Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การผลิตน้ำผึ้งคุณภาพ

การผลิตน้ำผึ้งคุณภาพ

Description: การผลิตน้ำผึ้งคุณภาพ.

Search

Read the Text Version

ไม่เพ่ิมติดต่อกัน 2 - 3 วัน โดยท่ีสภาพแวดล้อมอื่นๆ ยังอยู่ในสภาพที่เหมาะสมก็เป็นเวลา ทเี่ รม่ิ บง่ ถงึ การส้ินสดุ ของฤดดู อกไมบ้ าน นอกจากน้คี วรสงั เกตการทำ� งานของผึง้ งานโดยพิจารณา จากปรมิ าณการเขา้ – ออกรงั เพ่อื เก็บสะสมน้ำ� หวานและเกสรดอกไม้ 4.2 การตรวจดูรังผึ้งระหว่างฤดูดอกไมบ้ าน การปฏิบัติงานกับรังผ้ึงในช่วงนี้เป็นการตรวจสภาพรังท่ัวไป โดยคอยสังเกตระมัดระวัง หลีกเลี่ยงไม่ให้ผ้ึงเผชิญกับปัญหาสารเคมีฆ่าแมลง เพราะแหล่งท่ีจะให้น้�ำหวานและเกสรต่อผ้ึง มากพอทจี่ ะเป็นการค้าไดน้ น้ั ส่วนมากแล้วมักจะเปน็ พ้นื ท่ีทางการเกษตร โดยเฉพาะอย่างย่งิ ตาม สวนผลไม้ ในแถบจังหวัดทางภาคเหนือ ไดแ้ ก่ ส่วนลำ� ไยและลน้ิ จี่ ดงั นัน้ อัตราเสย่ี งต่อการทผ่ี ึ้งจะ ไดร้ บั อนั ตรายจากยาฆา่ แมลงจงึ มอี ยสู่ งู พอสมควร จงึ จำ� เปน็ อยา่ งยง่ิ ทผี่ เู้ ลย้ี งผง้ึ จะตอ้ งทราบถงึ ชว่ ง ระยะเวลาท่ีชาวสวนในปริเวณที่ตนวางรังผึ้งอยู่และบริเวณส่วนข้างเคียงในรัศมีของการบิน ของผง้ึ จะท�ำการฉดี พน่ สารเคมฆี า่ แมลง หากพบวา่ อาณาบรเิ วณทผี่ ง้ึ เกบ็ น�้ำหวานมกี ารฉดี สารเคมี ฆ่าแมลง หรือพบว่าผ้ึงของตนเอง ตายภายในรังในปริมาณมากผิดปกติ ให้รีบปิดรังผ้ึงเสียเพื่อไม่ ใหผ้ งึ้ บนิ เข้าออก ข้อระวงั ในการปดิ รงั เพื่อปอ้ งกนั พิษจากสารเคมีฆ่าแมลง ก็คอื จะต้องชว่ ยระบาย ความร้อนหรือป้องกันความร้อน ความอบอ้าวภายในรังผึ้งนั้น โดยการใช้ตะแกรงมุ้งลวดปิดแทน ฝาครอบรัง และปิดปากทางเข้าออกรังพร้อมกับใช้กระสอบป่านหรือผ้าห่อหุ้มรัง และต้องใช้ ผา้ ชุ่มนำ�้ ตลอดเวลากลางวัน ซึ่งจะช่วยลดและระบายความร้อนไดด้ พี อสมควร หรอื จะเลอื กใชว้ ิธี ทีเ่ สี่ยงนอ้ ยที่สุด โดยการเคลอื่ นย้ายรงั ผ้ึงออกไปจากบรเิ วณท่ีใชส้ ารเคมฆี า่ แมลง ส่ิงท่ีควรระวังอีกอย่างหนึ่งก็คือ ควรหม่ันตรวจตราให้ผึ้งแม่รังมีที่วางไข่เพียงพอ และให้ผ้ึงงานมีท่ีสะสมน�้ำผึ้งที่เหมาะสม การแออัดของผึ้งในรังที่เกิดมาจากปัญหาพ้ืนท่ีการวางไข่ ไม่เพียงพอ อาจจะชักน�ำให้ผ้ึงรังนั้นๆ เกิดการแยกรังได้ ซ่ึงถ้าผู้เลี้ยงขาดความระมัดระวังแล้ว ก็อาจทำ� ให้เกิดการสูญเสียประชากรผ้ึงไปในช่วงเวลาที่เรา ทุกคนต้องการให้ผึ้งแต่ละรังมีประชากร ผง้ึ งานสูงสุด อันจะสง่ ผลกระทบไปถงึ ปรมิ าณนำ�้ ผึง้ ที่สะสมในรงั ผึง้ น้ันๆ อีกดว้ ย ภาพการบันทกึ นำ้� หนักของรังผง้ึ และการตรวจเชค็ ประชากรภายในรังผึ้ง การผลิตนำ้� ผ้งึ คุณภาพ 95

4.3 การเกบ็ รวงนำ�้ ผง้ึ จากรงั ในขบวนการเกบ็ น้�ำหวานจากธรรมชาติ บรรดาผ้งึ งานจะดูดนำ�้ หวานและสะสมไวภ้ ายใน อวัยวะท่ีเรียกว่า “กระเพาะน้�ำหวาน” ซ่ึงเป็นส่วนหนึ่งของล�ำไส้ที่แปรสภาพไปเป็นถุง แล้วน�ำ กลบั มาสะสมไวใ้ นรวงเกบ็ นำ้� ผ้งึ ท�ำการบม่ ใหม้ ีความเขม้ ขน้ จนกลายเปน็ นำ้� ผึ้ง คอื การทำ� ให้เกิด การระเหยของน�้ำออกจากน้�ำหวานจนกระทั่งน้�ำมีความเข้มข้นได้ท่ี ซึ่งจะมีนำ�้ เหลืออยู่ประมาณ ร้อยละ 20 โดยน�้ำหนัก ในการท่ีจะสังเกตได้ว่าผึ้งงานท�ำการบ่มน�้ำหวานได้ท่ีแล้วก็ดูได้จาก การท่ีมันจะใช้ไขผ้ึงปิดฝาหลอดรวงที่สะสมน้�ำผ้ึง แต่ส�ำหรับรวงยังมีความเข้มข้นไม่ได้ท่ีน้ัน ผู้เลี้ยงควรรอจนกระท่ังรวงน้�ำผ้ึงถูกปิดฝาหลอดรวงเรียบร้อยแล้ว จึงค่อยท�ำการเก็บรวงน้�ำผ้ึง เหล่าน้ันจากหบี เลยี้ งเพ่อื น�ำไปสลดั เอานำ้� ผึง้ ต่อไป ในกรณที รี่ ังเล้ียงผึง้ เป็นรงั ชั้นเดียว หรือรังเลยี้ งผึ้งแบบไต้หวนั จะตอ้ งมกี ารเก็บน�้ำผ้งึ บอ่ ย ครัง้ โดยการเกบ็ นำ้� ผงึ้ ในแตล่ ะครง้ั จะใช้เวลาห่างกันประมาณ 7 – 10 วนั ทง้ั นเี้ นอื่ งจากพน้ื ท่เี กบ็ น�้ำผึ้งภายในรังค่อนข้างมีจ�ำกัด และมีรังเพียงชั้นเดียว ดังน้ันภายในรังผึ้งจึงมีท้ังตัวอ่อนของผึ้ง (ไข่ หนอน และดกั แด)้ และนำ�้ ผงึ้ อยดู่ ว้ ยกนั เมอ่ื ท�ำการเก็บน้�ำผึ้งจึงควรเลือกเฉพาะคอนน้�ำผึ้ง ทีม่ ีการปดิ ฝาหลอดรวงเรยี บรอ้ ยแลว้ 30 - 70 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นกับชนิดของพืชอาหาร มาสลัด น้�ำผ้ึง เพ่ือไม่ให้ความชื้นของน�้ำผึ้งสูงเกิน 21 เปอรเ์ ซนต์ และปอ้ งกนั การปนเปอ้ื นในนำ�้ ผงึ้ อนั เนอ่ื งมาจากตวั ออ่ นของผง้ึ ปะปนลงไปในนำ้� ผง้ึ ซึ่งจะท�ำให้น้�ำผ้ึงมีคุณภาพต่�ำกว่ามาตรฐาน เนอ่ื งจากมีการปนเปือ้ น และมีความชืน้ สูงกว่า ท่ีก�ำหนดไว้ในมาตรฐาน (สามารถดูมาตรฐาน ภาพคอนนำ้� ผงึ้ ปิดหลอดรวง 90 – 100 % การผลิตน้�ำผึ้ง และมาตรฐานคุณภาพน้�ำผ้ึงได้ ในภาคผนวก) อยา่ งไรกต็ าม เกษตรกรผเู้ ลยี้ งผงึ้ ในประเทศไทยนยิ มเล้ยี งผ้ึงในรังชนั้ เดียว หรอื รังแบบไตห้ วนั เนื่องจากสะดวกต่อการขนยา้ ย เข้าในพื้นท่ีแหล่งอาหารแต่หากเกษตรกรให้ ค ว า ม ส� ำ คั ญ ใ น คุ ณ ภ า พ ข อ ง น�้ ำ ผึ้ ง แ ล ะ มี ความซอื่ สตั ยต์ อ่ อาชพี การเลยี้ งผงึ้ โดยเกบ็ นำ�้ ผงึ้ มาสลดั เมื่อมกี ารปดิ ฝาหลอดรวงแลว้ กจ็ ะได้ นำ้� ผง้ึ ทม่ี คี ณุ ภาพตามมาตรฐานเชน่ กนั นำ�้ ผง้ึ ท่ี ได้จะมคี วามช้นื ตำ่� ไม่เกิน 21 เปอรเ์ ซน็ ต์ และ ไม่เกิดฟองอากาศอันเนื่องมาจากน�้ำผึ้งเกิด ภาพคอนน�้ำผ้ึงจากรงั ช้นั เดียว ทีม่ ดี กั แดป้ นอยบู่ นคอน 96 การผลติ น้�ำผ้งึ คุณภาพ

การหมัก (ferment) หรือเกิดฟองน้อย เกษตรกรผู้เลี้ยงผ้ึง ไม่จ�ำเป็นต้องเอาน�้ำผ้ึงไปอบหรือไล่ ความช้ืนด้วยความร้อนแต่อย่างไร จะท�ำให้ได้น้�ำผึ้งท่ีมีคุณภาพและไม่สูญเสียคุณค่าทางอาหาร ตามธรรมชาติของน�ำ้ ผึ้งอันเน่ืองมาจากการผ่านความร้อน และเป็นการลดตน้ ทนุ ในการผลติ นำ�้ ผงึ้ ในกรณที รี่ งั ผ้งึ เป็นแบบมาตรฐาน หรือรังผง้ึ แบบยุโรป จะมกี ารซอ้ นตัวรังต้ืน (Shallow Supers) ขึน้ ไปจากตัวรงั (Bee Hive) ซึ่งมตี วั ออ่ นของผึ้ง (ไข่ หนอน ดักแด้) ซอ้ นข้นึ ไปตง้ั แต่ 1 ถึง 6 ชั้น ขึ้นอยู่กับปริมาณพืชอาหารในขณะเก็บผลผลิตน�้ำผ้ึง โดยมีแผ่นกั้นนางพญา (queen excluder) กนั้ ระหว่างตวั รงั (Bee Hive) และตวั รังตนื้ (Shallow Supers) ดังนัน้ นางพญาผึ้ง จะวางไขเ่ ฉพาะในชน้ั ตัวรัง (Bee Hive) เทา่ นั้น เน่อื งจากนางพญาผ้งึ ไม่สามารถเดนิ ผา่ นแผ่นกั้น นางพญา (queen excluder) ได้ สำ� หรบั ในช้นั ของตวั รังตน้ื (Shallow Supers) ผ้ึงงานจะเกบ็ เฉพาะน้�ำผ้ึงเท่าน้ัน เน่ืองจากในสภาพปกติแล้วผึ้งงานจะมีพฤติกรรมเก็บน้�ำผ้ึงไว้ชั้นบนของรัง โดยจะเกบ็ น้�ำผงึ้ ไวด้ า้ นบนของคอน และเมอ่ื พน้ื ทข่ี องคอนในรงั ชน้ั ลา่ งเตม็ แลว้ ผงึ้ งานจะเกบ็ น้�ำผงึ้ ในหลอดรวงของรงั ผึ้งในชัน้ ถัดขน้ึ ไปดา้ นบน ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดการเลี้ยงผึ้งในรังแบบมาตรฐานหรือรังยุโรป จะมีพ้ืนท่ีการ เก็บน้�ำผ้ึงมากกว่ารังช้ันเดียว ท�ำให้ระยะเวลาในการเก็บน�้ำผ้ึงในแต่ละครั้งจะยืดออกไปประมาณ 7 - 14 วนั ตอ่ การสลดั นำ้� ผงึ้ 1 ครงั้ หรอื อาจจะรอจนสน้ิ สดุ ฤดกู าลการเกบ็ น�้ำผงึ้ แลว้ จงึ คอ่ ยสลดั นำ้� ผง้ึ เนอื่ งจากมกี ารซอ้ นรงั ผึง้ ขึ้นไปเร่อื ยๆ ซ่งึ หลอดรวงน้�ำผง้ึ จะเตม็ และปิดฝาหลอดรวงทั้งหมด ทำ� ให้ เกษตรกรผเู้ ลย้ี งผง้ึ ไมต่ อ้ งสลดั นำ้� ผง้ึ บอ่ ยครง้ั ทำ� ใหป้ ระหยดั เวลาและแรงงาน อยา่ งไรกต็ ามจะตอ้ ง คอยดวู า่ จะตอ้ งเสรมิ หรอื ซอ้ นรงั ขน้ึ ในชว่ งเวลาทเ่ี หมาะสมดว้ ย และผลผลติ นำ้� ผง้ึ ทไ่ี ดจ้ ะมคี ณุ ภาพสงู มีความชื้นต่�ำ และเหมาะส�ำหรับพืชอาหารที่มีระยะการบานส้ัน แต่มีน�้ำหวานมาก เช่น ดอกงา ดอกทานตะวนั หากเลย้ี งดว้ ยรงั ผงึ้ แบบยโุ รปจะทำ� ใหไ้ ดค้ ณุ ภาพนำ้� ผง้ึ ดกี วา่ การเลยี้ งในรงั ผง้ึ ชน้ั เดยี ว และท�ำให้ประชากรภายในรังผึ้ง ได้แก่ ไข่ หนอน ดักแด้ ของผึ้งงาน ไม่เสียสมดุล เนื่องจากมี หลอดรวงใหน้ างพญาผงึ้ สามารถวางไขไ่ ดต้ ามปกติ และภายหลงั จากฤดดู อกไมบ้ าน ผงึ้ ในรงั ดงั กลา่ ว จะไม่ทรุดและสามารถผลิตประชากรได้อย่าง ต่อเน่ือง สามารถเก็บน้�ำหวานหรือสร้างความ แขง็ แกรง่ ใหก้ บั ประชากรภายในรงั ไดร้ วดเรว็ ขน้ึ อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงผ้ึงในรังแบบยุโรปยัง ไม่ค่อยเป็นท่ีนิยมในประเทศไทย เน่ืองจาก การเลี้ยงผ้ึงในรังแบบยุโรปจะต้องมีประชากร ผึ้งจำ� นวนมาก และแข็งแรง จงึ จะสามารถเก็บ น้�ำผงึ้ ไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ ประกอบกบั ตอ้ ง ลงทุนสูงในการซ้ือรัง และการขนย้ายรัง ท่ีไม่ สะดวก แตห่ ากผเู้ ลย้ี งมที นุ ดำ� เนนิ การทมี่ ากพอ และเข้าใจชีววิทยาของผึ้งตลอดจนเทคนิค ภาพผ้งึ งานสรา้ งหลอดรวงซ้อน ในช่วงฤดูกาลเก็บนำ�้ ผึ้ง การผลติ นำ�้ ผ้งึ คุณภาพ 97

การจดั การเลย้ี งผงึ้ พนั ธเ์ุ ปน็ อยา่ งดี การเลยี้ งผงึ้ ในรงั แบบยโุ รปเปน็ ทางเลอื กทด่ี ใี นการผลติ นำ้� ผง้ึ คณุ ภาพ สะอาด ปลอดภัยจากสิ่งปนเปื้อนและปลอมปนต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการด�ำเนินการ นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้ผึ้งงานสามารถเก็บนำ้� ผ้ึงได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เน่ืองจากมีพ้ืนท่ี หลอดรวงมากพอทจี่ ะเกบ็ นำ�้ ผงึ้ ตลอดฤดกู าล โดยผงึ้ งาน ทเี่ ลย้ี งในรงั ชน้ั เดยี วมกั จะสรา้ งหลอดรวงซอ้ นขนึ้ มาทำ� ให้ เสียน�้ำหวานไปกับการสร้างไขผ้ึงเพ่ือท�ำเป็นหลอดรวง ส�ำหรับเก็บน้�ำผึ้ง ซงึ่ ทำ� ใหเ้ สยี โอกาส ในการเก็บน้�ำผึง้ ไป เนอื่ งจากการสรา้ งไขผง้ึ 1 กโิ ลกรมั ผง้ึ จะตอ้ งใชน้ ำ�้ ตาลถงึ 8.4 กิโลกรมั และเสียเวลาในการจดั การมากขึ้น ในการเก็บน้�ำผ้ึงจากรวงผ้ึง มีวิธีการปฏิบัติที่ ผู้เลี้ยงสามารถพิจารณาเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม ดงั นี้ ภาพการนำ� น้�ำผงึ้ มากรองตะแกรงหยาบ 1) การใช้แปรงปัดหรือเขย่า โดยดึงคอนน้�ำผึ้ง และกรองละเอยี ด เพอ่ื กรองเศษไขผ้ึง ออกมาทีละคอน แล้วใช้แปรงที่มีขนอ่อนยาว ปัดตัวผ้ึง และตัวผึ้งออกในข้นั ต้น ใหห้ ลุดจากคอนใหห้ มด 2) ท�ำการปาดฝาหลอดรวงน้�ำผ้ึงออกด้วย มีดปาดรวง หรือมีดปาดรวงไฟฟ้าเพื่อให้ความร้อน หลอมละลายไขผึง้ ทำ� ให้ปาดง่ายข้ึน 3) น�ำคอนน้�ำผ้ึงมาใส่ในถังสลัดน้�ำผ้ึง ท�ำการ สลัดน้�ำผึ้ง โดยเหวี่ยงสลัดน�้ำผ้ึงออกจนหมดหลอดรวง แลว้ น�ำคอนเปลา่ (ที่สลดั น้�ำผง้ึ ออกหมดแล้ว) ไปใสไ่ วใ้ น รงั เลยี้ งผงึ้ ตามเดมิ ผงึ้ งานจะเกบ็ นำ้� ผงึ้ มาใสไ่ วใ้ นหลอดรวง ภาพกระบวนการปาดน�ำ้ ผ้งึ ต่อไป และสลัดนำ�้ ผ้ึง 4) น้ำ� ผึ้งที่ได้น�ำมาจัดการ ดงั น้ี — น�ำน�้ำผ้ึงมากรองตะแกรงหยาบ และ กรองละเอยี ดเพอ่ื กรองเศษไขผง้ึ และตวั ผงึ้ ออกในขนั้ ตน้ — นำ� มาใส่ถงั บม่ ทำ� การบม่ 15 วัน เพ่ือ ให้เศษไขผึ้ง และผงละเอียดลอยข้นึ มาบนผิวนำ�้ ผึ้ง แลว้ ทำ� การเปดิ กอ๊ กนำ�้ ผึ้งดา้ นล่าง ก็จะได้น�้ำผง้ึ ทีส่ ะอาดและ บรสิ ทุ ธิ์ — น�ำน้�ำผึ้งบรรจุใส่ภาชนะบรรจุอาหาร ภาพน�้ำผึ้งไหลออกจาก ตามรปู แบบของบรรจุภณั ฑ์ท่ตี อ้ งการ เครอ่ื งสลัดนำ้� ผงึ้ 98 การผลิตน�้ำผงึ้ คณุ ภาพ

5. การจัดการเลยี้ งผ้งึ หลงั ฤดดู อกไมบ้ าน การจัดการเล้ียงผึ้งหลังฤดูดอกไม้บาน เป็นการจัดการเล้ียงผ้ึงจากที่ได้เก็บเก่ียวผลผลิต น้�ำผึ้งเรียบร้อยแล้ว หากเกษตรกรตั้งรังผ้ึงไว้ในแหล่งท่ีมีเกสร การสูญเสียผ้ึงจะมีน้อย และผึ้งจะ ยังคงมีความสมดุลของประชากรภายในรัง ซ่งึ ช่วงน้ีเปน็ ช่วงทผ่ี ง้ึ ได้ผ่านการทำ� งานหนัก และน�้ำผงึ้ ที่เก็บรวบรวมไว้เพ่ือที่รังจะนำ� ไปใช้ในยามขาดแคลนต่อไป ได้ถูกผู้เลี้ยงผ้ึงนำ� ออกไปแล้ว ดังน้ัน ควรเหลือไว้ให้ผ้ึงกินบางส่วน รังผึ้งช่วงน้ีจะขาดอาหารได้ และไรศัตรูผ้ึงท่ีเจริญเติบโตคู่กับ การพฒั นาของผง้ึ กจ็ ะเพม่ิ ปรมิ าณมากขนึ้ ถา้ ไมม่ กี ารจดั การเลยี้ งผง้ึ ในชว่ งนใ้ี หด้ ี รงั ผง้ึ จะทรดุ โทรม และเป็นโรคระบาดข้ึนมาได้ การจัดการเลยี้ งผ้งึ หลังฤดดู อกไมบ้ าน จงึ ควรดำ� เนนิ การ ดังนี้ 1. ท�ำการย้ายรังผ้ึงออกจากพ้ืนที่เก็บน้�ำหวาน เพ่ือน�ำผ้ึงมาเตรียมความพร้อมก่อนท�ำ การรวมรงั โดยย้ายมาในพนื้ ท่ีทีม่ ีแหลง่ นำ�้ หวานเพียงพอต่อการดำ� รงชวี ติ ของผ้งึ 2. ท�ำการลดคอน หรือรวมรัง โดยการตรวจดูรังผ้ึงทุกรัง รังใดขาดความสมดุลมากให้ รวมรัง ถ้าขาดความสมดลุ นอ้ ยกอ็ าจจะลดคอนหรอื รวมรงั ได้ และใหด้ �ำเนนิ การใหเ้ สรจ็ โดยเรว็ 3. ใหอ้ าหารผงึ้ รงั ผง้ึ ทเ่ี ลย้ี งจะถกู ผเู้ ลย้ี งผงึ้ สลดั นำ้� ผง้ึ ออกไปแลว้ ดงั นน้ั ในรงั อาจจะเหลอื อาหารไม่เพยี งพอได้ จงึ ต้องใหอ้ าหารเสริมทง้ั นำ้� ตาลและเกสรเทียม 4. ปอ้ งกนั และกำ� จดั ศัตรผู ง้ึ หลังฤดูดอกไมบ้ าน รงั ผึ้งเกอื บทุกรังจะทรุดโทรมมาก และ สังเกตเห็นไรศัตรูผ้ึงบนตัวผึ้งและบนรวงรังมากมาย ประกอบกับช่วงนี้ จะไม่มีการเก็บน�้ำผึ้งแล้ว ใหท้ �ำการป้องกันก�ำจดั ไรศตั รผู งึ้ 6. การจดั การนางพญาผึ้ง นางพญาผึ้งทดี่ ีเปน็ หวั ใจของการเลยี้ งผ้งึ ควรจะมคี ณุ ลักษณะดังน้ี 1) วางไข่เก่งและสมำ�่ เสมอทวั่ ทั้งคอน ซิลบรูด๊ สม�่ำเสมอ 2) ผลติ ผ้ึงงานท่มี คี ณุ ภาพ ดังน้ี 2.1) หาอาหารเกง่ ตวั โตและแข็งแรง 2.2) ขยัน 2.3) เช่ือง ไม่ดุรา้ ย 2.4) ต้านทานโรคและศัตรอู ื่นๆ 2.5) การปอ้ งกนั รงั ดี 3) เป็นผึ้งนางพญาที่แข็งแรง ไม่ทำ� ให้เกดิ การสรา้ งหลอดนางพญาข้นึ ในรังบ่อยๆ การผลิตนำ�้ ผึ้งคุณภาพ 99

6.1 การสร้างนางพญาผงึ้ ตามธรรมชาติในระยะก่อนฤดูดอกไม้บานเล็กน้อยผึ้งมีสัญชาตญาณท่ีจะขยายพันธุ์เพ่ือ ดำ� รงคงอยขู่ องเผา่ พนั ธใ์ุ นธรรมชาติ ในระยะนนั้ ผงึ้ งานจะสรา้ งหลอดรงั ทม่ี ขี นาดใหญบ่ รเิ วณขา้ งๆ รวง เพื่อให้ผ้ึงนางพญาวางไข่ท่ีไม่ได้ผสมกับน�้ำเช้ือตัวผู้เพ่ือให้ได้ผ้ึงตัวผู้เกิดข้ึน เหตุการณ์เช่นนี้ เป็นปรากฏการณป์ กตขิ องผ้ึง ไมต่ ้องกังวล แต่ถา้ นางพญาวางไข่ตวั ผูใ้ นหลอดผึง้ งาน ให้คอยเชค็ ดู พฤติกรรมของผึ้งนางพญารังนั้นให้ดี ถ้าเป็นเพราะความเส่ือมสมรรถภาพของนางพญาต้องรีบ เปลย่ี นตวั ใหม่ โดยปกตนิ างพญาผงึ้ จะเคลอื่ นทไี่ ปตามสว่ นตา่ งๆ ของคอนเพอ่ื จะวางไขน่ น้ั จะสง่ กลนิ่ ฟีโรโมนชนดิ หน่งึ ไปด้วย ฟีโรโมนชนดิ นเี้ ราเรยี กวา่ ฟตุ พร้ินฟโี รโมน (Foot Print Pheromone) หรืออาจเรียกว่ากล่ินรอยเท้าของนางพญาก็ได้ กล่ินฟีโรโมนชนิดนี้เป็นตัวควบคุมการสร้างหลอด นางพญาขึ้นในรัง ถ้าตราบใดท่ีผึ้งนางพญาสามารถส่งกล่ินฟีโรโมนชนิดนี้ไปทั่วรังได้ก็จะไม่มีการ สร้างหลอดนางพญาขน้ึ ในรงั อยา่ งไรก็ตาม ในกรณที ่ีพบวา่ มีการสร้างหลอดนางพญาขนึ้ มาในชว่ ง ฤดกู าลดอกไมบ้ านจะตอ้ งทำ� ลายหลอดดงั กลา่ วทงิ้ และหากตรวจพบการสรา้ งหลอดนางพญาขนึ้ มา ในเวลาทไี่ มใ่ ชฤ่ ดกู าลทจี่ ะสรา้ งหลอดนางพญา แสดงวา่ นางพญาของผงึ้ รงั นนั้ เสอื่ มสมรรถภาพ ดงั นน้ั เพื่อให้เกิดความเข้าใจไดด้ ขี ึ้น จะขออธิบายสภาพการสรา้ งหลอดนางพญา (Queen Cell) ดงั นี้ 1) หลอดนางพญาฉกุ เฉนิ (Emergency Queen Cell) เมอ่ื ผง้ึ รงั ใดรงั หนง่ึ ขาด นางพญาเพราะนางพญาในรงั นน้ั หายไป หรอื ตายไปดว้ ยเหตใุ ดเหตหุ นงึ่ กด็ ี ถา้ ในรงั นนั้ มคี อนทม่ี ไี ข่ หรอื มตี วั หนอนในวยั ทไ่ี มเ่ กนิ 3 วนั เหลอื อยู่ ผงึ้ ทเ่ี หลอื ในรงั จะเรมิ่ เอานมผง้ึ (Royal Jelly) มาเลย้ี ง ตวั หนอนในวยั ออ่ นทส่ี ดุ และจะดงึ หลอดนางพญาใหใ้ หญข่ นึ้ ในกรณเี ชน่ นเี้ ราจะพบหลอดนางพญา จ�ำนวนมากเกดิ ข้ึนในรัง และเกิดขน้ึ ในหลายคอนในรัง บางคร้ังอาจพบว่ารังหน่งึ มกี ารสร้างหลอด นางพญาฉกุ เฉินขึน้ มาถึง 20 หลอดกม็ ี 2) หลอดนางพญาทดแทน (Supersedure Queen Cell) ในกรณีที่ผ้ึง นางพญาแกม่ อี ายมุ าก หรอื นางพญาไมส่ มบรู ณ์ ท�ำให้การเคลื่อนไหวเช่ืองช้า ไม่สามารถไปได้ ท่ัวทุกคอนผึ้งได้ ท�ำให้ประชากรผ้ึงงานในรัง เกิดความรู้สึกขาดนางพญา ก็จะสร้างหลอด นางพญาขึ้น หลอดนางพญาชนิดน้ีจะเกิดขึ้น ตรงกลางๆ ของคอนมจี ำ� นวนหลอดไมม่ าก อาจ 1 หรือ 2 หลอด เราเรียกว่าหลอดนางพญา ซปุ เปอรซ์ ดิ วั ร์หรอื ซปุ เปอรเ์ ชค็ หรอื อาจเรยี กวา่ หลอดนางพญาทดแทนก็ได้ ลักษณะของ ผึ้งนางพญาชนิดน้จี ะหาผง้ึ นางพญาทีด่ ีไดย้ าก ภาพหลอดนางพญาฉกุ เฉนิ (Emergency Queen Cell) 100 การผลิตน้ำ� ผ้ึงคณุ ภาพ

ภาพหลอดนางพญาทดแทน ภาพหลอดนางพญาแยกรงั (Supersedure Queen Cell) (Swarm Queen Cell) 3) หลอดนางพญาแยกรัง (Swarm Queen Cell) หลอดนางพญาชนิดน้ี โดยมากจะอยตู่ ามดา้ นขา้ งหรอื สว่ นรมิ ของรวงผง้ึ เรยี กวา่ หลอดสวอรม์ หรอื หลอดนางพญาแยกรงั เป็นหลอดนางพญาท่ีผึง้ จงใจสรา้ งขน้ึ เพ่อื เปน็ การขยายพนั ธ์ขุ องผง้ึ ธรรมชาติ บางครั้งผงึ้ นางพญา ทีค่ ัดเลอื กหลอดสวยๆ จากหลอดสวอร์มกอ็ าจเปน็ ผ้งึ แม่รังท่ดี ีได้ ถ้าไดจ้ ากสายพนั ธ์ุทีม่ แี มร่ ังเดมิ ดี และได้รับการคัดเลือกโดยผ้ึงจากตัวหนอนที่อยู่ในวัยอ่อนๆ ประมาณ 12 – 24 ช่ัวโมง นับจาก ฟักออกจากไข่ 6.2 ความจ�ำเปน็ ในการเปลย่ี นนางพญาผง้ึ วัตถุประสงค์ในการเปลี่ยนนางพญาผ้ึง มดี งั นี้ 1. เปล่ียนนางพญาผงึ้ ตัวเดมิ ที่มอี ายมุ ากหรอื พกิ าร 2. เพม่ิ รังใหม่ เมอ่ื มีการแยกขยายรังเพม่ิ ขึ้น 3. ทดแทนนางพญาผงึ้ ท่ีตายหรอื หายไปจากรงั การปลอ่ ยนางพญาผึง้ เขา้ ไปในรังใหม่อาจด�ำเนินการได้หลายวธิ ี ดงั น้ี 1. ปลอ่ ยผึ้งนางพญาท่ีไดร้ บั การผสมและวางไขแ่ ล้ว 2. ปลอ่ ยผ้งึ นางพญาพรหมจรรยท์ ่เี พ่ิงฟกั ออกจากดกั แด้ ยังไม่ได้รบั การผสม 3. เหน็บหลอดนางพญา ท่ีมีอายุนบั จากการปดิ ฝาหลอดรงั ประมาณ 6 วัน สภาพทเ่ี หมาะสมในการนำ� นางพญาผึง้ เขา้ รงั ใหม่ 1. ผ้ึงรังท่ีจะรับนางพญาตัวใหม่ ต้องมีความรู้สึกขาดนางพญา และมีความต้องการ นางพญา (ควรใหเ้ กิดความรูส้ กึ แบบนใ้ี นรังไมน่ ้อยกว่า 24 ช่วั โมง) 2. สภาพภายในรังควรมีอาหาร (เกสรและน้�ำหวาน) สมบูรณ์คล้ายๆ กับช่วงฤดู ดอกไมบ้ าน การผลติ นำ�้ ผงึ้ คณุ ภาพ 101

3. การปลดปลอ่ ยในลกั ษณะเหนบ็ หลอดรงั ใหน้ างพญาสาวออกจากหลอดรงั ผง้ึ จะยอมรบั ไดด้ ีกวา่ ในลักษณะอ่ืน 4. ในรงั ทม่ี ผี งึ้ ปรมิ าณนอ้ ย การยอมรบั ผงึ้ นางพญาตวั ใหมง่ า่ ยกวา่ รงั ผง้ึ ทม่ี จี �ำนวนผงึ้ มาก และจ�ำนวนคอนมาก 5. ตอ้ งไมใ่ หม้ กี ารสรา้ งหลอดนางพญาฉกุ เฉนิ ขน้ึ ในระยะทจี่ ะใสผ่ งึ้ นางพญาตวั ใหมเ่ ขา้ ไป ทดแทน 6. รังท่ีมีคอนไข่และคอนตัวหนอนในวัยอ่อนจะสร้างหลอดนางพญาฉุกเฉิน ในกรณี ผ้ึงรังนั้นขาดนางพญา ท�ำให้ไม่ยอมรับนางพญาตัวใหม่หรือหลอดนางพญาที่เอาไปใส่ ต้องคอย ตรวจเช็คและท�ำลายหลอดนางพญาท่ีเกิดข้ึนในรังเสียก่อนที่จะน�ำนางพญาหรือหลอด นางพญาตัวใหม่ใส่เข้าไป วิธีป้องกันท่ีดีที่สุด คือ อย่าน�ำนางพญาตัวใหม่มาใส่ในรังที่มีคอนไข่ และมีหนอนที่มีอายุไม่เกิน 3 วัน (อายุของตัวหนอน) และต้องไม่มีการสร้างหลอดนางพญา หรือถว้ ยนางพญาข้นึ ในรังนั้นดว้ ย 6.3 วธิ กี ารปลอ่ ยผึ้งนางพญาตวั ใหม่ 1) เตรียมรังและผ้ึงที่จะรับนางพญาตัวใหม่ให้พร้อม โดยการเติมอาหาร (นำ�้ หวานหรือ เกสร) ใหม้ ากเพยี งพอ กอ่ นทจ่ี ะนำ� นางพญาตวั ใหมม่ าใสไ่ วห้ นง่ึ หรอื สองวนั อยา่ ใสน่ างพญาตวั ใหม่ เขา้ ไปในขณะทีผ่ งึ้ หวิ และขาดอาหาร 2) ตรวจเช็ครังล่วงหน้า 1 วัน เพื่อท�ำลายหลอดนางพญาและถ้วยนางพญาในรังนั้น ให้หมด และตรวจให้ละเอียดตรวจดูว่ามีผึ้งงานบางตัวได้ปรับตัวเองข้ึนเป็นนางพญาเทียม โดยมผี ้ึงงานวางไข่ในหลอดรังหรอื ไม่ ถ้าพบให้แกไ้ ขเสียก่อน 3) ถ้าเลือกเวลาได้ ให้เลือกดำ� เนินการตอนเช้าตรู่ หรอื ตอนเยน็ ๆ 4) การเตรียมการต่างๆ ดังท่ีกล่าวไว้ไม่บกพร่อง ให้สังเกตว่าผ้ึงรังน้ันต้องการนางพญา เราก็สามารถปล่อยนางพญาตัวใหม่ลงบนรวงผึ้งได้เลย โดยเอาผึ้งอนุบาลท่ีติดมาด้วยในกล่องขัง นางพญาออกกอ่ น คอ่ ยๆ เปดิ ฝากลอ่ งทีข่ ังนางพญา ให้นางพญาไต่ออกมาบนรวงท่ียกคอนขนึ้ มา หงายบนลงั เลอื กปลอ่ ยบรเิ วณทม่ี ผี งึ้ อนบุ าลของรงั นน้ั คอยสงั เกต ถา้ ผงึ้ ไมต่ นื่ กจ็ ะยอมรบั นางพญา ตัวใหม่ ถ้าผง้ึ แสดงอาการต่ืน กระพือปีกแล้วเขา้ มารมุ ล้อมนางพญาจนเปน็ กอ้ นกลมใหพ้ น่ นำ�้ เย็นลงไป แยกเอานางพญามาขังในกลักขังนางพญาใหม่ ตรวจดูทุกคอนในรังนั้นใหม่ว่ามีการสร้างหลอด นางพญา หรือผึ้งงานวางไข่แทนหรือไม่ ถ้ามีให้รีบแก้ไขเสียก่อนแล้วค่อยเหน็บกล่องที่ขังนางพญา ไว้ในระหว่างคอนที่เป็นซิลบรู๊ดท้ิงไว้สัก 1-2 วัน ค่อยทดลองปล่อยผ้ึงนางพญาตัวนั้นอีกครั้งหนึ่ง ขอ้ พึงระวังในชว่ งนี้ ตอ้ งไม่ใหผ้ ้ึงนางพญาทถี่ ูกขงั อย่ใู นกล่องขงั นางพญาอดอาหารตาย โดยเอาผึ้ง อนบุ าลในรงั นนั้ ใสเ่ ขา้ ไปในกลกั ขงั นางพญาดว้ ย ประมาณ 3-4 ตวั และในกลกั ขงั นางพญามอี าหาร อยู่ (นำ้� ตาลปน่ ละเอยี ดผสมนำ�้ ผง้ึ เลก็ นอ้ ย อยา่ ใหเ้ หลวแฉะเปน็ น้�ำเชอ่ื มเหนยี ว ซงึ่ จะไปเปยี กเคลอื บ ตัวผ้ึงนางพญา ท�ำให้หายใจไม่ออกและตายได้ อย่าลืมว่าผึ้งหายใจทางรูหายใจซ่ึงอยู่บริเวณ ดา้ นขา้ งของปลอ้ งล�ำตัวส่วนทอ้ งของผึ้ง) 102 การผลิตน้ำ� ผึ้งคุณภาพ

5) ดำ� เนนิ การตามวธิ ขี า้ งตน้ โดยทำ� ลายหลอดนางพญาทอี่ าจเกดิ ขนึ้ ในรงั นน้ั ใหห้ มดทง้ิ ไว้ 1 วัน ตรวจดูอีกคร้ังเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีการพยายามจะสร้างหลอดนางพญาขึ้นมาอีก และ ในรังนั้นมีอาหาร (น้�ำผ้ึง) อยู่ท่ีหัวคอนและมีเกสรเก็บอยู่มากพอก็เอาผึ้งนางพญาตัวใหม่ที่ขังไว้ ในกลักขังนางพญามาเหน็บไว้ระหว่างคอนท่ีมีซิลบรู๊ดที่เริ่มออกเป็นตัวผึ้งในวัยอนุบาล (พยายาม ทำ� เวลาเยน็ ) ปดิ ฝารงั ผง้ึ ทงิ้ ไวห้ นง่ึ วนั วนั รงุ่ ขน้ึ คอ่ ยๆ ปลอ่ ยผงึ้ นางพญาออกจากกลอ่ งทข่ี งั ไว้ สงั เกต ดูสักครู่ถ้าผ้ึงไม่แสดงอาการต่ืน จู่โจมจะเข้ากลุ้มรุมนางพญา ก็แสดงว่าผ้ึงรังน้ันยอมรับนางพญา ตวั ใหม่ ปิดฝารังไวป้ ระมาณ 30 นาที ตรวจดอู กี ทีวา่ ผ้ึงยอมรบั นางพญาตวั ใหมห่ รอื ไม่ ถ้ายอมรบั นางพญาก็จะอยู่อย่างสงบกบั ผึง้ งานรงั ใหม่ บางตวั กจ็ ะเร่ิมวางไขไ่ ดเ้ ลย 6.4 เทคนคิ การเหนบ็ หลอดดกั แดผ้ ง้ึ นางพญา หลอดดักแด้นางพญา หมายถึง หลอดนางพญาที่ผึ้งสร้างข้ึนให้เป็นที่อยู่ของตัวหนอน ที่ผ้ึงเลือกท่ีจะสร้างให้เป็นผึ้งนางพญา และเจริญวัยจากตัวหนอนลอกคราบเข้าดักแด้อยู่ในน้ัน โดยจะใช้เวลาหลังจากเร่ิมเข้าและปิดฝาหลอดดักแด้ ประมาณ 7 วันคร่ึง ก็จะออกเป็นตัวผ้ึง นางพญาสาว ดงั นั้น การเหนบ็ หลอดดักแดน้ างพญาเขา้ ไปในรงั ใหม่ หรือรงั ทีข่ าดนางพญา ก็ต้องการ สภาพการเตรยี มการและความตอ้ งการเหมอื นกบั การนำ� นางพญาผงึ้ ตวั ใหมใ่ สใ่ นรงั ตามทไ่ี ดอ้ ธบิ าย ไว้แล้วในตอนต้น การเหน็บหลอดดักแด้นางพญาท่ีมีอายุใกล้ท่ีจะออกจากหลอดดักแด้ประมาณ 1 วัน เปน็ เวลาทเ่ี หมาะสมท่สี ดุ ถา้ ทราบอายขุ องดักแด้ และวนั แรกทปี่ ิดฝาหลอดดกั แด้ก็นบั ไปอีก 6 วนั ซ่ึงเมื่อน�ำหลอดดักแด้นางพญามาติดไว้ในรวงผึ้ง ในช่วงน้ีผ้ึงนางพญายังมีเวลาอยู่ในหลอดดักแด้ 1 วัน เม่อื ออกจากดักแดแ้ ล้วการยอมรับของผึง้ งานกจ็ ะดีขน้ึ ข้อควรค�ำนึงเกี่ยวกับหลอดดักแด้นางพญาน้ัน ต้องระวังไม่ให้เกิดการกระทบกระเทือน จากการเขย่า หรือจากการถูกแสงแดดโดยตรง บางคร้ังที่มีความจ�ำเป็นท่ีจะต้องน�ำหลอดดักแด้ ผ้ึงนางพญาเดินทางไปยังท่ีอื่นท่ีห่างไกลออกไปให้จัดใส่กล่องใส่ให้ดี มีกระดาษฟางหรือกระดาษ นุ่มๆ ห่อกันการกระเทือนและอย่าให้โดนแสงแดดหรือได้รับความร้อนจากแสงแดด เดินทาง ด้วยความระมัดระวงั เมอ่ื ไปถงึ ทหี่ มายแลว้ ให้รีบดำ� เนินการเหน็บหลอดนางพญาผ้งึ ทันที วิธีเหน็บ หลอดนางพญาผ้ึงนั้น ต้องเตรียมสภาพรังให้พร้อมที่จะรับนางพญาผ้ึงตัวใหม่ ดังรายละเอียด ที่กล่าวมาแล้ว ในวันรุ่งข้ึนหรืออีก 2 วัน ให้มาเช็คนางพญาผึ้งสาวซ่ึงเม่ือมีอายุครบ 3 วัน จะบนิ ออกนอกรงั เวลาประมาณบา่ ย 2 โมง การบินเท่ียวแรกจะนาน 2 – 5 นาที วนั ตอ่ ๆ มาก็ จะนานขึ้น ในวันท่ี 4 – 7 กจ็ ะเร่มิ บนิ ออกไปผสมพนั ธกุ์ บั ผง้ึ ตวั ผู้ ช่วงดังกล่าวอยา่ เข้าไปรบกวน รังผึ้ง ปล่อยให้มีอายุครบ 10 วัน ถ้านางพญาผ้ึงได้รับการผสมแล้วก็จะเร่ิมวางไข่ และท�ำหน้าที่ เป็นนางพญาผง้ึ แมร่ งั ตอ่ ไป การผลติ นำ้� ผง้ึ คุณภาพ 103

บทที่ 6 เทคนิคในการเลี้ยงผึง้ พนั ธ์ุ ผู้เลี้ยงผ้ึงจะประสบความส�ำเร็จได้ข้ึนอยู่กับคุณสมบัติของผู้เล้ียงที่ต้องมีความรู้ ใจรัก ทนุ ทรพั ย์ เวลา และสุขภาพดีเท่านั้น นอกจากน้ยี งั ข้นึ อยกู่ บั เทคนิคในการเล้ียงผึง้ พันธ์ุ ดังต่อไปนี้ 1. ผ้งึ พันธ์ุดี (EXCELLENT QUEENS) 2. สถานท่ีต้ังวางรงั ผงึ้ ดี (GOOD APIARY LOCATION) 3. ขอ้ มูลแหลง่ อาหารสำ� หรับผึง้ (FOOD SOURCES FOR HONEY BEE) 4. การจัดท�ำบันทึกฟาร์มผ้ึงเพื่อเข้าสู่มาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรท่ีดีส�ำหรับ ฟาร์มผง้ึ (GAP ฟารม์ ผ้งึ ) 5. วสั ดุอุปกรณ์ดี (GOOD EQUIPMENT) 1. ผ้งึ พนั ธุ์ดี (EXCELLENT QUEENS) ผึ้งพันธุ์ดี หรือพันธุ์ผึ้งที่ดีส่วนใหญ่มักยึดเอาคุณสมบัติของผ้ึงนางพญาเป็นหลัก เพราะ ผ้ึงนางพญาเป็นตัวให้ก�ำเนิดประชากรผึ้งงาน หากได้ผ้ึงนางพญาท่ีดี ลูกผึ้งท่ีออกมาก็ย่อมดีด้วย หลกั เกณฑ์ทีย่ ดึ ถอื เอาว่าเปน็ ผึ้งพันธุ์ดี ไดแ้ ก่ 1.1 ผึ้งนางพญา สามารถไข่ดกและไขด่ ี ผึ้งนางพญาสามารถวางไข่ได้เป็นจ�ำนวนมาก และไข่เหล่าน้ันสามารถฟักออกเป็น ตัวได้หมดเปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ย ก�ำเนิดประชากรได้หนาแนน่ ดี 1.2 ใหผ้ ลผลิตสงู ท้ังในด้านการผสมเกสร การหาน้�ำผ้ึง การผลิตนมผึ้ง และอ่ืนๆ ผ้ึงงานทุกตัว มคี วามแข็งแรงและมพี ฤตกิ รรมขยันขันแข็งในการปฏบิ ัตภิ าระกิจตา่ งๆ 1.3 ทนตอ่ สภาพอากาศต่างๆได้ดี มีการปรับตวั ต่อสภาวะหรอื สภาพอากาศทเี่ ปล่ยี นแปลงได้เปน็ อยา่ งดี 104 การผลิตน�ำ้ ผง้ึ คณุ ภาพ

1.4 ปลอดโรค และมคี วามต้านทานโรค หรือตา้ นทานไรศตั รผู ึ้ง สังเกตจากพฤติกรรม Hygienic behavior หรือการทำ� ความสะอาดรวงรังเป็น พฤติกรรมที่เป็นตัวช้ีวัด ในการป้องกันการเกิดโรคในผึ้ง หากประชากรผ้ึงมีพฤติกรรมการทำ� ความสะอาดรงั หรอื Hygienic behavior สูง ส่งผลใหโ้ อกาสในการเกดิ โรคของผง้ึ จะตำ�่ ซึ่งเปน็ พฤติกรรมท่เี ปน็ ท่ตี อ้ งการในการคัดเลอื กและพัฒนาสายพันธผ์ุ ้ึง 1.5 เชือ่ งไม่ดรุ ้าย ท�ำให้ผู้เลี้ยงผ้ึงท�ำงานได้สะดวกไม่ยุ่งยากและวุ่นวาย เพราะการท่ีผ้ึงต่อยท�ำให้ เสยี เวลาในการตรวจสขุ ภาพหรือตรวจสภาพภายในรงั 1.6 ตัวผง้ึ ควรมีขนาดใหญ่พอสมควร ผึ้งท่ีมีขนาดล�ำตัวใหญ่ จะมีกระเพาะเก็บนำ�้ หวานท่ีใหญ่ด้วย จะสามารถหานำ�้ ผึ้ง และเกสรดอกไม้ไดม้ ากกว่าผึง้ ตัวเล็ก มคี วามแข็งแรง วอ่ งไว และอายุอาจยนื ยาวกว่าดว้ ย 2. สถานทตี่ ั้งวางรงั ผง้ึ ดี (GOOD APIARY LOCATION) ผเู้ ลยี้ งผงึ้ จำ� เปน็ อย่างยง่ิ ท่ีต้องเลอื กทำ� เลของสถานท่ีให้เหมาะสม โดยยึดหลกั ดังนค้ี อื 2.1 เป็นสถานท่ีมีอาหารผ้ึงอย่างสมบูรณ์พอเพียงต่อปริมาณผึ้งที่ใช้เลี้ยง อาหารผึ้ง หมายถงึ เกสรดอกไมแ้ ละน้�ำหวานจากดอกไม้ หากมไี มพ่ อในบางฤดกู พ็ ยายามหาสถานทขี่ าดเกสร และน้�ำหวานในช่วงระยะส้ันๆ เพียงเล็กนอ้ ย 2.2 ลมไมพ่ ัดแรงจดั หรอื มกี �ำแพงส่ิงกดี ขวางตา้ นทานลม 2.3 ปลอดภัยจากยาฆ่าแมลง (Insecticide free) เพราะยาฆ่าแมลงท�ำให้ผ้ึงตาย เปน็ จำ� นวนมาก 2.4 ปลอดภัยจากโรคและศัตรูท�ำลาย ต้องไม่มีโรคระบาดของผึ้ง หรือมีศัตรูผึ้งรบกวน มากนัก 2.5 อากาศไม่รอ้ นจัด หรอื หนาวจดั จนเกินไป 2.6 ฝนไมต่ กชุกจนมีความชนื้ สูง หรอื ชุกจนผ้งึ ออกหาอาหารไม่ได้ 2.7 มีแหล่งน�้ำสะอาดท่ีผึ้งสามารถใช้ดื่มจะควบคุมอุณหภูมิภายในรังอย่างเพียงพอและ ไม่ไกลจนเกินไปนกั การผลติ นำ�้ ผง้ึ คณุ ภาพ 105

3. ข้อมลู แหล่งอาหารส�ำหรบั ผึง้ (FOOD SOURCES FOR HONEY BEE) ผู้เล้ียงผ้ึงจ�ำเป็นต้องรู้ว่าที่ใดมีอาหารผึ้งชนิดใดมีเกสร หรือน้�ำหวานในช่วงเวลาใดจาก เดือนไหนถึงเดือนไหน เป็นปริมาณมากน้อยเท่าไรในแต่ละปีท่ีผ่านมาแล้ว สาเหตุที่มีอาหาร แต่ละชนิดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไร การที่จะรู้เร่ืองต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นได้น้ัน ผู้เล้ียง จำ� ตอ้ งศึกษา ไตถ่ ามจากผ้เู ล้ียงรายอน่ื ๆ หรอื ถ้าจะให้แน่นอนและเชื่อมั่นอยา่ งสนทิ ใจ ผเู้ ลยี้ งผ้งึ ก็ ตอ้ งทำ� การสำ� รวจศกึ ษาสถานทตี่ า่ งๆ แลว้ จดบนั ทกึ ขอ้ มลู ไว้ การส�ำรวจศกึ ษาสถานทเ่ี พอื่ หาขอ้ มลู นนั้ ตามหลักการที่ถูกต้องจ�ำเป็นต้องใช้ตัวผึ้งเป็นพนักงานส�ำรวจ และผู้เลี้ยงผึ้งเป็นผู้จดบันทึก ขอ้ มลู ตา่ งๆ ทผี่ ง้ึ รายงานให้ทราบ วธิ ีการสำ� รวจแหลง่ อาหารผงึ้ 3.1 น�ำผง้ึ ท่ีมจี ำ� นวนประชากรหนาแนน่ เตม็ 10 คอน จำ� นวน 1 - 5 รงั หรือมากกวา่ น้ัน ไปต้งั ณ สถานทตี่ อ้ งการทราบขอ้ มลู 3.2 ทำ� การชง่ั นำ้� หนกั เพอื่ ศกึ ษาสภาพของทอ้ งถนิ่ นนั้ วา่ มอี าหารประเภทน้�ำหวานสำ� หรบั ผึ้งหรอื ไม่ ถา้ มีปรมิ าณมากน้อยเพียงใด ในช่วงฤดูใดหรอื จากเดือนไหนถงึ เดอื นไหน แลว้ จดบนั ทึก น้�ำหนกั ทีไ่ ด้เพิม่ ขน้ึ จากการช่งั น�้ำหนักทกุ ๆ 10 วนั หรือ 7 วัน หรือชัง่ ทุกวัน ข้นึ อย่กู ับผเู้ ลี้ยงวา่ ต้องการทราบข้อมูลอะไรบ้าง ถ้าต้องการทราบแต่เพียงว่าสถานที่น้ันมีอาหารหรือไม่ก็ท�ำการช่ัง ทกุ ๆ 10 วัน หรอื 7 วนั ก็ได้ แต่ถา้ ตอ้ งการทราบว่าในช่วงทมี่ นี ำ้� หวานตามธรรมชาตนิ นั้ เร่ิมตง้ั แต่ เม่ือใดเป็นปริมาณเท่าใด ปรมิ าณทผ่ี ง้ึ ได้สงู สุดเป็นจ�ำนวนเทา่ ใด เม่อื ไรและนานก่ีวัน ในกรณีเชน่ นี้ จำ� เปน็ ตอ้ งชง่ั นำ้� หนกั ทกุ วนั และควรชงั่ เปน็ เวลา เชน่ เคยชง่ั 09.00 น. กต็ อ้ งชงั่ 09.00 น. ทกุ วนั แลว้ จดบันทึกเอาไว้ ตวั เลขทีจ่ ดบันทกึ สามารถนำ� มาทำ� แผนภูมแิ สดงเป็นกราฟได้ 3.3 ท�ำการนับจ�ำนวนตัวผ้ึงท่ีน�ำเกสรดอกไม้เข้ามาไว้ภายในรัง โดยนับในช่วงเช้า เวลา ประมาณ 07.00 น. 08.00 น. และ 09.00 น. ในแต่ละช่วงเวลาดังกล่าวอาจนับเพียงครั้งเดียวหรือ หลายครั้ง ถ้านับหลายครั้งแตล่ ะครง้ั ควรนบั หา่ งกัน 10 หรอื 20 นาที และการนับแตล่ ะครงั้ ควรใชเ้ วลา 5 หรือ 10 หรือ 15 วินาที โดยการท�ำการจับเวลาแล้วเร่ิมนับผ้ึงที่น�ำเกสรเข้ามาภายในรังทีละตัวๆ จดจ�ำนวนที่นับได้ในแต่ละช่วงเวลาของวันของสัปดาห์หรือเดือน จากตัวเลขที่ได้จะทำ� ให้ทราบว่า สถานท่นี ้ันมอี าหารประเภทเกสรดอกไม้ในช่วงฤดูใดมากทส่ี ุด และฤดูไหนนอ้ ยท่สี ดุ หรอื ไมม่ เี ลย 3.4 ถ้าไม่มีเครื่องชั่งท่ีจะชั่งหีบเลี้ยงผ้ึง ถ้าไม่มีเวลาท่ีจะนั่งนับจ�ำนวนตัวผึ้งที่เก็บเกสร ดอกไมเ้ ขา้ มาภายในรวงรงั กย็ ังมีวธิ ีการส�ำรวจอยา่ งคร่าวๆ ได้ด้วยการดตู ามแผ่นรวงรังทงั้ หมดท่ี มอี ยูใ่ นหบี เล้ยี งวา่ มีปริมาณน้�ำหวานหรือน�้ำผง้ึ เกบ็ สะสมไว้มากนอ้ ยเพยี งใด หรอื ไม่มีเลย โดยปกติ ผึ้งในหีบ 10 คอน จ�ำเป็นต้องมีคอนน้�ำผ้ึง คือ คอนท่ีมีน้�ำหวานหรือน�้ำผ้ึงเต็มแผ่นรวงรังหรือ ครง่ึ หนง่ึ หรอื ในสสี่ ว่ นของแผน่ รวงรงั อยา่ งนอ้ ยทส่ี ดุ จ�ำนวน 1 แผน่ และแผน่ รวงรงั ทเ่ี กบ็ เกสรดอกไม้ อยา่ งนอ้ ย 1 แผ่นเช่นกนั ส�ำหรับแผน่ รวงรังตัวอ่อนมกั จะมนี ำ�้ หวานหรอื น้�ำผง้ึ อยูบ่ รเิ วณท่ีอยูข่ อง 106 การผลิตน�ำ้ ผงึ้ คุณภาพ

ตัวออ่ นและใตส้ นั คอนลงมาเป็นเนือ้ ทีป่ ระมาณ 1-2 น้วิ หากผง้ึ อย่ใู นสภาพดังกลา่ วโดยไม่ตอ้ งให้ อาหารเสริมเลย นนั่ หมายความว่า สถานท่ีนน้ั มีอาหารสำ� หรบั ผงึ้ ในบางเดอื นอาหารสำ� หรบั ผ้งึ ท้ัง สองประเภท คือ เกสรดอกไม้ และน้�ำหวานมนี อ้ ยหรอื ไมม่ ีเลย บางเดือนอาจจะมมี ากและบางทกี ็ มีมากจนเกินไป ผู้เล้ียงผ้ึงสามารถรู้ได้ด้วยการตรวจดูตามแผ่นรวงรังต่างๆ ภายในกล่องเลี้ยงผ้ึง แลว้ บนั ทึกสิ่งทไ่ี ด้พบเหน็ ในแตล่ ะคร้ังทที่ �ำการตรวจสขุ ภาพผ้งึ 3.5 ชนิดของต้นไม้ต่างๆ ที่เป็นอาหารผึ้ง (bee botany) ควรได้รับการส�ำรวจว่ามี พืชชนิดใดบ้าง ที่ให้เกสรหรือให้นำ�้ หวาน หรือให้ทั้งสองอย่างแก่ผึ้งเป็นปริมาณมากน้อยเพียงใด ในชว่ งฤดใู ด เปน็ เวลานานเทา่ ใด พชื แตล่ ะชนดิ อยทู่ ใ่ี ดบา้ ง เพอ่ื ทจ่ี ะไดน้ �ำขอ้ มลู ทไี่ ดม้ าวางแผนงาน ในรอบปีตอ่ ไปว่าควรนำ� ผึ้งไปไว้ ณ จดุ ใด ในฤดูไหน เปน็ เวลานานเทา่ ใด ต่อจากนน้ั ควรยา้ ยไปไว้ ท่ีใด เป็นต้น และหากทุกจังหวัดมีการส�ำรวจระยะการบานของดอกไม้แล้วรายงานให้ทราบ กจ็ ะเปน็ ประโยชน์ต่ออตุ สาหกรรมการเล้ยี งผ้งึ อย่างยง่ิ 4. การจัดทำ� บันทึกฟารม์ ผึ้งเพ่ือเขา้ สูม่ าตรฐานการปฏิบตั ิ ทางการเกษตรทด่ี สี �ำหรบั ฟาร์มผึ้ง (GAP ฟารม์ ผ้งึ ) การจดั ทำ� มาตรฐานการปฏบิ ตั ทิ างการเกษตรทดี่ สี ำ� หรบั ฟารม์ ผงึ้ (GAP ฟารม์ ผง้ึ ) เปน็ เรอ่ื ง ทม่ี คี วามสำ� คญั มากขน้ึ และเปน็ สง่ิ จำ� เปน็ ทเ่ี กษตรกรผเู้ ลย้ี งผง้ึ จะตอ้ งปฏบิ ตั ิ เพอ่ื ใหผ้ ลติ ภณั ฑผ์ งึ้ เปน็ ที่ยอมรับในตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งรายละเอียดของมาตรฐานการปฏิบัติทาง การเกษตรท่ีดีสำ� หรบั ฟารม์ ผ้ึง (GAP ฟาร์มผึง้ ) สามารถศกึ ษาเพ่มิ เติมได้ในภาคผนวก และปจั จยั ส�ำคัญที่จะท�ำให้การเล้ียงผึ้งประสบผลส�ำเร็จและสามารถได้รับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการ เกษตรที่ดีส�ำหรับฟาร์มผึ้ง (GAP ฟาร์มผึ้ง) ได้นั้น เกษตรกรผู้เล้ียงผ้ึงจะต้องจดบันทึกฟาร์มผึ้ง เพื่อใหท้ ราบถึงข้อมูลผู้เล้ยี งผ้งึ การตลาด ทรพั ย์สิน การดำ� เนินธุรกิจการเลีย้ งผงึ้ การวางแผน และ การจดั การรงั ผงึ้ สถานทต่ี งั้ รงั ผงึ้ บนั ทกึ ประจ�ำฟารม์ บนั ทกึ สารเคมแี ละยาทใี่ ชใ้ นฟารม์ และขอ้ มลู ปฏบิ ัติตา่ งๆ เป็นตน้ ซง่ึ ขอ้ มูลเหลา่ นีจ้ ะกระตุ้นให้ ผ้เู ล้ยี งผ้ึงไดต้ ระหนกั และเกิดความช�ำนาญการ ตลอดจนสามารถปฏิบัติตามแนวทางมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำ� หรับฟาร์มผึ้ง และ เป็นแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยกี ารเลยี้ งผึง้ ของตนเอง เพือ่ กา้ วสมู่ าตรฐานสากลตอ่ ไป ซ่งึ จะ ส่งผลใหก้ ารผลิตผลติ ภณั ฑผ์ ึง้ ให้ได้มาตรฐานและปลอดภัยต่อผ้ปู รโิ ภค กรมสง่ เสรมิ การเกษตร ในฐานะทเี่ ปน็ หนว่ ยงานทมี่ ภี ารกจิ ในการสง่ เสรมิ ใหเ้ กษตรกรเขา้ สู่ การผลติ ตามมาตรฐานการปฏบิ ตั ทิ างการเกษตรทด่ี สี �ำหรบั ฟารม์ ผงึ้ (GAP ฟารม์ ผงึ้ ) จงึ ไดอ้ อกแบบ และจดั ทำ� สมดุ จดบนั ทกึ ฟารม์ ผง้ึ เพอื่ ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ เกษตรกรผเู้ ลยี้ งผงึ้ ทจี่ ะสามารถจดบนั ทกึ สิ่งที่ส�ำคัญและจ�ำเป็น ซ่ึงจะเป็นประโยชน์ต่อการทำ� ธุรกิจฟาร์มผ้ึงและง่ายต่อการตรวจสอบของ ผู้ท่ีเกีย่ วขอ้ ง สามารถศึกษาเพิ่มเติมและนำ� ไปประยุกตใ์ ชไ้ ด้ดงั รายละเอียดในภาคผนวกท้ายเลม่ การผลติ นำ้� ผึง้ คณุ ภาพ 107

5. วสั ดุอปุ กรณ์ดี (GOOD EQUIPMENT) วัสดุอุปกรณ์ท่ีใช้ในการเลี้ยงผึ้งมีมากมายหลายอย่างแต่ละอย่างมักมีราคาแพง สาเหตุท่ี มีราคาแพงอาจเป็นเพราะมีผู้ผลิตน้อยรายไม่ค่อยมีการแข่งขันจึงตั้งราคาตามใจชอบได้ หรือ อาจเปน็ เพราะมคี ุณภาพดี แขง็ แรง ทนทานใช้ได้นานปี มคี วามคลอ่ งตัว โดยเฉพาะในประเทศไทย เรามักนิยมของถูก เร่ืองคุณภาพ ความคล่องตัว ทนทานใช้ได้นานปี จึงถูกมองข้ามไป ผู้เล้ียงผึ้ง บางรายนยิ มของต่างประเทศแมจ้ ะมรี าคาแพงกวา่ ในประเทศไทยหลายเท่านกั ก็ซ้ือ เพราะศรัทธา ว่าต้องเปน็ ของดี แตค่ วามหมายของเครอ่ื งมอื ดใี นทนี่ ีม้ ิไดห้ มายถึงของแพงตอ้ งดี กลับตรงกันขา้ ม ของถูกๆ ท่ีอยู่ในบ้านเราอาจดีกว่าของต่างประเทศก็ได้ จึงขอให้หลักเกณฑ์เคร่ืองมือดีในที่นี้ว่า ใช้งา่ ย ใหค้ วามสะดวก ราคาถกู ทนทาน ประหยัดทง้ั แรงงานและเวลา เครอ่ื งมือบางอย่างราคาถกู แต่ไม่แข็งแรงทนทาน เม่ือใช้ไปสักพักหน่ึงก็ช�ำรุดเสียหายต้องท�ำใหม่หรือต้องซ่อมแซมใหม่ คิดค่าซ่อมแซมค่าเสียเวลาและค่าพลาดโอกาสรวมแล้วบางทีมีราคาแพงกว่าของที่ทนทาน ขอยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น หีบเล้ียงผึ้งท่ีทำ� ด้วยไม้อัดกับไม้จริง แม้จะทาสีเหมือนกันแต่หีบไม่อัดมี อายุใช้งานน้อยกว่าไม้จริง เพราะกาวที่ใช้อัดไม่ให้ติดกันมีการเส่ือมอายุ เมื่อหมดสภาพไม้จะ ล่อนออกเป็นแผ่นบางๆ หรือบวมยุ่ยๆ เป็นหย่อมๆ หมดความแข็งแรง คอนท่ีใช้เลี้ยงผ้ึงของ บางคนท�ำไม่ได้ขนาดมาตรฐาน สั้นไปบ้าง ยาวไปบ้าง เวลาใช้มักมีปัญหาท�ำให้การปฏิบัติงาน ยงุ่ ยาก เสียทัง้ เวลาและแรงงานเพิม่ ข้นึ แผน่ รงั เทยี มทท่ี ำ� ดว้ ยพาราฟนี ราคาถกู มาก จะสง่ ผลให้ผึ้ง สร้างหลอดรวงได้ช้ากว่าท่ีท�ำด้วยไขผ้ึง ท�ำให้ผ้ึงนางพญาวางไข่ได้ช้าลงกว่าปกติ ด้วยเหตุนี้ ผู้เลี้ยงผ้ึงจึงควรใช้วัสดุอุปกรณ์ท่ีดีมีคุณภาพ ใช้งานง่าย สะดวก ประหยัดทั้งเวลา แรงงาน และ ทุนทรัพย์ หากจะคิดสร้างเครื่องมือใช้เองก็ควรคิดถึงหลักการดังกล่าว แล้วสร้างเครื่องมือให้ สนองวัตถปุ ระสงค์ตามหลักการขา้ งตน้ 108 การผลติ นำ้� ผง้ึ คณุ ภาพ

บทที่ 7 สุขอนามัยของผ้งึ พนั ธุ์ ผงึ้ เปน็ แมลงทมี่ สี ขุ ภาพแขง็ แรงมากทสี่ ดุ ชนดิ หนง่ึ โดยจะพบเหน็ ผง้ึ ตามธรรมชาตสิ ว่ นใหญ่ มีสุขภาพแข็งแรง ความลับในเรือ่ งนี้มนุษยไ์ ด้ให้ความสนใจมานานแล้ว และได้ค้นพบสิง่ ทีน่ า่ สนใจ หลายประการ เชน่ พบวา่ ภายในรังผงึ้ จะมีสารปฏิชีวนะ (Antibiotic Curtain) ชนิดหน่ึงซ่งึ อยู่ใน ส่วนประกอบของยางไม้ และยังพบอีกว่าผึ้งงานจะผลิตสารปฏิชีวนะจากต่อมอาหารเพื่อควบคุม ระดับเชื้อโรคอันเกิดจากเช้ือบัคเตรีมีให้สูงเกินไป ซึ่งพฤติกรรรมน้ีมีมาก่อนที่มนุษย์จะเกิดข้ึน ในโลกนี้ ปัจจยั ทม่ี ีผลต่อสขุ อนามัยของผึ้ง ได้แก่ 1. นำ้� หวานและเกสรทมี่ คี ุณภาพดี และมีปริมาณสม�่ำเสมอ โดยผึ้งจะสามารถ เกบ็ รวบรวมเพอ่ื น�ำไปใช้ในการเพิ่มพลงั งานและสรา้ งความตา้ นทานต่อศัตรูของผ้ึง 2. ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของผง้ึ มคี วามตา้ นทานโรคเนา่ ของตวั ออ่ น โดยพบวา่ ผงึ้ งานมยี นี สล์ กั ษณะดอ้ ย 2 ลกั ษณะ ซง่ึ เกยี่ วพนั กบั ความสามารถในการท�ำความสะอาดรงั และการเปดิ หลอดเซลลข์ องตวั ออ่ นและการทำ� ความสะอาด นอกจากนผ้ี ง้ึ งานสามารถยอ่ ยทำ� ลาย เชอื้ โรคได้ และท�ำใหต้ ัวออ่ นสามารถตา้ นทานต่อการตดิ เชือ้ ผู้เล้ียงผึ้งไม่สามารถจะเลี้ยงดูผึ้งให้ดีเหมือนกับธรรมชาติได้ แต่ก็มีความส�ำเร็จ ในการขโมยอาหารของผ้ึงจากรังผ้ึง โดยไม่ให้มีผลกระทบกระเทือนต่อความเป็นอยู่ของผ้ึงได้ โดยผู้เล้ียงผึ้งต้องท�ำให้อัตราความสมดุลระหว่างตัวอ่อน ผ้ึงอนุบาล จ�ำนวนประชากรผึ้งและ ปริมาณอาหารให้คงท่ีอยู่ตลอดเวลา เสมือนผึ้งตามธรรมชาติมากที่สุด ดังนั้น เป้าหมายของ ผู้เล้ียงผ้ึงท่ีดีก็คือท�ำให้รังมีคุณภาพมีความแข็งแรงเต็มไปด้วยน�้ำหวานและเกสร ซึ่งหมายถึง ผลผลติ ทไี่ ด้รับนัน่ เอง ดงั น้ันผเู้ ล้ียงผ้งึ จงึ ควรจะตอ้ งดูแลเรอื่ งสขุ อนามยั ของผ้งึ ให้ดดี ว้ ย ทวีปเอเชียโดยเฉพาะประเทศไทยมีสภาพอากาศโดยทั่วไปนับว่าเหมาะสมต่อผึ้งท่ีสุด ในการเก็บนำ�้ หวานและเกสรไดเ้ กอื บตลอดปี และสามารถใหน้ �ำ้ ผึง้ ได้ประมาณ 40 - 100 ก.ก./รัง แตก่ ม็ บี างฤดเู ชน่ ในฤดแู ลง้ หรอื วกิ ฤตกาลทผ่ี ดิ ปกติ ทผ่ี เู้ ลยี้ งผงึ้ ไมม่ กี �ำลงั คนพอ ทำ� ใหเ้ กดิ การละเลย ตอ่ การดแู ลรงั ผงึ้ ซง่ึ เปน็ ผลท�ำใหร้ งั ผงึ้ เสยี สมดลุ ยด์ งั กลา่ วไปในกรณนี ้ี ผเู้ ลย้ี งผงึ้ ทดี่ จี ะตอ้ งเอาใจใส่ ดแู ลและช่วยแก้ไขปญั หาใหเ้ หมาะสมเท่าทจี่ ะท�ำได้ การผลิตนำ้� ผ้งึ คุณภาพ 109

สิ่งมีชีวิตทุกชนิดย่อมท่ีจะต้องมี ศัตรูธรรมชาติ ผ้ึงก็เช่นกัน แม้ว่าผึ้งจะผ่าน กระบวนการคัดเลือกและมีวิวัฒนาการ มาหลายพันปี จนกระทั่งได้รับการยอมรับว่า เปน็ สตั วส์ งั คมทแี่ ทจ้ รงิ แตก่ ย็ งั คงมศี ตั รธู รรมชาติ โรคผ้งึ ตัวเบียน และตวั ห้�ำ เป็นศตั รูธรรมชาติ ของผึ้งท่ีก่อให้เกิดความเสียหายให้กับผ้ึงและ อาชีพการเล้ียงผ้ึงที่จะต้องได้รับการแก้ไข ปญั หา ไมใ่ หโ้ รคและศตั รผู ง้ึ ตา่ งๆ แพรก่ ระจาย ออกไป โรคผ้ึง 1. โรคทมี่ สี าเหตุมาจากเช้ือแบคทเี รยี 1.1 โรคหนอนเนา่ อเมรกิ นั (อเมรกิ นั ฟาวลบ์ รดู ) (American Foulbrood Disease, AFB) สาเหตุ เกดิ จากเช้ือแบคทเี รยี (Paeniba- cillus larvae) โรคนีม้ ีผลเฉพาะตวั ออ่ นเท่านน้ั สปอร์จะ เจรญิ ในชอ่ งทางเดนิ อาหารของตวั ออ่ นทไี่ ดร้ บั เชอื้ นเ้ี ขา้ ไป ตวั อ่อนจะตายในเวลาต่อมา (5 - 6 วัน หลังจากรบั เชือ้ ) โรคน้ีจะแพร่กระจายภายในรังผ้ึง และกระจายสู่รังอื่นๆ อย่างรวดเร็ว อันเป็นผลมาจากการขโมยนำ�้ ผ้ึงระหว่าง ผ้ึงด้วยกนั อาการ ตัวอ่อนจะตายภายในหลอดรวง ท่ีมีลักษณะของการปิดฝาผิดปกติ ได้แก่ ฝาบุ๋มลงไป และมีรูเล็กๆ มีกลิ่นเหม็นรุนแรง เมื่อมี การเน่าสลายจะมีลักษณะเป็นยางเหนียวสีน�้ำตาลเกือบด�ำ ทดสอบง่ายๆ ด้วยวิธี Stretch test โดยใช้ปลายไม้เล็กๆ เข่ียตัวหนอนท่ีเน่าตาย แล้วค่อยๆ ดึงก้านไม้ออก ตัวหนอนที่ตายจะยืด ตดิ มากบั ปลายไมอ้ อกมา ตวั หนอนทตี่ ายและแหง้ จะเปน็ สะเกด็ ตดิ อยกู่ บั สว่ นลา่ งของพน้ื หลอดรวง เปน็ สดี ำ� หรอื สีน�ำ้ ตาลดำ� 110 การผลิตน้ำ� ผึ้งคณุ ภาพ

การป้องกันก�ำจัด โรคนี้เป็นโรคที่มีปัญหามาก มักจะใช้วิธีการท�ำลายผึ้งท่ีเป็น โรคพรอ้ มอุปกรณ์ ท่เี ก่ียวข้องทงั้ หมด การตรวจวนิ ิจฉัยโรคอเมริกันฟาวล์บรูดในสนาม — ตรวจดูตัวอ่อนท่ีมีฝาปิดหลอดรวงแล้ว ดูความผิดปกติของฝาปิดหลอดรวง ถ้าเป็นโรคฝาปดิ จะบุ๋มและมรี ูเล็กๆ เกิดข้นึ หลายรู — ใช้เศษไม้เล็กๆ (ไม้ขีดไฟหรือไม้จิ้มฟันก็ได้) เปิดฝาปิดดูลักษณะตัวอ่อนที่ อยู่ข้างในถ้าตายมีลักษณะเป็นสีน�้ำตาลและสามารถใช้ไม้ดึงของเหลวท่ีค่อนข้างเหนียวเป็นสาย ออกจากหลอดรวงได้แสดงว่าผึ้งรังน้นั เป็นโรคนี้ 1.2 โรคหนอนเน่ายโู รเปียน (Europian Foulbrood Disease, EFB) สาเหตุ เกดิ จากเช้ือแบคทีเรยี Meliscoccus pluton (Streptococcus pluton) มีรูปร่างกลมอยู่รวมกันเป็นสายเหมือนลูกปัด เป็นเชื้อที่ไม่มีสปอร์ มีการแพร่กระจายของโรค เช่นเดยี วกับหนอนเนา่ อเมริกัน อาการ ตวั ออ่ นทต่ี ายดว้ ยโรคนม้ี อี ายไุ มเ่ กนิ 4 - 5 วัน หลังจากฟักออกจากไข่เป็นระยะที่ยังขดตัว อยู่ท่ีก้นของหลอดรวง ตัวอ่อนท่ีเป็นโรคจะมีลักษณะ บดิ เปน็ เกลยี วจากสขี าวขนุ่ เปน็ สเี หลอื ง จากนน้ั จะเปลย่ี น เปน็ สเี ทา หรอื นำ้� ตาล ขณะทเ่ี นา่ สลายจะมกี ลน่ิ เหมน็ เปรยี้ ว การตรวจสอบให้ท�ำโดยใช้ไม้เขี่ยลงบนตัวหนอนท่ีก�ำลัง เน่าสลาย ยกขึ้นช้าๆ ตัวหนอนจะไม่ยืดออกมาเหมือน ตวั หนอนทเี่ ปน็ โรคหนอนเนา่ อเมรกิ นั เมอ่ื ตวั หนอนแหง้ ตาย สะเก็ดของตัวอ่อนท่ีตายจะไม่ติดกับผนังของหลอดรวง มลี กั ษณะเป็นแผน่ ขนาดเล็ก ไม่เปราะหรอื แตก สามารถ ถกู เคลอ่ื นย้ายไดง้ ่าย การป้องกันก�ำจัด กรณีเมื่อตรวจพบ การระบาดในระดบั ปานกลาง สำ� หรบั รงั ทอี่ อ่ นแอจะมกี าร เปล่ยี นผ้งึ แม่รังตัวใหม่ หรอื การเพม่ิ จ�ำนวน 2 - 3 คอน เพ่ือเพิ่มความแข็งแรงและการวางไข่ให้มากขึ้น จะเป็น การเพ่ิมประชากรในรังและเพิ่มจ�ำนวนผ้ึงท่ีท�ำหน้าที่ ท�ำความสะอาดรัง ขนย้ายตัวท่ีเป็นโรคออกจากรัง และ เปน็ การเพิ่มความต้านทานโรคใหก้ ับผงึ้ ด้วย การผลิตนำ้� ผง้ึ คณุ ภาพ 111

การตรวจวนิ จิ ฉยั โรคยูโรเปียนฟาวล์บรดู ในสนาม — ตรวจดูตัวอ่อน ดูความผิดปกติของตัวหนอน (ฝาหลอดรวงไม่ปิด) และตัวอ่อน ระยะก่อนดกั แด้ (ฝาหลอดรวงเพิ่งปิด : prepupa) — ถ้าตัวหนอนหรือตัวอ่อนระยะก่อนดักแด้นอนตายลักษณะบิดเบี้ยวไปจากปกติ แสดงว่าผ้ึงรงั นั้นเปน็ โรคหนอนเนา่ ยูโรเปียน 2. โรคท่มี ีสาเหตมุ าจากเช้ือรา 2.1 โรคชอล์คบรูค (Chalkbrood, CB) สาเหตุ เกดิ จากเชื้อรา (Ascosphaera apis) ทพี่ บในประเทศไทยมที ง้ั สายพนั ธท์ุ ส่ี รา้ งสปอร์ (spore cyst) ท�ำให้ตัวหนอนผึ้งท่ีตายถูกปกคลุมด้วยเส้นใยของเชื้อรา และสปอร์มีลักษณะเหมือนแท่งสี่เหลี่ยมส้ันๆ สีด�ำ ส่วนอีกสายพันธุ์ไม่สร้างสปอร์ ท�ำให้ตัวหนอนผ้ึงท่ีตาย ถูกปกคลุมด้วยเส้นใยของเชื้อรา มีลักษณะคล้าย แทง่ ชอลค์ สขี าว โดยปกตสิ ปอรจ์ ะไมท่ ำ� ใหเ้ กดิ โรคจนกวา่ จะมีการเติบโตเป็นเส้นใย ซึ่งจะเจริญได้ดีท่ีอุณหภูมิ 30 - 35 ºC ซ่ึงเปน็ อุณหภูมิปกติในรงั ผึง้ อาการ ผง้ึ ที่ถูกเชอื้ เข้าท�ำลายมีท้งั ตวั อ่อน และดกั แด้ ตัวอ่อนอายุ 3-4 วัน จะสังเกตเห็นอาการของ โรคได้ โดยตัวอ่อนจะถูกปกคลุมด้วยเส้นใยของเช้ือรา สีขาวและกลายเปน็ มมั มี่ เม่ือเช้ือรามีการสรา้ งสปอรส์ ดี �ำ ขึ้น หรือมีลักษณะคล้ายเศษชอล์ค และเม่ือมีอาการ ระบาดอย่างรุนแรง จะมีตัวอ่อนที่ปิดฝาตายและแห้งอยู่ ภายในหลอดรวง รงั ทเี่ ปน็ โรคนใ้ี นระดบั ทรี่ นุ แรง จะพบวา่ มตี วั ออ่ นทเ่ี ปน็ โรคแหง้ ตายตกอยทู่ พี่ นื้ รงั เป็นจำ� นวนมาก ซ่งึ สามารถตรวจพบโรคนีไ้ ด้งา่ ย การป้องกันก�ำจัด ยังไม่มีวิธีการควบคุมท่ีเชื่อถือได้ แต่ก็มีหลายวิธีที่ให้ผล ในการป้องกันด้วยการรักษาผึ้งไว้ให้ปลอดภัยจากเช้ือโรคนี้ การท�ำให้รังผ้ึงมีประชากรที่แข็งแรง ระบายอากาศท่ีดี ไม่ให้มีความช้ืนภายในรังสูง มีการเพ่ิมตัวเต็มวัยท่ีเพม่ิ ออกจากหลอดรวงใหม่ๆ ใหก้ บั รังทเี่ พงิ่ เรม่ิ เป็นโรคน้ี เพ่อื ชว่ ยท�ำความสะอาดรัง 112 การผลิตนำ้� ผงึ้ คุณภาพ

การตรวจวนิ ิจฉัยโรคชอล์คบรูดในสนาม — ตรวจดูตัวอ่อน ดูความผิดปกติของตัวหนอน ถ้าผึ้งรังนั้นเป็นโรคชอล์คบรูด ตวั หนอนในหลอดรวงจะตายและมเี สน้ ใยสขี าวของเชอื้ ราหมุ้ อยอู่ ยา่ งมากมาย ตอ่ มาเชอ้ื ราจะสรา้ ง อบั สปอรข์ น้ึ ซงึ่ ทำ� ใหต้ วั หนอนนน้ั เปลย่ี นจากสขี าวเปน็ สเี ทาหรอื ด�ำมลี กั ษณะคอ่ นขา้ งแขง็ และหลดุ ออกจากหลอดรวงไดง้ ่ายซ่งึ ตอ่ มาผ้ึงงานจะนำ� ไปท้งิ ไว้ทพ่ี นื้ รงั และบรเิ วณหน้ารังอยา่ งมากมาย 3. โรคท่มี ีสาเหตมุ าจากไวรัส 3.1 โรคแซคบรดู (Sacbrood) สาเหตุ เป็นโรคท่ีเกิดจากเชื้อไวรัส Sacbrood virus (SRB) เชื้อนไี้ ม่ทำ� ให้เกดิ ความสูญเสยี มากนัก พบในช่วงแรกของการเลี้ยง ปัจจุบันยังไม่พบ ในเมอื งไทย อาการ เปน็ การยากในการตรวจสอบดเู ชอ้ื ไวรัส ลักษณะอาการของโรค หลังจากท่ีผึ้งเป็นโรคเข้า ดักแด้ได้ 4 วัน หลอดรวงจะปิดฝาเรียบร้อย บริเวณ ส่วนหัวของตัวท่ีตายจะมีสีด�ำ ล�ำตัวที่เป็นสีขาวใสจะ เปลยี่ นเปน็ สเี หลอื งซดี ๆ จนเปน็ สนี �้ำตาลและสดี ำ� ในทส่ี ดุ เมื่อดึงตัวอ่อนออกจากหลอดรวงมาตรวจสอบจะพบว่า ตัวอ่อนตายอยู่ในถุง(sac) ภายในตัวอ่อนเต็มไปด้วยน้�ำ และเมื่อแห้งจะเป็นสะเก็ดที่ติดอยู่ อย่างหลวมๆ กับผนังของหลอดรวง การป้องกันก�ำจัด ยังไม่มีสารเคมีใดท่ีใช้ในการควบคุมก�ำจัดโรคชนิดนี้ได้ ผู้เลี้ยงผึ้งจึงควรจัดการสภาพภายในรังให้ดี มีการเปล่ียนผ้ึงแม่รังใหม่ การจัดการประชากรผ้ึง ให้แข็งแรง การเพมิ่ ประชากรผ้ึงงาน การตรวจวนิ ิจฉัยโรคแซคบรดู ในภาคสนาม — ตรวจดตู วั ออ่ นทม่ี ฝี าปดิ หลอดรวงแลว้ ใชเ้ ศษไมเ้ ลก็ ๆ เปดิ ฝาปดิ ดลู กั ษณะตวั ออ่ น ท่ีอยู่ขา้ งในถา้ ตายมีลกั ษณะเปน็ ถงุ หนามขี องเหลวอยู่ภายใน แสดงว่าผง้ึ รงั นัน้ เปน็ โรคนี้ 3.2 โรคอมั พาตแบบเรื้อรงั (Chronic bee paralysis) สาเหตุ โรคนเี้ กิดจากไวรสั ชื่อ โครนคิ บพี าราไลซีส (Chronic bee paralysis virus) หรือเรียก ซีบีพีวี โดยอาจจะติดจากอาหารหรือเข้าตามกระแสเลือดจากการกัดของไร เมื่อไวรัส สองตัวน้เี ข้าไปมันจะอยู่ท่ถี งุ นำ้� ผ้ึงในผ้งึ แล้วเมอื่ ผงึ้ เอานำ้� ผงึ้ ไปปอ้ นตวั อ่ืนก็จะตดิ ต่อกันทนั ที การผลิตนำ้� ผงึ้ คุณภาพ 113

อาการ มี 2 รปู แบบ ดังน้ี แบบแรก ผึง้ จะมอี าการปกี และตวั สน่ั ๆ บนิ ไมข่ ้นึ ก็เลย คลานตามพ้ืนหรือใบหญ้าหรือกองพะเนินในรัง อีกทั้งช่องท้องบวม ล�ำไส้อักเสบและตายใน สองสามวนั แบบทสี่ อง ผง้ึ จะตวั ด�ำลง ทอ้ งโต ขนหายไป ท�ำใหด้ ดู �ำวาวๆ และมองดตู วั เลก็ กวา่ ปกติ ผ้ึงติดเชื้อจะถูกกัดจากผึ้งตัวอื่นภายในรัง เนื่องจากผึ้งติดเชื้อ ไม่มีขนเม่ือผ้ึงบินออกจากรังจะ ไม่สามารถกลับสู่รังได้ เพราะจะถูกกีดขวางจากผึ้งงานตัวอื่นที่ทำ� หน้าที่ปกป้องรัง เพราะผ้ึงในรัง คิดวา่ เปน็ ผ้งึ ต่างรัง ภายใน 2 - 3 วนั ผงึ้ ตดิ เชอ้ื จะสน่ั ไม่สามารถบินได้ และตายในท่ีสดุ โรคน้ีจะพบในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จนี เมก็ ซโิ ก สหรัฐอเมรกิ า กลุม่ สแกนดิเนเวยี ทวีปยุโรป แถบเมดิเตอเรเนียน อังกฤษ แคนาดา ในประเทศอังกฤษ พบเชื้อไวรัสท่ัวไปในรังผึ้ง ที่ปกติตลอดท้ังปี และบางครั้งท�ำให้เกิดอัตราการตายประมาณ 30% ของประชากรผ้ึงท้ังหมด อย่างไรก็ดียังไม่ถือว่าทำ� ให้เกิดความเสียหายรุนแรงแก่อุตสาหกรรมการเล้ียงผึ้ง และไม่ค่อยพบ เชอื้ นใี้ นประเทศไทย 3.3 โรคอมั พาตแบบฉบั พลัน (Acute bee paralysis) สาเหตุ เกิดจากเช้อื ไวรัสแอคคิวบีพาราไลซสี (Acute bee paralysis virus) หรือ เอบพี ีวี อาการ คล้ายกับโรคอัมพาตแบบเร้ือรงั ในไทยจะพบเชอ้ื นอี้ ยใู่ นรงั ผงึ้ แตม่ กั ไมแ่ สดงความรนุ แรง ผง้ึ ทแ่ี ขง็ แรงกจ็ ะไมเ่ ปน็ โรค ถึงแม้ว่าจะมีเช้ือไวรัสชนิดนี้อยู่ การแพร่กระจายไวรัสเกิดจากผึ้งตัวเต็มวัยท่ีติดเช้ือและเป็นโรค ก่อนที่จะตายอาจจะปล่อยไวรัสจากสารคัดหลั่งไปในอาหารของผ้ึง ตัวหนอนผึ้งท่ีได้รับปริมาณ ไวรสั ทเี่ พียงพอแก่การก่อโรคจะตายกอ่ นทจี่ ะปิดฝาหลอดรวง สว่ นทีไ่ ม่ตายจะกลายเป็นผึ้งตวั เตม็ วัย ท่ีเป็นพาหะของเช้ือไวรัสต่อไป และพบเชื้อนี้ในรังผ้ึงมากเป็นอันดับสอง รองจากไวรัสดีฟอร์มวิง ทที่ ำ� ใหผ้ ึ้งมปี กี ที่บิดเบีย้ ว 3.4 โรคดฟี อร์มวิง (Deformed wing virus) สาเหตุ โรคนีเ้ กดิ จากเชอื้ ไวรสั ดีฟอร์มวิง (Deformed wing virus) หรอื ดีดับบลิววี ไวรัสชนิดนี้พบคร้ังแรกจากผึ้งพันธุ์ท่ีเป็นโรคในประเทศญี่ปุ่น สามารถพบเชื้อไวรัสนี้ท่ัวโลกใน ผึง้ พันธ์ุ เชน่ ประเทศแถบยโุ รป ซาอดุ ิอาระเบยี อหิ รา่ น เวียดนาม และอาร์เจนตนิ า และพบใน ผงึ้ พนั ธแ์ุ ละผ้งึ โพรงในประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจนี อาการ มกั พบเชอ้ื ดีดับบลวิ วใี นตวั อ่อนทเี่ ปน็ โรค ผงึ้ ตวั เต็มวยั ทต่ี าย และผึ้งที่แสดง อาการปีกผิดปกติ ร่วมกับการพบไรวาร์รัว จากการศึกษาในห้องปฏิบัติการและภาคสนามพบว่า ไรแพร่เช้ือไวรัสแบบเดียวกับเชื้อแอ็คคิวบีพาราไลซีส เช้ือดีดับบลิววีจะเพิ่มจ�ำนวนอย่างช้า และ ตวั ดกั แดท้ ตี่ ดิ เชอื้ ในระยะทต่ี ายยงั ไมเ่ ปน็ สดี ำ� จะสามารถอยรู่ อดได้ แตจ่ ะกลายเปน็ ผง้ึ ทมี่ ปี กี เจรญิ 114 การผลติ น�้ำผ้ึงคุณภาพ

ไม่เต็มท่ีปีกผิดรูปไปแล้วจะบินก็ล�ำบาก จะเดินก็ล�ำบาก ในบางตัวผึ้งก็อายุส้ันและตายในที่สุด เช้อื น้ีก็สามารถพบไดบ้ อ่ ยในรังผ้ึง ตราบใดที่ผง้ึ แขง็ แรงก็จะไมแ่ สดงอาการใดๆ และไมเ่ ป็นอนั ตราย ต่อผ้งึ เลย 3.5 โรคแบลค็ ควีนเซลล์ (Black queen cell) สาเหตุ เกิดจากเช้ือไวรัสแบล็คควนี เซลล์ ไวรัสตัวน้ีมักจะอาศัยตัวพา คือ ตัวหนอน โนซีม่าท่เี ข้าทำ� ลายผึ้ง อาการ นางพญาผึ้งจะมีล�ำตัวสีด�ำลงๆ ดักแด้เหลืองซีดแล้วตายเช่นกัน ถ้าผ้ึง ในระยะทีเ่ ปน็ ดักแด้ติดเชือ้ จะเป็นสเี หลืองซีดและตายในท่สี ดุ 3.6 โรคแคชเมียร์ (Kashmir) สาเหตุ โรคนพ้ี บในแควน้ แคชเมยี ร์ จงึ ตงั้ ชอื่ ไวรสั วา่ แคชเมยี ร์ (Kashmir bee virus) ตวั นี้ ถือว่าทำ� ให้ผ้ึงตายไดแ้ ละรุนแรงท่ีสดุ ในโรคทเ่ี กดิ จากกลมุ่ ไวรัสดว้ ยกัน อาการ ไม่แสดงแน่ชัด เม่ือรู้ตัวว่าเกิดการระบาดของโรค ผ้ึงก็พากันตายเสียแล้ว โรคน้ีจะรุนแรงถ้าในรังผึ้งมีไรแดงวารัวร์ เพราะไรจะกัดกินผ้ึงท�ำให้ผ้ึงร่างกายไม่แข็งแรงและ เมอื่ มกี ารติดเชอื้ ไวรัส ผ้ึงจึงไม่สามารถตา้ นทานโรคได้เลย จะเห็นได้ว่าโรคไวรัสก็มีหลายชนิดอาจแฝงตัวในตัวผ้ึงและไม่ได้รุนแรงมาก จนถึงคร่าชีวิตของผึ้ง แต่สามารถก่อความเสียหายกับผู้เลี้ยงอย่างที่คาดไม่ถึง เราจึงนิ่งนอนใจ ก็ไม่ได้ เพราะเชื้อไวรัสสามารถติดต่อได้ง่ายมากโดยเฉพาะถ้ามีไรวารัวร์ ซ่ึงจะเป็นไรที่ทำ� ให้ เกดิ ความรุนแรง เน่ืองจากไรวารัวรเ์ ป็นพาหะของไวรัสหลายชนิด 4. โรคทม่ี สี าเหตุมาจากโปรโตซัว 4.1 โรคโนซีมา (Nosema disease) สาเหตุ เกดิ จากเชื้อโปรโตซวั Nosema apis (Zander) ชนดิ Microsporidium ซง่ึ สบื พันธโ์ุ ดยการใช้สปอร์ สปอร์เหลา่ นีจ้ ะเขา้ ทำ� ลายผ้งึ เม่ือผึ้งกินเข้าไป เชือ้ จะเจริญในทางเดิน อาหาร สามารถเพ่ิมจ�ำนวนสปอร์ได้อย่างรวดเร็ว เชื้อน้ีสามารถอยู่ในผึ้งแม่รังและแพร่กระจาย ได้โดยผึง้ แม่รังเป็นพาหะ อาการ ผ้งึ ที่เปน็ โรคนี้ อาจมอี าการคลา้ ยเป็นอัมพาต ปล้องท้องยืดและบวมผดิ ปกติ ถา้ จบั ตวั ทเี่ ปน็ โรคนม้ี า คอ่ ยๆ ดงึ สว่ นหวั และอกออกจากกนั อยา่ งระมดั ระวงั จะพบทางเดนิ อาหาร บวมโต สขี นุ่ แตกต่างจากผง้ึ ปกติ การผลิตนำ้� ผงึ้ คุณภาพ 115

การปอ้ งกนั กำ� จดั โดยการจดั การรงั ผงึ้ ใหแ้ ขง็ แรงใหผ้ ง้ึ มอี าหารอยา่ งเพยี งพอรกั ษา ภายใน รงั ผง้ึ ใหส้ ะอาดอยเู่ สมอ หากพบรงั ผง้ึ ทม่ี อี าการดงั กลา่ วแยกรงั ผงึ้ ทเี่ ปน็ โรคออกจากรงั อน่ื ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้โรคแพร่กระจายไปสู่รังอื่นๆ และใช้ยาปฏิชีวนะ Fumidil-B® สารฟูมาจิลิน (fumagilin) อัตรา 25 มิลลกิ รัมสารออกฤทธิ์ กบั นำ้� เช่อื ม 1 ลิตร ในช่วงเวลาทีผ่ ึ้งเกิดความเครียด จะเปน็ การลดและป้องกนั การเขา้ ท�ำลายของเช้อื น้ีได้ ห้ามใช้ในช่วง 8 สปั ดาหก์ ่อนช่วงฤดดู อกไมบ้ าน การตรวจวินิจฉัยโรคโนซมี าในภาคสนาม — สังเกตดูว่ารังผึ้งที่เป็นโรคจะมีส่ิงขับถ่ายสีเหลืองๆ ของผ้ึงเร่ียราดอยู่ภายใน หรือบริเวณหน้ารัง หรือมีผ้ึงจ�ำนวนมากเดินขาลากอยู่บริเวณหน้ารังโดยมีปีกหน้าและหลัง แยกออกจากกนั สัตว์ศตั รูผงึ้ 1. ไรตัวเบยี นผึ้ง 1.1 ไรวาร์รัว Varroa jacobsoni (Oudemans), Varroa destructor, V.underwoodi และ V. rinderri สาเหตุ เกิดจากไรตัวเบียนผ้ึงเป็นศัตรูท่ี ส�ำคัญที่สุดในการเลี้ยงผึ้งพันธุ์โดยเฉพาะในแถบเอเชีย ประสบปัญหาเร่ืองไรผึ้งค่อนข้างรุนแรง จนกล่าวได้ว่า ความส�ำเร็จของการเลี้ยงผึ้งพันธุ์ในเอเชียเขตร้อน ขึ้นอยู่กับการควบคุมไรศัตรูผ้ึงเป็นส�ำคัญ ไรวาร์รัวมี รปู รา่ งใหญ่ เมอื่ เทยี บกบั ไรชนดิ อน่ื มลี ำ� ตวั แบนในแนวราบ ล�ำตวั กว้างมากกวา่ ความยาว กวา้ ง 0.5 - 1.6 มลิ ลเิ มตร ยาว 1.1 - 1.2 มลิ ลเิ มตร มสี ีน�้ำตาลแดง ลำ� ตัวสว่ นบน ปกคลุมด้วยขนสีนำ้� ตาลแดง เคล่ือนที่ไดเ้ ร็ว สามารถมองเหน็ ไดด้ ้วยตาเปลา่ ไรตัวเมียทีผ่ สมพนั ธ์ุ แล้ว จะเดินเข้าสู่หลอดรวงที่มีตัวอ่อนระยะตัวหนอนก่อนเข้าดักแด้ และอยู่ในหลอดนั้น วางไข่ 3 - 10 ฟอง หลงั จากน้ัน 24 ชวั่ โมง ไข่จะฟักเปน็ ตัวอ่อน ไรทยี่ งั ไมเ่ ป็นตัวเต็มวัยจะมสี ีขาว อาการ ไรวารร์ วั เขา้ ท�ำลายผงึ้ โดยตรง โดยการดดู กนิ โดยใชส้ ว่ นของปาก เจาะเขา้ ไป ท่ีบริเวณรอบตัวระหว่างปล้องของตัวผ้ึงดูดเลือดหรือน�้ำเลี้ยง (Haemolymph) ท�ำให้ผ้ึงตาย ก่อนเจริญเป็นตัวเต็มวัย ถ้าผ้ึงสามารถรอดชีวิตอยู่ได้ก็มักจะพิการ ปีกไม่สมบูรณ์ ส่วนท้องสั้น ขาหายไป 116 การผลติ น้ำ� ผง้ึ คณุ ภาพ

การป้องกันกำ� จัด การควบคุมไรวารร์ วั ทีใ่ ชไ้ ด้ดีมอี ยู่ 2 วธิ ี คอื การใชส้ ารเคมี และ เทคนคิ การจดั การรงั ผึ้ง 1) การใช้สารเคมี ควรใช้ก่อนฤดูดอกไม้บาน เพราะมีความเสี่ยงในการเจือปน ของสารเคมีในน้�ำผ้ึง การเป็นพิษต่อผึ้ง อย่างไรก็ตามวิธีการน้ีเป็นวิธีการที่รวดเร็ว และให้ ความมั่นใจในการระงับการระบาดของไรได้ มีสารเคมหี ลายชนดิ ทใ่ี ชใ้ นการควบคมุ ด้วยวธิ ีการรม หรอื การฉดี พน่ บนรวงผ้ึง ได้แก่ — ก�ำมะถันผสมกับลกู เหมน็ (อัตรา 1 : 1 โดยน้�ำหนัก 10 กรัม/รัง (1 ชอ้ นชา) โรยบนรังผึ้ง ทกุ 4 วัน ติดตอ่ กัน 6 - 7 ครง้ั — Folbex VA เปน็ แถบกระดาษทมี่ สี าร Bromopropylate เปน็ สารออกฤทธิ์ และมีส่วนผสมอื่น ที่จะช่วยท�ำให้เผาไหม้ได้รวดเร็ว ใช้จุดใส่ในรังเพื่อให้ควันกระจายอบอยู่ในรัง โดยปิดทางเขา้ ออกของรงั เปน็ เวลา 20 - 30 นาที มอี ัตราการใช้ 1 แผ่นต่อ 1 รัง ระยะ 4 - 6 วนั ต่อคร้งั เป็นจ�ำนวน 3 - 4 คร้งั ไรก็จะถูกก�ำจัด — Amitraz เปน็ สารละลายผสมท่ีมสี ารอมีทราส เป็นสารออกฤทธอ์ิ ยู่ 12.5% ในการใช้จะใช้ผสมกับน�้ำ 10 ลิตร ฉีดพ่นเบาๆ บนรวงตัวอ่อนและผนังของรัง ในช่วงเวลา 3 - 4 วันต่อครั้ง ประมาณ 3 - 4 ครั้ง ข้ึนอยู่กับขนาดของรังผึ้ง หรืออาจจะใช้ในรูปแบบของ การรมดว้ ยแผน่ ทีจ่ ุ่มสารนี้ 0.1 ซีซี แล้วจดุ ไฟรมเหมอื นวิธขี อง Folbex VA — Tau-fluvalinate (เทา-ฟลวู าลิเนต) เปน็ แผน่ อัตราการใช้ 1 - 2 แผน่ ตอ่ รงั โดยรังผึ้งมาตรฐานที่มี 10 คอน ให้วางแผ่นแรกไว้ระหว่างคอนผึ้งที่ 3 หรือ 4 ส่วน แผ่นที่ 2 วางระหวา่ งคอนผง้ึ ที่ 7 หรอื 8 ส�ำหรับรงั ผง้ึ ขนาดเลก็ ให้ใช้ 1 แผ่น วางก่ึงกลางรัง แผ่นสารเคมี ใชไ้ ด้ 6 - 8 สปั ดาห์ 2. การควบคมุ โดยการจดั การรงั วงจรการพฒั นาของไรวารร์ วั ทส่ี มบรู ณ์ ขนึ้ อยกู่ บั ตวั ออ่ นของผง้ึ ไรวารร์ วั รช์ อบตวั ออ่ นของผง้ึ ตวั ผมู้ ากกวา่ ตวั ออ่ นของผง้ึ งาน เมอื่ มรี วงตวั ออ่ นทเ่ี ปน็ ตัวผู้อยู่ในรัง (ด้วยการเตรียมแผ่นฐานรวงตัวผู้ใส่ลงไปในรังให้ผ้ึงงานสร้างหลอดรวง และให้ผึ้ง แม่รงั วางไข)่ และการใชแ้ ผน่ ก้ันผ้งึ แม่รังแบบแนวตง้ั ก้นั ผ้งึ แม่รงั ใหว้ างไขใ่ นรวงที่เปน็ ตัวผเู้ ท่านัน้ ไรวาร์รัวเพศเมียก็จะถูกดึงดูดโดยตัวอ่อนของผึ้งตัวผู้ให้เข้าไปอยู่ในหลอดรวงของผ้ึงตัวผู้นั้น เม่ือหลอดรวงปดิ แลว้ กจ็ ะนำ� หลอดรวงผึง้ ตัวผนู้ ั้นออกไปทำ� ลาย ก็จะเปน็ การก�ำจัดไรวารร์ ัวได้ การตรวจวนิ จิ ฉยั ไรวาร์รวั ในภาคสนาม — ตรวจดูในหลอดรวงตัวอ่อนวา่ มีไรดูดกนิ อยู่หรอื ไม่ — ใช้ซ่อมจิ้มดักแด้ของผึ้งตัวผู้ออกมาตรวจดูว่ามีไรเข้าท�ำลายหรือไม่สังเกต ดวู า่ มผี งึ้ ตวั เตม็ วยั ทป่ี กี กดุ และลำ� ตวั แคระแกรนเดนิ อยบู่ นรวงผง้ึ และบรเิ วณหนา้ รงั เปน็ จำ� นวนมาก หรอื ไม่ — พบไรรปู กลมแบน มขี นาด 1.1 x 1.5 มลิ ลิเมตร เกาะตามล�ำตัวผึ้งเตม็ วยั หรือ ตวั อ่อนผ้ึง การผลิตนำ�้ ผงึ้ คุณภาพ 117

1.2 ไรทรอปเิ ลแลปส์ Tropilaelaps clareae (Delfinado and Baker), T. koenigerum (Delfinado And Baker) Asian bee mite สาเหตุ ผเู้ ลย้ี งผง้ึ พนั ธใ์ุ นประเทศไทยมกั จะ พบไรวารร์ วั และไรทรอปเิ ลแลปสอ์ าศยั อย่รู ว่ มกนั และ พบว่าไรทรอปเิ ลแลปส์ เป็นศัตรูผ้ึงพนั ธุ์ท่ีส�ำคัญมากกวา่ ไรวาร์รัว พบในเอเชีย ไรทรอปิเลแลปส์มีขนาดเล็กกว่า ไรวาร์รัว สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไรตัวเต็มวัย เพศเมียมีสีน�้ำตาล มีรูปร่างรูปไข่ยาว 0.96 มิลลิเมตร และกว้าง 0.55 มิลลิเมตร รอบตัวปกคลุมด้วยขนส้ันๆ ไรชนิดนี้ไม่พบเกาะอยู่ตามล�ำตัวของผ้ึงตัวเต็มวัยแต่จะ พบภายในหลอดรวง/วิ่งเร็วไปมาบนคอนผ้ึง รวงผ้ึง การท�ำลายในระยะตัวอ่อน ไรจะอาศัยใน หลอดรวงตัวอ่อนผึ้งดูดกินเลือดของตัวอ่อน ตัวเต็มวัยของเพศเมียที่ได้รับการผสมจะวางไข่ใน หลอดรวงตวั อ่อนผึง้ หลงั จากทีป่ ดิ ฝาหลอดรวงแลว้ สว่ นตัวเตม็ วยั เพศผู้จะไมด่ ดู กินเลือด เพราะ อวัยวะที่ใช้ในการเจาะดูดเลือดได้เปลี่ยนเป็นท่อล�ำเลียงน้�ำเช้ือตัวผู้ ท�ำให้มีอายุสั้นกว่าเพศเมีย ตวั ออ่ นไรทเี่ จรญิ อยู่ในหลอดรวงผง้ึ จะออกมาหลงั จากที่ตัวเต็มวัยของผ้งึ กัดฝาหลอดรวงออกมา อาการ การเข้าท�ำลายของไรชนิดนี้ คลา้ ยคลงึ กบั ไรวารร์ วั ส่วนทอ้ งของผึ้งทถ่ี กู ไร เข้าท�ำลายจะลดขนาดลง มีช่วงชีวิตท่ีสั้นกว่าผึ้งปกติ ถ้าไรเข้าท�ำลายมาก จะพบผ้ึงที่มีปีกพิการ อยทู่ ีท่ างเข้าออกของรงั และภายในรงั การปอ้ งกันกำ� จดั เหมอื นไรวาร์รวั การตรวจวินจิ ฉัยไรทรอปปิเลแลปสใ์ นภาคสนาม — ตรวจดูวา่ มีไรตัวเล็กๆ รปู ยาวรี ขนาด 1 x 0.5 มลิ ลเิ มตร วิ่งเรว็ ๆ อยู่บริเวณ บนรวงรงั โดยเฉพาะรวงตัวอ่อนหรอื ไม่ — สังเกตดวู า่ ฝาปิดหลอดรวงของดักแดผ้ ้งึ เป็นจำ� นวนมากถูกเจาะเป็นรเู ล็กๆ และ ดักแด้ท่ีอยู่ภายในจะตายโดยด้านหน้าของส่วนหัวที่อยู่ระหว่างตารวมถูกเจาะเป็นรูใหญ่หรือไม่ เม่อื เปิดออกจะจะพบไรขนาดเล็กเกาะดูดน้ำ� เลยี้ งตามลำ� ตัวตวั อ่อนผ้งึ — สังเกตดูว่ามีผ้ึงตัวเต็มวัยท่ีปีกกุดและล�ำตัวแคระแกรนเดินอยู่บนรวงผ้ึงและ บรเิ วณหนา้ รังเปน็ จ�ำนวนมากหรือไม่ 1.3 ไรตัวเบยี นภายในท่อหายใจ Acarapiosis (tracheal mite) สาเหตุ เปน็ ไรตัวเบยี นภายในของผึง้ ตัวเต็มวัย คือ ไรในทอ่ หายใจ Acarapis woodi (Rennie) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอะคารีน (acarine disease) ไรชนิดนี้มีขนาดเล็กมากต้องดู จากกล้องจุลทรรศน์จงึ จะเหน็ ไรมขี นาดเลก็ ประมาณ 150 ไมครอน 118 การผลิตน�ำ้ ผึ้งคณุ ภาพ

อาการ ไรชนดิ นจี้ ะทำ� อนั ตรายผง้ึ โดยเขา้ ทางรหู ายใจตรงสว่ นอก (โดยเฉพาะรหู ายใจ ที่อกปล้องแรก) แล้วอาศัยอยู่ภายในท่อหายใจ (ท่อทางเดินอากาศใหญ่) บางครั้งพบในถุงลม ในส่วนอก และช่องท้องของผึ้ง ซ่ึงท�ำให้เกิดการอุดตันของถุงลม แผลที่ผนังของหลอดลม รบกวนการแลกเปลี่ยนก๊าซรวมทั้งดูดกินของเหลวจากท่อหายใจท�ำให้ผึ้งขาดเลือด ซ่ึงจะท�ำให้ ผึ้งไม่สามารถบินได้ คลานอยู่โดยไม่ท�ำงานอะไร และในท่ีสุดจะตายต้ังแต่อายุยังน้อย รังผึ้ง ทม่ี ไี รเขา้ ทำ� ลายจะออ่ นแอและใหผ้ ลผลติ นอ้ ยลงหรือไม่ใหเ้ ลย ถึงแมว้ ่ายังไม่มีรายงานการระบาด ของไรชนิดน้ีในประเทศไทย แต่ผู้เล้ียงผึ้งควรมีความรู้เกี่ยวกับไรชนิดนี้ไว้บ้างเพื่อที่จะได้ทราบ เมือ่ มกี ารทำ� ลายของไรเกดิ ขึ้นก็สามารถปอ้ งกันกำ� จัดไรชนิดนไี้ ด้ทนั ทว่ งที การป้องกันก�ำจัด โดยจัดการให้รังผึ้งมีความแข็งแรงอยู่เสมอ ไม่นำ� ผ้ึงจากแหล่ง ท่ีไม่ปลอดจากไรชนิดน้ีเข้ามาเล้ียง ป้องกันการหลงรังของผึ้ง ป้องกันการขโมยอาหารซึ่งกันและ กันระหว่างรังผึ้ง ไม่รวมรังผ้ึงเม่ือมีการระบาดของไรในท้องถ่ินที่เลี้ยงผ้ึง และการใช้ menthol แขวนทางเขา้ รังประมาณ 14 – 28 วัน การตรวจวนิ ิจฉยั ไรตวั เบยี นภายใน ในภาคสนาม — สังเกตผึ้งตัวเต็มวัยอนุบาลไม่สามารถบินได้ คลานอยู่โดยไม่ท�ำงานอะไร และ บางตัวตายต้ังแต่อายุยังน้อย และให้เก็บตัวอย่างผึ้งส่งเจ้าหน้าท่ีเพ่ือวิเคราะห์สาเหตุใน หอ้ งปฏิบัติการอกี ครั้งหนึง่ จงึ จะสามารถวนิ จิ ฉัยได้ถูกต้อง 2. มด (Ants) เป็นทร่ี กู้ นั ดีโดยทั่วไปแล้วว่า มดเปน็ ตวั ห้ำ� ท่กี นิ ผง้ึ มดเปน็ แมลงสังคมชน้ั สูง สามารถเข้า ทำ� ลายผง้ึ และกนิ ผง้ึ ไดท้ ง้ั หมด ไมว่ า่ จะเปน็ ตวั ผง้ึ เปน็ ๆ หรอื ตายแลว้ ทง้ั ตวั เตม็ วยั ตวั ออ่ น และนำ�้ ผง้ึ การทง้ิ รงั ของผงึ้ เปน็ วธิ กี ารในการหนกี ารเขา้ ทำ� ลายของมด มดหลายชนดิ เปน็ ปญั หาของการเลย้ี งผง้ึ ที่ส�ำคัญได้แก่ มดแดง (Oecophylla smaragdula) และมดด�ำ (Monomorium indicum, M. destructue) มดจะเขา้ ท�ำลายรังผึง้ ทีอ่ อ่ นแอ มีประชากรน้อยหรอื อาจจบั กลมุ่ ดกั ผึง้ หนา้ รัง การปอ้ งกนั กำ� จัด วธิ กี ารท่ีดี จดั การเลยี้ งให้รงั ผง้ึ แข็งแรงอยูเ่ สมอ รักษาบรเิ วณใต้รังผ้งึ และรอบๆ บรเิ วณทต่ี งั้ รงั ผง้ึ ใหส้ ะอาดปราศจากผง้ึ ตายและการเปรอะเปอ้ื นของน�้ำเชอื่ มทใี่ หแ้ กผ่ ง้ึ การหารังมดแล้วน�ำมาประกอบอาหาร/น�ำไปวางแหล่งอ่ืน/ท�ำลายด้วยการเผา และการท�ำ ความสะอาดตัดแต่งกิ่งไม้หรือหญ้า จะเป็นการลดการเข้าทำ� ลายของมดได้ ส�ำหรับการเล้ียงผึ้ง ในเขตร้อนช้ืน มักจะมีการใช้ขาต้ังรังผ้ึงสูงไม่น้อยกว่า 6 นิ้ว โดยใช้จาระบีหรือน้�ำมันเคร่ืองเก่า ชุบผ้าพันขาตั้งเพื่อป้องกันมด แต่หากจ�ำเป็นให้ใช้สารก�ำจัดแมลงโรยยาฆ่าแมลงชนิดผงตาม ทางเดินของมดเพอ่ื ให้มดน�ำยากลับไปฆา่ มดทอี่ ยใู่ นรงั การผลิตนำ�้ ผง้ึ คณุ ภาพ 119

การตรวจวินิจฉัยมดในภาคสนาม — สงั เกตทางเดนิ และรงั มดแดงตามกงิ่ ไมแ้ ละตน้ ไมบ้ รเิ วณตง้ั รงั ผง้ึ รงั ทส่ี มู้ ดไมไ่ ดจ้ ะพบ มดแดงช่วยกันกัดและดงึ ผงึ้ เพอื่ เป็นอาหารบริเวณทางเข้าออกของผงึ้ 3. ตัวตอ่ (Wasps) (Vespa sp.) ตวั ตอ่ เป็นศัตรผู งึ้ ที่มชี กุ ชุมในหนา้ ฝน ตวั ต่อจะบินวน บรเิ วณทางเขา้ -ออก และจบั ผึ้งกนิ ถ้ารงั ผึง้ ทอ่ี ่อนแอต่อจะบกุ เขา้ ไปในรงั ผงึ้ จับผง้ึ ทุกวยั กิน ต่อมหี ลายชนิด เชน่ ต่อหัวโขน ต่อหลมุ และตอ่ ภเู ขา เป็นตน้ การป้องกันก�ำจัด การเผารังต่อที่พบในเวลากลางคืนและน�ำตัวอ่อนมาท�ำอาหาร, การใช้สวงิ จบั ตัวตอ่ มาฉีดนำ้� ให้เปยี กและชุบสารเคมี เช่น เซฟวนิ แลว้ ปลอ่ ยกลบั ไปรงั พิษสารเคมี จะถกู ถา่ ยทอดไปทร่ี งั ตอ่ ท�ำใหต้ ายทงั้ รงั อกี วธิ หี นงึ่ ใชก้ รงกบั ดกั ตอ่ ซง่ึ สามารถใชร้ งั ผงึ้ เปน็ กลอ่ งลอ่ ใหต้ ่อเข้ารงั ดา้ นบนท�ำเป็นกรงตาขา่ ยรปู กรวย ใหต้ ่อบนิ ขน้ึ ได้ แตอ่ อกไมไ่ ด้ ตวั ต่อจะหมดไปเอง โดยตง้ั บรเิ วณที่ตัง้ ผึง้ ทม่ี ีตอ่ ชกุ ชุม การตรวจวนิ ิจฉยั ต่อในภาคสนาม — จะพบตอ่ จำ� นวนหนง่ึ บนิ โฉบจบั ผงึ้ ทบี่ นิ ออกหนา้ รงั ถา้ ตอ่ มจี �ำนวนมากและผงึ้ ออ่ นแอ จะเขา้ ไปในรังผง้ึ ทำ� ให้ผึง้ ไม่บนิ ออกหากิน 4. นก (Birds) สาเหตุ นกกินผึ้งเป็นศัตรูผ้ึงท่ีสามารถกินผึ้งท่ีบินออกหากินได้วันละหลายร้อยตัว ท�ำให้ผ้ึงไม่กล้าบินออกหาอาหาร ถ้านกมาเป็นฝูง เช่น นกจาบคา นกนางแอ่น ยิ่งทำ� ให้ผ้ึงได้รับ ความเสยี หายมาก การป้องกันกำ� จดั ไม่ควรวางรังผง้ึ ไวใ้ นที่โล่งแจง้ อาจใชว้ ัสดสุ ะท้อนแสง เชน่ กระดาษ ตะกั่วแขวนเปน็ ราวสงู จากพ้ืนประมาณ 2 เมตร ใหม้ แี สงสะท้อนเขา้ ตานก และตาขา่ ยดกั นกหรือ ใช้เลย้ี งไล่นกใหไ้ ป หากไม่สามารถไลไ่ ด้ควรยา้ ยสถานท่ีต้งั รังผง้ึ ใหม่ การตรวจวนิ ิจฉัยนกในภาคสนาม — พบนกจำ� นวนมากบนิ หรอื เกาะสายไฟหรอื ตน้ ไมใ้ กลบ้ รเิ วณลานเลยี้ งผง้ึ และบนิ โฉบ ไปมา สดุ ทา้ ยจะพบวา่ ผง้ึ ไม่บินออกจากรัง 120 การผลติ น้�ำผง้ึ คณุ ภาพ

5. หนอนผเี สอ้ื กินไขผึ้ง (wax moth larva) สาเหตุ เกิดจากหนอนผีเสื้อกินไขผึ้งเป็นหนอนผีเสื้อกลางคืนท่ีท�ำลายรวงผึ้งว่างที่ ไมม่ ผี ้งึ เกาะ มี 2 ชนดิ คอื หนอนผเี สื้อกินไขผึง้ ตัวโต (greater wax moth, Galleria mellonella) และหนอนผีเสอ้ื กนิ ไขผง้ึ ตวั เล็ก (lesser wax moth, Achroia grisella) อาการ ผีเส้ือตัวเมียจะเข้าไปวางไข่บนรวงผึ้ง ต่อมาตัวหนอนที่ฟักออกมาจะกินไขผึ้ง จากรวงผึ้งนน้ั เป็นอาหาร และถักใยเปน็ ทางมากมายท�ำให้หลอดรวงผึง้ น้ันเสียหายและไม่สามารถ น�ำใช้เก็บน�้ำหวานและต้มเป็นไขผึ้งได้ หากเข้าท�ำลายในรังท่ีมีผึ้งอาศัยอยู่ผึ้งจะท้ิงรัง และเมื่อ เข้าดกั แดท้ ดี่ า้ นในของรังเล้ียงก็จะท�ำให้ผิวไม้ของรังเล้ยี งเสียหายไปดว้ ย การป้องกันก�ำจัด ไม่ให้รังผ้ึงมีรวงผ้ึงมากเกินกว่าที่ผึ้งจะเกาะปกคลุม และเก็บรวงผึ้ง เปล่าไวใ้ นห้องทมี่ ีอณุ หภูมไิ มส่ ูงกว่า 5 องศาเซลเซยี ส การตรวจวนิ จิ ฉยั หนอนผีเส้อื กินไขผงึ้ ในภาคสนาม — พบการระบาดท่ีรวงผึ้งเปล่าที่เก็บไว้ และรังที่มีผึ้งอ่อนแอรวงผึ้งจะพบตัวหนอนสีขาวตาด�ำ ตามขนาดผีเสื้อเล้ือยตามรวงผ้ึง (บ้างครั้งพบตัวเต็มวัย) พร้อมชักใยสีขาว นานเข้าเป็นสีนำ้� ตาล หากเขา้ ท�ำลายมากจะเหน็ ดกั แดถ้ กั ใยเกาะเปน็ กลมุ่ ท�ำใหร้ วงผงึ้ เสยี หาย ขาดเปน็ แวน่ /รู หลอดรวง เสียหาย ไม่สามารถนำ� ไปใช้งานได้ การสง่ ไปการตรวจวนิ ิจฉยั โรคและศัตรผู ึ้งในห้องปฏบิ ตั กิ าร โดยเกบ็ ตวั อยา่ งสง่ ใหเ้ จ้าหนา้ ที่ การตรวจวินจิ ฉยั โรคและศตั รูผึง้ ต่างๆ ในห้องปฏบิ ัตกิ ารน้ันจะตอ้ งเกบ็ ตัวอยา่ งผ้ึงตัวออ่ น หรือตวั เตม็ วัยจากรังผงึ้ (แล้วแตก่ รณขี องโรคและศตั ร)ู โดยเกบ็ ผึ้งตัวเต็มวัย 150 - 200 ตวั หรือ ตัดรวงตัวอ่อน (ที่มีทั้งตัวหนอนและดักแด้) ขนาด 5 ซม. × 10 ซม. ใส่ถุงพลาสติกแช่ไว้ใน กล่องน้�ำแข็งขณะเดินทาง และเก็บไว้ในช่องแช่แข็งของตู้เย็นขณะรอการตรวจวินิจฉัย และส่งให้ เจ้าหน้าท่ีกรมส่งเสรมิ การเกษตรหรอื กรมปศสุ ัตว์น�ำไปวนิ ิจฉยั ตอ่ ไป การผลิตนำ�้ ผ้งึ คณุ ภาพ 121

เอกสารอ้างอิง ชุลีพร ศักด์ิสง่าวงษ์. 2557. วิกฤตนิเวศวิทยาส่งผลกระทบต่อผ้ึงด้วยหรือไม่. คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ . (อดั สำ� เนา) นิวัฒน์ นะที. 2552. การใช้ผึ้งพันธุ์ (Apis mellifera L.) ในการผสมเกสรเพือ่ เพม่ิ ผลผลติ ของสตรอเบอร่ี (Fragaria x ananassa Duch.) พันธ์ุ 329. กรมส่งเสริมการเกษตร. กรงุ เทพฯ ประยงค์ จงึ อยู่สขุ อดุ ม จริ เศวตกลุ และสุทธชิ ัย สุทธิวราภิรกั ษ์. 2541. การจดั การเลยี้ งผึ้งพันธ์ุ. กรมสง่ เสรมิ การเกษตร. กรงุ เทพฯ. พิชัย คงพทิ ักษ์. 2547. การเลยี้ งผึ้ง . คณะเกษตรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่. เชยี งใหม่. ภานุวรรณ จันทวรรณกูร. 2551. โรคและศตั รูผึ้ง . ศูนย์บริการชันสูตรโรคผง้ึ และพฒั นาผลิตภัณฑผ์ ึ้งแห่ง ภาคเหนือดว้ ยนาโนเทคโนโลยี คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่. เชียงใหม่. สติ พุทะรักษา. 2529. อุตสาหกรรมการเล้ียงผ้ึงในประเทศไทย “ปัญหา และ แนวทางแก้ไข”. คณะ เกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่. เชียงใหม.่ สริ ิวฒั น์ วงษศ์ ริ ิ และคณะ. 2555. ชวี วทิ ยาของผึง้ . สำ� นกั พิมพแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. กรุงเทพฯ. สมาคมผู้เลี้ยงผ้ึงภาคเหนือแห่งประเทศไทย. 2550. เอกสารประกอบการประชุมสมาคมผู้เลี้ยงผ้ึงภาค เหนอื แหง่ ประเทศไทย . เชียงใหม่. สำ� นกั สง่ เสรมิ และจดั การสนิ คา้ เกษตร. 2546. คมู่ อื เจา้ หนา้ ทส่ี ง่ เสรมิ การเกษตร หลกั สตู รการเลยี้ งผง้ึ พนั ธ.์ุ โรงพิมพช์ ุมนุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จำ� กดั . กรงุ เทพฯ. สำ� นกั สง่ เสริมและจัดการสินคา้ เกษตร. 2555. ผึง้ และผลติ ภณั ฑ์จากผง้ึ ใน วารสารเกษตรกา้ วหน้า ฉบบั ท่ี 1 ปีท่ี 25. บรษิ ทั โอ เอส พรนิ้ ติ้ง เฮา้ ส์ จำ� กัด. กรุงเทพฯ. แสนนัด หงส์ทรงเกียรติ. 2531. เทคโนโลยีการเล้ียงผ้ึง. คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยี พระจอมเกลา้ เจ้าคุณทหารลาดกระบงั . กรุงเทพฯ. อุดม จริ เศวตกลุ และสุทธิชัย สทุ ธวิ ราภริ ักษ.์ 2534. เอกสารวชิ าการ เรื่อง เทคโนโลยีการผสมเกสรเพื่อ เพ่ิมผลผลิตพชื ด้วยผ้งึ . กรงุ เทพ. อุดม จริ เศวตกุล สทุ ธิชัย สุทธวิ ราภริ ักษ์ และสมบูรณ์ ซารมั ย.์ 2535. การเพาะเลี้ยงนางพญาผ้ึง. โรงพมิ พ์ ชุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำ� กดั . กรุงเทพฯ. อดุ ม จริ เศวตกลุ . 2537. การพฒั นาการเลย้ี งผงึ้ ในประเทศไทย ใน การปรบั ปรงุ การเลย้ี งผง้ึ และผลติ ภณั ฑ์ ผง้ึ . ศูนยส์ ่งเสรมิ และฝกึ อบรมการเกษตรแห่งชาติ ส�ำนักส่งเสรมิ และฝกึ อบรม มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำ� แพงแสน. นครปฐม. Francis G. Smith. 1960. Beekeeping in The Tropic. Western Printing Service Ltd. Great Britain. Owen Meyer. 1981. The beekeeper’ s handbook. Whitstable Litho Limited. Great Britain. 122 การผลติ น�้ำผ้ึงคุณภาพ

ภาคผนวก การผลิตนำ�้ ผง้ึ คณุ ภาพ 123

124 การผลิตน�้ำผง้ึ คณุ ภาพ

การผลิตนำ�้ ผึ้งคณุ ภาพ 125

126 การผลิตน�้ำผง้ึ คณุ ภาพ

การผลิตนำ�้ ผึ้งคณุ ภาพ 127

128 การผลิตน�้ำผง้ึ คณุ ภาพ

การผลิตนำ�้ ผึ้งคณุ ภาพ 129

130 การผลิตน�้ำผง้ึ คณุ ภาพ

การผลิตนำ�้ ผึ้งคณุ ภาพ 131

132 การผลิตน�้ำผง้ึ คณุ ภาพ

การผลิตนำ�้ ผึ้งคณุ ภาพ 133

134 การผลิตน�้ำผง้ึ คณุ ภาพ

การผลิตนำ�้ ผึ้งคณุ ภาพ 135

136 การผลิตน�้ำผง้ึ คณุ ภาพ

การผลิตนำ�้ ผึ้งคณุ ภาพ 137

138 การผลิตน�้ำผง้ึ คณุ ภาพ

การผลิตนำ�้ ผึ้งคณุ ภาพ 139

140 การผลิตน�้ำผง้ึ คณุ ภาพ

การผลิตนำ�้ ผึ้งคณุ ภาพ 141

142 การผลิตน�้ำผง้ึ คณุ ภาพ

การผลิตนำ�้ ผึ้งคณุ ภาพ 143

144 การผลิตน�้ำผง้ึ คณุ ภาพ