37 ตารางที่ 6-9 คุณคาทางอาหารโดยเฉลี่ยของพรกิ เผ็ด และพริกหวาน (ตอสวนทบ่ี ริโภคได 100 g) _________________________________________________________________________________ สว นประกอบ พรกิ หวาน พริกเผด็ _________________________________________________________________________________ พลังงาน (Kcal) 26.0 116.0 โปรตนี (g) 1.3 6.3 เสนใย (g) 1.4 15.0 แคลเซ่ียม (mg) 12.0 86.0 เหล็ก (mg) 0.9 3.6 แคโรตีน (mg) 1.8 6.6 ไทอามนี (mg) 0.07 0.37 ไรโบเฟรวนิ (mg) 0.08 0.51 ไนอาซนิ (mg) 0.8 2.5 วติ ามินซี (mg) 103.0 96.0 คณุ คาทางอาหารโดยเฉล่ยี (ANV) 6.61 27.92 ANV ตอนํ้าหนักแหง 100 g 82.6 8.07 นา้ํ หนกั แหง (g) 8.0 34.6 ของเหลือท้ิง (%) 13.0 13.0 _________________________________________________________________________________ ประวตั ิ พริกมีแหลงกําเนิดในอเมริกาเขตรอน ตง้ั แตก อนโคลมั บัส พบทวีปอเมริกา พันธุพ ริก ทป่ี ลูกในปจ จบุ ันถกู นํามาจากตวั อยางทเ่ี ก็บมาเพียงเลก็ ๆ นอยๆ เม่อื เทียบกับการกระจายตวั ของ พนั ธกุ รรมในธรรมชาติ พริกพันธุปลกู แบงไดเ ปน 3 กลุม ใหญๆ ไดแ ก Capsicum baccatum และ C.pubescens R. and P. ซง่ึ แยกออกจากกนั ไดช ัดเจนโดยลักษณะทางพฤกษศาสตร และอกี กลมุ หน่ึงท่รี วมๆ กนั อยู ปจจุบนั ยอมรบั ใหแ ยกเปน อีก 3 ชนิด (species) ดว ยกันไดแ ก C.annuum L., C.frutescens L, และ C.chinense Jacq. (Pickersgill. 1988) อธบิ ายแยกชนิดไดด ังนี้
38 ก. Capsicum annuum L. เปน ชนิดท่ปี ลกู มากและมีความสําคัญมากทส่ี ดุ เมอ่ื เทยี บกบั พรกิ ชนดิ อนื่ ๆ มีแหลง ด้งั เดมิ อยใู นอเมริกากลางไดแ ก ประเทศเมก็ ซิโกและประเทศใกลเคียง มีหลักฐานวาถกู นําไปเผยแพร ในยุโรป โดยการเดินทางครงั้ ท่ี 2 ของโคลมั บสั ใน ค.ศ. 1494 (IBPGR Secretariat. 1983) หลังจาก น้ันไดก ระจายไปยงั ทวีปเอเซียและทวปี อัฟรกิ า เมื่อเวลาผานไปหลายรอยป พนั ธพุ รกิ ทกี่ ระจายอยู แถบ Old World น้อี าจเรียกไดว า เปน แหลงกาํ เนิดท่สี อง (secondary centres) ได เชน ในตอนกลาง ของทวปี ยุโรป ทวีปอัฟริกาและทวปี เอเซยี พรกิ ในชนดิ นีเ้ หน็ ชัดวา แตกตางจากชนดิ อืน่ ไดแ กการท่ดี อกและผลเดยี่ วๆ และมีกลบี ดอกสีขาว จากการสาํ รวจในประเทศไทย พบวา พริก C.annuum ท่ใี ชเ ปนพันธุปลกู มีมาก สาย พนั ธทุ ี่สุดเมือ่ เทียบกับพริกชนิดอ่นื รวบรวมได 31 สายพนั ธุ (Worayos. 1986) ช่อื สายพันธุเรยี กตาม ชือ่ พ้ืนเมือง ไดแก พริกชฟ้ี า พรกิ ช้ีฟา ใหญ พรกิ จนิ ดา พริกแดง พริกฟกทอง พริกข้ีหนู พริกขห้ี นูชฟี้ า พริกข้ีหนจู นิ ดา พริกหวานและพรกิ ยกั ษ เปน ตน ชื่อทใ่ี ชเ รยี ก เชน พริกชี้ฟา และพริกขี้หนู ใชเรยี กใน พรกิ ชนิดอ่นื ดวย เชน C.chinense และ C.frutescens ข. Capsicum chinense Jacq. เปนพริกทม่ี ีความสาํ คญั ในการใชเปนพันธปุ ลูกมากในแถบภูเขาแอนดีสอเมรกิ าใต การ กระจายพันธุของพริกชนิดนม้ี มี ากในบริเวณอเมซอน (Pickersgill. 1969b) พรกิ ในกลมุ นีท้ ม่ี ผี ลใหญ เนอ้ื หนา ใชร ับประทานสด พริกทีเ่ นื้อบางใชทาํ พริกแหง สวนพริกผลเลก็ มีกลิ่นและรสเผ็ดจดั เชอ่ื วา มี รสเผ็ดท่ีสุดในพริกท่ีปลกู ท้ังหมด พรกิ ชนดิ นกี้ ระจายไปยังอฟั ริกา โดยเสน ทางการคาของชาวโปรตุเกส แตพ ริกนี้ไมเปน ท่ีนยิ มในเอเชยี แถบรอ น ในประเทศไทย สายพันธพุ ริกที่เก็บรวบรวมมีพรกิ ชนดิ นี้อยู 18 สายพนั ธุ (Worayos. 1986) มีชือ่ เรยี กวา พรกิ ข้หี นู พริกขห้ี นแู ดง พริกกลาง พริกเลบ็ มอื นาง พริกขี้หนหู อม พริกสวนและพริกใหญ เปนตน พริกพวกน้ีมลี ักษณะทางพฤกษศาสตรค ลายกับ C.annuum และ C.frutescens สกี ลีบดอกสีเขียวออน (greenish white) มดี อก 2 หรือมากกวา 2 ดอกตอ ขอ เม่ือผลแก จะมรี อยคอดทก่ี ลบี เลย้ี งตดิ กบั กา นของผล ดรู ายละเอยี ดเพ่มิ เติมในลักษณะประจําของพรกิ ชนดิ น้ี
39 Capsicum baccatum L. พรกิ ชนิดน้ีมีถิ่นกําเนดิ ในประเทศโบลิเวีย (Heiser. 1976) มีหลกั ฐานทางโบราณคดี ของประเทศเปรวู าพรกิ ชนิดน้ี C.baccatum var. pendulum ปลูกโดยคนโบราณกอนคริสตศตวรรษถงึ 2500 ป (Pickersgill.1969a) การกระจายของพริกชนดิ นพี้ บในประเทศเปรู ประเทศโบลเิ วยี ประเทศ อาเจนตนิ า และประเทศบราซลิ ตอนใต ตอ จากนน้ั ไดก ระจายไปยงั ตอนใตของประเทศสหรัฐอเมริกา ฮาวาย และประเทศอนิ เดยี ในศตวรรษที่ 17 มกี ารกระจายของพริกชนิดนี้ถึงยุโรป พริกนี้ไมเปน ทน่ี ยิ ม ปลูกในทวีปเอเชยี และอฟั รกิ า ทงั้ นี้อาจเปน เพราะ C.annuum และ C.frutescens ไดร ับความนิยมอยู แลว จากการรวบรวมพนั ธุพรกิ ในประเทศไทยสงสยั วา มีพรกิ ชนดิ น้ีปลกู อยสู ายพนั ธุห นงึ่ (Worayos. 1986) พรกิ พวกน้ีมีความแตกตางจากพริกชนดิ อนื่ ที่มดี อกสีขาวและมจี ดุ สีเหลอื งท่ีกลบี ดอกขาว ใน กลุม พรกิ น้ียงั มี C.pendulum และ C.microcarpum ทถี่ ูกจดั ใหอยใู น C.baccatum ดวย Capsicum frutescens L. ถ่ินกาํ เนิดของพรกิ ชนิดนีอ้ ยูใ นอเมริกาใตเชนเดียวกับชนดิ อ่นื และพบหลักฐานทาง โบราณคดีในประเทศเปรูกอนคริสตศตวรรษถึง 1200 ป (Pickersgill. 1969a) พบวามีการกระจาย พันธุอยใู นประเทศบราซิลตอนใตไ ปถึงตอนกลางของทวีปอเมริกา หมูเกาะ West Indies ทวปี อัฟริกา และทวีปเอเซยี พนั ธทุ ่ีปลูกในอเมริกาเปน ชนิดผลโต เรียกวา Tabasco pepper ซ่งึ เปน พนั ธุทร่ี ูจักกัน แพรห ลาย นอกจากนยี้ ังมพี ันธุผลโตอ่นื ๆ อีก มีปลกู แถบทะเล คาลิเบียน ทวปี ยุโรปและทวปี เอ เชีย แตพนั ธุท่ีนิยมในทวปี เอเซียเปน พรกิ ผลเลก็ มีความเผ็ดมาก บางแหงใชพรกิ พวกนี้ในการสกดั สาร oleoresin ในประเทศไทย มีรายงานวามีพริกชนดิ น้ี 3 สายพนั ธุ ไดแ ก พรกิ ช้ีฟา พรกิ เกษตร และ พริกขาว (Worayos. 1986) พรกิ ชนดิ นีม้ ีลกั ษณะเดนท่มี ดี อกเด่ยี ว แตพ ริกพันธปุ า ของ C.frutescens มี 2-3 ดอก ในแตล ะขอ ดอกมีสเี ขียวออ น (greenish white) ผลพริกของพนั ธปุ าใชบ รโิ ภคไดและมีรส เผด็ Capsicum pubescens Ruiz & Pavon พริกชนดิ น้เี ปนพรกิ ที่ปลกู บนพ้ืนท่สี ูง เนื่องจากทนตอความหนาวได พบวา ปลกู อยใู น แถบภูเขาแอนดสี และบนทส่ี งู ของอเมรกิ ากลาง แตกพ็ บพรกิ ชนิดน้ีในที่ราบเชนเดยี วกับ C.annuum, C.baccatum และ C.chinense (Eshbaugh. 1979 และ Pickersgill. 1971) แหลง กําเนิดของพรกิ น้เี ขา ใจวาเปน ประเทศโบลเิ วีย (Eshbaugh, 1980) พริกพวกนี้ไมค อ ยติดผลไดงา ยเชน พรกิ ชนดิ อื่นเมือ่ ปลูกในแถบรอน พันธุท่ีใชปลกู มีลักษณะการกระจายนอ ยกวาพรกิ ชนิดอืน่ ทก่ี ลา วมา
