ๑๓๗๗ ผู้ท การแทน E-mail : help nhrc.or.th ที่สามารถติดต่อกลับได้ Homepage : www.nhrc.or.th ชือ่ ทีอ่ ยู่ บคุ คลหรือหน่วยงาน ทีเ่ ปน็ ผู้ละเมิด รายละเอียดการกระท หรือ เหตุการณ์ที่มีการละเมิด 216
สำ�นกั ง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนุษยชนแห่งช�ติ กระบว¡ÃนкกÇา¹ร¡ÒตÃรµÃวÇจ¨ÊสÍอºบàÃÍ×èเร§ื่อÃŒÍง§รàÃ้อÂÕ ¹งเรยี น ส นักงานคณะกรรมการ องค์กรเครือข่ายด้านสิทธิ กรรมการสิทธิมนุษยชน ส่งเรื่องให้องคก์ รที่มีอ นาจหนา้ ที่ สิทธิมนษุ ยชนแห่งชาติ มนษุ ยชนทีค่ ณะกรรมการ แห่งชาติหยิบยก พิจารณา สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รบั เรือ่ งร้องเรียน/ ก หนดส่งเรือ่ งร้องเรียน กรณีละเมิดสิทธิมนษุ ยชน หากไม่ด เนินการหรือไม่รับเรื่อง รวบรวมข้อมูล ขึ้นพิจารณา จากผู้ร้องเรียน ให้พิจารณา คณะกรรมการฯ อาจรับเรื่องกลบั มาพิจารณา หากเรื่องน้ันอยู่ในอ นาจหน้าที่ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ไมม่ ีมูลหรือไมอ่ ยู่ในอ นาจหน้าที่ พิจารณาเบื้องต้น คณะกรรมการฯ แจ้งผู้ร้องและอาจแจ้ง หน่วยงานทีร่ บั ผิดชอบให้แก้ไข มีมูลและอยู่ในอ นาจหน้าที่ คณะกรรมการฯ พิจารณามอบหมาย คณะอนุกรรมการพิจารณาด เนินการตรวจสอบ ด เนินการไกล่เกลีย่ ในกรณีที่เห็นว่าไกล่เกลีย่ ได้ ผู้เกี่ยวข้องทกุ ฝ่ายชี้แจง และท บันทึกข้อตกลงระหว่างคู่กรณี และเสนอพยานหลกั ฐานประกอบการตรวจสอบ ถ้าไม่เปน็ ไปตามข้อตกลง น กลบั มาตรวจสอบใหม่ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พิจารณารายงานการตรวจสอบ หรือให้ความเห็นชอบบนั ทึกขอ้ ตกลง ไกล่เกลีย่ ของคณะอนกุ รรมการ มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่รบั รองหรือค้มุ ครองตาม รวบรวมบทเรียน การด เนินงานตรวจสอบ รฐั ธรรมนูญ หรือตามกฎหมายไทยหรือตามพันธกรณี เรือ่ งร้องเรียนเพื่อ ระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ๑. จดั ท รายงานประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน คณะกรรมการฯ จดั ท รายงานตรวจสอบและเสนอมาตรการ ประจ ปี แก้ไขปัญหาให้หน่วยงานหรือบุคคลทีม่ ีหน้าทีน่ ไปปฏิบตั ิ ภายในระยะเวลาทีก่ หนด รวมท้ังแจ้งให้ผู้ร้องทราบผล ๒. เสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย ต่อรัฐบาล รัฐสภา เพือ่ ส่งเสริมคุ้มครองสิทธิมนุษยชน หากไม่มีการแก้ไขตามระยะเวลาที่ก หนด ๓. ศึกษาวิเคราะห์สร้างองค์ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชน รายงานนายกรฐั มนตรีเพื่อสง่ั การ เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ความรู้ต่อสาธารณชน หากนายกรัฐมนตรีไม่ด เนินการ รายงานต่อรฐั สภา 217
ค่ม ก�ร ิ ัติง�น ง �หน�ทต�ำ ร ต�มห กั สิทธิมนษุ ยชน คาำ อธบิ ายความหมายของเครอ่ื งหมาย รปู ทรงดอกบัว คือ ความมีคุณธรรม ความเอื้ออาทรระหว่าง เ พื่ อ น ม นุ ษ ย์ อั น เ ป็ น จ ริ ย วั ต ร อั น ดี ง า ม ของคนไทย รปู คนลอ้ มเปน็ วงกลม คือ การสร้างพลังความร่วมมือกับทุกภาคส่วน สงั คม เพอื่ เสรมิ สรา้ งวฒั นธรรมสทิ ธมิ นษุ ยชน ให้เป็นส่วนสำาคัญในกระบวนการพัฒนา ประเทศ รูปมือ คือ การร่วมมือกับทุกภาคส่วนของสังคม ท้ังใน ระดับประเทศและระหว่างประเทศ ในการ โอบอมุ้ คมุ้ ครองศกั ดศิ์ รคี วามเปน็ มนษุ ย์ สทิ ธิ และเสรีภาพ ด้วยหลักแห่งความเสมอภาค และภราดรภาพ สีน้าำ เงิน คือ สีของความเชื่อม่ันของประชาชนและทุก ภาคส่วนของสงั คม คือ ความมงุ่ มน่ั อดทนในการทาำ งานเพอื่ ประชาชน คือ ความสามัคคี และการประสานพลังอย่าง หนกั แนน่ จากทกุ ภาคสว่ นของสงั คม เพอื่ เสรมิ สร้างวัฒนธรรม สิทธิอืน่ ๆ ในสงั คมไทย 218
คณะกรรมการสทิ ธมิ นษุ ยชนแหง่ ชาติ (กสม.) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธนั วาคม ๒๕๕๐ อาคารรัฐประศาสนภักดี ชั้น ๖ และ ๗ ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ๑๐๒๑๐ โทรศัพท์ ๐ ๒๑๔๑ ๓๘๐๐ โทรสาร ๐ ๒๑๔๓ ๙๕๗๖ E-mail : help nhrc.or.th www : nhrc.or.th สายด่วนร้องเรียน ๑๓๗๗ hotline 1377
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244