Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การผลิตผัก

Description: การผลิตผัก.

Search

Read the Text Version

9 ตารางที่ 5-3 พนั ธุพรกิ ตานทานโรค และยีนทคี่ วบคุมความตานทานโรค --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เช้ือสาเหตุ ยนี ควบคุมความตา นทานโรค พนั ธุต า นทานโรค เอกสารอา งองิ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- Cercospora capsici California Wonder Bassett.1986 Canape (F1) Merrimack Wonder C.microcarpum Colletotrichum capsici C.annuum cvs. Bassett.1986 Chinese Giant Yolo Y Hungarian Wax Spartan Emerald Paprika Colletotrichum gloeosporioides Janghong Choi,et al, 1990 Erwinia carotovora 2-3 ยนี ขม Jalapeno Bartz and Stall.1974 Phytophthora capsici 1-2 ยีนขม C.annuum Kimble.1960 PI 188376 PI 201232 PI 201234 Pseudomonas solanacearum Antibois Kaan and Anais.1978 Chays Conic Cook

10 --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เชอ้ื สาเหตุ ยนี ควบคมุ ความตานทานโรค พนั ธตุ า นทานโรค เอกสารอางอิง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- Virus (Tobacco Mosaic Virus) 1 ยีนขม (L) Keystone Resistant Holmes.1937 Giant YW Yolo Y Florida VR2 Florida VR2-34 XVR 3-25 Dutch greenhouse CVS. Verbeterde Glas ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ฉ. โรคราแปง เกิดจากเช้อื รา Oidiopsis sp. จะมองเห็นเช้ือราเปน ผงคลา ยแปงบนใบพริก อาจมจี ดุ สนี ้ําตาลและสเี หลอื งปนอยู การปอ งกันกาํ จัดโดยใชก ํามะถันผงละลายนํ้าพน จะชวยลด การระบาดของโรคนีไ้ ด แตตองกาํ จดั สวนของพชื ทีเ่ ปน โรคนีอ้ อกจากแปลงปลกู ช. โรคเหี่ยว เกดิ จากเชอ้ื แบคทเี รีย Pseudomonas solanacearum ตน พรกิ แสดงอาการเหย่ี ว ในเวลากลางวัน และฟน ในตอนกลางคืน ถา เปน โรคมากกจ็ ะเห่ียวตาย ทั้งนเ้ี นื่องจากเช้ือดงั กลาว ไดเ ขา ไปในตน พรกิ และทําลายทอนํา้ และอาหาร เมอ่ื เฉอื นตน จะเห็นบรเิ วณนีเ้ ปนสนี า้ํ ตาลออน ถา บีบลําตน ทเี่ ปน โรคในนา้ํ จะเหน็ น้าํ สขี าวขุน ไหลออกมาจากลําตน โรคนี้ไมมยี าปองกันและกาํ จัด แตควรหลีกเลีย่ งโดยเลือกพืน้ ทีท่ ไี่ มมีพืชตระกูลนี้ ปลูกมากอ นและไมควรปลกู ซาํ้ ท่ีเดียวกนั โรคดงั กลา วนอ้ี าศัยในดนิ และอาจมากบั น้าํ ทใ่ี ชรดตน ไมดวย

11 ญ. โรคใบหงิก หรอื โรคใบดาง เกิดจากเช้อื ไวรสั หลายชนดิ เชน Cucumber Mosaic Virus ใบพริกมอี าการใบ หงกิ หรือใบดาง โดยเฉพาะใบออ นมีอาการมากกวา ใบแก ทําการปอ งกันกาํ จัดโดยการปองกัน เพลย้ี ไฟ เพลีย้ ออนและไรขาวเพราะเปนตัวนําโรคไวรสั การฉดี ยาฆาแมลงชนิดตา งๆ จะชว ยลด จาํ นวนแมลงเหลา น้ีลง หากพชื แสดงอาการตอ งกําจดั โดยถอนและเผาท้งิ ไมม ีวิธกี ารปอ งกันและ รักษาถา พชื แสดงอาการแลว การใชพันธุตานทานเปน วิธีการทด่ี ที ่สี ุด แตพันธุตา นทาน ดังกลา ว ยังไมปรากฏวามี เน่ืองจากไวรัสมหี ลายชนดิ แมว าตานทานไวรสั ชนิดหน่งึ แตอาจไมต า นทานไว รสั อีกชนดิ หนง่ึ พรกิ ก็ยงั แสดงอาการเปน ไวรสั ตามเดิม พนั ธพุ ริกที่ตานทานตอโรค Tobacco Mosaic Virus ไดแก พันธุ Keystone Resistant Giant, YW, Yolo Y,Florida VR2, Florida VR 2-34, XVR 3-25 และ Dutch greenhouse cvs. Verbeterda Glas เช่ือวามียีนตา นทานหนึ่งยีนท่ีมีคณุ สมบัติเปน ยีนขม (ตารางที่ 5-3) (Holmes. 1937) พนั ธุดงั กลา วแมวา นํามาปลูกในประเทศไทยกอ็ าจแสดงอาการของโรคไวรัสอนั เนือ่ งจากเชื้อไวรสั ชนิดอื่นได อาการของพรกิ ที่เกิดจากการขาดธาตอุ าหารมกี ารแสดงออกคลายโรคใบหงกิ และใบดาง แมลงศัตรพู ริก แมลงศตั รูพริกท่กี ลา วมาแลว ไดแก เพลยี้ ออ น เพลี้ยไฟ และไรขาว ซ่ึงเปน ตวั พาหะนาํ เชือ้ ไวรสั แตยงั มศี ตั รอู ื่น เชน ไสเดือนฝอย หนอนผเี สื้อ หนอนเจาะสมอฝา ยหรือ หนอนอเมริกัน และหนอนแมลงวนั เปน ตน การกาํ จดั แมลงศตั รพู ริกไมไ ดใชวธิ ีการปรับปรงุ พนั ธุเพื่อใหตา นทานตอแมลง เหลา นี้ เนือ่ งจากวธิ ีการน้สี ลับซับซอ นและยากกวาการปรบั ปรุงพนั ธเุ พอ่ื หาพันธตุ า นทานโรค จึง ทาํ ใหการผสมพันธุเพ่ือหาพนั ธุต านทานแมลงศตั รูพืชโดยเฉพาะเพลี้ยออ น เพลยี้ ไฟ และไร ขาว ไมประสพ ผลสาํ เร็จเชน เดยี วกบั พันธตุ านทานโรค ทง้ั นเี้ น่ืองจากลกั ษณะท่ีทาํ ใหพรกิ ตา น ทานตอแมลงเหลาน้เี ชน มีขนมากทผ่ี ล ผิวของผลหนา หรอื มรี สทไี่ มพ ึงประสงคตอ แมลง ซ่ึง ลกั ษณะเหลา น้ีไมเ ปนที่ ประสงคของคนเชนกนั จงึ เปน การยากทจี่ ะหาจดุ เหมาะสมเพือ่ ใหม ี ลักษณะทางพืชสวนทีด่ ี และมีความตานทานตอ แมลงดวย การปอ งกันกาํ จดั จึงใชย าฆาแมลง การปลกู พืชหมนุ เวียน การทาํ ความสะอาดในแปลงปลูกและบริเวณขางเคียงเปนหลัก ยาฆาแมลง เปนวธิ กี ารที่ใหผ ลมากท่ีสดุ และนยิ มใชมากท่ีสุด

12 เพลีย้ ไฟเปนแมลงขนาดเล็กความยาวเพยี ง 1-1.5 มิลลเิ มตร มสี ีนาํ้ ตาลออ น ตัวออ นไมม ปี ก สวนตวั แกม ีปก 2 คู เพลย้ี ไฟดูดนํ้าเล้ยี งจากตน พชื โดยเฉพาะใบออนทาํ ใหใบ หงกิ งอ พชื ชงักการเจรญิ จงึ ควรกาํ จดั พนยาฆาแมลงเชน เมซโู รล โตกไุ ธออนหรือฟอสซโ ซโลน (ลกั ษณา 2536) การพนยาฆาแมลงควรหยดุ กอ นเกบ็ ผลพรกิ จําหนา ยประมาณ 2 อาทิตย พันธุ พรกิ ของตา งประเทศที่ตา นทานตอเพล้ยี ไฟ (Western flower thrips) กม็ บี า งเชน Keystone Resistant Giant, Yolo Wonder L, Mississippi, Nemaheart, Sweet banana และ California Wonder (Fery และ Schalk. 1991) เพลี้ยออ น เปน แมลงจาํ พวกปากดูดเหมือนเพล้ียไฟ มีขนาดเล็กประมาณ 1 มลิ ลเิ มตร มที ั้งชนดิ มปี ก และไมมีปก ทําลายตนพชื โดยการดดู นา้ํ เลี้ยงทาํ ใหช งักการเจรญิ เติบโต และแพรเชอื้ โรคไวรสั เชน โรคใบดา งใหกบั พรกิ ดวย เมื่อพบการระบาดควรพนดวยยาฆา แมลง ฟอสดรนิ หรอื ยาฆาแมลงชนิดอื่น ไรขาว มขี นาดเล็กมองดว ยตาเปลาไมเ ห็นชัด มักเกาะอยูใตใ บออนหรือยอด ออ น ไรขาวดูดน้ําเลีย้ งจากตนพชื ทาํ ใหพ ืชแคระแกรน็ การกาํ จัดควรใชย ากําจัดไรโดยเฉพาะ เชน เคลเทนหรอื ไดโดฟอล อิไทออนคลอโรเบน็ ซเิ ลทหรือกาํ มะถันผง(ลกั ษณา 2536) หนอนผเี สื้อ ฟก ตัวจากไขท ผี่ เี สอื้ ไขไ วบ นตนพืช ตัวออนจะแทะกินผวิ ใบออ น ยอด ออ น ดอกและฝก ออ น มชี ่อื อกี ชอื่ หนงึ่ วาหนอนกระทูผัก อาจทาํ ลายผลผลิตไดถ าระบาดมาก เพราะหนอนน้ีชอบกัดกนิ ผลพรกิ มีหนอนอีกชนดิ หนง่ึ ไดแกห นอนเจาะสมอฝายหรอื หนอน อเมริกนั แตกตา งจากหนอนผเี สื้อ มีลักษณะลําตัวผอมยาว ซงึ่ หนอนผีเสื้อลําตวั อวน กวา ความยาวของตวั หนอนเจาะสมอฝา ยยาวกวาหนอนผีเส้ือและผวิ ลําตวั มขี นเลก็ ซ่ึงในหนอน ผเี ส้ือลําตัวเรียบกวา หนอนเจาะสมอฝา ยทําความเสยี หายตอผลพริกไดมากกวาหนอนผีเสอ้ื การกาํ จดั หนอนท้ังสองชนิดนใ้ี ชยาฆา แมลงเชน แลนเนทหรืออโซดรินพน การพน ควรยกเวน กอนเกบ็ ผลพรกิ ขายประมาณ 2 อาทติ ยเปน อยา งตํ่า หนอนแมลงวนั ผลไมหรือแมลงวันทอง เปน หนอนทแี่ มลงวนั ทองวางไขไวโดย เฉพาะบรเิ วณผลพริก หนอนท่ฟี กจากไขจ ะกัดกนิ ผลพรกิ ทาํ ใหผ ลเนาเสียหาย การกําจดั กใ็ ชยา ฆา แมลงเชน เดยี วกบั หนอนผเี สื้อและหนอนเจาะสมอฝาย ไสเดือนฝอยท่ที าํ ลายตน พรกิ มีหลายชนดิ จะอาศัยรากพริกและดูดนาํ้ เล้ยี งจาก ตน พรกิ ที่เปนโรคสังเกตจุ ากรากทมี่ ีปม ตน พรกิ แคระแกรน็ ใหผ ลผลิตนอ ยหรือไมใ หเลย การปอ ง กันกาํ จัดทําไดเ ฉพาะในแปลงกลา เทานน้ั โดยอบดวยไอนํ้ารอ น หรอื ยาแมททลิ โบรไมดหรือยา กําจัดไสเดอื นฝอยอน่ื ๆ แตในแปลงปลูกไมท าํ เพราะส้ินเปลอื งมกั ใชว ธิ กี ารปลูกพืชหมนุ เวียนหรอื ใหน ํา้ ขงั เปน ระยะเวลา 2-3 เดือนเปนตน หรือเลือกทป่ี ลูกใหมซ ึ่งไมมไี สเดือนฝอยระบาด