40 แลวขางตน ผลของพรกิ มีเนื้อหนา มเี ปอรเซนตข องนา้ํ สงู แตม ีรสเผด็ ลกั ษณะเดมิ ของพรกิ ชนิดนไี้ ด แก กลีบดอกสมี วง ไมมีจดุ และเมล็ดสดี ํา จากการสํารวจและรวบรวมพันธุพ รกิ ในประเทศไทย อาจมี พริกชนดิ นอ้ี ยูเ พยี งสายพนั ธุเดยี วเรยี กวา พรกิ ขาวดาํ (Worayos. 1986) แหลงกําเนดิ ของพริกทัง้ 5 ชนิดที่กลาวมาแลว พอสรุปไดว ากาํ เนิดในแถบรอ นของ โลกใหม (New World tropics) และแถบอบอุนของโลกใหม (New World subtropics) และไมม ีหลกั ฐานปรากฏวากําเนดิ ในโลกเกา (Old World) เลย โคลัมบัสไดเ ปนคนแรกท่นี ําพันธุพริกไปยัง ประเทศสเปน ในศตวรรษท่ี 16 ประมาณ ค.ศ.1493 พนั ธพุ ริกไดกระจายจากแถบทะเลเมดิเตอร เรเนยี นไปยงั ประเทศอังกฤษ ใน ค.ศ.1548 และจึงกระจายไปในยโุ รปตอนกลางในศตวรรษที่ 16 นนั้ ตอมาชาวโปรตุเกสไดนาํ พริกไปยังประเทศอนิ เดียกอน ค.ศ.1885 และยังมีรายงานวา ประเทศจีนปลกู พรกิ ตงั้ แตศตวรรษที่ 18 ลักษณะทางพฤกษศาสตร พรกิ ในลาํ ดับ (Genus) นเ้ี รยี กวา nightshade family Solanaceae มีประมาณ 20- 30 ชนิด (species) ไดแ ยกพันธพุ ริกท่ปี ลกู เปน 5 ชนดิ ดวยกนั ไดแก C.annuum L; C.frutescens L., C.chinense Jacquin, C.baccatum และ C.pubescens Ruiz & Pavon. และยงั มพี รกิ อกี 2 ชนิด ไดแ ก C.pendulum Willdenow และ C.microcarpum Cavanilles ซึง่ ถูกจดั ใหอยูใ นพริก C.baccatum ดงั น้นั พนั ธพุ รกิ ผลใหญในพริกชนดิ นเี้ รียกวา C.baccatum L. var. pendulum (Willd.) Eshbaugh และพนั ธพุ รกิ ผลเลก็ เรยี กวา C.baccatum L. var baccatum พริกมดี อกทงั้ ดอกเดย่ี วและดอกชอ ชอละ 2-3 ดอก กานชอดอกตัง้ ตรง (erect) หรอื โนมลง (pendent) ออกดอกทงั้ ป เปน พชื ยืนตน ดอกเปนดอกสมบรู ณมเี กสรตวั ผู (stamen) แยกจากเกสรตัวเมีย (stigma) (รปู ที่ 6-11) โดยธรรมชาติการผสมพนั ธแุ ลว พริกเปนพืชผสมตวั เอง แตการผสมขามเกิดไดในเปอรเซนตท ่สี งู ศูนย IBPGR ไดจดั ทาํ คูม ือสําหรบั การแยกพรกิ ชนดิ ตางๆ ออกจากกัน โดยอาศัย ลกั ษณะและสขี อง ดอก ผล (IBPGR Secretariat. 1983) ซึ่งกค็ ลายกับลักษณะทีแ่ สดงไวในตาราง ท่ี 6-10 มีดงั น้ี
41 1. เมล็ดสีดาํ กลีบดอกสีมวง.. ……………………………………...............................C.pubescens 1. เมลด็ สนี ้าํ ตาลออน กลีบดอกขาวหรอื เขียวออน 2. กลบี ดอกมีจุดเหลอื งทโี่ คน กลีบ......................…………………………………...C.baccatum 2. กลีบดอกไมมีจดุ เหลืองทโ่ี คนกลบี 3. กลบี ดอกสีมว ง 4. ดอก เดีย่ ว......................…………………………………………………..….C. annuum 4. ดอกมี 2 ดอกขึน้ ไปในแตละขอ.......... ……………………………………….C.chinense 3. กลีบดอกสีขาวหรอื เขียวออ น 5. กลบี เลี้ยงของผลคอดตรงจุดตอ กับกานผล.. ………………………………...C.chinense 5. กลบี เลี้ยงของผลไมคอดตรงจุดตอ กับกา นผล 6. ดอกเดี่ยว 7. กลีบดอกสขี าว กลีบดอกตรง กานดอกหอ ย.. …………………………………………………............C.annuum 7. กลบี ดอกสีเขียวออน กลบี ดอกโคง ไปดานหลงั กา นดอกตัง้ ..... ………………………………………….C.frutescens 6. ดอก 2 ดอกขนึ้ ไป 8. กลบี ดอกสีขาว.......... ……………………………………………….....C.annuum 8. กลบี ดอกสเี ขียวออ น 9. กา นดอกตงั้ กลบี ดอกโคง
42 ไปดา นหลัง......... ………………………………………………...C.frutescens 9. กา นดอกหอย กลบี ดอกตรง....... ………………………………………………….C.chinense การแยกพรกิ ทั้ง 5 ชนดิ นน้ั อาศยั ลักษณะของดอกและผล (ตารางท่ี 6-10) (Bassett. 1986) C.annuum มลี ักษณะประจําไดแก ดอกสขี าว อบั ละอองเกสรตวั ผูสีฟา ถงึ สีมวง กลีบเลยี้ ง มีหยกั คอดท่ีจุดตอ กับกานที่ขอ มีดอกเพียงดอกเดยี วตอ ขอ แตบางครัง้ อาจมี 2 ดอกตอขอ C.frutescens มีดอกสีเขียวออ น กลบี เลย้ี งไมหยกั และไมค อดท่ฐี านของผล อับละอองเกสรตวั ผูส ีฟา สว นใหญม ีดอกเพียงดอกเดียวตอขอ แตบางคร้ังอาจมี 2 ดอกตอ ขอ พันธปุ าของพรกิ ชนิดนี้บางพันธุ อาจมดี อก 5 ดอกตอขอ C.chinense ดอกมสี ีขาวหรอื เขยี วออ น อับละอองเกสรตวั ผสู ฟี า กลีบ เลี้ยงหยกั และคอด ดอกมี 1-3 ดอกตอขอ C.pendulum มีดอก สขี าวและจดุ สีเหลืองทก่ี ลีบดอก อบั ละอองเกสรตวั ผมู ีสเี หลอื ง ยาวและโคง ผลหอยลง กา นของใบแบนคลายใบ C.pubescens ดอกใหญ สมี วง ใบมขี นออ นๆ ผลสเี หลอื งถงึ สม และเมล็ดสดี ํา
43
44 รูปที่ 6-11 ลกั ษณะใบ ดอก และผลของพริก A. C.annuum ไดแก พริกหวาน A1 กิ่งและใบ A2 ดอก A3 ดอกตัดตามยาว A4 ผล A5 ผลตัดตามยาว B. C.frutescense ไดแก พรกิ ขห้ี นู B1 กงิ่ ใบ ดอก และผล B2 ใบ B3 ดอก B4 ดอกตดั ตามยาว B5 ผล B6 ผลตดั ตามยาว (ตาม Purseglove. 1968) ตารางท่ี 6-10 ลักษณะทางพฤกษศาสตรข องพริกชนิดตางๆ ชนิด สกี ลีบดอก จุดท่ีกลีบดอก รปู รา งกลีบดอก สีอับละออง หยักที่ สีเมล็ด จํานวน (Species) ขาว ไมม ี เกสร กลบี ดอก นา้ํ ตาลออ น ดอกตอขอ C.annuum เรยี งตวั รอบจุด ฟา-มวง มี ศนู ยกลาง 1 C.frutescens C.chinense เขยี วออ น- ไมมี “---------------- ฟา ไมมี น้ําตาลออ น 1-5 C.galapogense ขาว ไมม ี 1-5 C.chacoense ขาว-เขียว ไมม ี “ ไมม ี นํ้าตาลออน 1 C.schottianum ออ น “---------------- ฟา 1 C.baccatum ขาว 5-7 C.praetermissum “ 1-2 C.eximium “---------------- เหลือง ไมม ี นํา้ ตาลออน 1 C.pubescens 2-3 ขาว ไมมี “ มี น้ําตาลออ น 1 “---------------- เหลอื ง “ ขาว เหลือง “---------------- เหลอื ง ไมมี “ ขาว เขยี ว-เหลอื ง “---------------- เหลอื ง มี นํา้ ตาลออน “ มี นํา้ ตาลออน “---------------- เหลอื ง “ มี นา้ํ ตาลออ น “---------------- เหลือง “ “---------------- มว ง มี ดาํ
45 C.cardenasii “ มี น้ําตาลออน 1-2 “---------------- ฟา ออน “ ลกั ษณะตน พริกเปน พชื ไมพมุ ลาํ ตนตรง แตกกงิ่ กา นสาขาแบบรศั มี และก่ิงแขนงแตกสาขาแบบ ทวคี ณู จาก 2 ก่งิ เปน 4 กิง่ และ 8 ก่ิง เปนตน บอยครั้งมกี ง่ิ แขนงแตกจากระดับใตด นิ เจริญคลาย เปน ตนใหมอ ยรู วมกันเปน กระจกุ ตนมีขนาดพมุ ลกั ษณะตางๆ กนั เชน พุมเตี้ย และพมุ สูง ลกั ษณะใบ ใบเปนใบเด่ียวมีขนาดตา งๆ กัน กานใบมคี วามยาวประมาณ 0.5-2.5 ซม. ใบ กวางมรี ปู ไข ขอบใบเรยี บปลายใบแหลม ใบบางและสว นใหญไ มม ีขน ลกั ษณะราก มีรากแกวแข็งแรง แตม ักจะชงักการเจริญเนอ่ื งจากการยายกลา มรี ากแขนงแตก มากมาย และมคี วามยาวถงึ 1-1.5 เมตร รากฝอย พบอยา งมากบริเวณรอบๆ ตน ลักษณะดอก ดอกเปนดอกเดย่ี ว เกดิ ทีข่ อ อาจมีหลายดอกเกดิ จากขอ ติดๆกันจนดูคลายเปนดอก ชอ กานดอกมคี วามยาว 1.5 ซม. กลบี เลย้ี งสนั้ ประมาณ 2 มม. มี 5 กลีบ กลบี ดอกมี 5 กลีบ เสนผาศูนยก ลาง 8-15 ซม. แตกลบี ดอกและกลีบเล้ยี งอาจมี 4-7 กลีบกไ็ ด กลบี ดอกมสี ขี าวหรือ เขยี วออน หรอื มวง เกสรตวั ผมู ี 5-6 อนั อยทู ฐี่ านของกลีบดอก อับละอองเกสรมีสีฟาหรอื สีนาํ้ เงินออ น แยกตัวเปนกระเปาะยาวๆ รงั ไขม ี 2 สวน หรือมากกวา นี้ กา นชูเกสรตวั เมียสขี าวหรอื มว ง ลกั ษณะของผล ผลพริกไมแตกเปน ชนดิ berry มีเมลด็ มากมีท้งั ผลหอ ย หรอื ผลตงั้ ผลเกดิ ท่ีขอ ขนาด รูปราง สี ความเผ็ด มตี างๆ กัน ความยาว 1-30 ซม. ผลออนมีสีเขียวหรอื มวง ผลสกุ มีสแี ดง สม เหลือง นาํ้ ตาล ครมี หรือมวง ความเผ็ดมีระดบั ตางๆ กนั ฐานของผลเปนฐานรปู ถวย หรอื รปู จาน รองถว ยซ่ึงใชใ นการแยกประเภทของพรกิ เมลด็ มสี ีเหลืองซีด ความยาว 3-5 มม.
