๒.พระบรมวงศานวุ งศท ม่ี บี ทบาทในการสรางสรรคช าติ ๒.๑.สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณว โรรสนามเดมิ คือ “พระองคเ จามนุษยนาคมานพ”ทรงเปน อนชุ าตา งมารดารัชกาลท่ี ๕ ประสูตเิ มื่อ พ .ศ. ๒๔๐๒ ทรง เสด็จออกผนวชเปน พระภกิ ษอุ ยตู ลอดพระชนมชีพตามรอย พระบิดาและทรงเปน กรมหมืน่ วชิรญาณวโรรสจนในทสี่ ุด สมเด็จพระสมณเจากรมวชิรญาณวโรรส และ ดํารง ตําแหนง “สกลมหาสงั ฆปรินายก”ใน พ.ศ. ๒๔๕๓ ซึ่ง พระองคมีบทบาทคณะสงฆไทยการจดั การศึกษาของชาติใน หัวเมืองและแวดวงประวตั ศิ าสตรไทย
๒.๒ พระเจา บรมวงศเธอ กรมหม่นื วงษาธิราชสนทิ ตนสกุล“สนทิ วงศ” เปนพระ ราชโอรสรชั กาลที่ ๒ และ สิ้นพระชนมสมยั รัชกาลท่ี ๕ พระองคทรงมบี ทบาททาง ดา นการแพทย และการสรา ง ความสัมพันธก ับตา งประเทศ
๒.๓ สมเดจ็ พระเจาบรมวงศเธอ กรมพระยาเทวะวงศว โรปการ ทรงเปน พระราชโอรสรชั กาลท่ี ๔ ตน ตระกลู “เทวกุล”พระองคท รง เกง ดา นการทตู ทําใหไทยไมเสยี ดนิ แดนในเหตุ การณ ร.ศ. ๑๑๒ ฝร่งั เศสพยายามบบี บังคบั ไทย พระองคส ามารถเจรจากบั องั กฤษ จนไทยรอดพน เสยี ดินแดนให ฝรั่งเศส
๒.๔ สมเด็จพระบรมวงศเธอ กรมพระยาดาํ รงราชานภุ าพตน ตระกูล “ดิศกุล”เปนโอรสรชั กาลที่ ๔และเจา จอมมารดาชมุ ทรงเปนพระ อนุชารชั กาลที่ ๕ประสูตเิ มือ่ พ.ศ. ๒๔๐๕ พระองคมผี ลงานทางดา น ประวตั ิศาสตรจ นไดร บั ยกยอง “พระ บดิ าแหง ประวัตศิ าสตร”
๒.๕ สมเด็จพระเจา บรมวงเธอเจา ฟา กรมพระยานรศิ รานวุ ัดติวงศ ตน ตระกลู “จิตรพงศ” ทรงเปนราช โอรสในรชั กาลที่ ๔พระองคมคี วาม ชํานาญดา นชา งทรงออกแบบการ กอ สรา งพระอุโบสถวัดเบญจนบพิตร ดุสติ วนารามจนไดรับยกยองเปน บรม ครใู นดานการชา งและศิลปะทรง นิพนธเ พลงเขมรไทรโยค
๓.ขนุ นางและชาวตางชาตทิ ่ีมี บทบาทในการสรา งชาติไทย ๓.๑ ออกญาโกษาธิบดี (ปาน) เดมิ ชื่อ (ปาน) ซ่ึงทานเปน หัวหนาทูตเดนิ ทางไปเจริญสมั พนั ธ ไมตรีกับฝร่งั เศสโดยคณะทตู เขา เฝา พระเจาหลยุ สท ่ี ๑๔ ในสมัยสมเดจ็ พระนารายณม หาราช
๓.๒ หมอมราโชทัย หรือหมอ ม ราชวงศกระตาย อศิ รางกูรมี บทบาทเกยี่ วขอ งกับกจิ การดา น ตาง ประเทศในรัชกาลที่ ๔ได ปฏบิ ัติราชการแผน ดินทส่ี าํ คญั คือ ดาํ รงตาํ แหนง ลา มหลวงประจาํ คณะทตู และดํารงตาํ แหนง ผพู พิ าก ษาศาลตา งประเทศคนแรกและ ตอ มาหมอ มราโชทยั ไดแ ตงบทกวี นพิ นธเ รื่อง “นิราศลอนดอน”