13 ความเผ็ดของพริกและพนั ธุกรรมท่คี วบคมุ ความเผด็ ความเผ็ดของพรกิ เปนคณุ สมบตั พิ เิ ศษของพรกิ ในการชรู สอาหาร ความนยิ ม บรโิ ภคพรกิ ของกลมุ ชนหลายกลมุ เกดิ จากความนยิ มรสเผ็ด คนในแถบเขตรอนมคี วามนิยมรส เผ็ดมากกวา คนในเขตหนาว รสเผ็ดเกิดจากสารแคบเซซนิ (capsaicin) ซงึ่ มีโครงสรางทางเคมดี ัง น้ี C18H27NO3 สารนลี้ ะลายในไขมนั ไมม กี ลนิ่ ไมมีสี โครงสรา งทางเคมขี องสารนีร้ ายงาน ครั้งแรกโดย Nelson. 1920 ในผลพริกพบวา มีสารนม้ี ากท่ีสดุ บรเิ วณไสกลางของพริกซ่งึ เปน สวน ทเ่ี มล็ดติดอยู มสี ารกระจายอยูในเมล็ด เนอื้ และเปลือกของผลพรกิ ดว ย ผลพริกเม่ือไดรับความ รอ นพบวาสารแคปเซซิน เพิม่ มากกวา ตอนท่ยี งั ไมไ ดร ับความรอ น (Huffman, et al. 1978) ความ เผ็ดนี้ทดสอบไดโ ดยใชสารเคมี 1 % vanadium oxytrichloride ใน carbon tetrachloride หยดลง ในของเหลวที่ตอ งการทดสอบ ถา มสี ฟี าแสดงวา มีสาร capsaicin วิธีการทดสอบอยางงายทส่ี ดุ ได แกก ารชิม มีวธิ ีการวัดความเผ็ด เสนอโดย Rajpoot และ Govindarajan. 1981 โดยใชก ารวัด ปรมิ าณสารแคบเซซินอย (capsaicinoids) และการแยกสารดวยกระดาษ (paper chromatography) แยกสารแคบเซซินอยและวัดการดดู แสง (absorbance) ของสารท่ี 615 นาโนมเี ตอร (nm) แลว คํานวณคาความเผด็ จากสูตร Y = -9.22 + 164.126 x (r - 1), Y = คา ความเผด็ มีหนวย Scoville unit (su) ใน 1000 s X = % สารแคบเซซินอย r = คาความสมั พันธ (correlation coefficient) พนั ธกุ รรมที่ควบคุมความเผ็ดของพริก มีรายงานท่ีมีความขัดแยงกนั จากงานวจิ ยั ของ Webber. 1912 ระบุวาความเผ็ดของพริกถูกควบคมุ โดยยนี เดย่ี วและเปนยีนขม เนอื่ งจากลูก ผสมของพริกทไี่ ดจ ากการผสมพริกเผด็ และพรกิ หวานนั้นมอี ัตราสว นของพรกิ เผด็ กบั ไมเ ผด็ 5:1 แตจ ากรายงานของ Ohta. 1962 รายงานวา ความเผ็ดของลูกผสมชว่ั ทีห่ น่งึ ของพริกเผด็ และ พริกหวานนัน้ มรี ะดบั ความเผด็ ทแ่ี ตกตา งกนั และจากการวิเคราะหความเผด็ ของลกู ผสมช่วั ทีส่ อง และลกู ผสมกลับกบั พอ แม (backcross population) พบวา ความเผ็ดถกู ควบคมุ โดยยนี หลายยนี และมียนี ทเ่ี ปน หลักและยีนประกอบ ทําใหระดบั ความเผด็ มีระดบั ตางๆ กนั

14 เอกสารอางองิ ลกั ษณา วรรณภีร. 2536. การผลติ การตลาดพริก : โรคแมลงศัตรพู รกิ และการปองกนั กําจัด. กรมสง เสรมิ การเกษตร. หนา 30-38. Bartz, J.A., and W.M. Stall. 1974. Tolerance of fruit from different pepper lines to Erwinia carotovora. Phytopathology 64, 1290-1293. Basset, M.J. 1986. Breeding vegetable crops. Avi Publishing Company, Inc. Westport, Connecticut, pp. 584. Choi, J.K., D.Y. Park, Y.H. Woo, and J.M. Sung. 1990. Studies on the resistance of red pepper varieties to Phytophthora blight and anthracnose. Research Reports of the Rural Development Administration, Horticulture 32(2)1-9 [ko, en, 15 ref.]. Pyongchang-gun Rural Guidance Office, Ryongchang, Kangweon, Korea Republic. Fery, R.L. and J.M. Schalk. 1991. Resistance in pepper (Capsicum annuum L.) to Western flower thrips [Frankliniella occidentalis (Pergande)]. HortSci. 26(8)1073-1074. Giatgong. P. 1980. Host index of plant diseases in Thailand. Ministry of Agriculture and Cooperatives, Bangkok, Thailand 2nd edition. Holmes, F.O. 1937. Inheritance of resistance to tabacco mosaic diseases in the pepper. Phytopathology. 27, 637-642. Kaan, F., and G. Anais. 1978. Breeding large fruit red peppers (C.annuum) in the French West Indies for climatic adaptation and resistance to bacterial (Pseudomonas solanacearum, Xanthomonas vesicatoria) and viral diseases (Potato Virus Y), Annu. Rep. pp. 265-273. Station Amelioration des Plants, INRA, Domaine Duclos, Petit-Bourg, (Guadeloupe (in French), in Plant Breed. Abstr. 1978.48. Abstr. No. 8867. Reprinted in Capsicum 77. Third Eucarpia (Congr., Avignon-Montfavet, Frence, July 5-8, 1977. E. Pochard (Editor). Station Amelioration des Plants Maraicheres, INRA Montfavet 84140, Vancluse) France. Kimble, K.A., and R.G. Grogan. 1960. Resistance to Phytophthora root rot in pepper. Plant Dis. Rep. 44:872-873.

15

HORT 421 Vegetable Production มณฉี ตั ร นิกรพันธุ คณะเกษตรศาสตร มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม บทท่ี 6 การจดั จาํ แนกผกั และธรรมชาติการผสมพนั ธุ (Systematic and Breeding Behavior of Vegetable) การจัดจาํ แนกผักโดยอาศัยลักษณะสณั ฐานวทิ ยา(morphology) ชวยใหส ามารถ จดั กลมุ ผกั เปน พวกๆ และเปน ทยี่ อมรับทว่ั ไป ทําใหส ดวกในการติดตอ ระหวา งกลมุ บคุ คลตางๆ การจดั จําแนกโดยวธิ ีนี้ไมใ ชวิธกี ารเดยี ว ยงั มวี ิธกี ารจัดจําแนกวธิ อี ่ืน เชน ใชความตองการอุณหภมู ิ ของผักในการจาํ แนกชนดิ ผัก หรอื ใชสว นที่บรโิ ภค เชน บริโภคหวั , ใบ และกานใบ ผล หรือดอก ใน การจําแนกชนดิ ผัก นอกจากนีย้ ังใชวธิ ีการผลติ ผักทีแ่ ตกตา งกันในการจาํ แนกชนิดผัก แตว ิธีการ จัดจาํ แนกเหลานี้ไมเปนที่ยอมรับเทากับการจดั จําแนกโดยลกั ษณะสัณฐานวิทยา เพราะจัดจาํ แนก ไดแนชดั กวา วิธีอนื่ ๆ ช่อื วิทยาศาสตรของผกั ตางๆ ไดแสดงไวใ นตารางที่ 6-1 6.1 ตระกูล Gramineae คํานาํ พืชในตระกูลหญา หรอื Gramineae หลายชนดิ เปน อาหารทีส่ าํ คญั ของคนและ สัตว สวนใหญแ ลวถูกใชเ ปนแหลงของคารโ บไฮเดรตท่ีสาํ คัญ ตัวอยางท่อี ยูในตระกลู นไี้ ดแก ขา วไรย ขาวโพด ไผ ออยและหญา พชื ผักท่ีท่อี ยูใ นตระกูลนไ้ี ดแ ก ขาวโพดหวานและผักสด ขาวโพดฝก ออ น ขา วโพดหวาน เปน พชื ที่คนไทยรจู ักกนั ดี เพราะนิยมรับประทานผักท่ยี ังไมแ ก เต็มทีใ่ นรูปการน่งึ การปง ความจริงแลวแตโบราณเราไมร จู กั รบั ประทานขา วโพดหวาน เนอ่ื งจาก ประเทศไทยมีแตข า วโพดขา วเหนียว ซง่ึ รสไมหวานเหมอื นขาวโพดหวาน ความหวานของเมลด็ ขา วโพดหวานควบคุมโดยลักษณะทางพนั ธุกรรมเปน ยีนดอ ย ซง่ึ เกิดจากการกลายพนั ธุของ

ตารางท่ี 6-1 ชอื่ วทิ ยาศาสตรข องผักตางๆ ชือ่ จํานวนโครโมโซม Order G 2n S ตระกลู Gramineae Graminales ขาวโพดหวาน 20 “ ขา วโพดออน 20 “ ไผ “ ตะไคร - “ ขา 40,60 Polemoniales - “ “ ตระกูล Solanaceae 48 “ 24 “ มนั ฝร่ัง 24 “ มะเขอื เทศ 24 “ มะเขอื 24 พรกิ 24 มะเขือพวง 24 มะแวง ขม มะอกึ

Family Genus รวบรวมรายชอ่ื พืชผกั Species Graminales Zea “ “ mays var. rugosa “ “ “ Bambusa “ Cymbopogon vulagris (Schrad.ex Wendland) Languas citratus (DC.) Stapf Solanaceae galanga “ Solanum “ Lycopersicon tuberosum L. “ Solanum esculentum M. “ Capsicum melongena L. “ Solanum annuum “ Solanum torvum Jw. Solanum indicum L. stramonifolium Jacq.

