Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวิชาภูมิศาสตร์

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวิชาภูมิศาสตร์

Published by kookik2515, 2023-07-03 05:28:50

Description: ilovepdf_merged

Search

Read the Text Version

การพฒั นาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน สาระวิชาภูมศิ าสตร์ เร่ือง ลักษณะทวั่ ไป ของทวีปเอเชีย ของนักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 โดยใชว้ ธิ ีการสอน แบบกระบวนการทางภมู ศิ าสตร์ รัตตยิ า วาดเขียน รายงานการวจิ ยั ในช้ันเรยี นนเ้ี ปน็ สว่ นหนงึ่ ของการศกึ ษาตามหลกั สตู ร ครุศาสตรบณั ฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภฏั อุดรธานี 2565

ก ชอ่ื เรอื่ ง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรอื่ ง ลักษณะทวั่ ไปของทวปี เอเชีย ของนกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 ผวู้ ิจยั โดยใชว้ ิธีการสอนแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ อาจารยท์ ่ปี รึกษาหลกั อาจารยท์ ีป่ รึกษาร่วม นางสาวรัตตยิ า วาดเขียน คณุ ครูพเี่ ล้ยี ง ปรญิ ญา ผชู้ ่วยศาตราจารย์ ดร.ปุณรัตน์ พิพิธกลุ ปีการศึกษา ผ้ชู ว่ ยศาตราจารย์ ดร.วนิ ยั ภารเวช คณุ ครนู วลศริ ิ ศลิ ธรรม ครุศาสตรบัณฑิต 2565 บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบ กระบวนการทางภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไปของทวีปเอเชีย สาระวิชาภูมิศาสตร์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวชิ าภมู ศิ าสตร์ เร่อื ง ลักษณะทัว่ ไปของทวปี เอเชีย ของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 1 ท่ีเรียนด้วย กิจกรรมการเรยี นรู้โดยใชว้ ิธีการสอนแบบกระบวนการทางภูมิศาสตรร์ ะหว่างก่อนเรียนและหลงั เรยี น กลุ่มตวั อยา่ ง คือ นกั เรยี นระดบั ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรยี นเทศบาล 1 หนองใส ปีการศึกษา 2565 จำนวนนักเรยี น 42 คน ไดม้ าโดยการสมุ่ ตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) นวตั กรรมท่ีใช้ ในการศึกษา คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ โดยมีคา่ ดัชนคี วามสอดคลอ้ ง (IOC) อยรู่ ะหวา่ ง 0.67-1.00 2) แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ มีค่าความยากง่าย (p) อยู่ระหว่าง 0.39 – 0.76 ค่าอำนาจจำแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.21 – 0.58 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.87 วิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานใช้ t-test Dependent Sample ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบ กระบวนการทางภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปเอเชีย สาระวิชาภูมิศาสตร์ ของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 1 มีสิทธิภาพเท่ากับ 88.76/86.35 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) ผลการเรียนรู้โดย ใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการทางภมู ิศาสตร์ เร่อื งลกั ษณะทั่วไปของทวีปเอเชีย สาระวิชาภูมิศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีค่าเฉลี่ยคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนยั สำคญั ทางสถิติทีร่ ะดบั .05

ข กิตติกรรมประกาศ รายงานวิจัยฉบบั นไี้ ดศ้ กึ ษาการพัฒนาแผนการจัดการเรยี นรู้ สาระวชิ าภูมศิ าสตร์ เรือ่ ง ลักษณะ ทั่วไปของทวีปเอเชีย โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาล 1 หนองใส อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งรายงาน วิจัยนี้ สำเร็จลงได้ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลือจาก ผศ.ดร.วินัย ภารเวช ประธานสาขาวิชา สังคมศึกษาและ อาจารย์ประจำสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี โดยท่านได้ให้คำแนะนำและคำปรึกษา พ ร ้ อ ม ท ั ้ ง ไ ด ้ ต ร ว จ ส อ บ ค ว า ม ถ ู ก ต ้ อ ง ข อ ง ร ู ป แ บ บ เ น ื ้ อ ห า ต ล อ ด จ น ก า ร เ ก ็ บ ร ว บ ร ว ม ข ้ อ มู ล และการสรุปผลการวิจัยจนสำเร็จออกมาเป็นรูปเล่มในขณะนี้ จัดทำรายงานวิจัยจึงขอขอบพระคุณ ท่านไว้ ณ ทีน่ ้เี ป็นอยา่ งสูง ขอขอบพระคุณผู้เชี่ยวชาญคุณครูนวลศิริ ศิลธรรม ครูพี่เลี้ยง หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม คุณครูประภาพรรณ พิลาจันทร์และคุณครูอมรรัตน์ ลาภโคกสูง ครูประจำการกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โรงเรียนเทศบาล 1 หนองใส จังหวัดอุดรธานี ที่กรุณาตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือในการวิจัยของข้าพเจ้าและขอขอบคุณ กล่มุ ตัวอยา่ ง คอื นักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 1/1 ทุก ๆ คนท่ใี หค้ วามร่วมมือในการทำวจิ ัยในคร้งั น้ี สุดท้ายนี้ ผู้วิจัยขอขอบพระคุณครอบครัว และทุก ๆ ท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้งานวิจัยฉบับนี้ สำเรจ็ ไปไดด้ ้วยดี รตั ติยา วาดเขยี น

ค สารบญั หน้า บทคดั ย่อ .................................................................................................................................. ก กิตตกิ รรมประกาศ ................................................................................................................... ข สารบญั ..................................................................................................................................... ค สารบญั ตาราง ........................................................................................................................... ฉ สารบัญภาพ .............................................................................................................................. ช บทที่ 1 บทนำ ................................................................................................................ 1 1.1 ความเป็นมาและความสำคญั ของปญั หา .............................................................. 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการวจิ ัย .................................................................................... 3 1.3 สมมตฐิ านของการวิจยั ........................................................................................ 3 1.4 ขอบเขตของการวิจัย ........................................................................................... 3 1.5 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ ................................................................................................ 5 1.6 ประโยชนท์ จี่ ะไดร้ บั ............................................................................................. 5 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ ก่ยี วข้อง............................................................................ 6 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 ................................ 6 2.2 หลักสตู รกลุม่ สาระการเรยี นรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม พทุ ธศักราช 11 2551 ........................................................................................................................... 13 2.3 ตัวชี้วัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรสู้ งั คมศึกษา ศาสนา 15 และวฒั นธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ......................................................................................................................... 2.4 กระบวนการทางภมู ิศาสตร์ .................................................................................

ง สารบญั (ตอ่ ) หน้า 2.3 แผนการจดั การเรยี นรู้ ............................................................................................ 18 2.4 ประสทิ ธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ ................................................................ 23 2.5 ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น ......................................................................................... 24 2.6 งานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วข้อง ................................................................................................ 25 2.7 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั ......................................................................................... 31 3 วธิ ดี ำเนินการวจิ ยั ................................................................................................ 32 3.1 ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง .................................................................................... 32 3.2 แบบแผนการวจิ ยั …............................................................................................... 33 3.3 เคร่อื งมือท่ีใช้ในการวิจัย ........................................................................................ 33 3.4 การสร้างและการหาคุณภาพของเคร่ืองมือ ............................................................ 34 3.5 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ........................................................................................... 36 3.6 การวิเคราะหข์ อ้ มลู ................................................................................................. 36 3.7 สถิติท่ใี ช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูล ............................................................................... 37 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู .......................................................................................... 41 ตอนท่ี 1 ผลการวเิ คราะห์หาประสทิ ธิภาพของแผนการจดั การเรยี นรู้ เรอื่ ง ลกั ษณะ ท่วั ไปของทวปี เอเชีย โดยใชว้ ธิ กี ารสอนแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ ของนักเรียน ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 ให้มปี ระสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 .......................................... 41 ตอนท่ี 2 ผลการเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนโดยใชว้ ิธีการสอนแบบ กระบวนการทางภมู ิศาสตร์ สาระวิชาภมู ิศาสตร์ เรอ่ื ง ลกั ษณะท่วั ไปของทวปี เอเชยี ของนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรยี น ............................ 46 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ....................................................................... 49 5.1 สรปุ ผลการวจิ ัย ...................................................................................................... 49

จ สารบัญ (ตอ่ ) 5.2 อภิปรายผล ............................................................................................................. หนา้ 5.3 ข้อเสนอแนะ ............................................................................................................ 50 เอกสารอ้างองิ .......................................................................................................................... 52 ภาคผนวก ................................................................................................................................ 54 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เช่ียวชาญที่ตรวจสอบคณุ ภาพเครื่องมือ ........................................ 57 ภาคผนวก ข เครื่องมอื ที่ใชใ้ นการวิจยั ............................................................................. 58 ภาคผนวก ค คุณภาพเคร่ืองมอื ท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ................................................................ 60 ภาคผนวก ง การวเิ คราะหข์ ้อมลู ..................................................................................... 77 ภาคผนวก จ ภาพบรรยากาศกจิ กรรมการเรียนการสอน.................................................. 92 ประวัตผิ ู้วจิ ัย ............................................................................................................................ 96 103

ฉ สารบัญตาราง ตารางท่ี หน้า 1 ตัวช้วี ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางภมู ศิ าสตร์ ............................................... 14 2 แบบแผนทใ่ี ชใ้ นการวิจัย .................................................................................... 33 3 ผลรวมของคะแนนระหว่างเรียนและคะแนนหลงั เรียนดว้ ยแผนการจัดการ เรียนรู้ โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ เรื่อง ลกั ษณะทวั่ ไป ของทวีปเอเชีย ของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 1............................................... 43 4 ประสทิ ธภิ าพของแผนการจดั การเรียนรูโ้ ดยใช้วธิ กี ารสอนแบบกระบวนการ ทางภูมิศาสตร์ เร่ือง ลักษณะทั่วไปของทวีปเอเชยี สาระวชิ าภมู ิศาสตร์ สำหรับนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 ใหม้ ีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ....... 45 5 คะแนนเฉลีย่ สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนโดยใชว้ ธิ ีการ สอนแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ เร่อื ง ลกั ษณะทว่ั ไปของทวปี เอเชีย ของ นักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ............................................................................. 46 6 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและทดสอบทีแบบไม่อิสระของ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น เรื่อง ลกั ษณะทั่วไปของทวีปเอเชยี ของนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 ............................................................................................... 48 7 แสดงการคำนวณค่า IOC เรื่อง ลักษณะท่วั ไปของทวปี เอเชีย โดยใชว้ ธิ กี ารสอน แบบกระบวนการทางภมู ิศาสตร์ จากผู้เช่ยี วชาญท้งั หมดของแผนการจดั การ เรียนรู้ ................................................................................................................. 78 8 ผลการประเมนิ ดัชนีความสอดคลอ้ ง (IOC) ของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี น ...................................................................................................... 83 9 วิเคราะหค์ ่าความยาก (p) ค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ เร่อื ง ลกั ษณะทัว่ ไปของทวีปเอเชีย โดยใช้วิธกี ารสอนแบบกระบวนการทาง ภมู ศิ าสตร์ .......................................................................................................... 85 10 คะแนนท่กี ลมุ่ ตัวอย่าง ( Try out ) ท่ีทำแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการ เรยี นรู้ การหาค่าความเชอ่ื มัน่ ของแบบทดสอบ จากการนำ แบบทดสอบ เรื่อง ลักษณะทว่ั ไปของทวปี เอเชีย จำนวน 40 ขอ้ ไปทดสอบกบั นกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 ทเ่ี คยเรียนวิชานีม้ าแลว้ 33 คน ............................................. 88 11 วเิ คราะห์ค่าความเชือ่ มัน่ ของแบบวัดความสามารถในการคิดวเิ คราะหจ์ ากการ เรยี นโดยใชว้ ิธีการสอนแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์สูตรคำนวณ KR – 20 .. 90

ช สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย ................................................................................... 31 2 ผลการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (T-test Dependent or Paired samples T- test) โดยโปรแกรมสำเรจ็ ทางสถติ ิ (Srat14t-testPaired) ………………………….. 93 3 การทำข้อสอบก่อนเรียน ................................................................................... 97 4 การทำข้อสอบก่อนเรียน ................................................................................... 97 5 การตัง้ คำถามทางภูมิศาสตร์ .............................................................................. 98 6 ศึกษารวบรวมข้อมูล ......................................................................................... 99 7 ศึกษารวบรวมข้อมลู ......................................................................................... 99 8 นำเสนอผลงานกล่มุ .......................................................................................... 100 9 นำเสนอผลงานกลุ่ม ........................................................................................... 100 10 ผลงานนกั เรียน .................................................................................................. 101 11 ผลงานนกั เรียน .................................................................................................. 101 12 ตัวอยา่ งใบงานนักเรียน ...................................................................................... 102

1 บทท่ี 1 บทนำ 1.1 ความเปน็ มาและความสำคญั ของปญั หา ปัจจุบันโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งในด้านกายภาพ เศรษฐกิจ เทคโนโลยี สังคมและ วัฒนธรรม มนุษย์จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องปรับตวั และพฒั นาตนเองอยูเ่ สมอ เพื่อให้สามารถ รบั มอื กับความเปลี่ยนแปลงดงั กลา่ วได้ สง่ิ ตา่ ง ๆ เหลา่ นท้ี ำใหผ้ ้คู นไดม้ คี วามแตกต่างทางดา้ นความคิด ค่านิยม ความเชื่อ การคาดหวังต่อสังคม จึงกล่าวได้ว่ากระแสโลกาภิวัตน์กำลังเปลี่ยนแปลงโลกและ ชวี ิตของทุกคน ในดา้ นการจัดการศึกษาในประเทศเทศไทย ไดห้ นั มาให้ความสำคญั กับทักษะท่ีจำเป็น ต่อการดำรงชีวิตในยุคปัจจุบันหรือทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ตามที่ วิจารณ์ พานิช (2555: 16-21) กล่าวไว้ว่าในการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 จำเป็นต้องมีความรู้ในวิชาแกนหลัก ประกอบด้วย ภาษาแมแ่ ละภาษาสำคัญของโลก ศลิ ปะ คณิตศาสตร์ การปกครองและหน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และประวัติศาสตร์ โดยที่วิชาแกนหลักนี้จะนำมาสู่การกำหนดเป็นกรอบ แนวคิดและยุทธศาสตร์สำคัญต่อการจัดการเรียนรู้ในเนื้อหาเชิงสหวิทยาการ (Interdisciplinary) เพื่อส่งเสริมความเข้าใจในเนื้อหาวิชาแกนหลัก จะต้องสอดแทรกทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เข้าไปใน ทุกวิชาแกนหลัก โดยทักษะที่มีความเกี่ยวข้องกับรายวิชาสังคมศึกษานั้นมีดังนี้ ความรู้เกี่ยวกับโลก (Global Awareness) ความรู้เกี่ยวกับการเงิน เศรษฐศาสตร์ ธุรกิจและการเป็นผู้ประกอบการ ZFinancial, Economics, Business and Entrepreneurial Literacy) ความรู้ด้านการเป็นพลเมือง ที่ดี (Civic Literacy) ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Literacy) ทักษะด้านชีวิตและอาชีพ ในการดำรงชีวิตและทำงานในยุคปัจจุบันให้ประสบความสำเร็จ นักเรียนจะต้องพัฒนาทักษะชีวิตท่ี สำคญั เช่น ทักษะสงั คมและสังคมขา้ มวัฒนธรรม เป็นตน้ จากแนวคิดดงั กลา่ ว เห็นได้อย่างชดั เจนวา่ รายวิชาสังคมศึกษานนั้ มีความสำคัญ โดยเปน็ ท้ังวิชา แกนหลัก และทักษะจำเป็นในปัจจุบัน ซึ่งการให้ความสำคัญเกี่ยวกับการตระหนักรู้ และ ความรับผิดชอบต่อโลก และสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในรายวิชาภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์ซึ่งเป็น สาระการเรียนรู้หนึ่งในรายวิชาสังคมศึกษา จึงกลายเป็นรายวิชาที่มีบทบาทสำคัญในเวลาน้ี การจัดการ เรียนรู้ในรายวิชาภูมิศาสตร์ จึงเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่การสร้างทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ให้กบั นักเรียน เยาวชนท่กี า้ วเขา้ สู่การเปน็ พลเมอื งของโลกในอนาคต สำนักวิชาการและมาตรฐานศึกษา (2561) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งใช้มาเป็นเวลากว่า 9 ปี พบว่า สาระสำคัญของสาระภูมิศาสตร์ไม่เพียงพอ ต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และบางครั้งเกิดขึ้นโดยคาดการณ์ไม่ได้ ผู้เรียนจึงต้องมี ทักษะ กระบวนการและความสามารถทางภูมิศาสตร์ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีการทบทวนและ ปรับปรุงสาระภูมิศาสตร์ขึ้น สาระภูมิศาสตร์ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจลักษณะทางกายภาพของโลก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษยก์ ับสิ่งแวดล้อมท่ีก่อให้เกิดการสร้างสรรค์วิถีการดำเนินชวี ติ เพื่อให้รู้เทา่ ทัน