๓.๓ สมเดจ็ เจา พระยา บรมมหาศรสี ุรยิ วงศ (ชวง บุนนาค)เกดิ ในสกลุ บุนนาค ไดด ํารงตาํ แหนง เปน ผสู าํ เรจ็ ราชการแผน ดนิ จนพระบาท สมเดจ็ พระจุลจอมเกลา เจา อยหู วั ทรงมีพระชนมายคุ รบ ๒๐ ป
๓.๔ ลาลูแบร หรือ ซมิ องค ลา ลูแบร เปน ชาวฝร่ังเศสท่ีไดร ับ แตงตง้ั ใหเปน หวั หนาคณะราชทตู ฝร่งั เศสรวมกบั คลอด เซเบเรต เดอ บูลายเดินทางมายงั กรงุ ศรี อยุธยาเมือ่ พ.ศ. ๒๒๓๐ เพื่อ เจรจาเกยี่ วกบั เรือ่ งศาสนาและ การคาของฝรง่ั เศสในสมยั สมเดจ็ พระนารายณมหาราช
๓.๕ บาทหลวงปาล เลอกัวซ มนี ามเดิม “ฌงั บปั ตสิ ต ปาลเลอกัวซ” ชาว ฝรง่ั เศสไดเ ดินทางมาเผยแผ คริสตศาสนานิกายโรมัน คาทอลิก ในเมืองไทยเมือ่ ป พ.ศ. ๒๓๗๒
๓.๖ หมอบบดั เลย (ดร.แดน บีช บรดั เลย) หวั หนา คณะมิชชันนารีรุนที่ ๓ จากประเทศสหรฐั อเมรกิ าเขา มายงั ประเทศไทยเมือ่ พ.ศ. ๒๓๗๘ผลงานทีส่ ําคญั คือ การจัดตงั้ โรงพิมพห นังสือไทยขึ้นเปน คนแรกและออก หนงั สือพมิ พร ายเดือนชื่อ“บางกอกรคี อรเ ดอร” เปน หนงั สือ พมิ พฉ บับแรกและยงั เปน ผนู ําวิชาการแพทย สมยั ใหมโ ดยเรมิ่ ใหมกี ารผาตดั คนไขทป่ี ระสบอบุ ัตเิ หตุ ไดเ ปนผลสําเร็จครงั้ แรกในไทย
๓.๗ พระยารษั ฎานดุ ิษฐ มหศิ รภกั ดี(คอซิมบี้ ณ ระนอง) ตนสกุล ณ ระนอง ซง่ึ เปน ผวู า ราชการเมืองระนองคนแรกเปน ผู มีความ สามารถในการจัดการ ปกครองบา นเมืองเปนอยา งดเี ปน ทพี่ อพระทยั รชั กาลท่ี ๕
๓.๘ พระยากัลยาณไมตรี (ดร.ฟรานซสิ บ.ี แซร)เปน ชาว อเมรกิ ันและเปน ศาสตราจารยทาง กฎหมายเขามาดาํ รงตําแหนงทปี่ รกึ ษา กระทรวงตา งประเทศของไทย พ.ศ. ๒๔๖๖ในสมัยรชั กาลที่ ๖และไดท าํ คุณประโยชนใ หก บั ประเทศไทยดาน ความสมั พันธระหวา งประเทศและ การเมืองการปกครอง
๓.๙ ศาสตราจารยศ ิลป พรี ะ ศรี มีชือ่ เดิมวา “คอรร าโด เฟโรจี” เปนชาวอิตาลี ทานสนใจและไดศ ึกษา วชิ าการทางดานศลิ ปะ จนมีความ สามารถดา นประติมากรรมและจติ กรรมจนไดรบั ตําแหนง เปนศาสตรา จารยทานเปนผูวางหลกั สตู รการ ศกึ ษาศิลปะของไทยใหมมี าตรฐาน ทัดเทียมกบั โรงเรียนศลิ ปะในยโุ รป