ช่ือ จาํ นวนโครโมโซม Order Cucu 2n Legum ตระกลู Cucurbitaceae Cucurbitales แตงกวา 14 “ แตงโม 22 “ ฟก เขียวหรอื แฟง 24 “ ฝกทอง 40 “ บวบงู “ ตาํ ลงึ - “ มะระ - “ แคนตาลปู - “ บวบหอม 24 “ บวบเหลย่ี ม - “ น้ําเตา - - ตระกลู Leguminosae ถั่วฝกยาว Rosales ถัว่ เขยี ว “ ถัว่ ลนั เตา ถ่วั แขก 14 “ 22 “

Family Genus Species urbitaceae Cucumis sativus L. “ Citrullus lanatus Mansfhispida “ Benincasa hispida “ Cucurbita pepo “ Trichosanthes cucumerina “ Coccinia grandis L. “ Momordica charantia L. “ Cucumis melo L. “ Luffa cylindrica “ Luffa acutangula “ Lagenaria siceraria minosae Vigna sinensis Sesquipedalis L. “ Vigna radiata “ Pisum sativum L. sens amplo. “ Phaseolus vulgaris L.

ช่ือ จาํ นวนโครโมโซม Order 2n ถัว่ พู - “ ชะอม - “ ตระกลู Malvaceae - Malvales M กระเจยี๊ บแดง 72-132 “ C กระเจ๊ยี บเขยี ว 18 Rhoedales ตระกูล Cruciferae 18 “ บลอ คเคอรี่ 20 “ คะนา 20 “ ผกั กาดกวางตงุ 18 “ ผกั กาดขาวปลี 36 “ ผกั กาดหัว 20 “ ผักกาดเขยี วปลี 18 “ ผักหางหงษ 18 “ กระหล่ําปม กระหลํ่าดาว

Family Genus Species “ Psophocarpus tetragonolobus L. “ Acasia insuavis Malvaceae Hibiscus sabdariffa “ esculentus Brassica Cruciferae “ oleracea var. italica “ “ alboglabra “ “ chinensis L. “ campestris pekinensis “ Raphanus sativus L. longipinatus “ Brassica juncea “ campestris pekinensis “ “ gongylodes L. “ “ oleracea var. gemmifera “

ช่อื จํานวนโครโมโซม Order C 2n C กระหล่ําดอก 18 Rhoedales Con กระหลาํ่ ปลี 18 “ ผกั ขีห้ ดู “ 18 ตระกลู Compositae 18 “ สลดั “ สลดั ตน 30 Solanales ตระกูล Convolvulaceae 16 “ ผกั บุง มันเทศ Liliales “ ตระกูล Liliaceae หนอไมฝ ร่ัง กระเทียม

Family Genus Species Cruciferae Brassica oleracea botrytis “ “ oleracea L. “ sativus var. caudatus Raphanus Compositae sativa L. “ Lactuca sativa var. asparagina “ nvolvulaceae aquatica Forsk “ Ipomoea batatas (L.) Lam. “ Liliaceae officinalis “ Asparagus sativum L. Allium

ช่ือ จาํ นวนโครโมโซม Order Umbe 2n กระเทียมตน Liliales หอมแบง 16,24,32 “ หอมหัวใหญ 16 “ หอมตน 16 “ ตระกลู Umbelliferae - “ แครอท คืน่ ฉา ย Arales Dio Dioscoreales ตระกูล Araceae เผอื ก ตระกูล Dioscoreaceae มนั มือเสือ

Family Genus Species Liliaceae Allium ampeloprasum L. cepa (Aggregatum group) “ “ cepa L. “ “ fistulosum L. “ Allium carota elliferae Daucus graveolens L. Apium Araceae esculenta Colocasia oscoreaceae esculenta Lous Burk Dioscorea

ชอ่ื จํานวนโครโมโซม Order 2n ตระกลู Zingiberaceae Zin ขิง 22 ตระกูล Labiatae - โหระพา - กระเพรา - แมงลัก

Family Genus Species ngiberaceae Zingiber offcinale Rosc. Ocimum basilicum L. Ocimum sanatum L. Ocimum canum sima

8 VEG06.421 โครโมโซมท่ี 4 มี su โลกสั ของขา วโพดไร ยนี น้เี ปนตัวทําใหการเปลีย่ นนาํ้ ตาลท่สี งั เคราะหใ นเมลด็ เปลีย่ นไปเปน แปงชากวาปกติ จงึ ทาํ ใหม นี า้ํ ตาลสะสมในเอ็นโดสเปรม เม่อื เมล็ดขา วโพดแหงจะ โปรง ใสและเหีย่ วแฟบ เนอ่ื งจากมปี ริมาณแปง ตา่ํ ขา วโพดหวานมีตน กําเนดิ ในอเมริกาเหนอื เม่ือ ไมเกิน 30 ปม าน้ี เชื่อวามีกาํ เนิดในมลรัฐฮาวาย ช่ือพันธฮุ าวายเอยี้ น ซูกา (Hawaiian Sugar) ขาวโพดหวานไดแพรก ระจายในหลายประเทศ และพนั ธนุ ้ถี ูกนาํ เขามายังประเทศไทยประมาณ พ.ศ. 2510 โดย Dr. james L. Brewbaker มายงั ศูนยวจิ ยั ขา วโพด ขา วฟา งปากชอง จังหวดั นครราชสีมา และในเวลาใกลเคยี งกัน Mr. D.C. Finfrock นํามาปลกู ที่ศนู ยวิจยั ปลูกพชื หมนุ เวยี น คณะเกษตรศาสตร มหาวิทยาลัยเชยี งใหม ตอ มาไดม ีนกั วจิ ยั และปรบั ปรุงพนั ธุผ ักจาก หลายสถาบนั อาทิเชน คณะเกษตร มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร บางเขน กรมวชิ าการเกษตรและ สหกรณ และคณะเกษตรศาสตร มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม ไดป รบั ปรุงพันธขุ าวโพดหวานหลายพันธุ พันธุท่นี ิยมใชในปจจบุ ันนมี้ าจาก คณะเกษตร มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร บางเขน ขาวโพดฝกออ นไดร ับความนิยมไมน อยกวา ขา วโพดหวาน และยงั เปนสินคา สงออกท่สี าํ คัญของประเทศไทย ขา วโพดฝก ออ นนิยมใชบ รโิ ภคในประเทศในรปู ฝก สด และสง เปน สินคาออกในรปู บรรจุกระปอ ง พนั ธุท ใ่ี ชส ว นใหญใ ชข า วโพดเลยี้ งสตั วหรือขาวโพดไร ทงั้ พันธุ ลกู ผสม พันธุร วม (synthetic variety) หรือพนั ธุผสมเปดกไ็ ด หรือจะใชพันธุขาวโพดหวานในการ ผลิตขา วโพดฝกออ นก็ได ประวัติ แหลง กาํ เนดิ ของขา วโพดอยตู อนเหนอื ของอเมริกาใต ชาวอนิ เดียนแดงไดใ ชเ ปน อาหารมาแตโบราณ ขาวโพดหวานไดม าจากขา วโพดไรแ ละขาวโพดชนดิ อืน่ ๆ โดยมีการกลายพนั ธุ ท่โี ครโมโซมท่ี 4 จากยนี สข ม Su เปน ยีนดอ ย su ซงึ่ ทําใหข าวโพดมคี วามหวานมากกวาขา วโพด ทั่วๆ ไป ไดมีการบันทกึ ไว โดย Carter ในป ค.ศ. 1948 วา ขาวโพดหวานปาปนู (Papoon) มซี ัง สแี ดง นอกจากจะมียีน su แลว ยงั มียีน Pl ซ่งึ ทาํ ใหต นมีสมี ว ง ขา วโพดพนั ธนุ ี้พบครัง้ แรกโดยชาว อนิ เดยี นแดงเผา อโิ รควา ซ (Iroquois Indian) ประเทศสหรฐั อเมริกา ในป ค.ศ. 1779 ตอ จากนน้ั ได ปรากฏในแคต ตาลอกเมล็ดพนั ธใุ นป ค.ศ. 1828 พันธเุ ดมิ ทใี่ ชไดแ ก พนั ธุโ กลเดน แบนตมั (Golden Bantam) โดยบริษทั เบอรพี (W. Atlee Burpee) เปน ผูจ ําหนา ยและโฆษณา พนั ธุโกลเดนแบนตัม ไดรับการปรับปรุงพนั ธโุ ดยกระทรวงเกษตรของสหรัฐ อเมริกา (USDA) รว มกบั มหาวทิ ยาลยั เปอรดู (Perdue University) ไดพนั ธลุ กู ผสม ช่อื โกลเดน ครอสแบนตมั (Golden Bantam) พันธแุ มข องสายพนั ธนุ ี้ ไดแ ก พันธเุ ปอรดแู บนตัม หรือ เปอรดู แบนตมั 39 (Perdue Bantam 39) เปนสายพันธแุ มซ ง่ึ ใหผ ลผลิตสงู ในสภาพพันธแุ ทแ ละมีความ ตานทานโรคเห่ียวเฉาเนื่องจากเชือ้ แบคทเี รีย (Bacterial wilt) สวนพนั ธพุ อ ไดแ ก พันธเุ ปอรด ู 51

9 (Perdue 51) เปน พนั ธุที่มีชอ ดอกตัวผูใ หญ ใหเ กสรตัวผไู ดด ี ทั้งสายพนั ธุพ อ และแม ไดร ับการคัด เลอื กมาจากพันธโุ กลเดน แบนตมั นอกจากพนั ธุโ กลเดนแบนตมั แลว ยงั มีพนั ธุฮ าวายเอย้ี นซกู า (Hawaiian Sugar) ซึ่งถือกาํ เนิดท่เี กาะฮาวาย โดย Dr. Albort J. Mangeldorf ไดผ สมพันธุขี้นระหวา ง พันธุ USDA 34 กับพนั ธุ เปอรด แู บนตัม 39 ของมหาวทิ ยาลยั เปอรด ู ตอมา Dr. James L. Brewbaker ได ปรบั ปรงุ พันธุฮาวายเอย้ี นซูกา (Hawaiian Sugar) ข้นึ ในปจจุบันนมี้ ีพนั ธุลกู ผสมขา วโพดหวานใน ประเทศสหรฐั อเมรกิ า และยโุ รปหลายพันธุ สาํ หรับในประเทศไทย ไดรูจกั ขาวโพดหวานประเภทน้ี โดย Dr. James L. Brewbaker และ Mr. D. C. Finfrock ประมาณป พ.ศ. 2510 แตเ ดมิ Brewbaker ไดนําขาวโพด หวานมาทดลองปลูกทีศ่ ูนยว จิ ยั ขาวโพดขา วฟา ง ปากชอ ง จงั หวัดนครราชสมี า และไดใหพ นั ธุ หลายพันธุแ กมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร สาํ หรบั Mr. D. C. Finfrock ไดทดสอบปลูกขาวโพด หวานฮาวายเอ้ียนซเู ปอรสวที (Hawaiian Super Sweet) และทดลองผลติ เมล็ดพันธุล กู ผสมท่ี ศูนยว ิจยั ปลกู พืชหมุนเวียน คณะเกษตรศาสตร มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม ตอจากน้ันนกั วชิ าการและ อาจารยจ ากหนวยงานราชการ เชน กรมวิชาการ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร กไ็ ดป รับปรุงพันธุ ขาวโพดหวาน จนไดขาวโพดหวานหลายพันธุ พันธทุ ี่นยิ มใชใ นปจ จบุ นั ไดแก พันธไุ ทยซูเปอรส วที คอมพอลติ 1 ดีเอม็ อาร (Thai Super Sweet Composite 1 DMR) ซึ่งปรบั ปรุงโดยอาจารยธวัช ลวะเปารยะ อาจารยภาควิชาพชื สวน คณะเกษตร มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร บางเขน นอกจาก การปรบั ปรุงพนั ธุผสมเปดแลว ยังมกี ารปรบั ปรุงพันธลุ กู ผสม โดยมหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร และ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม ไดมีพันธุลูกผสมท่ีดีออกสูก สกิ รหลายพันธดุ ว ยกนั ลักษณะทางพฤกษศาสตร ก. ราก ระบบราก ขาวโพดเปน รากฝอย (fibrous root system) แยกไดเปนรากขั้นตน (primary root) รากยึดเหนย่ี ว (brance root) รากขาง (lateral root) และรากขนออ น (root hair) ข. ลําตน ลําตนเปนปลอ งตอ กันเปนขอ ที่ขอเปน ทเี่ กิดของราก ลาํ ตนใหญ และดอก ลําตน ประกอบดว ยเปลือกนอก (epidermis) เนื้อเยอ่ื ลาํ ตน (cortex) และมที อ นํา้ (xylem) และทอ อาหาร (phloem) ความสูงของลําตน มีต้งั แต 30 ซม. ถงึ 6-7 เมตร แลว แตพ ันธุ