2 ปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสามารถใช้ทักษะ กระบวนการ ความสามารถ ทางภูมิศาสตร์ และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์จัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมตามสาเหตุและปัจจัย อันจะนำไปสู่การปรับใช้ในการดำเนินชีวิต ดังที่ ฐิติรัตน์ ปั้นบำรุงกิจ (2558: 335) กล่าวไว้ว่า การศกึ ษาด้านภมู ิศาสตร์จึงต้องใช้ความรู้เชิงสหวิทยาการเพื่อขยายองค์ความรู้ใหค้ รอบคลุมมิติในการ ดำเนินชีวิต ภูมิศาสตร์จึงไม่ใช่แค่การตอบโจทย์ของการเข้าใจพื้นที่บนโลก และกิจกรรมของมนุษ ย์ แต่ภูมิศาสตร์ยังสามารถช่วยจัดการ และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการใช้ เครอ่ื งมอื ทางภมู ศิ าสตร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศภูมศิ าสตร์ ดังนั้น ในการจัดการเรียนรู้ครูผู้สอนจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนของตนเองจากการเป็นผู้บอก ความรู้ให้จบไปในแต่ละภาคครั้งที่เข้าสอน มาเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน กล่าวคือเป็นผู้กระตุ้นส่งเสริมสนับสนุนและจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาให้เต็มศักยภาพ ความสามารถความถนัดและความสนใจในแต่ละบุคคลและต้องจัดกิจกรรมที่ฝึกให้ผู้เรียนได้ศึกษา ค้นคว้าและลงมือปฏิบัติจริงฝกึ การคิดวเิ คราะห์ วิจารณ์ สร้างสรรค์ และค้นพบตนเองโดยเน้นผู้เรยี น เปน็ สำคญั มากกวา่ เนือ้ หาวชิ า (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2551) จากการศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้ในรายวิชาภูมิศาสตร์ พบว่างานวิจัยในประเทศมักจะ นำรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบการบรรยายเข้ามาใช้ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทำให้ ผ้เู รยี นไม่เกิดการฝึกทักษะการคิดวเิ คราะห์และไม่สามารถต่อยอดความรู้ต่าง ๆ ได้ ทำให้นักเรียนขาด การแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง อีกทั้งภูมิศาสตร์เป็นรายวิชาที่ต้องเน้นการใช้ความจำ เนื่องจาก มีเน้อื หามาก เช่น ภมู ิภาค ทีต่ ง้ั ของประเทศ ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ ภมู ิอากาศ ของพ้นื ท่นี ัน้ ๆ ซึ่งทักษะ ดังกล่าวเป็นสิ่งที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ดังนั้น จึงจำเป็นต้องจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับ ยุคสมัยที่เปลีย่ นไป เพื่อการให้การเรียนรู้ของผู้เรียนมีความคงทนและสามารถนำมาปรับใช้กับบริบท ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มิใช่มองภาพลักษณ์ของวิชาภูมิศาสตร์กลายเป็นความเชื่อของสังคม ที่ว่า ภูมิศาสตร์เป็นวิชาท่อง ๆ จำ ๆ ผู้วิจัยจึงมีแนวคิดที่จะนำผู้วิจัยจึงมีแนวคิดที่จะนำการจัดการ เรียนรู้โดยการใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ ตามที่ระบุไว้ในตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระภูมิศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2560) ประกอบด้วย 1) การตั้งคำถามเชิงภูมิศาสตร์ 2) การรวบรวมข้อมูล 3) การจัดการข้อมูล 4) การวเิ คราะห์ขอ้ มูล 5) การสรปุ เพือ่ ตอบคำถาม ดังนั้นผู้วิจัยจึงใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ พัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไปของทวีปเอเชีย ให้แก่นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 เพื่อให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้นกั เรียนได้ฝึกการคดิ วิเคราะห์ และเกิดกระบวนการคิด การตั้งคำถาม การให้ เหตุผลอย่างเข้าใจ เกิดการสร้างประสบการณ์ด้วยตนเอง และมีการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ โดยใช้ วิธีการและแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลายมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ภูมิศาสตร์ และนำไปใช้ใน ชีวิตประจำวนั ได้อย่างมีประสทิ ธิภาพตอ่ ไป

3 1.2 วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย ในการวจิ ัยครั้งนี้ กำหนดวตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั ดงั น้ี 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไปของทวีปเอเชีย สาระวิชาภูมิศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้มี ประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไปของทวีป เอเชีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบ กระบวนการทางภูมิศาสตร์ ระหวา่ งก่อนเรียนและหลังเรียน 1.3 สมมติฐานของการวจิ ยั 1) ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ ของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 1 มีประสทิ ธิภาพตรงตามเกณ์ 80/80 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบ กระบวนการทางภูมศิ าสตร์มผี ลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นสาระวชิ าภูมศิ าสตร์ หลงั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี น ที่ ระดับนัยสำคญั .05 1.4 ขอบเขตของการวจิ ัย 1) เนอื้ หาทใ่ี ชใ้ นการวิจัย เนื้อหาที่ผู้วิจัยนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในครั้งนี้คือ สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไปของทวีปเอเชีย ระดับชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ข้นั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 มรี ายละเอยี ดดงั นี้ 1.1) การปฐมนเิ ทศและทดสอบก่อนเรียน จำนวน 1 ชั่วโมง 1.2) ลกั ษณะทางกายภาพของทวปี เอเชยี (ทำเลทตี่ ัง้ และอาณาเขต) จำนวน 1 ชว่ั โมง 1.3) ลกั ษณะทางกายภาพของทวีปเอเชยี (ลกั ษณะภูมิประเทศ) จำนวน 1 ช่วั โมง 1.4) ลกั ษณะทางกายภาพของทวีปเอเชีย (ลักษณะภมู อิ ากาศและพชื พรรณธรรมชาติ) จำนวน 1 ช่ัวโมง 1.5) ลักษณะทางกายภาพของทวปี เอเชยี (ลักษณะทรพั ยากรธรรมชาต)ิ จำนวน 1 ชัว่ โมง 1.6) ลกั ษณะประชากร สังคมและวัฒนธรรมของทวปี เอเชยี จำนวน 1 ชัว่ โมง

4 1.7) ลักษณะประชากร สงั คมและวฒั นธรรมของทวปี เอเชยี (ตอ่ ) จำนวน 1 ชัว่ โมง 1.8) ลักษณะทางเศรษฐกจิ ของทวีปเอเชีย จำนวน 1 ชว่ั โมง 1.9) ลกั ษณะทางเศรษฐกิจของทวีปเอเชยี (ต่อ) จำนวน 1 ช่วั โมง 1.10) ทดสอบหลังเรียน จำนวน 1 ชั่วโมง 2) ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง 2.1) ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาล 1 หนองใส สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จำนวน 2 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 83 คน 2.2) กลุม่ ตวั อย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน เทศบาล 1 หนองใส สำนกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาอดุ รธานี เขต 1 ซ่ึงกลมุ่ ตวั อย่าง ได้มาจากการใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง ( Purposive sampling ) จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน นักเรยี น 42 คน 3) ตัวแปรทศ่ี ึกษา 3.1) ตัวแปรต้น คือ กจิ กรรมการเรียนรูโ้ ดยใช้วธิ ีการสอนแบบกระบวนการทางภูมศิ าสตร์ 3.2) ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนสาระวชิ าภมู ิศาสตร์ เรือ่ ง ลกั ษณะทว่ั ไปของทวีปเอเชีย ของ นักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 4) ระยะเวลาทใ่ี ชใ้ นการวิจัย ผ้วู จิ ัยดำเนินการทดลองในปกี ารศกึ ษา 2565 สาระวชิ าภมู ิศาสตร์ เร่อื ง ลักษณะทั่วไปของ ทวปี เอเชยี ตามแผนการจัดการเรยี นรู้ 2 ชว่ั โมงตอ่ สัปดาห์ จำนวน 10 แผน ใช้เวลา 10 ชัว่ โมง

5 1.5 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ หมายถึง การ ดำเนินการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสังเคราะห์ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ วิธีการสอนแบบ กระบวนการทางภูมศิ าสตร์ ประกอบด้วยข้ันตอนการดำเนนิ การ 5 ขน้ั ตอน ดงั นี้ 1) การตัง้ คำถามเชิง ภูมิศาสตร์ 2) การรวบรวมข้อมูล 3) การจัดการข้อมูล 4) การวิเคราะห์ข้อมูล 5) การสรุปข้อมูลเพื่อ หาคำตอบ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน (Achievement) หมายถึง ระดบั ความสำเรจ็ ที่ไดจ้ ากความสามารถ ทางร่างกายหรือสมอง ซึ่งวัดได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้วิจัยได้สร้างข้นึ ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดซึ่งเป็นข้อสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ขอ้ นักเรียน หมายถึง ผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนเทศบาล 1 หนองใส สำนกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 1.6 ประโยชน์ทจ่ี ะไดร้ บั 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสังคมศึกษา สาระภมู ิศาสตร์ ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 1 ดขี น้ึ 2) ไดแ้ ผนการจดั การเรยี นรู้รายวชิ าสังคมศึกษา ในสาระภมู ิศาสตร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 อย่าง มปี ระสิทธิภาพ 3) ผู้สนใจหรอื ครูผู้สอนสามารถนำไปพัฒนาและปรบั ปรุงให้เกิดประโยชนใ์ นการเรียนการสอน กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ตอ่ ไป

6 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์ที่ใช้ แนวความคิดในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ซ่ึงผูว้ จิ ยั ไดศ้ กึ ษาเอกสารทางวชิ าการและงานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวขอ้ งท่ีเกีย่ วข้องสรปุ ได้ ดงั น้ี 2.1 หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 2.2 หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรียนร้สู ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม พทุ ธศักราช 2551 2.3 ตัวช้วี ดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลุ่มสาระการเรียนร้สู งั คมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 2.4 กระบวนการทางภมู ิศาสตร์ 2.5 แผนการจดั การเรยี นรู้ 2.6 ประสทิ ธิภาพของแผนการจดั การเรยี นรู้ 2.7 ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน 2.8 งานวิจยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 2.9 กรอบแนวคดิ ในการวิจยั 2.1 หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 1) วสิ ยั ทัศน์ หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐานมงุ่ พัฒนาผเู้ รียนทุกคน ซงึ่ เปน็ กำลงั ของชาติให้เป็น มนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็น พลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรแู้ ละทกั ษะพื้นฐาน รวมทัง้ เจตคติ ท่ีจำเปน็ ตอ่ การศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษา ตลอดชวี ติ โดยมุ่งเน้นผูเ้ รยี นเปน็ สำคัญบนพ้ืนฐานความเชอ่ื ว่า ทกุ คนสามารถเรยี นร้แู ละพฒั นาตนเอง ได้เตม็ ตามศักยภาพ 2) หลกั การ หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน มหี ลักการท่สี ำคัญ ดงั นี้

7 2.1) เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการ เรียนรู้ เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรม บนพื้นฐานของความเปน็ ไทยควบคู่กับความเป็นสากล 2.2) เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่าง เสมอภาค และมีคุณภาพ 2.3) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัด การศกึ ษาใหส้ อดคล้องกับสภาพและความตอ้ งการของทอ้ งถิน่ 2.4) เป็นหลกั สูตรการศกึ ษาทม่ี โี ครงสร้างยืดหยนุ่ ทงั้ ดา้ นสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัด การเรยี นรู้ 2.5) เปน็ หลักสตู รการศกึ ษาท่ีเนน้ ผ้เู รยี นเป็นสำคญั 2.6) เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลมุ ทุกกลุ่มเปา้ หมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ 3) จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อจบการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน ดังน้ี 3.1) มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและ ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของ เศรษฐกจิ พอเพียง 3.2) มคี วามรู้ ความสามารถในการส่ือสาร การคดิ การแกป้ ัญหา การใช้เทคโนโลยี และมี ทกั ษะชีวติ 3.3) มีสุขภาพกายและสขุ ภาพจติ ทดี่ ี มสี ขุ นสิ ัย และรักการออกกำลงั กาย 3.4) มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลกยึดมั่นในวิถีชีวิตและ การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมุข 3.5) มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา สิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันใน สงั คมอย่างมีความสุข 4) สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รียน และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ดังน้ี

8 4.1) สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดงั นี้ (1) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและสง่ สาร มวี ฒั นธรรม ในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อ แลกเปลย่ี นขอ้ มูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเปน็ ประโยชน์ต่อการพฒั นาตนเองและสังคม รวมทัง้ การเจรจาตอ่ รองเพอ่ื ขจดั และลดปญั หาความขดั แยง้ ต่าง ๆ การเลือกรบั หรอื ไม่รับข้อมูล ขา่ วสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลอื กใชว้ ธิ ีการส่ือสาร ทีม่ ีประสิทธิภาพ โดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบทมี่ ีต่อตนเองและสงั คม (2) ความสามารถในการคิด เปน็ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคดิ สงั เคราะห์ การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ และการคดิ เป็นระบบ เพอ่ื นำไปสกู่ ารสรา้ ง องค์ความรหู้ รือสารสนเทศเพ่อื การตัดสนิ ใจเกี่ยวกบั ตนเองและสงั คมได้อย่างเหมาะสม (3) ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรค ต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูล สารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหา ความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มี ประสทิ ธภิ าพโดยคำนงึ ถึงผลกระทบทเ่ี กดิ ขน้ึ ตอ่ ตนเอง สังคมและสงิ่ แวดลอ้ ม (4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใชใ้ นการดำเนนิ ชีวิตประจำวัน การเรียนรดู้ ้วยตนเอง การเรียนร้อู ย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการ ปัญหาและความขดั แย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรบั ตัวใหท้ ันกับการเปลย่ี นแปลงของสังคม และสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเอง และผู้อื่น (5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมที ักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพ่อื การพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมคี ณุ ธรรม 4.2) คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทย และพลโลก ดังน้ี (1) รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ (2) ซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ

9 (3) มีวินยั (4) ใฝ่เรยี นรู้ (5) อยอู่ ย่างพอเพียง (6) ม่งุ มน่ั ในการทำงาน (7) รักความเปน็ ไทย (8) มีจิตสาธารณะ นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้ สอดคลอ้ งตามบรบิ ทและจุดเน้นของตนเอง 5) มาตรฐานการเรยี นรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคำนึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุปัญญา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน จึงกำหนดให้ผูเ้ รยี นเรยี นรู้ 8 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ดังนี้ 5.1) ภาษาไทย 5.2) คณิตศาสตร์ 5.3) วิทยาศาสตร์ 5.4) สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 5.5) สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา 5.6) ศลิ ปะ 5.7) การงานอาชพี และเทคโนโลยี 5.8) ภาษาต่างประเทศ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำคัญของการ พัฒนาคุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ ปฏิบัติได้ มีคุณธรรมจริยธรรม และ ค่านยิ ม ท่ีพึงประสงค์เมื่อจบการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน นอกจากน้นั มาตรฐานการเรียนรยู้ ังเป็นกลไกสำคัญ ในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่าตอ้ งการ อะไร จะสอนอย่างไร และประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเพื่อการประกัน คุณภาพการศึกษาโดยใช้ระบบการประเมินคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพ ภายนอก ซึ่งรวมถึงการทดสอบระดับเขตพื้นที่การศึกษา และการทดสอบระดับชาติ ระบบการตรวจสอบเพื่อ ประกนั คุณภาพดงั กล่าวเป็นสิ่งสำคญั ทีช่ ว่ ยสะท้อนภาพการจัดการศึกษาว่าสามารถพฒั นาผู้เรียนให้มี คุณภาพตามท่มี าตรฐานการเรียนรูก้ ำหนดเพยี งใด

10 6) ตวั ชวี้ ดั ตัวชวี้ ดั ระบุส่ิงทีน่ ักเรียนพึงรู้และปฏิบัตไิ ด้ รวมทงั้ คุณลักษณะของผู้เรียนในแต่ละระดับช้ัน ซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรม นำไปใช้ ในการกำหนดเนื้อหา จัดทำหน่วยการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอน และเป็นเกณฑ์สำคัญสำหรับการ วัดประเมนิ ผลเพื่อตรวจสอบคุณภาพผเู้ รียน 6.1) ตัวชี้วัดชั้นปี เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนแต่ละชั้นปีในระดับการศึกษาภาค บงั คับ (ประถมศึกษาปที ่ี 1 – มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3) 6.2) ตัวชี้วัดช่วงชั้น เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 - 6) หลักสูตรได้มีการกำหนดรหัสกำกับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด เพื่อความเข้าใจและ ให้สือ่ สารตรงกนั ดังน้ี ว 1.1 ป. 1/2 ป.1/2 คอื ตัวชีว้ ัดชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 1 ข้อท่ี 2 1.1 คือ สาระที่ 1 มาตรฐานข้อที่ 1 ว คือ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ต 2.2 ม.4-6/ 3 ม.4-6/ 3 คือ ตวั ชีว้ ดั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ข้อท่ี 3 2.3 คือ สาระท่ี 2 มาตรฐานขอ้ ที่ 2 ต คือ กลุม่ สาระการเรยี นรภู้ าษาตา่ งประเทศ 7) สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ สาระภูมิศาสตร์ ใน กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ดังนี้ สาระที่ ๕ ภูมิศาสตร์ มาตรฐาน ส ๕.๑ เข้าใจลักษณะของโลกทางกายภาพ และความสมั พันธข์ องสรรพส่ิงซึ่งมี ผล ต่อกันและกันในระบบของธรรมชาติ ใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ในการค้นหา วิเคราะห์ สรปุ และใช้ข้อมูลภูมิสารสนเทศอยา่ งมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ส ๕.๒ เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพท่ี ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์วัฒนธรรม มีจิตสำนึก และมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรและ สงิ่ แวดล้อม เพ่อื การพัฒนาท่ยี ัง่ ยนื

11 2.2 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม พุทธศักราช 2551 1) ทำไมตอ้ งเรยี นสงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ การดำรงชีวติ ของมนุษยท์ ั้งในฐานะปัจเจกบคุ คลและการอยู่ร่วมกันในสังคม การปรับตัว ตามสภาพแวดล้อม การจัดการทรัพยากรที่มีอยูอ่ ย่างจำกัด เข้าใจถึงการพัฒนา เปลี่ยนแปลงตามยคุ สมยั กาลเวลา ตามเหตุปจั จยั ตา่ ง ๆ เกดิ ความเขา้ ใจในตนเอง และผู้อ่ืนมีความอดทน อดกลัน้ ยอมรบั ในความแตกต่าง และมีคุณธรรม สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต เป็นพลเมืองดีของ ประเทศชาติ และสังคมโลก 2) เรยี นรูอ้ ะไรในสงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมว่าด้วยการอยู่ร่วมกันในสังคม ทม่ี คี วามเชอ่ื มสัมพันธ์กัน และมคี วามแตกต่างกันอยา่ งหลากหลาย เพ่ือชว่ ยใหส้ ามารถปรับตนเองกับ บริบทสภาพแวดล้อมเป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และค่านิยมที่ เหมาะสม โดยไดก้ ำหนดสาระตา่ ง ๆ ไว้ ดังน้ี ศาสนา ศีลธรรมและจริยธรรม แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หลักธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรือศาสนาท่ีตนนับถือ การนำหลกั ธรรมคำสอนไปปฏิบตั ิในการพัฒนา ตนเอง และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เป็นผู้กระทำความดี มีค่านิยมที่ดีงาม พัฒนาตนเองอยู่เสมอ รวมท้งั บำเพ็ญประโยชน์ต่อสงั คมและสว่ นรวม หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิต ระบบการเมืองการปกครองในสังคม ปัจจุบันการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลักษณะและ ความสำคัญ การเปน็ พลเมืองดี ความแตกตา่ งและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ค่านยิ ม ความเช่ือ ปลูกฝังค่านิยมด้านประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สิทธิ หน้าที่ เสรีภาพการ ดำเนินชีวิตอย่างสนั ติสขุ ในสังคมไทยและสังคมโลก เศรษฐศาสตร์ การผลติ การแจกจ่าย และการบริโภคสนิ คา้ และบรกิ าร การบริหารจัดการ ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดอย่างมีประสิทธิภาพ การดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ และการนำหลัก เศรษฐกิจพอเพียงไปใชใ้ นชีวติ ประจำวัน ประวตั ศิ าสตร์ เวลาและยุคสมยั ทางประวตั ิศาสตร์ วธิ กี ารทางประวตั ิศาสตร์ พัฒนาการ ของมนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์และเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ผลกระทบที่ เกิดจากเหตุการณ์สำคัญในอดีต บุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในอดีต ความ เป็นมาของชาติไทย วฒั นธรรมและภูมิปญั ญาไทย แหล่งอารยธรรมทส่ี ำคญั ของโลก ภูมิศาสตร์ ลักษณะของโลกทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ แหล่งทรัพยากร และ ภูมิอากาศของประเทศไทย และภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก การใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ความสัมพันธ์กันของสิ่งต่างๆ ในระบบธรรมชาติ ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทาง ธรรมชาติ และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น การนำเสนอข้อมูลภูมิสารสนเทศ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อการ พัฒนาที่ยงั่ ยนื

12 3) คณุ ภาพผเู้ รียน จบช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 3 • มีความรู้เร่ืองเกยี่ วกบั ตนเองและผู้ท่ีอยรู่ อบข้าง ตลอดจนสภาพแวดล้อมในท้องถ่ิน ที่ อยู่อาศยั และเช่อื งโยงประสบการณไ์ ปสโู่ ลกกว้าง • มีทักษะกระบวนการ และมีข้อมูลที่จำเป็นต่อการพัฒนาให้เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม ประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนาที่ตนนับถือ มีความเป็น พลเมืองดี มีความรับผิดชอบ การอยู่ร่วมกันและการทำงานกับผู้อื่น มีส่วนร่วมใน กิจกรรมของหอ้ งเรียน และไดฝ้ ึกหดั ในการตดั สินใจ • มีความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว โรงเรียน และชุมชนในลักษณะ การบูรณาการ ผู้เรียนได้เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกบั ปจั จุบันและอดตี มีความรู้พื้นฐานทาง เศรษฐกิจ ได้ข้อคิดเกี่ยวกับรายรับ-รายจ่ายของครอบครัว เข้าใจถึงการเป็นผู้ผลิต ผู้บรโิ ภค รจู้ กั การออมขั้นตน้ และวธิ กี ารเศรษฐกิจพอเพยี ง • รู้และเข้าใจในแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ และภูมศิ าสตร์ เพื่อเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจใน ข้นั ท่ีสูงตอ่ ไป จบชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 6 • มคี วามรู้เร่ืองของจังหวดั ภาค และประเทศของตนเอง ทั้งเชงิ ประวตั ศิ าสตร์ ลักษณะ ทางกายภาพ สังคมประเพณี และวัฒนธรรม รวมทั้งการเมือง การปกครอง และ สภาพเศรษฐกิจโดยเนน้ ความเปน็ ประเทศไทย • มีความรู้และความเข้าใจในเรื่องศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตนตามหลักธรรม คำสอนของศาสนาที่ตนนับถือ รวมทั้งมีส่วนร่วมศาสนพิธี และพิธีกรรมทางศาสนา มากยง่ิ ข้นึ • ปฏิบัติตนตามสถานภาพ บทบาท สิทธิหน้าที่ในฐานะพลเมืองดีของท้องถิ่น จังหวัด ภาค และประเทศ รวมท้ังได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมตามขนบธรรมเนยี มประเพณี และ วัฒนธรรมของทอ้ งถนิ่ ตนเอง มากย่ิงข้ึน • สามารถเปรียบเทียบเรื่องราวของจังหวัดและภาคต่างๆของประเทศไทยกับประเทศ เพื่อนบ้าน ได้รับการพัฒนาแนวคิดทางสังคมศาสตร์ เกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ เพื่อขยาย ประสบการณ์ไปสู่การทำความเข้าใจในภูมิภาค ซีกโลกตะวันออกและตะวันตก เกี่ยวกับศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม การดำเนินชีวิต การจัดระเบยี บทางสงั คม และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม จากอดีต ส่ปู ัจจบุ นั จบชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 3 • มีความรู้เกี่ยวกับความเป็นไปของโลก โดยการศึกษาประเทศไทยเปรียบเทียบกับ ประเทศในภูมภิ าคตา่ ง ๆ ในโลก เพือ่ พัฒนาแนวคดิ เรอ่ื งการอยู่รว่ มกนั อย่างสันติสขุ

13 • มีทักษะที่จำเป็นต่อการเป็นนักคิดอย่างมีวิจารณญาณได้รับการพัฒนาแนวคิด และ ขยายประสบการณ์ เปรยี บเทียบระหว่างประเทศไทยกับประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ใน โลก ได้แก่ เอเชีย ออสเตรเลีย โอเชียเนีย แอฟริกา ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ในด้านศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม การเมืองการปกครอง ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ ด้วยวิธีการทาง ประวตั ิศาสตร์ และสงั คมศาสตร์ • รู้และเข้าใจแนวคิดและวิเคราะห์เหตุการณ์ในอนาคต สามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ ในการดำเนนิ ชวี ิตและวางแผนการดำเนนิ งานไดอ้ ยา่ งเหมาะสม จบชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 6 • มีความร้เู กีย่ วกับความเป็นไปของโลกอย่างกว้างขวางและลึกซ้งึ ยง่ิ ขน้ึ • เป็นพลเมืองที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนาที่ตนนับถือ รวมทั้งมีค่านิยมอันพึงประสงค์ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นและอยู่ในสังคมได้อย่างมี ความสขุ รวมทัง้ มีศกั ยภาพเพือ่ การศึกษาต่อในชนั้ สงู ตามความประสงคไ์ ด้ • มีความรู้เรื่องภมู ิปญั ญาไทย ความภูมิใจในความเป็นไทย ประวัติศาสตร์ของชาตไิ ทย ยดึ มั่นในวิถชี วี ติ และการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมขุ • มีนิสัยทีด่ ีในการบริโภค เลือกและตัดสนิ ใจบริโภคได้อย่างเหมาะสม มจี ิตสำนึก และ มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมไทย และสิ่งแวดล้อม มีความรักท้องถ่ิน และประเทศชาติ มุง่ ทำประโยชน์ และสร้างสิง่ ที่ดงี ามใหก้ ับสังคม • มีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ของตนเอง ชี้นำตนเองได้ และสามารถ แสวงหาความรจู้ ากแหลง่ การเรียนรู้ตา่ งๆในสังคมไดต้ ลอดชวี ิต 2.3 ตัวชวี้ ดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลางกลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและ วัฒนธรรม ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 สาระที่ 5 ภูมศิ าสตร์ มาตรฐาน ส 5.1 เขา้ ใจลกั ษณะทางกายภาพของโลก และความสัมพันธ์ของ สรรพส่งิ ซึ่งมีผลต่อกัน ใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ใน การค้นหา วิเคราะห์ และสรุปข้อมูล ตามกระบวนการทางภูมิศาสตร์ ตลอดจนใช้ภมู สิ ารสนเทศอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ

14 ตารางท่ี 1 ตวั ช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางภมู ิศาสตร์ ช้นั ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ม.1 1. วเิ คราะห์ลักษณะทางกายภาพของ  ท่ีต้งั ขนาด และอาณาเขตของทวีปเอเชยี ทวปี เอเชยี ทวปี ออสเตรเลีย ทวปี ออสเตรเลยี และโอเชยี เนยี และโอเชียเนยี โดยใชเ้ ครอื่ งมือทาง  การใชเ้ ครื่องมือทางภูมิศาสตร์ เชน่ แผนท่ี ภมู ศิ าสตรส์ ืบค้นข้อมลู รูปถา่ ยทางอากาศ ภาพจากดาวเทียมใน การสบื คน้ ลักษณะทางกายภาพของทวปี เอเชยี ทวีปออสเตรเลยี และโอเชยี เนีย 2. อธิบายพกิ ัดภมู ิศาสตร์ (ละตจิ ดู และ  พกิ ดั ภมู ิศาสตร์ (ละติจดู และลองจิจูด) ลองจจิ ดู ) เส้นแบ่งเวลา และเปรียบเทียบ  เส้นแบง่ เวลา วนั เวลาของโลก  การเปรียบเทยี บวัน เวลาของโลก 3. วิเคราะห์สาเหตกุ ารเกดิ ภัยพิบัติของ  สาเหตกุ ารเกิดภัยพบิ ตั แิ ละผลกระทบใน ทวีปเอเชยี ทวีปออสเตรเลยี และโอเชยี ทวปี เอเชีย ทวีปออสเตรเลยี และโอเชียเนยี เนยี มาตรฐาน ส 5.2 เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพท่ี ก่อให้เกิด การสร้างสรรค์ วถิ ีการดำเนนิ ชวี ติ มจี ิตสำนึกและมี ส่วนรว่ มในการจดั การ ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อมเพื่อการพฒั นาท่ยี ั่งยนื ตารางท่ี 1 ตวั ช้ีวดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลางภูมิศาสตร์ (ตอ่ ) ชั้น ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ม.1 1. สำรวจและระบทุ ำเลท่ีต้ังของ  ทําเลที่ต้งั ของกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ และ กิจกรรมทางเศรษฐกจิ และสังคมในทวีป สงั คม เช่นพ้ืนทเ่ี พาะปลูก และเลย้ี งสตั ว์ เอเชยี ทวปี ออสเตรเลีย และโอเชียเนีย แหลง่ ประมง การกระจายของภาษา และ ศาสนาในทวปี เอเชยี ทวีปออสเตรเลีย และโอเชยี เนยี 2. วิเคราะห์ปจั จัยทางกายภาพและ  ปัจจยั ทางกายภาพและปัจจัยสงั คมทีม่ ีผล ปจั จยั ทางสงั คมท่ีมีผลต่อทำเลทตี่ ัง้ ของ ต่อการเลื่อนไหลของความคดิ เทคโนโลยี กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ และสังคมในทวปี สนิ ค้า และประชากรในทวีปเอเชยี เอเชยี ทวปี ออสเตรเลยี และโอเชยี เนีย ออสเตรเลีย และโอเชียเนีย

15 ตารางที่ 1 ตัวช้วี ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลางภมู ิศาสตร์ (ต่อ) ช้นั ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง 3. สืบค้น อภปิ รายประเดน็ ปัญหาจาก  ประเดน็ ปัญหาจากปฏสิ ัมพนั ธ์ระหว่าง ปฏสิ ัมพันธ์ระหวา่ งสภาพแวดล้อมทาง สง่ิ แวดล้อมทางกายภาพกับมนษุ ย์ กายภาพกับมนุษย์ทเ่ี กิดขนึ้ ในทวีปเอเชยี ท่เี กดิ ขนึ้ ในทวปี เอเชีย ทวปี ออสเตรเลยี ทวปี ออสเตรเลยี และโอเชียเนยี และโอเชียเนีย 4. วเิ คราะหแ์ นวทางการจดั การภยั พบิ ัติ  แนวทางการจดั การภยั พิบัติและการจัดการ และการจดั การทรัพยากรและ การจัดการทรัพยากรและส่งิ แวดล้อมใน สงิ่ แวดล้อมในทวีปเอเชยี ทวีป ทวปี เอเชีย ทวีปออสเตรเลีย และโอเชยี เนยี ออสเตรเลยี และโอเชยี เนีย ท่ีย่ังยืน ที่ยั่งยืน 2.4 กระบวนการทางภูมศิ าสตร์ สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา (2560) ยังได้เสนอแนะแนวทางในการพฒั นาการจะเกิด การรู้เรื่องภูมิศาสตร์ได้นั้น จำเป็นต้องใช้กระบวนการทางและทักษะทางภูมิศาสตร์ เข้ามาเป็นองค์ประกอบสำคัญอีกด้วย โดยกล่าวถึงกระบวนการทางภูมิศาสตร์ในการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนภูมิศาสตร์ เอาไว้ว่าเป็นกระบวนการที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการคิดอย่างเป็น ระบบ เข้าใจและมีความรู้อย่างถูกต้องชัดเจน และยังแนะนำอีกว่าสามารถใช้วิธีการสอนแบบ แก้ปัญหา (Problem Soliving Method) หรือวิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method) เปน็ ตัวกระตนุ้ ผ้เู รียนโดยผ่านกระบวนการจดั กจิ กรรมทส่ี ำคญั 5 ขั้นตอน ดงั นี้ 1) การตั้งคำถามเชิงภูมิศาสตร์ เป็นการระบุประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้ศึกษานำมาพิจารณา ประกอบการหาคำตอบ เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของการศึกษา โดยจะตองอยู่ในรูปแบบประโยค คำถาม ที่กระชับ ชัดเจน และตรงประเด็น เช่น “ปัจจัยอะไรบ้างที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง ลกั ษณะของแม่นำ้ ” 2) การรวบรวมขอ้ มูล เป็นข้ันตอนสำคัญขั้นตอนหน่ึงของกระบวนการทางภมู ิศาสตร์ที่รวบรวม ข้อเท็จจริง และข้อมูลที่เป็นประโยชน์และคาดว่าจะนำไปใช้ประกอบการศึกษา การรวบรวมข้อมูล จะต้องอาศัยความรู้และเทคนิคต่างๆ เช่น ประเภทของข้อมูล การออกแบบแบบบันทึกข้อมูล การ ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล วิธีการแจงนับข้อมูล การออกแบบสอบถาม และการบันทึกการ สังเกต เป็นตน้

16 3) การจัดการข้อมูล เป็นการจัดระเบียบข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลเพื่อประกอบ การศึกษา นอกจากนี้ ยังเป็นการตรวจสอบความครบถ้วนและความถูกต้อง เพื่อความสะดวกในการ วเิ คราะห์ข้อมลู 4) การวิเคราะห์และแปลผลข้อมูล เป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการทางภูมิศาสตร์ เมื่อข้อมูล ผ่านกระบวนการจัดการแลว้ จะง่ายต่อการอธิบาย วิเคราะห์ และแปลผลข้อมูลดังกลา่ ว ด้วยสถิติข้นั พน้ื ฐาน 5) การสรุปเพื่อตอบคำถาม เป็นการสรปุ เน้ือหาให้ตรงกบั คำถามของการศึกษาตามทีร่ ะบุไว้ใน ข้นั ต้น นอกจากนี้ ผู้ศึกษาต้องวิจารณ์ผลลัพธ์ที่ได้เพื่อตอบวัตถุประสงค์ของการศึกษา โดยผู้ศึกษา จะต้องรายงานผลที่ได้ในแต่ละกระบวนการอย่างละเอียด ถูกต้อง และชัดเจน ตามวิธีการวิเคราะห์ ข้อมูลที่ได้กำหนดไว้ซึ่งอาจจะต้องอ้างอิงกรอบแนวความคิด และทฤษฎีต่าง ๆ ด้วยจากแนวทางใน การใชก้ ระบวนทางภูมิศาสตร์ เหน็ ไดอ้ ย่างชดั เจนว่า ผู้เรยี นจำเป็นต้องมที ักษะในการแปลความข้อมูล ทางภูมิศาสตร์ การใช้เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ การคิดวิเคราะห์ การคิดเชิงพื้นที่ การคิดเชิงระบบ เป็นตน้ รักษณาลี นาครกั ษา (2563) ได้ใหค้ วามหมายไว้วา่ กระบวนการสบื สอบ (Geographic inquiry Process) หมายถึง กระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบสืบสอบทางภูมิศาสตร์ เพื่อให้ผู้เรียนเกิด การคิดอย่างเป็นระบบ เข้าใจและมีความรู้อย่างถูกต้องชัดเจน ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ดังน้ี 1) การตั้งคำถามเชิงภูมิศาสตร์ 2) การรวบรวมข้อมูล 3) การจัดการข้อมูล 4) การวิเคราะห์ข้อมูล และ 5) การสรุปเพอ่ื ตอบคำถาม เฌอณรินทร์ วรรณรัตนางกูร (2562) ได้ให้ความหมายไว้ว่า กระบวนการทางภูมิศาสตร์ หมายถึง กระบวนการท่ีสามารถส่งเสรมิ ให้ผเู้ รียนเกิดการคิดอย่างเป็นระบบ เขา้ ใจและมีความรู้อย่าง ถูกตอ้ งชัดเจนได้ Australian Government Department of Education Employment and Workplace Relations (2011) กลา่ วไว้ว่า กระบวนการสืบเสาะจะชว่ ยให้นกั เรยี นมีสว่ นรว่ มในการ ทำความเข้าใจกับสถานท่ี และโลกทต่ี นอาศัยอยู่ ครูสามารถสร้างการเรียนรูไ้ ปพรอ้ มกับนักเรยี นเพอื่ พฒั นาความสามารถในการถามคำถามทางภูมศิ าสตร์ และค้นหาคำตอบผ่านการกระบวนการสบื เสาะ ท้งั ภายในและภายนอกหอ้ งเรียน การวจิ ัยภาคสนามและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ชว่ ยให้นักเรียนสามารถ เรยี นรแู้ นวคิดทางภูมศิ าสตร์รว่ มกันได้ มีหน่วยงานต่างประเทศอยู่ 4 หน่วยงาน ที่นำกระบวนการสืบเสาะเข้ามาใช้ในการส่งเสริมการ จัดการเรียนรู้ในรายวชิ าภมู ิศาสตร์ คอื The Australian Curriculum, Assessment and Reporting Authority (ACARA),Canadian Council for Geographic Education, Esri แ ล ะ National geographic โดยทแี่ ต่ละหน่วยงานได้นิยามกระบวนการสืบเสาะทางภมู ิศาสตรไ์ ว้ ดังน้ี

17 Australian Curriculum Assessment and Reporting Authority (2015: n. pag.) ได้ กลา่ วไวว้ ่า กระบวนการสบื เสาะทางภมู ิศาสตร์ ประกอบด้วย 1) สังเกตและต้งั คำถาม (Observing and Questioning) 2) การวางแผน รวบรวมข้อมูล และการประเมนิ ข้อมลู (Planning, Collecting, Evaluating) 3) การจัดกระทำข้อมูล การวเิ คราะหข์ ้อมลู การตีความ และสรุปความ (Processing, Analysing, Interpreting, Concluding) 4) การสื่อสาร (Communicating) 5) การสะทอ้ นคิด และการตอบสนอง (Reflecting and Responding) Canadian Council for Geographic Education (2001: 59-61) ระบุไว้ว่ากระบวนการ สบื เสาะทางภูมิศาสตร์ ประกอบดว้ ย 1) การตง้ั คำถามเชงิ ภูมศิ าสตร์ (Asking Geographic Questions) 2) การรวบรวมข้อมลู ทางภมู ิศาสตร์ (Acquiring Geographic Information) 3) การจดั การข้อมูลภมู ิศาสตร์ (Organizing Geographic Information) 4) การวิเคราะห์ข้อมูลภูมิศาสตร์ (Analyzing Geographic Information) 5) การตอบคำถามเชงิ ภมู ิศาสตร์ (Answering Geographic Questions) Esri (2003) ระบวุ ่ากระบวนการสืบเสาะทางภูมิศาสตร์ ประกอบด้วย 1) การตั้งคำถามเชิงภมู ศิ าสตร์ (Ask Geographic Questions) 2) การรวบรวมข้อมูลทางภมู ิศาสตร์ (Acquire Geographic Resources) 3) การวนิ จิ ฉัยข้อมูลภมู ิศาสตร์ (Explore Geographic Data) ด้วยการเปลยี่ นข้อมลู ดบิ ใหเ้ ป็นภาพ หรอื แผนที่ 4) การวิเคราะห์ข้อมลู ภูมิศาสตร์ (Analyze Geographic Information) และสรปุ เพือ่ ตอบคำถามเชิงภูมิศาสตรท์ ่กี ำหนดไว้ 5) การปฏบิ ัตติ นตามพ้นื ฐานความรทู้ างภมู ิศาสตร์ (Act Upon Geographic Knowledge) ดว้ ยการตดั สินใจปฏิบตั ภิ ายใต้เงื่อนไข และความรทู้ างภมู ิศาสตร์ Love (2017: 4) ระบุไวใ้ น Geo-Inquiry Process: Educator Guide ว่ากระบวนการสบื เสาะ ทางภมู ิศาสตร์ ประกอบดว้ ย 1) ถาม (Ask) ตงั้ คำถามเชิงภูมศิ าสตร์ 2) รวบรวม (Collect) รวบรวมขอ้ มลู ทางภูมิศาสตร์ 3) ทำใหเ้ กิดภาพ (Visualize) การจัดการข้อมูล วเิ คราะหข์ ้อมลู สรปุ เพื่อตอบคำถาม โดยจัดกระทำออกมาเปน็ ภาพ หรือแผนที่ 4) สร้าง (Create) การสร้างเร่อื งราวทางภูมิศาสตร์ (Geo-inquiry story) โดยการใช้

18 เทคโนโลยีสารสนเทศภมู ิศาสตร์ เช่น การสร้างกระดานแสดงเรอื่ งราว (Storyboarding) เพอื่ อธบิ าย และตอบคำถามเชิงภมู ศิ าสตร์ 5) ปฏิบตั ิ (Act) การเลือกตัดสนิ ใจ กำหนดแนวทางในการปฏิบตั ติ นตามกรอบความรู้ ทางภูมศิ าสตร์ จากข้อมูลข้างต้น สรุปได้ว่ากระบวนการสืบเสาะทางภูมิศาสตร์ของหน่วยงานต่างประเทศ ท้ัง 4 หนว่ ยงานนน้ั มีความใกล้เคียงกบั กระบวนการทางภมู ศิ าสตร์ตามท่ี สำนักวชิ าการและมาตรฐาน การศึกษา สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ ารไดร้ ะบุไวใ้ นหลกั สูตร แกนกลางการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน (ฉบับปรังปรุง 2560) ทงั้ นี้ผูว้ จิ ัยเลือกใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ ของสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษาเป็นหลักเนื่องจากมีเหมาะสมกับบริบทของนักเรียน และสภาพแวดลอ้ มในการเรียน 2.5 แผนการจดั การเรยี นรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ มีความสำคัญหลายประการเพ่ือเป็นแนวทางให้กับผู้สอนสอนด้วยความ มัน่ ใจ ในการจดั การเรียนรูน้ ้ันจำเป็นต้องศกึ ษา วิเคราะห์ วางแผนและออกแบบกจิ กรรมการเรียนรู้มา ใช้ในการจัดการช้ันเรียนเพื่อให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย เกิดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับ วัย คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างผู้เรียนเปน็ สำคัญ การจัดการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ช่วย ให้ผู้สอนจัดกิจกรรมได้อย่างเป็นระบบ และสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนสร้างแนวทางการ สอนท่เี ปน็ ขนั้ ตอนและตอบสนองวัตถปุ ระสงค์การเรียนรู้ 1) ความหมายของแผนการจัดการเรยี นรู้ ชนาธิป พรกุล (2552 : 85) ไดใ้ ห้ความหมายไวว้ า่ แผนการจัดการเรียนรเู้ ปน็ แนวทางการ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เขียนไว้ล่วงหน้า ทำให้ผู้สอนมีความพร้อม และมั่นใจว่าสามารถสอน ได้บรรลุจดุ ประสงค์ท่ีกำหนดไวแ้ ละดำเนนิ การสอนได้ราบรนื่ เอกรินทร์ ลี่มหาศาล (2552) ได้ให้ความหมายไว้ว่า วัสดุหลักสูตรที่ควรพัฒนามาจาก หน่วยการเรียนรู้ ที่กำหนดไว้เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนบรรลุป้าหมายตามมาตรฐานการเรยี นรู้ ของหลักสตู ร เป็นสว่ นท่แี สดงการจดั การเรียนการสอนตามบทเรียน และประสบการณ์การเรียนรู้เป็น รายวนั หรอื รายสปั ดาห์ ขวลิต ชูกำแพง (2553) ได้อธิบายไวว้ ่า แผนการจดั การเรยี นรู้ หมายถึง เอกสารทเ่ี ป็นลาย ลักษณ์อักษรของครูผู้สอน ซึ่งเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง โดยใช้สื่อและ อุปกรณ์การเรยี นการสอนให้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั เนือ้ หา เวลา เพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ ของผ้เู รียนให้เปน็ ไปอยา่ งเตม็ ศักยภาพ วิมลรัตน์ สุนทรวิโรจน์ (2553) ได้อธิบายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ เป็นแผนการจัด กิจกรรมการเรียน การจัดการเรียนรู้ การใช้สื่อการจัดการเรียนรู้ การวัดผลประเมินผลให้สอดคล้อง กับเนื้อหาและจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้

19 เป็นแผนที่จัดทำขึ้นจากคู่มือครู หรือแนวทางการจัดการเรียนรู้ของกรมวิชาการ ทำให้ผู้จดั การเรยี นรู้ ทราบว่าจะจัดการเรียนรู้เนื้อหาใด เพื่อจุดประสงค์ใด จัดการเรียนรู้อย่างไร ใช้สื่ออะไร และวัดผล ประเมนิ ผลโดยวธิ ใี ด สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึงแนวการจัดการเรียนการสอนของครู ภายใต้ กรอบเนื้อหาสาระที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยกำหนดจุดประสงค์ วิธีการดำเนินการหรือ กิจกรรมใหผ้ เู้ รยี นบรรลุวัตถุประสงค์ สือ่ การเรยี นรู้ท่ีหลากหลาย และวิธีวัดผลประเมนิ ผลท่ีสอดคล้อง กบั จุดประสงค์การเรยี นรู้ 2) ความสำคัญของแผนการจดั การเรียนรู้ การวางแผนการจัดการเรียนรู้มีส่วนสำคัญที่ทำให้การจัดการเรียนรู้ประสบความสำเร็ จ หรือลม้ เหลวนนั้ จำเปน็ ต้องศึกษาวิเคราะห์และออกแบบหลายประการ จากการศึกษารวบรวมข้อมูล ทัศนะของนักวชิ าการได้อธิบายความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ไวด้ งั นี้ ศิริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย (2558 : 347-348) ได้อธิบายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้มี รายละเอยี ดสำคัญ ดงั น้ี 1) แผนการจัดการเรียนรู้เป็นหลักฐานที่แสดงถึงการเป็นครูมืออาชีพ มีการเตรียม ล่วงหน้า แผนการจัดการเรียนรู้จะสะท้อนให้เห็นถึงการใช้เทคนิคการสอน สื่อนวัตกรรม และ จิตวิทยาการเรยี นรูม้ าผสมผสานกันหรือประยุกตใ์ ช้ให้เหมาะสมกับสภาพของนักเรียนท่ีตนเอง สอนอยู่ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ช่วยส่งเสริมให้ผู้สอนได้ศึกษาค้นคว้า หาความรู้เกี่ยวกับ หลกั สูตร เทคนิคการสอน สอื่ นวัตกรรม และวิธกี ารวัดและประเมนิ ผล 3) แผนการจัดการเรียนรู้ทำให้ครูผู้สอนและครูที่จะปฏิบัติการสอนแทน สามารถ ปฏิบัติการสอนแทนได้อยา่ งมัน่ ใจและมปี ระสิทธิภาพ 4) แผนการจดั การเรยี นรู้ทเี่ ปน็ หลักฐานทแ่ี สดงข้อมลู ด้านการเรียนการสอน การวัด และประเมนิ ผลท่ีจะนำไปใชป้ ระโยชน์ในการจดั การเรยี นรู้ในครัง้ ตอ่ ไป 5) แผนการจัดการเรียนรู้เป็นหลักฐานที่แสดงถึงความเชียวชาญในวิชาชีพครู ซ่ึง สามารถนำไปเสนอเป็นผลงานทางวชิ าการ เพอื่ ขอเลอื่ นวทิ ยฐานะหรอื ตำแหน่งได้ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553 : 20) ได้อธิบายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีความสำคัญ 6 ประการดงั น้ี 1) ทำให้ผู้สอนสอนด้วยความม่ันใจ เมื่อเกิดความมั่นใจในการสอนย่อมจะสอนด้วย ความคล่องแคล่ว เป็นไปตามลำดับขั้นตอนอย่างราบรื่น ไม่ติดขัด การสอนจะดำเนินไปสู่ จดุ หมายปลายทางอยา่ งสมบูรณ์