หนว ยการเรียนรทู ี่ ๕ การสรางสรรคว ฒั นธรรม และภมู ิปญญาไทย
การสรา้ งสรรคว์ ฒั นธรรมไทย วฒั นธรรมไทย หมายถึง ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งทค่ี นไทยคดิ และสรา้ งสรรคข์ ้ึนมา เพ่ือการดาํ รงชวี ติ อยรู่ ว่ มกนั มีระเบียบ แบบแผนและมรี ูปแบบเป็นทยี่ อมรบั กนั ภายในสงั คมไทย
ปัจจยั สาํ คญั ทก่ี ่อใหเ้ กดิ วฒั นธรรมไทย ๑.การรบั ความเจรญิ จากวฒั นธรรมอนื่ เชน่ รบั เอาวฒั นธรรมทางดา้ นศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดโู ดยผา่ นมาทางเขมรวฒั นธรรมทางพระพุทธ ศาสนาผา่ นมาทางลงั กาดา้ นภาษารบั มาจากมอญ และเขมรในสมยั สุโขทยั อยุธยารบั จากตา่ งชาติ
๒.สงั คมและสภาพแวดลอ้ ม สงั คมไทยมีลกั ษณะ แตกตา่ งกนั ไปตามแตล่ ะพ้ืนทแ่ี ละสภาพแวดลอ้ ม ตา่ งๆ ๓.ความเป็ นมาทางประวตั ิศาสตร์ คนไทยมี ความเป็นมาทางประวตั ศิ าสตรท์ มี่ ีความสาํ คญั ตอ่ การสรา้ งสรรคว์ ฒั นธรรมไทย
การมีส่วนร่วมในการอนุรกั ษว์ ฒั นธรรมไทย ๑.การหาโอกาสไปทอ่ งเทยี่ วเชงิ วฒั นธรรมในภมู ภิ าค ตา่ งๆในการทอ่ งเทยี่ วควรศกึ ษาหาความรูเ้ กีย่ วกบั วฒั นธรรมทพี่ บเหน็ ๒.การเขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มในกิจกรรมตา่ งๆทเี่ กย่ี วขอ้ ง กบั การสง่ เสรมิ ทางดา้ นวฒั นธรรมทตี่ นพาํ นกั เชน่ การแห่ เทยี นเขา้ พรรษาและวนั สาํ คญั ตา่ งๆ ๓.การเขา้ ไปมสี ว่ นชว่ ยเสรมิ สนบั สนุนวฒั นธรรมไทย ทางตรงและทางออ้ ม
๔.หาโอกาสเขา้ รว่ มกิจกรรมของชมรมตา่ งๆทมี่ กี าร จดั ตง้ั ข้นึ มาเพื่อการอนุรกั ษว์ ฒั นธรรมไทย การสรา้ งสรรคภ์ มู ปิ ัญญาไทย ภูมิปัญญาไทย หมายถงึ ความรูท้ กั ษะ ความเชอื่ และพฤตกิ รรมของคนไทยโดยแสดงออกถึงความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งคนกบั คน คนกบั ธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ มและคน กบั สง่ิ ทเี่ หนือธรรมชาติ
สาเหตขุ องการเกดิ ภมู ิปัญญาไทย 1.ความจาํ เป็ นขนั้ พน้ื ฐาน 2.ความเชอื่ และระบบ ของการดาํ รงชวี ิต ความสมั พนั ธ์ กบั สง่ิ เหนอื ธรรมชาติ 5.การประยกุ ตร์ บั อทิ ธิพล 3.ความเก่ียวเนอื่ งกบั จากภายนอก การประกอบอาชพี 4.การตอบสนอง อารมณส์ นุ ทรีย์