10 ค. ใบ ใบ เปน ใบเลยี้ งเดีย่ ว เรียงตวั แบบสลบั สองขางของลําตน แตล ะขอมีหน่งึ ใบ ใบประกอบดว ย 1. กาบใบ (leaf sheath) กาบใบหอหมุ ลําตน ไว ใหค วามแขง็ แรงแกลาํ ตน 2. ตัวใบ (leaf blade) มีเสน ใบขนาน ประกอบดว ยเสน กลางใบ (mid rib) ทอน้ําทอ อาหาร (vein) 3. เยือ่ กันนํ้า (ligule) เปน เยอ่ื บางๆ อยตู รงรอยตอระหวางกาบใบ และ ตัวใบ ทาํ หนา ท่ปี องกนั นาํ้ ไมใ หต กลงในกาบใบและลาํ ตน และมิใหน้าํ สญู เสียจากชองวา งระหวางกาบใบและลําตน 4. หูใบ (auricle) มีลกั ษณะเปนรูปสามเหล่ยี ม เกดิ ท่ีฐานใบท้ังสองขาง ง. ดอก ขา วโพดมีดอกตัวผแู ละดอกตวั เมยี แยกกันภายในตนเดยี วกัน (monoecious) ดอกตวั ผูเ ปน ชอดอกแบบแพนนิเคล (panicle) เรยี กวา ทาเซล (tassel) แตล ะดอกเรียกวา สไปคเลท (spikelet) จะออกดอกเปนคูๆ (รปู ที่ 6-1) ในทาเซลมีรองรอยของดอกตวั เมียทไ่ี มเ จริญ ชอดอกตวั ผูภ ายในตนเดยี วกันจะเจรญิ กอ นดอกตวั เมียเล็กนอย ดอกตัวเมยี เปนชอ ดอกแบบสไปค (spike) เรียกวา ฝก (ear) แตล ะดอกเรยี กวา สไปคเลท จะออกดอกเปนคูๆ เชนเดียวกับดอกตวั ผู แตเพยี งดอกเดยี วที่เจริญได ดอกตวั เมีย แตล ะดอกจะมที อ รังไขหรอื ไหม (silk) ทีป่ ลายมเี มือกเหนยี วๆ (stigma) สาํ หรบั จบั เกสรตวั ผู (รูปที่ 6-2) ในฝก ดอกตวั เมยี มีรองรอยของดอกตัวผทู ไ่ี มเ จริญ จ. การผสมเกสร ผสมขา มเปนสว นใหญ ประมาณ 95% อาศยั ลมและแมลงในการผสมเกสร ขาวโพดหวานตองปลูกหางจากขาวโพดพนั ธอุ น่ื มากกวา 100 เมตร เพือ่ ปองกนั การผสมขาม ดอกตวั ผูห นึง่ ดอกมสี องนิวคลีไอ (nuclei) ทท่ี าํ หนาที่ผสมกับนวิ คลไี อของตัวเมยี ตวั หน่งึ ผสมกบั นวิ คลีไอท่ีเปน ไข อกี ตวั หนึง่ ผสมกับนิวคลไี อ (polar nuclei) ท่เี ปน อาหารสะสมสําหรบั ตน ออ น (endosperm) ฉ. ผลและเมลด็ เมล็ดขาวโพด เปนผลชนิด คารีออปซสิ (caryopsis) เปน ผลชนดิ ทีไ่ มแ ตกเมอ่ื แหง ชอดอกตัวเมียที่ไดรบั การผสมแลวเจรญิ เปนฝก (ear) มแี ถวของเมลด็ เปนแถวคูเสมอและ

11 แกนกลางของฝก เรียกวา ซังขาวโพด (cob) (รูปที่ 6-3) จํานวนแถวมตี ้งั แต 4 แถวขึน้ ไป เมลด็ ขา ว โพดทเี่ จริญเตม็ ที่แลวมีสีตางๆ กนั เชน สขี าว สเี หลอื ง สแี ดงและสีมวง เมลด็ มีสว นประกอบ ดังนี้ (รปู ที่ 6-4) 1. ฮัล หรือเพอริคารบ (hull หรอื pericarp) เปน เนื้อเย่ือของตนแมมี ลกั ษณะโปรงใส ท่ีหอหมุ เมล็ดไวท ั้งหมด 2. อลิวโรนเลเยอร (aleurone layer) เปนเน้อื เย่อื ของลูกอยูใ ตช ้นั ของ เพอรคิ ารบ จะมสี ตี างๆ ตามลักษณะของตัวออ น (zygote) สนี ี้มองเหน็ ทะลจุ ากชั้นเพอริคารบ เนอ้ื เยือ่ ในชน้ั นจี้ ะผลิตเอน็ ไซมท ใี่ ชย อ ย (hydrolytic enzyme) ไดแก เอ็นไซม เบตาอมิ เลส (B-amylase) เพอ่ื ยอ ยแปง เปนอาหารสะสมสาํ หรบั ตัวออน 3. เอน็ โดสเปรม (endosperm) เปน เน้อื เย่ือของลกู ท่ีเกิดจากการรวมตวั ของ นิวคลีไอ สองนวิ คลไี อของแมแ ละหนง่ึ นวิ คลีไอของพอ สีของเอน็ โดสเปร ม จะเปน ผลจากการรวม ตัวของนิวคลไี อท้งั 3 จะมสี ีตา งๆ เชน สแี ดง สขี าว สีเหลอื ง สมี ว ง เปน ตัวฝก ขา วโพดที่มสี ี ตา งๆ กนั ภายในฝกเดียวกัน เรยี กวา ซนิ เนีย (xenia) สขี องเมลด็ เหลา นไ้ี มถา ยทอดทาง กรรมพนั ธุ ภายในประกอบดวยแปง เปนสว นใหญ 4. เอ็มบริโอ (embryo) หรอื ตัวออ น ประกอบดว ยสวนตางๆ ของตน ออนได แก ยอด (plumule) จะเจริญไปเปน ลําตน มกั มียอดออ น 5 ใบ ราก (radicle) จะเจริญไปเปน ราก เย่ือหุม ยอด (coleoptile) เยอ่ื หมุ ราก (coleorhiza) และใบเล้ียง (scutellum) รปู ที่ 6-1 ดอกตวั ผขู องขา วโพด

12 รปู ท่ี 6-2 ดอกตัวเมยี ของขา วโพด รปู ท่ี 6-3 ฝก ขา วโพด

13 รปู ท่ี 6-4 สว นประกอบของเมล็ดขา วโพด

14 การจัดจําแนกหมวดหมขู องขา วโพด ขา วโพดจัดอยใู น Order Graminales Family Graminaeae Subfamily Panicoideae Tribe Maydeae Genus Zea Species mays ขาวโพด จัดแบงออกไดห ลายพนั ธุ (variety) ตามลกั ษณะสว นประกอบภายใน และลักษณะภายนอกของเมลด็ ไดแ ก 1. เดนคอรน (Dent corn) Zea mays var. indentata เปน ขาวโพดไรช นิด หัวบุมเม่อื แหง เพราะสว นบนของเมลด็ เปน แปง ชนิดออ น ดา นขางของเมลด็ เปน แปงชนดิ แขง็ 2. ฟรินทค อรน (Flint corn) Zea mays var. indurata เปนขา วโพดไรช นดิ หัวแขง็ เม่ือแหง เมล็ดคอนขางแข็ง เรยี บ ไมมีรอยบุมเพราะมแี ปง ชนิดแข็งหมุ แปง ชนิดออ นไว เม่อื แหง จงึ ไมหดตัว ขา วโพดชนดิ นใ้ี ชมากในยุโรปและอเมรกิ า ประเทศไทยไดปรับปรงุ พันธสุ วุ รรณ และพันธุลกู ผสมอ่นื อกี หลายพนั ธุ ไดสง เปนสินคาออกไปยงั ตางประเทศดวย 3. ขาวโพดหวาน (Sweet corn) Zea mays var. rugosa หรือ saccharata เมล็ดแกจะหดตวั เห่ยี วยน เพราะเปอรเซนตแ ปง ตาํ่ เมอ่ื เมล็ดยังออ นมลี ักษณะโปรง ใส มีรสหวาน เน่ืองจากมนี ํา้ ตาลมากกวาแปง ยนี ดอย su ทีท่ ําใหก ารเปล่ยี นนา้ํ ตาลไปเปนแปงใน เอ็นโดสเปร มไมได จงึ ทาํ ใหมีการสะสมของนํา้ ตาล ยีนทเ่ี กยี่ วของหรือมีสวนในการทาํ ใหเ กิดความ หวานนม้ี ีประมาณ 14 ยสี ในประเทศไทยมพี ันธุซเู ปอรสวีทดีเอ็มอาร และพันธลุ กู ผสมตา งๆ 4. ขา วโพดค่ัว (Pop corn) Zea mays var. everta เมล็ดมขี นาดเล็ก ประกอบดวยแปงชนิดแข็งท้ังหมด ภายในเมลด็ มีความชืน้ เมอื่ ไดร บั ความรอนจะเกิดแรงดันภาย ในเมลด็ ระเบดิ ออกมา โดยทว่ั ไปมชี นดิ หัวแหลม (rice pop corn) และเมล็ดกลม (pearl pop corn) เมลด็ มีสตี างๆ เชน สีเหลอื ง สขี าว สสี ม มีมวง เปนตน การใชขาวโพดชนิดน้ีในประเทศ ไทยสง เขามาจากตางประเทศ พันธุพื้นเมืองของประเทศไทยปรากฏวามขี า วโพดชนดิ นี้อยู แตไมไ ด รบั การพฒั นาใหพันธสุ มาํ่ เสมอเมอื่ ใชเปนขาวโพดค่วั กจ็ ะระเบดิ บางเปนบางเมลด็ ทําใหไ มเปน ท่ี นยิ มรบั ประทาน 5. ขาวโพดขา วเหนียว (Waxy corn) Zea mays var. ceratina เน้ือในเมล็ด มคี วามเหนยี ว และคอนขางใสเมอ่ื ยังไมแ กเ ต็มท่ี มแี ปง เปน สว นใหญ มรี สหวานนอ ย นิยม

15 รบั ประทานฝกสด ในประเทศไทยนิยมบรโิ ภคในภาคเหนอื และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ แต ลกั ษณะฝกและสีจะแตกตางกัน ในภาคเหนอื นิยมปลูกขาวสาลเี ทยี น ขา วสาลี ส่แี ถว ขา วสาลี โอม ซ่งึ เมลด็ มีสีเหลืองออน สีมวง และสแี ดง ลักษณะฝก เรยี วแหลม ฝกมีขนาดเล็ก สวนขา ว โพดขา วเหนยี วของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ฝกมีขนาดใหญ และสนั้ เมล็ดมสี ีเหลอื งเขม 6. ขาวโพดปา (Pod corn) Zea mays var. tunicata เมลด็ มเี ปลอื กหุม ทกุ เมลด็ และมเี ปลอื กฝกหมุ อกี ชั้นหนึง่ เปนขา วโพดพันธทุ ย่ี ังไมมกี ารคดั เลอื ก เมลด็ เปน ขา วโพด ชนิดตา งๆ เชน ขาวโพดหัวแขง็ ขาวโพดหวั บมุ ขาวโพดแปง ขา วโพดหวาน และขา วโพดค่วั 7. ขา วโพดแปง (Flour corn) Zea mays var. amylacea เมล็ดมแี ปง ชนิด ออ น ลักษณะคลา ยฟรนิ ทคอรน แตเ วลาแหงหัวจะบุมเลก็ นอย หรือบมุ ทงั้ เมลด็ ลกั ษณะเมล็ดขาวโพดชนดิ ตางๆ แหลงกระจายพนั ธุ และจดุ ประสงคใ นการใช บริโภค ไดแสดงไวใ นตารางที่ 6-2 ตารางท่ี 6-2 ลักษณะของเมล็ด ขา วโพดชนดิ ตางๆ การกระจายพันธแุ ละจุดประสงคในการ บรโิ ภค ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ชนิด ลกั ษณะเมล็ด ความหนาของ เอน็ โตสเปร ม การกระจายพันธุ วตั ถุประสงค ดานขาง เพอรคารป ในการบริโภค ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ขา วโพดเดน ปานกลาง แข็งและออน ทัว่ โลกมีความ อาหารสตั ว คอรน สําคัญ 73% ของ ทําแปง ขาวโพดท้ังหมด ใชใ นการ อตุ สาหกรรม ขาวโพด หนา แขง็ แทบทั้ง อาเจนตินา ใชท ั่วไป ฟรนิ ทค อรน หมด ยโุ รปตอนใต ขา วโพด ปานกลาง ออนและใส อเมรกิ าเหนอื บรโิ ภคฝกสด หวาน หนามาก เมอื่ ยังไมแ หง มีความนุม และ ขาวโพดคั่ว มรี สหวาน แขง็ ท้งั หมด สหรัฐอเมริกา ทาํ ขาวโพดค่วั

16 ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ชนิด ลักษณะเมล็ด ความหนาของ เอ็นโตสเปรม การกระจายพนั ธุ วัตถปุ ระสงค ดา นขาง เพอรคารป ในการบรโิ ภค ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ขาวโพด ปานกลาง ออ นเม่ือยงั ไม จีนตอนใต บริโภคฝกสด ขา วเหนยี ว แหง มคี วาม เอเซีย เหนียวและนุม ขาวโพดแปง บาง ออ น อเมรกิ าเหนอื ทําแปง และใต ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ลกั ษณะพันธกุ รรมทคี่ วบคุมความหวานของเอน็ โดสเปรม ยีนที่ควบคมุ ความหวานของขาวโพดหวาน นอกจาก su ยนี แลวยังมีอีกอยา งนอย 13 ยีน (ตารางที่ 6-3) ท่ใี ชในการปรบั ปรุงพันธุขา วโพดหวาน ชอ่ื ของยนี ตา งๆ มักเปน การอธิบาย ลักษณะของเมล็ดขาวโพดภายนอกหรอื ลกั ษณะของสวนประกอบเอ็นโดสเปร ม ยีน wx (waxy mutant) ถกู รายงานต้งั แตป ค.ศ.1909 หรือ พ.ศ.2452 เปนยนี ที่ทาํ ใหส ดั สวนของคารโ บไฮเดรท ในเอน็ โดสเปรมเปลี่ยนแปลง ยนี ในกลุมนี้ก็ไดแก ยนี ae(amylose- extender) ซึ่งทําให ระดบั แปงอมิโลส (amylose) ในเอน็ โดสเปร ม สูง ยีน bt2 (brittle-2) ยนี du (dull) ยนี sh (shrunken) ยนี sh2 (shrunken-2) ยีน sh4 (shrunken-4) ยีน su (sugary) ยีน su2 (sugary-2) ยีน se (sugary enhancer) สวนยนี กลุมทท่ี ําใหม ีการเปล่ียนแปลงในระดับของโปรตนี ใน เอน็ โดสเปร ม ไดแ ก ยีน O2 (opaque-2) และยนี fl2 (floury-2) ตารางที่ 6-3 ยนี ทใี่ ชใ นการปรับปรุงพนั ธุขาวโพดหวาน ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ยนี 1 ตัวยอ ตาํ แหนงบนโครโมโซมที่ ลกั ษณะของเมลด็ 2 ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------- amylose-extender ae 5 โปรงใส หรือสีขาวขุน,เหย่ี ว brittle bt 5 สขี าวขุน,ผวิ ไมมัน,เห่ียว brittle-2 bt2 4 สขี าวขุน,ผิวไมมนั ,เห่ียว dull du 10 สีขาวขนุ ,ผวิ ไมม นั ,เหย่ี วบา ง floury fl 2 สขี าวขุน

17 ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ยีน1 ตัวยอ ตาํ แหนง บนโครโมโซมท่ี ลักษณะของเมล็ด2 ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------- floury-2 fl2 4 สีขาวขนุ opaque-2 O2 7 สขี าวขุน shrunken sh 9 สขี าวขนุ ,เห่ยี วมาก shrunken-2 sh2 3 สขี าวขุน ,ถึงโปรง ใส,เหย่ี ว shrunken-4 sh4 5 สีขาวขุน,เหี่ยว sugary su 4 สขี าวใส,เหีย่ วยน sugary-2 su2 6 สีขนุ ,ผวิ ไมม นั sugary enhancer se ไมทราบ สเี หลืองออน waxy wx 9 สีขาวขุน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1 ชอื่ และสญั ญลกั ษณข องยนี โดย Burnham, et al. 1974 2 ลกั ษณะของเมล็ด ปรบั ปรงุ จาก Garwood and Creech. 1972 เนอ่ื งจากยีนที่ควบคมุ ความหวาน มียนี กลายพันธุ (mutant gene) หลายตัว ดงั น้ันการท่มี ียีนเหลา นสี้ องหรอื สามยนี อยูดว ยกนั มกั พบอยูเสมอ การอยูร ว มกันของยนี เหลานี้มที ง้ั สงเสรมิ กนั (complementary) และขมกนั (epistasis) อาศัยลักษณะเมลด็ ทีแ่ กเต็มที่ ไดแบง ยีน เหลา นี้ออกเปน 2 กลุม กลุมที่ 1 ไดแ ก ยนี bt bt2 sh sh2 และ sh4 กลุมท่ี 2 ไดแ ก ae du su2 และ wx ยนี กลุมที่ 1 สวนใหญจะขม ยีนกลุมท่ี 2 ตัวอยางของการอยรู ว มกนั ของยนี สองหรอื สาม ยนี แสดงในตารางท่ี 6-4 (Garwood and Creech. 1972) ตารางท่ี 6-4 ตัวอยา งของยนี ทีอ่ ยูร ว มกนั สองหรอื สามยีนของขา วโพดหวาน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------- กรรมพนั ธุ การแสดงออกรว มกนั ลกั ษณะทีแ่ สดงออกท่ีเมล็ด (Genotype) (Interaction) (Phenotype) ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ae bt epistasis (bt)1 เห่ียว,สขี าวขุน bt2 su Epistasis (bt2) เหยี่ ว,โปรงใส,ขนุ

18 ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------- กรรมพันธุ การแสดงออกรวมกนั ลักษณะทแ่ี สดงออกท่ีเมล็ด (Genotype) (Interaction) (Phenotype) ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------- sh su Complementary ยนมาก โปรงใสเหมอื นแกว มี บางสว นของเมลด็ สขี าวขุน O2 sh Epistasis (sh) เหย่ี วมาก, สีขาวขุน ae sh2 wx Epistasis (sh2) เหยี่ ว,สีขาวขุน su wx Epistasis (su) ยน, โปรงใสจนถึงสีขาวขุน ae su Complementary เหยี่ ว,โปรง แสง ae su su2 complementary เห่ียวยน,โปรง แสงจนถงึ ขุน ae due wx Complementary เห่ียว,สีขาวขุน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1 ยนี ในวงเลบ็ เปนยนี ทแ่ี สดงออก Shannon และ Garwood. 1983 ไดเสนอทฤษฎีของขนั้ ตอนการเปล่ียน นา้ํ ตาล ซูโครสเปน แปง โดยแบง ยนี กลายพนั ธุในเอ็นโดสเปร ม เปน 2 กลมุ ตามรูปที่ 6-5 กลมุ ที่ 1 เปน ยนี กลายพนั ธหุ รือยีนดอ ยทีไ่ มส ามารถเปล่ยี นนํ้าตาลซูโครสเปน สารตัง้ ตน ของแปง ไดแก ADP-glucose และ UDP-glucose เอน็ โดสเปรมที่มียนี กลายพันธุ sh2 และ bt2 จะมีระดบั ของ เอน็ ไซม ADP-glucose pyrophosphorylase ลดลงมาก เมื่อเทียบกบั เอ็นโดสเปร มปกติ (Tsai and Nelson.1966, Dickinson and Preiss. 1969, Weaver, et al.1972, Hannah and Nelson. 1976) สว นยีน sh เปนยนี สําหรับการผลิตเอน็ ไซม (sucrose synthase) (Chourey and Nelson.1976) ดงั นน้ั หากขา วโพดหวานมยี นี คู shsh จะทําให sucrose synthase ลดเหลอื เพียง 10% ของพนั ธปุ กติ ยีนกลายพนั ธกุ ลมุ ท่ี 1 น้ี จะสะสมนํ้าตาลทาํ ใหม ี reducing sugar glucose และ fructose เพมิ่ ในเอน็ โดสเปร ม ทยี่ ังออนมรี ะดับสูงกวาเอ็นโดสเปร ม ปกติ แตเมือ่ เก็บเกีย่ ว ฝกสดจะมกี ารเปล่ียนของน้าํ ตาลเปน แปงอยางรวดเร็วในอณุ หภูมิหอง ทําใหร ะดับนํา้ ตาลลดลง ครงึ่ หน่ึงของระดับเริม่ ตนภายใน 24 ชวั่ โมง อาจชลอการลดน้ไี ดถ าเกบ็ ฝก ไวใ นอณุ หภูมติ ํา่ ยนี กลายพนั ธุกลุม ท่ี 2 มีผลทําใหข าดเอน็ ไซมท ่ตี องการสําหรับผลติ แปง เชน ยีนคู wxwx ทาํ ใหข าด starch synthase enzyme ในปฏิกริ ยิ าที่ 9 ในรปู ที่ 6- 5 (Nelson และ Rines 1962) ยีนคู dudu ลดระดับของเอ็นไซมข องปฏกิ ิริยาท่ี 10

19 (Boyer และ Preiss 1981) หากยีนดอ ยของกลุมน้อี ยรู วมกนั หลายคจู ะมผี ลทาํ ใหล ดการ สังเคราะหแปงและสะสมนา้ํ ตาล เมลด็ ขาวโพดหวานท่มี ยี นี กลมุ นอ้ี ยูไมแสดงออกมากเทา เมล็ดที่ มยี นี กลุมท่ี 1 หากตอ งการขาวโพดหวานท่มี รี ะดับน้ําตาล และ water soluble polysaccharides สงู ควรมยี นี ดอ ย 2-3 คู โดยมียีนคู susu เปน หลัก

20 รปู ที่ 6-5 ขั้นตอนการผลิตแปง และ phytoglycogen จากนํ้าตาล sucrose ในเมลด็ ขา วโพด 6.2 ตระกลู Solanaceae พชื ตระกูลน้มี ีความสาํ คญั ตอ ประชากรโลกเปนอยา งมาก เพราะมพี ืชทสี่ าํ คัญใน ตระกูลน้หี ลายชนิดทเ่ี ปน อาหารของโลก ไดแ ก มันฝรงั่ พรกิ มะเขอื เทศ และมะเขอื พืชทัง้ หมด ในตระกูลนม้ี ปี ระมาณ 2000 ชนดิ จดั อยูใ นอันดับ (Order) Polemoniales ลักษณะประจําตระกลู มดี งั นี้ ลักษณะใบ alternate มีท้งั ใบธรรมดา และใบหยกั ใบกวาง เสนใบ ไมข นาน ดอก ออกดอกเปนชอ แตละดอกเปน ดอกสมบูรณเพศ ผล เปน capsule และ berry การผสมเกษร ผสมตัวเองเปน สว นใหญ แมลงอาจชว ยผสมใหเ กดิ การผสม ขามได สารมพี ษิ มักจะมี alkaloid พวก solanine เชน ในหวั มนั ฝร่ังท่ผี วิ เปลอื กมี สีเขยี ว พืชสาํ คัญที่เปน อาหาร มนั ฝร่งั (Solanum tuberosum L.) มะเขือเทศ (Lycopersicon esculentum Mill.) (Lycopersicon esculentum L.) พรกิ (Capsicum annuum) มะเขือ (Solanum melongena L.)

21 มนั ฝร่ัง (Solanum tuberosum L.) คาํ นํา มันฝรงั่ มีแหลง กําเนดิ แถบอเมริกาใต ซ่งึ มพี นั ธมุ นั ฝรงั่ ปากระจายตง้ั แตต อนใต ของประเทศสหรัฐอเมรกิ าจนถึงตอนใตข องประเทศชิลี แตพนั ธมุ นั ฝรัง่ ทป่ี ลูกในปจจบุ นั น้มี ี พันธุกรรมที่แคบมาก มีแหลง กาํ เนดิ อยูใ นอเมรกิ าใตแ ถบภูเขาแอนดสิ ระหวา ง 10 ํเหนือ และ 20 ํใต ที่ความสงู กวา 6,500 ฟุต ที่พบมากวามกี ารกระจายพันธุมากที่สดุ ที่ altiplano บริเวณ ทะเล สาบ Titicaca ในประเทศโบลิเวีย มนั ฝรัง่ ถกู ใชเปน อาหารหลักเชน เดียวกบั ขา วโพด โดยกลุม Incas พนั ธุม นั ฝรง่ั ที่ใชป ลูกกันบนภเู ขาแอนดสิ เปน พันธุ Tetraploids (2n = 48), diploid และ triploid เขา ใจวา พันธมุ นั ฝรง่ั ทใี่ ชป ลูกทกุ วันน้ไี ดมาจากการเพิม่ โครโมโซมจาก 2n เปน 4n จาก Solanum stenotomum Juz & Buk. หรอื ไดจ าก amphidiploid ระหวาง S. stenotomum (2n) และ S. sparsipilum Juz & Buk. มนั ฝร่ังถกู นําเขา ไปในประเทศยโุ รปในป ค.ศ. 1570 โดยชาวสเปน และถกู นาํ เขา ไปในประเทศองั กฤษป ค.ศ. 1586 หลงั จากที่ถกู นาํ เขา ไปเปนเวลานานกวา จะใชเ ปน อาหารใน ศตวรรษท่ี 17 โดยชาวนาของประเทศไอแลนด เรม่ิ ปลูกและสง ไปทั่วเกาะองั กฤษ สาํ หรับ ประเทศสหรฐั อเมรกิ ามันฝรงั่ ถกู นํามาคร้ังแรกที่ New England นําไปโดยคนไอริช ในป ค.ศ. 1719 มนั ฝรั่งถกู นาํ ไปประเทศอินเดียในศตวรรษท่ี 17 และยังนําไปยังประเทศญปี่ นุ ในเวลาใกลๆ กนั และถกู นําไปยงั ทวปี อัฟริกาในปลายศตวรรษที่ 19 ในศรวรรษท่ี 19 น้ยี ุโรปมกี ารปลูกมากที่สุดใน โลกถึง 90 % ปจ จุบนั มีการใชม นั ฝรั่งใชเปนอาหารหลักในประเทศแถบอบอุน ทั้งหมด ลักษณะทางพฤกษศาสตร มนั ฝรัง่ จัดเปน พชื พวก annual มีความสงู ประมาณ 0.3 - 1 เมตร เปน ทรงพุม herbaceous ใบเปน แบบ pinnate มี leaflet เลก็ ๆ อยูระหวาง pinnae ใหญ เหมอื นใบมะเขอื เทศ (รูปท่ี 6-6) ดอกมีสขี าว สีแดง หรือสีมวง มกั ไมออกดอกในสภาพเขตรอ น มสี ว นของกง่ิ ใตดินซึ่ง สะสมอาหาร คารโบไฮเดรต แรธ าตุตาง ๆ และวติ ามิน เราเรียกสวนนวี้ า tuber การลงหัวตองการ วันส้นั และอุณหภมู ิตา่ํ ฮอรโ มนทีต่ องการสําหรบั กระตุนใหมีการลงหวั ถูกสรางขึ้นที่ใบ โดยเฉพาะ ใบออ นทอ่ี ยใู นสภาพวันส้ัน ฮอรโ มนนลี้ ดประสิทธภิ าพลงถามี gibberellin สูงในตนพชื สภาพวัน ยาวทาํ ให gibberellin ในตนพชื สูง ผลเปนแบบ berry ท่ีรบั ประทานไมไ ด

22 รปู ที่ 6-6 มันฝร่ัง (Solanum tuberosum) A. ชอ มีดอก (flower shoot) B. ใบ (leaf) C. ดอกผาตามยาว (longitudinel section of flower) D. ผล (fruit) E. ผลผา ตามขวาง (cross section of fruit)

23 F. หวั มนั ฝร่ัง (tuber) แหลง พันธกุ รรม พนั ธมุ นั ฝร่งั ท่เี ปนพนั ธปุ าท่ีมหี ัวมนั ฝรั่งไดถกู เก็บไวถงึ 1500 ชนดิ ดว ยกนั ซ่งึ ถูก เก็บไวใ นอเมรกิ าใตแ ละอเมรกิ ากลาง สวนพันธุเ กา แกทปี่ ลูกใหหัวมันฝร่งั ซ่งึ เปน species ตา งๆ มี ถงึ 5000 ชนิด ประกอบดว ย species เหลา น้ี stenotomum, goniocalyx, phureja, ajanhuiri, juzcepzukii, chaucha, andigena, curtilobum มนั ฝรั่งเหลา นี้ 82 % มกี ําเนิดในประเทศเปรู มันฝรง่ั พันธุทีใ่ ชใ นปจ จุบนั นั้นมพี ้ืนฐานทางพันธุกรรมทแี่ คบมาก เนอ่ื งจากพันธุ มนั ฝรั่งสวนใหญทนี่ าํ ไปปรับปรงุ พันธุเ ปนพวกทตี่ องการวันสั้น จะไมส ามารถลงหัวไดใ นสภาพ วนั ยาวของยโุ รป ในการศึกษาพันธุมนั ฝรัง่ ทใี่ ชอยูพ บวา 80 พันธุทป่ี ลูกในประเทศสหรัฐอเมรกิ ามี ตนตอมาจากพันธทุ นี่ ิยมใช 10 พันธุ ไดแ กพ นั ธุ Cobbler, Katahdin, Pontiac, B. Burbank, Sebago, Superior, Kennebec, N. Russet, La Rouge และ Norchief (ตารางท่ี B-5) (Russell. 1985) Cobbler 2.50 - 0.094 - - 0.031 0.043 0.057 0.078 0.098 Katahdin 0.250 0.125 - 0.188 0.031 0.094 0.047 0.125 0.070 Pontiac 0.250 - 0.094 0.023 0.047 0.047 0.188 0.063 R. Burbank 0.250 - - - 0.094 - - Sebago 0.313 0.016 0.063 0.027 0.086 0.031 Superior 0.250 0.063 0.031 0.063 0.031 Kennebec 0.250 0.023 0.063 0.047 N. Russet 0.250 0.063 0.031 La Rouge 0.438 0.094 Norchief 0.273 ตารางท่ี 6-5 ความสมั พันธท างพนั ธกุ รรมของพนั ธมุ นั ฝรั่งท่นี ยิ มปลกู ในประเทศสหรัอเมริกา

24 (Mandoza และ Haynes 1974) ในกลมุ พันธุท่ีเกบ็ รวบรวมไว มโี ครโมโซมแตกตางกัน แยกไดเปน 4 กลมุ (ตารางที่ 6-6) กลุม ท่สี ําคญั ทสี่ ดุ ไดแ กกลมุ 4n (tetraploid) มีอยู 79.5 % รองลงมาไดแ ก กลมุ 2n (diploid) มี 12.4 % (Russell. 1985) ตารางที่ 6-6 เปอรเซนตของมันฝร่ังชนดิ ตา งๆกนั ในแหลงรวบรวมพนั ธทุ ี่มโี ครโมโซมทแ่ี ตกตา ง กัน Species Ploidy เปอรเ ซน็ ต Stenotomum 2 n = 24 7.42 Goniocalys 2.26 Phureja 2 n = 36 1.07 ajanhuiri 2n = 48 0.60 Hybrids 2 n = 60 1.21 12.38 Total Diploids 1.67 juzcepzukii 4.66 Chaucha 6.33 75.24 Total Triploids 1.76 andigena 2.52 tuberosum 79.52 Hybrids 1.77 1.77 Total Tetraploids 100.00 curtilobum Total pentaploids

25 ศูนยท่รี วบรวมพนั ธแุ ละปรบั ปรุงพันธุมนั ฝรั่งใหญท ่ีสดุ ไดแก International Potato Center (CIP) ซงึ่ มคี วามสมั พนั ธก ับหลายหนวยงาน ทท่ี ําการวจิ ัยและปรบั ปรงุ พันธุ มัน ฝรง่ั ไดแก Cornell University, North Carolina State University, University of Wisconsin, Institute of Plant Breeding, Agricultural University of Wageningen, Inst. Nac. de Technologia Agropecuaria Balcarce; Argentina, Agriculture Canada Research Station, Fredericton, Canada. ศนู ย CIP ไดใชแ หลง พนั ธกุ รรมของตระกูล Solanum ทง้ั พันธทุ ่ีใชปลูกและ พันธุปา ในการปรบั ปรุง ความทนโรค แมลง และความตานทานตอภยั ธรรมชาติ เชน อุณหภมู ิ พันธุ ชนดิ ตา งๆ (Species) ถกู นํามาผสมพันธุก ัน ตามรปู ท่ี 6-7 แสดงถึงความถี่ (frequency) ของการนาํ พนั ธุชนิดนัน้ ๆ มาใช มเี ครือ่ งหมายวงกลมขอบเรยี บ พันธุชนดิ ท่ีถูกนาํ มาใชน อยมี เคร่อื งหมายวงกลมขอบหยัก และวงกลมทซ่ี อนทับกัน แสดงถงึ การนาํ พันธุชนดิ เหลา นั้นมา ผสมพนั ธุกนั เพอื่ ใหไดล ักษณะหน่ึงทตี่ อ งการ

26 รูปที่ 6-7 แสดง species ของมนั ฝรงั่ ทีถ่ ูกนําไปใช วงกลมขอบเรียบเปน กลมุ ทีน่ าํ ไปใชมาก วงกลมขอบหยักเปน กลมุ ที่ถกู นําไปใชน อย วงกลมท่ีซอ นกนั แสดงถึงการผสม พนั ธุระหวางกลุม (พันธุป ลูก tbr-tuberosum, adg-andigena, phu-phureja, stn-stenotomum, ajh-ajanhuiri, พนั ธปุ า spl-sparsipilum, chc- chacoense, blb - bulbocastanum)

27 TOMATO.421 ตระกูล Solanaceae มะเขอื เทศ (Lycopersicon esculentum Mill.) คาํ นํา มะเขือเทศเปนพืชทมี่ ีประโยชนและนยิ มบรโิ ภคกนั หลายประเทศ ทัว่ โลกมีการผลติ มะเขือเทศจํานวนมากถงึ 50 ลา นตนั ในกลุมประเทศที่นยิ มมากไดแก อเมรกิ า และยุโรป ในประเทศ สหรฐั อเมรกิ ามกี ารผลติ มากในรูปการคา และสวนครวั การบริโภคมะเขือเทศสดและแปรรูปของคน อเมริกันมสี งู ถงึ 20 กิโลกรมั ตอคนตอป สําหรบั ประเทศไทยมีการผลติ มะเขือเทศสดและแปรรปู นอย มากไมเ กนิ แสนตนั ตอป การบริโภคมะเขือเทศสดและแปรรูปตอคนก็นอ ย และไมมีตวั เลขยนื ยนั เนอื่ งจากเราไมนิยมบรโิ ภคนํา้ มะเขอื เทศ หรืออาหารหลกั ทป่ี รุงดวยมะเขือเทศ มะเขือเทศจะใชในการ ปรงุ อาหารแตง เตมิ รสชาดเปน สวนนอยเทา นั้น ผลมะเขอื เทศอาจใชบรโิ ภคสดหรือทําใหส กุ การแปรรปู ก็สามารถทําเปน น้ํามะเขือเทศบด ซอสมะเขือเทศ หรือ ketchup เมลด็ มะเขือเทศมนี าํ้ มนั ถึง 24% ซ่งึ นําไปสกัดทําเปน นํา้ มนั สลดั เพ่ือใชในการผลิตเนยเทยี ม (margarine) และสบไู ด ประวัติ เชื่อกนั วามะเขอื เทศทีป่ ลกู ในปจ จุบันนี้มีตน ตอมาจากพนั ธุม ะเขอื เทศปาลูกเล็ก (cherry tomato) ซ่งึ จัดอยใู นกลุม Lycopersicon esculentum var. cerasiforme มะเขือเทศชนิดนข้ี น้ึ อยทู ว่ั ไปในแถบอบอนุ และแถบรอ นของโลก แตถิ่นกาํ เนดิ แรกเร่มิ นั้นอยูในตอน กลางของทวีปอเมริกาและ แถบ Andean หรอื ภูเขาแอนดสี ในอเมริกาใต (IBPGR 1981) จากเหตุผลหลายประการเช่อื วา ประเทศ เมก็ ซโิ กเปนถนิ่ กําเนิดของมะเขือเทศทป่ี ลกู เพือ่ บรโิ ภค ท้ังนจี้ ากการศึกษาแยกเอ็นไซมโดยการใช electrophoresis พันธมุ ะเขือเทศทป่ี ลกู กนั ปจจุบันน้จี ากยุโรปและพนั ธปุ า ของยโุ รป มกี ลุม เอน็ ไซมท ี่ คลายกับพนั ธปุ า ท่ีมาจากประเทศเม็กซโิ กและอเมรกิ า กลาง แตไ มค ลา ยกับพันธปุ า ทนี่ ํามาจาก Andean zone เหตผุ ลอกี ประการหน่งึ ไดแ กช ่ือพ้นื เมอื งท่เี รียกมะเขอื เทศในประเทศเมก็ ซโิ กมีช่อื วา Tamath ซง่ึ อาจเปน ตน ตอของช่อื tomato ทใี่ ชกัน แตภาษาพื้นเมืองของประเทศแถบ Andean เชน

28 ภาษา Quechua Aymara หรอื ภาษาอน่ื ๆ แถบน้ไี มม ชี ือ่ เรียกมะเขอื เทศเลย และประกอบท้งั ไมเ คยมี ผูใดรายงานวา พบช้นิ สวนของมะเขือเทศในการศึกษาโบราณคดแี ถบ Andean เสน ทางการกระจายของมะเขอื เทศจากทวปี อเมรกิ าไปยงั ประเทศสหรัฐอเมรกิ า สเปน ฟลลิปน ส ยโุ รป อฟั รกิ า และเอเชยี แสดงไวในรูปท่ี 6-8 (Rick 1976 และ Villareal 1979) มกี าร กระจายจากประเทศเมก็ ซิโกไปยังประเทศสหรฐั อเมริกา ประเทศ สเปนและประเทศฟลปิ ปนสต้งั แต ศตวรรษที่ 16 พนั ธมุ ะเขือเทศทเี่ ปน พันธุปลกู ในปจจุบนั นี้เปน พนั ธุทพ่ี ัฒนามาจากมะเขอื เทศพันธปุ า ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม พชื ใน Genus Lycopersicon น้ีมีโครโมโซม 12 คู ซง่ึ เปน homozygous ยนี เกอื บท้งั หมด แผนผงั ของโครโมโซม 12 คู ไดแสดงไวใ นรูปท่ี 6-9 มยี นี กวา 250 ยีน ท่ไี ดถ กู ศกึ ษาและรู ตําแหนง ของยีนบนโครโมโซม สว นใหญเปน งานวิจยั ของ Dr. C.M. Rick มหาวทิ ยาลัยแคลิฟอร เนียเดวิส พันธมุ ะเขือเทศทป่ี ลูกสามารถผสมพันธกุ ับ species อ่นื ๆ ใน Genus นไ้ี ดม ากบา งนอยบาง ดจู ากตาราง 6-7 ความสามารถในการผสมพนั ธไุ ดน ้ีมีความสาํ คญั พอสมควร เนอื่ งจากแหลง พันธุกรรมที่เปน พันธปุ ามคี วามตา นทานโรคหรือลกั ษณะใดลักษณะหนึง่ ที่ตอ งการ

29 ประเทศเปรู ประเทศสหรฐั อเมริกา ประเทศเม็กซโิ ก เสนทางการคาแกลลอี อน ปน ส ค.ศ. 1571 หลังการยึดอํานาจ ประเทศในทวปี ยุโรป โดย Cortes ประเทศฟล ิป ค.ศ. 1523 หลงั คนพบ ฟล ปิ ปนสโดย Magellan ค.ศ. 1521 ประเทศโปรตเุ กส ประเทศสเปน ประเทศตางๆ ในเอเชีย ประเทศในทวีปอัฟริกา และตะวันออกกลาง

30 รปู ท่ี 6-8 เสน ทางการกระจายของมะเขอื เทศตั้งแตศตวรรษท่ี 16 รปู ท่ี 6-9 แผนผงั ของโครโมโซมมะเขอื เทศ

31 ตารางที่ 6-7 แหลงพนั ธกุ รรมและความสามารถในการผสมพันธุร ะหวา งมะเขือเทศพันธปุ ลกู และ พันธปุ า Species ความสามารถในการผสมขาม ลักษณะที่ดีที่อาจพบ L.esculentum กบั มะเขอื เทศพนั ธุปลกู var. cerasiforme ดีมาก ความตานทานตอโรคearly blight (Alternaria solani) L.pimpinellifolium ดี และ โรคใบจดุ (Colletotricum (Jusl.) Mill phomoides) และทนความชน้ื สูง ความตานทานตอโรค leaf mold (Cladosporium fulvum) และโรค Fusarium wilt (Fusarium oxysporum) และ โรค grey leaf spot (Stemphylium solani) L.cheesmanii Riley ผสมได ปอ งกันการรวงของผลและทน ตอ เกลอื L.chmielewskii ผสมได มี soluble solid สูง L.parviflorum ผสมได L.hirsutum ผสมไดเมือ่ ใช ความตานทานตอ โรค Humb. and Bonpl เปนตัวผู . Botrytis mold (Botrytis cinerea) และโรค Septoria leaf spot (Septoria lycopersici) และตานทานแมลง

