ผึ้งงานเม่ือกินน�้ำหวานแล้วจะไปอยู่ บริเวณท่ีจะสร้างรวงแล้วเกาะอยู่นิ่งๆ เพ่ือให้ ระบบยอ่ ยอาหารท�ำการยอ่ ยน�้ำผง้ึ แลว้ เปลยี่ น เปน็ ไขผงึ้ ออกมาจากตอ่ มผลติ ไขผง้ึ หลงั จากกนิ นำ�้ หวานประมาณ24ชว่ั โมงผงึ้ กจ็ ะเรมิ่ สรา้ งรวง โดยจะใชข้ าคหู่ ลงั เกยี่ วเอาเกลด็ ไขผง้ึ ใตท้ อ้ งมา ใส่ปากเค้ียว โดยใชข้ าคูห่ นา้ ช่วย ไขผึ้งที่ถกู ผึง้ เคี้ยวใหม่จะมีลักษณะคล้ายฟองน�้ำ ผึ้งก็จะ นำ� ไปตดิ กบั สว่ นรวงทต่ี อ้ งการสรา้ งแลว้ ทำ� การ ภาพต่อมผลิตไขผึ้งของผึง้ งาน (ลูกศรสีแดง) ปน้ั ตามรปู รา่ งทตี่ อ้ งการ ขบวนการตง้ั แตผ่ งึ้ เรมิ่ เกยี่ วเอาไขผง้ึ หนงึ่ เกลด็ มาเคย้ี วแลว้ น�ำไปสรา้ ง รวงกินเวลาประมาณ 4 นาที การสร้างรวงจะพบว่า ผ้ึงจะสร้างรวงในด้านตรงข้ามกันพร้อมๆ กัน โดยการสร้างรวง จะอย่ภู ายใตอ้ ิทธพิ ลของแรงโน้มถ่วงของโลก 2. การเลี้ยงดตู ัวอ่อน (Nursing) ผ้ึงงานจะท�ำหน้าที่เป็นผ้ึงพยาบาล หรือเล้ียงดูตัวอ่อน ก็เมื่อมีอายุได้ประมาณ 4 วัน หลังจากฟักออกมาเปน็ ตวั เตม็ วยั จนมอี ายุประมาณ 11 วนั หลังจากนั้นตอ่ มพ่ีเล้ยี งทอ่ี ยู่โคนกราม ท้ัง 2 ข้างจะค่อยๆ ฝอ่ ไป ผึ้งก็จะเปลย่ี นหน้าทไี่ ป ผ้ึงพยาบาลจะเข้าไปเย่ียมดูแลไข่ทันทีท่ีผึ้งนางพญาวางไข่ หรือจากน้ันไข่นั้นก็จะถูก ตรวจเย่ียมโดยผ้ึงพยาบาลบ่อยครั้ง ในระยะไข่จนถึงระยะตัวหนอน การตรวจเยี่ยมแต่ละครั้ง จะใช้เวลาประมาณ 2-3 วินาที แต่ถ้ามีการป้อนอาหารใหต้ ัวอ่อนดว้ ยก็ใช้เวลาประมาณ ½-2 นาที ในชว่ งอายตุ วั หนอน 2 วนั แรก หลงั จากฟกั ออกจากไข่ ผง้ึ พยาบาลจะใหอ้ าหารแกต่ วั หนอน มากจนเกนิ พอ เราจงึ เหน็ คลา้ ยกบั ตวั หนอนนอนลอยอยใู่ นอาหารทค่ี ลา้ ยน�้ำนมสขี าว พอตวั หนอน อายไุ ด้ 3 วนั อาหารทม่ี อี ยู่ก็ถูกใช้ไปจนถึงวันที่ 4 อาหารที่ตวั หนอนลอยอยู่นนั้ ก็จะถูกกนิ หมด ตวั หนอนกต็ ้องคอยให้ผ้งึ พยาบาลมาปอ้ น จากการเฝ้าสังเกต ตวั หนอนของผ้ึงงานท่มี อี ายตุ ง้ั แต่ไข่ จนถึงระยะปดิ ฝาหลอดรวง 8 วัน พบว่าในหนึ่งตวั จะถูกตรวจเย่ียมมากกว่า 10,000 คร้ัง ในวนั สุดทา้ ยก่อนจะปิดฝาหลอดรวงพบวา่ การตรวจเย่ียมสูงถึง 3,000 คร้ัง รวมแล้วการดูแลตัวอ่อนหน่ึงตัวจะใช้ผ้ึงประมาณ 2,785 ตัว ใช้เวลา 10 ช่ัวโมง 16 นาที 8 วนิ าที การผลิตนำ�้ ผ้ึงคุณภาพ 45
3. การป้อนน้�ำหวาน (Food Sharing) ในสังคมของผ้ึง จุดประสงค์ของการกินอาหารไม่ใช่เพ่ือการโภชนาการเป็นส�ำคัญ แต่เพ่ือพฤติกรรมทางด้านสังคมท่ีช่วยให้ผึ้งอยู่ด้วยกัน ถึงแม้ว่าผ้ึงจะสามารถกินน้�ำหวานท่ีอยู่ใน หลอดรวงไดด้ ว้ ยตัวเอง แตบ่ ่อยครั้งท่ผี ง้ึ จะปอ้ นนำ�้ หวานซง่ึ กนั และกัน ผงึ้ นางพญาและผ้ึงตัวผเู้ รา แทบจะไมพ่ บเลยว่ากินอาหารดว้ ยตวั เอง ตอ้ งอาศยั ผ้ึงงานมาป้อนใหเ้ สมอ ความจริงแลว้ การป้อน น�้ำหวานจุดประสงค์ก็เพ่ือเป็นการส่ือสารกันอย่างหนึ่ง เพราะในน้�ำหวานท่ีผ้ึงป้อนซ่ึงกันและกัน จะมีสารเคมีที่มาจากผึ้งนางพญาหรือจากผ้ึงงานตัวอื่นๆ ปนอยู่ด้วย สารนี้สามารถแพร่กระจาย ไปไดท้ ั่วรังผึ้งในเวลาอนั รวดเร็ว ผงึ้ งานทไ่ี ดร้ บั การปอ้ นอาหารกเ็ หมอื นไดร้ บั สญั ญาณ หรอื ขา่ วสารกจ็ ะสง่ ไปใหผ้ ง้ึ ตวั ตอ่ ไป น้�ำหวานใหม่ๆท่ีผึ้งน�ำกลับมาจะเรียกร้องความสนใจจากผึ้งในรังมาก ผ้ึงงานที่มีประสบการณ์จะ เตน้ รำ� หรอื ใหข้ อ้ มลู วา่ น้�ำหวานนนั้ มคี ณุ ภาพดหี รอื ไม่ ผง้ึ งานตวั อนื่ ๆกจ็ ะท�ำการศกึ ษากลนิ่ รส และ สถานทีข่ องน�้ำหวาน เพื่อจะได้บนิ ออกไปหาตอ่ ไป ผ้ึงงานท่อี ายยุ ังไม่มากพอทจี่ ะออกไปหาอาหาร จะท�ำหน้าที่รับน�้ำหวานจากผึ้งงานที่หามาไปเก็บไว้ในหลอดรวง การป้อนอาหารน้ีเกิดข้ึนเฉพาะ การป้อนน้�ำหวานเท่านั้น ส่วนละอองเกสรจะไม่มีการป้อน ถ้าผึ้งต้องการเกสรก็จะไปกินเองจาก หลอดรวงทีเ่ กบ็ ละอองเกสร 4. การปอ้ งกนั รัง (Guard Duty) โดยทว่ั ไปผง้ึ ทมี่ หี นา้ ทปี่ อ้ งกนั รงั มกั จะพบอยบู่ รเิ วณปากทางเขา้ รงั ผงึ้ แตใ่ นฤดดู อกไมบ้ าน (Honey Flow) จะมผี ง้ึ ทหารอยปู่ ากทางเขา้ รงั นอ้ ย ดงั นนั้ จะมผี งึ้ จากรงั อน่ื ทช่ี มิ นำ้� หวานหรอื เกสร มาด้วย เมื่อเข้าผิดรังก็อาจไม่ได้รับอันตราย แต่ถ้าเป็นฤดูท่ีน�้ำหวานน้อยจะพบผึ้งทหารอยู่ที่ ทางเขา้ มาก เพอ่ื คอยไมใ่ หผ้ ง้ึ จากรงั อนื่ หรอื ศตั รอู นื่ เขา้ มาขโมยน้�ำหวานในรงั ผง้ึ ในฤดนู จ้ี งึ คอ่ นขา้ งดุ ผึ้งทหารท่ีเฝ้าอยู่หน้ารังจะยืนใน ลักษณะท่ียืนบนขาคู่หลัง 2 คู่ ส่วนขาคู่หน้า ยกขนึ้ จากพน้ื หนวดชไี้ ปขา้ งหนา้ กรามทง้ั 2ขา้ ง จะหุบเข้าหากัน แต่ถ้าผ้ึงเกิดตกใจขึ้นมาก็จะ กางกรามออก ปีกคล่ีออก เตรียมพร้อมท่ีจะ เข้าโจมตศี ัตรู ผ้งึ ทหารจะใช้เวลาตรวจสอบผึ้ง ที่เข้ามาในรังประมาณ 1-3 วินาที โดยจะใช้ หนวดแตะตามลำ� ตัว ภาพผึ้งทหารป้องกันหนา้ รัง 46 การผลติ น�้ำผึ้งคณุ ภาพ
5. การขโมยน�้ำหวาน (Robbing) การขโมยน้�ำหวาน เรามักจะพบได้เสมอโดยเฉพาะในรังผึ้งท่ีอ่อนแอ คือ อาจเป็นโรค แต่ผ้ึงทหารก็สามารถรับรู้ได้ โดยกล่ินของผ้ึงจะผิดแผกไป และลักษณะการบินจะบินวนเวียน อยหู่ นา้ รงั เมอ่ื ผง้ึ ทหารจบั ผงึ้ ขโมยไดก้ จ็ ะเขา้ ไปท�ำการตอ่ สกู้ นั โดยใชท้ งั้ กรามและเหลก็ ในเปน็ อาวธุ สว่ นมากผลของการตอ่ ส้คู ือจะตายทัง้ สองฝา่ ย 6. การปรบั อณุ หภูมิในรงั (Fanning) ผ้ึงสามารถปรับอุณหภูมิภายในรังให้สม�่ำเสมอได้ โดยการกระพือปีกอยู่ทางเข้าของรังผึ้ง จะทำ� ใหอ้ ากาศภายในรงั หมนุ เวยี นถา่ ยเทตลอดเวลา ลกั ษณะของการกระพอื ปกี ผง้ึ งานจะอยใู่ นทา่ เกาะ ส่วนท้องจะโค้งแล้วกระพือปีกอย่างรวดเร็ว นอกจากกระพือปีกเพ่ือปรับอุณหภูมิ (Ventilation Fanning) แล้ว ยงั ท�ำใหน้ ำ้� หวานทเ่ี ก็บสะสมอยใู่ นหลอดรวงกลายเปน็ นำ้� ผง้ึ คอื ความชืน้ หรอื น้�ำที่ ปนอยจู่ ะระเหยออกมา ทำ� ใหน้ ำ้� ผงึ้ นนั้ เปน็ นำ�้ ผงึ้ ทส่ี กุ (Ripe Honey) จำ� นวนของผง้ึ งานทท่ี ำ� หนา้ ที่ กระพอื ปกี (Fanner) ไมแ่ นน่ อนแลว้ แตส่ ภาพแวดลอ้ มและความตอ้ งการของรงั ผงึ้ ผง้ึ งานหลายตวั จะมาเกาะอยบู่ รเิ วณหนา้ รงั ผงึ้ หนั หนา้ เข้ารงั ยืนในระยะหา่ งกันพอสมควร แล้วทำ� การกระพือปีก จะท�ำใหอ้ ากาศจากภายนอกไหลเขา้ มาในรงั และจะมีผ้งึ งานอกี กลมุ่ หน่ึงหนั หน้าออกนอกรงั แล้ว กระพอื ปีกเพ่อื ให้อากาศร้อนภายในรงั ไหลออกมาภายนอก ถ้าในกรณที อี่ ณุ หภูมิสูงมากๆ จนผ้งึ ไม่ สามารถจะปรบั อณุ หภมู ิได้ ผงึ้ จะออกมาเกาะกนั เป็นกอ้ นอยหู่ นา้ รงั เพ่ือหนีอากาศร้อนภายในรงั การกระพือปีกอีกแบบหนึ่งคือ ส่วนท้องของผ้ึงงานจะช้ีข้ึนแต่ปล้องท้องปล้องสุดท้าย จะโคง้ ลง ทำ� ใหต้ อ่ มกลนิ่ เปดิ ออก ผงึ้ งานจะกระพอื ปกี อยา่ งรวดเรว็ ท�ำใหก้ ลนิ่ แพรก่ ระจายออกไป การกระพอื ปกี แบบนี้เป็นการกระจายกล่นิ (Orientation fanning) เพ่ือสง่ ข่าวสารบอกต�ำแหน่ง ท่ีตงั้ ของรัง 7. การท�ำงานของผึง้ สนาม (Working Habit of Field Bees) โดยทว่ั ไปผงึ้ งานจะออกทำ� หน้าทเี่ ป็นผึ้งสนามกเ็ มอ่ื อายปุ ระมาณ 3 อาทติ ย์ สิง่ ทผี่ ึ้งสนาม จะขนเข้ามาในรังคอื นำ้� หวาน (Nectar) เกสร (Pollen) และยางไม้ (Propolis) การเกบ็ เกสร เกสรผง้ึ จะใชเ้ ปน็ แหลง่ ของโปรตนี ไขมนั เกลือแร่ และวติ ามนิ ต่างๆ เพือ่ ใช้ ในการผลิตอาหารของตัวอ่อนของผ้ึง และผึ้งท่ีเป็นตัวเต็มวัยใหม่ๆ ผ้ึงเก็บเกสรดอกไม้ด้วยการ เอาตวั ลงไปคลกุ เคลา้ กบั เกสรดอกไม้ เกสรก็จะติดทข่ี นตามตัวผงึ้ ผึ้งก็จะใช้หวที ่ีอยู่ทขี่ า มลี กั ษณะ เปน็ ขนแขง็ เรยี งเปน็ แถว ผงึ้ จะใชห้ วนี คี้ ราดไปตามล�ำตวั เอาเกสรไปอดั รวมเกบ็ ไวท้ ต่ี ะกรอ้ เกบ็ เกสร ท่ีขาหลังทั้ง 2 ข้าง ผ้ึงงานจะเก็บเกสรในเวลาเช้า ท้ังน้ีเพราะต้องมีความชื้นพอท่ีจะปั้นเกสร เปน็ กอ้ นได้ ถา้ อากาศแหง้ ผึง้ กไ็ ม่สามารถเกบ็ เกสรได้ เมื่อผ้ึงงานเก็บเกสรได้จนเต็มก็จะรีบบินกลับรังเม่ือเข้าไปในรังก็จะอวดเกสรให้ผึ้งตัวอ่ืนๆ เหน็ พรอ้ มกบั สง่ ขา่ วสารของแหลง่ อาหารดว้ ยวธิ เี ตน้ รำ� เมอื่ เตน้ เสรจ็ แลว้ ผง้ึ ทนี่ ำ� เกสรมากจ็ ะไปหา การผลิตนำ�้ ผง้ึ คณุ ภาพ 47
หลอดรวงสำ� หรบั เก็บเกสร สว่ นมากมักจะเก็บ ในหลอดรวงใกล้ๆ กับตัวอ่อน เมื่อหาหลอดที่ ต้องการแล้วก็จะหย่อนขาคู่หลังลงไปใน หลอดรวง แลว้ ใชข้ าคกู่ ลางคอ่ ยๆ เขยี่ กอ้ นเกสร ให้หลุดออก ก้อนเกสรก็ตกลงไปท่ีก้นหลอด รวง แลว้ ก็เป็นหน้าทขี่ องผ้งึ งานท่ีดูแลรังจะมา อัดเกสรให้ติดแน่นอยู่ที่ก้นรังอีกทีหนึ่ง โดยผึ้ง จะผสมนำ�้ หวาน และน้ำ� ลายลงไปในเกสรด้วย ทำ� ให้เกสรน้ีไมบ่ ดู หรอื เสีย สามารถเก็บไดเ้ ป็น เวลานาน แตส่ ีของเกสรจะเขม้ ข้นึ และจะเกบ็ ภาพตะกรอ้ เก็บเกสรท่ขี าหลังของผ้ึง เกสรเพยี งคร่ึงหลอดเท่านัน้ การเกบ็ นำ้� หวาน นำ้� หวานเปน็ อาหาร สำ� คญั อกี ชนดิ หนงึ่ ของผงึ้ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ แหลง่ ของ คาร์โบไฮเดรตและน้�ำตาล นำ�้ หวาน (Necter) เป็นของเหลวท่ีมีรสหวานท่ีผึ้งสกัดออกมา จากต่อมนำ้� หวานท่ีอย่ใู นดอกไม้ เพ่ือทจี่ ะเปน็ รางวัลแก่ผึ้งหรือแมลงชนิดอ่ืนๆ ที่ช่วยผสม เกสรใหเ้ กสรแต่ตน้ พืชน้ัน ผงึ้ เกบ็ นำ�้ หวานโดยใชป้ ากทม่ี ลี กั ษณะ เปน็ ทอ่ ยาว ดดู เอานำ�้ หวานจากดอกไม้ นำ�้ หวาน จะถูกเก็บไว้ในกระเพาะส�ำหรับเก็บน้�ำหวาน ภาพผึง้ เก็บนำ้� หวานบนดอกลำ� ไย โดยเฉพาะ ผงึ้ จะบินไปดดู นำ้� หวานจากดอกไม้ หลายๆดอก หรือหลายชนิดก็ได้ เพื่อเก็บ น้�ำหวานให้ได้เต็มกระเพาะแล้วก็บินกลับรัง เม่ือกลับมาถึงรังถ้าแหล่งน้�ำหวานที่ผ้ึงหามาได้อุดม สมบรู ณด์ ีผงึ้ กจ็ ะท�ำการเตน้ ร�ำเพ่อื บอกแหล่งอาหารแก่ผ้ึงตวั อื่นๆ ถา้ แหลง่ ของนำ้� หวานมไี ม่มากก็ จะไม่มีการเต้นรำ� ผึง้ ก็จะเดนิ ไปบนรวงจนเจอกับผ้งึ แมบ่ ้าน (House bee) ก็จะคายน�ำ้ หวานออก ใหเ้ พ่ือน�ำไปเกบ็ ในหลอดรวง หรอื น�ำไปเลี้ยงตวั อ่อนเลยก็ได้ ผ้งึ จะคายนำ�้ หวานทีห่ ามาไดใ้ หแ้ ก่ผึ้ง แม่บ้านตัวเดียวท้ังหมดก็ได้ ส่วนมากมักจะพบว่า ผึ้งจะคายน�้ำหวานให้ผึ้งแม่บ้าน 3 ตัวขึ้นไป น้�ำหวานที่ถูกเก็บไว้ในหลอดรวงก็จะถูกท�ำให้เข้มข้นขึ้นโดยการระเหยเอาน้�ำออก องค์ประกอบ ของสารเคมีภายในน้�ำหวานจะเปล่ียนแปลงไปด้วยจนในที่สุดกลายเป็นน้�ำผึ้งท่ีมีความเข้มข้น ค่อนขา้ งสงู โดยทั่วไปน�้ำผึง้ ทบ่ี ่มสกุ ได้ทีแ่ ลว้ ไมค่ วรมคี วามชนื้ หรอื นำ้� ผสมอยูเ่ กนิ 20% 48 การผลิตนำ�้ ผงึ้ คุณภาพ
การเก็บน้�ำ น�้ำเป็นส่ิงส�ำคัญของผึ้ง เชน่ กนั ผง้ึ ใชน้ ำ�้ ทำ� ประโยชนห์ ลายอยา่ ง ภายในรงั ผ้ึงพยาบาลต้องการน้�ำเพ่ือใช้ผสมกับน้�ำผึ้ง ให้เจือจางลง เพื่อใช้ในการท�ำอาหารส�ำหรับ ตวั ออ่ น และนำ้� กจ็ ำ� เปน็ ตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของ ผ้ึงตัวเต็มวัยเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นในวันที่ อากาศร้อนจัดๆ จะพบว่า ผ้ึงจะขนน้�ำเข้าไป ในรังอย่างมากมาย ทั้งนี้ก็เพื่อท�ำการช่วยลด อุณหภูมภิ ายในรัง โดยผ้งึ จะคายน้�ำไว้ตามรวง ทวั่ ๆ ไป แลว้ กจ็ ะท�ำการกระพอื ปกี ใหน้ ้�ำระเหย ภาพผึ้งเกบ็ นำ�้ เพือ่ ใชใ้ นการทำ� อาหาร ออกมา ทำ� ให้รังผง้ึ นนั้ เยน็ ลง การเก็บยางไม้ (Propolis) เป็นวัสดุท่ีมีความเหนียวที่ผ้ึงขนเข้าไปใช้ในรัง เก็บเพื่อใช้ เคลอื บผนังรงั ใช้ยดึ คอนผ้ึงใหแ้ นน่ ใช้อดุ รู รอยแตกต่างๆ ใชป้ ดิ ปากทางเข้าให้เลก็ ลง หรอื ใช้หมุ้ สตั ว์ตัวใหญ่ทเี่ กิดตายอยู่ในรัง ท่ผี ง้ึ ไมส่ ามารถขนออกไปทง้ิ ได้ เช่น พวกจิง้ จก ยางไมท้ ีห่ มุ้ ตวั สัตว์น้ี จะท�ำให้สัตวต์ วั นน้ั ไม่เนา่ ผึ้งได้ยางไม้จากส่วนตา (Bud) ของตน้ พชื หรือยางท่ไี หลออกมาตามล�ำต้น ผ้ึงเก็บยางไม้ โดยการใช้กรามกัดยางไม้เป็นช้ินแล้วใช้ขาคู่หน้ารับยางไม้จากปากแล้วน�ำไปเก็บไว้ที่ตะกร้อเก็บ เกสรทขี่ าคูห่ ลงั เมอ่ื เตม็ แลว้ กจ็ ะบินกลับรงั ผ้ึงจะตรงไปยังบริเวณท่ีต้องการใช้ยางไมท้ นั ที ผึ้งงาน ตัวอ่ืนก็จะเข้ามากัดก้อนยางไม้น้ันเป็นชิ้นเล็ก แล้วน�ำไปติดในท่ีต้องการ พบว่า บางทีผ้ึงจะผสม ไขผ้งึ ลงไปดว้ ย 8. ภาษาของผึ้ง (The Language of the Bees) ผึ้งสามารถท่ีจะติดต่อส่ือสารซ่ึงกันและกันได้ แต่ภาษาท่ีผึ้งใช้ไม่ใช่เสียงแต่ใช้การเต้นรำ� (Bee dance) แทน การเตน้ ร�ำของผึง้ จะมจี งั หวะสำ� คญั ๆ อยู่ 2 แบบ คอื 1) การเต้นร�ำแบบวงกลม (Round dance) โดยผึ้งจะเดินเป็นวงกลมเล็กๆ บนรวง เปลยี่ นทศิ ทางอยบู่ อ่ ยๆ ผงึ้ จะเดนิ วนขวาเปน็ วงกลมแลว้ กลบั วนซา้ ยเปน็ วงกลมอกี รอบหนง่ึ ผึ้งจะเต้นร�ำแบบน้ีหลายวินาที หรือบางทีก็นานเป็นนาทีแล้วก็หยุด แล้วย้ายไปเต้นที่อ่ืนบนรวง ขณะท่ผี งึ้ ท�ำการเต้นร�ำ ผึง้ ตวั อื่นๆกจ็ ะเอาหนวดมาแตะตามล�ำตัวของผง้ึ ท่ีกำ� ลังเต้นอยู่นนั้ 2) การเต้นร�ำแบบสา่ ยท้อง (Wag-tail dance) ผ้งึ จะเดินเป็นรูปครึ่งวงกลม ทางซา้ ยแลว้ เดนิ เปน็ เสน้ ตรง พอถงึ จดุ เรมิ่ กเ็ ดนิ เลย้ี วขวาเดนิ เปน็ รปู ครง่ึ วงกลม แลว้ เดนิ เปน็ เสน้ ตรง ทบั กบั การเดนิ ครัง้ แรก จนถึงจดุ เรม่ิ ต้น เรยี กว่า เดนิ ครบหน่ึงรอบ ชว่ งขณะทผี่ ึง้ เดนิ เปน็ เสน้ ตรง ผึ้งจะสา่ ยสว่ นทอ้ งไปมา ขณะที่เตน้ ร�ำ ผึง้ ตัวอนื่ ๆ กจ็ ะให้ความสนใจลอ้ มรอบและใช้หนวดแตะ การผลิตนำ�้ ผ้ึงคุณภาพ 49
เมอ่ื ผึ้งกลบั จากแหล่งอาหารท่ีอยู่ในรัศมไี ม่เกนิ 100 หลาจากรงั ผ้ึง จะเต้นแบบวงกลมผงึ้ ในรงั กจ็ ะตดิ ตามรบั ขา่ วและกลน่ิ ของดอกไมท้ ต่ี ดิ มาตามตวั ผงึ้ และชมิ นำ้� หวานทผี่ ง้ึ เตน้ รำ� คายออกมา การเต้นรำ� แบบวงกลมนจี้ ะบอกข่าวสารแก่ผ้ึงตัวอื่นๆ วา่ แหล่งของอาหารจะอยู่ภายในรศั มีไมเ่ กิน 100 หลาจากรังผึ้ง แต่ไม่มีการบอกทิศทาง ผ้ึงท่ีได้รับข่าวสารก็จะบินออกไปหาแหล่งอาหารใน ทกุ ทศิ ในรัศมี 100 หลา ถ้าแหล่งอาหารอยู่ไกลกว่า 100 หลาออกไป การเต้นร�ำของผ้ึงจะเปล่ียนไปเต้นร�ำแบบ สา่ ยทอ้ ง ซ่ึงการเตน้ ร�ำแบบส่ายท้องจะบอกทงั้ ระยะทางและทิศทางของแหล่งอาหาร ทิศทางของแหล่งอาหารในการเต้นร�ำแบบส่ายท้องผ้ึงจะบอกโดยการเดินส่ายท้องท�ำมุม กับแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งจะเท่ากับมุมของแหล่งอาหารรังผึ้งและดวงอาทิตย์ท�ำมุมกัน ถ้า แหลง่ อาหารอยเู่ ปน็ เสน้ ตรงเดยี วกบั ดวงอาทติ ย์ ผงึ้ จะเดนิ เอาหวั ขนึ้ ถา้ แหลง่ อาหารอยตู่ รงขา้ มกบั ดวงอาทิตย์ คอื รงั ผงึ้ อยตู่ รงกลาง ผ้งึ จะเดินเอาหวั ลง ส่วนระยะทางของแหลง่ อาหารจะบอกด้วยความเรว็ หรอื ชา้ ในการเต้นร�ำครบ 1 รอบ เช่น ถา้ แหลง่ อาหารอยหู่ า่ งจากรงั 100 หลา ผงึ้ จะเตน้ ร�ำแบบสา่ ยทอ้ ง 9-10 รอบใน 15 วนิ าที ถา้ อยหู่ า่ ง 600 หลา จะเต้น 7 รอบใน 15 วินาที ถ้าอยหู่ า่ ง 1 กโิ ลเมตร จะเตน้ 4 รอบใน 15 วินาที ถ้าอยู่หา่ ง 6 กโิ ลเมตร จะเต้น 2 รอบใน 15 วินาที แสดงวา่ ถา้ แหล่งอาหารอยไู่ กลออกไป ผง้ึ จะเต้นรำ� ชา้ ลง ส่วนคุณภาพของอาหาร ผ้ึงสามารถบอกได้โดยถ้าอาหารมีคุณภาพดีมีจ�ำนวนมาก ผง้ึ จะเต้นร�ำอยา่ งกระฉับกระเฉงมชี วี ติ ชวี า พรอ้ มขณะเต้นผง้ึ กจ็ ะคายนำ้� หวานออกมาใหต้ ัวอ่นื ชมิ หรือถ้าเป็นเกสรก็จะอวดเกสรที่ติดมาให้ ผึ้งตัวอ่ืนๆได้ดู พบว่าถ้าผึ้งมีอายุมากข้ึน จงั หวะการเต้นร�ำช้าลง ผง้ึ ไมไ่ ดร้ ภู้ าษามาแตก่ ำ� เนดิ ตอ้ งมี การเรียนรู้ ฝึกฝนเอาภายหลังจนช�ำนาญ แล้วจึงออกบินหาอาหาร โดยเรียนรู้จาก ผ้ึงรุ่นพี่ที่มีความช�ำนาญแล้ว เม่ือผึ้งรุ่นพี่ เตน้ ร�ำ ผง้ึ สาวๆ กจ็ ะเอาหนวดไปแตะเพ่อื ท่ีจะเรียนรู้ว่าการเต้นร�ำนั้นหมายความ อยา่ งไรและการเตน้ เปน็ แบบไหนการเตน้ รำ� ของผงึ้ แตล่ ะสายพนั ธจ์ุ ะมคี วามใกลเ้ คยี งกนั เป็นส่วนมาก แต่ก็มีข้อแตกต่างกันบ้าง เล็กน้อย คือจะมีส�ำเนียง (Dialect) ท่ี แตกต่างกัน ภาพการเต้นบอกทิศทางของแหลง่ อาหาร ทีไ่ ด้สำ� รวจพบของผ้งึ งาน 50 การผลติ นำ้� ผ้งึ คุณภาพ
ผง้ึ สามารถรู้ตำ� แหน่งของดวงอาทติ ยไ์ ด้ ถึงแม้ทอ้ งฟ้าจะปกคลุมดว้ ยเมฆ เพราะตาของผ้ึง จะไวต่อแสงอุลตร้าไวโอเลต (Ultra-violet) ท่ีส่องผ่านก้อนเมฆ ในวันท่ีมีแดดดี ในช่วงเวลา บ่ายโมงถึงบ่ายสามจะไม่ค่อยมีการเต้นร�ำภายในรังผ้ึง ในแถบเส้นศูนย์สูตร เมื่อดวงอาทิตย์อยู่ ตรงศีรษะ พบว่า ผ้ึงจะไม่มีการเต้นรำ� และจะหยุดออกหาอาหาร ในการเต้นร�ำบอกทิศทาง บางทีผ้ึงอาจใช้ส่ิงอ่ืนเป็นตัวสังเกตแทนดวงอาทิตย์ เช่น ปา่ แนวชายฝงั่ ทะเลหรือถนนซุปเปอรไ์ ฮเวย์ ถา้ ผง้ึ ตอ้ งบินอ้อมภเู ขา หรอื ก้อนหินใหญๆ่ เพ่อื ไปยัง แหล่งอาหารในการเต้นร�ำ ผ้ึงจะบอกระยะทางจากรังไปยังแหล่งอาหารเป็นเส้นตรง การเต้นร�ำ ของผึ้งจะบอกเฉพาะทิศทาง ระยะทางเท่านั้น ไม่บอกความสูงของแหล่งอาหารว่าอยู่สูงหรือต�่ำ แค่ไหน ผงึ้ สามารถรับรูแ้ รงโนม้ ถ่วงของโลกไดก้ โ็ ดยมอี วัยวะรบั รกู้ ารทรงตัว เปน็ แผงเส้นขนเล็กๆ ติดอยู่ที่ด้านหลังของส่วนหัว เม่ือใดท่ีมีการเคล่ือนไหวประสาทท่ีเส้นขนเล็กๆ นี้ ก็จะรับรู้ว่า ตัวผ้ึงอยู่ตรงกับแนวไหนของแรงโน้มถ่วงโลก อวัยวะน้ีนอกจะใช้เต้นร�ำแล้ว ยังส�ำคัญอย่างย่ิง ในการทำ� ให้ผึ้งสร้างรวงไดถ้ กู ต้องและสมำ่� เสมอ 9. การแยกรงั ของผงึ้ (Swarming) การแยกรัง (Swarming) เราถือวา่ เป็นขบวนการขยายพนั ธ์ุทแี่ ทจ้ รงิ ของผึ้ง เพราะจำ� นวน หนว่ ยของสงั คม (Colony) ไดเ้ พม่ิ ขน้ึ เราไมถ่ อื วา่ การทน่ี างพญาวางไข่ ภายในรงั เปน็ การขยายพนั ธ์ุ เพราะถ้าเกดิ นางพญาตายไปไม่มตี ัวใหม่มาทดแทน ผึ้งรงั นน้ั กจ็ ะสลายไปในทส่ี ดุ การแยกรังของผึ้งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อรังผ้ึงรังน้ันมีจำ� นวนประชากรของผ้ึงหนาแน่นมาก และภายในรังไม่มีที่ท่ีจะสร้างรวงใหม่เพิ่มขึ้นได้ ผ้ึงภายในรังจะอยู่กันอย่างแออัด ฟีโรโมนของ ผึ้งนางพญากระจายไม่ท่ัวถึง ท�ำให้ผ้ึงงานรู้สึกว่าขาดผ้ึงนางพญาจึงสร้างหลอดรวงท่ีมีลักษณะ คล้ายถ้วยคว�่ำ (Queen cup) ส่วนมากจะ สร้างอยู่ท่ีขอบรวงด้านล่าง จำ� นวนหลอดรวง ไม่แน่นอน ส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 4-20 หลอด เม่ือผ้ึงนางพญามาวางไข่ในหลอดรวงถ้วยควำ่� ภายในเวลาประมาณ 3 วัน ไข่จะฟักเป็น ตวั หนอน ผง้ึ งานกจ็ ะมาระดมใหอ้ าหารแกต่ วั ออ่ น ในปริมาณท่ีมากมาก ตัวหนอนจะเจริญอย่าง รวดเรว็ ผง้ึ งานกจ็ ะคอ่ ยๆ ตอ่ หลอดรวงถว้ ยควำ�่ ให้มีขนาดยาวออกเร่ือยๆ และปิดหลอดรวง ในท่ีสดุ หลอดรวงทปี่ ิดแล้วจะมีลักษณะคลา้ ย ฝักถว่ั ลสิ ง (Swarm queen cell) ภาพผงึ้ แยกรงั เมื่ออยใู่ นสภาพที่มี อาหารสมบรู ณ์ การผลติ นำ�้ ผึ้งคณุ ภาพ 51
ในขณะที่นางพญาตัวใหม่ที่อยู่ในหลอดใกล้จะฟักออกมาเป็นตัวเต็มวัย ผ้ึงงานจะ ป้อนอาหารให้ผึ้งนางพญาตัวเก่าน้อยลงท�ำให้การวางไข่ของผึ้งนางพญาน้อยลง ขนาดล�ำตัวก็ เล็กลงด้วย โดยเฉพาะส่วนท้องจะหดเล็กลง ทั้งนี้ก็เพื่อให้ขนาดของล�ำตัวสมดุลกับปีก เพ่ือ นางพญาจะไดเ้ ตรยี มพร้อมที่จะบินอกี ครง้ั หน่งึ จำ� นวนของผ้ึงงานทแี่ ยกออกจากรงั เกา่ จะมจี �ำนวนประมาณ 30 - 70% ของประชากร ท้ังหมด โดยทัว่ ไปผึง้ งานทแี่ ยกรงั ออกมาจะมอี ายุระหว่าง 4 - 23 วนั เมื่อผงึ้ งานกลมุ่ นพี้ รอ้ มดว้ ย นางพญาตัวเก่าบนิ ออกจากรังเดมิ ก็จะไปเกาะเปน็ กลมุ่ ก้อนตามกงิ่ ไม้ หรอื สิ่งกอ่ สรา้ ง ไมห่ า่ งจาก รังเดิมมากนัก โดยทั่วไปประมาณ 10-30 เมตร สถานท่ีท่ีผ้ึงมาเกาะกลุ่มกันนี้เรียกว่าเป็นที่พัก ชวั่ คราว กอ่ นทจ่ี ะออกจากรงั เกา่ ผง้ึ ทแี่ ยกรงั ออกมานจ้ี ะกนิ นำ�้ หวานจนเตม็ กระเพาะ เพอ่ื เปน็ เสบยี ง สำ� รอง เราจงึ พบวา่ ผงึ้ ขณะทม่ี กี ารแยกรงั นไี้ มด่ แุ ละไมต่ อ่ ย ทง้ั นก้ี เ็ พราะเมอ่ื มนี ำ้� หวานเตม็ กระเพาะ ผง้ึ ไมส่ ามารถจะงอสว่ นทอ้ งเพอ่ื ตอ่ ยศตั รไู ด้ ในการแยกรงั บางทกี พ็ บวา่ มผี ง้ึ ตวั ผตู้ ดิ ตามออกมาดว้ ย บางคร้ังพบว่าผึ้งจะแยกรังพร้อมกันหลายๆ รัง และบินไปอยู่รวมกันเป็นรังเดียว และมีผ้ึงงาน ต่างรังจะรุมฆา่ นางพญาผึง้ ทไ่ี ปรวมกนั อาจจะพบผึ้งงานไปรวมเป็นก้อนๆ ประมาณ 4 – 5 ตัว การเกาะกลมุ่ กนั ณ ทพ่ี กั ชวั่ คราวพบวา่ ผง้ึ จะเกาะกนั คลา้ ยมา่ น เปลอื กนอกผงึ้ จะเกาะกนั อย่างหนาแน่นซ้อนกันอยู่ 3 ชั้น มีช่องทางส�ำหรับเข้าไปภายใน ซ่ึงจะมีผ้ึงเกาะกันอยู่หลวมๆ ผ้ึงขณะแยกรังนี้จะมีการแบ่งหน้าท่ีกันคือ ผึ้งที่มีอายุไม่เกิน 18 วัน จะเกาะตัวกันอยู่ภายใน คอยดูแลผ้ึงนางพญา ส่วนผ้ึงท่ีเกาะกันเป็นเปลือก 3 ชั้น น้ันจะมีอายุประมาณ 18-21 วัน ส่วนผง้ึ ท่ีมอี ายุ 21 วันขึน้ ไป จะมีหนา้ ทเี่ ป็นผงึ้ สำ� รวจ (Scout bees) คือทำ� หนา้ ทีห่ าทอ่ี ยแู่ หง่ ใหม่ ใหก้ ับพรรคพวกของตน ถ้ามีอุบัติเหตุเกิดข้ึนกับผึ้งนางพญา ในขณะที่ผ้ึงเกาะกลุ่มกันอยู่ที่ท่ีพักช่ัวคราว ทำ� ให้ ผง้ึ นางพญาตายหรอื สญู หายไป หรอื ผง้ึ นางพญาตวั เดมิ ไมบ่ นิ ตดิ ตามออกจากรงั ผง้ึ กลมุ่ ทพ่ี กั ชวั่ คราว ก็จะพากันบินเขา้ ไปอยใู่ นสถานทอ่ี ยู่ใหมน่ น้ั รังจะสลายไปในที่สดุ ในขณะมีการแยกรังน้ี ฟีโรโมนจะมีบทบาทส�ำคัญ เช่น ท�ำให้ผึ้งงานรับรู้ว่า ผ้ึงนางพญา อยู่ในกลุ่มหรือไม่ และฟโี รโมนน�ำทางก็จะชว่ ยให้การรวมกลุ่มกนั รวดเรว็ ข้ึน 10. การแสวงหาแหลง่ ท่ีอย่ใู หม่ ผง้ึ ส�ำรวจ (Scout bees) ท่ีมีจ�ำนวนหลายรอ้ ยตวั จะบินออกจากท่ที พ่ี ักชั่วคราวออกไป ในทศิ ทางตา่ งๆ กนั เพอ่ื แสวงหาแหลง่ ทอี่ ยใู่ หม่ เมอื่ พบโพรงไมห้ รอื โพรงหนิ ทพ่ี อจะอยอู่ าศยั ไดก้ จ็ ะ เข้าส�ำรวจภายในว่าน่าอยู่หรือไม่ พร้อมท้ังส�ำรวจสภาพแวดล้อมด้วยว่า มีอะไรรบกวนหรือไม่ แล้วก็จะกลับมาเต้นร�ำบอกข่าวแก่กลุ่มผ้ึง การเต้นร�ำผ้ึงก็จะเต้นร�ำแบบเดียวกับการเต้นร�ำบอก แหล่งอาหาร โดยเต้นร�ำอยู่บนผิวนอกที่เป็นตัวผ้ึงน้ัน ผึ้งส�ำรวจแต่ละตัวก็จะกลับมาส่งข่าวสาร แตกต่างกัน ผึ้งส�ำรวจตัวไหนพบที่อยู่ใหม่ท่ีน่าอยู่จะเต้นร�ำอย่างต่ืนเต้นและกระฉับกระเฉงจนผึ้ง 52 การผลิตน�้ำผงึ้ คณุ ภาพ
ส�ำรวจตัวอ่ืนๆ ให้ความสนใจและพากันไปดู ถ้าผึ้งส�ำรวจส่วนมากยอมรับสถานที่อยู่ใหม่ผึ้ง กลมุ่ ที่ท่พี กั ชั่วคราวกจ็ ะพากนั บินเขา้ ไปอย่ใู นสถานที่อยู่ใหม่นน้ั บางครั้งอาจพบกลุ่มผึ้งที่แยกรังออกมาแล้วสร้างรังอยู่ในท่ีโล่งแทนท่ีจะอยู่ในโพรงหรือ ในภาชนะท่ีปิดมิดชิดสาเหตุอาจเป็นเพราะว่าผึ้งกลุ่มนั้นยังไม่สามารถหาท่ีอยู่ใหม่ได้ และจ�ำเป็น ทจ่ี ะตอ้ งหาอาหาร เพราะน้�ำหวานทผี่ ึ้งกนิ สะสมก่อนออกจากรังเดมิ นัน้ อยู่ไดพ้ ยี งไมก่ ว่ี ัน หรืออาจ มีพายุหรอื ฝนตกหลายๆ วนั ท�ำใหผ้ ึง้ สำ� รวจทำ� งานไม่ได้ หรือบางกรณีอาจเป็นเพราะผ้งึ ส�ำรวจไป พบท่อี ยู่ใหมท่ ี่ดพี อๆ กัน 2 แหง่ และผง้ึ สำ� รวจตกลงกนั ไมไ่ ด้ว่าจะไปอยูท่ ี่ไหนดีเมอื่ อาหารสำ� รอง เริม่ หมดจงึ จำ� เป็นตอ้ งสร้างรังขึ้น ณ ท่ีพักช่ัวคราวน้ัน จึงสนั นิษฐานว่า ผึ้งพนั ธนุ์ ้ีคงมีวิวัฒนาการ มาจากการอยู่ในที่โล่งมาก่อน 11. การทิ้งรัง (Absconding) การทง้ิ รังหมายถงึ การท่ีผ้งึ ท้ิงรังเดมิ พากันอพยพไปหาท่ีอยู่ใหม่ การทิ้งรังนี้ไมม่ ีการสรา้ ง นางพญาตัวใหม่ขึ้นมา แต่นางพญาพร้อมทั้งผ้ึงทั้งหมดที่มีอยู่ในรังจะพากันอพยพออกจากรังเดิม จนหมด สาเหตุอาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมเดิมไม่เหมาะสม เช่น ขาดแคลนอาหารหรือน�้ำ มีศัตรูรบกวนมาก หรือประสบภัยธรรมชาติ เราจะพบการทิ้งรังในผ้ึงพันธุ์น้อยมาก และผึ้งจะ ไมม่ กี ารทิง้ รงั ถา้ ผง้ึ นางพญาไมต่ ิดตามไปดว้ ย หรอื ยังมตี ัวออ่ นหลงเหลืออยูใ่ นรงั ฟโี รโมนของผ้ึงนางพญา (Queen Pheromone) การติดต่อด้วยสารเคมีภายในรังผึ้ง สังคมของผ้ึงสามารถด�ำเนินไปได้โดยปกติก็เพราะมี สารเคมีหลายชนดิ เขา้ มามีบทบาทสำ� คัญ สารเคมีนเ้ี ราเรยี กวา่ ฟโี รโมน (Pheromone) หมายถงึ สารเคมีที่สัตว์ผลิตขึ้นและเม่ือสารนี้ถูกปล่อยออกไปแล้วจะมีผลต่อพฤติกรรมและสรีรวิทยา ของสัตวช์ นิดเดียวกัน สารเคมีที่ผึ้งนางพญาผลิตออกมาจะผลิตจากต่อมที่กรามของผึ้งนางพญา (Mandibular glands) สารเคมีนี้องค์ประกอบส่วนใหญ่ คือ 9-oxodec-2 enoic acid (9-ODA) และยังมี สารเคมีอ่ืนๆ อีกไม่น้อยกว่า 30 ชนิด ฟีโรโมนของผ้ึงนางพญาจะมีหน้าที่ควบคุมกิจกรรมหลาย อย่างภายในรังคอื 1. ยับยั้งการสร้างหลอดนางพญาฉุกเฉิน หลังจากที่ผึ้งนางพญาถูกน�ำ ออกไปจากรังผ้ึงงานในรังจะสร้างหลอดนางพญาขึ้นทันที โดยจะท�ำการขยายหลอดรวงผึ้งงาน ที่มีตัวหนอนอยู่ภายใน โดยท่ัวไปหลอดนางพญาแบบนี้จะพบตรงกลางๆ ของรวง หรือต�ำแหน่ง การสร้างหลอดอาจจะไม่แน่นอนข้ึนอยู่กับอายุของตัวหนอน ซึ่งต้องมีอายุไม่เกิน 48 ชั่วโมง แตถ่ ้ารงั ผง้ึ น้นั มนี างพญาอยู่ ก็จะไมม่ ีการสรา้ งหลอดนางพญาฉกุ เฉินข้ึน การผลิตนำ�้ ผง้ึ คณุ ภาพ 53
2. ยับยั้งการเจริญเติบโตของรังไข่ของผึ้งงาน โดยความเป็นจริง ผึ้งงาน กม็ รี งั ไขแ่ ตเ่ หตทุ ผ่ี งึ้ งานไมว่ างไขก่ เ็ พราะไดร้ บั ฟโี รโมนจากผงึ้ นางพญา ฟโี รโมนนจ้ี ะมผี ลท�ำใหร้ งั ไข่ ของผงึ้ งานฝ่อไป แต่ถ้าเรานำ� เอานางพญาออกไปจากรัง พบวา่ รังไขข่ องผง้ึ งานบางตวั จะเจริญขนึ้ แต่อย่างไรก็ตาม ผ้ึงงานท่ีมีรังไข่เจริญข้ึนก็ไม่สามารถจะผสมพันธุ์กับผึ้งตัวผู้ได้ ไข่ที่ผึ้งงานวาง ออกมาจะเป็นไข่ท่ไี ม่ไดร้ ับการผสม และฟักออกมาเป็นผ้งึ ตวั ผเู้ พียงอยา่ งเดยี ว 3. ดึงดูดผึ้งตัวผู้ ในระหว่างเท่ียวบินผสมพันธุ์ในฤดูผสมพันธุ์ ผ้ึงตัวผู้สามารถบิน ตดิ ตามผงึ้ นางพญาไดถ้ กู ตอ้ ง กอ็ าศยั หนวดรบั กลน่ิ ฟโี รโมนของผง้ึ นางพญา ฟโี รโมนของผง้ึ นางพญา จะมีผลดึงดูดผึ้งตัวผู้เฉพาะขณะที่ผ้ึงนางพญาบินอยู่ภายนอกรังเท่าน้ันแต่เมื่ออยู่ภายในรัง ฟีโรโมนนี้จะไมม่ ผี ลในการดงึ ดดู ผึ้งตัวผ้ทู ี่อยใู่ นรัง 4. ดึงดูดผึ้งงานให้ดูแลนางพญา ฟีโรโมนของผึ้งนางพญาจะเป็นตัวดึงดูดให้ ผง้ึ นางพญาคอยดแู ล ปอ้ นอาหารและทำ� ความสะอาดตวั เอง พบวา่ ผงึ้ นางพญาทอี่ อกมาใหม่ ตอ่ มผลติ ฟีโรโมนยังไมเ่ จริญ ผง้ึ งานจะไม่ให้ความสนใจในกรณที น่ี างพญาออกจากหลอดนางพญาหลายตัว พร้อมกัน นางพญาที่ออกมาจะพยายามหานางพญาตัวอื่น โดยติดตามกลิ่นของฟีโรโมนชนิดหน่ึง เรียกวา่ ฟีโรโมนทีม่ คี วามกดดัน (Stress pheromone) ฟโี รโมนนี้ผลติ จากตอ่ มที่อย่ทู ีโ่ คนเหล็กใน ของผ้งึ นางพญา (Koschevnikov gland) เม่อื นางพญา 2 ตัว มาเจอกันก็จะตอ่ สูก้ นั แต่ในฤดทู ีผ่ ึ้ง มีการแยกรังผึ้งนางญาจะไม่สามารถทำ� ลายคู่ต่อสู้ซึ่งอยู่ในหลอดนางพญาได้ เน่ืองจากผ้ึงงานจะ พยายามป้องกันหลอดรวงเหลา่ นอ้ี ย่างหนาแนน่ การแพร่กระจายของฟีโรโมนของผงึ้ นางพญา จะกระจายได้ 2 ทาง คอื ระเหยออก ในรูปกลิ่น และแพร่โดยการท่ีผ้ึงงานมาเลียตามตัวผึ้งนางพญา แล้วแพร่ไปท่ัวรัง โดยการป้อง น�้ำหวานกัน ดงั ได้กล่าวไปแล้ว ฟโี รโมนนำ� ทาง (Nassanolf Pheromones, Scent Gland Pheromone) เป็นฟีโรโมนของผึ้งงานผลิตขึ้นจากต่อมกลิ่น (Scent Gland) ท่ีอยู่ส่วนท้องด้านหลังระหว่าง ปลอ้ งท่ี 5 และปลอ้ งท่ี 6 ตอ่ มนจี้ ะพบเฉพาะในผง้ึ งานเทา่ นน้ั เวลาผง้ึ งานตอ้ งการใหฟ้ โี รโมนน�ำทาง แพร่กระจายออกไปก็จะยกท้องโกง่ ขน้ึ ฟีโรโมนจะระเหยออกมาในรูปของกา๊ ซ ผ้งึ กจ็ ะกระพือปีก อย่างรวดเร็วให้ลมจากปีกพัดพาเอากล่ินของฟีโรโมนให้กระจายออกไป กลิ่นของฟีโรโมน น�ำทางจมูกคนสามารถรบั กลิ่นไดเ้ หมือนกับกล่ินน้ำ� มันตะไคร้หรอื ผวิ มะกรูด ผงึ้ งานจะไมป่ ลอ่ ยสารเคมชี นดิ นเี้ มอ่ื อยภู่ ายในรงั แตจ่ ะใชข้ ณะทอ่ี ยนู่ อกรงั เชน่ เพอ่ื บอก แหล่งอาหาร หรือในกรณีที่ก�ำลังรวมกลุ่มขณะแยกรังเพ่ือเรียกให้ผึ้งงานตัวอ่ืนๆ เข้ากลุ่มได้ถูก ในขณะที่ผึ้งส�ำรวจ (Scout bee) พบสถานทีห่ รือโพรงท่ีจะยา้ ยเขา้ ไปอยู่ใหม่ ผงึ้ จะปลอ่ ยฟีโรโมน น�ำทางที่ปากประตูทางเข้ารัง เพื่อให้ผ้ึงกลุ่มท่ีแยกรังออกมาติดตามเข้าไปในโพรง นอกจากนี้ ฟโี รโมนนำ� ทางยังใชข้ ณะทกี่ ลมุ่ ผงึ้ แยกรงั ออกมาเพื่อบง่ ว่าผึ้งนางพญาอยู่ 54 การผลติ นำ้� ผึง้ คณุ ภาพ
ฟีโรโมนเตือนภัย (Alarm Pheromone) เป็นฟีโรโมนที่ผึ้งงานผลิตขึ้น จากตอ่ มชื่อ โคเชพนิคอพ (Koshevnikov gland) ต่อมน้ีจะอยู่ท่ีโคนของเหล็กในตดิ กบั ต่อมนำ้� พษิ เมอื่ ผงึ้ ตอ่ ยศตั รู เหลก็ ใน ตอ่ มน�้ำพษิ พรอ้ มทงั้ ตอ่ มโคเชฟนอคอฟนจ้ี ะหลดุ ตดิ ออกมาพรอ้ มกนั หมด เนื่องจากปลายของเหล็กในจะมีฟันเล็กๆ คล้ายฉมวก จึงท�ำให้เหล็กไนคาอยู่ที่ผิวหนังของศัตรู ตอ่ มโคเชฟนคิ อฟกจ็ ะแพรก่ ระจายฟโี รโมนออกมาเตอื นภยั ผงึ้ อนื่ ๆ เมอ่ื ไดร้ บั กลน่ิ กจ็ ะบนิ ตามกลนิ่ ฟโี รโมนไปตอ่ ยซ้�ำอีก ฟีโรโมนเตือนภัยมสี ารประกอบส่วนใหญเ่ ป็น Isopentyl acetate ซง่ึ มกี ล่ิน คลา้ ยน้�ำมนั กล้วยหอม นอกนัน้ ยังมสี ารประกอบตา่ งๆ อีกประมาณ 18 ชนิดรวมกนั นอกจากน้ียังพบสารเคมีอีกชนิดหนึ่ง ผลิตจากต่อมท่ีกรามของผ้ึงงานชื่อสาร ทูเฮปตาโนน (2-heptaanone) มีกลิ่นคล้ายกลิ่นน�้ำนมแมว สารนี้จะท�ำให้ผึ้งงานดุข้ึน เข้าใจว่า สารชนิดน้ผี ึง้ ใช้บอกแหลง่ ของศัตรใู นขณะทใี่ ชก้ รามกัด การผลิตนำ้� ผึ้งคณุ ภาพ 55
บทท่ี 4 อุปกรณก์ ารเล้ียงผึ้งพันธุ์ อปุ กรณต์ า่ งๆ สำ� หรบั การเลย้ี งผง้ึ วสั ดอุ ปุ กรณใ์ นการเลยี้ งผงึ้ อน่ื ๆ ทจี่ ำ� เปน็ นอกจากตัวผึ้งและนางพญาผึ้งแล้ว ผู้เลี้ยงผ้ึงจะต้องใช้ในการเล้ียงผ้ึงเพื่อให้การเล้ียงผึ้งประสบ ความส�ำเรจ็ ได้ โดยเรียงล�ำดบั ความสำ� คัญมีรายละเอียดดังน้ี 1. รงั เลี้ยงผึง้ (Bee Hive) รังเล้ียงผึ้ง หรือหีบเล้ียงผ้ึง หรือกล่องเล้ียงผึ้ง ที่นิยมกันในหมู่นักเลี้ยงผึ้งมี 2 แบบ คือ แบบยุโรปหรือแบบแลงสตร็อธ และแบบไต้หวัน ลักษณะของหีบเลี้ยงผึ้งท้ังสองแบบคล้ายกัน เพียงแตข่ นาดความยาวตา่ งกนั โดยแบบไต้หวันจะมีขนาดใหญ่กว่า ใส่เฟรมได้ตั้งแต่ 10 - 15 คอน แต่นิยมใช้ขนาด 10 คอน และมีหน้าต่างตะแกรงเหล็กระบายความร้อนด้วย รังแบบยุโรปใส่ได้ 10 คอน ข้อส�ำคัญของกล่องรังท้ังสองแบบจะต้องมีขนาดได้มาตรฐานตายตัวตามท่ีได้ก�ำหนดไว้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงมาตรฐานความกว้างยาว วัดจากขอบในของรัง เพราะเก่ียวกับการวางคอนผึ้ง หรือเฟรม ถา้ ถ่เี กินไป ผง้ึ จะใช้ยางไม้มาเช่อื มทำ� ให้ยกเฟรมตรวจยาก และถ้าห่างเกินไปผ้งึ จะสรา้ ง รวงไมเ่ ป็นระเบียบและ ไม่สมำ่� เสมอ เพราะผง้ึ ตอ้ งการชอ่ งว่างสำ� หรบั อาณาบริเวณทเ่ี ขาอยูพ่ อดีๆ เรียกว่า “ช่องวา่ งท่เี ฉพาะตัวของผึง้ ” (Bee Space) ซงึ่ มีความสำ� คัญมากในการเล้ียงผึ้ง การคน้ พบช่องวา่ งท่เี ฉพาะตัวของผ้ึง (Bee Space) นน้ั ค้นพบโดยนักเล้ยี งผง้ึ สมัครเล่น จากฟิลาเดลเฟียสหรัฐอเมริกา ช่อื Reverend L.L. Langstroth ในปี ค.ศ. 1851 ไดร้ ับการยกย่อง ให้เป็นบิดาของวงการเล้ียงผึ้งของอเมริกา ซ่ึงเขาค้นพบและสังเกตว่า ถ้าทิ้งช่องระหว่างคอนผ้ึง กับฝารังในขนาดหนึ่งผ้ึงจะไม่สานข้ีผึ้งข้ึนมาปิดชิดฝารังท�ำให้ยกฝารังออกง่ายและสามารถยก คอนผึ้งข้นึ มาตรวจได้ ท�ำใหก้ ารตรวจตราและควบคุมดแู ลผงึ้ ได้สะดวกรวดเร็วข้นึ 56 การผลติ นำ�้ ผึ้งคุณภาพ
ช่องว่างท่ีเฉพาะตัวของผ้ึง (Bee Space) เป็นช่องว่างที่ผ้ึงจะไต่และคลานไปได้ โดยไม่อึดอัดระหว่างรวงต่อรวง คอนต่อคอนและขอบของคอนกับด้านข้างของรังและฝารัง ซง่ึ ช่องว่างนจ้ี ะอย่รู ะหวา่ ง 1/4 - 3/8 นิ้ว ดงั นั้นถ้าช่องวา่ งระหว่างคอนตอ่ คอน (เฟรมตอ่ เฟรม) และโดยรอบคอนกบั ขา้ งรงั หรือฝารังนอ้ ยกว่า 1/4 นว้ิ แลว้ ผึ้งจะใช้ขีผ้ ึง้ หรอื ยางไมท้ ีผ่ ้ึงรวบรวม มาปิดหรือเชื่อมไว้หมด สารยางไม้ที่ผึ้งรวบรวมมานี้มีลักษณะเหนียว เราเรียกว่า สารพรอพอลิส (Propolis) และถา้ ชอ่ งวา่ งหรอื บสี ะเปสดงั กลา่ วหา่ งเกนิ 3/8 นว้ิ แลว้ การสรา้ งรวงของผงึ้ จะไมเ่ ปน็ ระเบยี บทำ� ใหต้ รวจตราและดแู ลรังยุ่งยากขน้ึ 1.1 รงั เลีย้ งผง้ึ แบบยโุ รป ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังน้ี 1) รังเลี้ยงผง้ึ (Bee Hive) หบี หรอื รงั เล้ยี งผงึ้ จะประกอบดว้ ยสว่ นตา่ งๆ ดงั นี้ 1.1) ตวั รงั เปน็ กลอ่ งรปู สเ่ี หลยี่ มผนื ผา้ ประกอบดว้ ยไม้ 4 ชนิ้ เขา้ ลน้ิ สลบั ตรงรอยตอ่ ของมุมเพ่ือความแข็งแรง และตรงหัวท้ายด้านบนของกล่องจะเซาะเป็นร่องสำ� หรับวางคอนผ้ึง ขนาดตัวรังที่นิยมกันในหมู่นักเล้ียงผึ้งมี 2 ขนาด คือ ขนาดมาตรฐานสากลของแลงสตร็อธ (Langstroth type) และขนาดมาตรฐานของโมดไิ ฟด์ดาด้าน (Modified Dadant Type) ลักษณะ ของหีบเลี้ยงผ้ึงทั้งสองแบบเหมือนกันหมด เพียงแต่ขนาดจะต่างกัน ของดาด้านท์จะมีขนาดใหญ่ กวา่ ใส่เฟรมได้ 12 เฟรม ส่วนของแลงสตร็อธใส่ได้ 9-10 เฟรม ส่วนใหญท่ �ำดว้ ยแผ่นไมห้ นา 1 น้ิว เมื่อไสแตง่ แล้วจะหนาประมาณ 7/8 นว้ิ เทยี บสดั ส่วนของตวั กลอ่ งรงั ชั้นลา่ ง (Brood Box) ได้ดงั น้ี แบบรัง ความกวา้ ง ความยาว สว่ นลึก กข กข แลงสตร็อธ (Langstroth) 16 ¼ นิ้ว 14 ½ น้ิว 20 น้ิว 18 ¼ น้วิ 9 9/16 น้วิ ดาดา้ นท์ (Dadant) 18 ½ น้วิ 16 ¾ นิ้ว 20 นิว้ 18 ¼ น้วิ 11 5/8 นิ้ว หมายเหตุ ก. ความกวา้ งยาว วัดจากขอบนอกของกล่องรงั ข. ความกวา้ งยาว วัดจากขอบภายในของกล่องรัง ขอ้ ส�ำคญั ของทัง้ 2 แบบ ของกล่องรงั จะตอ้ งมีความกว้างยาว ได้มาตรฐานตายตัวตาม ท่ีได้ก�ำหนดไว้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงมาตรฐานความกว้างยาว วัดจากขอบในของรังเพราะจะเกย่ี วกบั การวางเฟรมมีความห่างไม่สม�่ำเสมอ ถ้าถี่เกินไปผ้ึงจะใช้ยางไม้มาเชื่อมท�ำให้ยกเฟรมตรวจยาก และถา้ หา่ งเกินไปผง้ึ จะสรา้ งรวงไม่เปน็ ระเบยี บและไมส่ ม�่ำเสมอ เพราะผง้ึ ตอ้ งการชอ่ งวา่ งส�ำหรับ อาณาบริเวณท่อี ยู่จะตอ้ งพอดๆี หรือบสี ะเปสตามที่ไดก้ ลา่ วไว้แลว้ การผลติ นำ�้ ผ้งึ คณุ ภาพ 57
การเลยี้ งผงึ้ ในประเทศไทยสว่ นใหญ่ใช้ขนาดมาตรฐานของแลงสตรอ็ ธ ประเทศตา่ งๆ มกี ารใชก้ ลอ่ งเล้ยี งผ้ึงทง้ั สองแบบแลว้ แต่ความนยิ ม ในกรณที น่ี างพญามีประสทิ ธิภาพสูงวางไขเ่ กง่ อาจเสริมรังตัวอ่อนให้การเล้ียงผึ้งเป็นรัง 2 ช้ันก็ได้ เป็นเทคนิคในการจัดการรังท่ีนักเล้ียงผึ้งทำ� กันอยู่แลว้ ตัวรงั หรือกลอ่ งรงั ชัน้ ลา่ งน้ี เปรียบเสมอื นตัวบ้านของผึ้งทเี่ ป็นอยู่ ท่ีพกั ที่เล้ยี งตวั อ่อน และวางไข่ ในภาษานักเลี้ยงผ้ึงบางคนเรียกว่า บรู๊ดชามเบอร์ (Brood Chamber) บางคนเรียก บรู๊ดบ๊อกซ์ (Brood Box) และบางคนเรียก บรู๊ดเนส (Brood Nest) แต่นักเลี้ยงผึ้งส่วนใหญ่ จะเรียกว่า บรดู๊ ชามเบอร์ (Brood Chamber) 1.2) ตัวรังตื้นช้ันบน (Shallow Supers) เมื่อถึงฤดูดอกไม้บาน ผ้ึงจะเร่ิม เก็บเก่ียวน้�ำหวานจากดอกไม้มาเปล่ียนเป็นน้�ำผึ้ง นักเลี้ยงผ้ึงจะเสริมกล่องรังผ้ึงขึ้นมาอีกหนึ่งช้ัน สอง สาม สี่ หา้ หกชั้น ข้นึ ไปใหผ้ ง้ึ เกบ็ น้�ำผึง้ มากนอ้ ยข้ึนอยกู่ ับปรมิ าณของนำ�้ หวานจากดอกไม้ จะอุดมสมบูรณ์เพียงใด ขนาดของกล่องรังซุปเปอร์นี้ จะเท่ากับกล่องของรัง บรู๊ดชามเมอร์ นอกจากความลกึ จะนอ้ ยกวา่ เราเรยี กวา่ กลอ่ งรงั ตนื้ ชน้ั บน หรอื แชลโลซ่ ปุ เปอร์ มคี วามลกึ 6 5/8 นว้ิ นักเลี้ยงผ้ึงบางคนนิยมใช้กล่องบรู๊ดชามเมอร์แทนซุปเปอร์เลย เพราะประหยัดเงินท่ีจะต้องท�ำ กลอ่ งรงั และเฟรม 2 ขนาด ในเวลาเดียวกนั แตบ่ างชว่ งของฤดูกาลและบางชนดิ ของดอกไมท้ ่ีผึง้ จะเอานำ้� หวานไดน้ นั้ บางครงั้ มนี อ้ ย การใชซ้ ปุ เปอรต์ นื้ จะใหป้ ระโยชนไ์ ดม้ ากกวา่ เพราะผง้ึ เกบ็ เกยี่ ว น้�ำหวานได้ทัน และพฤติกรรมการเก็บน�้ำหวานก็จะราบเรียบสม�่ำเสมอ โดยปกติผู้เลี้ยงผึ้งใน ประเทศไทยจะเล้ียงผงึ้ ชนั้ เดยี วเป็นสว่ นใหญ่ ภาพรงั เลย้ี งผึ้งแบบยโุ รปและโครงสร้างของรัง 58 การผลิตน้�ำผึ้งคณุ ภาพ
1.3) ฝาปิดด้านในรัง (Inner Cover) มีขนาดเท่ากับความกว้างยาวของบรู๊ด ชามเบอร์ ประกอบด้วยแผ่นไม้อัดหรือไม้พลายวู๊ด มีขอบ 4 ด้าน ความลึกของขอบอยู่ระหว่าง 7/8 – 3/8 นว้ิ ตรงกลางของฝาปดิ รังด้านในจะเจาะรู รปู ยาวรีขนาดกวา้ ง 1 1/8 นิ้ว ยาว 4 น้ิว ส�ำหรับสอดใส่กลักก้ันผึ้ง (Porter Bee Escape) กลักก้ันผ้ึงใช้กั้นผึ้งไม่ให้เข้าในรังซุปเปอร์ และบรดู๊ ชามเบอร์ 1-2 วนั กอ่ นเกบ็ เกยี่ วนำ�้ ผงึ้ ผงึ้ งานในซปุ เปอรจ์ ะออกและลงมาในบรดู๊ ชามเบอร์ แตห่ วนกลับเข้าไปอกี ไมไ่ ด้ เวลาเรามาเกบ็ รงั ซุปเปอร์ เพือ่ จะเอานำ�้ ผง้ึ ไปเข้าเคร่อื งป่นั นำ้� ผ้ึงเราก็ ยกไปไดเ้ ลยโดยไม่ต้องไลผ่ ้งึ ออกไปอีก 1.4) ฝาปิดรังผ้ึง (Telescopic Roof) หรือฝาปิดรังด้านบนสุดของรังผึ้ง ท�ำด้วยแผน่ ไมห้ นา 1/2 – 5/8 น้ิว มคี วามลึก 3 น้ิว ขนาดภายในฝารัง 20 ¼ นว้ิ x 16 ½ นว้ิ (แบบของดาด้าน) และของแลงสตร็อธ 20 ¼ น้ิว x 16 ½ นิ้ว ตัวแผ่นกระดานจะคลุมด้วย แผ่นสงั กะสอี กี ชัน้ หนงึ่ รอบฝารังด้านบน 1.5) ฐานรงั ผง้ึ (Bottom board, Floor Board) เปน็ สว่ นฐานทตี่ งั้ รงั ผง้ึ ทงั้ หมด มีขนาดความกว้างเท่ากับบรู๊ดชามเบอร์ ส่วนด้านยาวจะท�ำให้ยาวเพิ่มข้ึน 2 นิ้ว เป็น 22 นิ้ว เป็นที่ส�ำหรับผ้ึงเกาะก่อนเข้ารัง และท�ำขอบด้านข้างและด้านหลังหนาเท่ากับขนาดความหนา ของรังและลึก ¾ น้ิว ขอบด้านหน้าและด้านหลังของฐานรังน้ัน ด้านใต้และด้านบนของฐานรัง จำ� นวนไมจ้ ะตา่ งกนั 1 ชิ้น (ดภู าพประกอบ) เพราะดา้ นใต้ของฐานรงั จะประกอบดว้ ยไม้ขอบ 4 ชน้ิ ส�ำหรับยึดแน่นเม่ือเวลาตั้งบนขาต้ังรัง ส่วนด้านบนของฐานรังจะประกอบด้วยไม้จ�ำนวน 3 ช้ิน เพ่ือเวน้ เปน็ ทางเข้าออกหรือประตูของรงั ผ้ึง 1.6) ตะแกรงปดิ ฝารังเวลาขนยา้ ยรังผึ้ง (Moving Screen) มขี นาดเทา่ กบั ฝาปิดดา้ นในรงั ประกอบด้วยกรอบไม้ 4 เหล่ียม และตะแกรงลวด ใชใ้ นกรณีทจี่ ะเคลอ่ื นยา้ ยรงั ผ้งึ เพอ่ื สะดวกในการระบายอากาศในการที่จะขนย้ายผึ้งไปในระยะทางไกลๆ 1.7) แผ่นกน้ั นางพญา (Queen Excluder) เป็นตะแกรงลวดท่ีใชก้ ้นั นางพญา ระหว่างรังของบรู๊ดชามเบอร์กับซุปเปอร์ เพื่อบังคับให้นางพญาวางไข่อยู่ด้านล่างของรังใน บรดู๊ ชามเบอร์ผึง้ งานเท่านน้ั ทจ่ี ะผ่านตะแกรงลวดขึน้ ไปเกบ็ นำ้� ผ้ึงในชั้นซุปเปอร์ ผ้งึ นางพญาตัวโต กว่าจะผ่านขึ้นไปไม่ได้ ท�ำให้เราได้น้�ำผ้ึงล้วนๆ อยู่บนช้ันของซุปเปอร์ เป็นการสะดวกและ ง่ายตอ่ การสลดั น�ำ้ ผงึ้ เวลาเกบ็ เก่ียว นักเลี้ยงผ้ึงบางคนไม่นิยมใช้แผ่นก้ันนางพญา เพราะคิดว่าทำ� ให้ผ้ึงอึดอัด เคลื่อนไหว ไม่คล่องตัว แต่ถ้าลองใช้ดูแล้วจะพบว่าส่วนดีของการใช้แผ่นกั้นนางพญาก็มีอยู่มาก คือ ท�ำให้ ประหยดั เวลาและสะดวกเวลาเก็บคอนนำ้� ผ้งึ ไปป่นั ไม่ต้องพะวงว่านางพญาผ้ึงจะตดิ ข้นึ มาขา้ งบน และแผน่ กน้ั นางพญาสามารถน�ำมาใชป้ ระโยชนด์ า้ นอน่ื ๆ ในการจดั การรงั ผงึ้ ไดห้ ลายอยา่ ง เชน่ การจดั การระบบผ้งึ 2 นางพญาในรงั เดียวกนั ในฤดูดอกไม้บาน การเตรยี มการเพาะนางพญาผงึ้ เปน็ ต้น การผลิตนำ�้ ผ้งึ คุณภาพ 59
1.2 รงั เล้ยี งผึ้งแบบไตห้ วัน จะเป็นลักษณะตัวรังเลี้ยงผ้ึงที่ติดกัน ท้ังหมด ยกเว้นฝาด้านบนที่จะเปิดจัดการ รังผ้ึงได้ ตัวรังผึ้งจะมีช่องระบายอากาศ สามารถเปิดปิดได้สะดวกในเวลาขนย้ายรังผ้ึง จึงเหมาะสมส�ำหรับผู้เลี้ยงผ้ึงท่ีต้องการความ สะดวกในการจัดการรังผง้ึ ลักษณะกลอ่ งเล้ยี ง ผง้ึ แบบไตห้ วันมี 2 แบบ ซ่งึ มขี นาดดา้ นกวา้ ง ต่างกัน ขนาดใหญ่ใส่คอนได้ 12 คอน แต่ ปัจจุบันนิยมใช้ขนาดท่ีใส่คอนได้ 10 คอน ท�ำจากไม้มะม่วง มะม่วงป่า หรือไม้ก้ามปู ภาพรังเลีย้ งผงึ้ แบบไต้หวนั ไมต้ วั กลอ่ งควรเปน็ ไม้แผ่นเดียว มีความหนาประมาณ 3/8 – ½ นิว้ โดยมขี นาดดา้ นใน (กวา้ ง x ยาว x สงู ) 16 5/8 x 19 1/8 x 10 น้วิ ขนาดดา้ นนอกประมาณ 17 3/8 x 21 1/8 x 10 ½ นว้ิ โดยมไี ม้วางคอนสูง 9 แถบฐานยาว 24 น้ิว 2. คอนหรือเฟรม (Frame) คอนหรือเฟรมเป็นที่ส�ำหรับผ้ึงจะสร้างรวงผึ้ง ประกอบด้วยไม้ 4 ชิ้น ไม้ชิ้นบนเป็น ตัวคอนบน ซ่ึงจะวางทาบอยกู่ ับขอบรงั ที่เราบากเอาไว้ มคี วามยาว 19 นว้ิ เท่ากันท้งั กลอ่ งยโุ รป และไตห้ วัน ขอบลา่ งของตัวเฟรมของดาด้านจะยาว 11 ¼ นว้ิ กวา้ ง 1 ½ นวิ้ ของแลงสตร็อธ ยาว 9 1/8 นวิ้ กวา้ ง 1 3/8 นว้ิ ขอบขา้ งตวั เฟรมจะเทา่ กนั ทง้ั สองดา้ น แบบของดาดา้ นยาว 11 ¼ นว้ิ ของแลงสตร็อธ 9 1/8 น้ิว แต่อย่างไรก็ตาม เม่ือประกอบเป็นเฟรมส่ีเหล่ียมแล้ว เวลาวางทาบ แขวนในรังแล้ว จะต้องมีช่องว่างระหว่างเฟรมกับด้านข้างของรังเท่ากับบีสะเปส คืออยู่ระหว่าง ¼ นว้ิ – 3/8 นิว้ ไม่มากหรอื นอ้ ยไปกว่านนั้ 3. แผน่ ฐานรวงหรอื แผน่ รงั เทยี ม เป็นแผ่นไขผ้ึงแท้ปั๊มเป็นรอยฐานหกเหลี่ยมส�ำหรับเป็นฐานให้ผ้ึงงานได้สร้างหลอดและ รวงรงั ผงึ้ ใหร้ วดเรว็ ขน้ึ ประหยดั พลงั งานของผงึ้ ปจั จบุ นั สามารถหาซอ้ื ไดส้ ะดวกเปน็ แบบมาตรฐาน ปริมาณการใช้แผน่ รังเทียมขึน้ กับความต้องการของผึง้ ภายในเฟรมจะขงึ ลวดขนาดเล็กไว้ 4 เสน้ สำ� หรบั ยดึ แผน่ รงั เทยี ม แผน่ รงั เทยี มเปน็ แผน่ ขผ้ี งึ้ บางๆ อดั เปน็ ลายหกเหลย่ี มเทา่ กบั ขนาดของฐาน รงั ผงึ้ เพือ่ ลอ่ ให้ผง้ึ สรา้ งหลอดรงั สร้างรวงผึง้ เป้นแนวตรงและมีระเบียบ ดอกลายของฐานรังท่อี ัด 60 การผลติ น้ำ� ผงึ้ คุณภาพ
ภาพแผ่นฐานรวงหรือแผ่นรงั เทยี ม ภาพคอนผง้ึ ทีย่ ดึ กบั แผ่นรังเทียมเรยี บร้อยแล้ว และพรอ้ มใช้งาน บนแผ่นรังเทียมน้ัน ดอกลายควรจะเป็นแนวนอนจะดีกว่าแนวเฉียงหรือแนวตั้ง ขนาดหลอดฐาน รังจะต้องได้มาตรฐาน โดยผึ้งโพรงและผึ้งพันธุ์จะมีขนาดต่างกัน ผึ้งพันธุ์จะมีขนาดใหญ่กว่าของ ผงึ้ โพรง การยึดแผน่ รังเทยี มใหแ้ นน่ ฝงั สนิทไปกบั เส้นลวด ให้ผ่านกระแสไฟฟา้ ขนาด 12 โวลต์จาก ไฟแบตเตอรี่รถยนต์เข้าไปในเส้นลวด ให้ความร้อนซึมซับลวดฝังเข้าในเน้ือของแผ่นรังเทียมให้ พอดีๆ ถา้ ปลอ่ ยไฟผ่านนานจะท�ำใหแ้ ผน่ รงั เทยี มฉีกขาดออกไปตามแนวของลวด 4. ขาตัง้ รงั ผึ้ง ประกอบด้วยไมเ้ นื้อแขง็ 4 ชิ้น หรือไมไ้ ผ่ 4 อนั ยาวประมาณ 30-80 ซ.ม. ปลายดา้ นหนงึ่ แหลม ส�ำหรับตอกลงไปในดิน บางฟาร์มท�ำด้วยโครงเหล็ก ขาตั้งรังมีไว้ส�ำหรับตั้งรังผึ้ง เพราะ บ้านเรามีความชืน้ สงู มมี ดและปลวกมาก การจะต้ังรงั บนพน้ื ดินนนั้ ไมส่ ะดวกเหมือนตา่ งประเทศ ทม่ี คี วามชน้ื ในดนิ ต�่ำ และนอกจากนปี้ ญั หามดกน็ อ้ ยกวา่ บา้ นเรา สว่ นใหญแ่ ลว้ เมอ่ื ตงั้ รงั ผงึ้ เราควร จะเอานำ�้ มนั เคร่อื งเก่าๆ ทารอบขาต้งั ส�ำหรบั กนั มดไมใ่ หข้ ึ้นไปรบกวนผงึ้ ในรงั 5. ไม้กน้ั หนา้ รัง เป็นไม้ทมี่ ชี ่องสำ� หรบั ใหผ้ งึ้ เข้า-ออก ไม้น้จี ะวางอยู่ระหว่างฐานรงั ใช้สำ� หรับปิดทางเขา้ รัง ของผงึ้ ในช่วงทผ่ี ้ึงมีประชากรน้อย โดยบังคบั ทางเขา้ -ออกใหเ้ ลก็ ลงเท่าทจ่ี �ำเปน็ สำ� หรบั ผ้งึ เท่านน้ั การผลิตนำ�้ ผง้ึ คณุ ภาพ 61
6. เครอื่ งมือพน่ ควนั ส�ำหรับผ้งึ (Smoker) เป็นเครื่องมือส�ำคัญที่นักเลี้ยงผ้ึงทุกคนจะต้องมีและน�ำไปใช้ทุกคร้ัง เวลาท�ำงานอยู่กับ รังผึ้ง ท�ำด้วยกระป๋องสังกะสี อลูมิเนียม หรือ สเตนเลส มีฝาครอบรูปกรวยสำ� หรับพ่นควันออก ด้านหลังเจาะรูให้ลมเข้าและมีที่ปั๊มลมประกอบด้วยไม้ 2 แผ่น บางๆ ทป่ี ม๊ั ลมทำ� ดว้ ยผา้ หนงั มชี อ่ งลมตรงกบั รขู องกระปอ๋ งเวลา บีบลมจากกระเปาะจะพุ่งตรงเข้าไปในกระป๋อง ท�ำให้เช้ือไฟ ในกระป๋องติดไฟ เกดิ ควันพงุ่ ออกจากกรวย วัสดุที่ใช้เผาให้เกิดควันนิยมใช้ใบไม้ใบหญ้าแห้งๆ หรือ กาบมะพรา้ วแหง้ กไ็ ด้ เวลาเผาถา้ มเี ปลอื กสม้ แหง้ ๆ ใหใ้ สเ่ ขา้ ไปดว้ ย จะท�ำใหค้ วันมกี ล่ินดีข้นึ ถา้ ควนั ทมี่ กี ล่ินเหม็นผงึ้ กไ็ มค่ ่อยชอบ ภาพเครื่องมอื พ่นควนั สำ� หรับผ้งึ (Smoker) 7. เหลก็ งัดรงั (Hive Tool) เปน็ แผ่นเหล็กแบนยาวประมาณ 6-8 นวิ้ ปลายดา้ นหนง่ึ แบนกวา้ งประมาณ 1 ½ นิ้ว ใช้ ส�ำหรับแซะฝารงั เวลาเราเปดิ รังผงึ้ และใช้ขดู ยางเหนียวๆ ที่ตดิ ตามขอบรัง และคอน ตรงกลางของ เหล็กงดั จะท�ำให้คอดลงมาเลก็ นอ้ ยใหเ้ หมาะกบั องุ้ มอื ปลายอกี ด้านหนึ่งจะงอลงประมาณ ¼ น้วิ ใช้สำ� หรับงัดแยกแต่งคอนท่ีติดกันให้หลุดจากกันทำ� ให้ยกคอนข้ึนตรวจเช็คได้ง่าย เหล็กงัดรังน้ีจะ ตอ้ งถอื ตดิ อยใู่ นฝา่ มอื ตลอดเวลาทที่ �ำงานตรวจรงั ผง้ึ เชน่ เดยี วกบั เครอ่ื งพน่ ควนั และหมวกกนั ผง้ึ ตอ่ ย ภาพเหลก็ งดั รังแบบตา่ งๆ 8. หมวกตาข่ายส�ำหรับกันผึ้งตอ่ ยหนา้ (Bee Veils) หมวกตาข่ายส�ำหรับกันผึ้งต่อยบริเวณใบหน้าน้ันมีหลายแบบ วัตถุประสงค์ก็เพื่อจะสวม คลมุ บรเิ วณใบหน้าไมใ่ ห้ผึ้งเขา้ มาตอ่ ยบริเวณนไ้ี ด้ นักเล้ยี งผงึ้ ทกุ คนควรมีหมวกสวมอยตู่ ลอดเวลา ทป่ี ฏิบัตอิ ยู่กับผ้ึง 62 การผลิตน้ำ� ผึ้งคณุ ภาพ
9. ถงุ มือ (Bee Gloves) เป็นถุงมือท่ีมีขนาดความเหนียวและหนาพอที่จะกันผึ้งต่อยบริเวณมือและน้ิว ท�ำด้วย หนังหรือผ้าที่มีความหนาพอสมควร ถ้าหนามากเกินไปจะปฏิบัติงานยาก แยกตรวจคอนผ้ึง ไม่สะดวก นักเลี้ยงผ้ึงที่เร่ิมเล้ียงผึ้งใหม่ๆ ควรจะสวมถุงมือด้วย เพื่อป้องกันผ้ึงต่อยบริเวณมือ และนิ้ว พอเลี้ยงผึ้งมีประสบการณ์มากข้ึนก็จะไม่ใช้ถุงมือกันเพราะต้องการความละเมียดละไม และสัมผัสจากผึ้งเข้าผ่านปลายนิ้วมือ ซึมซาบเข้าไปรับความรู้สึกถึงหัวใจของเขาได้ นักเล้ียงผึ้ง ทุกคนจะรักและมีจิตใจจดจ่อต่อผ้ึงของเขามาก การปฏิบัติงานในรังผึ้งเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง มีท้ังความนมุ่ นวลความรักในชีวิตและธรรมชาติ 10. ชุดเสือ้ ผ้าทส่ี วมใส่เวลาทำ� งาน (Overalls) ส่วนใหญ่จะเป็นชุดหมีสีขาวแขนยาว ภาพเส้ือผ้า หมวกตาขา่ ย และถุงมือ รัดข้อมือและข้อเท้าพันด้วยท�ำด้วยผ้าหนาๆ ขณะปฏิบตั ิงาน กันผ้ึงต่อย ถ้าไม่มีชุดดังกล่าวอาจดัดแปลงใช้ เสือ้ แขนยาว กางเกงขายาวธรรมดา แต่เนือ้ ผ้า หนาๆ หน่อย ก็ใช้ได้ ส่วนรองเท้านั้น ถ้าเป็น รองเท้าหุ้มข้อหรือรองเท้าบู๊ทจะดีที่สุด จะได้ รัดปลายขากางเกงเข้ากับรองเท้าได้ ข้อส�ำคัญ ต้องกันไม่ให้ผึ้งคลานหรือไต่เข้าไปต่อย ในบริเวณข้างในกางเกงได้ เพราะเวลาผึ้งต่อย บริเวณข้อเท้าจะบวมไปหลายวัน และมอี าการ เจบ็ ปวดมากกว่าบริเวณมอื 11. อปุ กรณ์สลัดน�ำ้ ผึง้ ภาพถังสลัดนำ้� ผงึ้ ออกจากรวงรัง แบบใช้ แรงงานคน ประกอบด้วย แปรงปัดผ้ึง ถังเหว่ียง (สลัด) น้�ำผ้ึง มีดไฟฟ้า (อาจใช้มีดธรรมดา แชน่ �้ำรอ้ น) ตะแกรงกรองน�้ำผ้ึง ถังเกบ็ น�ำ้ ผงึ้ ภาพถังสลัดนำ�้ ผึ้งแบบต่อกบั มอเตอร์ การผลติ นำ�้ ผงึ้ คณุ ภาพ 63
ถงั สลัดน้ำ� ผึ้งอตั โนมัติ ทต่ี ดิ ต้ังภายในรถ ภาพรถสลดั นำ้� ผง้ึ เคลอื่ นท่ี ภาพตะแกรงกรองนำ้� ผึง้ และ พกั คอนนำ้� ผงึ้ ระหวา่ งรอสลดั 12. อปุ กรณอ์ น่ื ๆ ภาพอุปกรณจ์ ำ� เป็นอ่ืนๆ เชน่ แปรงปัดผ้ึง มีดปาดรวงไฟฟ้า ลูกกลง้ิ อปุ กรณท์ คี่ วรจะมอี ยตู่ ลอดเวลาในการ เข้าไปปฏิบัติงานในการเล้ียงผ้ึง คือ กล่อง เครอ่ื งมอื ตา่ งๆ ท่สี ามารถจะใช้ไดท้ นั ทใี นเวลา ท่ตี ้องการ ในกล่องควรมคี ้อน คมี ตะปู เลือ่ ย ลวด มีดถากไม้ มีดพับคมๆ มีดบาง (หรือ มีดตัดโฟม) กรรไกรเล็กๆ กรรไกรตัดลวด กลอ่ งนางพญา ยาหม่อง ฯลฯ 64 การผลิตน�ำ้ ผ้ึงคุณภาพ
บทท่ี 5 การจัดการผึ้งพนั ธเุ์ พื่อผลติ น้�ำผ้งึ คุณภาพดี การเล้ียงผึ้งพันธุ์เพื่อผลิตน้�ำผ้ึงเป็นเป้าหมายหลักของเกษตรกรผู้เล้ียงผึ้งในประเทศไทย ซ่ึงต้องมีการจัดการเลี้ยงผ้ึงพันธุ์ให้มีประชากรผึ้งสนามมากในช่วงฤดูดอกไม้บาน หรือฤดูกาลเก็บ นำ�้ ผงึ้ ดงั นนั้ เกษตรกรผเู้ ลยี้ งผงึ้ พนั ธจ์ุ ะตอ้ งเรยี นรชู้ วี วทิ ยาของผง้ึ พนั ธแ์ุ ละทำ� ความเขา้ ใจในขน้ั ตอน การจดั การตา่ งๆ ใหด้ ี ตง้ั แตก่ ารเตรยี มความพรอ้ มในการเลย้ี งผง้ึ พนั ธท์ุ งั้ ในเรอ่ื งพนั ธผ์ุ ง้ึ วสั ดอุ ปุ กรณ์ ตลอดจนการจัดการภายในรงั ผ้งึ พนั ธ์ุ เพ่ือเพ่มิ ประชากรผึ้งสนามใหม้ ากท่ีสดุ และสรา้ งความสมดลุ ภายในรงั ผง้ึ ในชว่ งกอ่ นฤดดู อกไมบ้ าน และตอ้ งมกี ารสำ� รวจพน้ื ทแ่ี หลง่ อาหารตา่ งๆ เพอ่ื นำ� รงั ผงึ้ ไป ตั้งวางเพื่อเก็บผลผลิตน้�ำผึ้งในช่วงฤดูดอกไม้บาน และการจัดเล้ียงผึ้งพันธุ์หลังฤดูดอกไม้บาน ดงั น้ันเพอื่ ใหง้ ่ายตอ่ การเรียนรู้ จงึ ไดแ้ บ่งเนือ้ หาวชิ าออกเป็น 6 หัวขอ้ ได้แก่ 1. การเตรยี มความพร้อมในการเลย้ี งผง้ึ พันธุ์ 2. การจัดการภายในรังผ้งึ พันธุ์ 3. การจัดการเลีย้ งผง้ึ พนั ธุก์ ่อนฤดูดอกไม้บาน 4. การจดั การเลี้ยงผง้ึ พนั ธ์ใุ นฤดดู อกไมบ้ าน 5. การจดั การเล้ียงผึง้ พนั ธุ์หลงั ฤดูดอกไมบ้ าน 6. การจดั การนางพญาผึง้ 1. การเตรยี มความพรอ้ มในการเลย้ี งผ้งึ พันธ์ุ ผู้ท่ีจะเลี้ยงผึ้งพันธุ์ ควรเริ่มต้นด้วยการซื้อผึ้งจากนักเลี้ยงผึ้งมืออาชีพ มาทดลองเล้ียง 3 – 5 รัง ก่อน โดยจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับการเล้ียงผ้ึงมาบ้างแล้ว เพราะผู้ท่ีจะประสบ ความสำ� เร็จในการเลยี้ งผ้ึง ต้องเป็นผทู้ ม่ี คี วามรักเอาใจใส่ดแู ลผง้ึ มีความร้วู ทิ ยาการตา่ งๆ เก่ียวกับ ผงึ้ ดว้ ย จึงจะสามารถแก้ไขปัญหาที่เกดิ ขึน้ ได้ การผลิตนำ�้ ผึ้งคุณภาพ 65
1) ความรู้เก่ยี วกบั การเล้ยี งผงึ้ ต้องมคี วามร้เู ก่ยี วกบั ผึง้ ที่จะเลี้ยง 1.1) ความรทู้ างดา้ นชวี วทิ ยาและพฤตกิ รรมของผงึ้ พนั ธ์ุ ไดแ้ ก่ ความรตู้ า่ งๆ เกยี่ วกบั ชวี ติ ของผึ้ง วงจรชีวิต การเจรญิ เตบิ โต การเปลย่ี นแปลงของวัยผงึ้ ชนดิ ชว่ งอายุตา่ งๆ รวมทงั้ ความเปน็ อยู่ นสิ ยั และสภาพสงั คมภายในรงั ผง้ึ การจดั ระบบโดยธรรมชาตภิ ายในรงั ผงึ้ การหาอาหาร การปอ้ งกนั รงั การเลยี้ งดตู ัวออ่ น รวมทั้งความต้องการของผึ้งในสภาพแวดลอ้ มต่างๆ ด้วย 1.2) ความรู้เกี่ยวกับการจัดการดูแลผึ้ง ซ่ึงเป็นหัวใจส�ำคัญเก่ียวกับความส�ำเร็จ ในการเลย้ี งผึง้ 1.3) ความรู้เกี่ยวกับพืช อาหารของผึ้ง ไดแ้ ก่ ความร้เู กีย่ วกับ ต้นไม้และดอกไม้ท่ีจะเป็นแหล่ง อาหาร (น�้ำหวานดอกไม้และเกสร ดอกไม้) ของผึ้ง การบานและช่วง เวลาการบานของดอกไม้ ตลอดจน ท�ำเลและบริเวณท่ีเป็นแหล่งของพืช อาหารผึ้ง 1.4) ความรู้เก่ียวกับโรค และศัตรขู องผึ้ง ภาพการเข้ารบั การฝึกอบรมหลักสูตรผึ้งพนั ธุ์ 2) ทุนสำ� หรับดำ� เนินการ การใช้ทุนเพ่ือจัดท�ำรังผ้ึง ต้องใช้ด้วยความประหยัด มีคุณภาพ หรือซื้อจากแหล่งที่ผลิต รังผึ้งพันธุ์โดยตรงเป็นการดีที่สุด เพราะมาตรฐานขนาดของรังและคอนผ้ึงมีความส�ำคัญมาก ถ้าอุปกรณ์ทุกช้ินได้มาตรฐานเดียวกันหมด เวลาจัดการภายในรังผึ้งในภายหลังก็จะทำ� ได้สะดวก และไม่เป็นปญั หา จะตอ้ งมีทนุ ส�ำรองเพือ่ ใชจ้ ่ายดงั นี้ 2.1) ค่าพนั ธ์ุผึง้ ประกอบด้วย ผ้งึ งาน ตวั อ่อน (ไข่ หนอน ดกั แด้) ประมาณ 5 – 8 คอน พร้อมผงึ้ นางพญาที่สามารถวางไข่แล้ว 2.2) คา่ รังผึง้ ฐานรัง ฝารงั คอนผง้ึ แผน่ รังเทยี ม 2.3) ค่าอุปกรณ์การเลีย้ งผงึ้ เชน่ หมวกตาข่าย เหลก็ งดั รัง เครอื่ งมอื พน่ ควนั ฯลฯ 2.4) คา่ น�้ำตาล และวสั ดอุ าหารเสริม เพอื่ จะเลย้ี งผงึ้ ในบางชว่ งของฤดูกาลทีข่ าดแคลน อาหารผึ้งตามธรรมชาติ 2.5) ค่าใชจ้ า่ ยสำ� รองอื่นๆ ในระหว่างการเลีย้ งผึง้ เชน่ ค่าสารเคมีป้องกนั ก�ำจัดไรศตั รูผง้ึ คา่ เช่าทตี่ ัง้ วางรังผ้งึ ค่าน้�ำมนั เชือ้ เพลงิ ในการขนย้ายผง้ึ และค่าใชจ้ า่ ยเบ็ดเตลด็ ต่างๆ 2.6) ค่าบรรจุภัณฑ์ตา่ งๆ เช่น ถังบรรจุน้ำ� ผึ้ง ขวดบรรจนุ �้ำผงึ้ เปน็ ตน้ 66 การผลิตนำ�้ ผง้ึ คณุ ภาพ
3) แหลง่ ทีจ่ ะซอ้ื ผ้ึงมาเริ่มด�ำเนินการ 3.1) ไปเยี่ยมรังผ้ึงของฟาร์มต่างๆ ผึ้งท่ีมีการเล้ียงและเอาใจใส่ที่ดี ผ้ึงของฟาร์มน้ี จะแขง็ แรง และมีคุณภาพดี พร้อมกนั น้สี อบถามราคาแล้วเปรียบเทยี บกับฟาร์มอืน่ ๆ 3.2) สังเกตผ้ึงในฟาร์ม อันดับแรกดูปากรังว่าสะอาดหรือไม่ ถ้าผ้ึงรังไหนสุขภาพดี ปากรังเขา้ ออกจะสะอาด ขนาดผึง้ มตี วั โตสมำ่� เสมอ ผง้ึ มคี วามคึกคกั ไม่หงอยเหงา 3.3) ขอดูคอนผ้ึงตรวจดูความสม�่ำเสมอของการวางไข่ ดักแด้ เต็มคอนหรือไม่ ถ้า แมร่ งั ผงึ้ ดี การวางไขจ่ ะเปน็ วงกว้างเตม็ คอน จะตวั โต อกกวา้ ง และวางไขท่ ัว่ คอน 3.4) เลือกซอื้ รงั ผงึ้ ที่มนี างพญาสาว 3.5) เลอื กซือ้ รงั ผึง้ ที่ไมเ่ ปน็ โรค 3.6) เลอื กซอ้ื รงั ผง้ึ ทไี่ มม่ ีตวั ไรวารัวรแ์ ละไรทรอปเิ ลเเลปส์ 4) การเตรียมการก่อนทจี่ ะเลย้ี งผง้ึ พนั ธ์ุ 4.1) สถานที่ สถานที่ที่จะไปต้ังรังผึง้ ควรมีสภาพดงั น้ี ควรจะอยู่ในท่ที ่รี ม่ รืน่ แสงไม่ทึบเกนิ ไป มีแสงสวา่ งสาดส่องรำ� ไร สถานท่ตี ัง้ รงั ผึ้งไมค่ วรอยูใ่ นทิศทางลม และลมไมพ่ ัดแรง แหล่งอาหารของผึ้งอยู่ใกล้ๆ บริเวณน้ัน เช่น ต้นมะพร้าวท่ีออกจั่นแล้ว หรือ พืชชนดิ อ่ืนทมี่ ดี อกบานสลบั ผลัดเปล่ียนกันตลอดปี ควรใกล้ลำ� ธารมแี หลง่ นำ้� สะอาด การคมนาคมสะดวก เพ่ือสะดวกต่อการดูแลและตรวจเช็คสภาพรังผ้ึง แตไ่ ม่ควรมีถนน ทมี่ รี ถยนต์วิง่ ผ่านอย่างหนาแนน่ ใกลโ้ รงเรียน ใกลช้ มุ ชน ตลาด โรงภาพยนตร์ ฯลฯ เนอ่ื งจากจะเปน็ การรบกวนผึ้ง บรเิ วณทตี่ งั้ ควรจะเลอื กทำ� เลทม่ี แี สงแดดออ่ นในตอนเชา้ สอ่ งเขา้ มาถงึ ทางดา้ น หน้ารัง ถ้าเลอื กทศิ ทางได้ หน้ารงั ควรจะหันไปทางทิศตะวนั ออก และไมค่ วรตั้งรังใกลก้ ับบริเวณท่ี มีไฟฟา้ หรือแสงไฟนอี อนสฟี ้า เน่อื งจากผ้งึ จะชอบท่จี ะมาเลน่ ไฟเวลากลางคนื ผ้งึ ท่ีออกมาเลน่ ไฟ ในเวลากลางคืนจะตายหมด เนื่องจากเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ ผ้ึงจะไม่มีเวลาพักและ หมดแรงท�ำให้ตกลงมาตาย ดังน้ัน อายุของผ้งึ งานจะส้นั ลงกว่าปกติ การเตรียมขาต้ังรังผึ้ง ควรปักหรือตั้งขารังท่ีมีความสูงอย่างน้อย 6 น้ิวขึ้นไป เตรยี มไวก้ อ่ นเพอ่ื ทเ่ี วลานำ� ผง้ึ เขา้ มาตง้ั จะไดส้ ะดวกขารงั ทต่ี อกเตรยี มไวน้ น้ั มคี วามสงู สม่�ำเสมอกนั เวลาวางฐานรังจะไม่โคลงเคลง และขารังตรึงแน่นอยู่บนพ้ืนดินอย่างม่ันคง ให้รังให้สูงจากพื้นดิน ประมาณ 1 ฟุต บริเวณที่ตง้ั รงั ควรไดร้ บั การถางหญ้าและวชั พชื ใหเ้ รียบรอ้ ย ควรจะใช้น�้ำมนั เคร่อื ง เกา่ ๆ ทารอบๆ ขารงั ไวก้ อ่ น และคอยทาน้�ำมนั เครอื่ งซำ�้ อยเู่ สมอ เพอื่ ปอ้ งกนั มด การทาน�้ำมนั เครอื่ ง จะอยู่ทนได้ 3 - 4 อาทิตย์ แต่ควรระวังเวลาขนย้ายรังผึ้งน�้ำมันเครื่องจะเปื้อนเส้ือผ้า การผลติ นำ�้ ผึง้ คณุ ภาพ 67
ภาพการตั้งวางรังผึ้งควรตัง้ อย่ใู นที่ทีร่ ม่ ร่ืน ภาพการตั้งวางรังผึง้ บนพน้ื ดนิ ทำ� ให้รังผ้งึ มแี สงแดดรำ� ไร ไดร้ ับความเสียหายจากฝนตก และ ศัตรูเขา้ ท�ำลายได้งา่ ย อย่างไรก็ตามควรก�ำจัดมดโดยท�ำลายรังมดให้หมดเพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาว หลังจากนั้น ควรหาหลกั หรอื ทส่ี ำ� หรบั ต้ังอ่างเลก็ ท่จี ะใสน่ �้ำสะอาดๆ สำ� หรับใหผ้ ้งึ ได้ใช้ในวนั ทอี่ ากาศร้อน 4.2) อุปกรณท์ จ่ี �ำเป็นทคี่ วรสำ� รองไวใ้ นการเลย้ี งผึง้ นอกเหนือจากอุปกรณ์ท่ีต้องใช้เป็นประจ�ำในการเลี้ยงผ้ึง ได้แก่ เครื่องพ่นควัน เหล็กงัดรังผ้ึง ชุดกันผ้ึงต่อย (หมวก ตาข่าย ถุงมือ ฯลฯ) การเตรียมการทุกอย่างให้ทันต่อเวลา เป็นหัวใจของการเล้ียงผ้ึง ถ้าเข้าใจระบบชีววิทยาและพฤติกรรมของผึ้งในสังคมผ้ึงได้ดีพอแล้ว ก็สามารถจะเตรียมการตา่ งๆ ให้สอดคลอ้ งกับความต้องการและจังหวะตา่ งๆ ในวงจรชีวิตของผึ้ง ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม จะสามารถท�ำใหป้ ระสบผลส�ำเรจ็ ในการเลยี้ งผงึ้ ได้ เชน่ กลอ่ งหรอื ตวั รงั ผง้ึ พรอ้ ม ขาตั้งรัง คอนผ้ึง และแผ่นรังเทียม ซ่ึงควรจะเตรียมเผ่ือไว้ให้มากกว่าจ�ำนวนรังที่จะเริ่มเล้ียง เพราะในเวลาทเี่ หมาะสมและตอ้ งการจะแยกรงั เสรมิ รงั จะไดไ้ มข่ าดชว่ ง เพราะการเลยี้ งผงึ้ จะตอ้ ง มกี ารต่อเนอ่ื งและเตรียมการล่วงหน้าให้พร้อมอยตู่ ลอดเวลา ภาพนำ� ผา้ ชุบนำ้� มันเครอ่ื งเก่ามาผกู ไว้ที่ขาตง้ั ภาพการเตรียมคอนผงึ้ โดยการขงึ ลวดให้ตึง รังผึง้ เพ่ือปอ้ งกนั มด กอ่ นใส่แผน่ รงั เทยี ม 68 การผลติ น้ำ� ผ้งึ คุณภาพ
นอกจากนี้ วสั ดอุ ่ืนๆ ที่ตอ้ งเตรียมไว้ในการเลี้ยงผึง้ เชน่ นำ�้ ตาลทราย ส�ำหรบั เลย้ี ง ในช่วงท่ีน�้ำหวานจากดอกไม้ธรรมชาติขาดแคลน นอกจากนั้น ก็มีวัสดุประเภทเกสรเทียม สารเคมกี �ำจดั ศัตรผู ้งึ เป็นตน้ 5) ความเหมาะสมของจ�ำนวนรงั ผงึ้ พนั ธทุ์ ี่จะเรม่ิ เลี้ยง ส�ำหรับผู้ที่เริ่มต้นเล้ียงผ้ึงรายใหม่ ควรจะเร่ิมเล้ียงผ้ึงอย่างน้อยท่ีสุด 2 รัง และไม่ควร จะเกิน 5 รัง ในปีแรก เพราะถ้าเริ่มจากรงั เดียวมีข้อเสีย่ งอยหู่ ลายประการ เช่น กรณนี างพญาผง้ึ ตายหรอื สญู หายไปกะทนั หนั จะหานางพญาผง้ึ ไดย้ าก จงึ ควรมรี งั ผงึ้ ส�ำรองไวเ้ พอื่ นำ� ผงึ้ จากรงั ทข่ี าด นางพญาผ้ึงไปรวมกับรังอืน่ ทีม่ ีนางพญา เพอ่ื ยืดระยะเวลาส�ำหรับการหานางพญาผงึ้ ตวั ใหม่ และ เมื่อมปี ระสบการณ์และความชำ� นาญดีขึ้นแล้วก็ไปขยายเพม่ิ ตามทตี่ อ้ งการ นอกจากนี้ ยังมีปญั หาว่าจะเริ่มเล้ยี งผึง้ จากรังทมี่ ผี ้ึง 5 คอน หรือ 10 คอน จงึ จะเหมาะสม ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับความต้องการและช่วงเวลาท่ีจะเร่ิมด�ำเนินการ โดยพิจารณาข้อดีและข้อเสีย ในการเร่มิ เลีย้ งผึ้งจากรังละ 10 คอน หรอื รงั ละ 5 คอน ดังน้ี 5.1) การเล้ยี งผ้ึงเริ่มจากรงั ขนาด 5 คอน (รงั ขนาดเล็ก) ขอ้ ดี 1) ผึ้งมีจ�ำนวนน้อยมีโอกาสตรวจตราศึกษาการเจริญเติบโตของผ้ึงและชีวิตสังคม ของผงึ้ สามารถท�ำไดง้ า่ ยและดูแลได้อย่างใกล้ชิด 2) ประชากรของผึ้งมีจ�ำนวนไม่แน่นมากนัก จึงไม่ค่อยดุ โอกาสที่จะโดนผ้ึงต่อย มนี อ้ ย 3) มีโอกาสทจ่ี ะฝกึ และหาความช�ำนาญในการเลีย้ งผ้ึงเปน็ ขั้นตอนต่อเนอื่ ง 4) ประหยัดคา่ ใชจ้ า่ ยในการลงทุน เน่อื งจากราคาผึ้งต่อรงั ต�่ำกวา่ ข้อเสีย 1) ผ้ึงมีจ�ำนวนน้อย รังยังไม่ ค่อยแข็งแรง โอกาสท่ีจะถูกโรคและไร เบยี ดเบียนจงึ มีมาก 2) ถ้าเร่ิมเลี้ยงใกล้ฤดูดอกไม้ บานจะเสียโอกาสในการเก็บน�้ำผึ้ง เนื่องจาก ไม่สามารถเพ่ิมจ�ำนวนประชากรผึ้งได้ทันใน ฤดกู าลดอกไม้บาน 3) ไม่สามารถขยายรังได้ทันที ต้องดแู ลจนกวา่ ผง้ึ จะแน่นเต็มรัง ภาพการเริม่ ตน้ เลี้ยงผง้ึ ทมี่ ี 5 คอน การผลติ นำ้� ผง้ึ คุณภาพ 69
5.2) การเลี้ยงผงึ้ เร่มิ จากรังละ 10 คอน (รังขนาดใหญ่) ขอ้ ดี ภาพการเรมิ่ ต้นเลีย้ งผ้ึงทม่ี ี 10 คอน 1) ได้ผ้ึงแข็งเต็มรัง ไม่ค่อย มปี ญั หาในเร่ืองศัตรผู ึ้ง 2) ถ้าใกล้ฤดูดอกไม้บานจะ สามารถเก็บน�้ำหวานได้ทันที เนื่องจาก ประชากรภายในรังมีสภาพความพร้อมที่จะ ออกสนาม 3) สามารถขยายรังได้ทันที ห า ก ไ ด ้ จั ด ห า น า ง พ ญ า ผึ้ ง ที่ ผ ส ม แ ล ้ ว ม า ขยายรังตอ่ ได้ 4) ประหยัดเวลาในการดูแล รกั ษา ขอ้ เสีย 1) มรี าคาตอ่ รงั สูง 2) ผ้ึงมีปริมาณมากเกินไปส�ำหรับผู้เล้ียงผึ้งใหม่ เน่ืองจากยังขาดความช�ำนาญ ทำ� ให้การขยายตัวอ่อนในวัยต่างๆ และจำ� นวนตัวผง้ึ จะท�ำไดน้ ้อย 3) โอกาสที่จะถูกผึ้งต่อย จะมีมากข้ึน เน่ืองจากประชากรผึ้งหนาแน่นและ จะมพี ฤติกรรมดมุ ากกวา่ ผึ้งทีม่ จี ำ� นวนประชากรนอ้ ย นอกจากนย้ี ังตรวจเชค็ ไดย้ ากและไมท่ ่วั ถงึ 4) ถ้าการจัดการภายในรังยังไม่ดีพอและยังไม่ช�ำนาญ โอกาสท่ีจะเกิดท่ีจะท�ำให้ ผ้ึงอพยพและแยกรงั หนจี ะเป็นการสูญเสียผึง้ และน�้ำผ้งึ 5) ถ้าใช้เวลารอฤดูดอกไม้บานเนิ่นนานไปหลายเดือนจะเป็นการสิ้นเปลือง คา่ ใชจ้ า่ ยในการเลย้ี งผง้ึ ไดแ้ ก่ คา่ น้�ำเช่ือมและคา่ เกสรเทยี ม 6) การเตรยี มตวั เตรียมใจเม่ือจะเข้าไปสมั ผสั กับผึ้ง 6.1) ความเชอ่ื มนั่ ของตนเอง ปกตผิ ทู้ ม่ี คี วามกลวั วา่ ผงึ้ จะตอ่ ย มกั จะโดนผงึ้ ตอ่ ยมากกวา่ ผทู้ ไี่ มก่ ลวั ความจรงิ แลว้ ผง้ึ พนั ธุ์เป็นผ้งึ ทมี่ ีพฤตกิ รรมเช่ืองและรกั สงบ ถ้าไมถ่ กู กอ่ กวน ไมห่ วิ โหย และอย่ใู นสภาพอากาศดี แล้วผ้ึงจะไม่ดุเลย บางครั้งผู้เล้ียงผึ้ง ที่ช�ำนาญเวลาตรวจรังผึ้ง จะไม่สวมหมวกตาข่ายกันผ้ึงต่อย และถงุ มือเลย ถา้ รู้จักใชก้ ารเคลื่อนไหวที่นิม่ นวล เวลายกคอนจบั คอนผึ้งข้นึ มาตรวจ 70 การผลิตน�ำ้ ผ้ึงคณุ ภาพ
6.2) เครอ่ื งแตง่ กายเวลาปฏิบตั กิ าร ถ้าสวมหมวกตาขา่ ยก็ไม่มปี ญั หาอะไร แต่ถ้าไม่ได้สวมหมวกตาขา่ ยกนั ไว้ ผงึ้ มักจะ ชอบต่อยคนที่ไว้ผมยาว โดยเฉพาะผมท่ียาวฟูปลิวยิ่งเวลาลมพัดเกิดการเคลื่อนไหว การใส่น้�ำมัน ทาผมเสียเรียบเป็นมัน ผ้ึงก็ชอบไปตอมตรงน้ัน ถ้าเอามือไปปัดหรือไล่ก็โดนต่อยพอดี จึงควรน่ิง และอยู่เฉยๆ ในช่วงที่ผึ้งตอม นอกจากน้ี เส้ือผา้ ที่สวมใส่ควรเป็นสีเรียบๆ สีขาว สีกากี สีออ่ นๆ ไม่ควรใส่เส้ือผ้าสีทึบหรือสีด�ำ กางเกงท่ีใช้ควรเป็นกางเกงเน้ือหนาขายาว ใช้สายยางรถยนต์รัด ปลายขาไว้ใหแ้ น่น ต้องปอ้ งกันไม่ใหผ้ งึ้ ตอ่ ยบรเิ วณตาต่มุ 6.3) ความรกั ในตวั ผึง้ ภาพมีความเช่อื มน่ั ในตัวเอง การเลี้ยงผึ้งเพื่อให้ประสบ ในขณะทตี่ รวจเช็คผ้งึ ผลสำ� เรจ็ นน้ั ผทู้ คี่ ดิ จะเลย้ี งผง้ึ ควรจะมคี วามรกั ในชวี ติ ของผง้ึ และรกั ธรรมชาติ เพราะการเลย้ี ง ผ้ึงต้องการความละเอียดอ่อนและความ ละเมียดละไม ผึ้งเป็นแมลงตัวเล็กๆ ท่ีมีการ เป็นอยู่ การจัดระบบสังคมภายในรวงรังท่ี นา่ สนใจมาก การเลย้ี งผงึ้ นน้ั จะทำ� ใหผ้ ทู้ ไี่ ดเ้ ลยี้ ง ได้สัมผัสกับผ้ึง ได้ประโยชน์ในการท่ีจะได้รับ ความสุข ความร่ืนรมย์ในชีวิตเป็นการพักผ่อน และไดท้ ำ� งานอดเิ รกและไดน้ ำ้� ผงึ้ เพอื่ บรโิ ภคใน ครอบครัว และอาจเหลือเป็นบางส่วนส�ำหรับ จ�ำหน่ายเป็นรายได้ของครอบครัว และทำ� ให้ สุขภาพจติ ของผ้เู ลีย้ งผงึ้ ดีข้นึ อกี ด้วย 2. การจัดการภายในรังผึ้ง การจัดการภายในรังผึ้ง เป็นเรื่องที่มีความส�ำคัญต่อการเลี้ยงผ้ึง เพราะการเล้ียงผึ้งให้ ประสบความสำ� เรจ็ นนั้ จะขนึ้ อยกู่ บั เทคนคิ ของการจดั การภายในรงั ผงึ้ ไดเ้ หมาะสมกบั ความตอ้ งการ โดยธรรมชาตขิ องผงึ้ โดยผง้ึ แตล่ ะรงั จะตอ้ งแขง็ แรง มปี ระชากรหนาแนน่ ปรมิ าณตวั ผง้ึ กบั พน้ื ทร่ี วง รงั บนคอน มคี อนทม่ี ไี ข่ มตี วั หนอน ดกั แด้ ผงึ้ อนบุ าล ผง้ึ สนาม ในปรมิ าณทเี่ หมาะสมและหนาแนน่ อย่าให้เกดิ กรณีทม่ี คี อนมากกว่าจำ� นวนผง้ึ เปน็ อันขาด การจัดการภายในรังผ้ึง เพ่ือความเข้าใจที่ง่ายขึ้นจึงขอท�ำความเข้าใจเกี่ยวกับค�ำบางค�ำ ในการเลี้ยงผง้ึ การจัดการภายในรงั ดังน้ี การผลิตนำ้� ผึ้งคุณภาพ 71
คอนแผน่ รงั เทยี ม (Frame of Foundation) หมายถงึ คอนทม่ี แี ตเ่ พยี งแผน่ รงั เทยี ม ซ่ึงเป็นแผ่นไขผ้ึงที่อัดดอกลายขนาดฐานของหลอดรังผ้ึง เพ่ือล่อให้ผ้ึงสร้างหลอดรังเป็นรวงผ้ึง ใช้ส�ำหรับเสริมปริมาณคอนหรือรวงผึ้งในรัง เม่ือผึ้งมีปริมาณหนาแน่น และมีความต้องการ หลอดรังหกเหล่ียมขึ้นมาเต็มแผ่นทั้ง 2 ด้านของแผ่นรังเทียมที่ใส่เข้าไป ในตอนแรก ท�ำให้ การปฏิบัติการได้เร็วข้ึน ไม่ต้องรอให้ผ้ึงสร้างหลอดรัง สามารถน�ำไปใช้ได้ทันที คอนรวงผึ้งท่ีเป็น คอนเปลา่ ๆ ยงั ไมม่ ีไข่ ตัวหนอน ดกั แด้ น้�ำหวานเกสร อยู่ในหลอดรัง เรียกว่า “รวงเปล่า” หรือ เอมพี้คอมบ์ (Empty Comb) คอนไข่ (Egg Comb) หมายถงึ คอนทม่ี ใี นหลอดรงั ส่วนใหญ่มีไขใ่ บเลก็ ทผี่ ้ึงนางพญา ได้วางไข่ไว้ คอนตัวอ่อน (Larvae Comb หรือ Young Brood Comb) หมายถึง คอนที่ ในหลอดรงั ส่วนใหญ่มตี ัวอ่อนวยั ตา่ งๆ ของหนอนผึง้ ท่ฟี ักออกมาจากไข่ คอนดักแด้ หรือคอนซลิ บรูด (Seal Brood Comb) หมายถึง คอนทีใ่ นหลอดรัง สว่ นใหญม่ ีตวั หนอนระยะดักแด้และปิดฝาหลอดรังแลว้ คอนเกสร (Pollen Comb) หมายถึง คอนที่ในหลอดรังส่วนใหญ่มีเกสรมาเก็บไว้ ในหลอดรัง คอนน้ำ� ผงึ้ (Honey Comb) หมายถึง คอนท่สี ่วนใหญ่มีนำ้� ผงึ้ มาเก็บไว้ คอนบรดู (Brood Comb) หมายถงึ คอนที่มีตัวออ่ นผง้ึ ในวัยตา่ งๆ อยู่ในหลอดรงั ได้แก่ ไข่ ตัวหนอน และดักแด้ ถ้าเป็นคอนที่มีดักแด้ล้วนๆ และปิดฝาหลอดแล้ว เราจะเรียกว่า ซีลบรดู (Seal Brood) ภาพคอนแผ่นรังเทยี ม ภาพคอนรวงรงั ผ้งึ หวั ใจของการจดั การรงั คอื การจดั การสภาพภายในรงั ผง้ึ ใหเ้ ปน็ ไปตามธรรมชาตนิ นั่ เอง ซ่ึงด�ำเนินการได้ดงั นี้ 72 การผลิตนำ้� ผ้งึ คณุ ภาพ
1. การจัดการคอนภายในรังผึ้ง 1.1 ลกั ษณะการเรยี งลำ� ดบั คอน คอนของ ภาพลักษณะการจัดเรยี งคอน รวงผง้ึ ในรงั ผงึ้ ทเี่ ลยี้ ง สว่ นใหญจ่ ะเหมอื นรวงตามธรรมชาติ แบบ 5 คอน คือ หลอดรังผึ้งท่ีอยูต่ รงดา้ นบนสดุ ของคอนหรอื รวง จะมี ขนาดหลอดรังใหญ่จะเป็นที่เก็บน้�ำผึ้ง ถัดลงมาจะเป็น หลอดรังที่เก็บเกสร และตรงกลางรวงจะเป็นที่อยู่ของ หลอดรงั ทเ่ี ปน็ ดกั แด้ ตวั หนอน และไข่ มรี ปู รา่ ง กลมรี ดงั นน้ั การตรวจดูรังผ้ึง เมื่อพบคอนผ้ึงมีลักษณะน้ีก็ถือว่า คอ่ นขา้ งจะดี คอนทอี่ ยดู่ า้ นรมิ สดุ กบั ดา้ นขา้ งของรงั มกั จะ เปน็ คอนทเี่ ก็บเกสร และคอนทีอ่ ย่รู มิ นอกสดุ ชิดกบั กลอ่ ง ให้น้�ำหวานจะเป็นคอนน้�ำหวาน กลุ่มคอนท่ีอยู่ตรงกลาง จะเป็นคอนของไข่ ตวั หนอน และดกั แด้ คอนเลขที่ 1 คอนอาหารเปน็ คอนทมี่ เี กสร จะอยดู่ า้ น ริมสุดใกล้กับทางเข้าออกของรัง และ มักจะอยู่คงท่ี บางครั้งก็มีน�้ำหวานปน อยู่ดว้ ย คอนเลขที่ 2 คอนนำ้� หวานเปน็ คอนทมี่ กั จะมนี ำ้� หวาน หรือน�้ำผ้ึงล้วนอยู่ด้านนอกสุดชิดกับ กล่องให้อาหารหรือด้านริมสุดอีกด้าน หนง่ึ ของรงั คอนเลขที่ 3 คอนไขเ่ ปน็ คอนทีม่ ไี ข่ คอนเลขท่ี 4 คอนตวั หนอนเปน็ คอนที่มีตัวหนอน คอนเลขท่ี 5 คอนดักแด้เป็นคอนที่เป็นดักแด้หรือ ภาพลกั ษณะการจัดเรียงคอน ซลิ บรดู บางครง้ั ไขแ่ ละตวั หนอนอยคู่ อน แบบ 10 คอน เดยี วกนั (3+4) หรอื ในคอนบางคอนอาจ มตี วั หนอน และดกั แด้ปนกัน (4+5) คอนเลขท่ี 6 คอนน�ำ้ ตาลสำ� หรบั ใส่น�้ำเชอ่ื มในช่วงที่ขาดแคลนพืชอาหารตามธรรมชาติ คอนที่เป็นซีลบรูดที่ปิดฝาหลอดรังใหม่ๆ จะเป็นสีเหลืองปนน้�ำตาลอ่อน ต่อมาสีจะ เขม้ ข้นึ เร่ือยๆ จนเปน็ สนี ้ำ� ตาลเขม้ ซึง่ ผึง้ งานและผ้ึงตวั ผจู้ ะอย่ใู นวัยดกั แดป้ ระมาณ 9 วัน ซงึ่ ในชว่ ง 9 วันน้ี ผึ้งต้องการความอบอุ่นที่พอดี ดังนั้น คอนที่เป็นไข่และตัวหนอนควรจะจัดให้อยู่เป็น กลุม่ ชิดกนั ตรงกลาง เพอ่ื จะไดร้ ับความอบอนุ่ อย่างทว่ั ถงึ การผลิตนำ�้ ผึ้งคณุ ภาพ 73
ภาพลักษณะไข่ของผึง้ งาน ภาพไขแ่ ละตวั หนอนอยคู่ อนเดยี วกนั ทอี่ ยใู่ นหลอดรวงของคอนไข่ ภาพคอนดักแดจ้ ะมีผง้ึ งานปกคลุมคอน ภาพคอนดักแดท้ มี่ ีหลอดรวงนำ้� หวาน เพ่อื ให้ความอบอุ่น อยดู่ ้านบนของคอน ภาพคอนอาหารทมี่ เี กสรสเี หลืองท่อี ดั แน่น ภาพคอนนำ้� หวาน (น้�ำผง้ึ ) ในหลอดรวง ที่ปดิ ฝาหลอดรวงแล้ว 74 การผลิตนำ้� ผง้ึ คุณภาพ
การตรวจและจดั การภายในรงั ทกุ ๆ 7 วนั จะสมั พนั ธพ์ อดกี บั การเจรญิ ของตวั หนอนผงึ้ และ ดักแด้ในหลอดรัง เมื่อผึ้งนางพญาวางไข่แล้ว ไข่จะใช้เวลา 3 วัน ที่จะฟักออกมาเป็นตัวหนอน และตัวหนอนผึ้งจะมีการลอกคราบรวม 4 ครั้ง ผ้ึงงานจะใช้เวลาในการเป็นตัวหนอนประมาณ 6 - 7 วนั ถงึ จะเขา้ ดักแด้ ผึ้งตวั ผู้ (Drone) จะใช้เวลาในการเปน็ ตวั หนอน 8 - 9 วนั ผึง้ นางพญาจะ ใชเ้ วลา 5 - 6 วนั เทา่ นน้ั สว่ นระยะทจี่ ะฟกั ตวั เปน็ ดกั แดจ้ ะแตกตา่ งกนั ไป ผง้ึ งานใชเ้ วลา 10 - 11 วนั ผ้งึ ตัวผใู้ ช้เวลาในระยะดักแดป้ ระมาณ 11 - 12 วัน ผ้ึงนางพญาใชเ้ วลาเพยี ง 6 - 7 วนั ทีจ่ ะอย่ใู น หลอดของดกั แด้ ตารางที่ 4 แสดงระยะเวลาวงจรชีวติ ของผง้ึ วรรณะ ระยะ (วนั ) ไข่ หนอน ดกั แด้ รวม (วัน) ตัวเต็มวัย ผึ้งงาน 3 6-7 10-11 19-21 2-3 เดือน ผง้ึ ตวั ผู้ 3 8-9 11-12 22-24 2-3 เดอื น ผง้ึ นางพญา 3 5-6 6-7 14-16 2-4 ปี โดยปกตแิ ลว้ ถา้ จดั การภายในรงั ใหด้ พี อ มอี าหารสมบรู ณโ์ ดยธรรมชาติ ผง้ึ รงั หนง่ึ ๆ สามารถ จะเพิม่ คอนได้ทกุ ๆ 7 - 10 วัน ในชว่ ง 2 เดือน สามารถจะท�ำให้ผึง้ รังนนั้ แข็งแรง และมปี ระชากร แน่นตลอด 10 คอน มีความเป็นไปได้ และถ้ายังมีเวลานานพอที่จะถึงฤดูดอกไม้บาน ก็สามารถ แยกรังออกไปได้อีก โดยแบ่งผึ้งออกเป็น 2 รังๆ ละ 5 คอน และหาผ้ึงนางพญาท่ีวางไข่แล้วมา ใสใ่ หผ้ ึ้งรังใหม่ 1.2 การเสรมิ คอนทเี่ ปน็ คอมบแ์ ลว้ ไมต่ อ้ งเสยี เวลาใหผ้ ง้ึ ดงึ หลอดรงั อกี โดยเฉพาะ อยา่ งยง่ิ ถา้ ใสแ่ ผน่ รงั เทยี มในรงั ทม่ี ปี ระชากรยงั ไมแ่ ขง็ แรงพอจะท�ำใหผ้ ง้ึ รงั นโ้ี ทรมเรว็ และในระยะ ทด่ี อกไมบ้ านถา้ ตอ้ งการจะไดน้ �้ำผงึ้ มากแลว้ ตอ้ งใสค่ อมบแ์ ทนการใสแ่ ผน่ รงั เทยี ม การใสค่ อมบเ์ พอ่ื เพมิ่ คอนให้เปน็ ที่อยขู่ องผึ้งน้นั ใหใ้ ส่ชิดกบั คอนที่เปน็ นำ้� หวาน หรอื เกสร เพือ่ ผ้งึ นางพญาวางไข่ แลว้ ตวั หนอนจะไดอ้ ยใู่ กลค้ อนเกสรและนำ�้ หวาน ผงึ้ อนบุ าลสามารถจะนำ� มาเลยี้ งดตู วั หนอนผงึ้ ได้ 1.3 อายขุ องการใชค้ อมบ์ คอมบช์ ุดหน่งึ ๆ ควรจะใชไ้ ม่เกนิ 2 ปี ลกั ษณะคอมบเ์ ก่า จะมีสีนำ้� ตาลด�ำ และสจี ะเขม้ ข้นึ เรือ่ ยๆ ขนาดของหลอดรงั จะเล็กลงๆ เรอ่ื ยๆ ทำ� ให้ได้ผ้งึ งานทม่ี ี ขนาดตัวเล็กลงเร่ือยๆ ดังนนั้ ทุกๆ 2 ปี ควรน�ำคอนเกา่ นนั้ มาหลอมเอาไขผง้ึ ไว้ใช้ แล้วใสค่ อนใหม่ เข้าไปแทน 1.4 การเสรมิ คอนทเ่ี ปน็ แผน่ รงั เทยี ม (Foundation Comb) ในกรณที ม่ี ปี ระชากร ผ้ึงในรังหนาแน่นข้ึน และมีอาการว่าต้องการคอนเพิ่ม โดยสร้างไขผ้ึงขึ้นมาบนหลังคอนหรือ ก่อรวงเล็กๆ ตรงด้านใต้ของฝาปิดด้านในของรัง จำ� เป็นต้องใส่คอนเพ่ิม โดยใช้แผ่นรังเทียมน้ัน ควรยดึ หลักดงั นี้ การผลติ นำ�้ ผึ้งคณุ ภาพ 75
1) ใสค่ อนทเ่ี ปน็ แผ่นรังเทียมเขา้ ไปทลี ะ 1 คอน 2) ใสด่ า้ นท่ีชดิ กบั คอนทีเ่ กบ็ นำ�้ หวาน 3) ห้ามใสแ่ ทรกลงตรงกง่ึ กลางของกลุ่มคอนทีเ่ ปน็ ซิลบรูด 4) ให้น�้ำเช่ือมแก่ผ้ึงให้เต็มท่ี เพราะถ้าขาดน้�ำหวานโดยธรรมชาติหรือขาดน้�ำเช่ือม แลว้ ผงึ้ จะกัดแผ่นรงั เทยี ม ท�ำใหแ้ ผน่ รงั เทียมน้นั เสียได้ 2. การให้อาหารแกผ่ ึง้ อาหารตามธรรมชาติของผึ้ง มคี วามจำ� เปน็ ในการด�ำรงชีวิตของสงั คมรงั มีดงั น้ี 1) น�้ำหวานจากดอกไม้ (Nectar) เป็นน�้ำหวานจากต้นหรือดอกไม้ของพืช เป็นแหล่ง คาร์โบไฮเดรตทีใ่ ห้พลังงานแกผ่ ึง้ ซึง่ ผงึ้ นำ� มาเก็บไวใ้ นรวงรงั ผงึ้ ในรูปของนำ้� ผ้ึงท่ผี า่ นกระบวนการ ยอ่ ยในตวั ผ้ึง 2) เกสรจากดอกไม้ (Pollen) เปน็ แหลง่ โปรตีนและวติ ามนิ ของผึ้ง 3) น�้ำและแรธ่ าตุ (Water and Mineral) บางฤดูกาลอาหารตามธรรมชาติของผ้ึงขาดแคลนผู้เลี้ยงผึ้ง จ�ำเป็นต้องหามาเสริมให้ เพยี งพอ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ น�ำ้ หวานและเกสรเทยี ม ซ่งึ สามารถจดั การได้ ดังน้ี 1) การใช้น�ำ้ เชื่อมแก่ผึ้งแทนนำ�้ หวานจากดอกไม้ นำ้� เชอ่ื มทใี่ ชใ้ นการเลย้ี งผง้ึ นนั้ ใชน้ �้ำเชอื่ มของนำ้� ตาลทรายขาวจะดกี วา่ นำ้� ตาลทรายแดง ถึงแม้ว่าน�้ำเชื่อมของน้�ำตาลทรายแดงจะมีราคาถูกกว่านำ�้ ตาลทรายขาวมาก แต่จะบูดเสียได้ง่าย และทำ� ให้คอมบม์ ีสีคล้�ำ ในการสังเกตว่าน้�ำผ้งึ ในรังขาดแคลน พบวา่ ตรงด้านบนของคอนหลอดรัง ผึ้งแห้ง ไม่มีน้�ำผ้ึงเหลืออยู่เลยควรรีบให้น้�ำเช่ือมกับผ้ึงและโดยเฉพาะอย่าให้คอนท่ีอยู่ด้านริมสุด มีแต่หลอดรังแห้งเปล่าๆ ผึ้งจะอารมณ์เสีย อย่าให้กรณีเช่นนี้เกิดขึ้น เพราะจะท�ำให้ผ้ึงรังนี้ อดอาหารตาย ทำ� ใหผ้ งึ้ ทรดุ โทรมลงอยา่ งรวดเรว็ ชว่ งทผ่ี ง้ึ จะขาดน้�ำหวานจากดอกไมโ้ ดยธรรมชาติ จะอย่รู ะหว่างเดือนพฤษภาคม - ตลุ าคม 1.1) ช่วงเวลาทจี่ ะใหน้ ำ้� ตาล ถา้ ผงึ้ ทเี่ ลย้ี งอยมู่ คี วามแขง็ แรงเทา่ ๆ กนั หมด จะใหน้ ้�ำเชอื่ มเวลาไหนกไ็ ด้ ตงั้ แต่ เช้าถึงเย็น ถ้าเลือกเวลาได้ควรจะเลือกใหต้ อนเย็น เพราะจะชว่ ยลดปัญหาการขโมยน�้ำผึ้ง 1.2) รูปแบบของนำ�้ ตาลท่ใี ช้ 1.2.1) การใหน้ ำ�้ ตาลทรายแก่ผึง้ ในรูปนำ�้ เชอื่ ม สามารถให้ไดส้ ะดวก โดยการ เอานำ�้ ตาลทรายมาละลายน�้ำทส่ี ะอาด หรอื น�้ำตม้ ในอตั ราสว่ นตา่ งๆ ตามตอ้ งการ โดยทวั่ ๆ ไปแลว้ อตั ราปกตทิ ใ่ี ชก้ นั ไดแ้ ก่ อตั ราสว่ น 1 ตอ่ 1 โดยใชน้ ำ้� ตาลทราย 1 กโิ ลกรมั ตอ่ นำ้� 1 ลติ ร และในชว่ งที่ อากาศรอ้ นและแห้งแล้งควรใหใ้ นอตั ราส่วนท่เี จือจาง โดยใชอ้ ตั ราสว่ น 4 ตอ่ 6 หรือ 2 ต่อ 3 คือ อตั ราส่วนของน�้ำตาลทราย 2 กโิ ลกรัมตอ่ น�้ำ 3 ลติ ร 76 การผลติ นำ้� ผ้ึงคุณภาพ
1.2.2) การให้น้�ำตาลในรูปแบบน�้ำตาลทรายผง โดยใส่น�้ำตาลทรายลงบน ภาชนะ หรอื ถาดวางบนหลงั คอนในรงั ผึง้ ใส่นำ้� ตาลทรายลงไปและอาจเตมิ น�้ำลงบนนำ�้ ตาลทราย เล็กนอ้ ยแต่อย่าใหล้ น้ ออกมาจากภาชนะ 1.3) วธิ กี ารให้น�ำ้ ตาล 1.3.1) ใหน้ ำ้� เชอื่ มในกลอ่ งไมภ้ ายในรงั ผงึ้ เปน็ วธิ ที นี่ ยิ มใชก้ นั มาก โดยทำ� กลอ่ ง ไมอ้ ัดสีเ่ หลี่ยม มบี ่ายาวเท่าความยาวของคอน เวลาวางตามแนวคอนแล้ว การใส่นำ�้ เชือ่ มในกล่อง ชนดิ นค้ี วรใหป้ รมิ าณพอดๆี กบั ปรมิ าณผง้ึ ทจ่ี ะใชห้ มดภายใน 2 - 3 วนั ถา้ นานกวา่ นน้ั นำ้� เชอ่ื มจะบดู นอกจากนคี้ วรหาวสั ดทุ ล่ี อยไดใ้ ส่ลงไปให้ผ้งึ เกาะด้วย 1.3.2) การให้น�้ำเช่ือมโดยบรรจุลงในภาชนะชนิดต่างๆ กระป๋องขนาดบรรจุ 1 - 2 ลิตร ใช้ตะปเู ล็กๆ เจาะรทู ฝ่ี าปดิ 3 - 4 รู เวลาควำ่� กระป๋องลงนำ�้ เช่ือมจะซมึ ออกมาเปน็ หยดๆ การให้น้ำ� เชือ่ มโดยบรรจุลงในถงุ พลาสติก วธิ นี ี้เปน็ วธิ ที ีส่ ะดวกและประหยัดอีกวธิ หี น่ึง โดยบรรจุ น�ำ้ เชื่อมในอัตราส่วนที่ตอ้ งการลงในถงุ พลาสติกทีจ่ ุไดป้ ระมาณ 3 - 4 ลติ ร 1.3.3) การให้น�้ำเช่ือมโดยวิธีราดน้�ำเชื่อมลงไปในหลอดรวง ถ้าเล้ียงผึ้งเป็น จำ� นวนไมม่ ากรัง มีเวลามากพอ เพราะเป็นการประหยัดไมต่ อ้ งใชภ้ าชนะอนื่ ใด เพยี งใชน้ �้ำเชื่อมใส่ ในกาน�้ำแล้ว ค่อยๆ ยกคอนผึ้งขึ้นมาเหนือรัง วางเอียงลงเล็กน้อย ใช้น้�ำเชื่อมราดลงบนหัวคอน ใหฉ้ �่ำทงั้ 2 ด้าน ระวงั อย่าไปราดน้�ำเชอื่ มลงในหลอดรงั ทีเ่ ปน็ ไข่และตวั หนอน ภาพการให้นำ้� หวานโดยใชค้ อนอาหาร ภาพการใหน้ ้ำ� หวานแบบใช้ถาดวางบนคอนผ้ึง ใสไ่ วใ้ นรังผ้งึ และการให้เกสรเทยี ม โดยปัน้ ไว้บนหลังคอน 1.4) ขอ้ ควรจำ� ในการใหน้ ำ�้ เชือ่ มแก่ผงึ้ 1.4.1) เลอื กอัตราส่วนความเข้มขน้ ของนำ�้ เช่อื มใหเ้ หมาะสมกับฤดูกาล 1.4.2) ให้น�ำ้ เชอ่ื มเฉพาะเวลาทผ่ี ง้ึ ขาดแคลนนำ้� หวานจากดอกไมเ้ ท่านั้น การผลติ นำ�้ ผึ้งคณุ ภาพ 77
1.4.3) ใชน้ ำ้� ที่สะอาด 1.4.4) ใหใ้ นปรมิ าณที่เพียงพอ ไม่มากไม่นอ้ ยจนเกินไป 1.4.5) ให้น้�ำเชื่อมโดยวิธีท่ีจะทำ� ไดด้ ว้ ยความสะดวก รวดเร็ว และประหยดั 1.4.6) ให้น้�ำเชื่อมรังที่แข็งแรงท่ีสุดก่อนตามล�ำดับลงมาหารังที่อ่อนแอ เพอื่ ปอ้ งกนั การรอ้ บบิง้ (วธิ ดี ีท่ีสดุ จดั การให้รังทกุ รังมีความแข็งแกร่งเทา่ กนั ) 1.4.7) ให้น้�ำเช่ือมตอนเย็นๆ ดีกว่าตอนเช้า ผ้ึงจะไม่ค่อยตื่นและไม่ค่อยเกิด ปญั หาการรอ้ บบิ้ง 1.4.8) ถ้าผ้ึงแสดงอาการต่ืนและผึ้งจากรังอื่น เร่ิมมาก่อกวนจะขโมยน้�ำผ้ึง ใหร้ ีบปิดฝารัง ทำ� ปากรงั ให้ทางเขา้ ออกแคบ ผึง้ รังน้นั จะได้มีโอกาสปอ้ งกันรังไดด้ ีขน้ึ 1.4.9) น้�ำตาลทรายที่ใช้ท�ำน�้ำเชื่อม ต้องสะอาดปราศจากสารท่ีจะเป็นพิษ ตอ่ ผงึ้ 1.4.10) อยา่ ใหน้ ำ้� เชอื่ มหกรดราดขา้ งรงั ปากทางเขา้ ออกของรงั หรอื ไหลยอ้ น จากในรังออกมาทางปากรัง จะเป็นส่ือล่อน�้ำผึ้งรังอ่ืนเข้ามาขโมยเกิดการต่อสู้ที่หน้าปากรัง และ ลุกลามเข้าไปภายในรงั ทำ� ใหผ้ ้ึงทัง้ 2 ฝ่ายตายมาก 2) การให้เกสรเทียมแก่ผึ้ง เกสรจากดอกไม้มีบทบาทส�ำคัญที่สุดในการ เลย้ี งผง้ึ เกสรเปน็ แหลง่ โปรตนี สำ� หรบั หนอนผง้ึ และการเพาะเลี้ยงนางพญา เกสรที่ได้จาก ธรรมชาตเิ ปน็ แหลง่ ทใ่ี หโ้ ปรตนี ทดี่ ที สี่ ดุ ถา้ หาก ไม่มีปัจจัยดังกล่าวอยู่เลย คือ ไม่มีเกสรตาม ธรรมชาตแิ ละไมไ่ ดด้ กั เกบ็ เกสรไวใ้ ช้ กจ็ �ำเปน็ ท่ี จะตอ้ งใหเ้ กสรเทยี มในการเลยี้ งผง้ึ เพอื่ จะทำ� ให้ สภาพของผ้ึงในรังไม่ขาดโปรตนี ภาพการวางเกสรเทียมในภาชนะ 2.1) วิธีสังเกตปริมาณการ เกบ็ เกสรในรังผ้งึ ผง้ึ จะเกบ็ เกสรไวใ้ นหลอดรงั บรเิ วณใกลๆ้ กบั ทเ่ี กบ็ น้�ำผง้ึ จะสงั เกตเหน็ มสี ตี า่ งๆ ตามชนิดของดอกไม้ เช่น สีเหลือง สีชมพู สีส้ม และบางชนิดก็เป็นสีม่วง ปริมาณเกสรที่เก็บไว้ ในหลอดรัง 1 คอน สามารถน�ำไปเลี้ยงตัวอ่อนในบรูด 4 คอนบรูด เวลายกคอนขึ้นมาตรวจดู จะเห็นเกสรอยู่กระจัดกระจายในหลอดรัง ซ่ึงแสดงว่ามีเกสรโดยธรรมชาติเพียงพอที่จะเล้ียงผึ้ง ในรังได้ แต่ถ้าไม่มีเกสรอยู่ในหลอดรังเลยจะต้องหาเกสรเทียมมาชดเชย สูตรเกสรเทียมผู้เลี้ยง อาจเลือกเอาสตู รใดสตู รหน่ึง ดงั นี้ 78 การผลติ น้�ำผ้งึ คณุ ภาพ
เกสรเทยี มสูตรที่ 1 (จากฟาร์มผ้งึ สงวน-เผ่าไทย จ.เชยี งใหม่) ถัว่ เขยี วทองกะเทาะเปลือก 10 กก. นำ้� ตาลทราย 10 กก. (หรือน�้ำผง้ึ 8 กก.) บรวิ เวอร์ยสี ท์ (Brewer yeast) 300-400 กรัม นมผง (สกมิ มิลด)์ 3 กก. ไข่ต้มสุกเอาเฉพาะไข่แดง 1 ฟอง วิธีท�ำ น�ำถั่วเขียวทองที่กะเทาะเปลือกแล้วมาแช่น�้ำ แล้วนึ่งให้สุกเสร็จแล้ว ก็เอามาบดและปั่น ในเคร่ืองปั่นจนละเอียด ผสมนมผง บริวเวอร์ยีสต์ ไข่แดงเข้าด้วยกัน ปั่นให้ ละเอียด ผสมน้�ำเช่ือม หรือน้�ำผึ้งจะเหลวข้น แล้วน�ำไปกรองบนผ้าขาวบาง เวลาจะน�ำไปใช้ กช็ ้อนตักเทเปน็ แนวบนหลังคอนที่มตี ัวหนอนอยู่ประมาณ 2 - 3 คอน ใช้หลังช้อนเกล่ยี เปน็ แนว ไปตามสันคอน หลังจากน้ีอีก 2 วัน ก็ไปตรวจรังผ้ึงอีก ใช้ ไฮฟทูลขูดเกสรเทียมเก่าทิ้งไป แล้วเทชุดใหม่ลงไปอีก ปฏิบัติเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนพอเพียง อัตราส่วนของถั่วเขียวหนัก 10 กก. จะใช้เลี้ยงผ้ึงได้ประมาณ 200 - 250 รัง การทำ� เกสรเทียม ควรจะท�ำครั้งหนึ่งให้พอดี อย่าท�ำ มากเกินไป ถา้ เหลอื เก็บไว้มักจะบดู และมีเชือ้ ราขน้ึ เกสรเทยี มสตู รท่ี 2 (สูตรของ ELBERT R. JAYCOX) 1 สว่ น บรวิ เวอร์ยสี ต ์ ถว่ั เหลืองป่นละเอียด 3 ส่วน เกสรแหง้ ป่น 1 ส่วน (ถา้ มี) เกสรเทยี มสูตรที่ 3 (สตู รจากฟาร์มผ้งึ สนั ทราย จ.เชยี งใหม)่ 3.1 เกสรเทยี มผง ถวั่ เหลืองคว่ั ปน่ ละเอียด 1 ถว้ ยกาแฟ นมผง (สกิมมลิ ค์) 1/3 ถว้ ยกาแฟ ยีสต์ (ของบรวิ เวอร)์ 5 เมด็ วิตามนิ บี 1 2 เมด็ วิตามินอ ี 2 เม็ด 3.2 เกสรเทยี มเหลว ใชส้ ตู รเดียวกนั กับ 3.1 และเติมน้�ำเชอื่ มในอตั ราส่วนน้�ำตาลทรายขาว 3 ส่วนต่อนำ้� 1 ส่วน โดยน�้ำหนกั 3.3 เกสรเทียมเหลว ถ่วั เหลอื งป่นละเอียด ยสี ต์ (ของบรวิ เวอร์) นำ�้ เชอื่ มทไ่ี ดจ้ ากนำ�้ ตาล 3 สว่ น ตอ่ นำ�้ 1 สว่ น โดยนำ้� หนกั จำ� นวนพอเหมาะ การผลติ นำ้� ผึ้งคุณภาพ 79
การให้เกสรเทียมในรูปผง ให้ใช้ปริมาณที่พอดีๆ ไม่ควรให้มากเกินไป เพราะถ้าผึ้ง ใชไ้ มห่ มดเกสรเทยี มจะบดู มกี ลนิ่ เหมน็ หนื โดยใชว้ ธิ โี รยเกสรเทยี มผงลงในหลอดรงั แลว้ ใชน้ ้�ำเชอื่ ม ใส่สเปรย์พ่นบางๆ เพื่อให้เกสรเทียมผงติดกับหลอดรัง ส่วนการให้เกสรเทียมเหลวนั้น เม่ือจะใช้ ก็ให้ใช้หลังช้อนเกล่ียเป็นแนวยาวตามสันคอน แล้วจึงตักเกสรเทียมเหลวที่เตรียมไว้ราดบนแนว บนสนั คอน หลังจากนั้นอกี 2 วัน กท็ �ำการขดู เกสรเทียมเกา่ ทง้ิ ไปแลว้ ราดชดุ ใหม่ลงไปอกี กระท�ำ เช่นนเ้ี รอ่ื ยๆ 2.2) ข้อควรจ�ำสำ� หรบั เกสรเลย้ี งผง้ึ 2.2.1) เกสรมีบทบาทอย่างส�ำคัญในการขยายตัวของผึ้งในรัง ถ้าต้องการให้ ผงึ้ แขง็ แรง สร้างบรดู และวางไขด่ ี ต้องไม่ใหผ้ ึ้งขาดเกสร 2.2.2) เกสรจากดอกไมโ้ ดยธรรมชาติ เป็นเกสรท่ดี ที สี่ ุดในการเล้ียงผงึ้ ดงั น้ัน แหล่งทีเ่ ล้ยี งผ้งึ ควรจะมีแหล่งเกสรดอกไม้อยใู่ นบรเิ วณน้ัน 2.2.3) เกสรเทียมเป็นเพียงส่วนประกอบทดแทนเกสรธรรมชาติ เพื่อรักษา สภาพรังให้ปกติ จะใช้เมื่อผึง้ ขาดเกสรจากดอกไมต้ ามธรรมชาติ 2.2.4) ในฤดแู ละในแหลง่ ทม่ี เี กสรดอกไมธ้ รรมชาตอิ ยมู่ าก ควรจะทำ� เครอื่ งดกั เกสรเกบ็ ไว้ใชใ้ นฤดทู ขี่ าดแคลน 2.2.5) ในฤดดู อกไมบ้ าน 2 เดอื น อยา่ ใหผ้ ง้ึ ขาดเกสรและน�้ำหวาน เกสรในชว่ ง 8 สัปดาห์ก่อนดอกไม้บาน การสร้างตัวหนอนจะช้า ผ้ึงงานที่จะออกสนามจะมีน้อย ไม่พอที่จะ ไปเกบ็ เก่ยี วนำ้� หวานจากดอกไมต้ ามธรรมชาติ 3) การใหน้ ำ�้ แก่ผ้ึง ภาพการท�ำบอ่ นำ้� เพ่อื ให้อาหารกับผง้ึ การจัดหาน้�ำที่สะอาดๆ ให้ผ้ึงมี น�้ำสะอาดบริโภคอยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องท่ี จ�ำเป็น เพราะผ้ึงจะหาน�้ำมาช่วยระบาย ความร้อนภายในรังในช่วงอากาศร้อน และ ละลายนำ�้ ผง้ึ ใหเ้ จอื จางในการบรโิ ภค และยงั เปน็ การสงวนพลังงานของผึ้งในการท่ีต้องบิน ไปหาน้�ำไกลๆ ช่วงฤดูร้อน เดือนเมษายน - พฤษภาคม น้�ำ 1 ขนั พลาสตกิ ต่อรังผง้ึ 3 รัง ผึง้ จะกินน้ำ� นัน้ จนหมดภายใน 1 วนั ภาชนะท่ี ใส่น้�ำให้ผ้ึงควรจะวางในที่ไม่ร่มมากนักมีแดด รำ� ไรตง้ั อยบู่ นหลกั ขาตง้ั ทานำ้� มนั กนั มดแดงขนึ้ มากอ่ กวนผง้ึ ขณะทด่ี ม่ื นำ�้ นั้น 80 การผลติ น้ำ� ผ้งึ คุณภาพ
การให้น�้ำ สามารถท�ำได้โดยจัดหาภาชนะปากกว้าง เช่น กระถางใส่หินล�ำธารหรือ หนิ ทส่ี ะอาดไป 4 - 5 ก้อน เพอ่ื ใชเ้ ป็นทเี่ กาะยดึ ของผ้ึงขณะมากินน�้ำน้นั จากนั้นก็เทนำ�้ ทีใ่ สสะอาด ลงไป ภาชนะท่ีใส่น�้ำไว้ให้แก่ผึ้งน้ันควรน�ำไปตั้งไว้ในที่ร่มไม่มากนัก มีแดดส่องร�ำไรและหม่ันดูแล คอยเติมน้�ำให้เต็มอยู่เสมอ หรืออาจจะท�ำเป็นอ่างปลูกบัวเพ่ือสร้าง ภูมิทัศน์ที่สวยงาม และ ผึ้งสามารถเกาะใบบวั เพอ่ื กินนำ�้ ในอ่างบัวได้ 3. เทคนิคการรวมผ้ึงต่างรังเขา้ ดว้ ยกัน การรวมรังผึง้ ตา่ งรงั เขา้ ดว้ ยกนั มวี ตั ถปุ ระสงค์หลายประการ ดังนี้ 1) เพอ่ื รกั ษาสภาพผง้ึ ในรงั ในบางครง้ั รงั ผงึ้ อาจเกดิ การขาดนางพญา และหานางพญาใหม่ มาชดเชยไมท่ นั 2) เพ่ือสลายผ้ึงช่วั คราว ในกรณที ีน่ างพญาผึ้งนั้นควบคมุ รงั ไมด่ ี ไม่วางไข่ ผู้เลยี้ งจำ� เป็น ตอ้ งกำ� จดั ผ้ึงนางพญาตวั นั้นทง้ิ แล้วนำ� ไปรวมกับผึง้ รงั อ่ืนๆ 3) เพอื่ เสรมิ ผง้ึ ใหแ้ ขง็ แกรง่ และมีประชากรมากขึ้น 4) เพ่ือเสริมสร้างประชากรผ้ึงงานในวัยต่างๆ ให้แก่รังผึ้งที่อ่อนแอ โดยแบ่งบางส่วน จากรงั ทีแ่ ขง็ แรงกวา่ 5) เพ่ือเป็นการเร่งการขยายตัวของประชากรผึ้งให้เร็วขึ้น หมายความว่าแทนที่จะรอให้ ผึ้งนางพญาวางไขแ่ ละขยายจำ� นวนประชากรในอตั ราปกติ การเสริมผ้งึ อนุบาลและซลี บรูดจากรงั ท่ีแข็งแรงกวา่ จะเปน็ ตวั เร่งให้ผึ้งนางพญานั้นเพม่ิ ประสิทธิภาพในการวางไขม่ ากขึ้น อย่างไรก็ตาม จะต้องตั้งวางรงั ผงึ้ ในพ้ืนทีท่ ม่ี แี หลง่ อาหารสมบรู ณโ์ ดยเฉพาะแหลง่ อาหารทใี่ หเ้ กสร 6) เพอื่ จะเตรยี มใหผ้ งึ้ แขง็ แกรง่ เตม็ ที่ พรอ้ มทอี่ อกสสู่ นามในเวลาทจ่ี ะเกบ็ น้�ำหวานในชว่ ง ฤดดู อกไม้บาน ซึ่งวิธีการรวมผ้ึงตา่ งรงั เขา้ ดว้ ยกันน้นั มีหลายวธิ ี ดงั นี้ 3.1 การรวมรงั ผ้ึงโดยอาศัยกระดาษหนงั สือพมิ พค์ ั่นระหวา่ งรงั การรวมรงั ผ้งึ โดยวธิ ีนี้เปน็ วิธีทง่ี ่าย และเป็นท่ีนิยมใชก้ นั อยูม่ ากมีวิธีการง่ายๆ ดงั นี้ (1) ถา้ เลอื กเวลาได้ใหท้ ำ� การเวลาเยน็ ๆ หรือพลบค่ำ� (2) เตรียมกระดาษหนังสือพิมพ์ 1 แผ่น ท่ีมีขนาดความกว้างยาวเท่ากับตัวกล่อง รังผ้ึงหรือกว้างยาวกว่าเล็กน้อย ใช้ปลายปากกาลูกลื่นแทงกระดาษหนังสือพิมพ์แผ่นดังกล่าวให้ เปน็ รูเล็กๆ กระจายอย่ทู ัว่ ไป (3) เปิดฝารังและแผ่นปิดรังด้านในออก เอากระดาษหนังสือพิมพ์ที่จัดเตรียมไว้ใน ขอ้ (2) วางคลุมทาบลงไปดา้ นบน (4) น�ำรังผึ้งท่ีจะน�ำไปรวมรังซ้อนข้ึนข้างบนเหนือแผ่นกระดาษหนังสือพิมพ์แล้ว ปดิ ฝารงั ด้านบน การผลติ นำ้� ผ้ึงคณุ ภาพ 81
(5) ประมาณ 1 หรือ 2 วัน ตรวจเชค็ ดผู ้ึง ภาพแผนผงั อธบิ ายการรวมรังโดย ทั้งสองรังจะกดั แผ่นกระดาษหนงั สือพมิ พ์ทะลเุ ข้าไปหากัน ใชก้ ระดาษหนงั สอื พิมพ์คัน่ กลาง ให้ดึงกระดาษหนังสือพิมพ์น้ันออก จัดการรวมผ้ึง 2 รัง เขา้ ดว้ ยกันโดยจัดเรยี งคอนตา่ งๆ เสียใหม่ ถ้าให้ผ้ึงรังท่ีแข็งแรงกว่าอยู่ด้านบน รังท่ี อ่อนแอกว่าอยู่ด้านล่าง ผ้ึงรังข้างบนจะกัดแผ่นกระดาษ หนังสือพิมพ์ลงมาข้างล่าง ไดเ้ รว็ ขนึ้ 3.2 การรวมรงั ผงึ้ โดยอาศัยนำ้� เช่ือม ผ้ึงต่างรังเข้าด้วยกัน โดยวิธีนี้อาจมีผึ้งบาง ส่วนที่อาจต่อสู้กันแต่จ�ำนวนไม่มากนัก เวลาท่ีควรท�ำก็ เปน็ เวลาตอนเยน็ ๆ หรอื ตอนพลบค�่ำ โดยใชน้ ำ�้ เชอื่ มใสใ่ น เครื่องสเปรย์แบบเคร่ืองพ่นน้�ำฟ้อกซ์ สเปรย์น�้ำเชื่อม ให้ทวั่ แลว้ นำ� ผ้งึ แตล่ ะคอนมารว่ มในรังเดยี วกัน 3.3 การรวมผงึ้ ตา่ งรงั โดยนำ� ไปรวมกนั ภาพการรวมผงึ้ ต่างรังโดยใชก้ ระดาษ ทันที หนังสอื พมิ พ์ค่นั กลาง วิธีการนี้ต้องอาศัยความช�ำนาญ ดูผึ้งคอน ที่จะน�ำไปรวมเป็นผึ้งอนุบาล ก็น�ำไปรวมได้เลย โดยท�ำ สภาพภายในรังผึ้งท่ีจะน�ำไปรวมมีน้�ำหวานพอสมควร อยู่ในหลอดรัง และจะใช้วิธีน้ีในช่วงฤดูใบไม้บาน หรือ ดอกไมบ้ านไดป้ ระมาณ 5 เปอรเ์ ซน็ ต์ การรวมผง้ึ จะท�ำให้ ประชากรภายในรงั มมี ากขน้ึ และควรรวมรงั กอ่ นเขา้ พนื้ ท่ี เก็บน้�ำหวานผ้ึงจะไม่กดั กันภายในรัง 3.4 การรวมผึ้งต่างรังโดยวิธีเขย่าผ้ึง ภาพการน�ำรังผง้ึ ซอ้ นข้นึ ข้างบน หน้ารัง เหนอื แผน่ กระดาษหนงั สือพมิ พ์ วิธีการน้ีจะเสริมผึ้งอนุบาลส่วนใหญ่อีก รังหนึ่ง ผ้ึงที่ต้องการจะเสริมน้ัน ต้องวางรังให้เต้ียชิด แล้วปดิ ฝารงั กับพ้ืน หรือไม่ก็ต้องใช้ฝาปิดรังด้านในพาดขอบปากรังกับพื้น ถ้าพ้ืนดินเป็นทรายก็ใช้กระดาษ หนังสือพิมพ์ปูพ้ืน ถ้าเป็นพื้นสนามหญ้าก็ไม่ต้องใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ปูพื้น เสร็จแล้วก็ใช้ เครือ่ งเป่าควันเขา้ ไป 2 - 3 ครั้ง ทงิ้ ไว้สัก 1 นาที ก็น�ำผงึ้ คอนท่ีจะรวมมาเขย่าให้ผง้ึ ตกหนา้ รัง แลว้ ใชค้ วนั ใส่ ผง้ึ จะคลานเขา้ ไปรวมกบั อกี รงั หนงึ่ ถา้ ในระยะดอกไมบ้ านแลว้ วธิ กี ารนผ้ี ง้ึ จะยอมรบั กนั ทนั ที โดยเฉพาะผึง้ พวกผ้งึ อนบุ าล 82 การผลิตนำ�้ ผง้ึ คุณภาพ
ขอ้ ควรระวงั ในการรวมรังผ้ึงเข้าดว้ ยกนั 1) ต้องระวังอย่าน�ำผ้ึง คอนผึ้ง บรูด ซิลบรูด จากรังที่เป็นโรค ไรศัตรูผ้ึง เข้าไป รวมกบั รังอ่นื ๆ เพราะจะเปน็ การแพรโ่ รคและไรศตั รูผงึ้ ให้ระบาดมากยิง่ ขึ้น 2) ควรท�ำการรวมรงั ในชว่ งตอนเยน็ ๆ หรอื พลบค�่ำ จะเปน็ เวลาทด่ี ที ส่ี ดุ และปลอดภยั ทสี่ ดุ 3) การรวมรงั ผง้ึ ทมี่ ปี ระชากรใกลเ้ คยี งกนั ควรเลอื กใชเ้ ทคนคิ การรวมรงั ผงึ้ โดยอาศยั กระดาษหนังสอื พมิ พค์ นั่ ระหวา่ งรงั จะเปน็ วิธที ่ีปลอดภัยที่สุด แต่จะใชเ้ วลานานกวา่ วธิ อี ่ืน 4) ในกรณที แ่ี ยกรงั ใหมๆ่ มผี ง้ึ 3 – 5 คอน ถ้าต้องการจะเรง่ การขยายตัวของบรดู และคอน โดยนำ� ผ้ึงจากรังที่แข็งแรงกว่ามาเสริมน้นั ใหเ้ สริมได้ครง้ั ละ 1 คอน อย่าพยายามเสริมให้ มากกว่าน้นั เนื่องจากหากเสรมิ มากเกนิ ไปอาจจะท�ำให้ผงึ้ ท่ีนำ� มาเสรมิ นน้ั เข้ารุมกัดผึง้ นางพญาใน ลักษณะเป็นก้อนกลม เรยี กว่า เกิดบอลล่งิ (Boiling Queen) จะทำ� ให้ผึง้ นางพญาตายได้ 5) รงั ผง้ึ ทีจ่ ดั เปน็ รังสต๊อก เพ่ือแจกจา่ ยผ้ึง หรอื บรูดไปให้รังอ่นื ๆ นั้น จะต้องไมท่ ำ� ให้ รังนั้นอ่อนแอลง เพราะผู้เล้ียงอาจดึงบรูดอนุบาลมากเกินไปจนท�ำให้เสียสมดุลภายในรัง ดังน้ัน จึงต้องคงเหลอื คอนผึ้งท่ีเปน็ ซลิ บรูด 4 – 5 บรูด 6) ในกรณที ่ผี ้ึงรังน้ันมีซิลบรดู ตง้ั แต่ 4 คอนขน้ึ ไป และยังมีเวลาอยา่ งน้อย 2 เดือน กอ่ นถงึ ฤดดู อกไมบ้ าน กไ็ มจ่ �ำเปน็ ตอ้ งนำ� ผง้ึ จากรงั อน่ื มาเสรมิ เพราะมเี วลามากพอทจ่ี ะขยายไดท้ นั ในฤดดู อกไม้บาน ทั้งน้ตี ้องดแู ลไมใ่ หข้ าดนำ้� หวานและเกสรเด็ดขาด 4. เทคนิคการแยกขยายรังผงึ้ ภาพแผนผงั อธิบายการแยกขยายรัง การแยกขยายเพมิ่ จำ� นวนรงั ผง้ึ เปน็ การแยกขยาย ผ้ึงท่แี ข็งแรง โดยมีเป้าหมาย ดังน้ี 1) ได้เพ่ิมผึ้งรังใหม่ขึ้นในการเล้ียงผึ้ง 2) ไดร้ งั ใหมช่ ดเชยรงั ผง้ึ ทอี่ าจสญู เสยี (ความสญู เสยี 20% ของจำ� นวนรงั ตอ่ ปี เป็นเรอื่ งปกตใิ นการเลีย้ งผ้ึง) 3) การแยกขยายรังผ้ึงเป็นวิธีการป้องกันการ อพยพ การแยกขยายรงั สามารถทำ� ได้ตามวิธกี าร ดงั น้ี วธิ ีท่ี 1 เมอื่ มผี งึ้ เตม็ รงั อยู่ 10 คอน มจี ำ� นวนซลิ บรดู อยา่ งนอ้ ย 5 - 6 ซลิ บรดู กส็ ามารถจะแยกไดเ้ ลย โดยแบ่งคอนผึ้งออกไปใส่ในรังใหม่ เลือกคอนท่ีเป็นซิลบรูดอย่างน้อย 3 คอน คอนที่มีเกสร 1 คอน คอนที่เป็นน้�ำผ้ึงอีก 1 คอน อย่าเลือกคอนที่มีไข่และตัวหนอนในวัยอ่อนไม่เกิน 3 วัน ตดิ ไปดว้ ย ไมเ่ ชน่ นัน้ ผ้งึ รังใหม่มกั จะไมค่ ่อยยอมรับผง้ึ นางพญาตัวใหม่หลงั จากน้นั เขย่าผ้งึ อนบุ าล ลงไปสมทบอกี หน่งึ หรอื สองคอน นำ� ผึง้ นางพญาตัวใหม่ทไ่ี ด้เตรยี มไวแ้ ลว้ ใส่ในกลอ่ งขังนางพญา การผลติ นำ�้ ผง้ึ คณุ ภาพ 83
ไปสอดลงในชอ่ งวา่ งระหวา่ งคอนทเ่ี ปน็ ซลิ บรดู ท�ำการปดิ ฝารงั แลว้ ยา้ ยรงั ไปตง้ั ใหห้ า่ งจากทต่ี ง้ั เดมิ ไม่น้อยกว่า 3 กิโลเมตร เพื่อกันผึ้งกลับรังเดิม ท้ิงไว้ประมาณ 3 – 4 วัน จึงปล่อยนางพญาผึ้ง ที่ขังไว้ในกล่อง วธิ ีท่ี 2 ด�ำเนินการเหมือนวิธีแรก แต่จะเลือกคอนซิลบรูด 2 คอน คอนอาหาร 1 คอน รวมกัน ไมเ่ กนิ 3 คอน แตแ่ ทนทจ่ี ะใสผ่ งึ้ นางพญาตวั ใหม่ ทคี่ ดั เลอื กแลว้ ผเู้ ลยี้ งอาจเหนบ็ หลอดนางพญาผงึ้ ทจี่ ดั เตรยี มไว้แล้ว ลงในคอนที่ชดิ กบั ซิลบรดู โดยใชห้ ัวแมม่ ือกดบรเิ วณรวงที่มนี ำ้� หวานให้บมุ๋ ลงไป มีน�้ำหวานซึมออกมาเล็กน้อย ค่อยๆ น�ำหลอดนางพญาท่ีมีอายุหลังจากปิดฝารังดักแด้ประมาณ 6 วัน สอดลงไปให้ด้านปลายหลอดช้ีลงด้านล่าง ทำ� ด้วยความระมัดระวัง อย่าให้หลอดนางพญา กระทบกระเทือน วธิ ีที่ 3 ทำ� เหมือนวิธีการทห่ี นงึ่ แตย่ ังไม่นำ� ผง้ึ นางพญาตัวใหมใ่ สเ่ ขา้ ไป ทง้ิ ให้รังใหมข่ าดนางพญา ไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง ระหว่างนี้ ก็สร้างสภาพให้ผ้ึงรังใหม่มีสภาพภายในรวงรังเหมือนสภาพ การให้ฤดูดอกไม้บาน คือ มีน�้ำหวานและเกสรเก็บไว้ในรังอย่างสมบูรณ์ หลังจาก 24 ช่ัวโมง ผ่านไปแล้ว ก็นำ� ผึ้งนางพญาตัวใหม่ที่ขังไว้ในกลักขังนางพญาโดยมีผ้ึงงานจากรังนางพญาตัวใหม่ อยดู่ ้วยประมาณ 3 – 5 ตวั ภายในกลกั ขงั นางพญาจะต้องใช้น�้ำตาลทรายป่นผสมน�้ำผึ้ง (แคนด)้ี อุดตรงรูของกลักขังนางพญาด้านรูทางออกของกลักขังนางพญา ผ้ึงงานจะช่วยกัดและปล่อย นางพญาออกมาภายใน 12 ชวั่ โมง และในระยะแรกควรสงั เกตวา่ ผง้ึ งานมกี ารยอมรบั นางพญาตวั ใหม่ หรอื ไม่ เนอื่ งจากหากใชว้ ธิ นี ใี้ นรงั ทมี่ ปี ระชากรผงึ้ แขง็ แรงอาจจะเสย่ี งตอ่ การไมย่ อมรบั นางพญาผงึ้ ตัวใหม่ และผึ้งงานจะกดั นางพญาใหมต่ ายได้ วิธีที่ 4 การแยกขยายรังใหม่ ผู้เล้ียงอาจน�ำคอนผ้ึงท่ีเป็นซิลบรูดรวมทั้งตัวผ้ึงจากรังต่างๆ กันคัดเลอื กมาร่วมเปน็ รังเดยี วกัน ประมาณ 3 ถึง 5 คอน แลว้ กน็ �ำผง้ึ นางพญาตัวใหม่ใส่เขา้ ไปตาม วิธกี ารท่ี 1 ถึงวิธกี ารท่ี 3 สภาพที่เหมาะสมท่ีผู้เลย้ี งควรจะแยกขยายรังผ้งึ เพมิ่ ขน้ึ นัน้ มีดังนี้ 1. ผงึ้ รังนน้ั มปี ระชากรหนาแน่นจนล้นรงั มี 7 - 8 ซิลบรูด เปน็ อย่างน้อย 2. สภาพการณ์ขณะนั้นมีอาหารหลักของผึ้งอยู่เพียงพอโดยเฉพาะเกสรดอกไม้ตาม ธรรมชาตแิ ละนำ�้ หวาน (น้�ำเชื่อม) 3. สามารถจะเสาะแสวงหาผึ้งนางพญาทีด่ ไี ด้ในขณะนัน้ 84 การผลิตน�้ำผ้ึงคณุ ภาพ
3. การจัดการเลี้ยงผง้ึ พนั ธก์ุ อ่ นฤดูดอกไม้บาน ดอกไม้ที่จะให้น้�ำหวานแก่ผึ้ง เร่ิมผลิดอกออกช่อและดอกบานให้น้�ำหวานจาก ต่อมน้�ำหวาน ผ้ึงจะมาดูดน้�ำหวานไปเก็บไว้ในรวงรัง และสร้างเป็นน�้ำผ้ึง ช่วงเวลาในขณะนั้น นักเลี้ยงผึ้งก็หวังท่ีจะได้น�้ำผึ้งให้มากท่ีสุด จะต้องมีการเตรียมการให้พร้อมและดีที่สุด เพ่ือท่ีจะ ได้ให้ผึ้งอยู่ในสภาพทส่ี มบรู ณเ์ ต็มที่ สภาพที่วา่ นีป้ ระกอบด้วย 3.1 สภาพของผึ้งท่เี ลี้ยง 3.1.1 ประชากรภายในรงั ผงึ้ จะตอ้ งมผี งึ้ งานทแี่ ขง็ แรงสมบรู ณแ์ ละอยใู่ นวยั ของผงึ้ สนาม (Field Bee) ไม่ตำ่� กวา่ 50,000 – 60,000 ตัวตอ่ รัง จะพบอย่เู สมอวา่ ผึง้ 2 รังทัง้ ๆ ทปี่ ระชากร ความหนาแน่นของผง้ึ งานเท่าเทียมกัน มีจำ� นวนคอนเท่าๆ กนั นางพญากม็ คี ณุ ภาพ มีอายเุ ท่ากนั แตก่ ็ใหผ้ ลผลิตของน้�ำผึง้ ต่างกนั สาเหตุหนง่ึ เนื่องจาก ผึง้ รงั ทใี่ หผ้ ลผลิตนำ้� ผ้ึงตำ่� มีผง้ึ งานมากก็จรงิ แต่ส่วนใหญ่อยู่ในวัยของผึ้งอนุบาลมากกว่าท่ีจะเป็นผ้ึงงานท่ีออกสนามแล้ว ดอกไม้แต่ละชนิด จะบานอยู่และใหน้ ำ้� หวานอยูเ่ พยี งแค่ 2 - 4 สปั ดาหเ์ ทา่ นั้น แตผ่ งึ้ งานที่ออกจากดักแดแ้ ล้ว 21 วัน ข้ึนไปเก็บน�้ำหวานมาท�ำน�้ำผ้ึงได้ ดังน้ัน จึงจ�ำเป็นจะต้องรู้เรื่องชีววิทยา และช่วงการเจริญ ในการท�ำหน้าที่ของวัยต่างๆ ของผึ้ง เพื่อจะได้น�ำมาประยุกต์ในการเตรียมการจัดการรังผึ้งให้ พร้อมทีจ่ ะเกบ็ น้ำ� หวาน 3.1.2 นางพญาผึ้งจะต้องคัดเลือกมาจากสายพันธุ์ดี ที่มีลักษณะเก็บน�้ำผ้ึงดีและไม่เป็น ผงึ้ นางพญาทแ่ี กค่ า้ งปี ดงั นน้ั การเลย้ี งผง้ึ จงึ ควรจะมกี ารเปลย่ี นนางพญาอยา่ งนอ้ ยทสี่ ดุ ปลี ะ 1 ครงั้ ทั้งนี้เนื่องจากวา่ ผง้ึ นางพญาในประเทศไทยน้นั ต้องทำ� งานตลอดปี 3.1.3 ตอ้ งมกี ารเตรยี มอปุ กรณใ์ หอ้ ยใู่ นสภาพทพี่ รอ้ มทจี่ ะออกสนามใหท้ นั ทว่ งที อปุ กรณ์ ดังกล่าวที่ส�ำคัญ ได้แก่ คอนรวงผ้ึง (คอมบ์) ซึ่งได้แก่คอนท่ีผ้ึงดึงหลอดรังแล้วอย่างน้อยก็ควร เตรียมไว้ 10 คอนต่อรัง เพราะเวลาท่ีดอกไม้ก�ำลังบานผึ้งจะได้น�ำน�้ำหวานมาเปลี่ยนเป็นน้�ำผึ้ง หมักเก็บไว้ในหลอดรังได้ทันที ถ้าหากไม่มีคอนที่ดึงหลอดรวงผ้ึงแล้ว มีเพียงแต่คอนที่เป็น แผ่นรังเทียม ผึ้งก็จะเสียเวลาสร้างหลอดรวงแทนท่ีจะได้เก็บน้�ำหวานได้ทันที ย่อมท�ำให้ผ้ึงรังน้ัน เสียโอกาสที่จะเก็บน้�ำหวานได้อย่างเต็มท่ี เนื่องจากผ้ึงจะต้องใช้น�้ำตาลมากถึง 8.4 กิโลกรัม ในการสรา้ งไขผ้งึ 1 กโิ ลกรมั 3.1.4 สภาพทเ่ี หมาะสมประการสดุ ทา้ ยเปน็ สภาพทส่ี �ำคญั ทส่ี ดุ ไดแ้ ก่ สภาพทเี่ หมาะสม และเอื้ออ�ำนวยตามธรรมชาติ ซ่ึงท้ังผึ้งและผู้เล้ียงผ้ึงไม่อาจควบคุมได้ ท้ังน้ีขึ้นอยู่กับท�ำเลของ แหล่งดอกไม้ ปริมาณของดอกไม้ท่ีบานมากน้อยแค่ไหน และมีสภาพภูมิอากาศเหมาะสมและ เอือ้ อำ� นวยในฤดูน้นั การผลิตนำ้� ผง้ึ คุณภาพ 85
3.2 สภาพของพชื อาหารของผงึ้ ดอกไม้จะบานสะพรั่งและบานอยู่ได้เป็นเวลานานวัน พอที่ผ้ึงจะเก็บน�้ำหวานได้มากท่ีสุด ดอกไม้หลายชนิดก็ผลิตน�้ำหวาน บางชนิดก็ให้แต่เพียงเกสร บางชนิดก็ให้ได้ทั้ง 2 อย่าง ผู้เล้ียง จะต้องสังเกต ศึกษา ส�ำรวจ ในแหล่งต่างๆ ที่คิดจะเลี้ยงผึ้งให้ดี ต้องใช้ความอดทน และ ความละเอียดมากเพียงพอ เพราะช่วงการบานของดอกไม้แต่ละชนิดอาจแตกต่างกัน บางชนิด อาจบานใหน้ ำ้� หวานในตอนเช้า บางชนดิ กต็ อนสาย บ่าย เย็น และบางชนิดในเวลากลางคนื ข้อแนะนำ� ส�ำหรบั การศึกษามาสังเกตมีดังน้ี 3.2.1 เวลาสังเกตพบผ้ึงตอมดอกไม้ชนิดใดแล้ว ถ้าเป็นการตอมท่ีใช้เวลาสั้นๆ จาก ดอกโน้นไปดอกนี้ และตรงกระเปาะของขาผ้ึงมีเกสรติดอยู่แสดงว่าดอกไม้ชนิดน้ันให้เกสรแก่ผึ้ง ถ้าเป็นการไต่ตอมท่ีใช้เวลาอีกนิดหน่ึง โดยผึ้งเกาะนิ่งบนดอกมากกว่า 10 วินาที และสังเกตว่า ตรงสว่ นทอ้ งของผ้ึงอ้วนป่องข้นึ แสดงว่าดอกไม้ชนดิ นนั้ ใหน้ ำ�้ หวาน 3.2.2 ชว่ งเวลาเช้าผึ้งส่วนใหญจ่ ะขนเกสรเขา้ รงั ใหไ้ ปสงั เกตท่ปี ระตูทางเขา้ ออกของรังผง้ึ ส่วนใหญ่ ท่กี ระเปาะขาหลังจะเห็นก้อนเกสรติดมาเป็นก้อนกลมๆ สีต่างๆ ตามชนดิ ของเกสรดอกไม้ นับจ�ำนวนดูว่าในทุกๆ 10 ตัวของผึ้งงานมีผ้ึงที่ขนเกสรเข้ารังประมาณก่ีตัว ถ้าน้อยกว่า 6 ตัว ก็แสดงว่าแหล่งที่ท่านเลี้ยงผึ้งน้ันยังมีเกสรไม่เพียงพอ สังเกตและสุ่มนี้โดยวิธีนี้ควรจะท�ำระหว่าง 07.00 - 08.00 น. 3.2.3 ช่วงเวลาบ่ายผ้ึงจะขนน้�ำหวานเข้ารังเป็นส่วนใหญ่ ให้สังเกตผ้ึงท่ีบินเข้ารังตัวจะ อว้ นเปง่ การบนิ เขา้ ออกจะเปน็ ไปอยา่ งรวดเรว็ เหมอื นการจราจรทสี่ บั สน ถา้ เปน็ ระยะทด่ี อกไมบ้ าน เต็มท่ี พอตกเย็นผ้ึงจะท�ำการลดความช้ืนและเปลี่ยนเป็นน�้ำผ้ึงอยู่หน้ารัง หันหน้าเข้าหารัง กระพือปีก เสยี งบนิ หงึ่ ๆ เหมอื นดนตรธี รรมชาติทีร่ ื่นรมย์และสขุ สันต์ 3.2.4 ข้อสังเกตเวลาไปส�ำรวจดูดอกไม้ท่ีจะให้อาหารแก่ผ้ึงบางครั้งอาจไม่พบผึ้งตอม อยทู่ ด่ี อกไมช้ นดิ นนั้ พชื บางชนดิ ไมไ่ ดใ้ หน้ ำ้� หวาน แก่ผึ้งทางดอกอย่างเดียวแต่ท่ีต่อมฐานใบก็ให้ น้�ำหวาน เชน่ ฝา้ ย และยางพารา เปน็ ตน้ 3.2.5 บางครั้งอาจสังเกตพบว่าผึ้ง ไปตอมเอาน้�ำหวานจากต้นไม้ในพุ่มไม้ท่ีไม่มี ดอกไมอ้ ยเู่ ลย ดใู หล้ ะเอยี ดอาจจะพบเพลย้ี หอย เพล้ียอ่อนมาดูดกินน้�ำเล้ียงจากต้นไม้ชนิดน้ัน เป็นจ�ำนวนมาก ส่ิงขับถ่ายจากเพล้ียดังกล่าว มีน้�ำหวาน และผ้ึงก็ชอบจะไปดูดกินน�้ำหวาน เหลา่ นนั้ ดว้ ยเหมือนกนั ภาพผงึ้ ท�ำการลดความช้ืนโดยหนั หน้าเขา้ หารัง และกระพอื ปกี 86 การผลิตน้�ำผงึ้ คณุ ภาพ
3.2.6 เวลาที่ดอกไม้บางชนิดก�ำลังบานและผู้เล้ียงผ้ึงอาจทราบจากนักเล้ียงผึ้งหรือ จากต�ำราว่า ดอกไม้ชนิดน้ันให้เกสรหรือน้�ำหวานแก่ผึ้ง แต่ไม่เห็นผ้ึงที่เลี้ยงไปไต่ตอมดอกไม้ ทวี่ า่ นนั้ เลย สาเหตอุ าจเปน็ เพราะในบรเิ วณนนั้ มพี ชื ชนดิ นนั้ ๆ ทผี่ ง้ึ ชอบมากกวา่ ผงึ้ กจ็ ะไปเกบ็ เกสร หรือน�้ำหวานจากพืชท่ีผึ้งชอบท่ีสุดเป็นอันดับแรกก่อน ผ้ึงก็มีการเลือกอาหารท่ีอร่อยและถูกปาก เหมือนกัน เช่น หากตั้งรังผ้ึงไว้ในพื้นท่ีท่ีมีดอกล�ำไย ดอกลิ้นจี่ และดอกส้ม ซึ่งพืชท้ังสามชนิด ดังกล่าวมีช่วงเวลาการออกดอกคาบเกี่ยวกัน (ในบางพ้ืนท่ี) ผึ้งจะเลือกตอมและเก็บน�้ำหวาน จากดอกสม้ มากทส่ี ดุ รองลงมา คอื ดอกลำ� ไย และดอกลิ้นจ่ี ตามล�ำดบั เนอ่ื งจากสม้ มกี ล่นิ ท่หี อม แรงทส่ี ุด เมื่อเปรยี บเทียบกับดอกล�ำไย และดอกลิ้นจ่ี 3.3 ฤดกู าลดอกไมบ้ าน มีค�ำถามอยู่เสมอว่าอยู่ช่วงไหน ซึ่งก็ตอบได้ยาก เพราะมีดอกไม้หลายชนิดมีฤดูกาลดอก บานแตกต่างกนั ไปตามภาคต่างๆ ของประเทศ จะแบ่งฤดกู าลดอกไมบ้ านออกเปน็ 2 กลุม่ คือ 3.3.1 ฤดูกาลดอกไมบ้ านขนาดย่อม ฤดูกาลดอกไม้บานขนาดย่อม คือ ฤดูกาลของดอกไม้ท่ีให้น้�ำหวานในระดับต่�ำ จนถงึ ระดบั ปานกลาง ตงั้ แตไ่ มพ่ อเลยี้ งรงั จนถงึ เลย้ี งรงั ได้ และถงึ ระดบั ทพ่ี อจะเปน็ นำ้� ผงึ้ ไดเ้ ลก็ นอ้ ย ได้แก่ ช่วงการบานของดอกกระทกรก แพงพวย ดอกงา ดอกแคฝรั่ง ดอกพวงแสด ดอกฉ�ำฉา ดอกมะมว่ ง ดอกพะยอม ดอกพกิ ลุ ดอกรกั ป่า (ทใี่ ชน้ �ำ้ มนั รักมาท�ำเครือ่ งถม) ดอกถั่วเหลือง ดอก สตรอเบอรี่ ดอกยคู าลปิ ตสั ดอกยาง ดอกกาแฟ ดอกมะเก๋ียง ดอกฝา้ ย ดอกพทุ รา ดอกกล้วย ฯลฯ ภาพดอกลำ� ไยบานพรอ้ มกันทงั้ ต้น ภาพการต้งั ผงึ้ ในสวนลำ� ไย เพ่อื เก็บนำ้� ผ้งึ จากดอกลำ� ไย การผลิตนำ้� ผ้งึ คุณภาพ 87
3.3.2 ฤดูกาลดอกไมบ้ านของพชื หลกั ฤดกู าลดอกไม้บานของพืชหลกั ไดแ้ ก่ การบานของดอกล�ำไย ลิ้นจี่ ดอกสาบเสือ ดอกมะกอกนำ�้ ดอกงว้ิ ดอกน่นุ ดอกงา ดอกทานตะวนั ดอกเงาะ ยางพารา ดอกส้มต่างๆ สำ� หรบั กล่มุ พชื กล่มุ น้ี จะมปี ริมาณความหนาแนน่ มากพอทีจ่ ะผลติ นำ้� ผึ้งไดม้ ากในเชิงการค้า 3.4 ดอกไมท้ ใ่ี หอ้ าหารแก่ผง้ึ 3.4.1 ดอกไม้ทีใ่ หน้ ำ�้ หวาน ไดแ้ ก่ ดอกลำ� ไย ดอกลน้ิ จี่ ดอกทานตะวนั ดอกสาบเสือ (เสอื หมอบ) ดอกส้ม (ส้มจุก ส้มเกลี้ยง เขียวหวาน ส้มโอ มะนาว ฯลฯ) ดอกมะกอกน�้ำ ดอกงิ้ว (ง้ิวขาว ง้ิวแดง) ดอกนุ่น ดอกแคฝร่ัง ดอกยูคาลิปตัส ยางพารา (ต่อมตาใบอ่อนยางพารา) ยาง ดอกพะยอม ดอกรักป่า ดอกกาแฟ ดอกงา ดอกถ่ัวเหลือง ดอกสตรอเบอร่ี ดอกแพงพวยน�้ำ ดอกฉ�ำฉา ดอกมะพร้าว ดอกหญ้างวงช้าง ดอกพิกุล ดอกพวงชมพู ดอกพวงแสด ดอกเงาะ ดอกพุทรา ฝ้าย มะเกี๊ยง ดอกแตงโม (แตงกวา แตงไทย) ดอกโคกกระสุน ดอกบานช่ืน ดอกกะเพรา ดอกโหระพา ดอกตนี ตกุ๊ แก ดอกตะไครน้ �้ำ ฯลฯ 3.4.2 ดอกไมท้ ใี่ หเ้ กสร ได้แก่ ดอกฟักทอง ดอกบัว ดอกไมยราบยักษ์ ดอกไมยราบ ดอกข้าวโพด ดอกกระถินยักษ์ ดอกกระถิน ดอกมะพร้าว ดอกมะม่วง ดอกชมพู่ ดอกทองกวาว ดอกผักขม ดอกถั่วต่างๆ (ถ่ัวเหลือง ถั่ว เขียว ฯลฯ) ดอกเหลืองอเมริกัน ดอกพง ดอกอ้อ ดอกแขม ดอกกระถนิ ณรงค์ ดอกทานตะวัน ดอกทานตะวนั ปา่ ดอกหางนกยงู ดอกผกากรอง ดอกอนิ ทนิล ดอกดาวกระจาย ดอกฮอลลีฮ่ ๊อก ฯลฯ 88 การผลิตน้�ำผง้ึ คุณภาพ
ตารางที่ 5 รายชื่อพืชอาหารหลกั ของผึง้ ทีส่ ามารถผลติ นำ้� ผ้งึ ทางอตุ สาหกรรม การผลติ /พชื ระยะเวลาดอกไม้บาน กย. ตค. พย. ธค. คุณประโยชน์ ลักษณะ มค. กพ. มคี . เม.ย พค. มิย. กค. สค. ตอ่ ผงึ้ ชนดิ ไม้ การผลติ นำ้� ผง้ึ นำ�้ หวาน เกสร 1 .ล�ำไย ++ + ไมย้ นื ตน้ 2. ล้นิ จี่ ++ + ไม้ยืนตน้ 3. สาบเสือ ++ + ไม้ลม้ ลุก 4. ดอกขีไ้ ก่ย่าน ++ + ไมล้ ม้ ลกุ 5. ดอกมะกอกน�้ำ + - ไมย้ นื ตน้ 6. ดอกงวิ้ + + ไม้ยนื ตน้ 7. ดอกงา ++ + ไมล้ ้มลกุ 8. ดอกนุ่น ++ + ไมย้ ืนต้น 9. ดอกเงาะ ++ + ไมย้ ืนต้น 10. ดอกทานตะวนั ++ + ไม้ลม้ ลกุ 11. ยางพารา ++ + ไมย้ ืนตน้ 12. ดอกเสม็ด ++ + ไม้ยนื ตน้ 13. ดอกกาแฟ ++ + ไมย้ ืนต้น 14. ข้าวโพด - ++ ไม้ลม้ ลกุ 15. ไมยราบยกั ษ์ - + ไมล้ ม้ ลุก 16. กระถนิ นา - ++ ไมล้ ้มลกุ 17. มะพรา้ ว + + ไม้ยนื ต้น 18. มะม่วง + + ไม้ยืนตน้ 19. ดาวกระจาย + + ไมล้ ม้ ลุก การเกบ็ เกสร 1. ขา้ วโพด - ++ ไมล้ ้มลุก 2. ไมยราบเถา - ++ ไมล้ ม้ ลกุ 3. บัว - ++ ไมล้ ้มลกุ 4. ปาลม์ น้�ำมัน + ไม้ยนื ต้น การผลติ นมผึง้ 1. ไมยราบยักษ์ - + ไม้ลม้ ลกุ 2. ขา้ วโพด - ++ ไมล้ ม้ ลกุ หมายเหตุ 1. + ให้หรือมี - ไม่ใหห้ รอื ไมม่ ี 2. ++ มอี ย่างเพยี งพอที่จะเกบ็ ผลผลิตได้ 3. การบานของดอกไมใ้ นแตล่ ะพน้ื ทแ่ี ละในแตล่ ะปี อาจมกี ารบานแตกตา่ งกนั บา้ งในแตล่ ะจงั หวดั ตามภมู ปิ ระเทศ และภูมอิ ากาศ 4. ชว่ งการบานมาก 5. มีการบานท้ังปตี ามช่วงการปลูก การผลติ นำ�้ ผงึ้ คุณภาพ 89
ตารางท่ี 6 ชอื่ พืชอาหารของผึง้ ท่วั ไปบางชนดิ (ชว่ งฤดดู อกไมบ้ านขนาดยอ่ ม) ชอ่ื พืช ระยะเวลาดอกไม้บาน คณุ ประโยชน์ ลกั ษณะ ต่อผง้ึ ชนิดไม้ มค. กพ. มคี . เม.ย พค. มยิ . กค. สค. กย. ตค. พย. ธค. น้�ำหวาน เกสร 1. ถวั่ แขก + - ไมล้ ม้ ลกุ เลอื้ ย 2. ทองหลาง + + ไมย้ ืนตน้ 3. นนทรี - + ไม้ยืนตน้ 4. บัวหลวง + + ไม้ลม้ ลกุ น้ำ� 5. ผักขมหนิ - + ไมล้ ม้ ลุก 6. ผักเบ้ยี ใหญ่ - + ไมล้ ้มลุก 7. ผักปลาบ - + ไม้ลม้ ลกุ 8. ดอกพุทรา + + ไมพ้ มุ่ ยืนต้น 9. ดอกกลว้ ย + + ไม้ลม้ ลุก 10. กระถินไทย - + ไมพ้ มุ่ ยนื ตน้ 11. มะม่วง + + ไม้ยนื ต้น 12. ขาไก่ + - ไม้พุ่ม 13. ขี้เหล็ก + + ไมย้ นื ต้น 14. ครอบจักรวาล - + ไมพ้ มุ่ ขนาดเลก็ 15. โคกกระสนุ - + ไม้ลม้ ลุก 16. แคแสด + - ไม้ยนื ตน้ 17. จามจรุ ี + + ไม้ยืนตน้ 18. ชมพู่ + + ไมย้ นื ต้น 19. ช้องนาง + + ไม้พุม่ 20. หญา้ กำ� มะหยี่ - + หญา้ 21. หญ้าขจรจบ - + หญา้ 22. หญา้ คา - + หญา้ 23. ดาวกระจาย + + ไม้ล้มลุก 24. ดอกผักบ้งุ + - ไม้เลอื้ ย 25. ตะแบกนา + + ไม้ยืนตน้ 26. ตีนตกุ๊ แก + + ไม้ล้มลกุ 27. หางนกยงู ไทย + + ไมย้ นื ต้น 27. โสนขน - + ไมพ้ มุ่ เตย้ี ลม้ ลกุ 28. สวอง - + ไม้ยืนต้น 29. สาบแรง้ สาบกา + - ไม้ลม้ ลุก 30.สม้ + + ไมพ้ มุ่ ยืนต้น 90 การผลิตนำ้� ผ้ึงคุณภาพ
3.5 วธิ ีการจัดการเล้ียงผ้งึ ให้พรอ้ มก่อนฤดูดอกไมบ้ าน 3.5.1 ประชากรผึ้ง จ�ำนวนประชากรผึ้งงานท่ีอยู่ในวัยผ้ึงสนามท่ีสามารถบินออกไปเก็บน้�ำหวาน จากดอกไม้ ใหม้ ีปริมาณผ้ึงสนามในปริมาณทีส่ ูงสุด 3.5.2 ผง้ึ นางพญา ผเู้ ลยี้ งผง้ึ ควรจะตรวจสภาพของผงึ้ นางพญาดว้ ย เพราะวา่ ถา้ รงั ผงึ้ นนั้ มผี งึ้ นางพญา ท่ีไม่ดี ก็อาจเป็นอุปสรรคไม่สามารถท่ีจะท�ำให้ผ้ึงรังนั้นๆ มีความสมบูรณ์ แข็งแกร่ง ทันต่อ การดำ� เนินงานในช่วงฤดดู อกไม้บานได้ ทำ� ให้ผ้เู ล้ยี งผง้ึ ต้องสูญเสยี โอกาสในการเก็บน้ำ� ผึ้งได้ ลักษณะทดี่ ขี องผ้ึงนางพญา ควรมดี งั นี้ วางไข่เก่งและสมำ่� เสมอทั่วท้งั คอน ผลิตผง้ึ งานท่ีดีมีคุณภาพดี ตวั โตและแขง็ แรง และขยนั หาอาหารเกง่ มีความแข็งแรงและมีฟีโรโมนดี ควบคุมผ้ึงงานภายในรังให้ท�ำงานอย่างมี ประสิทธิภาพ ไมท่ �ำให้เกดิ การสรา้ งหลอดนางพญาข้นึ ในรงั บอ่ ยๆ 3.5.3 การรวมรังและการเพมิ่ ประชากรผง้ึ งาน การรวมผง้ึ รวงตา่ งๆ เขา้ ดว้ ยกนั หรอื การเพม่ิ ประชากรผง้ึ งานนน้ั กม็ วี ตั ถปุ ระสงค์ คอื เพอ่ื เป็นการเพิ่มจ�ำนวนประชากรผึง้ งานใหเ้ รว็ ขึน้ เพ่ือรกั ษาสภาพของผึง้ รงั ในกรณที ีข่ าดผงึ้ นางพญา และเราไม่สามารถทจ่ี ะ หาผ้งึ นางพญาตัวใหมม่ าชดเชยไดท้ ัน หรอื ในกรณีทผ่ี ึ้งนางพญาน้ันไมด่ จี ำ� เปน็ ต้องกำ� จดั ทง้ิ เพ่ือเสริมสร้างความแข็งแกร่งในกรณีที่ผึ้งรังน้ันเกิดอ่อนแอ มีประชากร ผ้งึ งานวัยต่างๆ ไม่มากพอทจ่ี ะรกั ษาสภาพรังนน้ั ได้ เพ่ือเตรียมผึ้งให้สมบูรณ์แข็งแกร่งเต็มท่ี พร้อมที่จะออกเก็บนำ้� หวานในฤดู ดอกไม้บาน ดังน้ัน ถา้ พบวา่ ประชากรของรังผงึ้ มีอยนู่ ้อย ไมส่ ามารถเขา้ รับการเกบ็ น�้ำหวาน ในช่วงฤดูดอกไม้บานได้ทัน ผู้เล้ียงก็จ�ำเป็นที่จะต้องท�ำการเพิ่มประชากรผึ้งให้กับรังผึ้งน้ัน หรือจ�ำเป็นต้องท�ำการรวมรังเข้าด้วยกันเสีย เพ่ือให้รังผ้ึงฟื้นตัวได้ทันต่อฤดูกาลท่ีจะมาถึง และ เปน็ การปอ้ งกันการสญู เสียผึง้ รงั น้นั ไป การผลิตนำ้� ผึ้งคณุ ภาพ 91
3.6 การเตรียมอปุ กรณเ์ พื่อใชใ้ นฤดกู าลดอกไม้บาน กอ่ นท่ีจะถึงฤดดู อกไมบ้ าน ซงึ่ เปน็ ช่วงของการเก็บนำ้� ผงึ้ นั้น ผเู้ ลีย้ งท่ีดจี ำ� เปน็ ตอ้ งเตรียม อุปกรณ์ต่างๆ ที่จ�ำเป็นต้องใช้ในระหว่างฤดูเก็บน�้ำหวานไว้ให้พร้อม เพราะเป็นเรื่องที่ส�ำคัญมาก จะปล่อยปละละเลยไม่ได้ ถ้ามีรังผ้ึงท่ีมีความแข็งแรงดี มีการส�ำรวจหาแหล่งหรือท�ำเลที่ตั้งรัง ได้ดี และในฤดกู าลนั้นมีอาหารธรรมชาตขิ องผง้ึ อดุ มสมบรู ณม์ าก แต่ทว่าไมไ่ ดเ้ ตรียมการลว่ งหนา้ ไว้ดีพอ คือ ขาดแคลนอุปกรณ์ต่างๆ ท่ีจำ� เป็นจะต้องใช้ในช่วงนี้ ก็จะทำ� ให้ผลผลิตที่ได้จากรังผึ้ง ในแต่ละรังไม่เต็มท่ี หรือมีจ�ำนวนลดลงไปอย่างน่าเสียดาย ส�ำหรับอุปกรณ์ที่ส�ำคัญและจ�ำเป็น ต้องใช้ในระหว่างฤดกู ารเกบ็ น�้ำผึง้ มีดังนี้ 3.6.1 กล่องเลี้ยง เป็นอุปกรณ์ท่ีส�ำคัญ เพราะจ�ำเป็นต้องใช้ส�ำหรับวางซ้อนให้กับ รังผ้ึง เพ่ือเป็นที่เก็บน�้ำผึ้ง และใช้เพื่อเพ่ิมเน้ือที่ให้ผ้ึงนางพญาได้วางไข่อย่างเพียงพอ ส�ำหรับ จำ� นวนหบี เลย้ี งทผ่ี เู้ ลยี้ งจะนำ� มาใชก้ บั ผง้ึ แตล่ ะรงั นน้ั ถา้ ผเู้ ลย้ี งจดั ระบบการดำ� เนนิ งานแบบซอ้ นหบี กจ็ �ำเป็นจะตอ้ งมีหีบเลย้ี ง 4 หบี ตอ่ รงั ผง้ึ 1 รัง เป็นหีบเลยี้ งตัวออ่ น 2 หบี และหีบเกบ็ นำ�้ ผงึ้ 2 หบี ซ่ึงพอจะเป็นหลักประกันได้ว่า เม่ือถึงฤดูเก็บน�้ำผึ้งท่ีมาถึง และถ้าช่วงนั้นมีอาหารธรรมชาติของ ผ้งึ สมบูรณจ์ รงิ ๆ ก็จะไม่ขาดแคลนหบี เล้ยี ง 3.6.2 คอนหรอื กรอบรวงผงึ้ ในชว่ งของการเตรยี มการกอ่ นถงึ ฤดกู าลดอกไมบ้ านน้ี ผเู้ ลย้ี งผง้ึ กค็ วรจะมกี ารเตรยี มคอนหรอื กรอบรวงผง้ึ ไว้ อาจใชค้ อนรวงผงึ้ ทผี่ งึ้ งานไดส้ รา้ งหลอดรวง ไว้เรียบร้อยแล้ว หรือคอนน้�ำผึ้งเก่าจากฤดูกาลท่ีแล้ว ก็สามารถท่ีจะน�ำมาใช้ได้ แม้ว่าบางคอน อาจจะมชี ำ� รดุ ไปบา้ ง อนั เปน็ ผลมาจากสกดั น้�ำผง้ึ หรอื การเกบ็ รกั ษาไวไ้ มด่ ี แตผ่ ง้ึ งานในรงั กส็ ามารถ ท่ีจะซ่อมแซมและท�ำความสะอาดคอนน้ันให้พร้อมท่ีจะใช้ได้ หรือหากว่าไม่มีคอนรวงเก่าเหล่าน้ี ให้ใช้คอนท่ีตรึงแน่นรังเทียมเรียบร้อยแล้วก็ได้ ส�ำหรับจ�ำนวนคอนหรือกรอบรวงผึ้งที่จะใช้นั้น มคี วามสมั พันธ์กบั จำ� นวนหีบเลี้ยงคอื ถ้าผเู้ ลีย้ งผึ้งใส่คอน 1 คอนต่อหบี ก็จะเตรยี มคอน 10 เทา่ ของจ�ำนวนหีบ และอาจจะเตรียมคอนส�ำรองไว้อีกจ�ำนวนหนึ่ง เพ่ือท่ีจะได้ใช้เสริมทดแทนกับ คอนทีอ่ าจเสยี หายในระหว่างปฏบิ ตั งิ านด้วยก็ได้ 3.6.3 อุปกรณ์ในการเก็บและสลัดน้�ำผึ้ง อุปกรณ์เหล่าน้ีได้แก่ ชุดเครื่องมือ เคร่ืองใช้ในการเก็บน�้ำผึ้งจากรัง และชุดเครื่องมือสกัดน�้ำผ้ึงออกจากรัง เช่น มีดปาดรวง ถังสลัดน้�ำผ้ึง ถังเก็บน้�ำผ้ึง เป็นต้น ผู้เลี้ยงควรจะเตรียม หรือซ่อมแซมอุปกรณ์ต่างๆ เหล่าน้ีไว้ ให้พร้อมก่อนท่ีจะเข้าฤดูการเก็บน�้ำผ้ึง เพ่ือเป็นประสิทธิภาพในการด�ำเนินงาน สามารถเก็บและ สลดั นำ�้ ผึ้งไดท้ นั ทว่ งที 92 การผลิตนำ้� ผึง้ คุณภาพ
3.7 การส�ำรวจหาแหล่งอาหารและท่ีต้ังรังผงึ้ เม่ือถึงช่วงนี้ หลังจากท่ีได้ดำ� เนินการต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ผู้เลี้ยงผึ้งจำ� เป็นต้องสำ� รวจหา แหลง่ ทจ่ี ะโยกยา้ ยรงั ผงึ้ ไปเกบ็ น้�ำผง้ึ แตเ่ นนิ่ ๆ เพอ่ื จะไดเ้ ตรยี มการไดถ้ กู ตอ้ งเหมาะสม ซง่ึ แหลง่ หรอื ท�ำเลทีค่ วรแก่การพจิ ารณาเลือกเปน็ ทต่ี ั้งรังผ้งึ ในฤดูดอกไมบ้ าน มขี อ้ แนะนำ� ดงั นี้ 3.7.1 เลอื กสวนทมี่ พี ชื กระจายเปน็ แนวกวา้ งมากกวา่ การกระจายเปน็ แนวแคบ และเลอื ก ทำ� เลทม่ี พี ชื ชนดิ นั้นหนาแนน่ 3.7.2 เลือกสวนท่ีร่มร่ืน ชุ่มชื้นไม่แห้งแล้ง เพราะสวนที่ชุ่มช้ืนให้น้�ำสม่�ำเสมอใน ฤดูดอกไม้บาน จะให้นำ�้ หวานมากกว่าสวนทแ่ี หง้ แลง้ ขาดแคลนนำ�้ 3.7.3 เลือกสถานที่ทไ่ี มม่ ีการพ่นสารเคมปี ้องกันก�ำจดั ศตั รูพชื ในระยะดอกไมบ้ าน และ บริเวณขา้ งเคยี งในรศั มี 1 กโิ ลเมตร และไมค่ วรมกี ารฉดี พน่ เชน่ กนั 3.7.4 เลอื กสวนทมี่ ไี มบ้ งั ลม ไมค่ วรเลอื กสวนทต่ี ง้ั อยกู่ ลางทงุ่ โลง่ เพราะถา้ มลี มพดั แรงๆ จะเป็นอุปสรรคตอ่ การบนิ ของผ้งึ งานในช่วงท่ผี ึง้ เกบ็ นำ้� หวาน 3.7.5 เลอื กท�ำเลทไี่ ม่มศี ตั รธู รรมชาตมิ ากนัก เชน่ ต่อ นก กิง้ ก่า คางคก มด เปน็ ต้น 3.7.6 เลือกสวนทอี่ ยใู่ กล้ท่สี ดุ และมเี ส้นทางการคมนาคมสะดวก 3.7.7 เลือกสวนท่เี จ้าของสวนมีอธั ยาศัยไมตรีดี และไมม่ ีขโมยหรือผรู้ า้ ยรบกวน เม่ือส�ำรวจแหล่งอาหาร และท่ีต้ังได้ เหมาะสมแล้ว ผู้เลี้ยงควรที่จะไปท�ำการติดต่อ และตกลงในเรื่องต่างๆ กับเจ้าของสวน หรือ เจ้าของพื้นที่ท่ีจะย้ายรังผ้ึงไปวางให้เรียบร้อย เพ่ือเป็นการรักษามารยาทท่ีดีไว้ นอกจากน้ี ควรติดตามข่าวพยากรณ์อากาศตลอดเวลา เพ่ือใช้ประกอบวางแผนในการต้ังวางรังผึ้งและ ควรศึกษาว่าพ้ืนต้ังวางรังดังกล่าวเคยเกิดภัย ธรรมชาตหิ รอื ไม่ เชน่ นำ�้ ทว่ ม วาตภยั และไมค่ วร ต้ังวางรังผ้ึงในแนวน้�ำท่วม เพราะจะเกิด ความเสยี หายตอ่ รงั ผ้ึงและผลผลิตนำ�้ ผ้งึ ได้ ภาพรังเล้ียงผึ้งท่ีประสบวาตภยั การผลติ นำ้� ผงึ้ คุณภาพ 93
4. การจัดการเลย้ี งผง้ึ พนั ธใุ์ นฤดดู อกไม้บาน การจัดการเล้ยี งผึง้ ในฤดดู อกไม้บานน้นั ถ้าเป้าหมายการจัดการพนั ธุผ์ งึ้ จะด�ำเนนิ ไปด้วยดี หรือเกิดความผิดพลาดก็ตาม เช่น สถานท่ีตัง้ รงั ไม่เอื้ออ�ำนวย สภาพอากาศไม่เหมาะสม พนั ธุ์ผึง้ ไมแ่ ขง็ แรงเทา่ ทคี่ วร ผเู้ ลยี้ งตอ้ งตดั สนิ ใจด�ำเนนิ การอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ เพอื่ ใหผ้ ลประโยชนม์ ากทสี่ ดุ เพราะเวลาและธรรมชาติไม่อาจรอให้เตรียมความพร้อมได้อีกต่อไป ดังน้ัน เพ่ือให้การจัดการ เปน็ ไปอย่างเหมาะสมควรด�ำเนินการ ดังน้ี 1) ฤดูดอกไม้บานมีผ้ึงท้ังหมดก่ีรัง แต่ละรังมีกี่คอน เป็นคอนไข่ เป็นคอนหนอน และ คอนดกั แดเ้ ปิดและปดิ อยา่ งละเท่าใด 2) ตรวจสอบประวัติของรังผ้ึงแต่ละรัง (ถ้ามี) ให้รู้ถึงประวัติการทำ� งานของผึ้งนางพญา ลักษณะการวางไข่ การเก็บน้�ำหวาน และการเกบ็ เกสร เป็นต้น 3) ฤดูดอกไม้บานยังเหลืออยู่อีกกี่วัน เพ่ือใช้ช่วงท่ีเหลือในการจัดการรังให้ได้ประโยชน์ สูงสุด 4) ท�ำการคดั เลือกรงั ท่ดี ที ีส่ ดุ โดยการยบุ รัง หรือรวมรัง ซ่ีงผเู้ ลย้ี งต้องคดั รงั ผึง้ เพื่อเป็น การออกสนามเกบ็ นำ�้ ผงึ้ ในฤดดู อกไมบ้ าน โดยคดั เกบ็ ไว้ 25 % ของจำ� นวนรงั ผง้ึ คดั ออกสนาม 75 % ของจำ� นวนรังผง้ึ การเกบ็ นำ้� หวาน หรอื การเกบ็ นำ�้ ผงึ้ ในชว่ งฤดดู อกไมบ้ าน ไมไ่ ดห้ มายความวา่ จำ� นวนรงั มาก จะเก็บน้�ำผึ้งมากกว่าจ�ำนวนรังน้อยเสมอไป ถ้าจ�ำนวนรังน้อยแต่ผึ้งมีความแข็งแรงมาก ย่อมเก็บ น�้ำผึ้งได้มากกว่า และถ้าเป็นรังที่มีสัดส่วนของผ้ึง โดยมีผึ้งวัยสนามมากกว่าผ้ึงวัยอื่นจะมี ประสิทธิภาพในการหาน�้ำหวานมากกว่าดว้ ย การจัดการเล้ียงผึ้งในฤดูดอกไม้บาน ซึ่งได้มีการเตรียมความพร้อมของรัง และอุปกรณ์ การเลี้ยงผ้ึงไว้เรียบร้อยแล้วต้ังแต่ช่วงก่อนฤดูดอกไม้บาน แต่การจะบอกว่าช่วงฤดูดอกไม้บาน อยูใ่ นชว่ งไหนนนั้ ก�ำหนดได้ยาก แต่ละภูมิภาคของประเทศมีดอกไม้ต่างชนิด และมีฤดูกาลบาน ท่แี ตกตา่ งกันไป ซ่ึงผ้เู ลีย้ งจะต้องสังเกต และบันทกึ ไวท้ ุกปี โดยดำ� เนินการ ดงั น้ี 4.1 การสังเกต หรอื บนั ทกึ น้ำ� หนกั รงั ผึ้ง การสงั เกต หรือบนั ทกึ น�้ำหนักเพม่ิ - ลดของรงั ผึ้ง มคี ณุ ประโยชนอ์ ยา่ งมากทจี่ ะช่วยให้ ผู้เลี้ยงสามารถตัดสินใจที่จะท�ำการโยกย้ายรังผ้ึงออกจากบริเวณหน่ึงท่ีมีอัตราการบ่งถึงสภาพ การบานทใี่ กลส้ นิ้ สดุ ไปยงั อกี บรเิ วณหนงึ่ ทมี่ คี วามอดุ มสมบรู ณส์ งู กวา่ ซง่ึ วธิ กี ารชงั่ นำ�้ หนกั รงั ผง้ึ นน้ั กท็ ำ� ไดโ้ ดยการทผ่ี เู้ ล้ยี งจะน�ำรังผง้ึ ไปวางบนเคร่อื งชง่ั แลว้ ทำ� การจดบนั ทึกน�้ำหนักเพ่มิ – ลดของ รังผึ้งน้นั ทกุ ๆ วนั และควรจะชง่ั จดน�้ำหนกั ในตอนเย็น หลงั จากท่ผี ง้ึ งานเข้ารงั หมดทุกตวั แลว้ หรือ กระทำ� ตอนเชา้ มดื กอ่ นทผ่ี งึ้ จะบนิ ออกไปหาอาหารกไ็ ด้ ตรวจดอู ตั ราการเพมิ่ ของน้�ำหนกั รงั ผง้ึ นน้ั ๆ ซึ่งน้�ำหนักที่เพ่ิมขึ้นก็คือปริมาณอาหารที่ผ้ึงน�ำเข้าภายในรังในแต่ละวัน ช่วงไหนที่น�้ำหนักรังผ้ึง 94 การผลติ น�ำ้ ผึ้งคณุ ภาพ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172