ปัจจยั สาํ คญั ท่ีก่อใหเ้ กดิ ภมู ิปัญญาไทย ๑.การไดร้ บั อทิ ธิพลจากวฒั นธรรมอนื่ ภูมปิ ัญญาไทยที่ เกิดข้นึ บางครง้ั ตอ้ งอาศยั อทิ ธิพลจากวฒั นธรรมอน่ื มาปรบั ใช้ เพื่อแกป้ ัญหาในสงั คมไทยเชน่ พุทธศาสนามาประยุกตส์ อนให้ รูจ้ กั เกรงกลวั บาป ๒.สงั คมและสภาพแวดลอ้ ม สงั คมและสภาพแวดลอ้ ม ไทยทกุ ยคุ ทกุ สมยั ไมว่ า่ จะเป็นสมยั สุโขทยั อยุธยา ธนบุรแี ละ รตั นโกสนิ ทรต์ า่ งมปี ัญหาและมีวธิ ีแกไ้ ข ๓.ความเป็ นมาทางดา้ นประวตั ิศาสตร์ ประวตั ศิ าสตร์ ของชนชาตไิ ทยก็เป็ นปัจจยั สาํ คญั ทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ภมู ปิ ัญญาไทย
การมีสว่ นร่วมในการอนุรกั ษภ์ มู ิปัญญาไทย 1.การหาโอกาสใชส้ นิ คา้ ทจี่ าํ เป็นและผลผลติ ทเี่ กิดจากภูมิปัญญาไทย 2.การศึกษาหาความรูเ้ กี่ยวกบั ภมู ิปัญญาไทย 3.การเผยแพรค่ วามรูใ้ นเรอื่ งภูมิปัญญาไทย 4.การเป็นสมาชกิ ชมรมทอี่ นุรกั ษภ์ ูมิปัญญา ไทย
การสบื ทอดและเปลยี่ นแปลงของวฒั นธรรมและ ภมู ิปัญญาไทย การสบื ทอดวฒั นธรรมคอื การศกึ ษา วฒั นธรรมไทยตงั้ แตอ่ ดตี และมีการปรบั เปลี่ยน และผสมผสานภมู ิปัญญาเกา่ ใหมเ่ พื่อใหส้ ามารถ แกป้ ัญหาและดาํ รงชวี ติ อยอู่ ยา่ งปกติ
ตวั อย่างของการสรา้ งสรรคภ์ มู ิปัญญาไทยในประวตั ศิ าสตร์ สมยั สโุ ขทยั ๑.ระบบการชกั นา้ํ เกบ็ นาํ้ และระบายนา้ํ เช่น การพบ ตระพงั (สระนา้ํ ) ซง่ึ วดั หรอื ศาสนสถานสรา้ งไวแ้ ละยงั มกี าร สรา้ งเขื่อนกกั เก็บนาํ้ เรยี กวา่ “เขอื่ นพระร่วง”ส่วนแหล่งรบั นา้ํ และระบายนาํ้ เรยี กวา่ “สรดี ภงส”์ ๒.การประดษิ ฐเ์ ครอ่ื งปั้นดนิ เผา เรยี กว่า สงั คโลก สี เขยี วไข่กาประกอบดว้ ย ถว้ ย โถ จาน แจกนั กานาํ้ ไห กระปุก
๓.การประดษิ ฐต์ วั อกั ษรไทยสาํ หรบั คนไทย เรยี กวา่ “ลายสอื ไทย” ของพ่อขุนรามคาํ แหงมหาราชเมอ่ื พ.ศ. ๑๘๒๖
๔.การอาศยั วรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนาเพอ่ื จรรโลง สงั คม ในสมยั สโุ ขทยั พระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (ลิไทย) ทรง พระราชนิพนธ์ ไตรภมู ิพระร่วง ตวั อย่างของลกั ษณะการสรา้ งสรรคภ์ มู ิปัญญาไทยในสมยั อยุธยา ๑.การสรา้ งสถาบนั พระมหากษตั รยิ ใ์ หเ้ ป็ นศูนยร์ ว่ มจติ ใจ ของคนไทย ๒.ภูมปิ ัญญาไทยทางดา้ นการควบคมุ กาํ ลงั คน ๓.การใชภ้ าษาและวรรณกรรมเพ่ือคณุ ประโยชนท์ าง การเมืองและสงั คม
๔.ภมู ิปัญญาไทยทางดา้ นศลิ ปกรรม ๓ ประเภท ๑.ดา้ นสถาปัตยกรรม มกี ารสรา้ งสงิ่ กอ่ สรา้ งไมว่ า่ จะ เป็นทอ่ี ยอู่ าศยั หรอื ศาสนสถานเชน่ เรอื นไทย ๒.ดา้ นจติ รกรรม จติ กรรมสว่ นใหญน่ ิยมเขียนเป็น พุทธบูชาตามผนงั โบสถ์ วหิ าร ศาลาการเปรยี ญ ๓.งานปูนป้ัน ในสมยั อยธุ ยามีความโดดเดน่ และมี ความสวยงามซง่ึ สว่ นใหญเ่ ป็ นงานปูนปั้นประดบั ตกแตง่ สถาปัตยกรรม โดยเฉพาะการตกแตง่ หนา้ โบสถซ์ ง่ึ นิยมทาํ เป็น รูปพระนารายณท์ รงครุฑหรอื รูปเทวดานง่ั แทน่
ตวั อยา่ งของลกั ษณะการสรา้ งสรรคภ์ มู ิปัญญาไทย ในสมยั ธนบรุ ี ๑.ดา้ นศลิ ปกรรม ในสมยั ธนบุรมี ผี ลงานทางดา้ นจติ ร กรรมคอื สมุดภาพไตรภูมิ ซง่ึ สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราชโปรดเกลา้ ฯใหจ้ ดั ทาํ ข้นึ เมอื่ พ.ศ. ๒๓๑๙ ไตรภูมคิ อื สวรรคภ์ ูมิ มนุษยภูมิ และนรกภูมิ ๒.ดา้ นวรรณกรรม ในสมยั กรุงธนมวี รรณกรรมนอ้ ย วรรณกรรมทส่ี าํ คญั คอื “โคลงยอพระเกยี รตพิ ระเจา้ กรงุ ธนบรุ ”ี
ตวั อย่างของลกั ษณะการสรา้ งสรรคภ์ มู ิปัญญาไทยในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ ๑.การสรา้ งเมืองราชธานี การสถาปนากรุงรตั นโกสนิ ทร์ เป็นราชธานีแหง่ ใหมข่ องไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ ทรงเลอื กชยั ภูมิ ทเ่ี หมาะสาํ หรบั การป้ องกนั มใิ หข้ า้ ศกึ เขา้ มารอบรอบพระนคร เชน่ มแี มน่ าํ้ เจา้ พระยาเป็นปราการธรรมชาตสิ าํ หรบั ป้ องกนั พระนครและยงั ขุดคลองและสรา้ งป้ อมปราการ ๒.การใชพ้ งศาวดารปลกุ ใจเรอื่ งการศกึ สงคราม เชน่ แปลพงศาวดารจนี ทส่ี าํ คญั คอื สามกก๊ และแปลพงศาวดารมอญ เรอื่ งราชาธิราช
๓.การเกบ็ ภาษปี ากเรอื ในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ กอ่ นทไี่ ทยจะลงนามในสนธิสญั ญาไมตรแี ละการ พาณิชย์ พ.ศ. ๒๓๙๘หรอื เรยี กวา่ สนธิสญั ญาเบาว์ รงิ กบั องั กฤษและเก็บภาษีปาเรอื ตามขอ้ ตกลงใน สนธิสญั ญาเบอรน์ ี พ.ศ. ๒๓๖๙เรอื นาํ สนิ คา้ เขา้ ปากเรอื มาขายจะเก็บวาละ ๑,๗๐๐ บาท
๔.การแพทย์ ในสมยั รชั กาลท่ี ๑ ได้ บูรณปฏิสงั ขรณว์ ดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลา รามราชวรมหาวหิ ารและโปรดเกลา้ ฯให้ รวบรวมจารกึ ตาํ รายาและรูปฤาษีดดั ตนไว้ ตามศาลารายนบั เป็นการเผยแพรค่ วามรู้ ใหแ้ กร่ าษฎรอกี ทางหน่ึง
สมยั รชั กาลที่ ๒ โปรดเกลา้ ฯให้ กรมหมอหลวงชาํ ระคดั เลอื ก ตาํ รายาทมี่ สี รรพคณุ สาํ หรบั โรง พระโอสถทเี่ รยี กวา่ “ตาํ ราพระ โอสถ”
สมยั รชั กาลที่ ๓ ใหจ้ ารกึ ตาํ รายารอ้ ย ขนานบนแผน่ ศิลาและฝังบนเสาระเบยี งพระ วหิ ารพุทธไสยาสน์ วดั ราชโอรสารามและ ใหจ้ ารกึ ตาํ ราหมอ วชิ าเภสชั สมุนไพรและ สรา้ งฤาษีดดั ตน ๘๐ทา่ และใหป้ ลกู สมุนไพรท่ี หายากเพ่ือศึกษา
สมยั รชั กาลท่ี ๕ ทรงมีพระราชดาํ รใิ ห้ ทรงชาํ ระคมั ภีรแ์ พทยท์ งั้ หมดและแปล คดั ลอกใหมจ่ ากภาษาขอม มคธและจด บนั ทกึ ลงในสมุดไทยเรยี กวา่ “เวช ศาสตรฉ์ บบั หลวง”
ปัจจยั และบคุ คลที่ส่งเสรมิ การสรา้ งสรรคว์ ฒั นธรรมและ ภมู ิปัญญาไทยที่มีผลต่อสงั คมไทยปัจจบุ นั ๑. ปัจจยั ท่ีส่งเสรมิ การสรา้ งสรรคว์ ฒั นธรรมและภมู ิปัญญา ไทยท่ีมีผลต่อสงั คมไทยปัจจบุ นั มดี งั ตอ่ ไปน้ี ๑.๑ การไดร้ บั การสง่ เสรมิ จากสถาบนั สาํ คญั ของชาติ อนั ไดแ้ ก่ สถาบนั ศาสนา สถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ ๑.๒ การหนั มาสนใจเรอื่ ง “ไทยศกึ ษา” ในสงั คม ซง่ึ ใน ทผ่ี า่ นมาไดเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงทางดา้ นการศกึ ษาของไทย ๑.๓ การส่งเสรมิ การใชท้ ฤษฎเี ศรษฐกจิ พอเพยี ง การ สง่ เสรมิ ใหร้ าษฎรหนั มาดาํ เนินชวี ติ ยดึ ทฤษฎเี ศรษฐกิจพอเพียง
๑.๔ การส่งเสรมิ การท่องเท่ยี วเชงิ อนุรกั ษ์ วฒั นธรรมและภมู ิปัญญาไทย การสง่ เสรมิ การทอ่ งเทยี่ ว ในเชงิ อนุรกั ษว์ ฒั นธรรมและภมู ปิ ัญญาไทย ๑.๕ การจดั กจิ กรรมเผยแพร่วฒั นธรรมและภูมิ ปัญญาไทย เปิดโอกาสใหแ้ ตล่ ะทอ้ งถิน่ จดั กิจกรรมตา่ งๆ เก่ยี วกบั วฒั นธรรมและภูมปิ ัญญาไทย
บคุ คลท่ีมีบทบาทในการสง่ เสรมิ การสรา้ งสรรคภ์ มู ิปัญญาและ วฒั นธรรมไทยซง่ึ มีผลต่อสงั คมไทยปัจจุบนั ๑.พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ภมู ิพลอดลุ ยเดช ทรงมี พระราชทานทจ่ี ะนาํ ภูมิปัญญาไทยวฒั นธรรมไทยมาประยกุ ต์ ชว่ ยเหลือใหพ้ สกนิกรสามารถดาํ รงชวี ติ อยอู่ ยา่ งมคี วามสขุ เชน่ ๑.๑ ทรงอาศยั วรรณกรรมสาํ หรบั เตอื นใจคนไทยใหม้ ี ความเพียรไมย่ อ่ ทอ้ ในการดาํ เนินชวี ติ เชน่ “พระมหาชนก” ซง่ึ เป็นพระราชนิพนธท์ ใ่ี นพระองค์ ๑.๒ ทรงสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ ความรกั สถาบนั การศกึ ษา
๑.๓ ทรงเสรมิ ใหม้ กี ารสรา้ งกาํ ลงั ใจแกเ่ กษตรกรดว้ ยการฟ้ืนฟู ราชประเพณี เชน่ พระราชพิธพี ืชมงคลจรดพระนงั คลั แรกนาขวญั ๑.๔ ทรงมอบแนวทางชว่ ยเหลือการดาํ เนินชวี ติ และแกป้ ัญหา ใหก้ บั ราษฎรเชน่ “โครงการแกม้ ลงิ ” ๑.๕ ทรงแนะนาํ วธิ ีดาํ เนินการใหช้ มุ ชนมคี วามเขม้ แข็ง ๑.๖ ทรงสง่ เสรมิ ใหร้ าษฎรไทยรกั ภาษาไทยและ ประวตั ศิ าสตรไ์ ทย
๒.สมเดจ็ พระนางเจา้ พระบรมราชนิ นี าถ พระองคท์ รงสนบั สนุนการทรงงานพฒั นาของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การสง่ เสรมิ ใหช้ าวบา้ นมรี ายไดเ้ สรมิ โดยจดั ตงั้ ใหม้ ีการฝึกงานศิลปชพี ทปี่ ระดษิ ฐข์ ้นึ จากวสั ดุทม่ี ีอยใู่ นทอ้ งถิ่น ของตนและทรงรเิ รมิ่ งานศลิ ปาชพี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔ ๓.สมเดจ็ พระศรนี ครนิ ทราบรมราชชนนี ปวงชนชาวไทย ขนานพระนามเป็ นสามญั วา่ “สมเดจ็ ย่า”ชาวไทยภเู ขาถวายพระ สมญานามวา่ “แม่ฟ้ าหลวง”
๔.สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระปรชี า สามารถในดา้ นตา่ งๆอยา่ งกวา้ งขวาง เชน่ ทางดา้ นอกั ษรศาสตรแ์ ละดนตรี ไทย
๕.สมเดจ็ พระเจา้ พนี่ างเธอ เจา้ ฟ้ ากลั ยาณวิ ฒั นา กรม หลวงนราธิวาสราชนครนิ ทร์ ทรงมบี ทบาทสาํ คญั ในการ สง่ เสรมิ การสรา้ งสรรคว์ ฒั นธรรมและภูมปิ ัญญาไทยมา อยา่ งตอ่ เน่ืองยาว นานทรงพระราชนิพนธเ์ กย่ี วกบั พระ ราชวงศ์ ๑๒ เรอ่ื ง เชน่ แมเ่ ลา่ ใหฟ้ ัง พระราชธิดาในรชั กาล ที่ ๕ สมเดจ็ เจา้ ฟ้ ามหดิ ลฯและงานศลิ ปะและจฬุ าลงราช สนั ตตวิ งศ์ พระนามพระราชโอรส พระราชธดิ า และพระ ราชนดั ดาและอนื่ อกี มากมาย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298