32 Species ความสามารถในการผสมขาม ลกั ษณะทดี่ ที ่ีอาจพบ L.esculentum กบั มะเขอื เทศพันธปุ ลกู var. cerasiforme ดมี าก ความตา นทานตอโรคearly L.peruvianum (L.)Mill. blight (Alternaria solani) ผสมไดเ ม่อื เลี้ยง ความตานทานตอโรค Corky L.chilense Dun. ตวั ออนโดยอาหาร root (Pyrenochaeta terrestris Solanum pennillii ปลอดเช้อื และโรคไวรสั (Tobacco mosaic ผสมไดเมอื่ เลี้ยง Virus) และความตา นทาน ตวั ออนโดยอาหาร ตอ ไสเดือนฝอย( ปลอดเชอ้ื Meloidogyne) ผสมได ความตานทานตอโรคใบหด (Curly top virus) ทนตอความแหง แลง ความสามารถในการผสมระหวา ง species ท่ีแสดงไวใ นตารางท่ี 6-8 อาจจะแยกให เหน็ โดยละเอยี ดในตารางที่ 6-8 (Hogenboom 1972) เน่ืองจาก genus Lycopersicon น้ีแยกได 2 subgenera ไดแก Eulycopersicon ซ่ึงมีผลสแี ดง มี L.esculentum และ L.pimpinellifolium การ ผสมระหวาง 2 species นีม้ ีมาก มกั เปนการถา ยทอดยนี ตา นทาน เชน Cladosporium fulvum, Fusarium oxysporium, และอ่ืนๆ สวน subgenus Eropersicon ซ่งึ มผี ลสีเขยี ว ไดแ ก L.hirsutum, L.peruvianum และ L.chilense เปนตน มะเขือเทศใน subgenus น้สี ามารถผสมพนั ธุก บั Eulycopersicon ไดเมอ่ื ใช Eriopersicon เปนตวั ผูเทา น้ัน

33 ตารางที่ 6-8 ความสามารถในการผสมพันธุภายในและระหวาง species ของมะเขอื เทศ ตวั ผู L.esculentum L.pimpinellifolium L.hirsutum L.chilense L.peruvianum ตวั เมีย EA EA EA EA Esculentum + ++ ? EA SI EA Pimpinellifolium + ++ EA I Hirsutum + UI + UI + SI UI Chilense UI UI ? peruvianum UI UI UI + ไมมยี นี ขัดขวาง (no barrier) SI ไมสามารถผสมตวั เองได (self incompatibility) UI ผสมไดทางเดียว (unilateral incompatibility) EA ตวั ออ นไมเ จรญิ (embryo abortion) ? ไมมีผลการวจิ ยั ลักษณะทางพฤกษศาสตร มะเขอื เทศถูกจัดอยใู นอันดับ(Order) Polemoniales ลักษณะของดอก ใบและผล แสดงไวใ นรูปที่ 6-10 การออกดอกเปนแบบ raceme เปน ชอ ดอกโผลจากลาํ ตน จากลักษณะการ ออกดอก แบงมะเขือเทศไดเ ปน 2 ชนดิ ไดแก 1. แบบไมทอดยอด (determinate type) ประกอบดว ยชอ ดอกขา ง (axillary raceme) และชอดอกปลายยอด (terminal raceme) ชอดอกขา งจะออกดอกขอ (node) เวน ขอ ทรงพุม แนน ไมต องขึ้นคาง พวกนใี้ หผ ลผลติ เร็วและอายสุ ้นั ใชสําหรบั ทาํ มะเขือเทศแปรรปู สง โรงงาน การเกบ็ เกยี่ วผลมีชวงเวลาท่สี น้ั ประมาณ 5 คร้ัง 2. แบบทอดยอด (indeterminate type) ประกอบดวยชอดอกขางเทา นน้ั สว น ปลายยอดยังเจริญทางกิ่งกา นและใบ ชอ ดอกขา งออกดอกขอเวนสองขอหรือเวน มากกวาน้ี พวกนีม้ ี ทรงพุมหลวม ตน สูงตองข้นึ คา ง ใหผ ลผลิตชาและชวงการเกบ็ เกยี่ วผลยาว อาจเก็บผลไดมากกวา 10 คร้งั เหมาะสําหรับปลกู เพือ่ สงตลาดสด

34 ดอกมะเขอื เทศเปน ดอกสมบรู ณเ พศมเี กสรตัวผู(stamen) รวมกันเปน หลอด(tube) ครอบเกสรตัวเมยี (pistil) ดังนั้นการผสมพันธุจึงเปน แบบผสมตัวเอง(self pollination) ประมาณ 98% การผสมพันธุของมะเขอื เทศตอ งการอากาศเยน็ โดยเฉพาะอณุ หภมู ติ อนกลางคนื ไมค วรสงู กวา 21 ํซ บางพนั ธุม คี วามสามารถทนรอนเปนพิเศษทีอ่ าจผสมพนั ธุไดถา อุณหภมู สิ งู กวาน้ี ผลมะเขือเทศเปน ประเภท berry ประกอบดว ยชอ งรังไข (locule) 2-25 ชอง สวนใหญ จะมปี ระมาณ 2-10 ชอ ง สว นทใี่ ชเปน อาหารไดแก pericarp, placental tissue และเมลด็ pericarp ประกอบดว ย epidermis 3-4 ชน้ั สวนบนสดุ เปน ช้นั ของ cuticle ที่คอนขางหนา สวนท่ีเหลือของ pericarp เปน เซลขนาดใหญผนงั บาง placenta ประกอบดวย parenchyma tissue เจริญรอบๆ ovule จะหลดุ จากเมลด็ เมือ่ ผลเร่ิมแก ปลอยใหเมลด็ อยใู น gelatinous tissue สีแดงของผลมะเขอื เทศ เกิดจากมี lycopene ซ่ึงเปน xanthophyll pigment ชนิดหน่งึ ใหสีแดงและมี pigment ท่ีทําใหเกดิ สี เหลืองไดแ ก B carotene ซ่งึ เปน carotenoid และ B carotene นเ้ี ปนตน ตอ(precursor)ของวติ ามนิ A ซ่งึ จะมีประมาณ 0.2-10 mg/100 g ใน Genus Lycopersicon วติ ามิน A ที่สูงทีส่ ดุ พบในพันธปุ าเชน L.hirsutum และ L.pimpinellifolium วติ ามิน C หรอื ascorbic acid มใี น Lycopersicon ประมาณ 13-75 mg/100 g ระดบั วติ ามนิ C ที่สูงท่ีสดุ พบใน L.peruvianum เน้ือของมะเขือเทศ ประกอบดวยสารตา งๆ ทงั้ insoluble solid และ soluble solid ถาหากมีสารเหลานม้ี ากกท็ าํ ใหเ นอื้ ของผลมมี าก protopectin ซึง่ เปน สวนประกอบของผนังเซลที่เราเรยี กวา middle lamella มีความ สัมพันธโดยตรงกบั เน้ือของผลและความแนนของผล pH ของผลควรอยูใ นระดบั 4-4.5 เพ่ือการบรรจุ กระปอง การที่ pH ตํา่ ทาํ ใหเ ช้อื แบคทเี รยี พวก Clostridium botulinum ไมสามารถเจรญิ ได เมลด็ พนั ธุมะเขือเทศในประเทศไทยนิยมใชพนั ธุแทและพันธุลกู ผสม แตเ มล็ดพนั ธุ ลูกผสมมรี าคาแพงกวาเมล็ดพันธแุ ท เมล็ดพนั ธุท ้งั หมดสัง่ เขามาจากตางประเทศโดยเฉพาะประเทศ สหรฐั อเมริกา ในปจจบุ ันน้ปี ระเทศไทยผลิตเมล็ดพันธลุ ูกผสมใหแ กป ระเทศเหลา นน้ั แตเ รากต็ องส่ัง เมล็ดท้ังหมดจากตา งประเทศ เมลด็ พันธุแ ทกส็ ามารถผลติ ไดภ ายในประเทศ แตไ มไดท ําการผลติ เนอื่ ง จากเปน การผลิตทีไ่ มคมุ ทุน จึงนิยมสง่ั จากประเทศสหรัฐอเมริกา

35 รูปที่ 6-10 มะเขอื เทศ (Lycopersicon esculentum) A. ใบ B. ดอก

36 C. ดอกผา ตามยาว D. ผลผา ตามขวาง

36 ตระกลู Solanaceae พริก (Capsicum spp.) คํานํา เปนทย่ี อมรับกนั วาพรกิ มีแหลงกาํ เนดิ ในเขตรอนของทวปี อเมริกาไดแก อเมริกาใต และอเมรกิ ากลาง หรือเรยี กวา New World tropics มีผพู บผลของพริกในหลุมฝงศพที่มอี ายุถงึ 2000 ป ณ ประเทศเปรู (Safford. 1926) จากการสํารวจพนั ธพุ รกิ ในเขนรอนทวปี เอเซียหรือ Old World tropics ไมมีหลักฐานวาพรกิ มีแหลง กําเนิดในแถบนี้ (De Candolle. 1886) พริกถูกนําเขา ไปเผย แพรในประเทศสเปนต้ังแตสมยั โคลัมบัสในป ค.ศ.1493 หลงั จากนั้นก็ไดกระจายไปยังประเทศตางๆ แถบทะเลเมดเิ ตอรเ รเนยี น และประเทศอังกฤษ ตอมาชาว สเปญและชาวโปรตเุ กสเปน ผูนําไปเผย แพรใ นเอเซีย การยอมรบั พริกในการบริโภคน้ัน ไดร ับการยอมรับในทันที ไมเหมือนมะเขือเทศและมนั ฝร่งั ซ่งึ ใชเ วลานานกวา ผูบรโิ ภคจะยอมรับ จาก หลกั ฐานพบวาในประเทศอินเดยี มีพรกิ ปลูก 3 พนั ธุ ต้งั แต ค.ศ. 1542 (Heiser. 1976 และ Purseglove. 1968) สําหรบั ประเทศไทยเขาใจวา พริกถูกนําเขา ประเทศโดยชาวโปรตเุ กสเปน เวลาหลายรอ ยปแลว และไดร บั การยอมรบั อยางมากเปนอาหารชูรสที่ สําคญั ของประชากรในประเทศ ชูรสที่สาํ คัญของพริกไดแกร สท่เี ผ็ดอนั เน่ืองมาจากสาร capsaisin ใน รูป vanillyl amide ของ isodecyanic acid ท่อี ยูใ นไสพ ริก (placenta) การปลูกพริกเผ็ด เชน พริกข้ีหนู พรกิ ช้ฟี า พริกกลางและ Tabasco ปลูกในแถบรอน (tropics) มีความสําคญั ทางเสรษฐกิจมาก ใชในการบริโภคภายในประเทศและแปรรปู สง ออกไปยงั ประเทศเขตอบอุน เปน พรกิ แหงหรือพรกิ สดบรรจุกระปอ ง สว นพรกิ หวาน (sweet pepper) ปลกู ใน ประเทศเขตอบอนุ และเขตรอ น ไดรบั ความนยิ มบรโิ ภคมากในเขตอบอนุ ประเทศในเขตรอ นและก่ึง รอนเชนประเทศเซเนกลั เคนยา และอ่ืนๆ ในอัฟริกาตอนเหนือ ปลกู พรกิ หวานเพ่อื สง ออกไปยงั ประเทศในทวีปยุโรป คุณคาทางอาหารของพรกิ มคี อนขา งสงู พรกิ เปนแหลง ทใี่ หวติ ามนิ C วิตามิน A และ วติ ามนิ อน่ื ๆ (ตารางที่ 6-9 Grubben. 1977) นอกจากนี้ยงั ใชเปนยาและไมป ระดับอกี ดวย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook