วารสารวทิ ยาลยั ครศุ าสตร์ ปที ่ี 6 ฉบับท่ี 10 (เดือนมกราคม – มถิ ุนายน 2563) หลกั การบรหิ ารแบบฐานโรงเรยี น อทุ ัย บุญประเสริฐ การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผบู้ ริหารวิทยาลยั อาชีวศึกษาเอกชน จังหวดั อานาจเจรญิ อญั ชนา เชยขนุ ทด การบริหารจัดการตามวงจรบรหิ ารงานคณุ ภาพ (PDCA) ของสานักงานเลขาธิการคุรสุ ภา จังหวัดร้อยเอ็ด พรรณธิภา_แกว้ นาเหนอื การบริหารกิจกรรมการพฒั นาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนักศึกษาจีนในมหาวิทยาลยั เอกชน กรุงเทพมหานคร กรณศี ึกษามหาวิทยาลยั ธุรกิจบัณฑิตย์ Zhang Jingyu ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งภาวะผูน้ าทางวชิ าการของผบู้ ริหารกบั ความเข้มแขง็ ของทีมงานวชิ าการ โรงเรยี นมัธยมศึกษา สังกัดสานกั งานเขตพืน้ ที่การศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 3 สริ ภิ ทั ร์ลดา เพชรมงคลเวธน์ การบริหารงานพัสดุของโรงเรียนมัธยมศึกษาสงั กัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 ไพรมณี แก้วเปา้ การบรหิ ารงานบุคคลของสานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษาประถมศึกษารอ้ ยเอ็ด เขต 1 เพชรรัตน์ พลทศั น์ การศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและความสามารถในการคิดแก้ปัญหา โดยใชช้ ุดกิจกรรมการเรยี นรู้ ตามแนวความคดิ คอนสตรคั ตวิ ซิ ึม รายวชิ าชีววิทยา เร่อื ง ระบบประสาทและอวยั วะรบั ความรู้สึกของนักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 โรงเรยี นสาธิตมหาวทิ ยาลยั รามคาแหง (ฝา่ ยมัธยม) สลุ ักขณา ยศสมบตั ิ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคข์ องเดก็ ปฐมวัยโดยใช้กจิ กรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์ ณ โรงเรียนอนบุ าลแหง่ หนึง่ ในกรุงเทพมหานคร นฤมล บญั ญัติ การพัฒนาทกั ษะในการแก้ปัญหาสถานการณแ์ ละโจทยป์ ัญหาคณติ ศาสตร์ โดยการจัดการเรยี นรู้แบบปัญหาเปน็ ฐาน เรื่อง “การบวก ลบ คณู หาร ระคน” ของนกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 2 สภุ คั สมบรู ณ์โชคดี
ปีท่ี 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) ก เจ้าของ วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑติ ย์ 110/1-4 ถนนประชาชน่ื เขตหลกั สี่ กรงุ เทพ 10210 คณะทป่ี รกึ ษา ศาสตราจารย์ ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ รองศาสตราจารย์ ดร.อุทัย บญุ ประเสรฐิ รองศาสตราจารย์ ดร.กล้า ทองขาว ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.พิณสุดา สิรธิ รังศรี บรรณาธกิ าร กองจัดการ ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ธันยากร ช่วยทุกข์เพื่อน นางสาวนิรดา บรรจงเปล่ยี น ผูช้ ่วยบรรณาธิการ ออกแบบรูปเล่ม-จัดหนา้ ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.วาสนา วสิ ฤตาภา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.วาสนา วสิ ฤตาภา กองบรรณาธกิ าร อาจารย์ ดร.พงษภ์ ิญโญ แม้นโกศล กาหนดออก ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.นกั รบ หม้แี สน ราย 6 เดอื น (ปลี ะ 2 ฉบบั ) พิมพท์ ี่ โรงพิมพม์ หาวทิ ยาลยั ธรุ กิจบณั ฑติ ย์ ทศั นะขอ้ คิดใดๆท่ปี รากฏใน CES journal วารสารวิชาการวทิ ยาลัยครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธุรกจิ บณั ฑติ ย์ เปน็ ทัศนะวจิ ารณ์อิสระ ทางคณะผจู้ ดั ทา ไมจ่ าเปน็ ตอ้ งเห็นด้วยกับทัศนะข้อคิดเห็นเหล่าน้ันแต่ประการใด ลิขสิทธิบ์ ทความเป็นของ ผเู้ ขียนและวารสารและได้รับการสงวนลิขสทิ ธต์ิ ามกฎหมาย
ปที ี่ 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2563) ข รายชื่อผู้ทรงคณุ วุฒกิ ลัน่ กรองบทความ (Peer Review) รองศาสตราจารย์ ดร.ทองอินทร์ วงศโ์ สธร นักวชิ าการ รองศาสตราจารย์ ดร.อทุ ยั บญุ ประเสรฐิ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ รองศาสตราจารย์ ดร.กล้า ทองขาว มหาวิทยาลยั ธุรกจิ บณั ฑติ ย์ รองศาสตราจารย์ ดร.พณิ สดุ า สิริธรงั ศรี มหาวิทยาลยั ธุรกิจบัณฑติ ย์ ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.พนารตั น์ ลม้ิ มหาวิทยาลยั ธุรกิจบัณฑิตย์ รองศาสตราจารย์ ดร.นฤนนั ท์ สรุ ิยมณี มหาวทิ ยาลัยมหิดล ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.นักรบ ระวังการณ์ มหาวิทยาลัยมหดิ ล รองศาสตราจารย์ ดร.พรอ้ มพิไล บัวสุวรรณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รองศาสตราจารย์ ดร.เอ้อื จติ พฒั นจักร มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ รองศาสตราจารย์ ดร.ทวีศกั ด์ิ จนิ ดานรุ กั ษ์ มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.สนิ ธะวา คามดษิ ฐ์ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรุดา ชยั สวุ รรณ สถาบนั การจดั การปัญญาภวิ ฒั น์ ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.วราภรณ์ ไทยมา มหาวิทยาลยั ศรีปทมุ ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.นกั รบ หม้ีแสน มหาวิทยาลยั ธรุ กิจบัณฑิตย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วาสนา วสิ ฤตาภา มหาวิทยาลยั ธุรกจิ บณั ฑติ ย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชนินันท์ พฤกษป์ ระมลู มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ฉวีวรรณ สีสม มหาวทิ ยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ประจาวทิ ยาเขตมหาสารคาม อาจารย์ ดร.พงษ์ภญิ โญ แม้นโกศล มหาวิทยาลัยธุรกิจบณั ฑิตย์ อาจารย์ ดร.วชริ ศรณ์ แสงสุวรรณ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ อาจารย์ ดร.วิทยา วรพันธ์ุ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม
ปีท่ี 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) ค สารบญั รายช่ือผูท้ รงคุณวฒุ ิกลั่นกรองบทความ (Peer Review)................................................................................... ข บททบรรณาธกิ าร.............................................................................................................................................. 1 หลักการบรหิ ารแบบฐานโรงเรยี น........................................................................................................ 2 การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลยั อาชวี ศกึ ษาเอกชน จังหวัดอานาจเจรญิ . 12 การบริหารจัดการตามวงจรบรหิ ารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานกั งานเลขาธิการครุ ุสภา จงั หวดั รอ้ ยเอ็ด.................................................................................................................................. 29 การบรหิ ารกิจกรรมการพฒั นาคณุ ลกั ษณะที่พงึ ประสงค์ของนกั ศึกษาจนี ในมหาวิทยาลยั เอกชน กรุงเทพมหานครกรณศี ึกษามหาวทิ ยาลัยธรุ กจิ บัณฑิตย์ ................................................................... 42 ความสมั พันธ์ระหว่างภาวะผู้นาทางวชิ าการของผู้บริหารกับความเขม้ แขง็ ของทมี งานวิชาการโรงเรยี น มัธยมศกึ ษา สงั กดั สานกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 3 .................................................. 58 การบรหิ ารงานพัสดุของโรงเรยี นมธั ยมศึกษาสังกัดสานกั งานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 27 .......................................................................................................................................................... 77 การบริหารงานบคุ คลของสานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษารอ้ ยเอ็ด เขต 1 ........................ 92 การศกึ ษาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการคิดแก้ปญั หา โดยใช้ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ ........................................................................................................................................................102 การพฒั นาความคิดสร้างสรรคข์ องเดก็ ปฐมวยั โดยใช้กจิ กรรมศิลปะสร้างสรรค์ ณ โรงเรยี นอนบุ าลแห่ง หนึง่ ในกรงุ เทพมหานคร ..................................................................................................................112 การพฒั นาทกั ษะในการแก้ปัญหาสถานการณแ์ ละโจทย์ปญั หาคณติ ศาสตร์ โดยการจดั การเรยี นรูแ้ บบ ปญั หาเปน็ ฐาน เร่ือง “การบวก ลบ คูณ หารระคน” ของนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 ..............124
ปีที่ 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 1 บททบรรณาธิการ วารสารวทิ ยาลัยครุศาสตร์ (CES Journal) ไดเ้ ผยแพร่องคค์ วามร้ทู างด้านการศึกษา ดา้ นสงั คมศาสตร์ หรือสาขาท่ีเกี่ยวข้องกับการศึกษา โดยในปีที่ 6 ฉบับท่ี 10 มกราคม – มิถุนายน พ.ศ. 2563 เราได้ตีพิมพ์ บทความรวมท้ังสิ้น 10 บทความ ประกอบดว้ ยบทความวจิ ยั 9 บทความและ บทความวชิ าการ 1 บทความ ซึง่ นาเสนอองคค์ วามรู้เกย่ี วกับ หลกั การบริหารงานโรงเรยี น และการพัฒนาทกั ษะของผู้เรยี น กองบรรณาธกิ ารขอขอบคุณผู้เขยี นทุกท่านที่ส่งบทความเข้ามาเผยแพรย่ ังวารสารวิทยาลัยครุศาสตร์ (CES Journal) และขอกราบขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านที่ให้ความกรุณาพิจารณาประเมินผลงานทาง วิชาการ และให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ในการปรับปรุงบทความให้มีความสมบูรณ์ และถูกต้องตามหลัก วชิ าการ กองบรรณาธกิ ารหวังเป็นอย่างย่ิงว่าด้วยความรว่ มมือของทุกท่านจะชว่ ยให้วารสารวิทยาลัยครุศาสตร์ (CES Journal) ได้รับการพัฒนาให้มีคุณภาพและมีมาตรฐานในระดับสากล เพ่ือสร้างสรรค์องค์ความรู้ทาง การศกึ ษาส่สู ังคมไทยต่อไป ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ธันยากร ชว่ ยทกุ ข์เพื่อน Email : [email protected] บรรณาธิการ
ปที ่ี 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 2 หลกั การบริหารแบบฐานโรงเรียน (Principle of School-Based Management) รศ.ดร. อุทยั บญุ ประเสรฐิ บทนา การบริหารแบบฐานโรงเรียน(School-based Management) หรือ การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็น ฐาน และในบางทีอ่ าจมีช่ือเรียกเปน็ อย่างอื่นไดอ้ ีก เช่น การบรหิ ารและการจัดการสถานศกึ ษาโดยใช้โรงเรียน เป็นฐาน เป็นต้น แต่ในประเทศไทยนิยมเรียกกันด้วยอักษรย่อแบบสั้น ๆ ว่า SBM นั้น เป็นแนวคิดด้านการ บริหารจัดการโรงเรียนหรือการบริหารสถานศึกษา (School Management Approach) ที่เกิดขึ้นใน ประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงทศวรรษท่ี 1980 เป็นรูปแบบของการบริหารสถานศึกษา ที่ยึดโรงเรียนเป็น ศูนย์กลางของการบริหารจัดการ เป็นแบบการบริหารที่ยึดตัวโรงเรียนเป็นแกนกลาง หรือเป็นฐานในการคิด และกาหนดการดาเนินงานในโรงเรียนของแต่ละโรงเรียนด้วยตนเอง เป็นวิธีการที่จัดการให้โรงเรียนดูแล รบั ผิดชอบการบรหิ ารจดั การโรงเรียนด้วยตนเองเปน็ หลกั สาคญั การบริหารแบบ School-Based Management น้ี เปน็ รปู แบบและแนวคิดในการบริหารทีต่ ้องให้ มีการกระจายอานาจการบริหารจัดการศึกษาออกไปจากส่วนกลาง หรือจากเขตพ้ืนที่การศึกษา ไปยัง สถานศึกษาโดยตรง ทาให้สถานศึกษาต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการตนเอง มีบทบาท หน้าท่ี และ ดาเนินงานในความรับผิดชอบในลักษณะแบบเบ็ดเสร็จ มีความสะดวก คล่องตัว และมีอิสระมากขึ้นในการ ตัดสินใจ คล่องตัวมากขึ้นในการบริหารโรงเรียนในทุกด้านที่เป็นภารกิจของโรงเรียน ทั้งในด้านวิชาการและ หลกั สูตร การเงนิ และการงบประมาณ การบรหิ ารบคุ คล และการบรหิ ารท่ัวไป ฯลฯ ส่ิงสาคัญในการบริหารจัดการโรงเรียนตามแนวน้ีของไทย ที่เด่นชัด คือ การบริหารตามแนว พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ 2542 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ.2545 ที่ เน้นการกระจายอานาจ เน้นการ บริหารทางานในแบบมีส่วนร่วม ท่ีบทบาทของผู้มีส่วนร่วมเป็นแบบหุ้นส่วน (Partner) ของผู้ที่มีส่วนได้ เสียหรือของผู้ท่ีมสี ว่ นเกีย่ วข้อง (Stakeholders) เปน็ การมีสว่ นร่วมจากทุกฝ่าย ทม่ี ีสว่ นได้สว่ นเสยี ร่วมกัน บริหารจัดการใหต้ อบสนองความต้องการของผู้เรียนและชุมชนโดยตรง ให้มากที่สุด ซึ่งรูปแบบการมีส่วนรว่ ม ที่นิยมใช้กันอยู่แล้วในวงการศึกษาไทย คือ การบริหารโดยคณะกรรมการโรงเรียน หรือ โดยคณะกรรมการ สถานศกึ ษา แนวการบริหารและจัดการศึกษาของสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานนี้ ตามมาตรา 39 และ 40 ของพระราชบัญญตั ิการศึกษาแห่งชาติฯ ก็ได้กาหนดใหม้ ีการกระจายอานาจการบริหารและการจัดการศึกษา ท้ังด้านวิชาการ งบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารท่ัวไป ไปยังสถานศึกษาในเขตพ้ืนที่ การศึกษาโดยตรง และให้จัดให้มีคณะกรรมการสถานศึกษาของแต่ละสถานศึกษา ให้ทาหน้าที่กากับและ สง่ เสรมิ สนบั สนุนกจิ การของสถานศกึ ษา ของตนเองอยแู่ ลว้
ปีที่ 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 3 การบริหารโรงเรยี นของไทยด้วยวธิ ีการและแนวคิดแบบเดิมนน้ั ส่วนใหญ่แล้ว โรงเรียนจะถูกควบคุม โดยหน่วยงานส่วนกลางหรือโดยหนว่ ยงานตัวแทนจากส่วนกลาง นโยบาย แนวทางการดาเนนิ งานสาหรับแต่ ละโรงเรียน ส่วนใหญ่ก็จะถูกกาหนดมาจากส่วนกลาง การบริหารจัดการของแต่ละสถานศึกษาก็มักจะไม่ตรง กบั ความต้องการหรอื ความต้องการอนั จาเป็น(Needs) ทแี่ ทจ้ ริงของแต่ละท้องถ่ินที่ตง้ั ของโรงเรียน สมาชิกท่ี อยู่ในแต่ละโรงเรียนและชุมชนท่ีต้ังของโรงเรียน ไม่ค่อยจะได้มีบทบาท มีส่วนร่วม หรือไม่มีส่วนเก่ียวข้องใน การกาหนดการบรหิ ารจัดการโรงเรียนโดยตรง ในทางตรงกนั ข้าม หลกั การบรหิ ารตามแนวการบริหารฐานโรงเรยี นน้ี จะเน้นเรื่องการบริหารแบบมี ส่วนร่วมและการบริหารตัวเองด้วยตนเอง ในการรับผิดชอบ ดูแล แก้ไขปัญหา ปรับปรุงและพัฒนา โรงเรยี นของตนด้วยตนเอง และรับผิดชอบดแู ลตนเองเป็นหลกั สาคัญ แนวคดิ พื้นฐานและทม่ี า จากการศึกษาประวัติและพัฒนาการในการจัดการศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกาน้ัน เราได้พบ บทเรียนว่า การจดั การศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกานัน้ มีแบบของการบรหิ ารจดั การท่แี ตกต่างกันไปในแต่ ละที่แต่ละส่วน ที่แตกต่างกันของประเทศ ไม่มีแบบหน่ึงแบบใดเป็นแบบมาตรฐานกลางแบบตายตัว ไม่มี ระบบกลางแห่งชาติ การบริหารการศึกษาเป็นอานาจของมลรัฐและท้องถิ่น ซ่ึงต่างกัน ต่างก็มีระบบของ ตนเองท่ีแตกต่างกัน ถึงแม้จะมีหลายส่วนท่ีคล้ายคลึงกันได้ แต่ต่างก็เป็นอิสระต่อกัน แตกต่างกันไปในแต่ละ พืน้ ที่ แต่ละมลรฐั และจะมกี ารเปล่ยี นแปลงไปตามยคุ สมัยไดอ้ ยู่ตลอดเวลา รูปแบบของการบริหารจัดการศึกษาของแต่ละที่มีลักษณะที่เป็นพลวัตร (Dynamic) คือสามารถ ปรับตัว เปล่ียนแปลงปรับปรุงตนเองได้ตลอดเวลา หมายความว่า ในแต่ละพ้ืนท่ี จะมีการเปล่ียนแปลงหรือ ปรับตวั เองไดอ้ ยตู่ ลอดเวลา ในยคุ ใดสมยั ใดท่ีแหล่งใดนยิ มการรวมอานาจ โครงสรา้ งการบริหารดา้ นการศึกษา จะใหญ่โต เขตการศึกษา รัฐ คณะกรรมการการศึกษาของรัฐ จะใช้อานาจในการควบคุม ในการกาหนด นโยบายการศึกษา โดยเฉพาะในการบริหารงบประมาณและการกาหนดการปฏิบัติงานต่าง ๆ ในโรงเรียน และ ท่ใี ดกระแสการกระจายอานาจการจัดการการศึกษามาแรง เหมาะสม อานาจการควบคุมดูแลกจ็ ะถูกมอบโอน ไปยังหน่วยบริหารท่ีเล็กลงเช่น ลงสู่คณะกรรมการการศึกษาเขตพ้ืนท่ีการศึกษา หรือให้โดยตรงไปยังแต่ละ โรงเรียนมากข้นึ ความคิดเรื่องการบริหารฐานโรงเรียนหรือที่ใช้โรงเรียนเป็นฐานนั้น ท่ีจริงแล้วได้รับอิทธิพลมาจาก กระแสการเปล่ยี นแปลงในโลกด้านธุรกจิ และอตุ สาหกรรม ทไี่ ดป้ ระสบความสาเร็จจากการประยกุ ต์ใช้หลักการ วิธีการ และกลยุทธ์ทางการจัดการ ที่ทาให้องค์การ-ธุรกิจ-อุตสาหกรรมมีประสิทธิภาพในการทางานสูงขึ้น มี ผลงานทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพสงู ยงิ่ ขึ้น โดยการกระจายอานาจการบรหิ ารจัดการ ดว้ ยการเพม่ิ อานาจการตัดสินใจ ให้ความรับผิดชอบ และการปฏิบัติการ Empowerment ไปยังหน่วยปฏิบตั ิ ทาให้องค์การหรือหน่วยงาน สามารถปฏิบัติงานในความรับผิดชอบได้สะดวก คล่องตัว มีคุณภาพ สามารถสร้างกาไร และสร้างความพึง พอใจแกล่ ูกคา้ ผูร้ ับบรกิ าร และผ้เู ก่ียวขอ้ งได้มากยงิ่ ขน้ึ และชัดเจน
ปีท่ี 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 4 ในระหว่างช่วงปีค.ศ. 1960-1979 วงการศกึ ษาในพน้ื ทีต่ า่ ง ๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกา กไ็ ดพ้ ยายาม แสวงหานวัตกรรมและวิธีการต่าง ๆ มาปรับใช้กับการดาเนินงานทางการศึกษา เพื่อให้มีประสิทธิผลและ ประสทิ ธภิ าพยิ่งขึ้น แต่สว่ นใหญแ่ ลว้ ดาเนนิ การกันในแบบทเี่ ปน็ เร่ืองเฉพาะแต่ละเรื่องแตล่ ะงาน ภายในแวดวง การศึกษาด้วยกันเอง เช่น การปรับหลักสูตร การจัดวิธีจัดการเรียนการสอนในแบบใหม่ ๆ การปรับวิธีการ เรียน ปรับการใช้เทคโนโลยสี มัยใหมเ่ ข้าช่วย ปรับเอกสาร ตารา คู่มือการเรียนการสอน ปรับเป็นส่วน ๆ ตาม ทัศนะและท่ีวิเคราะห์ระบบได้ โดยคนในแวดวงการศึกษา ในแวดวงโรงเรียนเอง แต่ผลที่ได้ก็ยังไม่เป็นที่น่า พอใจนกั ต้ังแต่ราวปี ค.ศ.1980 เป็นต้นมา ความสาเร็จในการพัฒนาองค์การทางอุตสาหกรรม ธุรกิจ และการ พาณิชย์ ท่ีประสบความสาเร็จท่ีเห็นได้ชัดเจน เป็นอย่างมาก ได้มีส่วนชักนาให้ประชาชนต้องการให้มีการ พัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น โดยมุ่งปรับไปที่โครงสร้างและการบริหารสถานศึกษา หรือที่โรงเรียนเสยี ใหม่ ให้มีการมอบอานาจหรือกระจายอานาจการบริหารจัดการศึกษาไปยังโรงเรียนให้มากข้ึน เช่น ด้านการ บริหารงบประมาณด้วยตนเอง (Self-Budgeting School) การพัฒนาหลักสูตรโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-based Curriculum Development) การพัฒนาบุคลากรโดยใช้โรงเรยี นเป็นฐาน (School-based Staff Development) และการให้คาปรึกษานัก เรียน โดยฐานโ รงเรียน (School-based Student Counseling) เปน็ ตน้ ในขณะเดยี วกัน กม็ กี ลุ่มอ่นื ๆ เหน็ วา่ การกระจายอานาจการบริหารจัดการไปสู่โรงเรียน โดยยังให้ การปฏิบัติคงอยู่ภายในมือนักปฏิบัติการในระดับโรงเรียน ซึ่งหมายถึงผู้บริหาร ครู และบุคลากรใน สถานศกึ ษา เพียงกลุ่มเดียว ซ่งึ สว่ นใหญ่จะหมายถึงผบู้ ริหารและคณะครูนน้ั น่าจะไมส่ ามารถประกันการ ดาเนินงานทมี่ ีคุณภาพ ทโี่ รงเรยี นไดอ้ ย่างแท้จริง และเหน็ วา่ สิ่งทจี่ ะต้องจัดการให้เกิดขึ้นก็คือ การจัดการ ให้ผู้ที่รับผิดชอบการปฏิบัติท่ีระดับโรงเรียน และผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้อง มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะ ผู้ใช้บริการของโรงเรียน ได้มีบทบาทร่วมในการตัดสินใจ ร่วมดาเนินการเกี่ยวกับการดาเนินงานในระดับ โรงเรียนโดยตรงให้มากขึ้น แนวคิดดังกล่าวนี้ ได้ก่อให้เกิดการปฏิรูปการบริหารจัดการโดยกระบวนการ ตัดสินใจร่วม (Shared decision making movement) ขึ้น และในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ก็ปรากฏวา่ ได้มีการบริหารที่ใช้แบบฐานโรงเรียน (School-Based Management) เกิดข้ึนในหลายรูปแบบในประเทศ สหรัฐอเมรกิ า ซง่ึ ต่อมาได้รับความนยิ มแพร่หลาย และแพรก่ ระจายไปยังประเทศต่าง ๆ ค่อนข้างกว้างขวาง การบรหิ ารฐานโรงเรียนตามแนวคดิ ดงั กลา่ วน้ี จะยกอานาจหนา้ ที่ในการตดั สินใจและความรับผิดชอบ ในการบริหารจัดการสถานศึกษา ไปจากส่วนกลาง ไปจากเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ไปยังโรงเรียนท่ีเป็นหน่ วย ปฏิบัติการเรียนการสอน รับผิดชอบดาเนินการเรยี นการสอนโดยตรง โดยมอบอานาจการดูแล กากับควบคุม โรงเรียน ไปยงั คณะกรรมการโรงเรยี นหรอื สถานศึกษา ซง่ึ ประกอบด้วยผ้ทู ่ีมสี ่วนได้ส่วนเสียโดยตรง ใหเ้ ขา้ มามี ส่วนเก่ยี วขอ้ งและมีสว่ นรว่ ม คอื ผูป้ กครอง ครู ผ้บู รหิ าร และผูอ้ ่ืนทีเ่ กีย่ วขอ้ งในท้องถิน่ การบริหารแบบฐานโรงเรียนนี้ ได้กลายเป็นกลยุทธ์ที่สาคัญอย่างหน่ึงในการปรับปรุงและพัฒนา การศึกษา การบริหารจัดการตามรูปแบบนี้ จะมีลักษณะเฉพาะ และเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย หลกั การตอ่ ไปน้ี คอื
ปที ี่ 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 5 ก) การกระจายอานาจ (Decentralization) เป็นการกระจายอานาจการบริหารจัดการจากศูนย์ รวมอานาจ สู่หน่วยปฏิบัติการโดยตรง ซ่ึงหน่วยปฏิบัติการในท่ีนีจ้ ะหมายถงึ ตัวโรงเรยี นหรอื สถานศึกษา ซ่ึง จะเป็นการกระจายอานาจการบริหารจัดการศึกษาจากส่วนกลาง ไปยังสถานศึกษาให้มากท่ีสุด และให้มีการ บริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการกนั เอง ภายในสถานศึกษา โดยมีความเชื่อว่า โรงเรียนเป็น หน่วยสาคัญในการเปล่ียนแปลงและการพัฒนาการศึกษาของเด็ก หรือของผู้เรียน ได้เหมาะสมที่สุด ใกล้ชิด ผ้เู รียนมากทสี่ ดุ นักเรียนจะมคี ุณภาพเพียงใด จะข้ึนอยกู่ บั โรงเรยี นโดยตรง ข) การบริหารแบบมีส่วนร่วม (Participative หรือ Participatory Management) ซึ่งเป็นการ เปิดโอกาสให้ผู้เก่ียวข้อง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้เข้ามามีบทบาท มีส่วนร่วมในการบริหาร ในการตัดสินใจ รว่ มจดั การศกึ ษา ทงั้ ครู ผปู้ กครอง ตัวแทนชุมชน ตวั แทนศิษย์เกา่ และตวั แทนนักเรยี น การทบี่ คุ คลเหล่านี้ได้ มีโอกาสมสี ว่ นร่วมในการบรหิ ารจดั การศกึ ษาในสถานศกึ ษาของตนโดยตรง จะกอ่ ให้ เกดิ ความร้สู ึกเปน็ เจ้าของ จะรู้สึกยินดี และยินดีมีส่วนรว่ มรบั ผิดชอบดูแล ในการจัดการศึกษามากขึ้น การจัดการศึกษาของสถานศกึ ษา จะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้เรียน ของชุมชน และสังคมได้อย่างเหมาะสม มีคุณภาพ และทัน การณไ์ ดม้ ากขนึ้ การบริหารโดยหลักการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือที่มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stake- holders) แทนที่จะเป็นการบริหารโดยหน่วยกลางหรือหน่วยราชการเป็นหลัก ดังเช่นในอดีตของไทย ซ่ึง อาจจะตีความตอ่ ไปได้วา่ เปน็ การคืนอานาจการจัดการศึกษาใหป้ ระชาชนและชมุ ชนน้นั เอง ค) การบริหารจัดการตนเอง (Self-managing) เป็นแนวการบริหารจัดการตนเอง (Self- manage)ดว้ ยตนเอง เป็นหลักสาคญั ระบบการศกึ ษาไทยในอดตี โรงเรยี นมักจะถูกกาหนดใหเ้ ป็นเพียงหน่วย ปฏิบัติตามนโยบาย และเป็นกลไกการจัดการศึกษาของส่วนกลาง โรงเรียนไม่มีอานาจอย่างแท้จริงในการ บริหารจดั การตนเอง ท้งั ๆ ทนี่ า่ จะไดร้ บั การส่งเสรมิ ใหส้ ามารถบริหารจัดการตนเองไดไ้ มย่ ากนกั ง) การบรหิ ารจัดการ ทีต่ อบสนองหรอื สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและชุมชนให้ ได้ มากทสี่ ดุ จึงจะเปน็ การบริหารจดั การที่สามารถตอบสนองลักษณะเฉพาะตวั ของแตล่ ะโรงเรยี นทีแ่ ตกต่างกัน ได้มากถงึ ไดม้ ากทส่ี ดุ ในบริบทท่ีมคี วามแตกตา่ งกนั ได้ ในทกุ ดา้ น ทงั้ โรงเรยี น ผูบ้ รหิ าร ครูและบคุ ลากร ผเู้ รยี น หรือนกั เรยี น และชุมชนทีม่ ีลกั ษณะและความตอ้ งการทีแ่ ตกตา่ งกัน การบรหิ ารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานน้ัน มไิ ดป้ ฏิเสธเรอ่ื งการทางานร่วม ใหบ้ รรลุเป้าหมายและนโยบาย ของส่วนรวม ของส่วนกลาง หรือโดยของส่วนรวมของสังคมและประเทศชาติ แต่มีความเช่ือว่า วิธีการทางาน ให้บรรลเุ ปา้ หมายน้นั ทาไดห้ ลายวธิ ีท่ีแตกต่างกัน ถา้ ส่วนกลางทาหน้าท่ีเพียงกาหนดนโยบาย มาตรฐาน และ เป้าหมายรวม แลว้ ปลอ่ ยหรอื สนับสนุนใหโ้ รงเรียนบริหารจัดการตนเองได้ และจดั การให้หรือปลอ่ ยใหโ้ รงเรียน มรี ะบบบรหิ ารท่ีคล่องตัว บรหิ ารดว้ ยตนเองได้สะดวก หรอื สง่ เสริมให้โรงเรียนสามารถบริหารจดั การตัวเองได้ ด้วยตนเองได้ โดยให้โรงเรยี นมคี วามรับผิดชอบ ให้ความสะดวก ให้อานาจ ให้มีคล่องตัวในการบรหิ ารจัดการ ตนเอง ให้โรงเรียนสามารถเลือกกาหนดวิธีปฏิบัติ และดาเนินงานโรงเรียนด้วยวิธีการที่แตกต่างกันได้ ตาม ความพร้อม ความเหมาะสม และสถานการณ์ของโรงเรยี น ผลทไี่ ดน้ ่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม น่าจะดีกว่า ท่ีทุกอย่างถูกกาหนดมาจากส่วนกลาง ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรอื ทางอ้อม ก็จะทาให้การบริหารโดยใช้โรงเรยี น
ปีที่ 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 6 เป็นฐานน้ัน เป็นระบบการบริหารจัดการโรงเรียนด้วยตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังเช่นท่ีหน่วยงานหรือ องค์การในระบบธุรกิจและอุตสาหกรรม เคยประสบผลสาเร็จมาแล้ว ด้วยวิธีการนี้จะทาให้โรงเรียนเข้มแข็ง รู้จักพึ่งตนเอง พ่ึงตัวเองได้ รู้จักรับผิดชอบต่อการบรหิ ารจัดการตนเองโดยตนเอง โดยไม่ละท้ิงหลักการศึกษา และการจดั การศกึ ษาทีป่ ระสานกับส่วนรวม โดยโรงเรียนสามารถคน้ หาปัญหา คดิ แกป้ ญั หา และคดิ พฒั นาตน ด้วยตนเองได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเป็นหน่วยงานท่ีรอปฏิบัติตามสั่ง หรือต้องรอการชี้นาจากหน่วยงานต้นสังกัด หรอื จากสว่ นกลางอยตู่ ลอดเวลา ดงั เชน่ ทีโ่ รงเรียนส่วนใหญข่ องไทยเคยเป็นอยู่ในอดตี การบริหารโรงเรียนในประเทศไทยในอดีตที่ผ่านมาน้ัน ก็ปรากฏว่า ได้มีการพยายามชักนาให้ ผู้ปกครองและชุมชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาค่อนข้างมากอยู่แล้ว โดยจัดให้มีขึ้นในรูปท่ีเป็น คณะกรรมการการศึกษาของโรงเรียน แตบ่ ทบาทส่วนใหญ่ที่เป็นจริงของคณะกรรมการดงั กล่าวเหล่าน้ัน สว่ น ใหญ่แล้วจะเป็นบทบาทในแบบเป็นคณะท่ีปรึกษา ซ่ึงจะปรึกษาหรือไม่ปรึกษาก็ได้ เมื่อได้พิจารณาจากพฤติ กรรมการบริหารของสถานศึกษาส่วนใหญ่ในอดีตแล้ว กล่าวได้ว่า คณะกรรมการมีส่วนร่วมในการบริหาร จัดการการศึกษาของโรงเรียนน้อยมาก ท้ังในการจัดการให้โรงเรยี นมบี ทบาทตอบสนองต่อความต้องการของ นักเรียน หรือต่อความต้องการอันจาเป็นของผู้เรียน สนองตอบต่อชุมชนท้องถ่ินที่ตั้งของโรงเรียนหรือ สถานศึกษา และการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมทางสังคมนั้น ปรากฏว่ามีค่อนข้าง จากัดมาก หากนารูปแบบและหลักการบริหารแบบฐานโรงเรียนนี้ มาใช้ในโรงเรียนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้ว คือ มีการกระจายอานาจการบริหารจัดการศึกษาไปยังสถานศึกษา ได้อย่างแท้จริง ให้สถานศึกษามี อานาจบริหารจัดการ ให้มีความรบั ผิดชอบในการบรหิ ารจดั การโรงเรยี นด้วยตนเอง ให้มคี วามสะดวก คล่องตัว และมีอิสระมากย่ิงขึ้นในการตัดสินใจ ท้ังด้านวิชาการและหลักสูตร การเงินและการงบประมาณ การบริหาร บุคคล และการบริหารทั่วไป ฯลฯ และให้มีการบริหารจัดการโรงเรียนโดยคณะกรรมการโรงเรียนหรือ คณะกรรมการสถานศึกษาท่ีเข้มแข็ง ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารโรงเรียน ตัวแทนครู ตัวแทนผู้ปกครอง ผู้แทน นักเรียนเก่า และผู้แทนจากองค์กรส่วนท้องถ่ินและชุมชน ตัวแทนจากผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียหรือผู้ท่ีมีส่วน เกี่ยวข้อง โดยเน้นระบบและกระบวนการทางานแบบมีส่วนร่วม (Participative management) ที่บทบาท ของผมู้ สี ว่ นรว่ มเป็นแบบหนุ้ ส่วน หรือเป็นผู้ร่วมห้นุ (Partner) จากทุกฝ่ายทมี่ ีส่วนไดส้ ่วนเสีย การดาเนินงานโรงเรียนในลักษณะดังกล่าวนี้ นอกจากจะสนองต่อการบริหารจัดการศึกษาตามแนว ปฏิรูปการศึกษา สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และจะเป็นไปตามพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติฯ แล้ว ยงั จะกอ่ ให้เกิดผลกระทบที่สาคญั ท่ีจะเห็นไดอ้ ย่างชัดเจน คอื จะเปน็ การเปล่ียนแปลงทางการ บริหารจัดการของทั้งระบบการศึกษาไทย และจะปรากฏชัดโดยเฉพาะในส่วนที่เป็นระบบบริหารจัดการของ โรงเรยี นหรอื ของสถานศกึ ษา หนว่ ยงานส่วนกลางและหนว่ ยงานในระดบั เขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษา กจ็ ะเปล่ียนระบบ คิดหรือปรับกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) จากพฤติกรรมและบทบาทที่คุ้นเคยอยู่กับการเป็นผู้ควบคุม กากับ ติดตาม ตรวจสอบ และกาหนดวิธีดาเนินงานจากส่วนกลาง จากศูนย์กลาง ไปสู่การทาหน้าท่ีด้าน นโยบาย แผน ด้านมาตรฐาน ด้านการสนับสนุนทางวิชาการ งบประมาณ ประสานและส่งเสริมสนับสนุน ให้ โรงเรยี นสามารถรบั ผดิ ชอบการบริหารจัดการโรงเรียนได้ดว้ ยตนเองในแบบเบ็ดเสร็จ ไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพ
ปที ี่ 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 7 ท่ีตัวโรงเรียนเองก็จะเปล่ียนแบบแผนการทางาน และวัฒนธรรมองค์การของโรงเรียน ไปจากระบบ แบบที่เคยคอยรับคาสั่ง รอรับคาชี้แนะ รอส่ัง คอยรับทิศทางแนวปฏิบัติ ขอความเห็น รอรับความช่วยเหลือ หรือต้องรอส่ังการจากหน่วยต้นสังกดั หรือหน่วยเหนือ มาเป็นการรู้จักคิดรเิ ร่ิมด้วยตนเอง รู้จักคิดช่วยตนเอง ทาตนเองให้เข้มแข็ง บริหารจัดการโดยการริเร่ิมด้วยตนเอง และตอบสนองความต้องการของท้องถ่ิน ของ โรงเรียน ของนักเรียน ของครู ของบุคลากรอน่ื ทเ่ี กี่ยวข้องกับการศึกษาของโรงเรยี นเอง ผู้ปกครองและชุมชน จะมีโอกาสเข้ามามีสว่ นรว่ ม มบี ทบาทในภารกจิ ของโรงเรยี น จะมีส่วนร่วมในการตดั สินใจ ช่วยเหลอื สนับสนุน การดาเนินการ มสี ่วนร่วมในการบริหารจดั การโรงเรยี นโดยตรงไดม้ ากย่งิ ข้นึ ชดั เจนขึ้น บรรยากาศการทางาน ในโรงเรียนกจ็ ะเปลย่ี นไป บทบาทของทง้ั ครูและของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา ก็จะเปลย่ี นไป พฤติกรรมการบริหาร จัดการของหน่วยงานส่วนกลางและหนว่ งงานในระดับเขตพน้ื ที่การศึกษา ก็จะเปลี่ยนเป็นวัฒนธรรมแนวใหม่ แบบใหม่ เช่นกัน รูปแบบโรงเรยี นตามหลักการบรหิ ารแบบฐานโรงเรยี น จากการศึกษาถึงรูปแบบการดาเนินงาน ท่ีน่าจะเป็นไปได้และเหมาะสมกับบริบทของ สงั คมไทย และระบบโรงเรยี นไทย โดยใชแ้ บบการบริหารแบบฐานโรงเรยี น หรือยดึ โรงเรยี นเป็นศนู ย์กลางของ การบรหิ ารจดั การและการบรหิ ารแบบมีสว่ นรว่ ม ก็ไดพ้ บว่า ไมม่ รี ูปแบบใดแบบเดียว ท่ีสามารถประยกุ ต์ใช้ได้ อย่างสมบูรณ์ หรือเหมาะสมท่ีสุดกับบริบทของสถานศึกษาไทยทุกประเภท ทุกระดับ และด้วยความเชื่อว่า สถานศึกษาแต่ละแห่ง ควรมีอิสระที่จะเลือกใช้รูปแบบ หรือวิธีดาเนินการ ในการบริหารจัดการท่ีเห็นว่า เหมาะสมกับสภาพและบริบทของตนเองมากท่สี ุดได้ รูปแบบการดาเนินงานท่ีสถานศึกษา อาจเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพและบริบทของโรงเรียน สอดคล้องกับความพร้อมของโรงเรียนและรับกับพัฒนาการของโรงเรียน หรือระดับของการพัฒนาการ บริหารจัดการของแตล่ ะโรงเรยี น ท่ีแตกต่างกัน ในขั้นนี้ มีใหเ้ ลือกได้ถึง 5 รปู แบบ ดังน้ี 1. รูปแบบท่มี กี ารบริหารจัดการโดยมีชมุ ชนเปน็ หลกั 2. รูปแบบทม่ี ีการบรหิ ารจัดการโดยมีผบู้ รหิ ารเป็นหลัก 3. รปู แบบทเี่ ปน็ โรงเรียนในกากบั ของรฐั 4. รปู แบบทบ่ี รหิ ารโดยอานาจอสิ ระขององคก์ รปกครองส่วนท้องถ่ิน 5. รูปแบบทีด่ าเนนิ การแบบการประกอบการของเอกชน แนวปฏิบตั ทิ สี่ าคัญในการบริหารแบบฐานโรงเรยี น แนวคิดที่สาคัญสาหรับการบริหารแบบฐานโรงเรียน ก็คือ การจัดการให้สถานศึกษามีความ รับผิดชอบ มีบทบาทหนา้ ที่ มคี วามสะดวกคลอ่ งตวั ในการตดั สนิ ใจในการบริหารจัดการ ในการสั่งการ ที่เก่ียวกับการบริหารโรงเรียนในภารกิจของโรงเรียน ท้ังด้านวิชาการและหลักสูตร การเงิน การงบประมาณและสินทรัพย์ การบริหารบุคคลและการบริหารท่ัวไป ด้วยระบบการบริหารแบบมี
ปีท่ี 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 8 ส่วนร่วม (Participative Management) แบบเปน็ หุ้นสว่ น (Partner) ของผู้ท่มี ีสว่ นไดเ้ สีย หรอื ผู้มี ส่วนเกี่ยวข้องจากทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง ซึ่งก็ได้มีพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฯ ระบรุ องรับใวแ้ ลว้ อยา่ งชัดเจน หัวใจของเร่ืองการบรหิ ารแบบฐานโรงเรยี นหรือการบริหารโดยใชโ้ รงเรยี นเปน็ ฐาน จึงเป็น การจดั การ ให้โรงเรียนสามารถบริหารงานโรงเรียนไดด้ ้วยตนเองโดยตรง ใหก้ ารบรหิ ารจดั การโรงเรียน ตอบสนอง ความต้องการของโรงเรียนเองโดยตรง เป็นไปตามความต้องการของโรงเรียนเอง คณะกรรม การ โรงเรียนหรือคณะกรรมการสถานศึกษา มีอานาจหน้าที่ในแบบท่ีค่อนข้างอิสระและสะดวกคล่องตัว (Autonomy) ในการบรหิ ารจัดการโรงเรยี น ตอ้ งรับผดิ ชอบในการตัดสนิ ใจในการบริหารจัดการโรงเรียน เอง รับผิดชอบในการใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่และท่ีอาจหามาได้ เพื่อการแก้ปัญหาและเพ่ือการพัฒนาของ โรงเรียน และจัดกิจกรรมการศึกษาของโรงเรียน ให้มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ และ เพ่ือการพัฒนา คุณภาพการเรยี นการสอนของโรงเรยี นของตนเองเปน็ หลักสาคัญ จากประสบการณ์การใช้การบริหารแบบฐานโรงเรียนในโรงเรียนระดับต่าง ๆ ท้ังในประเทศ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และออสเตรเลีย ก็ได้พบว่า เง่ือนไขสาคัญท่ีมีส่วนช่วยทาให้การบริหารฐานโรงเรียน ประสบความสาเร็จ คอื 1. ผู้ปฏิบัติงานในระดับโรงเรียน ต้องมีอานาจแท้จริงในการบริหารงบประมาณ บุคลากร และ หลักสูตร 2. อานาจหน้า ต้องถูกใช้เพื่อก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลง ที่เน้นการมีผลโดยตรงต่อการจัดการ เรียนการสอน และคุณภาพการเรยี นการสอนเป็นหลกั สาคัญ กลยุทธ์สาคัญในการนารูปแบบการบรหิ ารแบบฐานโรงเรยี นไปใช้ กลยุทธท์ ่สี าคัญสาหรับการนารูปแบบการบริหารแบบน้ี ไปใช้ให้ประสบผลสาเร็จ จะอยูท่ ี่การเน้นให้มี การดาเนนิ การในเรอื่ งตอ่ ไปนี้ 1) การเผยแพรแ่ ละการทาความเขา้ ใจในเร่ืองรูปแบบการบรหิ ารแบบฐานโรงเรยี น หรอื การบรหิ าร โดยใช้โรงเรยี นเป็นฐาน ให้เป็นที่รับรู้และเข้าใจกนั ใหท้ ัว่ ถงึ ในหม่ผู ทู้ ่ีเก่ียวข้องทุกฝ่าย 2) การกาหนดบทบาทหนา้ ท่ีของคณะกรรมการสถานศึกษาให้ชัดเจน และเหมาะสม และให้มี การกาหนดมาตรฐานงานของคณะกรรมการสถานศึกษาไว้ให้ชัดเจน และส่งเสริมความเข้มแข็งของ คณะกรรมการสถานศกึ ษา 3) ในการสรรหาคัดเลือกคณะกรรมการสถานศึกษา ต้องให้ได้คนที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่อง รูปแบบการบริหารแบบฐานโรงเรียนหรือการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน สามารถเสียสละเพื่องานของ สถานศึกษา และเปน็ ตวั แทนของกลุ่มตา่ ง ๆ อยา่ งแท้จริง 4) ต้องจัดการฝึกอบรม-สัมมนาผู้บริหารสถานศึกษา คณะกรรมการสถานศึกษา ให้มีความรู้ความ เข้าใจ ในเรื่องรูปแบบการบริหารแบบฐานโรงเรียนหรือการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน มีความเข้าใจใน
ปีท่ี 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 9 บทบาทหน้าที่ ให้ไดพ้ ัฒนาทักษะ และปรับบทบาททเ่ี ก่ยี วกับการบริหารจดั การศกึ ษาตามแนวการบรหิ ารแบบ การบริหารฐานโรงเรียนใหช้ ดั เจน 5) ส่งเสรมิ ใหค้ รอู าจารย์ปฏิบตั หิ น้าทรี่ ่วมกบั คณะกรรมการสถานศึกษาอย่างใกล้ชิด 6) จัดให้มีเครือข่ายคณะกรรมการสถานศึกษา เพ่ือประสานความร่วมมือและการแลกเปล่ียน ประสบการณ์ ทเี่ ก่ยี วกบั การบริหารจัดการศึกษาตามแบบการบรหิ ารฐานโรงเรยี น 7) ให้การสนับสนุนให้โรงเรียนสามารถดาเนินงานตามแนวทางการบริหารจัดการแบบฐานโรงเรียน หรือบริหารแบบใช้โรงเรียนเป็นฐาน และสามารถรับผิดชอบการบริหารจัดการโรงเรียนของตนเองในแบบ เบด็ เสรจ็ ได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ สรุป หลักการสาคญั ในการปฏิรปู การศกึ ษา โดยเฉพาะในสว่ นท่เี กีย่ วกับการบริหารจัดการสถาน ศึกษาหรือ โรงเรยี นนน้ั ปรากฏวา่ ทุกประเทศที่ส่วนกลางเคยเป็นศูนยก์ ลางของการบรหิ าร เป็นศูนย์รวบอานาจ จะเน้นท่ี ”การกระจายอานาจการบริหารจัดการศึกษาเป็นอันดับแรก ถัดไปจะเป็นการจัดการใ ห้ชุมชนและ ประชาชนเขา้ มามีส่วนร่วมในการดาเนนิ งานของโรงเรียน และมีส่วนรว่ มตดั สินใจในสว่ นทเี่ กี่ยวข้องและมี ผลกระทบตอ่ ตัวผู้เรยี น ตอ่ ชุมชน ต่อทอ้ งถน่ิ และสงั คมโดยรวม ส่วนทีต่ ้องดาเนนิ การควบคู่กนั ไป คือ การ ส่งเสริมให้คณะกรรมการโรงเรียนมีความเข้มแข็ง มีบทบาทและความรับผิดชอบโดยตรงในการบริหาร จดั การการศกึ ษาของโรงเรยี น ให้สอดคลอ้ งกับสภาพแวดลอ้ มของโรงเรยี น ของตนไดโ้ ดยตรง” การดาเนนิ งานการบรหิ ารแบบฐานโรงเรียนหรือบริหารโดยใชโ้ รงเรยี นเป็นฐานนี้ ท่ีจริงแลว้ สอดคล้อง กบั แนวการปฏิรูปการศกึ ษาของไทยตามพระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และทแี่ กไ้ ข(ฉบับท่ี 2) พ.ศ.2545 อยู่โดยตรงอยู่แล้ว คือ จะมีการกระจายอานาจการบริหารสู่สถานศึกษา มีข้อกาหนดให้โรงเรียนมี บทบาทของตนเองชัดเจนข้ึน สะดวกและคล่องตัวในการบริหารจัดการโรงเรียนหรือสถานศึกษามากข้ึน กาหนดให้จัดการให้ชุมชนเข้ามาร่วมมีบทบาท มีส่วนร่วมในการบรหิ ารจัดการศึกษาของโรงเรียนโดยตรง ทา โรงเรียนให้เข้มแข็ง ให้สามารถรับผิดชอบการบริหารโรงเรียนของตนได้โดยตนเอง สามารถบริหารในแบบ เบ็ดเสร็จไดม้ ากขึน้ จะมคี วามสะดวกและคล่องตัวในการตดั สินใจในการบริหารจัดการโรงเรียน ในการดาเนิน ภารกิจของโรงเรียน ทั้งในด้านวิชาการและหลักสูตร การเงินการงบประมาณ การบริหารบุคคล และการ บรหิ ารทว่ั ไป ฯลฯ การกระจายอานาจบริหารไปสู่สถานศึกษาตามที่กาหนดในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฯนั้น เขตพืน้ ที่บรกิ ารการศึกษาและคณะกรรมการการศึกษาแต่ละเขตฯ จะมีบทบาทสาคญั ยิ่ง จะเปน็ ตวั เชื่อมต่อท่ี สาคัญระหวา่ งกระทรวงฯกบั สถานศึกษา ซ่งึ จะตอ้ งมีบทบาท และทาหน้าทีส่ ่งเสรมิ สนับสนนุ ความพยายามใน การกระจายอานาจไปสู่สถานศึกษาให้มากท่ีสุด เขตพื้นท่ีบริการการศึกษาฯ จะเป็นหน่วยงานท่ีมีบทบาทท่ี สาคัญยิ่งต่อความสาเร็จหรือความล้มเหลว ในการสนับสนุน ส่งเสริม เพิ่มศักยภาพ ให้โรงเรียนสามารถ
ปที ่ี 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถุนายน 2563) 10 ดาเนินงานตามแนวการบริหารแบบฐานโรงเรียนได้ ช่วยให้โรงเรียนสามารถรับผิดชอบการบริหารจัดการ โรงเรยี นของตนได้ด้วยตนเอง ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ บทบาท พฤติกรรมเชิงการบริหารจัดการและการดาเนินงาน กับการสนับสนุนให้โรงเรียนสามารถ ดาเนินงานตามแนวการบริหารแบบฐานโรงเรยี นได้ โดยเขตพื้นท่ีการศึกษามีบทบาทสนับสนุน จึงเป็นส่ิงที่พงึ ต้องใส่ใจและติดตามอย่างใกล้ชิด เพ่ือจะได้หาทางช่วยสนบั สนุนใหเ้ ขตพน้ื ที่การศึกษา ทาหน้าที่เป็นพาหะใน การกระจายอานาจไปสู่สถานศกึ ษาให้มากท่สี ุด สนบั สนุนให้สถานศึกษาเข้มแขง็ มีประสทิ ธภิ าพทส่ี ดุ และอย่าง แท้จรงิ จึงจะช่วยให้การดาเนนิ งานตามเจตนารมณข์ องการปฏิรูปการศึกษาของไทยบรรลุผลตามท่ีคาดหวังได้ และจะต้องช่วยกนั ชักนา ไม่ให้เขตพ้ืนที่บรกิ ารการศึกษามีพฤติกรรมการบริหาร ในแบบที่กลายเป็นศูนยร์ วบ อานาจการบรหิ ารการศกึ ษาในระดับพ้นื ท่ีเสียเอง ดังเชน่ ท่เี คยได้เกดิ ขน้ึ แล้วในที่อ่นื ๆ อนั เปน็ สว่ นสาคญั ท่ีได้ ก่อให้เกิดแนวคิดเร่ืองการบริหารฐานโรงเรียนแบบน้ีขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา และในแวดวงการศึกษาใน ส่วนต่าง ๆ ของโลก เอกสารอา้ งอิง กมล สดุ ประเสรฐิ และ สุนทร สนุ ันท์ชยั . (2540) รายงานการปฏริ ูปการศกึ ษาของประเทศสหรัฐอเมรกิ า. กรงุ เทพมหานคร: อรรถพลการพิมพ์. คณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาติ, สานักงาน. (2542) พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 พณิ สุดา สิริธรังสี. (2540).รายงานการปฏิรูปการศกึ ษาของประเทศนิวซีแลนด์. กรุงเทพมหานคร: บรษิ ทั เซ เวนท์พรนิ้ ติ้งกรุ๊ป จากดั . ไพโรจน์ พรหมมีเนตร. ( 2533 ) การปฏิบตั งิ านของกรรมการศกึ ษาประจาโรงเรยี นประถมศกึ ษาสงั กัด สานักงานประถมศกึ ษาจงั หวัดพษิ ณโุ ลก. วทิ ยานพิ นธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาบริหาร การศึกษา บัณฑิตวิทยาลยั จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . วิจติ ร ศรสี อา้ น. (2542). รายงานการปฏิรปู ระบบบรหิ ารการศกึ ษาในกระทรวงศึกษาธิการ. กระทรวงศกึ ษาธิการ.(อดั สาเนา). ศกึ ษาธิการ,กระทรวง.รายงานการปฏิรปู ระบบบรหิ ารการศึกษาในกระทรวงศกึ ษาธิการ. (1 มถิ ุนายน 2542) กรงุ เทพมหานคร : กระทรวงศึกษาธกิ าร. (อดั สาเนา) สนานจิตร สุคนธทรัพย์. (2542). รายงานการวจิ ัย แนวทางการจัดโรงเรยี นในกากับของรัฐ (Charter Schools) : บทเรียนจากตา่ งประเทศ. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั ที.พี.พริ้นท์ จากัด. เสริมศกั ดิ์ วศิ าลาภรณแ์ ละคณะ. ( 2541 ). การกระจายอานาจการบรหิ ารและการจดั การศึกษา. กรุงเทพมหานคร: สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ.(อดั สาเนา) อทุ ยั บญุ ประเสริฐ (2546) หลกั การบรหิ ารแบบฐานโรงเรียน (S-B-M) กรุงเทพมหานคร: พระรามสี่ การพิมพ์. Cheng, Yin Cheong. (1993) The theory and characteristics of school-based management. International Journal of Educational Management. 7 ,6, 6-17.
ปีที่ 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 11 Cotton, Kathleen. (1998). School-Based Management. file://A/topsyn6.html (CD-ROM) David,J.L. (1989). Synthesis of research on school-based management. Educational Leadership.46(8),45-53. Guthric, James W. (1986).School-Based Management : The Next Needed Education Reform. Phi Delta Kappen . 68 (4) (December 1986) : 305-9. Leithwood, Kenneth and Menzies, Teresa. (1998).Forms and Effects of School-Based Management : A Review. Educational Policy, 12,3 (May 98).(CD-ROM) Odden, E.R., and Wohlstetter, P. (1995).Making school-based management work .Educational Leadership.52 (5).(February 1995):32-36. Wohlstetter, Priscilla . (1995 ).Getting School-Based Management Right .Phi Delta Kappan.77, 1 (September 1995),22-25. Florida Department of Education. (1998). Strategies for School-Based Management http://www.osi.fsu.edu/waveseries/htmlversions/wave9.html. Friedman, Itzhak. (1998). Summary of Research on the Self-management of Elementary Schools. http.//www.education.gov.il/planning/self.htm Herman, J., and Herman, J. (1993). Rational for and Advantages of School Based Management. http://www.ulberta.ca/nljp/website/hermana3.html. Myers , Dorothy and Stonehill, Robert. (1993).School-Based Management. http://www.ed.gov/OR/ConsumerGuides/baseman.html. Vollansky, Ami and Bar-Elli. (1998). Towards School Based Management in Israel. http://www.education.gov.il/planning/self.htm. Valesky, T.C.; Forsythe, G.; and Hall , M.L. (1992). Principal Perceptions of School-Based Decision Making in Tennessee School. e://A/topsyn6.html (CD-ROM).
ปที ี่ 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 12 การบริหารงานตามหลกั ธรรมาภบิ าลของผู้บริหารวทิ ยาลยั อาชีวศึกษาเอกชน จงั หวดั อานาจเจริญ Administration According to the Good Governance Principles of Private Vocational College Administrators, Amnat Charoen Province อัญชนา เชยขุนทด* Anchana Choeykhuntod* หลักสูตรศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตรแ์ ละศลิ ปศาสตร์ วทิ ยาลัยนครราชสมี า* Master of Education Program In Educational Administration Faculty Of Education And Liberal Arts Nakhonratchasima College * ดร.วริ ัลพชั ร วงศ์วัฒนเ์ กษม Dr.Wiralphat Wongwatkasem Master of Education Program In Educational Administration Faculty Of Education And Liberal Arts Nakhonratchasima College * [email protected] บทคัดยอ่ ภาษาไทย การศึกษาครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาและเปรียบเทียบการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของ ผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัดอานาจเจริญ จาแนกตามเพศ และประสบการณ์การสอน กลุ่ม ตัวอย่างได้แก่ ครูในวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชนจังหวัดอานาจเจริญ จานวน 49 คน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมาย เครอ่ื งมอื ท่ใี ชเ้ ปน็ แบบสอบถามมาตราสว่ นประมาณคา่ 5 ระดบั มคี ่าความเชือ่ มัน่ ท้ังฉบบั 0.99 สถิติทใี่ ชใ้ นการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉล่ีย ความเบ่ียงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และการวิเคราะห์ความ แปรปรวนแบบทางเดยี ว (One-way ANOVA) ผลการวจิ ยั พบว่า 1. การบรหิ ารงานตามหลกั ธรรมาภบิ าลของผบู้ ริหารวิทยาลัยอาชีวศกึ ษาเอกชน จังหวดั อานาจเจริญ โดยรวมและรายดา้ นอยใู่ นระดบั มาก 2. การเปรียบเทียบการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จงั หวดั อานาจเจรญิ จาแนกตามเพศ และประสบการณก์ ารสอน โดยรวมและรายด้านไม่แตกตา่ งกนั คาสาคัญ : การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล
ปีที่ 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 13 Abstract The research purposes were to study and to compare the administration according to the good governance principles of private vocational college administrators, Amnat Charoen province, classified by gender and working experience. The sample was the 49 of private vocational colleges in Amnat Charoen Province The target group teachers. The research instrument was the 5 level estimate rating scale questionnaire with reliability level 0.99. The data analytical statistics were the mean, standard deviation, t-test and one – way Analysis of Variance (ANOVA). The research findings were: 1. The administration according to the good governance principles of private vocational college administrators, Amnat Charoen province found the overview and each aspect were at high level. 2.The comparison of administration according to the good governance principles of private vocational college administrators, Amnat Charoen province classified by gender and working experience, found the overview and each aspect did not different. Keywords: Administration According to the Good Governance บทนา หลักการกระจายอานาจการบริหารและการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ มาตรา 39 กาหนดให้กระทรวงกระจายอานาจไปยังสถานศึกษาโดยตรง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านวิชาการ ด้าน งบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล และด้านการบรหิ ารทั่วไป หลักการมีส่วนรว่ มได้กาหนดให้การบริหาร สถานศึกษายึดหลักการให้สังคมและชมุ ชนมีส่วนรว่ มในการจัดการศึกษาโดยบริหารในรปู คณะบุคคล เรียกว่า คณะกรรมการสถานศึกษาทาหน้าท่ีรายงานผลการจัดการศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพการศึกษา และ มีอานาจหนา้ ท่ีอืน่ ที่ได้รับการกระจายอานาจจากส่วนกลางใน 4 ดา้ น คือ ด้านวิชาการ ดา้ นงบประมาณ ดา้ น การบริหารงานบุคคล และด้านการบริหารงานทั่วไป สืบต่อมาถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้กาหนดให้รัฐต้องส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพฒั นาประเทศด้านต่าง ๆ มากข้ึน และนับต้ังแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 9 ได้กล่าวถึง “การบริหารกิจการ บา้ นเมอื งท่ีดี” เป็นนโยบายสาคญั อย่างหน่งึ ในการพฒั นาเศรษฐกิจและสังคม ทาใหเ้ กิดความตระหนักและเห็น ความสาคัญของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี หรือธรรมาภิบาลอย่างกว้างขวาง ต่อมาในแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 ยังคงส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลให้เป็นส่วนหน่ึงของวิถีของคน
ปที ี่ 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 14 ไทย (สานักงานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาต,ิ 2551 : 16) จนถงึ แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 11 ซึ่งเป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับล่าสุด ให้ความสาคัญกับ หลักธรรมาภิบาลมากข้ึน โดยกล่าวใน 4 เป้าหมายหลัก ได้แก่ เศรษฐกิจมีความเข้มแข็งสมดุล ความสามารถ ในการแข่งขันสูงข้ึนมีหลักประกันสังคมที่ท่ัวถึง และสังคมไทยมีความสุขอย่างมีธรรมาภิบาล การใช้จะทาให้ ระบบการศึกษาของเราดาเนินตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการและสอดรับกับกฎหมายต่าง ๆ นั้น การศึกษาถือเป็นรากฐานสาคัญและเป็นฟันเฟืองหลักที่จะทาให้ประเทศมีการพัฒนาที่ย่ังยืนและผู้นาที่มี บทบาทสาคญั ท่สี ุดต่อการพัฒนาการศึกษา คือ ผู้บริหาร ซึง่ มีหนา้ ทบ่ี ริหารสถานศึกษาซึ่งเปน็ หนว่ ยงานของรัฐ ท่ีให้บริการแก่ประชาชน ผู้บริหารสถานศึกษาจึงต้องดาเนนิ ตามนโยบายของรัฐ โดยการนาหลักธรรมาภิบาล มาใช้กับการบริหารและการจัดการศึกษาควบคู่ไปกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตามระเบียบสานักนายกรัฐมนตรวี ่าด้วยการสรา้ งระบบการบรหิ ารบ้านเมอื งและสังคมทด่ี ี พ.ศ. 2542 และ พระราชกฤษฎึกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ปัจจุบันการศึกษา ทางด้านบริหารรฐั กจิ นั้น ถือได้ว่าธรรมาภิบาลเป็นมิตใิ หม่ของการบริหารงานภาครฐั ซ่ึงมีองค์ประกอบหลักที่ สาคัญ ระบุไวว้ ่าการบรหิ ารจัดการการศึกษาผู้บรหิ าร ครูผู้สอน บุคลากรทางการศึกษาและผู้เกี่ยวขอ้ งจะตอ้ ง เข้าใจในอานาจหน้าท่ีในการบริหารจัดการเพ่ือให้ภารกิจของโรงเรียนบรรลุตามวัตถุประสงค์ของการจัด การศกึ ษา ตระหนักเหน็ ความสาคัญของทรัพยากรบุคคลและเทคโนโลยี ซ่งึ จะช่วยให้ผูบ้ ริหารสามารถบรรลุผล ไดต้ ามเป้าหมาย ดังนั้น การบริหารตามหลักธรรมาภิบาลในสถานศึกษาจะดีและมีประสิทธภิ าพมากน้อยเพียงใดนน้ั ข้ึนอยู่กบั ความสามารถของผู้บรหิ ารในฐานะผนู้ าองค์การ ซงึ่ สอดคล้องกับสมุทร ชานาญ (2554 : 80) กล่าวว่า เป็นหน้าท่ีของผู้นาท่ีจะต้องมียุทธศาสตรใ์ นการควบคุมพฤติกรรมเชิงการเมืองในองค์การ จะต้องตระหนกั ถงึ สาเหตุและต้องเข้าใจเทคนิควิธีการแก้ไขเมื่อเกิดมีขึ้นและท่ีสาคัญกว่า คือ การป้องกันมิให้พฤติกรรมเชิง การเมืองที่ขาดจริยธรรมเกดิ ขึ้นในองคก์ ารผู้นาควรนาดว้ ยระบบคุณธรรม (Merit System) และหลักการของ ธรรมาภิบาล (Good Govemance) โดยยึดหลักพื้นฐาน 6 ประการ ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลัก ความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วน หลักความรับผิดชอบและหลักความคุ้มค่า ผู้นาต้องแสดงให้ชัดเจนเป็น นโยบายท่ีจะไม่ยอมรบั การใชพ้ ฤตกิ รรมเชิงการเมอื งท่ขี าดจริยธรรมต่อกนั และสาคัญเหนืออนื่ ใด คือ ผูน้ าต้อง แสดงพฤติกรรมท่ีดีให้เป็นแบบอย่างแก่คนอื่นในองค์การด้วยการบริหารสาหรับผู้บริหารท่ีดีจะต้องเป็นผู้ที่มี ความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงาน และพยายามทาตนให้เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้ร่วมงาน หรือ ผูใ้ ต้บงั คับบญั ชาอยา่ งแท้จริง การบรหิ ารงานของผู้บรหิ ารยอมข้นึ อยู่กบั องคป์ ระกอบท่สี าคัญหลายประการ ซึ่ง ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจในหลักการบริหารงาน รวมทั้งประสบการณ์และทักษะการบริหารของผู้บริหาร และ จาเป็นต้องมีกระบวนการในการชักนาบคุ คลในองค์การให้มีความตั้งใจในการทางานใหป้ ระสบความสาเร็จ โดย เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นร่วมกัน ตัดสินใจร่วมกัน ดังน้ัน การดาเนินงานจะ ประสบผลสาเรจ็ ตามวัตถุประสงค์มากน้อยเพยี งใดนนั้ ขนึ้ กับความสามารถของผบู้ ริหารในการนาหลักธรรมาภิ บาลมาประยกุ ต์ใช้ในการบริหารงาน
ปีที่ 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 15 แต่ในสภาพปัจจุบนั ผ้บู รหิ ารสง่ เสริมผลกั ดันเฉพาะพวกพ้องท่ีให้ผลประโยชนแ์ กต่ นหรอื ผู้ท่มี ีส่วนได้ ส่วนเสียร่วมกัน ใช้อานาจไม่ถูกต้องเหมาะสม ส่อทุจริตในรูปแบบต่าง ๆ ขาดซ่ึงความโปร่งใสตามท่ีได้ศึกษา สมั ภาษณ์ครูในวิทยาลัยอาชวี ศกึ ษาเอกชน จงั หวัดอานาจเจรญิ พบวา่ การพจิ ารณาความดีคาามชอบ มคี วาม ลาเอียงไม่เป็นธรรม เป็นเหตุให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไมพ่ อใจ เกิดความคับข้องใจนามาเป็นเหตุร้องเรียน และการ ติดตามตรวจสอบเป็นไปได้ยากและไม่อาจแน่ใจกับข้อมูลท่ีนามาเปิดเผยว่า มีความเท็จจริงมากน้อยเพียงใด รปู แบบการบริหารงานในบางสถานศึกษายังคงมีลักษณะรวมอานาจ ลักษณะการปฏิบตั งิ านส่วนใหญ่เป็นการ ส่ังการจากระดับผู้บริหารลงสู่ผู้ใต้บังคับบัญชาขาดการส่งเสริมสนับสนุนการมีส่วนร่วมในการคิดและการ แกป้ ัญหาร่วมกันของบุคคลในองคก์ าร จากปัญหาดังกล่าวผู้ศึกษาจึงสนใจศึกษาความคิดเห็นของครูการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล ของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัดอานาจเจริญ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานต้นสังกัด และ หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องได้นาหลักธรรมาภิบาลไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุง พัฒนา ตลอดจนเป็นแนวทางใน การจดั การบรหิ ารท่ีดตี ่อไป วัตถุประสงคก์ ารวิจยั 1. เพ่อื ศกึ ษาและเปรียบเทียบการบรหิ ารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลยั อาชีวศกึ ษา เอกชน จงั หวัดอานาจเจริญ 2. เพื่อเปรยี บเทยี บการบรหิ ารงานตามหลกั ธรรมาภิบาลของผูบ้ ริหารวทิ ยาลยั อาชวี ศกึ ษาเอกชน จงั หวัดอานาจเจรญิ จาแนกตามเพศ และประสบการณ์การสอน วธิ ีดาเนินการวจิ ัย ประชากรและกล่มุ ตัวอยา่ ง 1. ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครัง้ นี้ ได้แก่ ครูในวิทยาลัยอาชวี ศกึ ษาเอกชน จงั หวัดอานาจเจรญิ ปี การศกึ ษา 2561 จานวน 79 คน จากวทิ ยาลัย 3 แห่ง 2. กลมุ่ ตวั อยา่ งทใ่ี ช้ในการศึกษาครั้งนี้ ไดแ้ ก่ ครใู นวทิ ยาลยั อาชีวศกึ ษาเอกชน จังหวัดอานาจเจริญ ปกี ารศกึ ษา 2561 ได้มาโดยวธิ ีการส่มุ อยา่ งงา่ ย (Simple Random Sampling) ซ่งึ สมุ่ จากการจับฉลากจาก วทิ ยาลยั 3 แห่ง จานวน 49 คน ซ่งึ เป็นกลุ่มเปา้ หมาย เคร่ืองมอื ท่ีใชใ้ นการวจิ ัย เครือ่ งมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครัง้ นี้เป็นแบบสอบถามท่ีผู้ศกึ ษาสร้างขึน้ สาหรับสอบถามเก่ียวกับ การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัดอานาจเจริญ ซ่ึงแบ่ง ออกเป็น 2 ตอน รายละเอยี ด ดงั นี้ ตอนท่ี 1 เป็นคาถามเกยี่ วกบั ข้อมูลทั่วไป
ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 16 ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) เก่ียวกับการบริหารงานตามหลักธรรมา ภิบาลของ ผบู้ รหิ ารวิทยาลัยอาชวี ศึกษาเอกชน จงั หวัดอานาจเจรญิ ซง่ึ มลี ักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณคา่ (Rating scale) 5 ระดบั การสรา้ งและหาคณุ ภาพเครื่องมอื การสร้างเคร่อื งมอื และหาคุณภาพเครอ่ื งมือเพื่อใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูลผ้ศู กึ ษาได้ดาเนินการ ดงั นี้ 1. ศึกษาวรรณกรรมที่เกย่ี วข้องกบั การบรหิ ารงานตามหลกั ธรรมาภิบาลของผู้บริหาร เพอื่ นามา เป็นแนวทางในการสรา้ งแบบสอบถาม 2. นาแบบสอบถามที่สร้างขึ้นเสนอตอ่ ประธานควบคุมงานสารนิพนธ์ ได้ตรวจสอบเสนอแนะและ นามาปรับปรงุ แก้ไขเพื่อความถกู ต้อง 3. นาแบบสอบถามท่ีสร้างเสร็จแล้วเสนอประธานควบคุมงานสารนิพนธ์ เพ่ือตรวจสอบความ สมบูรณ์ ถูกต้อง และรับข้อเสนอแนะเพ่ือปรบั ปรุงแบบสอบถามอกี ครงั้ นาแบบสอบถามท่ีปรับปรุงแก้ไขแลว้ เสนอต่อผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อตรวจสอบสานวนภาษา ความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหา (Content Validity) โดยวิธีหา ดชั นคี วามสอดคล้องระหว่างขอ้ คาถามกับวตั ถุประสงค์ (Item-Objective Congruence Index: IOC) จานวน 3 ท่าน 4. นาเเบบสอบถามมาปรับปรุงแก้ไข ตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิเสนอประธานควบคุม งานสารนิพนธ์เพื่อตรวจพิจารณาแล้วนาแบบสอบถามไปทดลองใช้กับประชากรท่ีไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างใน การศึกษา จานวน 30 คน 5. นาข้อมูลจากการทดลองใช้มาวิเคราะห์หาค่าอานาจจาแนกรายข้อ (Item discrimination power) โดยใช้ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s product moment correlation) ระหว่างคะแนน รายข้อกบั คะแนนรวม (Item – total correlation) 6. หาค่าความเช่ือม่ัน (Reliability) และความสอดคล้องภายในของเเบบสอบถามโดยใชว้ ิธีหาค่า สัมประสิทธิ์แอลฟา (Coefficient alpha) ของ Cronbach (1990) พบว่า ค่าความเชื่อม่ัน (Reliability) ของ แบบสอบถามมีค่าสัมประสิทธิแ์ อลฟา (coefficient alpha) 7. นาแบบสอบถามท่ีผ่านการหาคุณภาพแล้วนาเสนอประธานควบคุมงานสารนิพนธ์เพ่ือตรวจ พจิ ารณาเป็นข้ันตอนสุดท้าย เพ่อื จัดทาเป็นฉบบั สมบรู ณ์เพ่ือใชเ้ กบ็ รวบรวมข้อมูลตอ่ ไป การเก็บรวบรวมข้อมลู การเก็บรวบรวมข้อมูล ไดด้ าเนนิ การตามขน้ั ตอน ดงั น้ี 1. ขอหนังสือนาจาก วิทยาลัยนครราชสีมา ถึงผู้อานวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัด อานาจเจรญิ เพ่อื ขอความร่วมมอื และอนเุ คราะหใ์ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูลเพื่อหาคณุ คณุ ภาพของเครอ่ื งมอื สอบถาม 2. ขอหนังสือนาส่งแบบสอบถามจากผู้อานวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัด อานาจเจรญิ ถงึ ผู้บรหิ ารวทิ ยาลัยในการแจกแบบสอบถามกับกลมุ่ เป้าหมาย 3. จดั สง่ แบบสอบถามไปยงั วทิ ยาลัยในวิทยาลัยอาชวี ศกึ ษาเอกชน จงั หวัดอานาจเจรญิ เพื่อเก็บ รวบรวมขอ้ มูลจากครูโดยแจกแบบสอบถามให้กับกลมุ่ เปา้ หมายและไดเ้ กบ็ แบบสอบถามคืนดว้ ยตนเอง
ปที ี่ 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 17 การวิเคราะหข์ ้อมลู การวิเคราะหข์ อ้ มลู ไดด้ าเนนิ การตามข้นั ตอน ดงั นี้ 1. นาแบบสอบถามทีไ่ ดร้ ับคืนมาทัง้ หมดมาตรวจสอบความถูกตอ้ งและความสมบรู ณ์ในการตอบ แบบสอบถาม คัดแยกและจัดหมวดหมู่ตามตัวแปรเพศและประสบการณ์การสอน ในวิทยาลัยอาชีวศึกษา เอกชน จงั หวัดอานาจเจรญิ ลงรหสั แต่ละฉบบั 2. ข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบความถกู ตอ้ งและความสมบรู ณ์แลว้ ไปตรวจคะแนนเป็นรายข้อตาม เกณฑท์ กี่ าหนด 3. นาคะแนนทไ่ี ด้จากข้อ 2 ไปวเิ คราะหห์ าคา่ สถิติต่างๆ โดยใช้โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ สถติ ิที่ใชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ศึกษาดาเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมทางคณิตศาสตร์สาเร็จูรป โดยเลือกเฉพาะวิธี วิเคราะหข์ อ้ มลู ทส่ี อดคลอ้ งกับวัตถุประสงค์ของการศกึ ษาและทดสอบสมมติฐานตังตอ่ ไปน้ี 1. วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มเป้าหมาย จาแนกตามเพศและประสบการณ์การสอน โดยแจก แจงความถ่ี (Frequencey) และค่ารอ้ ยละ (Percentage) 2. วเิ คราะหส์ ถิติพ้ืนฐาน โดยใชก้ ารหาค่าคะแนนเฉลี่ย (������̅) ค่าความเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) 3. ทดสอบสมมติฐาน 3.1 เปรียบเทียบด้านการบรหิ ารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษา เอกชน จังหวดั อานาจเจรญิ จาแนกตามเพศแตกต่างกนั ใช้สถิติการทดสอบคา่ ที่ (t-test) 3.2 เปรียบเทียบด้านการบรหิ ารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวทิ ยาลัยอาชีวศึกษา เอกชน จังหวัดอานาจเจริญ จาแนกตามประสบการณ์การสอนแตกต่างกัน ใช้สถิติการวิเคราะห์ความ แปรปรวมทางเดียว (One-way ANOVA) เมือ่ พบความแตกต่างอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติของ ตวั แปรทที่ ดสอบ จะทาการเปรยี บเทียบความแตกตา่ งรายคูด่ ว้ ยวิธขี องเชฟเฟ่ (Scheffe’s Method) ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู 1. ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูลเก่ยี วกับการศกึ ษาความคิดเหน็ ของครูตอ่ การบรหิ ารงานตามหลักธรรมาภิ บาลของผูบ้ รหิ ารวิทยาลยั อาชีวศึกษาเอกชน จังหวดั อานาจเจริญ โดยภาพรวมและรายด้าน ตารางท่ี 1 คะแนนเฉล่ยี คา่ เบ่ยี งเบนมาตรฐาน ระดับ และอันดบั ของการบรหิ ารงานตามหลักธรรมาภบิ าล ของผู้บรหิ ารวิทยาลยั อาชีวศึกษา เอกชน จงั หวดั อานาจเจรญิ โดยรวมและรายด้าน การบรหิ ารงานตามหลักธรรมาภิบาล n = 49 ระดับ อันดับ ������̅ S.D. 1. หลักนิตธิ รรม 3.83 0.74 มาก 2 2. หลักคุณธรรม 3.72 0.86 มาก 4
ปที ่ี 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 18 การบรหิ ารงานตามหลักธรรมาภิบาล n = 49 ระดับ อนั ดับ ������̅ S.D. 3. หลักความโปร่งใส 4. หลกั การมีสว่ นร่วม 3.60 0.83 มาก 6 5. หลักความรับผดิ ชอบ 6. หลกั ความคุ้มค่า 3.67 0.74 มาก 5 รวมเฉลีย่ 3.75 0.75 มาก 3 3.89 0.76 มาก 1 3.74 0.66 มาก จากตารางที่ 1 พบวา่ การบรหิ ารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศกึ ษาเอกชน จังหวดั อานาจเจริญ โดยรวมและรายดา้ นอยใู่ นระดบั มาก เรียงลาดับคะแนนเฉล่ยี จากมากไปหาน้อย 3 อันดับ แรก คอื หลักความคุม้ คา่ หลกั นิตธิ รรม และหลักความรบั ผิดชอบ 2. การเปรยี บเทยี บการบรหิ ารงานตามหลักธรรมาภบิ าลของผู้บรหิ ารวทิ ยาลัยอาชวี ศึกษาเอกชน จงั หวดั อานาจเจรญิ จาแนกตามเพศ และประสบการณก์ ารสอน โดยรวมและรายดา้ นไมแ่ ตกต่างกัน สรปุ ผลการวจิ ยั การศึกษาความคิดเห็นของครูต่อการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลัย อาชีวศกึ ษาเอกชน จงั หวดั อานาจเจริญ สรปุ สาระสาคัญของการศึกษาและผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ได้ ดงั นี้ 1. การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัด อานาจเจริญ โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลาดับคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย 3 อันดับแรก คอื หลกั ความค้มุ ค่า หลักนิติธรรม เเละหลกั ความรบั ผดิ ชอบ 1.1 การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัด อานาจเจริญ ดา้ นหลักนติ ิธรรม โดยรวมและรายขอ้ อยใู่ นระดบั มาก เรียงลาดับคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย 3 อันดับแรก คือ ผู้บริหารเคารพกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ รวมถึงสิทธิของผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บริหารปฎิบัติตนตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ ของทางราชการอย่างสม่าเสมอ และผู้บริหารมี การบรหิ ารงานใมตาแหนง่ หน้าท่ขี องตนตามกฎระเบียบที่ไดว้ างไว้ 1.2 การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัด อานาจเจริญ ด้านหลักคุณธรรม โดยรวมและรายข้ออยู่ในระดับมาก เรียงลาดับคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหา น้อย 3 อันดับแรก คือ ผู้บริหารมีหลักการบริหารงานโดยยึดม่ันในความถูกต้อง ดีงาม ผู้บริหารมีการส่งเสรมิ การสร้างคา่ นิยมท่ีดงี ามให้แกผ่ ใู้ ต้บงั คับบัญชา และผบู้ รหิ ารมีความซื่อสัตย์สจุ ริตต่อการปฏิบตั ิหน้าที่ 1.3 การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัด อานาจเจรญิ ดา้ นหลักความโปรง่ ใส โดยรวมและรายข้ออยูใ่ นระดับมาก ยกเว้น ผูบ้ รหิ ารสามารถชแี้ จงเหตุผล ประกอบการพิจารณาเล่ือนขนั้ เงนิ เดอื นได้อยา่ งชดั เจน อยใู่ นระดบั ปานกลาง เรียงลาดับคะแนนเฉลี่ยจากมาก
ปีที่ 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 19 ไปหาน้อย 3 อันดับแรก คือ ผู้บริหารให้คาแนะนา ชี้แจงข้อมูลต่าง ๆ อย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ผู้บริหารมีการจัดทาข้อมูลสารสนเทศด้วยความถูกต้อง เป็นจริง พร้อมเปิดเผยแก่บุคคลทั่วไป และผู้บริหารมี การบริหารงานดา้ นงบประมาณ อยา่ งโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ 1.4 การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัด อานาจเจริญ ด้านหลักการมีส่วนรว่ ม โดยรวมและรายข้ออยู่ในระดับมาก เรียงลาดับคะแนนเฉลี่ยจากมากไป หาน้อย 3 อันดับแรก คือ ผู้บริหารมีการมอบหมายงานอย่างชัดเจนและให้อสิ ระในการบริหารงาน ผู้บริหารมี การกระจายงานท้ัง 4 ด้านของโรงเรียนให้เเก่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติอย่างเหมาะสม และ ผูบ้ รหิ ารเปดิ โอกาสใหผ้ ู้ใตบ้ ังคับบญั ชามีส่วนรว่ มในการปฏบิ ัตงิ านตามความสามารถและความถนดั ของแต่ละคน 1.5 การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัด อานาจเจรญิ ด้านหลกั ความรบั ผิดชอบ โดยรวมและรายขอ้ อยู่ในระดบั มาก เรยี งลาดบั คะแนนเฉลยี่ จากมากไป หานอ้ ย 3 อันดับแรก คอื ผบู้ รหิ ารมคี วามรับผิดชอบตอ่ การปฏิบัติงานในหน้าที่ ผ้บู รหิ ารมสี ว่ นร่วมรับผิดชอบ ตอ่ ผลท่เี กดิ ข้นึ จากการปฏิบตั งิ านของผใู้ ต้บงั คบั บัญชา และผบู้ ริหารมีความกระตือรอื รน้ ในการปฏบิ ัตงิ านและ แก้ไขปัญหาตา่ ง ๆ ท่ีเกดิ ขนึ้ 1.6 การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัด อานาจเจริญ ด้านหลักความคุ้มค่า โดยรวมและรายข้ออยู่ในระดับมาก เรียงลาดับคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหา นอ้ ย 3 อันดับแรก คอื ผู้บรหิ ารสง่ เสริมการใชภ้ มู ปิ ญั ญาทอ้ งถ่นิ และแหลง่ เรยี นร้ใู ห้เกดิ ประโยชน์ไดเ้ ปน็ อย่างดี ผู้บริหารมีนโยบายส่งเสริมให้เกิดการใช้ทรัพยากรของโรงเรียนอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ผู้บริหาร ส่งเสริมให้ผู้ใต้บังคับบัญชาพัฒนาตนเอง ผลงาน และนาความรู้ที่ได้มาปฏบิ ัติจริง ผู้บริหารเลือกใช้เทคโนโลยี เพ่ือเพ่ิมประสทิ ธิภาพในการปฏิบัติงานได้อย่างเหมาะสมและผู้บริหารเป็นตวั อย่างที่ดีในการใช้ทรัพยากรอย่าง อม้ คา่ และเกดิ ประโยชนส์ ูงสุด 2. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูต่อการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหาร วิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัดอานาจเจริ จาแนกตามเพศ โดยรวมและรายดา้ น พบวา่ แตกต่างกันอยา่ ง ไม่มนี ยั สาคญั ทางสถิติ 3. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูต่อการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหาร วิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัดอานาจเจริญ จาแนกตามประสบการณ์การสอน โดยรวมและรายด้าน พบว่า แตกต่างกนั อยา่ งไม่มีนัยสาคัญทางสถติ ิ อภปิ รายผล การอภิปรายผลการวิจัยเกีย่ วกับการศึกษาความคิดเห็นของครูต่อการบริหารงานตามหลักธรรมาภิ บาลของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัดอานาจเจริญ มีประเด็นสาคัญจากการค้นพบการศึกษา กรอบเเนวคิด และสมมุติฐานของการวิจัยดงั รายละเอียด ตอ่ ไปนี้ 1. การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัด อานาจเจริญ โดยภาพรวมและรายด้านในอยู่ในระดับมาก ท้ังน้ีอาจเนื่องมาจากผู้บริหารในปัจจุบันต้อง ปรับเปล่ียนแนวคิดในการพัฒนาคุณภาพของสถานศึกษาและผู้บริหารบางท่านมีการศึกษาต่อและจบ
ปีท่ี 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 20 การศึกษาในระดับปริญญาโทหรือเอกทางการศึกษา มีประสบการณ์ในการทางานสูง ได้รับการอบรมพัฒนา ทกั ษะทางการบริหารอย่างต่อเนอื่ ง สอดคลอ้ งกับงานวจิ ยั ของชนษิ ์ฐภคั สงิ หลกะ (2549) ท่ีไดท้ าการวิจยั เร่ือง การศึกษาการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษาเอกชน เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร พบว่า โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากสอดคล้องกับงานวิจัยของนันทพล เรืองริวงค์ (2552) ทาการวิจัยเร่ืองการศกึ ษาการบริหารโดยใชห้ ลกั ธรรมาภบิ าลของผูบ้ รหิ ารโรงเรียนกลมุ่ เครอื ข่ายเทวาธิ ราช ตามความคิดเห็นของครูสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาสระแก้ว เขต 2 โดยรวมและรายด้านอยู่ใน ระดับมาก และสอดคล้องกับงานวิจัยของชาญชัย พิงขุนทด (2552) ทาการศึกษาวิจัยเรื่อง การศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลในสถานศึกษากับความพึงพอใจที่มีต่อการ บริหารงานสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษานครราชสีมา เขต 1-7 ตามทัศนะของครู ทั้ง ภาพรวมและรายด้านอยใู่ นระดับมาก ผู้ศึกษาได้ศึกษาการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัดอานาจเจริญ พบวา่ มีประเด็นสาคัญในรายด้าน ดังตอ่ ไปน้ี 1. การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัด อานาจเจริญ ด้านหลักนิติธรรม โดยรวมและรายข้ออยู่ในระดับมาก ท้งั น้ีเพราะจะตอ้ งปฏบิ ตั ิตามระเบียบของ ทางราชการในการดาเนินการ และรายงานผลการดาเนินการเป็นระยะ และจะต้องปฏิบัติตามระเบียบของ กระทรวงศกึ ษาธิการโดยเคร่งครัด เปน็ ผลจากกฎหมายต่าง ๆ ส่งผลตอ่ การปรับเปลี่ยนแนวทางการปฏิบตั ิ ทา ให้เกิดการเรียนรู้และนามาปรับใช้มากยิ่งข้ึนทาให้เกิดความเข้าใจและเกิดการนามาสู่การพัฒนางานใน สถานศึกษา ผู้บริหารทุกคนจึงปฏิบัติการของวิทยาลัยโดยยึดกฎ ระเบียบข้อบังคับในการทางาน เพื่อให้งาน เสรจ็ ตามกาหนดเวลาอยา่ งมีคุณภาพ อกี ทัง้ มกี ารรับข้อมูลข่าวสารท่ีที่สมยั การฝึกอบรมและการได้รับความรู้ ต่าง ๆ จากหนว่ ยงานตน้ สงั กัด จงึ ทาให้การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผูบ้ ริหารวิทยาลัยอาชวี ศึกษา เอกชน จังหวัดอานาจเจริญ ด้านหลักนิติธรรม โดยรวมและรายข้ออยู่ในระดับมาก และอาจเป็นไปได้ว่า ข้อกาหนดต่าง ๆ เป็นองค์ประกอบของการปฏิบัติงานในสถานศึกษา ซ่ึงเป็นแนวทางในการปฏิบัติที่ผู้บริหาร จะต้องร่วมคิด ร่วมทากับบคุ ลากรในสถานศึกษา เพอ่ื ใหก้ ารบรหิ ารจัดการในวิทยาลยั มีประสิทธิภาพ และเกิด ประสทิ ธผิ ลซง่ึ กฎ ระเบียบต่าง ๆ ทีต่ งั้ ขนึ้ นน้ั ต้องมงุ่ ให้เกิดความเป็นธรรมเพือ่ รักษาผลประโยชน์ของบุคลากร เป็นหลัก เต็มที่ยอมรับของบุคลากร ต้องบังคับใช้อย่างเสมอภาค ไม่มีการเลือกปฏิบัติกับบุคคลใดเป็นกรณี พเิ ศษ เพื่อใหเ้ กิดเป็นธรรมและเสมอภาค สอดคลอ้ งกบั อานันท์ ปนั ยารชุน (2543) กล่าวถึงหลักหลักนิติธรรม ว่า ทั้งเจตนารมณ์ สาระและการบังคับใช้กฎหมายต้องเป็นธรรมเเก่ทุกฝ่าย เพื่อประโยชน์ต่อคนหมู่มาก ไมใ่ ช่ เพอ่ื คนกลมุ่ ใดกลุม่ หนง่ึ ต้องเสมอภาค ชัดเจนและคาดการณ์ได้ สอดคลอ้ งกบั อัจฉรา โยมสนิ ธุ์ (2544) ทกี่ ลา่ ว ว่า กฎระเบียบต่าง ๆต้องมีความเสมอภาค และมีความเท่าเทียมกันไม่เลือกปฏิบัติหรือเลือกท่ีรัก มักที่ชัง ผู้บรหิ ารควรดแู ลผู้ปฏบิ ัติงานอย่างทว่ั ถงึ และเป็นธรรม สอดคลอ้ งกับงานวจิ ยั ของวชิ ัย วิสาระโภชน์ (2546) ได้ ศกึ ษาเรือ่ งการใชห้ ลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาขน้ั พ้ืนฐานท่ีเป็นนิตบิ ุคคลตามทัศนะของผู้บริหาร สถานศึกษาขั้นพน้ื ฐานจังหวัดเพชรบูรณ์ พบวา่ มกี ารใชอ้ ยู่ในระดับมากทุกดา้ น
ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 21 2. การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัด อานาจเจริญ ด้านหลักคุณธรรม โดยรวมและรายข้ออยู่ในระดับมาก ท้ังนี้เน่ืองจากหน่วยงานต่าง ๆ ให้ ความสาคัญในเรือ่ งของหลกั คุณธรรมมีการเผยแพรห่ ลักการและวธิ กี ารทส่ี ง่ เสริมคุณธรรมใหเ้ กิดขนึ้ มากมายท้ัง ในแวดวงวิชาการ การศึกษา ส่ือสารมวลชนต่าง ๆ ทาให้ผู้บริหารมีแนวทางในการถือปฏิบัติมากข้ึนและ พยายามปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ตรงกับท่ีสานักงานการประถมศึกษาจังหวัดสิงห์บุรี (2543) กล่าวถึง หลักคุณธรรม ว่าเป็นหลักปฏิบัติในการทาในส่ิงที่ถูกต้อง ด้วยความซ่ือสัตย์ จริงใจ ยึดมั่นใน ความถกู ตอ้ ง ดงี าม บนพื้นฐานของศลี ธรรมจรยิ ธรรมภายใตร้ ะเบยี บขอ้ บงั คบั ของผรู้ ับบรกิ าร และยงั ประโยชน์ ต่อสังคมและประเทศชาติ สอดคล้องกับสถาบันพระปกเกล้า (2546) ที่ได้ให้ความหมายของหลักคุณธรรมว่า คือ การยึดมั่นในความถูกต้อง ดีงาม โดยรณรงค์ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐยึดถือหลักนี้ในการปฏิบัติหน้าที่ ให้เป็น ตัวอย่างแก่สังคมและส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนพัฒนาตนเองไปพร้อมกัน เพื่อให้คนไทยมีความซ่ือสัตย์ จริงใจ ขยัน อดทนมีระเบียบวินัย ประกอบอาชีพสุจริตจนเป็นนิสัยประจาชาติ และสอดคล้องกับการศึกษา และตรงตามคากล่าวของโกสุม ผือโย (2548) ก็ได้กล่าวไว้ว่า ผู้บริหารจะต้องจัดการศึกษา ให้มีการอบรมสั่ง สอน คุณธรรมจริยธรรม และกระทาตนเป็นแบบอย่าง สอดคล้องกับสมุทร ชานาญ (2554) กล่าวว่า เป็น หน้าท่ีของผู้นาท่ีจะต้องมียุทธศาสตร์ในการควบคุมพฤติกรรรมเชิงการเมืองในองค์การ จะต้องตระหนักถึง สาเหตุและต้องเข้าใจเทคนิควิธีการแก้ไข เมื่อเกิดมีข้ึนและที่สาคัญกว่า คือ การป้องกันมิให้พฤติกรรมเชิง การเมอื งท่ีขาดจริยธรรมเกิดขึ้นในองค์การ ผูน้ าควรนาด้วยระบบคุฌธรรม (Merit System) 3. การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัด อานาจเจริญ ด้านหลกั ความโปร่งใส โดยรวมและรายขอ้ อยู่ในระดับมาก ยกเวน้ ผบู้ รหิ ารสามารถชแี้ จงเหตุผล ประกอบกาารพิจารณาเล่ือนข้ันเงินเดือนได้อย่างชัดเจน อยู่ในระดับปานกลาง ท้ังน้ีอาจเนื่องมาจากมีการ ติดตามตรวจสอบจากหน่วยงานต้นสังกัดเป็นระยะและต่อเน่ือง ส่งผลให้ผู้บริหารต้องทาการศึกษาติดตาม ข้อมลู ที่ส่งผลต่อบทบาทและหน้าท่ีรับผิดชอบของตน เพอ่ื ความโปร่งใสและพรอ้ มสาหรับการตรวจสอบ ไม่ตก เปน็ ข้อครหาของสงั คม ซึ่งตรงกับคากล่าวของวนดิ า แสงสารพันธ์ (2543) ทก่ี ล่าวไวว้ ่า การบรหิ ารต้องรายงาน ผลใหส้ าธารณชนทราบ มีความโปรง่ ใสในการตดั สนิ ใจและในกระบวนการทางาน โดยเปดิ โอกาสให้ประชาชน ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ และตรวจสอบได้ อันจะนาไปสู่การพัฒนาประเทศท่ียั่งยืน และ สอดคล้องกับความเห็นของปัญญา ฉายะจินดาวงษ์ และรัชนี ภู่ธนะกูล (2545) ท่ีกล่าวว่า หลักความโปร่งใส เป็นการสร้างความไวว้ างใจซงึ่ กันและกนั ของคนในชาติ โดยปรบั ปรงุ กลไกการทางานขององค์กรทุกวงการให้มี ความโปรง่ ใส มกี ารเปิดเผยข้อมลู ขา่ วสาร ทเี่ ป็นประโยชน์ อยา่ งตรงไปตรงมาด้วยภาษาทเี่ ขา้ ใจงา่ ย ประชาชน เข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้สะดวกและมีกระบวนการ ให้ประชาชนตรวจสอบความถูกต้อง ชัดเจนได้ ส่วนข้อท่ีมี ประเด็นน่าสนใจ ซึ่งมีระดับปานกลาง คือ ผู้บริหารสามารถชี้แจงเหตุผลประกอบการพิจารณาเลื่อนข้ัน เงินเดือนได้อย่างชัดเจน มีความสอดคล้องกับสานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2545) พบว่า ปัญหาข้อหนึ่งเกิดจากการพิจารณาความดีความชอบ โดยลาเอียงไม่เป็นธรรม เป็นเหตุให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ พอใจ เกิดความคับข้องใจนามาเป็นเหตุร้องเรียน มีความขัดแย้งกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และ วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 (สมศักดิ์ ดลประสิทธ์ิ, 2556) มาตราท่ี 47 ในการประเมินผล
ปที ี่ 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถุนายน 2563) 22 การปฏิบัติงานของข้าราชการเพ่ือประโยชน์ในการบริหารงานบุคคลให้ส่วนราชการ ประเมินโดยคานึงถึงผล การปฏิบัตงิ านเฉพาะตัวของข้าราชการผนู้ ัน้ ในตาแหนง่ ทปี่ ฏบิ ตั ิ 4. การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัด อานาจเจริญ ด้านหลักการมีส่วนร่วม โดยรวมและรายข้ออยู่ในระดับมาก ท้ังน้ีอาจสืบเน่ืองมาจากการท่ี ผู้ใต้บังคับบัญชามีความรู้ความสามารถมากข้ึน เน่ืองจากผ่านขั้นตอนการสอบคัดเลือกเข้าทางาน ซ่ึงมีอัตรา การเข่งขันค่อนข้างสูงทาให้ได้ผู้ท่ีมีความรู้ความสามารถ รวมถึงได้มีโอกาสในการรับการฝึกฝนอบรมใน กิจกรรมต่าง ๆ อย่างหลากหลายเป็นประจาต่อเน่ืองทาให้ผู้บริหารเกิดความไว้วางใจและเปิดโอกาสให้ ผู้ใต้บังคับบัญชาได้มีส่วนร่วมมากข้ึน ซึ่งตรงกับความคิดเห็นของชูชาติ พ่วงสมจิตร์ (2546) ในข้อท่ีกล่าวว่า เนื่องจากการบริหารแบบมีส่วนร่วม คือ การให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และ ดาเนินงานของสถาบัน ดังนั้น สถานศึกษาใดที่มีบุคลากรท่ีมีความรู้ความสามารถดี ก็จะสามารถใช้วิธีการ บริหารแบบน้ไี ด้อย่างมีประสิทธิภาพและประสทิ ธิผลและสอดคลอ้ งกบั พระราชกฤษฎกี าว่าดว้ ยหลักเกณฑ์เเละ วธิ ีการบริหารกจิ การบ้านเมืองท่ีดี พ.ศ. 2546 (สมศกั ดิ์ ดลประสิทธ,ิ์ 2556) มาตราท่ี 27 ใหส้ ่วนราชการจัดให้ มีการกระจายอานาจ การตัดสินใจเก่ียวกับการสัง การอนุญาต การอนุมัติ การปฏิบัติราชการหรือการ ดาเนินการอื่นใด ของผู้ดารงตาแห่งใดให้แก่ผู้ดารงตาแหน่งที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการดาเนินการในเรื่องน้ัน โดยตรงเพื่อให้เกิดความรวดเร็วและลดขั้นตอนการปฏิบัติราชการ ทั้งนี้ในการกระจายอานาจการตัดสินใจ ดงั กล่าวตอ้ งมุ่งผลให้เกดิ ความสะดวกและรวดเร็วในการบรกิ ารประชาชนกับผลการวจิ ัยของไพรส์ (Price, n.d. อ้างถึงใน จงดี ขจรไชยกุล, 2539) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบของการบรหิ ารแบบมีส่วนรว่ ม ของสขุ ภาพองค์กรผลการวจิ ยั พบวา่ โรงเรียนท่ีมโี ครงสรา้ งการตัดสนิ ใจแบบมสี ่วนร่วมมบี รรยากาศขององค์กร ดีกว่าโรงเรยี นทไี่ ม่มบี รรยากาศการบริหารแบบมสี ่วนรว่ ม และงานวจิ ัยของชารก์ (Clarke, n.d. อา้ งถงึ ใน ชาญ ชัย พิงขุนทด, 2552) ได้ศึกษาเร่ือง การปฏิรูปแบบการบริหารโดยใช้หลักธรรมาภิบาลหลักการกระจาย อานาจและประชาธิปไตยในประเทศคาร์นา ผลการวิจัยพบวา่ กลุ่มตัวอย่างยอมรบั วา่ เกดิ การเปลี่ยนแปลงใน ด้านบวกในการบรหิ ารงาน 5. การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัด อานาจเจริญ ด้านหลักความรับผิดชอบ โดยรวมและรายข้ออยู่ในระดับมาก ท้ังน้ีเน่ืองจากค่านิยมในสังคม ต้องการผู้บริหารท่ีมีความรับผิดชอบ กระตือรือร้นใส่ใจในการแก้ปัญหา หากผู้บริหารละเลยหลักของความ รับผิดชอบอาจส่งผลต่อความศรัทธาผู้ใต้บังคับบัญชาและอาจส่งผลต่อการได้รับความร่วมถือในการปฏิบัติ ภารกิจขององค์กรได้ทาให้ผู้บริหารในปัจจุบันเล็งเห็นถึงความสาคัญของหลักความรับผิดชอบเพ่ิมมากขึ้น มี ความสอดคล้องกับรัชตว์ รรณ กาญจนปญั ญาคม (2546) กลา่ วกงึ ความรบั ผิดชอบว่า เปน็ กุญแจหลกั ของธรร มาภิบาล ผู้ทาทาหน้าท่ีในการตัดสินใจต้องมีความรับผิดชอบต่อผลการตัดสินใจ ท่ีมีต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้ง ภายในและภายนอกองค์การความรับผิดชอบดังกล่าว หมายถึง การเปิดเผยข้อมูล มีความยุติธรรม ปฏิบัติต่อ ทุกคนด้วยความเสมอภาค และตรวจสอบได้ ทั้งน้ีกระบวนการดังกล่าวจะเป็นไปได้ต้องควบคู่ไปกับความ โปร่งใส และการดาเนินการภายใต้กรอบของกฎที่กาหนดไว้ และตรงกบั ที่ สานักงานการประถมศึกษาจังหวดั สิงห์บุรี (2543) กล่าวว่า การบริหารต้องสอดคล้องตามกฎระเบียบและหลักเกณฑ์ของทางราชการหรือท่ี
ปีท่ี 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 23 เกี่ยวข้อง ปฏิบัติงานอย่างมีจิตสานึกต่อหน้าท่ี ต่อสังคมประชาชน และประเทศโดยคานึงถึงประโยชน์ของ ผู้รับบริการ และส่วนรวมเป็นสาคัญ รวมทั้งยอมรับผลท่ีเกิดจากการปฏิบัติงานดังกล่าว ทั้งที่เป็นผลดีและ เสียหาย ตลอดจนพร้อมแสดงข้อเท็จจริงในการประกอบภารกจิ ต่อสาธารณชนเพม่ิ มากข้ึน สามารถชี้แจงเหตุ ผลได้ และพรอ้ มตอ่ กาวรบั การตรวจสอบจากสาธารณะ 6. การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชน จังหวัด อานาจเจริญ ด้านหลักความคุ้มค่าโดยรวมและรายข้ออยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาประเด็นท่ีน่าสนใจ 3 อันดับแรก คือ ผู้บรหิ ารสง่ เสรมิ การใช้ภูมิปัญญาทอ้ งถน่ิ และแหล่งเรยี นรู้ให้เกิดประโยชนเ์ ปน็ อย่างดี ผู้บริหาร มีนโยบายส่งเสรมิ ให้เกิดการใช้ทรัพยากรของโรงเรียนอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชนส์ ูงสุด ผู้บริหารส่งเสริมให้ ผู้ใต้บังคับบัญชาพัฒนาตนเอง ผลงาน และนาความรู้ก็ได้มาปฏิบัติจริง ผู้บริหารเลือกใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานได้อย่างเหมาะสมและผู้บริหารเป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สงู สดุ เนอื่ งจากสถานการณ์ในปัจจุบันทาให้เกิดการสง่ เสริมสนับสนุนภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่ินมาก ขนึ้ ประกอบกบั การรณรงคใ์ นเรอื่ งของการประหยดั ต่าง ๆ ทาให้ผูบ้ รหิ ารต่นื ตัวและมนี โยบายท่สี อดรบั กับเรื่อง ดังกล่าวประกอบกับการสนับสนุนจากรัฐตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการ บ้านเมืองท่ีดี พ.ศ. 2546 (สมศักด์ิ ดลประสิทธ์ิ, 2556) มาตราท่ี 49 เมื่อส่วนราชการใดได้ดาเนินงานไปตาม เป้าหมายสามารถเพมิ่ ลงานและผลสมั ฤทธโิ์ ดยไม่เปน็ การเพิ่มค่าใช้จ่ายและคมุ้ ค่าตอ่ ภารกจิ ของรัฐหรอื สามารถ ดาเนินการตามแผนการลดค่าใช้จ่ายตอหน่วยไดต้ ามหลกั เกณฑ์ที่ ก.พ.ร. กาหนดให้ ก.พ.ร. เสนอคณะรฐั มนตรี จดั สรรเงนิ รางวัลการเพ่มิ ประสทิ ธิภาพใหแ้ กส่ ว่ นราชการน้ัน สอดคลอ้ งกบั สานักนายกรฐั มนตรี (ม.ป.ป. อ้างถึง ใน สถาบันพระปกเกล้า, 2546) ให้ความหมายของหลักความคุ้มค่า หมายถึง การบริหารจัดการและใช้ ทรัพยากรท่ีมีจากัด เพื่อใหเ้ กิดประโยชนส์ ูงสุดแก่ส่วนรวม โดยรณรงค์ให้คนไทย มคี วามประหยดั ใช้ของอย่าง คุ้มค่า สร้างสรรค์ สินค้าและบริการมีคุณภาพ สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก และรักษา พัฒนา ทรัพยากรธรรมชาติให้สมบูรณ์ย่ังยืนตรงกับกากล่าวของเกนซิวิช (Kenzevich, n.d. อ้างถึงใน ศิรินารถ นันท วัฒนภิรมย์, 2547) ท่ีว่าผู้บริหารเป็นผู้บริหารทรัพยากร (Resource Manager) ผู้บริหารต้องรู้จักนาเอา ทรพั ยากรทง้ั ทรัพยส์ นิ ส่งิ ของบุคคลมาใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์และทาให้เกิดประสทิ ธภิ าพอย่างสูงและรูจ้ กั ใช้เทคนิค วธิ กี ารใชท้ ี่ดี สอดคล้องกบั งานวจิ ัยของชนิดา ใจสูศ้ ึก (2552) ได้ศกึ ษาเรอื่ ง พฤตกิ รรมการบรหิ ารตามหลักธรร มาภิบาลของผู้บริหารโรงเรียนตามความคิดเห็นของรองผู้อานวยการโรงเรียนและครู กลุ่มความเป็นเลิศทาง วิชาการ กลุ่มที่ 8 ในสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามหาสารคาม เขต 2 ด้านหลักความป้มค่า กล่าวว่า ผู้บริหารมีเหตุผลในการใช้จ่ายเงิน ด้านงบประมาณ ด้านพัสดุโดยคานึงถึง ผลลัพธ์ที่ได้จากการจัดการศึกษา การบริหารจัดการและใช้ทรัพยากรท่ีมีจากัดเพ่ือให้เกิลประโยชน์สูงโดแก่ส่วนรวม โดยรณรงค์ให้นักเรียน บุคลากร มีความตระหนักและใช้จ่ายทรัพย์สินอย่างประหยัด ใช้ของอยางคุ้มค่าและช่วยกันรักษา ทรพั ยากรธรรมชาติใหส้ มบูรณย์ ่งั ยืน 2. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูต่อการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหาร วทิ ยาลัยอาชีวศกึ ษาเอกชน จังหวดั อานาจเจริญ จาแนกตามเพศ โดยรวมและรายด้าน พบว่า แตกตา่ งกนั อยา่ ง ไม่มีนัยสาคัญทางสถิติ ท้ังน้ีสืบเนื่องจากปัจจุบันทั้งเพศชายและเพศหญิง ได้รับการศึกษา อบรมและเรียนรู้
ปีท่ี 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 24 อย่างเท่าเทยี มกนั ทาให้ไดร้ ับประสบการณ์ โอกาสในการเรียนรูไ้ ปพรอ้ ม ๆ กนั และเพศหญงิ ไดร้ บั การยอมรับ มากข้ึน เนื่องจากสังคมเปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้มีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชายในการขึ้นสู่ตาแหน่งสูง ๆ ในทาง การเมือง การบริหารภาครัฐ และเอกชน ทั้งในและนอกประเทศ ซ่ึงเป็นแนวทางท่ีดีและแสดงให้เห็นถึงสิทธิ และเสรภี าพท่ีพัฒนาขนึ้ สู่ความเสมอภาคในสังคมทีเ่ พม่ิ มากข้ึนทาใหส้ ามารถเรียนรูไ้ ด้อย่างเทา่ เทยี มกัน สง่ ผล ให้การแสดงความคิดเหน็ ของทง้ั เพศชายและเพศหญงิ ไม่มคี วามแตกต่างกัน สอดคลอ้ งกบั งานวิจัยของอไุ ร บวั หลวง (2552) ท่ีได้ศึกษางานวจิ ัยเร่ืองพฤติกรรมการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารโรงเรยี นใน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาระยอง เขต 2 พบว่า พฤติกรรมการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของ ผู้บริหารโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาระยอง เขต 2 จาแนกตามเพศแตกต่างกันอย่างไม่มี นัยสาคญั ทางสถติ ิ และสอดคล้องกับงานวิจยั ของนันทพล เรืองริวงค์ (2552) การศึกษาการบริหารโดยใช้หลัก ธรรมาภิบาลของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มเครอื ข่ายเทวาธริ าช ตามความคิดเห็นของครูสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษาพระแก้ว เขต 2 พบว่า การศึกษาการบริหารโดยใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารโรงเรียนกลุ่ม เครือข่ายเทวาธิราช ตามความคิดเห็นของครู สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาสระแกว้ เขต 2 จาแนกตาม เพศโดยรวมแตกต่างกันอยา่ งไม่มีนัยสาคัญทางสถิติสอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของพระมหาลาพึง ธรี ปญโฺ ญ (2553) ได้ทาการศึกษาการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของโรงเรียนนวมินทราชูทิศมัชฌิม พบว่า ผลการ เปรียบเทียบความคดิ เห็นของเจ้าหนา้ ที่ตอ่ การบริหารงานตามธรรมาภิบาลของโรงเรียนนวมนิ ทราชูทิศมัชฌิม จังหวดั นครสวรรค์ จาแนกตามบุคลากรทม่ี เี พศตา่ งกนั พบว่า ไม่แตกต่างกันทุกดา้ น สอดคล้องกับงานวจิ ัยของ นภิ าพร อดุ รทพิ ย์ (2554) ไดศ้ ึกษาการบรหิ ารงานตามหลักธรรมาภิบาลของเทศบาลตาบล ในเขตอาเภอเมือง กาฬสินธ์ุ จังหวัดกาฬสินธ์ุ เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นเก่ียวกับการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของ บุคลากรเทศบาลตาบลในเขตอาเภอเมืองกาฬสินธ์ุ จังหวัดกาฬสินธ์ุ ท่ีมีเพศแตกต่างกัน เห็นว่ามีการ บรหิ ารงานตามหลกั ธรรมาภิบาลของเทศบาลตาบล ในเขตพ้ืนทอี่ าเภอเมืองกาฬสนิ ธุ์ จงั หวดั กาฬสินธ์ุ โดยรวม และรายด้านทุกดา้ นไมแ่ ตกต่างกนั 3. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูต่อการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหาร วทิ ยาลยั อาชวี ศกึ ษาเอกชน จังหวดั อานาจเจรญิ จาแนกตามประสบการณ์การสอนโดยรวมและรายดา้ น พบว่า แตกต่างกันอย่างไม่มนี ยั สาคัญทางสถิติ ท้ังน้ีอาจเนื่องมาจากสถานการณ์ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงเกดิ ขึน้ มากมาย ทง้ั บทบาทหนา้ ท่ีทางการศึกษาท่ีเพม่ิ มากขึ้น กระบวนการติดตาม ตรวจสอบ นโยบายทางการศึกษา ระบบงาน และจากสาเหตขุ า้ งตน้ นเี้ องสง่ ผลให้ผ้ทู ี่มีประสบการณ์การสอนน้อยหรือผู้ที่มีประสบการณก์ ารสอน มาก ก็ต้องปรับเปล่ียนทัศนคติให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปล่ียนแปลงไปอยู่เสมอและต้องเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ไป พรอ้ มกนั ส่งผลตอ่ การแสดงความคิดเหน็ ของผู้ท่มี ี ประสบการณ์การสอนนอ้ ยและผู้ท่ีมีประสบการณก์ ารสอน มากตอ่ การบริหารงานของผู้บริหารที่ไมแ่ ตกตา่ งกนั สอดคล้องกับงานวิจยั ของอัครพงศ์ เทพนิ (2548) ได้ศกึ ษา เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารโดยใช้หลักธรรมาภิบาลกับประสิทธิภาพการบริหารของผู้บริหาร โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาสกลนคร เขต 2 พบว่า ผู้บริหารและครูผู้สอนที่มี ประสบการณใ์ นการปฏบิ ัติงานต่างกัน มีความคิดเหน็ ตอ่ การบรหิ ารโดยใช้หลกั ธรรมาภิบาลและประสทิ ธิผลใน การบรหิ าร โดยรวมและรายดา้ นไมต่ า่ งกัน สอดคล้องกับงานวจิ ัยของชนษิ ฐ์ ภัค สิงหลกะ (2549) ได้ศกึ ษาการ
ปีท่ี 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 25 บริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษาเอกชน เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ตามความคิดเห็นของครู พบว่า ครูท่ีมีประสบการณ์สอนที่ต่างกัน มีความคิดเห็นโดยรวมไม่แตกต่างกัน สอดคล้องกับงานวิจัยของพระมหาลาพึง ธีรปญฺโญ (2553) ได้ทาการศึกษาการบริหารงานตามหลักธรรมาภิ บาลของโรงเรยี นนวมนิ ทราโทิศมัชฌิม พบว่า บคุ ลากรของโรงเรียนนวมนิ ทราชูทศิ มชั ฌมิ มีความคิดเหน็ ต่อการ บริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของเจ้าหน้าท่ีต่อการบริหารงานตามธรร มาภิบาลของโรงเรียนนวมินทราชูทิศมัชฌิม จังหวัดนครสวรรค์ จาแนกตามประสบการณ์การทางานต่างกัน พบว่า มีความคิดเห็นต่อการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกันและ สอดคล้องกับงานวิจัยของนันทพล เรืองริวงค์ (2552) การศึกษาการบริหารโดยใช้หลักธรรมาภิบาลของ ผบู้ ริหารโรงเรียนกลุม่ เครือขา่ ยเทวาธริ าช ตามความคดิ เหน็ ของครู สังกดั สานักงานเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษาสระแก้ว เขต 2 พบว่า การศึกษาการบริหารโดยใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บรหิ ารโรงเรียนกลุ่มเครือข่ายเทวาธิราชตาม ความคิดเห็นของครู สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาสระแก้ว เขต 2 จาแนกตามประสบการณ์การทางาน โดยรวมและรายด้านแตกต่างกันอยา่ งไมม่ ีนัยสาคัญทางสถิติ ขอ้ เสนอแนะ 1. ขอ้ เสนอแนะทั่วไป 1.1 หลักนิติธรรม ผู้บริหารควรมีการศึกษากฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ ของทาง ราชการอย่างสมา่ เสมอเพือ่ สามารถตักเตือน หรือลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างถูกต้องชอบธรรม เพ่ือสามารถ ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างรวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตนให้ถูกต้อง เพื่อให้การปฏิบัติ หน้าที่ทางการศกึ ษาบรรลุผลตามท่กี าหนดไว้ 1.2 หลักคุณธรรม ผู้บริหารควรยึดหลักปฏิบัติตนต่อผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความสุภาพอ่อนโยน และมนุษยส์ มั พันธท์ ด่ี ี เพื่อส่งเสรมิ ให้เกิดความรักความสามคั คแี ละร่วมมือทด่ี ใี นองค์กร 1.3 หลกั ความโปรง่ ใส ผบู้ ริหารตอ้ งสามารถช้ีแจงเหตผุ ลประกอบการพจิ ารณาเล่อื นขน้ั เงินเดือน ไดอ้ ยา่ งชดั เจน เพอ่ื ไม่ให้มีข้อครหา สามารถตรวจสอบ แสดงความยตุ ธิ รรมแก่ผใู้ ต้บงั คบั บญั ชาทกุ คน 1.4 หลักการมีส่วนร่วม ผู้บริหารควรรับฟังความคิดเห็น คาเสนอแนะและส่งเสริมให้ ผู้ใต้บังคับบัญชาได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจในการแก้ปัญหาร่วมกันเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือ และสรา้ งแรงจงู ใจในการปฏิบตั งิ านใหบ้ รรลเุ ป้าหมาย 1.5 หลักความรับผิดชอบ ผู้บริหารควรเป็นตัวอย่างท่ีดีในการทางานอย่างทุ่มเทและอุทิศตนตอ่ การปฏบิ ัตงิ านเพื่อเป็นแนวปฏบิ ัตแิ ก่ผใู้ ตบ้ ังคบั บญั ชา 1.6 ด้านความคุ้มค่า ผู้บริหารควรเป็นตัวอย่างท่ีดีในการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิด ประโยชน์สงู สุด รวมถงึ การนาความรหู้ รือนวัตกรรมต่างๆ มาใช้มนี โยบายสง่ เสริมให้เกิดการใช้ทรพั ยากรอย่าง คุ้มค่า ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและแหล่งเรียนรู้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดมีการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนและ ภาระคา่ ใช้จา่ ย
ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 26 2. ข้อเสนอแนะสาหรบั การศกึ ษาครง้ั ต่อไป 2.1 เนื่องจากการศึกษาในคร้ังนี้ พบว่าการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารหลัก ความโปร่งใสอยู่ในลาดับสุดท้าย ดังนั้นจึงควรศึกษาหลักการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของหลักความ โปร่งใส รวมถึงแนวทางการสง่ เสริมให้บคุ ลากรในหนว่ ยงานของภาครฐั ตระหนกั ถึงความโปร่งใสตรวจสอบได้ 2.2 ควรส่งเสริมให้มีการศึกษาเก่ียวกับการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารการศึกษาอย่าง หลากหลายในทุกองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชนเพ่ือสามารถเปรียบเทียบผลการศึกษาและนาคาามสาเร็จของ การบรหิ ารงานตามหลกั ธรรมาภิบาลในเเตล่ ะหน่วยงานและนามาประยกุ ต์ใชไ้ ด้ 2.3 ควรศึกษาปัจจัยอ่ืนท่ีส่งผลต่อการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารวิทยาลัย อาชีวศึกษาเอกชน จงั หวดั อานาจเจริญ โดยใชแ้ นวทางการวิเคราะหข์ ้อมูลทส่ี ูงข้ึน เอกสารอา้ งองิ ภาษาไทย โกสุม ผือโย. (2548). ศึกษาบทบาทในการปลูกฝังคณุ ธรรมจริยธรรมของผบู้ ริหารและครูโรงเรยี นเอกชน ระดับการศึกษาข้ันพื้นฐานเขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษากรงุ เทพมหานคร เขต 2. วิทยานพิ นธค์ รศุ าสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศกึ ษา บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลยั ราชภัฎพระนคร. จงดี ขจรไชยกลุ . (2539). ความสมั พันธร์ ะหว่างสุขภาพองค์การกบั ประสทิ ธผิ ลองค์การของวทิ ยาการ สาธารณสขุ สริ นิ ธร สถาบันพัฒนากาลงั คนดา้ นสาธารณสุขกระทรวงสาธารณสขุ . วทิ ยานพิ นธ์ การศกึ ษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั บรู พา. ชนิดา ใจสศู้ กึ . (2552). พฤติกรรมการบริหารตามหลกั ธรรมาภิบาลของผู้บรหิ ารโรงเรียนตามความคิดเห็น ของรองผู้อานวยการโรงเรยี นและครู กลมุ่ ความเปน็ เลิศทางวชิ าการกลุ่มท่ี 8 ในสังกดั สานักงาน เขตพนื้ ที่การศกึ ษามหาสารคามเขต 2. การศกึ ษาค้นคว้าอสิ ระการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวชิ า การบริหารการศึกษา บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยกรงุ เทพธนบรุ .ี ชนิษ์ฐภัค สิงหลกะ. (2549). การศกึ ษาการบรหิ ารตามหลักธรรมาภบิ าลของผ้บู ริหารสถานศึกษาระดับ มธั ยมศึกษาเอกชน เขตวฒั นา กรุงเทพมหานคร. สารนพิ นธ์การศกึ ษามหาบัณฑติ สาขาวชิ าการบริหารการษกษา บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ. ชาญชัย พิงขนุ ทด. (2552). การศกึ ษาความสัมพันธร์ ะหวา่ งการบริหารงานตามหลกั ธรรมาภิบาลใน สถานศกึ ษากับความพงึ พอใจที่มตี ่อการบรหิ ารงานสถานศึกษา สงั กดั สานักงานเขตพื้นที่ การศึกษานครราชสีมาเขต 1-7 ตามทศั นะของครู. วทิ ยานพิ นธก์ ารศกึ ษามหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการบรหิ ารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสมี า. ชชู าติ พว่ งสมจิตร์. (2546). ประสบการณ์วิชาชีพประกาศนียบัตรบัณฑติ ทางการบริหารการศึกษาประมวล สาระชดุ วิชา หน่วยที่1-5. นนทบรุ ี: มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช.
ปีท่ี 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 27 นันทพล เรือริวงค์. (2552). การศกึ ษาการบริหารโดยใชห้ ลักธรรมาภบิ าลของผบู้ ริหารโรงเรียนกลุ่ม เครือข่ายเทวาธริ าชตามความคิดเหน็ ของครู สงั กัดสานกั งานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาสระแก้วเขต 2. วิทยานพิ นธก์ ารศกึ ษามหาบณั ฑติ สาขาวิชาการศึกษามหาบัณฑติ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยบรู พา. นภิ าพร อดุ รทพิ ย์. (2554). การบรหิ ารงานตามหลักธรรมาภบิ าลของเทศบาลตาบล ในเขตอาเภอเมอื ง กาฬสนิ ธ์ุ จังหวัดกาฬสินธ์ุ. มหาสารคาม: วทิ ยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. ปัญญา ฉายะจนิ ดาวงศ์ และรชั นี ภ่ธู นะกูล. (2545). ธรรมาภบิ าลกบั สังคมไทย. วารสารดารงราชานภุ าพ 3(7) 6-11.พระมหาลาพงึ ธีรปญฺโญ. (2553). การบรหิ ารงานตามหลักธรรมาภบิ าลของโรงเรยี น นวมินทราชูทศิ มัชฌิม. วทิ ยานิพนธพ์ ุทธศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชารฐั ประศาสนศาสตร์ บณั ฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย. รัชต์วรรณ กาญจนปญั ญาคม. (2546). ธรรมาภบิ าล (Good governance). วารสารสานักประกนั คุณภาพ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์, 1(10);-6. วนิดา แสงสาวพันธ์. (2543). คุณลกั ษณะท่พี งึ ประสงค์ของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาตามแนวความคิดของ คณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน อาเภอล้ี จงั หวัดลาพนู . วทิ ยานพิ นธศ์ ึกษาศาสตร มหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั เชียงใหม่. วิชัย วสิ าระโกชน์. (2546). การใช้หลกั ธรรมาภบิ าลในการบรหิ ารสถานศกึ ษาข้ันพนื้ ฐานทีเ่ ปน็ นติ บิ คุ คล ตามทัศนะของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาขน้ั พื้นฐานจังหวัดเพชรบรู ณ์. วิทยานิพนธ์ ครศุ าสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยราชภฏั เพชรบรู ณ์. ศิรนิ ารถ นนั ทวฒั นภริ มย.์ (2547). การบริหารสถานศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐานตามหลกั ธรรมาภิบาลอาเภอเมือง ลาพูน จังหวดั ลาพูน. วทิ ยานิพนธศ์ ึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาการบริหารการศกึ ษา บณั ฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่. สถาบันพระปกเกลา้ . (2546). ตัวชี้วัดธรรมาภบิ าล. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกลา้ . สมศักดิ์ ดลประสิทธ์ิ. (2556). การบริหารโดยใชโ้ รงเรียนเป็นฐาน. (School-based management: SBM). เขา้ ถึงได้จาก http://motkms.mot.go.th/CoP_T1/il/ild5/DocLib /Borihanbanmeangeede2542.htm สมทุ ร ชานาญ. (2554). การบรหิ ารสถานศกึ ษาทา่ มกลางความหลากหลายทางวฒั นธรรม. วารสาร การบรหิ ารการศกึ ษา มหาวิทยาลัยบรู พา 6(1), 1-14. สานกั งานการประถมศกึ ษาจงั หวัดสงิ ห์บรุ ี. (2543). หลักสตู รการพัฒนาบคุ ลากรเพือ่ สรา้ งระบบบริหาร กิจการบ้านเมอื งและสงั คมทด่ี ี. สงิ หบ์ ุรี: สานกั งานการประถมศึกษา จังหวดั สิงห์บุรี. สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาติ. (2545). แผนการศึกษาแหง่ ชาติ (พ.ศ. 2545-2549). กรุงเทพฯ : พรกิ หวานกราฟฟิค.
ปที ี่ 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 28 สานกั งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ. (2551). รายงานโครงการติดตามและ ประเมนิ ผลนโยบาย สานกั งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ พ.ศ. 2547-2550. กรุงเทพฯ: สานักประเมินผลและเผยแพรก่ ารพัฒนาสานกั งานคณะกรรมการ พฒั นาการเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ. อคั รพงศ์ เทพิน. (2548). ความสมั พันธร์ ะหวา่ งการบริหารโดยใชห้ ลกั ธรรมาภิบาลกบั ประสิทธิผลการ บริหารของผู้บรหิ ารโรงเรยี นประถมศึกษา สงั กัดสานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาสกลนครเขต 2. วิทยานิพนธค์ รุศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าการบรหิ ารการศึกษา บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร. อจั ฉรา โยมสนิ ธุ์. (2544). บรรษัทภิบาลกลยทุ ธ์ธรุ กิจแบบยัง่ ยืน. วารสารนกั บริหาร, 21(7), 33-38. อานนั ท์ ปนั ยารชนุ . (2543). สังคมโปรง่ ใสไรท้ จุ ริต. ใน รายการทดี ีอารไ์ อ. กรงุ เทพฯ: สถาบันวจิ ัยเพ่ือพฒั นา ประเทศไทย. อไุ ร บวั หลวง. (2552). พฤตกิ รรมการบรหิ ารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารโรงเรียนในสังกดั สานกั งานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาระยอง เขต 2. วิทยานพิ นธ์การศกึ ษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั บรู พา. ภาษาตา่ งประเทศ Cronbach, L. J. (1990). Essentials of psychology tesint (5th ed.). New York: Harper Collins.
ปที ี่ 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 29 การบรหิ ารจัดการตามวงจรบรหิ ารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานกั งานเลขาธิการคุรุสภา จงั หวัดรอ้ ยเอด็ Administration according to the Quality Management Cycle (PDCA) of the Secretariat of the Teachers Council in Roi Et Province พรรณธิภา แกว้ นาเหนือ นักศกึ ษาหลักสตู รศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการบรหิ ารการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์และศิลปศาสตร์ วิทยาลัยนครราชสีมา บทคดั ย่อ การศึกษาครั้งน้ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาและเปรียบเทียบการบริหารจัดการตามวงจรบริหารงาน คณุ ภาพ (PDCA) ของสานกั งานเลขาธกิ ารครุ ุสภา จงั หวัดร้อยเอ็ด จาแนกตามตาแหนง่ อายรุ าชการ และขนาด ของโรงเรียน ประชากรท่ีใช้ในการศึกษาค้นคว้าในเร่ืองนี้ ได้แก่ ผู้ประกอบวิชาชีพครูในเขตจังหวัดร้อยเอ็ด จานวน 3,384 คน กลุ่มตัวอย่าง จานวน 345 คน กาหนดขนาดกลุ่มตวั อย่างโดยใช้ตารางเครจซีแ่ ละมอร์แกน และได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งช้ัน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วน ประมาณคา่ 5 ระดบั สอบถามเก่ียวกับการบรหิ ารจัดการตามวงจรบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานกั งาน เลขาธิการคุรุสภาจังหวัดร้อยเอ็ด มีระดับความเชื่อม่ันเท่ากับ 0.87 สถิติพ้ืนฐานท่ีใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานและสถิติท่ีใช้ในการทดสอบสมมติฐานได้แก่ t-test และ f-test ผลการศึกษา 1. การบริหารจดั การตามวงจรบริหารงานคณุ ภาพ (PDCA) ของสานักงานเลขาธกิ ารคุรุสภาจังหวดั ร้อยเอ็ด โดยรวมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า การบริหารงานจัดการอยู่ในระดับมากทุก ด้าน โดยเรียงลาดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ 1) P = Plan (ข้ันตอนการวางแผน) 2) D = Do (ขั้นตอนการปฏิบัติ) 3) A = Action (ข้ันตอนการดาเนินงานให้เหมาะสม) และ 4) C = Check (ขั้นตอนการ ตรวจสอบ) 2. ผลการเปรียบเทียบการศึกษาการบริหารจัดการตามวงจรบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของ สานักงานเลขาธิการคุรุสภา จังหวดั ร้อยเอด็ จาแนกตามตาแหน่ง อายุราชการ และขนาดของโรงเรียน พบวา่ 2.1 การบริหารจัดการตามวงจรบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานักงานเลขาธิการคุรุสภา จงั หวดั รอ้ ยเอด็ เมอื่ จาแนกตามตาแหนง่ โดยรวมและรายดา้ นทุกด้าน ไมแ่ ตกตา่ งกนั
ปที ี่ 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 30 2.2 การบริหารจัดการตามวงจรบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานักงานเลขาธิการคุรุสภา จงั หวดั รอ้ ยเอ็ด เมื่อจาแนกตามอายรุ าชการ โดยรวมและรายด้านไม่แตกตา่ งกนั 2.3 การบริหารจัดการตามวงจรบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานักงานเลขาธิการคุรุสภา จังหวัดร้อยเอด็ เม่อื จาแนกตามขนาดของโรงเรยี น โดยรวมและรายดา้ นไมแ่ ตกตา่ งกัน คาสาคัญ : การบรหิ ารจดั การ, วงจรบรหิ ารงานคุณภาพ (PDCA), สานกั งานเลขาธิการครุ ุสภา ABSTRACT This study was purposed to study and compare administration according to the Quality Management Cycle (PDCA) of the Secretariat of the Teachers Council in Roi Et Province, and as classified by position, duration of work, and school size. The populations for this study are 3,384 Professional of the Teachers Council in Roi Et Province. The sample groups contained 345 of the Teachers Council in Roi Et Province, selected by Krejcie & Morgan with stratified random sampling. . The research instrument used in this study was questionnaire about administration according to the Quality Management Cycle (PDCA) of the Secretariat of the Teachers Council in Roi Et Province, with Cronbach's alpha as 0.87. The descriptive statistics were percentage, mean, standard deviation, t-test, and F-test. The research findings as follows: 1. Administration according to the Quality Management Cycle (PDCA) of the Secretariat of the Teachers Council, as a whole was at high level. When considering each aspect, all aspects were ranked of a high level by descending order of the average, all aspects were ranked of a high level by descending order of the average, as follows ; P (Plan), D (Do), A (Action) and C (Check). 2. The result of comparison Administration according to the Quality Management Cycle (PDCA) of the Secretariat of the Teachers Council, and as classified by the status, size of school finding follows: 2.1 The result of comparison Administration according to the Quality Management Cycle (PDCA) of the Secretariat of the Teachers Council, and as classified by the position overall not differences. 2.2 The result of comparison Administration according to the Quality Management Cycle (PDCA) of the Secretariat of the Teachers Council, and as classified by duration of work was overall not different. 2.3 The result of comparison Administration according to the Quality
ปที ี่ 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 31 Management Cycle (PDCA) of the Secretariat of the Teachers Council, and as classified by the size school overall not differences. KEYWORDS : Administration, the Quality Management Cycle (PDCA), Secretariat of the Teachers Council บทนา การบริหารเป็นกระบวนการดาเนินงาน เพื่อให้บรรลุจุดหมายขององค์การ โดยอาศัยหน้าท่ีหลัก ทางการบริหาร ซ่ึงกระบวนการดังกล่าวมีผู้บริหารเป็นผู้รับผิดชอบที่จะให้มีการปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพและประสิทธิผล (วิโรจน์ สารรัตนะ, 2545 อ้างถึงใน วิษณุ ภู่พันธ์, 2553, น. 54) การที่องค์การ ไมว่ ่าจะเป็นของภาครัฐหรอื ของภาคเอกชนก็ตาม จะธารงอยูห่ รอื อยู่รอดได้มีความเจริญเติบโต และกา้ วหนา้ ได้ น้ัน ขึ้นอยู่กับความสามารถในการนาทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่างจากัดในองค์การไปดาเนินการด้วยวิธีการใด ๆ ก็ตามเพ่ือที่จะให้บรรลุวัตถุประสงค์ เป้าหมายขององค์การได้ อย่างมีประสิทธิภาพ การดาเนินการใด ๆ เพ่อื ท่จี ะให้องคก์ ารอยู่รอดเจรญิ เติบโตและก้าวหน้าได้น้นั ขึ้นอยู่กับการบริหารท่ีดี มปี ระสทิ ธภิ าพ (สมาน รังสิ โยกฤษฎ์ และสุธี สทุ ธ์สมบรู ณ์, 2554, น. 1) การพฒั นาองค์กรให้มคี ุณภาพ บุคลากรทกุ คนต้องพัฒนาและปรับปรุงงานอย่างตอ่ เนื่อง หรือเรยี กอีก นัยหนึ่งว่า การบริหารระบบคุณภาพ ซ่ึงได้รับแนวคิดและหลักการของการพัฒนาองค์กร (Organization Development) สาหรับแนวคิดเกยี่ วกับการบรหิ ารคุณภาพที่ได้รับการยอมรบั ของหนว่ ยงานท่ัว ๆ ไป ได้แก่ การใชว้ งจรเดมม่ิง ซึง่ แบง่ ข้ันตอนการทางานออกเป็น 4 ขั้นตอนหลกั ได้แก่ ขน้ั ตอนท่ี 1 การวางแผน (Plan: P) ข้ันตอนที่ 2 การปฏิบตั ติ ามแผน (Do: D) ขั้นตอนที่ 3 การตรวจสอบผลการปฏบิ ตั งิ าน (Check: C) ขนั้ ตอน ที่ 4 การแกป้ ัญหา (Action: A) (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2555, น. 13) กระทรวงศกึ ษาธิการซง่ึ รับผดิ ชอบพัฒนาคุณภาพการศกึ ษา และสรา้ งโอกาสทางการศกึ ษาใหค้ นไทย ไดเ้ รียนรตู้ ลอดชีวติ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช 2550 ซ่ึงเป็นกฎหมายสงู สดุ วา่ ดว้ ยการจดั ระเบียบการปกครองของประเทศไทย ไดใ้ ห้ความสาคัญต่อการจัดการศกึ ษาของชาติ โดยกาหนดเจตนารมณ์ไว้ อย่างชดั เจน ทจ่ี ะใหก้ ารศึกษาเป็นเครือ่ งมือสาคญั ในการพัฒนาคนเพ่ือให้คนไทยทุกกลมุ่ ทกุ วยั มีคุณภาพ มี ความพรอ้ มทั้งทางรา่ งกาย จิตใจ สตปิ ัญญามจี ิตสานึกของความเปน็ ไทย มีความเป็นพลเมืองท่ีดี ตระหนกั และ รู้คุณค่าของขนบธรรมเนียมประเพณี ศลิ ปะ วฒั นธรรมท่ีดีงาม มภี มู คิ มุ้ กนั ต่อการเปล่ยี นแปลง และตอบสนอง ต่อทศิ ทางการพัฒนาประเทศ (สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธกิ าร, 2555, น. 1–13) สานักงานเลขาธิการคุรุสภาเป็นสภาวชิ าชพี ของผู้ประกอบวชิ าชีพทางการศึกษา มีหน้าท่ีในการกากับ ดูแลบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพ เพ่ือให้การจัดการศึกษามีคุณภาพดังที่กระทรวงศึกษาต้องการ ซ่ึงมี การบริหารงานในรูปแบบองค์คณะบุคคล โดยคณะกรรมการคุรุสภา คณะกรรมการคุรุสภา มีอานาจหน้าที่
ปที ี่ 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 32 บริหารและดาเนินการตามวัตถุประสงค์และอานาจหน้าที่ของคุรุสภา ให้คาปรึกษาและแนะนาแก่ คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์คาส่ังของคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ เร่งรัด พนกั งานเจ้าหนา้ ที่ส่วนราชการ หรือคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ ปฏิบัตติ ามอานาจ และหน้าท่ที ่กี ฎหมาย กาหนด แต่งต้ังคณะอนุกรรมการเพ่ือกระทาการใด ๆ อันอยู่ในอานาจและหน้าท่ีของคณะกรรมการคุรุสภา ควบคุม ดูแล การดาเนินงาน และการบริหารงานท่ัวไป ตลอดจนออกระเบียบข้อบังคับ ประกาศ หรือ ข้อกาหนดเก่ียวกบั สานักงานเลขาธกิ ารคุรสุ ภา (สานกั งานเลขาธกิ ารคุรุสภา, 2560, น. 11) สานักงานเลขาธิการคุรุสภาจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นหน่วยงานในสังกัดสานักงานเลขาธิการคุรุสภา มอบหมายให้ออกมาดาเนินงานบริการในเขตพ้ืนที่การศึกษาทุกจังหวัดตามกรอบภารกิจคุรุสภา ในสานักงาน ศกึ ษาธกิ ารจงั หวัด เพอ่ื ใหบ้ ริการตามกอบภารกิจของคุรุสภาด้านการควบคมุ ความประพฤติและปฏิบัติงานของ ผปู้ ระกอบวิชาชีพทางการศกึ ษาให้เป็นไปตามมาตรฐานวชิ าชพี และจรรยาบรรณของมาตรฐานวิชาชีพท่ีคุรุสภา กาหนด รวมทง้ั การใหก้ ารสนับสนนุ ส่งเสริม ยกยอ่ ง และพัฒนาวิชาชพี ตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณ วิชาชีพ (สานกั งานเลขาธิการครุ สุ ภาจังหวัดร้อยเอด็ , 2560, น. 2) จากเหตผุ ลดังกล่าวข้างต้น ผูว้ ิจัยในฐานะบุคลากรทางการศกึ ษาในสานกั งานเลขาธิการครุ ุสภาจังหวัด รอ้ ยเอด็ จงึ สนใจท่จี ะศึกษาการบริหารจัดการตามวงจรบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานักงานเลขาธิการคุรุ สภาจงั หวัดร้อยเอด็ เพ่อื ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา ปรับปรุงการบรหิ ารงานจดั การของสานักงานเลขาธิการคุรุ สภาจงั หวัดร้อยเอ็ด วัตถุประสงค์ของการวจิ ยั การวิจัยครง้ั นี้ผวู้ ิจัยกาหนดวัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั ดงั น้ี 1. เพ่ือศึกษาการบรหิ ารจัดการตามวงจรบรหิ ารงานคณุ ภาพ (PDCA) ของสานกั งานเลขาธิการคุรสุ ภา จังหวดั รอ้ ยเอด็ 2. เพอื่ เปรยี บเทยี บการบรหิ ารจัดการตามวงจรบรหิ ารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานกั งานเลขาธกิ าร คุรสุ ภาจังหวดั ร้อยเอด็ จาแนกตามตาแหน่ง อายุราชการ และขนาดของโรงเรยี น สมมตฐิ านของการวิจัย จากวัตถุประสงค์ของการวิจยั และการศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจยั ท่เี กี่ยวข้องจงึ กาหนด สมมตฐิ านการวิจยั ดงั นี้ 1. ผู้ประกอบวชิ าชีพทมี่ ีตาแหนง่ ต่างกนั มีความคิดเหน็ ต่อการบรหิ ารจดั การตามวงจรบรหิ ารงาน คณุ ภาพ (PDCA) ของสานักงานเลขาธิการครุ ุสภาจังหวดั ร้อยเอ็ด แตกตา่ งกัน 2. ผ้ปู ระกอบวิชาชพี ท่ีมอี ายุราชการต่างกัน มีความคดิ เหน็ ตอ่ การบริหารจดั การตามวงจรบริหารงาน คุณภาพ (PDCA) ของสานักงานเลขาธิการครุ ุสภาจังหวัดรอ้ ยเอด็ แตกต่างกนั
ปที ่ี 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 33 3. ผู้ประกอบวิชาชีพที่สงั กดั โรงเรียนท่ีมขี นาดต่างกัน มีความคิดเหน็ ต่อการบรหิ ารจัดการตามวงจร บริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานักงานเลขาธิการคุรุสภาจงั หวัดรอ้ ยเอด็ แตกต่างกัน ประโยชนข์ องการวิจัย การวิจัยครั้งนีผ้ ูว้ ิจัยจะได้ประโยชน์ ดงั นี้ 1. ทาให้ทราบระดับการบริหารจดั การตามวงจรบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานักงานเลขาธกิ าร คุรุสภา จังหวัดร้อยเอ็ด เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการพฒั นา ปรับปรุงการบริหารจัดการของสานักงานเลขาธกิ าร คุรสุ ภา จังหวดั ร้อยเอด็ 2. ทราบผลการเปรียบเทียบการบริหารจัดการตามวงจรบรหิ ารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานักงาน เลขาธิการคุรุสภา จังหวัดร้อยเอ็ด ที่มีตาแหน่ง อายุราชการ และขนาดของโรงเรียน และปัญหา เพ่ือใช้เป็น แนวทางในการวางแผนพัฒนางานตอ่ ไป ขอบเขตของการวจิ ัย 1. ขอบเขตดา้ นเนื้อหา การวิจัยน้ี มุ่งศึกษาการบริหารจัดการตามวงจรบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานักงาน เลขาธิการคุรุสภาจังหวัดร้อยเอ็ด โดยยึดกรอบการปฏิบัติงานตามภารกิจของวงจรคุณภาพ (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2555, น. 13) จาแนกเป็น 4 ข้ันตอน ได้แก่ 1. P = Plan (ข้ันตอนการวางแผน) 2. D = Do (ข้ันตอนการปฏิบัติ) 3. C = Check (ข้ันตอนการตรวจสอบ) 4. A = Action (ข้ันตอนการดาเนินงานให้ เหมาะสม) 2. ขอบเขตด้านประชากรกล่มุ ตวั อยา่ ง ประชากรทีใ่ ช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ ผู้ประกอบวิชาชพี ครู ในเขตจงั หวดั ร้อยเอด็ จานวน 3,384 คน กลุ่มตวั อยา่ งทใ่ี ช้ในการวจิ ัยคร้ังนี้ ได้แก่ ผปู้ ระกอบวิชาชพี ครู ในเขตจงั หวัดร้อยเอด็ จานวน 345 คน กาหนดขนาดกลุม่ ตวั อยา่ งโดยใชต้ ารางเครจซ่ีและมอรแ์ กน (บุญชม ศรีสะอาด, 2553, น. 74-84) ไดม้ าโดยการส่มุ แบบแบง่ ชั้น 3. ขอบเขตด้านตัวแปร 3.1 ตัวแปรอิสระ ได้แก่ ระดับการบริหารจัดการตามวงจรบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของ สานกั งานเลขาธิการครุ สุ ภาจังหวดั ร้อยเอด็ จาแนกตาม ตาแหน่ง อายรุ าชการและขนาดของโรงเรียน 1) ตาแหน่ง จาแนกเปน็ 2 กลุ่ม ประกอบดว้ ย (1) ผ้บู รหิ าร (2) ครู 2) อายรุ าชการ จาแนกเป็น 3 กลมุ่ ประกอบด้วย (1) ต่ากวา่ 10 ปี
ปที ่ี 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 34 (2) 10 – 20 ปี (3) มากกว่า 20 ปี 3) ขนาดของโรงเรียน จาแนกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย (1) โรงเรียนขนาดเลก็ (2) โรงเรียนขนาดกลาง (3) โรงเรียนขนาดใหญ่ 3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ระดับการบริหารจัดการตามวงจรบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของ สานักงานเลขาธิการคุรุสภาจังหวัดร้อยเอ็ด โดยยึดกรอบการปฏิบัติงานตามภารกิจของวงจรคุณภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2555, น. 13) จาแนกเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1. P = Plan (ขั้นตอนการวางแผน) 2. D = Do (ข้ันตอนการปฏิบัติ) 3. C = Check (ขั้นตอนการตรวจสอบ) 4. A = Action (ข้ันตอนการ ดาเนนิ งานให้เหมาะสม) 4. ขอบเขตระยะเวลา การวจิ ัยใช้ระยะเวลาระหว่างเดือน มกราคม พ.ศ. 2562 ถงึ เดือนมนี าคม พ.ศ. 2563 กรอบแนวคดิ ในการวิวิจัย การวจิ ยั คร้ังนผ้ี ้วู จิ ัยมุง่ ศกึ ษาการบรหิ ารจัดการตามวงจรบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานกั งาน เลขาธกิ ารคุรุสภาจงั หวัดร้อยเอด็ และกาหนดกรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั ดงั นี้ ตวั เเปรอิสระ ตัวแปรตาม สภานะภาพผตู้ อบแบบสอบถาม ศกึ ษาการบรหิ ารจัดการตามวงจร 1. ตาแหน่ง บริหารงานคณุ ภาพ (PDCA) ของ สานักงานเลขาธกิ ารคุรสุ ภาจังหวดั 1) ผู้บรหิ าร ร้อยเอ็ด จาแนกเป็น 4 ขน้ั ตอน ไดแ้ ก่ 2) ครู 2. อายุราชการ 1. P = Plan (ขนั้ ตอนการวางแผน) 1) ต่ากว่า 10 ปี 2) 10 – 20 ปี 2. D = Do (ขนั้ ตอนการปฏิบตั ิ) 3) มากกวา่ 20 ปี 3. ขนาดของโรงเรยี น 3. C = Check (ขนั้ ตอนการ 1) โรงเรยี นขนาดเลก็ ตรวจสอบ) 2) โรงเรยี นขนาดกลาง 3) โรงเรียนขนาดใหญ่ 4. A = Action (ขั้นตอนการ กรอบแนวคิดในการวิจัย ดาเนินงานใหเ้ หมาะสม)
ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 35 วิธดี าเนนิ การวิจยั การวิจัย เร่ือง การบริหารจัดการตามวงจรบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานักงานเลขาธิการ ครุ สุ ภา จงั หวดั ร้อยเอด็ ผวู้ จิ ัยได้ดาเนนิ การตามขั้นตอน ดังนี้ ประชากร ประชากรทใ่ี ชใ้ นการวิจยั ในครง้ั นีไ้ ด้แก่ ผู้ประกอบวชิ าชพี ครู ในเขตจังหวดั ร้อยเอ็ด จานวน 3,384 คน กล่มุ ตัวอย่างที่ใชใ้ นการวจิ ยั ครงั้ น้ี ได้แก่ ผูป้ ระกอบวชิ าชพี ครู ในเขตจงั หวัดร้อยเอด็ จานวน 345 คน กาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางเครจซีแ่ ละมอร์แกน (บุญชม ศรีสะอาด, 2553, น. 74-84) และได้มา โดยการส่มุ แบบแบง่ ช้นั เครื่องมอื ท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยค้นคว้าครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้เคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบ่งออกเป็น 2 ตอน ประกอบด้วย ตอนท่ี 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม เป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check list) ได้แก่ ตาแหน่ง อายุราชการ และขนาดของโรงเรยี น ตอนที่ 2 แบบสอบถามเก่ียวกับการบริหารจัดการตามวงจรบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของ สานักงานเลขาธิการคุรุสภาจังหวัดร้อยเอ็ด แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) ตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert) มี 5 ระดับ ดงั นี้ 5 หมายถงึ มีการบรหิ ารอยู่ในระดบั มากทส่ี ุด 4 หมายถงึ มีการบริหารอย่ใู นระดับมาก 3 หมายถงึ มีการบรหิ ารอยู่ในระดบั ปานกลาง 2 หมายถงึ มีการบรหิ ารอยใู่ นระดบั น้อย 1 หมายถึง มีการบรหิ ารอยใู่ นระดบั นอ้ ยทสี่ ุด การสรา้ งและหาคุณภาพเครอื่ งมอื เครอ่ื งมอื ทีใ่ ช้ในการวจิ ัยคร้ังนี้ ผู้วิจัยมีวิธกี ารสรา้ งตามขัน้ ตอน ดังน้ี 1. ศึกษาค้นคว้าเอกสาร หนังสือ และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับ การบริหารจัดการตามวงจร บริหารงานคุณภาพ (PDCA) เพอื่ นามาเป็นแนวทางในการสร้างแบบสอบถาม 2. ศึกษาวิธีสร้างเครื่องมือแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ตามวิธีของ ลิเคิร์ท (Likert) และการสรา้ งแบบสอบถามจากตาราของ บญุ ชม ศรีสะอาด (2553, น. 74 – 84) 3. ผวู้ จิ ยั ดาเนนิ การสร้างแบบสอบถาม โดยสังเคราะห์จากนยิ ามศัพท์ที่ผวู้ จิ ัยตงั้ ขึน้ เพอื่ ใชใ้ นการ วิจยั ในคร้งั นี้
ปีที่ 6 ฉบับท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 36 4. นาแบบสอบถามเสนออาจารย์ท่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์ เพ่ือตรวจสอบความถกู ต้องเหมาะสม และ พิจารณาให้ขอ้ เสนอแนะ 5. ปรับปรุงแบบสอบถามตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ และนาเสนอ ผู้เชีย่ วชาญ จานวน 5 ทา่ น เพ่ือตรวจพิจารณาความเท่ียงตรงเชงิ เนื้อหาของคาถาม โดยการหาความสอดคล้อง ระหวา่ งข้อคาถามกับนยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ (IOC : Index of Congruence) 6. นาแบบสอบถามท่ีผา่ นการพิจารณาของผู้เช่ยี วชาญมาปรับปรงุ แก้ไขตามขอ้ เสนอแนะ 7. นาแบบสอบถามไปทดลองใช้ (Try Out) กับผู้ประกอบวิชาชีพครูท่ีไม่ใช้กลุ่มตัวอย่างในการ ทดลอง จานวน 30 คน ของสานกั งานเลขาธิการครุ สุ ภา จงั หวัดรอ้ ยเอด็ 8. นาแบบสอบถามมาวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่น โดยการหาสัมประสิทธิ์แอลฟ่า (Alpha coefficient) ตามวธิ ีของครอนบาค (Cronbach) 9. จดั พมิ พแ์ บบสอบถามฉบบั สมบูรณ์ เพื่อนาไปเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู กบั กลุ่มตัวอยา่ งทว่ี จิ ัยต่อไป การเก็บรวบรวมข้อมลู การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ผู้วจิ ยั ไดด้ าเนินการตามขนั้ ตอน ดังต่อไปน้ี 1. ขอหนังสอื จากคณะศกึ ษาศาสตรแ์ ละศิลปศาสตร์ เพ่อื ขอความอนเุ คราะหใ์ นการเก็บรวบรวม ข้อมลู ในวจิ ัยตอ่ สานกั งานเลขาธกิ ารครุ สุ ภา จังหวัดรอ้ ยเอ็ด 2. ผ้วู จิ ยั แจกแบบสอบถามตอ่ ผู้บรหิ ารและครทู ่ีเป็นประชากรในการศกึ ษา เพอื่ เก็บรวบรวมขอ้ มลู ในการวิจัย 3. ผู้วิจัยตดิ ตามเกบ็ รวบรวมแบบสอบถามคืนดว้ ยตนเอง การวิเคราะหข์ ้อมลู ผ้วู ิจยั ไดว้ ิเคราะห์ขอ้ มลู โดยใชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอรส์ าเร็จรปู โดยทาการวเิ คราะหข์ อ้ มูลตาม ขัน้ ตอน ดังน้ี 1. วิเคราะหข์ ้อมลู ทวั่ ไปของผู้ตอบแบบสอบถามเก่ยี วกบั ตาแหน่ง อายุราชการ และขนาดของ โรงเรียนของกลมุ่ ตัวอย่างท่ตี อบแบบสอบถาม โดยหาคา่ ความถ่ี (Frequency) และรอ้ ยละ (Percentage) 2. วเิ คราะหร์ ะดบั การบริหารจดั การตามวงจรบริหารงานคณุ ภาพ (PDCA) ของสานกั งาน เลขาธิการครุ ุสภา จังหวัดร้อยเอ็ด ท้ังโดยภาพรวมรายดา้ นและรายข้อ โดยหาคา่ เฉลี่ย (x̅) และส่วนเบย่ี งเบน มาตรฐาน (S.D.) แลว้ นาไปเปรยี บเทยี บกับเกณฑ์ (บญุ ชม ศรีสะอาด, 2545, น. 103) ดังน้ี ค่าเฉลยี่ 4.51 – 5.00 หมายถึง มกี ารบรหิ ารอยใู่ นระดบั มากท่ีสุด คา่ เฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถงึ มีการบริหารอยู่ในระดบั มาก คา่ เฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถงึ มกี ารบริหารอยู่ในระดับปานกลาง คา่ เฉล่ีย 1.51 – 2.50 หมายถึง มกี ารบรหิ ารอย่ใู นระดับนอ้ ย
ปที ี่ 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 37 คา่ เฉลย่ี 1.00 – 1.50 หมายถงึ มีการบริหารในระดับน้อยทสี่ ุด 3. วิเคราะห์เปรียบเทียบการบรหิ ารจัดการตามวงจรบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานักงาน เลขาธิการคุรุสภา จังหวดั ร้อยเอ็ด จาแนกตาม ตาแหน่ง อายรุ าชการ และขนาดของโรงเรียน โดยใช้ค่า t - test (Independent Samples) และใชก้ ารวิเคราะหค์ วามแปรปรวนทางเดยี ว (F-test แบบ One Way ANOVA) สถติ ิท่ใี ชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมลู สถติ ทิ ี่ใชใ้ นการหาคณุ ภาพของเครอ่ื งมือ ได้แก่ 1. ความเที่ยงตรงเชิงเนอ้ื หา (Content Validity) โดยหาค่าดัชนคี วามสอดคลอ้ ง IOC ระหว่างขอ้ คาถามกับนยิ ามศพั ท์เฉพาะ 2. ความเชื่อม่ันของแบบสอบถามทั้งฉบับ โดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่า (Alpha coefficient) ตามวธิ ีของครอนบาค (Cronbach) สถิติพนื้ ฐาน ไดแ้ ก่ ความถ่ี รอ้ ยละ คา่ เฉลยี่ สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน 3. สถิติทใี่ ช้ในการทดสอบสมมตฐิ าน ได้แก่ (บุญชม ศรสี ะอาด, 2553, น. 74 - 84) t – test แบบ Independent Samples, F F-test แบบ One Way ANOVA สรุปผลการวิจยั 1. การศึกษาการบรหิ ารจัดการตามวงจรบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานักงานเลขาธกิ ารครุ ุ สภาจังหวัดร้อยเอ็ด โดยรวมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า การบริหารงานจัดการ อยู่ใน ระดับมากทกุ ด้าน โดยเรยี งลาดบั ค่าเฉลย่ี จากมากไปหาน้อย ไดแ้ ก่ P = Plan ( ขนั้ ตอนการวางแผน ) D = Do (ขนั้ ตอนการปฏิบตั ิ ) A = Action ( ข้นั ตอนการดาเนนิ งานให้เหมาะสม ) C = Check (ขน้ั ตอนการตรวจสอบ ) เมอื่ พจิ ารณาเปน็ รายขอ้ พบว่า 1.1 ด้าน P = Plan ( ข้ันตอนการวางแผน ) พบว่า โดยรวมมีการบริหารงานจัดการ อยู่ในระดับ มาก เม่ือพิจารณาเปน็ รายขอ้ พบว่า อยใู่ นระดบั มากทกุ ข้อ โดยเรยี งลาดับคา่ เฉล่ียจากมากไปหาน้อย ได้แก่ มี การวางแผนการปฏบิ ัตงิ านดา้ นการกาหนด กากับ ดแู ลมาตรฐานวชิ าชพี ทางการศกึ ษา มีก าร ว าง แผ น ก า ร ปฏิบตั งิ านดา้ นการออกและต่ออายใุ บอนญุ าตประกอบวิชาชพี ทางการศึกษา มีการวางแผนการปฏิบตั ิงานด้าน การส่งเสริม สนับสนุน การวิจัยและการพัฒนาวิชาชีพทางการศึกษา มีการวางแผนการปฏิบัติงานด้านการ ส่งเสริม สนับสนุน ยกย่อง และผดุงเกียรติวิชาชีพและผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา มีการวางแผนการ ปฏิบัติงานด้านการพัฒนาระบบการบริหารจัดการ มีการวางแผนการปฏิบัติงานด้านการส่งเสริมและควบคุม การประกอบวิชาชีพตามจรรยาบรรณของวชิ าชีพ 1.2 ดา้ น D = Do ( ขนั้ ตอนการปฏิบตั ิ ) พบวา่ โดยรวมมีการบริหารงานจัดการ อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบวา่ อย่ใู นระดบั มากทุกข้อ โดยเรียงลาดบั ค่าเฉล่ยี จากมากไปหานอ้ ย ได้แก่ มกี ารลง มอื ปรับปรงุ เปลีย่ นแปลงงานด้านการพัฒนาระบบการบริหารจัดการ ให้เปน็ ไปตามแผนการทไี่ ด้วางไว้ มี
ปีที่ 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถุนายน 2563) 38 การลงมอื ปรบั ปรงุ เปลีย่ นแปลงงานด้านการออกและตอ่ อายุใบอนญุ าตประกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษาให้เป็นไป ตามแผนการทไี่ ดว้ างไว้ มกี ารลงมือปรับปรุงเปลีย่ นแปลงงานด้านการกาหนด กากบั ดูแลมาตรฐานวิชาชพี ทาง การศึกษา ให้เป็นไปตามแผนการท่ีไดว้ างไว้ มีการลงมือปรับปรุงเปล่ียนแปลงงานด้านการส่งเสริม สนับสนุน การวิจัยและการพัฒนาวิชาชีพทางการศึกษา ให้เป็นไปตามแผนการท่ีได้วางไว้ มีการลงมือปรับปรุง เปล่ียนแปลงงานด้านการส่งเสริมและควบคุมการประกอบวชิ าชีพตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ ให้เป็นไปตาม แผนการท่ีได้วางไว้ มีการลงมือปรับปรุงเปล่ียนแปลงงานด้านการส่งเสริม สนับสนุน ยกย่อง และผดุงเกียรติ วชิ าชีพและผู้ประกอบวชิ าชพี ทางการศกึ ษาใหเ้ ป็นไปตามแผนการที่ไดว้ างไว้ 1.3 ด้าน C = Check (ข้ันตอนการตรวจสอบ) พบว่า โดยรวมมีการบริหารงานจัดการ อยู่ใน ระดับมาก เม่ือพิจารณาเปน็ รายข้อพบวา่ อยูใ่ นระดับมากจานวน 3 ขอ้ ปานกลาง จานวน 3 ขอ้ โดยเรียงลาดับ ค่าเฉลยี่ จากมากไปหานอ้ ย ไดแ้ ก่ มกี ารประเมินผลการปฏิบัติงานด้านการสง่ เสริม สนบั สนุน ยกยอ่ ง และผดุง เกียรติวิชาชีพและผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา มีการประเมินผลการปฏิบัติงานด้านการพัฒนาระบบการ บริหารจัดการมีการประเมินผลการปฏิบัติงานด้านการออกและต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการ ศึกษา มีการประเมินผลการปฏิบัติงานด้านการส่งเสริมและควบคุมการประกอบวิชาชีพตามจรรยาบรรณของ วิชาชีพ มีการประเมินผลการปฏิบัติงานด้านการส่งเสริม สนับสนุน การวิจัยและการพัฒนาวิชาชีพทาง การศึกษา มีการประเมนิ ผลการปฏบิ ตั งิ านด้านการกาหนด กากบั ดแู ลมาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา 1.4 ด้าน A = Action (ข้ันตอนการดาเนินงานให้เหมาะสม) พบว่า โดยรวมมีการบริหารงาน จดั การ อย่ใู นระดับมาก เม่อื พิจารณาเป็นรายข้อพบว่า อยใู่ นระดับมาก โดยเรียงลาดับคา่ เฉลี่ยจากมากไปหา น้อย ได้แก่ มีการปรับปรุง พัฒนา แก้ไขงานในด้านการออกและต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการ ศึกษา มีการปรับปรุง พัฒนา แก้ไขงานในด้านการส่งเสริม สนับสนุน ยกย่อง และผดุงเกียรติวิชาชีพและ ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา มีการปรับปรุง พัฒนา แก้ไขงานในด้านการพัฒนาระบบการบริหารจัดการ มีการปรับปรุง พัฒนา แก้ไขงานในด้านการส่งเสริม สนับสนุน การวิจัยและการพัฒนาวิชาชีพทางการศึกษา มกี ารปรบั ปรงุ พฒั นา แกไ้ ขงานในดา้ นการกาหนด กากบั ดแู ลมาตรฐานวิชาชพี ทางการศกึ ษา มีการปรบั ปรุง พัฒนา แก้ไขงานในดา้ นการสง่ เสริมและควบคมุ การประกอบวชิ าชีพตามจรรยาบรรณของวชิ าชีพ 2. เปรียบเทียบการศึกษาการบริหารจัดการตามวงจรบริหารงานคณุ ภาพ (PDCA) ของสานกั งาน เลขาธิการครุ ุสภา จังหวัดร้อยเอด็ จาแนกตามตาแหนง่ อายุราชการ และขนาดของโรงเรยี น ใช้การวิเคราะห์ โดยสถิติ t-test และ F-test พบว่า 2.1 การบรหิ ารจัดการตามวงจรบรหิ ารงานคณุ ภาพ (PDCA) ของสานกั งานเลขาธิการครุ ุสภา จงั หวดั ร้อยเอด็ จาแนกตามตาแหน่ง โดยรวมและรายดา้ นทกุ ดา้ น ไม่แตกตา่ งกนั 2.2 การบริหารจดั การตามวงจรบรหิ ารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานกั งานเลขาธกิ ารคุรสุ ภา จังหวัดรอ้ ยเอด็ จาแนกตามอายุราชการ โดยรวมและรายดา้ นไมแ่ ตกต่างกนั
ปีท่ี 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถุนายน 2563) 39 2.3 การบริหารจดั การตามวงจรบริหารงานคณุ ภาพ (PDCA) ของสานักงานเลขาธกิ ารคุรุสภา จังหวดั ร้อยเอ็ด จาแนกตามขนาดของโรงเรยี น โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน อภปิ รายผล การศึกษาครั้งนี้ทาให้ทราบถึงการบริหารจัดการตามวงจรบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานักงาน เลขาธิการคุรุสภา จงั หวัดร้อยเอด็ จาแนกตามประเภทของโรงเรียน มปี ระเด็นท่ีควรนามาอภปิ รายผลดงั นี้ 1. ผลการเปรียบเทียบการบริหารจัดการตามวงจรบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานักงาน เลขาธิการคุรุสภา จังหวัดร้อยเอ็ด จาแนกตามตาแหน่ง โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน เน่ืองจากการ บรหิ ารจดั การของสานกั งานเลขาธิการครุ สุ ภา จงั หวัดรอ้ ยเอ็ด ไดด้ าเนินตามวงจรบรหิ ารงานคุณภาพ (PDCA) 2. การบริหารจัดการตามวงจรบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานักงานเลขาธิการคุรุสภาจังหวัด ร้อยเอ็ด จาแนกตามอายุราชการ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า การบริหารงาน จัดการอยู่ในระดับมาก เนื่องจากสานักงานเลขาธิการคุรุสภา จังหวัดร้อยเอ็ด มีวิธีการบริหารงานที่ช่วยเพ่ิม ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน มีการบริการที่ดีสอดคล้องกับประพรศรี นรินทร์รักษ์ และสุวรรณา หล่อโลหการ (2558) ได้ทาการศกึ ษาวิจัยเรือ่ ง ปจั จัยท่มี ีอทิ ธพิ ลต่อการพัฒนาคุณภาพการบริหารจดั การภาครฐั : เครือข่าย บรกิ ารสุขภาพภูเก็ต 3. การบริหารจัดการตามวงจรบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานักงานเลขาธิการคุรุสภาจังหวัด ร้อยเอ็ด จาแนกตามขนาดของโรงเรียน โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน เน่ืองจากการบริหารจัดการตาม วงจรบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ของสานักงานเลขาธิการคุรุสภา จังหวัดร้อยเอ็ด ได้ปฏิบัติงานตามวงจรบริ หารงานคุณภาพอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับชนินทร์ แสงแก้ว (2554 : บทคัดย่อ) ท่ีได้ศึกษาเร่ือง การ บรหิ ารงานตามมาตรฐานโรงเรยี น สังกัดสานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแหง่ ชาติ พุทธศักราช 2541 ด้วยวัฏจักรคุณภาพของเดมม่ิงโรงเรียนสังกัดสานักงานการประถมศึกษาจังหวัดกาญจนบุรี พบว่า ระดับการ บริหารงานตามมาตรฐานโรงเรียนด้วยวฏั จักรคุณภาพของเดมม่ิง ทั้งในภาพรวมและจาแนกแต่ละขนาดอย่ใู น ระดับมาก ซ่งึ สอดคล้องกับงานวจิ ยั ของ จตพุ ร เถาวห์ ิรัญ (2548, บทคัดย่อ) ที่ได้ศกึ ษาเรอ่ื ง สภาพและปัญหา การบริหารงานแนะแนว โดยใช้วงจรเดมมิ่งของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาลพบุรี เขต 1 พบว่า สภาพการบรหิ ารงานแนะแนว ภาพรวมแตล่ ะขนั้ ตอนและแต่ละบรกิ ารมีระดบั การปฏบิ ตั มิ ากและปัญหา การบรหิ ารงานแนะแนว ในภาพรวมของปัญหาโดยใชว้ งจรเดมมิ่ง ปญั หาแตล่ ะด้านและปญั หาในแต่ละบรกิ ารมี ปญั หาอยใู่ นระดับน้อย จากแนวคิดการใช้วงจรเดมมิง่ และผลการวิจยั พบว่าวงจรเดมมิ่งนนั้ เปน็ กระบวนการใน การบรหิ ารงานวิชาการ ในสถานศึกษาให้มีคณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพมากย่งิ ข้ึน
ปีท่ี 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 40 ข้อเสนอแนะ 1. ควรมกี ิจกรรมทส่ี ง่ เสรมิ การประเมินผลการปฏิบัตงิ านดา้ นการกาหนด กากบั ดแู ลมาตรฐานวชิ าชพี ทางการศกึ ษา 2. จัดกิจกรรมทีส่ ่งเสรมิ การประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ิงานด้านการสง่ เสริม สนับสนุน การวจิ ยั และการ พฒั นาวชิ าชีพทางการศกึ ษา 3. มแี นวทางท่ชี ัดเจนตรวจสอบไดใ้ นการสง่ เสริมและควบคุมการประกอบวชิ าชีพตามจรรยาบรรณ ของวชิ าชีพ ข้อเสนอแนะในการทาการศึกษาคร้งั ต่อไป 1. ควรศกึ ษาการจัดกิจกรรมที่สง่ เสรมิ การประเมินผลการปฏบิ ตั ิงานดา้ นการกาหนด กากับ ดแู ล มาตรฐานวิชาชพี ทางการศกึ ษา 2. ควรมีการศกึ ษาดา้ นการประเมินผลการปฏบิ ตั งิ านดา้ นการส่งเสริม สนับสนนุ การวิจัยและการ พัฒนาวชิ าชพี ทางการศกึ ษา รายการอ้างอิง กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2555). การพัฒนาสถานศกึ ษาสู่ประชาคมอาเซียน. กรงุ เทพฯ: พิมพช์ มุ นุม สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด. จตพุ ร เถาว์หริ ัญ. (2548). สภาพและปญั หาการบรหิ ารงานแนะแนวโดยใชว้ งจรเดมม่ิง (พี ดซี เี อ) ของ สถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศกึ ษาลพบุรี เขต 1. วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญามหาบณั ฑิต มหาวิทยาลยั ราชภฎั เทพสตร.ี ชนนิ ทร์ แสงแก้ว. (2549). การบรหิ ารงานตามมาตรฐานโรงเรียน สังกัด สานักงานคณะกรรมการ การประถมศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2541 ด้วยวฏั จักรคุณภาพของเดมมิงในโรงเรียนสงั กดั สานกั งานการประถมศึกษาจังหวัดกาญจนบรุ .ี วิทยานพิ นธศ์ ึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศกึ ษา บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยศลิ ปากร. บุญชม ศรสี ะอาด. (2545). การวิจยั เบอ้ื งต้น. (พมิ พ์คร้ังท่ี 7). กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาสน์ . ประพรศรี นรินทรร์ กั ษ,์ และสุวรรณา หลอ่ โลหการ. (2558). ปัจจัยท่ีมอี ทิ ธิพลตอ่ การพฒั นาคุณภาพการ บรหิ ารจัดการภาครฐั : เครือข่ายบรกิ ารสุขภาพภูเก็ต. สบื คน้ 8 สงิ หาคม 2562 จาก http://www.phpn.ph.mahidol.ac.th/joutnal/abstract/no28_3/1Aprapornsri.pdf วโิ รจน์ สารรตั นะ. (2545). การบรหิ าร หลักการ ทฤษฎี ประเดน็ ทางการศึกษาและบทวิเคราะห์องค์การ ศกึ ษาไทย. (พิมพค์ รง้ั ท่ี 3). กรุงเทพฯ: พมิ พพ์ ิสทุ ธ์. วิษณุ ภพู่ ันธ์. (2553). ความสามารถด้านการจัดการของผู้ออกแบบชน้ิ สว่ นยานยนต์ประเภทโคมไฟ กรณีศึกษา บรษิ ัท ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า จากดั มหาชน. การคน้ ควา้ อสิ ระ ปริญญามหาบัณฑติ มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี.
ปที ่ี 6 ฉบบั ท่ี 10 (ประจาเดือน มกราคม – มิถนุ ายน 2563) 41 สมาน รงั สิ โยกฤษฏแ์ ละสธุ ี สุทธิสมบูรณ์. (2544). หลกั การบริหารเบือ้ งต้น. กรุงเทพฯ : ส้มหวาน. สานกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2555). รายงานผลการดาเนินงานโครงการกาหนดแผนพฒั นา รายบุคคลสาหรบั ผ้สู ืบทอดตาแหนง่ ของสานกั งานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ. กรุงเทพฯ สานกั งานเลขาธิการครุ ุสภา. (2560). รายงานประจาปี 2560 สานกั งานเลขาธกิ ารครุ สุ ภา. กรงุ เทพฯ. สานกั งานเลขาธิการครุ สุ ภาจังหวัดรอ้ ยเอ็ด. (2560). รายงานประจาปี 2560 สานกั งานเลขาธกิ ารครุ ุสภา. รอ้ ยเอ็ด.
ปีท่ี 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถุนายน 2563) 42 การบรหิ ารกิจกรรมการพัฒนาคณุ ลักษณะท่พี ึงประสงค์ของนักศกึ ษาจีน ในมหาวทิ ยาลัยเอกชนกรงุ เทพมหานครกรณศี กึ ษามหาวิทยาลยั ธุรกิจบณั ฑิตย์ Zhang Jingyu นกั ศกึ ษาหลักสตู รมหาบณั ฑิตสาขาวิชาการจัดการการศกึ ษา วิทยาลยั ครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรุ กจิ บัณฑิตย์ ผศ.ดร.วาสนา วิสฤตาภา อาจารย์ประจา วิทยาลัยครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธุรกิจบัณฑติ ย์ บทคดั ย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวตั ถุประสงค์เพือ่ 1) ศึกษาการบรหิ ารกิจกรรมการพฒั นาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ของนักศึกษาจีนในมหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร: กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ 2) เปรียบเทียบการบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ และ3) ศึกษาปัญหาและข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับการบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะ ที่พึงประสงค์ของนักศึกษาจีนในมหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร: กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กลุ่มตัวอย่างได้จากการคานวณร้อยละ 30 ได้แก่ อาจารยแ์ ละบุคลากร และนักศกึ ษาจนี มหาวิทยาลยั ธุรกิจบณั ฑิตย์ จานวน 921 คน เครื่องมือท่ใี ช้ในการวิจัย เปน็ แบบสอบถาม สถิติที่ใชใ้ นการวิเคราะห์ ไดแ้ ก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน การทดสอบที การวเิ คราะห์ความแปรปรวน และการเปรียบเทียบรายคู่โดยใชว้ ธิ ขี องเชฟเฟ่ ผลการวิจยั พบว่า 1. การบรหิ ารกิจกรรมการพฒั นาคุณลักษณะทพ่ี งึ ประสงค์ของนักศกึ ษาจีนในมหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศกึ ษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑติ ย์ ในภาพรวมมคี ่าเฉลี่ยอยู่ในระดบั ปานกลาง และเม่ือ พิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านท่ีมีค่าเฉล่ียสูงสุด คือ กิจกรรมอาสาพัฒนาชุมชนและบาเพ็ญประโยชน์ รองลงมา คือ กิจกรรมอนุรักษ์ พัฒนาส่ิงแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ และกิจกรรมทานุบารุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ตามลาดับ ส่วนกิจกรรมที่มีค่าเฉลี่ยต่าสุด คือ กิจกรรมพัฒนาค่านยิ ม ประหยัด และอด ออม 2. ผลการเปรียบเทียบการบรหิ ารกจิ กรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พงึ ประสงค์ของนักศึกษาจีนใน มหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณศี กึ ษามหาวิทยาลยั ธรุ กิจบณั ฑติ ย์ พบว่า 2.1 การบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ จาแนกตามสถานภาพ มีการ ปฏิบัติแตกตา่ งกนั อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดับ .01 2.2 การบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ จาแนกตามขนาดของโรงเรียนมี การปฏิบตั แิ ตกต่างกนั อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .01 2.3 การบรหิ ารกิจกรรมการพฒั นาคุณลกั ษณะทพี่ งึ ประสงคจ์ าแนกตามหลกั สูตรทีก่ าลงั ศึกษามี การปฏิบัตแิ ตกตา่ งกันอยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .01
ปที ี่ 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 43 3. ปัญหาการบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ พบว่า นักศึกษาจีนมีส่วนร่วม น้อยในการคิดและออกแบบกิจกรรมที่จัดข้นึ รู้จกั คณุ คา่ ความสาคญั และเข้าใจวิธีการพฒั นาจริยธรรมค่อนข้าง น้อย การจัดกิจกรรมของนักศึกษาให้เหมาะสมกับเป้าหมายตามความต้องการและเข้าใจเนื้อหาของกิจกรรม คอ่ นข้างนอ้ ย ส่วนข้อเสนอแนะ พบว่า ผู้บริหารกิจกรรมนักศึกษาควรส่งเสริมให้นักศึกษามีส่วนร่วม ในการ ออกแบบกิจกรรม แนะนาวฒั นธรรมและศลิ ปะไทยให้กับนกั ศกึ ษามากข้นึ แนะนาความหมายและความสาคัญ ทางศีลธรรมและแนะนานกั ศึกษาใหเ้ หน็ ความสาคญั ของกิจกรรมเกี่ยวกบั ค่านิยม ประหยัด และอดออมมากข้นึ ABSTRACT This study aims to: 1) study the management of the activity for developing the desired characteristics of Chinese students in private universities in Bangkok : A case study of Dhurakij Pundit University, 2) compare Chinese students classified according to status, currently studying curriculum and department/studying campus, and 3) study the problem and suggestion of the management of the activity for developing the desired characteristics of Chinese students in private universities in Bangkok : A case study of Dhurakij Pundit University. The sampling groups were 921 teachers and staff officers and Chinese students in Dhurakij Pundit University by calculating 30 percentage of the population. The tools were used in this research were questionnaire, statistics was used to analyze data composed of percentage, mean, standard deviation (S.D.), t-test, analysis of variance (ANOVA) and SPSS by Scheffe’s Method. The results of the research found that: 1)The management of the activity for developing the desired characteristics of Chinese students in private universities in Bangkok : A case study of Dhurakij Pundit University had statistical overall average at a medium level and when considered each aspects found that the average of the highest scores were the activity of community development and social beneficial volunteer, the runner-up were the activity of conservative, surrounding development and natural resource and the activity of religion maintenance, Thai arts and culture respectively whereas the average of thฉe lowest scores was the activity of value development, thrifty and save. 2) The outcome of comparing the activity for developing the desired characteristics of Chinese students in private universities in Bangkok : A case study of Dhurakij Pundit University found that: 2.1) distinguish according to the status found that the activity for preserving religion, arts and culture has statistical significant at .01 which was as hypothesis.
ปที ี่ 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดือน มกราคม – มถิ นุ ายน 2563) 44 2.2) distinguish according to the size of the school has the overall different statistical significant at .01 which was as hypothesis. 2.3) distinguish according to the currently studying curriculum found that there was the overall different statistical significant at .01 which was as hypothesis. 3) The problem of the management of the activity for developing the desired characteristics of Chinese students found that the Chinese students had less concerned in thinking and designing the activity performed, not knowing the value and the importance of process in developing ethics, providing the student activity suitable for the target and requirement and understanding the content of activity. The other proposal found that the administrator should allow the students involve in designing the form of activity, advice the students more about Thai arts and culture, advice the meaning of moral to the students before the activity, advice the students for the importance of value, thrifty and save provided. ท่ีมาและความสาคญั ของปัญหา ในช่วงเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2522-2532 วิธีการศึกษาส่วนใหญ่ในประเทศจีนส่วนใหญเ่ ป็นของรฐั และเอกชน รูปแบบหลักของการส่งไปต่างประเทศคือการศึกษาสาธารณะและการทดสอบในต่างประเทศ จุดหมายปลายทางหลักสาหรับการศึกษาต่อต่างประเทศคือสหรฐั อเมรกิ า ญี่ปุ่น และประเทศพัฒนาอ่ืน ๆ ใน เวลาน้ันจานวนผู้ท่ีเดินทางไปต่างประเทศมีอายุประมาณ 30 ปี วัตถุประสงค์หลักของการเดินทางไป ต่างประเทศคือเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตสัดส่วนของผู้คนท่ีเดินทางกลับไปยังประเทศจีนในไม่ช้าหลังจากจบ หลกั สูตรน้คี ่อนขา้ งต่า หลังจากกลับมาท่ีประเทศจีนนักศึกษาต่างชาติ ในปี ค.ศ. 1980 มสี ่วนรว่ มอยา่ งมากใน การพัฒนาประเทศโดยเหตุผลท่ีนกั ศึกษาจีนไปเรียนต่อต่างประเทศได้แก่ การผ่อนปรนนโยบายด้าน วีซ่า ใน การสัมภาษณ์กับสถาบนั การศกึ ษาในตา่ งประเทศ พบวา่ นโยบายวีซ่าของประเทศปลายทางมีผลกระทบอย่าง มากต่อการกาหนดรูปแบบการตัดสินใจศึกษาต่อในต่างประเทศ ตัวอย่างเช่นในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 รัฐบาลสหรัฐได้ผ่อนปรนเงื่อนไขในการออกวีซ่านักศึกษาและมีจานวนนักศึกษาจีนเพ่ิมข้ึนอย่างมี นัยสาคัญ (Nankai University, (2013) วิ ทย าลั ย น าน าชาติ จั ดก าร เรี ย น ก าร สอ นใน ระ บบนาน าชาติ ใช้ ภาษาอั งก ฤษเป็น ภาษาหลั กมี นักศึกษาต่างชาติศึกษาเต็มเวลาจานวนมาก จึงได้มีการวางรปู แบบการจัดการกิจกรรมนักศึกษาต่างชาติอย่าง เป็นระบบเทียบเท่ามหาวิทยาลัยในต่างประเทศครอบคลมุ ตงั้ แต่การแรกรบั การเตรยี มความพรอ้ มของนกั ศึกษา ก่อนเดินทางถึงประเทศไทย การต้อนรับ การปฐมนิเทศการให้ความช่วยเหลือในการปรับตัวด้านความเปน็ อยู่ การเข้าสังคมและภาษา การจัดการเอกสารเพ่ือการต่อวีซ่ารวมไปถึงการดูแลนักศึกษาตลอดการศึกษาใน ประเทศไทยเพ่ือช่วยให้นกั ศึกษาสามารถศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมีคุณภาพชีวิตท่ีดีและเป็นการยกระดบั ความมั่นใจของวิทยาลัยนานาชาติกล่าวโดยสรุปเนื่องจากจีนกาหนดนโยบายให้การสนับสนุนการศึกษาใน
ปที ี่ 6 ฉบับที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มิถุนายน 2563) 45 ต่างประเทศหลังจากปี 1978 ผ้คู นจานวนมากเลอื กที่จะศกึ ษาต่อในต่างประเทศการศกึ ษาในต่างประเทศทาให้ นักศึกษาจีนไดเ้ รียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงแล้วกลับไปยงั ประเทศจีนเพื่อสร้างประเทศของตนเอง เน่ืองจากความสัมพนั ธ์ระหว่างอาเซยี นทาให้มีนกั ศึกษาจานวนมากขึ้นเลือกเรียนที่ประเทศไทยในช่วงไม่ก่ปี ที ่ี ผ่านมาการศึกษาในประเทศไทยสามารถส่งเสรมิ มติ รภาพระยะยาวและการพัฒนารว่ มกันระหวา่ งจีนและไทย (อัจฉรียา รอบกิจ, 2559) ผู้ วิ จั ย ศึ ก ษ าเรื่ อ ง ก าร บริ ห าร กิ จก ร ร ม ก าร พั ฒ น า คุ ณ ลั ก ษ ณะ ท่ี พึ ง ปร ะ สง ค์ นั ก ศึ ก ษ า จี น ใ น มหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เพื่อสร้างแนวทางในการจัด กิจกรรมพัฒนาคณุ ลักษณะที่พึงประสงคข์ องนกั ศึกษาจนี ในประเทศไทยไดด้ ีย่งิ ขึ้น วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั 1. เพ่ือศึกษาสภาพการบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของนักศึกษาจีน ใน มหาวิทยาลยั เอกชน กรงุ เทพมหานคร: กรณีศกึ ษามหาวิทยาลยั ธรุ กิจบัณฑิตย์ 2. เพื่อเปรียบเทียบการบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนักศึกษาจีน ใน มหาวทิ ยาลยั เอกชน กรุงเทพมหานคร: กรณีศึกษามหาวทิ ยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ จาแนกตามสถานภาพ หลักสูตร ทีก่ าลังศกึ ษา และกลุม่ คณะ/วิทยาลัยท่ีเรียน 3. เพ่ือศึกษาปัญหาและข้อเสนอแนะการบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของ นกั ศึกษาจีนในมหาวิทยาลยั เอกชน กรงุ เทพมหานคร: กรณศี ึกษามหาวทิ ยาลยั ธรุ กจิ บณั ฑิตย์ สมมตฐิ านของการวิจัย การบรหิ ารกจิ กรรมการพฒั นาคุณลกั ษณะทีพ่ งึ ประสงค์ของนักศึกษาจีน ในมหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณศี กึ ษามหาวิทยาลัยธรุ กิจบัณฑติ ย์ จาแนกตามสถานภาพ หลักสตู รที่กาลังศกึ ษา และ กล่มุ คณะ/วิทยาลัยทเ่ี รยี น มีการปฏิบัติแตกตา่ งกัน กรอบแนวคิดการวจิ ัย ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ ความสาคัญเกี่ยวกับการบริหารสถาบันอุดมศึกษา คุณลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์ การเกี่ยวกับการบริหารกิจกรรมนักศึกษา การจัดกิจกรรมพัฒนานักศึกษา การบรหิ ารกจิ การนกั ศึกษาต่างชาตดิ ้านการพฒั นาคุณลกั ษณะทพี่ งึ ประสงค์มหาวิทยาลยั ธุรกิจบัณฑิตย์ โดยได้ ทาการศึกษาและสงั เคราะห์เอกสารที่เก่ียวขอ้ งกับการบริหารกิจกรรมการพัฒนาคุณลักษณะทีพ่ ึงประสงค์ของ นักศึกษาจีนในมหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธุรกจิ บัณฑิตย์ โดยผู้วิจัยบูรณา การเปน็ กรอบแนวคิดในการวจิ ยั ครง้ั น้ี ดังปรากฏในภาพที่ 1
ปีท่ี 6 ฉบบั ที่ 10 (ประจาเดอื น มกราคม – มถิ ุนายน 2563) 46 ตวั แปรตน้ ตัวแปรตาม ข้อมูลพน้ื ฐาน กิจกรรมการพฒั นาคณุ ลักษณะทีพ่ ึงประสงค์ ของนกั ศึกษาจีน 1. สถานภาพ 1.1 บคุ ลากร 1. กิจกรรมอาสาพฒั นาชนบทและบาเพ็ญ 1.2 นกั ศึกษา ประโยชน์ 2. กจิ กรรมทานุบารงุ ศาสนาศลิ ปวัฒนธรรม 2. หลักสูตรที่กาลงั ศึกษา 3. กจิ กรรมเพื่อพฒั นาจรยิ ธรรม 2.1 ปรญิ ญาตรี 4. กิจกรรมพฒั นาคา่ นยิ มความประหยัดและ 2.2 บัณฑิตศึกษา อดออม 5. กิจกรรมการอนรุ กั ษพ์ ัฒนาสงิ่ แวดลอ้ มและ 3. กล่มุ คณะ/วทิ ยาลยั ทเี่ รยี น ทรพั ยากรธรรมชาติ 3.1 วิทยาลยั บรหิ ารธุรกิจนวัตกรรมและ การบญั ชี 3.2 วิทยาลยั นานาชาติจนี -อาเซยี น 3.3 คณะการทอ่ งเทีย่ วและการโรงแรม 3.4 คณะศลิ ปศาสตร์ 3.5 วทิ ยาลยั ครศุ าสตร์ ภาพท่ี 1 กรอบแนวคดิ ในการวิจยั วิธีการดาเนินการวิจยั ประชากรในการวิจัยคร้ังน้ีเป็นบุคลากรและนักศึกษาที่กาลังศึกษาใน คณะ/วิทยาลัยในมหาวิทยาลัย ธุรกิจบัณฑิตย์ จานวน 5 คณะ/วิทยาลัยได้แก่ 1) วิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี 2) วิทยาลัย นานาชาติจีน-อาเซียน 3) คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม 4) คณะศิลปศาสตร์ และ 5) วิทยาลัยครุศาสตร์ แบ่งออกเป็นนักศึกษา จานวน 3,000 คน และบุคลากร จานวน 21 คน รวมท้ังสิ้น 3,021 คน และกลุ่ม ตัวอย่างท่ีใช้ในการตอบแบบสอบถามคือบุคลากรและนักศึกษาท่ีกาลังศึกษาในมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์โดย นามากาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างได้จากการคานวณร้อยละ 30 ตามทฤษฎีการสุ่มตัวอย่าง อรวรรณ ศรีโสมพันธ์ (2558, น.8) ซึ่งได้กลมุ่ ตัวอย่าง จานวนกล่มุ ตัวอย่างรวมท้ังสิน้ 921 คน เครอ่ื งมือท่ใี ชใ้ นการเก็บและรวบรวมข้อมูลท่ีเปน็ แบบสอบถามความคิดเหน็ ของกลุ่มตวั อย่างคอื ผู้บริหาร ฝ่ายกิจกรรมนักศึกษาและบุคลากรฝ่ายกิจกรรมนักศึกษา แบ่งออกเป็น 3 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 ข้อมูลพ้ืนฐาน สถานภาพของบุคลากรและนักศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑติ ย์ ตอนท่ี 2 การดาเนินการในการบรหิ ารกจิ กรรม การพฒั นาคณุ ลกั ษณะทพี่ งึ ประสงคน์ ักศกึ ษาจีนในมหาวิทยาลยั เอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษามหาวทิ ยาลัย ธุรกิจบัณฑิตย์ตอนที่ 3 ข้อมูลเก่ียวกับปัญหาและข้อเสนอแนะในการบรหิ ารกิจกรรมการพฒั นาคุณลักษณะท่พี งึ ประสงค์นักศึกษาจีนในมหาวิทยาลัยเอกชน กรุงเทพมหานคร กรณีศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ลักษณะ แบบสอบถามเป็นแบบมาตรประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับจากผลการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ และจาก การทดลองใช้ (Try Out) ไดค้ ่าความเช่อื มน่ั ของแบบสอบถามทงั้ ฉบับ เทา่ กบั 0.99โดยสามารเก็บรวบรวมข้อมูล
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140