Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore hrCR225631125

hrCR225631125

Published by narapath1, 2020-11-26 14:40:46

Description: hrCR225631125

Keywords: กัญชา,กัญชง,กระท่อม

Search

Read the Text Version

- ๒๔ - กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดเสพยาเสพติดประเภท ๕ เว้นแต่เสพเพื่อรักษาโรค ตามคําส่ังของผู้ประกอบ วิชาชีพเวชกรรม หรือเป็นการเสพเพื่อศึกษาวิจัย ท้ังนี้ ตํารับยาที่เสพได้ให้เป็นตามท่ีรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสขุ ประกาศกําหนด ๒. กฎหมายภายในประเทศไทยอาจจะมีการตีความเกินขอบเขตของอนุสัญญา เนื่องจาก อนสุ ัญญาไม่ไดร้ ะบุว่ากระท่อมเป็นยาเสพติด แต่กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดของประเทศไทยกําหนดให้ กระทอ่ มเป็นยาเสพตดิ ประเภทที่ ๕ ๓. กฎกระทรวงสาธารณสุขที่อนุญาตให้นํากัญชงไปใช้ประโยชน์ได้บางกรณี ได้แก่ การใช้ เส้นใยหรือแกนทําเสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งเป็นการอนุญาตให้ใช้ได้ในบริบทอย่างแคบ ไม่สามารถ นําไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มศักยภาพ เน่ืองจากกัญชงสามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้ อาทิ ใบ และช่อดอกผลิตเป็นยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และเครื่องสําอาง เปลือก ลําต้น เส้นใย ใช้ผลิตสิ่งทอ และเส้ือเกราะกันกระสุน และแกนลาํ ต้นผลติ พลังงานชีวมวล วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ รวมท้ังเมล็ด และน้ํามันจากเมล็ดใช้เป็นอาหาร เคร่ืองสําอาง ตลอดจนเน้ือลําต้นผลิตเป็นกระดาษและฉนวน กนั ความรอ้ น ๔. ข้อจํากัดทางกฎหมายเก่ียวกับการเคลื่อนย้ายกัญชาเพ่ือไปใช้ประโยชน์จากจุดหน่ึงไปยัง จดุ หนึ่งเป็นไปอยา่ งจาํ กัด ๕. การจดทะเบียนการคุ้มครองพันธุ์พืช และคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของผลิตภัณฑ์ เกี่ยวขอ้ งกับกญั ชา กัญชง และกระท่อมมีข้อจาํ กดั และใช้ระยะเวลานานในการดําเนนิ การ

บทท่ี ๔ ผลการพจิ ารณา จากการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพบว่า กัญชา กัญชง และกระท่อม เป็นพืช สมุนไพรมีคุณค่าและมีมูลค่ามหาศาล ซ่ึงสามารถนํามาใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย อาทิ การแพทย์ และเศรษฐกจิ อยา่ งไรก็ตาม พืชท้ังสามชนิดยงั คงเปน็ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษตามกฎหมาย ถึงแม้ จะมีการยกเว้นให้นําไปใช้ประโยชน์ได้ในทางการแพทย์และการศึกษาวิจัย ซึ่งเป็นการยกเว้นให้ใช้ได้ ในบริบทอย่างแคบไม่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่าที่ควร ดังนั้น หากมีการแก้ไขข้อจํากัดดังกล่าวได้ อย่างเหมาะสม โดยคํานึงถึงข้อดีและข้อเสียอย่างเป็นระบบให้สอดคล้องกับสถานการณ์อยู่เสมอ ทําให้การนําพืชท้ังสามชนิดดังกล่าวไปใช้ได้เต็มศักยภาพอันจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและเศรษฐกิจ อยา่ งยัง่ ยืน นอกจากน้ี จากการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ โดยได้เชิญหน่วยงาน องค์กร และบุคคลมาให้ขอ้ มูล ขอ้ เท็จจรงิ ซ่งึ มีรายละเอียดพอสงั เขป ดังน้ี กญั ชา กัญชา เป็นพืชในวงศ์ Cannabidaceae มีสายพันธ์ุที่พบบ่อย คือ Cannabis sativa, Cannabis indica และ Cannabis ruderalis สําหรับสายพันธุ์ที่พบมากในประเทศเทศไทยจะเป็น สายพันธุ์ Cannabis sativa ซึ่งสามารถเจรญิ เตบิ โตได้ดใี นอากาศแบบร้อนช้ืน ในปี ค.ศ. ๑๘๙๙ มนุษย์สามารถสกัดสารสําคัญจากกัญชาได้ แต่ยังสกัดเป็นสารบรสิ ุทธไ์ิ มไ่ ด้ เน่ืองจากข้อจํากัดด้านเทคโนโลยี จนกระท่ังมีการค้นพบวิธีวิเคราะห์แบบใหม่ คือ High Performance Liquid Chromatography (HPLC) และ Spectrometric method ในปี ค.ศ. ๑๙๖๔ ทําให้แยก สารบริสุทธ์ชนิดต่าง ๆ จากกัญชาออกมาได้ รวมท้ังเกิดองค์ความรู้ในการวิเคราะห์สูตรโครงสร้าง โมเลกุลของสารแตล่ ะชนดิ ได้ ด้วยเหตดุ ังกลา่ ว จากการศึกษาพบวา่ กญั ชามีองคป์ ระกอบของสารเคมี มากกว่า ๔๕๐ ชนิด และเป็นสารกลุ่มแคนนาบินอยด์ (Cannabinoids) มากกว่า ๖๐ ชนิด โดยมีสาร หลัก คือ THC และสารชนิดอื่นในกลุ่มเดียวกัน เช่น Cannabinol (CBN), Cannabidiol (CBD), Cannabichtomme (CBC), Cannabigerol (CBG) เป็นต้น นอกจากน้ัน CBD สามารถจับตัวกับ CB1 และ CB2 receptors โดยตรงได้เล็กน้อย แต่มีลักษณะเป็น negative allosteric modulator กับ CB1 receptor ซ่ึงส่งผลต่อ Receptors อื่น ๆ ทําให้สามารถลดอาการปวด อาการอักเสบ และลดความกงั วลได้ เมื่อมีความต้องการใช้กัญชาจํานวนมาก มีพ้ืนที่เพาะปลูกขนาดใหญ่ ก็ต้องมีการวิจัยพัฒนา ต่อยอด พัฒนาต่อยอดในท่ีนี้ หมายความถึง เมล็ดพันธุ์กัญชา และคุณสมบัติ คือ แต่ละสายพันธุ์ มีคุณสมบัติใดบ้างในพ้ืนท่ีต่าง ๆ กัน เพราะสายพันธ์ุเดียวกันหากปลูกในพ้ืนที่ต่างกันก็อาจจะได้ ส่วนประกอบไม่เท่ากัน ดังน้ัน เมื่อมีการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์แล้วจะทําให้เรารู้ถึงที่มา และสารประกอบของน้ํามันกญั ชาในแต่ละขวดเพอื่ เพิม่ ประสิทธิภาพในการรกั ษา อีกประการหนึง่ คือ วิธีการสกัด โดยการสกัดกัญชานั้นมีหลายวิธี เช่น ใช้แนฟทา (Naphtha) ใช้แอลกอฮอล์ (Alcohol)

- ๒๖ - ซึ่งวิธีการสกัดแต่ละวิธีจะได้สารประกอบท่ีไม่เหมือนกันอีกประการหนึ่ง คือ เมื่อสกัดไปแล้วอาจมี กระบวนการอื่น เช่น การนําไปต้ม ซ่ึงพอต้มแล้ว จากทําให้เมาก็จะเปล่ียนเป็นไม่เมา ท้ังนี้ การวิจัย และพัฒนาต้ังแต่เมล็ดพันธุ์ สายพันธุ์ การเพาะปลูก การสกัด และกระบวนการภายหลังการสกัด ความรู้เหล่าน้ีจะช่วยรักษาผู้ป่วยในประเทศไทยได้และสามารถส่งออกได้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี น้ีได้มีตําราทางวิชาการระบุว่า กัญชามีคุณสมบัติเสริมฤทธิ์ของยาเคมีบําบัดในการรักษาโรคมะเร็ง ชนิดต่าง ๆ ได้แก่ มะเร็งเม็ดเลือดขาว เนื้องอกในสมอง เน้ืองอกเต้านม มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งตับ ได้อีกด้วย ดังน้ัน หากจะผลิตกัญชาเพ่ือการส่งออกก็สามารถขายได้ต้ังแต่เมล็ด ใบ ดอก นาํ้ มนั หรือแบบเปน็ ยาก็ได้ นอกจากน้ี จะต้องศึกษาวิธีการใช้กัญชาอย่างถูกวิธี และท่ีสําคัญควรให้เป็นวิจารณญาณ ของแพทย์แต่ละท่าน ในการวินิจฉัยว่า สมควรมีการใช้กัญชาในผู้ป่วยรายน้ันหรือไม่ โดยไม่จําเป็น จะต้องมีการกําหนดชนิดของโรค เพราะหากแพทย์มีความชํานาญมากเพียงพอก็จะสามารถวินิจฉัย เองได้ เช่น โรคเอสแอลอี ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังท่ีเกิดจากภูมิต้านทานทําร้ายตนเอง ทําให้มีผลกระทบกับ อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ซ่ึงสามารถใช้กัญชาในการรักษาโรคเอสแอลอีนี้ได้และสามารถช่วยลด ค่าใช้จ่ายเก่ียวกับยากดต้านภูมิคุ้มกันไปได้อย่างมาก นอกจากนี้ ยังมีโรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์กินสัน ทสี่ ามารถใชก้ ญั ชารว่ มกับยาแผนปัจจุบนั ในการรักษาได้ กัญชาเป็นพืชท่ีมีสารออกฤทธ์ิต่อจิตประสาทและท่ีก่อให้เกิดการเสพติดซึ่งมีท้ังประโยชน์ และโทษหลายประการ กัญชา ถูกจัดไว้ในรายการยาเสพติดตามกฎหมายของหลาย ๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทย “กัญชา” ซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติด ให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ นัน้ พระราชบญั ญัตยิ าเสพติดใหโ้ ทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ไดก้ าํ หนดเก่ียวกับ การควบคุมกัญชาไว้ ๔ มาตรา ได้แก่ ๑) มาตรา ๒๖/๒ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นําเข้า ส่งออก เวน้ แตไ่ ดร้ บั อนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา โดยความเหน็ ชอบของคณะกรรมการ ควบคุมยาเสพติดให้โทษ ๒) มาตรา ๒๖/๓ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดจําหน่าย หรือครอบครอง เว้นแต่ ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ๓) มาตรา ๒๖/๒ (๑) กําหนดให้สามารถ นํากัญชามาใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการศึกษาวิจัย ๔) มาตรา ๕๘ วรรคสอง กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดเสพยาเสพติดประเภท ๕ เว้นแต่เสพเพ่ือรักษาโรค ตามคําส่ังของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือเป็นการเสพเพ่ือศึกษาวิจัย ท้ังนี้ ตํารับยาที่เสพได้ ใหเ้ ปน็ ตามที่รัฐมนตรวี า่ การกระทรวงสาธารณสุขประกาศกําหนด ทั้งนี้ มาตรการควบคุมทางการแพทย์และการศึกษาวิจัยที่หน่วยงานรับผิดชอบดําเนินการ อาทิ ๑) การออกกฎหมายลําดับรอง ๒) กระบวนการพิจารณาอนุญาต ๓) การตรวจสถานท่ีก่อน อนุญาตให้ปลูก ๔) ระบบการรายงาน ซึ่งเป็นการติดตามตรวจสอบภายหลังที่ได้มีการอนุญาต โดยพิจารณาจากการรายงานต่าง ๆ ได้แก่ ๔.๑) บัญชีรายงานรับจ่าย ๔.๒) รายงานประสิทธิผล ๔.๓) รายงานอาการไม่พึงประสงค์ตามหลักเกณฑ์ SAS กับ AUR ๔.๔) ระบบติดตามและตรวจสอบ (Track & Trace) สาํ หรบั ข้ันตอนการควบคุมมีรายละเอียดโดยสังเขป ดังน้ี ๑. ข้ันตอนการปลูกผู้ขอรับอนุญาตปลูกที่คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เห็นชอบ ให้ปลกู ตอ้ งมีการรายงานการปลูกและจาํ หนา่ ยไปยังสาํ นักงานคณะกรรมการอาหารและยา

- ๒๗ - ๒. ขนั้ ตอนการผลติ ผู้รบั อนญุ าตแปรรูปหรือสกดั และผรู้ บั อนญุ าตผลติ ผลติ ภัณฑ์ อาทิ นา้ํ มนั กัญชา ยาแผนไทย หรืออื่น ๆ ต้องมีการรายงานการผลิตไปยังสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา ท้ังนี้ ได้กําหนดให้มีการจัดทํา Barcode ไว้ท่ีฉลากบนขวดผลิตภัณฑ์ เมื่อสแกนแล้วจะทราบ รายละเอยี ดตา่ ง ๆ อาทิ ผูผ้ ลิต วนั หมดอายุ รวมถงึ ใบอนุญาตให้มีการผลติ ๓. ขั้นตอนส่งผลิตภัณฑ์ยาไปยังสถานพยาบาลท่ีได้รับอนุญาต สถานพยาบาลน้ันต้องมี ใบอนุญาตให้จําหน่ายจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และต้องมีรายงานการรับและจ่าย ผลติ ภณั ฑ์ รวมถึงประสิทธผิ ลการรกั ษาและอาการไม่พงึ ประสงค์ ๔. ข้ันตอนการรักษาจําแนกเป็น ๒ กรณี ได้แก่ (๑) กรณีแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งแพทย์ผู้ทํา การรักษาต้องผ่านการอบรมหลักสูตรท่ีกระทรวงสาธารณสุขรับรอง หากวินิจฉัยแล้วว่าผู้ป่วยต้องใช้ ยากัญชาและก่อนการสั่งจ่ายยาดังกล่าวแล้วต้องให้ผู้ป่วยแจ้งการยินยอม (Informed Consent) และรายงานอาการไม่พึงประสงค์ระบบ SAS แต่หากไม่ต้องใช้ยากัญชาก็ให้รักษาด้วยวิธีอ่ืน (๒) กรณี แพทย์แผนไทยหรือหมอพ้ืนบ้าน ซึ่งแพทย์ผู้ทําการรักษาต้องผ่านการอบรมหลักสูตรที่กระทรวง สาธารณสุขรับรอง หากวินิจฉัยแล้วว่าผู้ป่วยต้องใช้ยากัญชา ให้ส่ังจ่ายตํารับยาแผนไทยและรายงาน อาการไม่พงึ ประสงคร์ ะบบ AUR ข้อมูลจากการสํารวจเม่ือวันท่ี ๑๔ มกราคม ๒๕๖๓ พบว่า มีใบอนุญาตเก่ียวกับกัญชา ทั้งหมด ๕๐๓ ฉบับ จําแนกได้ ๕ ประเภท ได้แก่ ๑) ใบอนุญาตปลูก จํานวน ๑๗ ฉบับ ๒) ใบอนุญาต ผลิต (สกัดหรือตํารับยา) จํานวน ๑๕ ฉบับ ๓) ใบอนุญาตให้ครอบครอง จํานวน ๕๒ ฉบับ ตัวอย่าง หน่วยงานที่ได้รับอนุญาตให้ครอบครอง คือ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ๔) ใบอนุญาตนําเข้า จํานวน ๒ ฉบับ โดยออกให้องค์การเภสัชกรรมและมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ๕) ใบอนุญาตใหจ้ ําหนา่ ย จาํ นวน ๔๑๗ ฉบบั นอกจากนี้ กัญชามีถ่ินกําเนิดในเอเชีย ซึ่งมีสารสกัดกว่า ๔๐๐ ชนิด มีสารออกฤทธิ์หลักคือ CBD และ THC โดยใช้เป็นยารักษาผู้ป่วยโรคลมชักในเด็ก และผู้ป่วยที่ด้ือยา และในเมล็ดมีสาร โอเมกา-3 รวมทั้งกระท่อมมสี รรพคณุ แก้ทอ้ งเสยี แกป้ วด และระงับประสาท ซึ่งเปน็ ประโยชนใ์ นทาง การแพทย์ แตก่ ฎหมายวา่ ด้วยยาเสพตดิ ทาํ ให้ กญั ชา กญั ชง และกระทอ่ มเกิดปัญหาในการนาํ ไปสร้าง มูลค่าเพราะไม่สามารถนําไปใช้ได้ในมิติของการเกษตร และอุตสาหกรรม แต่ใช้ได้เฉพาะในทาง การแพทย์เท่าน้ัน รวมทั้งการนําไปใช้ทางการแพทย์จะต้องมีการศึกษาเพ่ิมเติมอีก ตลอดจนขณะน้ี มีการเสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้องเข้ามาสู่กระบวนการนิติบัญญัติ โดยอยู่ในข้ันของการตรวจสอบ ของสภาผูแ้ ทนราษฎร อย่างไรก็ดี ในทางเภสัชวิทยา THC มีฤทธิ์ต่อประสาทและทําให้เสพติด สาร CBD ใช้รักษา อาการเจ็บป่วย เช่น โรคมะเร็ง โรคลมชัก อาการคลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น แต่ไม่มีข้อกําหนดแน่ชัดว่า ต้องใช้อัตราส่วนเท่าไหร่ ระหว่างสาร CBD และ THC รวมทั้งพบผลข้างเคียงต่อจิตและประสาท ซึ่งอาจทําให้เสพติดและซึมเศร้า สมองฝ่อ สมาธิส้ัน มะเร็งอัณฑะ และเพ่ิมความเสี่ยงต่อสมรรถภาพ ทางเพศ ตลอดจนมีผลต่อพัฒนาการของสมองเด็กในครรภ์หากแม่มีการเสพสารเหล่านี้เข้าไป ท้ังน้ี ในทางปฏิบตั ิกญั ชา กญั ชง มขี ้อกงั วลและปญั หาในทางกฎหมายซง่ึ กําลงั มกี ารดาํ เนินการ จากประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยข้อยกเว้นให้กัญชาเป็นส่วนผสมของยา และเป็น ตํารับยาเพ่ือประโยชน์ทางการแพทย์ไม่ใช่ยาเสพติดให้โทษ โดยเฉพาะการเอื้อให้การประกอบวิชาชีพ

- ๒๘ - ด้านแพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ และหมอพื้นบ้านท่ีผ่านการรับรองจากกระทรวง สาธารณสุขท่ีมีตํารับและส่วนผสมของยาเป็นสารสกัดจากกัญชาสามารถประกอบวิชาชีพได้ รวมทั้ง เพื่อประโยชน์ต่อการรักษาโรคจึงจําเป็นต้องมีหน่วยงานท่ีทําการศึกษา พัฒนา และตรวจสอบกัญชา อย่างมีคุณภาพ แต่ในอดีตสมัยรัชกาลที่ ๕ กัญชาเป็นยาเสพติด แต่ในขณะเดียวกันกัญชาก็เป็น ส่วนผสมในตํารับยากว่า ๔๐๐ ชนิด และย้อนกลับไปกัญชาเป็นยาเสพติดเนื่องจากไปขัดผลประโยชน์ ของบรรษัทขา้ มชาติของตา่ งประเทศที่เข้ามาในประเทศไทย โดยการผลิตรถยนต์ย่หี ้อหนงึ่ มีการนํากญั ชง ไปใช้ในการผลิตส่วนประกอบภายนอกและสําคัญต่อธุรกิจดังกล่าว อีกทั้งสารออกฤทธ์ิในกัญชา เช่น CBD พบในร่างกายมนุษย์เมื่อมีการออกกําลังกาย แต่จะลดลงเมื่ออายุเพ่ิมข้ึน ส่วนสาร THC ทําให้ เจริญอาหาร นอนหลับ รวมทั้งเป็นสารออกฤทธิ์ที่ผสมอยู่ในตํารับยาต่าง ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ มีการศกึ ษาเกีย่ วกบั กัญชากบั ผลทางจติ วิทยา กมุ ารแพทย์ และวสิ ัญญีแพทย์ อยูบ่ ้าง นอกจากนี้ การอนุญาตให้กัญชาสามารถนําไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ส่งผลดีต่อผู้ป่วย หรือว่ามีบุคคลใดได้ประโยชน์ยังเป็นข้อกังวลอยู่ เพราะตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ กัญชา ใชไ้ ด้เฉพาะทางการแพทย์เทา่ น้นั แต่ถ้ามีการนําไปใช้โดยไม่มกี ารควบคมุ จะเกดิ ผลเสียอย่างไร รวมทัง้ การควบคุมการปลูก การนําไปรักษาโรคด้วยวิธีใด จึงจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และนําไปใช้ได้ เฉพาะสารสกัดหรือไม่ ตลอดจนมีข้อกังวลว่า หากมีการศึกษาวิจัยล่าช้าและไม่มีมาตรการต่อ การดาํ เนนิ การเพียงพอจะสง่ ผลตอ่ การมีสิทธบิ ตั รในเรอื่ งดงั กลา่ วของประเทศไทย ท้ังน้ี การใช้กัญชาเพื่อการแพทย์จะต้องมีบุคลากร และหน่วยงานท่ีพร้อมในการดําเนินการ เรื่องนี้ และการใช้กัญชาเพ่ือการแพทย์เป็นการเปิดโอกาสในการรักษาโรคที่หลากหลายข้ึน เช่น การรักษาโรคมะเร็ง การบํารุงร่างกาย ทําให้นอนหลับ เป็นต้น แต่มีผลข้างเคียงต่อจิตและประสาท และมีผลการศึกษาว่า การรักษามะเร็งโดยใช้กัญชาอาจจะทําให้เซลล์มะเร็งหยุดการเจริญเติบโต หรอื ตายได้ แตก่ ารรกั ษาโรคมะเรง็ ยงั ใชว้ ิธีการรกั ษาแบบแพทย์แผนปจั จบุ นั อยู่ กญั ชง “กัญชง (Hemp)” ซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ น้ัน การควบคุมกัญชงเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ปรากฏรายละเอียดใน ๓ มาตรา ได้แก่ ๑) มาตรา ๒๖/๒ (๒) ได้กําหนดว่า กัญชงเป็นพืชท่ีมีช่ือวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis sativa L. subsp. sativa มีลักษณะตามที่คณะกรรมการ ควบคุมยาเสพติดให้โทษกําหนดประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งน้ี ให้นําไปใช้ประโยชน์ได้ตามท่ี กําหนดในกฎกระทรวง ๒) มาตรา ๒๖/๒ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นําเข้า ส่งออก เว้นแต่ ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ควบคุมยาเสพติดให้โทษ ๓) มาตรา ๒๖/๓ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดจําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครอง เว้นแต่ ได้รบั อนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ข้อมูลเกี่ยวกับการอนุญาตกัญชง โดยการออกหนังสือสําคัญการแสดงการอนุญาตผลิต จําหน่าย และครอบครองกัญชง ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ จําแนกตามจังหวัดท่ีต้ังของสถานที่ท่ีมีการปลูก จําหน่ายหรือครอบครอง ได้แก่ ๑) จังหวัดแม่ฮ่องสอนใช้ประโยชน์ในครัวเรือนเพื่อการศึกษาวิจัย เป็นพ้นื ท่ีจํานวน ๑๐ ไร่ ๒) จงั หวัดเชียงใหม่ มกี ารผลิตเมลด็ พันธ์รุ ับรองและใช้ประโยชนใ์ นครัวเรอื น

- ๒๙ - และเพื่อศึกษาวิจัย เป็นพ้ืนท่ีจํานวน ๔๙ ไร่ ๓) จังหวัดตาก ใช้ประโยชน์ในครัวเรือนและเพื่อ ศึกษาวจิ ัย เป็นพน้ื ท่ีจาํ นวน ๒๓๗ ไร่ ๒ งาน ๔) จังหวดั เชียงราย มีการปลกู เพือ่ ผลิตเมล็ดพนั ธรุ์ ับรอง เป็นพ้ืนท่ี จํานวน ๑๑๘ ไร่ ๕) จังหวัดพิษณุโลก มีการปลูกเพื่อศึกษาวิจัย เป็นพื้นท่ีจํานวน ๒๕๘ ตารางเมตร ๖) จังหวัดปทุมธานี มีการปลูกเพื่อศึกษาวิจัย เป็นพื้นที่จํานวน ๑๕๓.๖ ตารางเมตร และ ๗) กรุงเทพมหานคร มกี ารปลกู เพอื่ ศกึ ษาวจิ ยั เปน็ พนื้ ทจี่ ํานวน ๒๕ ตารางเมตร กฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาต ผลติ จาํ หน่าย หรอื มีไวค้ รอบครอง ซง่ึ ยาเสพติด ให้โทษในประเภท ๕ เฉพาะเฮมพ์ พ.ศ. ๒๕๕๙ กําหนดอนุญาตใหน้ าํ กญั ชงไปใชป้ ระโยชน์ไดบ้ างกรณี ได้แก่ การใช้เส้นใยหรือแกนทําเสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งเป็นการอนุญาตให้ใช้ได้ในบริบทอย่างแคบ ทั้งที่กัญชงสามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ได้แก่ ๑) ใบและช่อดอกผลิตเป็นยา ผลิตภัณฑ์ สมนุ ไพร และเคร่ืองสาํ อาง ๒) เปลือก ลาํ ตน้ เสน้ ใย ใชผ้ ลิตส่งิ ทอและเส้ือเกราะกนั กระสุน ๓) แกนลําต้น ผลิตพลงั งานชีวมวล วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ ๔) เมล็ดและนา้ํ มนั จากเมล็ดใช้เป็นอาหาร เครื่องสาํ อาง และ ๕) เนื้อลําต้นผลติ เปน็ กระดาษและฉนวนกนั ความรอ้ น จากประโยชน์ของกัญชงท่ีหลากหลาย หน่วยงานได้ดําเนินงานเก่ียวกับกัญชงในหลาย ประการ ได้แก่ ๑) เม่ือวันท่ี ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๒ ได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เร่ือง ระบุช่ือ ยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ เพ่ือให้สามารถนํากัญชงและสารสกัดจากกัญชง มาใช้ในผลิตภัณฑ์อื่นได้ อาทิ ยา อาหาร เคร่ืองสําอาง และผลิตภัณฑ์สมุนไพร ๒) เมื่อวันท่ี ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๒ ได้ออกประกาศคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เร่ือง กําหนดลักษณะกัญชง (Hemp) พ.ศ. ๒๕๖๒ กําหนดต้นกัญชงและเมล็ดพันธุ์รับรองท่ีมีปริมาณสาร Tetrahydrocannabinol (THC) ที่ใบและชอ่ ดอกไมเ่ กินร้อยละ ๑ และ ๓) ปรบั ปรงุ กฎกระทรวงเก่ียวกับกัญชง เพือ่ เปดิ กว้างให้ สามารถพัฒนาการปลูกกัญชงไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่น นอกเหนือจากการใช้ประโยชน์จากเส้นใย เท่านั้น ซึ่งในวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ ได้เสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ท้ังนี้ จะได้ดําเนินการออกกฎระเบียบสําหรับผลิตภัณฑ์ท่ีเกี่ยวข้อง ได้แก่ ยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร อาหาร เครอื่ งสาํ อาง เพอ่ื รองรบั การนาํ กญั ชงไปใชใ้ นผลติ ภณั ฑ์นั้น ๆ ตอ่ ไป นอกจากนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเม่ือวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ ได้อนุมัติหลักการท่ีจะ อนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่ายหรือมีไว้ครอบครองซ่ึงยาเสพติดให้โทษประเภทท่ี ๕ เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. .... โดยให้มีลักษณะเปิดกว้างมากข้ึน เดิมทีกฎกระทรวงว่าด้วยกัญชงผู้ท่ีจะสามารถ ขออนุญาตตามกฎหมายได้ คือ หน่วยงานของรัฐเท่าน้ัน แต่ร่างกฎกระทรวงฯ ฉบับใหม่น้ีจะให้ นิติบุคคลสามารถดําเนินการได้ และมีการกําหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขออนุญาตและวิธีการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ซ่ึงกระบวนการต่าง ๆ ตัง้ แตต่ ้นนาํ้ จนถึงปลายน้าํ ตอ้ งไดร้ ับการอนุญาตจากคณะกรรมการอาหารและยา ประเด็นกฎหมายเก่ียวกับกัญชง หน่วยงานท่ีรับผิดชอบได้เสนอแก้ไขกฎหมาย เป็นร่างประกาศกระทรวงว่าด้วยกัญชงซ่ึงคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการแลว้ และอยู่ในข้ันตอน การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา นอกจากนี้ควรจะมีการศึกษากฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ฉบับอื่น ท่ีเก่ียวกับการให้คํานิยามเรื่ององค์ประกอบของสาร THC และ CBD อาจจะมีการปรับ ถอ้ ยคํา ภาษา ท่ีเกี่ยวข้องกบั องคป์ ระกอบทางเคมขี องสารออกฤทธ์ิ

- ๓๐ - ส่วนผลการพิจารณาในภาพรวมพบว่า การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา กรมทรัพย์สิน ทางปัญญามีหน้าที่จดทะเบียนคุ้มครอง และใช้ประโยชน์ทางพาณิชย์ ซ่ึงเก่ียวข้องกับกฎหมาย ทรัพย์สินทางปัญญาของมนุษย์คิดค้นขึ้นมา อาทิ เคร่ืองหมายการค้า สิทธิบัตร สิทธิการจัดการ ออกแบบ และสิทธิบัตร โดยวันนี้คงจะมีกรอบการนําเสนอเก่ียวเนื่องเฉพาะกัญชา กัญชง และกระท่อม และการผลิต การคิดค้นจะมีกระบวนการได้มา การประดิษฐ์ และกรรมวิธีการผลิตสาร THC และ CBD เป็นต้น ถ้าหากเข้าข่ายการจดทะเบียนก็จะได้รับการคุ้มครอง และผลิตภัณฑ์ดังกลา่ ว ต้องไม่ขัดต่อความสงบของสังคม ทั้งนี้ หลักเกณฑ์การพิจารณาในการจดทะเบียนคุ้มครองในการ เอาไปใช้ประโยชน์จากกระบวนการข้ันตอน กรรมวิธีการผลิตเพ่ือจําหน่าย โดยมีหลักการอยู่ ๓ประการด้วยกัน คือ ๑) เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ และไม่เคยปรากฏว่ามีใครผลิตและไม่เคยแพร่มาก่อน ท่ัวโลก มีขั้นตอนซับซ้อน ต่อมาเมื่อผ่านเกณฑ์ท่ีหน่ึงก็จะพิจารณาในข้ันต่อไป ๒) ข้ันการประดิษฐ์ ท่ีสูงข้ึน มากกว่าข้ันธรรมดาสามัญ และ ๓) ประยุกต์ใช้อุตสาหกรรมหรือเป็นสารสกัดต่าง ๆ แต่ตัวสาร ไมส่ ามารถขอจดทะเบียนคุ้มครองได้ การคุ้มครองพันธ์ุพืชประเทศไทยมีพระราชบัญญัติว่าด้วยการคุ้มครองพันธ์ุพืช พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยอยภู่ ายใตก้ รอบของอนุสัญญาว่าด้วยสหภาพระหว่างประเทศเพ่ือคุ้มครองพนั ธพุ์ ืชใหม่ ค.ศ. 1991 และในปัจจุบันมีความพยายามจะให้ประเทศไทยอนุวัติการ (Implementation) กฎหมายภายใน ประเทศเพื่อให้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของนักปรับปรุงพันธ์ุพืชและบริษัทเมล็ดพันธุ์ (Plant breeder’s right หรือ Plant varieties protection) โดยมีการผลักดันร่างกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช เสนอต่อรัฐบาลและรัฐสภา ซึ่งมีสาระสําคัญตามแนวทางของสหภาพเพื่อคุ้มครองพันธ์ุพืชใหม่ (UPOV) ซึ่งให้การคุ้มครองสิทธิของนักปรับปรุงพันธุ์เฉพาะพันธุ์พืชใหม่ ซ่ึงถ้ารับหลักการดังกล่าว เข้ามาจากเดิมให้ระยะเวลาคุ้มครองประมาณ ๑๒ ปี จะทําให้ขยายระยะเวลาคุ้มครองไปอีกประมาณ ๒๐ ปี ซึ่งจะส่งผลต่อการขยายและปรับปรุงพันธ์ุพืชในประเทศ และส่งผลต่อการจดสิทธิบัตร ทําให้ เมลด็ พนั ธุพ์ น้ื เมอื งสูญหายได้ อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาเป็นที่รับรู้เป็นการท่ัวไปว่า กัญชา กัญชง และกระท่อมเป็นยาเสพติด ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดของประเทศไทย แต่ในอีกมิติหน่ึง กัญชา กัญชง และกระท่อมเข้ามา มีบทบาทในชวี ติ ประจําวนั ประเทศไทยในฐานะเป็นภาคีกับอนุสัญญาว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 อนุสัญญา ว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดและวัตถุที่ออกฤทธ์ิต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1988 ทําให้ ประเทศไทยจะต้องมีหลักเกณฑ์ ข้ันตอน และวิธีการระหว่างประเทศเพ่ือการแก้ไขกฎหมาย ภายในประเทศที่เก่ียวข้อง ซึ่งมีผลผูกพันระหว่างประเทศที่ส่งผลต่อประเทศไทย รวมท้ังประชาชน ควรได้ใช้สารสกัดจากพืชเสพติดเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ท่ีไม่มีการปนเป้ือน ตลอดจนไม่เกิด ปัญหาทางสังคมขึ้นจากการนําพืชเสพติดไปใช้โดยไม่มีการศึกษา ควบคุมที่เหมาะสม และเป็น ประโยชน์ต่อวิสาหกิจชุมชนต่อไป มากกว่านี้ประเด็นพืชเสพติดน้ีเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงสาธารณสขุ กระทรวงยตุ ธิ รรม เปน็ ตน้ ทั้งนี้ กัญชงสามารถนําไปใช้ได้หลายอย่างยกเว้นเสพติด กล่าวคือ ถ้ากัญชงมีสาร THC ร้อยละ ๐.๓ - ๑ แทบจะไม่มีฤทธ์ิมึนเมา แต่มีสาร CBD เพื่อการระงับปวด ที่สําคัญต้ังแต่รากจรดใบ สามารถนํามาใช้ประโยชน์ได้รวมทั้งกัญชงนําไปใช้ผลิตเส้ือผ้า ซ่ึงค่อนข้างเสียดายศักยภาพของกัญชง

- ๓๑ - ท่ีไม่ได้นํามาใช้ประโยชน์มากนัก เพราะความเป็นจริงแล้วลําต้นกัญชงยังสามารถทําเป็นกระดาษ ฉนวน แผ่นไฟเบอร์ รากสามารถทําเป็นยาและปุ๋ยอินทรีย์ เมล็ดสามารถนํามาทํานํ้ามันปรุงอาหาร เครื่องสําอาง โปรตีนกัญชง นม ส่วนใบและดอกสามารถทําเป็นพืชคลุมดิน และน้ํามัน สิ่งเหล่าน้ีเพิ่ม มูลค้าสินค้าได้มาก โดยตีราคาต่อไร่โดยประมาณ ถ้าปลูกกัญชงจะมีมูลค่าไร่ละ ๒๘,๐๐๐ บาท ในขณะท่ีข้าวโพดมีรายได้เพียง ๘,๐๐๐ บาทต่อไร่ อีกท้ังเรื่องบล็อกเชน (blockchain) โดยการใช้ เทคโนโลยีในการเก็บข้อมูลในการปลูกกัญชาจะทําให้การควบคุมการปลูกและการจัดเก็บข้อมูลที่มี ประสิทธิภาพ โดยการใช้บล็อกเชนในแบบ QR code และพิกัด GPS มาใช้ได้ เพื่อป้องกันการผูกขาด และการลักลอบการผลิต จาํ หน่ายกญั ชา กญั ชง และกระท่อม กระทอ่ ม ประชาชนใช้ใบกระท่อมเป็นจํานวนมากเพ่ือสร้างความสดช่ืนและความตื่นตัว และเช่ือว่า มีประโยชน์เป็นยาชูกําลัง แก้โรคเบาหวาน แก้โรคกระเพาะ แก้ไอ ถือเป็นพืชที่มีประโยชน์ ดังน้ัน ควรแก้ไขปัญหาพืชกระท่อมอย่างเป็นระบบ โดยการนําพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดประเภท ๕ และพัฒนาให้เป็นพืชส่งออกต่อไป รวมทั้งแนวทางท่ีควรพิจารณา คือ การลดความเดือดร้อน ของประชาชนทถ่ี กู เจ้าหน้าที่ดําเนินคดเี พราะครอบครองใบกระท่อมประมาณ ๕ - ๑๐ ใบ แต่ต้องจ่าย ค่าปรับถึง ๑๐,๐๐๐ บาท ท้ังนี้ ประชาชนท่ีถูกดําเนินคดีเป็นบุคคลผู้มีรายได้น้อย กล่าวได้ว่า การดําเนินการตามกฎหมายที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อประชาชน แม้ว่าประชาชนจะใช้กระท่อมเป็น สมุนไพร บริโภคแล้วเกิดประโยชน์และเป็นท่ีนิยม ซึ่งประชาชนนํามาใช้เป็นเวลานาน ท้ังนี้ กระท่อม แบ่งได้ ๒ ประเภท คือ กระท่อมก้านแดงและกระท่อมก้านเขียว โดยใช้เป็นสมุนไพรตามท่ีกล่าวมา รวมทง้ั เปน็ ภูมิปญั ญาชาวบา้ น ในอดตี กระทอ่ มมีการปลกู ไวห้ ลงั บ้านเพอื่ เป็นยาสมนุ ไพร โดยอยู่ในวถิ ีชวี ิตก่อนจะไปกรีดยาง กินใบกระท่อมกับนํ้าร้อนหรือน้ําชา ซ่ึงข้ึนอยู่กับพ้ืนท่ีน้ัน ถ่ินกําเนิดของกระท่อมอยู่บริเวณลุ่มนํ้า ปากพนังบริเวณสี่จังหวัดภาคใต้ โดยกระท่อมจะข้ึนในท่ีดินร่วนและดินดี ส่วนสรรพคุณสามารถรักษา โรคเบาหวาน ลดนํ้าตาลในเลือด และมีประโยชน์ในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ปัจจุบันกระท่อมเป็นยาเสพติด ประเภท ๕ ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ โดยมีการลักลอบนําเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพ่ือมาขายภายในประเทศ ซ่ึงเกิดเป็นธุรกิจการค้าใบกระท่อมท่ีผิดกฎหมายเกิดข้ึน อีกท้ังเกิดผลเสีย จากการนํากระท่อมไปเป็นส่วนผสมหลักในสารกระตุ้นอื่นจนเป็นยาเสพติดให้โทษ และถูกนําไป เชื่อมโยงกับการกอ่ เหตคุ วามไม่สงบ สว่ นอนาคตกระท่อมจะเป็นพืชสมุนไพร เนื่องจากกระท่อมถูกกําหนดเป็นยาเสพติดประเภท ๕ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ น้ัน สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีหน้าที่ดําเนินการ เกี่ยวกับการป้องกันการปราบปรามการบําบัดและรักษา ตลอดจนเสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ท้ังนี้ เพ่ือเป็นการง่ายต่อการบังคับใช้กฎหมายเก่ียวกับยาเสพติดท่ีกระจัดกระจายหลายฉบับ หน่วยงาน จึงได้เสนอและยกร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด โดยเฉพาะการยกเลิกให้กระท่อมไม่เป็นยาเสพติด ซ่ึงร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และอยู่ในชั้นการพิจารณา ของคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวได้ว่า การดําเนินการเกย่ี วกับกระท่อมนั้น สํานักงานคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอยู่ระหว่างการเสนอร่างกฎหมายเพ่ือยกเลิกพืชกระท่อมจากการ

- ๓๒ - เป็นยาเสพติดประเภท ๕ ซึ่งเป็นผลมาจากเมื่อวันท่ี ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการดําเนินการ เพื่อยกเลิกพืชกระท่อมจากยาเสพติดให้โทษ สํานักงานฯ จึงได้ยกร่างพระราชบัญญัติยาเสพติด ให้โทษ (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ยกเลิกพืชกระท่อมจากยาเสพติดในประเภท ๕ และรับฟังความคิดเห็น ผ่านเว็บไซต์ของสํานักงานฯ ระหว่างวันท่ี ๓ - ๑๗ มกราคม ๒๕๖๓ และจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น จากผู้ทรงคุณวุฒิ หน่วยงานรัฐ เอกชน และประชาชนท่ัวไป ซ่ึงผลจากการรับฟังความคิดเห็นได้ข้อ สรุปว่า มีผู้แสดงความคิดเหน็ ทั้งหมด ๓,๑๘๓ คน มีผู้เห็นด้วย ร้อยละ ๙๕ และผู้ไม่เห็นด้วย ร้อยละ ๕ ซ่ึงผู้ไม่เห็นด้วยมีข้อห่วงใย ๓ ประการ ได้แก่ ๑) เห็นว่าควรกําหนดให้พืชกระท่อมเป็นยาเสพติด เช่นเดิม เนื่องจากมีฤทธ์ิต่อจิตและประสาท ๒) มีความเป็นห่วงและวิตกกังวลต่อการใช้พืชกระท่อม ของเดก็ และเยาวชน รวมถงึ การใชพ้ ชื กระท่อมในลกั ษณะผสมกบั สง่ิ อืน่ ในลักษณะส่คี ูณร้อยทอ่ี าจเป็นผล ให้เกิดอาการมึนเมานําไปสู่การก่ออาชญากรรมอื่น ๓) มาตรการอ่ืนในการควบคุมเพ่ือมิให้มีการนํา พชื กระท่อมไปใช้ในทางท่ีผดิ สําหรับประเด็นเก่ียวกับการควบคุมพืชกระท่อมตามกฎหมายระหว่างประเทศจากการศึกษา ในรายละเอียดพบว่า อนุสัญญาของสหประชาชาติเก่ียวกับยาเสพติดไม่ได้มีการประกาศควบคุม พืชกระท่อม ในบัญชีรายชื่อยาเสพติดหรือวัตถุออกฤทธ์ิต่อจิตและประสาทไว้แต่อย่างใด และจากข้อมูล ทางสถิติ ภาพรวมการควบคุมพืชกระท่อมในต่างประเทศ จํานวน ๓๓ ประเทศพบว่า ประเทศท่ีมี กฎหมายภายในควบคุมพืชกระท่อมมี ๑๘ ประเทศ คิดเป็นร้อยละ ๕๔ จําแนกได้เป็น ๓ กลุ่ม ประกอบด้วย ๑) ควบคุมโดยกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ได้แก่ ไทย พม่า เกาหลีใต้ และอินเดีย ๒) ควบคุมโดยกฎหมายอื่น ได้แก่ ๒.๑) กฎหมายเกี่ยวกับยา และการรักษาพยาบาล จํานวน ๔ ประเทศ ๒.๒) กฎหมายว่าด้วยสารพิษหรือสารออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท จํานวน ๒ ประเทศ ๒.๓) กฎหมายว่าด้วยการใช้ยาในทางที่ผิด จํานวน ๒ ประเทศ และ ๓) ควบคุมโดยไม่ระบุกฎหมาย จาํ นวน ๖ ประเทศ สว่ นประเทศท่ไี ม่ไดค้ วบคุมพชื กระท่อม โดยไม่มกี ฎหมายกาํ หนดวา่ เป็นยาเสพติด มี ๑๕ ประเทศ คิดเป็นร้อยละ ๔๖ หากพิจารณาเฉพาะภูมิภาคอาเซียนกับทวีปเอเชีย พบว่า ประเทศท่ีไมไ่ ด้ควบคมุ พชื กระท่อมหรือกาํ หนดให้พชื ดงั กลา่ วเป็นยาเสพตดิ ไดแ้ ก่ อนิ โดนเี ซีย กัมพชู า ฟลิ ปิ ปินส์ ลาว และเวยี ดนาม อย่างไรก็ดี ประเทศไทยและประเทศอินโดนเี ซียเคยหารือร่วมกันในการ นําเสนอให้พืชกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจ นอกจากน้ี จากการสืบค้นเอกสารทางวิชาการพบว่า มีรายงานศึกษาเกี่ยวกับพืชกระท่อมจํานวน ๗ ฉบับ ซึ่งส่วนใหญ่เสนอแนะให้ยกเลิกพืชกระท่อม จากการเป็นยาเสพติด โดยการแก้ไขหรือปรับปรุงกฎหมาย ตลอดจนเสนอให้มีการตราพระราชบัญญัติ เป็นการเฉพาะ จากการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับ การใช้กัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างระบบ สภาผู้แทนราษฎร โดยได้เชิญหน่วยงาน องค์กร และบุคคลมาให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง ซึ่งจากการประชุมสามารถสรุปเป็นประเด็นด้านกฎหมาย โดยมีรายละเอียดพอสงั เขป ดงั น้ี

- ๓๓ - ประเดน็ กฎหมายภายในประเทศ การใช้ประโยชน์จากกัญชา กัญชง และกระท่อม ท้ังในมิติของการแพทย์ และเศรษฐกิจ จะต้องมีกระบวนการควบคุมท่ีเหมาะสม โดยการใช้กฎหมาย และต้องสนับสนุนผู้ประกอบการควบคู่ กันไป รวมทั้งถ้ามีการอนุญาตให้มีการปลูกได้จะปลูกประเภทใดได้บ้างการนําไปใช้ประโยชน์จึงต้อง ผลักดันให้รัฐออกกฎหมายเพ่ือการพัฒนาการใช้พืชเสพติดเพื่อประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ใช้ในทาง การแพทย์ และรกั ษาตนเอง เปน็ ต้น การดําเนินการควบคุมตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ จําแนกตาม ประเภทยาเสพติด ไดด้ ังนี้ ๑. ยาเสพติดประเภท ๑ การผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ครอบครองจะกระทําได้ เฉพาะท่ีรฐั มนตรวี า่ การกระทรวงสาธารณสขุ อนญุ าต ไม่สามารถนาํ ไปใชใ้ นทางการแพทย์ แต่สามารถ ใช้ทางวิทยาศาสตรไ์ ด้ ไม่อนญุ าตให้เสพ แตส่ ามารถใชใ้ นการศกึ ษาวิจยั ได้ ๒. ยาเสพติดประเภท ๒ การผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ครอบครองจะกระทําได้ เฉพาะที่เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาอนุญาต สามารถนําไปใช้ในทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ อนุญาตให้เสพได้ตามคําส่ังแพทย์ภายใต้หลักเกณฑ์ที่กฎหมายกําหนด ตลอดจน สามารถใช้ในการศกึ ษาวจิ ยั ได้ ๓. ยาเสพติดประเภท ๓ การผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ครอบครองจะกระทําได้ เฉพาะท่ีเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาอนุญาต สามารถนําไปใช้ในทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ อนุญาตให้เสพได้ตามหลักเกณฑ์ท่ีกฎหมายกําหนด ตลอดจนสามารถใช้ ในการศกึ ษาวจิ ยั ได้ ๔. ยาเสพติดประเภท ๔ การผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ครอบครองจะกระทําได้ เฉพาะท่ีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอนุญาตโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุม ยาเสพติดให้โทษเป็นราย ๆ ไป ท้ังน้ี สามารถนําไปใช้ในทางการแพทย์ วิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม และใชใ้ นการศึกษาวจิ ัยได้ ๕. ยาเสพติดประเภท ๕ การผลิต นําเข้า และส่งออกจะกระทําได้เฉพาะที่เลขาธิการ คณะกรรมการอาหารและยาอนุญาตภายใต้ความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคมุ ยาเสพตดิ ให้โทษ ส่วนการจําหน่ายหรือมีไว้ครอบครองจะกระทําได้เฉพาะที่เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา อนญุ าต สามารถนาํ ไปใชใ้ นทางการแพทย์ วทิ ยาศาสตร์ และอุตสาหกรรม อนญุ าตให้เสพไดต้ ามคําสงั่ แพทย์ภายใตห้ ลกั เกณฑท์ ีก่ ฎหมายกาํ หนด ตลอดจนสามารถใช้ในการศกึ ษาวจิ ยั ได้ ทั้งนี้ กัญชา กัญชง และกระท่อมถูกกําหนดเป็นยาเสพติดประเภท ๕ ตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ นั้น สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีหน้าที่ ดําเนินการเกี่ยวกับการป้องกันการปราบปรามการบําบัดและรักษา ตลอดจนเสนอกฎหมายท่ี เกี่ยวข้อง ท้ังนี้ เพื่อเป็นการง่ายต่อการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดท่ีกระจัดกระจายหลาย ฉบับ หน่วยงานจึงได้เสนอและยกร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด โดยเฉพาะการยกเลิกให้กระท่อม ไม่เป็นยาเสพติด ซ่ึงร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และอยู่ในข้ัน การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวได้ว่า การดําเนินการเกี่ยวกับกระท่อมน้ัน สํานักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอยู่ระหว่างการเสนอร่างกฎหมายเพื่อยกเลิกพืชกระท่อม

- ๓๔ - จากการเป็นยาเสพติดประเภท ๕ ซ่ึงเป็นผลมาจากเม่ือวันท่ี ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๒ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วย การดําเนินการเพื่อยกเลิกพืชกระท่อมจากยาเสพติดให้โทษ สํานักงานฯ จึงได้ยกร่างพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี..) พ.ศ. .... ยกเลิกพืชจากยาเสพติดในประเภท ๕ และรับฟังความคิดเห็น ผ่านเว็บไซต์ของสํานักงานฯ ระหว่างวันท่ี ๓ – ๑๗ มกราคม ๒๕๖๓ และจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น จากผู้ทรงคุณวุฒิ หน่วยงานรัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป เมื่อวันท่ี ๑๕ มกราคม ๒๕๖๓ ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพมหานคร ซ่ึงผลจากการรับฟังความคิดเห็นได้ข้อสรุปว่า มีผู้แสดง ความคดิ เห็นท้งั หมด ๓,๑๘๓ คน มผี ้เู ห็นดว้ ย ร้อยละ ๙๕ และผูไ้ มเ่ หน็ ดว้ ย รอ้ ยละ ๕ ซ่ึงผู้ไมเ่ ห็นดว้ ย มีข้อห่วงใย ๓ ประการ ได้แก่ ๑) เห็นว่าควรกําหนดให้พืชกระท่อมเป็นยาเสพติดเช่นเดิม เนื่องจาก มีฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ๒) มีความเป็นห่วงและวิตกกังวลต่อการใช้พืชกระท่อมของเด็กและเยาวชน รวมถึงการใช้พืชกระท่อมในลักษณะผสมกับสิ่งอื่นในลักษณะสี่คูณร้อยท่ีอาจเป็นผลให้เกิดการมึนเมา นําไปสู่การก่ออาชญากรรมอื่น และ ๓) มาตรการอ่ืนในการควบคุมเพื่อมิให้มีการนําพืชกระท่อมไปใช้ ในทางท่ผี ดิ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ดําเนินงานของหน่วยงานเกี่ยวกับกัญชา กัญชง และกระทอ่ ม มีรายละเอยี ด ดังนี้ ๑. “กัญชา” ซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ น้ัน พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้กําหนดเก่ียวกับ การควบคุมกัญชาไว้ ๔ มาตรา ได้แก่ ๑) มาตรา ๒๖/๒ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นําเข้า ส่งออก เว้นแตไ่ ด้รบั อนญุ าตจากเลขาธกิ ารคณะกรรมการอาหารและยา โดยความเหน็ ชอบของคณะกรรมการ ควบคุมยาเสพติดให้โทษ ๒) มาตรา ๒๖/๓ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดจําหน่าย หรือครอบครอง เว้นแต่ ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ๓) มาตรา ๒๖/๒ (๑) กําหนดให้สามารถ นํากัญชามาใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการศึกษาวิจัย ๔) มาตรา ๕๘ วรรคสอง กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดเสพยาเสพติดประเภท ๕ เว้นแต่เสพเพื่อรักษาโรค ตามคําส่ังของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือเป็นการเสพเพ่ือศึกษาวิจัย ท้ังน้ี ตํารับยาที่เสพได้ ใหเ้ ปน็ ตามทรี่ ฐั มนตรีวา่ การกระทรวงสาธารณสุขประกาศกําหนด มาตรการควบคุมทางการแพทย์และการศึกษาวิจัยที่หน่วยงานรับผิดชอบดําเนินการ อาทิ ๑) การออกกฎหมายลําดับรอง ๒) กระบวนการพิจารณาอนุญาต ๓) การตรวจสถานท่ีก่อนอนุญาต ให้ปลูก และ ๔) ระบบการรายงาน ซึ่งเป็นการติดตามตรวจสอบภายหลังท่ีได้มีการอนุญาต โดยพิจารณาจากการรายงานต่าง ๆ ได้แก่ ๔.๑) บัญชีรายงานรับจ่าย ๔.๒) รายงานประสิทธิผล ๔.๓) รายงานอาการไม่พึงประสงค์ตามหลักเกณฑ์ SAS กับ AUR และ ๔.๔) ระบบติดตาม และตรวจสอบ (Track & Trace) สาํ หรับข้ันตอนการควบคมุ มรี ายละเอียดโดยสังเขป ดงั น้ี (๑) ข้ันตอนการปลูกผู้ขอรับอนุญาตปลูกที่คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เหน็ ชอบใหป้ ลูกต้องมีการรายงานการปลูกและจําหนา่ ยไปยงั สาํ นักงานคณะกรรมการอาหารและยา (๒) ข้ันตอนการผลิต ผู้รับอนุญาตแปรรูปหรือสกัดและผู้รับอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์ อาทิ น้ํามันกัญชา ยาแผนไทย หรืออ่ืน ๆ ต้องมีการรายงานการผลิตไปยังสํานักงานคณะกรรมการอาหาร

- ๓๕ - และยา ท้ังน้ี ได้กําหนดให้มีการจัดทํา Barcode ไว้ท่ีฉลากบนขวดผลิตภัณฑ์ เมื่อสแกนแล้วจะทราบ รายละเอียดต่าง ๆ อาทิ ผผู้ ลติ วนั หมดอายุ รวมถงึ ใบอนุญาตให้มีการผลติ (๓) ขั้นตอนส่งผลิตภัณฑ์ยาไปยังสถานพยาบาลท่ีได้รับอนุญาต สถานพยาบาลน้ันต้องมี ใบอนุญาตให้จําหน่ายจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และต้องมีรายงานการรับและจ่าย ผลิตภณั ฑ์ รวมถงึ ประสิทธผิ ลการรักษาและอาการไม่พึงประสงค์ (๔) ข้ันตอนการรักษา จําแนกเป็น ๒ กรณี ได้แก่ (๑) กรณีแพทย์แผนปัจจุบัน ซ่ึงแพทย์ ผู้ทําการรักษาต้องผ่านการอบรมหลกั สูตรทีก่ ระทรวงสาธารณสขุ รับรอง หากวินิจฉัยแล้วว่าผูป้ ่วยตอ้ ง ใช้ยากัญชาและก่อนการส่ังจ่ายยาดังกล่าวแล้วต้องให้ผู้ป่วยแจ้งการยินยอม (Informed Consent) และรายงานอาการไม่พึงประสงค์ระบบ SAS แต่หากไม่ต้องใช้ยากัญชาก็ให้รักษาด้วยวิธีอื่น (๒) กรณี แพทย์แผนไทยหรือหมอพื้นบ้าน ซ่ึงแพทย์ผู้ทําการรักษาต้องผ่านการอบรมหลักสูตรท่ีกระทรวง สาธารณสุขรับรอง หากวินิจฉัยแล้วว่าผู้ป่วยต้องใช้ยากัญชา ให้ส่ังจ่ายตํารับยาแผนไทยและรายงาน อาการไมพ่ งึ ประสงค์ระบบ AUR ข้อมูลจากการสํารวจเมื่อวันท่ี ๑๔ มกราคม ๒๕๖๓ พบว่า มีใบอนุญาตเกี่ยวกับกัญชา ท้ังหมด ๕๐๓ ฉบับ จําแนกได้ ๕ ประเภท ได้แก่ ๑) ใบอนุญาตปลูก จํานวน ๑๗ ฉบับ ๒) ใบอนุญาต ผลิต (สกัดหรือตํารับยา) จํานวน ๑๕ ฉบับ ๓) ใบอนุญาตให้ครอบครอง จํานวน ๕๒ ฉบับ ตัวอย่าง หน่วยงานท่ีได้รับอนุญาตให้ครอบครอง คือ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม ยาเสพติด ๔) ใบอนุญาตนําเข้า จํานวน ๒ ฉบับ โดยออกใหอ้ งค์การเภสัชกรรมและมหาวทิ ยาลยั แม่โจ้ ๕) ใบอนุญาตใหจ้ าํ หน่าย จาํ นวน ๔๑๗ ฉบับ ๒. “กัญชง (Hemp)” ซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ตามพระราชบญั ญัติยาเสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ น้ัน การควบคุมกัญชงเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ปรากฏรายละเอียดใน ๓ มาตรา ได้แก่ ๑) มาตรา ๒๖/๒ (๒) ได้กําหนดว่า กัญชงเป็นพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis sativa L. subsp. Sativa มีลักษณะตามท่ีคณะกรรมการ ควบคุมยาเสพติดให้โทษกําหนดประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งน้ี ให้นําไปใช้ประโยชน์ได้ตามที่ กําหนดในกฎกระทรวง ๒) มาตรา ๒๖/๒ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นําเข้า ส่งออก เว้นแต่ได้รับ อนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุม ยาเสพติดให้โทษ ๓) มาตรา ๒๖/๓ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดจําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครอง เว้นแต่ได้รับ อนุญาตจากเลขาธกิ ารคณะกรรมการอาหารและยา ข้อมูลเกี่ยวกับการอนุญาตกัญชง โดยการออกหนังสือสําคัญการแสดงการอนุญาตผลิต จําหน่าย และครอบครองกัญชง ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ จําแนกตามจังหวัดที่ต้ังของสถานที่ท่ีมีการปลูก จําหน่ายหรือครอบครอง ได้แก่ ๑) จังหวัดแม่ฮ่องสอนใช้ประโยชน์ในครัวเรือนเพื่อการศึกษาวิจัย เปน็ พ้ืนที่ จาํ นวน ๑๐ ไร่ ๒) จงั หวดั เชียงใหม่ มีการผลิตเมล็ดพันธร์ุ บั รองและใช้ประโยชน์ในครัวเรอื น และเพ่ือศึกษาวิจัย เป็นพื้นที่ จํานวน ๔๙ ไร่ ๓) จังหวัดตาก ใช้ประโยชน์ในครัวเรือนและเพื่อ ศึกษาวจิ ัย เป็นพ้นื ท่ี จาํ นวน ๒๓๗ ไร่ ๒ งาน ๔) จงั หวดั เชยี งราย มีการปลูกเพอ่ื ผลติ เมลด็ พนั ธ์ุรับรอง เป็นพ้ืนที่ จํานวน ๑๑๘ ไร่ ๕) จังหวัดพิษณุโลก มีการปลูกเพ่ือศึกษาวิจัย เป็นพ้ืนที่ จํานวน ๒๕๘ ตารางเมตร ๖) จังหวัดปทุมธานี มีการปลูกเพ่ือศึกษาวิจัย เป็นพื้นท่ี จํานวน ๑๕๓.๖ ตารางเมตร และ ๗) กรุงเทพมหานคร มกี ารปลูกเพ่อื ศกึ ษาวจิ ยั เป็นพืน้ ที่ จํานวน ๒๕ ตารางเมตร

- ๓๖ - กฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาต ผลิต จําหน่าย หรือมีไว้ครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ เฉพาะเฮมพ์ พ.ศ. ๒๕๕๙ กําหนดอนุญาตให้นํากัญชงไปใช้ ประโยชน์ได้บางกรณี ได้แก่ การใช้เส้นใยหรือแกนทําเสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์ ซ่ึงเป็นการอนุญาต ให้ใช้ได้ในบริบทอย่างแคบ ทั้งที่กัญชงสามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ได้แก่ ๑) ใบและช่อดอก ผลิตเป็นยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และเครื่องสําอาง ๒) เปลือก ลําต้น เส้นใย ใช้ผลิตส่ิงทอและเส้ือเกราะ กันกระสุน ๓) แกนลําต้นผลิตพลงั งานชีวมวล วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ ๔) เมล็ดและน้ํามนั จากเมลด็ ใช้เปน็ อาหาร เครอ่ื งสาํ อาง ๕) เนือ้ ลาํ ตน้ ผลติ เปน็ กระดาษและฉนวนกันความรอ้ น จากประโยชน์ของกัญชงท่ีหลากหลาย หน่วยงานได้ดําเนินงานเกี่ยวกับกัญชงในหลาย ประการ ได้แก่ ๑) เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๒ ได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุช่ือ ยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ เพ่ือให้สามารถนํากัญชงและสารสกัดจากกัญชง มาใช้ในผลิตภัณฑ์อื่นได้ อาทิ ยา อาหาร เคร่ืองสําอาง และผลิตภัณฑ์สมุนไพร ๒) เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๒ ได้ออกประกาศคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เร่ือง กําหนดลักษณะกัญชง (Hemp) พ.ศ. ๒๕๖๒ กําหนดต้นกัญชงและเมล็ดพันธุ์รับรองที่มีปริมาณสาร Tetrahydrocannabinol (THC) ทีใ่ บและชอ่ ดอกไมเ่ กนิ รอ้ ยละ ๑ และ ๓) ปรับปรงุ กฎกระทรวงเกยี่ วกบั กัญชง เพื่อเปดิ กว้างให้ สามารถพัฒนาการปลูกกัญชงไปใช้ในอุตสาหกรรมอ่ืน นอกเหนือจากการใช้ประโยชน์จากเส้นใย เท่าน้ัน ซึ่งในวันท่ี ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ จะได้เสนอเร่ืองดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ท้ังนี้ จะได้ดําเนินการออกกฎระเบียบสําหรับผลิตภัณฑ์ที่เก่ียวข้อง ได้แก่ ยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร อาหาร เคร่อื งสาํ อาง เพอ่ื รองรับการนาํ กญั ชงไปใชใ้ นผลติ ภณั ฑน์ ้นั ๆ ตอ่ ไป นอกจากน้ี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ ได้อนุมัติหลักการที่จะ อนญุ าตผลติ นําเข้า สง่ ออก จาํ หนา่ ยหรือมีไว้ครอบครองซง่ึ ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ ๕ เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. .... โดยให้มีลักษณะเปิดกว้างมากขึ้น เดิมทีกฎกระทรวงว่าด้วยกัญชงผู้ที่จะสามารถ ขออนุญาตตามกฎหมายได้คือหน่วยงานของรัฐเท่าน้ัน แต่ร่างกฎกระทรวงฯ ฉบับใหม่นี้จะให้ นิติบุคคลสามารถดําเนินการได้ และมีการกําหนดเพ่ิมเติมเกี่ยวกับการขออนุญาตและวิธีการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกบั กฎหมายวา่ ด้วยยาเสพติดฉบบั ท่ี ๗ ซ่ึงกระบวนการตา่ ง ๆ ตงั้ แตต่ ้นนํา้ จนถึงปลายนํ้า ตอ้ งได้รบั การอนุญาตจากคณะกรรมการอาหารและยา ประเด็นกฎหมายเก่ียวกับกัญชง หน่วยงานท่ีรับผิดชอบได้เสนอแก้ไขกฎหมาย เป็นร่าง ประกาศกระทรวงว่าด้วยกัญชง ซ่ึงคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการแล้ว และอยู่ในข้ันการ พจิ ารณาของคณะกรรมการกฤษฎกี า นอกจากนี้ ควรจะมีการศึกษากฎหมายว่าด้วยยาเสพตดิ ฉบับอ่ืน ท่ีเก่ียวกับการให้คํานิยามเรื่ององค์ประกอบของสาร THC และ CBD อาจจะมีการปรับถ้อยคํา ภาษา ทีเ่ กย่ี วขอ้ งกับองคป์ ระกอบทางเคมีของสารออกฤทธ์ิ อย่างไรก็ดี กัญชา กัญชงมีข้อดีข้อเสียต่างกันแต่มีประโยชน์และการนํากัญชามาเพ่ือ การใช้ศึกษาวิจัยน้ันมีข้อจํากัดมากและได้รับทราบจากสถาบันการศึกษาบางแห่งว่า ติดขัดกับ กฎหมายซึ่งไม่เอื้อต่อการนําเข้ากัญชามาศึกษาเพ่ือการพัฒนาสายพันธ์ุภายในประเทศ ในกรณีแบบนี้ น่าจะมีการผอ่ นปรน แต่ถ้าพิจารณาในประเดน็ กฎหมายทเ่ี กยี่ วข้อง กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดมีไว้เพ่ือ การควบคุมผลที่จะเกิดข้ึนกับประชาชนและสังคม เช่น อันตรายจากการใช้ การก่อให้เกิดการเสพติด รวมท้ังป้องกันการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ กฎหมายจึงออกข้อกําหนดต่าง ๆ ต้ังแต่ต้นน้ํา

- ๓๗ - จนกระท่ังปลายนํ้า และในรายละเอียดได้กําหนดได้กําหนดปริมาณสารสกัดในกัญชา กัญชง ว่าจะต้องมีปริมาณสารท่ีก่อให้เกิดการเมาและเสพติดท่ีต่ํากว่ากฎหมายกําหนดจึงจะสามารถนํามาใช้ หรือเข้าข่ายการใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์และการศึกษาวิจัย และต้องได้รับการอนุมัติ อนุญาต จากคณะกรรมการอาหารและยาด้วย อีกทั้งประเด็นเก่ียวเน่ืองต่อร่างพระราชบัญญัติพืชยาเสพติด ใหค้ ุณทางการแพทย์ พ.ศ. … ว่า ในบทกําหนดโทษหลักการควรจะมีความคลา้ ยคลงึ หรือให้คงไว้ตามท่ี กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ฉบับท่ี ๗ น่าจะเหมาะสมกว่า และการผลักดันและการ รา่ งกฎหมายน้นั จะต้องยึดความต้องการประชาชนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะต้องเปน็ ประโยชน์ต่อการแพทย์ เศรษฐกิจ รวมทัง้ กฎหมายท่จี ะออกมาบังคบั ใชต้ อ้ งทนั ต่อสภาพการณ์ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ในมาตรา ๒๑ เป็น บทเฉพาะกาลท่ีกําหนดให้ระยะห้าปีแรกท่ีประกาศใช้กฎหมายดังกล่าว อนุญาตเฉพาะหน่วยงานรัฐ หรือหน่วยงานที่ร่วมดําเนินการกับรัฐเท่านั้นท่ีสามารถขอใบอนุญาตผลิต นําเข้า หรือส่งออก เฉพาะ เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ซึ่งเกิดข้อจํากัดต่อการพัฒนาและส่งผลต่อเกษตรกรที่ต้องการปลูก นอกจากนี้ องค์การสหประชาชาติโดยผู้อํานวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกทําหนังสือขอเปิดช่องให้ CBD บริสทุ ธ์ิ ทีม่ ี THC ไมเ่ กินร้อยละ ๐.๒ ออกจากบญั ชียาเสพติดท่ัวโลกในช่วงเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ แต่การดําเนินการดังกล่าวมีข้อสังเกตว่า เอ้ือต่อประเทศบางประเทศท่ีมีเทคโนโลยีสกัดสารดังกล่าว ตามท่ีกาํ หนดไว้ของสหประชาชาติ ๓. “กระท่อม” ซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ น้ัน จากการดําเนินการในกรณีนี้พบว่า กฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี ไม่มีฉบับใดท่ีกําหนดว่า พืชดังกล่าวเป็นยาเสพติด ซึ่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นําเข้า ส่งออก เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการ อาหารและยา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ และห้ามมิให้ผู้ใด จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา อย่างไรก็ตาม มีการกําหนดให้สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ ทางการแพทย์และการศึกษาวิจัย และห้ามมิให้ผู้ใดเสพ เว้นแต่เสพเพื่อรักษาโรคตามคําส่ัง ของผปู้ ระกอบวิชาชีพเวชกรรม หรอื เป็นการเสพเพื่อการวิจัยตามหลกั เกณฑว์ ิธีการท่ีกฎหมายกําหนด ในขณะน้ีอยู่ระหว่างการเตรียมร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขให้เสพ และครอบครองในพน้ื ที่ไดโ้ ดยไม่เป็นความผิด ท้ังนี้ ปรากฏรายละเอียดว่า มีผู้ได้รับอนุญาตให้ผลิต นําเข้า และครอบครองจํานวน ๑๗ ราย อาทิ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้ขออนุญาตครอบครอง ต้นกระท่อม จํานวน ๑,๕๔๐ ต้น มีโครงการศึกษาที่อําเภอนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ส่วนงานวิจัย ได้รับอนุญาตให้ครอบครอง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และโรงพยาบาลรามาธิบดี ดังน้ัน เพื่อให้เกิดการนํากระท่อมไปใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง ในบริบทที่เหมาะสม หน่วยงานจึงเสนอให้ถอดพืชกระท่อมออกจากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณากฎหมายรองรับการนําพืชกระท่อมไปใช้ประโยชน์ แต่ต้องพิจารณา ควบคุมเพื่อมใิ ห้มีการนาํ ไปใช้ในทางท่ผี ดิ

- ๓๘ - ดังน้ัน กระทรวงยุติธรรมจึงได้มีการยกร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ..) พ.ศ. .... โดยมีเหตุผลในการร่าง ๓ ประการ ได้แก่ ๑) อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 อนุสัญญาว่าด้วยวัตถุท่ีออกฤทธ์ิต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1971 และอนุสัญญาว่าด้วย การต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดและวัตถุออกฤทธ์ิต่อจิตประสาท ค.ศ. 1988 ไม่ได้กําหนดให้พืช กระทอ่ มเป็นยาเสพตดิ หรือวัตถอุ อกฤทธ์แิ ตอ่ ย่างใด ๒) ประเทศส่วนใหญ่ไม่ไดก้ ําหนดให้พืชกระท่อม เป็นยาเสพติดใหโ้ ทษ และ ๓) ประเทศไทยมกี ารศึกษาวิเคราะหแ์ นวทางการใชป้ ระโยชนจ์ ากพชื กระทอ่ ม อย่างต่อเน่ือง พบว่าพืชกระท่อมส่งผลต่อร่างกายเพียงเล็กน้อยและสามารถควบคุมได้ มีประโยชน์ ทางการแพทย์ สามารถนํามาใช้ในเชิงเศรษฐกิจได้ จึงมีข้อเสนอให้ยกเลิกพืชกระท่อมออกจากยาเสพติด ใหโ้ ทษ หลกั การสําคญั ของรา่ งพระราชบัญญตั ิดังกล่าวเปน็ การแก้ไขเพ่มิ เตมิ พระราชบญั ญตั ยิ าเสพติด ให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยให้ยกเลิกพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ (แก้ไขเพ่ิมเติม มาตรา ๗ (๕)) และให้ยกเลิกบทกําหนดโทษในความผิดเกี่ยวกับกระทอ่ ม (ยกเลิกความในมาตรา ๕๘/๒ มาตรา ๗๕ วรรคสาม มาตรา ๗๖ วรรคสอง มาตรา ๗๖/๑ วรรคสาม และวรรคส่ี และมาตรา ๙๒ วรรคสอง) ท้ังน้ี คาดหมายว่า จะสามารถดําเนินการตามข้ันตอนต่าง ๆ ให้ร่างพระราชบัญญัติฯ มีผลใช้บังคบั ประมาณในอนาคต นอกจากนี้ กรมวิชาการเกษตรมีการกํากับมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรท่ีดี (Good Agricultural Practices : GAP) และกฎหมายที่เก่ียวข้อง คือ กฎหมายว่าด้วยการกักพืช และกฎหมาย ว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืช เป็นต้น ส่วนหน้าท่ีและอํานาจของหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องกับกัญชา กัญชง และกระท่อม ซึง่ จําแนกได้เปน็ ๒ ส่วน ดงั น้ี ๑. ภาคบังคับ ต้องดําเนินการพืชทั้งสามชนิดตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย ๒ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑) พระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. ๒๕๐๗ ซ่ึงมีวัตถุประสงค์ เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูพืชเข้าประเทศ โดยพืชท้ังสามไม่ใช่พืชต้องห้ามหรือกํากับตามกฎหมายฉบับดังกล่าว เพราะไม่ใช่ส่ิงที่นําศัตรูพืช เข้าประเทศ อย่างไรก็ตาม หากจะมีการนําเข้าต้องมีใบรับรองว่าปลอดศัตรูพืชและในกรณีการนําเข้า เพื่อการขยายพันธ์ุต้องมีใบรับรองว่าไม่ใช่พืชที่ตัดต่อพันธุกรรม ซ่ึงถ้าไม่ดําเนินการจะมีโทษปรับ และ ๑.๒) พระราชบัญญัติคุ้มครองพันธ์ุพืช พ.ศ. ๒๕๔๒ ซ่ึงเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการส่งเสริม และสร้างแรงจูงใจให้มีการพัฒนา และปรับปรุงพันธ์ุพืชใหม่ ๆ ภายใต้หลักความปลอดภัยทางชีวภาพ โดยหากมีการนาํ พืชทั้งสามชนดิ ไปใชศ้ กึ ษาต้องขออนญุ าต เพื่อออกหนังสอื รบั รองพนั ธพ์ุ ชื ๒. ภาคสมัครใจ เป็นการเปิดโอกาสให้สามารถนําพันธุ์พืชมาขอให้หน่วยงานรับรองพันธุ์พืช โดยการข้ึนทะเบียนและทําบัตรประจําตัวพันธุ์พืชของประเทศไทย เป็นการคุ้มครองเชิงปกป้อง และให้มีมาตรฐานการผลิต ในขณะน้ีมีการศึกษาวิจัยในเรื่องน้ี โดยมีระยะเวลาตามแผน การดําเนินงาน ๓ ปี มุ่งเน้น เพ่ือใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ได้แก่ การศึกษาเทคโนโลยีการผลิต การใส่ปุ๋ย ระบบการจัดการ และการอารักขาพืช ตลอดจนการสร้างมาตรฐานการผลิต อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการนําร่องแล้ว ๑ สายพนั ธุ์ คอื กัญชาอสิ ระ ๐๑ ส่วนการคุ้มครอง กรมทรัพย์สินทางปัญญามีหน้าที่จดทะเบียนคุ้มครอง และใช้ประโยชน์ ทางพาณชิ ย์ ซึ่งเกยี่ วขอ้ งกบั กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาของมนุษย์คิดค้นข้นึ มา อาทิ เครื่องหมายการค้า สิทธิ สิทธิการจัดการออกแบบ และสิทธิบัตร โดยวันนี้คงจะมีกรอบการนําเสนอเก่ียวเน่ืองเฉพาะ กัญชา กัญชง และกระท่อม และการผลิต การคิดค้นจะมีกระบวนการได้มา การประดิษฐ์

- ๓๙ - และกรรมวิธีการผลิตสาร THC และ CBD เป็นต้น ถ้าหากเข้าข่ายการจดทะเบียนก็จะได้รับ การคุ้มครอง และผลิตภัณฑ์ดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อความสงบของสังคม ท้ังน้ี หลักเกณฑ์การพิจารณา ในการจดทะเบียนคุ้มครองในการเอาไปใช้ประโยชน์จากกระบวนการขั้นตอน กรรมวิธีการผลิต เพ่ือจําหน่าย โดยมีหลักการอยู่ ๓ ประการด้วยกัน คือ ๑) เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ และไม่เคยปรากฏว่า มีใครผลิตและไม่เคยแพร่มาก่อนทั่วโลก มีขั้นตอนซับซ้อน ต่อมาเมื่อผ่านเกณฑ์ท่ีหน่ึงก็จะพิจารณา ในขั้นต่อไป ๒) ข้ันการประดิษฐ์ที่สูงข้ึน มากกว่าขั้นธรรมดาสามัญ และ ๓) ประยุกต์ใช้อุตสาหกรรม หรอื เปน็ สารสกัดตา่ ง ๆ แต่ตวั สารไมส่ ามารถขอจดทะเบียนค้มุ ครองได้ การจดทะเบียนเก่ียวกับกัญชาจากต่างประเทศ โดยการจดทะเบียนคุ้มครองที่ผ่านมา เก่ียวข้องกับคําสั่งคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๖๒ จึงไม่สามารถรับจดทะเบยี น ได้ตามคําสั่งของ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ แต่หลังจากมีกฎหมายปลดล็อคให้แล้ว กรมทรัพย์สินทางปัญญาก็จะพิจารณาตามเกณฑ์ท่ีกล่าวมาแล้ว และในขณะน้ีมีการยื่นขอมาบ้างแล้ว แต่กฎหมายกําหนดให้ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้จนกว่าจะมีการประกาศโฆษณา ยกเว้นส่วนท่ี จะเปิดเผยได้ ซ่ึงจะมีการพิจารณาว่าย่ืนขอจดทะเบียนในลักษณะไหน เน่ืองด้วยการจดสิทธิบัตรมีผล ต่อการพัฒนาและสร้างศักยภาพและโอกาสของประเทศ อาทิ น้ําพริกศรีราชา ท่ีมีต่างประเทศนําไป จดสิทธิบัตรจนส่งผลต่อประเทศไทย หรือกรณีของกระท่อมจะมีผลต่อประเทศไทย เช่น อาจจะมีคน นําคาํ วา่ Katom หรอื Thai Stick ไปจดสทิ ธิบัตร ซงึ่ กรมทรพั ยส์ นิ ทางปัญญาเสนอวา่ การใชก้ ฎหมาย คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญามีหลายข้ันตอน ถ้าไม่มีความใหม่และมีระดับนวัตกรรมท่ีสูงข้ึนก็จะ ไม่เข้าเกณฑ์การขอจดทะเบียน แต่ประเด็นนี้ น่าจะเป็นการจดการคุ้มครองเครื่องหมายการค้า ส่วนชื่อ Katom ยังไม่มีข้อมูล แต่ถ้าเป็นช่ือหรือท่ีเรียกว่าช่ือสามัญทางการค้าไม่สามารถขอจดทะเบียน คุ้มครองได้ อาทิ ไทย สาย ขาว เป็นต้น ไม่มีบุคคลใดท่ีสามารถเก็บไว้ใช้แต่เพียงผู้เดียวได้ เพราะคํา ไมส่ ามารถจดทะเบียนคมุ้ ครองได้ ยกเว้นนาํ ไปดดั แปลงเป็นรูปหรอื สญั ลักษณอ์ ื่น กรณีการคุ้มครองพันธ์ุพืชประเทศไทยมีพระราชบัญญัติว่าด้วยการคุ้มครองพันธ์ุพืช โดยอยู่ ภายใต้กรอบของอนุสัญญาว่าด้วยสหภาพระหว่างประเทศเพ่ือคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ค.ศ. 1991 และในปัจจุบันมีความพยายามจะให้ประเทศไทยอนุวัติการ (Implementation) กฎหมายภายใน ประเทศเพื่อให้การคุ้มครองสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาของนักปรับปรุงพันธ์ุพืชและบริษัทเมล็ดพันธ์ุ (Plant breeder’s right หรือ Plant varieties protection) โดยมีการผลักดันร่างกฎหมายคุ้มครอง พันธพ์ุ ืชเสนอต่อรฐั บาลและรัฐสภา ซ่ึงมสี าระสําคัญตามแนวทางของสหภาพเพื่อคมุ้ ครองพันธพ์ุ ืชใหม่ (UPOV) ซึ่งให้การคุ้มครองสิทธิของนักปรับปรุงพันธุ์เฉพาะพันธุ์พืชใหม่ ซ่ึงถ้ารับหลักการดังกล่าว เข้ามาจากเดิมให้ระยะเวลาคุ้มครองประมาณ ๑๒ ปี จะทําให้ขยายระยะเวลาคุ้มครองไปอีกประมาณ ๒๐ ปี ซึ่งจะส่งผลต่อการขยายและปรับปรุงพันธ์ุพืชในประเทศ และส่งผลต่อการจดสิทธิบัตร จนเมล็ดพันธุ์พ้ืนเมืองสญู หายได้ ประเด็นกฎหมายระหวา่ งประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ ได้แก่ อนสุ ัญญาเดยี่ ววา่ ด้วยยาเสพติดใหโ้ ทษ ค.ศ. 1961 และพธิ ีสาร แก้ไขอนุสัญญาเด่ียวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961, ค.ศ. 1972 อนุสัญญาว่าด้วยวัตถุออกฤทธ์ิ ต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1971 และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติด

- ๔๐ - และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ค.ศ. 1988 ซึ่งอนุสัญญาเหล่านี้มีผลต่อกฎหมายในประเทศไทย นอกจากน้ี หากจะมีการพัฒนาประเทศด้วยการสร้างศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ มคี วามจาํ เป็นตอ้ งคุ้มครองและส่งเสรมิ ภมู ิปัญญาและทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญาควบคู่กันไป ประเทศไทยเป็นภาคีของอนุสัญญาเด่ียวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 และพิธีสาร แก้ไขอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961, ค.ศ. 1972 อนุสัญญาว่าด้วยวัตถุออกฤทธ์ิ ตอ่ จิตและประสาท ค.ศ. 1971 และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าดว้ ยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติด และวัตถุออกฤทธ์ิต่อจิตประสาท ค.ศ. 1988 ตามลําดับ โดยเป็นการบูรณาการการควบคุมวัตถุ ออกฤทธ์ิต่อจิตและประสาทเพ่ือไม่ให้มีการใช้สารเสพติดในทางที่มิชอบ รวมทั้งเป็นการปราบปราม การค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ เว้นแต่นําไปใช้เพ่ือวัตถุประสงค์ในทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ และประเทศไทยเป็นภาคีตามหลักอนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1969 และเป็นการยึดสัญญาต้องเป็น สัญญา (pacta sunt servanda) เป็นหลักกฎหมายท่ัวไป อันถือเป็นหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ที่แท้จริงอันก่อให้เกิดพันธกรณีระหว่างประเทศ โดยจะกล่าวอ้างกฎหมายภายในประเทศที่ขัด หลกั การน้ีไมไ่ ด้ การดําเนินการภายใต้อนุสัญญาของสหประชาชาติที่กล่าวมาอยู่ภายใต้สํานักงานว่าด้วย ยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ(United Nations Office on Drugs and Crimes : UNODC) ซ่ึงจะมีคณะกรรมการชุดหนึ่งเรียกว่า คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ (The International Narcotics Control Board : INCB) โดยประเทศไทยจะมีรายงานไปยัง คณะกรรมการดังกล่าวเป็นประจํา และจะมีการประชุมประจําปี รวมท้ังมีผู้แทนจากหน่วยงาน ท่ีเก่ียวข้องประมาณ ๑๑ หน่วยงาน จํานวน ๗๐ คน ของประเทศไทยเขา้ ร่วมประชุมด้วย ณ สํานักงานฯ ที่กรุงปารีส ประเทศฝร่ังเศส และเมื่อมีการประชุมแล้วก็จะมีมาตรการ ข้อเสนอแนะ และข้อช้ีนําต่าง ๆ มายังประเทศภาคีสมาชิก อีกท้ังประเด็นยาเสพติดที่กล่าวมามีองค์กรอ่ืนเข้ามาเกี่ยวข้องที่ไม่ใช้ข้อ กฎหมายระหว่างประเทศ อาทิ กลุ่มองคก์ รเคลือ่ นไหวท่ีไม่ใชร่ ฐั และภาคประชาสังคมต่าง ๆ ทั้งนี้ บทบาทประเทศไทยในเร่ืองยาเสพติดในเวทีระหว่างประเทศถือว่าเป็นผู้นํา และประเทศไทยยังยึดมั่นในพันธกรณีของอนุสัญญาทั้ง ๓ ฉบับ และกลไกหลักในการพิจารณา และแก้ไขปัญหายาเสพติดนี้มีการประชุมมาแล้ว ๖๓ ครั้ง ซ่ึงประเทศไทยเป็นสมาชิกต้ังแต่ ค.ศ. 1961 และประเทศไทยได้รับการเลือกต้ังให้เป็นคณะกรรมการฯ ของสหประชาชาติอย่างต่อเน่ือง เนื่องจาก ประเทศต่าง ๆ ให้การยอมรับบทบาทของประเทศไทย สว่ นสารเสพติดในบญั ชแี นบทา้ ยของอนุสัญญา ข้างต้น อาจจะมีการปรับเปล่ียนโดยการเสนอขององค์การอนามัยโลกเพ่ือนําเข้าสู่การพิจารณา ของคณะกรรมการฯ ซึ่งได้รับทราบข้อมูลเบื้องต้นว่า มีการเลื่อนเรื่องท่ีจะปรับกัญชง และสาร CBD ออกจากบัญชีแนบท้ายของอนุสัญญาว่าด้วยยาเสพติดถูกเลื่อนออกไปก่อน รวมท้ังมาตรการ การควบคุมกญั ชาด้วย แตค่ าดวา่ อาจจะมีการประชมุ อีกครง้ั ตามวงรอบของการประชุมประจาํ ปี ตามข้อกําหนดของอนุสญั ญากําหนดว่า รัฐภาคีสามารถถอนตัวจากอนุสญั ญาได้โดยการทาํ เปน็ ตราสารเพ่ือถอนตัว และเสนอต่อเลขาธิการสหประชาชาติ ซ่ึงการบอกเลิกจะมีผลในวันที่ ๑ มกราคม ของปีถัดไป แต่ในกรณีท่ียื่นตราสารล่าช้าอาจจะมีผลล่าช้าตามไปด้วย นอกจากน้ี การเข้าเป็นภาคี ของอนุสัญญาของสหประชาชาตินั้นเป็นการยอมลดอํานาจอธิปไตยของรัฐเพื่อนําตนไปผูกพันกับ พันธกรณีภายใต้สัญญาน้ัน ๆ ซ่ึงผู้แทนหน่วยงานยังไม่สามารถให้คําตอบท่ีแน่ชัดถึงบทลงโทษ

- ๔๑ - ตามอนุสัญญาในทางเป็นจริงได้ แต่ในเชิงหลักการรฐั สมาชิกอื่นสามารถออกหนังสือประณามประเทศ ที่ผิดตอ่ อนุสัญญาได้ อนุสัญญาเด่ียวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 และพิธีแก้ไขอนุสัญญาเด่ียวว่าด้วยยาเสพติด ให้โทษ ค.ศ. 1961, 1972 กําหนดพืชเสพติด ๓ ชนิด ฝ่ิน กัญชา โคคา ไม่มีกระท่อม โดยเฉพาะยอด ดอก ผล ยาง หมายถึงพืชกัญชาเป็นยาเสพติดให้หมายถึงดอกและยาง ไม่นับเมล็ดและใบ ส่วนการผลติ นําเข้า ส่งออกท่ีใช้ทางการแพทย์และศึกษาวิจัยทําได้ แต่มีข้อสังเกตว่า ประเทศไทยมีการแปล อนุสัญญาว่าด้วยยาเสพติดให้โทษขาดหายไป ถ้าในข้อบัญญัติ ๒๘ ต้องมีระบบควบคุมตามข้อบัญญัติ ๒๓ มาบังคับใช้ว่าดว้ ยการควบคมุ ฝน่ิ โดยมีการจัดต้ังสถาบันอื่นใดขึ้น เพื่อการควบคุมและรายงานให้ องค์การสหประชาชาติทราบ เน่ืองจากสาระหลักของอนุสัญญาคือ การควบคุม จํากัดยาเสพติด แต่เปิดช่องให้ใช้ในทาง การแพทย์และศึกษาวิจัยได้ ซึ่งกัญชาอยู่ในบัญชีแนบท้ายของอนุสัญญาว่าด้วยยาเสพติดน้ี และเป็น บัญชีท่ี ๑ ซ่ึงถือเป็นการควบคุมพิเศษ หรือการควบคุมโดยเข้มงวด แต่ในรัฐภาคีสมาชิกก็มีแนวคิด ที่แตกต่างกัน มีทั้งกลุ่มท่ียังคงให้ควบคุมเข้มงวด กลุ่มที่ให้ลดทอนทางอาญา รวมท้ังกลุ่มท่ีจะเสนอให้ เป็นแบบเสรกี ม็ ี กล่าวโดยง่าย ณ ขณะนยี้ ังไม่มีฉนั ทามตจิ ากรัฐภาคีของอนสุ ญั ญา ดงั นัน้ ถ้าประเทศไทย ไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาแต่ยังคงสถานะภาคีสมาชิกก็เสมือนไม่ได้อยู่ในอนุสัญญาดังกล่าว ตลอดจน จะต้องมีการช่ังนํ้าหนักผลดี ผลเสียท่ีจะเกิดข้ึน และพิจารณาอย่างรอบคอบเพ่ือจะช่วยเหลือพัฒนา ประเทศอน่ื เร่อื งยาเสพตดิ ตามบทบาทท่ีประเทศปฏบิ ัติอยู่ สําหรับประเด็นเกี่ยวกับการควบคุมพืชกระท่อมตามกฎหมายระหว่างประเทศจากการศึกษา ในรายละเอียดพบว่า อนุสัญญาของสหประชาชาติเก่ียวกับยาเสพติดไม่ได้มีการประกาศควบคุมพืช กระท่อมในบัญชีรายชื่อยาเสพติดหรือวัตถุออกฤทธ์ิต่อจิตและประสาทไว้แต่อย่างใด และจากข้อมูล ทางสถิติ ภาพรวมการควบคุมพืชกระท่อมในต่างประเทศ จํานวน ๓๓ ประเทศพบว่า ประเทศท่ีมี กฎหมายภายในควบคุมพืชกระท่อมมี ๑๘ ประเทศ คิดเป็นร้อยละ ๕๔ จําแนกได้เป็น ๓ กลุ่ม ประกอบด้วย ๑) ควบคุมโดยกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ได้แก่ ไทย พม่า เกาหลีใต้ และอินเดีย ๒) ควบคุมโดยกฎหมายอื่น ได้แก่ ๒.๑) กฎหมายเกี่ยวกับยา และการรักษาพยาบาล จํานวน ๔ ประเทศ ๒.๒) กฎหมายว่าด้วยสารพิษหรือสารออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท จํานวน ๒ ประเทศ ๒.๓) กฎหมายว่าด้วยการใช้ยาในทางที่ผิด จํานวน ๒ ประเทศ และ ๓) ควบคุมโดยไม่ระบุกฎหมาย จํานวน ๖ ประเทศ สว่ นประเทศท่ีไมไ่ ด้ควบคมุ พืชกระท่อม โดยไม่มีกฎหมายกําหนดว่าเป็นยาเสพติด มี ๑๕ ประเทศ คิดเป็นร้อยละ ๔๖ หากพิจารณาเฉพาะภูมภิ าคอาเซยี นกับทวีปเอเชยี พบวา่ ประเทศ ท่ีไม่ได้ควบคุมพืชกระท่อมหรือกําหนดให้พืชดังกล่าวเป็นยาเสพติด ได้แก่ อินโดนีเซีย กัมพูชา ฟลิ ปิ ปนิ ส์ ลาว และเวยี ดนาม อย่างไรกด็ ี ประเทศไทยและประเทศอินโดนีเซียเคยหารอื รว่ มกันในการ นําเสนอให้พืชกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจ นอกจากน้ี จากการสืบค้นเอกสารทางวิชาการพบว่า มีรายงานศึกษาเก่ียวกับพืชกระท่อมจํานวน ๗ ฉบับ ซ่ึงส่วนใหญ่เสนอแนะให้ยกเลิกพืชกระท่อม จากการเป็นยาเสพติด โดยการแก้ไขหรือปรับปรุงกฎหมาย ตลอดจนเสนอให้มีการตราพระราชบัญญัติ เปน็ การเฉพาะ

- ๔๒ - กล่าวโดยสรุป กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดของประเทศไทยควบคุมกัญชา กัญชง และกระท่อม ต้ังแต่ต้นนํ้า กลางน้ํา และปลายนํ้า ซ่ึงส่งผลให้การนําพืชเสพติดดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ได้อย่างจํากัด รวมท้ังเป็นปัญหาต่อการศึกษา วิจัยและพัฒนาในเชิงเศรษฐกิจ แม้ว่ากฎหมายจะเปิดช่องทางให้ท้ัง ในด้านการแพทย์และศึกษาวิจัยในระดับหน่ึง แต่เป็นการจํากัดการใช้ประโยชน์ในวงแคบ ตลอดจน ไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ คณะกรรมาธิการจึงมีข้อเสนอท่ีสําคัญในการศึกษาคร้ังนี้ คือ การเสนอให้แก้ไขกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษหรือยกเลิก กระท่อม กัญชา และกัญชง ออกจาก กฎหมายว่าดว้ ยยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ เพื่อการนาํ ไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้อย่างเต็มศักยภาพต่อไป

บทท่ี ๕ บทสรุป ขอ้ เสนอแนะ และข้อสังเกตของคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั ๕.๑ บทสรุป การศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญเก่ียวกับการหาแนวทางแก้ไขปัญหาการใช้กัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างเป็นระบบพบว่า กระท่อม กัญชา และกัญชง เป็นพืชสมุนไพรมีคุณค่าและ มีมูลค่ามหาศาล ซ่งึ สามารถนํามาใช้ประโยชนไ์ ด้อยา่ งหลากหลาย อาทิ การแพทย์ และเศรษฐกจิ เนื่องจากกฎหมายระหว่างประเทศ ประกอบด้วย อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 และพิธีสารแก้ไขอนุสญั ญาเดย่ี วว่าด้วยยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ ค.ศ. 1961, ค.ศ. 1972 อนสุ ัญญา ว่าด้วยวัตถุออกฤทธ์ิต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1971 และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้าน การลักลอบค้ายาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ค.ศ. 1988 ซึ่งอนุสัญญาเหล่านี้มีผลต่อ กฎหมายในประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าว และอนุสัญญาได้กําหนดให้ กัญชา และกัญชง เป็นยาเสพติดควบคุม ส่วนกระท่อมเป็นการกําหนดให้เป็นยาเสพติดด้วยกฎหมาย ภายในประเทศ แม้ว่าจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดมาแล้ว ซึ่งเปิดช่องให้ใช้ในทาง การแพทย์และการศึกษาวิจัยได้ แต่พบปัญหาต่างๆ อาทิ ปัญหาในการนําไปใช้ประโยชน์และพัฒนาต่อ โดยหากมีการแก้ไขข้อจํากัดดังกล่าวได้อย่างเหมาะสม แตต่ อ้ งคํานงึ ถึงข้อดีและข้อเสียอย่างเปน็ ระบบ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์อยู่เสมอ ทําให้การนําพืชทั้งสามชนิดดังกล่าวไปใช้ได้เต็มศักยภาพ อนั จะเปน็ ประโยชนต์ อ่ สังคมและเศรษฐกิจอย่างยงั่ ยนื สรุปได้ว่า กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดของประเทศไทยควบคุม กระท่อม กัญชา และกัญชง ต้ังแต่ต้นน้ํา กลางนํ้า และปลายน้ํา ทําให้การนําพืชเสพติดดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ได้อย่างจํากัด และเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา วิจัยและพัฒนาในทางการแพทย์ และการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ แม้ว่ากฎหมายจะเปิดช่องให้ในระดับหน่ึง แต่เป็นการใช้ประโยชน์ในวงแคบ ตลอดจนไม่สอดคล้อง กับสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ คณะกรรมาธิการวิสามัญจึงมีข้อเสนอที่สําคัญในการศึกษาครั้งนี้ คือ การเสนอ ให้แก้ไขกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษหรือยกเลิก กระท่อม กัญชา และกัญชง ออกจากกฎหมาย วา่ ดว้ ยยาเสพติดให้โทษ เพือ่ การนําไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้อย่างเตม็ ศกั ยภาพต่อไป ท้ังนี้ จากการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ คณะกรรมาธิการวิสามัญมีข้อเสนอแนะ และข้อสงั เกต ดังนี้ ๕.๒ ขอ้ เสนอแนะของคณะกรรมาธกิ ารวิสามญั ๑. การยกร่างกฎหมายที่เก่ียวข้องกับกัญชา กัญชง จะต้องระบุไว้ในกฎหมายว่า ต้องชะลอ การขอจดทะเบียนคุ้มครองพันธุ์ภายในประเทศออกไปก่อน เพ่ือเป็นประโยชน์ในการศึกษาและวิจัย ทเี่ กี่ยวข้อง ๒. จัดตั้งสถาบันพืชควบคุมเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์แห่งชาติเข้ามาบริหารจัดการ และกระจายอํานาจการตดั สนิ ใจและควบคมุ ในทอ้ งถิ่นแทนการรวมศนู ย์จากสว่ นกลาง ๓. ให้ยกเลิกมาตรา ๒๑ ของพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อลดการผูกขาดโดยรัฐ รวมทั้งควรมกี ารทบทวนบทเฉพาะกาลของพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ

- ๔๔ - (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ท่ีกําหนดให้ผลิตสาร CBD เฉพาะภายในประเทศเท่านั้น เพื่อเพ่ิมโอกาส ในการส่งออกและอุตสาหกรรม ๔. ควรเปิดโอกาสให้มีการนิรโทษกรรมสําหรับผู้ครอบครองกัญชาเพื่อใช้รักษาโรครอบใหม่ เพื่อการตรวจสอบคัดกรอง วิจัย และเก็บข้อมูล เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและเปิดโอกาสพัฒนาความรู้ ในการรกั ษาตนเอง ๕. เสนอให้มีการเปิดกว้างในการศึกษาวิจัยสายพันธุ์พืชเสพติดเพื่อการแพทย์และอื่น ๆ เพอ่ื การพฒั นาสายพันธแ์ุ ละองค์ความรู้ท่เี กยี่ วเนอื่ ง ๕.๓ ข้อสงั เกตของคณะกรรมาธกิ ารวิสามญั ๑. ให้ยกเลิกพืชเสพติด ได้แก่ กัญชา กัญชงและกระท่อมออกจากการเป็นยาเสพติด ในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ และพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายอ่นื ๆ ท่เี ก่ยี วขอ้ ง ๒. ถ้าจะมีการส่งออกกัญชา กัญชง และกระท่อมภายหลังท่ีกฎหมายในประเทศอนุญาต หรืออนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติด ได้เปิดช่องให้ทําได้ท้ังในทางการแพทย์และ เศรษฐกิจจะต้องมีการประมาณการ ปริมาณการผลิต ความต้องการของตลาด ผลตอบแทน และมี ระบบตดิ ตามตรวจสอบท่ดี ี ๓. การอนุวัติการ (Implementation) กฎหมายภายในประเทศ เพื่อส่งเสริมให้มีการคุ้มครอง ทรัพย์สินทางปัญญาของนักปรับปรุงพันธ์ุพืชและบริษัทเมล็ดพันธุ์ที่ผลักดัน หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง จําเปน็ จะต้องพจิ ารณาศึกษาอย่างรอบคอบ โดยคํานงึ ถงึ ประโยชนข์ องประเทศเปน็ หลกั ๔. อนุสัญญาของสหประชาชาตวิ ่าด้วยยาเสพติดได้กําหนดให้การควบคมุ กัญชาให้เทียบเคียง กับการควบคุมฝ่ิน ตามข้อบทที่ ๒๘ ข้อ ๒ ซ่ึงไม่รวมถึงอุตสาหกรรมเส้นใยและเมล็ด แต่กฎหมาย ว่าด้วยยาเสพติดภายในประเทศระบุว่า กัญชงเป็นยาเสพติด ซึ่งเป็นวัตถุดิบสําคัญในอุตสาหกรรม ของเส้นใยและเมล็ดจึงถกู ตคี วามว่าเปน็ ยาเสพติดไปดว้ ย ขอ้ สังเกตของคณะกรรมาธกิ ารเก่ยี วกับกญั ชา ๑. คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ควรต้ังคณะอนุกรรมการในระดับจังหวัด ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ ทําหน้าที่ให้ความเห็นชอบในการ อนุญาตแทนคณะกรรมการตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกําหนด และเลขาธิการคณะกรรมการ อาหารและยาควรมอบอํานาจในการอนุญาตให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด ในเร่ืองการเพาะปลูกกัญชา และการครอบครองให้เป็นไปตามเง่ือนไขของคณะกรรมการอาหารและยา เฉพาะในพ้ืนท่ีจังหวัด ทีร่ ับผิดชอบ ๒. กระทรวงสาธารณสุขควรจัดการฝึกอบรมและสอบวัดความรู้ผ่านระบบออนไลน์ให้กับ ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์ แผนไทยประยุกต์ ทันตแพทย์ เภสัชกร และหมอพื้นบ้านให้สามารถสั่งจ่ายยากัญชาได้ โดยให้ได้รับ การขนึ้ ทะเบียนจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาหลังสําเร็จการฝกึ อบรม ๓. รัฐบาลควรดําเนินการให้มีกฎหมายขึ้นมาใหม่เป็นการเฉพาะ คือ กฎหมายว่าด้วย พืชควบคุมเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ โดยศึกษาแนวทางตามรายงานในภาคผนวกของกรรมาธกิ าร

- ๔๕ - ขอ้ สงั เกตของคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั เก่ียวกับกัญชง ๑. เสนอให้เพิกถอนกัญชง (Hemp) ออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ท่ีระบุไว้ใน พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ และพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายอื่น ๆ ท่เี กยี่ วขอ้ ง สกู่ ารเป็นพชื เศรษฐกิจใหมข่ องไทย ๒. เสนอให้แก้ไข (ร่าง) กฎกระทรวง การขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้าส่งออก จําหน่ายหรอื มีไว้ในครอบครอง ซึง่ ยาเสพตดิ ให้โทษประเภท ๕ เฉพาะกญั ชง (Hemp) พ.ศ. .... ดังนี้ (๑) ให้เพิ่มเติม คํานิยามพืชกัญชง (Hemp) ในพฤกษศาสตร์ (Botany) ด้วยวิธีจําแนก ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Classification) ว่า Cannabis sativa L., และในกฎหมาย (Law) ด้วย วิธีกําหนดค่าทางชีวเคมี (Biochemistry) ของสาร Tetrahydrocannabinol (THC) ในช่อดอกแห้ง ไม่เกินรอ้ ยละ ๑.๐๐ โดยน้ําหนักแห้ง เพ่อื จาํ แนกกญั ชงออกจากกัญชาอย่างชัดเจน (๒) ให้แก้ไข คํานิยามในบทท่ัวไป คําว่า “ประโยชน์ครัวเรือน” หมายความว่า การใช้ ประโยชน์จากเส้นใย แก้ไขเป็น การใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของพืช ตามประเพณี วัฒนธรรม ตามวิถีชีวิต และใช้ในครอบครัว และ “กําหนดจํานวนพื้นท่ีให้สามารถปลูกได้ ครัวเรือนละไม่เกิน ๑ ไร่” แก้ไขเป็น ครัวเรือนละไม่เกิน ๒๐ ไร่ แต่การอนุญาตให้ผู้ปลูกเอาช่อดอก ดอก ให้เป็นไปตาม ใบอนุญาตปลูกเทา่ น้ัน ๓. เสนอให้แก้ไข ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เร่ือง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ ในการกําหนดปรมิ าณสารสําคัญในพชื กญั ชง (Hemp) ดังนี้ (๑) จากสารสกัดหรือผลิตภัณฑ์จากสารสกัด ที่มีสารแคนนาบิไดออล (Cannabidiol, CBD) เป็นส่วนประกอบหลัก และมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol, THC) ไม่เกนิ รอ้ ยละ ๐.๒ โดยน้ําหนกั แกไ้ ขเปน็ สารสกัดหรือผลติ ภณั ฑจ์ ากสารสกดั ทม่ี ีสารแคนนาบิไดออล (Cannabidiol, CBD) รวมท้ังสารสกัดอื่น ๆ เช่น CBC CBN CBG Terpene หรือสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydracannabinol, THC) ไม่เกินร้อยละ ๐.๓ โดยนา้ํ หนกั (๒) ให้พิจารณาระบุตามกฎหมายประกอบการใช้ประโยชน์ของสารแคนนาบิไดออล (Cannabidiol CBD) รวมทั้งสารสกัดอ่ืน ๆ เช่น CBC CBN CBG Terpene หรือสารอ่ืน ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง เป็นต้น ซ่ึงเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรืออาหาร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องด่ืม หรือเคร่ืองสําอาง ตามกฎหมายว่าด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรืออาหาร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเคร่อื งดืม่ หรอื เครอ่ื งสําอาง ๔. เสนอให้กรมวิชาการเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการนํากัญชงพันธ์ุพื้นเมือง หรือพันธุ์พ้ืนบ้านด้ังเดิมมาข้ึนทะเบียนพันธ์ุพืชตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. ๒๕๑๘ และที่แก้ไข เพ่ิมเติม และส่งเสริมให้มีการพัฒนาสายพันธ์ุใหม่ท่ีให้ผลผลิตเส้นใย เปลือก แกนลําต้น เมล็ดพันธ์ุ ช่อดอกที่มีสาร CBD สูง มีสาร THC ตํ่า และให้ผลผลิตเมล็ดท่ีมีคุณค่าสูงทางโภชนาการ และส่งเสริม ให้มกี ารจดทะเบยี นค้มุ ครองพนั ธ์ุพชื ใหม่ ตามพระราชบัญญตั คิ ุ้มครองพนั ธพ์ุ ืช พ.ศ. ๒๕๔๒ ท้ังน้ี สายพันธุ์พื้นเมืองหรือสายพันธ์ุพื้นบ้านด้ังเดิม ท่ีสอดคล้องกับวิถีชีวิตอัตลักษณ์ ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในประเทศไทย ขอให้เร่งดําเนินการขึ้นทะเบียนและจดทะเบียนให้เป็นสิ่งบ่งช้ี ทางภมู ศิ าสตร์ (GI) รวมทัง้ ให้ได้รบั การคุ้มครองทางกฎหมายดา้ นตา่ ง ๆ โดยเรว็

- ๔๖ - ๕. เสนอให้สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา และหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง ลดข้ันตอน การขออนุญาตผลิต จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง กัญชง (Hemp) รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขประกาศ กฎกระทรวงฯ ประกาศคณะกรรมการฯ และคําส่งั อน่ื ๆ ทางกฎหมายทเี่ กี่ยวข้อง ๖. เสนอให้สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และหนว่ ยงานทเ่ี ก่ยี วข้อง สรา้ งทศั นคตทิ ด่ี ีต่อพืชกัญชง (Hemp) อย่างกวา้ งขวางในการเป็นพืชเศรษฐกจิ มูลค่าสูง ตลอดจนสร้างความรู้ความเข้าใจในกฎระเบียบ แนวปฏิบัติ อย่างครอบคลุมและท่ัวถึง ทุกกล่มุ เป้าหมาย ๗. เสนอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุ พืชกัญชง (Hemp) เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของไทย ให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม ในด้านองค์ความรู้ ปัจจัยการผลิต และการแปรรูปกัญชง (Hemp) การรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ การผลักดันการจัดต้ังสมาคม วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ องค์กรอ่ืน ๆ ตลอดจนสนับสนุนด้านนวัตกรรม และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่าง ๆ รวมทั้งรับการส่งเสริม และสนับสนนุ จาก BOI ในระดับสูงสดุ ขอ้ สังเกตของคณะกรรมาธิการวสิ ามัญเกยี่ วกับกระท่อม ๑. ควรแก้ไขเพ่ิมเติมกฎหมายยาเสพติดโดยยกเลิกพืชกระท่อมออกจาการเป็นยาเสพติด เพื่อให้สามารถศึกษาวิจัยพืชกระท่อมเพื่อใช้ประโยชน์ด้านการแพทย์และพัฒนาเป็นพืชเศรษฐกิจ ของประเทศ และลดปัญหาคดีอาญาเกี่ยวกับพืชกระท่อมในกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้การพิจารณา คดีอ่ืนรวดเร็วขึ้น รวมทั้งเพ่ือให้สอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งมิได้กําหนดให้ พชื กระทอ่ มเปน็ ยาเสพตดิ ๒. ควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงฉบับท่ี ๔ พ.ศ. ๒๕๒๒ ออกตามความในพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ เรื่องใบอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออกหรือครอบครองพืชกระท่อม และการต่อใบอนุญาตให้มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนและชัดเจน ไม่ควรให้อยู่ในดุลพินิจของกลุ่มบุคคลใด บุคคลหน่ึง และควรอนุญาตตามระยะเวลาท่ีสมควร ท้ังโดยคํานึงถึงความต่อเนื่องในการศึกษาวิจัย พืชกระทอ่ ม ๓. ควรบัญญัติในร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้ยกเลิก พชื กระท่อมจากการเปน็ ยาเสพติดอย่างชัดเจน เพอ่ื ป้องกนั มิให้เกดิ ปัญหาในทางปฏิบัติหรอื การออกกฎ ระเบียบหรอื ประกาศกาํ หนดให้พชื กระท่อมเป็นยาเสพตดิ ในภายหลัง ๔. กฎหมายยาเสพติดของประเทศไทยอาจจะมีการตีความเกินขอบเขตของอนุสัญญาของ สหประชาชาตวิ า่ ดว้ ยยาเสพติด เนื่องจากอนสุ ญั ญาดงั กล่าวไม่ได้ระบุวา่ กระท่อมเปน็ ยาเสพติด ๕. สํานักงานตํารวจแห่งชาติควรกําหนดนโยบายผ่อนผันการจับกุมประชาชนผู้บริโภค หรือครอบครองพืชกระท่อมในปริมาณสมควรที่ใช้ในครัวเรือน ซึ่งสามารถทําได้สะดวกกว่า การออกประกาศกําหนดท้องที่ท่ีตามความในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๕๘/๒ ซึง่ มขี ้นั ตอนยงุ่ ยากและตอ้ งใช้ระยะเวลาในการดําเนนิ การ



ภาคผนวก

ผนวก ก รายงานของคณะอนกุ รรมาธกิ ารพจิ ารณาศึกษา หาแนวทางการแกไ้ ขปัญหาเกย่ี วกับการใชก้ ัญชา อยา่ งเปน็ ระบบ ในคณะกรรมาธิการวสิ ามัญพจิ ารณาศึกษาหาแนวทาง การแกไ้ ขปัญหาเก่ียวกบั การใชก้ ัญชา กัญชง และกระทอ่ ม อยา่ งเปน็ ระบบ สภาผู้แทนราษฎร

รายงานผลการพิจารณาศกึ ษา เรอื่ ง “การศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหา เก่ยี วกับการใชก้ ัญชาอยา่ งเปน็ ระบบ” ของ คณะอนุกรรมาธกิ ารพจิ ารณาศกึ ษาหาแนวทาง การแกไ้ ขปัญหาเกยี่ วกบั การใชก้ ัญชาอย่างเปน็ ระบบ ในคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามัญพิจารณาศกึ ษา หาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกย่ี วกับการใชก้ ญั ชา กญั ชง และกระทอ่ มอย่างเป็นระบบ สภาผแู้ ทนราษฎร กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการสาธารณสขุ สานักกรรมาธิการ ๓ สานกั งานเลขาธกิ ารสภาผู้แทนราษฎร

ก บทสรปุ ผู้บริหาร จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พบว่า มีการใช้กัญชาทางการแพทย์ในโลกมามากกว่า ๕,๐๐๐ ปี กญั ชาเปน็ สว่ นผสมของตารับยาไทยหลายตารับ ในสมยั พระนารายณ์ เม่ือ ๓๖๐ ปกี ่อน ในชว่ งศตวรรษที่ ๑๘ นายแพทย์ William O’Shaughnessy ไปพบเห็นชาวอินเดียใช้กัญชารักษาโรคอย่างได้ผลดีจึงนากลับมา เผยแพร่ท่ีประเทศอังกฤษ นายแพทย์ John Reynolds แพทย์ประจาสานักราชวงศ์ของอังกฤษบันทึก ประสบการณ์การใช้กัญชารักษาโรค ในช่วง ๓๐ ปีของตนว่า กัญชามีสรรพคุณในการรักษาโรคหลายประการ นายแพทย์ Sir William Osler เขียนตาราแพทย์แผนปัจจุบันเล่มแรก เม่ือปี ค.ศ. ๑๘๙๕ บรรยายสรรพคุณ ของกัญชารักษาโรคไว้หลายตอน เภสัชตารับของประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า กัญชามีสรรพคุณรักษาโรค ต่อไปน้ี ปวดเส้นประสาท, โรคเก้าท์, รูมาตอยด์, บาดทะยัก, โรคกลัวน้า, อหิวาตกโรค, โรคลมชัก, เคลื่อนไหว ผิดปกติจากระบบประสาท, บุคลิกภาพผิดปกติ, ซึมเศร้า, ภาวะถอนพิษสุรา, จิตเภท, และเลือดออกจากมดลูก บริษัทยาในศตวรรษท่ี ๑๘ ผลิตยาจากกัญชาวางจาหน่ายตามร้านขายยาอย่างแพร่หลาย ผู้ป่วยซ้ือมาใช้ได้ โดยไมต่ ้องมีใบสง่ั แพทย์ แต่แล้วการใช้กัญชาทางการแพทย์กลับสูญหายไป เพราะในช่วงปลายของศตวรรษท่ี ๑๘ ธุรกิจปิโตรเคมีที่ทรงอิทธิพล มุ่งทาลายคู่แข่งจากธรรมชาติคือกัญชา มีการใส่ร้ายป้ายสี ให้ร้ายกัญชา โดยใช้ งานวิจัยที่ลาเอียง สร้างภาพยนตร์เผยแพร่ข่าวเท็จ เม่ือประชาชนหลงเช่ือ ก็ออกกฎหมายจัดให้เป็นยาเสพติด รุกคืบผลักดันจนเป็นมติของสหประชาชาติในปี ค.ศ.๑๙๖๑ ให้ทุกประเทศออกกฎหมายบัญญัติให้กัญชา เปน็ สง่ิ เสพติดให้โทษ ทงั้ ท่ีมกี ารใชป้ ระโยชนท์ างการแพทย์มานับร้อยปี เม่ือความจริงเกี่ยวกับกัญชาถูกเปิดเผย ทาให้ประชาชนเกิดตื่นตัว ผลักดันให้แก้ไขกฎหมาย นากญั ชามาใช้ทางการแพทยไ์ ดส้ าเร็จแล้วใน ๖๗ ประเทศ และสามารถใช้แบบสันทนาการได้ใน ๓๔ ประเทศ จากการค้นในปี ค.ศ.๒๐๑๙ พบว่ามีผลงานตีพิมพ์เร่ืองกัญชาทางการแพทย์ในฐานข้อมูลของ ห้องสมุดแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา สะสมมากถึง ๒๖,๐๐๐ เร่ือง ข้อค้นพบที่สาคัญคือ เซลล์ในร่างกายของ มนุษย์สามารถสร้างสารกัญชาขึ้นมาได้เอง เรียกว่า สารเอ็นโดแคนนาบินอยด์ (endocannabinoids) มีหน้าที่ ทาใหร้ ะบบของร่างกายทกุ ระบบทางานไดต้ ามปกติ เกดิ ความสมดุล (Homeostasis) เม่ือร่างกายไม่สามารถผลิตสารเอ็นโดแคนนาบินอยด์ได้เพียงพอ ซ่ึงส่วนหน่ึงเป็นเพราะ การไดร้ ับสารพษิ สารเคมี (Toxicity) หรือการขาดสารอาหารทจี่ าเป็น (Deficiency) เรียกวา่ ภาวะพร่องเอ็นโด แคนนาบินอยด์ (endocannabinoid deficiency syndrome) การรับสารจากพืชกัญชาเข้าสู่ร่างกาย จะไปกระตุ้นการทางานของระบบกัญชาตามธรรมชาตินี้ ให้สามารถหลั่งสารเอ็นโดแคนนาบินอยด์มากขึ้น ทาให้รา่ งกายเขา้ สภู่ าวะสมดลุ อกี ครงั้ กัญชาจึงมฤี ทธ์ิกว้างขวาง ในพืชกัญชามีสารออกฤทธิ์มากกว่า ๕๐๐ ชนิด แบ่งเป็น ๑. Cannabinoids ๒.Terpenes ๓. Flavonoids สารกลุ่ม Cannabinoids มีมากกว่า ๑๑๐ ชนิด ท่ีพบมาก คือ Tetrahydrocannabinol (THC) และ Cannabidiol (CBD) และค้นพบว่า THC และ CBD มีสรรพคุณทางการแพทย์หลายประการ THC มีผลทาให้เกิดอาการมึนเมาได้ ในขณะท่ี CBD ไม่มีฤทธิ์มึนเมา แต่ไปช่วยยับย้ังอาการมึนเมาจาก THC ได้ ดังน้ันจึงพบว่า การใช้สารกัญชาสกัดจากพืชแบบรวมๆ มีสารออกฤทธิ์หลายชนิดร่วมกัน จะได้ผลดีกว่าการใช้ สารกัญชาแบบสารออกฤทธชิ์ นดิ เดยี ว เรียกว่า เป็น Entourage effect

ข จากอนุสัญญาเด่ียวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ.๑๙๖๑ และพิธีแก้ไขอนุสัญญาเด่ียวว่าด้วยยา เสพติดให้โทษ ค.ศ. ๑๙๖๑, ค.ศ.๑๙๗๒ SINGLE CONVENTION ON NARCOTIC DRUGS,1961, AS AMENDED BY THE 1972 PROTOCOL AMENDING THE SINGLE CONVENTION ON NARCOTIC DRUGS,1961 ซึ่งราชอาณาจักรไทยเปน็ ภาคีประเทศ หากจะให้มีการเพาะปลูกและผลิตกัญชาภายในประเทศ จะต้องมหี น่วยงานระดบั ชาติขึ้นมารบั ผดิ ชอบ การกาหนดพ้ืนท่ีเพาะปลูกและการรับซ้ือ จดั เกบ็ และส่งรายงาน ต่อสหประชาชาติ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมฉบับท่ี ๗ พ.ศ.๒๕๖๒ ได้เปิดโอกาสให้มีการใช้กัญชาในทางการแพทย์ได้ในประเทศและยังพบปัญหาและข้อปฏิบัติที่ยังส่งผล ให้ประชาชนเข้าถึงกญั ชาทางการแพทย์ได้อย่างยากลาบากดงั นี้ ปญั หาการใชป้ ระโยชนจ์ ากกญั ชาทางการแพทย์ จาแนกออกไดด้ งั น้ี ปัญหาของผู้ใช้ ประชาชนทัว่ ไป ๑) ผ้ปู ว่ ยสว่ นหนง่ึ ต้องไปพึง่ ยากญั ชาทไี่ ดผ้ ลแบบไม่ถูกกฎหมาย ๒) การใชย้ ากญั ชาในการบาบัดรกั ษาตนเองตามภมู ิปัญญาในท้องถิน่ ไมส่ ามารถทาได้ ๓) ยากญั ชาหลายตารับทไี่ ดผ้ ลแตไ่ ม่ถูกอนญุ าตให้ใช้ ๔) ผู้ปว่ ยบางสว่ นต้องรับโทษในการใชย้ ากัญชาบาบัดรกั ษาตนเองทไ่ี ม่ถกู กฎหมาย ผูม้ สี ทิ ธิ์สง่ั จ่ายยากญั ชาตามกฎหมาย ๑) การฝึกอบรมการสง่ั จ่ายยากญั ชาตามกฎหมาย มวี ตั ถปุ ระสงคใ์ หก้ ลัวการส่ังจ่ายยากญั ชา ๒) การฝกึ อบรมการส่งั จา่ ยยากญั ชาตามกฎหมาย กาหนดเง่อื นไขใหม้ ีการจัดสอบวดั ความรู้ หลงั จากฝึกอบรม ทาใหต้ อ้ งเสียเวลารอคอยและมีคา่ ใช้จา่ ยเพมิ่ ขึน้ โดยไมจ่ าเป็น ๓) ไม่สามารถสั่งจ่ายยากญั ชาได้ตามความรูท้ ี่มีการเปล่ียนแปลงอยา่ งต่อเนื่องได้ ๔) ไม่สามารถปรุงยากญั ชาใหก้ บั ผปู้ ่วยเฉพาะรายตามความรู้ใหมท่ ่ีมีการเปลีย่ นแปลงไปได้ ๕) ยากัญชาตามกฎหมายในสถานพยาบาลภาคเอกชนขาดแคลนไมเ่ พียงพอกับความต้องการ ๖) ต้องได้รับโทษทางอาญา หากจ่ายยาทไ่ี ดผ้ ลในการรักษาแตม่ าจากขบวนการผลติ ทีไ่ ม่ได้รบั อนญุ าต ปัญหาของผผู้ ลติ ๑) การขออนุญาตในการปลูกกัญชาตามกฎหมาย มีขัน้ ตอนที่ยงุ่ ยากและซบั ซอ้ น คา่ ใชจ้ า่ ย ในการดาเนินการมาก และใชร้ ะยะเวลานานเกินความเหมาะสม ๒) ผู้ประกอบการภาคเอกชนหรอื เกษตรกรยังไม่ได้ประโยชน์ จากการผลติ กญั ชา ทางการแพทย์ ๓) เกษตรกรทร่ี วมกันเปน็ วสิ าหกิจชุมชนตอ้ งใชเ้ งนิ ลงทุนจานวนมาก แตไ่ ม่สามารถจาหนา่ ย ใหม้ รี ายรับเขา้ ส่วู สิ าหกจิ ชมุ ชนได้ แมจ้ ะสามารถรว่ มมอื กับภาครฐั ตามกฎหมายแลว้ กต็ าม ปญั หาของผูป้ ระกอบการ ๑) ภาคเอกชนยังไม่สามารถนาเข้า ผลิต ส่งออกหรือจาหน่ายได้ ต้องร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ซึง่ มหี น้าทตี่ ามกฎหมาย ในรปู แบบของวิสาหกิจชมุ ชน ตอ้ งเสียค่าใชจ้ า่ ยโดยไมไ่ ดป้ ระโยชนต์ อบแทน ๒) สถานพยาบาลภาคเอกชนไมม่ ียากญั ชาสาหรบั จาหนา่ ยให้กับผู้ปว่ ย

ค ข้อเสนอในการแกไ้ ขปญั หากญั ชาทางการแพทย์อย่างเปน็ ระบบ ระยะเร่งดว่ น ๑) ขอให้คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ แต่งตั้งอนุกรรมการในระดับจังหวัด ตามมาตรา ๑๔ แหง่ พระราชบญั ญัติยาเสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ.๒๕๒๒ ทาหนา้ ที่ให้ความเห็นชอบในการอนุญาตแทนคณะกรรมการ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกาหนด และขอให้เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยามอบอานาจ ในการอนุญาตให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด ในเรื่องการเพาะปลูกกัญชาและการครอบครองให้เป็นไปตามเง่ือนไข ของคณะกรรมการอาหารและยา เฉพาะในพน้ื ท่ีจงั หวดั ท่ีรับผดิ ชอบ ๒) ขอให้กระทรวงสาธารณสุขจัดการฝึกอบรมและสอบวัดความรู้ผ่านระบบออนไลน์ให้กับผู้ประกอบ วิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ ทนั ตแพทย์ เภสชั กร และหมอพนื้ บา้ นให้สามารถส่งั จา่ ยยากัญชาได้ โดยใหไ้ ดร้ ับการขึ้นทะเบียนจากสานักงาน คณะกรรมการอาหารและยาหลงั สาเร็จการฝกึ อบรม ระยะยาว - เสนอให้มีกฎหมายเฉพาะ คือ ร่างพระราชบัญญัติพืชควบคุมเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ พ.ศ. .... โดยเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญข้ึนมาคณะหน่ึง เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ดงั กลา่ ว

ง สารบัญ หนา้ ก บทสรปุ ผู้บริหาร................................................................................................................................... ง สารบัญ ................................................................................................................................................ จ รายนามคณะอนกุ รรมาธกิ าร................................................................................................................ ๑ รายงานการพิจารณาศกึ ษา................................................................................................................... ๑ ๑. การดาเนินงาน ................................................................................................................................ ๓ ๒. หนา้ ท่แี ละอานาจของคณะอนุกรรมาธิการ....................................................................................... ๓ ๓. การพิจารณาศึกษา ……………………………………………………………………………………………………………. ๕ ๔. หนว่ ยงานและบคุ คลทเ่ี ก่ียวข้อง …………………………………………………………………………………………. ๗ ๕. เอกสารและกฎหมายทเี่ ก่ยี วข้อง ………………………………………………………………………………………… ๗ ๖. ผลการพิจารณาศกึ ษา…………………………………………………………….……………………………………… ๑๑ ๗. ปญั หาการใชป้ ระโยชน์จากกัญชาทางการแพทย์ ………………………………………………………..……… ๑๒ ๘. ข้อเสนอในการแก้ไขปัญหากัญชาทางการแพทย์อย่างเป็นระบบ…………………………………………… ภาคผนวก............................................................................................................................... ๑๓ ภาคผนวก ก รา่ งพระราชบัญญตั ิพชื ควบคุมเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ พ.ศ. .... ภาคผนวก ข ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรอื่ ง ระบชุ อ่ื ยาเสพตดิ ให้โทษในประเภท ๕ (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ ภาคผนวก ค ความจรงิ เกยี่ วกบั กัญชาทางการแพทย์ ภาคผนวก ง ข้อเสนอต่อรัฐสภา เพ่ือให้ “กัญชา” เกดิ ประโยชน์ต่อคนไทยมากทีส่ ดุ ภาคผนวก จ ภาพประกอบการประชมุ ของคณะอนุกรรมาธิการ ภาคผนวก ฉ ภาพประกอบการศึกษาดงู านของคณะอนุกรรมาธิการ

จ รายนามคณะอนุกรรมาธิการพจิ ารณาศกึ ษาหาแนวทางการแกไ้ ขปัญหาเกีย่ วกบั การใช้ กญั ชาอยา่ งเปน็ ระบบ ในคณะกรรมาธกิ ารวิสามญั พิจารณาศึกษาหาแนวทางการแกไ้ ขปญั หาเก่ยี วกบั การใช้ กญั ชา กัญชง และกระทอ่ มอยา่ งเปน็ ระบบ นายอนุรักษ์ ตงั้ ปณธิ านนท์ ประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร นายสุชาติ อุสาหะ นายศาสตรา ศรปี าน นายรณเทพ อนุวัฒน์ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนทีห่ น่งึ คนทส่ี อง คนทีส่ าม นายรัฐพล แสนรกั ษ์ นางชชู ีวี ชพี ชล นายมานติ นพอมรบดี รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ อนกุ รรมาธิการ อนุกรรมาธิการ คนที่ส่ี นายชนะ รตั นภักดี นายธีระศักดิ์ แสนวรางกลุ นายเทวญั ธานีรัตน์ อนุกรรมาธิการ อนุกรรมาธิการ เลขานกุ ารคณะอนกุ รรมาธกิ าร

รายงานการพิจารณาศกึ ษา เรอื่ ง “การศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกย่ี วกับการใชก้ ัญชาอย่างเป็นระบบ” ของคณะอนุกรรมาธิการพจิ ารณาศกึ ษาหาแนวทางการแก้ไขปญั หา เก่ยี วกับการใชก้ ญั ชาอย่างเป็นระบบ ในคณะกรรมาธิการวิสามญั พจิ ารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปญั หาเกี่ยวกับ การใช้กัญชา กัญชง และกระทอ่ มอย่างเป็นระบบ สภาผู้แทนราษฎร ---------------------------------------------- ตามที่ท่ีประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับการใช้ กัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างเป็นระบบ สภาผู้แทนราษฎร คร้ังที่ ๒ วันพุธท่ี ๒๒ มกราคม ๒๕๖๓ ได้มีมติ ต้ังคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้กัญชาอย่างเป็นระบบ นั้น คณะอนกุ รรมาธิการคณะน้ี ประกอบดว้ ย ๑. นายอนุรักษ์ ต้งั ปณิธานนท์ เป็นอนกุ รรมาธิการ ๒. นายสุชาติ อสุ าหะ เป็นอนกุ รรมาธกิ าร ๓. นายศาสตรา ศรปี าน เปน็ อนุกรรมาธกิ าร ๔. นายรณเทพ อนุวฒั น์ เป็นอนกุ รรมาธกิ าร ๕. นายรฐั พล แสนรักษ์ เปน็ อนกุ รรมาธกิ าร ๖. นายบญั ญตั ิ เจตนจนั ทร์ เปน็ อนุกรรมาธิการ ๗. นายเท่าพภิ พ ล้ิมจติ รกร เปน็ อนกุ รรมาธกิ าร ๑. การดาเนินงาน ตามที่คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับ การใช้กัญชาอย่าง เป็นระบบ ได้รับมอบหมายให้พิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับการใช้กัญชาอย่างเป็นระบบ กระทาการอื่นใดตามหน้าท่ีและอานาจ สามารถกระทาได้ตามท่ีกฎหมายกาหนดและจัดทารายงานการศึกษา การแก้ไขปญั หาเกี่ยวกบั การใช้กญั ชาอย่างเป็นระบบ รวมทั้ง ดาเนินการตามท่คี ณะกรรมาธิการมอบหมาย นั้น อนึ่ง ทป่ี ระชมุ ไดม้ ีการหารือเก่ียวกับการจะเสนอบุคคลเพ่ือตง้ั เปน็ อนุกรรมาธิการใหค้ รบจานวนสิบคน ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๖ โดยจะเสนอชื่อบุคคลในการประชุมของ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้กัญชา กัญชง และกระท่อม อยา่ งเปน็ ระบบ เพอ่ื ขอมติต้งั อนุกรรมาธิการ คณะอนุกรรมาธิการ ได้มีการเสนอรายชื่อ และมีมติแต่งตั้งตาแหน่งต่าง ๆ ในคณะอนุกรรมาธิการ ซง่ึ ประกอบด้วยดงั น้ี ๑. นายอนุรักษ์ ต้งั ปณธิ านนท์ ประธานคณะอนุกรรมาธิการ ๒. นายสชุ าติ อุสาหะ รองประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร คนท่หี น่ึง ๓. นายศาสตรา ศรปี าน รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คนท่สี อง ๔. นายรณเทพ อนวุ ัฒน์ รองประธานคณะอนกุ รรมาธกิ าร คนที่สาม ๕. นายรัฐพล แสนรกั ษ์ รองประธานคณะอนกุ รรมาธิการ คนทส่ี ี่

๒ ๖. นายเทวัญ ธานรี ตั น์ เลขานกุ ารคณะอนกุ รรมาธกิ าร ๗. นางชูชวี ี ชีพชล อนกุ รรมาธกิ าร ๘. นายชนะ รัตนภักดี อนุกรรมาธกิ าร ๙. นายมานิต นพอมรบดี อนุกรรมาธิการ ๑๐. นายธรี ะศกั ดิ์ แสนวรางกลุ อนกุ รรมาธิการ อน่ึง ในคราวประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับ การใชก้ ัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างเป็นระบบ คร้งั ที่ ๓ เม่อื วันพุธที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๓ ทปี่ ระชมุ ได้มีมติ ให้นายเท่าพภิ พ ลิ้มจิตรกร อนกุ รรมาธกิ าร พ้นจากตาแหนง่ เนือ่ งจากลาออก และมมี ติแต่งต้ังนางชูชวี ี ชพี ชล เป็นอนุกรรมาธิการ แทนตาแหน่งที่ว่าง และในคราวประชุม ครั้งที่ ๖ วันพุธท่ี ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ทปี่ ระชุมได้มมี ตใิ ห้นายบญั ญตั ิ เจตนจันทร์ เลขานกุ ารคณะอนุกรรมาธิการ พน้ จากตาแหนง่ เนื่องจากลาออก และมมี ตแิ ต่งต้ังนายเทวญั ธานีรัตน์ เปน็ เลขานุการคณะอนุกรรมาธิการแทนตาแหน่งทว่ี ่าง รายช่ือที่ปรกึ ษาคณะอนุกรรมาธกิ ารพจิ ารณาศึกษาหาแนวทางการแกไ้ ขปัญหาเก่ยี วกับการใช้กญั ชา อยา่ งเปน็ ระบบ ๑. ผศ.ทศธน จรญู รตั น์ ๒. นายลอย ชุนพงษ์ทอง ๓. นายอรญั เอเวอร่ี ๔. นายชยั วัฒน์ บานใจ ๕. นายณธกร ทศั นสั ๖. นายตอ่ พงศ์พนั ธ์ กิง่ จนั ทร์ ๗. นางสาวกรพินธ์ุ ณ ระนอง ๘. นายแพทย์กติ ติ โลส่ ุวรรณรักษ์ ๙. พันตารวจเอก ปรัชญ์ ออกบัว ๑๐. พันตารวจเอก อนุรักษ์ ประดับมุข ๑๑. นางสาวพชั รธัช โกรัตนะ ๑๒. นายมนุษย์พฒั น์ โลหิตนาวี ๑๓. นางสาวสภุ าภรณ์ ปิตพิ ร ๑๔. นายแพทยบ์ ัญญัติ เจตนจันทร์ ๑๕. นายเทวลิ จรุ ณะโกเศศ ๑๖. นายกาพลศักด์ิ คลงั แสง ๑๗. นายแก้วกา้ ว ถนอมวงศ์ ๑๘. ดร.ศพิ ิมพ์ ศรบงั ลงั ก์ ๑๙. ดร.ทพิ ยส์ ุดา กิจจาพิพฒั น์ ๒๐. นายยอดมนู ภมรมนตรี ๒๑. พล.ต.ต.รมยส์ ทิ ธ์ิ วรี ยิ าสรร ๒๒. นายสงวน พรหมมณี ๒๓. นายนคร ฉิมสกุล

๓ ๒๔. นายสามารถ เจนชยั จิตรวนชิ ๒๕. นายชวษิ ฐา ลิม่ สกุล ๒๖. นายอภริ ักษ์ ปานเนตรแก้ว ๒๗. รศ.นพ.ธวัชชัย กมลธรรม ๒๘. นายธนาชปิ รัตนโรจน์ ๒๙. นายประจญ ไทรเมอื ง ๓๐. นายภาณวุ ัฒน์ จึงแยม้ ป่ิน ๓๑. นายกฤษณ์ ธรี เกาศลั ย์ ๓๒. นางอุดมลักษณ์ อนุ่ ศรี ๓๓. นางสาวปาจรีย์ จาเนียรกุล ๓๔. รศ.ดร.วิเชยี ร กรี ตนิ จิ กาล ๓๕. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ๓๖. ผศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ บัดนี้ คณะอนุกรรมาธิการฯ ได้ดาเนินการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้ กัญชาอย่างเป็นระบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงขอนาเสนอรายงานต่อคณะกรรมาธกิ ารวิสามัญพิจารณาศึกษาหาแนวทาง การแก้ไขปัญหาเก่ียวกับการใช้กัญชา กญั ชง และกระทอ่ มอย่างเป็นระบบ สภาผแู้ ทนราษฎรเพื่อพิจารณาต่อไป ๒. หน้าท่แี ละอานาจของคณะอนุกรรมาธกิ าร ๒.๑ พิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับการใช้กัญชาอย่างเป็นระบบ ซ่ึงมุ่งเน้น การพิจารณาศึกษาเก่ียวกับกัญชาในทุกมิติ ทั้งในเชิงวิชาการและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการนาไปใช้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพอันจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวม โดยคานึงถึงหลักเกณฑ์ภายใน และระหวา่ งประเทศทีม่ ีผลผกู พันกบั ประเทศไทย ๒.๒ กระทาการอืน่ ใดตามหนา้ ที่และอานาจท่ีสามารถกระทาไดต้ ามท่ีกฎหมายกาหนด ๒.๓ จัดทารายงานการศึกษาการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับการใช้กัญชาอย่างเป็นระบบ รวมทั้งดาเนินการ ตามท่คี ณะกรรมาธกิ ารมอบหมาย ๓. การพิจารณาศกึ ษา ๓.๑ กรอบแนวทางการพิจารณาศกึ ษาของคณะอนุกรรมาธิการ คณะอนุกรรมาธิการได้กาหนดกรอบและแนวทางในการดาเนินงาน โดยได้มีการแสดงความคิดเห็น และสรุปสาระสาคญั ในแตล่ ะประเด็น เปน็ มตขิ องท่ีประชมุ ดงั น้ี (๑) กรอบการพจิ ารณาทหี่ นึ่ง การพจิ ารณารบั ฟังข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากกลุ่มผู้ใช้กัญชา เพื่อประโยชนท์ างการแพทย์และทางเศรษฐกิจ ท้งั ภาครฐั และภาคเอกชน ทั้งผู้ทเี่ ห็นด้วยและไมเ่ ห็นดว้ ย (๒) กรอบการพิจารณาที่สอง การพิจารณารับฟังข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากกลุ่มผู้ปลูก ผ้ผู ลิตท้ังภาครฐั และภาคเอกชน (๓) กรอบการพิจารณาท่ีสาม การศึกษาดงู าน ณ สถานท่ตี ่าง ๆ (๔) กรอบการพจิ ารณาทส่ี ี่ การพิจารณาเก่ียวกบั การเสนอแก้ไขเพม่ิ เติมกฎหมายที่เกีย่ วข้อง

๔ ๓.๒ การประชุมคณะอนุกรรมาธกิ าร คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับการใช้กัญชาอย่างเป็น ระบบ ได้พิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับการใช้กัญชาอย่างเป็นระบบ โดยเชิญหน่วยงาน ท่เี กีย่ วข้องมารว่ มประชุมและศึกษาข้อมลู ขอ้ เทจ็ จริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็น จานวน ๗ ครั้งและมกี ารเดนิ ทาง ไปศึกษาดงู าน จานวน ๑ ครัง้ โดยสรปุ ไดด้ ังน้ี ครั้งท่ี ๑ วนั องั คารที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ คร้งั ท่ี ๒ วนั อังคารที่ ๔ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๖๓ คร้งั ท่ี ๓ วนั องั คารท่ี ๑๑ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๓ ครั้งที่ ๔ วนั อังคารท่ี ๑๘ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๖๓ ครงั้ ท่ี ๕ วนั อังคารที่ ๓ มนี าคม ๒๕๖๓ ครั้งที่ ๖ วันองั คารท่ี ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ ครั้งท่ี ๗ วันองั คารที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๓ ครั้งท่ี ๘ วันองั คารที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๓ ครง้ั ท่ี ๙ วนั องั คารที่ ๑๖ มถิ ุนายน ๒๕๖๓ ครัง้ ท่ี ๑๐ วันองั คารท่ี ๒๓ มถิ นุ ายน ๒๕๖๓ ครงั้ ท่ี ๑๑ วนั องั คารท่ี ๓๐ มถิ ุนายน ๒๕๖๓ ครั้งที่ ๑๒ วันองั คารท่ี ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ครั้งที่ ๑๓ วันพุธท่ี ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ๓.๓ การศึกษาดงู านของคณะอนกุ รรมาธิการ ด้วยในคราวประชุมคณะกรรมาธิการวสิ ามัญพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับ การใชก้ ัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างเป็นระบบ สภาผู้แทนราษฎร ครง้ั ที่ ๖ วนั พธุ ที่ ๑๙ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๖๓ ท่ีประชุมได้มีมติให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเก่ียว กับการใช้กัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างเป็นระบบ ร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหา เก่ียวกับการใช้กัญชาอย่างเป็นระบบ เดินทางไปศึกษาดูงานเรื่อง “การปลูกและการเก็บเกี่ยวกัญชาเพื่อใช้ ประโยชนอ์ ย่างเปน็ ระบบ” ระหวา่ งวันพธุ ที่ ๑๘ ถึงวันพฤหสั บดีท่ี ๑๙ มนี าคม ๒๕๖๓ ณ จงั หวัดสกลนคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและรวบรวมข้อมูลการศึกษาวิจัย เพื่อเป็นแนวทางการผลักดันให้เกษตรกร สามารถปลกู กัญชาเพื่อนาไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ อนั จะสง่ ผลดตี อ่ สภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้ รวมทั้งการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับกระบวนการปลูก การเก็บเกี่ยวกัญชาเพ่ือใช้ประโยชน์อย่างเป็นระบบ โดยมกี ารศึกษาดูงานในสถานทดี่ ังนี้ (๑) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตเฉลมิ พระเกียรติ จังหวดั สกลนคร (๒) มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลอสี าน วิทยาเขตสกลนคร จังหวัดสกลนคร (๓) โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝัน้ อาจาโร (คลินกิ กญั ชาทางการแพทย์)

๕ ๔. หนว่ ยงานและบคุ คลท่เี ก่ียวข้อง คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับการใช้กัญชงอย่างเป็นระบบ ได้ดาเนินการเชิญหน่วยงาน บุคคลผู้มีความรู้ความสามารถ และบุคคลท่ีเกี่ยวข้องมาร่วมประชุมและให้ข้อมูล ขอ้ เทจ็ จริง ตลอดจนแสดงความคดิ เหน็ และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ดังน้ี ๔.๑ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ๑) นพ.มรุต จริ เศรษฐ์สริ ิ อธบิ ดีกรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทย์ทางเลอื ก ๒) นางมาลา สรอ้ ยสาโรง ๓) นางสาวณัชชา สาล่วี รรณ์ ๔.๒ แพทยสภา - นพ.ชาตรี บานชนื่ กรรมการแพทยสภา และประธานอนุกรรมการพิจารณา การใชป้ ระโยชนข์ องสารสกัดกัญชาทางการแพทย์ ๔.๓ ราชวิทยาลยั แพทย์เวชศาสตรค์ รอบครวั แห่งประเทศไทย - ผศ.นพ.อภนิ ันท์ อร่ามรัตน์ ประธานราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครวั แห่งประเทศไทย ๔.๔ ราชวิทยาลัยกมุ ารแพทยแ์ ห่งประเทศไทย - ศ. นพ.สมศักดิ์ โลเ่ ลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ๔.๕ มหาวิทยาลัยขอนแกน่ - ผศ.ดร.นพ.ปตั พงษ์ เกษสมบรู ณ์ คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแกน่ ๔.๖ สภากัญชาแหง่ ประเทศไทย ๑) นายภาณุวัฒน์ จงึ แยม้ ป่นิ ๒) นายกิตตพิ รรชน์ ย่งิ กิจภญิ โญ ๔.๗ มหาวิทยาลัยรังสิต - นายปานเทพ พัวพงษพ์ ันธ์ คณบดีสถาบนั แพทยแ์ ผนบูรณาการ และเวชศาสตร์ ชะลอวยั มหาวทิ ยาลยั รงั สิต ๔.๘ สถาบันกัญชาทางการแพทย์ - พญ.สภุ าพร มลี าภ ผู้เชีย่ วชาญดา้ นกัญชาสถาบันกัญชาทางการแพทย์ ๔.๙ สภาเกษตรกรแหง่ ชาติ - นายประพฒั น์ ปัญญาชาติรกั ษ์ ประธานสภาเกษตรกรแหง่ ชาติ ๔.๑๐ มหาวิทยาลยั แมโ่ จ้ - ศ.อานฐั ตันโช ผอู้ านวยการศูนยว์ ิจัยและพฒั นาเกษตรธรรมชาติ มหาวิทยาลยั แมโ่ จ้ ๔.๑๑ โรงพยาบาลคเู มือง - นายกติ ติ โลส่ ุวรรณรกั ษ์ ผู้อานวยการโรงพยาบาลคูเมือง ๔.๑๒ โรงพยาบาลเจา้ พระยาอภยั ภูเบศร์ - นางสาวผกากรอง ขวญั ข้าว เภสัชกรเช่ียวชาญ หวั หนา้ กลุม่ งานเภสชั กรรม

๖ ๔.๑๓ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม อาจารย์ประจาภาควิชาเคมี คณะวทิ ยาศาสตร์ - ผศ.สมชาย แกว้ วงั ชัย เภสชั กรชานาญการพิเศษกองควบคุมวตั ถุเสพตดิ ๔.๑๔ สานักงานคณะกรรมการอาหารและยา - นางสาวกรพนิ ธุ์ ณ ระนอง ๔.๑๕ สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๑) นายชนิสร์ คล้ายสังข์ ผอู้ านวยการกองกฎหมายสวสั ดิการสังคม ๒) นางอุดมลักษณ์ อุ่นศรี นักกฎหมายกฤษฎีกาชานาญการพิเศษ ฝ่ายกฎหมายสาธารณสุข กองกฎหมายสวัสดิการสังคม ๓) นางสาวปาจรีย์ จาเนียรกุล นกั กฎหมายกฤษฎกี ารชานาญการพิเศษ ฝ่ายกฎหมายสาธารณสุข กองกฎหมายสวัสดิการสังคม ๔.๑๖ ผู้แทนจากบริษัทเอกชน ๑) นายกฤษณ์ ธรี เกาศัลย์ ๒) นางสาวปรติ า ชัยภทั รวงษ์ ๔.๑๗ ผแู้ ทนจากภาคประชาชน ๑) นายบณั ฑรู นิยมาภา ๒) รศ.พ.ต.ต.หญิง ฐิชาลักษณ์ ณรงค์วทิ ย์ ๓) นายสุเทพ สุวรรณเกตุ ๔) นายประทีป ตัง้ สหไมตรี ๕) นายณฐั พงศ์ สระประทุม ๖) พ.ต.ท. อมระ มัน่ ดี ๗) นางนัยนา วงศ์ศิริเลศิ ชน ๘) นายวชั รชัย วงศศ์ ริ เิ ลศิ ชน ๙) นายต้นนา้ นยิ มาภา ๑๐) นางสาวนวลฉวี จฑู ะสวสั ด์ิ ๑๑) นางวราภรณ์ ห่นุ ทอง ๑๒) นางสดุ ารัตน์ เกดิ มงคล ๑๓) นายธนาธปิ รตั นโรจน์ ๑๔) ดาบตรี อานาจ กนั เกตุ ๑๕) นายรัตนิพล ลรี เศรษฐากร ๑๖) นายสุพัฒน์ พรหมสะอาด ๑๗) นายพากเพียร ตะเคียนศก ๑๘) นายบัญชา สวุ รรณธาดา ๑๙) นายพงศพ์ สนิ ชพี สาทศิ กุล ๒๐) นางวีระวรรณ ตรงต่อศักด์ิ

๗ ๕. เอกสารและกฎหมายท่ีเก่ียวข้อง ๑) พระราชบญั ญัติยาเสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ๒) พระราชบญั ญัตยิ าเสพติดใหโ้ ทษ (ฉบบั ท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ๓) ร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี .. ) พ.ศ. .... ท่ีเสนอโดยสานักงานคณะกรรมการ อาหารและยา ๔) ประกาศกระทรวงสาธารณสขุ เรือ่ ง ระบชุ อื่ ยาเสพติดใหโ้ ทษในประเภท ๕ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ ๕) กฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๒๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ๕) เอกสารท่ีเก่ียวขอ้ ง ๖. ผลการพิจารณาศกึ ษา จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พบว่ามีการใช้กัญชาทางการแพทย์ในโลกมามากกว่า ๕,๐๐๐ ปี กญั ชาเปน็ สว่ นผสมของตารับยาไทยหลายตารับ ในสมยั พระนารายณ์ เม่อื ๓๖๐ ปีก่อน ในชว่ งศตวรรษที่ ๑๘ นายแพทย์ William O’Shaughnessy ไปพบเห็นชาวอินเดียใช้กัญชารักษาโรคอย่างได้ผลดีจึงนากลับมา เผยแพร่ที่ประเทศอังกฤษ นายแพทย์ John Reynolds แพทย์ประจาสานักราชวงศ์ของอังกฤษบันทึก ประสบการณ์การใช้กัญชารักษาโรค ในช่วง ๓๐ ปีของตนว่า กัญชามีสรรพคุณในการรักษาโรคหลายประการ นายแพทย์ Sir William Osler เขียนตาราแพทย์แผนปัจจุบันเล่มแรก เม่ือปี ค.ศ. ๑๘๙๕ บรรยายสรรพคุณ ของกัญชารักษาโรคไว้หลายตอน เภสัชตารับของประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า กัญชามีสรรพคุณรักษาโรค ต่อไปน้ี ปวดเส้นประสาท, โรคเก้าท์, รูมาตอยด์, บาดทะยัก, โรคกลัวน้า, อหิวาตกโรค, โรคลมชัก, เคลื่อนไหว ผิดปกติจากระบบประสาท, บุคลิกภาพผิดปกติ, ซึมเศร้า, ภาวะถอนพิษสุรา, จิตเภท, และเลือดออกจากมดลกู บริษัทยาในศตวรรษที่ ๑๘ ผลิตยาจากกัญชาวางจาหน่ายตามร้านขายยาอย่างแพร่หลาย ผู้ป่วยซ้ือมาใช้ได้ โดยไมต่ ้องมใี บสง่ั แพทย์ แต่แล้วการใช้กัญชาทางการแพทย์กลับสูญหายไป เพราะในช่วงปลายของศตวรรษท่ี ๑๘ ธุรกิจปิโตรเคมีที่ทรงอิทธิพล มุ่งทาลายคู่แข่งจากธรรมชาติคือกัญชา มีการใส่ร้ายป้ายสี ให้ร้ายกัญชา โดยใช้ งานวิจัยท่ีลาเอียง สร้างภาพยนตร์เผยแพร่ข่าวเท็จ เม่ือประชาชนหลงเชื่อ ก็ออกกฎหมายจัดให้เป็นยาเสพติด รุกคืบผลักดันจนเป็นมติของสหประชาชาติในปี ค.ศ.๑๙๖๑ ให้ทุกประเทศออกกฎหมายบัญญัติให้กัญชา เปน็ สง่ิ เสพตดิ ใหโ้ ทษ ทง้ั ทมี่ กี ารใชป้ ระโยชน์ทางการแพทยม์ านบั ร้อยปี เมื่อความจริงเก่ียวกับกัญชาถูกเปิดเผยทาให้ประชาชนเกิดต่ืนตัว ผลักดันให้แก้ไขกฎหมาย นากญั ชามาใช้ทางการแพทย์ไดส้ าเร็จแลว้ ใน ๖๗ ประเทศ และสามารถใชแ้ บบสันทนาการไดใ้ น ๓๔ ประเทศ จากการค้นในปี ค.ศ.๒๐๑๙ พบว่ามีผลงานตีพิมพ์เรื่องกัญชาทางการแพทย์ในฐานข้อมูล ของห้องสมุดแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา สะสมมากถึง ๒๖,๐๐๐ เร่ือง ข้อค้นพบท่ีสาคัญคือ เซลล์ในร่างกาย ของมนุษย์สามารถสร้างสารกัญชาข้ึนมาได้เอง เรียกว่า สารเอ็นโดแคนนาบินอยด์ (endocannabinoids) มหี น้าทท่ี าใหร้ ะบบของร่างกายทกุ ระบบทางานไดต้ ามปกติ เกดิ ความสมดลุ (Homeostasis) เม่ือร่างกายไม่สามารถผลิตสารเอ็นโดแคนนาบินอยด์ได้เพียงพอ ซ่ึงส่วนหนึ่งเป็นเพราะ การไดร้ บั สารพิษสารเคมี (Toxicity) หรือการขาดสารอาหารทีจ่ าเปน็ (Deficiency) เรียกวา่ ภาวะพร่องเอ็นโด แคนนาบินอยด์ (endocannabinoid deficiency syndrome) การรับสารจากพืชกัญชาเข้าสู่ร่างกาย จะไปกระตุ้นการทางานของระบบกัญชาตามธรรมชาตินี้ ให้สามารถหลั่งสารเอ็นโดแคนนาบินอยด์มากข้ึน ทาใหร้ ่างกายเขา้ สูภ่ าวะสมดุลอีกครัง้ กญั ชาจงึ มีฤทธก์ิ วา้ งขวาง

๘ ในพืชกัญชามีสารออกฤทธ์ิมากกว่า ๕๐๐ ชนิด แบ่งเป็น ๑. Cannabinoids ๒.Terpenes ๓. Flavonoids สารกลุ่ม Cannabinoids มีมากกว่า ๑๑๐ ชนิด ท่ีพบมาก คือ Tetrahydrocannabinol (THC) และ Cannabidiol (CBD) และค้นพบว่า THC และ CBD มีสรรพคุณทางการแพทย์หลายประการ THC มีผลทาให้เกิดอาการมึนเมาได้ ในขณะท่ี CBD ไม่มีฤทธิ์มึนเมา แต่ไปช่วยยับย้ังอาการมึนเมาจาก THC ได้ ดังนั้นจึงพบว่า การใช้สารกัญชาสกัดจากพืชแบบรวมๆ มีสารออกฤทธิ์หลายชนิดร่วมกัน จะได้ผลดีกว่าการใช้ สารกัญชาท่มี สี ารออกฤทธิ์ชนดิ เดยี ว เรียกวา่ เปน็ Entourage effect จากบันทึกในประวัติศาสตร์ ประสบการณ์ของภาคประชาชนและการศึกษาวิจัย พบว่า ยาจากกัญชามีสรรพคุณรักษาและช่วยบรรเทาอาการของโรคได้หลายโรคแบ่งเป็นกลุ่ม ได้ดังน้ี โรคของระบบ ประสาท เช่น ๑. อาการปวด ท้ังปวดระบบประสาท ปวดไมเกรน ปวดมะเร็ง ปวดจากการอักเสบของแต่ละ อวัยวะ ๒. อาการกล้ามเนื้อ ชัก เกร็ง กระตุก สั่น จากโรคระบบประสาทและไขสันหลัง ๓. ความจาเส่ือม อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน และภาวะตัวแข็งจากยารักษาโรคจิต ๔. อาการเบื่ออาหาร ๕. การบาดเจ็บที่ศีรษะ ไขสันหลัง โรคทางจิตเวช เช่น ๑. อาการนอนไม่หลับ ๒. อาการวิตกกังวล โรคเครียดจากเหตุการณ์รุนแรง (Post Traumatic Stress Disorder, PTSD) ๓. อาการทางจิต พฤติกรรมเปลี่ยน เช่น จากโรคจิตเภท โรคออติสติก โรคสมองเสื่อม ๔. อาการลงแดงจากการถอนพิษยาเสพติดอ่ืน เช่น สุรา ยาบ้า เฮโรอีน โรคกลุ่มภูมคิ มุ้ กนั เชน่ ๑. อาการอกั เสบ จากโรคระบบภมู ิคุ้มกันทารา้ ยตนเอง เช่น โรคพุม่ พวง โรครูมาตอยด์ ๒. อาการแพ้ทางผวิ หนัง เช่น โรคสะเก็ดเงิน ๓. ทาให้ร่างกายไม่ปฏิเสธการปลกู ถ่ายอวัยวะ โรคระบบทางเดินอาหาร และการเผาผลาญ เช่น ๑. โรคเบาหวาน ๒. ระบบเผาผลาญอาหารผิดปกติ โรคอ้วน ๓. คล่ืนไส้อาเจียน จากแต่ละสาเหตุรวมทั้งโรคเอดส์ แพ้ยาเคมีบาบัด โรคอื่น ๆ เช่น ๑. โรคความดันโลหิตสูง ๒. แผลเรื้อรัง ๓. ลดความดนั ในลูกตา ในโรคตอ้ หิน ๔. โรคหอบหดื ๕. โรคมะเร็ง คณะอนุกรรมาธิการ ได้มีการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับการใช้กัญชา อยา่ งเปน็ ระบบ โดยสรุปสาระสาคัญได้ดังนี้ ๖.๑ การใช้กญั ชาเพอ่ื ป้องกันโรค โรคสมองเส่ือม การทดลองที่ประเทศอิสราเอล พบว่า เม่ือให้ THC ขนาดต่า เพียง ๐.๐๐๒ mg/kg ในหนูเพียง ๑ ครั้ง หลังจากนั้น ให้สาร lipopolysaccharide (LPS) ซึ่งมีฤทธิ์ทาลายสมอง สามารถ ปกป้องสมองไม่ให้เกิดภาวะ neuroinflammation-induced cognitive damage มีการจดสิทธิบัตรระบุว่า กัญชามีสรรพคุณปกปอ้ งสมอง และตา้ นอนมุ ลู อสิ ระ (neuroprotectant and anti-oxidant) โรคเบาหวาน จากการสารวจทางระบาดวิทยาท่ีประเทศสหรัฐอเมริกา ในคนมากกว่า ๑๐,๐๐๐ คน พบวา่ คนอเมริกันท่ีบรโิ ภคกัญชามีโอกาสเปน็ โรคเบาหวานนอ้ ยกว่าคนที่ไม่ไดใ้ ช้กญั ชา คนทีไ่ ม่เคยใชก้ ญั ชาเลย เป็นเบาหวาน ร้อยละ ๘.๗, คนที่ใช้กัญชา ๑-๔ ครั้งต่อเดือน เป็นเบาหวาน ร้อยละ ๔.๒, คนที่ใช้กัญชาต้ังแต่ ๕ คร้งั ต่อเดอื นขึน้ ไป เปน็ เบาหวาน เพียงรอ้ ยละ ๓.๒ โรคไตเรื้อรัง การรักษาโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงในระยะเวลานาน ในท่ีสุดคนไข้ จะเกิดภาวะโรคไตเรื้อรัง การรักษาเบาหวานและความดันโลหิตสูงแบบธรรมชาติที่ได้ผลดี น่าจะมีส่วนช่วย ลดภาวะโรคไตเรอื้ รัง นอกจากนเ้ี พราะยากญั ชาสามารถรกั ษาบรรเทาอาการปวดเรอื้ รังไดด้ ีมาก ป้องกันการฆ่าตัวตาย การศึกษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า รัฐท่ีแก้กฎหมายให้นากัญชา มาใช้ในทางการแพทย์ได้ จะมีอัตราการฆ่าตัวตายลดลง มากกว่ารัฐที่ยังไม่ได้แก้กฎหมาย เพราะยากัญชา มีฤทธิ์ในการลดความเครียด ภาวะป่วยทางจติ หลงั เหตุการณร์ ุนแรง (PTSD) และลดอาการปวดทรมานไดด้ ี

๙ ลดผลกระทบตอ่ สุขภาพจากการบริโภคสรุ า หลังจากทรี่ ฐั โคโลราโด สหรัฐอเมริกาแกก้ ฎหมาย ให้สามารถใช้กัญชาเพื่อสันทนาการได้ ทาให้อัตราการมาห้องฉุกเฉินจากสุราลดลงจาก อัตรา ๔๐ ต่อพัน ในปี ค.ศ. ๒๐๑๑ เป็น อัตรา ๓๗.๕ ต่อพัน ในปี ค.ศ. ๒๐๑๔ เพราะคนใช้กัญชาทดแทนสุรา และลดอาการ ลงแดงจากสรุ า ๖.๒ วิธใี ชก้ ญั ชาและขนาดยากญั ชา ยาจากกัญชา มีความแตกต่างจากยาแผนปัจจุบัน คือไม่สามารถกาหนดขนาดการใช้ได้ อย่างตายตัว จาเป็นต้องปรับให้เหมาะสมกับแต่ละคน มีปัจจัยที่มีผลต่อขนาดของกัญชาที่เหมาะสม หลายประการ ได้แก่ ๑) สายพันธุ์กัญชา ยากัญชา ๒ ชนิด ที่มี ขนาดของ THC เท่ากัน แต่ถ้ามีส่วนผสม ของ Terpenes ที่แตกต่างกัน ก็ให้ผลลัพธ์ในการรักษาแตกต่างกัน ๒) ความเข้มข้นของยาสกัด ๓) วิธีใช้ยา ใช้แบบสูบ แบบพ่น แบบหยอดใต้ล้ิน แบบกิน แบบสวนทวาร แบบทาภายนอก หรือการผสมผสานหลายวิธี ๔) โรคท่ีผู้ป่วยเป็น รวมถึง ระยะของโรค ระดับความรุนแรง โรคร่วมอื่นๆ ๕) การรักษาแบบอ่ืนที่ได้รับ ๖) การตอบสนองต่อยากัญชาของแต่ละคน ที่มี endocannabinoid tone ไม่เท่ากัน และ ๗) การดื้อยา เมื่อใช้ในระยะเวลานาน แต่ปัจจัยท้ังหมดน้ี ถูกนามาพิจารณาประยุกต์ใช้กาหนดขนาดยากัญชา โดยใช้หลักการสาคัญ คอื “เรมิ่ ทลี ะน้อย แล้วคอ่ ยๆ เพิ่มขนาดจนควบคุมอาการเจบ็ ป่วยได้ (Titration)” (Start Low, Go slow) ตัวอย่างเชน่ เรมิ่ ตน้ ดว้ ยยากญั ชาที่เจือจางด้วยน้ามันมะพร้าวสกัดเย็นให้เหลือตวั ยากัญชาเพียง ๓% ให้คร้ังละ ๑ หยดใต้ล้ินวันละครั้งก่อนนอน คืนต่อมาเพิ่มเป็น ๒ หยดก่อนนอน แบบนี้ไปเร่ือยๆ จนกัญชาออกฤทธิ์ คือ นอนหลับลึกหรือควบคุมอาการปวดได้ อาจจะมีการให้ยากัญชา เพ่ิมตอนกลางวัน ได้อีก วันละ ๑-๒ คร้ังในตอนกลางวัน ตามอาการ บางคนอาจจะต้องใช้มากถึงวันละรวม ๒๐๐ มิลลิกรัม จงึ จะคมุ อาการเจ็บปว่ ยได้ การดื้อยากัญชา เมื่อใช้ยากัญชาในระยะเวลานานแล้วจะไม่ได้ผล เช่น ไม่หายปวด หรือนอน ไม่หลับ ให้หยุดใช้ยากัญชาอย่างน้อย ๔๘ ช่ัวโมง แล้วเริ่มด้วยขนาดเล็กน้อยใหม่ ตัวรับสารกัญชา (Cannabinoid receptors) จะฟน้ื ตวั ๖.๓ ภาวะแทรกซ้อนและข้อควรระวงั จากการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ พบว่าภาวะแทรกซ้อนจากการใช้กัญชา ๕ อันดับ แรกได้แก่ อาการวิงเวียน (Dizziness) อาการง่วง (Sedate) อาการหลอน (hallucinations) อาการชวนง่วง (somnolence) อาการคลื่นไส้ (Nausea) ผลเสียและอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น มักจะเกิดจากการใช้ยา กัญชาที่มากเกินไป โดยเฉพาะคนท่ีเพิง่ ใช้คร้ังแรก วิธีแก้ไขภาวะแทรกซ้อน เม่ือเกิดอาการข้างต้น คือ ๑) ให้ไปนอนพักผ่อน หลับไปเลย ๒) อมเกลือ ๓) อมเมลด็ พริกไทย ๔) กนิ น้าสกดั รางจืด เมื่อร่างกายขจัดยากัญชาออกจากร่างกาย ภายในเวลา ๑๒ – ๒๔ ชว่ั โมง ก็จะหายจากอาการดังกล่าว วิธีป้องกันภาวะแทรกซ้อน ควรเร่ิมใช้ยาขนาดน้อย (เช่น ร้อยละ ๓ เพียง ๑ หยด) และก่อนให้ ยากัญชา ๑๕ นาที ควรดื่มน้า ผสมน้าผ้ึง มะนาว ใส่เกลือเล็กน้อย ๑ แก้ว หรือเลือกใช้วิธีแบบทาภายนอก เชน่ ใชก้ ัญชาผสมนา้ มันมะพรา้ วสกัดเย็นหรอื ยาหมอ่ ง นามาทาบรเิ วณที่ปวด วันละ ๒ - ๓ คร้ัง

๑๐ ผลเสยี ของกญั ชาทถ่ี กู หกั ลา้ งแล้วว่าไม่เปน็ ความจริง มีการกล่าวหา ใส่ร้ายป้ายสีกัญชามากมาย และตอกย้าความเช่ือผิด ๆ น้ี อย่างต่อเน่ือง แต่ขอ้ กล่าวหาเหลา่ น้ีถกู หกั ล้างแล้วดว้ ยงานวิจัยจานวนมาก ตัวอย่างเชน่ • กัญชาจากธรรมชาติไม่ไดท้ าให้เกดิ โรคจติ แตใ่ ช้รักษาโรคจิตได้ • ประเทศอังกฤษมีคนใช้กัญชาเพ่ิมข้ึนถึง ๒๐ เท่า แต่ความชุกและอุบัติการณ์ของการเป็น โรคจติ กลบั มีแนวโนม้ ลดลง • กัญชามีฤทธ์ิเสพติดน้อยกว่ากาแฟ ไม่ได้นาไปสู่การใช้สารเสพติดรุนแรง แต่กลับทาให้เลิก หรอื ลดการใช้ยาเสพตดิ รา้ ยแรงอ่ืนลงได้ • กัญชาไม่ได้ทาให้เดก็ และเยาวชนมปี ญั หาทางทางสมอง งานวิจัยโจมตีกัญชาเรื่องน้มี ักจะไม่ได้ ตดั ตัวแปรกวนเรื่องการใชส้ ารเสพติดตัวอ่นื และปัจจยั ด้านครอบครัว • เด็กท่ีเป็นโรคลมชักที่ใช้ยาแผนปัจจุบันมากถึง ๗ ขนานก็ไม่หายชัก พอมาใช้กัญชา หยุดอาการชักไดแ้ ละสมองดขี นึ้ • เด็กทารกท่ีเกิดจากมารดาท่ีสูบกัญชาในระหว่างการต้ังครรภ์มีสมองและพัฒนาการท่ีดีกว่า กลุม่ ควบคุม • ในสหรัฐอเมริกา พบว่ามลรัฐท่ีแก้กฎหมายแล้ว คดีความเก่ียวกับกัญชาลดลง ทาให้ตารวจ และระบบยุติธรรมมีเวลาไปทางานอื่น ๆ ที่สาคัญได้มากข้ึน ส่งผลทาให้อาชญากรรมลดลง การตายจาก อุบัติเหตุลดลง ระบบเศรษฐกิจดีขึ้น รัฐเก็บภาษีได้มากขึ้น นาไปอุดหนุนโรงเรียน เด็กนักเรียนจบการศึกษา เพิ่มขนึ้ สถิติการตกออกกลางครันลดลง ๖.๔ ตามข้อกฎหมายระหว่างประเทศ จากอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ.๑๙๖๑ และพิธีแก้ไขอนุสัญญาเด่ียวว่าด้วยยา เสพติดให้โทษ ค.ศ.๑๙๖๑, ค.ศ.๑๙๗๒ SINGLE CONVENTION ON NARCOTIC DRUGS,1961, AS AMENDED BY THE 1 9 7 2 PROTOCOL AMENDING THE SINGLE CONVENTION ON NARCOTIC DRUGS,1961 ซงึ่ ในวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ มีประเทศท่ีเปน็ ภาคี จานวน ๑๘๓ ประเทศ และประเทศไทย ได้เข้าเป็นภาคี โดยภาคยานุวัต อนุสัญญาฉบับน้ี เม่ือวันท่ี ๙ มกราคม ๒๕๑๘ (ค.ศ.๑๙๗๓) โดยสานักงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ได้แปลอนุสัญญาน้ีเป็นภาษาไทยแล้ว เม่ือวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ไดก้ าหนดเง่ือนไขการปฏิบัตทิ ่เี กี่ยวข้องกับกัญชาสาหรับแตล่ ะภาคปี ระเทศ ดงั น้ี ภาคีประเทศซึ่งห้ามการเพาะปลูกต้นกัญชาต้องใช้มาตรการที่เหมาะสมเพ่ือยึดพืชผล ท่ีเพาะปลูกโดยผิดกฎหมายและทาลาย เว้นแต่จานวนเล็กน้อยท่ีภาคีประเทศต้องการเพ่ือความมุ่งหมาย ทางวิทยาศาสตร์หรือการวิจัยเท่านั้น หากจะมีการอนุญาตให้มีการเพาะปลูกกัญชาเพื่อการผลิตภัณฑ์จาก กัญชาหรือยางกัญชาต้องจัดต้ังสถาบันกัญชาแห่งชาติเข้ามารับผิดชอบในการกาหนดพ้ืนท่ี ที่จะอนุญาตให้มี การเพาะปลูก โดยใบอนุญาตจะต้องระบุขนาดของท่ีดิน ผู้ท่ีทาการเพาะปลูกจะต้องส่งมอบผลผลิต ต่อสถาบัน กัญชาแห่งชาติ และสถาบันกัญชาแห่งชาติจะต้องซื้อและครอบครองผลผลิตโดยมิชักช้ากว่า ๔ เดือนหลังเก็บ เกี่ยวได้สิ้นสุดลง และสถาบันกัญชาแห่งชาติ มีอานาจเต็มในการที่จะนาเข้า ส่งออก ขายส่งและคงไว้ ซ่ึงคลังผลิตภัณฑ์กัญชา และภาคีประเทศ ต้องกาหนดมาตรการเท่าท่ีจาเป็นเพื่อป้องกันมิให้มีการนาใบกัญชา ไปใชใ้ นทางทีผ่ ดิ

๑๑ ๖.๕ ตามข้อกฎหมายในประเทศไทย กัญชา ถูกระบุในกฎหมายให้เป็นยาเสพติดใหโ้ ทษประเภท ๕ ตามมาตรา ๗ (๕) แห่งพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ ถือเป็นยาเสพติดให้โทษท่ีมิได้เข้าข่ายอยู่ในประเภท ๑ ถึงประเภท ๔ การอนุญาต ให้มีการผลิต นาเข้าหรือส่งออกของกัญชา จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการยาเสพติดให้โทษ ตามมาตรา ๖/๒ ก่อนเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาจึงจะสามารถอนุญาตได้ สาหรับการอนุญาต ครอบครอง และจาหน่ายน้ันเลขาธกิ ารคณะกรรมการอาหารและยาหรือผูไ้ ดร้ บั มอบหมายสามารถอนุญาตได้ กัญชาสามารถใช้เสพเพื่อการรักษาโรคตามคาส่ังของแพทย์ ทันตแพทย์ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์และหมอพื้นบ้าน ที่ได้รับใบอนุญาต หรอื ใชเ้ สพเพ่ือการศึกษาวิจัยได้เท่านั้นตามมาตรา ๕๘ วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ ๗) พ.ศ.๒๕๖๒ โดยตารับท่ีเสพได้ ต้องเป็นไปตามที่รฐั มนตรีประกาศกาหนด ไว้ดังนี้ ๑) ยาที่ได้รับการรับรองจากสานักงานคณะกรรมการอาหาร และยา ๒) ตารับยาแผนไทยที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่ จานวน ๑๖ ตารับ ๓) ตารับที่ได้รับอนุญาตให้ผลิต ในประเทศ ภายใต้การรักษาโรคกรณีจาเป็นสาหรับผู้ป่วยเฉพาะราย ๔) ตารับท่ีได้รับอนุญาตภายใต้โครงการ ศึกษาวิจัยท่ีได้รับอนุญาตจากสานักงานคณะกรรมการอาหารและยา ๕) ตารับยาที่หมอพื้นบ้านปรุงขึ้นจาก องค์ความรู้และภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยท่ีชัดเจนท่ีได้รับรองจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ ทางเลือก โดยที่วัตถดุ ิบตอ้ งไมส่ ามารถแยกเป็นชอ่ ดอก ใบ เพอื่ นาไปใชใ้ นทางที่ผดิ ได้ ในระยะ ๕ ปีแรก ต้ังแต่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ จนถึง ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ อนุญาตให้ เฉพาะหน่วยงานรัฐ ผลิต นาเข้า หรือส่งออกได้ หรือหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายร่วมมือกับ แพทย์ เภสัชกร ทันตแพทย์ สตั วแพทย์ แพทย์แผนไทย แพทยแ์ ผนไทยประยกุ ต์ หรือหมอพนื้ บา้ นตามกฎหมาย หน่วยงานรัฐร่วมกับ สถาบันอุดมศึกษาเอกชนท่ีมีหน้าที่ศึกษาวิจัยและจัดการเรียนทางการแพทย์ หรือเภสัชศาสตร์ หรือหน่วยงานรัฐร่วมมือกับวิสาหกิจชุมชนหรือสหกรณ์การเกษตร ตามมาตรา ๒๑ แหง่ พระราชบญั ญตั ยิ าเสพตดิ ให้โทษ (ฉบบั ที่ ๗) พ.ศ.๒๕๖๒ ซึ่งภาคเอกชนไม่สามารถดาเนนิ การได้ตามลาพงั ๗. ปัญหาการใช้ประโยชนจ์ ากกญั ชาทางการแพทย์ โดยจาแนกออกได้ดงั นี้ ๗.๑ ปญั หาของผู้ใช้ ประชาชนท่วั ไป ๑) ผู้ปว่ ยสว่ นหนงึ่ ต้องไปพง่ึ ยากญั ชาท่ไี ดผ้ ลแบบไม่ถกู กฎหมาย ๒) การใช้ยากญั ชาในการบาบดั รกั ษาตนเองตามภูมิปัญญาในท้องถ่นิ ไม่สามารถทาได้ ๓) ยากัญชาหลายตารบั ท่ไี ด้ผลแต่ไม่ถกู อนญุ าตใหใ้ ช้ ๔) ผปู้ ่วยบางส่วนตอ้ งรับโทษในการใช้ยากัญชาบาบดั รักษาตนเองท่ีไม่ถูกกฎหมาย ผู้มสี ทิ ธิ์สัง่ จา่ ยยากัญชาตามกฎหมาย ๑) การฝึกอบรมการสงั่ จา่ ยยากญั ชาตามกฎหมาย มวี ตั ถปุ ระสงคใ์ หก้ ลวั การส่งั จา่ ยยากญั ชา ๒) การฝึกอบรมการสั่งจ่ายยากัญชาตามกฎหมาย กาหนดเงื่อนไขให้มีการจัดสอบวัดความรู้ หลงั จากฝึกอบรม ทาให้ต้องเสยี เวลารอคอยและมคี ่าใช้จ่ายเพ่ิมขนึ้ โดยไมจ่ าเปน็ ๓) ไมส่ ามารถสงั่ จ่ายยากัญชาไดต้ ามความรู้ทมี่ กี ารเปลีย่ นแปลงอยา่ งต่อเนื่องได้ ๔) ไม่สามารถปรงุ ยากัญชาใหก้ บั ผปู้ ่วยเฉพาะรายตามความรู้ใหมท่ ่ีมีการเปล่ียนแปลงไปได้ ๕) ยากญั ชาตามกฎหมายในสถานพยาบาลภาคเอกชนขาดแคลนไม่เพียงพอกบั ความต้องการ ๖) ตอ้ งไดร้ บั โทษทางอาญา หากจ่ายยาทไ่ี ดผ้ ลในการรักษาแต่มาจากขบวนการผลิตท่ีไม่ไดร้ บั อนญุ าต

๑๒ ๗.๒ ปัญหาของผู้ผลติ ๑) การขออนุญาตในการปลูกกัญชาตามกฎหมาย มีขั้นตอนที่ยุ่งยากและซับซ้อน ค่าใช้จ่าย ในการดาเนินการมาก และใชร้ ะยะเวลานานเกนิ ความเหมาะสม ๒) ผู้ประกอบการภาคเอกชนหรือเกษตรกรยังไม่ได้ประโยชน์ จากการผลติ กัญชาทางการแพทย์ ๓) เกษตรกรท่ีรวมกันเป็นวิสาหกิจชุมชนต้องใช้เงินลงทุนจานวนมาก แต่ไม่สามารถจาหน่าย ให้มรี ายรบั เข้าส่วู ิสาหกิจชุมชนได้ แม้จะสามารถร่วมมอื กบั ภาครัฐตามกฎหมายแล้วกต็ าม ๘. ขอ้ เสนอในการแก้ไขปญั หากัญชาทางการแพทยอ์ ย่างเป็นระบบ ระยะเร่งด่วน ๑) ขอให้คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ แต่งต้ังอนุกรรมการในระดับจังหวัด ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ ทาหน้าท่ีให้ความเห็นชอบในการอนุญาตแทน คณะกรรมการตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกาหนด และขอให้เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา มอบอานาจในการอนุญาตให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด ในเร่ืองการเพาะปลูกกัญชาและการครอบครอง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขของคณะกรรมการอาหารและยา เฉพาะในพื้นที่จังหวัดที่รับผิดชอบ เหตุผล เพ่ือลดปัญหา ระยะเวลาในการรอคอย ลดค่าใช้จ่าย ของผู้ขออนุญาต ซึ่งส่วนใหญ่ ในระยะเวลาภายใน ๕ ปี นับแต่พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ.๒๕๖๒ บังคับใช้ เป็นหน่วยงานภาครัฐแต่เพียงอย่างเดียว หรือวิสาหกิจชุมชนร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และ เป็นการลดภาระงานและงบประมาณของหน่วยงานที่รับผิดชอบคือสานักงานคณะกรรมการอาห ารและยา จะสามารถไปทาหนา้ ท่อี ืน่ ในการดูแลประชาชนไดเ้ พิ่มขึน้ ตามอานาจหนา้ ท่ใี นกฎหมาย เพราะตามแนวทางของสานักงานคณะกรรมการอาหารและยาในกรณีพื้นท่ีเพาะปลูก อยู่ในต่างจังหวัด ต้องผ่านการพิจารณาจากผวู้ ่าราชการจังหวัด โดยความเห็นจากคณะกรรมการที่ผูว้ ่าราชการ จังหวัดแต่งตั้งหรือมอบหมายให้พิจารณา หรือคณะทางาน จากศูนย์อานวยการป้องกันและปราบปราม ยาเสพตดิ ระดบั จงั หวดั : ศอ.ปส.(จ) ๒) ขอให้กระทรวงสาธารณสุขจัดการฝึกอบรมและสอบวัดความรู้ผ่านระบบออนไลน์ให้กับ ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ ทนั ตแพทย์ เภสัชกร และหมอพ้ืนบ้านใหส้ ามารถสงั่ จา่ ยยากัญชาได้ โดยใหไ้ ดร้ ับการข้ึนทะเบียนจากสานักงาน คณะกรรมการอาหารและยาหลังสาเรจ็ การฝกึ อบรม เหตผุ ล ผู้มีสิทธิสั่งจ่ายยากัญชามีจานวนน้อยไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้ป่วยที่มีความ ประสงค์จะใช้ยากัญชาที่มีอยู่ทั่วประเทศ เพราะกัญชาสามารถใช้ในทางการแพทย์ได้อย่างหลากหลายและ สามารถใช้ทดแทนยาบางประเภทที่นาเข้าจากต่างประเทศได้ หากมีใช้ทางการแพทย์ได้อย่างแพร่หลาย จะส่งผลให้ เกิดการสร้างงานสร้างรายได้แก่ประชาชนอีกจานวนหน่ึงได้ หรือช่วยลดปัญหาทางสังคมจากยาเสพติด ชนิดอ่ืนได้ เน่ืองจากกัญชาน้ันมีสารเสพติดที่มีอันตรายน้อยกว่ากาแฟเม่ือเทียบกันแล้ว หรือน้อยกว่าสุรา หลายเท่า และสามารถนามาใช้ในการบาบดั ผู้ติดยาเสพตดิ ใหโ้ ทษอีกดว้ ย

๑๓ ระยะยาว - เสนอให้มีกฎหมายเฉพาะ คือ ร่างพระราชบัญญัติพืชควบคุมเพ่ือประโยชน์ทางการแพทย์ พ.ศ. .... โดยเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรต้ังคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาคณะหนึ่ง เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ดังกลา่ ว เหตุผล เน่ืองจากกัญชา มีสารเสพติดคือสาร THC เพียงชนิดเดียว ท่ีหากเลิกใช้ยาแล้วจะมีอาการถอน พิษยาหรือลงแดงที่รุนแรงน้อยกว่ายาเสพติดชนิดอื่น คือมีอาการนอนไม่หลับ ปวดเมื่อยตามตัวหรือปวดศีรษะ เล็กน้อย และมีอันตรายต่อสุขภาพน้อยกว่าสุรา บุหร่ี หรือกาแฟ ท่ีกฎหมายให้สามารถจาหน่ายได้อย่างเสรี และพบว่าส่วนอื่น หรือแม้กระท่ังสารชนิดอื่นในกัญชาอีกมากมาย มีประโยชน์สามารถใช้ในการ ผลิต อาหาร เสริม เครื่องสาอาง หรือยารักษาโรค ใบสดยังสามารถใช้ปรุงเป็นยาแผนไทย สาหรับรักษาผู้ป่วยได้ หรือปรงุ อาหารให้อรอ่ ยได้ แต่ประเทศไทยเป็นภาคีประเทศของอนุสัญญาเด่ียวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ.๑๙๖๑ และพิธแี ก้ไขอนุสัญญาเด่ียววา่ ดว้ ยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ.๑๙๖๑, ค.ศ.๑๙๗๒ ซึง่ มีผลบงั คับใช้หากประเทศไทย จะให้มีการปลูกพืชกัญชา จะต้องดาเนินการเง่ือนไขของกฎหมายระหว่างประเทศฉบับนี้ ซึ่งกาหนดให้มี หน่วยงานระดับชาติข้ึนมาดาเนินการผูกขาดการรับซื่อผลิตภัณฑ์กัญชาท้ังประเทศ และให้มีการกาหนดพ้ืนท่ี เพาะปลูกท่ีชัดเจน และรายงานผลการผลิตไปยังหน่วยงานท่ีรับผิดชอบขององค์การสหประชาชาติเป็น ประจาทกุ ปี และกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษของประเทศไทย กาหนดให้สานักงานคณะกรรมการ อาหารและยา เปน็ หน่วยงานทร่ี บั ผิดชอบ ซ่ึงมีภาระงานจานวนมากไม่มีประสบการณ์และความรู้ความสามารถ ท่ีเพียงพอในด้านการเกษตรที่จะดูแลควบคุมได้อย่างท่ัวถึง จาเป็นต้องมีหน่วยงานเฉพาะมาควบคุม กากับ ดูแล ศึกษา วิจัยและพัฒนา และรับซื้อผลผลิตทั้งประเทศ ถือเป็นภารกิจท่ีสาคัญท่ีมีปริมาณงานมาก และมีความสลับซับซ้อนและยากลาบากในการปฏิบัติงาน หน่วยงานเดิมที่มีอยู่ไม่อาจสามารถดาเนินการ ไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ หากประเทศไทยจะใช้พืชกัญชาอีกชนิดหนึ่ง ในการสร้างเศรษฐกิจ สร้างงานสร้างรายได้ ให้กับประชาชนภายในประเทศ เชน่ เดียวกับ ข้าว อ้อยหรอื ยางพารา จึงจาเปน็ ต้องมีกฎหมายวา่ ด้วยพชื กัญชา และพืชอื่นทีม่ สี ารเสพติด ขึน้ มาเป็นการเฉพาะ โดยกาหนดใหม้ ชี ือ่ ว่า กฎหมายว่าด้วยพืชควบคมุ เพื่อประโยชน์ ทางการแพทย์

๑๔ ภาคผนวก

ภาคผนวก ก ร่างพระราชบญั ญตั ิพืชควบคมุ เพือ่ ประโยชน์ทางการแพทย์ พ.ศ. ....

รา่ งพระราชบญั ญตั พิ ชื ควบคุมเพอื่ ประโยชนท์ างการแพทย์ พ.ศ. .... หลกั การ ให้มีกฎหมายว่าด้วยพืชควบคุมเพื่อประโยชนท์ างการแพทย์ เหตผุ ล เน่ืองดว้ ยยาเสพติดใหโ้ ทษประเภท ๕ ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยยาเสพตดิ ให้โทษ เปน็ พชื ทใ่ี ห้สาร เสพติด ซ่ึงอาจก่อใหเ้ กิดปญั หาทางสุขภาพ หรือปัญหาทางสงั คมได้ หากใชอ้ ยา่ งไมถ่ กู ตอ้ งเหมาะสม แตส่ ารเสพติดที่ไดจ้ ากพืชเหล่านน้ั สามารถนามาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ได้ นอกจากนน้ั ยงั พบวา่ สว่ นอนื่ และสารชนิดอ่นื ที่ไดจ้ ากพชื เหลา่ น้ัน สามารถใชเ้ ป็นอาหาร เครื่องสาอาง หรอื แม้กระทั่ง ยารักษาโรค วัสดุอปุ กรณ์ เครื่องใช้ ของใช้ หรืออ่นื ๆ ทส่ี ามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ สรา้ งงาน สร้างรายไดใ้ หป้ ระชาชนในประเทศได้ แต่เน่ืองจากมีกฎหมายระหว่างประเทศซึง่ ราชอาณาจักรไทย ตอ้ งปฏบิ ัติตาม ในฐานะภาคีประเทศที่จะต้องมหี นว่ ยงานระดบั ชาติ มารับผดิ ชอบในการควบคมุ กากบั อนญุ าตและกาหนดขนาดพ้ืนท่เี พาะปลกู ใหเ้ หมาะสม จึงจาเป็นตอ้ งตรากฎหมายน้ี

รา่ ง พระราชบัญญัติพืชควบคมุ เพอื่ ประโยชนท์ างการแพทย์ พ.ศ..... ............................................................ ............................................................ ............................................................ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------- --------------------------------------- โดยทเ่ี ปน็ การสมควรมีกฎหมายว่าด้วยพืชควบคุมเพ่ือประโยชนท์ างการแพทย์ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------- --------------------------------------- ให้ตราพระราชบญั ญัติข้นึ ไว้โดยคาแนะนาและยนิ ยอมของรัฐสภา ดงั ต่อไปน้ี มาตรา ๑ พระราชบญั ญัตนิ ี้เรียกวา่ “พระราชบัญญัติพชื ควบคมุ เพื่อประโยชน์ ทางการแพทย์ พ.ศ. ....” มาตรา ๒ พระราชบัญญตั ิน้ีใหใ้ ช้บงั คบั นบั แต่วันถดั จากวันประกาศราชกิจจานเุ บกษา เป็นต้นไป มาตรา ๓ บรรดาบทบญั ญัติในกฎหมายใดขัดแยง้ กับกฎหมายฉบบั นก้ี ่อนท่ีพระราชบัญญัตินี้ ใช้บงั คับใหใ้ ชก้ ฎหมายฉบับน้ีแทน มาตรา ๔ ในพระราชบญั ญัติน้ี “พืชควบคุม” หมายความว่า พชื ท่มี สี ารเสพติดเปน็ องคป์ ระกอบ ซง่ึ กาหนดโดยพระราช กฤษฎกี า “ผลติ ภัณฑ์ควบคุม” หมายความวา่ ผลิตภัณฑท์ ่ีมสี ารเสพติดซง่ึ ไดจ้ ากพชื ควบคุมในปริมาณ หรอื ความเข้มขน้ ที่คณะกรรมการประกาศกาหนดในราชกิจจานุเบกษา และตอ้ งไดร้ บั การสั่งจา่ ยจาก ผูม้ สี ทิ ธสิ ่งั จา่ ยตามพระราชบัญญัตนิ ้ี “บริโภค” หมายความว่า การนาเขา้ สู่ร่างกายโดยรู้อยวู่ า่ เป็นผลติ ภณั ฑค์ วบคมุ ไม่ว่าด้วยวิธีใด “สถาบนั ” หมายความว่า สถาบันพืชควบคุมเพ่ือประโยชน์ทางการแพทย์แหง่ ชาติ

-๒- “ปลูก” หมายความวา่ การเพาะพนั ธ์ ขยายพันธ์ให้เจรญิ เติบโตหรอื การกระทาไมว่ ่าวธิ ีใด โดยมีวตั ถปุ ระสงค์ให้มีจานวนเพิม่ ขนึ้ “แปรรูป” หมายความวา่ การปรงุ แตง่ หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพหรือคุณสมบตั ิของ พชื ควบคุม “ผลิต” หมายความวา่ การทาใหพ้ ชื ควบคมุ เปน็ ผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าวิธกี ารใด ๆ “จาหนา่ ย” หมายความว่า ขาย จา่ ย แจก แลกเปลี่ยน ให้ “นาเขา้ ” หมายความว่า นาหรอื สง่ั เขา้ มาในราชอาณาจกั ร “สง่ ออก” หมายความวา่ นาหรอื ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร “ผู้รับอนุญาต” หมายความว่า ผไู้ ดร้ ับใบอนุญาตตามพระราชบัญญตั นิ ้ี “ผมู้ สี ิทธิส่ังจ่าย” หมายความวา่ ผ้ปู ระกอบวชิ าชพี เวชกรรมตามกฎหมายว่าดว้ ยวชิ าชีพ เวชกรรม ผปู้ ระกอบวชิ าชพี เภสชั กรรมตามกฎหมายว่าดว้ ยวิชาชพี เภสัชกรรม ผู้ประกอบวชิ าชีพ ทันตกรรมตามกฎหมายว่าดว้ ยวิชาชีพทันตกรรม ผ้ปู ระกอบวชิ าชีพสตั วแพทยต์ ามกฎหมายวา่ ด้วย วชิ าชีพสัตวแพทย์ ผูป้ ระกอบวิชาชพี การแพทยแ์ ผนไทยหรือผูป้ ระกอบวชิ าชพี การแพทย์แผนไทย ประยุกต์หรือหมอพ้ืนบ้านตามกฎหมายว่าดว้ ยวชิ าชพี การแพทย์แผนไทย และอน่ื ๆ ตามท่ีกาหนด ในกฎกระทรวง “สถานประกอบการ” หมายความวา่ สถานประกอบการตามพระราชบญั ญตั นิ ้ี “ผอู้ นญุ าต” หมายความว่า ผู้อานวยการสถาบนั พืชควบคุมเพ่อื ประโยชน์ทางการแพทย์ แหง่ ชาติ หรอื ผู้ซึ่งไดร้ ับมอบหมายจากผ้อู านวยการสถาบนั พืชควบคุมเพอ่ื ประโยชนท์ างการแพทย์ แหง่ ชาติ “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการพืชควบคุมเพ่อื ประโยชนท์ างการแพทย์ แหง่ ชาติตามพระราชบัญญตั ิน้ี “พนักงานเจา้ หนา้ ที่” หมายความว่า ผซู้ ง่ึ รัฐมนตรแี ต่งต้ังให้ปฏิบตั ิการตามพระราชบญั ญัตินี้ “ผูอ้ านวยการ” หมายความว่า ผอู้ านวยการสถาบันพชื ควบคมุ เพ่ือประโยชนท์ างการแพทย์ แหง่ ชาติ “รฐั มนตรี” หมายความวา่ รฐั มนตรีผรู้ กั ษาการตามพระราชบญั ญัตนิ ี้ มาตรา ๕ พระราชบัญญัติน้ีไม่ให้บงั คบั ใช้แกส่ ถาบนั พชื ควบคมุ เพื่อประโยชนท์ างการแพทย์ แหง่ ชาติ แตใ่ หส้ ถาบนั รายงานการรบั การจ่าย การเกบ็ รกั ษา และวิธีการปฏิบัติอย่างอ่ืนเกี่ยวกับ การควบคมุ พชื ควบคุมเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ใหค้ ณะกรรมการทราบทุกหกเดือน แลว้ ให้ คณะกรรมการเสนอความเหน็ ต่อรฐั มนตรเี พื่อสั่งการตอ่ ไป มาตรา ๖ ให้นายกรฐั มนตรีและรฐั มนตรวี ่าการกระทรวงสาธารณสุขรกั ษาการตาม พระราชบัญญตั ินแี้ ละให้มีอานาจแต่งตง้ั พนักงานเจา้ หน้าที่ ออกกฎกระทรวงกาหนดค่าธรรมเนียม ไม่เกนิ อัตราตามบญั ชแี นบท้ายพระราชบัญญัติน้ี ยกเวน้ คา่ ธรรมเนยี ม และกาหนดกจิ การอน่ื กับออกประกาศ ท้งั นเี้ พอื่ ปฏิบัติตามพระราชบัญญตั ินี้ กฎกระทรวงและประกาศน้ัน เมอ่ื ไดป้ ระกาศในราชกจิ จานเุ บกษาแล้วให้ใช้บังคบั ได้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook