ศรทั ธา แห่งฮญิ าบ โดย นางสาวนูรญาตี แคยหิ วา วทิ ยานพิ นธน์ ี้เป็นส่วนหน่ึงของการศกึ ษาตามหลกั สูตรศลิ ปมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าทัศนศลิ ปศกึ ษา แผน ก แบบ ก 2 ระดบั ปรญิ ญามหาบณั ฑติ บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ปกี ารศึกษา 2561 ลิขสิทธข์ิ องบณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยศลิ ปากร
ศรัทธา แหง่ ฮญิ าบ โดย นางสาวนรู ญาตี แคยหิ วา วิทยานพิ นธน์ เ้ี ปน็ ส่วนหน่ึงของการศกึ ษาตามหลกั สตู รศิลปมหาบัณฑิต สาขาวชิ าทัศนศลิ ปศกึ ษา แผน ก แบบ ก 2 ระดับปริญญามหาบัณฑิต บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลยั ศิลปากร ปกี ารศกึ ษา 2561 ลขิ สิทธข์ิ องบณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยศลิ ปากร
FAITH OF HIJAB By MISS Nurayatee KHAEYIWA A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements for Master of Fine Arts (VISUAL ARTS EDUCATION) Graduate School, Silpakorn University Academic Year 2018 Copyright of Graduate School, Silpakorn University
หัวขอ้ ศรัทธา แห่งฮญิ าบ โดย นูรญาตี แคยิหวา สาขาวชิ า ทศั นศิลปศึกษา แผน ก แบบ ก 2 ระดับปริญญามหาบัณฑติ อาจารยท์ ีป่ รกึ ษาหลกั รองศาสตราจารย์ วริ ญั ญา ดวงรัตน์ บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ได้รบั พิจารณาอนุมัตใิ ห้เปน็ สว่ นหนงึ่ ของการศึกษา ตามหลกั สูตรศลิ ปมหาบณั ฑิต คณบดบี ณั ฑติ วทิ ยาลัย (รองศาสตราจารย์ ดร.จุไรรตั น์ นันทานชิ ) พิจารณาเห็นชอบโดย (ศาสตราจารย์ ญาณวทิ ย์ กญุ แจทอง ) ประธานกรรมการ (รองศาสตราจารย์ วิรัญญา ดวงรตั น์ ) อาจารย์ทป่ี รกึ ษาหลัก (อาจารย์ ดร. อตยิ ศ สรรคบรุ านุรกั ษ์ ) อาจารยท์ ปี่ รึกษารว่ ม (ศาสตราจารย์เกยี รติคุณ กญั ญา เจรญิ ศภุ กลุ ) ผูท้ รงคุณวฒุ ิภายนอก
ง บทคัดยอ่ ภาษาไทย 59901309 : ทศั นศลิ ปศึกษา แผน ก แบบ ก 2 ระดับปรญิ ญามหาบัณฑิต คาสาคัญ : ศรทั ธา แหง่ ฮิญาบ นางสาว นูรญาตี แคยิหวา: ศรัทธา แห่งฮิญาบ อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ : รอง ศาสตราจารย์ วิรัญญา ดวงรตั น์ วิทยานิพนธ์เรื่อง ศรัทธา แห่งฮิญาบ (Faith of Hijab) มีวัตถุประสงค์เพ่ือสร้างสรรค์ ผลงานทัศนศิลป์สะท้อนทัศนคติส่วนตนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศาสนา ความเช่ือความศรัทธา สภาพแวดลอ้ ม วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณใี นทอ้ งถนิ่ ที่เกดิ และเติบโต รวมถงึ วิถีชีวติ ของ ผผู้ ญิงในครอบครวั โดยนาผ้าปาเต๊ะมาตัดทีละเส้น ๆ เป็นสื่อสะท้อนถึงทัศนคติที่มีต่อ ความเช่ือ ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมของถิ่นฐานบา้ นเกิด ดว้ ยเทคนิค ผูก มัด ถัก ทอ ผ่านผลงาน ทัศนศิลปแ์ บบส่ือผสม (Mixed media) ซ่ึงได้รับอิทธิพลจากงานศิลปะจัดวาง (Installation) ท้ังหมด 3 ช้ิน ช้ินที่ 1 ถ่ายทอดเร่ืองราวของข้าพเจ้าท่ีเป็นลูกสาวคนโตและเติบโตมาในครอบครัวท่ีนับถือ ศาสนาอิสลามทางภาคใต้ จึงได้รับการอบรมเล้ียงดูตามหลักคาสอนของศาสนามาต้ังแต่วัยเด็ก โดย มุ่งเน้นการถ่ายทอดหลักคาสอนเป็นสาคัญ แต่มิได้บังคับในการปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัด จนเกินไป กระน้ันข้าพเจ้าก็ระลึกเสมอถึงการปฏิบัติตัวเปน็ มุสลมิ ท่ีดี จึงนา สะดึง ท่ีใชส้ าหรับขึงผา้ ให้ ตึงในเวลาที่ต้องการปักมาเป็นสัญญะในการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ ช้ินที่ 2 เลือกนาเคร่ืองมือ เคร่ืองใช้ทางการเกษตร และเคร่ืองประทินผิวมาสร้างสรรค์เป็นผลงานเพ่ือถ่ายทอดประสบการณ์ ส่วนตัวของข้าพเจ้า ท่ีเห็นภาพผู้หญิงในครอบครัวจับจอบจับเสียม ตากแดดตากลมจนเป็นภาพชินตา ต้ังแต่วัยเยาว์ แม้ภาระหน้าท่ีจะหนักหนาเพียงใดก็มิอาจละท้ิงนิสัยรักสวยรักงามได้เพราะความเป็น “ผู้หญิง” ช้ินที่ 3 ศาสนาอิสลามมีคาสอนให้มุสลิมทุกคน ว่าในขณะท่ีมีชีวิตอยู่บนโลกดุนยา (โลกปัจจุบัน) มุสลิมต้องปฏิบัติตนตามแนวทางของศาสนบัญญัติในทุก ๆ ลมหายใจอย่างเคร่งครัด รวมทั้งการคลุมฮิญาบของสตรีมุสลิม จากหลักคาสอนดังกล่าวได้เกิดเป็นแรงบันดาลใจในการ สร้างสรรคผ์ ลงาน “พื้นที่หลงั ความตาย”
จ บทคัดย่อภาษาอังกฤษ 59901309 : Major (VISUAL ARTS EDUCATION) Keyword : FAITH OF HIJAB MISS NURAYATEE KHAEYIWA : FAITH OF HIJAB THESIS ADVISOR : ASSOCIATE PROFESSOR WIRANYA DUANGRAT The objective of thesis 'Faith of Hijab' is intended to create visual arts that reflect their personal attitudes which are inspired by religion, beliefs, faith, environment, culture and local traditions, including the way of life where women of the family member are born and raised. By cutting the batik cloth one by one, this is a reflection of attitudes towards beliefs, religions, traditions and the culture of the hometown with the technique of bind, bundle, knit, weaving through the mixed media, which was influenced by the Installation art into 3 pieces. The first piece represent the story of me as a eldest daughter and grew up in a Muslim family in the southern of Thailand. Thus being raised and educated according to religious teachings since childhood by focusing on transferring the doctrine as important but not strict enforce in religious practice. Nevertheless, I always remembered to behave as a good Muslim. Therefore, using the hoop for stretch the fabric tightly at the time of needing to embroider as a symbol for creating visual art. The second piece, chosen Agriculture appliances and skin care products to create this piece for presenting my personal experience. As a person who has seen a picture of a woman in the family holding a spade on weathered since young age, even though the burden is heavy. Being a women cannot abandon the love of beauty.
ฉ กิตตกิ รรมประกาศ กติ ตกิ รรมประกาศ ข้าพเจ้าขอน้อมจิตระลึกถึงคุณบิดามารดา ครอบครัว ท่ีเลี้ยงดู อุ้มชู มอบความรัก ให้กับ ข้าพเจ้าเสมอมา ทั้งยังสนับสนุนงบประมาณในการศึกษาเล่าเรียน เสียสละกาลังกายพร้อมกับเป็นผู้ให้ กาลงั ใจและสติปญั ญาแก่ขา้ พเจา้ ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ วิรัญญา ดวงรัตน์ และ อาจารย์ ดร.อติยศ สรรคบุรานุรักษ์ อาจารย์ท่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ พิษณุ ศุภนิมิตร รวมถึง คณาจารย์คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ และคณาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ แห่ง มหาวิทยาลัยศิลปากรทุกท่าน ผู้ประสิทธิประสาทวิชาความรู้ แนะนาส่ังสอน ให้ความช่วยเหลือในการ พัฒนาผลงานทัศนศิลป์ และการสร้างสรรค์ผลงานวิทยานิพนธ์เรื่อง “ศรัทธา แห่งฮิญาบ” (Faith of Hijab) ขอขอบพระคุณ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ กัญญา เจริญศุภกุล ท่ีกรุณาให้เกียติเป็นประธาน โดยมี ศาสตราจารย์ ญาณวทิ ย์ กญุ แจทอง เปน็ ประธานในการสอบวิทยานิพนธ์ในครงั้ น้ี ขอบคุณกัลยาณมิตรที่เชื่อม่ัน สนับสนุน ช่วยเหลือเกื้อกูล ให้กาลังใจ และให้คาแนะนา แก่ข้าพเจา้ เสมอมา หากวิทยานิพนธ์ฉบับน้ีก่อให้เกิดคุณงามความดี สร้างประโยชน์ต่อผู้ท่ีทาการศึกษาทั้งด้าน แนวความคิด รูปแบบ และเทคนิคในการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์โดยทางตรงและทางอ้อม ขออุทิศ คุณงามความดีแก่ครูบาอาจารย์ทุกท่านของข้าพเจ้าท่ีประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ในทุกแขนงวิชา รวมถึงบิดามารดา ครอบครวั และกลั ยาณมติ รของขา้ พเจ้า นรู ญาตี แคยหิ วา
ช สารบญั หน้า บทคัดยอ่ ภาษาไทย............................................................................................................................... ง บทคัดยอ่ ภาษาอังกฤษ..........................................................................................................................จ กิตติกรรมประกาศ................................................................................................................................ฉ สารบัญ .................................................................................................................................................ช สารบญั ตาราง ......................................................................................................................................ฌ สารบัญภาพ ......................................................................................................................................... ญ บทท่ี 1 บทนา.......................................................................................................................................1 1. ความสาคญั ของปัญหาและแรงบนั ดาลใจ ...................................................................................1 2. ความมงุ่ หมายและวตั ถปุ ระสงคข์ องการศึกษา............................................................................3 3. กรอบแนวคดิ ในการสรา้ งสรรค์....................................................................................................4 4. สมมตฐิ าน....................................................................................................................................5 5. ขอบเขตการศึกษา.......................................................................................................................5 6. ขนั้ ตอนวิธกี ารในการศกึ ษาและสร้างสรรค์..................................................................................6 7. วิธีการศกึ ษา ................................................................................................................................6 8. นิยามศัพท์เฉพาะ ........................................................................................................................7 9. วสั ดทุ ่ีใชใ้ นการสร้างสรรค์ ...........................................................................................................9 10. งบประมาณทใี่ ชใ้ นการสรา้ งสรรค์...........................................................................................10 11. ประโยชนท์ ่คี าดว่าจะไดร้ บั ......................................................................................................10 บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวขอ้ ง ...........................................................................................................11 1. อทิ ธพิ ลที่ไดร้ ับจากศาสนา.........................................................................................................11 2. อทิ ธพิ ลที่ไดร้ บั จากครอบครัว ศาสนา และขนบธรรมเนียม วถิ ชี วี ิตพ้นื ถนิ่ ...............................14
ซ 3. ความหมายและทีม่ าของผา้ ปาเตะ๊ ............................................................................................22 4. เทคนิคและกระบวนการ ผกู มัด ถกั ทอ...................................................................................23 5. ทฤษฎีจิตวทิ ยา ..........................................................................................................................24 6. ทฤษฎที ัศนศิลป์.........................................................................................................................26 7. อทิ ธพิ ลที่ไดร้ บั จากศลิ ปิน..........................................................................................................30 บทท่ี 3 วธิ ีการดาเนินการ...................................................................................................................63 1. แนวคดิ และแรงบันดาลใจในการสร้างสรรคผ์ ลงาน...................................................................63 2. รปู แบบของงานสรา้ งสรรค์........................................................................................................63 3. วธิ ีการดาเนนิ งาน ......................................................................................................................63 4. ระยะเวลาในการดาเนนิ งาน ......................................................................................................64 5. วัสดอุ ปุ กรณ์ในการดาเนนิ งาน...................................................................................................64 6. ขนั้ ตอนการดาเนินงานสรา้ งสรรคว์ ทิ ยานิพนธ์ ..........................................................................65 บทท่ี 4 ผลการสังเคราะห์และสรา้ งสรรค์........................................................................................ 101 1. วเิ คราะหพ์ ัฒนาการดา้ นแนวความคิด.................................................................................... 101 2. วิเคราะหพ์ ฒั นาการดา้ นข้นั ตอน และกระบวนการสรา้ งสรรค์............................................... 102 3. วิเคราะห์พฒั นาการดา้ นรูปแบบ และทกั ษะการแสดงออก.................................................... 104 4. วเิ คราะหพ์ ฒั นาการดา้ นเนื้อหา เทคนิค การใช้วสั ดอุ ปุ กรณ์.................................................. 106 บทที่ 5 สรปุ อภิปลายผล และขอ้ เสนอแนะ.................................................................................... 111 สรปุ ผลการสร้างสรรค์................................................................................................................. 111 อภปิ รายผล ................................................................................................................................. 112 ข้อเสนอแนะ ............................................................................................................................... 114 รายการอ้างองิ .................................................................................................................................. 115 ประวัตผิ เู้ ขียน .................................................................................................................................. 117
ฌ สารบญั ตาราง หน้า ตารางที่ 1 ตารางวิเคราะหอ์ ิทธพิ ลที่ไดร้ บั จากศิลปนิ ................................................................... 52 ตารางที่ 2 ตารางวเิ คราะหก์ ารสมั ภาษณศ์ ลิ ปิน ........................................................................... 62 ตารางที่ 3 แสดงรายละเอียดของระยะเวลาในการดาเนนิ งาน..................................................... 64 ตารางที่ 4 การพัฒนาผลงานกอ่ นวิทยานิพนธ์ ............................................................................. 68 ตารางท่ี 5 การพฒั นาในด้านตา่ ง ๆ จากการสร้างสรรค์ผลงาน ................................................... 107 ตารางท่ี 6 การวิเคราะห์รูปทรงกับที่วา่ ง ...................................................................................... 108 ตารางท่ี 7 การวิเคราะหเ์ น้อื หาในการสร้างสรรค์......................................................................... 109 ตารางที่ 8 การวเิ คราะหผ์ ลของการจัดนิทรรศการ (ตอ่ ).............................................................. 110
ญ สารบัญภาพ หน้า ภาพท่ี 1 ภาพแสดงพิธกี ารโกนผมไฟของขา้ พเจา้ ........................................................................ 15 ภาพท่ี 2 ภาพถ่ายของขา้ พเจา้ กบั บคุ คลในครอบครัว................................................................... 15 ภาพที่ 3 ภาพถา่ ยของข้าพเจ้ากับบุคคลในครอบครวั ................................................................... 15 ภาพที่ 4 ภาพถา่ ยของข้าพเจ้ากบั บคุ คลในครอบครัว................................................................... 16 ภาพที่ 5 ภาพถ่ายของขา้ พเจ้ากับบคุ คลในครอบครวั ในวันฮารีรายอ อดี ลิ ฟิตรี........................... 16 ภาพท่ี 6 ภาพถ่ายของข้าพเจ้ากับนอ้ งสาว ................................................................................... 17 ภาพท่ี 7 ภาพถ่ายของข้าพเจ้ากบั บุคคลในครอบครัวในวนั ฮารรี ายอ อดี ิลฟิตรี........................... 17 ภาพท่ี 8 ภาพถา่ ยของข้าพเจ้ากบั บคุ คลในครอบครวั ในวันฮารรี ายอ อดี ิลอฎั ฮา......................... 17 ภาพที่ 9 ภาพถ่ายของขา้ พเจา้ กบั บคุ คลในครอบครวั ในวันหยุดพักผอ่ น...................................... 18 ภาพที่ 10 ภาพถา่ ยของขา้ พเจ้ากับบคุ คลในครอบครวั ในวันรบั ปรญิ ญาของน้องสาว.................. 18 ภาพท่ี 11 ภาพถ่ายของขา้ พเจ้ากับบคุ คลในครอบครัว ................................................................ 19 ภาพที่ 12 ภาพถา่ ยของข้าพเจ้ากบั บุคคลในครอบครวั ในการทากุรบาน เพอื่ พลที านในวัน ฮารรี ายอ อดี ลิ ฟติ รี ..................................................................................................... 19 ภาพที่ 13 ภาพถ่ายของขา้ พเจา้ กับบคุ คลในครอบครัวในวันหยดุ พักผ่อน.................................... 20 ภาพที่ 14 ภาพถา่ ยของข้าพเจา้ กับบุคคลในครอบครัวในการป่ันจักรยานออกกาลงั กาย............. 20 ภาพที่ 15 ภาพถา่ ยของข้าพเจา้ กับบคุ คลในครอบครัวในวันฮารรี ายอ อดี ิลฟติ รี......................... 21 ภาพท่ี 16 ภาพถ่ายสสุ านของศาสนาอิสลาม................................................................................ 21 ภาพท่ี 17 ภาพผลงานของชะลูด นม่ิ เสมอ................................................................................... 30 ภาพท่ี 18 ภาพผลงานของชะลดู นม่ิ เสมอ................................................................................... 30 ภาพท่ี 19 ภาพผลงานของชะลดู นมิ่ เสมอ................................................................................... 31 ภาพที่ 20 ภาพผลงานของ อนพุ งษ์ จนั ทร................................................................................... 32 ภาพท่ี 21 ภาพผลงานของ อนพุ งษ์ จนั ทร................................................................................... 32
ฎ ภาพที่ 22 ภาพผลงานของ Frida Kahlo..................................................................................... 33 ภาพที่ 23 ภาพผลงานของ Frida Kahlo..................................................................................... 34 ภาพที่ 24 ภาพผลงานของ Paul Gauguin.................................................................................. 35 ภาพที่ 25 ภาพผลงานของ Paul Gauguin.................................................................................. 35 ภาพที่ 26 ภาพผลงานของ Suzanna Scott ............................................................................... 36 ภาพที่ 27 ภาพผลงานของ ประดิษฐ์ ตงั้ ประสาทวงศ์ .................................................................. 37 ภาพที่ 28 ภาพผลงานของ ประดษิ ฐ์ ตง้ั ประสาทวงศ์ .................................................................. 38 ภาพที่ 29 ภาพผลงานของ อรรถพร นมิ มาลยั แกว้ ...................................................................... 39 ภาพที่ 30 ภาพผลงานของ อรรถพร นมิ มาลยั แก้ว ...................................................................... 39 ภาพที่ 31 ภาพผลงานของ ทิพเนตร แยม้ มณชี ัย ......................................................................... 40 ภาพท่ี 32 ภาพผลงานของ ทพิ เนตร แย้มมณชี ัย ......................................................................... 41 ภาพท่ี 33 ภาพผลงานของ เมตตา สวุ รรณศร............................................................................. 42 ภาพท่ี 34 ภาพผลงานของ หทัยรัตน์ มณรี ัตน์............................................................................ 43 ภาพท่ี 35 ภาพผลงานของ หทยั รตั น์ มณรี ัตน์............................................................................ 44 ภาพที่ 36 ภาพผลงานของ อ่มิ หทัย สวุ ฒั นศิลป์ .......................................................................... 45 ภาพที่ 37 ภาพผลงานของ สนั ติ หวังช่ืน...................................................................................... 46 ภาพที่ 38 ภาพผลงานของ สนั ติ หวังชื่น...................................................................................... 46 ภาพที่ 39 ภาพผลงานของ Ernesto Neto.................................................................................. 47 ภาพท่ี 40 ภาพผลงานของ Ernesto Neto.................................................................................. 48 ภาพท่ี 41 ภาพผลงานของ Agata Oleksiak ............................................................................... 49 ภาพท่ี 42 ภาพผลงานของ Agata Oleksiak ............................................................................... 49 ภาพท่ี 43 ภาพผลงานของ Chiharu Shiota............................................................................... 50 ภาพที่ 44 ภาพผลงานของ Chiharu Shiota............................................................................... 51 ภาพที่ 45 ภาพผลงานของรองศาสตราจารย์ ฉายนภา เลปาจารย์ .............................................. 59
ฏ ภาพท่ี 46 ภาพผลงานของ อาจารยล์ ูกปลิว จนั ทรพ์ ดุ ซา............................................................. 61 ภาพที่ 47 ภาพผลงานก่อนวทิ ยานพิ นธ์ ช้นิ ที่ 1........................................................................... 65 ภาพท่ี 48 ภาพผลงานกอ่ นวิทยานิพนธ์ ช้ินที่ 2........................................................................... 66 ภาพท่ี 49 ภาพผลงานก่อนวทิ ยานพิ นธ์ ชิ้นที่ 3........................................................................... 66 ภาพที่ 50 ภาพผลงานกอ่ นวิทยานพิ นธ์ ชิ้นท่ี 4........................................................................... 67 ภาพท่ี 51 ภาพร่างผลงานแนวความคดิ วิทยานิพนธช์ ิน้ ท่ี 1 แบบ 2 มติ ิ ...................................... 69 ภาพท่ี 52 ภาพร่างผลงานวิทยานพิ นธช์ นิ้ ที่ 1 แบบ 3 มติ ิ........................................................... 69 ภาพท่ี 53 ภาพอปุ กรณท์ ีใ่ ชใ้ นการถกั ........................................................................................... 70 ภาพท่ี 54 วสั ดทุ ใ่ี ชใ้ นการ ผกู มดั ถัก ทอ.................................................................................... 70 ภาพท่ี 55 ภาพวสั ดทุ ่นี ามาถักทอหอ่ หมุ้ และข้นั ตอนในการถกั ทอ............................................... 71 ภาพท่ี 56 นาผา้ มาตัดตามขนาดท่ีตอ้ งการ .................................................................................. 72 ภาพท่ี 57 แพทเทริ ์นลายถกั ทใ่ี ช้ในการถกั ประกอบงาน .............................................................. 72 ภาพที่ 58 แพทเทิรน์ ลายถักดอกไม้.............................................................................................. 72 ภาพที่ 59 แพทเทริ น์ ลายถกั ดอกไม้.............................................................................................. 73 ภาพที่ 60 ภาพแพทเทริ ์นลายถักดอกไม้ ...................................................................................... 73 ภาพท่ี 61 ภาพการถักประกอบชนิ้ งาน ........................................................................................ 74 ภาพท่ี 62 ภาพขน้ั ตอนการนาผา้ ทถ่ี ักสาเร็จแล้วขงึ บนสะดึง ....................................................... 75 ภาพที่ 63 ภาพข้ันตอนการนาผา้ ทีถ่ กั สาเรจ็ แล้วขึงบนสะดึง ....................................................... 76 ภาพที่ 64 ภาพการเก็บรายละเอยี ดผลงาน.................................................................................. 77 ภาพที่ 65 ภาพผลงานวิทยานิพนธ์ ศรัทธา แหง่ ฮญิ าบ ชนิ้ ท่ี 1.................................................... 78 ภาพที่ 66 ภาพผลงานวทิ ยานิพนธ์ ศรทั ธา แห่งฮิญาบ ชน้ิ ท่ี 1.................................................... 79 ภาพที่ 67 ภาพแสดงรายละเอียดของผลงานวทิ ยานพิ นธ์ ช้นิ ที่ 1................................................ 80 ภาพที่ 68 ภาพร่างผลงานวิทยานิพนธช์ น้ิ ท่ี 2 แบบ 2 มติ ิ........................................................... 81 ภาพที่ 69 ภาพอปุ กรณ์ที่ใช้ในการถกั ........................................................................................... 81
ฐ ภาพท่ี 70 ภาพผ้าท่ีใช้ในการ ผกู มัด ถัก ทอ นามาตดั ตามขนาดทต่ี อ้ งการ................................ 82 ภาพที่ 71 ภาพแพทเทริ น์ ลายถกั ดอกไม้ ...................................................................................... 82 ภาพที่ 72 ภาพแพทเทิร์นลายถกั ทใ่ี ช้ในการถักประกอบชน้ิ งาน.................................................. 83 ภาพท่ี 73 ภาพวัสดุทใี่ ช้ในการถักทอห่อหมุ้ ................................................................................. 83 ภาพท่ี 74 ภาพวสั ดทุ ีน่ ามา ผูก มัด ถัก ทอ.................................................................................. 83 ภาพที่ 75 ภาพแสดงวิธีการผกู มดั ถกั ทอ หอ่ หมุ้ วสั ดุ................................................................ 84 ภาพท่ี 76 ภาพแสดงขัน้ ตอน ผกู มดั ถัก ทอ ห่อหมุ้ วสั ดุ............................................................. 85 ภาพท่ี 77 ภาพเครอ่ื งมือเครอ่ื งใชท้ างการเกษตรทีน่ ามา ผูก มัด ถัก ทอ หอ่ หุ้ม......................... 86 ภาพที่ 78 ภาพเครอ่ื งมอื เครื่องใช้ทางการเกษตรทน่ี ามา ผูก มัด ถกั ทอ หอ่ หุ้ม......................... 86 ภาพท่ี 79 ภาพเครื่องมือเครอื่ งใชท้ างการเกษตรที่นามา ผกู มดั ถกั ทอ หอ่ หุ้ม......................... 86 ภาพท่ี 80 ภาพเครื่องมือเครื่องใช้ทางการเกษตรทนี่ ามา ผูก มัด ถกั ทอ ห่อหุ้ม......................... 87 ภาพท่ี 81 ภาพเคร่ืองมือเครื่องใช้ทางการเกษตรทีน่ ามา ผกู มดั ถกั ทอ ห่อหุม้ ......................... 87 ภาพที่ 82 ภาพเคร่ืองประทนิ ผิวที่นามา ผูก มดั ถกั ทอ หอหมุ้ ................................................... 88 ภาพท่ี 83 ภาพขนั้ ตอนการ ผกู มดั ถกั ทอ หอหุ้มเครื่องประทินผิว............................................ 88 ภาพที่ 84 ภาพผลงานวทิ ยานิพนธ์ ช้ินท่ี 2 .................................................................................. 89 ภาพที่ 85 ภาพผลงานวิทยานิพนธ์ ศรัทธา แหง่ ฮิญาบ ชนิ้ ท่ี 2.................................................... 90 ภาพที่ 86 ภาพผลงานวทิ ยานิพนธ์ ศรัทธา แหง่ ฮญิ าบ ชน้ิ ที่ 2.................................................... 91 ภาพที่ 87 ภาพแสดงรายละเอยี ดของผลงานวทิ ยานพิ นธ์ ชน้ิ ที่ 2................................................ 92 ภาพท่ี 88 ภาพแสดงรายละเอยี ดของผลงานวิทยานิพนธ์ ช้นิ ท่ี 2................................................ 92 ภาพท่ี 89 ภาพรา่ งผลงานวิทยานิพนธ์ชน้ิ ท่ี 3 แบบ 2 มติ ิ........................................................... 93 ภาพที่ 90 ภาพร่างผลงานวิทยานพิ นธ์ช้นิ ที่ 3 แบบ 3 มิติ........................................................... 93 ภาพท่ี 91 ภาพอุปกรณท์ ีใ่ ช้ในการถกั ........................................................................................... 94 ภาพที่ 92 ผ้าท่ใี ชใ้ นการ ผกู มัด ถกั ทอ นามาตดั ตามขนาดทตี่ อ้ งการ ....................................... 94 ภาพท่ี 93 ภาพแพทเทิรน์ ลายถกั ดอกไม้ที่ใช้ในผลงาน ................................................................ 95
ฑ ภาพที่ 94 ภาพแพทเทริ ์นลายถกั ทีใ่ ชใ้ นการถักประกอบงาน....................................................... 95 ภาพที่ 95 ภาพวสั ดทุ ีน่ ามาใช้ในการจดั วางในผลงาน .................................................................. 95 ภาพที่ 96 ภาพแสดงวิธีการ ผูก มดั ถัก ทอ หอ่ หุ้มวสั ดุ .............................................................. 96 ภาพที่ 97 ภาพแสดงวธิ ีการ ผกู มัด ถกั ทอ................................................................................. 97 ภาพที่ 98 ภาพแสดงวิธกี าร ผูก มัด ถกั ทอ................................................................................. 97 ภาพที่ 99 ภาพแสดงวิธกี าร ผูก มัด ถกั ทอ................................................................................. 98 ภาพท่ี 100 ภาพผลงานวทิ ยานพิ นธ์ ศรทั ธา แห่งฮิญาบ ชิน้ ท่ี 3 ................................................. 99 ภาพท่ี 101 ภาพผลงานวิทยานพิ นธ์ ศรทั ธา แห่งฮญิ าบ ชน้ิ ท่ี 3 ................................................. 99 ภาพที่ 102 ภาพผลงานวทิ ยานิพนธ์ ศรัทธา แห่งฮิญาบ ช้นิ ท่ี 3 ................................................. 100
บทท่ี 1 บทนา ِبس ِم ّل هلا ال َّرحم ِن ال َّر ِحيمด้วยพระนามของอัลเลาะผู้ทรงเมตตาปราณีเสมอ เป็นการ เริ่มต้นที่ดีของการกระทาส่ิงใดก็ตาม ดังน้ันจึงควรเร่ิมต้นด้วย บิสมิลลาฮิรเราะห์มานิรเราะฮีม วลศี กั ด์สิ ิทธิ์นี้ ถือเปน็ สญั ลักษณส์ าคัญของอิสลาม ทมี่ สุ ลมิ จะกลา่ วอยเู่ ปน็ นิจสนิ 1. ความสาคัญของปญั หาและแรงบนั ดาลใจ การเกิดเป็นผู้หญิงในครอบครัวอิสลามทางภาคใต้ ซึ่งได้รับการปลูกฝังตามหลักคาสอน ของศาสนาอิสลามตามบทบัญญัติในพระคัมภีร์อัลกรุอานตั้งแต่สมัยวัยเด็ก โดยคัมภีร์อัลกรุอานถือ เป็นพระวจนขององค์อลั เลาะห์ (ซ.บ.) ที่ประทานผ่านมลาอีกะฮ์ (เทวทูต) ญิบรีล สู่นบี (ศาสดา) มูฮัม หมัด (ซ.ล.) ศาสดาองค์สุดท้ายในศาสนาอิสลาม มุสลิมทุกคนต้องศรัทธาและปฏิบัติตนตาม พระบัญญัติที่องค์อัลเลาะห์ได้บัญญัติไว้ในอัลกรุอานอย่างเคร่งครัด ฮิญาบก็เป็นบทบัญญัติหน่ึงใน คมั ภรี ์อลั กรอุ าน เป็นบญั ญตั ทิ ่ีมุสลีมะห์ (สตร)ี ทุกคนต้องปฏบิ ัตติ ามอย่างเครง่ ครดั ไม่มขี ้อยกเว้นใด ๆ ท้งั สน้ิ โดยอา้ งอิงจากสเู ราะห์ أأاَََِلوْزَظوَقُخي َِههنَطَآولتِْفَبَارِاهتِِلِهلِْلِءِهَّمنُامْنَّلَّبُنَِْؤَهذوعُِاأيَتمُ ْونََوَولَناوبِتُْلنِلَِيَهوِْتماَس َّنايَيَِإِْئضلَأْغَِِهْْظروىْبََّهن ُضأََُّنْبلرأَ َّلنَْاِبِوواْضائِ ُخَََِهمنج ُامَعَِّمنلَِِميرَمٰأَْلَعًىِنهْاوَك َّأَنأَْأَبعَ ْيُّْبْتونَهََعاأَََلَصرْاِياءاْٰل َِمى ُرمبُا ِتنُِْعهُؤُجُهِامَّيوُلنلَنَُّنِهنوتِ َوِبِوأَهَس ِيَهَاِنوَّنَِّْءحنلَافَأَل َعََْتوَّلَّووْاظََََُِبكِإلَلْنِمع ْيَخييُفُتَُْبوَْفُنِادِرلْضِني ِوُِحهََرغن ْْبَيجوَّنَُِِهَرنزنأَيَّْأُنبِنَوأَتَو َِْلبَُوهر ِنََ َّيُلنج ِيلاإِيُِْهِْإَّْبَِلِلَّدْنخْيرِلَ ِلوبَبَُنايُ ِةِنعُ ْع ِِلَهوزِملََميَِّتننََنِتََهمأَ ُااهَّْلون َّيُِنهأربََ ْْنِِإخوَجَِّفَاييلآبََِلناَمِئأاَ ِِهمِو َّنن และจงกลา่ วเถิดมฮุ ัมมดั แกบ่ รรดามอุ ม์ ินะฮ์ใหพ้ วกเธอลดสายตาของพวกเธอลงตา่ และให้ พวกเธอรักษาทวารของพวกเธอ และอย่าเปดิ เผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแตส่ ิ่งที่พงึ เปิดเผยได้ และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ และอย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับ ของพวกเธอ เว้นแต่แก่สามีของพวกเธอ หรือบิดาของสามีของพวกเธอ หรือลูกชายของพวกเธอ หรือ ลูกชายสามีของพวกเธอ หรือพี่ชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพ่ีชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกเธอ หรือพวกผู้หญิงของพวกเธอ หรือที่มือขวาของพวกเธอ ครอบครอง (ทาสและทาสี) หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ หรือเด็กที่ยังไม่รู้เร่ืองเพศสงวน 1
2 ของผู้หญิง และอย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอ เพ่ือให้ผู้อื่นรู้ส่ิงที่พวกเธอควรปก ปิดใน เครื่องประดับของพวกเธอ และพวกเจ้าท้ังหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮเ์ ถิด โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เพอื่ ว่าพวกเจา้ จะได้รับชยั ชนะ (ซูเราะห์อัล-นรู Ayaa 24/31)1 ٰذَ ِل َك َج ََل ِبيبِ ِه َّن ِمن َعلَ ْي ِه َّن يُ ْدنِي َن َوبَنَاتِ َك َو ِن َسا ِء ا ْل ُم ْؤ ِمنِي َن ِهّلَ ْز َوا ِج َك أَيَاْدنَأَ ٰيُّى َهاأَ انلنَّيُِب ْع ُّيَر ْفقُ َنل َو َكا َن ّل َّلاُ َغفُو ًرا َّر ِحي ًما فَ ََل يُ ْؤذَ ْي َن โอ้นะบีเอ๋ย ! จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของ บรรดาผู้ศรทั ธา ให้พวกนางดงึ เสอ้ื คลุมของพวกนางลงมาปดิ ตวั ของพวกนาง นน่ั เป็นการเหมาะสมกวา่ ท่ีนางจะเป็นท่ีรู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน และอัลลอฮฺทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ (ซูเราะฮฺอลั -อะห์ซาบAyaa 59)2 แต่กระนั้น ครอบครัวก็มิได้เคร่งครัดในการปฏิบัติศาสนกิจมากนัก เพียงแต่มุ่งเน้นให้ เข้าใจถึงหลักคาสอนของศาสนา การโยกย้ายเปลี่ยนสถานศึกษาตัง้ แต่สมัยวัยเด็กจนเติบโต ทาให้พบ เห็นสภาพแวดล้อมรอบข้างท่ีมีรูปแบบผสมผสานท้ังทางด้านความเช่ือ ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ขนบธรรมเนียม รวมท้ังวิถีการดาเนินชีวิต โดยประสบการณ์ต่าง ๆ ล้วนเป็นส่ิงท่ีหล่อหลอมให้เกิด เปน็ ทศั นคติ มุมมอง และรูปแบบการใชช้ วี ติ ในแตล่ ะชว่ งวยั จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานวิทยานิพนธ์เร่ือง ศรัทธา แห่งฮิญาบ (Faith of Hijab) แสดงผ่านงานทัศนศิลป์แบบสื่อผสม (Mixed media) วิธีการท่ีเลือกใช้ คือ ผูก มัด ถัก ทอโดยนาผ้าปาเต๊ะมาตัดทีละเส้น ๆ ให้เกิดเป็นเส้นใย แล้วถักทอร่วมกับวัสดุ วัตถุ ส่ิงของท่ี เช่ือมโยงกับวิถีชีวิตของข้าพเจ้าและผู้หญิงในครอบครัว ผ้าปาเต๊ะเป็นผ้าท่ีผู้หญิงในท้องถ่ินภาคใต้ใช้ สาหรับนุ่งห่มในชีวิตประจาวนั ผู้หญิงในครอบครัว ทั้ง ย่า ยาย แม่ น้องสาว และตัวข้าพเจ้า ตา่ งก็ใช้ ผ้าปาเต๊ะในวิถีชีวิตเช่นเดียวกัน ดังนั้น ผ้าปาเต๊ะจึงเป็นสัญญะที่สะท้อนถึง “วิถีของผู้หญิงใน ครอบครัว” บ่งบอกถึงขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณี และความเช่ือความศรัทธาของผู้คน ในทอ้ งถ่ิน อีกทง้ั ยังแสดงถงึ ความผูกพัน รากเหง้า รวมท้งั วิถีชีวติ พนื้ ถนิ่ ที่เกิดและเตบิ โตไดเ้ ป็นอย่างดี 1 The Noble Quran, [ออนไลน์], สืบค้นเมื่อ 9 ตุลาคม 2561, สืบค้นได้จาก : http://www.hebron.edu/quran/mobile/translate.php?sora=24&l=37. 2 The Noble Quran, [ออนไลน์], สืบค้นเม่ือ 10 กันยายน 2561, สืบค้นได้จาก : http://www.hebron.edu/quran/mobile/translate.php?sora=33&l=37.
3 2. ความมุ่งหมายและวัตถปุ ระสงคข์ องการศกึ ษา จากประสบการณ์ท่ีกล่าวมาข้างตน้ เกิดเป็นทัศนคติ แนวคิด และมุมมองเฉพาะตน ส่งผล ให้เกิดเป็นแรงบันดาลใจสร้างสรรค์ผลงานวิทยานิพนธ์เรื่อง ศรัทธา แห่งฮิญาบ (Faith of Hijab) โดยมีวตั ถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์แบบสื่อผสม (Mixed media) ด้วยรูปแบบศิลปะ จดั วาง (Installation) เร่ือง ศรทั ธา แห่งฮญิ าบ (Faith of Hijab) จานวน 3 ช้ิน 2. เพื่อแสดงออกถึงทัศนคตสิ ว่ นตนที่มีต่อวิถชี ีวติ ของผูห้ ญงิ ในครอบครัว ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี และมมุ มองเรอื่ งศาสนา ผ่านผลงานทัศนศลิ ปร์ ปู แบบเฉพาะตน 3. เพื่อศึกษาเทคนิคและวิธีการ ผูก มัด ถัก ทอ เพื่อนามาใช้เป็นกระบวนการในการ สร้างสรรคผ์ ลงานทศั นศิลป์แบบส่ือผสม (Mixed media)
3. กรอบแนวคิดในการสรา้ งสรรค์ การกาหนดเนือหา รปู แบบการสรา้ งสรรคผ์ ลงานทศั นศลิ ปเ์ รอื่ ง ศรัทธา แหง่ ฮญิ าบ (Faith of Hijab) ขอ้ มูลเอกสารและวรรณกรรมที่เกี่ยวขอ้ ง ข้อมูลที่ไดจ้ ากประสบการณ์ของตนเอง ข้อมลู จากการสมั ภาษณศ์ ิลปนิ 1. รูปแบบการสร้างสรรค์ 4. อทิ ธิพลทไี่ ดร้ ับจากศาสนาตาม 1. อิทธิพลท่ไี ด้รบั จากครอบครวั รศ. ฉายนภา เลปาจารย์ งานศลิ ปะ บทบญั ญัติคาสอนในพระคมั ภรี ์ 1.1 การปลูกฝังตามหลักคาสอนของศาสนาอิสลาม อ. ลกู ปลวิ จันทร์พดุ ซา 1.1 Mixed Media อัลกรอุ าน ซูเราะห์อัล-อะหซ์ าบ จากครอบครัวต้งั แตว่ ยั เดก็ 1.2 Installation เรื่องการคลมุ ฮิญาบของสตรีที่ 1.2 ภาพถ่ายท่ีบันทึกเร่ืองราวของบุคคล เหตุการณ์ การรวบรวมขอ้ มูลสกู่ ารสรา้ งสรรคผ์ ลงานทศั นศิลป์ 1.3 Soft Sculpture นับถอื ศาสนาอสิ ลาม ต่าง ๆ ของครอบครวั 1.4 Feminism 5. เทคนิคและกระบวนการ 2. อิทธพิ ลท่ไี ด้รับจากขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีชีวิต แนวคิด รปู แบบ เทคนิค 1.5 Symbolic ผูก มัด ถัก ทอ 2.1 อาชพี 2.2 เครือ่ งน่งุ ห่ม 2. อทิ ธิพลจากศิลปนิ ดา้ นรูปแบบ 3. การเปลยี่ นแปลงโยกย้ายสถานศึกษาทาใหพ้ บเหน็ แสดงทัศนคติบุคคลทม่ี ี งานทัศนศิลป์แบบสอื่ ผสม สร้างสรรค์ผลงานผ่าน ดา้ นแนวความคิด 1. ประเสริฐ ต้งั ประสาทวงศ์ สภาพแวดลอ้ มที่มีการผสมผสานทางวัฒนธรรม ตอ่ วถิ ีชีวิตของผหู้ ญิงใน โดยนารปู แบบศลิ ปะจัดวาง เทคนิคส่อื ผสม ได้แก่ ขนบธรรมเนียมประเพณี ศาสนา ความเช่ือความศรทั ธา ครอบครวั มาสรา้ งใหเ้ กดิ มิตผิ ่าน ผ้าปาเต๊ะ เขม็ ถัก โครเชต์ 1. ชลดู นมิ่ เสมอ 2. อรรถพร นมิ มาลยั แก้ว ประสบการณต์ า่ ง ๆ ลว้ นหล่อหลอมให้เกดิ เป็นมมุ มอง ขนบธรรมเนยี ม เทคนิคการผกู มัด ถัก ทอ เครอ่ื งมอื เครือ่ งใช้ 2. อนพุ งษ์ จันทร 3. ทิพเนตร แย้มมณชี ยั ทัศนคติส่วนตน เปน็ แรงบนั ดาลใจในการสรา้ งสรรค์ ประเพณี ศาสนา และ หอ่ หุ้มวสั ดดุ ้วยเส้นผ้าท่ีได้ การเกษตร เคร่อื งประทนิ 3. Paul Gauguin ด้านเทคนิค ผลงานวิทยานพิ นธ์ เร่อื ง ศรัทธา แหง่ ฮิญาบ (Faith of ความเชือ่ ความศรัทธา จากผา้ ปาเต๊ะโดยการตัดผา้ ผิว บัตรนักเรียนอนุบาล 4. Frida Kahlo 1. เมตตา สุวรรณศร Hijab) ของชมุ ชนอิสลามใน ทลี ะเสน้ ๆ สะท้อนทัศนคติ สะดึง เรซ่นิ แผน่ อะครลิ คิ 4. ทฤษฎีจิตวทิ ยา 2. หทัยรัตน์ มณีรัตรน์ ภาคใต้ ทางด้านศาสนา ไม้ ดนิ 4.1 ทฤษฎโี ครงสร้าง 3. อ่ิมหทัย สุวัฒนศิลป์ ขัน้ ตอนวธิ ดี าเนนิ งานสรา้ งสรรค์ผลงานทศั นศิลป์ ขนบธรรมเนยี ม และวิถีชวี ิต หนา้ ที่นยิ ม 4. สนั ติ หวงั ช่ืน ของผู้หญงิ ในครอบครัว 4.2 ทฤษฎปี ฏิสัมพนั ธ์ 5. Agata Olek Siak 1. กาหนดหวั ข้อวิทยานพิ นธ์ เชงิ สัญลักษณ์ 6. Chiharu Shiota 2. ศึกษาค้นคว้าขอ้ มูลจากหนงั สือ เอกสาร 7. Suzanna Scott ประสบการณ์สว่ นตัว และส่ือ Online 8. Ernesto Neto 3. สร้างแบบร่าง 2 มติ ิ 4. สรา้ งแบบรา่ ง 3 มติ ิ 5. ปฏิบตั งิ านสร้างสรรคโ์ ดยกระบวนการ ผกู มัด ถัก ผลงานวทิ ยานิพนธเ์ รอ่ื ง ศรทั ธา แห่งฮญิ าบ (Faith of Hijab) 4 ทอ ห่อห้มุ วัสดุ วัตถุท่ีเชือ่ มโยงกบั วถิ ีชีวิตของผหู้ ญงิ ใน ครอบครวั นาเสนอผลงานในรูปแบบศิลปะจดั วาง (Installation) เทคนิคส่อื ผสม (Mixed Media) จานวน 3 ชิน้
5 4. สมมติฐาน การสร้างสรรค์ผลงานวิทยานิพนธ์ เรื่อง ศรัทธา แห่งฮิญาบ (Faith of Hijab) เลือกใช้ เส้นผ้าท่ีตัดทีละเส้น ๆ เป็นส่ือในการสร้างสรรค์ผลงาน ผ้าแต่ละเส้นที่นามาถักทอไดม้ าจากผ้าปาเต๊ะ ซึ่งเป็นวัตถุที่สามารถสะท้อนถึงรากเหง้าและวิถีชีวิตของผู้หญิงในครอบครัว โดยนาเสนอผ่านผลงาน ทัศนศลิ ป์ ดงั ต่อไปนี้ 1. นาเสนอผลงานทัศนศิลป์แบบส่ือผสม (Mixed media) ด้วยรูปแบบศิลปะจัดวาง (Installation) เร่อื ง ศรทั ธา แหง่ ฮิญาบ (Faith of Hijab) จานวน 3 ช้ิน 2. แสดงออกถึงทัศคติส่วนตนที่มีต่อวิถีชีวิตของผู้หญิงในครอบครัว ขนบธรรมเนียม ประเพณี และมุมมองเรอ่ื งศาสนาผา่ นผลงานทศั นศิลป์รปู แบบเฉพาะตน 3. สรา้ งสรรค์ผลงานทัศนศลิ ป์แบบสื่อผสม (Mixed media) ด้วยวธิ ีการ ผกู มดั ถกั ทอ 5. ขอบเขตการศึกษา กระบวนการสร้างสรรค์ผลงาน เป็นเร่ืองราวการนาเสนอถึงรากเหง้าและวิถีชีวิตของ ผู้หญิงในครอบครวั โดยนาเสนอผ่านผลงานทศั นศิลป์ โดยมีขอบเขตการศึกษา ดงั นี้ ขอบเขตดา้ นเนื้อหา ศึกษาค้นคว้าข้อมูลที่เก่ียวข้องกับบทบัญญัติเร่ืองฮิญาบ และข้อควรปฏิบัติของผู้หญิง ที่นับถือศาสนาอิสลาม รูปแบบการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ทฤษฎีทางด้านจิตวิทยา รวมทั้งได้มีการ พิจารณาไตรต่ รองจากประสบการณ์ส่วนตวั และสังเกต วเิ คราะห์จากรูปถ่ายครอบครัว ขอบเขตด้านรูปแบบ การสร้างสรรค์ผลงานวิทยานิพนธ์ เรอื่ ง ศรัทธา แหง่ ฮิญาบ (Faith of Hijab) เลอื กใช้เส้น ผ้าที่ไดจ้ ากการนาผ้าปาเตะ๊ มาตดั ทีละเส้น ๆ แล้วนาเสน้ ผา้ มา ผูก มัด ถกั ทอ หอ่ หุ้มร่วมกับวสั ดุ วตั ถุ ท่ีสามารถสะท้อนถึงวิถีชีวิตของผู้หญิงในครอบครัว สร้างสรรค์เป็นผลงานทัศนศิลป์แบบสื่อผสม (Mixed media) โดยได้รับอิทธิพลจากศิลปะจัดวาง (Installation) เพื่อเพ่ิมมิติให้แก่ผลงาน อีกทั้ง ศึกษาทฤษฎีด้านงานทัศนศิลป์แบบสื่อผสม ศิลปะจัดวาง (Textile Art Symbolic) และลัทธิสตรี นิยม รวมถึงผลงานศิลปนิ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับงานทัศนศิลป์แบบสอื่ ผสม งานทัศนศิลปแ์ บบจัดวาง (Textile Art Symbolic Art) และลัทธสิ ตรนี ยิ ม ขอบเขตด้านเทคนคิ โครเชต์ เป็นงานฝีมือท่ีผู้หญิงต้ังแต่สมัยอดีตจนปัจจุบันมักทาขึ้นเพื่อห่อหุ้มวัตถุสิ่งของ ที่ตนหวงแหน เป็นสัญญะท่ีสะท้อนถึงความเป็นแม่ ซึ่งเปน็ คุณลักษณะเฉพาะของเพศหญิงที่ติดตัวมา แต่กาเนิด ข้าพเจ้าจึงเลือกนาเทคนิคการถักโครเชต์มาเป็นกระบวนการหลักในการสร้างสรรค์ผลงาน
6 ทัศนศิลป์แบบส่ือผสม (Mixed media) เพื่อเป็นส่ือสะท้อนถึงทัศนคติในเรื่องความผูกพัน รากเหง้า วิถชี วี ติ ของผู้หญิงในครอบครัว ขนบธรรมเนยี มประเพณี และความเช่อื ความศรัทธาของขา้ พเจา้ 6. ขั้นตอนวธิ กี ารในการศกึ ษาและสร้างสรรค์ 1. กาหนดหัวข้อโครงการวิทยานพิ นธ์ 2. เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์บุคคลในครอบครัว ภาพถ่ายของครอบครัว และศึกษา ค้นคว้า เอกสารทีเ่ กี่ยวข้องกับแนวความคดิ ทฤษฎใี นการสร้างสรรคว์ ิทยานิพนธ์ 3. ศึกษาเทคนิคและกระบวนการในการผูก การมัด การถกั และการทอไหมพรมและวัสดุ อ่ืน ๆ ทีส่ ามารถตอบสนองแนวคดิ ในการสร้างสรรค์วทิ ยานพิ นธ์ 4. วิเคราะห์ข้อมูล แนวความคิด ทฤษฎีและเทคนิคที่ได้จากการค้นคว้าเพื่อนาไป สร้างสรรค์ผลงานทศั นศิลป์ 5. สรา้ งสรรค์และพฒั นาแบบรา่ ง 2 มิติ และแบบร่าง 3 มิติ ท้งั รูปแบบ โทนสี ให้สอดคลอ้ ง ตรงตามแนวความคิดทีน่ ามาสรา้ งสรรคผ์ ลงานวิทยานิพนธใ์ หม้ ากทีส่ ุด 6. เสนอแบบร่าง 2 มิติ และแบบร่าง 3 มิติ ต่ออาจารย์ท่ีปรึกษา เพ่ือแก้ไขข้อบกพร่อง และพัฒนาผลงานทศั นศลิ ป์เปน็ ระยะ 7. นาแบบร่างท่ีผ่านการวิเคราะห์และแก้ไขมาสร้างสรรค์ผลงานตามกระบวนการและ เทคนิคทไ่ี ด้ศึกษา 8. ติดตั้งเพื่อนาเสนอผลงานทัศนศิลป์เทคนิคส่ือผสม โดยกาหนดขอบเขตของพ้ืนท่ี ให้เหมาะสม เพ่อื ตอบสนองแนวความคิด และวัตถุประสงค์การศึกษาของวทิ ยานิพนธ์ใหม้ ากทสี่ ดุ 9. สรุปผลงาน วิเคราะห์ปัญหา และอุปสรรคของผลงานแต่ละช้ินเพื่อใช้พัฒนาผลงาน ทัศนศลิ ป์ตอ่ ไป 7. วิธีการศกึ ษา คน้ ควา้ และรวบรวมขอ้ มูลจากรูปถ่ายเกา่ ของครอบครัว ข้อมูลทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั แนวความคิด และทฤษฎีจากเอกสาร หนังสือ สื่อ Online รวมท้ังผลงานศิลปินท่ีส่งอิทธิพล และเกี่ยวข้องกับ วิทยานิพนธ์ นาขอ้ มูลทไ่ี ด้มาวิเคราะห์ สังเคราะห์ และนาไปสรา้ งสรรคเ์ ป็นผลงานทัศนศลิ ป์ ข้อมูลที่ได้รบั จากการรวบรวมเอกสาร 1. อิทธิพลที่ไดร้ ับจากศาสนา 2. อทิ ธิพล ความหมาย และทม่ี าของผ้าปาเต๊ะ 3. ศึกษาเทคนคิ และกระบวนการ ผูก มดั ถกั ทอ 4. อิทธิพลที่ไดร้ ับจากขนบธรรมเนียม วถิ ีชวี ติ พน้ื ถนิ่
7 5. ทฤษฎีศลิ ปะ 6. ทฤษฎีจิตวทิ ยา 7. อทิ ธพิ ลทีไ่ ดร้ ับจากศิลปนิ 8. อทิ ธพิ ลทไ่ี ดร้ บั จากจากครอบครวั ขอ้ มูลจากประสบการณ์และสถานที่จรงิ 1. จากประสบการณแ์ ละความทรงจาในวัยเดก็ 2. จากการสัมภาษณบ์ คุ คลในครอบครวั 8. นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ ศรัทธา (Faith) มีรากศัพท์จากภาษาสันสกฤต श्र द् ध ा (IAST: śraddhā) มีความหมายว่า คารวะ เป็นคาที่เชื่อมโยงถึงคาโบราณ हृद् (IAST: hṛd) หมายถึง หัวใจ ดังนั้น ศรัทธาจึงแปลความหมายได้ว่า วางหัวใจท่ีบริสุทธิ์ต่อสิ่งที่นับถืออย่างคารวะ แต่กระน้ันความศรัทธา ต้องวางอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล ไม่ใช่ศรัทธาอย่างงมงาย ตัวอย่างเช่น ศรัทธาในองค์ความรู้ของ ศาสนาใดศาสนาหนึ่งท่ีผ่านการวิเคราะห์และพิสูจน์อย่างมีเหตุผล และเป็นท่ียอมรับจากสังคมว่า นาพาชวี ิตสูส่ ่ิงดงี าม ฮิญาบ (Hijab, )حجابผ้าคลุมที่สตรีอิสลามใช้ปกปิดร่างกายให้มิดชิดจากสายตาของ บุรุษที่ไม่ใช่ญาติใกล้ชิด เป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศและความเท่าเทียม อัลเลาะห์ (ซ.บ.) ได้ให้สิทธิ แก่ท้ังบุรุษและสตรีอย่างเท่าเทียมกัน พระองค์ทรงห้ามไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงอ้างความเหนือกว่ากัน และกัน ดังนั้น ฮิญาบจึงมีคุณค่า เป็นเครื่องป้องกันความเส่ือมเสีย เป็นความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ระหวา่ งบุรุษและสตรี และเหนือสิ่งอ่ืนใดเป็นการเชื่อฟังต่ออัลเลาะห์ (ซ.บ.) ซึ่งมีค่าเสมอเหมือนเลือด ของบรรดาชะฮีด (ผพู้ ลีชพี เพือ่ ศาสนา)3 อีกทง้ั ยงั ปอ้ งกันสตรีจากฟติ นะฮ์ (ความไมด่ ี ไม่งามทางสังคม) ซ่งึ สอดคล้องกบั ความหมายของฮญิ าบทแี่ ปลวา่ ปดิ กนั้ อกี ด้วย ศาสนา (Religion) หลักคาสอนที่ได้รับการยอมรับจากสังคม ช้ีนามนุษย์สู่ความดี ความงามของชวี ิต เข้าใจถึงความเป็นไปตามกฎของธรรมชาติซึ่งมีการเกิด และจะสูญสลายไปตามวัฏ 3 ฮิญาบในอิสลาม, [ออนไลน์], สืบค้นเมื่อ 7 ตุลาคม 2561, สืบค้นได้จาก : http://www.erfan.ir/thailand/80458.html.
8 จักร ไม่ยึดติดกับ “อนัตตา” ก็คือ การตัดขาดจากความยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ความอยากได้ในส่ิงที่ ไมเ่ ที่ยงอาจนาไปสทู่ กุ ขเ์ มอ่ื ต้องสญู เสียสงิ่ น้นั ไปในทสี่ ดุ 4 วิถีชีวิต (Way of Life) แนวทางหรือรูปแบบการดาเนินชีวิตของกลุ่มชน ท่ีมีการ เคล่ือนไหวแปรเปลี่ยน ไม่คงตัว ตามลักษณะทางสภาพภูมิศาสตร์ ส่ิงแวดล้อม โดยมีความเช่ือ ความศรัทธา และจดุ มุ่งหมายร่วมกัน ผ้า (Fabric) สิ่งที่ทาขึ้นด้วยเส้นใย เช่น ฝ้าย ไหม ขนสัตว์ ใยประดิษฐ์ โดยวิธีการถัก ทอ หรืออัดให้เป็นผืนซ่ึงต้องมีความหนาและความเหนียวพอที่จะนาไปใช้ประโยชน์ได้ มักเรียกตาม ลักษณะของส่ิงท่ีทา เช่น ผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้าขนสัตว์ ผ้าโพลีเอสเตอร์ หรือเรียกตามลักษณะที่ใช้ เช่น ผา้ ห่ม ผา้ เชด็ ตัว ผา้ ขาวมา้ ผา้ เตยี วหม้อ ผา้ ห่อคมั ภรี ์ ปาเตะ๊ (Batik) ผ้ายอ้ มสชี นดิ หนึ่ง คาว่า “ปาเตะ๊ ” มาจากคาวา่ บาตกิ (Batik) เปน็ ภาษา ชวา ใช้เรียกผ้าที่มีลายเป็นจุดเล็ก ๆ หรือรอยด่างโดยใช้เทียนหรือขี้ผึ้งเขียนลวดลายบนผืนผ้าเพื่อ ไม่ให้สีติดแล้วย้อมสี หากต้องการให้มีหลายสีจะต้องเขียนแล้วย้อมซ้ากันหลาย ๆ ครั้ง ผ้าปาเต๊ะมัก เกิดสีตามรอบแตกของข้ีผึ้งเป็นลายแปลกตาซ่ึงเป็นเอกลักษณ์ของผ้าปาเต๊ะ วิธีการย้อมผ้าลักษณะนี้ สันนิษฐานวา่ ทากันมานานนับพันปแี ล้ว แต่แพร่เข้ามาในประเทศไทยไม่นานนัก นิยมทากันในบริเวณ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ตอนล่าง ได้แก่ บริเวณจงั หวดั ยะลา ปัตตานี และนราธวิ าส5 ผูก (Tied) การใชต้ อก หวาย เถาวัลย์หรือเชอื ก สอดคล้องกันให้เกิดเป็นเงื่อน เพื่อทาให้ ม่ันหรือติดต่อกันในตัวหรือกับสิ่งอื่น (เช่น ผูกเชือก ผูกลวด ผูกโบ) ติดต่อหรือติดพันกันแน่นกับสิ่งใด ส่ิงหนึ่ง (เช่น ผูกใจ ผูกมิตร ผูกโกรธ) ประกอบเข้า (เช่น ผูกประโยค ผูกลาย) ติดพันกันด้วยเรื่องสิทธิ และหน้าที่ตามที่ตกลงกัน (เช่น ผูกตลาด ผูกมัด ผูกไว้ให้แน่น) ผูกพัน มีความเป็นห่วงกังวลเพราะ รักใคร่ ก่อใหเ้ กิดพันธะทจ่ี ะตอ้ งปฏบิ ัตติ าม6 4 วิเวกา นาคร, นิยาม แห่ง อัตตา รวบยอด ตัวกู และ ของกู อัตตวาทุปาทาน, [ออนไลน์], สืบค้นเมื่อ 9 ตุลาคม 2561, สืบค้นได้จาก : https://www.matichonweekly .com/column/article_18470 5วิบูลย์ ล้ีสุวรรณ, พจนานุกรมผ้าและเคร่ืองถักทอ, พิมพ์คร้ังท่ี 2 (ด่านสุทธาการพิมพ์ : เมืองโบราณ, 2559), 176-177. 6 พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542, 740-741.
9 มดั (Bundle) การผูกรัดเข้าด้วยกัน ผูกรัดให้แน่น7 ดว้ ยวัสดุ เช่น หวาย ตอก หรือเชือก มัดยึดกับวัตถุเพ่ือความแข็งแรงและคงทน วิธีการมัดทาได้หลายแบบ เช่น มัดเวียน มัดยกดอก มดั หวายเดีย่ ว มัดหวายคู่ มัดจูงนาง มัดกวางเหลียวหลงั เปน็ ตน้ 8 ถัก (knit) กรรมวิธีทาให้เส้นใยต่อเนื่องกันโดยนาวัตถุดิบท่ีมีลักษณะเป็นเส้นใยมา สอดไขว้กันให้ต่อเน่ืองเป็นผืน เช่น การถักตาข่าย แห สาหรับจับปลา ผ้ายุคแรกคงทาโดยการถัก เส้นใยให้เป็นผืน จึงเปน็ ผ้าเนื้อหยาบ ตาโปร่ง เนื้อไม่แน่เหมือนการทอ เส้นใยท่ีนามาถักคงเป็นเส้นใย ท่ีได้จากป่าน ปอ สันนิษฐานว่าผ้าท่ีเกิดจากการถักมีมาต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เพราะพบหิน สาหรับทุบเปลือกไม้และเศษผ้าติดอยู่เครื่องมือเคร่ืองใช้โลหะท่ีขุดพบจากแหล่งโบราณคดีสมัยก่อน ประวตั ิศาสตรห์ ลายแหง่ 9 ทอ (Weaving) กรรมวิธีการทอผ้าท่ีพัฒนามาจากการถัก การทอเป็นวิธีสานลักษณะ หน่ึงเช่นเดียวกับการสานเคร่ืองจักรสาน แต่ใช้เส้นฝ้าย ไหม ขนสัตว์ หรือวัตถุดิบอื่นที่เป็นเส้นแทน ตอก การทอเร่ิมจากการใช้เส้นฝ้ายหรือเส้นไหมเป็นเส้นยืน (Warp yarn) ในแนวตั้ง และใช้เส้นพุ่ง (Weft) ในแนวนอนสอดขัดกันไปอย่างตอ่ เนื่องในลักษณะยกข้ึนและข่มลงให้เส้นใยสอดขัดสลับกันไป เรอื่ ย ๆ จนเป็นผืนผา้ ตามตอ้ งการ10 9. วสั ดทุ ใ่ี ช้ในการสร้างสรรค์ 8. บัตรนกั เรยี นอนุบาล 1. คอมพวิ เตอรส์ าหรับเกบ็ รวบรวมข้อมลู 9. เครอื่ งประทนิ ผวิ 2. เคร่ืองมอื เคร่ืองใช้ ทางการเกษตร 10. แผ่นอะครลิ ิค 3. รูปถ่ายครอบครัว 11. เรซน่ิ 4. กลอ้ งถ่ายรปู 12. ไม้ 5. เข็มถักโครเชต์ 13. ดิน 6. ผา้ ปาเตะ๊ 7. สะดึง 7 พจนานกุ รม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542, 851. 8 วิบูลย์ ลี้สุวรรณ, นามานุกรมเครื่องจักรสาน, พิมพ์ครั้งที่ 1 (ด่านสุทธาการพิมพ์ : เมืองโบราณ, 2553), 285. 9 วบิ ูลย์ ลี้สุวรรณ, พจนานุกรมผ้าและเคร่ืองถกั ทอ, พิมพ์ครั้งที่ 2 (ดา่ นสุทธาการพมิ พ์ : เมืองโบราณ, 2559), 153. 10 เรอื่ งเดยี วกัน, 156.
10 10. งบประมาณที่ใช้ในการสร้างสรรค์ คา่ ใช้จ่ายทงั้ หมดในการทาวิจยั (โดยประมาณ) 83,000 บาท รายการ จานวนเงนิ (บาท) คา่ ผ้าปาเต๊ะ 12,000 ค่าวสั ดุ วตั ถุทใี่ ชร้ ่วมในการถักทอ 25,000 ค่าอุปกรณท์ ่ีใช้ในการถกั ทอ 3,000 คา่ วสั ดอุ ปุ กรณ์ในการติดตง้ั งาน 8,000 คา่ เดินทางในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู 10,000 ค่าเช่าสตดู โิ อ 25,000 รวม 70,000 11. ประโยชนท์ ค่ี าดว่าจะไดร้ บั การสร้างสรรค์ผลงานวิทยานิพนธ์เร่ือง ศรัทธา แห่งฮิญาบ (Faith of Hijab) จากท่ีมา และความสาคัญ และวตั ถุประสงคข์ องการสรา้ งสรรคผ์ ลงาน คาดหวังผลที่ได้รับ ดังน้ี 1. เกิดความตระหนักรู้และเข้าใจถึงสายใยความสัมพันธ์ที่เช่ือมโยงระหว่างตัวข้าพเจ้า ครอบครัว และขนบธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่นได้อย่างแน่นแฟ้นและสอดคล้องกลมกลืนกัน เป็นอย่างดี 2. สามารถเกิดการพัฒนาตนเองในหลากหลายแง่มุม ทั้งด้านแนวความคิด รูปแบบและ เทคนิคการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ เพื่อเป็นแนวทางและแรงบันดาลใจในการพัฒนาผลงาน ทศั นศิลป์ในอนาคตขา้ งหน้า 3. ผลงานทัศนศิลป์สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติส่วนบุคคลต่อเร่ืองศาสนา ความเช่ือ ความศรัทธา รวมท้ังขนบธรรมเนียมประเพณีของชุมชนอิสลามทางภาคใต้ให้แก่ผู้ที่สนใจและบุคคล ทว่ั ไปผ่านผลงานทัศนศลิ ป์ 4. เพื่อให้ผู้ท่ีสนใจงานวิทยานิพนธ์ฉบับน้ี ทั้งด้านรูปแบบ เทคนิค วิธีการสร้างสรรค์ รวมทั้งแนวความคิด สามารถนาความรู้ที่ได้รับไปพัฒนา เพื่อก่อให้เกิดเป็นแนวความคิด แรงบันดาล ใจและผลงานทศั นศลิ ปใ์ นรปู แบบเฉพาะตน
บทที่ 2 วรรณกรรมทเี่ กี่ยวข้อง วิทยานิพนธ์เร่ือง “ศรัทธา แห่งฮิญาบ” (Faith of Hijab) ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและ งานวิจยั ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งตามหัวขอ้ ดังต่อไปน้ี 1. อทิ ธพิ ลที่ไดร้ ับจากศาสนา 2. อทิ ธพิ ลทีไ่ ด้รับจากครอบครวั และขนบธรรมเนียม วถิ ชี ีวติ พ้ืนถน่ิ 3. ความหมายและท่ีมาของผา้ ปาเต๊ะ 4. เทคนคิ และกระบวนการ ผกู มัด ถัก 5. ทฤษฎที ัศนศิลป์ 6. ทฤษฎีจติ วทิ ยา 7. อทิ ธิพลทีไ่ ดร้ บั จากศลิ ปนิ 8. ขอ้ มลู จากการสัมภาษณศ์ ิลปิน 1. อิทธิพลท่ีได้รบั จากศาสนา หลกั การของศาสนาอิสลาม แบง่ ออกเป็นหลักใหญ่ ๆ ได้ 2 ประการ คือ 1. หลักการศรัทธา เรียกวา่ รุกนอมี าน คือ หลักการหรือบทบญั ญัติที่มุสลิมทุกคนจะต้อง ศรทั ธายดึ มน่ั 2. หลกั การปฏบิ ตั ิ เรียกวา่ รกุ นอสิ ลาม คอื หลักการหรือบทบัญญัตทิ ่มี ุสลมิ ทกุ คนจะต้อง ปฏิบัติตาม รุกรอีมาน คือ หลักการศรัทธา ซ่ึงมีเรื่องต่าง ๆ ที่มุสลิมทุกคนต้องศรัทธาอยู่มากมาย ซง่ึ มีหลักการใหญ่ ๆ ทเี่ ป็นหลกั เบ้ืองต้น 5 ประการ 1. ตอ้ งศรทั ธาตอ่ อลั เลาะห์ (ซ.บ.) 2. ต้องศรัทธาตอ่ มลาอีกะฮ์ (เทวทตู ) ของอัลเลาะห์ 3. ต้องศรทั ธาตอ่ บรรดาคัมภรี ์ของอลั เลาะห์ 4. ตอ้ งศรทั ธาตอ่ บรรดารอซูล (ศาสนศาสนทตู ) ของอลั เลาะห์ 5. ต้องศรัทธาตอ่ วนั อาคิเราะห์ (วนั สุดท้ายของโลก) 6. ตอ้ งศรทั ธาตอ่ การกาหนดของอัลเลาะหท์ ้ังทางดแี ละทางร้าย 11
12 ทา่ นศาสดามูฮมั หมัด (ซ.ล.) ไดท้ รงตรัสไวว้ า่ “การศรัทธา คือ การทท่ี ่านตอ้ งเช่ือถือตอ่ อัล เลาะห์ต่อบรรดามลาอีกะฮ์ของพระองค์ ต่อบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ ต่อบรรดารอซูลของพระองค์ ตอ่ วันอาคิเราะห์ และตอ้ งเชือ่ ถือตอ่ การกาหนดขององคอ์ ลั เลาะห์ทง้ั ทางดีและทางร้าย” พระเจ้า พระเจ้า ทุกสิ่งต้องมีผู้สร้าง มนุษย์ทุกคนจาต้องยอมรับว่า ทุกสิ่งทุกอย่างรอบ ๆ ตัวเราน้ัน จะเกิดขึ้นมาเองไม่ได้ แต่จะต้องมีผู้ทาหรือผปู้ ระดิษฐข์ ึ้นมา เช่น เม่ือเราเห็นเครื่องบนิ เราก็จะต้องรู้ว่า มีวศิ วกรเปน็ ผปู้ ระดิษฐ์มันข้ึน เมอ่ื เราเห็นบา้ น เราก็รู้ว่ามชี ่างไมเ้ ปน็ ผู้ทามันขน้ึ เมอื่ เราเหน็ เส้ือ เรากร็ ู้ วา่ มีชา่ งตัดเส้ือเปน็ ผู้ทาขึ้น แม้แต่เม่ือเราเห็นไม้ขีดเล็ก สักก้านเดียว เราก็เช่ือว่ามีผู้ทามันข้ึนมาเราจะ ไม่ยอมเช่ือเป็นอันขาดว่า ไม้ขีดน้ันจะเกิดมีข้ึนมาเองโดยไม่มีผู้ทาข้ึน เหมือนกับเม่ือเราเห็นรอยเท้า บนพน้ื เรากร็ ู้วา่ จะตอ้ งมีผู้เดนิ ผ่าน ด้วยเหตุน้ี เราจึงเช่ือว่ามีสิ่งต่าง ๆ อีกมากมายที่มนุษย์ทาไม่ได้ เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงดาว โลก ดวงจันทร์ สัตว์ มนุษย์ ฯลฯ ส่ิงเหล่าน้ีก็จะบังเกิดข้ึนมาเองไม่ได้และจะต้องมีผู้สร้างมันขึ้นมา อย่างแน่นอน เพราะแม้แต่ไม้ขีดสักก้านเดียว เราก็ยังไม่ยอมเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นมาไดเ้ องโดยไม่มีผู้ทา ทกุ สิง่ ตอ้ งมีผ้คู วบคุมบริหาร ในทานอนเดียวกัน ท่านลองพิจารณาความเป็นไปในจักรวาล มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวมากมายจนสุดท่ีจะคานวณนับได้ สิ่งเหล่านี้โคจรกันอยู่อย่างเป็นระเบียบแบบแผน มีกาหนดระยะเวลาที่แน่นอน สิ่งเหล่าน้ีจะอยู่อย่างเป็นระเบีบยได้อย่างไร หากไม่มีผู้ควบคุมดูแล และบริหารมนั เพราะแมแ้ ต่สง่ิ เล็ก ๆ นอ้ ย ๆ เช่น รถยนต์สักคันยังจะแลน่ เองไม่ได้หากไม่มผี ู้ควบคุม ศาสนาอิสลามได้สอนว่า ตลอดท่ัวพิภพและจักรวาล ทุก ๆ สิ่งต้องมีผู้สร้าง และทุก ๆ ส่ิง ต้องมีผู้ควบคุมบริหาร ผู้สร้างและผู้ควบคุมบริหาร จะต้องมีอานาจย่ิงใหญ่ มีความรู้สูงเลิศ และมีเด ชานุภาพเหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น พระองค์เป็นพระเจ้า พระนามของพระองค์มีมากมาย แต่ที่เรียกกันทั่ว ๆ ไป คอื พระนามว่า “อัลเลาห”์ “และพระองคท์ รงให้เกดิ ทุก ๆ สงิ่ และพระองค์ทรงรอบรทู้ ุก ๆ สง่ิ ” “ดังน้ันอัลเลาะห์จึงเป็นพระผู้อภิบาลของสูเจ้าทั้งหลาย ไม่มีพระเจ้าใด ๆ ที่ควรแก่การ กราบสักระบูชานอกจากพระองค์ผู้ทรงบังเกิดทุก ๆ ส่ิง ดังน้ันสูเจ้าท้ังหลายจงเคารพกราบไหว้ เฉพาะพระองคเ์ ท่านนั้ ” อลั เลาะห์ (ซ.บ.) อัลเลาะห์ (ซ.บ.) คือ พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงบันดาล ผู้ทรงสร้างสรรค์พส่ิงทั้งปวงตลอด ท่ัวพิภพและจักรวาล ด้วยลาพังพระองค์เอง พระองค์เป็นผู้สร้างท้ังท้องฟา้ และใตม้ หาสมทุ รทงั้ พ้ืนดิน และพื้นน้า ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะไม่ถูกสร้างโดยพระองค์ พระองค์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง ทรงได้ยินทุกสิ่ง ทรงเห็นทกุ อย่าง ไม่มสี งิ่ ใดจะเทยี มเท่าหรอื เสมอเหมอื นพระองค์
13 อัลเลาะหอ์ ยู่ท่ีไหน เป็นอยา่ งไร ในโลกน้ีมีสิ่งที่ล้ีลับอีกมากมายที่เราไม่สามารถจะรู้สึกได้โดยการสัมผัสทางร่างกาย กล่าวคือ เราไม่เห็นแตเ่ ราก็รู้ว่ามี เรารู้ว่าเราอยู่ไดเ้ พราะเรายังมชี ีวติ เม่ือชีวติ (วิญญาณ) ออกจากร่าง แต่ชีวิตวิญญาณเป็นอย่างไร อยู่ตรงไหน เราก็ไม่เคยเห็น เช่นเดียวกับบางคร้ังเรารู้ร้อน บางครั้งรู้สึก หนาว เราเคยรู้ไหมวา่ ว่าความร้อนหนาวมีรูปร่างอย่างไร ? เราก็ไม่เคยเห็น แต่เราทราบจากผลที่รู้สึก ร้อนหนาวเท่านั้น ในทานองเดียวกัน ความเป็นไปของพระเป็นเจ้า เราไม่รู้จักตัวตนของพระองค์ เพราะอลั เลาะห์เป็นผู้ไว้ซ่ึงเดชานุภาพ พระองค์ไม่ใช่สสารหรือสิ่งของ มนุษย์จึงไม่อาจสัมผัสพระองค์ ได้ ไมว่ ่าจะสัมผสั ด้วยหู ตา จมูก หรอื มอื “โอ้มูฮัมหมัด จงบอกเถิดว่า อัลเลาะห์นั้นมีองค์เดียว อัลเลาะห์ทรงถูกพ่ึงตลอดเวลา พระองคไ์ ม่มบี ุตรและพระองค์ไมม่ บี ดิ าหรือมารดา ไมม่ ีส่งิ ใดเสมอเหมือนหรอื เทยี บเทา่ พระองค์ พระองค์เป็นต้นสุดของส่ิงท้ังปวง กล่าวคือ ไม่มีอันใดมาก่อนพระองคหรือพระองค์มิได้ เป็นผลของสิ่งใด พระองค์ไม่มีกาเนิด ไม่มีอวสาน ความจริงข้อน้ีเกินสติปัญญามนุษย์จะหย่ังเข้าใจ ความหมายได้ ป่วยการที่จะคอยเห็นพระผู้เป็นเจ้า ด้วยดวงตาซึ่งมีความแตกดับหรือผุพังของเรา อย่าว่าแต่พระองค์เลย แม้แต่ดวงอาทิตย์ซ่ึงเป็นส่วนน้อยส่วนหน่ึงของสากลจักรวาลที่พระองค์สร้างขึ้น เรากไ็ มส่ ามารถเหน็ รงั สีเอ็กซ์ได้ หขู องเรากไ็ ม่สามารถจบั คลืน่ เสียงท่ีเรว็ เกินกาลังได้ สตปิ ัญญาของเรา ไม่สามารถเข้าใจในปัญหาที่พ้นข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เช่น เร่ืองชีวิตและความตายได้ ในเม่ือ ประสิทธิภาพของประสาทของเรามีอยู่อย่างบกพร่องและจากัดเช่นนี้ก็ถึงกับจะทาให้เรายกมาเป็น ข้ออ้าง เพื่อปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้าได้หรือเหมือนเมื่อคร้ังเคร่ืองรับวิทยุของเรามีกาลังแรงอ่อน ไม่สามารถรับฟังสถานีต่างประเทศได้ ก็ควรจะโทษความบกพร่องของเครื่องรับมากกว่าจะทึกทัก ปฏิเสธว่า ไมม่ เี คร่ืองสง่ ในตา่ งประเทศนนั้ เพราะเพียงเหตวุ า่ เราเปิดรับฟังไมไ่ ด้ยนิ ฉะนั้น หลักการศรัทธาของอิสลาม เม่ือเราเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าสร้างสากลจักรวาล เราก็ทราบเรอ่ื งของพระผ้เู ปน็ เจา้ ได้ จากลักษณะ (ซฟิ ตั ) ของพระองค์ การศรัทธาต่ออัลเลาะห์ (ซ.บ.) การศรัทธาต่ออัลเลาะห์ (ซ.บ.) แบ่งออกเป็น 2 ประการ คือ การศรัทธาโดยสรุปความ กับการศรทั ธาตามลักษณะของพระองคโ์ ดยละเอยี ด การศรัทธาโดยสรุปความ คือ เราต้องศรัทธาว่าอัลเลาะห์ทรงเป็นผู้เป็นเจ้าองค์เดียว พระองค์เป็นผู้ทรงอานาจ ทรงบันดาลและทรงบริหารกิจการทุกส่ิงทุกอย่างตลอดทั่วจักรวาลโดย ลาพังพระองค์เอง ไม่ได้อาศัยความช่วยเหลือจากผู้ใดทั้งสิ้น กล่าวโดยสรุป พระองค์ทรงมีคุณสมบัติ ดเี ลศิ ครบถว้ นสมบรู ณ์และปราศจากข้อบกพรอ่ งใด ๆ ทั้งส้นิ
14 การศรัทธาตามลักษณะของพระองค์โดยละเอียด คือ การศรัทธาโดยการเรียนรู้ถึง คุณลกั ษณะ (ซิฟตั ) ของพระองค์ ซ่ึงจะกล่าวโดยละเอยี ดตามลักษณะตา่ ง ๆ ตอ่ ไป11 2. อทิ ธพิ ลท่ีไดร้ ับจากครอบครัว ศาสนา และขนบธรรมเนยี ม วถิ ีชวี ิตพืน้ ถ่ิน ครอบครัวนับเป็นสถาบันทางสังคมที่สาคัญที่สุด เป็นหน่วยย่อยของสังคมที่มี ความสัมพนั ธ์และร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด กล่าวได้ว่า เป็นสถาบันท่ีคงทนที่สุดและยังไม่เคยปรากฏว่า สังคมมนุษย์ใดเป็นสังคมที่ไม่มีสถาบันครอบครัว เพราะสถาบันครอบครัวเป็นกลุ่มสังคมกลุ่มแรก ที่มนุษย์ทุกคนเกี่ยวข้องต้ังแต่แรกเกิดจนกระทั้งโตและมีครอบครัวของตนเอง ครอบครัวจะให้การ ต้ังช่ือและสกุล เพื่อช้ีบอกสถานภาพ บทบาท ตลอดจนกาหนดสิทธิหน้าท่ีท่ีสมาชิกพึงมีต่อกันและ ต่อสังคม ครอบครัวจึงเป็นสถาบันแห่งแรกและแห่งสาคัญของสังคมในการกาหนดพฤติกรรมของ มนษุ ย์ให้เป็นไปตามระเบยี บแบบแผนของสังคมสว่ นรวม12 ในแต่ละครอบครัวมีความแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นที่ครอบครัวนั้น อาศัย ครอบครัวของข้าพเจ้ามีรกรากอยู่ในภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย คือ จังหวัดสตูล ซึ่งเป็น จังหวัดเล็ก ๆ มีอาณาบรเิ วณติดต่อกับจงั หวดั สงขลา ทะเลอนั ดามัน และประเทศมาเลเซีย แต่โบราณ ผ้คู นท่อี าศัยในทอ้ งถน่ิ นค้ี อื ชนชาวถา้ และ ชนชาวน้า กล่าวได้ว่า จังหวัดสตูลมีความเป็นพหุวัฒนธรรม คือ การผสมผสานท้ังความเช่ือดั่งเดิม ของคนท้องถิน่ และความเช่อื ความศรัทธาทางศาสนาท้ัง ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม รวมทั้งความเชื่อ ในลทั ธิอ่ืน ขา้ พเจ้าไดร้ ับการปลูกฝังขนบธรรมเนยี มประเพณีของศาสนาอิสลามจากครอบครัว พบเจอ รูปแบบความเชื่อของศาสนาอ่ืน ๆ จากสิ่งแวดล้อมรอบด้าน จึงส่งผลต่อทัศนคติ รูปแบบแนวคิด ทแ่ี ตกตา่ งไปตามชว่ งวยั ของข้าพเจ้า เกิดเป็นแรงบนั ดาลใจในการนามาสร้างสรรคผ์ ลงานทัศนศลิ ป์ 11 การมี อับดุลเลาะฮ,์ คมู่ ือมสุ ลมิ เบ้อื งตน้ (ศนู ยห์ นงั สอื มานพ บุญเสงยี่ ม, ม.ป.ป.), 1-10. 12 แนวคิดและทฤษฎีเก่ียวกับครอบครัวและชุมชน, [ออนไลน์], สืบค้นเม่ือ 9 ธันวาคม 2561, สืบคน้ จาก : http://humaneco.stou.ac.th/UploadedFile/72305-1.pdf.
15 ภาพท่ี 1 ภาพแสดงพธิ กี ารโกนผมไฟของขา้ พเจา้ ที่มา : จากการค้นควา้ ของผ้วู ิจยั . พิธโี กนผมไฟ. ภาพถ่ายเก่าของครอบครัว. จังหวัดสตูล. เมอื่ วันที่ 13 สิงหาคม 2561. ภาพท่ี 2 ภาพถา่ ยของขา้ พเจ้ากบั บคุ คลในครอบครัว ทม่ี า : จากการค้นควา้ ของผู้วิจยั . บุคคลในครอบครวั . ภาพถา่ ยเกา่ ของครอบครัว. จังหวัดสตูล. เมือ่ วันที่ 13 สิงหาคม 2561. ภาพท่ี 3 ภาพถ่ายของขา้ พเจ้ากบั บุคคลในครอบครัว ทม่ี า : จากการคน้ คว้าของผวู้ ิจยั . บุคคลในครอบครัว. ภาพถา่ ยเกา่ ของครอบครัว. จงั หวัดสตูล. เมอ่ื วนั ที่ 13 สงิ หาคม 2561.
16 ภาพที่ 4 ภาพถา่ ยของขา้ พเจ้ากบั บุคคลในครอบครวั ทม่ี า : จากการคน้ คว้าของผวู้ ิจัย. บุคคลในครอบครวั . ภาพถา่ ยเกา่ ของครอบครัว. จงั หวัดสตูล. เมื่อวนั ท่ี 13 สิงหาคม 2561. ภาพท่ี 5 ภาพถ่ายของขา้ พเจา้ กบั บคุ คลในครอบครัวในวนั ฮารรี ายอ อดี ิลฟติ รี ท่มี า : จากการค้นควา้ ของผ้วู ิจยั . บุคคลในครอบครัว. ภาพถ่ายเก่าของครอบครัว. จงั หวัดสตูล. เมอ่ื วันที่ 13 สงิ หาคม 2561.
17 ภาพท่ี 6 ภาพถา่ ยของข้าพเจา้ กบั น้องสาว ที่มา : จากการค้นควา้ ของผู้วจิ ยั . บุคคลในครอบครัว. ภาพถา่ ยเกา่ ของครอบครวั . จงั หวัดสตูล. เมือ่ วนั ท่ี 13 สิงหาคม 2561. ภาพท่ี 7 ภาพถ่ายของขา้ พเจา้ กับบคุ คลในครอบครวั ในวนั ฮารรี ายอ อีดลิ ฟติ รี ทม่ี า : จากการคน้ คว้าของผ้วู ิจยั . บคุ คลในครอบครัว. ภาพถา่ ยเก่าของครอบครัว. จังหวัดสตูล. เม่อื วันที่ 13 สงิ หาคม 2561. ภาพที่ 8 ภาพถ่ายของข้าพเจ้ากับบคุ คลในครอบครวั ในวันฮารีรายอ อดี ลิ อัฎฮา ทม่ี า : จากการคน้ ควา้ ของผู้วจิ ยั . บุคคลในครอบครัว. ภาพถา่ ยเก่าของครอบครวั . จังหวัดสตูล. เมอื่ วันที่ 13 สิงหาคม 2561.
18 ภาพที่ 9 ภาพถ่ายของขา้ พเจ้ากบั บคุ คลในครอบครวั ในวนั หยดุ พกั ผอ่ น ที่มา : จากการคน้ ควา้ ของผู้วจิ ัย. บุคคลในครอบครัว. ภาพถ่ายเกา่ ของครอบครวั . จงั หวัดสตูล. เมอื่ วันท่ี 13 สงิ หาคม 2561. ภาพที่ 10 ภาพถา่ ยของขา้ พเจ้ากับบุคคลในครอบครวั ในวันรบั ปริญญาของนอ้ งสาว ทีม่ า : จากการคน้ คว้าของผู้วิจัย. บคุ คลในครอบครัว. ภาพถา่ ยเกา่ ของครอบครวั . ประเทศมาเลเซยี . เมอ่ื วันท่ี 13 สงิ หาคม 2561.
19 ภาพท่ี 11 ภาพถ่ายของข้าพเจ้ากับบคุ คลในครอบครวั ทมี่ า : จากการคน้ ควา้ ของผู้วจิ ัย. บคุ คลในครอบครวั . ภาพถ่ายเกา่ ของครอบครวั . จงั หวัดสตูล. เมอ่ื วันท่ี 13 สิงหาคม 2561. ภาพที่ 12 ภาพถา่ ยของขา้ พเจา้ กับบุคคลในครอบครวั ในการทากรุ บาน เพ่อื พลที านในวนั ฮารรี ายอ อดี ลิ ฟติ รี ทม่ี า : จากการคน้ คว้าของผู้วจิ ัย. บุคคลในครอบครัว. ภาพถา่ ยเกา่ ของครอบครัว. จงั หวัดสตูล. เม่ือวันที่ 13 สิงหาคม 2561.
20 ภาพท่ี 13 ภาพถ่ายของข้าพเจา้ กบั บคุ คลในครอบครวั ในวนั หยุดพกั ผอ่ น ที่มา : จากการค้นคว้าของผู้วจิ ัย. บุคคลในครอบครวั . ภาพถา่ ยเกา่ ของครอบครวั . หาดปากบารา จงั หวดั สตลู . เม่ือวันที่ 13 สงิ หาคม 2561. ภาพท่ี 14 ภาพถ่ายของข้าพเจา้ กบั บคุ คลในครอบครวั ในการปน่ั จักรยานออกกาลงั กาย ทีม่ า : จากการคน้ คว้าของผวู้ จิ ัย. บุคคลในครอบครวั . ภาพถ่ายเกา่ ของครอบครัว. ทา่ เทียบเรือตามะลัง จงั หวัดสตูล. เมือ่ วันท่ี 13 สิงหาคม 2561.
21 ภาพที่ 15 ภาพถ่ายของข้าพเจา้ กบั บุคคลในครอบครวั ในวนั ฮารีรายอ อีดลิ ฟติ รี ที่มา : จากการค้นควา้ ของผู้วิจัย. บุคคลในครอบครัว. ภาพถ่ายเก่าของครอบครวั . มัสยิดทงุ่ เฉลิมสขุ จงั หวัดสตูล. เม่อื วันท่ี 13 สงิ หาคม 2561 ภาพที่ 16 ภาพถ่ายสสุ านของศาสนาอสิ ลาม ทีม่ า : จากการค้นคว้าของผู้วิจัย. บุคคลในครอบครวั . ภาพถ่ายเก่าของครอบครัว. หลุมฝังศพของปู่และย่า จังหวัดสตูล. เม่ือวันที่ 13 สงิ หาคม 2561
22 3. ความหมายและทีม่ าของผ้าปาเต๊ะ ผ้า พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 อธิบายว่า “ผ้า” สิ่งท่ีทาด้วยเส้นใย เช่น ฝ้าย ไหม ขนสัตว์ โดยวิธีการทอหรืออัดให้เป็นผืน มักเรียกตามลักษณะของสิ่งท่ีทา เช่น ผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผา้ ขนสตั ว์ หรอื ตามลกั ษณะท่ีใช้ เชน่ ผ้ากราบ ผ้าอาบ ผ้าอ้อม ในหนังสือศัพท์สง่ิ ทอของ วิบูลย์ ล้สี ุวรรณ ให้คานิยามไว้ดังนี้ “ผ้า” คือวัสดทุ ่ีเกิดจากการ ใช้เส้นใย และ/หรือเส้นด้ายมาทาเป็นผืน ไม่กาหนดขนาดโดยการทอ ถัก อัด และอ่ืน ๆ ซ่ึงมีความ หนาและความเหนยี วพอท่ีจะนาไปใช้ประโยชนไ์ ด”้ ผ้าเป็นหน่ึงในสี่ปัจจัยหลักของคนไทย ยุคแรกทอด้วยกี่หลัง ไม่ใช้ฟืม ต่อมาพัฒนาเป็นกี่ หรือหูกพื้นบ้านซึ่งกระจายอยู่ตามกลุ่มชนต่าง ๆ เรียกว่า ผ้าพื้นบ้าน การทอผ้าพื้นบ้านส่วนมากทอ เพื่อใช้เป็นเคร่ืองนุ่งห่ม มีรูปแบบสอดคล้องกับความเช่ือ ขนบประเพณี และวัฒนธรรมของกลุ่มชน ต่อมาในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ราชสานักสยามส่ังซื้อผ้าจากต่างประเทศ เช่น อินเดีย เปอร์เซีย และจีนเข้ามาใช้ในราชสานัก ภายหลังแพร่ไปสู่สามัญชน ทาให้เกิดการเลียนแบบผ้าต่างประเทศ เช่น ผ้าลายนอกอยา่ งและผ้าลายไทยท่ีพฒั นามาเป็นการพิมพ์ในโรงงาน การทอผ้าพ้นื บา้ นพัฒนาจากการ ทอด้วยก่ีพ้ืนบ้านเป็นกี่กระตุก และพัฒนาการทอด้วยเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรมอย่างผ้าท่ีใช้ กนั อยใู่ นปจั จบุ ัน13 ผ้าบาติกหรือปาเต๊ะ เป็นคาท่ีใช้เรียกผ้าชนิดหน่ึงท่ีมีวิธีการทาโดยใช้เทียนปิดส่วนที่ ไม่ตอ้ งการใหต้ ิดสแี ละใชว้ ธิ ีการแตม้ ระบาย หรอื ย้อมในส่วนทีต่ อ้ งการให้ตดิ สี ผ้าบาตกิ บางชิ้นอาจจะ ผ่านขน้ั ตอนการปิดเทียนหรือพิมพ์เทียนแลว้ จงึ นาไปย้อมสที ต่ี อ้ งการ คาว่าบาติก (Batik) หรือปาเต๊ะ เดิมเป็นคาในภาษาชวาใช้เรียกผ้าที่มีลวดลายท่ีเป็นจุด คาว่า “ติก” มีความหมายว่า เล็กน้อย หรือจุดเล็ก ๆ มีความหมายเช่นเดียวกับคาว่าตริติก หรือ ตาริตกิ ดงั น้นั คาวา่ บาตกิ จงึ มีความหมายวา่ เป็นผ้าท่มี ลี วดลายเปน็ จดุ ๆ ด่างๆ แหล่งกาเนิดของผ้าบาติกมาจากไหนยังไม่เป็นท่ียุติ นักวชิ าการชาวยุโรปหลายคนเชื่อว่า มีในอินเดียก่อนแล้ว แล้งจึงแพร่หลายเข้าไปในอินโดนีเซีย หลายคนว่ามาจากอียิปต์หรือเปอร์เซีย แม้ว่าจะได้มีการค้นพบผ้าบาติกที่มีอายุเก่าแก่ในประเทศอ่ืน ทั้ง อียิปต์ อินเดีย และญ่ีปุ่นแต่บางคนก็ยัง เช่ือว่า ผ้าบาติกเป็นของดั่งเดิมของอินโดนีเซีย และยืนยันว่าศัพท์เฉพาะที่เรียกวิธีการและขั้นตอนใน การทาผ้าบาติก เป็นศัพท์ภาษาอินโดนีเซีย สีที่ใชย้ ้อมก็มาจากพืชที่มีในอินโดนีเซีย แท่งข้ีผ้ึงชนิดท่ีใช้ เขียนลายก็เป็นของอินโดนีเซีย ไม่เคยมีในอินเดียเลย เทคนิคที่ใช้ในอินโดนีเซียสูงกว่าที่ทากันใน อินเดีย และจากการศึกษาค้นคว้าของ N. J. Kron นักประวัติสาสตร์ชาวดัตช์ก็สรุปไว้ว่าการทาโสร่ง 13 วิบูลย์ ลี้สุวรรณ, สารานุกรม ผ้า เคร่ืองถักทอ (ด่านสุทธาการพิมพ์ : เมืองโบราณ, ม.ป.ป.), 119.
23 บาติกหรือโสร่งปาเต๊ะเป็นวัฒนธรรมด่ังเดิมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนที่จะมีการติดต่อกับ อินเดยี 14 4. เทคนคิ และกระบวนการ ผูก มดั ถัก ทอ เลือกใช้การ ผูก มัด ถัก ทอ ในการสร้างสรรค์ผลงานเป็นสัญญะสะท้อนสายสัมพันธ์ ท่ีเช่ือมโยงระหว่างข้าพเจ้ากับครอบครัว ศาสนา รากเหง้าทางวัฒนธรรม และขนบธรรมเนียม ประเพณใี นชุมชนอิสลามทางภาคใต้ ผูก (Tied) การใช้ตอก หวาย เถาวัลย์หรือเชือก สอดคล้องกันให้เกิดเป็นเงื่อน เพื่อทาให้ มั่นหรือติดต่อกันในตัวหรือกับสิ่งอื่น (เช่น ผูกเชือก ผูกลวด ผูกโบ) ติดต่อหรือติดพันกันแน่นกับสิ่งใด สิ่งหนึ่ง (เช่น ผูกใจ ผูกมิตร ผูกโกรธ) ประกอบเข้า (เช่น ผูกประโยค ผูกลาย) ติดพันกันด้วยเรื่อง สทิ ธแิ ละหน้าทต่ี ามที่ตกลงกัน (เชน่ ผูกตลาด ผูกมดั ผูกไว้ใหแ้ น่น) ผกู พัน มคี วามเปน็ ห่วงกังวลเพราะ รกั ใคร่ ก่อใหเ้ กิดพันธะทีจ่ ะตอ้ งปฏิบัตติ าม15 มัด (Bundle) การผูกรัดเข้าด้วยกัน ผูกรัดให้แน่น ด้วยวัสดุ เช่น หวาย ตอก หรือเชือก มัดยึดกับวัตถุเพื่อความแข็งแรงและคงทน วิธีการมัดทาได้หลายแบบ เช่น มัดเวียน มัดยกดอก มดั หวายเด่ียว มดั หวายคู่ มดั จูงนาง มดั กวางเหลียวหลัง เปน็ ต้น16 ถัก (knit) กรรมวิธีทาให้เส้นใยต่อเนื่องกันโดยนาวัตถุดิบที่มีลักษณะเป็นเส้นใยมาสอด ไขว้กันให้ต่อเนื่องเป็นผืน เช่น การถักตาข่าย แห สาหรับจับปลา ผ้ายุคแรกคงทาโดยการถักเส้นใย ให้เป็นผืน จึงเป็นผ้าเนื้อหยาบ ตาโปร่ง เน้ือไม่แน่เหมือนการทอ เส้นใยที่นามาถักคงเป็นเส้นใย ที่ได้จากป่าน ปอ สันนิษฐานว่าผ้าที่เกิดจากการถักมีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เพราะพบหิน สาหรับทุบเปลือกไม้และเศษผ้าติดอยู่เครื่องมือเครื่องใช้โลหะท่ีขุดพบจากแหล่งโบราณคดีสมั ยก่อน ประวัตศิ าสตร์หลายแหง่ 17 ทอ (Weaving) กรรมวิธีการทอผ้าที่พัฒนามาจากการถัก การทอเป็นวิธีสานลักษณะ หนึ่งเช่นเดียวกับการสานเคร่ืองจักรสาน แต่ใช้เส้นฝ้าย ไหม ขนสัตว์ หรือวัตถุดิบอ่ืนท่ีเป็นเส้น 14 สุนันท์ อาดา, [ออนไลน์], สืบค้นเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2561, สืบค้นจาก : http://cai.oas.psu.ac.th/~badul/55/21.pdf. 15 พจนานกุ รม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542, 740-741. 16 วิบูลย์ ล้ีสุวรรณ, นามานุกรมเคร่ืองจักรสาน. พิมพ์คร้ังที่ 1 (ด่านสุทธาการพิมพ์ : เมอื งโบราณ, 2553) 285. 17 วบิ ลู ย์ ลี้สวุ รรณ, พจนานกุ รมผา้ และเครอ่ื งถักทอ, พมิ พ์คร้งั ท่ี 2 (ด่านสุทธาการพมิ พ์ : เมอื งโบราณ, 2559), 153.
24 แทนตอก การทอเร่ิมจากการใช้เส้นฝ้ายหรือเส้นไหมเปน็ เส้นยืน (Warp yarn) ในแนวต้ัง และใชเ้ ส้น พ่งุ (Weft) ในแนวนอนสอดขัดกนั ไปอยา่ งตอ่ เนือ่ งในลกั ษณะยกขึ้นและข่มลงให้เส้นใยสอดขดั สลับกนั ไปเรอื่ ย ๆ จนเป็นผืนผา้ ตามตอ้ งการ18 5. ทฤษฎีจิตวิทยา 1. ทฤษฎีโครงสร้าง-หน้าท่ีนยิ ม นักสังคมวทิ ยาในกลุ่มทฤษฎีโครงสร้างนิยมไดต้ ั้งคาถามกับเร่ืองของความเป็นเหตเุ ปน็ ผลของสังคมในฐานะ “ระบบ” ท่ีเกิดจากความจริงเกี่ยวกับสังคมโดยรวม (Total social facts) โดย เชื่อว่ามีโครงสร้างบางอย่างซ่อนอยู่ในทุกสังคมและโครงสร้างน้ีแสดงให้เห็นหน้าท่ีของส่วนต่าง ๆ ท่ีเป็นระบบเกี่ยวข้องกัน โดยมีนักคิดคนสาคัญในทฤษฎโี ครงสร้างหน้าท่ี ไดแ้ ก่ เฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ (Herbert Spencer) แฟร์ดินองด์ เดอ โซสซูร์ (Ferdinand de Saussure) เลวี สโตร้ส (Levi Strauss) และ โรเบิร์ต เมอร์ตนั (Robert Merton) ในขณะที่ทฤษฎปี ฏิสัมพันธ์เชงิ สัญลักษณ์เกิดข้ึนในอเมริกาซึ่งเป็นการมองสังคมในเชิง จุลภาค แต่สาหรับโครงสรา้ ง-หนา้ ทน่ี ิยมเกดิ ข้นึ ในยุโรป เป็นการมองสังคมในเชงิ มหาภาคค่ขู นานกนั ไป สังคม คือส่วนต่าง ๆ ท่ีประกอบกันข้ึนเป็นมวลรวมเปรียบเสมือนระบบอินทรีย์ของ รา่ งกายมนษุ ย์ทปี่ ระกอบด้วยกลมุ่ ก้อนจลุ นิ ทรยี ท์ เี่ ล็กมาก องคป์ ระกอบของสังคม มีดังตอ่ ไปน้ี 1.1 สถาบนั ครอบครัว ทาหนา้ ท่ผี ลิตและเลยี้ งดูสมาชิกใหม่ 1.2 สถาบนั พธิ กี รรม ทาหน้าทค่ี วบคมุ พฤตกิ รรมมนุษย์ 1.3 สถาบันการเมือง เช่น ประชาธิปไตย อนาธิปไตย 1.4 สถาบนั ศาสนา มีหลักคาสอนให้มนษุ ยย์ ึดถือ 1.5 สถาบันอาชีพ ทาใหเ้ กิดการแบง่ งานเปน็ สว่ นๆในสงั คม 1.6 สถาบันเศรษฐกิจ มีการแบง่ ระบบเปน็ ระบบทาส ระบบศกั ดนิ า และแรงงานเสรี ความสัมพันธ์ทางสังคม คือส่วนต่าง ๆ ของสังคมร่วมมือกันได้โดยแรงผูกพันทาง กายภาพ(เช่นเดียวกับระบบอนิ ทรีย์ของร่างกายมนษุ ย์) อกี ส่วนหนึ่งสัมพันธ์กันโดยส่ือกลาง คือ ภาษา (ท่าทาง การพูด และภาษาเขียน)19 18 วบิ ูลย์ ลสี้ ุวรรณ, พจนานุกรมผ้าและเครอื่ งถกั ทอ, พมิ พ์ครง้ั ที่ 2 (ด่านสทุ ธาการพิมพ์ : เมอื งโบราณ, 2559), 156. 19 สุภางค์ จันทวานิช, ทฤษฎีสังคมวิทยา, พิมพ์ครั้งท่ี 4 (วี.พริ้นท์ (1991) จากัด : สานกั พิมพแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2554), 137-145.
25 โครงสร้างหน้าท่ีของสังคม ภายในสังคมน้ันมีการทาหน้าท่ี (Function) ต่าง ๆ อย่าง เป็นระบบ (System) เพื่อการดารงอยู่ของแต่ละสังคม ในส่วนต่าง ๆ (Parts) หรือระบบย่อย (Subsystcms) ต่าง ๆ ภายในสังคมจะปฏบิ ัติงานต่อเน่ืองประสานสัมพันธ์กัน เพื่อมุ่งสู่ความมุ่งหมาย สุดท้าย (Goal) ของแต่ละสังคมคือความอยู่รอด ซ่ึงย่อมหมายรวมถึงความสามารถปรับปรุง เปลีย่ นแปลงภาวะตา่ ง ๆ ภายในสังคมใหเ้ หมาะสมกับกาลเวลาท่ีผ่านไปด้วย 2. ทฤษฎีปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ ทฤษฎีปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Interactionism) ได้รับการพัฒนา แนวคิดมาจากการทางานของ จอร์ช เฮอร์เบิร์ต มี้ด (George Herbert Mead) เฮอร์เบิร์ต บลูมเมอร์ (Herbert Blumer) และเออร์ว่ิง กอ้ ฟม่นั (Erving Goffman) เฮอร์เบิร์ต บลเู มอร์ เสนอความคิดหลกั ของทฤษฎีปฏสิ มั พันธ์เชิงสัญลักษณ์ไว้ว่า 1. มนุษยก์ ระทาต่อสิ่งตา่ ง ๆ ตามความหมายทใ่ี ห้กับส่งิ เหลา่ นน้ั 2. ความหมายเกิดขนึ้ จากกระบวนการปฏสิ มั พันธท์ างสงั คม 3. ความหมายถูกจัดและปรบั เปล่ียนไปตามสถานการณ์ 4. การกระทาทางสงั คมเปน็ ผลจากการปรบั เปลยี่ นความหมาย จอร์ช เฮอร์เบิร์ต ม้ีด ระบุว่าสิ่งที่ทาให้ “มนุษย์” แตกต่างจาก “สัตว์” นั้นคือกลไก ทางความคิด ทาให้มนุษย์รู้จักวางแผนและปรับพฤติกรรมให้เข้ากับสถานการณ์และเป้าหมายท่ีวางไว้ สามารถส่ือสารกับผู้อื่นในชีวิตประจาวัน โดยใช้สัญลักษณ์ธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าใจกัน ไดด้ นี ้ัน คือ ภาษา แต่ในทางศิลปะ ถือเป็นการสื่อสารความหมายจากจิตใจส่วนลึก จะต้องใช้สัญลักษณ์ ที่สร้างขึ้นใหม่ให้เหมาะสม เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงพุทธิปัญญาหรืออารมณ์สะเทือนใจ ศิลปินเขียนรูป ต้นไม้มิใช่เพื่อแสดงต้นไม้ในธรรมชาติ เขาใช้มันเป็นสัญลักษณ์ท่ีแสดงอารมณ์ความรู้สึกหรือ แนวความคิด ดังน้ัน สัญลักษณ์ในศิลปะจึงเป็นสัญลักษณ์ท่ีเกิดข้ึนใหม่ ทั้งโดยจิตสานึกและไร้สานึก เปน็ สญั ลักษณ์ทีแ่ สดงตวั ตนของศิลปิน เออร์วิ่ง ก้อฟม่ัน ได้เสนอแนวคิดมาอธิบายการกระทาของมนุษย์ แนวคิดดังกล่าว เรยี กว่า การวิเคราะหเ์ ชงิ ละคร ก้อฟมั่นคิดวา่ มนษุ ยแ์ ต่ละคนกาลังแสดง (Perform) อยูบ่ นเวที ทหี่ นา้ เวทีมีผู้ชม (Audience) ซึ่งได้แก่ บุคคลอ่ืนที่มนุษย์กาลังมีปฏิสัมพันธ์ด้วย บนเวทีประกอบด้วย ฉากหน้า (Front Stage) และฉากหลัง (Back Stage) หน้าฉากคือการนาเสนอตัวตนของมนุษย์ตามท่ี อยากให้ผู้อื่นเห็นหรือรับรู้ เลือกใช้ถ้อยคาท่ีเหมาะสมกับสถานภาพ มีกิริยาท่าทีและแต่งกายตาม บทบาท ตัวตนที่มนุษย์ต้องการนาเสนอให้ผู้อ่ืนเห็น (Presented self) โดยมนุษย์แต่ละคนก็มีหลัง ฉาก คือความรู้สึกนึกคิดท่ีไม่ต้องการเปิดเผยหรือนาเสนอให้ผู้อื่นรับรู้ เป็นส่วนที่มีความเป็นส่วนตัว
26 เรียกว่า ตัวตนที่ซ่อนเอาไว้ (Hidden Self) เม่ือขึ้นบนเวทีสิ่งท่ีเป็นหลังฉากก็จะไม่นาเสนอให้ผู้ชม ไดร้ บั ร2ู้ 0 6. ทฤษฎที ศั นศลิ ป์ 1. ศลิ ปะแบบส่ือผสม (Mixed Media) นิยามของการสร้างสรรค์งานในรูปแบบ Mixed Media คือ การนาวัสดุ วัตถุ มา ประยุกต์ผสมผสานเขาดว้ ยกันก่อเกดิ เป็นผลงานศิลปะ โดยไม่มีการจากดั ชนดิ ของวสั ดทุ ่ีเลือกนามาใช้ ในการสร้างสรรค์ผลงาน แต่วัสดุที่เลือกนามาใช้ต้องเป็นสื่อที่สะท้อนแนวความคิด ทัศนคติ ท่ีศิลปิน ต้องการแสดงออกให้ผู้ชมรับรู้ได้เป็นอย่างดี และรวมถึงการนาเทคนิค กระบวนการ ทางศิลปะมากกว่า 2 แขนง มาผสมผสาน สรา้ งสรรค์ให้เกดิ เปน็ ผลงานศิลปะอกี ด้วย โดยสรุปรูปแบบงานสอ่ื ผสม ไดด้ ังน้ี 1.1 ศิลปนิ สื่อผสมมีความเชอื่ ว่าสังคมมีอิทธิพลตอ่ ความเป็นอยู่ของมนุษย์ ศิลปนิ เป็น ผู้สื่อความหมายอิทธพิ ลนใี้ หเ้ หน็ เปน็ รูปธรรม 1.2 ศิลปินส่ือผสมมีความเช่ือว่า วัสดุมีความสาคัญเท่าๆกับความคิดสร้างสรรค์คือ รูปแบบของวัสดุหนึ่ง อาจใหค้ วามหมายอยา่ งหน่ึงหรอื หลายอย่างตอ่ ผ้พู บเห็น 1.3 ศิลปินส่ือผสมมีความเช่ือว่า เสรีภาพในการเลือกส่ือท่ีใช้สะท้อนความรู้สึกท่ี ต้องการแสดงออก เป็นส่ิงที่สังคมต้องยอมรับเพราะจะส่งผลให้เกิดเป็นภาระหน้าที่ และสิทธิในการ สร้างสรรค์รปู แบบ 1.4 ศิลปินสื่อผสมมีความเชื่อว่า ส่ือวัสดุทุกชนิดย่อมมีความจากัดในรูปแบบและ คุณสมบตั ิ เม่ือนามาสรา้ งสรรคเ์ ปน็ สง่ ใหม่แลว้ ก็จะลดความจากัดนั้นลง 1.5 ศิลปินสื่อผสมมีความเช่ือว่า การแปลความคิดสร้างสรรค์และความรู้สึกของตน โดยใช้วัสดเุ ป็นสื่อรองรับรูปแบบที่สร้างขึ้นใหม่น้ันย่อมข้ึนอยู่กับประสบการณืและสภาพสังคม ตามท่ี ศิลปินมสี ่วนรว่ มอยู่21 2. ศิลปะติดตัง้ (Installation) คาว่า การติดตั้ง (Installation) เป็นคาที่ประยุกต์มาจากการจัดตกแต่งพ้ืนท่ีภายใน เป็นรูปแบบเฉพาะของการสร้างงานศิลปะในยุคสมัยใหม่ ซึ่งแพร่หลายและเป็นท่ีรู้จักอย่างกว้างขวาง 20 สุภางค์ จันทวานิช, ทฤษฎีสังคมวิทยา, พิมพ์คร้ังท่ี 4 (วี.พร้ินท์ (1991) จากัด : สานักพิมพแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2554), 127-133. 21 อารี สุทธิพนั ธ,ุ์ ศิลปะนิยม, พิมพค์ รัง้ ท่ี 4 (โอ.เอส.พรน้ิ ติ้ง เฮา้ ส์ : โอเดียนสโตร์, 2535), 275.
27 ในช่วงทศวรรษที่ 1970 เป็นการสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบของการจัดวางหรือติดตั้ง เพื่อเปล่ียน การรับรขู้ องผูช้ มทม่ี ตี ่อพื้นทน่ี ั้น ๆ ศิลปะติดตั้งนี้มีทั้งลักษณะที่เป็นการติดตั้งช่ัวคราวและสร้างถาวร ซ่ึงอาจถูกสร้างขึ้น ภายในห้องจัดแสดง พิพิธภัณฑ์ สถานที่ส่วนบุคคล หรือสถานที่สาธารณะ รูปแบบของผลงานมีความ ยืดหยุ่นทั้งในรูปแบบ วัสดุ หรือวัตถุ ซ่ึงจะถูกเลือกสรรจากคณุ สมบัติในการกระตนุ้ ความรสู้ กึ ของผู้ชม ผู้ชมจะมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดและรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับผลงานศิลปะ ส่วนการติดต้ังในลักษณะ แทรกแซงที่มีต่อพ้ืนที่ภายนอกมักถูกเรียกว่า พลับลิค อาร์ต (Pubic Art) แลนด์ อาร์ต (Land Art) หรอื ศิลปะการแทรกแซง (Intervention Art) กลุ่มศิลปินดาดาได้สร้างผลงานในลักษณะของการนาสิ่งของสาเร็จรูป หรือการใช้ สิ่งของเพียงชิ้นเดียวมาสร้างเป็นผลงาน เป็นการทลายขนบการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่มีมาแต่อดีต ลง เชน่ ผลงาน 'Fountain' ของ Marcel Duchamp22 3. ประติมากรรมนมุ่ (Soft Sculpture) ประติมากรรมที่สร้างสรรค์จากการนาวัสดุที่มีความยืดหยุ่น ได้แก่ ผ้า เชือก พลาสตกิ ส่ิงทอ โฟม ยาง และอื่น ๆ มาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์ประติมากรรม ซ่ึงยังไม่เป็นที่ยอมรับ และนิยมใช้กันในช่วงแรก อกี ท้ังอาจมีโครงสร้างภายในจากวัสดุที่มีความแข็ง เพ่ือให้รูปทรงสามารถ คงตัวได้ เช่น โลหะ ไม้ หรือวัตถุ จากนั้นอาจมาการบรรจุภายในของรูปทรงด้วยนุ่น ใยสังเคราะห์ เพอื่ ใหเ้ กิดความรสู้ กึ นุ่มนา่ สมั ผัส แสดงให้เหน็ ถึงปรากฏการณใ์ หม่จากประตมิ ากรรมในรูปแบบดั่งเดิม ทใี่ ชว้ ัสดุเนื้อแขง็ เปน็ วัสดุหลักในการสรา้ งสรรค2์ 3 4. สัญลักษณ์นยิ ม (Symbolic) สัญลักษณ์นิยม เป็นความเคลื่อนไหวทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมในยุโรป โดยแรกเริ่ม เกดิ ขึน้ ชว่ งคร่งึ หลังของศตวรรษท่ี 19 ในวงการวรรณกรรม แนวคิดสัญลักษณน์ ิยมได้แผ่ขยายสู่วงการ ศิลปะเมื่อเข้าสู่ศตวรรษท่ี 20 ซึ่งส่งอิทธิพลให้กับงานทัศนศิลป์เร่ือยมาจนถึงปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่า สัญลักษณน์ ิยมส่งอิทธิพลครอบคลมุ แนวคิด รูปแบบ และพัฒนาการของศิลปะในศตวรรษที่ 20 อย่าง ลกึ ซึ้งและกวา้ งขวาง 22 สรรเสริญ สันติธญะวงศ์, ศิลปะในศตวรรษท่ี 20, พิมพค์ ร้ังท่ี 1 (มหาวทิ ยาลัยศิลปากร : โครงการตาราและหนงั สอื คณะอักษรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร, 2560), 234-236. 23 ประติมากรรมนุ่ม:พื้นท่ีแห่งสีสัน และการสร้างปฏิสัมพันธ์, [ออนไลน์], สืบค้นเมื่อ 4 ธั น ว า ค ม 2561, สื บ ค้ น จ า ก : http://www.thapra.lib.su.ac.th/objects/thesis/fulltext/ bachelor/p52558001/p52558001
28 แนวคิดและหลักสุนทรียศาสตร์ของสัญลักษณ์นิยม เน้นความสาคัญของความรู้สึก ปลุกเร้าเร่ืองราวหรือข้อมูล และเน้นย้าถึงพลังของการใช้บางสิ่งบางอย่างแสดงนัยยะความหมาย โดยการ “บอกนัยยะ” (Suggestion) เป็นการผสมของแนวคิดจากหลายส่วน มคี วามสลบั ซบั ซอ้ นโดย ได้รับแรงบันดาลใจจากท่ีมาหลากหลาย ซึ่งทฤษฎีจิตวิทยาและความเชื่อในเร่ืองลึกลับช่วยอธิบายถึง กระบวนการรับรู้และการสัมผัสเชิงสัญลักษณ์ได้ การเข้าสู่อาณาบริเวณท่ีไร้กฎเกณฑ์และเหตุผลน้ี สามารถทาได้โดยการใช้ยาหรือวิธีการของลัทธิ นิกายทางศาสนา หรือขบวนการที่เก่ียวข้องกับ จิตวิญญาณ ท่ีแสดงให้เห็นถึงกระบวนการทางจิตท่ีสามารถนาไปสู่ความรู้และความเข้าใจ เช่น ความสนใจท่ีเก่ียวข้องกับสิ่งลึกลับในธรรมชาติ จิตวิทยา ภาษาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ทฤษฎีทาง การเมือง และเป้าหมายทางสุนทรียศาสตร์ โดยแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะนามธรรม และศิลปะที่ใช้ตัวแทน ศิลปินในยุคแรก ๆ ให้ความสนใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณและ การปลุกเร้าให้เกิดการตระหนักรู้ ผ่านเรื่องราวลึกลับ แปลกประหลาด ท้ังในศาสนาและวรรณคดี โดยทุ่มเทและพงุ่ ความสนใจไปยงั เปา้ หมายที่แสดงออกในเชงิ อุดมคติ ฝรั่งเศสถือได้ว่าเป็นผู้นาในพัฒนาการของสัญลักษณ์นิยมโดยมี Paul Gauguin เป็นผู้มี บทบาทแสดงให้เห็นถึงความสนใจที่มีต่อแนวคิดแบบสัญลักษณ์นิยม Gauguin มีความคิดเห็นว่า ปฏิกิริยาและการโต้ตอบของอารมณ์ความรู้สึกท่ีมีต่อธรรมชาติเป็นส่ิงสาคัญกว่าพุทธิปัญญา ทั้ง เส้น สี หรือจานวนของส่ิงที่สามารถส่ือความหมาย เป็นสิ่งสาคัญในส่วนท่ีเป็นสหัสญาณของศิลปิน และ ศิลปินก็ควรจะสื่อสารทั้งความรู้และความรู้สึกท่ีได้จากธรรมชาติ ด้วยวิธีการที่แสดงออกผ่านรูปทรง ที่เรียบง่ายท่ีสุด จิตวิญญาณในธรรมชาติท่ีบริสุทธ์ิของชนพ้ืนเมืองท่ีไม่ผ่านระบบการศึกษาใด ๆ หา่ งไกลความเจริญทางวตั ถุ ไดน้ าพาศลิ ปนิ ไปสกู่ ารสรา้ งรูปทรงพน้ื ฐานใหม่เพอื่ ใช้ในการส่ือสารศิลปะ ในฐานะท่ีเป็นรูปทรงของภาษา แม้รูปลักษณ์แตกต่างไปตามอนารยะชนหรือชนเผ่า แต่ยังสามารถ สอื่ สารในรูปแบบสัญลักษณน์ ิยมไดเ้ ช่นกัน สัญลักษณ์นิยมปฏิเสธรูปลักษณ์ท่ีนิยมทาตามกันเป็นแบบแผน และแทนที่ด้วยเร่ืองราว ที่แสดงถึงความรู้สึก โดยหลีกเลี่ยงการแสดงออกด้วยเร่ืองราวท่ีให้เห็นความหมายตรงตัวของวัตถุ รูปภาพธรรมดาเหล่านี้มีพลังในการเสริมสร้างบางสิ่งบางอย่างในการตระหนักรู้เก่ียวกับชีวิต เป้าหมายของสัญลักษณ์นิยมต้องการให้เกิดการหวนระลึก เกิดอารมณ์ในการกระตุ้นความทรงจา ใช้รูปลักษณ์พิเศษในการแสดงออก ซ่ึงอาจเป็นเพียงเร่ืองธรรมดาท่ีเรียบง่าย มีพื้นผิวท่ีแบนราบถูก ปกคลุมด้วยการประกอบกันเข้าของสีอย่างถูกต้อง ( A Flat surface covered with colors assembled in a certain order) รูปแบบท่ีเป็นเอกลักษณข์ องสัญลกั ษณ์นิยม คือ ลดทอนลักษณะที่
29 สมจริงลงด้วยวิธกี ารทีเ่ รียบง่าย ไมม่ ีความกระจา่ งชัด ลดการแสดงออกทีด่ ูฟุม่ เฟือย เร้าอารมณ์ ซ่ึงถกู นามาใชใ้ นงานทศั นศิลปใ์ นศตวรรษท่ี 2 อย่างแพร่หลาย24 5. Feminism เป็นแนวคิดท่ีให้ความสาคัญกับพื้นท่ีในสังคมของผู้หญิง ความเคล่ือนไหวของศิลปะ สตรีนิยมเก่ียวขอ้ งและสอดรบั กบั ขบวนการของกลุม่ สตรนี ยิ มสากล ศลิ ปินสตรนี ิยมสร้างผลงานศิลปะ ที่สะท้อนให้เห็นถึงสถานะภาพและความเป็นอยู่ของผู้หญิง แต่ผู้ท่ีสร้างงานตามแนวทางสตรีนิยม ไม่จาเป็นตอ้ งเปน็ สตรีเสมอไป หรือศิลปนิ ผู้หญิงอาจไม่ใช่ศิลปินสตรีนิยมทุกคน การใช้ส่ือและเทคนิค ในการเสนอท่ีเปิดกว้างต่อการแสดงออกทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นผลงานทัศนศิลป์ในรูปแบบของ สอื่ การแสดง ศลิ ปะตดิ ตัง้ ความเคล่อื นไหวของศลิ ปะสตรนี ิยมมจี ุดเรมิ่ ตน้ ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ศิลปะสตรี นิยมเป็นความพยายามในการสร้างบทสนทนาระหว่างผู้ชมกับตัวผลงานทัศนศิลป์ จากมุมมองที่ถูก กดดันของผู้หญิงซึ่งไม่ได้เพียงมุ่งหวังเพียงถ่ายทอดออกมาในเชิงสุนทรียะที่มีในผลงาน หากแต่เป็น ความต้องการกระตุ้นและสร้างคาถามแก่ผู้ชมท่ีมีต่อพ้ืนที่ทางสังคม การเมือง การต้ังคาถามนี้จะ นาไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อความเท่าเท่ียม และเพื่อส่งเสริมโอกาสของผู้หญิงในโลกศิลปะ ซงึ่ อดตี ผหู้ ญงิ ถูกจากัดโอกาสและพืน้ ท่ดี ้วยอคตทิ างเพศ ศิลปินสตรีนิยมจงใจหลีกเล่ียงการสร้างสรรค์ผลงานในลักษณะท่ีเป็นแบบฉบับของ ศิลปินผู้ชาย เช่น จิตรกรรมและประติมากรรม ศิลปินส่วนใหญ่หันมาใช้เทคนิค วัสดุ และรูปแบบที่มี ความร่วมสมัย เช่น การใช้เรือนร่างเป็นพื้นที่ในการสร้างงานผลงานทัศนศิลป์ ศิลปะสื่อการแสดง ภาพถ่ายและรวมถึงโฟโต้มอนทาจ ตลอดจนศิลปะติดต้ัง ศิลปะสตรีนิยมแพร่หลายไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของโลกอย่างรวดเร็ว มีส่วนสนับสนุนกลุ่มอ่ืน ๆ ท่ีถูกกีดกันออกจากโลกศิลปะ ทั้งกลุ่มรักร่วมเพศ กลุ่มวัฒนธรรมใตด้ ิน หรือกลุ่มคนชายขอบที่อยู่ในวฒั นธรรมชนเผ่าห่างไกล ให้มีพน้ื ที่ในโลกศิลปะได้ อย่างภาคภูม2ิ 5 24 สรรเสริญ สันติธญะวงศ์, ศิลปะในศตวรรษที่ 20, พมิ พ์ครั้งท่ี 1 (มหาวิทยาลัยศิลปากร : โครงการตาราและหนังสอื คณะอักษรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศิลปากร, 2560), 64-69. 25 เรื่องเดยี วกนั , 254-256.
30 7. อทิ ธิพลทไี่ ด้รับจากศิลปนิ อทิ ธพิ ลจากศลิ ปนิ ไทยดา้ นแนวความคดิ 1. ชะลูด น่ิมเสมอ “คล้ายบันทึกประจาวัน แต่เป็นการบันทึกความรู้สึกนึกคิดของเราซ่ึงไม่สามารถท่ีจะ เขียนเป็นตัวอักษรได้ แต่เราก็จะขีดเขียนไปตามความรู้สึก ในขณะช่วงหน่ึงของวัน ของอีกวันและ อีกวนั มันกเ็ ปล่ียนแปลง แตว่ ่าก็ยังเปน็ แนวเดิม เพราะชวี ิตเรากไ็ มเ่ ปลี่ยนไปมาก”26 เปน็ บทสมั ภาษณ์ ของศิลปนิ ถึงทัศนคติการสร้างสรรค์งานวาดเสน้ ของตนเอง โดยส่วนใหญถ่ า่ ยทอดออกมาในรปู ลกั ษณ์ ของ “ผู้หญิง” มีความหลากหลายของช่วงวัย อิริยาบถ รวมไปถึงองค์ประกอบของสภาพแวดล้อม ท่ีแตกต่างกัน โดยถ่ายทอดผา่ นรปู ทรงทส่ี มถะ เรยี บงา่ ย เช่นเดียวกบั วิถชี วี ิตของศิลปิน “ผู้หญงิ ” ในผลงานของศิลปินนน้ั ไมใ่ ชต่ วั แทนของคน แตม่ ันเปน็ ความรสู้ ึกของตนเอง มากกว่า มันคือความอ่อนหวานนุ่มนวล ซึ่งมีท่ีมาจากผู้หญิงและไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าจะเป็นลูกสาว หรือวา่ แม่ แต่มันเป็นตวั เองมากกวา่ เป็นความรสู้ ึกของตวั เองท่ีใชร้ ูปของผหู้ ญงิ เปน็ ตวั แทน27 ภาพที่ 17 ภาพผลงานของชะลดู นม่ิ เสมอ ทม่ี า : http://www.queengallery.org/en/exhibitions/past/exhibition?exhibition =7855, สืบค้นเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2561. ภาพที่ 18 ภาพผลงานของชะลดู น่มิ เสมอ ทีม่ า : http://www.bacc.or.th/event/616.html, สืบค้นเม่อื 20 พฤศจิกายน 2561. 26 ชะลดู น่ิมเสมอ, สายธารแหง่ ชีวติ , 2553. 27 เรื่องเดยี วกัน.
31 ภาพที่ 19 ภาพผลงานของชะลดู น่มิ เสมอ ทีม่ า : https://www.tripadvisor.co.uk/LocationPhotoDirectLink-g641719-d7201897-i227205393-Khao_Yai_Art_ Museum-Pak_Chong_Pak_Chong_ District_Nakhon_ Ratchasima_Provi.html, สืบคน้ เมื่อ 20 พฤศจิกายน 2561. 2. อนพุ งษ์ จนั ทร ในปัจจุบันอานาจเงิน ทาให้ศีลธรรมความเป็นมนุษย์ลดต่าลง สังคมปั่นป่วน วุ่นวาย มนุษย์ต่างคนต่างด้ินรนเอาตัวรอด จนละเลยหลักธรรมคาสอนของพุทธศาสนา เป็นหนึ่งในเหตุ ซ่ึงก่อให้เกิดการล่มสลายของสถาบันครอบครัว แผ่ขยายเปน็ วงกว้างไปสสู่ ถาบนั ต่าง ๆ รวมถึงสถาบนั ศาสนา ความถดถอยของพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน เกิดจากการประพฤติตนผิดพระธรรม วินัยของพระสงฆ์ผู้ซึ่งเป็นเนื้อนาบุญ ทาหน้าที่เผยแพร่หลักธรรมคาสอนของพระพุทธเจ้า จนสร้าง ความสลดหดหู่ สะเทือนอารมณ์แก่ศิลปินเป็นอย่างมาก เกิดเป็นแรงบันดาลใจมาสร้างสรรค์ผลงาน ทัศนศิลป์ ถึงแม้ผลงานแสดงออกในรูปแบบทุศีล แต่ก็เพียงเพื่อสะท้อนและมุ่งหมายไปในทางเก้ือกูล ศีลธรรม ส่งเสริมการยกระดับจิตใจของมนุษย์ ก่อเกิดพุทธิปัญญา โดยช้ีให้เห็นว่าเวรกรรมเป็นเรื่อง จริง บญุ -บาป ข้ึนอยกู่ ับการกระทาอันดีชวั่ ของตนเอง ศิลปินสะท้อนแนวคิดผ่านภาพลักษณ์ของเปรตที่มีรูปลักษณ์คล้ายนักบวชใน พุทธศาสนา โดยนาเรื่อง “เปรตภูมิ” ซ่ึงเป็นคติความเชื่อในเร่ือง ไตรภูมิ ปรากฏเป็นวรรณกรรม ภาพจิตรกรรมฝาผนัง สมุดข่อย ภาพพระบฏ มาเป็นกุศโลบายใช้เตือนสติมนุษย์ให้เห็นถึงผลบาป ผลบญุ ทไี่ ดก้ ระทาไว้ และสร้างสานึกให้ต้งั อย่บู นรากฐานของศลี ธรรมอนั ดีงาม ศิลปินถ่ายทอดแนวความคิดผ่านผลงานจิตรกรรมแบบสื่อผสม โดยเลือกใช้ “ผ้าจีวร” ซึ่งเป็นเครื่องนุ่งห่มของพระภิกษุ สามเณรในพระพุทธศาสนา เป็นพื้นหลังของผลงานเพ่ือให้มี ความสอดคล้องกับเน้ือหา รูปทรง และแนวความคิดเรื่อง “เปรตวิสัย” ได้รับแรงบันดาลใจจากงาน
32 จิตรกรรมตามคติความเช่ือโบราณของไทย ผสมผสานกับรูปทรงอ่ืน ๆ ที่พบเห็นจากสภาพสังคม และวถิ ีชีวิตในสงั คมปัจจุบัน28 ภาพที่ 20 ภาพผลงานของ อนพุ งษ์ จนั ทร ทมี่ า : http://www.thapra.lib.su.ac.th/ArtThesis46-57/ARTperson/2549_ %20Anu pong%20Chantorn.html, สืบคน้ เม่อื 20 พฤศจิกายน 2561. ภาพท่ี 21 ภาพผลงานของ อนพุ งษ์ จันทร ทม่ี า : http://www.resource.lib.su.ac.th/awardsu/web/artdetail.php?item_id= 860, สบื ค้นเมือ่ 20 พฤศจกิ ายน 2561. 28 เ ป ร ต วิ สั ย , [ออนไลน์] , สืบค้นเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2561, สืบค้นจาก : http://www.thapra.lib.su.ac.th/thesis/showthesis_th.asp?id=0000002530.
33 อิทธิพลจากศิลปนิ ตา่ งประเทศด้านแนวความคิด 1. Frida Kahlo งานจิตรกรรมของ Kahlo ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ ข้าวของเคร่ืองใช้ ศิลปะพื้นบ้านของเม็กซิกัน รวมท้ังการเมืองการปกครองภายในประเทศในช่วงเวลานั้น แต่สิ่งท่ี สง่ อิทธพิ ลตอ่ ผลงานมากทสี่ ุดคอื ประสบการณ์ความเจ็บป่วยทางด้านร่างกายตั้งแต่วัยเด็กของเธอ เมื่อ Kahlo อายุ 6 ขวบ เธอป่วยเป็นโปลิโอทาให้ขาข้างขวาเล็กกว่าขาข้างซ้าย เธอ จาเป็นต้องออกจากโรงเรียน ต่อมา Kahlo ได้เข้าเรียนช้ันอนุบาลและช้ันประถมพร้อมกับ Cristina น้องสาวของเธอ และเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนฝึกวิชาชีพ ซึ่งเป็นที่ที่เธอถูกทารุณกรรมทางเพศโดยครู ผู้หญิงในโรงเรียน ในวันท่ี 17 กันยายน พ.ศ. 2468 Kahlo ประสบอุบัติเหตุรถบัสที่นั่งชนกับรถราง ทาให้เธอได้รับบาดเจ็บสาหัสต้ังแต่กระดูกไหปลาร้าจนถึงกระดูกส่วนขา แท่งเหล็กที่เป็นชิ้นส่วนของ รถรางแทงทะลุผ่านกระดูกเชิงกรานของเธอ จากอุบัตเิ หตุคร้ังน้ีเป็นผลให้ Kahlo ต้องไดร้ ับการผ่าตัด มากกว่า 35 คร้ัง เป็นผลให้เธอไม่สามารถมีลูกได้ และต้องสวมเส้ือรัดลาตัว (Corset) นั่งเก้าอี้รถเข็น ไปตลอดบ้นั ปลายของชีวติ หลังเกิดอุบัติเหตุเธอเข้าสู่อาชีพศิลปินอย่างเต็มตัว Kahlo ได้แต่งงานกับ Diego Rivera ในขณะน้ันเค้าเป็นศิลปินท่ีมีช่ือเสียงในเม็กซิโก แต่ชีวิตแต่งงานของเธอก็ไม่ราบร่ืนนัก ทั้ง ความผิดหวังจากการแต่งงาน การแท้งลูกและอาการเจ็บป่วยเร้ือรัง ผลงานของ Kahlo จึงเต็มไป ด้วยสัญญะของความเจ็บป่วย ความตาย วัฒนธรรมท้องถ่ิน เช้ือชาติ ความเป็นสตรีเพศ และสะท้อน ถงึ การเมอื งการ ภาพท่ี 22 ภาพผลงานของ Frida Kahlo ที่มา : https://mydailyartdisplay.wordpress.com/tag/my-nurse-and-i-by-frida-kahlo/, สบื คน้ เม่ือ 22 พฤศจิกายน 2561.
34 ภาพท่ี 23 ภาพผลงานของ Frida Kahlo ทมี่ า : http://fermuugaar.blogspot.com/2013/06/las-dos-fridas-el-cuerpo-desgarrado-de.html?m=0, สบื ค้นเม่ือ 22 พฤศจกิ ายน 2561. 2. Paul Gauguin Gauguin เติบโตในเมืองลิมา ประเทศเปรู ซ่ึงเมืองน้ีได้สร้างภาพประทับใจให้เขาและ แสดงออกในผลงานทศั นศิลปใ์ นเวลาต่อมา เริ่มตน้ การการผจญภัยในท้องทะเล โดยทางานเป็นลูกเรือ ในเรือเดนิ สมุทร ต่อมาเข้ารับราชการทหารกับราชนาวฝี รั่งเศส และทางานเกี่ยวกับการเงนิ การลงทุน จนประสบความสาเร็จในอาชีพค้าหุ้น จากอาชีพลูกเรือเดินสมุทรอาจเป็นเหตุผลให้ศิลปินหลงใหล ในท้องทะเล เม่ือ Gauguin เริ่มเขียนรูปอย่างจริงจังเขาได้ละท้ิงปารีสไปยังหมู่เกาะตาฮิติ เพราะ เชื่อว่าการจะสร้างผลงานศิลปะที่ดีต้องได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตและธรรมชาติที่บริสุทธ์ิ ศิลปิน ยังไดร้ ับอิทธพิ ลจากการระบายสีบนกระจกแล้วใช้โลหะเชื่อมติดกัน (Stain glass) ซึ่งพบมากในโบสถ์ แบบกอธิก อีกทั้งการศึกษาจากสมุดภาพประกอบของเด็ก และภาพพิมพ์แกะไม้ของญ่ีปุ่น ซงึ่ ในขณะนัน้ ไดร้ ับความนิยมอยา่ งแพรห่ ลายเปน็ อยา่ งมากในฝร่ังเศส ผลงานจิตรกรรมของ Gauguin นั้นถือได้ว่ามีบทบาทสาคัญต่อศิลปะแบบ Symbolism เพราะมีความเข้มข้นทางอารมณ์ความรู้สึก มีรูปแบบของศิลปะ Primitivism และการ เขียนภาพแบบจิตรกรรมท้องทุ่ง (Pastoral) กล่าวคือ ศิลปินได้ถ่ายทอดเร่ืองราววิถีชีวิต วัฒนธรรม ความเช่ือของชาวพื้นเมือง โดย Gauguin เลือกใช้สีสันจัดจ้าน ไม่มีเงา รูปทรงแบนและเรียบง่าย ในบางครั้งอาจมีรูปทรงท่ีบิดเบี้ยว โดยใช้เทคนิค Cloisonism-Cloison ในภาษาฝรั่งเศส แปลว่า
35 เครื่องก้ันแบ่งแยกเป็นส่วนๆ นาไปสู่รูปแบบการเขียนท่ีเรียกว่า สังเคราะห์นิยม (Synthetism) ถือไดว้ ่า Gauguin เปน็ ผู้ทีม่ ีบทบาทสาคัญตอ่ ศิลปะแบบ Symbolism 29 ภาพที่ 24 ภาพผลงานของ Paul Gauguin ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%A5_%E0%B9% 82%E0%B8%81%E 0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%87, สบื คน้ เม่อื 22 พฤศจกิ ายน 2561. ภาพที่ 25 ภาพผลงานของ Paul Gauguin ทม่ี า : https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%A5_%E0%B9% 82%E0%B8%81% E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%87, สืบคน้ เมื่อ 22 พฤศจกิ ายน 2561. 29 สรรเสริญ สันติธญะวงศ์, ศิลปะในศตวรรษท่ี 20, พิมพ์ครั้งท่ี 1 (มหาวิทยาลัยศิลปากร : โครงการตาราและหนังสือคณะอกั ษรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร, 2560), 46-48.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132