46 การผสมพันธุพ ริก ลักษณะทางพฤกษศาสตรของดอกพรกิ ซึ่งมเี กสรตวั ผู และตวั เมยี อยใู นดอกเดยี วกนั สงเสรมิ ใหพ ริกมีการผสมตวั เอง สวนใหญใ นสภาพธรรมชาติ พรกิ มกี ารผสมขา มมาก จากการ ทดลองในประเทศอิตาลี พบวา การผสมขา มมีตั้งแต 1 ถงึ 46 เปอรเซนต (Belletti and Quagliotti.1989) การผสมขามเกิดจากแมลงเปน สวนใหญ และมีสว นนอยทเี่ กดิ จากลม ดงั นั้นพรกิ จงึ มีความแปรปรวนในลักษณะของตน ดอก ผล รปู รางผล สแี ละความเผด็ ของผลพรกิ การ ผสมขามนี้ เกดิ ระหวา งพริกชนิดเดยี วกันแตตางพนั ธ(ุ intra-specific cross pollination) และเกิดระหวางพรกิ ตาง ชนิดกนั ได (inter-specific cross pollination) การผสมพันธพุ รกิ เกดิ ไดทกุ เวลาในชว งเวลากลางวัน ท้งั น้ดี อกพริกทเ่ี จรญิ เตม็ ที่จะบานเมื่อไดร ับแสงอาทิตย สว นใหญดอกบานภายใน 3 ชวั่ โมงหลังจาก พระอาทิตยข ้ึน (Erwin. 1932) การตดิ เมล็ดตดิ ดีในชว งเวลาเชาหรือเย็น เมื่ออุณหภมู ขิ องอากาศไมสูง เกนิ ไป การจดั จาํ แนกพรกิ โดยลักษณะทางพชื สวน Erwin. 1932 ไดแยกพริกโดยอาศัยลกั ษณะของฐานของดอกและกลบี เลี้ยง ไดม งุ ใน การจาํ แนกชนิดพริกเฉพาะใน C.annuum และมี C.frutescens คอื กลุม Tabasco อยดู วย ท้งั นเ้ี นื่อง จาก พรกิ ท่ีปลูกในประเทศสหรัฐอเมริกามี C.annuum แทบทั้งสน้ิ การแยกไดพ ริก 2 กลมุ ไดแก กลุม ท่ีมฐี านรองดอกเปนรูปถวย ในกลุมน้มี ี Tabasco และ Cayenne group และอีกกลุม เปน กลมุ ท่ีมีฐาน ของดอกเปน รปู จานรองถว ย ประกอบดวย Cherry Celestial Perfection Tomato และ Bell group ตอมาพริกมคี วามแปรปรวนภายในชนิดมากขึ้น และมีพริกชนิดอืน่ ถูกนาํ ไปปลูกในประเทศสหรฐั อเมรกิ า Smith, et al. 1987 จงึ ไดเ สนอการจดั จําแนกประเภทของพริกใหมโดยใชลักษณะของผลพรกิ ในการจาํ แนกดังนี้ (รูปที่ 6-12)
47 1. พรกิ ผลโต ผวิ เรียบ เนื้อหนา ไดแ ก 1.1 Bell group ผลโตขนาดความยาว 7.5-12.5 ซม. และเสน ผาศูนยกลาง 4-6 ซม. รูปรางเปนสเี่ หล่ยี มปลายตัด หรอื รูปรางเรยี วยาว รสไมเผด็ ผลออนมสี เี ขียว เมือ่ เจริญเตม็ ท่มี ีสแี ดง แตบ างพนั ธอุ าจมีผลออ นสเี หลอื ง และผลแกม ีสีเหลืองสมกม็ ี ตวั อยาง เชน พันธุ California Wonder และ Yolo Wonder Keystone Giant เปน ตน ใชส าํ หรบั ทําสลดั และพิซซา 1.2 Pimento group ผลโตเปนรูปหัวใจ ปลายแหลม ความยาว 3.75-12.5 ซม. เสนผา ศูนยกลาง 4-6 ซม. ผวิ เรียบ เนื้อหนา รสไมเ ผด็ ตวั อยา งเชน Pimiento Pimiento Perfection และ Pimiento L. ใชส ําหรบั ทาํ สลัด และซุป 2. พริกผลโต และเสนผาศูนยกลางใหญ ผวิ เรียบ เนอ้ื บาง ไดแก 2.1 Ancho group ความยาวของผล 10-15 ซม. เสนผาศนู ยก ลาง 4-6 ซม. ปลาย แหลม เน้อื บาง กา นของผลจมเขาไปในผล ทาํ ใหด ูเปนรูปถวย รสไมเ ผ็ด มบี างพันธุ มีรสเผด็ เลก็ นอย ไดแ ก Mexican Chili และ Ancho Poblano ใชส าํ หรับทําพริกยัด ไส และพรกิ แหง 3. พริกผลยาว เรยี ว ไดแ ก 3.1 Anaheim Chili group ความยาวของผล 12.5-20 ซม. เสน ผาศูนยก ลาง 3.2-5 ซม. ผลยาวเรียว ปลายแหลม เนื้อหนาปานกลาง รสไมเ ผ็ดจนถงึ เผ็ดเล็กนอ ย เชน Sandia New Mexico #9 Anaheim Chili Mild California Paprika และ พรกิ หยวก (ผูเขยี น) ใชสาํ หรับทําพรกิ แหง พริกปน หรอื ทาํ พริกสด กระปอง 3.2 Cayenne group ผลยาวผอม ความยาว 12.5-25 ซม. เสนผาศูนยกลาง 1.9-2.5 ซม. ผลออนมสี ีเขยี ว ผลมีรอยยน รูปรางผลไมส มดุลย เน้ือบาง มีรสเผด็ เชน Cayenne Long Thin และ Cayenne Large Thick พรกิ ผลใหญ เชน พรกิ สนั ปา ตอง พริกมัน พริกบางชา ง พรกิ สงิ คโปร พริกชี้ฟา ใชบริโภคสดหรอื ตากแหง ควร จดั ใหอยูในกลมุ นี้ (ผูเ ขยี น)
48 3.3 Cuban group ความยาวของผล 10-15 ซม. เสน ผา ศนู ยก ลาง 2.5-3.75 ซม. ผลยาว เนอ้ื บาง รูปรางของผลไมส มดลุ ย เชน Cuban Cubanelle และ Pepperoncini ใชสาํ หรับดอง 4. พริกผลยาว ถงึ 7.5 ซม. ผลออน มสี เี ขยี ว 4.1 Jalapeno group ความยาวของผล 5-7.5 ซม. เสนผา ศูนยก ลาง 3.75-5 ซม. ผล กลมยาว ผนงั หนา ผลออ นสเี ขียวเขม ผวิ เรยี บ ผลแกอาจมผี ิวลาย เนื่องจาก คอรค (corky network) รสเผ็ดจดั เชน พันธุ Jalapeno และ Mild Jalapeno ใช สําหรบั บรโิ ภคสด บรรจุกระปอง พรกิ แหง และทําซอ ส 4.2 Serrano group ความยาวของผล 5-6.25 ซม. เสนผา ศูนยก ลาง 1.25 ซม. ผลรูปราง ผอมยาว สวนกลางของผลคอดกวาสวนอ่ืน และเรยี วแหลมถงึ ปลาย รสเผด็ จดั เชน พนั ธุ Serrano ใชส าํ หรบั บรโิ ภคสดเทานั้น 4.3 Small hot group ความยาวของผลสน้ั กวา 7.5 ซม. รสเผ็ดจัด เชนพนั ธุ Red Chili Chile Arbol Japanese Chili Santaka และ Hontaka กลมุ พรกิ ขี้หนผู ลใหญ ไดแ ก หว ยสีทน หวั เรือ จินดา ยอดสน บา นใน ไสป ลาไหล สรอย นิ้วมือ นาง นอยผลยาว ชอ มข. เดือยไก พรกิ ขห้ี นูผลเลก็ ไดแก ขห้ี นูสวน ข้ีหนูหอม กระเหรยี่ งและขน้ี กเปนตน ควรจดั ไวใ นพรกิ กลุมนี้ (ผเู ขยี น) ใชสําหรบั บรโิ ภคสด 5. พรกิ ผลเล็ก ความยาว ถึง 5 ซม. รูปรา งกลมรี เนือ้ หนา 5.1 Cherry group แยกไดเ ปน 2 กลมุ ไดแก 5.1.1 รสไมเผด็ เชนพนั ธุ Sweet Cherry 5.1.2 รสเผด็ เชน พนั ธุ Large Red Cherry Small Red Cherry พริกกลมุ นี้ท้ังชนิดเผ็ดและไมเ ผ็ด ใชสําหรับ ดองและทาํ สลดั 6. พริกผลออ นสเี หลอื ง 6.1 Small wax group ความยาวของผล 7.5 ซม. หรอื ส้นั กวาน้ี แยกไดเปน 2 กลุมไดแ ก 6.1.1 รสไมเ ผด็ เชนพันธุ Petite Yellow Sweet และ Tam Rio Grande Gold 6.1.2 รสเผด็ เชนพนั ธุ Floral Gem Cascabella และ Caloro
49 6.2 Long wax group ความยาวของผล 8.8 ซม. หรอื มากกวา ปลายแหลมหรอื ปลายทู 6.2.1 รสไมเ ผด็ เชน พนั ธุ Sweet Banana Hungarian Sweet Wax และ Long yellow Sweet 6.2.2 รสเผ็ด เชน พนั ธุ Hungarian Yellow Wax พรกิ ทั้ง 2 กลุม นใ้ี ชบ ริโภคสด ทําพรกิ ดอง และทําซอ ส 7. พริกผลเรียว ผลออ นสเี หลอื ง เมื่อแกจดั สีแดง ความยาวของผล 2.5-3.75 ซม. รสเผด็ มาก ชอ่ื ชนดิ C.frutescens 7.1 Tabasco group เชน พนั ธุ Greenleaf Tabasco และ Tabasco ใชสําหรบั ทาํ พรกิ ดอง และทําซอ ส การจาํ แนกพริกในประเทศไทยโดยใชก ารแยกชนดิ ทางพฤกษศาสตร แมวาพรกิ ไมใ ชพ ืชท่มี ีรากฐานแตดง้ั เดิมในประเทศไทย แตพรกิ เปน ท่ียอมรบั และ ปลูกโดยทวั่ ไปมคี วามหลากหลายของพันธพุ ริกทป่ี ลกู กันทวั่ ไป มีกลมุ นกั วิทยาศาสตรห ลายกลุม ได พยายามศึกษาลกั ษณะทางพฤกษศาสตร เพ่อื แยกชนดิ ของพริก ไดแ ก อักษร 2523 พยนตแ ละคณะ 2526 และ Worayos. 1986 สรุปการแยกพริกทพี่ บในประเทศไทยไดต ามตารางที่ 6-11 จะเหน็ ไดว า การแยกชนิดของพรกิ ในแตละรายงานไมตรงกนั อกั ษร 2523 จัดจําแนกพริกอยใู นชนดิ C.frutescens พยนตและคณะ 2526 ไดจ ัดพริกในประเทศไทยวา มเี พยี ง 2 ชนิดไดแ ก C.annuum และ C.frutescens สวน Worayos. 1986 ไดร ายงานวา มี 3 ชนดิ ใหญๆ ไดแ ก C.annuum, C.frutescens และ C.chinense และมีบางพนั ธทุ ่ีเขาใจวา อาจเปน ชนดิ C.pubescens และ C.baccatum พรกิ สวนใหญท่ีพบจดั อยใู น C.annuum มากกวา ชนิดอน่ื ๆ ท้ังหมด การแยกชนิด ของแตล ะรายงานไมต รงกนั เนอื่ งจากใชช ื่อทองถิ่นของพริก เชนพรกิ ชฟี้ าถกู จดั อยูใน C.annuum C.chinense และ C.frutescens ผูเขยี นมคี วามเห็นวา ควรมกี ารจดั จําแนกพริกชนิดตางๆ ใหม จาก การจําแนกน้ีผูเ ขียนเคยใหนกั ศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรีและโททดลองทํา พบวา พริกที่ปลกู มี 3 ชนดิ ได แก C.annuum C.chinense และ C.frutescens ในกลมุ พริกพวกน้ี C.annuum พบมากที่สดุ สวน C.chinense และ C.frutescens มบี างเปน จาํ นวนนอย
50
51 รปู ท่ี 6-12 รูปรา งของผลพรกิ กลมุ ตา งๆ (จาก Smith, et al. 1987) A. Bell, B. Pimiento, C. Roumanian Sweet, D. Anaheim Chili, E. Mexican Chili หรอื Ancho, F. Caloro, G. Jalapeno, H. Long Thin Cayenne, I. Sweet Cherry, J. Serrano และ K. Tabasco ตารางท่ี 6-11 การแยกชนดิ พนั ธุพริกในประเทศไทย ชนิด ช่อื พนั ธุ เอกสารอางอิง Capsicum annuum ชฟี้ า ช้ฟี าใหญ จินดา แดง Worayos. 1986 ฟก ทอง แฟนซี กะเหรย่ี ง ข้นี ก ขห้ี นู ขห้ี นูช้ฟี า ขีห้ นจู นิ ดา ข้ีหนูขาว กลาง กน ชี้ หลวง เมือง หวาน หวขี าว ยกั ษ หยวก แยม
52 มนั สิงคโปร ชี้ฟา หยวก พยนตและคณะ 2526 ไสป ลาไหล เดอื ยไก จนิ ดาแท ขี้หนดู ง น้วิ มอื นาง ขาว Capsicum chinense ขาวชี้ฟา เขียวชฟ้ี า ข้หี นู ขี้หนแู ดง Worayos. 1986 ข้หี นหู อม ลาว เล็บมือนาง สวน สวนเขียว หวเี มือง Capsicum frutescens ช้ีฟา เกษตร ขาว Worayos. 1986 พ้นื เมือง นอย ชี้ฟา ทนฝน พยนตและคณะ 2526 นอ ยผลยาว กนช้ี กนปน ข้ีหนู ขีน้ ก ชี้ฟา ซอม อกั ษร 2523 ตมุ แต หนมุ มวง มะตอ ม มวง มะยม หยวก ยักษ หลวง แลง Capsicum pubescens ขาวดํา (ไมแ นใ จ) Worayos. 1986 Capsicum baccatum ข้หี นงู า (ไมแนใ จ) Worayos. 1986 ลักษณะทางพนั ธุกรรมและความสามารถในการผสมขามชนิด พริกมโี ครโมโซม n=12 Ohta (1962) ไดใหลักษณะของโครโมโซมพรกิ หลายชนดิ ดงั รปู ที่ 6-13 พริกทง้ั 6 ชนดิ นมี้ โี ครโมโซม 9 โครโมโซมทเี่ หมือนกัน ความแตกตา งของพรกิ ทัง้ 6 ชนดิ ดไู ดจากโครโมโซมท่ีเหลือ ถา โครโมโซมทง้ั 3 โครโมโซมมีความแตกตางกันนอ ย การผสมขามชนดิ เกิดขึน้ ไดง าย เชน C.frutescens ผสมกับ C.pendulum ถา โครโมโซมท้งั 3 โครโมโซมมคี วาม แตกตางกันมาก การผสมขามชนดิ เกิดข้นึ ไดย าก จากการศึกษาของ Pickersgill. 1967, 1971 และ 1980 ได รายงานวา การผสมพนั ธขุ า มชนิดของพรกิ เกดิ ไดเสมอ และไมม ีพรกิ ชนิดใดท่ไี มส ามารถ ผสมกนั ได แมกระท่งั พรกิ กลุมดอกสขี าว และกลมุ ดอก สมี วง ซึง่ เปนกลุมทแี่ ยกกนั อยา งเหน็ ชัดเจน
53 ก็ยงั สามารถผสมขา มชนิดได ความสามารถในการผสมขามชนิด แสดงไวในรูปที่ 6-14 การผสมขา ม ชนิดเกดิ ไดมากยิ่งขึ้นถา ใชเ ทคโนโลยีเขาชว ย เชน ใชพริกชนดิ ใดชนดิ หนึง่ เปน สะพานสาํ หรับการผสม กับพริกชนดิ อน่ื ๆ ตัวอยางที่เหน็ ไดแกการใช C.chinense เปนสะพานสาํ หรับ C.annuum และ C.frutescens ซึ่งท้งั 2 ชนิดหลงั น้สี ามารถผสมขามชนดิ และเมล็ดลูกผสมทีไ่ ดมางอกไดบ างไมได บาง พริกทั้ง 3 ชนดิ สามารถ ถา ยทอดยนี ซึ่งกนั และกนั และนาํ ไปผสมกบั พริกชนดิ อ่นื ได นอกจากนี้ การใชวธิ ีผสมพนั ธุ 2 ครงั้ (double fertilization) ก็ใชไดผ ลเชนการผสมระหวาง C.annuum และ C.baccatum var. pendulum อกี วิธีการหนึง่ ไดแ ก การใชกา ซไนตรสั ออ กไซด (nitrous oxide, N2O) รมดอกตัวเมียของ C.annuum ที่ความดัน 6 บรรยากาศ เปนเวลา 4 ชัว่ โมง กอนผสมพนั ธุกบั เกสร ของ C.baccatum การใชว ิธเี ลย้ี งตวั ออนในสภาพปลอดเชอื้ ก็เปน อกี วธิ กี ารหนงึ่ ท่ีชวยใหก ารผสมขาม ชนดิ เกิดขน้ึ ไดเชน การผสมระหวา ง C.chinense และ C.pubescens การผสมพนั ธพุ ริกขา มชนิด และปญ หาทีเ่ กิดเนอื่ งจากพนั ธุกรรม ไดมีผูศึกษาและ รวบรวมไวหลายทาน อาทิ เชน Pickersgill. 1991 และ 1992 ประโยชนข องการผสมขามชนดิ ไดถ ูก นาํ ไปใชในการปรับปรงุ พันธุพ ริกตา นทานโรคไวรัส (Stevamovic, et al. 1992) ลูกผสมทไี่ ดจ ากการ ผสมขามชนดิ นส้ี ามารถแสดงที่มาของยีน โดยใชค วามแตกตา งของไอโซไซม (isozyme) ของลูกผสม ไดเชน Andrzejewski, et al. 1989/1990 ไดศึกษาไอโซไซมของลูกผสมขามชนิดของพรกิ และพอแม พันธุ พบวา การแยกไอโซไซมส มารถใชแสดงท่มี าของยีนของลกู ผสมวามาจากพอ หรอื จากแมพันธใุ ด แตไอโอไซมก ็ไมสามารถใชไดเสมอไปในพอและแมท กุ พันธุ
54 รปู ท่ี 6-13 โครโมโซมของพริก 6 ชนดิ (ตามรายงานของ Ohta. 1962)
55 ลกู ผสม F1 งอกปกติ ลกู ผสม F1 เจรญิ ไดโดยการเลย้ี งในสภาพปลอดเช้อื ผลและเมล็ดเจริญแตเมล็ดไมมีชวี ิต ลกู ผสม F1 บางสวนมีชีวิต ลูกผสม F1 สวนใหญมชี ีวิต ลูกศรบอกทิศทางของพันธุแ ม รปู ที่ 6-14 ความสามารถในการผสมขามชนิดของพรกิ (ตามรายงานของ Pickersgill. 1980, Lippert, et al. 1966)
55 CRUCI6.3 6.3 ผกั ตระกลู กระหลํ่า (Family Cruciferae) พชื ผักตระกูลนีเ้ ปนตระกลู ใหญ มีประมาณ 300 สกุล (genera) แบง ยอ ยได ประมาณ 3,000 ชนดิ (species) มีถนิ่ กาํ เนดิ ในประเทศอบอนุ เชน แถบเมดเิ ตอรเ รเนียน มี ประมาณ 40 ชนดิ และมีบางชนดิ ที่มีกาํ เนิดในประเทศจนี เชน ผกั กาดขาวปลี ผักกาดกวางตงุ ผกั ฮอ งเต และผกั หางหงษ ผักทีม่ ถี ิ่นกําเนิดในยุโรปถกู นํามาปลูกในเขตรอนไดดี และเปนทน่ี ิยม บรโิ ภค เชน ผักกาดหวั ผกั กาดเขียวปลี ผกั กาดขาวปลี กระหล่ําปลี กระหลา่ํ ดอก และบลอค เคอร่ี เปนตน พืชในตระกลู นที้ ี่ใหน้าํ มนั ไดแก rape รากแกวของพชื ตระกูลน้มี ีหลาย ชนิดทขี่ ยายขนาดเปนรากทอ่ี วบนํา้ เชน ผกั กาดหัว และเทอรนบิ เปน ตน (ตารางที่ 6-12) และ Williams. (1985) ได รวบรวมผักชนดิ ตางๆ ในตระกลู น้ี แหลง กาํ เนดิ และการกระจาย ของพืชตระกลู นแ้ี สดงไวในรูปท่ี 6-15 ตารางท่ี 6-12 ชื่อวิทยาศาสตร ชอ่ื ท่วั ไป แหลง กําเนิด และสว นทีบ่ ริโภคของพืชตระกูลกระหล่ํา ชื่อวทิ ยาศาสตร ชื่อภาษาอังกฤษ ช่อื ภาษาไทย แหลง กําเนดิ สวนทีบ่ ริโภค (n) ผักกาดกวางตุง เอเซียตะวันออก ใบและกา นใบ Brassica -- ใบและกานใบ campestris (10) -- -- - subs. chinensis Pak choi -- - เมล็ดสกดั น้ํามนั L. -- - subs. japonica - ผักกาดขาวปลี ประเทศจนี ใบและกา นใบ subs. narinosa - -- - subs. - nipposinica Turnip rape subs. oleifera Choy sum subs. parachinensis subs. pekinensis(Lour) Olsson Chinese cabbage subs. perviridis Tender green
Komatsuna 56 - - - - Mustard - spinach - ช่ือวทิ ยาศาสตร ชอื่ ภาษาอังกฤษ ชื่อภาษาไทย แหลง กาํ เนดิ สวนทบ่ี รโิ ภค (n) Turnip - ประเทศจีน ใบและกานใบ subs. Rapa และเลีย้ งสัตว -- subs. Sarson -- - - ประเทศเอธิโอเปย - trilocularis - ใบและกานใบ subs. utilis Ethiopian เมลด็ สกัดนาํ้ มนั mustard Brassica ใบและกานใบ carinata (17) เมล็ดสกัดนาํ้ มัน Brassica juncea Indian - ยุโรปตะวันออก L. mustard จนถงึ ประเทศจนี เลี้ยงสตั ว Czern + Cross Chinese ใบและกานใบ (18) mustard - ประเทศองั กฤษ เลยี้ งสตั ว - ยุโรป เมล็ดสกดั นํา้ มัน Bฺ rassica napus Rapekale เครือ่ งเทศ (19) Swede turnip - ยุโรป - เอเซียไมเนอร ใบและกานใบ var. biensis เลีย้ งสัตว var. ใบและกา นใบ napobrassica เลยี้ งสัตว var. oleifera Oilseed rape - เมดเิ ตอรเ รเนยี น Bฺ rassica nigra Black คะนา ประเทศจนี (8) mustard Brassica Kale, collard oleracea(9) var. acephala var. alboglabra Chinese kale Bailey
57 var. botrytis Cauliflower กระหลํา่ ดอก ประเทศอติ าลี ใบ กา นใบและ กระหลาํ่ ตอนใต ชอ ดอกฝอ var. capitata Cabbage เมดิเตอรเ รเนียน ใบและกานใบ เลยี้ งสัตว var. gemmifera ใบและกา นใบ Zenk. Brassels กระหลา่ํ ดาว เมดเิ ตอรเ รเนียน กระหลํ่าปม เมดเิ ตอรเ รเนียน ลาํ ตน ทข่ี ยายขนาด sprout ใชเลย้ี งสตั ว var. gongylodes Kohl rabi กา นและชอ ดอก var. italica Broccoli บลอ คเคอร่ี ประเทศอติ าลี รากทข่ี ยายขนาด Turnip - - Plenck Brassica rapa (10) ชือ่ วิทยาศาสตร ชอ่ื ภาษาอังกฤษ ช่อื ภาษาไทย แหลงกาํ เนดิ สวนที่บรโิ ภค (n) Chinese ผักกาดหัว เมดิเตอรเ รเนยี น รากทข่ี ยายขนาด Raphanus radish ผกั กาดหวั ประเทศจีน sativus L.(9) tongipinnatus ประเทศจีน รากที่ขยายขนาด var. radicola Radish ใชเล้ียงสตั ว เมล็ด ประเทศจนี สกัดน้ํามนั Raphanus Rat tail ผกั ข้ีหดู เมดเิ ตอรเ รเนยี น ปุยพชื สด caudatus - ฝก และเมล็ดทอี่ อน Sinapis alba White mustard เมลด็ สกัดนํา้ มัน
58
59 รูปท่ี 6-15 แหลงกาํ เนิดและการกระจายของพืชตระกลู กระหล่ํา ลักษณะทางพฤกษศาสตร และชีววทิ ยาของพชื ตระกูลกระหลํ่า (Brassica L.) ในกลุม นีม้ พี ืชประมาณ 40 ชนดิ มีทง้ั พชื ฤดเู ดียว สองฤดู และมากกวา สองฤดู มี ถิ่นกําเนิดบรเิ วณทะเลเมดิเตอรเ รเนยี น ยกเวนบางชนิดเชน ผักกาดขาวปลี ผักกาดกวางตงุ ผกั ฮอ งเต ผกั หางหงษท ่ีมถี ิน่ กาํ เนิดในประเทศจีน สวนผักกาดเขียวปลอี าจมถี นิ่ กาํ เนิดในทวปี อัฟริกา แลว ถูกนําไปยังทวีปเอเซีย ในกลุมนีห้ ลายชนิดมรี ากแกว ทอี่ วบน้าํ ใชเปน อาหารเชน ผักกาดหัว เทอรนิบ และแรดิช ลักษณะทางสัณฐานวิทยา โดย Purseglove (1968) ระบวุ า ลําตน ต้ังตรง ไมมีขน หรือมขี น สว นลางของใบมกั มหี ยัก (pinnatifid) สวนบนของใบมี ปลายใหญ (lyrate) ชอดอกเปนชอ แบบ raceme กลีบเลย้ี งตรง กลบี ดอกยาว มักเปน สี เหลือง แตมีสีขาวและ สีมว งบา ง เกสรตวั ผมู ี 6 อัน เกสรตวั เมยี มปี ลายยอดขยายใหญ ผลเปน ฝก (silique) ปลายฝก มกั ไมติดเมลด็ และไมแตกเมอื่ แกเ มล็ดมีแถวเดียว เมลด็ อยใู นฝกมีกระเปาะรูป กลมหุม ใบเล้ยี งเปน รูป หัวใจ การแยกสกลุ (genus) ของพืชตระกลู นอี้ าศัยลกั ษณะของผลเปน หลักสําคัญ ได แก ผลมีความกวา ง ความยาวพอๆ กนั หรือมคี วามยาวมากกวา ความกวาง (Pureseglove. 1968) A. ผลเปน แบบ silicula (ความกวางพอๆ กับความยาว) B. ไมล ม ลกุ เปนพุมมีอายหุ ลายป ใบรปู ไขยาวถึง 60 ซม. ไมมีหยกั Armoracia BB. ไมล มลกุ ทรงชะลดู อายุปเดยี ว ฐานใบมหี ยักเล็กๆ Lepidium AA. ผลเปนแบบ siliqua (ความยาวมีมากกวา ความกวา ง) B. ผลไมแตกเมอื่ แก Raphanus
60 BB. ผลแตกเมื่อแก C. ไมล ม ลุกเจริญในนาํ้ Nasturtium CC. ไมลมลกุ ไมเ จรญิ ในนํา้ Brassica ในสกลุ Brassica แยกชนดิ โดยอาศัยลกั ษณะชอดอกและผลไดด ังนี้ (Purseglove. 1968) A. ตน สีฟา-เขียวหรือเหลืองเขียว ใบหนาไมม ีขน ดอกใหญ 1.2-1.5 ซม. oleracea B. ชอ ดอกยาว 10-25 ซม. ดอกบานเมื่อพรอ มผสมพนั ธุ ใบออ น ไมมขี น B. BB. ชอดอกสนั้ 5 ซม. มีชอ ดอก ใบออนมีขนเล็กนอ ย C. รากทรงชลดู ไมลงหวั B. napus CC. รากลงหวั B. napobrassica AA. ตนสีเขียว ใบบาง มขี นเล็กนอ ย ดอกส้ันกวา 1.2 ซม. B. ปลายของผล siliqua (หรือ silique) เปนรปู กรวย หรอื เรียว ไมยาว เทา ความยาวของผล C. ผล siliqua เมอ่ื แก ขยายตัวออก B. rapa D. มีรากขยายใหญ DD. รากไมขยายใหญ E. ใบหยัก ใบทไี่ มโคง จรดกนั B. juncea EE. ใบหยกั ใบทโ่ี คง จรดกนั B. campestris EEE. ใบไมมีหยัก B. chinensis CC. ผล silliqua เม่อื แกไ มแ ตก B. nigra BB. ปลายของผล siliqua แบน ยาวพอๆ กบั ความยาวของผล B. alba
61 พืชตระกลู กระหลา่ํ ที่บริโภคแยกได 6 ชนดิ ซึ่งมคี วามสมั พนั ธกัน 3 ชนดิ เปน ชนดิ ที่มีโครโมโซม 2 ชดุ (diploid) ไดแ ก B. nigra bb (n = 8) B. oleracea cc (n = 9) และ B. campestris aa (n = 10) และอีก 3 ชนดิ เปน ลูกผสม (amphidiploid) ของชนดิ ทีม่ โี ครโมโซม 2 ชุด ไดแก B. carinata bbcc (n= 17) B. juncea aabb (n = 18) และ B. napus aacc (n = 19) (รปู ที่ 6-16) (Williams. 1985) ฺ B. nigra (Bbb) bbcc) B. juncea b =8 B. carinata (ABaabb) ab = 18 (BC bc = 17 B. campestris (A aa) B. oleracea (C cc) a = 10 c =9 R. sativus
62 (R rr) r =9 B. napus (AC aacc) ac = 19 รูปที่ 6-16 แสดงจาํ นวนโครโมโซมและจโี นม (genome) ของพืชตระกูลกระหลํา่ 6 ชนิด พืชในตระกลู Brassica นี้ มีหลากหลายพันธุ มีรูปรางและการใชท แ่ี ตกตาง กัน ใชไ ดท งั้ ในรูปนํา้ มัน ปรุงรสอาหารเชน มัสตารด นํา้ มันพืช (rapeseed oil) จัดอยใู น อันดับ 5 ของโลกท่ใี ชเปน นา้ํ มนั สาํ หรับบรโิ ภค และน้ํามันสําหรับอตุ สาหกรรม ในประเทศท่ี อากาศหนาวเกินกวา จะปลูกขาวโพดหรอื ถวั่ เหลืองกใ็ ชพืชในตระกลู นี้เปนอาหารสัตว เชน แกะ และวัว ความสมั พันธข องตระกูลนี้ท้ัง 6 ชนิด มีผทู าํ การศึกษาคน ควา และผสมขามชนดิ เพอื่ ถา ยยนี จากกลุมหนึ่งไปยงั อกี กลมุ หน่งึ (Morinaga. 1934, U. 1935, Yarnell. 1956, McNaughton and Ross. 1978) กลมุ ทีม่ ีโครโมโซม 2 ชุด (diploid) ของ Brassica มักผสมตวั เองไมต ดิ (self incompatibility) เปน สวนใหญ เนือ่ งจากยีนที่ตําแหนง s-locus ซ่ึงมยี ีนหลายตัว (multiple allelic series of gene) แสดงออกในลกั ษณะของยนี เปนคู (sporophytic phenotypic expression) ในบางคร้ังจะพบการผสมตวั เองได (self compatibility) ในพชื กลมุ นเ้ี ชน กระหลํ่าดอก กลมุ ทีเ่ ปนลูกผสม (amphidiploid) ระหวางกลมุ โครโมโซม 2 ชุด มักผสม ตวั เองไดเ ปน สวนใหญ ถงึ แมว า มยี ีนท่ีผสมตวั เองไมไ ด (S allelles) อยูดวย เชน ผกั กาดเขียว ปลี Brassica oleracea L.
63 พืชตระกลู กระหลํา่ ชนิดนม้ี ีถ่นิ กําเนดิ แถบเมดเิ ตอรเ รเนียน ตอนใตข องประเทศ องั กฤษ และตอนใตเ ยือ้ งไปทางทิศตะวันตกของทวปี ยโุ รป (Purseglove. 1968) พืชพวกนถี้ กู นาํ มาปลูกอยา งนอ ย 4500 ปม าแลว มีความหลากหลายและแตกตางกันในลักษณะตน และดอกมีชอ ดอกยาว กลีบเลี้ยงตรง กลบี ดอกยาว 1.2 - 1.5 ซม. หรอื ประมาณสองเทา ของกลบี เลี้ยง มสี เี หลอื ง เกสรตัวผตู รง มี 6 อัน ผลเปนฝกยาวประมาณ 5 - 10 ซม. ทรงกลมปลายไมต ิดเมลด็ และเรยี วเล็ก เมล็ดมปี ระมาณฝกละ 8 - 16 เมล็ด และเมล็ดอยูในกระเปาะแยกจากกัน เมลด็ มีสดี ําและสนี ํ้าตาล เทา มเี สนผาศูนยก ลางประมาณ 2 - 4 มม. กลุม Brassica oleracea L. อาจแยกเปนพนั ธุ (variety) ตา งๆ โดย อาศยั ลักษณะของลาํ ตน ชอ ดอกและดอก (Purseglove. 1968) A. ลําตนยืดตัวในปแ รก B. ลาํ ตน แตกแขนงและมีใบ var. acephala BB. ลําตน ไมแ ตกแขนง ตาขา งหยุดชะงกั และมใี บหอ เปน หัว var. gemmifera (swollen) var. AA. ลาํ ตน ไมย ืดตัวในปแ รก B. ลาํ ตนสรา งหัว (tuberous) gongylodes BB. ลําตน ไมส รา งหัว var. C. ตายอดหยุดชะงกั มใี บหอ หัว ชอ ดอกในปแ รกไมม ี capitata CC. ชอดอกพฒั นาในปแรกรวมกนั แนน สรา งกาน ชอ ดอกขนาดใหญรวมกันและไมมีสี
64 สว นดอกไมพ ฒั นาและมใี บ ซึ่งเปลย่ี นเปนกลบี (bract) อยูต ิดชอ ดอก var. botrytis EE. ชอ ดอกออนไมรวมกนั แนน มสี เี ขยี ว var. italica ดอกพฒั นา ลกั ษณะรูปราง และสณั ฐานวทิ ยาของพชื ในชนิดน้ี มีความแตกตา งกนั มาก (รูปที่ 6-17) (Williams. 1985) และมลี กั ษณะทางพนั ธกุ รรมในนิวเคลียส (genome) ที่แตก ตา งกนั (ตารางที่ 6-13) (Williams. 1985) จโี นม (genome) หมายถึง นิวคลอี ิคเอซดิ (nuclieic acid) ทอ่ี ยูในนวิ เคลยี ส นวิ คลอี ิคเอซดิ สว นใหญเ ปนโครโมโซม
65 รปู ที่ 6-17 ลักษณะทางสัณฐานวิทยาของ B. oleracea (Ccc) (อกั ษรแสดงจโี นมของพืช cc-kales, cc.al-คะนา , cc.b-กระหล่าํ ดอก, cc.c-กระหลา่ํ ปล,ี cc.co-Portuguese cabbage, cc.g-กระหล่ําดาว, cc.go-กระหลาํ่ ปม, cc.i-บลอคโครี,่ cc.m- marrow stem kale, cc-จโี นมพน้ื ฐานของ B. oleracea, cc.p-kale, cc.ra-thousand-head kale, cc.s-savoy cabbage, cc.sa-collards, และ cc.se-borecole) ตารางท่ี 6-13 จโี นมของ Brassica oleracea (Ccc) พนั ธุ (variety) จีโนม ชอื่ ทวั่ ไป Acephala cc.a kales kale, Alboglabra cc.al Chinese Kailan, คะนา Botrytis cc.b cauliflower, heading broccoli, กระหลํา่ ดอก capitata cc.c cabbage, กระหล่าํ costata cc.co Portuguese cabbage gemmifera cc.g brussel sprouts, กระห ลํา่ ดาว gongylodes cc.go kohl rabi, กระหลาํ่ ปม italica cc.i broccoli, calabrese medullosa cc.m marrow stem kale oleracea cc base population palmifolia cc.p kale (Jersey kale)
ramosa 66 thousand-head kale sabauda savoy cabbage sabellica cc.ra collards selensia cc.s borecole cc.sa cc.se Brassica oleracea var. acephala DC. พชื ชนดิ นไ้ี มป ลูกในประเทศไทย ไมห อ หัวเหมอื นกระหล่ําปลี แตกกิง่ แขนงและมี ใบมาก ทัง้ ใบเรยี บและใบหยกั ใชเปน อาหารคนและสัตว Brassica oleracea var. alboglabra Bailey ผกั คะนามีถิ่นกําเนดิ อยูในทวปี เอเซยี นิยมปลกู ในประเทศไทย ไมห อหัว บรโิ ภค ใบและกานใบ แยกพนั ธทุ ี่ใชในประเทศไทยได 2 แบบ ไดแ ก คะนาพันธุใบ และคะนาพันธกุ า น พันธุใบมีใบใหญ สวนพนั ธกุ า นมใี บเล็ก ผบู รโิ ภคนิยมบริโภคพันธุกา นมากกวา พนั ธใุ บ เวลา ประกอบอาหารมกั นิยมตดั สว นท่ีเปนใบทิ้งเหลือแตใ บออนๆ คะนา มีชอ ดอกแบบ raceme (ชยั พฤกษ, 2519) มีดอกสมบรู ณเพศ กลีบเลีย้ งมี สเี ขียวหรอื เขยี วปนเหลอื ง มี 4 กลบี กลบี ดอกมสี ีขาวและสเี หลือง มี 4 กลีบ เกสรตวั ผูเ ปนแบบ tetradynamous มี 6 อนั อันยาว 4 อัน และอันส้นั 2 อัน รังไขเ ปนแบบ superior ovary มี 2 เซล ดอกเปน แบบ indeterminate เริ่มบานจากดอกขา งลา งในชอขึน้ ไป ผลของ คะนาเปนแบบ silique เมื่อผลแกแ ละแหงจัดจะเรม่ิ แตกตรงรอยตะเข็บ (suture) เมลด็ คะนามี ลักษณะกลมเล็ก มสี ีนาํ้ ตาลเขม หรอื สีดําเม่อื แกเ ต็มท่ี การผสมเกสรอาศยั แมลงชว ยในการผสม แมวา คะนา มีดอกสมบรู ณเพศ แตมยี ีนท่ี ทําใหผ สมตวั เองไมต ดิ (self incompatibility) ทําใหมกี ารผสมขา มเปนสว นใหญ แต สามารถทาํ ใหผสมตัวเองตดิ ไดโดยใชวิธกี ารผสมดอกตูมดวยมอื เนอื่ งจากในดอกตมู ยงั ไมม ี สารท่ที ําใหผ สมตวั เองไมต ิดสงั เคราะหขึ้น แตในดอกทเ่ี จรญิ เต็มท่ีแลวสารดงั กลา วทาํ ใหเกสรตัวผู ชะงกั การเจรญิ บนเกสรตวั เมยี โรคคะนาทพ่ี บในประเทศไทย (Giatgong, 1980) ไดแก โรคใบจดุ (leaf spot) เกิดจากเชอ้ื Alternaria brassicae (Berk.) Sacc. โรครานาํ้ คา ง (downy mildew) เกดิ จากเชื้อ Peronospora parasitica pers. ex. Fr. และโรคเนาคอดนิ
67 (damping-off) เกดิ จากเชอ้ื Pythium sp. นอกจากนยี้ งั มใี สเดอื นฝอย (Hoplolaimus sp.) ท่ีเปน ศตั รสู ําคญั ดว ย Brassica oleracea var. botrytis L. กระหลํ่าดอกเปน ผักทนี่ ิยมบริโภคในประเทศไทย ใชสว นของชอ ดอกมีสีขาวทมี่ ี ดอกฝออยูบนกานดอกท่ขี ยายตวั หนา ปลายยอดของตน มีชอดอกรวมกันอยูเ ปนชอ เดยี ว ระหวา งที่ เจริญนั้นใบจะหุมชอ ดอกเสมอ ทําใหชอ ดอกมสี ขี าว แหลง กําเนดิ อยูประเทศอติ าลีตอนใต และได ใชปลูกในแถบทะเลเมดิเตอรเ รเนียน กอนกระจายไปในประเทศยโุ รป ในศตวรรษที่ 16-18 มีทัง้ พืช ฤดูเดยี ว และสองฤดู อาจเรยี กบรเิ วณประเทศยุโรปวาเปนแหลง กาํ เนดิ ที่ 2 กไ็ ด จากนนั้ ก็มี แหลง กําเนิดทสี่ ามในประเทศอนิ เดีย และออสเตรเลยี ในศตวรรษที่ 18-20 ที่ประเทศอินเดยี ไดมี พนั ธกุ ระหลํา่ ดอกสําหรับประเทศรอน ซง่ึ ไดกระจายไปทั่วทวปี เอเซยี ตอนใต พนั ธุกระหลา่ํ ดอก เมืองรอ นทีไ่ ดก ระจายไปแถบเมดเิ ตอรเรเนยี น ทาํ ใหพันธเุ กาแกใ นประเทศแถบนัน้ หมดไปเปนการ สญู เสียแหลงพันธกุ รรม แมว า พนั ธุกระหลํา่ เมืองรอนมกี ารกาํ เนดิ ชา กวา พนั ธอุ ื่นๆ ท้งั หมด แตพันธุ เมืองรอนนีม้ มี ากมายหลายชนิด โรคกระหล่ําดอกท่พี บในประเทศไทย มีหลายโรค (ตารางท่ี 6-14) (Giatgong, 1980). ตารางที่ 6-14 โรคกระหลํ่าดอกที่พบในประเทศไทย
68 เชอ้ื สาเหตุ ชอื่ โรคภาษาอังกฤษ ช่อื โรคภาษาไทย Alternaria brassicae (Berk.) Leaf blight โรคใบแหง Sacc. A. brassicicola (Schw.) Wiltsh. Leaf spot โรคใบจุด Erwinia carotovora (Jones) Leaf rot โรคเนาเละ Holland Fusarium oxysporum Schlecht. f. sp. conglutinans (wr.) Wilt โรคเหย่ี ว Meloidogyne incognita Root knot โรครากปม (Kefoid & white) Chit Peronospora parasitica Downy โรครานา้ํ คา ง Pers. ex. Fr. mildew Pythium sp. Damping off โรคโคนเนา Rhizoctonia solani Kuehn Canker โรคแคงเคอร Xanthomonas campestris Black rot โรคเนา ดํา (Pam.) Brassica oleracea var. capitata L. กระหล่าํ ปลี เปนผกั ทใ่ี ชบริโภคมาต้ังแตสมัยโบราณอยา งนอ ย 2500 ปก อน ครสิ ศตวรรษ (Purseglove, 1968) ชาวโรมันเปนผนู าํ ไปยังประเทศอังกฤษ เปน พืชสองฤดู และขณะนเี้ ปนทีร่ จู ักท้งั โลกและนยิ มบริโภค ใชส ว นของหวั ซงึ่ ประกอบดว ยใบหอหุมกนั แนนมีทัง้ รปู หวั กลม และรูปหวั แหลม มใี บเรียบ (smooth) และใบเปนหยกั (savoy) สีของใบมที ั้งสี เขยี วและสีมวง การบรโิ ภคนิยมทง้ั ในรปู ผกั สด ผักดอง (sauerkraut) สาํ หรับประเทศไทยนยิ ม บริโภคสด พนั ธทุ ่ีใชใ นประเทศไทย และประเทศในเขตรอ นตองเปนพนั ธพุ ิเศษทมี่ ีคณุ สมบัติทน รอน สวนใหญเปนพันธลุ ูกผสมของประเทศญป่ี ุน เปนสวนใหญ พันธจุ ากประเทศยุโรปไดร บั ความ นิยมนอยกวา มาก เพราะพันธจุ ากประเทศยุโรปมักมีปญ หาเกีย่ วกบั การหอหัวในสภาพอากาศรอน
69 โรคกระหล่ําปลีมีหลายโรคท่พี บในประเทศไทย (ตารางท่ี 6-15) (Giatgong. 1980). ตารางที่ 6-15 โรคกระหลํา่ ปลที พ่ี บในประเทศไทย เชอื้ สาเหตุ ชอื่ โรคภาษาอังกฤษ ชอื่ โรคภาษาไทย Alternaria brassicola (Schw.) Leaf spot โรคใบจดุ Wiltsh Criconemoides sp. - ใสเดอื นฝอย Erwinia carotovora (Jones) Soft rot โรคเนาเละ Holland Wilt โรคเห่ยี ว Fusarium Anthracnose โรคแอนแทรคโนส oxysporumSchlecht. f. sp. Root knot โรครากปม conglutinans (Wr.) Downy mildew โรครานํา้ คาง Gloeosporium concentricum (grev.) Berk. & Br Black leg โรคแขงดาํ Meloidogyne sp. Damping-off โรคโคนเนา Peronospora parasitica Pers. Canker โรคแคงเคอร ex. Fr. Phoma lingam (Tode ex. Fr.) Black rot โรคเนาดํา Desm. Pythium sp. Rhizoctonia solani Kuehn. Xanthomonas campestris (pam.) Dowson Brassica oleracea var. gemmifera Zenk. กระหล่ําดาวเปนพืชสองฤดู ทีม่ ตี าขางเจริญเติบโตเปน หัวเล็กๆ ประกอบดวยใบ หอหุมคลา ยกระหล่าํ ปลหี ัวเล็กๆ ขนาดเสน ผา ศนู ยก ลางประมาณ 3 ซม. ตน กระหลาํ่ ดาวสูง ประมาณ 1 เมตร เปนพชื ทย่ี งั ไมไดร บั ความนิยมในประเทศไทย แตส ามารถเจรญิ เติบโตไดด บี นพนื้ ทสี่ งู เชน บนภูเขาของภาคเหนอื
70 Brassica oleracea var. gongylodes กระหลา่ํ ปมเปน พืชสองฤดทู ่มี ลี ําตนขยายขนาดเปนหวั กลม เสน ผา ศูนยก ลาง ประมาณ 5-10 ซม. มสี ีเขียวหรอื สมี ว ง ตนเตี้ยประมาณ 20 ซม. มใี บเล็กกา นใบเรยี ว ไมนิยมบรโิ ภค ในประเทศไทย แตส ามารถเจริญเตบิ โตไดดบี นพื้นทส่ี งู และบนพืน้ ทีร่ าบของภาคเหนือ Brassica oleracea var. italica Plenck บล็อคเคอรี่ มดี อกคลา ยกระหลาํ่ ดอก แตดอกไมแนนเหมือนกระหล่ําดอก และ นิยมบรโิ ภคดอกทพี่ ัฒนาเปนดอกออ นกอ นท่จี ะบาน นิยมบริโภคในประเทศไทย และสามารถเจรญิ เติบโตไดด ีบนพ้ืนทีส่ ูงและพืน้ ทร่ี าบของภาคเหนอื สําหรับภาคอนื่ ที่มคี วามหนาวเย็นนอยมักปลูก ไมไ ดผลดี Brassica campestris ผักชนิดนี้แบงยอย (subspecies) ไดห ลาย subspecies ตามตารางที่ 6- 12 ลกั ษณะสัณฐานวทิ ยาของพชื ผกั ในกลุมนี้ แสดงไวในรูปที่ 6-19 (Williams, 1985) ซแึ่ สดง จีโนมของพืช แตละชนดิ (ตารางที่ 6-16) เชน B. campestris ใชจ โี นม Aaa A แสดงถึงไซโตพลาสซมึ ของ B. campestris ซงึ่ ไมเฉพาะเจาะจง สว น a หมายถงึ จาํ นวน โครโมโซมซง่ึ เทากบั 10 ในบางกรณี พบวา พชื ชนิดนีม้ จี ีโนม Rlaa หมายถงึ นิวเคลียสของ B. campestris ซงึ่ อยใู น Rl (cms) ไซโตพลาสซมึ ที่ไดจ าก Raphanus sativus
71 รูปท่ี 6-19 ลักษณะสัณฐานวทิ ยาของ Brassica campestris (Aaa) (อักษรแสดงจีโนมของพชื aa-จีโนมพืน้ ฐานของ B. campestris, aa.c-ผักกาด กวางตงุ , aa.na-norinosa, aa.n-nipposinica, aa.o-turnip rape, aa.pa-choy sum, aa.p-ผักกาดขาวปล,ี aa.pe-tender green, aa.r- turnip, aa.t sarson, และ aa.u-utilis) ตารางท่ี 6-16 จโี นมของ Brassica campestris (Aaa) ชนดิ (species) จโี นม ชอ่ื ท่วั ไป campestris chinensis aa base population narinosa aa.c pak choi, ผกั กวางตงุ nipposinica aa.na - oleifera aa.n - parachinensis aa.o pekinensis aa.pa turnip rape, toria aa.p choy sum chinense cabbage, petsai, ผักกาด ขาวปลี
72 perviridis aa.pe tender green, komatsuna, rapifera aa.r mustard spinach trilocularis aa.t turnip utilis aa.u sarson - ผักชนดิ น้มี ีถิ่นกําเนิดในประเทศจีน และมีการเพาะปลูกต้งั แตโบราณกอน คริสศตวรรษ มีรูปรางหลายหลากแบบแบง ไดด งั น้ี Brassica campestris subsp. chinensis ผักกาดกวางตุง มกี ําเนิดในประเทศจีน เปนผกั ท่สี าํ คญั ในประเทศจีน โดยเฉพาะ จีนตอนใต และเอเซียตะวนั ออกเฉยี งใต เชน ในประเทศไทย เปน ผักทีส่ ําคญั ใชบ ริโภคท้งั ตน กา น ใบ และดอก พันธุทใี่ ชใ นประเทศไทยมี 2 แบบ ไดแ ก ผักกาดกวางตุง กานเขียว และกา นขาว พนั ธุ กานเขียวไดรับความนยิ มมากกวา พนั ธุก า นขาว พันธทุ ี่ใชทั้งหมดเปนพันธุผสมเปด เมลด็ พันธุมี ราคาถกู และนาํ เขาจากตา งประเทศ เมล็ดพันธุคดั อยางดแี ละมีราคาแพงกม็ ีจําหนาย แตก สกิ รไม คอยนยิ มซือ้ มกั นิยมใชเมล็ดพนั ธุราคาถูก ในประเทศจนี มีผกั ชนิดนที้ ีม่ ีรปู แบบตางๆ กนั แตไ มค อ ยไดร ับความสนใจในการ เกบ็ สายพนั ธุ แหลง รวบรวมสายพันธุใหญม ใี นประเทศญ่ีปนุ และไตหวัน Brassica campestris subsp. pekinensis ผกั กาดขาวปลีมีถิ่นกาํ เนิดในประเทศจนี แตไมพ บพันธุป าของผักกาดขาวปลีเลย (Li. 1981) พันธดุ ง้ั เดมิ ของผกั กาดขาวปลีน้นั ไมหอหวั ชอ่ื var. dissoluta ถูกบันทึกไวใ น ศตวรรษท่ี 5 พนั ธุน ี้อาจมาจากการผสมขามระหวา ง ผกั กาดกวางตงุ (subsp. chinensis) และ เทอรนปิ (subsp. rapifera) (รปู ท่ี 6-20) จากนั้นไดพ ฒั นามีการหอ หวั บา งไปเปน var. infarcta และไดพ ัฒนาเปน พนั ธหุ อหัวและมีปลายใบไมหอ หวั เปน var. laxa แลว จงึ พัฒนา เปนพันธหุ อหัว var. cephalata จากการปรบั ตัวและพฒั นาตามภูมอิ ากาศจงึ ไดพันธซุ ่ึงมีหวั รปู รางตางๆ กันไดแก หัวรปู ไข คลายพันธุ ผักกาดขาวปลที ่ีใชในปจ จุบัน (f ovata) ไดพ ันธหุ วั ปา นคลายผกั กาดขาวปลที ่ีใชในปจจบุ ัน (f depressa) และหวั ทรงยาวคลายผัก
73 กาดหางหงษ (f cylindrica) จากการผสมพันธุร ะหวางสายพันธุเหลาน้ที ําใหไ ดลูกผสม 5 แบบ ดว ยกันที่ใชในปจจุบันนี้
74 รูปที่ 6-20 การพฒั นาของผักกาดขาวปลี (Brassica campestris ssp. pekinensis) A. var dissoluta, B. var infarcta, C. var laxa, D. var cephalata D1. f ovata, D2. f depressa, D3. f cylindrica, CD1. var laxa x f ovata, CD3. var laxa x f cylindrica, D1D2. f ovata x f depressa, D1D3. f ovata x f cylindrica D2D3. f depressa x f cylindrica Brassica juncea มีชอ่ื เรยี กวา Indian mustard, brown mustard, leaf mustard และ Chinese mustard ภาษาไทยเรียก ผกั กาดเขียวปลี Indian mustard หรอื brown mustard ปลูกมากในเอเซยี เชน อนิ เดีย ปากสี ถาน จีน บงั คลาเทศ และเนปาล ปลกู เพือ่ สกัดนา้ํ มนั แบงพชื ชนิดน้ีได 3 แบบไดแก ก. Oleiferous ใชเ มล็ดสกัดนํ้ามนั ปลูกมากในอินเดยี ข. Semi oleiferous บรโิ ภคใบออ นและสกดั นาํ้ มันจากเมลด็ ค. Rapiferous หรือ leafy type บริโภคใบและใชเ ล้ียงสัตว กลมุ ข. และ ค. ปลกู ตอนเหนือและตะวนั ออกของอินเดีย จนี เนปาล และ เอเซียตะวนั ออกเฉยี งใต เน่อื งจาก B. juncea เปนพืชท่ีไดม าจากการพัฒนาของ B.
75 nigra และ B. campestris และเปน ลูกผสมทเ่ี รียกวา allopolyloid (รปู ท่ี 6-16) จึงเขาใจวามกี ําเนดิ บรเิ วณยุโรปตะวันออกถงึ ประเทศจนี ผักกาดเขียวปลี หรอื leaf mustard หรอื Chinese mustard ไดรบั ความนิยมปลูกในประเทศจีนตงั้ แตส มยั โบราณ เขาใจวา ประเทศจนี เปน แหลงกาํ เนิดของผักกาด เขียวปลีสายพนั ธตุ า งๆ (ตารางท่ี 6-17) (Williams,1985) บรเิ วณท่เี ปน แหลงกาํ เนดิ ไดแ กตําบล ซีชวน ซึง่ เปนทที่ มี่ ีการดองผัก (tsa-tsai) ท่ีมชี ื่อเสียง ตารางที่ 6-17 จโี นมของ Brassica juncea (ABaabb) ช่ือพันธุ (variety) ชอื่ ท่ัวไป จโี นม Brassica juncea (18) aa.bb leaf mustard var. bulbifolia - - var. capitata aa.bb.c head mustard, ผักกาด var. crispifolia เขยี วปลี aa.bb.cr var. faciliflora aa.bb.f var. foliosa cut leaf mustard var. integrifolia - var. lapitata broccoli mustard - - aa.bb.l var. muticeps - aa.bb.m large petiole mustard multishoot mustard
var. napiformis 76 - var. oleifera aa.bb.o - var. rapifera oil seed mustard, aa.bb.r var. rugosa raya aa.bb.ru var. spicea root mustard aa.bb.sp var. tsa-tsai leaf mustard aa.bb.t mustard big stem mustard ผกั กาดเขียวปลถี กู แบง เปน กลมุ ตามสภาพภมู ิศาสตรไดด งั น้ี ก. กลุม Hakarashina มีใบประกอบ (pinnate leaf) พบใน ประเทศอินเดยี ทวปี เอเชยี ตอนกลาง และทวปี ยุโรป ข. กลุม Nekarishina มีรากที่ขยายใหญ (enlarge root) พบใน มองโกลเลีย แมนจเู รีย และตอนเหนอื ของประเทศจนี ค. กลุม Hsueh li lung และ Nagan sz kaai มีใบเรยี บคลา ย หนงั (leathery leaf) และมีก่งิ กาน พบในตอนกลาง และตอนเหนือ ของประเทศจนี ง. กลมุ Takana มใี บอวบนา้ํ พบในจนี ตอนใต และตอนกลางของ ประเทศ จนี และเอเชยี ตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทยนิยมบริโภค ผกั กาดเขยี วปลีในกลุมนี้ และไมปรากฏมีกลุม อนื่ ทีก่ ลา วมาขา งตน ปลูก ในประเทศไทยเลย Raphanus sativus มแี หลงกําเนดิ ในแถบเมดเิ ตอรเรเนียน แตนยิ มปลกู ทั่วไปในทวปี เอเซยี มากกวา ใน ยุโรป จนไดช อ่ื วา เปนผักคนจน (poor man’s vegetable) ปจ จุบนั มีแหลงพันธกุ รรมใน ทวปี เอเซยี ซง่ึ มีมากกวา ในยโุ รป (IBPGR, 1981) มีหลากหลายพันธุ และใชบรโิ ภคในลกั ษณะ ตางๆ กัน เชน บริโภคหวั ใบ ฝกออ น และสกัดน้ํามัน (ตารางที่ 6-18) (Williams, 1985) บางพันธุใชเปน อาหารสัตวกม็ ี ในประเทศไทยมปี ลูก 2 พันธุ ไดแ ก var. radicola เรียกช่ือ ภาษาไทยวา ผกั กาดหัว ชอ่ื ภาษาอังกฤษ Chinese radish นยิ มบริโภคทั่วประเทศ และ var. caudatus เรียกช่ือวา ผกั ข้ีหดู หรอื rat tail radish นิยมบรโิ ภคในภาคเหนอื ของประเทศ ตารางท่ี 6-18 ผักกาดหัว Raphanus sativus พนั ธุต างๆ สวนท่ีใชบ รโิ ภค และจโี นม
77 พนั ธุ (variety) ชือ่ ทว่ั ไป จีโนม สวนท่ใี ชบ รโิ ภค rr Raphanus sativus rat tail radish, ผกั ขห้ี ดู (9) - rr.c ฝก ออน - ใบและฝก ออ น var. caudatus oil radish rr.o เมลด็ สกัดน้าํ มัน var. mougri radish, dikon, rr.r รากทข่ี ยายขนาด var. oleifera Chinese radish var. radicola ผักกาดหัว ธรรมชาติการผสมพันธขุ องผกั ตระกูลกระหลํา่ ผกั ตระกลู กระหล่ํา สว นใหญเปน พืชผสมขาม (cross pollinated crop) มีบางชนดิ ที่สามารถผสมตัวเอง เปน พชื ผสมตัวเอง (self pollinated crop) เชน ผกั กาด เขียวปลี และผักขห้ี ดู เปน ตน ผักทผี่ สมขา มในตระกูลน้มี คี ณุ สมบตั พิ ิเศษบางอยางที่ชวยใหก าร ผสมขามเกิดไดม ากข้ึน จึงมกี ารนาํ เอาคณุ สมบัติพิเศษอนั เน่ืองจากพนั ธกุ รรมนมี้ าใชประโยชนใ น การผลติ เมล็ดพนั ธุ ลูกผสม ซ่ึงใชก ันอยา งแพรหลาย และไดรับความนยิ มมาก เนื่องจากลกู ผสม มีคุณภาพดีกวาพนั ธุแ ทม ากจนทาํ ใหพนั ธุแทถูกทดแทนโดยพนั ธลุ กู ผสม ทําใหแ หลง ของพนั ธุ กรรมถูกทําลายไปบางสว น ประเทศญีป่ นุ เปน ประเทศที่มีการศกึ ษาเก่ยี วกับพนั ธุกรรมการผสมตัว เองไมไ ด (self incompatibility) ในกระหลํา่ ปลีตง้ั แต พ.ศ. 2473 (Kakizaki. 1930) ตอ มาใน พ.ศ. 2477 Dr. S. Shinohara ไดเ ริ่มผลิตลูกผสมกระหลํา่ ปลเี ปนการคา โดยเริ่ม
78 ตนทีบ่ รษิ ทั ซากาตา (Shinohara. 1942, 1953 และ 1981) การทําครั้งแรกทาํ แบบงายๆ โดย หาตนกระหล่าํ ปลที ผ่ี สมตัวเองไมไ ด และขยายพันธโุ ดยไมอ าศัยเพศ เมื่อไดต นที่ผสมตัวเองไม ไดสองสายพนั ธกุ ็นาํ มาปลกู สลบั กนั โดยอาศยั การผสมขา มตามธรรมชาติ เมอ่ื ไดเมลด็ พันธุลกู ผสม ช่วั ท่ีหน่งึ ครั้งแรกของโลกไดใหช ่ือวา Suteki cabbage ตอมา Dr. N.U. ไดทําการวจิ ัย เกีย่ วกบั พนั ธกุ รรมการผสมตวั เองไมได และขยายพนั ธขุ องพอ และแมโดยใชเ มลด็ และไดล ูกผสม กระหลา่ํ ปลพี ันธุ O-S Cross ซง่ึ เปน ลกู ผสมทเ่ี กดิ จากสายพนั ธุแท 2 สายพันธุ ซึ่งท้ัง 2 สายพันธนุ เ้ี ปน พันธเุ ดยี วกัน ช่ือ Succession จุดประสงคของการทาํ ลูกผสมนเี้ พอ่ื ใหเกดิ ความ สมา่ํ เสมอภายในพนั ธเุ ดียวกนั ลูกผสมชั่วท่ี 1 ทไ่ี ดจากวธิ กี ารนีเ้ รียกวา inter-strainic hybrid ตอมาไดม กี ารศึกษาเพ่ือผลิตเมล็ดพนั ธลุ กู ผสมช่ัวทห่ี นึ่งของกระหลํ่าปลีโดยใช สายพนั ธุท ต่ี า งกนั โดย Ito (1954) และ Haruta (1962) ท่ีบรษิ ัทตากิอิไดพ นั ธลุ กู ผสมกระหลา่ํ ปลีทดี่ ีมาก ไดแกพ นั ธุ Nagaoka hybrid Shikidori Cabbage ซงึ่ พนั ธุนี้มคี วามทน ทานตอ สภาพภมู ิอากาศ และดิน จึงไดปลกู ทั่วไปในประเทศญ่ีปนุ เมือ่ ไดร ับความสาํ เรจ็ ในการ ผลิตลูกผสมชั่วท่ี 1 น้ี ทมี งานของบริษทั ตากอิ ไิ ดศกึ ษาและผลิตเมล็ดพนั ธลุ กู ผสมช่ัวที่ 1 ในผัก ตระกลู กระหลา่ํ ไดแ ก ผกั กาดขาวปลี กระหล่าํ ดาว บลอคเคอร่ี เทอรน ปิ และผกั กาดหวั จากการศึกษาเกี่ยวกบั ลกู ผสมชวั่ ที่ 1 ของผกั ตระกูลกระหลาํ่ ของนักวิจยั ชาวญปี่ ุน ทําใหก ระหลํา่ ไดรับความนิยมอยา งแพรหลายในประเทศตางๆ ของเอเซยี เมลด็ พนั ธผุ ักตระกูล กระหล่าํ ท่ใี ชใ นประเทศไทยสวนใหญสงั่ มาจากประเทศญปี่ ุนแทบทงั้ ส้นิ มีบางสว นและเปน สวนนอยทส่ี งั่ มาจากยโุ รป หรอื สหรัฐอเมริกา ทงั้ นเ้ี นื่องจากพนั ธุจากประเทศญป่ี ุนไดร บั ความ นยิ มมากกวา และมคี วามตา นทานตอ สภาพอากาศรอ นไดดกี วา ยกตัวอยางเชน กระหล่ําปลีพนั ธไุ ฮ ยาดอริ สั่งมาจากประเทศญ่ีปนุ ไดร ับความนยิ มในประเทศไทยมากกวาพันธอุ ื่นมาเปนเวลา 30 ป พันธุผกั กาดขาวปลขี องญ่ีปนุ ก็ไดร บั ความนิยมมากในประเทศไทยเชน กัน ผูเขยี นไดเร่มิ งานวจิ ัยการผลิตเมลด็ พนั ธุล กู ผสมชว่ั ที่ 1 ของผักตระกลู น้ตี ง้ั แต พ.ศ. 2525 โดยไดร ับเงนิ สนับสนนุ จาก International Development Research Center ประเทศแคนาดา รวมเวลาประมาณสิบกวาป ปจ จุบนั ไดพันธุล ูกผสมชวั่ ที่ 1 ของผกั กาดขาวปลี ผกั กาดเขียวปลี และผกั กาดหัวท่ดี กี วา พนั ธุก ารคาหลายพันธทุ จี่ าํ หนายภายใน ประเทศ ซ่งึ เปนเมล็ดทส่ี ั่งเขา หลายพันธุ (มณีฉตั ร. 2537, โชคชยั และคณะ. 2540, ตระกลู และ คณะ. 2540) เมล็ดพนั ธุผกั เหลาน้ีสามารถทาํ การผลติ เมล็ดพนั ธุบ นพืน้ ทภี่ ูเขาในภาคเหนือ ไดเมลด็ ท่มี ีคณุ ภาพดเี ทา เทยี มกับเมลด็ ทส่ี ่ังเขา มาจําหนาย (Wivutvongvana et al. 1987 และ Nikornpun. 1992)
79 ลกั ษณะทางสัณฐานวทิ ยาของดอกและผล ลกั ษณะทางสณั ฐานวิทยาของใบ ดอก และผล ของผักตระกลู กระหลาํ่ ไดระบไุ ว ใน Purseglove (1968) ตระกูลนที้ ้งั หมดจัดอยูในกลุม พืชลม ลกุ สวนใหญมกี าํ เนดิ จากแถบอบ อนุ ใบไมม หี ูใบ(exstipulate) เปน ใบเด่ยี วเรยี งตัวแบบสลบั (alternate) ดอกมที ั้งสองเพศ ในดอกเดยี วกนั และมคี วามสมดุลยของสว นประกอบของดอก (รปู ที่ 6-21) ซึ่งติดอยกู บั ฐานรอง ดอกใตเกสรตัวเมีย (hypogynous) กลบี เลี้ยงมี 4 กลบี กลีบดอกมี 4 กลีบ เกสรตัวผมู ี 6 อนั เรยี งตัวรวมกนั 4 อัน (tetradynamous) อยูวงในมีกานเกสรตัวผยู าวกวา อกี 2 อนั ทีอ่ ยูว งนอก เกสรตวั ผูม ี 2 ชอง และแตกตามยาวซง่ึ อยดู า นใน (introrse longitudinal dehiscence) รงั ไขอยูสูงกวาฐานรองดอก (superior) มรี ังไข 2 อนั ประกบกันและแยกแต ละชองออกจากกนั โดยมเี ย่ือบางๆ กั้น กานเกสรตัวเมยี ส้ันท่ีปลายมีลักษณะเปน 2 หยกั ผลเปนฝก ถา มีความยาวมากกวาความกวา งเปนผลชนิด siliqua หรอื silique เชน ผลของผกั กาด กวางตุง ผกั กาดหวั และผักกาดขาวปลี แตถาผลมีความยาวพอๆ กับความกวางเรยี กวา silicula ผลสวนใหญแ ตกเมื่อแก โดยแตกจากสวนลา งของฝกไปยงั สวนบน มีผลของผักตระกูลน้ที ่ผี ลไม แตกเมอ่ื แก เชน ผกั กาดหวั เมลด็ ผักตระกูลนีไ้ มม อี าหารสาํ รอง (endosperm)
80 รูปที่ 6-21 ลักษณะดอก ผล และตน ผกั กวางตุง การผสมพันธตุ ัวเองไมไ ด การปรับปรงุ พันธุผกั ตระกลู นีอ้ าศัยการผสมพันธตุ วั เองไมไดหลายลกั ษณะมาใช ประโยชน เพ่อื ลดการใชแรงงานในการตอนเกสรตัวผู (emasculation) ของสายพันธุตัวเมีย การผสมพนั ธตุ วั เองไมไ ด (self incompatibility) ของผกั ตระกูลกระหลา่ํ เกดิ จากหลาย สาเหตดุ วยกนั ซ่งึ ปรากฏวาสง่ิ เหลา น้กี ลับมีประโยชนในดา นการผลติ เมลด็ พนั ธุลกู ผสมของผกั ใน ตระกลู นี้ สาเหตุการผสมพันธุตัวเองไมไ ดน ้ันเนอื่ งจากกรรมพันธุมดี งั นี้ 1. การผสมพนั ธตุ ัวเองไมไดเน่ืองจาก S ยีน 2. การผสมพันธตุ วั เองไมได เน่ืองจากเกสรตัวผเู ปน หมัน (male sterility) 2.1 เกสรตวั ผูเปน หมนั เน่ืองจากไซโตพลาสซมึ (cytoplasmic male sterility) (cytoplasmic 2.2 เกสรตวั ผูเ ปนหมันเนอื่ งจากยนี และไซโตพลาสซึม genic male sterility) 2.3 เกสรตวั ผูเ ปน หมนั เน่อื งจากยนี (genic male sterility)
81 1. การผสมพันธตุ วั เองไมไ ดเ นอ่ื งจาก S ยนี การผสมพันธตุ วั เองไมไ ดเ นื่องจาก S ยนี ของพชื ตระกูลน้ีมีปฏกิ ิริยาทีเ่ รยี กวา sporophytical reaction (Shinohara. 1981) เกสรตัวผูไมสามารถงอกบนยอดเกสร ตัวเมีย (stigma) เนอื่ งจากสารยับยง้ั ทถ่ี ูกสังเคราะหขน้ึ ในยอดเกสรตวั เมีย โดยเฉพาะในเนอ้ื เย่ือ ทห่ี อหมุ ยอดเกสรตวั เมีย (papillae cell) สารนส้ี ังเคราะหจากสว นของตนตวั เมยี ทม่ี ี โครโมโซม 2 ชุด (2n) แมก ระท่งั เกสรตัวผซู ่งึ มโี ครโมโซมชุดเดียว (n) ก็มปี ฏิกิรยิ านีเ้ ชนเดยี วกบั เกสรตวั เมยี เนอ่ื งจากเย่อื หุมเกสรมาจากเซลของตัวแมซ่งึ มโี ครโมโซม 2 ชดุ (Bateman. 1952) ผักตระกูลกระหล่าํ มกี ารผสมพนั ธตุ ัวเองไมไ ดจ ัดเปน 4 กลมุ ดวยกัน (รปู ท่ี 6-22) ปฏิกริ ยิ าท่ี กลา วมาขา งตน มคี วามแตกตา งจากปฏกิ ิรยิ าทีเ่ รยี กวา gametophytical reaction ซ่ึง โครโมโซมเพียง 1 ชุดของเกสรตวั ผเู ปนตวั กําหนดวาจะผสมพนั ธุไดหรอื ไม เช น เกสรตวั ผูข อง ผักท่มี ยี นี SaSb มีเกสรตัวผูท ี่มี Sa และ Sb เม่อื ผสมกบั ตนทมี่ ียนี Sa Sa จะติด ถา Sa Sa เปนตัวเมีย เพราะเกสรตัวผทู ม่ี ียีน Sb สามารถผสมได แตถา Sa Sa เปนตัวผูจ ะไมส ามารถผสม กบั ตน Sa Sb ได เพราะเกสรตัวผูมเี ฉพาะ Sa แตอยา งไรกด็ ี gametophytical reaction นไ้ี มส ามารถใชอ ธบิ ายสงิ่ ท่เี กิดขนึ้ ในผกั ตระกูลกระหล่าํ ไดเพราะมกี ารผสมตวั เองไม ไดถ ึง 4 กลุม การแยกกลมุ ของผักตระกลู กระหลาํ่ 4 กลุม (Shinohara. 1981) (รูปท่ี 6- 22) โดยใชป ฏกิ ิริยา sporophytical reaction ของเกสรตัวผูและเกสรตัวเมยี ดงั รูปท่ี 6- 22 และเมอื่ Haruta (1962) ไดท ดสอบการผสมตวั เองไมไ ดของผักหลายชนิด ไดแ ก กระหลํา่ ดาว กระหลาํ่ บล็อคเคอรี่ พบวา กระหลํา่ ดาวจัดอยใู นกลุมท่ี 1 กระหลํา่ ปลีกลุม ที่ 1, 2 และ 3 บล็อคเคอรี่กลุมท่ี 2 ผักกาดขาวปลีกลมุ ที่ 2 และ 4 เทอรนิปกลมุ ที่ 2 และ 4 สวนผกั กาดหัว กลุมท่ี 2 และ 4 อาจอธิบายปฏกิ ริ ิยาของกลุมตางๆ ไดด งั นี้ กลุมท่ี 1 ในเกสรตวั ผูแ ละตัวเมยี มยี ีน Sb ท่ีมลี ักษณะเดน ขม ยีน Sa (Sa < Sb) ซึ่ง ปฏกิ ิรยิ า sporophytic น้ีมที ้งั ในตวั ผูและตัวเมีย การผสมพันธุเกดิ ขึ้นในกลุม นี้ในกรณีทีย่ ีน ตา งกนั เทา นน้ั เชน SaSa↔SbSb และ SaSa↔SaSb สวน SbSb ไมส ามารถผสม กบั Sa Sb เลย จากการทดสอบพบวา มีกระหล่าํ ปลี และกระห ลํา่ ดาวหลายพนั ธทุ ่ีมี ปฏกิ ริ ิยาอยใู นกลุมน้ี
82 กลุมที่ 2 เกสรตัวผมู ีการแสดงออกของยนี Sb ขม Sa สว นเกสรตวั เมยี มกี ารแสดงออก ของ ยนี Sa และ Sb เทาๆ กนั ดงั นนั้ ตน ที่มียนี Sa Sa สามารถผสมกับตนทมี่ ียนี Sb Sb ไมวาเปนตวั ผหู รือตวั เมยี แตไ มส ามารถผสมกบั ตวั เมยี ทมี่ ียีน Sa Sb เพราะยนี Sa แสดงออกในตวั เมีย แตถา Sa Sb เปน ตัวผูสามารถผสมกบั ตวั เมยี Sa Sa ได เพราะ ยีน Sb ในตวั ผูข ม ยีน Sa สวน Sb Sb ไมสามารถผสมกบั Sa Sb ไมว า Sb Sb เปน ตัวผูหรือตวั เมยี ผักที่พบในกลมุ น้ีไดแ ก กระหล่ําปลี ผักกาด ขาวปลี ผกั กาดหัว บล็อคเคอร่ี และเทอรนปิ เปน ตน กลุมนเี้ ปนกลุมที่ใหญท ่สี ดุ เม่อื เทียบกบั กลุมอ่ืน กลมุ ที่ 3 เกสรตวั ผูมีการแสดงออกของยีน Sa และ Sb สวนตัวเมยี มกี ารแสดงออกของ Sb ขม Sa ดงั นน้ั ตน ท่มี ยี ีน Sa Sa สามารถผสมกบั ตนที่มยี ีน Sb Sb ไมวาเปน ตวั ผูหรอื ตวั เมยี และสามารถผสมกบั Sa Sb กรณีที่ Sa Sb เปนตัวเมยี เทานัน้ เพราะ Sb ขม Sa ในตวั เมยี สวนตน ทีม่ ยี ีน Sb Sb และ Sa Sb ไมสามารถผสม พันธกุ ัน ไมว าจะ เปนตวั ผูหรือตวั เมีย ผักท่พี บในตระกลู นท้ี ี่มีปฏกิ ริ ิยาในกลุม น้มี ีนอยมาก พบวา มกี ระหล่าํ ปลเี พยี ง 2 พันธุท่อี ยใู นกลุมน้ี พนั ธกุ รรม I II III IV Sa Sa SaSa SaSa SaSa ตวั เมยี ตวั ผู SbSb SbSb SbSb SbSb กระหล่าํ ปลี SaSb SaSb SaSb SaSb กระหล่าํ ดาว บล็อคเคอร่ี Sa < Sb Sa : Sb Sa < Sb Sa : Sb Sa : Sb Sa : Sb Sa < Sb Sa < Sb 1 พนั ธุ 3 พันธุ 3 พนั ธุ 1 สายพันธุ - 3 สายพันธุ 3 พนั ธุ - 1 พันธุ - - 2 สายพันธุ - - - - - - - 1 พันธุ
ผักกาดขาวปลี 83 -- เทอรน ปิ - 3 พนั ธุ ผกั กาดหัว - 1 สายพันธุ - 3 สายพนั ธุ - 2 พนั ธุ - 1 พนั ธุ - 3 สายพันธุ - 1 สายพนั ธุ - 1 พันธุ - 2 พันธุ - 1 สายพันธุ - 4 สายพนั ธุ - 2 พันธุ - 2 สายพนั ธุ รปู ท่ี 6-22 การแยกกลุมการผสมตัวเองไมไดข องผักตระกูลกระหลา่ํ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148