Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประเพณีสงกรานต์

ประเพณีสงกรานต์

Description: ประเพณีสงกรานต์.

Search

Read the Text Version

๙๑ ไปกั่นตอหมู่บ้านและวัดต่างๆ ที่ใกล้เคียง การก่ันตอวัดในชุมชนท่ีตนเองอยู่มักจัดพิธีในวันท่ี ๑๘ เมษายน กิจกรรมจะกั่นตอหรือขอขมาพระสงฆ์ที่วัดและก็จะมีการสรงน้าพระพุทธรูปท่ีวัด ให้คนใน ชุมชนได้สรงน้าพระ ชาวบา้ นในชมุ ชนกจ็ ะจัดเตรียมนา้ ส้มปอ่ ย (ดอกมะลิ ฝักส้มป่อย ผงขมิ้นผสมน้า) ในขนั เงินท่เี ตรยี มไป เพ่ือจะกั่นตอหรือขอขมาพระสงฆแ์ ละสรงน้าพระพทุ ธรูปท่ีวัด แล้วพระสงฆ์ให้ค้า อวยพรเปน็ เสร็จพธิ ี ภาคกลาง สงกรานต์พระประแดง เป็นประเพณีท่ีย่ิงใหญ่ โดยเฉพาะชาวไทยเช้ือสายมอญท่ียังคง อนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นถ่ินไว้อย่างครบครันโดยเฉพาะชุมชนมอญพระประแดงท่ีสรรค์สร้างประเพณี สงกรานต์ให้เป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยเช้ือสายมอญอย่างแท้จริง เพราะพวกเขาถือว่าเป็นเวลาที่คน มอญจะต้องแสดงความกตัญญต่อบรรพบุรุษผู้มีพระคุณ ถือเป็นวันรวมญาติ เป็นการกลับมาของคน มอญ เปน็ วันทา้ บุญ เป็นการบชู าบรรพบุรุษและภตู ิผีที่ปกป้องค้มุ ครอง สงกรานต์พระประแดงเป็นวนั สงกรานต์ของชาวไทยเช้ือสายมอญท่ีสนุกสนานมากและเป็นที่ รู้จักของประชาชนชาวไทยทั่วไปทุกท่ี จะมีผู้มาร่วมเล่นน้าในวันสงกรานต์พระประแดงเป็นจ้านวน มาก เนื่องจากจัดภายหลังจากสงกรานต์อื่นๆ (ถัดจากวันสงกรานต์ไทยไปหนึ่งอาทิตย์) จุดเด่นอีก ประการหนึ่งคือ การมีขบวนแห่นางสงกรานต์ พร้อมด้วยขบวนแห่นกแห่ปลาท่ีย่ิงใหญ่สวยงาม ตระการตาที่หลายหนว่ ยงาน/หมบู่ า้ นร่วมกนั จดั ข้นึ สงกรานต์พระประแดงน้ันเป็นท่ีสนุกสนานย่ิง นัก เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วประเทศ ถึงความยิ่งใหญ่และความสวยงามตระการตาของขบวนแห่นาง สงกรานต์ ขบวนรถบุปผาชาติ ขบวนสาวรามัญ–หนุ่มลอยชาย ท่ียังคงรักษาประเพณีเก่าๆ ไว้อย่าง มั่นคงตลอดถึงเอกลักษณ์การแต่งกายด้วยชุดไทยรามัญและชุดลอยชาย ซ่ึงชาวพระประแดงได้รักษา ประเพณีไว้โดยเคร่งครดั ตลอดมา จนถงึ ทกุ วันน้ี เมื่อใกล้จะถึงวันสงกรานต์ ชาวบ้านโดยทั่วไปเฉพาะชาวไทยรามัญแต่ละครอบครัวต่างก็จะ ช่วยกนั ท้าความสะอาดบ้านเรือนของตนก่อนวันสงกรานต์ ๒ – ๓ วัน แต่ละบ้านก็ช่วยกันกวนขนมท่ี เรียกว่า กาละแม บางบ้านก็ท้าขนมข้าวเหนียวแดง เพื่อจะ ได้น้าไปท้าบุญในวันสงกรานต์ และ แจกจ่ายญาติมิตรสหายเพอ่ื ไมตรจี ิตซงึ่ กนั และกัน บา้ นใดกะการหุงข้าวสงกรานต์หรือข้าวแช่ ก็จะเชิญสาวๆ ในหมู่บ้านมาช่วยกันหุงต้มอาหาร เพื่อการท้าบุญ คือในเวลาเช้าสาวที่รับเชิญจะน้าอาหารและข้าวสงกรานต์นั้นไปส่งตามวัดต่างๆ เม่ือ ขากลับจะมีการพรมน้ารดกันเพื่อความสวัสดีศิริมงคล แต่เป็นการรดน้าอย่างมีวัฒนธรรมมิใช่สาด น้า เม่อื สาวกลบั ถงึ บา้ นเจ้าบ้านทจี่ ัด ท้าข้าวสงกรานตก์ จ็ ะเล้ยี งดูสาวๆ และญาติมติ รสหายเป็นการรื่น เริงและไมตรจี ติ ต่อกัน ตามหมู่บ้านชาวไทยรามัญ จะเห็นศาลเพียงตาปลูกเตรียมไว้ เจ้าบ้านจะน้าอาหารใส่กระทง ต้ังไว้บนศาลพร้อมด้วยข้าวแช่ เป็นการสักการะพระพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ ตลอดจนสิ่ง ศักด์ิสิทธ์ิทั้งปวงตามประเพณีการส่งข้าวสงกรานต์น้ัน จะท้าได้ ๓ วัน คือวันท่ี ๑๓ – ๑๔ – ๑๕ เมษายน นอกจากสง่ ขา้ วสงกรานตแ์ ลว้ ตามวัดตา่ งๆ มีผ้ไู ปทา้ บุญกันอย่างมากมาย ในเวลากลางคืนมี บ่อนสะบ้าตามหมูบ่ า้ นเปน็ ทส่ี นุกสนานย่ิงนักบางบ่อนมีถึง ๗ วัน ทั้งน้ี มิใช่เป็นการพนันเอาทรัพย์สิน อยา่ งใด เป็นการละเลน่ อยา่ งหน่ึงตามพ้ืนเมอื งตามบ่อนสะบ้ามีผูช้ มมากมาย และแต่ละคนต่างก็รักษา

๙๒ มารยาทและวัฒนธรรม แต่ละบ่อนจะมีขนมกวันฮะกอ หรือ กาละแม เตรียมไว้ให้รับประทานด้วย และมกี ารร้องเพลงทะแยมอญกล่อมบ่อน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวไทยเชื้อสายรามัญ (มอญ) ในวนั ท้ายของสงกรานตพ์ ระประแดง (ถัดจากวันท่ี ๑๓ เมษายน อกี หน่ึงอาทติ ย)์ ทกุ หมู่บ้านจะรวมใจ กันจัดขบวนแห่นางสงกรานต์น้าขบวนนางสงกรานต์ ขบวนสาวรามัญ – หนุ่มลอยชาย จากหมู่บ้าน ต่างๆ เพ่ือแห่นก – แห่ปลา ไปท้าพิธีปล่อยนก – ปล่อยปลา ณ พระอารามหลวงวัดโปรดเกศ เชษฐาราม ซ่ึงถือเป็นการสะเดาะเคราะห์ท้าให้อายุยืนยาว เม่ือเสร็จสิ้นพิธีแล้วระหว่างเดินทางกลับ บ้านก็จะมหี นุ่มในหมูบ่ า้ นต่างๆ ออกมาเล่นสาดน้ากับสาวๆ ด้วยกิริยาท่าทีท่ีสุภาพรดแต่พองาม และ คุยกันตามประสาหนุ่มสาวตลอดทางท่ีเดินกลับบ้าน สงกรานต์พระประแดงจะมีกิจกรรมต่างๆ ใน เทศกาลดังนี้ ๑. ประเพณสี ง่ ข้าวสงกรานต์ การส่งข้าวสงกรานต์เป็นประเพณีที่คาดว่าจะได้รับอิทธิพลจากต้านานสงกรานต์ เมื่อตอนท่ี ท่านเศรษฐีน้าเคร่ืองสังเวยไปบวงสรวงเทวดาท่ีต้นไทรเพื่อขอบุตร ข้าวสงกรานต์น้ันเป็นการหุงข้าว แล้วแช่ลงในน้าดอกมะลิบรรจุลงในหม้อดิน ส่วนกับข้าวน้ันก็จะเป็นอาหารเค็ม เช่น ไข่เค็ม ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ของหวาน ได้แก่ ถ่ัวด้าต้มน้าตาล กล้วยหักมุก แตงโม จัดวางใส่ถาดให้เท่ากับวัดท่ี จะไป สาวๆ ในหมู่บ้านก็จะรับข้าวสงกรานต์ไปส่งตามวัดต่างๆ ขากลับ จะมีหนุ่มๆ มาคอยดักรดน้า และเกย้ี วพาราสตี ามวสิ ัยหนุ่มสาวทั่วๆ ไป ๒. ประเพณสี รงน้าพระ – รดนา้ ขอพรผใู้ หญ่และเล่นน้าสงกรานต์ ในช่วงท้ายของสงกรานต์ชาวมอญในพระประแดง จะมีประเพณีสรงน้าพระพุทธรูป วัดที่มี พระพทุ ธรปู มากมายและสวยงามคือ วัดโปรดเกศเชษฐาราม ในตอนเย็นหนุ่มสาวก็จะพากันน้าน้าอบ ไปสรงน้าพระพทุ ธรปู รอบวดั เม่อื เสรจ็ สนิ้ จากการสรงน้าพระพุทธรปู แลว้ หนุ่มสาวก็จะพากันน้าน้าอบ ไปรดน้าของพรผู้ใหญ่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เม่ือเสร็จส้ินแล้วระหว่างเดินทางกลับบ้านก็จะมีหนุ่ม ในหมู่บ้านต่างๆ ออกมาเล่นสาดน้ากับสาวๆ ด้วยกริยาท่าทีท่ีสุภาพ รดแต่พองามและคุยกันตาม ประสาหนุ่มสาวตลอดทางท่ีเดินกลับบ้าน ๓. ประเพณีแหห่ งสธ์ งตะขาบ ในสมัยโบราณจะใช้ลานบ้าน ปักหลักหัวท้ายแล้วเอาธงตะขาบขึงไว้ท้าประร้าพิธีส้าหรับ อาราธนาพระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ตอนเย็น พอรุ่งเช้าชาวบ้านจะน้าอาหารขัน แกงโถ มาตัก บาตรท้าบุญเล้ียงพระกัน ถือเป็นการปัดเสนียดจัญไรในหมู่บ้าน และด้วยอ้านาจบารมีแห่ธงตะขาบ จะเป็นการน้าความมีโชคชัย ความสุขสวัสดีมาสู่ทุกคนในหมู่บ้าน จากนั้นตกเวลาบ่ายพวกหนุ่มๆ สาวๆ ผู้เฒ่าผู้แก่จะออกมาช่วยกันถือธงตะขาบข้างละ ๘ คน ด้านหัวอีก ๑ คน (เป็นชาย) แห่เป็น กระบวนไปท่ีวัด เพ่ือจะชักธงนี้ข้ึนสู่ยอดเสาหงส์ บางคนมีความศรัทธาอย่างแรงกล้าถึงกับตัดผมของ ตวั เองผูกตดิ ไว้กบั ธงตะขาบ เพื่อเป็นพทุ ธบูชาอกี ดว้ ย เมอ่ื ถงึ วันแห่หงส์ เจ้าภาพจะพับผ้าหางหงส์วางบนพานท่ีเตรียมไว้ แล้วน้าไปยังวัด เข้าไปใน โบสถ์กราบพระประธานของวัดแล้วท้าการแห่รอบอุโบสถ ๓ รอบ ในพิธีแห่จะมีกลองยาวตีน้าหน้า อย่างสนุกสนาน เม่ือครบแล้วก็น้าผ้าหางหงส์ไปยังเสาหงส์ ผูกรอกแล้วชักข้ึนไปยังยอดเสาจนถึงตัว หงส์ และให้ประชาชนท่มี าทกุ คนได้ชว่ ยกันชักเสาหงส์ขึ้นตง้ั ไว้ ๔. ประเพณสี งกรานต์ ประเพณแี ห่นกแหป่ ลา

๙๓ ประเพณีแห่นกแห่ปลา เกิดจากความเชื่อของชาวมอญท่ีว่าการปล่อยนก ปล่อยปลา เป็น การสะเดาะเคราะห์ให้แก่ตนเองท้าให้มีอายุยืนยาว และเป็นประเพณีหนึ่งในเทศกาลสงกรานต์ท่ีจัด พร้อมกับขบวนแห่นางสงกรานต์ในวันสุดท้ายของเทศกาลสงกรานต์พระประแดง ซึ่งชาวมอญยึดถือ และปฏิบตั ิสืบตอ่ กันมาจนเป็นประเพณีแห่นกแห่ปลาในที่สุด เทศบาลเมืองพระประแดงพิจารณาเห็น วา่ ประเพณีแหน่ กแหป่ ลา เป็นประเพณีทด่ี งี ามสมควรอนุรกั ษ์ไว้ จึงได้รับเป็นผู้สืบสานประเพณีน้ี โดย จดั ใหม้ ขี บวนแห่นกแห่ปลา ในขบวนแหน่ างสงกรานต์ทุกปีสบื ทอดมาจนถงึ ปัจจุบนั ๕. ประเพณีแห่นางสงกรานต์ ในวันท้ายวันสงกรานต์จะมีขบวนแห่นกแห่ปลา แต่ละหมู่บ้านจะเชิญสาวเข้าร่วมขบวนแห่ โดยมอบให้ผู้ท่ีเป็นคนกว้างขวาง รู้จักคนมาก น้าหมากพลูจีบใส่พานไปเชิญสาวตามหมู่บ้านต่างๆ แล้วแต่จะก้าหนดว่าหมู่บ้านใดจะเชิญสาวก่ีคน ก็เตรียมหมากพลูไปเท่ากับจ้านวนสาวที่ต้องการ สาวใดเม่ือได้รับหมากพลูไปแล้วเขาก็จะมาร่วมเข้าขบวน ส่วนการแต่งกายน้ันแล้วแต่จะสะดวก เม่ือสาวมาพร้อมกันแล้วผู้ที่มีหน้าท่ีคัดเลือกสาวงาม ก็พิจารณาดูว่าผู้ใดสวยที่สุดก็ให้เป็น นางสงกรานต์ในปนี ้นั ต่อมาภายหลงั ไดม้ อบใหผ้ มู้ ีหน้าทีค่ ัดเลอื กสาวไดม้ องหาสาวที่สวยๆ ไว้แต่เนิ่นๆ ก่อน เม่ือใกล้วันสงกรานต์จะเชิญสาวที่หมายตาไว้น้ันให้เป็นนางสงกรานต์ส่วนคนอื่นๆ ก็ให้เป็นนาง ประจา้ ปี หรือ นางฟ้าตามลา้ ดบั ไป ซงึ่ วธิ ีการน้ีจะไดส้ าวงามซึง่ เปน็ ชาวพระประแดงท่ีแท้จริง ต่อมาใน ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้จัดให้มีการประกวดนางสงกรานต์ข้ึนเป็นครั้งแรก และได้ท้าการประกวดติดต่อกัน มาจนกระท่ังถึงปัจจุบันนี้ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๔๑ จึงจัดให้มีการประกวดหนุ่มลอยชายควบคู่กับ การประกวดนางสงกรานต์ ๖. การละเล่นพื้นเมอื งการละเลน่ สะบ้า (มอญ) (วอ่ น – ฮะ – นิ) ในช่วงเวลาวันสงกรานต์ทุกปี ตามหมู่บ้านจะมีการแสดงสะบ้า หรือการละเล่นสะบ้าของ หนุ่มสาว เป็นการละเล่นพื้นเมืองของชาวไทยรามัญ การละเล่นสะบ้ามีประมาณ ๓๐ กว่าบท เป็น ลลี าการแสดงพน้ื เมือง การละเล่นสะบ้ามิใช่การเล่นพนันขันต่อแต่อย่างใด มีการเล่นในเวลากลางคืน บ่อนหน่ึงๆ จะมีสาวงามประจ้าบ่อนอย่างน้อย ๗ คู่ อย่างมาก ๑๐ คู่ บ่อนใช้ใต้ถุนเรือนหรือท่ีว่าง พอท่ีจะตกแต่งเป็นบ่อนสะบ้าได้ บ่อนจะต้องทุบดินให้เรียบแต่งบ่อนด้วยกระดาษสีต่างๆ มีแสงสว่าง มากพอปัจจุบันได้ใช้ไฟฟ้า (สมัยก่อนเราใช้ไฟตะเกียงหรือไฟใต้) ลูกสะบ้าน้ันกลึงเป็นลูกกลมแบน เรียบ ท้าด้วยเขาสัตว์ เช่น เขาวัว เขาควาย เงิน ทองเหลือง หรือไม้เนื้อแข็งก็ได้ การละเล่นสะบ้ามี หนุ่มฝ่ายหน่ึง และสาวฝ่ายหน่ึงแสดงสลับกันไปตามลีลาของวิธีเล่นสะบ้าพื้นเมือง ซ่ึงมีประมาณ ๑๕ ถงึ ๓๐ ท่า เช่น ท่นิ เติง จ้ังฮะยู อีมาย ยบั ตองเกม้ อะลอง เดิง เป็นตน้ ๗. การละเลน่ พน้ื เมืองทะแยมอญ การเลน่ ทะแยมอญ คล้ายเพลงฉ่อยหรือล้าตัดเป็นร้อยกรองชนิดหนึ่งคล้ายกับกลอนร่ายของ ไทยประเภทเพลง เนื้อร้องใช้ภาษามอญ เป็นบทไหว้ครู ชมนกชมไม้ เกี้ยวพาราสี ให้ศีลให้พรส้าหรับ ผใู้ หญ่ ฝ่ายชายใช้เพลงเจื้อกม่วั ฝ่ายหญิงใช้เพลงโป้ดแซ่ เคร่อื งดนตรีประกอบการแสดงมี ๕ ชนิด คือ ซอสามสาย (มอญ) จะเข้ ขลุย่ เปงิ บาง ฉิง่ การแต่งกายชุดรามัญ (ชายชดุ ลอยชาย หญงิ ชดุ มอญ) ทะแยมอญ ใช้ร้องในโอกาสอันเป็นมงคล เป็นการละเล่นพ้ืนเมืองของชาวไทยเชื้อสายรามัญ ท่ีอาศยั อยู่ในเมืองพระประแดง(ชาวปากลดั ) การเลน่ ทะแยมอญกล่อมบ่อนสะบ้าในเทศกาลสงกรานต์ เป็นการร้องโต้ตอบกันในเชิงเก้ียวพาราสีระหว่างฝ่ายชายกับฝ่ายหญิง โดยมีการร้าประกอบการ

๙๔ เคล่อื นไหว ของผู้รา้ เน้นหนักทมี่ อื และในวันทา้ ยวันสงกรานต์ก็จะมีการแสดงทะแยมอญร่วมในขบวน แหน่ กแห่ปลาเปน็ ประจ้าทุกปี ซ่งึ ปจั จุบนั ได้เลือนหายไปเปน็ ท่ีนา่ เสียดายยง่ิ ๘. ประเพณกี ารกวนกาละแม (กวันฮะกอ) เมื่อถึงเทศกาลประเพณสี งกรานตข์ องชาวมอญปากลัด ชาวมอญจะท้าความสะอาดบ้านเรือน แต่เนิ่นๆ และท้าขนมที่มอญเรียกว่า กวันฮะกอ แปลเป็นภาษาไทยว่า ขนมกวน ประกอบด้วย ข้าวเหนียว น้าตาลมะพร้าว กะทิ กวนให้เข้ากันจนเหนียว คนไทยเรียกว่า กาละแม คนมอญ ก็เรียก กาละแม ด้วย เม่ือถึงวันสงกรานต์คนมอญจะน้าอาหารไปท้าบุญที่วัด ตอนเย็นจะพากันไป รดน้าขอพรจากผู้ใหญ่และผู้ท่ีเคารพนับถือ บรรดาสาวๆ ตามหมู่บ้านจะน้าขนมกาละแมไปส่งตาม ญาติหรือผู้ท่ีเคารพนับถือในต่างต้าบล และชอบท่ีจะไปส่งไกลบ้านตน (ซ่ึงความจริงทุกบ้านก็กวน กาละแมถอื ว่าเปน็ โอกาสไดเ้ ย่ียมเยียนพบปะกนั ) ตอนเย็นจะพากันไปสรงน้าพระท่ีวัดโปรดเกศเชษฐา ราม หนุ่มๆ ที่คอยสาวๆ อยู่จะพากันรดน้าสาวๆ เป็นท่ีสนุกสนานเป็นโอกาสท่ีหนุ่มสาวจะพบกัน ได้ ในงานสา้ คญั น้ี พอตกกลางคนื จะมีการเล่นสะบ้าตามประเพณีตามหมู่บ้านของตนและการเล่นสะบ้านี้ จะมขี นมกวันฮะกอ เตรยี มไวใ้ ห้รบั ประทานด้วยปัจจุบันน้ี ประเพณยี ังคงมีอยูต่ ามหมูบ่ า้ นตา่ งๆ ๑๐. ประเพณีค้าต้นโพธ์ิ โดยยึดว่าปีน้ีวันเนา (วันที่ ๑๔ เมษายน) คือตรงวันอะไรก็จะท้าใน วันน้ัน เช่นปีนี้วันเนาตรงกับวันจันทร์ คนท่ีเกิดวันจันทร์ก็จะเอาไม้กะถินทาขมิ้นไปค้าท่ีต้นโพธ์ิ พิธีน้ี จะคลา้ ยทางภาคเหนอื โดยเชือ่ วา่ จะตอ่ อายุ ๑๑. ประเพณรี า้ เจา้ พอ่ เจ้าแม่ พ้ืนฐานคนมอญมีความเชื่อเร่ืองผี บรรพบุรุษ ผีเจ้าพ่อเจ้าแม่ก็จะเป็นผีประจ้าหมู่บ้าน เช่น บา้ นแซ่ก็จะมเี จ้าพอ่ หนมุ่ ฯลฯ จะรา้ ช่วงก่อนสงกรานต์หรือหลังสงกรานต์ ร้าเพ่ือเสี่ยงทายแต่ละปีว่า จะเปน็ ยังไง และเปน็ การบชู าดว้ ย ๑๒. ประเพณเี ล้ียงผี ทุกบ้านก็จะมีผีที่นับถือ เช่น ผีเตา ผีข้าวเหนียว ผีมะพร้าว ผีงู ผีข้าวหลาม ฯลฯ ซึ่งแต่ละ บ้านก็จะมีความเชื่อแตกต่างกันไป เช่นที่บ้าน นับถือผีมะพร้าว ช่วงสงกรานต์ก็จะท้าการเปลี่ยนลูก มะพร้าวท่เี คยแขวนนบั ถือไว้ทเ่ี สาเอกของบา้ น และคอยดูแลไมใ่ หล้ ูกมะพรา้ วแก่ ตกลงพ้ีน หรือเชือก ขาด เพราะผีจะโกรธและจะเกดิ อาเพศ ภาคอสี าน งานประเพณีสงกรานต์หรืองานบุญขึ้นปีใหม่ ซ่ึงตรงกับวันข้ึน ๑๕ ค้่า เดือนห้า เป็น ประเพณที ี่มนี ้าเขา้ มาเก่ียวขอ้ ง อาทิ มีการสรงน้าพระพุทธรูป สรงน้าพระสงฆ์ รดน้าขอพรจากผู้เฒ่า ผูแ้ กแ่ ละผู้ทเ่ี ราเคารพนับถือ สรงน้าอัฐิของบรรพบุรุษ /ญาติท่ีล่วงลับ การจัดกิจกรรมต่างๆ ส่วนมาก จะจัด ๓ วัน ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๕ เมษายน ของทุกปี โดยชาวบ้านจะมีการเตรียมงานล่วงหน้า ๒-๓ วัน กลา่ วคือ ชาวบ้านจะตอ้ งออกหาฟืน หาอาหารและเสบยี งอาหาร ต้าข้าวไว้ส้าหรับการรับประทาน ในช่วงวันสงกรานต์ อย่างน้อย ๕ - ๗ วัน ตักน้าใส่ตุ่มให้เต็ม เก็บกวาดบ้านเรือนให้เรียบร้อย เน่ืองจากเมอ่ื เริม่ วนั สงกรานต์หรอื ภาษาอสี านเรียกว่า วันเนา ชาวบ้านจะไม่ท้าอะไร หยุดท้างานที่เป็น ปกติของตนเอง ไม่ให้ท้างานอะไรเลยเป็นเวลา ๕ - ๗ วัน ซ่ึงผู้เฒ่าผู้แก่กล่าวว่า หากใครท้างานใน ชว่ งเวลานจี้ ะทา้ ให้หหู นวก ตาบอด ท้าใหช้ าวบ้านต้องมีการเตรียมการต่างๆไว้ล่วงหน้า นอกจากน้ันยังมี

๙๕ ภารกิจท่ีจะตอ้ งจัดเตรียมอุปกรณ์ เครื่องใช้ต่างๆ อาทิ การแห่พระ การแห่ดอกไม้ การละเล่นต่างๆท่ี ต้องมีการเตรียมไว้ให้พร้อม มีการขนทรายเข้าวัดก่อน บางชุมชนมีการจัดหาเทพีนางสงกรานต์ และ ตกแตง่ ยานพาหนะทจ่ี ะนา้ ไปแหใ่ นวันสงกรานต์ นอกจากน้ี ในระหวา่ งชว่ งสงกรานต์ จะไม่มีการดุด่า ว่ากล่าวกัน ไม่มีเสียงต้าข้าวจากครกกระเด่ือง หรือออกหาฟืน แต่จะมีการท้าบุญ ถวายภัตตาหาร พระสงฆ์ การปลอ่ ยนก ปลา เต่า หอย เปน็ ต้น วันเร่ิมงานวันแรก (วันที่ ๑๓ ) ถือเป็นวันสังขานต์ล่อง เป็นวันท่ีราศีเก่าเข้าสู่ราศีใหม่ มี กจิ กรรมตา่ งๆตามประเพณี ไดแ้ ก่ การนิมนตพ์ ระพุทธรูปลงจากโบสถ์มาสรงน้า มีการจัดขบวนแห่นาง สงกรานต์ ขบวนแห่พระพุทธรูปท่ีตกแต่งสวยงาม ขบวนฟ้อนร้า โดยแห่ไปรอบ ๆ ชุมชน เพื่อให้ ชาวบา้ นได้มีโอกาสสรงน้าพระพุทธรูป บางชุมชนจะมีการแห่ขบวนดอกไม้ไปรอบ ๆ ชุมชน เนื่องจาก ในฤดูนี้ต้นไม้จะออกดอกบานสะพรั่งกันมาก เช่น คูณ ทองหลาง ตะแบก ทองกวาว ดอกไม้ดังกล่าว จะน้ามาบูชาพระและน้ามาตกแต่งซุ้มพิธีที่ใช้เป็นที่สรงน้าพระพุทธรูป ก่อนสงกรานต์ชาวบ้านใน ชุมชนจะมาช่วยกันสร้างผาม (ซุ้มพิธีที่จัดเตรียมไว้) อย่างสวยงามเพ่ือนิมนต์พระพุทธรูปมา ประดิษฐานช่ัวคราวให้ชาวบ้านได้มีโอกาสสรงน้าพระพุทธรูป ในสมัยก่อน น้าที่ใช้สรงน้าพระเป็นน้า ขมิ้น (ใช้ขมิ้นสดขูดลงไปในน้าสะอาด) แต่ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงมาเป็นน้าผสมกับน้าอบน้าหอมท่ีมี วางขายท่ัวไป มีการถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ นอกจากน้ี จะมีพิธีกรรมในการบังสุกุลบรรพบุรุษที่ ล่วงลบั ไปแลว้ เปน็ การบังสุกลรวม โดยชาวบา้ นจะน้าเอาอัฐขิ องบรรพบรุ ษุ ทเ่ี ก็บไวท้ ี่บา้ น มารวมกันที่ ศาลาวัด และท้าพิธีทางศาสนา หากครอบครัวใดเอาอัฐิไว้ที่ธาตุ (ที่บรรจุอัฐิ) ก็จะท้าพิธีบังสุกุลที่ธาตุ แตก่ ารบังสุกุลน้ี บางชมุ ชนจะทา้ ในวนั ที่ ๑๔ เมษายน วันท่ี ๑๔ เมษายน เป็นวันครอบครัว ญาติพี่น้องจะมาพบปะ รับประทานอาหารร่วมกัน มี การผูกแขน เพื่อเป็นสิริมงคล และญาติผู้ใหญ่ให้พรแก่ลูก ๆ หลาน ๆ วันนี้เรียกว่าวันเนา (วันที่ไม่มี การท้างานใด ๆ มีแต่การจัดกิจกรรมที่สนุกสนาน เป็นวันพักผ่อน) เพื่อหยุดพักผ่อน บางคนจะมี สิ่งของมามอบให้ผู้ใหญ่เรียกว่า เครื่องสมมา เช่นผ้าขาวม้า ผ้าถุง หลังจากน้ันก็จะมีการละเล่น พ้นื บา้ น เชน่ ต่ีจบั ข่ีม้าทรงเมอื ง งกู นิ หาง หมากเกบ็ หมากหึ้ง บกั หมาหนังโปก บักอ๋ี ดึงหนัง (ชักกะ เย่อ) เป็นต้น ซ่ึงการละเล่นพ้ืนบ้านน้ี บางชุมชนจะจัดทุกวันในระหว่างสงกรานต์ โดยจะจัดหลังจาก รับประทานอาหารเย็น ในวนั น้ียงั เป็นวันที่หนุ่มสาวเล่นสาดน้าอย่างสนุกสนาน จะปล่อยอิสระ สามารถ มาพบปะพดู คุย เล่นนา้ สงกรานต์ด้วยกนั ได้ ในสมยั ก่อน ชาวบา้ นจะสามารถเล่นน้าร่วมกับพระสงฆ์ได้ โดยมกี ารขอขมาพระสงฆใ์ นวนั ก่อนและหลังวันสงกรานต์ แต่ปัจจุบันไม่ค่อยมีการเล่นน้าร่วมกันระหว่าง พระภิกษุและชาวบ้าน แต่จะเป็นการสรงน้าพระสงฆ์ วันน้ี บางชุมชนจะมีการท้าบุญให้แก่บรรพบุรุษ สรงน้ากระดูก นิมนต์พระสงฆ์สวดมาติกา อุทิศบุญกุศลให้ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่บางชุมชนจะท้า กันในวันที่ ๑๓ เมษายน และ ไปท้าพธิ ีที่วดั พระสงฆเ์ จริญพระพทุ ธมนต์เย็น วนั ท่ี ๑๕ เมษายน เป็นวันเถลงิ ศก เป็นวันข้ึนปีใหม่ของไทยสมัยโบราณ วันนี้เป็นวันท้าบุญ รวมของทกุ คนในชุมชน และอทุ ิศบุญกุศลใหแ้ กญ่ าตผิ ู้ล่วงลับ ทุกครอบครัวจะน้าอาหารมาถวายพระ รับประทานอาหารร่วมกัน และมีการรดน้าด้าหัวให้แก่พระภิกษุสามเณรและผู้สูงอายุ ท้าน้าพระพุทธ มนต์ พระสงฆเ์ จรญิ พระพุทธมนต์ ประพรมน้าพระพุทธมนต์และให้พรแก่ญาติโยม เพื่อให้อยู่เย็นเป็น สุขตลอดไป นอกจากน้ี มีการก่อเจดีย์ทราย ท่ีวัด ซ่ึงประดับด้วยดอกไม้ และธงสีต่าง ๆ เนื่องจาก ชาวบ้านมีความเช่ือว่า เมื่อเราเข้าวัด เราเหยียบดินทรายออกจากวัด จึงจ้าเป็นจะต้องมีการขนทราย

๙๖ เข้าวัดเพ่ือเป็นการน้ากลับไปไว้ที่วัดเหมือนเดิม บางชุมชนจะก่อเจดีย์ทราย (ภาษาอีสานเรียกว่าก่อ ประทาย) ในวันที่ ๑๖ เมษายน โดยบางชุมชนจะก่อเป็นรูปจระเข้และรูปเต่าอย่างละ ตัว เพราะเช่ือ วา่ จะมอี ายุยนื ช่วงหลังจากวันสงกรานต์ บางชุมชนในจังหวัดต่างๆ เช่น อุบลราชธานี มหาสารคาม จะมีการ จัดกิจกรรมต่อเนื่อง คือ ประเพณีการรักษาบ้าน โดยมีความเช่ือว่า เม่ือขึ้นปีใหม่ไทย จะต้องท้า ประเพณีการรักษาบ้าน เพื่อเป็นการคุ้มครองปกปักษ์รักษาบ้านเรือน ให้ทุกคนในบ้านมีแต่ความสุข ปลอดภัย ประสบความส้าเร็จ ซ่ึงได้มาปฏิบัติกันมาเป็นประจ้าทุกปีและสืบทอดกันมานาน เช่น ชุมชนคุ้มเครือวัลย์ จังหวัดมหาสารคาม ชาวบ้านทุกครัวเรือน จะจัดเตรียมอาหารถวายพระสงฆ์ ที่ ศาลากลางบ้าน พระสงฆ์เจรญิ พระพุทธมนต์ เม่ือเสรจ็ พธิ ที างพทุ ธศาสนาแล้ว จะมีพิธีการบูชา ศาลปู่ ตา ซึ่งเปน็ ทเ่ี คารพของชาวบ้าน ผู้น้าในการท้าพิธีนี้เรียกว่า พ่อจ้า ซึ่งได้รับการคัดเลือกโดยการเข้าทรง ว่าใครจะได้เป็นผู้น้าในการท้าพิธีกรรมต่างๆตาม ที่ได้ปฏิบัติมาต้ังแต่ปู่ย่า ตายาย ชุมชนในจังหวัด อุบลราชธานี ประเพณีการรักษาบ้าน ก็มีพิธีกรรมท่ีคล้ายกัน แต่จะมีการเสี่ยงทายโดยใช้ไก่ เพ่ือจะได้ ทราบวา่ ในปนี ีจ้ ะชุมชนจะมคี วามอุดมสมบูรณม์ ากน้อยเพียงใด ส้าหรับ ชาวอ้าเภอเชียงคาน จังหวัดเลย นับจากวันที่ ๑๓ เมษายน ไปอกี ๙ วัน ในเวลาประมาณ ๒๑ – ๒๒ น. ทุกชุมชน มีการแห่ข้าวพันก้อน ร่วมกัน โดยแห่รอบๆไปตามถนน สายหลกั จากนั้นก็น้าข้าวพันก้อนไปบูชาพระพุทธ พระประธานใน อุโบสถจนครบทุกวดั ในเขตเทศบาลต้าบลเชยี งคาน ประเพณีสงกรานต์เป็นประเพณีท่ีได้อนุรักษ์และสืบสานมาถึงในปัจจุบัน โดยในช่วงเวลา ๓ วันจะมีพิธีกรรมต่างๆ เช่น การแห่พระพุทธรูป สรงน้าพระสงฆ์ การอุทิศส่วนกุศลไปให้บรรพบุรุษผู้ ล่วงลับ การสรงน้า ขอพรจากผู้สูงอายุ ก่อเจดีย์ทราย ซึ่งเป็นแบบแผน เป็นกระบวนการ และเป็น แก่นของการแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อผู้มีพระคุณ มีการปฏิบัติตามรูปแบบเดิม เร่ิมจากครอบครัว ซึ่งถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันรวมญาติ จะต้องกลับมาบ้าน กลับมาหาครอบครัว พ่อ แม่ พี่น้อง เพ่ือ สรา้ งความรัก ความสามัคคีในครอบครัว ท้าให้รักกันมากขึ้น ได้แสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ มพี ระคุณ การทา้ บังสุกุลใหก้ ับบรรพบรุ ษุ ทลี่ ว่ งลบั ไปแล้ว การท้าบุญตักบาตร สรงน้าพระ ท้าให้จิตใจ เบิกบาน แตป่ จั จบุ นั มกี ารเปลี่ยนแปลงจากเดมิ ท่เี คยสรงน้าพระท่วี ดั ปัจจบุ ันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ร้านสะดวกซ้ือ ห้างสรรพสินค้าท่ัวไป ก็จัดซุ้มพระพุทธรูปไว้เพื่อให้คนมาใช้บริการได้รดน้า พระพทุ ธรปู และส่วนมากหนว่ ยงานราชการจะจัดกิจกรรมต่างๆพธิ ีกรรมต่างๆ ก่อนวันสงกรานต์ เช่น จัดในวันท่ี ๙ – ๑๑ เมษายน เพอื่ ให้ข้าราชการและพนักงานในหนว่ ยงานได้กลบั ภูมิล้าเนาของตนเอง เปน็ การสนบั สนุนการรักษาประเพณีสงกรานตไ์ ด้อีกทางหน่ึง ภาคใต้ วนั แรกของสงกรานต์ คอื วันที่ ๑๓ เมษายน เป็น \"วันส่งเจ้าเมืองเก่า\" หรือ \"วันเจ้าเมืองเก่า\" เจ้าเมืองหรือเทพยดาประจ้าปีผู้ท้าหน้าที่รักษาดวงชะตาของบ้านเมือง จ้าเป็นต้องละทิ้งบ้านเมืองท่ี ตนรักษาไปชุมนุมกันบนสวรรค์ ชาวบ้านจึงท้าความสะอาดบ้านเรือน เครื่องใช้ เครื่องแต่งกาย เครอื่ งประดับและร่างกาย บางคนกท็ า้ พธิ สี ะเดาะเคราะห์ โดยท้าพิธีลอยเคราะห์ลงในแม่น้า เพื่อฝาก เคราะหก์ รรมซึง่ ตนประสบไปกบั เจ้าเมืองเก่าและอธิษฐานขอใหป้ ระสบโชคดตี ลอดปีใหม่

๙๗ ก่อนวันสงกรานต์ชาวใต้จะจัดเตรียมอาหารคาวหวานเพื่อน้าไปท้าบุญ เช่น ขนมค่อมญวน หรือขนมสอดไส้ ขนมเทียน เปน็ ตน้ วนั ท่ี ๑๔ เมษายน ชาวใต้เรียกว่า \"วันวา่ ง\" จะไปท้าบญุ ตกั บาตรทว่ี ัด และสรงน้าพระพุทธรูป ทเี่ รียกวา่ \"วันว่าง\" เพราะเช่ือกนั ว่าวนั น้ีเจา้ เมอื งก็ยังสถิตอยู่บนสวรรค์ ในเมืองจึงไม่มีเจ้าเมืองประจ้า อยู่ ชาวบ้านจึงต้องหยุดกิจการงานอาชีพทุกอย่าง เพราะเกรงว่าหากประกอบกิจการจะก่อให้เกิด ความเสียหายข้ึน เน่ืองจากไม่มีเจ้าเมืองคุ้มครองรักษา ส่ิงของเคร่ืองใช้ต่าง ๆ จึงถูกเก็บไว้ มิได้ น้ามาใช้เป็นการชั่วคราวประมาณสามวัน ประชาชนส่วนใหญ่พากันไปท้าบุญ เมื่อท้าบุญแล้วก็น้า อาหารและเครื่องบูชา ไปเคารพผู้อาวุโส และพระสงฆ์ที่เคารพ โดยถือโอกาสขอพรรดน้า เพื่อ แสดงออกถึงความเคารพความกตญั ญูด้วย เม่ือท้าบุญท่ีวัดและรดน้าผู้อาวุโสแล้ว ชาวบ้านต่างมาชุมนุมกัน เพ่ือเล่นการละเล่นต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน เรียกว่า \"เล่นว่าง\" ซึ่งมหรสพและการละเล่นท่ีนิยมกันมากคือ มโนห์รา หนัง ตะลุง มอญซ่อนผ้า อุบลูกไก่ ชักเย่อ สะบ้า จระเข้ฟากหาง (หรือบางแห่งเรียกว่าฟาดทิง) ยับ สาก เตย ปิดตา ลักซ่อน ววั ชนและเช้ือยาหงส์ เป็นต้น และวันสุดท้าย คือ วันที่ ๑๕ เมษายน เป็นวัน \"เจ้าเมืองใหม่\" หรือ \"วันรับเจ้าเมืองใหม่\" เชื่อ วา่ วันน้ีเจ้าเมอื ง ซ่ึงได้รับมอบหมายให้เป็นผู้คุ้มครองเมืองต่าง ๆ อันอาจจะไม่ใช่เมืองที่ตนเคยประจ้า อยู่แต่เดิมในปีท่ีแล้ว จะลงมาประจ้าเมือง ซ่ึงต้องท้าหน้าที่คุ้มครองตลอดปีใหม่ ชาวเมืองจึง เตรียมการตอ้ นรบั เทวดาเจา้ เมอื งคนใหม่ด้วยความยินดี โดยผู้คนก็จะแต่งกายด้วยเส้ือผ้าชุดใหม่ เพื่อ นา้ อาหารไปถวายพระท่ีวัด จากนั้นก็ไปรดน้าผู้อาวุโสที่ยังตกค้างไม่ได้ไปรดน้าใน \"วันว่าง\" ส้าหรับใน บางตระกูลท่มี ญี าตพิ ีน่ อ้ งจา้ นวนมาก แต่จังหวัดนครศรีธรรมราชมีประเพณีสงกรานต์ท่ีเป็นเอกลักษณ์นอกเหนือจากประเพณี สงกรานต์ในจงั หวดั อืน่ ๆ ในภาคใต้ ดังนี้ ๑. ประเพณแี ห่และสรงน้าพระพุทธสิหิงค์ ซง่ึ เป็นพระพทุ ธรปู ทีช่ าวนครศรีธรรมราชให้ ความเล่ือมใส ศรทั ธา โดยในวนั สงกรานต์ท่ี ๑๓ เมษายนของทุกปี ทางการจะอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ ออกมาประดิษฐานช่ัวคราวท่ีสนามหน้าเมือง ให้พุทธศาสนิกชนและประชาชนทั่วไปสรงน้า เพื่อเป็น สิรมิ งคลแก่ชีวิตเนื่องในวาระข้ึนปีใหม่ของไทย เพราะเปน็ พระพทุ ธรูปส้าคัญคเู่ มืองนครศรีธรรมราช ๒. พิธีแห่นางดาน เป็นประเพณขี องศาสนาพราหมณ์ ซึ่งปฏบิ ัติกนั มาต้ังแตค่ รัง้ มชี มุ ชน พราหมณ์เกิดข้ึนในนครศรีธรรมราช ราว พ.ศ. ๑๒๐๐ ค้าว่านางดานหรือนางกระดาน หมายถึง แผ่นไม้กระดานขนาดกว้างหน่ึงศอกสูงสี่ศอก ซึ่งวาดหรือแกะสลักรูปเทพบริวารในคติพราหมณ์ จ้านวน ๓ องค์ แผ่นแรก คือ พระอาทิตย์และพระจันทร์ แผ่นท่ีสองคือแม่พระธรณี แผ่นท่ีสามคือ พระแม่คงคา เพ่ือใช้ในขบวนแหเ่ พ่อื รอรับเสดจ็ พระอศิ วรทเ่ี สดจ็ มาเยีย่ มมนุษยโ์ ลก ณ เสาชิงช้า ประเพณีแหน่ างกระดานหรอื แหน่ างดานเป็นส่วนหนง่ึ ของประเพณีตรยี ัมปวายหรือประเพณี โล้ชิงช้า ที่พราหมณ์ในนครศรีธรรมราชสมัยโบราณท่ีนับถือพระอิศวรเป็นเจ้าปฏิบัติกันมาในช่วง เดือนยีห่ รือเดือนบุษยมาสของทุกปี ซ่ึงยกเลิกไปเม่ือ พ.ศ. ๒๕๐๓ แก่นแท้หรือหัวใจของประเพณีแห่ นางกระดาน คือ การอัญเชิญเทพชั้นรองสามองค์มารอรับเสด็จพระอิศวรท่ีจะเสด็จลงมาเย่ียม มนุษยโลกในชว่ งวนั ข้ึน ๗ คา่้ ถึงวันแรมค้่าเดือนย่ี รวมเวลาเสด็จมาเย่ียม ๑๐ ราตรี เทพช้ันรองสาม องค์ที่พราหมณ์ในนครศรีธรรมราชอัญเชิญมารับเสด็จน้ี คือ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระธรณี และ

๙๘ พระคงคา เทพดังกลา่ วน้จี ารึกหรือแกะสลักลงบนแผ่นไมข้ นาดกว้างหนึง่ ศอก สงู ส่ีศอก ชาวนครเรียก ไม้แกะสลักดังกล่าวน้ีว่า “นางกระดาน” เม่ือถึงวันพิธีการพราหมณ์ก็อัญเชิญนางกระดานทั้งสามน้ี มายังเสาชงิ ชา้ ในหอพระอิศวร เพอ่ื รอรับพระอิศวรที่จะเสดจ็ เยี่ยมโลกมาท่เี สาชงิ ช้าดังกล่าว พธิ กี ารแห่นางกระดานแต่เดิม พราหมณ์ในนครศรีธรรมราชจะอญั เชิญเทพนางกระดานทั้งสาม ไปประดิษฐานบนเสลย่ี ง หามกนั มายังจุดนดั หมายทส่ี ะดวกแก่การชุมนุม ส่วนมากนิยมจัดขบวนกันที่ ฐานพระสยมบริเวณตลาดท่าชีปัจจุบัน ในเวลาโพล้เพล้ ขบวนแห่ประกอบด้วยเคร่ืองประโคมดนตรี อันมีป่ีนอก กลองแขกหรือกลองสองหน้าและฆ้อง ถัดมาเป็นเคร่ืองสูง ซ่ึงประกอบด้วยฉัตร พัดโบก บงั แทรก บังสรู ย์ มีพระราชครูและปลัดหลวงเดนิ น้าหนา้ เสล่ียงละคน มีพราหมณ์ถือสังข์เดินตาม ปิด ท้ายด้วยนางละครหรอื นางอัปสรและ ผู้ถือโคมบัว เมือ่ ถึงหอพระอิศวร ขบวนก็เคลื่อนเข้ามาต้ังแต่ที่บริเวณทิศใต้ของหอแล้วจึงเวียนรอบเสา ชิงช้า สามรอบ จากน้ันพระราชครูจะอ่านโองการเชิญเทพ เร่ิมต้นด้วยบทสัคเด ... จบด้วยบท บวงสรวงเทพยดา แล้วจึงอญั เชิญนางดานท้ังสามมาประจ้าในมณฑลพิธีที่จัดไว้ทางด้านทิศเหนือของ เสาชิงช้า รอเวลาที่พระอิศวรจะเสด็จลงมาทางเสาชิงช้าในช่วงไม่กี่นาทีข้างหน้า ก่อนถึงเวลาที่พระ อิศวรเสด็จลงมา นางอัปสร ๑๒ นางจะร้าบูชาพระอิศวร เรียกว่า “ร้าบูชิตอิศรา” จบแล้วพระยายืน ชิงชา้ ซงึ่ รบั สมมุตเิ ปน็ พระอิศวรก็จะเดนิ เขา้ มาประจ้าที่ชมรมหรอื ปะรา้ พิธี ถือกันว่าพระอิศวรได้เสด็จ ลงมาเยีย่ มโลกแลว้ เมือ่ พระอศิ วรเสดจ็ มาถงึ กจ็ ะโล้ชิงช้าถวาย การพิธีช่วงนี้จะมพี ระยายืนชิงช้าซึ่งรับสมบัติเป็น พระอิศวรเข้ามาประจ้าที่โรงปะร้าพิธี พระยานั่งยกเท้าขวาพาดเข่าซ้าย เท้าซ้ายยันพื้น ท้าเสมือน พระอิศวรหย่อนพระบาทลงมายังโลกมนุษย์ จากน้ันนาลิวัน ๑๒ คน ซึ่งแต่งกายด้วยสนับเพลาและ ผ้านุ่งโจมทับ สวมเสื้อขาว คาดผ้าเกี้ยว ศีรษะสวมหัวนาค มือถือเสนง (เขาควาย) ก็จะข้ึนน่ังที่ไม้ กระดานชิงช้าคราวละ ๔ ตน (เรียกว่า 'หน่ึงกระดาน') ผลัดกันไกวชิงช้าให้ขึ้นสูงที่สุดเท่าท่ีจะท้าได้ เป็นเสมอื นการทดสอบความแข็งแรงของแผ่นดินและภูเขาว่ายังมั่นคงอยู่ดีหรือไม่ ระยะหลังมีการโล้ และเอื้อมไปหยิบถุงเงินที่แขวนไว้ท่ีปลายไม้ไผ่ ซึ่งเป็นเงินรางวัลแก่นาลิวันด้วย เมื่อโล้ชิงช้าครบทั้ง สามกระดานแลว้ นาลวิ ันท้ัง ๑๒ คนกพ็ ากนั ออกมาร้าเสนงและวกั นา้ เทพมนตจ์ ากขันสาคร ซึ่งสมมติ เป็นน้าจากห้วงมหรรณพ ถือเป็นการประสาทพร และเป็นการเล่นสนุกสนาน ก่อนจะเสร็จพิธีการแต่ ละวัน การอัญเชิญพระอิศวรให้เสด็จมาเช่ือกันว่าเพื่อประสารพรให้มีความสุขสบาย คุ้มครอง บา้ นเมอื งให้ปลอดภยั โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในฐานะเป็นเมืองเกษตรกรรม ย่อมต้องการที่จะให้พระองค์ บันดาลความอุดมสมบูรณ์แก่พืชพันธ์ุธัญญาหาร เช่น ให้น้าท่าบริบูรณ์ ฝนตกต้องตามฤดูกาล เม่ือ บวงสรวงแล้วก็จะประสาทพรโดยให้เทพบริวารทั้งหลาย มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระธรณี และ พระคงคา เป็นต้น ชาวเมืองเช่ือกันว่าพระอิศวรเสด็จมาเย่ียมมนุษย์โลกเพื่อประสาทพรให้เกิดความสงบสุข ท้า ใหเ้ กดิ น้าท่าอุดมสมบรู ณ์ และชว่ ยคมุ้ ครองมนุษยโ์ ลกใหป้ ลอดภยั ซง่ึ ตามความเชอื่ การเสด็จลงมาของ พระอิศวรจะต้องเสด็จลงมาในเดือนอ้าย ซ่ึงเป็นปีใหม่ของชาวพราหมณ์ฮินดู เพื่อให้ประเพณีแห่นาง ดานเป็นท่ีรู้จักและคงไว้ซ่ึงประเพณีเก่าแก่ของเมืองนครศรีธรรมราชและก้าเนิดข้ึนเป็นแห่งแรกใน เมอื งไทย

๙๙ ปัจจุบัน ประเพณีแห่นางดาน จัดข้ึนในวันท่ี ๑๔ เมษายน ของทุกปี โดยมีขบวนแห่นางดาน จากสนามหนา้ เมอื งมายังหอพระอศิ วร การแสดงแสง สี เสียง ต้านานนางดานและเทพเจ้าท่ีเกี่ยวข้อง การจา้ ลองพธิ ีแห่นางดาน และการโลช้ ิงชา้ ซ่ึงเปน็ การโลช้ ิงชา้ นอกเขตเมอื งหลวงแห่งเดียวของไทยใน ปัจจุบัน โดยเทศบาลนครนครศรีธรรมราชเป็นผู้รับผิดชอบ และถือเป็นกิจกรรมส้าคัญในปฏิทินการ ท่องเที่ยวเทศกาลสงกรานต์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยอีกด้วย โดยจัดขึ้น ณ สวนศรีธรรมา โศกราช สนามหน้าเมือง หอพระอิศวร จังหวัดนครศรีธรรมราช จะมี \"สงกรานต์นางดาน\" หรือ \"เทศกาลมหาสงกรานต์เมืองนครศรีธรรมราช\" จัดข้ึนทุกปี ส้าหรับกิจกรรมภายในเทศกาลสงกรานต์ เมืองนครนี้ จะมีมหกรรมขนมพ้ืนบ้าน อาหารพื้นเมือง กิจกรรมนั่งรถชมเมือง เล่าเรื่องลิกอร์ น่ังสาม ล้อโบราณชมเมอื งเกา่ พธิ ีพุทธาภเิ ษกนา้ ศกั ด์สิ ิทธ์ิจาก ๖ แหล่ง เปน็ ตน้ สาเหตุท่ีเมอื งนครศรีธรรมราชจดั ประเพณีแห่นางดานในช่วงวันสงกรานต์เพ่ือสนับสนุนและ สง่ เสริมให้คนตระหนักถึงสิ่งท่ีมีพระคุณต่อการประกอบอาชีพการเกษตร เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ แผ่นดินและแม่น้า จึงน้ามาผนวกเข้ากับประเพณีสงกรานต์ ร่วมท้ังเพื่อเพิ่มกิจกรรมในวันสงกรานต์ และส่งเสรมิ การท่องเทย่ี วอีกดว้ ย ๓. ประเพณีอาบน้าคนแก่หรือรดน้าขอพรผู้ใหญ่ เป็นประเพณีเก่ียวเน่ืองมาจากประเพณี สงกรานตช์ าวนครศรธี รรมราชท่เี ช่ือว่าในวันที่ ๑๔ เมษายน เทวดาท่ีเฝ้ารักษาเมืองท้ังหลายจะพากัน ข้ึนไปเมืองสวรรค์กันหมด ทั้งเมืองจึงปราศจากเทวดา วันน้ีจึงเรียกว่า “ วันว่าง “ คือเป็นวันท่ีทุกสิ่ง ทุกอย่างว่างเทวดาคุ้มครอง ชาวบ้านจะหยุดท้ากิจการงานทุกอย่างเก็บส่ิงของเครื่องใช้ต่าง ๆ ชาวบ้านจะน้าภัตตาหารและเครือ่ งนมัสการต่าง ๆไปท้าบุญท่ีวัดใกล้บ้าน เสร็จแล้วจึงไปสักการะและ สรงน้าพระพุทธสหิ งิ คท์ ่สี นามหน้าเมือง และนิยมรองรับน้าจากการสรงน้าพระพุทธสิหิงค์เพ่ือน้าไปไว้ ใช้ในงานมงคลที่บ้านของตนอีกด้วย เม่ือสรงน้าพระพุทธสิหิงค์เสร็จแล้ว ชาวนครศรีธรรมราชจะน้า อาหาร เคร่ืองนุ่งห่ม เคร่ืองใช้ไปให้ญาติคนแก่ท่ีตนเคารพนับถือแล้วขออาบน้าให้ท่านด้วย เพ่ือความ เป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัวประเพณีอาบน้าคนแก่ อยู่ในช่วงระยะเวลาของวันท่ี ๑๓ - ๑๕ เดือนหา้ (เมษายน) ของทกุ ปี ซง่ึ จะเลือกเอาวนั ไหนกไ็ ด้ ๓.๒ ปจั จัยคุกคาม ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ท่ีแผ่ขยายครอบคลุมไปท่ัวโลก โดยเฉพาะที่ส่งผลกับประเทศ ไทย ก่อให้เกิดภาวะวิกฤตกับวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างมาก ประเพณีสงกรานต์ก็ตกอยู่ในวัฏจักรนี้ เชน่ เดียวกนั มคี วามเปล่ียนแปลงเกิดขึ้นหลายประการที่ยังความเป็นห่วงให้เกิดขึ้นแก่ทุกคนท่ีรักและ เหน็ คุณค่าของประเพณีนี้ จงึ มคี วามพยายามท่จี ะรณรงคท์ กุ รปู แบบเพือ่ ใหท้ ุกคนที่เป็นคนไทย รวมท้ัง ชาวต่างชาติได้รบั รถู้ ึงความหมาย ความส้าคญั และคณุ ค่าของประเพณีสงกรานต์ที่แท้จรงิ แนวทางปฏิบัติของประเพณีสงกรานต์ และร่วมมือกันปฏิบัติให้ถูกต้องเพ่ือสืบทอด ความหมายและคุณค่า ความเบ่ียงเบน ความรุนแรงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็จะหมดไป โดยเฉพาะเก่ียวกับ การเลน่ สาดน้าท่ีเกินเหตุ ซง่ึ นอกจากจะเตม็ ไปด้วยพฤติกรรมที่เสี่ยงอันตรายท้ังการใช้น้าสกปรก การ ใช้น้าแข็งขว้างปา การใช้อุปกรณ์ฉีดน้าท่ีมีแรงดันสูงจนก่อให้เกิดอันตราย การใช้แป้งใช้สีทาตาม หน้าตาและเนื้อตัว ฯลฯ ตลอดจนกระท่ังการขยายความหมายของการเล่นสาดน้าให้เป็นจุดขายของ

๑๐๐ ประเพณีสงกรานต์จนเกินจริง ทั้ง ๆ ท่ีการเล่นรดน้าเป็นหน่ึงในกิจกรรมท่ีแสดงถึงความเอาใจใส่ ความเออื้ อาทร และความหวงั ดซี ง่ึ กันและกันเทา่ น้ัน สิ่งที่ควรท้าอย่างย่ิงก็คือ การเผยแพร่ให้ความรู้แก่เยาวชน ตลอดจนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เข้าใจในสาระความหมายอย่างชัดเจน พร้อมทั้งแนะแนวทางท่ีควรประพฤติปฏิบัติในประเพณี สงกรานต์ การเผยแพร่ให้ความรู้เช่นนี้ ควรท้าอย่างต่อเน่ืองและสม้่าเสมอ การรักษาและสืบทอด ความงดงามของสาระส้าคัญของประเพณีสงกรานต์น้ัน น่าจะเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกระดับในสังคม เริ่มตง้ั แต่ครอบครัว โรงเรยี น ชุมชน องค์กรตา่ งๆของรัฐและเอกชน ตลอดจนสอ่ื มวลชนทกุ แขนง จากทก่ี ล่าวมาข้างต้น คณะผู้รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเห็นถึง ความส้าคัญในการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลมรดกปัญญาทางวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์อันเป็น มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของคนไทย ท่ีนับวันจะเลือนหายและคลาดเคลื่อนในความหมายใน ขนบธรรมเนียมประเพณีและธรรมเนียมปฏิบัติอันลึกซึ้ง จิตวิญญาณบรรพบุรุษในการแสดงความ ปรารถนาต่อกัน เพ่ือมิให้ปุถุชนคนรุ่นหลังได้เข้าใจในเนื้อหาสาระ และความหมายของประเพณีได้ อย่างถูกตอ้ งและดา้ รงสบื ต่อไป ลักษณะของประเพณีและกิจกรรมประกอบต่าง ๆ ได้ผันแปรไปตามยุคสมัย มีการอ้างปูม ต้านานแตกต่างกันอย่างหลากหลาย มีหลักฐานอ้างอิงบ้าง ไม่มีบ้าง แต่งเติมเสริมแต่งบ้าง และก้าลัง จะไม่เห็นเค้ามูลอุดมการณ์ด้ังเดิม การสืบทอดประเพณีสงกรานต์ขาดการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่าง แทจ้ รงิ ทา้ ให้สายใยวัฒนธรรมชุมชนเริ่มขาดหายไป จ้าเป็นอย่างย่ิงท่ีต้องมีการส่งเสริมสนับสนุนการ กระตุ้นจิตส้านึกการมีส่วนร่วมของบุคคล กลุ่มบุคคลและชุมชนในการสืบทอด และปกป้องคุ้มครอง มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมให้สืบทอดต่อไปอย่างไม่ขาดสายและสร้างความยั่งยืน เพื่อสืบสาน พัฒนาและสืบทอดอนุรักษ์ท้ังประวัติและคติวิธีการ ไว้เป็นมรดกวัฒนธรรมท้องถ่ิน ชุมชน และ ประเทศชาติ และยาวนานไปจนกระทั่งถึงความเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของโลกสืบต่อไป อีกทั้งรูปแบบของประเพณีสงกรานต์แบบดั้งเดิมได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อันเน่ืองจากปัจจุบันวิถี ชวี ติ ของผู้คนชุมชน และสังคมมีการเปลย่ี นแปลงไปเป็นอย่างมาก พบวา่ คนรุ่นหลังมีความเข้าใจในภูมิ ปัญญาทางวัฒนธรรมประเพณสี งกรานตท์ เ่ี ปน็ รากเหงา้ ทีถ่ ูกต้องแทจ้ รงิ น้อยมาก ภาคเหนือ ปัจจัยคุกคามที่มีผลต่อความอยู่รอดของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ ภายในชุมชนตา่ ง ๆ ที่เกี่ยวขอ้ งและได้ท้าการศึกษา ผลการศึกษาแสดงให้เห็นวา่ ๑. เศรษฐกิจ ถ้าเมืองไหนจังหวัดไหนท่ีไม่ได้รับการส่งเสริมการท่องเที่ยวเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ ยงั พบขนมธรรมเนยี มดัง้ เดมิ และยงั เหน็ รปู แบบประเพณีดั้งเดิมอยู่มากในท่ีชุมชน ประชาชนพ้ืนถ่ินยัง ด้ารงตน ได้ยึดโยงกับวิถีชีวิตเดิมที่คงเหลืออยู่มาก แต่ถ้าจังหวัดไหนเป็นจังหวัดส่งเสริมให้เป็นเมือง ท่องเท่ียวท่เี รียกว่า ความเจริญเข้าถึง ความหลากหลายทางเชื้อชาติเข้ามาอยู่ เข้ามาเก่ียวข้อง จะท้า ใหว้ ิถชี ีวิต จารีตประเพณี ขนบธรรมเนยี มเปล่ยี นแปลงไป หน่วยงานของรฐั มบี ทบาทในแง่การส่งเสริม และสนบั สนุนการจัดกจิ กรรม และงบประมาณ ส่วนใหญ่ค้านึงด้านรายได้เข้าจังหวัด จ้างบริษัทออกา ไนซ์ บริษัทบริหารจัดการ จัดกิจกรรม ซ่ึงมีผลประโยชน์และไม่ค้านึงถึงกิจกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีดั้งเดิม จะด้าเนินการตามแนวคิดของบริษัทเป็นต้นเหตุท้าให้เพ้ียนไป เช่น เสื้อผ้า การแต่ง กาย ก็ไปจินตนาการว่ามาจากเทวดา ฐานเจดยี ์วัดน้นั วดั นี้ ทรงผม เมือ่ กอ่ นติดดอกเอ้ืองที่ผม ปัจจุบัน

๑๐๑ ก็เอาดอกไม้ไหว ส่ิงประดิษฐ์ต่างๆ มาตกแต่งแทน เปล่ียนไปให้มีความทันสมัย ผิดเพ้ียนไปจาก วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมด้ังเดิม และบริษัทท่ีรับจ้างก็แข่งขันกัน ส่ิงเหล่าน้ีเป็นภัยคุกคามที่มี อิทธิพลมาก โดยเฉพาะถ้าส่ือเอาไปน้าเสนอ การเข้าใจ การยอมรับของวัยรุ่นที่ผิดเพ้ียนจะเกิดทันที เนอ่ื งจากการสือ่ สาร เทคโนโลยีทนั สมัย รวดเร็วมาก ๒. สังคม การเปล่ียนแปลงไปตามสภาพแวดล้อม องค์ประกอบของสังคมไม่เหมือนเดิม สังคมท่ีมีความเจริญ ความทันสมัยมากขึ้น ท้าให้วิถีชีวิตของคนล้านนาเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย การ เคยด้ารงปฏิบัติตามความเคยชินเดิมๆท่ีถูกต้อง แต่พอโครงสร้างสังคมเปล่ียนไป คนย้ายออกจาก ครอบครัว ครอบครัวขยายกลายเป็นครอบครัวเด่ียวลูกหลานออกไปท้างานที่อ่ืนวิถีเปล่ียนแปลงไป ความเป็นชุมชนแบบเดิมก็ค่อยๆ หายไป การศึกษาที่แทรกการส่ังสอนเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากกว่าการ สอนขนบธรรมเนียมประเพณีรวมถึงการรับเอาวัฒนธรรมของที่อ่ืนเข้ามา เช่น การด้าหัว ก็ไปรับเอา ของภาคกลาง ซึ่งภาคกลางคือการรดน้า เช่นในการรดน้าศพ รดน้าสังข์ เป็นการรดน้าลงบนมือแต่ ทางล้านนาเรยี กว่า ดา้ หวั ซง่ึ มวี ธิ กี ารท่ตี ่างกัน จะเอาน้าขมิน้ ส้มป่อยไวต้ รงหน้า แล้วใชม้ ือจุ่ม จากนั้น เอามาพรมที่หัวหรือลูบหัว ส่งผลให้การปฏิบัติในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ เปล่ียนไปด้วย การ ก้าหนดวันที่ส้าคัญ คือ การด้าหัวในวันพญาวัน จารีตล้านนาถือว่าห้ามด้าหัววันเน่า การด้าหัว สูมา คารวะจะต้องท้าตั้งแต่วันพญาวันเป็นต้นไป แต่ท่ีมีความเห็นแตกต่างกันเพราะการประชาสัมพันธ์ ความรู้ความเข้าใจโอกาสทป่ี ราชญ์ ผรู้ ู้ไมไ่ ด้ขยายองค์ความรู้แก่คน ชมุ ชน ส่วนใหญ่ยังเข้าใจและฝังใจ อยู่ว่าเป็นวันที่ ๑๓ ๑๔ และ ๑๕ เมษายน เหมือนทุกปีตามความเช่ือสากล แต่ในปัจจุบันไม่ใช่แล้ว การก้าหนดวนั สงกรานต์มีการคา้ นวณจักรราศีตามต้าราหรอื ปฏทิ นิ เมือง เมื่อก่อนต้องด้าหัววันท่ี ๑๕ เมษายน เช่นปนี ้จี ะกลายเปน็ การสมุ าคราวะ ดา้ หัวในวันเนา่ ซ่ึงทางล้านนาจะเรียกว่า ขึด คือ สิ่งไม่ดี สงิ่ ทีเ่ ป็นอัปรีย์ ท้าให้การปฏิบัติไม่ถูกต้องตามจารีตประเพณี เน่ืองจากขาดองค์ความรู้ และขาดการ ประชาสัมพันธ์ สิ่งที่ดีงามที่บรรพบุรุษได้กระท้ามาแต่โบราณ ได้มีการเปล่ียนแปลงไป เช่น การ ก้าหนดวันสงกรานต์ตามการค้านวณจักรราศี ในปัจจุบันก็ขาดแคลนผู้ที่มีองค์ความรู้ด้านนี้ ประกอบ กบั คนขาดการเอาใจใส่และสนใจ อีกทงั้ ภาครฐั ก็ยงั ไมใ่ หก้ ารสนบั สนุนเทา่ ที่ควร ๓. ผู้ถ่ายทอดวัฒนธรรมก้าลังขาดหาย คนเมืองท่ีมีอายุ ๕๐ กว่าขึ้นก้าลังเส่ือมถอยหมดไป การขาดแคลนครูบาอาจารย์ที่จะสอนหรือถ่ายทอดรุ่นต่อรุ่น สมัยก่อนเป็นสังคมปิด สังคมขนาดเล็ก ครอบครัวอยู่รวมกัน แต่ในปัจจุบันแต่ละหมู่บ้านมีความเจริญข้ึน มีการแยกครอบครัวออกไปอยู่ต่าง ถ่ิน หรือไปเรียนหนังสือต่างจังหวัดไม่ได้อยู่รวมกัน รุ่นลูกหลานไม่ได้ยึดถือปฏิบัติตาม บางปีก็ไม่ได้ กลับบา้ นใชว้ ธิ โี ทรศัพท์ตดิ ต่อกันแทน เพราะฉะนั้น พ่อแม่ต้องมีส้านึกที่ทบทวนความเป็นมาของชาติ พันธ์ุ ความเช่ือ การประพฤติปฏิบัติ นิสัยใจคอ และให้ตระหนักถึงประเพณีนี้ วิธีท่ีง่ายท่ีสุด คือ การ เล่าซ้าในเนอื้ หาทถี่ กู ตอ้ ง และผลิตซ้าจากครอบครัว ซึ่งมีอิทธิพลที่สุด ต้องน้าเน้ือหา ใจความ เจตนา ของประเพณมี าน้าเสนอ ขยายผลอยา่ งมีคุณภาพ และแสดงออกวา่ ลึกซ้งึ ในเวลานี้ ๔. เนอื่ งจากสงิ่ แวดล้อมตา่ งๆ เปล่ียนแปลงไป การจะปฏิบัติตนให้ถูกต้องตรงตามประเพณีก็ ท้าได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเร่ืองของเวลา การคมนาคม การท้ามาหากินต่างถิ่นฐาน หรือไปอยู่ ต่างประเทศ เช่น การเดินทางกลับบ้านในวันสงกรานต์ท้าได้ล้าบากข้ึนและมีข้อจ้ากัดในเร่ืองเวลา ท้างาน จ้านวนคนท่ีพลัดถ่ินมากข้ึน คนหนุ่มสาวลูกหลานในถ่ินเดิมน้อย บ้างก็ไม่ค่อยกลับบ้านไปด้า หัวพ่อแม่ ไม่ร่วมท้าบุญตามวัดท่ีอยู่ในชุมชน ในพ้ืนท่ี การร่วมกันท้าอาหาร หรือขนมเพ่ือไปท้าบุญ ปัจจุบันก็ไม่ค่อยมีครอบครัวที่คนท้ากันเองแล้ว ข้อจ้ากัดเหล่านี้ท้าให้การด้าเนินการตามขนมธรรม เนยี มประเพณีเสอ่ื มถอยและไม่สามารถปฏบิ ตั ิไดค้ รบถว้ นดงั เดิม

๑๐๒ ๕. ชุมชน คนพื้นถ่ินเจ้าของวัฒนธรรมจริงไม่มีพลังในการปกป้องคุ้มครองวัฒนธรรมของ ตนเอง ขาดพลงั ดา้ นงบประมาณ เช่น ให้โรงเรียนร่วมกิจกรรม แสดงแต่ไม่ได้รับงบประมาณหรือการ สนับสนุน แต่หน่วยงานราชการมีการจัดสรรเงินจ้างบริษัทออแกไนซ์ และไม่ให้ความส้าคัญเจ้าของ วฒั นธรรมท่ีฝกึ ซอ้ มกันมาเป็นปี เวลาร่วมขบวนหรือมีการแสดงใหไ้ ปอยู่ท้ายๆ ซง่ึ คนชมไมไ่ ดใ้ หค้ วาม สนใจในการชมแล้วท้าให้ขาดพลังการสร้างสรรค์ แรงจูงใจกับเจ้าของวัฒนธรรมท่ีจะแสดงหรือ อนุรักษ์ ถ้าเทียบกับต่างประเทศ การแสดงจะมีคุณค่าการน้าเสนอจะน้ามาวิถีชีวิตจริงและน้า วัฒนธรรมน้าเสนอ ส่ือสาร อธิบายสิ่งที่เกิดข้ึนมาเป็นวิถีชีวิตจริงวัฒนธรรมนั้นๆ เช่น เก็บใบชา เก็บ ลูกท้อ วิถีชีวิตเจ้าของวัฒนธรรมจะน้าเสนอและแสดงจากธรรมชาติและวิถีจริง เช่นเดียวกับของทาง ลา้ นนา ฟอ้ นเทยี น ฟ้อนจ้อง (ร่ม) ฟ้อนสาวไหม มีผู้สืบสานวัฒนธรรมมีพ่อครู แม่ครู การฝึกซ้อมเล่า เร่ืองดังเดิม ที่สามารถถ่ายทอดได้อย่างงดงาม ปัจจุบันจ้างบริษัทด้าเนินการและให้นักแสดงมาแสดง เกิดการถา่ ยทอด แสดงทไ่ี มถ่ กู ตอ้ ง ท้าให้เกิดการแสดงวัฒนธรรมทผ่ี ิดๆ เสอื่ มถอยไป ๖. การใหค้ วามส้าคัญในพธิ ีประเพณกี น่ั ตอของชาวไทใหญ่ ลดน้อยลงเนื่องจากลูกหลานส่วน ใหญ่ไปท้ามาหากินนอกพ้ืนท่ีการร่วมประเพณีของเครือญาติลดลง ความส้าคัญหรือมีส่วนร่วม พิธกี รรมมขี ั้นตอนลดลงจากด้ังเดิม การศึกษาปัจจยั คกุ คามทีม่ ีผลต่อความยั่งยนื ในการเข้าถึง การใช้ทรัพยากรและองค์ประกอบ ท่ีจับตอ้ งไดซ้ ง่ึ เกย่ี วข้องกับมรดกภมู ิปัญญาทางวฒั นธรรมประเพณสี งกรานต์ พบว่า ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ การเร่งรีบของเวลามีผลต่อพิธีกรรม หลายๆ อยา่ ง เช่น ๑. การสมุ าคารวะ การดา้ หัว รูปแบบหรือความเข้าใจผิดจากเดิมใช้วธิ กี ารรดน้าลงบนมือแต่ ทางล้านนาเรียกว่า ด้าหวั หรอื การสมุ าคารวะ จะเอาน้าขม้นิ ส้มป่อยไวต้ รงหน้า แล้วใช้มือจุ่ม จากน้ัน เอามาพรมทห่ี วั หรือลูบหวั มผี ลให้การปฏบิ ตั ิในการรูปแบบพธิ กี รรมเปล่ียนไป ๒. อุปกรณ์ของสุมาคารวะ ของด้าหัวใช้วิธีจัดซ้ือ หรือจ้างท้ามักไม่นิยมจัดหรือท้ากันเองใน ครัวเรือน ส้าหรับเครื่องสักการะล้านนา ประกอบด้วยหมากสุ่ม หมากเบ็ง ต้นผ้ึง ต้นเทียน ต้นดอก ต้องเป็นผู้รู้ท่ีช้านาญ และมีวิธีขั้นตอนที่ละเอียด จึงค่อยไม่มีเคร่ืองสักการะดังกล่าวที่ครบถ้วน สวยงามนอกจากในโอกาสพิเศษ หรือบคุ คลสา้ คญั ๓. การขนทราย ตามบ้านนอก บางท่ีอาจมีอยู่ที่น้ามาจากแม่น้าไหลของชุมชน หมู่บ้าน แต่ บางทท่ี ่แี ห้งแลง้ ทรายไม่มี หรือในเมือง ก็ใช้วิธีที่ทางวัด หรือเทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนต้าบล จะไปซอ้ื ทรายมาจากรา้ นค้าแล้วมากองไว้นอกวัด หรือบางท้องถิ่นก็จะรวบรวมเงินซื้อทรายมาไว้ท่ีวัด น้นั ๆ ใหค้ นมาขนเขา้ วัด ๔. ขนมท่ีนิยมท้ากันในช่วงปีใหม่อันได้แก่ ขนมจ๊อก ขนมต้มหัวงอกจะน้าแป้งท้าขนมที่ได้ จากการน้าข้าวไปต้าท่ีครกกระเดื่อง ข้าวแคบ ข้าวแตน แกงฮังเล ตุง ช่อตุงต่าง ๆ จะท้ากันเองไม่ได้ ซอ้ื หากนั อยา่ งปจั จบุ นั นี้ ๕. ประเพณีป๋ีใหม่เมืองกลายเป็นการเล่นน้าสงกรานต์ พิธีกรรมรูปแบบผิดเพี้ยน มีแต่คน สูงอายุ หรอื คนเปน็ ผูใ้ หญเ่ ป็นผูท้ ี่ใหค้ วามส้าคัญการประกอบพิธีกรรม เด็กๆ เยาวชน คนหนุ่มสาวคิด ว่ามีกิจกรรมร่ืนเริง เล่นน้า การได้เล่นน้า ประแป้งในกลุ่มวัยรุ่น ท้าให้สนุกสนานและให้ความส้าคัญ หรอื ไปรว่ มเลน่ น้าสงกรานต์มากกว่าการไปรว่ มในพธิ ีกรรมในแต่ละวนั ตามประเพณดี ง้ั เดมิ ๖. การขอขมาหรือก่ันตอของชาวไทใหญ่ อุปกรณ์หัวอุ๊บท้าจากใบตอง ใส่ของขมา ปัจจุบัน บางท้องถิ่นไม่ได้ให้ความส้าคัญและไม่มีการอนุรักษ์สืบสาน จะเห็นแต่เป็นตะกร้าสาน หรือถาดท่ีใส่ ผลไม้ และน้าขมิน้ ส้มปอ่ ยเทา่ น้นั

๑๐๓ ภาคกลาง ปัจจัยคุกคามที่มีผลต่อความอยู่รอดของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ ภายในชมุ ชนต่าง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง ผลจากการศกึ ษานพ้ี บวา่ ๑. เยาวชนไม่ได้สนใจในการสืบสานวัฒธรรมและไม่สนใจประเพณีมอญ สนใจแต่ความ ทันสมัย ท้าให้ประเพณีบางอย่างเลือนหายและผิดเพ้ียนไปจากใจความส้าคัญและวัตถุประสงค์ของ ประเพณีเดมิ ๒. การย้ายถ่ินฐานของคนไทยเช้ือสายมอญออกจากอ้าเภอพระประแดง และการสร้าง ครอบครัวกบั คนตา่ งเชอื้ สาย ทา้ ให้ความเข้มข้นทางวัฒนธรรมน้อยลงไป ๓. การพฒั นาพนื้ ท่ีเป็นเมอื งอุตสาหกรรม มโี รงงานมากข้ึน และมีการเข้ามาของแรงงานจาก ต่างถนิ่ ซง่ึ เปล่ียนแปลงไปจากพื้นที่เดิมท่ีเป็นแบบเกษตรกรรม ซ่ึงแรงงานท่ีเข้ามาไม่ได้เข้าใจถึงแก่น แทข้ องวฒั นธรรมท้องถ่ิน ๔. การปรับเปล่ียนรูปแบบการจัดงาน จากเดิมท่ีชาวไทยเชื้อสายมอญร่วมกันจัดงาน สงกรานต์พระประแดงเป็นหลัก เปลย่ี นแปลงเป็นสว่ นราชการเข้ามาด้าเนินการ จึงเกิดการผสมผสาน กันในทางความคิดและแนวปฏิบัติเพื่อให้งานดูย่ิงใหญ่และมีความน่าสนใจมากข้ึน ซึ่งเกิดความ แตกต่างในการจัดงานระหว่างอดีตและปัจจุบันจึงท้าให้วัฒนธรรมประเพณีของมอญเกิดการ เปลี่ยนแปลงไปจากเดมิ ปัจจัยคุกคามที่มีผลต่อความย่ังยืนในการเข้าถึง การใช้ทรัพยากรและองค์ประกอบท่ีจับต้อง ได้ซงึ่ เกี่ยวข้องกับมรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม ผลจากการศกึ ษาแสดงใหเ้ ห็นว่า ๑. ปัจจัยทางเศรษฐกิจ ประเพณีเปล่ียนไปเป็นเชิงธุรกิจมากข้ึน เมื่อมีบริษัทหรือห้างร้าน ตา่ งๆ เข้ามามีส่วนรว่ มมากข้นึ ก็หวงั ผลก้าไร หวังรายได้จากการเข้ามาร่วมกิจกรรมของนักท่องเที่ยว โดย มีการจัดสาวๆ เต้นโชว์ มีคอนเสิร์ต ท้าให้รูปแบบการจัดงานเปล่ียนไป ซ่ีงสมัยก่อนเป็นการท้า ดว้ ยการร่วมแรงร่วมใจของชมุ ชนบนพื้นฐานของวัฒนธรรม แตเ่ ม่ือเปน็ เชงิ ธรุ กิจมีผลประโยชน์ โดยไม่ ค้านงึ ถึงรายละเอียด เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ถึงแม้จะช่วยสืบสานวัฒนธรรมก็ตาม เช่น การละเล่นสะบ้า ซึ่งตอนนี้ก็เป็นท่ีนิยมมาก เทศบาลก็เข้ามาสนับสนุน ให้งบประมาณ แต่เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของ วัฒนธรรมหายไป รวมไปถึงค่าครองชีพในการด้าเนินชีวิตท้าให้ประเพณีบางอย่าง เช่น ประเพณีส่ง ข้าวสงกรานต์ท่ีเม่ือก่อนในหมู่บ้านจะมีหลายบ้านท่ีท้าข้าวสงกรานต์ไปส่งตามวัดต่างๆ ในชุมชน แต่ ปัจจุบันด้วยค่าใช้จ่ายก็เหลือเพียงไม่ก่ีบ้านหรือในหลายหมู่บ้านก็ไม่มี และก็ท้าบุญกันแต่วัดท่ีใกล้ หมู่บ้าน ประเพณีกวนกะละแม เดิมเป็นการร่วมแรงร่วมใจกันในการกวนกะละแม กวนกันหลายวัน วันละหลายกะทะ แต่ตอนนี้ด้วยต้นทุนวัตถุดิบท่ีสูงขึ้นก็ท้าให้หลายบ้านไม่ท้ากัน เปลี่ยนเป็นการซื้อ ส้าเรจ็ แทน ๒. เทคโนโลยีการติดต่อส่ือสาร ท้าให้เกิดการเปล่ียนแปลงในด้านของผู้ร่วมงาน มีการประ สัมพันธ์ได้งานและรวดเร็วมากขึ้น เป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากภายนอกจ้านวนมากในการมาเข้า ร่วมงาน ซึ่งกท็ ้าให้การควบคมุ ทัง้ ในเรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณี การปฏิบัติ และวัฒนธรรมรวม ไปถึงความปลอดภัยเป็นไปได้ยากมากข้ึนและท้าให้ประเพณีเปลี่ยนไป เช่น ท้าให้การกล้าแสดงออก ของหนุ่มสาวยุคปัจจุบัน ท้าให้แนวคิดการเล่นสะบ้า ท่ีว่าเป็นกิจกรรมที่เมื่อก่อนหนุ่มสาวไม่เคยเห็น หนา้ ไมร่ ู้จักกัน เปดิ โอกาสให้ ไดท้ า้ ความร้จู กั กันนน้ั ค่อยๆ จางหายไป

๑๐๔ ภาคอสี าน ปจั จยั คกุ คามทีม่ ีผลต่อความอยรู่ อดของมรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรมภายในชุมชนต่าง ๆ ที่ เกีย่ วขอ้ ง จากการศึกษาพบว่า ๑. ชุมชนขาดจิตส้านึกในการสืบสาน อนุรักษ์ ไม่พยายามสืบสาน สืบทอดประเพณี ไม่ให้ ความสา้ คัญ ท้ากไ็ ด้ไมท่ า้ กไ็ ด้ ๒. คนรุ่นใหม่ (ผู้ท่ีจะเป็นคนสืบสานประเพณี) ไม่สนใจและไม่เห็นความส้าคัญ สนใจแต่การ เลน่ ทที่ า้ ใหเ้ กดิ ความสนุกสนานอยา่ งเดยี ว ๓. การจดั กจิ กรรมเนน้ การสนุกสานอย่างเดียว ให้ความส้าคัญกับการประกวดเทพีสงกรานต์ และประกวดขบวนแห่ ไม่ค่อยให้ความส้าคัญกับการสรงน้าพระพุทธรูป การสรงน้าพระสงฆ์ การรด น้าขอพรจากผูใ้ หญ่ การละเลน่ พืน้ บา้ น และการกอ่ เจดยี ์ทราย ๔. ขาดภมู ิปญั ญาหรอื ผรู้ ู้ ทจ่ี ะชว่ ยถา่ ยทอดวถิ ปี ระเพณีที่ถูกตอ้ งให้ชุมชนได้รบั ทราบ ๕. ครอบครัว พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง และญาติผู้ใหญ่ ไม่มีการชี้แนะ บอกเล่าเร่ืองราย ประวตั ิความเป็นมาเกี่ยวกับประเพณีสงกรานตใ์ หก้ ับลูก ๆ หลาน ๆ ไดท้ ราบ ๖. ขาดการมสี ่วนร่วมของชุมชนอยา่ งแท้จริง ท้าให้สายใยวฒั นธรรมชุมชนเร่ิมขาดหายไป ปัจจัยคุกคามท่ีมีผลต่อความย่ังยืนในการเข้าถึง การใช้ทรัพยากรและองค์ประกอบท่ีจับต้อง ได้ซึ่งเกย่ี วข้องกับมรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรมประเพณสี งกรานต์ ผลการศึกษา แสดงใหเ้ หน็ วา่ ๑. การเปลยี่ นแปลงนโยบายในการสืบสานประเพณีสงกรานต์ของหน่วยงานราชการท้องถ่ิน เชน่ การกา้ หนดขอบเขตการเล่นในถนนตา่ ง ๆ เชน่ จงั หวัดขอนแกน่ จะจัดกิจกรรมท่ีถนนข้าวเหนียว จังหวัดมหาสารคามจัดกิจกรรมท่ีถนนข้าวเม่า ซึ่งคาดว่าต้นแบบการเล่นสงกรานต์บนถนนน่าจะมา จากกรุงเทพฯ ท่ีถนนข้าวสาร เน่ืองจากมีชาวต่างชาติมาพักอาศัยอยู่มาก เพราะมีท่ีพักราคาถูก ใกล้ แหล่งชุมชน และแหล่งท่องเท่ียว ดังนั้น วัตถุประสงค์ท่ีแอบแฝงในการเล่นสงกรานต์ที่ถนนข้าวสาร อาจเป็นเรื่องการมุ่งเน้นเศรษฐกิจ การท้ารายได้จากการให้บริการ เช่น ท่ีอยู่อาศัย อาหาร อุปกรณ์ การเล่น ปืนฉีดน้า ฯลฯ การเล่นในลักษณะนี้เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ถูกต้องในประเพณี สงกรานต์ และการบริหารจัดการในการเล่นบนถนนยังไม่มีระบบดี เช่นมีด่ืมเคร่ืองดื่มท่ีมีแอลกอฮอล์ ท้าใหค้ วบคมุ สตไิ มไ่ ด้ เกดิ การทะเลาะววิ าทกัน เป็นต้น หากเกดิ ปัญหาก็จะแก้ไขเป็นกรณไี ป ๒. การเปล่ียนโครงสรา้ งทางสังคมเป็นลักษณะตัวใครตัวมัน การรวมตัวในการท้ากิจกรรมก็ นอ้ ยลง ๓. ความจ้าเป็นของครอบครัวท่ีต้องไปอยู่ห่างไกลกันมากอาจจะไม่สามารถเดินทางกลับ มาร่วมท้าบุญตามประเพณไี ด้ ๔. การปรับเปลีย่ นวิถกี ารดา้ รงชวี ิตด้วยการมเี ทคโนโลยีเขา้ มาช่วย เชน่ โทรศัพท์ ก็จะใช้การ โทรศพั ท์กลับมาขอพรจากพอ่ แม่ในวนั สงกรานตแ์ ทนการกลับบ้าน ความอยู่รอดของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอ่ืน ๆ เกี่ยวพันกับมรดกภูมิปัญญาทาง วฒั นธรรมท่ีมีการจัดเก็บรวบรวมข้อมลู การท้าบุญตามประเพณี ชาวอีสานจะมีการท้าบุญตามประเพณีประจ้าในแต่ละเดือนท่ี เรยี กวา่ ฮตี สิบสอง การปกป้องคุ้มครองหรือมาตรการอื่น ๆ ที่มีอยู่ ซึ่งให้ความใส่ใจแก้ปัญหาปัจจัยคุกคาม เหล่านี้และส่งเสริมให้มีการถือปฏิบัติหรือการสืบทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมในอนาคตโดย

๑๐๕ ๑. เริ่มจากหัวหน้าครอบครัวท่ีต้องมีความรู้ ความเข้าใจในประเพณีสงกรานต์ ชุมชนต้องมี ขอ้ มูลทีถ่ ูกต้อง ทจ่ี ะถ่ายทอดไปยงั บคุ คลอืน่ ๒. การดา้ เนนิ งานของภาครัฐและหน่วยงานที่เก่ียวข้อง อาจจะด้าเนินการสืบสาน ถ่าย ทอด ในรูปแบบของหลักสูตรท้องถ่ิน หรือการท้าสารคดี หรือเป็นบทเรียนสั้น ๆ เก่ียวกับประเพณี สงกรานต์ส้าหรับนักเรียนในโรงเรียน เพ่ือให้นักเรียนได้รับความรู้ ข้อมูลที่ถูกต้อง มองเห็น ความสา้ คัญของประเพณีที่มีการสืบทอดกันมายาวนาน และเป็นการสร้างจิตส้านึกในการสืบสาน ถ้า เป็นระดบั เดก็ เล็ก อาจจะถ่ายทอดในรูปแบบการเล่านิทาน ส้าหรับระดับอุดมศึกษา การสืบทอดโดย ผ่านกิจกรรมท่ีเก่ียวข้องกับประเพณี มีการประกวดการละเล่นพื้นบ้าน เพื่อเป็นการอนุรักษ์และสืบ สานตอ่ ไป ๓. ควรกระตุ้นให้เกิดระดับการมีส่วนร่วมของชุมชนตามบริบทอันแท้จริงของมรดกภูมิ ปัญญาทางวัฒนธรรม โดยใช้จัดกิจกรรมในประเพณีสงกรานต์ให้เน้นในเชิงกระบวนการจัดกิจกรรม เพ่ือกระตุ้นให้สมาชิกในชุมชน ได้ตระหนักใส่ใจร่วมกันแก้ปัญหาปัจจัยคุกคามท่ีเกิดข้ึน และส่งเสริม ให้มีการถือปฏิบัติหรือการสืบทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมในอนาคต เช่น มีส่วนร่วมในการ วางแผน สร้างสรรค์กจิ กรรม การใหก้ ารตดิ สนิ ใจ ให้ความเห็นชอบ รว่ มแลกเปล่ียนข้อมูล และร่วมใน การวางแนวทาง การปกปอ้ งคุ้มครอง ๔. ควรมีการส่งเสริมสนับสนุนการมีส่วนร่วมของบุคคล กลุ่มบุคคล รวมถึงชุมชนในการสืบ ทอด และปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมให้สืบทอดต่อไปอย่างไม่ขาดสายและสร้าง ความยั่งยืน เพื่อสืบสานพัฒนา และสืบทอดอนุรักษ์ทั้งประวัติและคติวิธีการ ไว้เป็นมรดกวัฒนธรรม ทอ้ งถ่นิ ชุมชน และประเทศชาติ และยาวนานไปจนกระทง่ั ถงึ ความเป็นมรดกวฒั นธรรมโลกสืบต่อไป ภาคใต้ รูปลักษณ์ของการปฏิบัติประเพณีสงกรานต์ทางภาคใต้มีการสืบทอดกันมาหลายทศวรรษท่ี ผ่านมา ในกาลปัจจุบันรูปลักษณ์เหล่าน้ีได้เปลี่ยนแปลงไป การณ์บางอย่างแทบไม่ปรากฏให้เห็น เช่น การลอยเคราะห์ การเก็บเครื่องใช้ต่างๆ เช่น การแช่ครกแช่สาก ฯลฯ ไว้นานถึง ๓ วัน การเล่นฟาด ทีง การเล่นเช้ือยาหงส์ การท้าขวัญข้าวร่วมกัน และการข้ึนเบญจา เป็นต้น มูลเหตุส้าคัญของการ เปลีย่ นแปลงเหล่านส้ี ืบเนอ่ื งมาจากวิถีชีวิตของประชาชนเปล่ียนไป ด้วยเหตุปัจจัยนานาประการ เช่น การศึกษา ความเช่ือ การประกอบอาชีพและบริบทอ่ืนๆของสังคม เป็นต้น รูปลักษณ์ใหม่ของการ ปฏิบตั ปิ ระเพณีสงกรานตซ์ งึ่ เกดิ ข้ึนประมาณ ๒-๓ ทศวรรษทีผ่ ่านมากระทง่ั ปัจจบุ ัน คือ การเพิ่มมูลค่า ทางเศรษฐกจิ ใหก้ บั ประเพณีสงกรานต์ด้วยวัตถุประสงค์ที่เพ่ิมเติมข้ึนมานี้เองการณ์ต่างๆอันเนื่องด้วย ประเพณีสงกรานต์จึงเปลี่ยนไปจากเดิม ท่ีเคยเน้นคุณูปการทั้งด้านคุณค่าและมูลค่าควบคู่กัน การณ์ ต่างๆที่ปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมในปัจจุบันจึงเป็นรูปลักษณ์ใหม่ท่ีใช้ประเพณีสงกรานต์เป็น แกนกลางแล้วมกี จิ กรรมหรือบรบิ ทอื่นๆเขา้ มาเสรมิ ตามนโยบายของแตเ่ มือง ซ่ึงอาจเป็นปัจจัยคุกคาม ที่มีผลต่อความอยู่รอดของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ในอนาคต (วิมล ด้าศรี, ๒๕๔๘) การจัดกิจกรรมประเพณีสงกรานต์ขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงานท่ีรับผิดชอบ มุ่งเน้นการท่องเที่ยวหรือความสนุกสนานรื่นเริงมากกว่าให้ความส้าคัญแก่แก่นแท้ของวันสงกรานต์ เชน่ ความเชือ่ ศาสนา วิถีชวี ิต เป็นตน้

๑๐๖ ปัจจัยคุกคามท่ีมีผลต่อความย่ังยืนในการเข้าถึง การใช้ทรัพยากรและองค์ประกอบท่ีจับต้อง ได้ซ่ึงเกี่ยวข้องกับมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ผลจากการศึกษาพบว่าชาวชุมชนสมัยใหม่ร่วมงาน สงกรานต์โดยมุ่งเน้นความสนุกสนานมากกว่าความเข้าใจแนวคิด ค่านิยมท่ีแท้จริงของประเพณี สงกรานต์ จะเห็นได้จากการให้ความส้าคัญแก่การสาดน้า ปัจจุบันมีการสาดน้าที่รุนแรง ปะแป้ง สาด น้าสีแก่บุคคลท่ีผ่านไปมา การจัดกิจกรรมของชุมชนมุ่งเน้นการแข่งขันหรือพนันขันต่อ การแพ้-ชนะ กันมากว่าการร่วมมือสามัคคีกัน การจัดงานซ้าซ้อนกันหลายแห่ง เช่น การรดน้าผู้สูงอายุ ท้าให้ ผู้เข้าร่วมงานแต่ละแห่งมีจ้านวนน้อย พิธีการจึงขาดความศักดิ์สิทธ์ิและลดคุณค่าและความส้าคัญใน ฐานะมรดกภูมปิ ญั ญาทางวัฒนธรรมของบรรพบรุ ษุ ทีไ่ ดม้ อบไว้ให้ลกู หลานไปเปน็ อยา่ งมาก

๑๐๗ บทที่ ๔ การสงวนรักษาประเพณสี งกรานต์ เปน็ มรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรมของชาติ/มนุษยชาติ ๔.๑ เหตผุ ล สงกรานต์เป็นประเพณีท่ีงดงามอ่อนโยน เอ้ืออาทร และเต็มไปด้วยบรรยากาศของความ กตัญญู ความเคารพซงึ่ กนั และกนั เป็นประเพณที ใี่ หค้ วามส้าคัญของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ ในสังคม โดยใช้น้าเป็นสื่อในการเช่ือมความสัมพันธ์ระหว่างกัน มิใช่เทศกาลแห่งน้าอย่างท่ีหน่วยงาน ของรัฐบางแห่งก้าลังด้าเนินการเพ่ือสร้างจุดขาย สร้างรายได้เข้าประเทศ จนสร้างความเข้าใจผิดให้ เกิดข้ึนแก่ประชาชนท่ัวโลก ไม่เว้นแม้แต่คนไทยด้วยกันเองซ่ึงก้าลังจะห่างไกลและหลุดลอยไปจาก รากเหง้าเดิมของประเพณสี งกรานต์กนั ไปทุกที คณุ ค่าของสงกรานต์ กลา่ วโดยสรุปได้ดังน้ี ๑. เปน็ การแสดงความเคารพบูชาต่อส่งิ ทต่ี นเคารพ ตอ่ บดิ ามารดา และผ้ใู หญ่ทีเ่ คารพนบั ถอื ๒. เป็นการชา้ ระจิตใจ และรา่ งกายใหส้ ะอาด ๓. เปน็ การรกั ษาประเพณมี าแต่เดมิ ๔. เป็นการสนุกสนานร่ืนเริงในรอบปี และพักจากงานประจ้าช่ัวคราว เพ่ือจะไปพักผ่อน หย่อนใจ ๕. เป็นการเตือนสติว่ามนุษย์น้ันผ่านไป ๑ ปีแล้ว และในรอบปีท่ีผ่านมา เราได้ท้าอะไรบ้าง และควรจะทา้ อะไรต่อไปในปที กี่ า้ ลงั จะมาถงึ ๖. เป็นการเตรียมตัวบวชถ้าเป็นผู้ชายโดยเอาระยะเวลาน้ีบวชกัน เพราะหลังสงกรานต์ต้อง เตรียมตวั ท้านาแล้ว ๗. เป็นการทา้ ความสะอาดพระ โตะ๊ หมบู่ ชู า บา้ นเรือน ทง้ั ในและนอกบา้ น อยา่ งไรกต็ าม ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่แผ่ขยายครอบคลุมไปทั่วโลก โดยเฉพาะท่ีส่งผล กบั ประเทศไทยก่อให้เกดิ ภาวะวิกฤตกับวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างมาก ประเพณีสงกรานต์ก็ตกอยู่ในวัฏ จักรน้ีเช่นเดียวกัน มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายประการที่ยังความเป็นห่วงให้เกิดขึ้นแก่ทุกคนท่ี รักและเห็นคุณค่าของประเพณีนี้จึงมีความพยายามที่จะรณรงค์ทุกรูปแบบเพ่ือให้ทุกคนที่เป็นคนไ ทย รวมท้งั ชาวต่างชาติไดร้ ับรูถ้ งึ ความหมาย ความส้าคญั และคณุ ค่าของประเพณีสงกรานต์ทแี่ ท้จรงิ หากคนไทยทุกคนเขา้ ใจถงึ คุณค่า และแนวทางปฏิบัติของประเพณีสงกรานต์ และร่วมมือกัน ปฏิบัติให้ถูกต้องเพ่ือสืบทอดความหมายและคุณค่า ความเบี่ยงเบนความรุนแรงต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นก็จะ หมดไป โดยเฉพาะเก่ียวกับการเล่นสาดน้าที่เกินเหตุ ซ่ึงนอกจากจะเต็มไปด้วยพฤติกรรมที่เส่ียง อันตรายทั้งการใช้น้าสกปรก การใช้น้าแข็งขว้างปา การใช้อุปกรณ์ฉีดน้าที่มีแรงดันสูงจนก่อให้เกิด

๑๐๘ อันตรายการใชแ้ ปง้ ใชส้ ที าตามหน้าตาและเนื้อตวั ฯลฯ ตลอดจนกระท่ังการขยายความหมายของการ เล่นสาดน้าให้เป็นจุดขายของประเพณีสงกรานต์จนเกินจริง ทั้ง ๆ ท่ีการเล่นรดน้าเป็นหนึ่งในกิจกรรม ท่ีแสดงถึงความเอาใจใส่ ความเอื้ออาทร และความหวังดีซึ่งกันและกันเท่านั้น เราคนไทยควรใช้ ประเพณีสงกรานต์น้ี เป็นโอกาสในการสรา้ งความรัก ความกตัญญู ความเอื้ออาทร ความเคารพซ่ึงกัน และกันเพื่อสานความสัมพันธ์ระหว่างเพ่ือนมนุษย์ด้วยกัน มากกว่าจะเป็นเพียงการเล่นสาดน้าอย่าง อึกทึกครึกโครมเท่าน้ัน โดยละเลยคุณค่า สาระที่เป็นแก่นแท้ของประเพณีสงกรานต์ที่งดงามมาและ ทรงคณุ คา่ มาแตอ่ ดีต (กองกองอนศุ าสนาจารย์, กรมยทุ ธศกึ ษาทหารบก, ๒๕๕๕) เทพมนตรี ลิมปพยอม (๒๕๕๕) ได้กลา่ วใน “สงกรานตก์ า้ ลงั ลม่ สลาย” วา่ สงกรานต์ มาจาก อินเดีย ตกมาถึงอิทธิพลเขมรและมาปรับปรุงแก้ไขจนเป็นแบบเฉพาะมาถึงประเทศไทยเฉกเช่นทุก วันน้ี รากเหง้าของสงกรานต์นั้น ไม่มีการสาดน้าเล่นสงกรานต์กันอย่างปัจจุบันสงกรานต์ ให้ ความส้าคัญกับน้าที่มีอิทธิพลต่อชีวิต ความชุ่มฉ่้า เย็นใจ ถือเป็นการใช้น้าศักด์ิสิทธ์ิเป็นพิธีกรรม เฉก เช่นเดียวกันกับประเพณีจองเปรียงหรือลอยโคมซึ่งต่อมาเราเรียกว่า “ลอยกระทง” ในสมัยอยุธยา หลักฐานจากชาวยุโรป เช่น นายเยเรเมียส ฟานฟลีท ผู้อ้านวยการสถานีการค้าฮอลันดา ประจ้ากรุง ศรีอยุธยา ฟานฟลีทได้กล่าวถึงการท้าบุญกระดูกอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย “ชาวสยามมักมารวมตัว กันเพื่อการทา้ บุญ” ในบทพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ หรือเจ้าฟ้ากุ้ง ตอนปลายกรุงศรีอยุธยา ไดก้ ล่าวถงึ เดือนห้าวา่ เดือนหา้ อา่ โฉมงาม การออกสนามตามพ่ีไคล สงกรานต์การบุญไป ไหว้พระเจ้าข้าวบิณฑ์ถวาย เดอื นหา้ อา่ รูปล้า โฉมฉาย การออกสนามเหลอื หลาย หลากเลน้ สงกรานตก์ ารบญุ ผาย ตามพี่ พระพุทธรูปฤๅเวน้ แตง่ เข้าบณิ ฑถ์ วาย เดือนห้าตอนปลายกรงุ ศรีอยุธยากล่าวในท่วงท้านองว่าสงกรานต์คือพิธีบุญขึ้นปีใหม่ เพราะการ สรงสนานเป็นขบวนแห่เปลี่ยนปี อนึ่งในบทพระราชนิพนธ์ “พระราชพิธีสิบสองเดือน” ของ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั ไดท้ ้าให้เหน็ ภาพวนั สงกรานต์ชัดเจนข้ึน เป็นการท้าบุญขึ้น ปีใหม่ สรงสนาน รดน้าด้าหวั ก่อพระเจดีย์ทราย และท้าบุญกระดูก ประพรมน้าเพื่อคลายร้อน มีการ กล่าวถึงตา้ นานของสงกรานต์เปน็ เรื่องเล่าปะปนความเชอ่ื ประลองปัญญาระหว่างธรรมบุตรผู้มีปัญญา เฉียบแหลมชาญฉลาดกับท้าวกบิลพรหม ผู้เป็นบิดานางทั้งเจ็ด (ซึ่งต่อมาใช้เป็นสัญลักษณ์นาง สงกรานต์หมุนเวียนเปล่ียนกันไป) ฝ่ายหลังได้รับความพ่ายแพ้และตัดศีรษะตนเอง มอบให้ธิดาทั้ง 7 ใหป้ กปกั รกั ษาและทา้ การเวียนขวารอบเขาพระสเุ มรุ อนั เปน็ การเปล่ยี นดถิ ขี ้ึนปใี หม่ พระราชพิธีสิบสองเดือนเฉพาะเดือนห้าท้าให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับน้า ความเช่ือ วา่ น้ามคี วามส้าคัญศกั ด์สิ ทิ ธ์แิ ละเป็นของหายากในฤดแู ลง้ อย่างเดอื นห้า ซึ่งปัจจุบันพอเดือนห้ามาถึงก็ จะมีการละเล่นสาดน้ากันอย่างสนุกสนาน ท้าลายส่ิงดีงามของพิธีกรรม แล้วน้าน้าไปเล่นกันอย่างลบ หลู่ดูหม่ิน แต่พอถงึ เดือนสิบสองเราไปสมานา้ ขอขมาทไี่ ด้กระท้าล่วงเกนิ น้าต่อพระแมค่ งคา

๑๐๙ ประเพณสี งกรานต์มีความส้าคญั ในด้านความเป็นมรดกทางวฒั นธรรมทีบ่ รรพบุรุษได้มอบไว้ให้ ลูกหลานของตน มีความส้าคัญทางประวัติศาสตร์อันแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ชุมชนและความ หลากหลายทางวัฒนธรรมและชาติพันธ์ุ แสดงให้เห็นถึงแบบอย่างของภูมิปัญญาบรรพบุรุษท่ีได้ รว่ มกันสรา้ งอัตลักษณ์ชุมชนบนพ้ืนฐานของความกตัญญู ความเอื้ออาทรในครอบครัว สร้างกิจกรรม ให้ได้มีการระลึกถึงกัน ให้ได้มีโอกาสได้ร่วมท้าบุญกุศลร่วมกัน มีความสนุกสนาน และช่วยเหลือเอ้ือ อาทรกนั เป็นประจา้ ทกุ ปีสืบต่อกนั มาอย่างยาวนาน เป็นกิจกรรมที่ทวีความงอกงามข้ึนทางด้านจิตใจ ที่ยึดถือร่วมกันในสังคม ลักษณะของประเพณีและกิจกรรมประกอบต่าง ๆ ได้ผันแปรไปตามยุคสมัย การผันแปรของคตินิยม ความเช่ือ แนวทางการประพฤติปฏิบัติมีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย และก้าลงั จะไมเ่ หน็ เคา้ มูลอดุ มการณด์ ้ังเดมิ การสืบทอดขาดการมสี ว่ นรว่ มของชมุ ชนอย่างแท้จริง ท้า ให้สายใยวัฒนธรรมชุมชนเริ่มขาดหายไป จ้าเป็นอย่างย่ิงท่ีต้องมีการส่งเสริมสนับสนุนการกระตุ้น จติ สา้ นึกการมีสว่ นรว่ มของบคุ คล กลมุ่ บคุ คลและชุมชนในการสืบทอด และปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิ ปญั ญาทางวัฒนธรรมให้สืบทอดต่อไปอย่างไม่ขาดสายและสร้างความย่ังยืน เพื่อสืบสานพัฒนาและ สบื ทอดอนรุ กั ษท์ ้งั ประวัตแิ ละคติวิธีการ ไว้เปน็ มรดกวฒั นธรรมท้องถิน่ ชุมชน และประเทศชาติ และ ยาวนานไปจนกระทง่ั ถงึ ความเปน็ มรดกภมู ิปัญญาทางวฒั นธรรมของโลกสืบต่อไป ๔.๒ แนวทางการส่งเสริมใหป้ ระเพณีสงกรานต์เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของ ชาติ/มนษุ ย์ชาติ ประเพณีสงกรานต์เป็นประเพณีท่ีสืบทอดกันมายาวนานของชาวไทย มีความส้าคัญในด้าน ความเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษได้มอบไว้ให้ลูกหลานของ การสืบทอดขาดการมีส่วนร่วม ของชุมชนอย่างแท้จริง ท้าให้สายใยวัฒนธรรมชุมชนเร่ิมขาดหายไป จ้าเป็นอย่างยิ่งท่ีต้องมีการ ส่งเสริมสนับสนุนการกระตุ้นจิตส้านึกการมีส่วนร่วมของบุคคล กลุ่มบุคคลและชุมชนในการสืบทอด และปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมให้สืบทอดต่อไปอย่างไม่ขาดสายและสร้างความ ย่งั ยนื เพอ่ื สบื สานพฒั นาและสืบทอดอนุรกั ษท์ ้ังประวตั ิและคติวธิ ีการ ไว้เป็นมรดกวัฒนธรรมท้องถิ่น ชุมชน และประเทศชาติ และยาวนานไปจนกระท่ังถึงความเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของ โลก โดยมแี นวทางการส่งเสริม ดังต่อไปน้ี ๑. การถ่ายทอดโดยตอ้ งสร้างความเข้มแข็งใหแ้ กอ่ งคค์ วามรู้ การไม่ยอมรับในสิ่งท่ีผิดเพ้ียนไปจาก ประเพณีดั้งเดิม การร่วมกิจกรรมระหว่างชุมชน รวมถึงวัดที่เป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ต้ังแต่อดีตจน กระทวั่ ถึงปัจจุบนั ดว้ ย ๒. บดิ ามารดาต้องท้าเป็นแบบอย่าง พาไปดูกิจกรรม ร่วมกันปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ และอธิบายให้ ความรู้ความลึกซึ้งของประเพณี การสืบสานเข้าใจในสิ่งที่ได้มีการกระท้าแต่ละพิธีกรรมไปด้วยให้ เยาวชน เด็กเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง พ่อแม่ คนเฒ่าคนแก่ต้องเล่าสืบกัน และสืบสานกันด้วย การถ่ายทอดจากลูกหลาน คนในครอบครัว และชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน โรงเรียนก็ควรต้องมีการอนุรักษ์ ช่วยกนั ปฏบิ ัตใิ ห้ถกู ตอ้ ง เป็นตัวอย่างท่ดี ี

๑๑๐ ๓. องคก์ รชุมชน ผมู้ พี ลังเขม้ แขง็ ตอ้ งร่วมมือสนับสนุน สง่ เสรมิ คู่ไปกบั ร่วมมือกับพ่อครู แม่ครู ผู้รู้ ถ่ายทอดประสบการณ์ แสดงส่ิงท่ีถูกต้องแบบอย่าง จัดเป็นประเพณี พิธีกรรมหรือจัดกิจกรรมที่ ถกู ต้อง เป็นแบบอย่างในแตล่ ะพิธีกรรมในแต่ละชุมชนอยา่ งต่อเน่อื งและจรงิ จัง ๔. จังหวดั องคก์ รทอ้ งถิ่น เทศบาล หน่วยงาน องค์กรเอกชนควรมกี ารสง่ เสรมิ กิจกรรมในการร่วม รณรงค์ประเพณีสงกรานต์ด้วยการจัดการแข่งขันแต่ละประเภทในพิธีกรรมอย่างถูกต้อง ตรงกับจารีต ประเพณี มีกตกิ า มผี ู้รู้ในเชงิ ท่สี นับสนุน สง่ เสริมดว้ ยวธิ ีการอนรุ ักษ์ในแต่ละประเภทอย่างถูกต้อง เช่น การจดั ประกวดเคร่อื งสกั การะลา้ นนา หมากสมุ่ หมากเบ็ง ต้นดอก ต้นผ้ึง การจัดประกวดการตีกลอง (ภาคเหนือ) เป็นต้น การแข่งขันจะเกิดการพัฒนาองค์ความรู้ และสร้างแรงจูงใจให้เยาวชนและ ผู้เข้าร่วมแขง่ ขันศึกษา คน้ คว้าและสรา้ งภูมปิ ัญญาในการรว่ มอนรุ กั ษ์สืบสานต่อไดอ้ ย่างดี ๕. หนว่ ยงานราชการ องค์กรต่างๆ ตอ้ งสนบั สนนุ ภมู ิปัญญาชาวบา้ นใหไ้ ด้มโี อกาส เผยแพร่วิถีการ ปฏิบัติ แนวทางจารีตประเพณี เปิดช่องทางเผยแพร่ ถ่ายทอดให้อยู่ต่อไปท้ังในสถานศึกษา ชุมชน อย่างเป็นรปู ธรรม ๖. หน่วยงานราชการ องค์กรต่างๆ ต้องมีการสนับสนุนส่งเสริม และจัดสรรงบประมาณให้ หนว่ ยงานทีม่ ีการอนรุ ักษ์ สืบสานวัฒนธรรม ภูมิปัญญา เช่น ทุกวันนี้เมืองเชียงใหม่มีโรงเรียนสืบสาน ภูมิปัญญาล้านนา ชมรมดนตรีพ้ืนเมือง ชมรมปักขะทืนล้านนา ท่ีมีพ่อครู แม่ครูท่ีมีความรู้ ประสบการณ์ ภูมิปัญญา ที่สามารถถ่ายทอดให้องค์ความรู้และภูมิปัญญาด้านต่างๆ เหล่าน้ีได้ ฉะน้ัน โรงเรยี น หรอื ชมรมด้านน้ีควรไดร้ บั การสนบั สนนุ ทง้ั ด้านโอกาส การประชาสมั พนั ธ์ และงบประมาณ ๗. การทอ่ งเทยี่ วแห่งประเทศไทยควรมีบทบาทส่งเสริมประเพณีดั้งเดิมอย่างจริงจัง เพราะเห็นว่า เป็นรูปแบบการท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ และเข้าใจในวัฒนธรรมท้องถิ่นและควรสนับสนุน ประชาสัมพันธ์อยา่ งอนรุ ักษแ์ ละแบบอยา่ งของประเพณีสืบต่อไป ๘. การร่วมอนุรักษ์และร่วมรณรงค์ สืบสาน รวบรวมข้อมูลทั้งในรูปแบบของ ข้อมูล วีดิทัศน์ ใน การประกอบกจิ กรรมประเพณีจากคณะกรรมการวฒั นธรรมจังหวัดเก็บรวบรวมไวอ้ ย่างเปน็ รปู ธรรม ๙. หน่วยงานต่างๆ ควรให้ความส้าคัญ และพิจารณาร่วมกันในการจัดหลักสูตรในสถานศึกษา ส้าหรับเด็กและเยาวชนในสถานศึกษาตั้งแต่เด็กเล็กไปถึงมหาวิทยาลัยในพ้ืนท่ี รวมถึงการจัดท้าค่าย เยาวชน เพื่อสร้างองค์ความรู้และวิธีคิดที่มีผลต่อการอนุรักษ์ ด้ารงและสืบทอดการปฏิบัติเกิด ประสบการณต์ รงสามารถปฏบิ ัติไดต้ ามแบบอยา่ งประเพณีอย่างยงั่ ยนื ๑๐. หน่วยงานท่ีมีการจ้างผู้ให้บริการจัดกิจกรรม (organizer) ในการจัดงานกิจกรรมต่างๆ นอกจากจะจัดสรรงบประมาณ หรือประชาสัมพันธ์เพ่ือการท่องเที่ยวท้ังเชิงเศรษฐกิจ และประเพณีก็ ตาม ขอให้หน่วยงานประสานงานและถ่ายทอดพิธีกรรม องค์ความรู้ท่ีถูกต้องให้แก่ผู้จัดเพ่ือไม่ให้เกิด กรณีผู้จัดจัดงานออกมาอย่างผิดเพี้ยนเกิดความเข้าใจผิดความไม่ถูกต้องในขนบธรรมเนียม จารีต ประเพณดี ง้ั เดมิ ทีม่ ตี ่อประชาชนนักทอ่ งเทีย่ วและผู้สนใจ ท่ีได้พบเหน็ ในแต่ละกิจกรรมน้ันๆ ๑๑. ชุมชนควรร่วมเสริมสร้าง สนับสนุน ขอให้ทุกฝ่ายทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในด้าน งบประมาณ การรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ การถ่ายทอด ประสบการณ์ของชุมชน ประเพณีเพื่อการสืบ ทอดประเพณีได้อย่างต่อเนอื่ งเปน็ หนง่ึ ในประเพณีสา้ คญั ของจงั หวัด

๑๑๑ สว่ นที่ ๒ กระบวนการมีสว่ นรว่ มของ “ชุมชน” ๑. กระบวนการรวบรวมและจัดเกบ็ ขอ้ มูลแบบมีส่วนรว่ ม กรมส่งเสรมิ วฒั นธรรม (๒๕๕๕) ไดใ้ ห้แนวทางหลักการเกบ็ รวบรวมและจดั เกบ็ ขอ้ มูลไว้ ดังนี้ ๑.๑ ความสาคัญของการให้ “ชุมชน” มีส่วนรวมในกระบวนการรวบรวมและจัดเก็บ ขอ้ มลู เนื่องจาก “การปกป้องคุ้มครอง” มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมต้องเคารพสิทธิทาง วัฒนธรรมของ “บุคคล กลุ่มคน และชุมชน” ซ่ึงเป็นผู้ถือครองหรือผู้เกี่ยวข้อง จึงสมควรที่ “บุคคล กลุ่มคน ชุมชน” หรือ บุคคลที่เก่ียวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูล ต้ังแต่การเสนอรายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เท่ากับเป็นการกระตุ้นจิตส้านึกเก่ียวกับ ความสา้ คัญของมรดกภมู ิปัญญาทางวฒั นธรรม โดยควรตระหนักวา่ เป้าหมายก็คือกระตุ้นให้ “ชุมชน” มีจิตส้านึกและพยายามพัฒนาแนวคิดเพื่อ “ปกป้องคุ้มครอง” มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของ ตนเองได้ อย่างไรก็ตาม ระดับการมีส่วนร่วมของชุมชนอาจจะหลากหลายตามบริบทของมรดกภูมิ ปญั ญาทางวฒั นธรรม เช่น ในการตัดสินใจให้ความเห็นชอบ ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล ร่วมในการบันทึก ขอ้ มลู ร่วมในการวางแนวทางการปกปอ้ งคมุ้ ครอง ในกระบวนการรวบรวมและจัดเกบ็ ข้อมูล “ประเพณสี งกรานต์” จะเปิดเวทีให้บุคคล กลุ่มชน ชุมชนท่ีมีจิตส้านึกทางอัตลักษณ์ของชุมชนร่วมกัน อันสืบเนื่องมาจากการมีสายใยสัมพันธ์เชิง ประวัติศาสตร์ที่มีรากฐานการถือปฏิบัติ สืบสานประเพณีสงกรานต์ และการถ่ายทอดประเพณี สงกรานต์ซ่ึงเป็นอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมในความมีน้าใจไมตรีระหว่างกลุ่มชน ชาติพันธุ์และศาสนา ร่วมกัน โดยการใช้แนวค้าถามท่ีคณะวิจัยก้าหนดขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ชุมชนเกิดจิตส้านึกและพยายาม พัฒนาแนวคิดเพ่อื ปกป้องคุม้ ครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของตนเอง

๑๑๒ ๑.๒ ให้ความสาคัญกับการพยายามทาความเข้าใจความหลากหลายในเรื่องความหมาย ของชุมชน เนื่องจากการพัฒนากระบวนการ “ชุมชน” มีส่วนร่วมในการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลเป็น กลวิธีส้าคัญในการกระตุ้นจิตส้านึก “การปกป้องคุ้มครอง” มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ผดู้ า้ เนินการรวบรวมและจัดเกบ็ ขอ้ มูลควรคา้ นึงถงึ ความหลากหลายในเร่ืองความหมายของ “ชมุ ชน” ในเร่ืองนี้ยูเนสโกได้ให้ความหมาย “ชุมชน” ไว้ว่า “เป็นเครือข่ายของกลุ่มชนท่ีมีจิตส้านึก ทางอัตลักษณ์หรือสายสัมพันธ์ร่วมกันอันสืบเน่ืองมาจากการมีสายใยสัมพันธ์เชิงประวัติศาสตร์ที่มี รากฐานจากการถือปฏิบัติ และการถ่ายทอด หรือการเกี่ยวพันกับมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ร่วมกัน” ความหมายน้ีมีขอบเขตกว้างขวาง เปิดโอกาสให้สามารถตีความ “ชุมชน” ได้อย่าง หลากหลายตามบริบทของมรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรมแตล่ ะสาขา หรือแตล่ ะเร่ือง ในงานเทศกาล “ประเพณสี งกรานต์” ไดก้ า้ หนดความหมายของ “ชุมชน” ไว้ดังนี้ ชุมชน หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ ผู้เฒ่าผู้แก่ ปราชญ์ชาวบ้าน ชาวบ้าน องค์การบริหารส่วน ตา้ บล สถาบันการศกึ ษา นกั วชิ าการ เยาวชนในพืน้ ท่ภี าคเหนือ ภาคกลาง ภาคอสี านและภาคใต้ หากจะประมวลความหมายอย่างยืดหยุ่น “ชุมชน” ก็คือ กลุ่มคน หรือ เครือข่ายของกลุ่ม คนที่มีความรู้สึก ความรู้ และ การถือปฏิบัติในมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอย่างใดอย่างหน่ึง หรือ หลายอย่างร่วมกัน อาจจะเป็นพ้ืนที่ เช่น ชุมชนหมู่บ้าน หรือท้องถิ่น หรือภูมิภาค หรือ รัฐชาติ หรือ อาจจะเป็นกลุ่มคน เครือข่าย ชมรม สมาคม หรือกลุ่มชาติพันธุ์ (ท่ีอยู่ต่างพ้ืนที่) แต่มีความรู้สึก ความรู้ และการปฏิบตั ิในมรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรมรว่ มกัน การพิจารณา “ชุมชน” ท่ีเก่ียวข้องในกระบวนการปกป้องคุ้มครอง (รวมท้ังการศึกษาบันทึก และด้าเนินการปกป้องคุ้มครอง) มรดกภูมิปัญญาในแต่ละเรื่อง จึงจ้าเป็นต้องพิจารณาจากข้อมูลเชิง ประจักษ์ด้วยว่า “ใคร” บ้าง หรืออะไรที่อยู่ในข่ายนับรวมเป็น “ชุมชน” ท่ีมีศักยภาพของการมีส่วน ร่วม อย่างเช่น ในกรณีงานเทศกาล “ประเพณีสงกรานต์” จะนับใครหรืออะไรเป็น “ชุมชน” เช่น ท่ี จะเข้ามามีส่วนร่วมในการปกป้องคุ้มครอง และหากมีผู้เกี่ยวข้องเป็นจ้านวนมากจะเลือกสรรให้เข้า ร่วมและมีบทบาทอย่างไรในล้าดบั ขั้นของกระบวนการปกปอ้ งค้มุ ครอง องคาพยพของชมุ ชนที่มีการกระจายตวั ของมรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมประเพณีสงกรานต์ ท้ังในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสานและภาคใต้ ท่ีเป็นเจ้าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ประเพณีสงกรานต์ ประกอบด้วยผู้เฒ่าผู้แก่ ปราชญ์ชาวบ้าน ชาวบ้าน ผู้น้าชุมชน สถาบันการศึกษา บริษัทห้างร้านโรงงานอุตสาหกรรมในชุมชน คณะผู้เก็บรวบรวมข้อมูลและจัดเก็บข้อมูลจะด้าเนิน กระบวนการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลให้เป็นไปตามบริบทตามความหลากหลายของชุมชนทั้งด้าน แนวคดิ ความเปน็ อยู่ วิถชี ีวติ ในฐานะเจ้าของมรดกภูมปิ ัญญา

๑๑๓ ๑.๓ การใหค้ วามสาคญั กบั การเลือกสรรรายการมรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรม การเลือกสรรรายการมรดกภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรมเพ่ือการปกป้องคุ้มครอง ต้องค้านึงอย่าง สา้ คญั ว่ามรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรมน้ันยังมีชีวิตและมีศักยภาพในการสร้างสรรค์ประโยชน์ต่อการ พฒั นาวถิ ีชวี ิตอยา่ งยง่ั ยืนหรอื ไม่ หรอื มรดกภูมปิ ัญญานั้นก้าลังเส่ียงต่อการสูญหาย ถูกฉกฉวยน้าไปใช้ ประโยชน์อย่างไม่ถูกตอ้ งและไมเ่ หมาะสม หากเขา้ ข่ายดังกล่าวควรดา้ เนนิ การปกปอ้ งคมุ้ ครอง ลักษณะของประเพณีสงกรานต์ และกิจกรรมประกอบต่าง ๆ ได้ผันแปรไปตามยุคสมัย จาก สังคมเกษตรกรรมเป็นสังคมทุนนิยมอุตสาหกรรม ท้าให้การสืบทอดประเพณีสงกรานต์ ขาดการมี ส่วนร่วมของชุมชน ชุมชนเองขาดจิตส้านึกของความเป็นเจ้าของ เค้ามูลอุดมการณ์ดั้งเดิมท่ีเป็นอัต ลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชนเปล่ียนแปลงไป และไม่ชัดเจนว่าชุมชนในฐานะเจ้าของประเพณี สงกรานต์ มีความคิดเห็นอย่างไร ต้องการสืบสานคุ้มครองปกป้องต่อไปหรือไม่ ในลักษณะหรือ รปู แบบใด มิฉะน้ันประเพณีสงกรานต์ อาจเส่ียงต่อการสูญหาย ถูกฉกฉวยไปใช้ประโยชน์ในทางท่ีไม่ ถกู ตอ้ งเหมาะสม ๑.๔ การคานงึ ถึงความหลากหลายของการประพฤติปฏิบัติและการแสดงออกในมรดกภูมิ ปัญญาทางวัฒนธรรม ในมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมหนึ่งรายการจะมีการประพฤติปฏิบัติ การแสดงออกและ การสร้างสรรค์ที่หลากหลายตามวิถีของแต่ละ “ชุมชน” จึงควรค้านึงถึงการรักษาความหลากหลาย ดังกล่าวนี้ของแต่ละ “ชุมชน” เช่น แบบแผนประเพณีสงกรานต์ ในแต่ละภูมิภาค และ “ชุมชน” ใน ขอบเขตประเทศไทย จะมีความหลากหลาย และมีลักษณะเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน การ รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลจึงควรแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายดังกล่าว ไม่ควรบิดเบือนหรือเอา ออกจากบรบิ ททางวฒั นธรรม ชุมชนเกษตรกรรมได้เปล่ียนเป็นชุมชนอุตสาหกรรม ขาดจิตส้านึกในการปกป้องคุ้มครอง ประเพณีสงกรานต์ให้อยู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน ขาดการร่วมคิด ร่วมท้า งานประเพณีจัดขึ้นโดยเน้นที่ รูปแบบหรือผลผลิต แต่ขาดปัจจัยน้าเข้าและกระบวนการในองคาพยพของการสืบสานและปกป้อง คุ้มครอง อาทิ ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับประเพณีสงกรานต์ ปูมหลัง ภูมิปัญญาของบรรพชน และ จิตส้านกึ ทเ่ี กิดแก่ชมุ ชนในการอนุรักษ์ปกป้องคุ้มครองมรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรมของชมุ ชนเอง ๑.๕ การเขา้ ถึงข้อมูล ในกรณีท่ี “ชุมชน” เห็นว่าข้อมูลบางอย่างไม่สมควรจะเปิดเผยต่อสาธารณชน ควรให้ “ชุมชน” มีส่วนร่วมในการกา้ หนดมาตรการ เพ่ือปอ้ งกันความเสียหายทอี่ าจจะเกิดขนึ้ ได้ คณะผู้เก็บรวบรวมข้อมูลและจัดเก็บข้อมูลจะมีกระบวนการ วิธีการและค้าถามหลักในการ เก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อเข้าถึงข้อมูลและให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการก้าหนดมาตรการเพ่ือป้องกันความ เสียหายทอ่ี าจจะเกดิ ขน้ึ ผ่านค้าถามวจิ ยั และการเปดิ เวทีชุมชน

๑๑๔ ๒. ระเบยี บวิธกี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู โดยกระบวนการมีสว่ นร่วมของชุมชน เน่ืองจากผู้ด้าเนินการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมในแต่ละ รายการ อาจจะมใิ ชผ่ ูท้ เี่ กยี่ วขอ้ งกับมรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรมตา่ ง ๆ ดังกล่าว โดยตรงในแง่ที่เป็น ผ้ถู อื ปฏบิ ตั หิ รือมีเจตนารมณ์จะสืบทอดด้วยตัวเอง แต่เป็นผู้ที่มีความปรารถนาดีเห็นคุณค่าของมรดก ภมู ปิ ญั ญา และคิดว่าน่าจะส่งเสริมให้มีการปกป้องคุ้มครองและสืบสานต่อไป ซ่ึงจะเป็นไปได้ก็ต่อเม่ือ ผทู้ ีจ่ ะสืบสานโดยตรงมองเห็นคุณค่าและความส้าคัญ ดังน้ันผู้ด้าเนินการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลจะ ให้ความสา้ คัญของการให้ชมุ ชนมีสว่ นรว่ มในการจัดเก็บข้อมูล และพิจารณาแบบบันทึกข้อมูลรายการ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ซ่ึงจะแสดงให้เห็นว่าประเด็นส้าคัญพื้นฐานที่จ้าเป็นต้องจัดเก็บมี อะไรบา้ ง โดยมรี ะเบยี บวธิ กี ารเก็บรวบรวมข้อมูล และกระบวนการจัดเก็บขอ้ มลู ดังต่อไปน้ี ๒.๑ วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research - PAR) การวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม เป็นการวิจัยท่ีจัดอยู่ในลักษณะของสิ่งที่จะศึกษา วิธี การศึกษา หรืองานวิจัยและพัฒนา (research and development) มีที่มาจากการวิจัย 2 ลักษณะ คือ การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับชุมชน ในลักษณะให้ชุมชนมีส่วนร่วม (participatory and community- based research) กับงานวิจัยเชิงปฏิบัติการ (action research) เป็นการวิจัยในลักษณะที่มุ่งสร้าง ความสา้ นึกและความตระหนักของกลุม่ เปา้ หมาย ใหม้ สี ่วนรว่ มในกิจกรรมต่างๆ ในฐานะเป็นส่วนหน่ึง ของชุมชนหรือองค์กร โดยให้กลุ่มเป้าหมายได้มีส่วนรับรู้และเรียนรู้ ในเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว ตื่นตัวถึงความจ้าเป็นที่จะต้องกระท้า และพร้อมที่จะร่วมรับรู้ผลงานวิจัยน้ันๆ ด้วย ท้ังนี้ เป็นการ อาศัยศักยภาพของชุมชน และการตัดสินใจของชุมชนบนพ้ืนฐานของการมีส่วนร่วมทั้งกาย ความคิด สินทรพั ย์ ทรัพยากรชมุ ชน กระบวนการตัดสินใจทีเ่ ปน็ ประชาธิปไตยอย่างมีเหตุมีผลของกระบวนการ กลุ่ม และด้วยความพึงพอใจ Carter (1959 อ้างใน Quixley, 2008) อธิบายว่า การวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม เป็นรูปแบบการวิจัยที่แตกต่างจากการวิจัยพ้ืนฐานซ่ึงเก่ียวข้องกับกิจกรรมท่ีเก่ียวข้องและการมีส่วน ร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย การปฏิบัติการโดยบูรณาการส่วนต่าง ๆ ของกระบวนการวิจัยในวงจรท่ี หมุนเวียนเปลี่ยนไปของกิจกรรมและการเรียนรู้จากกิจกรรมเหล่าน้ันตามวิถีของชีวิตและชุมชน องค์ประกอบที่สา้ คญั ของการวิจัยเชงิ ปฏิบัติการแบบมสี ว่ นร่วมมีดงั น้ี ๑.ปญั หาของการวิจัยตอ้ งเกิดมาจากความต้องการของชุมชนอยา่ งแทจ้ ริง ๒. สมาชิกของชุมชนได้รับผลกระทบโดยตรงจากผลลัพธ์ของงานวิจัยรวมท้ังต้องมีส่วนร่วม และเกยี่ วข้องในกระบวนการวิจัย ๓. การท้างานเป็นทีมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องท้ังนักวิจัยและชุมชนในกระบวนการวิจัยเป็นส่ิง ส้าคญั ต่อประสิทธผิ ลของผลลพั ธ์ท่เี กิดจากงานวิจยั ๔ ผลของการวิจัยจะต้องน้าไปสู่รูปแบบความคิดเห็นร่วมกันเพื่อน้าไปสู่การปฏิบัติและ แลกเปลย่ี นระหวา่ งชมุ ชนสงั คม

๑๑๕ ในงานวจิ ยั นีจ้ ะใช้แนวทางการวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วมของ Carter (1959) ซ่ึงเป็น การศึกษาวิจัยเพ่ือรวบรวมข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมท่ีชุมชนเป็นเจ้าของ เพื่อให้ชุมชนมี ส่วนร่วม (participatory and community-based research) ในกระบวนเก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่ เร่มิ ต้นโครงการ กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูล การสังเคราะห์และวิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนผลลัพธ์ ทไ่ี ด้จากโครงการเก็บรวบรวมขอ้ มูล โดยมขี ้นั ตอนวิธกี าร ดงั น้ี ๒.๒ การจัดเวทีช้ีแจงการดาเนินการของโครงการ ทั้งในระดับบุคคล กลุ่มคน ชุมชนทั้งใน สว่ นของชาวชมุ ชนทก่ี ระจายตัวอย่ใู นพนื้ ท่ภี าคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ พระภิกษุสงฆ์ ท้องถิ่น ผู้น้าชุมชน ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เพื่อให้ชุมชนเกิดความเข้าใจ ได้รับทราบถึงเป้าหมาย วัตถุประสงค์ วิธีการด้าเนินงานโครงการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลมรดกภูมิ ปญั ญาทางวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ เพ่ือใหเ้ กิดการสงวนรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ให้ เป็นวัฒนธรรมที่มีชวี ิต ๒.๓. การจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง ประเพณีสงกรานต์ มรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมของชาวชุมชนในพื้นท่ีภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ โดยมีวัตถุประสงค์ เพ่ือฝึกอบรมให้ทีมวิจัยของชุมชนซ่ึงเป็นนักวิจัยรุ่นใหม่เป็นลูกหลานชาวชุมชนในพ้ืนที่ และทีมวิจัย ของวิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอกเพ่ือให้เข้าใจเคร่ืองมือ ข้อค้าถาม และระเบียบวิธีการวิจัยเชิง ปฏิบตั ิการแบบมีส่วนรว่ ม และระเบียบวธิ ีการวิจัยเชิงคุณภาพเมื่อลงพ้ืนทเ่ี กบ็ รวบรวมขอ้ มูล ๒.๔ การทบทวนวรรณกรรมและเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดยมีวัตถุประสงค์ให้ทีมวิจัยของ ชุมชนค้นคว้าและเก็บรวบรวมวรรณกรรมและเอกสารท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั ประเพณีสงกรานต์ทั้งในอดีตและ ปัจจบุ นั นอกเหนอื จากวรรณกรรมและเอกสารทเี่ ก่ยี วขอ้ งทท่ี ีมวิจยั ของวทิ ยาลยั ได้รวบรวมมาแล้วก่อน หนา้ นี้ ท้งั นี้เพอื่ ให้ทมี วิจัยชมุ ชนได้มีส่วนร่วมและกระตุ้นให้เกิดความสนใจและตระหนักถึงคุณค่าของ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวัฒนธรรมของทอ้ งถิน่ เอง ๒.๕ การเก็บรวบรวมข้อมูลจากพื้นที่ภาคสนาม โดยให้ทีมวิจัยชุมชนร่วมกับทีมวิจัย วิทยาลัย เพ่ือให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกับชุมชน และเป็นการกระตุ้นจิตส้านึกเกี่ยวกับ ความส้าคัญของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมในการร่วมแลกเปล่ียนข้อมูล ร่วมในการบันทึกข้อมูล ร่วมในการวางแนวทางการปกป้องคมุ้ ครอง ๒.๖ วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Methodology) โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก (depth interview) อย่างไม่เป็นทางการ เพ่ือพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง มีความไว้วางใจกัน และใช้ ข้อค้าถามท่ีเข้าใจง่ายโดยการใช้ทีมวิจัยของชุมชนเป็นผู้สัมภาษณ์และจดบันทึกข้อมูล ท้ังนี้เพื่อให้ ชุมชนเกิดกระบวนการเรียนรู้วัฒนธรรมของตนเองจากปราชญ์ชุมชน ผู้เฒ่าผู้แก่ พระสงฆ์ นัก ประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น เป็นการกระตุ้นของเจ้าของวัฒนธรรมเกิดความรัก ความหวงแหนและ ความภาคภูมใิ จในมรดกภมู ิปัญญาท่บี รรพชนมอบไว้ให้ตนและชมุ ชนของตน

๑๑๖ ๒.๗ การเปิดเวทีร่วมกับ “ชุมชน” เพื่อระดมความคิด (focus group) โดยการเปิดเวที ชุมชนท้ังในระดับชุมชน ผู้น้าชุมชน โดยให้ทีมวิจัยของชุมชนเป็นผู้ตั้งค้าถาม เป็นผู้จัดเวที โดยให้ทีม วิจัยชุมชนซึ่งเป็นลูกหลานในชุมชน และผู้น้าชุมชน เป็นผู้ต้ังประเด็นค้าถามเองโดยการให้ค้าแนะน้า ของทีมนักวิจัยของวิทยาลัย เพ่ือกระตุ้นให้ชุมชนเห็นความส้าคัญของปัญหา อุปสรรคในการสืบสาน ปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาของชุมชนเอง โดยชุมชนได้เห็นปัญหาเอง และร่วมกันเสนอแนว ทางการแกป้ ญั หากนั เอง ๒.๘ การเข้าฝังตัวในชุมชนโดยใช้วิธีการสังเกตแบบมีส่วนร่วม (participatory observation) และไม่มีส่วนร่วม โดยทีมวิจัยจากวิทยาลัยและทีมวิจัยชุมชนเจ้าของพ้ืนที่ เข้าร่วม ประชุมกับหน่วยงานราชการ และองค์กรด้านวัฒนธรรมของชุมชนพื้นท่ีที่เป็นเจ้าภาพในการจัด ประเพณีสงกรานต์ การเข้าร่วมในประเพณีสงกรานต์ การเข้าร่วมเป็นกรรมการจัดงาน การเข้าร่วม สงั เกตการณ์ในการสรุปงานจดั งาน ๒.๙ การใช้แนวคิดเชิงนิเวศวิทยาวัฒนธรรมด้วยวิธีการจาแนกข้อมูล (typological analysis) เพื่อจ้าแนก สังเคราะห์ และวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากภาคสนามมาเป็นข้อมูลตามแนวคิด เชิงนิเวศวิทยาวัฒนธรรมสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูลเพ่ือใช้ จัดท้าเปน็ ขอ้ มลู รายงานตอ่ ไป ๒.๑๐ จัดเวทีวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) การวิเคราะห์เอกสาร (documentary analysis) การวิเคราะห์แบบกรณีศึกษา (case study) โดยมีข้อค้าถามในประเด็น “แนวทางในการสงวนรักษา ปกป้องคุ้มครอง อนุรักษ์สืบ สานประเพณีสงกรานต์เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมและของมนุษยชาติ” โดยมีวัตถุประสงค์ เพ่ือแลกเปลี่ยนและเสนอแนะความคิดเห็นร่วมกันทั้งชุมชนเจ้าของมรดกภูมิปัญญา โดยให้ทีมวิจัย ชมุ ชนเป็นผู้ดา้ เนนิ การเวทีของชมุ ชนดว้ ยชมุ ชนเอง เพ่อื ชุมชนเอง ๒.๑๑ การวิเคราะห์และสรุปผลข้อมูล เมื่อมีการเก็บรวบรวมข้อมูลครบถ้วนแล้ว ทีมวิจัย ของวิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอกและทีมวิจัยชุมชน จะร่วมกันตรวจสอบความเชื่อถือของข้อมูลที่ได้มา ด้วยวิธีการแบบสามเส้า (methodological triangulation) โดยทีมวิจัยจะท้าการน้าข้อมูลท่ีได้มา จากทั้งการสัมภาษณ์เชิงลึก การจัดเวทีชุมชน การจัดเวทีผู้น้าชุมชนน้ามาวิเคราะห์ตรวจสอบความ เชอ่ื ถือของข้อมูลท่ีได้มาด้วยวิธีการแบบสามเส้า ทั้งน้ีเพ่ือให้ได้ข้อมูลท่ีถูกต้องเช่ือถือได้มากท่ีสุด เพ่ือ น้าไปสู่การรายงานในรายงานการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมประเพณี สงกรานต์

๑๑๗ ๒.๑๒ การนาเสนอรายงานในรูปแบบการพรรณนาความ (descriptive) เป็นขั้นตอน สุดท้ายในการเขียนรายงานผลการท้าวิจัยการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทาง วฒั นธรรมประเพณีสงกรานต์เพือ่ น้าเสนอตอ่ กรมสง่ เสริมวฒั นธรรมและเผยแพร่ในลา้ ดับต่อไป ๓. คาถามการดาเนินโครงการ คา้ ถามการดา้ เนินโครงการหรือค้าถามวจิ ยั คอื ขอ้ ความที่เป็นประโยคค้าถามซึ่งแสดงให้ เห็นถึงส่ิงที่ผู้วิจัยต้องการค้นคว้าหาค้าตอบ ทั้งนี้ค้าถามการวิจัยควรเป็นค้าถามท่ียังไม่มีค้าตอบ หรือไม่สามารถหาค้าตอบได้จากต้ารา หรอื ความรู้เดิมทีม่ อี ยูก่ อ่ นแลว้ (Kerlinger, ๑๙๗๙) ในการศึกษาเรื่อง ประเพณีสงกรานต์ ทีมรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรม ได้ตง้ั คา้ ถามส้าหรับการรวบรวมและจดั เก็บขอ้ มูล เพื่อเป็นโจทย์ให้ทีมรวบรวมและจัดเก็บ ขอ้ มลู มรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรมด้าเนินการเพือ่ หาคา้ ตอบ ดังต่อไปนี้ : ๑. ประเพณีสงกรานต์เป็นอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชนอย่างไร มีความส้าคัญต่อวิถี ชีวติ ของชมุ ชนหรอื ไม่ อย่างไร ๒. ลักษณะรูปแบบและกิจกรรมของประเพณีสงกรานต์มีความหลากหลายเพียงใด มีการ เปล่ียนแปลงไปจากอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชนตามเจตนารมณ์ของบรรพชนหรือไม่ เพราะ เหตุใด ๓. ท่ผี ่านมาการจดั ประเพณสี งกรานตม์ ีปัญหา อปุ สรรค หรือไม่ อย่างไร เพราะเหตใุ ด ๔. ชุมชนคิดว่าการปกป้องคุ้มครองและสืบสานประเพณีสงกรานต์จะมีประโยชน์ มีโทษต่อ ชุมชนอย่างไรบ้าง เพราะเหตุใด ๕. จากประสบการณ์ของชุมชน แนวทางการปกป้องคุ้มครองประเพณีสงกรานต์ น่าจะเป็น อยา่ งไร โดยค้าถามข้างต้นเป็นค้าถามแบบก่ึงโครงสร้างซึ่งออกแบบไว้เป็นแนวค้าถามส้าหรับทีม รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเท่าน้ัน อย่างไรก็ดี เมื่อทีมรวบรวมและ จดั เกบ็ ข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชุมชนถามกลุ่มตัวอย่างท่ีเป็นชุมชนแล้ว จะต้องปรับ ค้าถามให้เป็นท่ีเข้าใจง่ายและสามารถสื่อสารกับชุมชนด้วยภาษาที่เป็นของทีมรวบรวมและจัดเก็บ ขอ้ มูลมรดกภูมิปญั ญาทางวฒั นธรรมชมุ ชนเอง ๔. นิยามศัพท์ เพ่ือให้การเก็บรวมรวมข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์เป็นไปตาม ระเบียบวิธีการวิจัย การนิยามศัพท์เพ่ือเปล่ียนนิยามศัพท์เป็นนิยามปฏิบัติการเพ่ือน้าไปสร้างข้อ ค้าถามในมาตรวัดหรือแบบสอบถาม ตารางท่ี ๑ เป็นนิยามศัพท์ที่ปรากฏในอนุสนธิสัญญาและ ความหมายทแ่ี ปลโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวฒั นธรรม ตารางท่ี ๑ นิยามศัพทท์ ี่ปรากฏในอนสุ นธสิ ัญญาและความหมายทแ่ี ปลโดยกรมสง่ เสรมิ วัฒนธรรม

๑๑๘ นิยามศพั ทท์ ่ีปรากฏในอนุสนธิสญั ญา ความหมายทแี่ ปลโดย (Key concepts in Convention) กรมสง่ เสริมวัฒนธรรม intangible cultural heritage มรดกภมู ิปัญญาทางวฒั นธรรม (phenomena that are enacted and transmitted by people’s practices, expressions, knowledge and skills.... which does not hinder sustainable development, for instance by exhausting natural resources, or by impairing the socio-economic development of the group concerned) communities ชุมชน (those people who participate directly or indirectly in the practice and/or transmission of an ICH element (or a set of elements) that they consider to be part of their cultural heritage) safeguarding การปกปอ้ งคมุ้ ครอง (ensuring the viability of the ICH: its potential to be enacted, developed and transmitted in the present and the future, and to remain significant to the community, group or individuals concerned) preservation (of ICH) การสงวนรักษา (มรดกภูมิปัญญาทาง (the efforts of communities and tradition วัฒนธรรม) bearers to maintain continuity, possibly with some changes, in the practice of that heritage over time) ตารางท่ี ๑ (ตอ่ ) นยิ ามศัพทท์ ่ีปรากฏในอนสุ นธิสัญญา ความหมายทีแ่ ปลโดย (Key concepts in Convention) กรมส่งเสริมวัฒนธรรม Protection การปอ้ งกนั

๑๑๙ (deliberate measures—often taken by official การฟืน้ ฟมู รดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม bodies—to defend intangible heritage or particular elements from threats to its การสร้างความตระหนกั รบั รู้ continued practice or enactment) ก า ร บั น ทึ ก ม ร ด ก ภู มิ ปั ญ ญ า ท า ง revitalization of ICH วฒั นธรรมเปน็ หลักฐาน (the strengthening of ICH practices and expressions that are seriously threatened, but การวจิ ยั demonstrate at least some degree of vitality ก า ร สื บ ท อ ด ม ร ด ก ภู มิ ปั ญ ญ า ท า ง within the community or group concerned) วัฒนธรรม awareness raising (encouraging the parties concerned, including people within the communities concerned, to recognize the value of intangible heritage, to respect it and, if this is in their power, to take measures to ensure its viability) documentation (recording ICH in its current state and variety, through transcription and/or audio-visual means, and collecting documents that relate to it) research (an exploration of ICH, its forms, its social, cultural and economic functions, and its practice for gaining better understanding) transmission of ICH (passing on practices, skills, knowledge and ideas about to others, usually younger people, in formal or non-formal ways) ตารางท่ี ๑ (ตอ่ ) ความหมายทีแ่ ปลโดย กรมสง่ เสริมวัฒนธรรม นยิ ามศัพท์ที่ปรากฏในอนสุ นธสิ ญั ญา (Key concepts in Convention) การ น้าเ สน อมร ดกภู มิปั ญญา ทา ง decontextualization

๑๒๐ (taking ICH out of its context by abridging it วัฒนธรรมแบบบิดเบือนหรือบางส่วน and presenting it for the purpose of โดยเอาออกจากบริบททางวัฒนธรรม economic benefit) เพอ่ื ประโยชน์ทางธรุ กิจ สาขาของมรดกภูมิปญั ญาทางวฒั นธรรม domains of ICH รายการมรดกภูมิปญั ญาทางวฒั นธรรม an ‘element’ of ICH การระบุชื่อเรยี กรายการมรดกภูมิปัญญา (a social or cultural practice or expression, a ทางวัฒนธรรม และพรรณนาลักษณะ specific knowledge or skill recognized by the โดยสงั เขป communities, groups or individuals concerned การรวบรวมและจัดเก็บ และน้าเสนอ as part of their cultural heritage) ข้ อ มู ล ร า ย ก า ร ม ร ด ก ภู มิ ปั ญ ญ า ท า ง วฒั นธรรมอย่างเปน็ ระบบ identification (of an ICH element) ความยั่งยืน (naming it and briefly describing it in its context) ความอยู่รอด inventorying or inventory making (collecting and presenting information on ICH elements in a systematic way ) sustainability (to continue practicing and transmitting their ICH, and their understanding of it, across the generations) The viability of ICH its potential to continue to be enacted, developed and transmitted, and to remain significant to the community or group concerned. แหลง่ ท่มี า: กรมส่งเสรมิ วัฒนธรรม (๒๕๕๔) ๕. ขอบเขตการศกึ ษา ผรู้ วบรวมและจัดเกบ็ ข้อมลู จะทา้ การศึกษาจากกล่มุ ตัวอย่างท่ีเป็นชุมชนซ่ึงเป็นเจ้าของมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ ซึ่งประกอบไปด้วยชาวชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้เฒ่าผู้ แก่ นักประวัติศาสตร์ท้องถ่ิน พระสงฆ์ ผู้น้าชุมชน ผู้น้าท้องถิ่น ในฐานะเจ้าของมรดกภูมิปัญญา ประเพณสี งกรานต์

๑๒๑ ๖. ผลการศกึ ษา ในการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์น้ี ใช้ วธิ ีการวิจยั เชงิ ปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม โดยการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับชุมชน ในลักษณะให้ชุมชนมีส่วน ร่วม เป็นการวิจัยในลักษณะท่ีมุ่งสร้างความส้านึกและความตระหนัก เกิดความรักและหวนแหนที่จะ สืบสานปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษสร้างให้ของกลุ่มเป้าหมาย ให้มี ส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ในกระบวนการวิจัยเพอื่ ให้ไดม้ าซ่งึ ขอ้ มูลทเี่ กดิ จากการมีส่วนร่วมของชุมชน ในทุกขั้นตอน ในฐานะชุมชนหรือองค์กรท้องถ่ินเป็นเจ้าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โดยให้ กลุ่มเป้าหมายได้มีส่วนรับรู้และเรียนรู้ ในเรื่องต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนรอบตัว ต่ืนตัวถึงความจ้าเป็นที่จะต้อง กระท้า และพร้อมท่ีจะร่วมรับรู้ผลงานวิจัยนั้น ๆ ด้วย ท้ังน้ี เป็นการอาศัยศักยภาพของชุมชน และ การตัดสินใจของชุมชนบนพ้ืนฐานของการมีส่วนร่วมท้ังกาย ความคิด สินทรัพย์ ทรัพยากรชุมชน กระบวนการตัดสินใจท่ีเป็นประชาธิปไตยอย่างมีเหตุมีผลของกระบวนการกลุ่ม และด้วยความพึง พอใจ การรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ ใช้วิธีการ วิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม การปฏิบัติการโดยบูรณาการส่วนต่าง ๆ ของกระบวนการวิจัยใน วงจรท่หี มนุ เวียนเปล่ียนไปของกจิ กรรมและการเรียนรจู้ ากกิจกรรมเหลา่ นั้นตามวิถขี องชีวิตและชุมชน องค์ประกอบที่ส้าคัญของการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Carter, 1959 อ้างใน Quixley, Suzi, 2008) มีดงั น้ี ๑.ปัญหาของการวจิ ยั ต้องเกดิ มาจากความต้องการของชมุ ชนอย่างแท้จรงิ ๒. สมาชิกของชุมชนได้รับผลกระทบโดยตรงจากผลลัพธ์ของงานวิจัยรวมทั้งต้องมีส่วนร่วม และเกี่ยวขอ้ งในกระบวนการวจิ ัย ๓. การท้างานเป็นทีมของผู้มีส่วนเก่ียวข้องท้ังนักวิจัยและชุมชนในกระบวนการวิจัยเป็นสิ่ง ส้าคญั ต่อประสิทธิผลของผลลัพธท์ ่เี กิดจากงานวจิ ัย ๔ ผลของการวิจัยจะต้องน้าไปสู่รูปแบบความคิดเห็นร่วมกันเพ่ือน้าไปสู่การปฏิบัติและ แลกเปลย่ี นระหวา่ งชมุ ชน สงั คม ประเทศชาติ และมนุษยชาติ ในการศกึ ษานจี้ ะใช้แนวทางการวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม ซ่ึงเป็นการศึกษาวิจัยเพ่ือ รวบรวมข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมท่ีชุมชนเป็นเจ้าของ เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในกระบวน เก็บรวบรวมข้อมูลตัง้ แต่เร่ิมต้นโครงการ กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูล การสังเคราะห์และวิเคราะห์ ข้อมลู ตลอดจนผลลพั ธท์ ่ีไดจ้ ากโครงการเก็บรวบรวมขอ้ มลู โดยมขี ้นั ตอนวธิ กี าร ดังน้ี ๑. การจดั ประชุมทมี วจิ ยั ทีมวจิ ัยได้มกี ารจัดประชุมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารของกลุม่ ผู้วิจัยท้ังหมดซึ่งประกอบไปด้วยทีมวิจัยจาก วทิ ยาลัยเซาธอ์ ีสท์บางกอกและทีมวิจัยชมุ ชน โดยมรี ายละเอยี ด ดังนี้

๑๒๒ คร้งั ท่ี ๑ เมือ่ วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๗ จัดประชุมขึ้นที่ห้องประชุม ส้านักหอสมุด วิทยาลัย เซาธ์อีสท์บางกอก โดยมีทีมวิจัยทุกคนเข้าร่วมประชุม ประกอบด้วยทีมวิจัยของวิทยาลัยเซาธ์อีสท์ บางกอก จ้านวน ๗ คน ได้แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อ้าพล นววงศ์เสถียร อาจารย์นเรนทร์ แก้ว ใหญ่ อาจารย์สิริลักษณ์ ศรีทอง อาจารย์ณพัสนันท์ บุญเดช ดร.สมจินตนา คุ้มภัย นางสาวศิริวรรณ ด้ารงค์กลุ และผชู้ ่วยศาสตราจารย์กรกนก ทิพรส ทีมนักวิจัยชุมชน จ้านวน ๕ คน ได้แก่ นางลัดดา นนั ทชารกั ษ์ นางสาวสรัญญา โพทะยะ นางสาวสุดารัตน์ ชัยมงคล นายประเสริฐ อินทรตั น์และนาย นิธิพัฒน์ ศรีปัญญา โดยมีการแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกันในเร่ืองความเป็นมาและวัตถุประสงค์ของ งานวิจัย หลักการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูล การวางแผนในการเก็บรวบรวมข้อมูลในพ้ืนที่ การ บริหารจัดการโครงการวิจัย การแบ่งงานและการมอบหมายภาระงาน และให้นักวิจัยแต่ละคนได้ ทบทวนวรรณกรรมและเอกสารต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับประเพณีสงกรานต์เพ่ือน้ามาเสนอให้หัวหน้า โครงการฯ ในการประชมุ คร้ังตอ่ ไป ผลที่ได้รับ ทีมวิจัยได้ข้อสรุป แผนการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูล ได้มีการแบ่งงานและ มอบหมายงานในการลงพน้ื ทีเ่ กบ็ ข้อมลู โดยหวั หนา้ ทมี วิจัยและเกบ็ รวบรวมข้อมูลในภาคเหนือ ได้แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อ้าพล นววงศ์เสถียร เป็นหัวหน้าทีม โดยมีทีมวิจัยซึ่งเป็นชาวชุมชนใน ภาคเหนือ ได้แก่ นางลัดดา นันทชารักษ์ นางสาวสรัญญา โพทะยะ นางสาวสุดารัตน์ ชัยมงคล นาย ประเสริฐ อินทรัตน์และนายนิธิพัฒน์ ศรีปัญญา ทีมวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคกลาง ประกอบด้วยอาจารย์นเรนทร์ แก้วใหญ่ หัวหน้าทีม อาจารย์สิริลักษณ์ ศรีทอง อาจารย์ณพัสนันท์ บุญเดช เป็นทีมวิจัยภาคกลาง หัวหน้าทีมวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคอีสาน ได้แก่ ผู้ช่วย ศาสตราจารย์กรกนก ทิพรส และหัวหน้าทีมวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคใต้ ได้แก่ ดร.สม จนิ ตนา คมุ้ ภยั หัวหน้าทีมวิจัยโครงการฯ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อ้าพล นววงศ์เสถียร ได้ให้ข้อเสนอแนะ และซกั ซอ้ มแนวทางการเก็บรวบรวมข้อมูลให้แก่นักวิจัยทุกคนอย่างละเอียด และขอให้นักวิจัยทุกคน ท้าการศึกษาระเบียบวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลตามแบบบันทึกข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม และศึกษาเอกสารคู่มือการเก็บรวบรวมข้อมูลฯ ของกรม ส่งเสริม วัฒนธรรมอย่างละเอยี ดถี่ถ้วนกอ่ นเขา้ เกบ็ ขอ้ มลู ในภาคสนามตอ่ ไป ครงั้ ที่ ๒ เม่อื วันท่ี ๙ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๗ จดั ประชมุ โดยใช้ระบบวดี ิโอคอนเฟอเรนท์ โดยมีทีม วิจัยทุกคนเข้าร่วมประชุม ประกอบด้วยทีมวิจัยของวิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอก จ้านวน ๗ คน ได้แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อ้าพล นววงศ์เสถียร อาจารย์นเรนทร์ แก้วใหญ่ อาจารย์สิริลักษณ์ ศรีทอง อาจารย์ณพัสนันท์ บุญเดช ดร.สมจินตนา คุ้มภัย นางสาวศิริวรรณ ด้ารงค์กุล และผู้ช่วย ศาสตราจารยก์ รกนก ทพิ รส ทีมวิจัยได้ร่วมประชุมกับทีมวิจัยชุมชน ซึ่งประกอบด้วย นางลัดดา นันทชารักษ์ นางสาวสรญั ญา โพทะยะเพื่อร่วมกับแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับสถานภาพความรู้ท่ีมีอยู่ของประเพณี สงกรานต์ มีการกา้ หนดแนวคา้ ถามและประเดน็ ทจ่ี ะศึกษา เทคนิคและวิธีการที่จะให้ชุมชนมีส่วนร่วม และระดับการมีส่วนร่วมของชุมชน สภาพพื้นที่และชุมชนท่ีเก่ียวข้อง ซักซ้อมแนวค้าถามท่ีจะใช้ถาม

๑๒๓ กลุ่มเป้าหมายโดยให้ใช้ภาษาพูดท่ีท้าให้เป้าหมายสามารถเข้าใจค้าถามว่าผู้วิจัยต้องการทราบเร่ือง อะไร และเป็นค้าถามท่ีเข้าใจได้ง่าย ประเด็นใดบ้าง และค้าถามอื่น ๆ นอกเหนือจากท่ีก้าหนดเป็น ค้าถามหลัก ท้ังนี้เพื่อให้ได้ข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมายตรงตามวัตถุประสงค์ของงานวิจัยและแนวค้าถาม หลกั ทีมวิจยั ไดม้ ีการรวบรวมวรรณกรรมและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับประเพณีสงกรานต์มาแลกเปลี่ยน กันในทปี่ ระชุม และที่ประชุมมีกันนัดหมายกันเพื่อร่วมประชุมครั้งที่ ๓ เพ่ือน้าเสนอความก้าวหน้าใน การลงพ้ืนทีร่ วบรวมและจดั เกบ็ ขอ้ มลู ต่อไป ผลที่ได้รับ ทีมวิจัยได้ร่วมกับแลกเปล่ียนข้อมูลเก่ียวกับสถานภาพความรู้ที่มีอยู่ของประเพณี สงกรานต์ซ่ึงพบว่าชุมชน ภาครัฐและเอกชนซึ่งเป็นส่วนหน่ึงของชุมชนมีการสืบทอดประเพณี สงกรานต์ แตข่ าดการมสี ว่ นรว่ มของชาวบ้านและชุมชน คงมแี ตผ่ ู้น้าชมุ ชน และผู้น้าท้องถ่ินเท่าน้ันที่มี บทบาทหลักในการสืบทอดประเพณีสงกรานต์ซ่ึงมีจัดขึ้นต่อเนื่องมานับร้อยปี แต่ในช่วงหลังการสืบ ทอดไม่ได้ให้ความรู้เก่ียวกับอัตลักษณ์ของประเพณีสงกรานต์ ได้แนวค้าถามและประเด็นท่ีจะศึกษา ได้เทคนิคและวิธีการที่จะให้ชุมชนมีส่วนร่วม และเน้นให้ชุมชนมีส่วนร่วมกับการเก็บข้อมูลในทุก ขั้นตอน ทีมนักวิจัยและนักวิจัยชุมชนมีการซักซ้อมแนวค้าถามที่จะใช้ถามกลุ่มเป้าหมายโดยให้ใช้ ภาษาพูดที่ท้าให้เป้าหมายสามารถเข้าใจค้าถามว่าผู้วิจัยต้องการทราบเร่ืองอะไร และเป็นค้าถามที่ เข้าใจได้ง่าย ประเดน็ ใดบ้าง และค้าถามอื่น ๆ นอกเหนือจากท่ีก้าหนดเป็นค้าถามหลัก ท้ังน้ีเพ่ือให้ได้ ข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมายตรงตามวัตถุประสงค์ของงานวิจัยและแนวค้าถามหลัก ทีมวิจัยได้มีการ รวบรวมวรรณกรรมและเอกสารทีเ่ กย่ี วขอ้ งกบั ประเพณีสงกรานต์มาแลกเปล่ียนกันในที่ประชุม และที่ ประชุมมีกันนัดหมายกันเพื่อร่วมประชุมครั้งที่ ๓ เพื่อร่วมกันจัดท้ารายงานความก้าวหน้าในการเก็บ รวบรวมขอ้ มลู เพ่ือรายงานให้กรมส่งเสรมิ วัฒนธรรมได้ทราบต่อไป ครั้งท่ี ๓ เม่ือวันท่ี ๙ มีนาคม ๒๕๕๗ ทีมวิจัยจัดประชุมโดยใช้ระบบวีดิโอคอนเฟอเรนท์ ได้ ร่วมปรึกษาแนวทางการจัดเตรียมความพร้อมในการเปิดเวทีชี้แจงโครงการเก็บรวบรวมข้อมูลมรดก ภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมประเพณีสงกรานต์ในกลุ่มชุมชน ผู้น้าชุมชน ผู้น้าท้องถิ่น ภาครัฐและเอกชน ที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นเจ้าของมรดกภูมิปัญญา รวมทั้งติดต่อชุมชนเพื่อขอความอนุเคราะห์และความ ร่วมมือในการจัดเก็บข้อมูลจากชุมชนและเข้าสังเกตอย่างมีส่วนร่วม และไม่มีส่วนร่วมในประเพณี สงกรานตท์ ีจ่ ะมีขน้ึ ในระหว่างวันที่ ๑๓ – ๑๕ เมษายน ๒๕๕๗ โดยได้ให้หัวหน้าทีมวิจัยและรวบรวม จดั เก็บขอ้ มูลในแต่ละภาคไดเ้ ตรียมตวั ลงพ้นื ท่ีในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ เพื่อเข้า รว่ มในประเพณสี งกรานต์ที่จะมีขน้ึ พรอ้ ม ๆ กนั ท่วั ทุกพ้นื ทแี่ ละทกุ ภาคของประเทศไทย ผลที่ได้รับ ทีมวิจัยได้แบ่งงานและมอบหมายในส่วนท่ีนักวิจัยแต่ละคนรับผิดชอบ ในการ จัดเก็บข้อมูลจากชุมชนและเข้าสังเกตอย่างมีส่วนร่วม และไม่มีส่วนร่วมในประเพณีสงกรานต์ท่ีจะมี ข้ึนในระหว่างวันท่ี ๑๓ – ๑๕ เมษายน ๒๕๕๗ และวางแผนการด้าเนินงานในการจัดเตรียมความ พร้อมในการเปิดเวทีชี้แจงโครงการหลักการและเหตุผลในการเข้าไปจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลมูล มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ให้กับกลุ่มชุมชน ผู้น้าชุมชน ผู้น้าท้องถิ่น ภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง ซ่ึงเป็นเจ้าของมรดกภูมิปัญญา รวมทั้งแนวทางท่ีจะแจ้งให้ชุมชนทุกภาคส่วน

๑๒๔ ได้ทราบวัตถุประสงคข์ อความอนเุ คราะห์และความร่วมมือในการจัดเก็บข้อมูลจากชุมชน การเข้าร่วม สังเกตอย่างมีส่วนร่วม และไม่มีส่วนร่วมในประเพณีสงกรานต์ ตลอดจนการจัดเวทีชุมชนในวัน เวลา และสถานที่ที่เหมาะสมต่อไปดว้ ย คร้ังที่ ๔ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๗ จัดประชุมระบบวีดิโอคอนเฟอเรนท์ เพ่ือร่วมหารือ กับนักวิจัยชุมชนท้ังภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ เพื่อให้หัวหน้าทีมวิจัยชุมชน ติดต่อ ชุมชนเพ่ือขอความอนุเคราะห์และความร่วมมือในการจัดเก็บข้อมูลจากชุมชนและเข้าสังเกตอย่างมี ส่วนร่วม และไม่มีส่วนร่วม ในประเพณสี งกรานตท์ ่จี ะมขี ึ้นในระหวา่ งวันที่ ๑๓ – ๑๕ เมษายน ๒๕๕๗ โดยได้ใหห้ ัวหน้าทมี วิจยั และรวบรวมจัดเก็บข้อมูลในแต่ละภาคได้เตรียมตัวลงพ้ืนท่ีในภาคเหนือ ภาค กลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ กับผู้น้าชุมชน วัฒนธรรมชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่ในการลง พื้นทใี่ นการจดั เกบ็ ข้อมลู ภาคสนาม ผลที่ไดร้ บั นักวจิ ยั ชุมชน โดยหัวหนา้ ทีมวจิ ยั และเกบ็ รวบรวมข้อมูลในภาคเหนือ ได้แก่ นาง ลดั ดา นันทชารกั ษ์ นางสาวสรญั ญา โพทะยะ นางสาวสุดารัตน์ ชัยมงคล นายประเสริฐ อินทรัตน์ และนายนิธิพัฒน์ ศรีปัญญา ทีมวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคกลาง ประกอบด้วยอาจารย์ นเรนทร์ แก้วใหญ่ อาจารย์สิริลักษณ์ ศรีทอง อาจารย์ณพัสนันท์ บุญเดช เป็นทีมวิจัยภาคกลาง หัวหน้าทีมวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคอีสาน ได้แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์กรกนก ทิพรส และ หัวหน้าทีมวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคใต้ ได้แก่ ดร.สมจินตนา คุ้มภัย ได้แจ้งให้ทราบถึงความ พร้อมในการลงเก็บข้อมูลในงานประเพณีสงกรานต์ที่จะมีขึ้นในระหว่างวันท่ี ๑๓ – ๑๕ เมษายน ๒๕๕๗ โดยทีมวิจัยชุมชนทุกคนได้ทราบถึงแนวทางในการเก็บรวบรวมข้อมูลตามแบบบันทึกข้อมูล มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม แบบสอบถาม ค้าถามกึ่งมีโครงสร้างที่จัดเตรียมไว้ และทีมวิจัยชุมชน ได้แจ้งให้ทราบถึงการจัดเตรียมการเปิดเวทีชุมชนเพื่อจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมงานประเพณีสงกรานต์โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริงทุกขั้ นตอน และทกุ กระบวนการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ๒. การจดั เวทีชแี้ จงการดาเนินการและการรวบรวมและจดั เกบ็ ข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ คร้ังที่ ๑ เมื่อวันท่ี ๒๑ เมษายน ๒๕๕๗ ผเู้ ข้ารว่ มประชุมกลุ่ม ๑. พระครูอดุลสีลกิตต์ เจ้าอาวาสวัดธาตุค้า และเจ้าคณะต้าบลหายยา อ้าเภอเมือง จังหวัด เชยี งใหม่ ผู้เช่ียวชาญและช้านาญทางปฎิทนิ ลา้ นนา ด้านประเพณีพธิ ีกรรมล้านนา ๒. สามเณรรัตตญั ญู สาคร วดั พวกชา้ ง ผแู้ ทนเยาวชนลา้ นนา

๑๒๕ ๓. นายวัลลภนามวงศ์พรหม ประธานฝ่ายส่งเสริมศาสนาประเพณีพิธีกรรมและกรรมการ ประชาสมั พนั ธ์ สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ๔. นายยทุ ธ สลสี องเม ประชาสัมพันธ์การจัดงานปี๋ใหม่เมือง ฝ่ายส่งเสริมศาสนาและวัฒนธรรม เทศบาลนครเชียงใหม่ ๕. นางลดั ดา นนั ทชารักษ์ ผู้แทนชมุ ชนอา้ เภอเมอื ง จังหวดั เชยี งใหม่ ๖. นางโชจิรัฎฐ์ ใจวงศ์ยะ ผู้สืบสานและผู้เก่ียวข้องกับการเรียนรู้ภาษาอักษรตัวเมืองล้านนา และวฒั นธรรม ประเพณลี านนา ๗. นายประเสรฐิ อินทรัตน์ ผ้เู ก่ยี วข้องกบั การเรยี นรภู้ าษาอักษรตัวเมืองลานนา และการสืบสาน ภมู ิปัญญาและโฮนเฮยี นสบื สานภูมปิ ัญญาล้านนา วทิ ยากรและผรู้ ว่ มอภิปราย ประเพณีสงกรานต์ทางล้านนาชาวล้านนาถือเอาเดือนเมษายน หรือเดือน ๗ เหนือ เป็นเดือนเปลี่ยนศักราชใหม่ เรียกกันว่า “ปี๋ใหม่” มีความส้าคัญกับชีวิตของคนบ้านนาเป็น อย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าในรอบ ๓๖๕ วัน จะมีประมาณ ๔ วันที่คนล้านนาถือเป็นวันปีใหม่ ประเพณีวันขึ้นปีใหม่ของชาวล้านนา มีความแตกต่างจากสงกรานต์ของชาวไทยภาคกลาง ทั้ง ระยะเวลา กิจกรรม ความเชื่อ และความมุ่งหมาย ดังนั้น ปีใหม่เมืองของชาวล้านนา จึงมีวัน และกิจกรรมต่างๆ ที่ปฏิบัติกัน มากกว่าสงกรานต์ของชาวไทยภาคกลาง ซึ่งประกอบด้วย วันที่ ๑ สังขานต์ล่อง วันที่ ๒ วันเน่าหรื่อวันเนา วันที่ ๓ วันพญาวัน และวันที่ ๔ วัน ปากปี วันแรกวันสังขานต์ล่อง จะมีการปัดมีการปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาด มีการซักเสื้อผ้า ส่วนที่นอนหรือสิ่งที่ซักไม่ได้ก็จะน้าออกไปตากหรือปัดฝุ่นเสีย ในบริเวณบ้านก็จะเก็บกวาด ท้า ความสะอาดถือเป็นสังขานต์ล่องเสน็ดจัญไรไม่ดีล่องไปหรือ วันอนามัย เพื่อช้าระล้างความ สกปรกที่หมักหมมมาตลอดทั้งปี ในวันนี้ ตามประเพณีแต่โบราณมานั้น เจ้าผู้ครองนคร หรือ แม้แต่ผู้ที่เป็นกษัตริย์ที่ปกครองล้านนา ก็จะต้องสรงน้าตามทิศที่โหรหลวงค้านวณไว้ทิศที่ควร หันหน้าในการด้าหัววันสังขานต์ล่องตามต้าราโบราณเช่นสังกรานต์ล่อง วันอาทิตย์ด้าหัวว่าย หน้าไปทิศตะวันตกเฉียงเหนือ สังกรานต์ล่องวันจันทร์ด้าหัวอว่ายหน้าไปทิศตะวันตก สังกรานต์ ล่องวันอังคารด้าหัวอว่ายหน้าไปทิศใต้ เป็นต้นแล้วน้าส้มปล่อยไปแช่น้า และเสกด้วยคาถามนต์ น้าส้มปล่อย \"สัพเคราะห์ สัพพะภัย สัพพะอุบาทว์ สัพพะพายาธิแลกังวลอันตรายทั้งหลาย ขอ หื้อตกไปพร้อมกับสังขานต์ เคราะห์ทางหลังอย่ามาถ้า เคราะห์ทางหน้าอย่ามาหา\" หลังจากนั้น เอาน้าส้มปล่อยมาลูบศีรษะตนเองก่อน แล้วจึงลูบศีรษะสมาชิกในครอบครัว หลังจากพิธีด้าหัว เสร็จแล้ว ต้องแต่งเนื้อแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าใหม่ หากในวันนั้นก็จะทัดดอกไม้ อันเป็นนามปีหรือ เป็นพญาดอกไม้ของปีนั้นๆเช่น ดอกแก้ว อดอกพิกุล ดอกเก็ดถะหวา (ดอกซ้อน) การทัด ดอกไม้ที่มวยผม หรือแซมผม ตกแต่งร่างกายให้งามสะอาดทั้งร่างกายเป็นศิริมงคล จิตใจ สะอาดรับปีใหม่ วันที่สองคือวันเน่าหรือวันเนาวันเน่าไม่ควรด่าทอดุด่า ว่ากล่าว ทะเลาะวิวาท สาปแช่ง หรือกล่าวค้าร้ายต่อกัน ปากจะเน่า จะอับโชคไปทั้งปีวันเน่าควรตัดไม้ไผ่ที่จะสร้างบ้าน มอด ปลวกจะไม่มากิน จะมีการให้ ท้าดีด้วยการตักทรายเข้าวัดวัน ทรายส่วนใหญ่ในอดีตจะต้องพา

๑๒๖ กันเดินไปเอาทรายที่แม่น้าใหญ่ การขนทรายเข้าวัด ถือเป็นการชดเชยใช้หนี้คืนให้แก่ธรณีสงฆ์ คนล้านนาเชื่อว่าการ เดินเข้าข่วงลานวัดแล้วเดินออกไปจากวัด อาจจะมีดินทรายที่เยียบย่้าติด เท้าออกไปด้วย โดยที่เราไม่รู้ตัวเป็นการขอขมาต่อ \"ข่วงแก้วทั้งสาม\" (ลานพระรัตนตรัย) ดังนั้น ทรายที่อยู่ตามลานวัดนั้นถือเป็นของสงฆ์ จะเป็นปาบอย่างใหญ่ เมื่อถึงเทศกาลปีใหม่ เมือง ก็จะมีการขนทรายเข้าวัดเพื่อใช้หนี้สงฆ์จะได้ชดเชยบาปที่เม็ดทายติดตัวออกไป ก็ตัก ทรายมาก่อเป็นเจดีย์ทราย นอกจากนั้นจะเตรียมอาหารเพื่อถวายแก่พระสงฆ์ คือการทานขัน ข้าวในวันรุ่งข้ึน วันรุ่งข้ึนมาถึงวันพญาวัน เป็นวันส้าคัญ ศิริมงคล สร้างคุณงามความดี ตั้งแต่เช้าจะการ ทานขันข้าว อาหารขนมทั่วไป ใส่ในถาดหรือตะกร้าเป็นการถวายอาหารให้แก่ เทวบุตร เทวดา เจ้ากรรมนายเวร ผู้มีพระคุณ ผู้ที่ล่วงลับอุทิศส่วนกุศล สายมาพระสงฆ์ล้อมสายสิญจน์ได้เจริญ พระพุทธมนต์ทรายที่ขนมาเป็นเจดีย์ทรายรวมถึงน้าตุงเทวดา ตุงคน ตุงไส้หมู ตุงสิบสองราศี ช่อ ข้าวตอกดอกไม้ปักประดับเป็นพุทธบูชา นั้นหากยังไม่เจริญพระพุทธมนต์ทรายนั้นก็จะเป็น ทรายแต่หากท้าพิธีแล้วทรายนั้นเป็นอนิสงส์เท่ากับเจดีย์ทรายที่ได้สร้างไว้เท่ากับองค์เจดีย์ท่ี สร้างไว้ในวัดวาอารามในสามวันแรกที่ก่อเจดีย์เมื่อก่อเสร็จ ทรายนั้นเป็นพระที่เหมือนเจดีย์ใน บริเวณวัดให้กราบไหว้แต่หลังจากสามวันก็จะเป็นทราย กรวด หินน้าไปก่อให้เกิดประโยชน์ต่อ การบูรณปฏิสังขรณ์ หรือน้าไปใช้เพื่อปลูกสร้างสิ่งต่างๆ ภายในวัดต่อไป ส่วนในตอนบ่ายจะมี การไปด้าหัวหรือไปคารวะผู้เฒ่าผู้แก่ บิดามารดา ญาติพี่น้อง ผู้อาวุโส ผู้มีบุญคุณหรือผู้ที่เคารพ นับถือเพื่อเป็นการขอขมาลาโทษอันเนื่องจากที่อาจได้ประพฤติในสิ่งที่ไม่สมควรต่อท่าน เหล่านั้น การด้าหัวนี้อาจนับรวมถึง การด้าหัวพระเจ้า คือการแสดงคารวะต่อพระพุทธรูปที่ ส้าคัญประจ้าเมือง การด้าหัวพระเจ้าแล้วอาจจะมีการด้าหัวกู่ ที่บรรจุพระอัฐิของบรรพบุรุษ หรือเจ้านายที่ได้ท้าคุณงามความดีไว้ต่อบ้านเมือง กิจกรรมด้าหัวเป็นการสร้างความกตัญญู ร้าลึกถึงผู้มีพระคุณคนล้านนาโบราณในตอนค่้าของวันพญาวันก็จะมีพิธีเชิญท้าวทั้งสี่ซึ่งเป็น พิธีกรรมโบราณสืบทอดมา ต่อมาวันปากปี วันที่สี่ของประเพณีปีใหม่ เรียกว่า “วันปากปี๋” จัดว่าเป็นวันส้าคัญอีกวันหนึ่งใน เทศกาลปีใหม่ ถือเป็นวันแรกของปี จะมารวมตัวกันที่ใจบ้าน เพื่อท้าบุญเสาใจบ้าน หรือส่ง เคราะห์บ้าน บางแห่งอาจจะต่อด้วยพิธีสืบชะตาหมู่บ้าน และพากันไปขมาคารวะ ด้าหัว พระ เถระผู้ใหญ่ตามวัดต่างๆ ในตอนค่้าของวันนี้จะมีการบูชาเทียน สืบชะตา ลดเคราะห์ รับโชค เพื่อให้เกิดความเป็นมงคลแก่ครอบครัว แห่ไม้ค้า บางทีก็แห่งวันพญาวัน บางทีก็แห่วันวันน้ี แล้วแต่ความพร้อมของชุมชนวันสงกรานต์นี้เป็นกิจกรรมโบราณของชาวล้านนาที่ปฏิบัติสืบต่อ ควรอนุรักษ์หวงแหน มีคุณค่าสูงส่ง คุณค่าทางจิตใจ เป็นการกลับมาของลูกหลานญาติพี่น้อง ความพร้อมหน้าพร้อมตา เห็นความสามัคคีการร่วมกันมาท้าบุญท้ากุศล จึงเป็นประเพณีอันสูง คุณค่าด้านกาย จิตใจการรวมพลังมวลชนทุกหมู่เกล่าให้ร่มเย็นสืบไป (พระครูอดุลสีลกิตต์, ประชุมกลุ่ม, ๒๕๕๗) ประเพณีปีใหม่ภาคกลางหรือสากล กับประเพณีปีใหม่เมืองล้านนาหาน้าเอาความ เป็นอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมมา เทียบเคียงที่มองได้อย่างเป็นรูปธรรม นามธรรม ปีใหม่สากล คือวันท่ี ๓๑ ธันวาคม และ ๑ มกราคม ส้าหรับประเพณี “ปี๋ใหม่เมือง” จะมีความส้าคัญโดยยึด

๑๒๗ หลักตามปักขะทืนล้านนา หรือหนังสือปีใหม่เมืองถือเอาวันที่ราศีมีนย้ายเข้าสู่ราศีเมษ ซึ่ง อาจจะไม่ตรงกันในแต่ละปี เป็นวันสิ้นสุดศักราชและไปเริ่มต้นวันพญาวัน ปีใหม่สากลที่ถือกัน ทั่วโลกจะมีการจุดพุลแสดงความร่าเริงสนุกสนาน แต่ประเพณีปีใหม่เมืองล้านนา มีมาตั้งแต่ โบราณพิธีกรรมที่เรียกว่าสังขานต์ล่องคือการไล่สังขานต์จากศักราชเก่าสู่ศักราขใหม่มีการจุด ประทัด ไล่ปู่สังขานต์ ย่าสังขานต์ เรียกว่าไล่สังขานต์ เป็นอัตลักษณ์ อันแรกที่ปีใหม่สากลไม่มี อีกประการคือการก่อเจดีย์ทรายอันประกอบด้วยตุงจ่อช้าง ตุงตั๋วเปิ่ง ตุงไส้หมูอันแสดงให้เห็น ว่าปี๋ใหม่เมืองมาแล้ว หากมองเข้าไปในวัดจะเห็นพระพุทธรูปตั้งอยู่กลางลานวัดเพื่อให้ ประชาชนผู้คนได้สรงน้า มองลงไปนอกวัดก็จะเห็นไม้ค้าต้นสะหลี(ต้นโพธิ์) เป็นการค้าชูศาสนา ด้วยความศรัทธา ต่อจากนั้นก็จะมีการรดน้าด้าหัวผู้สูงอายุ คนเฒ่าคนแก่ของประชาชน ชุมชน นี่คือ จุดเด่นอันเป็นรูปธรรมที่ปีใหม่สากลไม่มีและให้ความส้าคัญเพียง ๑-๒ วันแต่กับปี๋ใหม่เมืองจะมี ความส้าคัญอย่างน้อย ๔ วันต่อเน่ือง เห็นได้จากพิธีกรรมต่าง ๆ ส้าหรับ คุณค่าในด้านประเพณีมีบรรยากาศของเสียฆ้อง กลอง เสียงพระให้พร มี ดอกไม้ที่เป็นอัตลักษณ์คือต้นดอกคูน หรือราชพฤกษ์ หรือล้มแล้ง สีเหลืองปรากฏได้ว่าเดือน แห่งปีได้เริ่มต้นแล้วไม่ว่าจะเป็นการไล่สังขานต์ก็คือการไล่เสนียด จัญไร สิ่งที่ไม่ดีในการด้ารง ตนตลอดปีท่ีผ่านมาหรือการทา้ ความสะอาดบ้าน คนในชุมชนช่วยกันท้าความสะอาด เก็บกวาด ขยะมีความสนุกสนานแฝงด้วยความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจ แม้แต่ความเชื่อในเรื่องการหัน หน้าด้าหัววันสังขานต์ล่องหรือการทัดดอกไม้นามปีเหล่านี้เป็นอัตลักษณ์ ที่ไม่มีประเพณีที่ใด ซึ่ง งดงามและแฝงด้วยความลึกลา้ มีความหมายยิ่ง ต่อมาในวันเน่ากิจกรรมคือความพร้อมใจกันไม่ให้มีการพูดจากไม่ดี เป็นความเชื่อท่ี ก่อให้เกิดคุณค่าสิ่งดีๆต่อกัน ในวันนี้ทุกครอบครัวจะพากันไปจ่ายตลาดเพื่อจัดซื้อขนม ของ หวานและปรุงอาหารช่วยกันทุกครัวเรือน ทั้งเด็ก ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่อันเป็นแบบอย่าง ย่างท่ี ร่วมกันช่วยเหลือ แลกเปล่ียนประสบการณ์ไม่ว่าจะเป็นการตัดใบตอง การท้าขนมหรือประกอบ อาหารเพื่อเตรียมไปถวายพระ เป็นประสบการณ์ของเด็กและสืบทอดกันไป แม้กระทั้งการ ช่วยกันขนทรายจากท่าน้าเข้าวัด ก็คือการร่วมแรงร่วมใจ พร้อมเพรียงกันของทุกคน ของชุมชน ในการที่จะท้านุบ้ารุงศาสนาอย่างน้อยปีละครั้ง มองในนามธรรมเช่นวันพญาวัน อันเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ในรอบปี นอกจากทุกคนร้าลึกถึง บุพการี เทวบุตร เทวดาแล้วยังร้าลึกถึงตนเอง ก็จะเป็นวันสะสางจิตใจ ผู้เฒ่าผู้แก่ บิดามารดา การทานขันข้างที่วัดเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ผู้เฒ่าผู้แก่หรือผู้ที่ตนเคารพนับ ถือ เรียกว่า \"ทานขันข้าวคนเฒ่าคนแก่\" หรือ บางพื้นที่มีการนับถือผีปู่ย่า ซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษ ผีเสื้อบ้าน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนในพื้นที่นับถือ ผู้คนก็จะน้าขันข้าวนี้ไปถวายด้วยเพื่อขอปกปักษ์ รักษาให้ทุกคนอยู่ดีมีสุข และถือเป็นการสูมาคารวะในช่วงปีใหม่เมือง การสูมาคราวะด้าหัวหรือการคารวะเพื่อ ไปขอขมา และขอพรปีใหม่ น้าขมิ้นส้มป่อย เครื่องอุปโภคบริโภคที่น้าไปด้าหัว ได้แก่ข้าวตอกดอกไม้ ธูปเทียน ผ้านุ่งใหม่ อีกทั้ง จะพบว่า

๑๒๘ ทุกคนจะแต่งกายด้วยชุด เสื้อผ้าใหม่เสมือนกับเป็นวันประกวดการแต่งกายชุดพื้นเมือง จะเห็น ได้ว่านี่คือรูปธรรมเป็นอัตลักษณ์ ที่งดงาม มีแต่ความยิ้มแย้ม พบกันเข้าใจกัน ครอบครัวได้พบ ประกันอันเป็นคุณค่าแก่ใจอย่างลึกซึ้ง ส่วนในทางชุมชนเองทุกชุมชนจะมีการส้ารวจผู้อายุ ๖๐ ปี ข้ึนไปมีกิจกรรมดา้ หัวผู้สูงอายุทุกปี ทุกชุมชนให้ความส้าคัญแก่ผู้สูงอายุ เห็นได้ว่าเป็นวันแห่ง ความสุขย่ิงกว่า ส.ค.ส.ในวันปีใหม่สากล สุดท้ายคือวันปากปีถือว่าเป็นการเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่มีความเชื่อว่าเข้าสู่ชีวิตที่ดี ส้าหรับ รูปธรรม และนามธรรมในพิธีกรรมประเพณีปีใหม่เมืองไม่ว่าปัจจุบันหรือการปฏิบัติที่ผ่านมาวัด เป็นศูนย์กลางอ้านาจทั้งทางจิตวิญญาณและทางจิตใจส้าคัญต่อการเชื่อมต่อทั้งพิธีกรรมทุก อย่างได้อย่างดงามมีคุณค่าทั้งต่อจิตใจ วิถีชีวิต การสะสางจิตใจ การให้ทานหรือแม้แต่การค้าชู พระพุทธศาสนา สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการช้าระจิตใจ ทั้งกาย วาจาใจครบองค์ประกอบซึ่งอยู่ใน ประเพณีปี๋ใหม่เมือง ฉะนั้นความงดงาม ที่ทรงคุณค่า ควรรักษา หวงแหนให้แก่ลูกหลาน เยาวชนและต้องให้ความส้าคัญอันเป็นการก่อให้เกิดประโยชน์ต่อวิถีชีวิตของคนในชุมชนทั้ง อดีตสืบต่อถึงปัจจุบัน (วัลลภ นามวงศ์พรหม,ประชุมกลุ่ม,๒๕๕๗) ปีใหม่เมืองนับถึงปีนี้นับได้ ๑๓๗๖ ปีผ่านล่วงมา และหากพิจารณาจะเห็นความ แตกต่างเช่น วันสังขานต์ล่องซึ่งเป็นวันอนามัยในครัวเรือน ในอดีตต้องมีการซักมุ้งหรือเครื่อง นอนแต่ปัจจุบันความเจริญทุกครัวเรือนสามารถท้าได้ทุกวันมีอุปกรณ์อ้านวยความสะดวก มี ร้านซักผ้า การละเล่นแต่เดิมหนุ่มสาวจะใช้เวลาในงานประเพณีเล่นน้า หรือใส่น้ากัน ในวัดวา อาราม ทุกวันนี้เล่นสาดกันทุกถนน ในคูเมือง วันเนาก็พากันไปเล่นน้าในแม่นา้ ปิง เมื่อก่อนจะมีผู้คนเป็นพัน ๆ คนเล่นน้ากันและน้าสลุงตักทรายเข้าวัดไปก่อพระเจดีย์ ทราย ทุกวันนี้แม่น้าปิงไม่มีทราย ชุมชนศรัทธาวัดต้องร่วมแรงร่วมใจรวบรวมเงินซื้อทรายมา เป็นลา้ รถ ขนเข้าวัดก่อเจดีย์ตามแรงก้าลังทรัพย์ การทานขันข้าวเมื่อก่อนต้องทานขันข้าวกันใน วันพญาวันปัจจุบันการเดินทางสะดวกผู้คนมีธุระหรือต้องไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน ก็จะมาทานขัน ข้าวตามวันท่ีสะดวก บางก็ทานขันข้าวก่อนปีใหม่แล้วก็ไปเท่ียวกันเหลือแต่คนแก่ เมื่อก่อนวันพญาวันหรือกิจกรรมในวันสงกรานต์ทุกคนจะรวมกันและให้ความส้าคัญ การทานขันข้าวจะส้าคัญและไม่มีใครไปไหนทุกคนทุกครอบครัวจะรวมกัน ความเจริญการเร่ง รีบท้าให้พิธีจางหายไป การด้าหัวกลายเป็นการด้าหัวหมู่คณะเป็นการพบปะสังสรรค์ การเลี้ยง รุ่น ซ่ึงก็ถือวันด้าหัวตามสะดวกไม่จ้าเห็นต้องเป็นวันพญาวัน สมัยก่อนการด้าหัวจะเป็นการร่วมกันของหมู่คณะในชุมชนร่วมขบวนเดินด้าหัวจากวัด หนึ่งไปอีกวัดหนึ่งทั้งในท้องถิ่นและต่างถิ่นทั่วทุกวัด ประกอบเสียงฆ้อง กลอง มีผู้ร่วมเดินไป มากมาย ปัจจุบันมีรถเป็นขบวนมีผู้ร่วม ๒-๓ คนและไม่ค่อยมีคนสนใจที่จะด้าเนินกิจกรรมน้ี มากนัก อีกประการเครื่องครัวด้าหัว มีเครื่องสักการะประกอบด้วยกล้วยดอก พุ่มต้นผึ้งคือน้า ขี้ผึ้งมาชุบเป็นดอกไม้ หมากสุ่ม หมากดอกปักอย่างดี หมากเบ่ง ครัวด้าหัวผลไม้ที่ปรากฏอยู่ใน ขณะนั้นได้แก่ มะปราง มะพร้าว นอกจากนั้นเป็นของใช้ประจ้าวันมีหมากพลู ยาขื่น ปัจจุบันเหตุการณ์เปลี่ยนไปครัวด้าหัว ต้นเครื่องสาการะมีให้เห็นไม่มาก ครัวด้าหัว กลายเป็นของสมัยใหม่มาจากห้างสรรพสินค้า สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไป หลายสิ่งหลายอย่าง

๑๒๙ เป็นอุปสรรคในอนุรักษ์ให้คงอยู่ อีกประการในการด้าเนินการพิธีกรรมในวันปีใหม่เมือง ท่ี เก่ียวข้องกับชุมชน ผู้คนคือชนพื้นถิ่น คนล้านนาในบริเวณชุมชนเมืองถูกรุกล้าด้วยนายทุน การ เจริญที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนกลายเป็นเกสเฮาส์ โรงแรม ที่พักรายวัน ท้าให้คนพื้นถิ่นย้าย ไปจากสถานที่เคยท้าบุญวัด ชุมชน สมัยก่อนพ่อแม่อยู่ในพื้นที่ใด ลูกหลานก็มักแต่งงานมี ครอบครัวและสร้างบ้านเรือนอยู่ในบริเวณเดียวกัน และปัจจุบันต่างคน ต่างไปท้ามาหากินต่าง ถิ่น หรือมีครอบครัวไปก็ไม่ได้กลับมาอยู่ในพื้นทีเดิม เหลือแต่พ่อแม่ เมื่อพ่อแม่ตายก็ขายที่ทาง และแบ่งเงินกันไป ท้าให้คนพื้นถิ่นหายไปและมีแต่คนอื่นเข้าอาศัย จึงไม่มีใครเข้าใจ สืบทอด รักษาวัฒนธรรม นี่ก็คือปัญหาอุปสรรคหนึ่ง ความเจริญ บ้านเมือง ผู้คนก็เปลี่ยนแปลงไปท้าให้ วัฒนธรรมล่มสลาย ก็อยากให้มีการรักษาห่วงแหน และช่วยการสืบสานประเพณีของเราไว้นาน เท่านาน (พระครูอดุลสีลกิตต์,ประชุมกลุ่ม,๒๕๕๗) ความเจริญภายนอกมีผลต่อการพัฒนาการของที่มีอยู่ทุกวันนี้โลกในยุคเทคโนโลยี และ การสื่อสาร การประชาสัมพันธ์ก็มุ่งเรื่องเศรษฐกิจและรายได้ รายได้ที่เกิดจะการจัดงาน ประเพณีอยู่ด้านหน้า สังคมขนบธรรมเนียม ประเพณีจึงอยู่ด้านหลัง การจัดการรณรงค์หรือจัด ประเพณีต่างก็มุ่งเศรษฐกิจ การโฆษณาของหน่วยงาน เทศบาลก็เพื่อประสัมพันธ์ โฆษณาให้ เป็นเทศกาลเน้นการเล่นน้า ไม่ได้มีการส่งเสริมคุณค่าทางวัฒนธรรมหากจะมีก็น้อยมากมองว่า องค์ประกอบของประเพณีเป็นเพียงเปลือกนอกเพียงเล็กน้อย เนื่องจากการจัดกิจกรรมประเพณีก็มุ่งเพื่อให้มีการท่องเที่ยว โรงแรมเต็ม เพียงให้คน มามาก รายได้เข้าจังหวัด แต่คุณค่าด้านประเพณีหรือคุณค่าจิตใจไม่มี นักท่องเที่ยว ผู้คนที่เข้า มาไม่รู้จักด้าหัว วันสังขานต์ล่อง วันพญาวัน อันเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ ไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าต้องท้าอะไรใน ประเพณีนั้น มีพิธีกรรมหรือท้าอะไร หน่วยงานควรให้คุณค่าและประชาสัมพันธ์คุณค่าเหล่าน้ี มิใช่หวังแค่ค่าการท่องเที่ยวทีมีเงินสะพัดให้พ้ืนเท่าน้ัน อีกประการปัจจุบันนี้เด็ก เยาวชนไม่ได้มีส่วนร่วมกับพ่อแม่ในการร่วมกิจกรรม การ ถ่ายทอดหรือร่วมกิจกรรมในแต่ละวันตามประเพณีก็ค่อย ๆ หายไป เนื่องจากทุกวันนี้ ความ สะดวกในการจับจ่ายใช้สอยหาได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นขนม อาหารคาวหวานที่ไปถวายพระก็ สามารถจัดซื้อได้โดยไม่ต้องเสียเวลามาช่วยกันท้าอย่างเดิม ไม้ค้าสลี ตุง ทราย ทุกอย่างหามา ได้เด็กเยาวชนหรือแม้แต่คนในชุมชนก็ไม่ต้องมาสอน หรือช่วยกันท้า การสืบต่อ สืบทอดการ เปล่ียนแปลงไป นี่คืออุปสรรคทางจิตวิญญาณ อรรถรสของอดีตไม่มี ความรู้สึกเสื่อมคุณค่าถอย ไป เชียงใหม่ทุกวันนี้มีการแข่งขันทางเศรษฐกิจ การพัฒนามีตัวชี้วัดตามความส้าเร็จของ ผู้ประกอบการ ไม่มองถึงคุณค่าในประเพณี วัฒนธรรมอย่างจริงจัง เทศบาล หรือองค์กรการ ปกครองส่วนท้องถิ่นก็จะจัดสรรเงินในบางกิจกรรม เช่นขบวนแห่สรงน้าพระ โดยต้องมี มาตรฐานและเกณฑ์ที่ก้าหนดให้ด้วย ซึ่งชุมชนไม่ได้มีโอกาสที่มีส่วนร่วม ส่วนใหญ่หน่วยงานก็ จ้างออแกไนซ์ จัดให้เสนอภาพออกสู่สื่อให้ดูยิ่งใหญ่เป็นมหกรรม ในมุมมองของชุมชนไม่ใช่สิ่งท่ี ชุมชนอยากให้เป็นในประเพณีหรือกิจกรรมนั้น หน่วยงานน่าจะกลับมาให้โอกาสชุมชนให้ งบประมาณชุมชนได้บริหารจัดการเองเพื่อชุมชนจะรักษา คุณค่าพิธีกรรมและด้ารงไว้ในอัต ลักษณ์วัฒนธรรมประเพณีของชุมชนอย่างแท้จริง

๑๓๐ นักท่องเที่ยวหรือผู้คนที่เข้ามาในจังหวัดหวัดเชียงใหม่ คงอยากเห็นคุณค่าความลึกซึ้ง ของวัฒนธรรม และประเพณีที่แท้จริงมากกว่า หน่วยงานควรสนับสนุนและประชาสัมพันธ์หรือ จัดสรรงบประมาณให้ชุมชนกลับมาท้ากันเอง ผู้คนที่เข้ามาในจังหวัดเชียงใหม่อาจชมชอบและ อยากเห็นวัฒนธรรมอันเป็นอัตลักษณ์ มีความลึกซึ้งและสามารถสืบต่อไปมากกว่าจะให้ออแก ไนซ์เป็นผู้จัดซ่ึงอันตรายมากที่สุดหากไม่มีผู้รู้ช่วยกลั่นกลองห่อนน้าเสนอในการจัดงานประเพณี นั้น ๆ (วัลลภ นามวงศ์พรหม,ประชุมกลุ่ม,๒๕๕๗) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ เทศบาลนครเชียงใหม่ได้มีการสนับสนุนการจัด ประเพณีสงกรานต์และสนับสนุนงบประมาณตลอดมาเทศบาลนครเชียงใหม่มี ๔ แขวง มีชุมชน ๙๗ ชุมชน แต่ละแขวงก็มีการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมให้จัดกิกรรมต่างๆ ปีนี้เมือง เชียงใหม่ครบอายุ ๗๑๘ ปี เทศบาลในฐานะหน่วยงานหลักก็มีการด้าเนินการส่งเสริมและ สนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของเมืองเชียงใหม่ให้เป็นที่เชิดหน้าชูตา เช่นวันท่ี ๑๒ เมษายน จัดพิธีตักบาตรพระ ๑๐๘ รูปครบ ๗๑๘ ปี ก่อตั้งเมืองเจียงใหม่ ที่ข่วงอนุสาวรีย์ สามกษัตริย์ และกิจกรรมที่มีความส้าคัญและไม่มีที่ใดซึ่งเทศบาลก็ด้าเนินการสืบทอดมาทุกปี วันที่ ๑๒ ตอนสายจัดพิธีอัญเชิญและบวงสรวงพร้อมสระแกล้าด้าหัว เศียรท้าวกบิล พรหมองค์มหาสงกรานต์ ซึ่งประดิษฐ์ฐานอยู่ที่เทศบาลนครเชียงใหม่ ในการร่วมกิจกรรมวันที่ ๑๓ เมษายน จัดประเพณีสรงน้าพระวัดส้าคัญในจังหวัด เชียงใหม่อันได้แก่พิธีอาราธนาพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธฝนแสนห่า พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง เชียงใหม่ พระพุทธรูปตามวัดวาอารามร่วมขบวนแห่สรงน้าเป็นพุทธบูชา ใน ปีนี้มีทั้งสิ้น ๔๙ ขบวน สนับสนุนงบประมาณเพื่อช่วยเหลือในเรื่องอุปกรณ์ตกแต่ง ผู้ร่วมขบวนแห่ขบวน ละ ๒๐,๐๐๐ บาท และช่วยสนับสนุนการจัดกิจกรรมแต่ละวัดซึ่งในเมืองเชียงใหม่ ขอบเขตวัดวา อาราม ๒๕ อ้าเภอมีวัดจา้ นวน ๑,๕๙๗ วัด ข้ึนกับคณะอ้าเภอเชียงใหม่อีก ๑๓๓ วัด ในการด้าเนินกิจกรรมต่าง ๆ เช่นการท้าบุญตักบาตร ขบวนแห่ไม้ค้าสะหลีและขน ทรายเข้าวัด การก่อเจดีย์ทรายสุดส้าวที่วัดเจ็ดริน ซึ่งก็สนับสนุนงบประมาณวัดละ ๒๐,๐๐๐ บาท ยังสนับสนุนกิจกรรมอื่น ๆ เช่นการจัดขบวนแห่เครื่องสักการะสระเกล้าด้าหัวป้อเมือง เชียงใหม่ (ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่) อันเป็นเอกลักษณ์เมืองเชียงใหม่ และเนื่องจาก บุคลากรของเทศบาลนี้น้อยแต่เทศบาลก็พยายามสนับสนุนให้มีกิจกรรมสิบสานประเพณีก็ต้อง จ้างออแกไนซ์ เช่นการแห่งขบวนประกวดแม่ญิงขี่รถถีบกางจ้องล้านนาไทยในอดีต การ ประกวดเครื่องสักกระล้านนา การประกวดตีกลองชัย กลองบูชา เป็นต้น เหล่านี้เทศบาลนคร เชียงใหม่ในฐานะหน่วยงานหลักก็ได้รณรงค์และจัดกิจกรรม สนับสนุน ส่งเสริมประเพณี สงกรานต์ตามประเพณีเดิมให้ครบถ้วนอย่างต่อเนื่องเป็นประจ้าทุกปี (ยุทธ สลีสองเมือง, ประชุมกลุ่ม,๒๕๕๗) เยาวชนรุ่นใหม่ที่ได้เห็นประเพณีปีใหม่เมืองชาวลานนา ได้มีการสืบทอดประเพณีกันมา อย่างงดงาม ในการท้าพิธีด้าหัวคนเฒ่า คนแก่ พ่อแม่ ลูกหลานแสดงให้เห็นถึงความกตัญญู กตเวที ซึ่งเป็นเครื่องหมายของคนดี การน้าสลุงน้าขมิ้นส้มป่อย คือการขมา การรู้ถึงบุญคุณ เมื่อพบเห็นก็รู้สึกประทับใจ การรดน้าหนุ่มสาวก็คือการได้มาพบปะร่วมกันรักษาประเพณีแสดงถึงความสามัคคี

๑๓๑ ปรองดอง ประเพณีนี้มีกิจกรรมเกี่ยวกับวัดหลายอย่าง ท้าให้มีการพากันเข้าวัด สืบสานศาสนา ความรู้ถึงคุณค่า ท้าให้เกิดการเจริญรอยสืบสานวัฒนธรรม ประเพณีไม่ถูกปล่อยปะละเลย ประเพณีนี้ยังเป็นความพร้อมเพรียงของลูกหลาน ที่อยู่ในต่างถิ่นได้กลับมาพบกันอย่างพร้อม หน้า กราบไหว้พ่อแม่ การอนุรักษ์รักษาประเพณีต้องเกิดจากการช่วยกันปกป้อง คุ้มครอง ชุมชน ความศรัทธา การร่วมแรงร่วมใจและการคุ้มครองจาก ๓ หลักอันได้แก่ บ้าน วัด และ โรงเรียน ต้องมีการช่วยเหลือสืบทอดวัฒนธรรม อบรมสั่งสอนทั้งกับเยาวชน ลูกหลาน คนใน ชุมชนให้ด้ารงไว้ซ่ึงจารีตประเพณีต่อไป (สามเณรรัตตัญญู สาคร, ประชุมกลุ่ม,๒๕๕๗) ประเพณีสงกรานต์ล้านนาอาจถ้าในอดีตก็จะเป็นขบวนแห่งพระพุทธรูปสรงน้าพระ การ รดน้าของพร การประกอบกิจกรรมในวันท้าบุญตักบาตร ขนทรายเข้าวัด ตุงหลายๆช่อปักอยู่ บนเจดีย์ทราย งดงาม แต่ปัจจุบันภาพที่ปรากฏคือมีแต่คนต่างชาติ ต่างถิ่นหรือแม้แต่คนในพื้น ถ่ินก็มุ่งสาดน้า ปะแป้งกันอย่างสนุกสนาน เทศกาลแห่งการสาดน้าตามคูเมือง การแต่งกายที่ไม่สุภาพ ภาพแม่หญิงชุดพื้นเมืองไม่ได้ เห็นละโดยไม่มีใครนึกถึงวัฒนธรรมประเพณีหรือไม่มีใครประชาสัมพันธ์หรือรณรงค์ถึงวัฒนา ธรรมประเพณีอย่างจริงจัง อยากให้มีหน่วยงานราชการ ชุมชน ชาวเมืองบ้านเฮา ร่วมกันรื้อพื้น วัฒนธรรมดั่งเดิมให้คนต่างถิ่น ต่างชาติได้รู้ว่าล้านนามีวัฒนธรรมดั่งเดิมเช่นใด อย่างเทศบาล นครเชียงใหม่ควรมีการประสัมพันธ์ออกสื่อเพื่อให้คนมาเที่ยวรู้ว่ามีกิจกรรมหรือมีการรักษา ประเพณีดั้งเดิมคงไว้บ้าง แถวคูเมืองมีแต่การสาดน้ารุนแรง และอันตรายท้าให้เกิดมีอุบัติเหตุ บ่อยครั้งควรมีการรณรงค์ หรือเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย และควรร่วมกันส่งเสริม วิธี สร้างความประทับใจด้วยการแสดงถึงวัฒนธรรม กรอนุรักษ์การตามรอยวัฒนธรรมดั้งเดิมและ ประชาสัมพันธ์กิจกรรม รณรงค์ประเพณีอย่างจริงจัง (โชจิรัฎฐ์ ใจวงศ์ยะ,ประชุมกลุ่ม,๒๕๕๗) จังหวัดเชียงใหม่เป็นเมืองที่มีขนมธรรมเนียมประเพณีที่งดงาม ทรงคุณค่าหลายอย่างหนึ่ง สงกรานต์ปี๋ใหม่เมืองก็เช่นกัน เป็นประเพณีที่มีกิจกรรมมากมายที่มีผลการด้ารงชีวิต วิถีชีวิต ของคน ของชุมชน ศาสนา การเคารพบูชาทั้งสิ่งที่เป็นรูปธรรม และนามธรรมจนจารีตประเพณี เหล่านี้อยู่ในชีวิต สังคมของคนล้านนา ก่อให้ได้พบเห็นถึง ความสามัคคี การรู้จักให้อภัย กา รอโหสิ ความอบอุ่นในครอบครัว รวมถึงการทา้ นุบ้ารุงศาสนา สืบด้วยในปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจ ความเจริญด้านต่าง ๆ การมีส่วนร่วม ปฏิบัติ อนุรักษ์ประเพณีเริ่มผิดแปลกออกไป จึงคิดว่าควร มีการอนุรักษ์จัดทา้ ตัวแบบหรือการถ่ายทอดและแลกประสบการณ์จากบรรพชนรุ่นก่อนสู่บรรพ ชนรุ่นใหม่ โดยพรรพชนเหล่าน้ีคงต้องมาจากผู้เฒ่า ผู้แก่ ผู้รู้ ผู้ทรงคุณวุฒิ การมีโรงเรียนสืบสานวัฒนธรรมลานนา นักวิชาการ พระภิกษุ วัดโรงเรียน หน่วยงาน ต่างๆ มีส่วนร่วมที่นอกจากจะถ่ายทอดแล้ว ยังต้องสั่งสอนและเป็นตัวแบบน้าพาไปพร้อม ๆ กัน ด้วย สา้ หรับหน่วยงานภาครัฐ ที่ให้การสนับสนุนงบประมาณหรือจะจ้างผู้จัด ออแกไนซ์ในการ วางแผนท้างานหรือจัดกิจกรรมตามประเพณีควรสอดแทรกและให้ความรู้รากเหง้าของประเพณี นั้น ๆให้แก่ออแกไนซ์ ลงไปด้วยเพื่อจะจัดงานประยุกต์ให้เข้ากับสมัยปัจจุบัน การจัดงานก็จะ ได้ไม่จัดรูปแบบออกมาผิดเพี้ยน เช่นปัจจุบันนี้ แม้จะยอมรับได้ว่าการรณรงค์ การอนุรักษ์ขนม ธรรมเนียมประเพณี หรือกิจกรรมตามประเพณีย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาแต่ถ้าทุกภาค ส่วน ประชาชน ชุมชนร่วมกันช่วยกัน สนับสนุนอนุรักษ์รากเหง้าแห่งมรดกทางภูมิปัญญา จารีต

๑๓๒ ประเพณีเหล่านี้ไว้ ก็คิดว่าน่าจะอนุรักษ์ต่ออายุวัฒนธรรมประเพณีออกไปได้บ้าง (ลัดดา นันท ชารักษ์,ประชุมกลุ่ม,๒๕๕๗) ส้าหรับการอนุรักษ์ประเพณีสงกรานต์ต้องค้านึงและอาจอนุรักษ์ในแต่ละเรื่องหรือหลาย ๆ เรื่อง เช่นมีการส่งเสริมอนุรักษ์ให้แต่งกายชุดพื้นเมืองอย่าง ในเดือนเมษายน ก็มีการส่งเสริม ให้แต่งกายพ้ืนเมืองตลอดเดือนเมษายนเดือนแห่งปีใหม่เมือง การรณรงค์และสนับสนุนให้มีการ สืบสานประเพณีสระเกล้าด้าหัวพระภิกษุสงฆ์ เจ้าคณะจังหวัดตามวัดวาอารามโดยชมรมหนุ่ม สาวจังหวัดเชียงใหม่ซ่ึงในปีน้ีก็ได้สระเกล้าดา้ หัวท่านคณะครูบาอาจารย์ไปถึง ๙๗ วัด อีกสิ่งหนึ่งที่ชุมชนสืบทอดและปฏิบัติมาทุกปีคือการด้าหัวผู้สูงอายุที่อายุ ๖๐ ปีขึ้นไป กิจกรรมนี่จัดกันทั่วทุกชุมชนทั้งหมด การรณรงค์ให้อู้ก้าเมือง เป็นต้น ล้วนเป็นการสืบสาน สืบ ทอดวัฒนธรรมจากภูมิปัญญาของคนในชุมชนและสืบทอดตลอดกันมาซึ่งคนพื้นถิ่น คนในชุมชน เมืองก็ยังมีความคิด เชิงอนุรักษ์และร่วมกันสืบสานปฏิบัติต่อกันมา แม้ว่าจะมีคนต่างถิ่นเข้ามา ในชุมชนปัจจุบันมีประมาณร้อยละ ๕๐-๖๐ ก็ตาม นอกจากนี้ชุมชนก็ยังมีการประชุมหารือ ร่วมกันจัดกิจกรรมในงานประเพณีอยู่เสมอและ มีชมรมต่างๆ เชิงอนุรักษ์เข้ามามีส่วนร่วมด้วยเช่นกลุ่มหนุ่มสาวจังหวัดเชียงใหม่ สภาวัฒนธร รม จังหวัดเชียงใหม่เพื่ออนุรักษ์ ร่วมกันและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้ด้ารงไว้และน้ามาถ่ายทอด ให้การด้าเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละครั้งออกมาเป็นไปตามกิจกรรมสืบสานตา ประเพณีและ จารีตประเพณีท่ีด่ังเดิม (ยุทธ สลีสองเมือง,ประชุมกลุ่ม,๒๕๕๗) สรุปได้ว่าประเพณีวัฒนธรรม วัฒนธรรมมีมิติอยู่ ๒ มิติ กล่าวคือวัฒนธรรมที่จับต้องได้ มี ชีวิต อีกมิติคือสิ่งที่จับต้องไม่ได้แต่มีคุณค่า จึงเป็น ๒ อย่างที่ต้องอยู่คู่กันไป ทุกวันนี้เราจะ อนุรักษ์และน้าไปสู่มรดกโลกก็ต้องสืบสาน มีวิธีด้าเนินการให้สอดคล้องกัน ความมีคุณค่าจับ ต้องไม่ได้ สิ่งที่คนมองเห็นเป็นรูปธรรม จะท้าอย่างไรในสิ่งที่มองไม่เห็นจากด้านบน กล่าวคือ รากเหง้าที่มีคุณค่า เข้มแข็งให้ผู้คนได้เห็นถึงความสา้ คัญ จึงต้องการให้ผู้คนได้มองเห็นคุณค่าและจะคงคุณค่าอยู่ได้ ฉะนั้นต้องด้าเนินการสืบสาน ท้ังสองทาง การกระทา้ คา้ พูดต้องให้ เด็ก เยาวชน ชุมชนได้รู้ได้เห็น ตระหนักว่าประเพณีปีใหม่ เมืองจับต้องได้อย่างไร ไม่ใช่พูดลอย ๆ เช่นในปัจจุบันภาพท่ีเห็น การตีความหมาย การรดน้าในอดีตคือ เอาขันรดต้นคอคือการอวยพร ปัจจุบัน สาดน้าใส่ กันแล้วรู้สึกสะใจ นั่นคือการรดน้าที่ท้าให้คุณค่าหายไปแตกต่างจากในสมัยก่อนการรดน้า ด้าหัว หรือการสระเกล้าด้าหัว มีความหมายคือการสูมาคราวะ สระเกล้าด้าหัวเห็นภาพว่า องค์ประกอบคือสระเกล้าด้าหัวไม่ใช่มารดน้าที่มือ การสูมาคารวะบอกถึงคุณค่าทั้งด้านจิตใจและการกระท้า การขอขมา อโหสิในสิ่งที่ผ่าน มาทั้งผู้ถูกด้าหัวและผู้มารดน้าด้าหัว สิ่งนี้คือจิตวิญ ญาณ คือรากเหง้าของประเพณี มี ความหมายในตัวจวบจนทุกวันนี้ อย่างในปีนี้เชียงใหม่ ทางลานนาก็มีการรณรงค์ให้มีการสระ เกล้าดา้ หัวและการรดน้าด้าหัวก็ไม่ใช่รดที่มือ การสูมาคารวะองค์ประกอบน้าขมิ้นส้มปอยเปรียบเหมือนน้าศักดิ์สิทธิ์มีคุณค่าในตัวเอง โดยคนถูกด้าหัวน้าไปแตะลูบหัวตนเองและสลัดในคนที่มาด้าหัวพร้อมค้าอวยพร ซึ่งภาพคือ ความงดงามมีคุณค่ามาจากจิตใจ สิ่งนี้บรรพชนได้มอบมรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้สืบต่อมาบาง

๑๓๓ สิ่งบางอย่างที่เห็นเป็นของดีของงาม มาจากรากเหง้า จิตวิญญาณอันทรงคุณค่าซึ่งต้องธ้ารงให้ อยู่ได้ ค้าถามที่เคยถูกถามว่าปัจจุบันคนไม่ค่อยรู้จักวัฒนธรรมประเพณีเด็ก เยาวชนจะรู้คุณค่า สืบสานประเพณีอย่างไร เบื้องต้นคิดว่าควรต้องก้าหนดไว้ในหลักสูตรการศึกษา บรรจุองค์ ความรู้ รากเหง้าอย่างลึกในหลักสูตรที่เข้มข้นและท้ากันอย่างจริงจัง มีการสอบ การท้ารายงาน ศึกษาทบทวนกันและให้คะแนนเป็นวิชาหนึ่งในหลักสูตรของโรงเรียน สถานศึกษา แล้วพอถึง ฤดูกาลแห่งประเพณี เทศกาลเด็ก เยาวชนก็จะได้น้าวิชาการที่ได้รับการถ่ายทอดจากครูบา อาจารย์ในห้องเรียนสู่ประสบการณ์ตรง นั่นคือความจริงที่ได้สัมผัสประสบการณ์ที่เรียนรู้ด้วย ตนเอง ครอบครัวเป็นประสบการณ์ตรง คนเมื่อก่อนหรือในรุ่นปัจจุบันก็ได้อาศัยประสบการณ์ ตรงจากการถ่ายทอดจากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย คนเฒ่า คนแก่ในครอบครัวเช่นการพากันไปวัด ประกอบพิธีทางศาสนา การช่วยท้าขนม ตัดใบตองห่อขนม ขูดมะพร้า การท้าตุง ร่วมแรงร่วม ใจ ครอบครัวอบอุ่น อันนี้ควรสืบทอดและช่วยกันธ้ารงให้อยู่ในครอบครัว แม้ว่าเศรษฐกิจจะมี ผลต่อการด้ารงชีวิตในครอบครัวปัจจุบันก็ตาม สิ่งที่เห็นว่ามิติทางด้านสังคม เศรษฐกิจ ประเพณีวัฒนธรรม มีความเชื่อมโยงต่อคน ชุมชนหรือการด้าเนินชีวิตอย่างมากก็ให้กระทบได้ บ้างอย่าให้มีผลมากไปจนเกิดงาม ในส่วนของหน่วยงานราชการเมื่อมีการจัดสรรงบประมาณควรส่งเสริมการถ่ายทอดภูมิ ปัญญานั้นๆเข้าไปในการจัดกิจกรรมเช่นการจัดประกวด เพราะว่าการจัดประกวดท้าให้มีการ สืบทอด ค้นคว้างานนั้นๆ ทางอ้อมเกิดพลังในการแข่งขัน เป็นการปลุกเร้า แรงจูงใจ การ ค้นคว้า ความคิด การฝึกซ้อมในสิ่งที่ถูกต้องตามกติกา เป็นผลต่อการสืบทอด สืบสานจารีต ประเพณีที่ได้อรรถรสในตัวของกิจกรรม นั้นๆได้เป็นอย่างดี เช่นการประกวดหมากสุ่ม หมาก เป็ง ประกวดการตีกลองสะบัดชัยเป็นต้น นอกจากการประกวดมีผลต่อการสืบสานวัฒนธรรมแล้วยังมีผลต่อตัวผู้แข่งขัน ผู้เข้า ประกวดนอกจากจะได้มีโอกาสค้นคว้าแล้วยังได้ไปรับฟัง ถ่ายทอด สอบถาม จากผู้รู้แม่ครู พ่อ ครู มีการถ่ายทอดสืบสานกันอย่างสอดคล้องและเป็นไปอย่างธรรมชาติ เช่นที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ในกรณีที่มีการก้าหนดหลักสูตรในสถานศึกษา และจากการมีประสบการณ์จริง การแข่งขัน ประกวดต่างๆ อย่างน้อยๆ ก็ท้าให้ผู้ที่เรียนรู้ได้สัมผัสจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ภายภาคหน้าถ้า พวกเขาได้มีโอกาสเป็นผู้บริหาร เป็นครูบาอาจารย์ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ เยาวชน เด็กกลุ่มนี้ก็จะ เป็นผู้เผยแพร่องค์ความรู้เหล่านี้ จากประสบการณ์ที่เคยได้รับถ่ายทอดเป็นสิ่งที่ดี ๆ ว่าครั้งหนึ่ง ที่เคยได้รับในอดีตเป็นแบบอย่างที่ดี มีการเชื่อมโยงมวลชน เชื่อมโยงรากเหง้าสิ่งที่ได้รับการ ปลูกฝัง ทั้งจากหลักสูตร ครอบครัวประสบการณ์ตรง การประกวดการแข่งขัน จะช่วยกันธ้ารงรักษาสืบสานวัฒนธรรมได้อีก เช่นทุกวันนี้เรามี ” โรงเรียนสืบสานวัฒนธรรมที่มีพ่อครู แม่ครูที่มีความรู้ความสามารถแต่ไร้ปริญญามีภูมิปัญญา มากมายที่ลูกศิษย์มาขอเรียนรู้ รับการถ่ายทอดน้าองค์ความรู้ไปจัดท้าวิทยานิพนธ์ ได้รับ ปริญญาโท ปริญญาเอก นี่คือที่ได้รับความรู้จากการถ่ายทอดจากครูบาอาจารย์ จากรากเหง้า ภูมิปัญญาของบรรพชนทั้งสิ้น เกิดการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น จากคนรุ่นเก่าสู่คนร่นใหม่ นี่ก็คือ

๑๓๔ โอกาส แม้แต่ผมเองหากมีโอกาสก็จะด้าเนินการสืบทอดไปตามแต่จะได้รับแม้ในโอกาสนี้และ โอกาสต่อไป (วัลลภ นามวงศ์พรหม,ประชุมกลุ่ม,๒๕๕๗) ผลที่ได้รับ พระภิกษุสงฆ์ ปราชญ์ชาวบ้าน วัฒนธรรมต้าบล ผู้น้าชุมชน ผู้น้าท้องถิ่น ชุมชน ภาครัฐและเอกชนที่เก่ียวข้อง เยาวชน ซึ่งเป็นเจ้าของมรดกภูมิปัญญาประเพณีสงกรานต์หรือปีใหม่ เมืองของจงั หวัดเชยี งใหม่ และชุมชนภาคเหนือ รับทราบและให้การสนับสนุนและแสดงความต้องการ ทจ่ี ะเข้าเป็นสว่ นหน่งึ และร่วมในกระบวนการจัดเก็บและรวบรวมขอ้ มลู มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ประเพณีสงกรานต์หรือปีใหม่เมือง ท้ังแสดงความยินยอมในใบแสดงความยินยอมที่จะให้ประเพณี สงกรานต์หรอื ปีใหมเ่ มอื ง เป็นมรดกภมู ปิ ญั ญาของชาติและมนุษยชาตดิ ้วย นอกจากนี้ท่ีประชุมยังได้แจ้งให้ทราบถึงก้าหนดการจัดประเพณีสงกรานต์หรือปีใหม่เมือง โดยจะจดั ขึ้นในระหวา่ งวนั ที่ ๑๓ – ๑๕ เมษายน ๒๕๕๗ และทีมวิจัยจะเขา้ ไปสงั เกตการณ์แบบมีส่วน ร่วมโดยเข้าไปเป็นกรรมการจัดงานและกิจกรรมที่ร่วมในการสืบสานและปกป้องคุ้ มครองประเพณี สงกรานต์หรือปีใหม่เมือง โดยทีมวิจัยชุมชนจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าภาพหลักในการ และทีม วิจัยได้เข้าไปเกบ็ ข้อมลู โดยวิธีการสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม โดยเข้าไปร่วมสังเกตการณ์ในช่วงจัด งานประเพณีสงกรานต์หรือปีใหม่เมือง และจัดเก็บและบันทึกข้อมูลทั้งในรูปของข้อมูลเอกสาร เสียง วีดทิ ศั น์ในระหวา่ งวนั เวลาจดั งานดังกล่าวด้วย ครง้ั ท่ี ๒ เมื่อวนั ที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๗ ทีมวิจัยของโครงการฯ ได้แก่ นายนเรนทร์ แก้วใหญ่ นางสาวณพัสนันท์ บุญเดช และ นางสาวสิริลักษณ์ ศรีทอง ได้จัดเวทีเสวนาประเพณีสงกรานต์พระประแดงข้ึน ณ สภาวัฒนธรรม อ้าเภอพระประแดง อ้าเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ โดยมีวัตถุประสงค์ให้ชุมชนได้ทราบ และเข้าใจความเป็นมา ความส้าคัญของการด้าเนินการของโครงการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ และชี้แจงกระบวนการในการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูล โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนทุกภาคส่วน ผลการด้าเนินการเวทีชุมชนของเสวนามรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์พระประแดง สรุปได้ดังนี้ ผู้เขา้ ร่วมประชมุ กลุ่ม ๑. อาจารยโ์ ชตมิ า ยะกาศคะนอง ประธานสภาวฒั นธรรมอ้าเภอพระประแดง ๒. นางจา้ ลอง เกตเุ ภา ชมุ ชนบา้ นแซ่ อ้าเภอพระประแดง (เช้ือสายมอญ) ๓. นางสาวชิดชนก เกตเุ ภา เยาวชนชุมชนบา้ นแซ่ อ้าเภอพระประแดง (เชื้อสายมอญ) ๔. นายรวีวัฒน์ ร่งุ เรืองรอง ประธานนักเรียนโรงเรยี นวดั ทรงธรรม (เชือ้ สายมอญ) ผลการด้าเนินการ สรุปได้ว่า สงกรานต์พระประแดง เป็นประเพณีที่ย่ิงใหญ่ โดยเฉพาะชาว ไทยเชื้อสายมอญท่ียังคงอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นถ่ินไว้อย่างครบครันโดยเฉพาะชุมชนมอญพระประแดง ที่สรรค์สร้างประเพณีสงกรานต์ให้เป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยเชื้อสายมอญอย่างแท้จริง เพราะพวก เขาถือว่าเป็นเวลาท่ีคนมอญจะต้องแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษผู้มีพระคุณ ถือเป็นวันรวมญาติ เปน็ การกลับมาของคนมอญ เปน็ วันท้าบุญ เปน็ การบูชาบรรพบรุ ุษและภูตผีทปี่ กปอ้ งคุ้มครอง

๑๓๕ สงกรานต์พระประแดงเปน็ วนั สงกรานต์ของชาวไทยเช้ือสายมอญที่สนุกสนานมากและเป็นที่ รู้จักของประชาชนชาวไทยท่ัวไปทุกท่ี จะมีผู้มาร่วมเล่นน้าในวันสงกรานต์พระประแดงเป็นจ้านวน มาก เน่ืองจากจัดภายหลังจากสงกรานต์อื่นๆ (ถัดจากวันสงกรานต์ไทยไปหน่ึงอาทิตย์) จุดเด่นอีก ประการหน่ึงคือ การมีขบวนแห่นางสงกรานต์ พร้อมด้วยขบวนแห่นกแห่ปลาที่ยิ่งใหญ่สวยงาม ตระการตาท่ีหลายหนว่ ยงาน/หม่บู ้านร่วมกันจดั ข้นึ สงกรานต์พระประแดงนั้นเป็นที่สนุกสนานยิ่ง นัก เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วประเทศ ถึงความย่ิงใหญ่และความสวยงามตระการตาของขบวนแห่นาง สงกรานต์ ขบวนรถบุปผาชาติ ขบวนสาวรามัญ–หนุ่มลอยชาย ที่ยังคงรักษาประเพณีเก่าๆ ไว้อย่าง มั่นคงตลอดถึงเอกลักษณ์การแต่งกายด้วยชุดไทยรามัญและชุดลอยชาย ซึ่งชาวพระประแดงได้รักษา ประเพณีไว้โดยเครง่ ครดั ตลอดมา จนถงึ ทุกวนั นี้ ลักษณะองคป์ ระกอบท่จี บั ต้องได้ของประเพณสี งกรานต์ ได้แก่ บา้ นสงกรานต์ ใช้เพื่อถวายข้าวสงกรานต์ต่อท้าวมหาสงกรานต์ ลักษณะของศาลก็คล้ายกับ ศาลเพียงตา ประดับดว้ ยทางมะพร้าวกับธง ข้าวสงกรานต์ ลักษณะโดยท่ัวๆ ไปจะเหมือนกับการท้าข้าวแช่ของไทย วิธีท้าจะต้องน้าข้าว มาซอ้ มใหข้ าว เกบ็ กากข้าวและสิ่งสกปรกออกให้หมด แล้วน้าไปซาวน้าถึง ๗ ครั้ง จากนั้นจึงน้าไปหุง เป็นข้าวสวยแต่ให้แข็งกว่าเล็กน้อย แล้วน้ามาแช่ในน้าเย็นเพ่ือไม่ให้ข้าวเกาะตัวกัน แล้วจึงต้มน้าอีก หม้อทิ้งไว้ให้เย็น แล้วโรยดอกมะลิ แล้วเอาน้าดอกมะลินั้นใส่ลงไปในข้าวที่หุงไว้ แล้วจึงน้าไปใส่ไว้ใน หมอ้ ดนิ ส่วนกับข้าวนั้นส่วนมากจะเป็นอาหารเค็ม เช่น ผดั หัวผักกาดเค็มกับกะทิ กระเทียมดองผัดไข่ กะปิชุบไข่ทอด ปลาแห้งผัด เน้ือเค็มผัดหวาน ย้าถ่ัวฝักยาว ย้ามะม่วง แต่บางบ้านอาจจะไม่ท้าครบ หรือบางบ้านก็จะท้าย้าขนุนอ่อน ไข่เค็ม เพ่ิมขึ้นมา ส่วนของหวานมักจะเป็น ถ่ัวด้าต้มน้าตาล และ ผลไม้ท่ีนิยมได้แก่ กล้วยหักมุก แตงโม เมื่อเตรียมอาหารของหวานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จัดใส่ลงใน กระทงบนถาด ธงท่ที ้าจากกระดาษสหี ลากหลายสี ปักตามโกศของบรรพบุรุษของครอบครัวตนเอง เพ่ือเป็น การแสดงความกตัญญูกตเวที และเป็นการแสดงให้เห็นว่าลูกหลานได้มาร่วมกันท้าบุญอุทิศส่วนกุศล กันอย่างครบถว้ นสมบูรณแ์ ล้ว ธงตะขาบ ธงที่ชาวไทยเชื้อสายมอญท้าข้ึนเพ่ือใช้ในประเพณีแห่หงษ์ธงตะขาบ ลักษณะ เหมอื นตัวตะขาบโดยมีวิธที า้ ธงตะขาบ คือ การใชผ้ ้าแดงกวา้ งประมาณ ๑ เมตร ยาวประมาณ ๔ เมตร เอาไมไ้ ผ่ยาวประมาณ ๑.๒๐ เมตร ผา่ เป็นซีก ๆ น้าผ้าขาวมาพันทุกๆ ซีก แล้ววางลงบนผ้า แดงเป็นคู่ๆ รวม ๑๐ คู่ด้วยกัน กะระยะให้ห่างกันพอประมาณ นับได้ ๙ ช่องของผ้าแดงแล้วเอา เชือกขนาบท้ังสองข้าง เอาริมผ้าหุ้มเชือกเย็บซีกไม้ไผ่ท่ีพันด้วยผ้าขาวจ้านวน ๑๐ คู่ให้ติดกับผ้าแดง ทุกอัน สมมุติเป็นตะขาบรวมขาสองข้างเป็น ๔๐ ขา ท้ังนี้ไม่นับส่วนหัวและหาง แต่ส่วนหัวน้ันจะ ทา้ ดว้ ยไม้ไผ่จักเปน็ เสน้ ๆ แล้วสานเป็นตะแกรงแบบตาตะกร้อ แล้วท้าขอบคล้ายขอบกระด้ง ดัดให้ คล้ายหัวตะขาบและหางตะขาบ เสร็จแล้วเอาผ้าแดงหุ้มด้านหัวตอนบน ส่วนตอนล่างที่จะเป็นส่วน คางจะหุม้ ดว้ ยผา้ สขี าว ทง้ั หัวและหางจะท้าอยา่ งเดียวกนั ส่วนไม้ทีท่ ้าเป็นลา้ ตวั นนั้ ส่วนปลายทั้งสอง ข้างจะมีธงสีขาวเล็ก ๆ เป็นรูปสามเหล่ียมเย็บติดไว้ ดูแล้วจะมีลักษณะเป็นตีนตะขาบ ส่วนที่ล้าตัว น้ันจะเจาะผ้าให้เป็นช่องไว้ส้าหรับให้ลมผ่านเพื่อสะดวกเวลาแขวน ส่วนการประดิษฐ์จะให้สวยงาม อยา่ งไร ก็แลว้ แต่ความพอใจของแต่ละหมู่บา้ นนน้ั ๆ จะจัดทา้

๑๓๖ กาละแม ใช้ส้าหรับไปทา้ บุญท่ีวัดในวันสงกรานต์ หรอื ให้ญาตผิ ้ใู หญแ่ ละเพื่อนบ้าน บ่อนสะบ้า สถานท่ีท้าการเล่นสะบ้า บ่อนจะต้องทุบดินให้เรียบแต่งบ่อนด้วยกระดาษสี ต่างๆ มีแสงสวา่ งมากพอปัจจบุ นั ได้ใช้ไฟฟา้ (สมัยกอ่ นเราใช้ ไฟตะเกียง หรอื ไฟใต้) ลูกสะบ้า อุปกรณ์ในการเล่นสะบ้าลักษณะกลึงเป็นลูกกลมแบนเรียบ ท้าด้วยเขาสัตว์ เช่น เขาววั เขาควาย เงนิ ทองเหลอื ง หรอื ไมเ้ น้ือแขง็ ก็ได้ นก-ปลา ใช้ในประเพณแี หน่ ก-แห่ปลา น้าอบ ใชใ้ นการสรงน้าพระพทุ ธรปู รอบวัดและรดน้าของพรผใู้ หญใ่ นช่วง เทศกาลสงกรานต์ ไมก้ ระถนิ ทาขมิ้น ใชใ้ นประเพณคี ้าต้นโพธ์ิ ส้าหรบั องคป์ ระกอบทีจ่ บั ต้องไมไ่ ด้ ซ่งึ เกย่ี วขอ้ งกับการถือปฏิบัติหรือสืบทอดมรดกภูมิปัญญา ทางวฒั นธรรม ได้แก่ วันสงกรานต์ ถอื วา่ เปน็ เวลาท่คี นมอญจะตอ้ งแสดงความกตญั ญตู ่อบรรพบุรุษผู้มีพระคุณ ถือเป็นวันรวมญาติ เป็นการกลับมาของคนมอญ เป็นวันท้าบุญ เป็นการบูชาบรรพบุรุษและ ภูตผีที่ปกป้องคุ้มครอง การท้าบุญ ในช่วงวันสงกรานต์นี้มีความเช่ือสืบต่อกันมาว่า เป็นการท้าบุญที่มีกุศลแรงที่สุด เพราะคนท่ีลว่ งลบั ไปแลว้ ไมว่ า่ จะตกอยใู่ นนรกขมุ ใด กต็ าม จะไดร้ ับโอกาสขึ้นมารับส่วนกุศลผลบุญที่ ญาติได้อุทิศไปให้อย่างท่ัวถึง ดังน้ันจึงถือเป็นการท้าบุญคร้ังส้าคัญของชาวมอญ เพราะถ้าลูกหลาน ได้ท้าบุญอุทิศส่วนกุศลให้ดีแล้วน้ันบรรพบุรุษก็จะอ้านวยพรให้ประสบแต่ความสุขความเจริญ แต่ หากลูกหลานท้าบุญให้ไม่ดี หรอื บ้านใดขาดไมไ่ ด้ท้ากจ็ ะถือว่ากระท้าผดิ ต่อบรรพบุรุษ ประเพณีปล่อยนก – ปล่อยปลา ณ พระอารามหลวงวัดโปรดเกศเชษฐาราม ซึ่งถือเป็นการ สะเดาะเคราะหท์ า้ ให้อายยุ นื ยาว หงส์ เปน็ สญั ลกั ษณ์ของชาวรามัญ(ชาวมอญ) ซง่ึ มีต้านานเก่าแกเ่ ล่าสบื ต่อกันมาว่า หลังจาก ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้พระอนุตตระสัมโพธิญาณแล้ว ๘ ปี ได้ทรงเสร็จไปโปรดเวไนยสัตว์ในแคว้น ต่างๆ จนกระทงั่ วนั หน่ึงได้เสร็จมาถึงภูเขาสทุ ศั มรงั สติ ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองสะเทิม ทรงพักตร์ ไปทางทิศตะวันออก ทอดพระเนตรเห็นเนินดินเล็กๆ โผล่อยู่กลางทะเล เม่ือน้างวดเห็นได้ประมาณ ๒๓ วา ครั้งน้าขึ้นเป่ียมฝ่ัง ก็พอมองเห็น ณ เนินดินน้ันมีหงส์ทองเมียผู้คู่หน่ึงยืนซ้อนกันอยู่ ตัวเมีย เกาะอยู่บนหลังตวั ผดู้ ูอศั จรรยย์ ่ิงนัก พระองค์จึงทรงท้านายในนิมิตน้ันว่าต่อไปเนินดินท่ีหงส์ทองเกาะ อยนู่ น้ั จะกลายเป็นผนื ดินกวา้ งใหญ่ เป็นที่ต้ังของมหานครอันพร้อมด้วยพระธาตุสถูปเจดีย์ศรีมหาโพธ์ิ และพระศาสนาของพระองค์จะเจริญรุ่งเรืองขึ้น ณ ที่น้ัน ครั้นพระพุทธองค์ดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไป แล้วได้ ๑๐๐ ปี พุทธท้านายนั้นก็กลับกลายเป็นความจริงดังปาฏิหาริย์ มีพระโอรสของพระเจ้าเสนะ คงคา พระนามว่า สมลกมุ าร และวิมลกมุ ารได้รวบรวมพล ตัง้ เป็นเมอื งขนึ้ ใชช้ ่ือวา่ “หงสาวดี” และใช้ หงสเ์ ปน็ สัญลกั ษณข์ องประเทศแตน่ ัน้ มา ดังน้นั การแหห่ งส์ จงึ เปรียบเสมอื นการท่ีชาวมอญได้ร่วมกัน ร้าลึกถึงถ่ินฐานบ้านเกิดของตนเอง น่ันคือ เมืองหงสาวดี และสัญลักษณ์หงส์ท่ีเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน นน้ั ชาวมอญทกุ คนจะรซู้ ้งึ กันดวี ่าหงสจ์ ะหนั หนา้ ไปทางเมืองหงสาวดเี สมอ ตะขาบ เชื่อกันว่า เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณแล้ว ทรงร้าลึกถึงพระ มารดาผู้เคยมีอุปการะมาแต่ก่อน และขณะนั้นได้ดับขันธ์ไปสู่ดาวดึงส์เทวโลกแล้ว พระองค์ทรง ปรารถนาท่ีจะโปรดพุทธมารดาด้วยพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ซ่ึงเป็นธรรมช้ันสูง จึงได้เสร็จขึ้นไป

๑๓๗ จ้าพรรษาอยู่บนสวรรค์ช้ันดาวดึงส์และทรงแสดงธรรมดังกล่าว จนพระมารดาได้ส้าเร็จพระโสดาบัน เบื้องต้น เม่ือการแสดงธรรมครบ ๓ เดือน (หน่ึงไตรมาส) พระพุทธมารดาก็เสด็จเคล่ือนเข้าสู่ธรรม ช้ันพรหมวิหารสุขากาโม ส่วนเทพทั้งหลายที่ได้มีโอกาสฟังธรรมในคร้ังน้ีต่างก็พากันบรรลุโสดา ปัตติผล เช่นเดียวกัน หลังจากนั้นพระพุทธองค์เสด็จกลับมายังมนุษยโลก เม่ือวั นแรม ๑ ค่้า เดือน ๑๑ ในครั้งน้ันได้มีมวลเทพ พระอินทร์ พระพรหม เนรมิตให้เกิดบันไดเงิน บันไดทองมา รองรับ บ้างก็ถือเครื่องสูง อันประกอบด้วย ราชวัตร ฉัตร ธง และเครื่องดนตรี ดีด สี ตี เป่า มา ประโคม สว่ นมนุษย์ในโลกก็เลื่อมใสในพระองค์พากันดีใจ น้าอาหารไปใส่บาตร แต่เน่ืองด้วยคนท่ีไป ใส่บาตรน้ันมีจ้านวนมากไม่สามารถน้าอาหารเข้าไปถึงพระพุทธองค์ได้ จึงท้าเป็นข้าวต้มลูกเล็ก ๆ แล้วโยนใส่บาตร ดังนั้นจึงเกิดประเพณีใส่บาตรข้าวต้มลูกโยนขึ้นตั้งแต่คร้ังน้ันมา นอกจากประชาชน จะนา้ อาหารไปใสบ่ าตรแลว้ ยังตอ้ นรบั เฉลมิ ฉลองดว้ ยการชักธงรูปต่างๆ เป็นทิวแถว โดยเฉพาะพวก ชาวมอญ ได้ท้าธงเป็นรูปตะขาบขึ้นเพื่อเป็นการต้อนรับด้วย เหตุท่ีชาวมอญท้าธงรูปตะขาบนั้น ก็เพราะวา่ สว่ นประกอบของตวั ตะขาบนัน้ มีขอ้ เปรยี บไดก้ ับคติทางโลก และทางธรรม อนั ได้แก่ ๑. ทางโลก ตะขาบเป็นสัตว์ที่ล้าตัวยาว มีเข้ียวเล็บที่มีพิษ สามารถต่อสู้กับศัตรูท่ีจะมา ระรานได้ เปรยี บเสมือนคนมอญซ่ึงไม่เคยหวาดหว่ันต่อศัตรู อีกนัยหน่ึง ตะขาบเป็นสัตว์ที่มีลูกมาก ในแต่ละคร้ังมีได้ประมาณถึง ๒๐ – ๓๐ ตัว แม่ตะขาบจะคอยปกป้องลูกไว้ในอ้อมอก เมื่อใดที่ลูก ของมันเล้ือยออกมาอยู่กระจัดกระจาย แม่ตะขาบจะตะแคงล้าตัวโอบลูก ๆ เข้ามาแล้วขดไว้เป็น วงกลม น่ันยอ่ มหมายความว่า หากประเทศรามัญ(มอญ)สามารถปกครองดูแลประชาราษฎร์ของตน ได้เหมือนตะขาบแล้วไซร้ ชาวรามัญ(มอญ)ก็จะเจริญรุ่งเรืองไปอีกนานแสนนาน และเต็มไปด้วย ความรม่ เย็นเปน็ สขุ ๒. ทางธรรม กล่าวว่า ทุกส่วนของตัวตะขาบนั้น คนมอญจะตีความออกมาเป็นปริศนา ท้งั สิน้ แต่ละตัวจะนับจากหัวถึงหางมี ๒๒ ปล้อง ขาท้ังสองข้างนับได้ ๒๐ คู่ คือ ๔๐ ขา มีหนวด ๒ เสน้ มหี าง ๒ หาง มเี ขี้ยว ๒ เข้ียว มีตา ๒ ข้าง สามารถกลา่ วโดยละเอียดได้ ดงั นี้ ๒.๑ หนวด ๒ เส้น ได้แก่ ธรรมที่มีอุปการะมาก ๒ อย่าง คือ สติ หมายถึงความระลึกได้ และสัมปชัญญะ หมายถึงความร้ตู ัว ๒.๒ หาง ๒ หาง ได้แก่ ขันติ คือความอดกล้ัน และโสรจั จะ คือความสงบเสงี่ยมเจียมตัว ๒.๓ เขย้ี ว ๒ เข้ียว ได้แก่ หริ ิ คอื ความละเอียดละอายแก่ใจ เม่ือท้าช่ัว และโอตัปปะ คือ ความเกรงกลัวเม่อื ทา้ บาป ๒.๔ ตา ๒ ขา้ ง หมายถึง บุคคลที่หาได้ยาก ๒ ประเภท คือ บุพพการี คือบุคคลผู้ให้ อุปการะมากอ่ น และกตัญญกู ตเวที คือบุคคลผ้รู ้อู ุปการะทที่ ่านทา้ มาแล้ว และท้าตอบแทนทา่ น ๒.๕ ล้าตัว ๒๒ ปล้อง ได้แก่ สติปัฎฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ และพละ ๕ ประเพณีแห่ธงตะขาบ ถือเป็นการปัดเสนียดจัญไรในหมู่บ้าน และด้วยอ้านาจบารมีแห่ธง ตะขาบ จะเป็นการน้าความมีโชคชัย ความสุขสวัสดีมาสู่ทุกคนในหมู่บ้าน เป็นสิริมงคลและป้องกัน การเจ็บป่วย เพราะผู้ใดถ้ามีสิ่งศักดิ์สิทธ์ิมาเข้าฝันแล้วไม่ด้าเนินการตาม ก็จะท้าให้เกิดการเจ็บป่วย โดยหาสาเหตไุ มไ่ ด้

๑๓๘ แนวปฏิบัติตามจารตี ในการเข้าถึง การใชแ้ ละการมีส่วนรว่ มในมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม อธบิ ายได้ ดังน้ี เมื่อใกล้จะถึงวันสงกรานต์ ชาวบ้านโดยทั่วไปเฉพาะชาวไทยรามัญแต่ละครอบครัวต่างก็จะ ชว่ ยกันท้าความสะอาดบ้านเรือนของตนก่อนวันสงกรานต์ ๒ – ๓ วัน แต่ละบ้านก็ช่วยกันกวนขนมที่ เรียกว่า กาละแม บางบ้านก็ท้าขนมข้าวเหนียวแดง เพื่อจะ ได้น้าไปท้าบุญในวันสงกรานต์ และ แจกจ่ายญาตมิ ติ รสหายเพอื่ ไมตรีจิตซ่งึ กันและกนั บ้านใดกะการหุงขา้ วสงกรานตห์ รือข้าวแช่ กจ็ ะเชญิ สาวๆ ในหมู่บ้านมาช่วยกันหุงต้มอาหาร เพื่อการท้าบุญ คือในเวลาเช้าสาวที่รับเชิญจะน้าอาหารและข้าวสงกรานต์น้ันไปส่งตามวัดต่างๆ เม่ือ ขากลับจะมีการพรมน้ารดกันเพื่อความสวัสดีศิริมงคล แต่เป็นการรดน้าอย่างมีวัฒนธรรมมิใช่สาดน้า เมื่อสาวกลับถงึ บา้ นเจา้ บ้านทจ่ี ดั ทา้ ข้าวสงกรานต์ก็จะเลยี้ งดูสาวๆ และญาติมิตรสหายเป็นการรื่นเริง และไมตรจี ิตต่อกนั ตามหมู่บ้านชาวไทยรามัญ จะเห็นศาลเพียงตาปลูกเตรียมไว้ เจ้าบ้านจะน้าอาหารใส่กระทง ต้ังไว้บนศาลพร้อมด้วยข้าวแช่ เป็นการสักการะพระพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ ตลอดจนสิ่ง ศักด์ิสิทธ์ิทั้งปวงตามประเพณีการส่งข้าวสงกรานต์นั้น จะท้าได้ ๓ วัน คือวันที่ ๑๓ – ๑๔ – ๑๕ เมษายน นอกจากสง่ ข้าวสงกรานตแ์ ลว้ ตามวดั ตา่ งๆ มผี ูไ้ ปทา้ บญุ กันอย่างมากมาย ในเวลากลางคืนมี บ่อนสะบ้าตามหมู่บา้ นเปน็ ที่สนุกสนานยิ่งนกั บางบ่อนมีถึง ๗ วัน ทั้งน้ี มิใช่เป็นการพนันเอาทรัพย์สิน อย่างใด เป็นการละเลน่ อย่างหน่งึ ตามพ้นื เมอื งตามบ่อนสะบ้ามีผูช้ มมากมาย และแต่ละคนต่างก็รักษา มารยาทและวัฒนธรรม แต่ละบ่อนจะมีขนมกวันฮะกอ หรือ กาละแม เตรียมไว้ให้รับประทานด้วย และมกี ารรอ้ งเพลงทะแยมอญกลอ่ มบ่อน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวไทยเช้ือสายรามัญ (มอญ) ในวันท้ายของสงกรานตพ์ ระประแดง (ถัดจากวันท่ี ๑๓ เมษายน อีกหนงึ่ อาทิตย)์ ทกุ หมู่บ้านจะรวมใจ กันจัดขบวนแห่นางสงกรานต์น้าขบวนนางสงกรานต์ ขบวนสาวรามัญ – หนุ่มลอยชาย จากหมู่บ้าน ต่างๆ เพ่ือแห่นก – แห่ปลา ไปท้าพิธีปล่อยนก – ปล่อยปลา ณ พระอารามหลวงวัดโปรดเกศ เชษฐาราม ซึ่งถือเป็นการสะเดาะเคราะห์ท้าให้อายุยืนยาว เมื่อเสร็จส้ินพิธีแล้วระหว่างเดินทางกลับ บา้ นกจ็ ะมหี น่มุ ในหมู่บ้านต่างๆ ออกมาเล่นสาดน้ากับสาวๆ ด้วยกิริยาท่าทีท่ีสุภาพรดแต่พองาม และ คุยกันตามประสาหนุ่มสาวตลอดทางที่เดินกลับบ้าน สงกรานต์พระประแดงจะมีกิจกรรมต่างๆ ใน เทศกาลดังน้ี ๑. ประเพณสี ่งข้าวสงกรานต์ การส่งข้าวสงกรานต์เป็นประเพณีที่คาดว่าจะได้รับอิทธิพลจากต้านานสงกรานต์ เม่ือตอนท่ี ท่านเศรษฐีน้าเคร่ืองสังเวยไปบวงสรวงเทวดาที่ต้นไทรเพ่ือขอบุตร ข้าวสงกรานต์นั้นเป็นการหุงข้าว แล้วแช่ลงในน้าดอกมะลิบรรจุลงในหม้อดิน ส่วนกับข้าวน้ันก็จะเป็นอาหารเค็ม เช่น ไข่เค็ม ปลาเค็ม เน้ือเค็ม ของหวาน ได้แก่ ถั่วด้าต้มน้าตาล กล้วยหักมุก แตงโม จัดวางใส่ถาดให้เท่ากับวัดท่ี จะไป สาวๆ ในหมู่บ้านก็จะรับข้าวสงกรานต์ไปส่งตามวัดต่างๆ ขากลับ จะมีหนุ่มๆ มาคอยดักรดน้า และเก้ียวพาราสตี ามวิสัยหนุ่มสาวทว่ั ๆ ไป ๒. ประเพณสี รงนา้ พระ – รดน้าขอพรผู้ใหญ่และเลน่ นา้ สงกรานต์ ในช่วงท้ายของสงกรานต์ชาวมอญในพระประแดง จะมีประเพณีสรงน้าพระพุทธรูป วัดท่ีมี พระพุทธรปู มากมายและสวยงามคือ วัดโปรดเกศเชษฐาราม ในตอนเย็นหนุ่มสาวก็จะพากันน้าน้าอบ

๑๓๙ ไปสรงน้าพระพทุ ธรูปรอบวัด เมื่อเสร็จสนิ้ จากการสรงน้าพระพุทธรปู แล้วหนุ่มสาวก็จะพากันน้าน้าอบ ไปรดน้าของพรผู้ใหญ่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เม่ือเสร็จสิ้นแล้วระหว่างเดินทางกลับบ้านก็จะมีหนุ่ม ในหมู่บ้านต่างๆ ออกมาเล่นสาดน้ากับสาวๆ ด้วยกริยาท่าทีท่ีสุภาพ รดแต่พองามและคุยกันตาม ประสาหนุ่มสาวตลอดทางทีเ่ ดนิ กลับบา้ น ๓. ประเพณแี หห่ งส์ธงตะขาบ ในสมัยโบราณจะใช้ลานบ้าน ปักหลักหัวท้ายแล้วเอาธงตะขาบขึงไว้ท้าประร้าพิธีส้าหรับ อาราธนาพระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ตอนเย็น พอรุ่งเช้าชาวบ้านจะน้าอาหารขัน แกงโถ มาตัก บาตรท้าบุญเล้ียงพระกัน ถือเป็นการปัดเสนียดจัญไรในหมู่บ้าน และด้วยอ้านาจบารมีแห่ธงตะขาบ จะเป็นการน้าความมีโชคชัย ความสุขสวัสดีมาสู่ทุกคนในหมู่บ้าน จากนั้นตกเวลาบ่ายพวกหนุ่มๆ สาวๆ ผู้เฒ่าผู้แก่จะออกมาช่วยกันถือธงตะขาบข้างละ ๘ คน ด้านหัวอีก ๑ คน (เป็นชาย) แห่เป็น กระบวนไปที่วัด เพ่ือจะชักธงน้ีข้ึนสู่ยอดเสาหงส์ บางคนมีความศรัทธาอย่างแรงกล้าถึงกับตัดผมของ ตัวเองผกู ตดิ ไวก้ ับธงตะขาบ เพ่ือเปน็ พุทธบูชาอกี ด้วย เมอื่ ถึงวันแห่หงส์ เจ้าภาพจะพับผ้าหางหงส์วางบนพานที่เตรียมไว้ แล้วน้าไปยังวัด เข้าไปใน โบสถ์กราบพระประธานของวัดแล้วท้าการแห่รอบอุโบสถ ๓ รอบ ในพิธีแห่จะมีกลองยาวตีน้าหน้า อย่างสนุกสนาน เมื่อครบแล้วก็น้าผ้าหางหงส์ไปยังเสาหงส์ ผูกรอกแล้วชักขึ้นไปยังยอดเสาจนถึงตัว หงส์ และให้ประชาชนท่มี าทุกคนได้ชว่ ยกนั ชักเสาหงสข์ ้นึ ตง้ั ไว้ ๔. ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีแหน่ กแหป่ ลา ประเพณีแห่นกแห่ปลา เกิดจากความเช่ือของชาวมอญท่ีว่าการปล่อยนก ปล่อยปลา เป็น การสะเดาะเคราะห์ให้แก่ตนเองท้าให้มีอายุยืนยาว และเป็นประเพณีหนึ่งในเทศกาลสงกรานต์ที่จัด พร้อมกับขบวนแห่นางสงกรานต์ในวันสุดท้ายของเทศกาลสงกรานต์พระประแดง ซึ่งชาวมอญยึดถือ และปฏิบตั สิ ืบต่อกนั มาจนเปน็ ประเพณีแหน่ กแห่ปลาในท่ีสุด เทศบาลเมืองพระประแดงพิจารณาเห็น วา่ ประเพณีแห่นกแหป่ ลา เปน็ ประเพณที ดี่ งี ามสมควรอนรุ กั ษไ์ ว้ จึงได้รับเป็นผู้สืบสานประเพณีนี้ โดย จดั ใหม้ ีขบวนแหน่ กแหป่ ลา ในขบวนแหน่ างสงกรานตท์ กุ ปีสบื ทอดมาจนถงึ ปัจจบุ นั ๕. ประเพณีแหน่ างสงกรานต์ ในวันท้ายวันสงกรานต์จะมีขบวนแห่นกแห่ปลา แต่ละหมู่บ้านจะเชิญสาวเข้าร่วมขบวนแห่ โดยมอบให้ผู้ที่เป็นคนกว้างขวาง รู้จักคนมาก น้าหมากพลูจีบใส่พานไปเชิญสาวตามหมู่บ้านต่างๆ แล้วแต่จะก้าหนดว่าหมู่บ้านใดจะเชิญสาวก่ีคน ก็เตรียมหมากพลูไปเท่ากับจ้านวนสาวท่ีต้องการ สาวใดเมื่อได้รับหมากพลูไปแล้วเขาก็จะมาร่วมเข้าขบวน ส่วนการแต่งกายนั้นแล้วแต่จะสะดวก เมื่อสาวมาพร้อมกันแล้วผู้ที่มีหน้าท่ีคัดเลือกสาวงาม ก็พิจารณาดูว่าผู้ใดสวยที่สุดก็ให้เป็น นางสงกรานตใ์ นปีนัน้ ตอ่ มาภายหลงั ไดม้ อบให้ผมู้ หี นา้ ทค่ี ัดเลือกสาวไดม้ องหาสาวท่ีสวยๆ ไว้แต่เนิ่นๆ ก่อน เมื่อใกล้วันสงกรานต์จะเชิญสาวที่หมายตาไว้นั้นให้เป็นนางสงกรานต์ส่วนคนอ่ืนๆ ก็ให้เป็นนาง ประจา้ ปี หรอื นางฟา้ ตามล้าดับไป ซึ่งวธิ ีการนจ้ี ะไดส้ าวงามซึ่งเปน็ ชาวพระประแดงท่ีแท้จริง ต่อมาใน ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้จัดให้มีการประกวดนางสงกรานต์ขึ้นเป็นคร้ังแรก และได้ท้าการประกวดติดต่อกัน มาจนกระทั่งถึงปัจจุบันน้ี ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๔๑ จึงจัดให้มีการประกวดหนุ่มลอยชายควบคู่กับ การประกวดนางสงกรานต์ ๖. การละเล่นพนื้ เมืองการละเล่นสะบา้ (มอญ) (วอ่ น – ฮะ – นิ)

๑๔๐ ในช่วงเวลาวันสงกรานต์ทุกปี ตามหมู่บ้านจะมีการแสดงสะบ้า หรือการละเล่นสะบ้าของ หนุ่มสาว เป็นการละเล่นพื้นเมืองของชาวไทยรามัญ การละเล่นสะบ้ามีประมาณ ๓๐ กว่าบท เป็น ลีลาการแสดงพนื้ เมือง การละเล่นสะบ้ามิใช่การเล่นพนันขันต่อแต่อย่างใด มีการเล่นในเวลากลางคืน บ่อนหนึ่งๆ จะมีสาวงามประจ้าบ่อนอย่างน้อย ๗ คู่ อย่างมาก ๑๐ คู่ บ่อนใช้ใต้ถุนเรือนหรือที่ว่าง พอท่ีจะตกแต่งเป็นบ่อนสะบ้าได้ บ่อนจะต้องทุบดินให้เรียบแต่งบ่อนด้วยกระดาษสีต่างๆ มีแสงสว่าง มากพอปัจจุบันได้ใช้ไฟฟ้า (สมัยก่อนเราใช้ไฟตะเกียงหรือไฟใต้) ลูกสะบ้าน้ันกลึงเป็นลูกกลมแบน เรียบ ท้าด้วยเขาสัตว์ เช่น เขาวัว เขาควาย เงิน ทองเหลือง หรือไม้เนื้อแข็งก็ได้ การละเล่นสะบ้ามี หนุ่มฝ่ายหนึ่ง และสาวฝ่ายหนึ่งแสดงสลับกันไปตามลีลาของวิธีเล่นสะบ้าพื้นเมือง ซึ่งมีประมาณ ๑๕ ถึง ๓๐ ทา่ เช่น ท่นิ เติง จั้งฮะยู อีมาย ยบั ตองเก้ม อะลอง เดิง เปน็ ต้น ๗. การละเลน่ พ้ืนเมอื งทะแยมอญ การเล่นทะแยมอญ คล้ายเพลงฉ่อยหรือล้าตัดเป็นร้อยกรองชนิดหน่ึงคล้ายกับกลอนร่ายของ ไทยประเภทเพลง เน้ือร้องใช้ภาษามอญ เป็นบทไหว้ครู ชมนกชมไม้ เกี้ยวพาราสี ให้ศีลให้พรส้าหรับ ผ้ใู หญ่ ฝ่ายชายใช้เพลงเจ้ือกมวั่ ฝา่ ยหญิงใช้เพลงโปด้ แซ่ เคร่อื งดนตรีประกอบการแสดงมี ๕ ชนิด คือ ซอสามสาย (มอญ) จะเข้ ขล่ยุ เปงิ บาง ฉิง่ การแตง่ กายชดุ รามญั (ชายชดุ ลอยชาย หญงิ ชุด มอญ) ทะแยมอญ ใช้ร้องในโอกาสอันเป็นมงคล เป็นการละเล่นพื้นเมืองของชาวไทยเชื้อสายรามัญ ท่ีอาศัยอยใู่ นเมืองพระประแดง(ชาวปากลดั ) การเลน่ ทะแยมอญกล่อมบ่อนสะบ้าในเทศกาลสงกรานต์ เป็นการร้องโต้ตอบกันในเชิงเกี้ยวพาราสีระหว่างฝ่ายชายกับฝ่ายหญิง โดยมีการร้าประกอบการ เคลอ่ื นไหว ของผู้รา้ เนน้ หนกั ทีม่ อื และในวนั ทา้ ยวนั สงกรานต์ก็จะมีการแสดงทะแยมอญร่วมในขบวน แหน่ กแห่ปลาเป็นประจ้าทุกปี ซ่ึงปจั จบุ นั ไดเ้ ลอื นหายไปเปน็ ท่ีน่าเสียดายย่งิ ๘. ประเพณกี ารกวนกาละแม (กวนั ฮะกอ) เมือ่ ถึงเทศกาลประเพณีสงกรานต์ของชาวมอญปากลัด ชาวมอญจะทา้ ความสะอาดบ้านเรือน แต่เนิ่นๆ และท้าขนมที่มอญเรียกว่า กวันฮะกอ แปลเป็นภาษาไทยว่า ขนมกวน ประกอบด้วย ข้าวเหนียว น้าตาลมะพร้าว กะทิ กวนให้เข้ากันจนเหนียว คนไทยเรียกว่า กาละแม คนมอญ ก็เรียก กาละแม ด้วย เมื่อถึงวันสงกรานต์คนมอญจะน้าอาหารไปท้าบุญที่วัด ตอนเย็นจะพากันไป รดน้าขอพรจากผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพนับถือ บรรดาสาวๆ ตามหมู่บ้านจะน้าขนมกาละแมไปส่งตาม ญาติหรือผู้ที่เคารพนับถือในต่างต้าบล และชอบท่ีจะไปส่งไกลบ้านตน (ซ่ึงความจริงทุกบ้านก็กวน กาละแมถอื ว่าเป็นโอกาสได้เยี่ยมเยยี นพบปะกนั ) ตอนเยน็ จะพากันไปสรงน้าพระที่วัดโปรดเกศเชษฐา ราม หนุ่มๆ ท่ีคอยสาวๆ อยู่จะพากันรดน้าสาวๆ เป็นที่สนุกสนานเป็นโอกาสท่ีหนุ่มสาวจะพบกัน ได้ ในงานสา้ คญั น้ี พอตกกลางคนื จะมีการเล่นสะบ้าตามประเพณีตามหมู่บ้านของตนและการเล่นสะบ้าน้ี จะมขี นมกวนั ฮะกอ เตรียมไวใ้ หร้ บั ประทานดว้ ยปัจจบุ ันน้ี ประเพณียังคงมอี ยู่ตามหมูบ่ า้ นตา่ งๆ ๙. ประเพณีค้าต้นโพธิ์ โดยยึดว่าปีน้ีวันเนา (วันที่ 14 เมษายน) คือตรงวันอะไรก็จะท้าในวัน น้ัน เช่นปีนี้วันเนาตรงกับวันจันทร์ คนท่ีเกิดวันจันทร์ก็จะเอาไม้กะถินทาขมิ้นไปค้าที่ต้นโพธ์ิ พิธีนี้จะ คล้ายทางภาคเหนือโดยเช่อื วา่ จะต่ออายุ ๑๐. ประเพณีร้าเจ้าพอ่ เจา้ แม่