20 2) ทำให้เป็นการสอนที่มีคุณค่าคุ้มกับเวลาที่ผ่านไป เพราะผู้สอนอย่างมีแผนมี เป้าหมาย และมีทิศทางในการสอน มิใช่สอนอย่างเลื่อนลอย ผู้เรียนจะได้รับความรู้ ความคิด เกิดเจตคติ เกิดทักษะ เกิดประสบการณใ์ หม่ตามท่ีผู้สอนวางแผนไว้ ทำให้เป็นการจัดการเรียน การสอนทีม่ คี ุณค่า 3) ทำให้เป็นการสอนที่ตรงตามหลักสูตร ทั้งนี้เพราะในการวางแผนการจัดการ เรียนรู้ ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตรทั้งด้านจุดประสงค์ เนื้อหาสารที่จะสอน การจัดกิจกรรมการ เรียนการสอน การใช้สื่อการสอน และการวดั ผลและประเมินผล แลว้ จัดทำออกมาเปน็ แผนการ จัดการเรยี นรู้หลักสตู ร 4) ทำให้การสอนบรรลุผลอย่างมีประสิทธิ เนื่องจากผู้สอนต้องวางแผนการจัดการ เรียนรู้อย่างรอบคอบในทุกองค์ประกอบของการ รวมทั้งการจัดเวลาเวลา สถานที่ และสิ่ง อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ดังนั้น เมื่อมีการวางแผนการจัดการเรียนรู้ที่รอบคอบ และปฏิบัติ ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่วางไว้ ผลของการสอนย่อมสำเร็จได้ดีกว่าการไม่ได้วางแผนการ จัดการเรียนรู้ 5) ทำให้ผู้สอนมีเอกสารเตือนความจำสามารถนำไปใช้เปน็ แนวทางในการสอนต่อไป ทำให้ไม่เกิดความซ้ำซ้อนและเป็นแนวทางในการทบทวนหรือการออกข้อสอบเพื่อวัดผลและ ประเมินผลผู้เรียนได้ นอกจากนี้ทำให้ผู้สอนมีเอกสารไว้เป็นแนวทางแก่ผู้ที่เข้าสอนในกรณี จำเป็น เมื่อผู้สอนไม่สามารถเข้าสอนเองได้ ผู้เรียนจะได้รับความรู้และประสบการณ์ที่ ต่อเนอ่ื งกนั 6) ทำใหผ้ เู้ รยี นเกดิ เจตคติที่ดีตอ่ ผ้สู อนและต่อวิชาท่เี รียน ทั้งน้เี พราะผู้สอนสอนด้วย ความพร้อม เป็นความพร้อมทั้งทางด้านจิตใจคือ ความมั่นใจในการสอน และความพร้อม ทางดา้ นวตั ถุ คือ การที่ผ้สู อนได้เตรยี มเอกสาร หรอื ส่ิงการสอนไว้อย่างพร้อมเพรียง เมื่อผู้สอน มีความพร้อมในการสอน ย่อมสอนด้วยความกระจ่างแจ้ง ทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจอย่าง ชดั เจนในบทเรยี น อันจะส่งใหผ้ เู้ รยี นเกดิ เจตคตทิ ี่ดตี ่อผสู้ อนและต่อวิชาที่เรียน สงบ ลักษณะ (2533 ; อ้างอิงจากศศิธร เวียงวะลัย. 2556: 51) ได้อธิบายไว้ว่า ผลดีของ การจัดทำแผนการจดั การเรียนรู้ มดี งั นี้ 1) ทำให้เกิดการวางแผนวิธีการจดั การเรียนรู้ วธิ ีเรียนท่มี คี วามหมายมากข้ึน เพราะ เปน็ การจัดทำอยา่ งมหี ลกั การท่ถี กู ต้อง 2) ช่วยให้ครูมีส่ือการจัดการเรียนรู้ที่ทำด้วยตนเอง ทำให้เกิดคามสะดวกในการ จดั การเรยี นรู้ ทำใหก้ ารจดั การเรียนรู้ครบถ้วนตรงตามหลกั สูตรและจัดการเรียนรู้ได้ทันเวลา 3) เปน็ ผลงานทางวิชาการทส่ี ามารถเผยแพรเ่ ป็นตัวอย่างได้

21 4) ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ครูผู้จัดการเรียนรู้แทน ในกรณีที่ผู้จัดการเรียนรู้ไม่ สามารถจัดการเรยี นรไู้ ดเ้ อง สรุปได้ว่า การวางแผนการจัดการเรียนรู้มีความสำคัญต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนเปน็ อย่างมาก คือ ทำให้ผสู้ อนสอนด้วยความม่ันใจ ทำให้เปน็ การสอนทมี่ ีคุณค่าคุ้มกับเวลาท่ีผ่าน ไป ทำให้เป็นการสอนที่ตรงตามหลักสูตร ทำให้การสอนบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้สอนมี เอกสารเตอื นความจำ และทำให้ผเู้ รียนเกดิ เจตคตทิ ดี่ ตี ่อผูส้ อนและต่อวชิ าท่ีเรยี น 3) ลักษณะของแผนการจดั การเรยี นรทู้ ดี่ ี แผนการจัดการเรียนรู้ถือเป็นเคร่ืองมือสำคัญของผู้สอนท่ีจะชว่ ยส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการ เรยี นรไู้ ด้อยา่ งมีประสิทธิภาพ ซ่ึงสามารถสรุปลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ทดี่ ีได้ จากการศึกษา นกั วิชาการไดอ้ ธบิ ายลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ท่ดี ี ดังนี้ นาตยา ปิลันธนานนท์ (2545 : 172-173) ได้อธิบายไว้ว่า ลักษณะของแผนการจัดการ เรียนรู้ท่ดี ี ตอ้ งประกอบไปด้วย 1) เจตคติที่ดี ผู้สอนควรมีความรู้สึกที่ดีต่อการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ ไม่ควร มองว่างานเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เป็นการสร้างภาระ ความยุ่งยาก เพราะแผนการ จัดการเรียนรู้จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้สอน ผู้เรียน ผู้บริหาร สถานศึกษาและต่อสังคม ท่ี จะจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ หากผู้สอนมีความรู้สึก มีเจตคติที่ดีต่อการเขียนแผนการ จัดการเรียนรู้ ก็จะทำใหแ้ ผนการจัดการเรยี นร้มู ีคณุ ภาพและนำไปใช้ได้จริง 2) นักวางแผน นักคิด การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ก็เช่นเดียวกับประมวลการ สอนหรือแนวการสอน หรือกำหนดการสอน คุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้สามารถ สะทอ้ นความเป็นนักวางแผน นักคิดสรา้ งสรรค์ของผู้สอนได้ 3) เครื่องมือสื่อสาร แผนการจัดการเรียนรู้ ก็เช่นเดียวกับประมวลการสอนที่ใช้เปน็ เครอ่ื งมือสื่อสารความเขา้ ใจสำหรบั ตัวผสู้ อน ผูบ้ รหิ าร พอ่ แม่ ผปู้ กครองและชุมชน ได้รับ ทราบวา่ โรงเรียนจัดการศึกษาอย่างไร ผเู้ รียนไดร้ ับการศกึ ษาทีม่ คี ณุ ภาพอย่างไร 4) เฉพาะเจาะจง ครอบคลุม พอเพียง การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ควรตอ้ งระบุ สิ่งที่จะเรียนจะสอนให้ชัดเจน ครอบคลุมและพอเพียงที่จะทำให้ผู้เรียนมีคุณภาพ ความรู้ ความสามารถตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ในหลักสูตร ไม่ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ ด้วยการกำหนดจุดประสงค์ที่กว้างมากเกินไปหรือน้อยเกินไป และต้องเป็นประโยชน์กับ ผเู้ รยี น 5) ยืดหยุ่นปรบั เปลีย่ นได้ แผนการจัดการเรียนรูเ้ ป็นสิ่งที่ไดเ้ ตรียมการล่วงหน้าก่อน จะมีการเรียนการสอนจริง ๆ การกำหนดข้อมูลใด ๆ ไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้ ควรมี ความยืดหยุ่นที่จะสามารถปรับเปลี่ยนแก้ปัญหาได้ ในกรณีที่มีปัญหาเมื่อมีการนำไปใช้

22 หรือไม่สามารถดำเนินการตามแผนการจดั การเรยี นรู้นนั้ สามารถปรบั เปลี่ยนเปน็ อย่างอื่น ได้ โดยไม่กระทบกระเทอื นตอ่ การเรยี นการสอนและผลการเรยี นรู้ สรปุ ได้ว่า แผนการจัดการเรียนรูท้ ีด่ ี ควรมลี ักษณะทชี่ ่วยสง่ เสริมเจตคติท่ีดี ช่วยสะทอ้ นให้ ผู้สอนเป็นนักคิด นักวางแผน เป็นเครื่องมือสื่อสารที่ดี มีความเฉพาะเจาะจง ครอบคลุม และมีความ ยดื หยนุ่ สามารถปรบั เปลีย่ นได้ตามความเหมาะสม ตลอดจนมคี วามชัดเจน ทุกคนสามารถแปลความ ไดต้ รงกนั และมกี ารนำไปใชแ้ ละพฒั นาอย่างต่อเน่ือง 4) องคป์ ระกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ควรตระหนักถึงเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจาก การเขียนแผนการจัดการเรยี นรู้จำเป็นต้องเขียนตามลำดบั องค์ประกอบและหากขาดองค์ประกอบใด ก็มิอาจทำให้แผนการจัดการเรียนรู้นั้นสมบูรณ์ เมื่อพิจารณาแล้วการศึกษา วิเคราะห์ องค์ประกอบ ของแผนโดยท่ัวไปจะมี 7 องค์ประกอบดงั นี้ (เอกรินทร์ ส่ีมหาศาล และคณะ, 2552) 1) สาระสำคัญ เปน็ การเขยี นในลกั ษณะเปน็ ความคดิ รวบยอด หรอื Concept 2) จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ เขยี นในลกั ษณะจุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม ซึ่งเมอ่ื ผเู้ รียนได้ลงมือ ปฏิบัติทุกพฤติกรรมในแต่ละแผนการเรียนรู้ของหน่วยการเรียนรู้ แล้วบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ ตวั ชี้วดั และมาตรฐานผลการเรียนรู้ทีก่ ำหนดไวใ้ นแต่ละหน่วย 3) สาระการเรียนรู้ เป็นการเขียนเนื้อหาสาระในลักษณะเป็นประเด็นสำคัญสั้น ๆ สอดคล้องกบั เนือ้ หาสาระที่กำหนดไว้ในแผนการจัดการเรยี นรู้ 4) กจิ กรรมการเรียนรู้ ระบุวิธสี อน กระบวนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เทคนิคการสอนที่ หลากหลาย เมื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ครบถ้วนบรรลุวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ เมื่อเรียนครบทุก แผนการจัดการเรียนรู้ ผู้เรียนจะได้รับความรู้ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ครบถ้วนตามเป้าหมายการเรียนรู้ของตัวช้ีวัด และมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ โดยออกแบบการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ทผี่ ู้เรยี นต้องปฏิบัติในแตล่ ะรายช่วั โมงอยา่ งชดั เจน 5) สื่อ แหล่งการเรียนรู้ในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ จะกำหนดสื่อการเรียนรู้ที่ใช้ ประกอบการเรียนการสอนไว้อย่างชัดเจน มีใบความรู้ ใบงาน แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เอกสาร เพม่ิ เติมสำหรบั ผูส้ อนตามความเหมาะสมและบอกแหลง่ เรียนรทู้ ่สี ำคญั ท่จี ะชว่ ยให้การจัดกิจกรรมการ เรียนรเู้ ป็นไปตามเป้าหมายท่กี ำหนด 6) การวัดและประเมินผล ทุกแผนการจัดการเรียนรู้ จะระบุรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่อง การวัดและประเมินผล ทุกแผนการการจัดการเรียนรู้จะระบุรายละเอียดเกี่ยวกับ เรื่องการวัดและ ประเมินผลคือ หลักฐานการเรียนรู้ ร่องรอยการเรียนรู้ วิธีการวัดและประเมินผล เครื่องมือในการวัด และประเมินผล 7) บันทึกผลการจัดการเรียนรู้ เป็นการบันทึกผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละ แผนการจดั การเรยี นรู้เพอื่ นำไปปรับปรงุ และพัฒนาวิธกี ารจัดการเรียนรู้ให้บรรลเุ ป้าหมาย สรุปได้ว่า องคป์ ระกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบดว้ ย สาระสำคัญ จุดประสงค์ การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ ส่ือและแหล่งการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล บนั ทกึ ผลหลงั สอน

23 2.6 ประสิทธิภาพของแผนการจดั การเรียนรู้ ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การนําแผนการจัดการเรียนรู้ไปทดลองใช้ ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้แล้วนําไปปรับปรุงเพื่อนําไปสอนจริง ให้ได้ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด ไว้ การวิจัยทางหลกั สูตรและการสอนนักวิจยั จะใช้การจัดการเรยี นร้เู ปน็ นวัตกรรมเปน็ เครื่องมือใน การวิจัย ซึ่งต้องหาคุณภาพของนวัตกรรมที่ใช้ นิยมหาค่าประสิทธิภาพของ (ซึ่งไม่ใช่ค่าสถิติ) เป็น ขัน้ ตอนทำการทดลองจริงกับกลุ่มตวั อย่างท่ีกำหนดไว้แล้ว สามารถหาประสิทธิภาพของส่ือ (E1 / E 2 ) ในขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างด้วยรายละเอียด ดงั นี้ (ชวลติ ชูกาแพง. 2553 : 131-132) 1) ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1 ) เป็นค่าที่บ่งบอกว่าการจัดการเรียนรู้นั้นสามารถ พัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้อยางต่อเนื่องหรือไม่ภายในกิจกรรมที่กาหนดให้ โดยมีการเก็บข้อมูล ของผลการเรียนรู้ซึ่งสามารสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการและความงอกงามของผู้เรียนได้ โดยทั่ วไป มักจะคํานวณจากคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบย่อย หรือคะแนนจากพฤติกรรมการเรียนหรือ คะแนนจากกิจกรรมการเข้ากลุ่ม (ไม่ใช่คะแนนจากการทำแบบฝึกหัดหรือแบบฝึกทักษะ) ซึ่งคํานวณ ได้จากสูตร E1 = ∑x × 100 N A เมือ่ E1 แทน ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ แทน ผลรวมของคะแนนทกุ ส่วน X แทน จำนวนผเู้ รียน แทน คะแนนเตม็ ของทั้งหมด N A 2) ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E 2 ) ค่าที่บ่งบอกวาการจัดการเรียนรู้นั้นส่งผลให้ผู้เรียน เกิดผลสัมฤทธ์ิ ได้หรือไม่ บรรลุวัตถปุ ระสงค์หรือเป็นไปตามท่ีกำหนดไว้ในการจดั การเรียนรู้มากน้อย เพียงใดซึ่งคํานวณจากคะแนนที่ได้จากการทำแบบสดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ทดสอบหลัง เรียน) ของผเู้ รยี นทุกคน ซง่ึ คาํ นวณได้จากสูตร E2 = ∑y × 100 N B เม่ือ E 2 แทน ประสทิ ธภิ าพของผลลัพธ์ แทน ผลรวมของคะแนนจากแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ y

24 N แทน จำนวนผ้เู รียน B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน การหาค่าประสิทธิภาพจะต้องมีการกำหนดเกณฑ์เพื่อใช้ในการพิจารณา โดยเกณฑ์ ดังกล่าว นิยมใช้หลักการเรียนแบบรอบรู้คือตั้งเกณฑ์ไว้ที่ร้อยละ 80 และยอมรับความผิดพลาดได้ไม่เกิน ร้อยละ 2.5 ดังน้นั ต้องมปี ระสิทธิภาพไม่ตา่ํ กว่า 80-2.5 = 77.5 สว่ นการกำหนดเกณฑ์ ความผดิ พลาด ที่ยอมรับได้คือไม่ควรเกินร้อยละ 5 นอกจากนั้นยังพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่นประเภทของส่ือ นวัตกรรมสติปัญญาของกลุ่มผู้เรียน และวุฒิภาวะของกลุ่มผู้เรียน เป็นต้น โดยท่ัวไปนวัตกรรมการ สอนที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะมักจะกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพตํ่า กว่าการพัฒนาการเรียนรู้ท้ังน้ี เนื่องจากการพัฒนาทักษะต้องใช้เวลามากกว่า ยกตัวอย่างเช่น นวัตกรรมที่เน้นการพัฒนาความรู้ อาจกำหนดเท่ากับ 80/80 ส่วนนวัตกรรมที่เน้นการพัฒนาทักษะต่าง ๆ อาจกำหนด (E1 / E 2 ) ท่ี 75/75 เปน็ ตน้ สรุปในการวิจัยคร้งั น้ี เกณฑ์ในการหาประสิทธภิ าพของแผนการจดั การเรยี นรู้ คอื เกณฑ์ 80/80 80 ตัวแรกคือ (E1 ) ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทุกคน ที่ได้จากคะแนนประเมินพฤติกรรม ผลงานระหว่างเรียน และแบบทดสอบย่อย ซึ่งต้องได้ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ร้อยละ 80 ขึ้นไป ถือเป็นประสิทธิภาพของกระบวนการ 80 ตัวหลัง (E2 ) คือนักเรียนทั้งหมดที่ทำแบบทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียน ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 ขึ้นไป ถือว่าเป็น ประสิทธิภาพของ ผลลัพธ์ 2.7 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงความสามารถของนักเรียนในด้านต่าง ๆ ซึ่งเกิดจาก นักเรียนได้รับประสบการณ์จากกระบวนการเรียนการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางใน การวัดและประเมนิ ผล การสร้างเครื่องมือวัดใหม้ คี ุณภาพ 1) ความหมายของผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement) เป็นสมรรถภาพทางสมองในด้านต่าง ๆ ท่ี นักเรียนได้รับจากประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากครู สำหรับความหมายของผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี น ไดม้ นี กั การศกึ ษาหลายทา่ นได้ใหค้ วามหมายไว้ดังนี้ ไพศาล หวังพานิช (2536 : 139) ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า หมายถึง คุณลักษณะและความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอน เป็นผลของการเปลี่ยนแปลง พฤตกิ รรมและประสบการณ์การเรียนร้ทู ่เี กดิ จากการอบรมหรือสัง่ สอน

25 ชนินทร์ชัย อินทิราภรณ์ และคณะ (2540 : 5) ให้ความหมายว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถงึ ความสำเรจ็ ในดา้ นความรู้ ทักษะ สมรรถภาพด้านตา่ ง ๆ ของสมองหรอื มวลประสบการณ์ท้ัง ปวงของบุคคลท่ีไดร้ ับการเรียนการสอนหรอื ผลงานที่นักเรยี นไดจ้ ากการประกอบกิจกรรม บญุ ชม ศรสี ะอาด (2541 : 150) ให้ความหมายว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหมายถึง ผลท่ี ได้จากการทดสอบที่มุ่งใหผ้ เู้ รยี นบรรลุจดุ ประสงคท์ วี่ างไว้ ภพ เลาหไพบูลย์ (2542 : 329) ให้ความหมายว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง พฤติกรรมที่แสดงออกถึงความสามารถในการกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้จากการที่ไม่เคยกระทำ หรือ กระทำไดน้ อ้ ยกอ่ นที่จะมีการเรียนการสอน ซ่งึ เป็นพฤติกรรมทีม่ ีการวดั ได้ กระทรวงศึกษาธิการ (2545 : 9) ได้บัญญัติศัพท์คําว่า ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนไว้ใน หนังสือประมวลทางการศึกษาไว้ว่า หมายถึง ความสำเร็จหรือความสามารถในการกระทำใด ๆ ที่ จะต้องอาศยั ทกั ษะหรอื มิฉะนนั้ ก็ต้องอาศัยความรอบรู้ในวิชาใดวชิ าหนงึ่ โดยเฉพาะ มลธิรา มีทรัพย์ (2547 : 15) ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน คือคุณลักษณะ และความรู้ความสามารถของบุคคลอันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน หรือมวลประสบการณ์ท่ี บุคคลได้รับจากการเรียนการสอน ทำให้บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของสมรรถภาพทาง สมอง ซ่งึ สามารถวัดออกมาไดเ้ ป็นคะแนนโดยใชแ้ บบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จในด้านความรู้และทักษะ ตลอดจนการเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมอนั เปน็ ผลมาจากการจดั การเรียนรู้ 2.8 งานวจิ ัยทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง อภิรดี มณีนิล (2564 : 101) ได้วิจัยเรื่อง ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบ สอบทางภูมิศาสตร์ แบบออนไลน์ที่มีต่อความสามารถคิดวิเคราะห์และความสามารถทางภูมิศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถคิดวิเคราะห์และ ความสามารถทางภูมิศาสตร์ของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลงั เรียนทีไ่ ด้รับการจดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบสอบทางภูมิศาสตร์แบบออนไลน์ และ 2) เปรียบเทียบ ความสามารถคิดวิเคราะห์และความสามารถทางภูมิศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลัง เรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบสอบทางภูมิศาสตร์แบบออนไลน์ กลุ่ม ตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 36 คน โรงเรียนบ้านเนินมะปราง อำเภอเนิน มะปราง จังหวัดพษิ ณุโลก ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการสืบสอบทางภูมิศาสตร์แบบออนไลน์ และแบบวัด ความสามารถคดิ วเิ คราะหแ์ ละแบบความสามารถทางภมู ศิ าสตร์ สถิตทิ ใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบวา่ 1) ความสามารถคิด วิเคราะห์และแบบความสามารถทางภูมิศาสตร์ ของนักเรียนหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้

26 กระบวนการการสืบสอบทางภูมิศาสตร์แบบออนไลน์สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ี ระดับ .05 และ 2) ความสามารถคิดวิเคราะห์และความสามารถทางภูมิศาสตร์ ของนักเรียนหลังการ จัดกิจกรรมการเรยี นรู้ โดยใชก้ ระบวนการสืบสอบทางภมู ศิ าสตร์แบบออนไลนส์ งู กว่าเกณฑร์ ้อยละ 70 อยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .05 เกียรติศักดิ์ ชัยยาณะ (2563 : 129) ได้วิจัยเรื่อง การพัฒนาการพัฒนารูปแบบการเรียนการ สอนโดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์เพื่อพัฒนาการรู้เรื่องภูมิศาสตร์และความคงทนในการเรียนรู้ วิชาภูมิศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย: กรณีศึกษาโรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ การวิจัยมี วัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการปฏิบัติการและความต้องการจำเป็นการจัดการเรียนการสอน สาระภูมิศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายโดยรูปแบบ CIPP 2) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอน โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์และ 3) ศึกษาผลการใช้รูปแบบที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ระยะที่ 1 คือผู้บริหาร 2 คน ครูผู้สอน 3 คน นักเรียนมัธยมศึกษาปีท่ี 6 จำนวน 452 คน ระยะที่ 2 คือ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 46 คน สำหรับทดลองใช้รูปแบบ และระยะที่ 3 คือ นักเรียน มัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 47 คน โดยใช้เครื่องมือการวิจัย คือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียน แบบวัดการรูเ้ รื่องภูมิศาสตร์ และแบบสอบถามความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการจัดการ เรียนการสอนสาระภมู ิศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายโดยรวมอยู่ในระดบั มากและมีความต้องการ จำเป็นในด้านบริบทมากที่สุด 2) รูปแบบการเรียนการสอนมี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา กระบวนการจัดการเรียนการสอน และการวัดและประเมินผล ผลการประเมิน ความเหมาะสมโดยรวมอยู่ในระดบั มาก 3) ผลการใช้รปู แบบพบว่า นกั เรยี นมผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และการรูเ้ รื่องภมู ศิ าสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนมีนัยสำคัญทางสถิติระดบั .01 มคี วามคงทนในการ เรียนรูอ้ ยา่ งไม่มีนัยสำคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ .01 และมีความพึงพอใจการเรียนรูใ้ นภาพรวมระดับมาก คณัฏพัส บุตรแสน (2561) ได้วิจัยเรื่อง การศึกษาผลการเรียนรู้และความสามารถทาง ภูมิศาสตร์ เรื่อง เรียนรู้ ร่วมคิด แก้วิกฤตสิ่งแวดล้อม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยการ จัดการเรียนรดู้ ้วยกระบวนการทางภมู ิศาสตร์ การวิจัยครงั้ น้มี ีวัตถุประสงคเ์ พ่อื 1) เปรยี บเทยี บผลการ เรยี นรู้สงั คมศกึ ษา เรอื่ ง เรยี นรู้ ร่วมคดิ แกว้ ิกฤตสิ่งแวดล้อม กอ่ นเรยี นและหลงั เรยี น ของนกั เรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ 2) ศึกษาพัฒนาการด้าน ความสามารถทางภูมิศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยการจดั การเรียนรู้ดว้ ยกระบวนการ ทางภูมิศาสตร์ และ 3) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 30 คน ภาคเรียน 2 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนกุนนทีรุทธารามวิทยาคม เครื่องมือที่ใช้ใน การเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เรียนรู้ ร่วมคิด แก้วิกฤต สิ่งแวดล้อม แบบวัดความสามารถทางภูมิศาสตร์ เรื่อง เรียนรู้ ร่วมคิด แก้วิกฤตสิ่งแวดล้อม และ แบบสอบถามความคดิ เหน็ ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ที่มตี ่อการจัดการเรียนรู้ดว้ ยกระบวนการ ทางภูมิศาสตร์ เรื่อง เรียนรู้ ร่วมคิด แก้วิกฤตสิ่งแวดล้อม เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ แผนการ จัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ หน่วยที่ 4 เรื่อง เรียนรู้ ร่วมคิด แก้วิกฤต สิ่งแวดล้อม จำนวน 3 แผนการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเรียนรู้

27 และทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอสิ ระต่อกนั ผลการวิจัยพบวา่ 1) ผลการเรียนรู้ เรื่อง เรียนรู้ ร่วมคิด แก้ วิกฤตสิ่งแวดล้อม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทาง ภูมิศาสตร์สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 2) ความสามารถทาง ภูมิศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทาง ภูมิศาสตร์มีพัฒนาการสูงขึ้น 3) ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการ เรียนรดู้ ว้ ยกระบวนการทางภูมิศาสตร์มีคา่ เฉลีย่ อยใู่ นระดบั เหน็ ด้วยมากทสี่ ดุ เฌอณรินทร์ วรรณรัตนางกูร (2562) ได้วิจัยเรื่อง การพัฒนาการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ในการเรียน ภูมิศาสตร์ทวีปเอเชียของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ร่วมกับ เทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์ โดยมีวัตถุประสงค์ในการวิจัยเพื่อ 1) เปรียบเทียบการรู้เรื่องทาง ภูมิศาสตร์ของนักเรียน ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ร่วมกับ เทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์ และ 2) ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วย กระบวนการทางภูมิศาสตร์ร่วมกับเทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์ ร่วมกับเทคโนโลยีสารสนเทศ ภูมิศาสตร์ สำหรับเครื่องมือที่นำมาใช้ในการวิจยั ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการ ทางภูมิศาสตร์ ร่วมกับเทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์ จำนวน 3 หน่วยการเรียนรู้ รวม 14 คาบ 2) แบบวัดการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ ก่อนและหลังเรียน และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มี ต่อการจัดการเรียนรู้ โดยได้น าไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 50 คน ในภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2562 ซงึ่ ได้มาจากการสุ่มตวั อย่างแบบกลมุ่ ผลการวิจัย ปรากฏ ดังนี้ 1) การรู้เรื่องภูมิศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังการจัดการเรียนรู้ ดว้ ยกระบวนการทางภมู ศิ าสตรร์ ว่ มกบั เทคโนโลยีสารสนเทศภูมศิ าสตร์ (M = 55.68, SD = 15.69)สงู กวา่ กอ่ นเรียน (M = 18.18, SD = 7.05) อย่างมนี ยั สำคัญทางสถิติทรี่ ะดบั .05 2) ความพึงพอใจของ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ร่วมกับ เทคโนโลยสี ารสนเทศภูมศิ าสตรใ์ นภาพรวมอยูใ่ นระดับมากทส่ี ดุ (M = 4.63, SD = 0.67) ภากร อุปการแก้ว (2561) ได้วิจัยเรื่อง การจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบกระบวนการทาง ภมู ิศาสตร์ และแอพพลเิ คชนั่ QR CODE เพือ่ พัฒนาผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นวิชาภูมิศาสตร์ และทกั ษะ การทำงานกลุ่มของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นรวู้ ิชาภมู ิศาสตร์ กอ่ นและหลังไดร้ ับการจดั การเรยี นรู้ดว้ ยรูปแบบกระบวนการ ทางภูมิศาสตร์และแอพพลิเคชั่น QR CODE 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาภูมิศาสตร์ หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบกระบวนการทางภูมิศาสตรแ์ ละแอพพลิเคชั่น QR CODE กับ เกณฑ์คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 60 3) ศึกษาทักษะการทำงานกลุ่มของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 5 หลัง ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์และแอพพลิเคชั่น QR CODE และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบ กระบวนการทางภูมิศาสตร์และแอพพลิเคชั่น QR CODE กลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 76 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ด้วย รูปแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์และแอพพลิเคชั่น QR CODE แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนในวชิ าภูมิศาสตร์ แบบประเมินความสามารถในการทำงานกลุ่ม และแบบประเมนิ ความพงึ พอใจ

28 ต่อการจัดการเรยี นรูด้ ว้ ยรูปแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์และแอพพลเิ คชัน่ QR CODE ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิท์ างการเรียนในวิชาภูมศิ าสตร์หลังไดร้ ับการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการ จัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาภูมิศาสตร์ หลัง ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์และแอพพลิเคชั่น QR CODE มีค่า คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 81.73 ซึ่งมีคะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ยร้อยละ 60 เมื่อพิจารณาเป็นรายบุคคลมี นักเรยี นผ่านเกณฑจ์ ำนวน 76 คนคดิ เปน็ ร้อยละ 100 มพี ฤตกิ รรมการทำงานกล่มุ ระหวา่ งการจัดการ เรียนรู้ดว้ ยรูปแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์กับแอพพลิเคชั่น QR CODE อยู่ในระดับดี และมีความ พึงพอใจตอ่ การจัดการเรยี นรู้ด้วยรูปแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์และแอพพลิเคชนั่ QR CODE อยู่ ในระดับพึงพอใจมากท่ีสดุ กิตติกวินท์ ปินไชย (2564) ได้วิจัยเรื่อง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมการรู้เรื่อง ภูมิศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวทาง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทีส่ ง่ เสริมการรู้เร่ืองภูมิศาสตร์ สำหรบั นกั เรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 3 2) การ พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 3) ศึกษาผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้ทีส่ ่งเสริมการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 4) ศึกษาความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนที่เรียนด้วย กิจกรรมการเรยี นรทู้ ่ีส่งเสรมิ การรเู้ ร่ืองภูมิศาสตร์ สำหรบั นกั เรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 กลุม่ ตัวอย่างที่ ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนสิรินธร อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 40 คน โดยมีวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบบันทึกการสังเคราะห์งานวิจัย แบบสัมภาษณ์ ผ้เู ชีย่ วชาญ แผนการจัดการเรยี นรู้ทสี่ ่งเสริมการรูเ้ รื่องภูมิศาสตร์ จำนวน 5 แผน โดยภาพรวมมีความ เหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ( =4.78, =0.36) แบบทดสอบการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ สมมติฐานโดยใช้ t-test (Dependent Sample) ผลการวิจัยปรากฏว่า 1) แนวทางการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ที่ส่งเสริมการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการ เรียนรู้ที่ส่งเสริมการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ โดยอาศัยองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ คือ ความสามารถ ทางภมู ศิ าสตร์ กระบวนการทางภูมิศาสตร์ ทกั ษะทางภูมิศาสตร์ 2) ผลการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ ส่งเสริมการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า กิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 การตั้งคำถามเชิงภูมิศาสตร์ ขั้นตอนที่ 2 การรวบรวมข้อมูล ขั้นตอนที่ 3 การจัดการข้อมูล ขั้นตอนที่ 4 การวิเคราะห์และแปลผลข้อมูล และขั้นตอนที่ 5 การ สรุปผลเพื่อตอบคำถาม มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 86.96/86.33 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 3) ผลการใช้ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดย ภาพรวมอยใู่ นระดับมากทส่ี ุด

29 ณฐั รณิ ีย์ ประจติ ร (2565) วจิ ัยเรอ่ื ง การพัฒนาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน ในรายวิชาสังคมศึกษา สาระภูมศิ าสตร์ เร่ือง ทวปี อเมริกาเหนือ โดยใชก้ ารจดั การเรยี นรู้แบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ของ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาคุณภาพของแผนการ จัดการเรียนรู้ เรื่อง ทวีปอเมริกาเหนือ โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ สำหรับนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทวีปอเมริกาเหนือ ของ นักเรยี นระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 ระหวา่ งกอ่ นเรียนและหลังเรียน โดยใชก้ ระบวนการทางภูมศิ าสตร์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนเทศบาลวัดวรนาถบรรพต อำเภอเมอื ง จงั หวัดนครสวรรค์ คัดเลือกโดยใช้วิธกี ารสุ่มแบบกลุ่ม สถติ ิท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ไดแ้ ก่ ร้อยละ, ค่าเฉลย่ี , ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ผลวจิ ยั พบว่า 1) ผลการประเมินคุณภาพรายแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทวีปอเมริกาเหนือ โดยใช้กระบวนการทางภูมิศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยรวมท่คี ่าคะแนนเฉลยี่ (x) = 4.40 คา่ สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) = 0.35 แผนการจดั การเรียน รูอ้ ยใู่ นเกณฑ์ท่ดี ีมากและ 2) ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น เรื่อง ทวปี อเมริกาเหนอื นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศึกษา ปที ี่ 3 มผี ลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นหลงั เรยี นสูงกว่ากอ่ นเรยี นอย่างมนี ัยสำคญั ทางสถติ ริ ะดบั .05 ธีรวุฒิ เชื้อพระชอง (2562) ได้วิจัยเรื่อง การจัดการเรียนรู้กระบวนการภูมิศาสตร์ เพื่อพัฒนา ทักษะการคิดแบบองค์รวมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนสารภีพิทยาคม มี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทักษะการคิดแบบองค์รวมจากการจัดเรียนรู้ กระบวนการภูมิศาสตร์ ของ นักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนสารภีพิทยาคม เป็นการวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มตัวอย่างการ วิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนสารภีพิทยาคม จังหวัดเชียงใหม่ ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2562 จำนวน 19 คน โดยวิธีการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธกี ารจับฉลากหอ้ งเรียน เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัย ประกอบไปด้วยแผนการจัดการเรียนรู้กระบวนการภูมิศาสตร์ แบบวัดทักษะการคิดแบบ องค์รวม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ ผลการวจิ ยั พบวา่ ทักษะการคิดแบบองค์รวมเร่ืองสถานการณ์ดา้ นทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม หลังการใช้แผนการจัดการเรียนรู้กระบวนการภูมิศาสตร์ สูงขึ้นกว่าก่อนเรียน โดยมีประเด็นการคิด แบบองค์รวมพัฒนามากที่สุดอันดับ ที่ 1 คือ มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาและดำเนินชีวิตตามแนว การจัดการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ พัฒนาขึ้นร้อยละ 33.5 อันดับที่ 2 คือหัวข้อวิเคราะห์สาเหตุ ของวิกฤตการณ์ พัฒนาขึ้นร้อยละ 30 และลำดับที่ 5 หัวข้อส่งผลกระทบตอ่ ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมกับหัวข้อมีแนวทางการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนเพื่อช่วยแก้ปัญหา สถานการณ์ดังกล่าว พัฒนาขนึ้ ร้อยละ 25.2 นักเรยี นมีคา่ เฉล่ยี หลัง รักษณาลี นาครักษา (2563) ได้วิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษานอกสถานท่ี เสมือนร่วมกับกระบวนการสืบสอบและแผนที่แบบ 3 มิติทางภูมิศาสตร์ สำหรับนักเรียนระดับช้ัน มัธยมศึกษาตอนปลาย การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษานอก สถานที่เหมือนร่วมกับกระบวนการสืบสอบและแผนที่แบบ 3 มิติทางภูมิศาสตร์ สำหรับนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 2) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อรูปแบบที่พัฒนาข้ึน ในงานวิจัยระยะแรกกลุ่มตัวอย่างในวิจัยนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิชาสีหะศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม และผู้เชี่ยวชาญด้านการรู้ภูมิศาสตร์

30 เครอ่ื งมือทใี่ ช้ในการวจิ ยั ประกอบดว้ ยแบบสมั ภาษณผ์ ้เู ช่ยี วชาญ และแบบประเมินรปู แบบฯ วิเคราะห์ ข้อมูลด้วยการหาค่าเฉล่ีย และส่วนเบนมาตรฐาน 3) เพอ่ื ศึกษาความคิดเห็นของผู้เรียนที่มีต่อรูปแบบ ที่พัฒนาขึ้น โดยพิจารณาจาก 2 ประเด็นหลัก คือ 1) การเตรียมความพร้อมก่อนการเรียน และ 2) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อเป็นการตอบวัตถุประสงค์การวิจัยในข้อที่ 1 และข้อ 2 ผู้วิจัย ดำเนินการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพโดยเป็นการลับภาพผู้เชียวชาญ ด้านเทคโนโลยีและการการศึกษา และด้านภูมิศาสตร์ และเพื่อตอบวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 จับมาโดยนำรูปแบบไปทดลองใช้กับผู้ เรียน จำนวน 30 คน ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบที่พัฒนาขึ้นควรประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) แหล่งข้อมูลสารสนเทศ 2) เทคนคิ และกจิ กรรมการเรยี นรู้ 3) ครูและนกั เรยี น 4) เครอ่ื งมือส่งเสรมิ การ เรียนรู้ 5) การประเมินผล ปรีชาพล กำแพงทิพย์ (2562) ได้วิจัยเรื่อง การพัฒนาหน่วยการเรียนรู้บูรณาการเรื่อง ป่าเขา ลำน้ำ วิถีชีวิต ชุมชน ลุ่มน้ำเจียง เพื่อสร้างจิตสำนึกการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อมในท้องถิ่นจากการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์บนฐานการเรียนรู้ของชุมชน ของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปี ที่ 5 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาหน่วยการเรียนรู้บูรณาการเรื่อง ป่าเขา ลำน้ำ วิถีชีวิต ชุมชนลุ่มน้ำเจียง พัฒนาจิตสำนึกการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น และพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์บนฐานการ เรียนรู้ของชุมชน กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนหนองหญ้า ปล้องโนนคูณวิทยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 17 คน เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการใน ชั้นเรียน (Action Research) แบ่งการวิเคราะห์ข้อมูลออกเป็น 1) ข้อมูลเชิงคุณภาพ การรวบรวม ข้อมูลผู้วิจัยและผู้ช่วยวิจัยจากการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียน การสัมภาษณ์นักเรียน และการ สะท้อนคิดของนักเรียน เพื่อนำมาวิเคราะห์สรุปผลรายงานในลักษณะของการบรรยาย 2) ข้อมูลเชิง ปริมาณ การรวบรวมคะแนนจากแบบทดสอบท้ายวงจร แบบวัดจิตสำนึกการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมใน ท้องถิ่น และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ เพื่อนำมาหาค่าเฉลี่ยร้อยละและเปรียบเทียบ กับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลจากการพัฒนาหน่วยการเรียนรู้บูรณาการเรื่องป่าเขา ลำน้ำ วิถีชีวิต ชุมชนลุ่มน้ำเจียง พบว่า มีค่าเฉลี่ย 4.90 อยู่ในระดับดีมาก 2) ผลการพัฒนาจิตสำนึก การอนรุ ักษส์ ง่ิ แวดลอ้ มในท้องถน่ิ พบวา่ อยูใ่ นเกณฑร์ ้อยละ 70 อยู่ที่จติ สำนึกระดับการเหน็ คุณคา่ 3) ผลการพัฒนาสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่า นักเรียนร้อยละ 88.25 มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 74.10 เปน็ ไปตามเกณฑท์ ก่ี ำหนดไว้

31 2.9 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั ในการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไป ของทวปี เอเชีย ของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรียนเทศบาล 1 หนองใส โดยใชว้ ิธกี ารสอนแบบ กระบวนการทางภมู ิศาสตร์ ผวู้ จิ ัยมกี รอบแนวคิดในการวจิ ยั ดังน้ี ตัวแปรต้น ตวั แปรตาม กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วธิ ีการ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นสาระวิชา สอนแบบกระบวนการทาง ภมู ิศาสตร์ เรอ่ื ง ลักษณะทว่ั ไปของ ภมู ิศาสตร์ ทวปี เอเชยี ของนักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจยั

32 บทท่ี 3 วิธดี ำเนนิ การวจิ ยั การวิจัยคร้ังนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบ กระบวนการทางภูมิศาสตร์ เร่ือง ลักษณะท่ัวไปของทวีปเอเชีย สาระวิชาภูมิศาสตร์ ของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไปของทวีปเอเชีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ท่ีเรยี นดว้ ย กิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใชว้ ธิ ีการสอนแบบกระบวนการทางภูมศิ าสตร์ระหวา่ งก่อนเรียนและหลังเรยี น โด ย ใช้ กิ จ ก ร ร ม ก า ร เรี ย น รู้ โด ย ใช้ วิ ธี ก า ร ส อ น แ บ บ ก ร ะ บ ว น ก า ร ท า ง ภู มิ ศ า ส ต ร์ ข อ ง นั ก เรี ย น ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 1 ท้ังนี้ ผวู้ ิจยั ได้ทำการศึกษาวจิ ัยค้นควา้ ตามหวั ขอ้ ดงั ตอ่ ไปนี้ 3.1 ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 3.2 แบบแผนการวิจัย 3.3 เคร่ืองมอื ทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั 3.4 การสร้างและการหาคณุ ภาพของเคร่ืองมือ 3.5 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล 3.6 การวเิ คราะห์ข้อมูล 3.7 สถิตทิ ใี่ ชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 3.1 ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 1) ประชากร ประชากรท่ีใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาล 1 หนองใส สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จำนวน 2 ห้องเรียน จำนวน นกั เรียน 83 คน 2) กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาล 1 หนองใส สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ซ่ึงกลุ่มตัวอย่างได้มาจากการใช้ วิธเี ลอื กแบบเจาะจง ( Purposive sampling ) จำนวน 1 หอ้ งเรียน จำนวนนักเรียน 42 คน

33 3.2 แบบแผนการวจิ ัย การวิจัยคร้ังน้ี ใช้แบบแผนการวิจัยแบบกลุ่มเดียว (One Group Pretest-Posttest Design) ทดสอบก่อนและหลังการทดลอง มแี บบแผนการวจิ ยั ดังแสดงในตารางท่ี 2 ตารางที่ 2 แบบแผนทีใ่ ช้ในการวจิ ยั สอบก่อน ทดลอง สอบหลงั T1 X T2 สญั ลักษณท์ ่ีใชใ้ นแบบแผนการวิจยั T1 แทน การทดสอบกอ่ นเรียน (Pretest) X แทน การเรยี นการสอนแบบกระบวนการทางภมู ิศาสตร์ T2 แทน การทดสอบหลงั เรยี น (Posttest) 3.3 เคร่อื งมือทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั เครือ่ งมอื ทใี่ ช้ในการวจิ ยั คร้งั นี้ ประกอบดว้ ย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไปของทวีปเอเชีย จำนวน 10 แผน รวม 10 ช่ัวโมง ไดแ้ ก่ 1.1) แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 1 การปฐมนเิ ทศและทดสอบกอ่ นเรยี น 1.2) แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 2 ลักษณะทางกายภาพของทวีปเอเชีย (ทำเลที่ตั้งและ อาณาเขต) 1.3) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 ลักษณะทางกายภาพของทวีปเอเชีย (ลักษณะภูมิ ประเทศ) 1.4) แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 4 ลักษณะทางกายภาพของทวีปเอเชีย (ลักษณะภูมิอากาศ และพืชพรรณธรรมชาต)ิ 1.5) แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ 5 ลกั ษณะทางกายภาพของทวีปเอเชยี (ลักษณะ ทรัพยากรธรรมชาติ) 1.6) แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 6 ลกั ษณะประชากร สงั คมและวฒั นธรรมของทวีปเอเชีย 1.7) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 ลักษณะประชากร สังคมและวัฒนธรรมของทวีปเอเชีย (ต่อ)

34 1.8) แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 8 ลกั ษณะทางเศรษฐกิจของทวีปเอเชยี 1.9) แผนการจัดการเรยี นรูท้ ี่ 9 ลักษณะทางเศรษฐกิจของทวปี เอเชีย (ตอ่ ) 1.10) แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 10 ทดสอบหลงั เรียน 2) แบ บท ดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเร่ือง ลักษ ณ ะท่ั วไปของทวีปเอเชีย ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก ทีผ่ ู้วิจัยสรา้ งขนึ้ จำนวน 40 ขอ้ ต้องใช้จรงิ 30 ข้อ 3.4 การสรา้ งและการหาคุณภาพของเครอ่ื งมอื การสร้างและการหาคุณภาพของเครอ่ื งมอื ประกอบดว้ ย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างแผนการ จดั การเรียนรู้ ดงั น้ี 1.1) ศึกษาและวิเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี และทำการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการ สอนแบบกระบวนการทางภมู ศิ าสตร์ 1.2) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการ เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม หนังสือเรียนวิชาสังคมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 และหลกั สูตรสถานศกึ ษาของโรงเรยี นเทศบาล 1 หนองใส 1.3) วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวัด และสาระการเรียนรู้ หน่วยการเรียนที่ 11 เรื่อง ลักษณะทว่ั ไปของทวีปเอเชยี 1.4) กำหนดกิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการสอน การประเมินผล โดยให้สอดคล้องกับ เนื้อหาและจุดประสงค์การเรยี นรดู้ ้วยการสอนแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ 1.5) จัดทำแผนการเรียนรูแ้ บบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ จำนวน 10 แผน แผนละ 1 ชัว่ โมง รวม 10 ช่วั โมง 1.6) นำแผนการจดั การเรยี นรู้ให้ผู้เช่ียวชาญ 3 ทา่ นซงึ่ เป็นผเู้ ชย่ี วชาญดา้ นการสอนวิชา สังคมศึกษา ประกอบด้วย นางนวลศริ ิ ศิลธรรม นางอมรรัตน์ ลาภโคกสงู และนางประภา พรรณ พิลาจันทร์ โดยใหผ้ เู้ ชย่ี วชาญแตล่ ะท่านพจิ ารณาลงความคิดเหน็ แลว้ ใหค้ ะแนน ดังน้ี +1 หมายถึง เมื่อแน่ใจว่าประเด็นข้อความตรงตามจดุ ประสงค์ทก่ี ำหนด 0 หมายถงึ เม่ือไม่แนใ่ จว่าประเด็นข้อความตรงตามจุดประสงค์การเรียนร้ทู ี่กำหนด

35 -1 หมายถึง เม่ือแน่ใจว่าประเดน็ ข้อความไมต่ รงตามจุดประสงค์การเรยี นร้ทู ี่กำหนด แล้วนำคะแนนท่ีได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องขององค์ประกอบของแผนการ จดั การเรียนรู้ (Index of Item-objective Congruence : IOC) โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้อง ต้งั แต่ 0.05 ข้ึนไป ถือว่ามคี วามสอดคล้องในเกณฑท์ ีย่ อมรับได้ 1.7) ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรยี นรูต้ ามคำแนะนำ และขอ้ เสนอแนะของผ้เู ชีย่ วชาญ 1.8) นำแผนการจัดการเรียนรู้ท่ปี รบั ปรงุ และแก้ไขไปทดลองใช้กบั นักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษา ปที ่ี 1 ที่ไม่ใชก่ ลุ่มตัวอย่าง เพื่อหาข้อบกพรอ่ ง 1.9) นำแผนการจัดการเรยี นรู้มาปรับปรงุ แก้ไขเปน็ ฉบับสมบูรณ์และนำไปใชก้ ับกลุ่ม ตัวอย่าง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง ลักษณะทั่วไปของทวีปเอเชีย ท่ีผู้วิจัยได้ สร้างข้ึน เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก โดยครอบคลุมเนื้อหาและตัวช้ีวัดในแต่ละ แผนการจดั การเรยี นรู้ จำนวน 30 ขอ้ ผวู้ จิ ยั ไดด้ ำเนินการสรา้ งตามขัน้ ตอน ดงั นี้ 2.1) ศึกษาเอกสารและหลักสูตร คู่มือครู แบบเรียน ระเบียบการวัดผลและประเมินผล ทางการเรยี น แบบปรนยั ชนดิ เลอื กตอบ 2.2) วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ หลักสูตรแกนกลางและตัวช้ีวัด โดยพิจารณาจาก ความสำคญั ของตัวช้ีวัดใหค้ รอบคลุมเน้อื หา 2.3) สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ลักษณะท่ัวไปของทวีปเอเชีย แบบปรนัย ชนิด 4 ตวั เลอื ก จำนวน 40 ขอ้ ต้องการใชจ้ ริง 30 ขอ้ 2.4) นำแบบทดสอบไปให้ผู้เช่ียวชาญจำนวน 3 ท่าน คือ นางนวลศิริ ศิลธรรม นางอมรรัตน์ ลาภโคกสูง และนางประภาพรรณ พิลาจันทร์ ตรวจสอบความถูกต้องเชิงเนื้อหา เพ่ือหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบ แล้วเลือกข้อสอบท่ีมีค่าดัชนีความสอดคล้อง โดยใชเ้ กณฑก์ ารประเมนิ ดงั น้ี +1 หมายถงึ เมื่อแนใ่ จวา่ ข้อสอบกับวัตถปุ ระสงค์มีความสอดคลอ้ งกัน 0 หมายถึง เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบกับวตั ถปุ ระสงค์มคี วามสอดคล้องกัน -1 หมายถึง เม่ือแน่ใจวา่ ข้อสอบกบั วตั ถปุ ระสงค์ไม่มีความสอดคลอ้ งกนั นำข้อมูลมาหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลการประเมินค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.67 – 1.00 แสดงว่า ข้อสอบตรง กับตัวชี้วัด จากนั้นปรับปรุงแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามคำแนะนําของอาจารย์ ท่ปี รกึ ษาและผเู้ ชยี่ วชาญ

36 2.5) นำแบบทดสอบที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปทดลองใช้กับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษา ปีท่ี 2 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างและผ่านการเรียนเรื่องน้ีมาแล้ว เพื่อนำมาวเิ คราะห์หาความยากง่าย (P) และหาคา่ อำนาจจำแนก (r) 2.6) นำผลที่ได้จากการทดสอบเป็นรายชื่อ มาวิเคราะห์ค่าความยากง่าย (P) และหาค่า อำนาจจำแนก (r) ข้อสอบแต่ละข้อ และคัดเลือกข้อสอบจำนวน 30 ข้อ ซึ่งได้ค่าความยากง่าย (P) อยู่ระหว่าง 0.39 – 0.76 และมีค่าอำนาจจำแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.21 – 0.58 แล้วนำ ข้อสอบไปหาคา่ ความเช่อื ม่นั และได้ความเชื่อมั่น ทั้งฉบบั เทา่ กับ 0.87 2.7) จดั พมิ พ์แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนท่ผี ่านการตรวจคณุ ภาพแลว้ จำนวน 30 ขอ้ นาํ ไปใช้ในกลมุ่ ตวั อย่างตอ่ ไป 3.5 การเก็บรวบรวมขอ้ มูล ผูว้ จิ ยั ได้ดำเนนิ การเก็บรวบรวมข้อมลู ตามขนั้ ตอน ดังนี้ 1) ทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใชแ้ บบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นสาระวชิ า ภูมิศาสตร์ ใช้เวลา 1 ชว่ั โมงในสัปดาห์แรกก่อนทำการทดลอง 2) ดำเนนิ การทดลองการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน สาระวิชาภูมิศาสตร์โดยใช้กิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไปของทวีปเอเชีย กับ นักเรยี นตามแผนการจัดการเรยี นร้ทู ผ่ี ้วู ิจยั สรา้ งขึน้ จำนวน 10 แผน ใช้เวลา 10 ชวั่ โมง 3) ทำการทดสอบหลังเรียน (Posttest) หลังจากการทดลองสอนสิ้นสุดลง โดยใช้แบบทดสอบ วดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น สาระวชิ าภูมศิ าสตร์ ฉบับเดยี วกนั กับที่ใช้ทดสอบก่อน การทดลอง โดยใช้ เวลา 1 ช่วั โมง 4) นำคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไปวิเคราะห์ โดยใช้วิธีทางสถิติ เพ่ือทดสอบสมมตฐิ านและสรุปผลการวจิ ยั 3.6 การวเิ คราะห์ข้อมูล การวเิ คราะห์ขอ้ มลู เร่อื ง ลักษณะท่วั ไปของทวีปเอเชยี ของนักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรยี นเทศบาล 1 หนองใส ผวู้ ิจยั ไดด้ ำเนนิ การดังนี้

37 1) หาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการทาง ภูมิศาสตร์ ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะท่ัวไปของทวีปเอเชีย ของ นักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 ตามเกณฑ์ 80/80 2) หาค่าร้อยละของคะแนนเฉล่ียจากการทำแบบทดสอบหลังเรียนของนักเรียนเพื่อ เปรยี บเทยี บกับเกณฑ์ 80 ตวั หลัง 3) วิเคราะห์ค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ซึ่งผ้วู จิ ัยวเิ คราะห์คา่ ความยากง่าย และคา่ อำนาจจำแนก 4) วิเคราะห์หาค่าความเช่ือมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้วิธีของ คูเดอร์รชิ ารด์ สนั (Kuder-Richardson) สตู ร KR-20 5) หาประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1 ) และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E 2 ) ซึ่งกำหนดตาม เกณฑป์ ระสทิ ธิภาพ 80/80 3.7 สถติ ทิ ่ใี ชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมูล 1) สถติ ิท่ใี ช้ในการวเิ คราะห์หาคณุ ภาพของเครอื่ งมอื 1.1) ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณโดยใช้สูตร IOC (สมนึก ภัทธิยธนี, 2551: 79) สตู ร IOC = ∑ R N เมื่อ IOC แทน ดัชนีคา่ ความสอดคลอ้ งระหวา่ งข้อสอบกับจดุ ประสงค์ R แทน ผลรวมระหว่างคะแนนความคิดเห็นของผู้เชยี่ วชาญท้ังหมด N แทน จำนวนผู้เช่ียวชาญทงั้ หมด 1.2) ค่าความยากง่าย (P) เป็นการวเิ คราะห์ขอ้ สอบเป็นรายข้อ เมอ่ื P สูตร P = R N แทน ดชั นคี วามยากของข้อสอบ

38 R แทน จำนวนนักเรยี นท่ีตอบข้อสอบนัน้ ไดถ้ ูกต้อง N แทน จำนวนนกั เรียนทีต่ อบข้อสอบทั้งหมด เกณฑ์ความยากงา่ ยทีย่ อมรบั ได้มีค่าอยูร่ ะหวา่ ง 0.20 - 0.80 ถ้าคา่ P มีค่านอก เกณฑ์ที่กำหนด จะต้องปรบั ปรงุ ข้อสอบนั้น หรือตดั ท้ิงไป (กรมวิชาการ, 2551 : 66) 1.3) ค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน (R) เป็นการวิเคราะห์ ค่าอำนาจจำแนก เป็นการดูความเหมาะสมของรายข้อว่า ข้อคำถามสามารถจำแนกกลุ่ม เก่ง และกลุ่มอ่อนได้จริง หรือจำแนกผู้ท่ีมีคุณลักษณะสูงจากผู้มีคุณลักษณะต่ำได้ (สมนึก ภทั ทิยธนีม, 2551 : 221) โดยใชส้ ูตร ดังนี้ D = Ru−R1 หรอื Ru−R1 N Nu หรอื N1 2 เมอื่ D แทน คา่ อำนาจจำแนก Ru แทน จำนวนนกั เรยี นท่ีตอบในกลุ่มเก่ง R1 แทน จำนวนนกั เรยี นที่ตอบถูกในกลุม่ อ่อน N แทน จำนวนผเู้ รียนทงั้ หมด Nu แทน จำนวนผู้เรียนในกลุ่มเก่ง N1 แทน จำนวนผู้เรยี นในกลุม่ อ่อน 1.4) คา่ ความเชอ่ื มนั่ (Reliability) ของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนโดยใช้สตู ร ของ คูเดอร์-ริชาร์ดสัน (Kuder-Richardson) สูตร KR-20 โดยใช้สูตรดังน้ี (บุญชม ศรีสะอาด. 2554:86) สูตร rtt = K {1 − ∑spt2q} k−1 st2 = N ∑ x2−(∑ x)2 N(N−1) เมื่อ rtt แทน สัมประสิทธิ์ของความเชอ่ื มน่ั ของแบบทดสอบท้ังฉบบั K แทน จำนวนขอ้ ของแบบทดสอบทง้ั ฉบบั

39 p แทน สดั ส่วนของผู้เรียนทท่ี ําขอ้ สอบข้อน้นั ถูกกบั ผู้เรยี นท้ังหมด q แทน สัดสว่ นของผเู้ รยี นท่ีทาํ ขอ้ สอบข้อนั้นผิดกับผู้เรียนท้ังหมด st2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนสอบท้งั ฉบับ N แทน จำนวนผ้เู รียน 2) คา่ สถิติพ้นื ฐาน โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับข้อมูลทางสังคมศาสตร์ (SPSS for windows) ได้แก่ คา่ ร้อยละ (Percentage) คา่ เฉลี่ย (Mean) สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 2.1) คา่ รอ้ ยละ (Percentage) (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2552 : 104) สูตร P = f × 100 n เมอ่ื P แทน ร้อยละ f แทน ความถ่ที ต่ี ้องการให้เปน็ รอ้ ยละ n แทน จำนวนความถีท่ งั้ หมด 2.2) คา่ เฉลี่ย (Mean) (บุญชม ศรสี ะอาด. 2552 : 105) สูตร x̅ = ∑ x n เมื่อ x̅ แทน คา่ เฉลี่ย X แทน ผลรวมของคะแนนทัง้ หมดในกลมุ่ n แทน จำนวนคะแนนในกลมุ่ 2.3) สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) (บุญชม ศรีสะอาด. 2552 : 106) สตู ร S. D. = √n ∑ x2−(∑ x)2 n(n−1)

40 เมือ่ S.D. แทน สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน x̅ แทน คะแนนแตล่ ะตัว n แทน จำนวนคะแนนในกลุม่ X แทน ผลรวม 3) การหาคา่ ประสิทธิภาพของแผนการจดั การเรยี นรู้ โดยใชว้ ิธีการสอนแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ ตามเกณฑ์ 80/80 E1 / E 2 จากสตู ร (ชวลิต ชูกำแพง. 2553 : 131-132) 3.1) การคำนวณหาประสทิ ธิภาพของกระบวนการ (E1 ) E1 = ∑x × 100 N A เม่อื E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ X แทน ผลรวมของคะแนนทุกส่วน N แทน จำนวนผู้เรยี น A แทน คะแนนเต็มของท้ังหมด 3.2) การคำนวณหาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E 2 ) E2 = ∑y × 100 N B เมอื่ E 2 แทน ประสิทธภิ าพของผลลพั ธ์ y แทน คะแนนรวมของผลลพั ธห์ ลงั เรยี น B แทน คะแนนเต็มของการสอบหลงั เรยี น N แทน จำนวนผ้เู รยี น

41 4) สถติ ิทใ่ี ชใ้ นการทดสอบสมมติฐาน ทดสอบดว้ ยสถิติ t-test โดยใช้โปรแกรมสาํ เร็จรูปทางสถติ ิสำหรับข้อมูลทางสงั คมศาสตร์ (SPSS for windows) เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉล่ีย คะแนนความสามารถในการคิด แก้ปัญหาและผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนก่อนเรยี นและหลังเรียน โดยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Sample) (ประณตี วงษเ์ กษกรณ์, 2558 : 75) t = ∑D √N ∑ D2−(∑ D)2 N−1 เมอ่ื t แทน การแจกแจงแบบที D แทน ความแตกตา่ งของคะแนนหลงั เรยี น N แทน จำนวนผเู้ รยี น

41 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู การวิจัยครั้งนี้มุ่งพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไปของ ทวีปเอเชีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ มี วัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการทาง ภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไปของทวปี เอเชยี สาระวิชาภูมศิ าสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชาภมู ิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไปของทวีปเอเชีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใชว้ ิธีการสอนแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรยี น ซึ่งผลการวิเคราะห์ ขอ้ มูลมีรายละเอียดดงั ตอ่ ไปน้ี ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ลักษณะทั่วไปของ ทวีปเอเชีย โดยใช้วิธกี ารสอนแบบกระบวนการทางภูมศิ าสตร์ ของนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1 ให้มี ประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการทาง ภูมิศาสตร์ สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไปของทวีปเอเชีย ของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหวา่ งกอ่ นเรียนและหลังเรยี น ตอนท่ี 1 ผลการวเิ คราะห์หาประสิทธภิ าพของแผนการจัดการเรยี นรู้ เร่อื ง ลกั ษณะทั่วไปของ ทวีปเอเชยี โดยใช้วิธกี ารสอนแบบกระบวนการทางภมู ิศาสตร์ ของนักเรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ใหม้ ี ประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ผู้วิจัยได้นำแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการทางภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไปของทวีปเอเชีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ทำการทดลองกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยนำแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบ กระบวนการทางภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไปของทวีปเอเชีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประกอบด้วยเนื้อหาสาระ จำนวน 10 เรื่อง คือ 1) การปฐมนิเทศและทดสอบก่อนเรียน 2) ลักษณะ ทางกายภาพของทวีปเอเชีย (ทำเลที่ตั้งและอาณาเขต) 3) ลักษณะทางกายภาพของทวีปเอเชีย (ลักษณะภูมิประเทศ) 4) ลักษณะทางกายภาพของทวีปเอเชีย (ลักษณะภูมิอากาศและพืชพรรณ ธรรมชาติ) 5) ลักษณะทางกายภาพของทวีปเอเชีย (ลักษณะทรัพยากรธรรมชาติ) 6) ลักษณะ ประชากร สังคมและวัฒนธรรมของทวีปเอเชีย 7) ลักษณะประชากร สังคมและวัฒนธรรมของทวีป เอเชีย (ต่อ) 8) ลักษณะทางเศรษฐกิจของทวีปเอเชีย 9) ลักษณะทางเศรษฐกิจของทวีปเอเชีย (ต่อ)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook