เทคนคิ การปลกู และดูแลรกั ษายาสบู 1. การเตรยี มการกอนปลกู 1.1 การเตรยี มดิน 1.1.1 ไถดะ 1 ครัง้ ดวยไถผาน 3 หรือ ไถผาน 4 ลกึ ประมาณ 30 เซนติเมตร ตากดินไวอยา งนอ ย 2 สปั ดาห เพอื่ กําจัด วัชพชื โรค แมลง และสตั วศตั รพู ชื 1.1.2 ไถพรวน 2 คร้งั ดว ย ไถผาน 7 เพอ่ื ยอ ยดนิ ใหร ว นซยุ มคี วามสมา่ํ เสมอ และเพือ่ เก็บความชนื้ 1.1.3 ยกแปลงปลูกแบบรองคู หรอื รองเด่ียว 1.2 การเตรยี มพันธุ 1.2.1 เมล็ดพันธุตองมีความ งอกไมต่าํ กวารอยละ 90 1.2.1 การเพาะกลา มี 2 ระบบ - ระบบแปลงเพาะ ขนาดกวาง 1 เมตร ยาว 11 เมตร สูง 30 เซนตเิ มตร วธิ ีการโดยใชผาขาวบางหรอื ผาดิบหมุ เมลด็ พนั ธแุ ชน้ําใหชุม แลว ยกออก ปลอ ยท้ิงไวป ระมาณ 3-5 วนั เมือ่ เมลด็ เริม่ เจรญิ ทางสรรี ะ ใหผ สมกบั น้ําอตั รา 1 - 2 กรัม ตอน้าํ 7 ลิตร พรอ มผสมสารเคมีตามคาํ แนะนําปองกนั โรค ใสบ วั รดนา้ํ นําไปหวา น ในแปลงทเ่ี ตรยี มไว คลมุ ดวยมุงไนลอนเพอ่ื ปอ งกันแสงแดดจัด วธิ นี ี้จะไดก ลายาสูบ ประมาณ 10,000 – 20,000 ตน และยายปลกู เม่อื อายุกลาอายปุ ระมาณ 40 - 45 วนั หรือยายกลา อายุ 3 สปั ดาหใ สใ นถงุ ชําเพอ่ื ใหม คี วามแข็งแรงหลงั จากชําถงุ ประมาณ 15 - 25 วนั นาํ ไปปลกู ในแปลงตอไป - ระบบ Float beds การเพาะในถาดเปน วิธที น่ี ยิ มปฏิบัติ ขอ ดี คอื ลดตน ทนุ ในการผลติ ตนกลา ทําไดรวดเร็ว ประหยัดเวลา ตน กลา มีความสมา่ํ เสมอ ปลกู ไดท ้งั แรงงานคนหรือใชเคร่อื งปลูก วิธกี าร คือ เพาะเมล็ดในถาดเพาะ เมอ่ื กลาอายุ ประมาณ 20 วนั ยายไปชาํ ในถาดชําประมาณ 15 - 25 วัน จงึ นําไปปลกู 2. การปลกู 2.1 ฤดปู ลูก 2.2.1 เร่มิ เพาะกลาประมาณเดอื นตุลาคม 2.2.2 เริ่มปลกู ตนเดอื นพฤศจิกายน 2.2 วธิ ีปลกู ใชแรงงานคน 2.3 ระยะปลกู 2.3.1 ยาสูบเวอรจ เิ นยี ระยะระหวางแถว 120 เซนตเิ มตร ระหวา งตน 60 เซนตเิ มตร จะได 2,200 – 2,500 ตน ตอ ไร 44
2.3.2 ยาสบู เบอรเลย ระยะระหวางแถว 90 เซนติเมตร ระหวา งตน 60 เซนตเิ มตร จะไดจ ํานวนตน 2,800 – 3,000 ตน ตอไร 2.1.4 ยาสบู เตอรก ิช ปลกู แถวคู ระยะระหวางแถว 15 - 20 เซนติเมตร ระหวา งแถวคู 40 เซนติเมตร และระหวางตน 10 เซนตเิ มตร จะไดจาํ นวนตน 20,000 – 30,000 ตนตอ ไร 3. การดูแลรกั ษา 3.1 การใสปยุ 3.1.1 ยาสบู เวอรจิเนยี ใชป ยุ ผสมสตู ร 4-16-24+4 (MgO) อตั รา 150 กโิ ลกรมั ตอไร หรอื 6-18-24+4 (MgO) อตั รา 120 กิโลกรัมตอ ไร โดยแบง ใส 2 ครั้ง เม่ืออายุ ได 7 - 10 และ 30 วนั หลังยายปลกู โดย ใสป ยุ ขา งตน แลว พรวนกลบ 3.1.2 ยาสูบเบอรเ ลย คร้ังท่ี 1 หลังจากยายปลกู ประมาณ 7 - 10 วัน - ปลกู ตน ฤดู ใชสตู ร 6-12-24 + 4MgO + 0.5B อตั รา 50 กิโลกรัม ตอไร - ปลูกกลางฤดูและปลายฤดใู ชสตู ร 6-12-24 + 4MgO + 0.5B อตั รา 100 กโิ ลกรมั ตอไร ครัง้ ท่ี 2 หลงั จากยายปลูกประมาณ 21 - 25 วัน - ปลกู ตน ฤดู ใชสตู ร 6-12-24 + 4MgO + 0.5B อตั รา 20 กโิ ลกรมั ตอ ไรแ ละสตู ร 27-0-0 อัตรา 30 กโิ ลกรัมตอ ไร - รุนปลูกกลางฤดูและปลายฤดู ใชสูตร 27-0-0 อตั รา 50 กโิ ลกรัม ตอ ไร ครงั้ ที่ 3 หลงั จากยา ยปลูกประมาณ 40 - 45 วัน โดยฝงรอบโคนตน ใหห า งจากโคนตนในแนวรัศมปี ลายใบ หรือแนวกลางแปลงปลกู - ปลูกตน ฤดู ใชส ตู ร 6-12-24 + 4MgO + 0.5B อัตรา 30 กก.ตอ ไร และสตู ร 27-0-0 อตั รา 20 กิโลกรมั ตอไร - ปลูกกลางฤดูและปลายฤดู ใสเ ฉพาะกรณที ี่ตน ยาสูบแสดงอาการ ขาดปยุ และใหใชส ูตร27-0-0 อัตรา 20 กโิ ลกรัมตอ ไร หรอื สูตร 13-0-46 อัตรา 15 กิโลกรมั ตอไร 3.1.3 ยาสูบเตอรกิช สตู รปุย ท่ใี ชคอื 3-10-8 อตั รา 70 - 80 กิโลกรัมตอ ไร ใสก อนปลกู 2 - 3 วนั ไมนยิ มใสหลงั ปลกู เพราะใชระยะปลูกคอ นขา งถ่ี ในกรณที ่ีเปน ดนิ ทรายจัดและมอี นิ ทรียวตั ถุต่ํากวา 1 เปอรเซน็ ต ควรหวา นปุย คอกอตั รา 3 ตันตอไร หลงั การไถแลว ไถแปรกลบอกี 2 คร้งั หลงั หวาน เพอ่ื ใหปยุ คอกสลายตัวควรหวานกอน ปลกู 3- 4 เดอื น 45
3.2 การใหน ํ้า หลงั จากปลกู ยาสบู 3- 5 วนั ใหน า้ํ เพยี งเลก็ นอ ยเพอื่ ใหต ง้ั ตวั เมอื่ อายุ 25-30 วนั เรมิ่ ใหน า้ํ ครงั้ แรก หรอื หลงั จากใหป ยุ ครง้ั ที่ 2 หลงั จากนนั้ ใหท กุ 10 - 15 วนั ขนึ้ อยูกับสภาพดิน การใหน้ําอยางถูกวิธีจะชวยใหตนยาสูบเจริญเติบโต ลดความ เสยี หายทเ่ี กดิ กบั รากจากโรคแขง ดาํ หรอื ไสเ ดอื นฝอย ผลผลติ เพม่ิ ขนึ้ ประมาณ 15 เปอรเ ซน็ ต ใบยามคี ณุ ภาพดี ระยะสกุ แกส มาํ่ เสมอ เผาไหมด ี ขอ ควรระวงั อยา ใหน าํ้ ทว มแปลง หรอื ให นา้ํ ขงั นานเกนิ ไป และนา้ํ ทใ่ี ชไ มค วรมคี ลอไรดใ นนาํ้ เกนิ 25 ppm. 3.3 การตอนยอดและกําจัดแขนง การตอนยอด หมายถงึ การเดด็ ชอ ดอกและใบขนาดเลก็ ทยี่ อดทง้ิ ไป สว นการกาํ จดั แขนงหมายถงึ การกาํ จดั กงิ่ แขนงทเ่ี กดิ ขน้ึ หลงั การเดด็ ยอด เพอ่ื ปรบั ปรงุ คณุ ภาพ ผลผลิต และปริมาณนิโคติน กระตุนใหเกิดราก ทําใหรากดูดน้ํา และอาหารไดมากขึ้น ลดการหกั ลม ความเสยี หายจากโรคและแมลง วธิ กี ารโดยใชแ รงงานคน ในการตอนยอด และใชส ารเคมตี ามคาํ แนะนาํ ในการควบคมุ การแตกแขนงยาสบู เวอรจ เิ นยี ควรทาํ ในระยะที่ ดอกบาน 1 ดอกในแตล ะชอ หรอื อายุ 65 - 75 วนั จาํ นวนใบทต่ี ดั ทงิ้ ขน้ึ กบั ความสมบรู ณ ของตน ถา ตน แขง็ แรงเหลอื ใบไว 16 - 18 ใบ ถา ไมส มบรู ณค วรเหลอื ใบประมาณ 12 ใบ ยาสบู เบอรเ ลยท าํ เมอ่ื อายปุ ระมาณ 65 - 75 วนั หรอื ดอกทง้ั แปลงบานประมาณ 2 ใน 3 รนุ ท่ี ปลกู พรอ มกนั ควรตอนใหเ สรจ็ ในคราวเดยี วกนั ตน สมบรู ณเ ตม็ ทใ่ี หเ หลอื 20 - 24 ใบ สมบรู ณ ปานกลางเหลอื 17 - 19 ใบ และตน ทไ่ี มส มบรู ณใ หเ หลอื 14 - 16 ใบ สว นพนั ธเุ ตอรก ชิ ไมน ยิ มตอนยอดและกาํ จดั แขนง เนอ่ื งจากจะทาํ ใหค วามหอมลดลง 4. ศตั รพู ืชที่สาํ คัญ 4.1 วชั พชื กาํ จัดโดยใชแ รงงานคน 4.2 โรค โรคในแปลงเพาะกลา 4.2.1 โรคโคนเนา เกดิ จากเชือ้ รา ปองกันโดยใชช ีวภัณฑไ ตรโคเดอรมา (ยูนิกรนี ยูเอ็น-1) 550 กรัม โรงใหท่ัวแปลงเพาะ หรือใชสาร เคมีตามคําแนะนาํ 4.2.2 โรคแอนแทรคโนส เกดิ จากเชอ้ื รา การปองกนั ใชเ ช้ือแบคทเี รีย บาซลิ ัส ซับทลี สิ 30-50 กรัม ฉีดพนทุกสัปดาห หรอื ใชสารเคมตี าม คาํ แนะนํา ควรเปด ผา คลุมแปลงเพาะใหต นกลา ได รบั แสงแดดอยูเสมอ ในเวลาเชา และเย็น เพื่อลด ความชืน้ ในดิน 46
โรคทเ่ี กดิ ในแปลงปลูก 4.2.3 โรคใบหด เกดิ จากเช้ือไวรสั โดยมแี มลงหวี่ขาว เปนพาหะนําโรค ระบาดมาก ในชว งตน ฝนถึงปลายฝน ปองกนั โดยปลูกพชื ชนดิ อน่ื หมุนเวยี นสลับกับยาสบู หรือใชสารเคมตี ามคาํ แนะนํา 4.2.4 โรคไสเดอื นฝอยรากปม เกดิ จากพยาธิตวั กลม ปอ งกันโดยปลกู พืช ชนดิ อน่ื หมุนเวยี นสลบั กับยาสบู หรือใชส ารเคมตี ามคาํ แนะนาํ 4.3 แมลง 4.3.1 เพลี้ยไฟ เพลยี้ ออน หนอนกระทกู ินยอด หนอนกระทูกินใบ หนอนเจาะลาํ ตน ปอ งกันกําจัดโดยใชสารเคมตี ามคําแนะนํา 5. การเก็บเกี่ยว 5.1 ยาสบู เวอรจ เิ นีย เก็บครงั้ แรกเมอื่ 70-75 วนั หลังยายปลกู โดยใชแ รงงานคน สงั เกตุไดจ ากเมือ่ ดอกบาน 50% ของจาํ นวนตน ท้ังหมด หรือเมอื่ ปลายและขอบใบเร่ิมเปลี่ยนจากสเี ขยี ว เปน เหลอื ง เสน กลางใบมสี ีขาว ผิวใบหยาบ ขรุขระ มีจุดตกกระบางๆ รมิ ใบบางสว นมี รอยยน ปลายใบตก เนือ้ ใบยดื หยนุ ไมห ักงาย มยี างนอย กานใบทํามมุ กบั ลาํ ตน กวา งข้นึ เปราะและหกั จากลาํ ตน ไดง า ย ครัง้ ตอๆ ไปเกบ็ ทกุ 5 - 7 วัน ครง้ั ละ 2 - 3 ใบ แตละ ตนเกบ็ ใบได 7 - 8 คร้ัง คร้ังสุดทา ยเม่ืออายุประมาณ 120 วนั ในกรณีท่ใี บยาแกเรว็ อาจ ตอ งเก็บ 7 - 10 ใบตอตนตอ สปั ดาห แตถาใบยาแกช า เพราะเกิดความแหงแลงหรือไดร ับ ปุยไนโตรเจนมากเกนิ ไป อาจงดเกบ็ บางสปั ดาห ควรเกบ็ ตอนเชา เพราะถา แดดจดั ใบจะ สรา งสารเหนยี ว ไมส ะดวกในการเก็บ ไมควรเกบ็ ขณะฝนตกกอนหรือกอ น 3 วนั หลัง ฝนตก เพราะเมอื่ นําไปบมจะไดใบยาคณุ ภาพตา่ํ ควรปลดิ ใบออกทางดา นขาง ไมป ลดิ ลง เพราะจะทําใหเปลอื กลาํ ตนลอกติดมาดว ย รีบนําใบยาเขา ท่รี ม ทนั ทีดวยภาชนะปากกวาง ไมค วรทง้ิ ไวก ลางแดด หลงั จากเก็บใบยาหมดแลวใหข ดุ ตน นาํ ไปเผาทําลาย 5.2 ยาสบู เบอรเลย เกบ็ ครั้งแรกเมอ่ื อายุ 70 - 75 วัน หลงั ยายปลูกโดยใชแ รงงานคน สังเกตุ ไดจ ากปลายใบยาลางสุดมีสนี ้ําตาล และใบยาบนเรมิ่ เหลอื ง วิธเี ก็บจับที่โคนใบแลว ปลดิ ออกดานขาง เก็บคร้งั ละ 2 - 3 ใบ ใบยาตนี และใบยากลางเวนระยะเก็บทุก 7 - 10 วนั ใบยายอดเวนระยะเก็บทุก 10 - 15 วัน และการเก็บครง้ั สดุ ทา ยเมอื่ อายุประมาณ 110 - 120 วัน ควรเก็บในชวงเชา เพราะถา แดดจดั จะเกิดสารเรซนิ มลี กั ษณะเหนยี ว ทําใหเ กบ็ ไมส ะดวก ไมควรเกบ็ ขณะฝนตกหรือหลงั ฝนตกใหม เมือ่ เกบ็ แลว ใหรีบนาํ เขา ในที่รมเพอื่ ทาํ การบม หลงั จากเก็บใบยาหมดแลวใหข ุดตนนาํ ไปเผาทาํ ลาย 5.3 ยาสบู เตอรก ชิ เกบ็ เม่ือปลายใบเปลีย่ นเปน สีเหลืองประมาณ 2.5 เซนติเมตร ขอบใบ เรม่ิ เหลอื งเมอ่ื เดด็ จากลาํ ตน จะมเี สยี งดงั ใบหลดุ ไดโ ดยงา ย ลกั ษณะออ นตวั นาํ มาพนั มว นได 47
ขอควรระวังในการเกบ็ ใบยาสูบเตอรก ิช ไมค วรเกบ็ เมอ่ื ใบเหลอื งเกนิ ไป เพราะเมอื่ บม แลว ใบยาจะเบา ไมม เี นอ้ื เปราะและสคี ลาํ้ วธิ เี กบ็ จะเกบ็ ใบยาทลี ะใบ ครงั้ ละ 3-5 ใบ ประมาณ 5-6 ครง้ั เกบ็ ทกุ 7 วนั ใบยาทอี่ ยลู า ง สดุ 2-3 ใบแรกควรเดด็ ทงิ้ เนอื่ งจากคณุ ภาพตาํ่ ใบยายอดจะมคี ณุ ภาพดที สี่ ดุ มกี ลน่ิ หอมจดั ควรเกบ็ ในชว งเชา ไมค วรเกบ็ ในขณะแดดจดั และฝนตก หลงั จากเกบ็ ใบยาหมดแลว ใหข ดุ ตน นาํ ไปเผาทาํ ลาย การปฏิบตั ิหลังการเกบ็ เกย่ี ว (การบม) ยาสบู เวอรจ เิ นยี ใชว ธิ บี ม ดว ยไอรอ น โรงบม ตอ งควบคมุ อณุ หภมู แิ ละความชน้ื ได ในระยะเรม่ิ บม คอื ระยะทําสี ตอ งเพ่มิ อุณหภูมิทีละนอยและรกั ษาความชืน้ ไว เพื่อไมให ใบตาตายและมสี ีตามตอ งการ จากนน้ั ตรึงสีโดยเปดชอ งระบายอากาศ และเพิ่มอณุ หภูมิ ใหสงู ตามดว ยการเพม่ิ ความรอนระบายความชืน้ ออกทางชองระบายดา นบน เปด ชอง ระบายดา นลา งและบนทัง้ หมด เพือ่ ทาํ ใหใ บยาและกา นแหง ยาสูบเบอรเลย ใชว ธิ บี ม อากาศ โรงบมตองควบคมุ ความช้ืนและถา ยเทอากาศ ไดด ี ขนาดโรงบม มาตรฐาน กวา ง 4 เมตร ยาว 5.5 เมตร ระยะเวลาการบมแบง เปน 3 ระยะ คอื ระยะทําใหใบยาเปนสเี หลอื งใชเวลา 4 - 5 วัน สนี ํ้าตาล 10 - 12 วนั และ ระยะทาํ กา นแหง 10 - 12 วนั ขึน้ อยกู ับขนาดของใบยา การนาํ ใบยาแหง ออกจากโรงบม ใบและกา นตอ งแหง สนิท เขียนปา ยบอกหมู นํา้ หนัก วนั ทีก่ องใบยาแหง นําไปเก็บใน โรงเกบ็ ท่ปี พู ้นื ดว ยกระสอบหรอื ผา ทส่ี ะอาด คดั มัดกาํ ใบยาแหง คัดหมู สี ขนาด ตําหนิ ใหอยูในระดับเดยี วกันแลว นํามาเรียงใหหัวกานเสมอกนั รอการอดั การอัดใบยาแหง นําใบยาหมเู ดียวกันอัดลงในลังอดั ใบยาขนาด2 x 3 x 1.5 ฟตุ นํา้ หนักตอหอประมาณ 65 - 70 กิโลกรมั โดยใชก ระสอบทสี่ ะอาด 2 ผนื ตอใบยา 1 หอ แลวใชเ ชือกกระสอบ เยบ็ ใหห างกันชวงละ 8 - 10 เซนตเิ มตร ยาสบู เตอรกิช ใชว ธิ บี มแดด นําใบยาสูบแขวนไวใ นท่ีอณุ หภูมิ 21 - 27 องศา เซลเซยี ส ความช้นื สมั พัทธป ระมาณ 85 เปอรเซ็นต 1 - 3 วนั เพื่อลดความชื้น นําไปบม โดยใชแสงแดดอีกประมาณ 48 ช่ัวโมง จากนัน้ นําไปแขวนในท่รี ม อากาศถา ยเทสะดวก เมือ่ ใบเปล่ียนเปน สเี หลอื งใหน ําใบยาออกตากแดดเฉพาะกลางวนั และใหนาํ เขารม เพอ่ื หลีกเล่ียงน้ําคาง ประมาณ 15 - 20 วัน 48
ขอ มูลสภาพแวดลอมทีเ่ หมาะสมตอการเจรญิ เติบโตของยาสบู สภาพแวดลอ ม ความเหมาะสม ขอจํากดั 1. สภาพภมู อิ ากาศ - 21-26 องศาเซลเซียส - ในสภาพทีอ่ ุณหภูมิตา่ํ กวา 9 และสงู กวา 40 องศาเซลเซียส ขา วโพดจะไม - ชวงกลางวนั 29-32 องศาเซลเซียส เจรญิ หรือหยุดชะงักกระบวนการตาง ๆ - อุณหภูมิ - ชว งกลางคืน 18-21 องศาเซลเซียส - แสง - ความสูงจากระดับนํ้าทะเล ไมเ กิน 1,000 เมตร - หากปลกู ในพื้นทีส่ งู จากระดับน้าํ ทะเลมากกวา 1,000 เมตร จะทําใหเกิดโรค 2. สภาพพน้ื ท่ี - ความลาดเอยี งไมเ กิน 5 เปอรเ ซ็นต ทางฝก ทเ่ี กิดจากเชอ้ื ราFusarium monoliforme เนอื่ งจากมนี ํา้ คา งแรงในเวลา กลางคืน เหมาะสมกับการระบาดของเชอื้ ราดงั กลาว ทาํ ใหผลผลิตเสยี หาย 3. สภาพดิน และมีคุณภาพไมดี - ลักษณะเนอื้ ดิน - ดนิ รวน ดนิ รวนเหนียว ดินรวนทรายหรอื ดนิ เหนยี ว - ความเปน กรด - ดา ง - การระบายน้าํ และถา ยเทอากาศดี - ระดับหนาดินลึกไมนอยกวา 25 เซนติเมตร - ความอดุ มสมบูรณปานกลาง มีอินทรียวัตถุไมต ํ่ากวา 1.0 เปอรเ ซน็ ต มีฟอสฟอรัสท่เี ปนประโยชนไมนอยกวา 10 สว นในลานสวน และมี โพแทสเซียมท่แี ลกเปลย่ี นไดไมนอยกวา 60 สว น ในลานสว น - 5.5 - 7.0 49
50 ขอมลู สภาพแวดลอ มทเี่ หมาะสมตอ การเจริญเติบโตของยาสบู (ตอ) สภาพแวดลอม ความเหมาะสม ขอจํากดั 4. ความตอ งการธาตุอาหารพืช - อินทรียวัตถุ (OM , %) นอยกวา 1 % ใสปยุ 20 กก./ไร 1-2 ใสป ุย 10-15 กก./ไร มากกวา 2 ใสป ยุ 5-10 กก./ไร - ฟอสฟอรัส (P , มก./กก.) PPP222OOO555 นอยกวา 10 ใสป ยุ 10 กก./ไร 10-15 ใสปุย 10-5 กก./ไร นอยกวา 15 ใสป ยุ 5-0 กก./ไร - โพแทสเซยี ม (K , มก./กก.) KKK222OOO มากกวา 60 ใสปยุ 10 กก./ไร 60-100 ใสป ุย 10-5 กก./ไร มากกวา 100 ใสปุย 5-0 กก./ไร 5. สภาพน้าํ - สภาพดนิ ท่ปี ลูกขา วโพดโดยท่วั ไป ตองการนํ้าประมาณ 450-600 - ชว งวิกฤตของขาวโพด คอื กอนออกดอก 2 สัปดาห และหลงั ออกดอก 2 สัปดาห มิลลเิ มตร กระจายสมา่ํ เสมอตลอดฤดูปลูก เฉลี่ยประมาณ 4-5 หากขาดนา้ํ อยางรุนแรงจะทาํ ใหผ ลผลิตลดลงอยางมาก มลิ ลเิ มตรตอวัน - ชวงออกดอกถึงชวงขา วโพดสะสมนา้ํ หนกั แหง ตองการประมาณ 6-8 มลิ ลเิ มตรตอวัน
แนวทางการเพ่มิ ประสทิ ธิภาพการผลิต และแหลงสืบคนขอ มูลเพมิ่ เตมิ แหลง สืบคนขอมูลเพิ่มเตมิ วิภาวรรณ กิตวิ ัชระเจริญ.2548. ยาสบู พชื เศรษฐกจิ ของไทย.สถาบันวิจยั พชื ไร. กรมวิชาการเกษตร. โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง. 2546. คูมอื การเพาะปลูกยาสูบเบอรเลย ใบยาตวั เตมิ ปรับปรงุ (Filler Plus) 51
ถัว่ เหลอื ง การเตรยี มการ 20 วัน ขนั้ ตอนการปลูกและการดูแลรกั ษาถว่ั เหลอื ง 120 วัน 140 วัน 40 วนั 60 วัน 80 วนั 100 วนั สภาพไร การเตรียมดิน การปลูก การใสปุย การใหน าํ้ การเกบ็ เกยี่ ว -หยอดเปนหลุม 50 x 20 ซม.หยอด สภาพไร เม่อื ถ่ัวเหลอื งอายุ 20 วัน ให - สภาพไร อาศัยนํา้ ฝน ตองไม - เกบ็ เกยี่ วตามอายุของ - ไถผาน 3 ลึก 15-20 ซม. ตาก 4-5 เมลด็ /หลมุ ใสป ุยตามลักษณะดนิ โดยโรยขา งแถว ใหขาดน้ําชวงตดิ ฝก และเมล็ด พันธุหรอื เมื่อสฝี กเปล่ยี น ดนิ 7-10 วัน -โรยเปน แถวระยะระหวางแถว 50 ซม. ดงั นี้ 60 วนั หลังปลูก เปน สนี ้าํ ตาล 95% - ไถผาน 7 แลว คราด เอาเศษ จํานวน 20-25 ตน /แถว - ดินรว น หรอื ดนิ เหนยี วปนทราย ใสปยุ - สภาพนา ใหน าํ้ ทกุ 7-15 วัน - ใชเคียว หรอื เคร่ืองเกย่ี ว วัชพชื ขามปออก ปรับดินให -หยอดเปนหลมุ ระยะปลกู ตามชนดิ สูตร 12-24-12 อัตรา 20กก./ไร ตอ งไมใ หขาดน้ําชวงติดฝกและ มัดเปนฟอนวางบนแครไม สม่าํ เสมอ พนั ธุ หลุมละ 4-5 เมล็ด - ดินเหนยี ว ใสปุยสูตร 16-20-0 อัตรา เมลด็ 60 วนั หลังปลูก ยกพ้นื สูง 50 ซม. - ใสป ยุ 16-16-8 อัตรา 30 กก./ไร -การใสป ยุ หากชว งปลกู ขาวใสปุย 16- 30 กก./ไร สภาพนา 16-8 หรือ 16-20-0 แลว ใหใ สปยุ 0-46- - ตดั ตอซงั ท้ิงในนาไมตองไถหรือ 0 อตั รา 10 กก./ไร พรอ มปลกู หากชวง การกําจดั วัชพชื พรวนดนิ ปลกู ขา วไมไ ดใ สป ยุ 16-16-8 หรอื 16- กําจดั วชั พชื โดยวธิ กี ลหลงั ถว่ั งอก 15- ศัตรทู ส่ี ําคัญและการปองกนั - ขดุ รองระบายนํา้ รอบกระทงนา 20-0 ใหใสปยุ 0-46-0 อัตรา 20 กก./ไร 20 วนั หากไมไดผลใหใชสารเคมีตาม ปป--แหทนลลมโรรููกกอวคกพพนนรโเนัืชาเนขจสหธสียานุตมวะปิมานุขฝนอาเก ใวทวงถบยีกาวั่จหนนันดุนปคพออลรนนางกุ นสกแเมานั้าํมรลคตลเด็าคางงพวมมนันัคโี คเาํธจนแุดาเนวะนยะลา นสําาแตาํ รอนปนถอ่ัวงกนั - ใหนา้ํ แบบทว มแปลงจนดนิ อิ่ม พรอ มปลูก คําแนะนํา ตวั แลว ระบายออกกอ นปลูก 3. ใชสารเคมี กําจัดวัชพืชกอ นงอก หลงั ปลูกทนั ที การปฎบิ ัติหลังการเกบ็ เก่ียว การเตรียมพันธุ 4. ใหฟางคลุมหลงั ปลกู ทนั ทีเพือ่ ปอ งกัน - นวด เม่อื ความชน้ื ลดลงเหลอื 15-17 % 1. ความงอกไมตํ่ากวา 75% วัชพืช - ตากเมล็ด1-3 แดด ใหความชน้ื เหลือ 13% 2. คลุกปยุ ชีวภาพไรโซเบยี ม อตั รา - บรรจเุ มล็ดถ่วั เหลืองในกระสอบปานเย็บปาก 200 กรมั /เมลด็ พนั ธุ 15 กก. กระสอบใหเ รียบรอย วางในทรี่ ม บนพ้นื ท่มี ีไมรอง
เทคนิคการปลูกและดูแลรกั ษาถว่ั เหลือง 1. การเตรียมการกอ นปลูก 1.1 การเตรียมดนิ 1.1.1 ในสภาพไร เปน การปลูก ในฤดูฝนไถดวยผานสาม 1 คร้ัง ลกึ 15 - 20 เซนตเิ มตร ตากดิน 7 - 10 วนั พรวนดวยผาน เจด็ 1 คร้งั แลวคราดเก็บซาก ราก เหงา หวั และไหลของวชั พืชขามปออกจากแปลง แลว ปรับดนิ ใหสมํ่าเสมอ 1.1.2 ในสภาพนา เปน การปลูกในฤดูแลงหลงั เกบ็ เกี่ยวขา ว - ตัดตอซังทิ้งเศษฟางไวใ นแปลงนา โดยไมต อ งไถหรอื พรวนดนิ - ขดุ รอ งนํ้ารอบและผา นแปลงนากวาง 30 เซนติเมตร ลึก 20 เซนติเมตร ระยะระหวา งรองนา้ํ 3-5 เมตร เพอ่ื สะดวกตอ การใหน าํ้ และระบายนาํ้ ออก - ใหน ํ้ากอ นปลูก โดยใหน ํ้าแบบทว มแปลงครึง่ วัน หรือจนกระท่ัง ดินอิ่มตัว แลว ระบายนํา้ ออก ตากดนิ 1 - 2 วัน ใหด ินหมาดไมมนี ้ําขงั แลว จึงหยอดเมล็ด ถวั่ เหลือง 1.2 การเตรยี มพันธุ 1.2.1 ใชเมล็ดพันธุที่มีความสมบูรณปราศจากโรคแมลงมีความงอกไมนอย กวา รอ ยละ 75 1.2.2 ใชเมลด็ พันธุ 15 กโิ ลกรัมตอ ไร คลกุ กับปยุ ชีวภาพไรโซเบยี ม 1 ถงุ (200 กรมั ) 1.2.3 คลกุ สารเคมปี อ งกันโรคราน้ําคาง (แหลงทีม่ ีโรค) 2. การปลูก 2.1 วธิ ีปลกู 2.1.1 ในสภาพไร 1) หยอดเปนหลมุ ใชไ มแ หลมทําหลมุ กวาง 2 - 3 เซนติเมตร ลึก 3 - 4 เซนติเมตร ระยะปลกู 50 x 20 เซนติเมตร หยอด 4 - 5 เมล็ดตอ หลมุ ไดป ระมาณ 64,000 ตนตอ ไร 2) โรยเปน แถว โดยใชแ รงงานคนหรอื เครอ่ื งปลูกโรยเปนแถว ระยะ ระหวา งแถว 50 เซนติเมตร จาํ นวน 20 - 25 ตนตอแถว ยาว 1 เมตร จะไดประมาณ 64,000 - 80,000 ตน ตอ ไร 2.1.2 ในสภาพนา 1) ใชไมแหลมทําหลมุ กวา ง 2 - 3 เซนตเิ มตร ลึก 3 - 4 เซนตเิ มตร หยอด 4 - 5 เมลด็ ตอ หลมุ 2) ระยะปลกู และจาํ นวนตน ทเ่ี หมาะสม - พันธอุ ายุส้นั เชน นครสวรรค1 เชยี งใหม2 ศรีสาํ โรง1 ระยะ 53
ปลูก 25 x 25 เซนติเมตร จะได ประมาณ 100,000 ตน ตอไร - พันธอุ ายปุ านกลาง เชน สจ.5 เชียงใหม60 ขอนแกน เชยี งใหม6 ระยะปลูก 40 x 20 เซนติเมตร จะไดประมาณ 80,000 ตนตอ ไร - พนั ธุอายุยาว เชน พันธจุ ักรพนั ธ1 ระยะปลกู 50 x 20 เซนติเมตร จะไดประมาณ 64,000 ตน ตอไร 3) ใสปุยพรอ มปลกู - ในชวงการปลูกขาวถา ใสป ุยเคมสี ูตร 16-16-8 หรอื 16-20-0 แลว ใหใ สป ุย 0-46-0 อัตรา 10 กโิ ลกรัมตอ ไร - ในชวงการปลกู ขา วไมไดใสป ยุ เคมีสตู ร 16-16-8 หรอื 16-20-0 ใหใ สป ุย 0-46-0 อัตรา 20 กิโลกรมั ตอไร 4) ใชส ารเคมีกาํ จดั วชั พชื กอ นงอก 5) คลุมฟางขาวหลังปลกุ ทนั ทเี พือ่ ปองกันวัชพืช 3. การดูแลรกั ษา 3.1 การใสป ุย 3.1.1 ในสภาพไร ใสป ุย ขา งแถวเมอ่ื ถว่ั เหลอื งอายุ 20 วัน ตามลกั ษณะดนิ ดังน้ี 1) ดินรว นหรือดินรว นเหนยี วปนทราย ใสปุยสตู ร 12-24-12 อตั รา 20 กโิ ลกรมั ตอ ไร หรอื หวา นปยุ เคมสี ตู ร 16-16-8 อตั รา 30 กโิ ลกรมั ตอ ไรพ รอ มเตรยี มดนิ 2) ดินเหนยี วหรอื ดนิ รว นเหนียวใสป ุย สูตร 16-20-0 อตั รา 30 กิโลกรมั ตอไร 3.2 การใหน าํ้ 3.2.1 ในสภาพไร ปลูกโดยอาศยั นาํ้ ฝน แตถ าฝนทิง้ ชว งนานตอ งใหน ํ้าเพ่ิม โดยเฉพาะในชวงการเจรญิ เตบิ โตของฝก หรอื เมล็ดหรือ ประมาณ 60 วันหลังปลกู 3.2.2 ในสภาพนา 54
1) ใหนํ้าทกุ 7 - 15 วนั 2) ตองไมใหถั่วเหลืองขาดน้ําในชวงการเจริญเติบโตของของฝกหรือ เมล็ดหรือ ประมาณ 60 วนั หลงั ปลกู 4. ศตั รพู ชื ท่ีสําคญั 4.1 วชั พืช 4.1.1 วัชพืชฤดเู ดียว เปนวัชพชื ท่ีครบวงจรชีวิตภายในฤดเู ดยี วสวนมาก ขยายพันธดุ ว ยเมล็ด 1) ประเภทใบแคบ เชน หญา นกสีชมพู หญาตีนนก หญาตนี กา หญา ตนี ตดิ หญาปากควายและหญา ดอกขาวเปน ตน 2) ประเภทใบกวาง เชน ผักยาง ผกั โขมหนิ ผักปลาบ ผักตนี ตุกแก ปอวัชพชื ผกั เบยี้ หนิ สาบแรงสาบกา ผกั คราดหวั แหวน ผักไผนํา้ หญากํามะหย่ี เทียนนา กะเม็ง เปน ตน 3) ประเภทกก เชน กกทราย เปน ตน 4.1.2 วชั พืชขามป เปนวชั พชื ทีข่ ยายพันธุดว ย ตน ราก เหงา หวั และไหล ไดด ีกวา การขยายพนั ธุดวยเมลด็ 1) ประเภทใบแคบ เชน หญาแพรก และหญา ชนั อากาศ 2) ประเภทใบกวา ง เชน ไมยราบเครอื สาบเสอื และเถาตอเชอื ก 3) ประเภทกก เชน แหวหมู และกกดอกตมุ การปอ งกนั กําจัด 1) กําจัดวัชพืชโดยใชแรงงานคนหรือเครื่องจักรกลเมื่อถั่วเหลืองอายุ 15 - 20 วันหรอื กอนถ่วั เหลอื งออกดอก 2) หากใชว ธิ ีกลไมไ ดผลใหพ น สารกาํ จัดวัชพชื ตามคําแนะนํา 4.2 โรค 4.2.1 โรครานาํ้ คาง เกิดจากเชอื้ รา ลกั ษณะอาการเปนแผลจุดสเี หลือง แกมเขียวดา นบนใบ ตอ มาขยายใหญเ ปนสนี ้ําตาลขนาดแผลไมแนนอน พบเสนใยสเี ทา ของเชอื้ ราบรเิ วณแผลใตใบ ชวงเวลาระบาด ระบาดรุนแรงชวงปลายฤดฝู น ทีม่ อี ากาศ เยน็ และความช้นื สงู การปอ งกนั กําจดั ใชพันธุตานทาน คลุกเมล็ดดว ยสารเคมตี าม คําแนะนาํ 4.2.2 โรคราสนิม เกดิ จากเชอื้ รา เปน แผลจุดสนี ํา้ ตาลขนาดเล็กใตใบ ระยะแรกพบใบลา งระบาดสใู บบน เห็นสปอรผ งสนี ํา้ ตาลคลา ยสนิมเหล็กบริเวณรอยแผล ชวงเวลาระบาด ระบาดรนุ แรงชว งปลายฤดฝู นท่มี อี ากาศเยน็ และความชื้นสูง การปองกนั กาํ จัด เก็บซากพืชท่เี ปนโรค เผาทาํ ลายนอกแปลง ใชส ารเคมตี ามคําแนะนํา 55
4.2.3 โรคใบจดุ นนู เกดิ จากเชือ้ แบคทเี รีย ลักษณะอาการเปนแผลจุด สเี หลอื งแกมเขียวดานใตใบตอมาขยายโตขึน้ กลางแผลจะแหง ตกสะเกด็ เปนตมุ เลก็ ๆ สนี า้ํ ตาลคลายโรคราสนิมแตม วี งสีเหลืองลอ มรอบ ระบาดรนุ แรงในชวงทม่ี ีอากาศรอน อบอาว การปอ งกนั กําจดั เกบ็ ซากพืชทีเ่ ปนโรคเผาทําลายนอกแปลง ใชสาร เคมีตามคาํ แนะนาํ 4.2.4 โรคโคนเนา ตน ดํา เกดิ จากเชอื้ รา ตนถ่ัวจะเหี่ยว ใบเหลืองซีด ตอมายืนตน ตาย ทโ่ี คนตนและรากเนา เปนสีดํา ระบาดเม่ือมีฝนตกหนกั หลังภาวะฝน ทิง้ ชว งนาน 2-3 สัปดาห การปอ งกนั กาํ จัด ปลูกพืชหมุนเวียน เกบ็ ซากพืชท่เี ปนโรคเผา ทําลายนอกแปลง ใชสารเคมตี ามคาํ แนะนํา 4.2.5 โรคแอนแทรคโนส เกดิ จากเช้อื รา ลักษณะอาการเสนใบมแี ผล ขนาดเลก็ สนี ํา้ ตาลแลวขยายสแู ผนใบ ทาํ ใหใ บเหลืองไหม รว งกอ นกําหนด บนกิ่งและ ลําตน เปนแผลสีน้าํ ตาลดํา บนฝกและเมล็ดเปน จดุ หรือตุม เลก็ ๆสีนํ้าตาลดาํ เรียงเปน วง ซอ นกนั ระบาดรุนแรงเมื่อฝนตกในระยะท่ีถ่วั เหลอื งใกลเกบ็ เกย่ี ว การปองกันกําจดั ไมใ ชเ มลด็ พนั ธจุ ากแหลง และแปลงทม่ี โี รคระบาด เกบ็ ซากพชื ทเ่ี ปน โรคเผาทาํ ลายนอกแปลง ใชส ารเคมตี ามคาํ แนะนาํ 4.3 แมลงศตั รู 4.3.1 หนอนแมลงวนั เจาะลาํ ตน ถว่ั เปน แมลงวนั ขนาดเลก็ สเี ทาดาํ ขนาด ประมาณ 2 มลิ ลเิ มตร ปก ใส หนอนเจาะไชชอนเขา ไปกดั กนิ ทไี่ สก ลางลาํ ตน และใตผ วิ เปลอื ก บรเิ วณโคนตน แลว เขา ดกั แด ระบาดรนุ แรงในระยะกลา การปองกนั กาํ จดั คลกุ เมลด็ พนั ธดุ ว ยสารเคมตี ามคาํ แนะนาํ กอ น ปลกู หรอื พน สารเคมีตามคําแนะนาํ 4.3.2 หนอนเจาะตน ฝก ถ่ัว เปนผีเสอ้ื กลางคนื ขนาดเลก็ วางไขเปนฟอง เด่ยี วๆ ทกี่ ลีบดอก บนฝกออ นบรเิ วณฐานหรือลําตน ใกลฝก หนอนจะเจาะเขา ไปกนิ อยู ภายในฝก ระบาดมากในระยะตดิ ฝก เมือ่ อากาศแหง แลง และอุณหภูมิสงู การปองกันกําจดั ใชส ารเคมีปอ งกนั กาํ จดั แมลงศัตรูตามคําแนะนาํ 4.3.3 มวนเขียวขา ว รปู รา งคลายโลส เี ขยี ว วางไขเปน กลมุ หลายแถวเรียง กันเปนระเบียบตามสว นตา งๆ ของพืช ตวั ออ นและตวั เต็มวยั ดดู กินน้ําเล้ยี งจากใบ 56
และฝกออน ทําใหฝ ก ลบี ระบาดรนุ แรงในระยะออกดอกถงึ เกบ็ เกยี่ วในสภาพอากาศมี ความชน้ื สูง การปอ งกันกาํ จัด ใชสารเคมีตามคาํ แนะนํา 5. การปฏบิ ัตกิ อ นและหลังการเก็บเกี่ยว 5.1 ระยะเก็บเกยี่ วทีเ่ หมาะสม 5.1.1 เกบ็ เกีย่ วตามชว งอายุของพนั ธุทป่ี ลูก หรอื 95 เปอรเซน็ ตข องฝก เปลยี่ นเปน สีน้าํ ตาล 5.1.2 เม่อื เมล็ดถ่วั เหลอื งมีความชน้ื 15 - 17 เปอรเซ็นต 5.2 วิธกี ารเก็บเกี่ยว 5.2.1 ใชเคียวเกี่ยวตนหรือใชเ ครอื่ งเก่ียววางราย 5.2.2 ใชเ ชอื กมัดเปนฟอน นําไปกองบนแครไมทสี่ ะอาดยกพืน้ สูง 50 เซนตเิ มตร 5.3 การปฏบิ ัตหิ ลังการเก็บเกย่ี ว 5.3.1 นวดดวยเครอื่ งขณะท่ถี ั่วเหลอื งมคี วามชื้น 15-17 เปอรเ ซ็นต 5.3.2 นําเมล็ดที่นวดผึง่ แดด 1 - 3 แดด ลดความชน้ื ในเมลด็ เหลอื 13 เปอรเซน็ ต 5.3.3 บรรจุเมลด็ ถ่ัวเหลืองในกระสอบปาน ทไี่ มชาํ รดุ สะอาดและเยบ็ ปดปากกระสอบใหเรยี บรอย 5.3.4 วางกระสอบทบี่ รรจเุ มลด็ ถว่ั เหลืองในที่รมบนพื้นท่ีมไี มรอง 57
58 ขอมูลสภาพแวดลอมท่ีเหมาะสมตอการเจริญเติบโตของถั่วเหลือง สภาพแวดลอ ม ความเหมาะสม ขอ จาํ กดั 1. สภาพภูมิอากาศ - 25-35 องศาเซลเซียส - อุณหภมู ทิ ่สี งู หรือต่ําเกนิ ไปมผี ลตอ การเจริญเตบิ โต เชน อุณหภมู ิต่าํ จะทําให - อณุ หภูมิ (เซลเซยี ส) ตน เติบโตชา อุณหภมู ิ ต่ํากวา 9.9 องศาเซลเซยี ส จะทําใหเมล็ดไมงอก และ หากอณุ หภมู สิ งู จะทาํ ใหด อกรว ง การตดิ ฝก นอ ย ผลผลติ ตาํ่ เมลด็ มคี ณุ ภาพตาํ่ 2. สภาพพืน้ ท่ี - ความสูงจากระดบั น้ําทะเล - มคี วามสูงจากระดบั นาํ้ ทะแลไมเกนิ 600 เมตร - ความลาดเอียงของพื้นที่ - ไมเ กิน 5 เปอรเซน็ ต 3. สภาพดิน - ลกั ษณะของเนือ้ ดนิ - มีเนอ้ื ดินเปนดินรวน รวนเหนยี ว หรือ รวน ปนทราย - ดินท่ีปลกู ถั่วเหลืองมกี ารระบายนํา้ ดีเพราะถ่วั เหลืองเปนพชื ท่ีไมทนตอสภาพ - ความลกึ ของหนาดิน - 20-25 เซนติเมตร นํ้าขงั - ความเปนกรด-ดา ง (pH) - 5.5-7.0 - ปรมิ าณอินทรียวัตถุ - ไมตาํ่ กวา 1.5 เปอรเซ็นต
ขอ มูลสภาพแวดลอมทีเ่ หมาะสมตอการเจรญิ เตบิ โตของถั่วเหลอื ง (ตอ ) สภาพแวดลอ ม ความเหมาะสม ขอ จํากดั 4. ความตอ งการธาตอุ าหารพืช - ธาตอุ าหารหลกั - ธาตุอาหารไนโตรเจน (N) ถว่ั เหลืองเปนพชื ที่มตี องการไนโตรเจน - พชื ตองการรองจากธาตอุ าหารหลัก - ธาตุอาหารรอง/ธาตุอาหารเสริม สงู มากแตแ หลง ทมี่ าของไนโตรเจนนอกจากดนิ แลวยงั ไดมาจากไรโซ เบียมดวย 5. สภาพนํา้ - ธาตุอาหารฟอสฟอรสั (P) มากกวา 12 ppm ไมตอ งใสป ุย - คุณภาพนาํ้ - ธาตุอาหารโพแทสเซียม (K ) ทแ่ี ลกเปลี่ยนไดม ากกวา 50 ppm ไม - ปริมาณนํา้ ท่ีตอ งการ ตองใสป ุยเพ่มิ เตมิ ธาตอุ าหารรอง - พชื ตอ งการนอ ยกวา ธาตุอาหารหลัก/ธาตอุ าหารรอง - กาํ มะถนั (S) - แคลเซยี ม (Ca) - แมกนเี ซียม (Mg) ธาตอุ าหารเสรมิ - เหลก็ (Fe) - แมงกานีส (Mn) - สงั กะสี (Zn) - ทองแดง (Cu) - โบรอน (B) - โมลบิ ดินัม่ (Mo) - คลอรนี (Cl) 59 - สภาพนาํ้ ทว มขงั ( water logging ) มผี ลตอผลผลิตถัว่ เหลืองโดย - ขาดนํ้าในชว งการเจรญิ ทางลาํ ตนและใบผลผลิตลดลง รอ ยละ 12 ขาดนํา้ ใน เฉพาะหากเกดิ สภาพน้ําทวมขงั ในชวงระยะสะสมนาํ้ หนักเมล็ด ชว งเร่มิ ออกดอก-ออกดอกเต็มท่ี ผลผลิตลดลง รอ ยละ 24 ขาดนาํ้ ในชว งเร่ิม (นํา้ ทว มขัง 7 วนั ผลผลิตลดลง 13% นํ้าหนกั เมลด็ ลดลง 21 %) ตดิ ฝกผลผลติ ลดลง รอ ยละ 35 ขาดนาํ้ ในชว งตดิ ฝก ฝก แกผลผลติ ลดลง 1,000-1,500 มิลลเิ มตรตอ ป รอ ยละ 13
แนวทางการเพม่ิ ประสทิ ธิภาพการผลติ และแหลงสืบคน ขอมูลเพ่ิมเตมิ 1. เตรยี มแปลงปลูกถว่ั เหลอื ง - ควรปรบั สภาพดินใหหนา ดินใหส มาํ่ เสมอ - ขดุ รองน้าํ รอบแปลงเพื่อใหระบายนา้ํ ออกจากแปลงใหสะดวก เพราะหากนํา้ ทวมขังรากถั่วเหลอื ง อายุ 10-20 วนั เปนเวลา 2 วัน จะทําใหผ ลผลิตลดลง 10 เปอรเ ซ็นต - ในพนื้ ทท่ี มี่ ีฝนตกมากใหเลือกปลกู ถัว่ เหลอื งในพื้นท่ที ม่ี ีความลาดชนั เพอ่ื ไมให เกดิ การกกั เกบ็ นาํ้ จนเกิดปญ หานํ้าทวมขังแปลง 2 ใชเ มล็ดพนั ธดุ ที ี่ใชป ลกู ไมเ กิน 3 ฤดู คลกุ เมลด็ พนั ธุดวยเช้อื ไรโซเบยี ม 200 กรมั ตอเมลด็ พันธุ 15 กก. หรอื ปลูก 1 ไร 3. ใหนํ้าแปลงถั่วเหลืองในปริมาณท่ีเหมาะสมและสมํ่าเสมอต้ังแตปลูกจนถึง ออกดอกและติดฝก หามไมใ หน ํา้ ทว มขังรากและขาดนํา้ ในชวงออกดอกติดฝก 4. วชั พชื ในแปลงถว่ั เหลอื งเปน ปญ หาสาํ คญั ทท่ี าํ ใหผ ลผลติ ลดลงมากกวา 30 เปอรเ ซน็ ต และทาํ ใหค ณุ ภาพเมลด็ สญู เสยี มากกวา รอ ยละ 12 โดยเฉพาะการเกดิ เมลด็ เขยี ว เนอ่ื งจาก เกดิ การแขง ขนั กนั ระหวา งถว่ั เหลอื งกบั วชั พชื ในการแกง แยง แสงแดด นาํ้ แรธ าตอุ าหารและ ปจ จยั อน่ื ๆ ทจ่ี าํ เปน ตอ การเจรญิ เตบิ โต 5. ปยุ ฟอสฟอรสั มคี วามสาํ คัญในดนิ นาที่ไมค อยใสป ยุ มกั ขาดปยุ ฟอสฟอรัส ดังนน้ั 5.1 ในดนิ นาชวงปลุกขา วถาเกษตรกรใสป ยุ 16-16-8 หรือ 16-20-0 ชว งปลกู ถว่ั เหลืองใหใสปุย 0-46-0 อตั รา 10 กิโลกรมั ตอ ไร 5.2 ในดนิ นาชวงปลกู ขา วไมไ ดใสป ยุ 16-16-8 หรือ 16-20-0 ชว งปลกู ถว่ั เหลอื ง ใหใ สปยุ 0-46-0 อตั รา 20 กิโลกรมั ตอไร จะใหผลผลติ เพ่ิมขึ้น แหลงสืบคน ขอมลู เพ่ิมเติม กรมวชิ าการเกษตร. 2547. เกษตรท่ีดีเหมาะสมสําหรบั ถ่ัวเหลอื ง. พมิ พครัง้ ที่ 2 โรงพมิ พชมุ ชุมสหกรณก ารเกษตรแหง ประเทศไทยจํากดั กรงุ เทพฯ 26 หนา กรมวชิ าการเกษตร. 2548. โรคถวั่ เหลอื งและการปอ งกันกําจดั . โรงพิมพจรลั ธุรกจิ เชียงใหม 57 หนา กรมสง เสรมิ การเกษตร. 2555 การผลติ เมล็ดพันธุถั่วเหลอื ง. ฝา ยโรงพมิ พ สาํ นักพฒั นา การถา ยทอดเทคโนโลยี กรมสงเสริมการเกษตร กรุงเทพฯ 78 หนา กรมสง เสริมการเกษตร. 2555. การปลูกถั่วเหลือง. ฝายโรงพิมพ สํานักพฒั นาการ ถา ยทอดเทคโนโลยี กรมสงเสริมการเกษตร กรุงเทพฯ 30 หนา 60
ถั่วลิสง การเตรียมการ 20 วนั ขน้ั ตอนการปลูกและการดูแลรักษาถัว่ ลิสง 120 วัน 140 วนั 40 วนั 60 วนั 80 วัน 100 วัน การเตรียมดิน การปลกู การใสปุย การใหน ้าํ การเก็บเกีย่ ว 1. สภาพไรน ํา้ ฝน 1. ใชไมปลายแหลมทาํ หลมุ พรวนดินเพือ่ กาํ จดั วัชพืช ใหน ้ําทกุ 7 วนั - เกบ็ เกี่ยวตามอายุของ - วชั พชื นอ ยไมต อ งเตรยี มดนิ ใชไ ถเปด รอ งสาํ หรบั หยอด กวา ง 5-8 ซม. หยอด 2-3 ขา งแถวชวงออกดอก (30- ในเดอื นแรก หลงั พนั ธหุ รอื เมื่ออายุเกบ็ เมลด็ เมล็ด/หลุม 40 วัน) ตามดว ย โรยยปิ ซัม จากนัน้ ทุก 10 วัน เกีย่ วถว่ั ลิสง 85-120 - วัชพชื หนาแนน ไถ 1 คร้ังลกึ 10-20 ซม. ตากดนิ 7-10 2. ใชร ะยะปลูก 50 x 20 ซม. บนตน ถวั่ ลิสงอัตรา 50 กก./ หา มขาดนาํ้ ชว ง วัน ข้ึนอยูกบั ชนิดพนั ธุส ี วนั พรวน 1 ครง้ั เกบ็ ซากวชั พืชขา มปอ อก ลึก 10 ซม. ไร เพ่อื ลด% เมลด็ ลบี และ อายุ 30-60 วัน เปลอื กฝกดานในเปล่ียน 2. สภาพนาฤดแู ลง 3. ดินที่มีธาตุอาหารตํา่ ใช เพ่มิ % กะเทาะ หลงั งอก เปน สนี า้ํ ตาลดาํ มากกวา - ปลกู ในนาอาศัยน้ําชลประทาน (ธ.ค-ม.ค) ไถ 1 ครั้งยก ปุยสูตร 12-24-12 อัตรา 25 60% รองปลูกสงู 20-25 ซม. เพือ่ ใหนา้ํ สะดวก กก./ไร หรอื สูตร 16-16-8 การกําจดั วัชพชื - ใชถอนหรอื ใชจ อบขดุ - ปลกู หลังนาอาศัยความชน้ื ในดนิ (ต.ค.-พ.ย.) เตรยี ม อตั รา 35 กก./ไรร องกนหลมุ ขณะดนิ มคี วามชืน้ ดินใหล ะเอยี ด ไถดิน 2 คร้ังพรวน 1-2 ครั้ง กอนปลกู หรอื โรยขา งแถว - ครั้งท่ี 1 15 วัน หลงั งอก 3. ดนิ ท่ีมอี นิ ทรยี วตั ถตุ าํ่ กวา 1 % ใสป ุย คอก ปยุ หมัก แลวพรวนดนิ กลบหลงั งอก ครงั้ ท่ี 2 30 วันหลงั งอก 1,000-2,000 กก./ไร แลว พรวนดนิ กลบ 10-15 วัน โรคและศัตรทู ่สี าํ คัญ 4. ใหน า้ํ ทนั ทีหลงั ปลูก - หากมีวัชพืชตกคางในแปลงควร - หนอนชอนใบ เพลย้ี ไฟ เพลีย้ ออ น เพลย้ี การเตรยี มพนั ธุ 5. ฉีดยาคุมวัชพชื กอ นงอก กําจดั อีกครั้งเมื่ออายุ 60 วนั จักจ่นั เส้ยี นดนิ ใชสารเคมตี ามคําแนะนํา 1. เตรยี มเมล็ดพนั ธุ 20 กก./ไร ความงอกไมตํา่ กวา 75% 2. คลกุ เมลด็ พนั ธุดว ยสารเคมีปองกันเชือ้ ราและปุย - โรคโคนเนา ลําตนเนา ยอดไหม ใบจุด ชวี ภาพไรโซเบียม ราสนมิ ปอ งกันโดยเผาทาํ ลาย ปลูกพืช หมนุ เวยี น พน สานเคมี ปลูกพันธุตา นทาน การปฎบิ ัติหลงั การเกบ็ เกย่ี ว - ตากฝก ถว่ั บนตะแกรง อยา ใหส มั ผสั ดนิ ตากแดดจดั 3-5 วนั ความชน้ื ตาํ่ กวา 9 % - เกบ็ ในรปู เมลด็ แหง ไดประมาณ 2 เดอื น - ควรกะเทาะถว่ั ลิสงแหงภายใน 3 เดอื น เพือ่ คุณภาพการบรโิ ภค
เทคนิคการปลกู และดูแลรกั ษาถว่ั ลสิ ง 1. การเตรียมการกอนปลูก 1.1 การเตรยี มดิน 1.1.1 ในสภาพไร เปน การ ปลูกในฤดฝู น - พ้ืนท่ีมีวัชพืชนอย ไมตองเตรยี มดนิ ใหไถเปดรอง แลวหยอด เมล็ด - พน้ื ทม่ี วี ัชพชื หนาแนน ใหเตรยี มดนิ โดยไถ 1 คร้ัง ลกึ 10 - 20 เซนตเิ มตร ตากดิน 7-10 วัน พรวน 1 คร้งั แลวคราดเก็บเศษซาก ราก เหงา หวั และไหล ของวัชพืชขามปออกจากแปลง 1.1.2 ในสภาพนา เปน การปลูกในฤดูแลง ในพืน้ ทน่ี าหลังเกยี่ วขา ว - โดยอาศยั นํา้ ชลประทาน ใหเตรียมดนิ ปลกู โดยไถ 1 คร้ัง ลึก 10 - 20 เซนติเมตร ตากดิน 7 - 10 วัน พรวน 1 คร้งั แลวคราดเก็บเศษซาก ราก เหงา หวั และไหล ของวชั พืชขา มปออกจากแปลง ยกรองปลกู สูง 20 - 25 เซนตเิ มตร เพือ่ สะดวกในการใหน าํ้ - โดยอาศยั ความช้นื ในดนิ ตองเตรียมดินใหล ะเอียดโดยไถดิน 2 ครัง้ และพรวน 1 - 2 ครง้ั 1.1.3 ดนิ ท่ีมอี นิ ทรียวตั ถตุ า่ํ กวา 1 เปอรเซ็นตใ หใสปยุ คอกหรอื ปยุ หมักที่ ยอยสลายดีแลว อตั รา 1,000 กิโลกรมั ตอไรใ นดนิ รว นเหนียวปนทราย และอตั รา 2000 กิโลกรัมตอไร ในดินรว นหรือดินรว นปนทรายแลวพรวนกลบ 1.1.4 ดินท่ีมปี ริมาณแคลเซียมตาํ่ ควรหวานปนู ขาวอตั รา 100 - 200 กโิ ลกรมั ตอไร แลว พรวนดินกอ นปลกู 1.2 การเตรยี มพันธุ 1.2.1 เมลด็ พันธทุ ี่ใหมความงอกไมต ํา่ กวา 75 เปอรเซน็ ต 1.2.2 คลุกเมลด็ ดว ย - สารเคมีตามคาํ แนะนําเพื่อปอ งกนั โรคโคนเนา โรคเนา ขาดทีเ่ กิด จากเช้อื ราทไี่ มมผี ลกระทบตอไรโซเบยี ม - ปุยชีวภาพไรโซเบียม 200 กรมั (1 ถุง) กับเมล็ดพันธุป ลกู 1 ไร (15 - 20 กก.ฝก สด หรอื 20 - 25 กก. ฝกแหง ) 1.2.3 ถ่วั ลสิ งบางพนั ธุมรี ะยะการพักตวั เชน พันธขุ อนแกน 60 – 3 (ถัว่ ลสิ ง เมลด็ โต จัมโบ) จําเปนตองทําลายระยะพกั ตวั โดยใชสารอเี ทรล ความเขม ขน 3 เปอรเ ซน็ ต ปรมิ าณ 9.5 มลิ ลเิ มตรตอ นาํ้ 1 ลติ ร พรมเมลด็ พนั ธพุ อหมาดปลอ ยทง้ิ ไว 1 วนั กอ นนาํ ไปปลกู 62
2. การปลกู 2.1 วธิ ีปลกู - ใชแรงงานคน หยอดเปนหลมุ ระยะปลูก 50 x 20 เซนตเิ มตร ลกึ 5 - 8 เซนติเมตร จํานวน 2 - 3 เมลด็ ตอ หลุม ถาปลกู ในฤดแู ลงโดยอาศยั ความชนื้ ในดิน ควรปลกู ใหลกึ 10 เซนตเิ มตร - ดนิ ทีม่ ีความอุดมสมบรูณตํา่ ใชป ยุ สตู ร 12-24-12 อัตรา 25 กโิ ลกรัมตอ ไร หรอื สตู ร 16-16-8 อัตรา 35 กโิ ลกรัมตอ ไร รองกนหลุมกอนปลูก หรือโรยขา งแถว แลว พรวนดนิ กลบหลังถัว่ ลสิ งงอก 10 - 15 วัน - ใชส ารเคมคี ุมวัชพชื กอ นงอกหลงั ปลกู ถว่ั ทนั ที่ขณะทด่ี ินมคี วามชนื้ หลัง วชั พชื งอก เมอื่ ถว่ั ลิสงอายุ 15 - 20 วนั หรือ 30 - 40 วัน กอ นถัว่ ลสิ งออกดอก ใชส าร ปอ งกัน กาํ จัดวชั พืชใบแคบ และกําจดั วชั พชื ประเภทใบกวา ง ตามคาํ แนะนาํ 2.2 อตั ราเมลด็ พันธทุ ีใ่ ช ประมาณ 20 - 25 กโิ ลกรัมฝก แหงตอ ไร หรอื 15 - 20 กิโลกรัมฝกสดตอ ไร 2.3 จาํ นวนตนตอไร 32,000 - 48,000 ตนตอไร 3. การปฏบิ ัติดแู ลรักษา 3.1 การใสปยุ 3.1.1 พรวนดินขา งแถวถวั่ ลสิ งหลงั ออกดอกและกอนแทงเข็ม ชว งอายุ 30 - 40 วนั หลงั งอก แลว โรยยิปซมั บนตนถว่ั ลิสง อตั รา 50 กโิ ลกรมั ตอไร เพือ่ ลด เปอรเ ซ็นตเมลด็ ลบี และเพิ่มเปอรเซ็นตก ารกะเทาะ พรอ มปรบั หนา ดนิ ใหเหมาะสมตอ การแทงเข็มและสรา งฝก 3.1.2 การพนู โคนไมค วรพูนดนิ กลบก่งิ แรก ควรพนู โคนเต้ยี ๆ และใหแ ผ กวางออกจากโคนตน เน่อื งจากการตดิ ฝก ไมไดกระจายอยบู รเิ วณโคนแตจ ะแผกระจาย ออกจากแนวโคนตนเล็กนอย 3.2 การใหนาํ้ - การปลูกในฤดูแลงใหนาํ้ ตามรองทันท่หี ลงั ปลูกจนเต็มสันรอง เพ่อื ใหถ วั่ ลสิ งงอกสมํ่าเสมอ - ควรใหน า้ํ ทกุ 7 วนั ในเดอื นแรก หลงั จากนนั้ ใหน า้ํ ทกุ 10 วนั สงู ถงึ ระดบั เศษ 3 สว น 4 ของ ความลกึ รอ งนาํ้ โดยไมต อ งระบาย นา้ํ ออก - ตองไมใหถ ว่ั ลิสง ขาดนํา้ ชวงอายุ 30 - 60 วันหลัง งอก ซึ่งอยใู นชว งแทงเข็มสรา งฝก และเมลด็ 63
4. ศัตรูพืชทส่ี าํ คัญ 4.1 วชั พชื - วชั พืชฤดูเดียว เปนวัชพชื ที่ครบวงจรชีวติ ภายในฤดูเดยี วสวนมากขยาย พนั ธดุ ว ยเมลด็ - วชั พชื ขา มป เปน วชั พชื ทส่ี ว นมากขยายพนั ธดุ ว ยตน ราก เหงา หวั และไหล การปองกนั กาํ จดั - ไถ 1 ครั้ง ตากดนิ 7-10 วัน พรวน คราด เก็บเศษซาก ราก เหงา หัว และ ไหล ของวชั พชื ขา มปออกจากแปล - ใชแ รงงาน 1-2 คร้ัง เมือ่ อายุตนถว่ั ลสิ งอายุ 15 วนั และ 30 วัน หลงั งอก ตองระวังไมใ หกระทบกระเทือนตอการลงเข็มของตนถวั่ ลิสง โดยทําพรอมกับการพรวน ดนิ และพูนโคน 4.2 โรค 4.2.1 โรคโคนเนาขาด เกิดจากเช้อื รา ลักษณะอาการตน เหยี่ วเหลอื ง ยบุ ตัว โคนตนเปน แผลสนี ้ําตาล พบกลุมสปอรส ีดาํ ปกคลุมบรเิ วณแผล เม่อื ถอนสวน ลําตน จะขาดออกจากราก ระบาดรุนแรงในระยะตน กลา อายุ 1 - 4 สปั ดาห ในสภาพ ดินทรายหรอื ดินรว นปนทราย อณุ หภูมขิ องดนิ และอากาศสงู 30 - 35 องศาเซลเซียส การปองกนั กาํ จดั คลุกเมล็ดดวยสารเคมีตามคําแนะนํา ถาพบโรค ในระยะ 2 สปั ดาหแ รกหลังปลูก หากเสียหาย ไมเ กนิ รอ ยละ 20 ใหปลูกซอม แตถ า เสยี หายมากกวา รอ ยละ 50 ควรไถทิง้ แลวปลกู ใหม 4.2.2 โรคยอดไหม เกดิ จากไวรสั ลักษณะอาการในระยะ 2 สัปดาหแ รก หลังตน ถ่วั งอก ใบจะมสี จี ุดซดี หรอื เปน ปน มนี ํ้าตาลบนใบทเ่ี ชอื้ เขา ทําลาย จากนั้นเสนใบ ซดี หรอื จดุ กระสีซดี บนยอดใบ กานใบและกิง่ โคง งอ ถาเปนโรคในระยะกลา ถ่วั ลิสงจะตาย หรือแคระแกรน็ ไมต ดิ ฝก ถาเปนระยะตนโตทําใหการติดฝก ลดลง ระบาดรุนแรงในฤดแู ลง การปองกันกาํ จัด ถอนตน ท่แี สดงอาการและนาํ ไปทาํ ลายท้งิ ใหไกล จากแปลงปลูก ทําลายพืชอาศยั ของโรค กําจดั เพลยี้ ไฟซงึ่ เปน แมลงพาหะและใชพ นั ธุ ทท่ี นทาน เชน ขอนแกน 5 ขอนแกน 60-1 4.2.3 โรคราสนิม เกดิ จากเช้ือรา ลกั ษณะอาการแผลเปน ตมุ สนี ้าํ ตาล ถงึ น้าํ ตาลเขม ขนาดเทา หวั เข็มหมดุ กระจายทว่ั บนใบ ตอ มาเมือ่ แผลแตก พบสปอรข อง เชือ้ ราสีนํ้าตาลคลายสนมิ เหลก็ จํานวนมาก มาคลุม บริเวณปากแผล สปอรปลิวไปตาม ลมและน้าํ แพรก ระจายโดยนกและแมลงโดยทัว่ ไประบาดรวมกับโรคใบจุด ระบาดรุนแรง ในชว งฤดฝู น การปอ งกันกาํ จัด ใชพ นั ธตุ านทานตอ โรค คอื กาฬสนิ ธุ 2 ทาํ ลาย เศษซากพชื ทเี่ ปนโรคหลังเก็บเกย่ี วใชสารเคมีตามคําแนะนํา 4.2.4 โรคใบจุด เกิดจากเชื้อรา ลกั ษณะอาการ แผลเปนจดุ สีดําหรือ สีนํ้าตาล ขนาด 1-8 มลิ ลเิ มตร ขอบแผลสีเหลอื งลอ มรอบ ในระยะแรกพบท่ีใบลางตอ มา ลกุ ลามสใู บบน อาการรนุ แรงทําใหใบเหลือง ขอบใบบดิ เบ้ยี ว ไหมแ หงดาํ และรวงกอน กําหนด ระบาดรุนแรงในฤดฝู น โดยเฉพาะในสภาพทม่ี ีฝนติดตอกัน 6 - 7 วัน 64
การปองกันกาํ จัด เผาทําลายซากพืชทเ่ี ปนโรคหลงั เก็บเก่ียว ใชสาร เคมตี ามคําแนะนํา 4.2.5 โรคโคนเนาขาว เกดิ จากเช้ือรา ลักษณะอาการ ยอด ก่ิง และลําตน เหี่ยวยบุ เปนหยอ มๆ พบแผลเนา ทส่ี ว นสัมผสั กบั ผวิ ดิน บรเิ วณทีถ่ ูกทาํ ลายมเี สนใยสขี าว รวมท้งั เม็ดสเคลอเทยี มของเช้อื ราท่มี ีสขี าว โดยเฉพาะในพ้ืนท่ีที่มกี ารปลูกพืชแนน เกนิ ไป และปลกู ซา้ํ ท่เี ดิม พบพืชเปนโรคในชว งหลงั จากติดฝก ถงึ เกบ็ เก่ยี ว ระบาดมากในฤดูฝน สภาพท่มี ีความชื้นสูงหรือมฝี นตกชุก การปอ งกันกาํ จัด ปลกู พชื หมุนเวียนที่ไมใ ชพืชตระกูลถั่ว ถอนตน ที่เปนโรคตั้งแตเ ร่ิมแสดงอาการและนําไปทําลายท้งิ นอกแปลง ใชส ารเคมีตามคําแนะนาํ 4.3 แมลงศตั รู 4.3.1. หนอนชอนใบถัว่ ลสิ ง เปน ผเี ส้อื กลางคนื สนี าํ้ ตาลยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร หนอนฟก ออกจากไขแ ละชอนเขา ไปกัดกินเนือ้ เย่อื ของใบเหลือไวแ ตผ วิ ใบดาน บนและดานลา ง ตอมาใบจะแหงเปนสขี าว เม่อื หนอนโตมากข้ึน จะออกมาพบั ใบถั่วหรือ ชักใยเอาใบมารวมกัน อาศัยกัดกินและเขา ดักแดใ นใบนนั้ ถา ระบาดรนุ แรงจะทาํ ใหตนถั่ว แคระแกรน็ ใบรวงหลน ผลผลติ ลดลง 50 เปอรเซนต ระบาดรุนแรงในสภาพอากาศแหง แลง ฝนทิ้งชว งเวลานานเกนิ 15 วัน การปอ งกนั จาํ กดั หากพบพนื้ ทีใ่ บเสียหายเกินรอยละ 30 ใหใ ชสาร เคมตี ามคาํ แนะนําหรือในกรณที ีร่ ะบาดไมรนุ แรง ใชสารสกัดสะเดา 4.3.2 เพลี้ยออ นถว่ั เปน แมลงขนาดเล็ก ยาวประมาณ 1 มลิ ลเิ มตร เคลอื่ นไหวชา หัวมีขนาดเล็กกวาสว นอก สวนทองโต ลักษณะอว นปอม ตวั ออ นและตวั เต็มวัยดดู กนิ นํา้ เล้ยี งตามยอด ใบออ น ดอก ทําใหยอดออ นใบออ นหงิกงอ ดอกรว ง การปองกนั กาํ จัด ใชสารเคมตี ามคาํ แนะนํา 4.3.3 เพลีย้ ไฟ เปนแมลงขนาดเลก็ ยาวไมเ กนิ 2 มลิ ลเิ มตร สีนํา้ ตาล สีนํา้ ตาลดํา เคลอื่ นไหววอ งไว ดูดกนิ นํ้าเล้ยี งตามยอดออ น ใบและดอก ทําใหใ บหงกิ งอ บิดเบี้ยว ถา ระบาดรุนแรงยอดไหมและตาย ระบาดรุนแรงในสภาพอากาศแหงแลง ฝนทง้ิ ชว งนานเกิน 15 วนั การปอ งกันกาํ จดั ใชส ารเคมีตามคําแนะนํา 4.3.4 เพลีย้ จ๊ักจ่นั ลําตัวยาวประมาณ 3 มิลลเิ มตร สเี ขียวออ น ตาสีขาว บนิ ไดว อ งไว ตัวออนและตวั เต็มวัยจะดูดนํ้าเลยี้ งบรเิ วณใตใ บทําใหใ บเหลือง ปลายใบ เปนรูปตวั วี ถา ระบาดรนุ แรงมากใบจะไหมเ ปน สีนา้ํ ตาลและรวง ระบาดรุนแรงในสภาพ อากาศแหงแลง ฝนท้งิ ชวงเวลานานเกนิ 15 วนั การปองกนั กาํ จัด ใชสารเคมีตามคําแนะนาํ 4.3.3 เสี้ยนดิน (แมงแดง) เปนมดชนิดหนึง่ ขนาดเทา มดแดง ทําลายฝก ถวั่ ลสิ ง โดยการเจาะเปลอื กถ่วั เปน รู แลวกดั กินเมล็ดในฝก หลงั จากนั้นจะนําดนิ เขาไปไว ในฝก การปอ งกันกําจัด ทุกพนื้ ทขี่ นาด 2 ไรใหตรวจสอบการระบาดของเสีย้ นดิน การตรวจสอบใชวัสดลุ อ เชน ผลมะพราวหรือแตงโมผา ซีกโดยวางในตาํ แหนงทกุ มมุ และ จดุ ก่ึงกลางของแปลงปลูกรวม 5 จดุ 65
การปองกันจาํ กดั ใชสารเคมตี ามคําแนะนาํ เม่ือถวั่ อายุ 30 - 35 วนั และ 60-65 วนั 4.4 สตั วศตั รู หนู ขุดกนิ ถัว่ ลสิ งต้งั แตร ะยะฝกออ น โดยกินทั้งฝก เมอื่ ถงึ ระยะเก็บเกีย่ ว หนจู ะกัดกินเฉพาะเมลด็ ในและทง้ิ ซากเปลอื กไว การปอ งกนั กาํ จดั ใชก รงดกั หรอื กบั ดกั รว มกบั การใชเ หยอ่ื พษิ ตามคาํ แนะนาํ 5. การปฏบิ ัติกอ นและหลังการเกบ็ เกี่ยว 5.1 การเก็บเกย่ี ว 5.1.1 การนบั อายุภายใตส ภาพแวดลอมที่เหมาะสม ถ่ัวลิสงแตล ะพันธุ ใชเวลาในการเจริญเติบโตจนถึงใหผลผลิตคอนขางคงท่ีโดยท่ัวไปถั่วลิสงท่ีปลูกใน ประเทศไทยจะมีอายกุ ารเก็บเก่ยี วฝก สด (เพ่อื การบริโภคในรูปถัว่ ตม) ประมาณ 85 - 95 วนั และเก็บเกยี่ วฝกแหง ทอ่ี ายุประมาณ 95 - 110 วัน 5.1.2 สงั เกตสีของเปลือกฝกดา นใน ทําการสุม ถอนตน ถ่ัวลิสงหลายๆ จุด ในแปลง มาตรวจนับ หากมเี ปอรเซ็นตของฝก ท่ีมีเปลอื กฝก ดา นในเปลย่ี นสเี ปน สนี ํา้ ตาล มากกวา 60 เปอรเ ซน็ ต แสดงวา ถึงอายเุ กบ็ เก่ยี วที่เหมาะสม 5.1.3 การถอนหรอื ขดุ ตน ถว่ั ลสิ ง ในขณะทด่ี นิ มคี วามชน้ื จะถอนตน ถว่ั ไดง า ย ถา ดนิ แหง ตอ งใชจ อบหรือเครือ่ งมอื ชวยขุด การใชเ ครอื่ งมอื ตองระมัดระวัง ไมใ หฝ กถั่ว เกิดรอยแผลหรอื เกิดนอยทสี่ ุด 5.1.4 การปลิดฝกถ่ัว - ปลิดดวยมอื เลือกเฉพาะฝกท่ีสมบรู ณ ไมเ ปน โรค ไมถกู แมลง ทําลายและไมม รี อยแผลจากการเก็บเกี่ยว เพ่ือใหไดผ ลผลติ ท่ีมีคุณภาพ - ใชเครือ่ งปลดิ ตอ งปรับความเร็วเครือ่ งใหเ หมาะสม อยา ใหเ กดิ ความเสียหายกับฝก และตอ งมขี น้ั ตอนการเลอื กฝก เสีย ฝก เนา ฝกทเ่ี ปนแผลออก 5.1.5 การตาก ตากฝกถวั่ บนตะแกรงตาขาย แคร หรือผาใบ โดยไมใ หฝก ถว่ั สมั ผสั พืน้ ดนิ และใหมคี วามหนาของกอง ไมเ กนิ 5 เซนตเิ มตร พลิกกลบั กองถวั่ 2 - 3 ครง้ั /วนั เพ่ือใหถ ั่วแหง เร็วขึน้ และแหงสมา่ํ เสมอทัง้ กอง ถาเปนชว งแดดจดั ตาก 3 - 5 วนั เพื่อลดความชน้ื ใหต ่ํากวา 10 เปอรเ ซ็นต 5.2 การปฏบิ ตั หิ ลังการเก็บเกี่ยว 5.2.1 ฝก ถว่ั ทจ่ี ะนาํ ไปเกบ็ ตอ งผา นการทาํ ความสะอาดใหไ มม ฝี นุ เศษซากพชื คดั ฝก เนา และไมสมบรู ณอ อกใหห มด 5.2.2 บรรจฝุ กถัว่ ในกระสอบปา นท่ีมีการถายเทอากาศไดด ี 5.2.3 โรงเกบ็ ทเ่ี ปนอาคารโปรง อากาศถา ยเทไดด ี ปองกันความช้ืนจาก ละอองฝน ไมม ีมอด หนู หรือสัตวเลี้ยงรบกวน มวี ัสดรุ องไมใหก ระสอบถ่วั สมั ผัสพ้ืน โดยตรง 66
ขอมูลสภาพแวดลอมท่ีเหมาะสมตอ การเจรญิ เติบโตของถวั่ ลสิ ง สภาพแวดลอ ม ความเหมาะสม ขอจาํ กดั 1. สภาพภมู อิ ากาศ - อุณหภมู ทิ เ่ี หมาะสมสาํ หรบั การเจรญิ เติบโตของถ่ัวลสิ งระหวาง - อณุ หภูมิ (เซลเซยี ส) กลางคนื กบั กลางวนั ควรอยรู ะหวาง 25 – 35 องศาเซลเซยี ส - แสงแดด - มแี สงแดดจัด 2. สภาพพ้นื ที่ - ความสงู จากระดบั นา้ํ ทะเล - ความสูงจากระดับน้ําทะเล ไมเกิน 800 เมตร - ไมท นตอ สภาพนา้ํ ทวมขัง - ความลาดเอยี งของพน้ื ที่ - ความลาดเอียงไมเกิน 5 เปอรเ ซน็ ต 3. สภาพดิน - ลกั ษณะของเนอื้ ดนิ - ดินรว น ดนิ รวนปนทราย ดนิ รว นเหนยี วปนทราย - ดินเหนียวไมเ หมาะสมกบั การปลกู ถัว่ ลสิ ง - การระบายน้าํ และถา ยเทอากาศดี สามารถอมุ นา้ํ ไดด ี - ความลกึ ของหนา ดนิ - ความเปนกรด-ดาง (pH) - ระดบั หนา ดนิ ลกึ ประมาณ 30 เซนติเมตร - ปริมาณอินทรยี วัตถุ - คาความเปนกรดดางระหวา ง 5.5-6.5 ไมเ ปนดนิ เคม็ - ความอดุ มสมบูรณ ปานกลาง มีอินทรยี วตั ถไุ มตํ่ากวา 1.5 % 4. ปรมิ าณธาตุอาหารในดนิ - อาหารธาตุหลัก N P K - ดินเหนียว ดนิ รวนเหนยี วใสป ุยทมี่ ีธาตอุ าหาร N-P-K อัตรา 0-6-0 หรือ 3-9-0 กก./ไร - ดินรวน ดนิ รวนปนทราย ใสปุย ท่มี ธี าตุอาหาร N-P-K อัตรา 3-6-3 หรอื 3-9-6 กก./ไร หรอื 12-24-12 อตั รา 25 กก./ไร 67
แนวทางการเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการผลติ และแหลง สบื คนขอ มูลเพม่ิ เตมิ แนวทางการเพม่ิ ประสิทธภิ าพการผลิต 1. ในดนิ ที่ปลกู ถ่วั ลสิ ง มปี ริมาณแคลเซียมต่ํากวา 120 สวนในลานสวน ใหห วา น ปนู ขาวอัตรา 100-200 กโิ ลกรมั ตอไร แลว พรวนดนิ กอ นปลูก หรือโรยยิปซ่มั ตรงโคนตน ชว งถ่วั ลิสงออกดอก (30-40 วนั ) อัตรา 50 กิโลกรมั ตอ ไร เพือ่ ลดเปอรเ ซ็นตเ มลด็ ลบี และเพิม่ เปอรเ ซน็ ตก ารกะเทาะ 2. ใชพ นั ธุดีที่ปลูกไมเ กิน 3 ฤดู และเลอื กพันธถุ วั่ ลสิ ง ใหเ หมาะสมกับสภาพพ้นื ที่ ดนิ ฟา อากาศ และตรงความตอ งการตลาด เชน ดินที่มีความอดุ มสมบรูณตํา่ ใหเ ลอื กปลูก ถ่วั ลิสงทม่ี เี มล็ดขนาดกลาง เชน พนั ธุไ ทนาน9 ขอนแกน4 ขอนแกน 5 สภาพที่มีฝนทง้ั ชวง และคอนขางแลง ควรเลอื กพันธุท ่ีมีอายุสั้น เชน สข.38 ลําปาง ขอนแกน 60-2 3. การพรวนดนิ กลบโคนถ่วั ลสิ ง ชวงอายุ 30 - 40 วนั หลังงอก ซงึ่ เปน ชว งถว่ั ลสิ ง หลังออกดอกกอนแทงเข็มใหพรวนดินขางแถวถั่วลิสงและพูนโคนออกจากโคนตนเต้ียๆ ไมพรวนดนิ กลบกิง่ แรก 4. ถัว่ ลิสงทมี่ รี ะยะพักตัว เชน พนั ธุข อนแกน 60 - 3 (ถั่วลิสงเมลด็ โตจมั โบ) ตอ งทาํ ลายระยะพกั ตวั โดยใชสาร อเี ทรล ความเขมขน 3% ปริมาณ 9.5 มลิ ลลิ ติ รตอนํ้า 1 ลิตร พรมเมล็ดพนั ธพุ อหมาดปลอยทิง้ ไว 1 วันกอ นปลกู 5. หลีกเล่ยี งการปนเปอนสารอะฟลาทอกซนิ ซึง่ เกดิ จากเชือ้ ราในเมล็ดถว่ั ลสิ ง 5.1 ไมป ลกู ถว่ั ลสิ งตอ เนอ่ื งในพน้ื ทเ่ี ดมิ ทกุ ปค วรปลกู สลบั ดว ยขา งฟา ง ถว่ั เหลอื ง หรือถัว่ เขียว 5.2 ไมค วรปลูกถั่วลิสงตามขา วโพดเลีย้ งสตั ว 5.3 อยา ใหถ่วั ลสิ งขาดน้าํ ในชว งท่ีออกดอก แทงเขม็ และพฒั นาเปน ฝก ใหน ้ํา สม่าํ เสมอ หากถ่ัวลสิ งขาดนา้ํ จะทําใหถ ว่ั ลสิ งออ นแอตอการเขา ทาํ ลายของเชือ้ รา และผลผลิตลดลง 5.4 หลังกะเทาะเปลอื ก รีบคัดแยกเมลด็ ทีถ่ ูกแมลงศัตรูเขาทาํ ลาย มเี ชอื้ รา เมลด็ เสีย เมล็ดเนาออกทันที หา มใชเ มล็ดท่ีคัดทงิ้ ไปบริโภคหรือเล้ียงสัตวอยา งเด็ดขาด แหลง สบื คนขอ มลู เพิ่มเตมิ กรมวชิ าการเกษตร 2547. เกษตรดที ีเ่ หมาะสมสาํ หรับถว่ั ลิสง. โรงพิมพชมุ นุมสหกรณ การเกษตรแหง ประเทศไทย จํากัด กรมสง เสรมิ การเกษตร 2545. คมู อื ประกอบการเรยี นรูก ารปฏบิ ัตดิ แู ลรกั ษาและ จดั การศัตรูถว่ั ลิสงแบบผสมผสาน. โรงพิมพชมุ นมุ สหกรณก ารเกษตรแหง ประเทศไทย จํากดั กรมสงเสริมการเกษตร 2551. คมู อื นักวชิ าการสงเสรมิ การเกษตร. ถว่ั ลิสง. ฝายโรงพิมพ สํานกั พัฒนาการถา ยทอดเทคโนโลยี กรมสงเสรมิ การเกษตร 68
ถ่ัวเขยี ว ขนั้ ตอนการปลกู และการดูแลรักษาถวั่ เขยี ว การเตรียมการ 20 วัน 30 วนั 40 วัน 50 วนั 60 วนั 70 วัน 80 วนั การเตรียมดนิ - สภาพ การปลกู การใสป ยุ การใหน้ํา การกําจัด การเกบ็ เกย่ี ว ไร/ สภาพนาอาศยั นํา้ ชลประทาน 1. ปลูกแบบหยอดใสปยุ - การปลกู แบบโรย - ใหน ้ําทันทหี ลังปลูก และหลังการใส วชั พืช ถ่วั เขยี วผวิ มัน ใชม อื - ไถ 1 ครงั้ ตากดิน 7-10 วนั ไถ รองกนหลุมสตู ร12-24- เปนแถวกําจดั วัชพืช ปุยทกุ ครง้ั หลงั จากน้ันใหน ํ้าทกุ 10- ปลิดฝกแกท ่ีเปลย่ี นเปน พรวน1 ครงั้ คราดเกบ็ เศษซาก 12 หรอื 15-15-15 อัตรา และถอนแยกใหเ หลือ 14 วนั - กาํ จดั วชั พชื โดยวิธี สีดาํ ถัว่ เขียวผิวมันเปน วชั พืชออกจากแปลง 25กก/ไร ระยะปลูก 50 x จาํ นวนตน 15-20 ตน ตอ - อยาใหถ วั่ เขียวขาดนา้ํ ในชวงปลาย กล 1-2 ครัง้ เมอื่ ถัว่ พืชทีม่ กี ารสกุ แกข องฝก - สภาพนาอาศัยความชื้นใน 20 ซม. หยอดเมล็ด 2-3 เมตรแลว ใสป ุยเคมีสตู ร ระยะออกดอกจนถึงติดฝก (35-40 เขียวมอี ายุ 14 และ ไมพรอมกนั เก็บเก่ียว 2 ดนิ ไถดนิ 1-2 คร้ัง ถา ปลกู เมล็ด/หลมุ 12-24-12 หรอื 15-15- วัน) 28 วนั ครง้ั คร้ังแรกสกุ แก 80 แบบหวานใหห วา นปยุ 12-24- 2. ปลูกแบบโรยเปน แถว 15อัตรา 25 กก./ไรโ ดย - ในกรณีทีม่ ีน้ําจาํ กัด ควรใชวสั ดุ เชน % ครัง้ ท่ี 2 หลังจากเก็บ 12หรือ15-15-15อัตรา 25 กก/ ระยะระหวา งแถว 40- โรยขางแถวหลังถ่ัวเขียว ฟางขาว คลมุ ดิน เพื่อลดความรุนแรง เกย่ี วครง้ั แรก 14 วัน ไรตอนเตรียมดนิ 50ซม. ระหวา งตน 5-6 ซม ถว่ั เขียวผิวดาํ จะเก็บ - ดนิ pH ต่าํ กวา 7หวานปูนขาว 3. ปลูกแบบหวานให การปฏบิ ตั ิหลงั การเกบ็ เก่ยี ว เก่ียวเม่อื มฝี ก สุกแก 90 50 – 100 กก. หวานเมลด็ ถ่วั เขยี ว 1. นาํ ฝกถั่วไปผึง่ แดด เพื่อใหความชนื้ ฝก และเมลด็ ลดลงเหลอื 11-13 % % โดยใชเ คียวเก่ยี วทงั้ ตน - ดินอินทรยี วตั ถุตํา่ กวา 1.5 % กระจายพอดีแลวพรวน 2. นาํ เมลด็ ทีน่ วดไดทําความสะอาดดว ยวิธีรอ นและฝด แลว นาํ ไปผึง่ แดดเพ่ือลดความชืน้ ให แลวมดั รวมเปนกองๆไว หวานปุยคอก และปยุ หมัก 500- กลบทนั ที เหลือประมาณ 11-12 % แลวบรรจุเมลด็ ในกระสอบปา นท่สี ะอาด 1,000 กก./ไร 4. คลมุ ดินดวยฟางขาว หลังปลูกทนั ที เพอ่ื ปอ งกัน โรคและศตั รทู ่ีสําคัญ การเตรยี มพันธุ วชั พชื ขึ้น - แมลงศตั รู หนอนแมลงวันเจาะลําตน หนอนกระทผู ัก เพล้ียไฟ หนอนเจาะสมอฝาย หนอนเจาะฝก มารคู า 1. ความงอกไมต า่ํ กวา80% 5. ใหนํา้ ทนั ทหี ลงั ปลกู - โรค ใบจุดสีน้ําตาล ราแปง โรครากเนา ดํา โรครากปม ปอ งกนั คลุกเมลด็ พันธุด วยสารปองกัน ปลูกพชื หมนุ เวยี น พนสาร 2. ใชเมล็ดพนั ธุ 3-8 กก./ไรคลกุ เคมี ปลกู พันธตุ า นทาน เชื้อไรโซเบียม 200 กรมั - สตั วศัตรู หนูปองกันกําจัดโดยใชกับดกั หรือเหยอ่ื พิษ
เทคนิคการปลูกและดูแลรักษาถ่ัวเขียว 1. การเตรียมการกอ นปลกู 1.1 การเตรยี มดิน - ในสภาพไร ปลกู ในฤดู ฝนเตรยี มดนิ โดยไถผานสาม 1 ครัง้ ลึก ง20 - 30 เซนติเมตร ตากดิน 7 - 10 วัน พรวนดว ยผานเจ็ด 1 ครัง้ แลวคราด เกบ็ เศษซาก ราก เหงา หวั และไหล ของ วชั พชื ขามปออกจากแปลง - ในสภาพนา การปลูกใน ฤดแู ลง มี 2 วิธี - อาศยั นํ้าชลประทาน ใหเ ตรียมดนิ ปลูกเชนเดยี วกบั ในฤดฝู น - อาศัยความชื้นในดิน และไมม กี ารใหนาํ้ ชลประทาน ตอ งเตรียมดนิ ให ละเอยี ด โดยไถดนิ 1 - 2 ครั้ง ใหห วานปยุ สูตร 12–24-12 หรือ 15-15-15 อตั รา 25 กิโลกรัมตอไร หวานเมลด็ แลวพรวนกลบ ในดนิ ทีม่ ีคา pH ต่าํ กวา 7 ใหห วานปนู ขาว ประมาณ 50 - 100 กโิ ลกรัมตอไรก อ นปลกู 15 วนั แลว ไถกลบขณะเตรียมแปลงปลกู ถาดินมีอนิ ทรยี วตั ถตุ า่ํ กวา 1.5 เปอรเซน็ ต หลงั จากไถพรวนดนิ ใหห วานปุยคอกหรือปุย หมกั ทีย่ อยสลายแลวอัตรา 500 - 1,000 กโิ ลกรัมตอไร 1.2 การเตรยี มพนั ธุ ปลกู ดวยเมล็ดท่มี คี วามงอกมากกวา 80 เปอรเซน็ ต จาํ นวน 3-8 กิโลกรมั ตอไรข ้นึ อยกู ับวธิ ีการปลูก กอนปลูกนําเมลด็ พันธคุ ลกุ ดว ยปยุ ชวี ภาพไรโซเบยี มสําหรบั ถ่วั เขยี วอัตรา 200 กรมั (1 ถุงตอ เมลด็ พนั ธปุ ลกู 1ไร) โดยเฉพาะ ในพนื้ ท่ีที่ไมเ คยปลูกถั่วเขยี วมากอ น 2. การปลกู 2.1 ฤดปู ลกู 2.1.1 ตนฤดูฝน ปลูกชว งตนเดือนเมษายน - กรกฎาคม 2.1.2 ปลายฤดูฝน ปลูกชวงเดือนสงิ หาคม - ตลุ าคม 2.1.3 ฤดแู ลง ปลูกในชว งเดือนธันวาคม - กุมภาพนั ธ เปน การปลกู ในพื้นท่ี นาหลังเกีย่ วขาว 2.2 วิธปี ลกู 2.2.1 ปลกู วธิ หี ยอด การปลกู วธิ นี ้ี ใหใ สป ยุ สตู ร12–24-12 หรอื 15-15-15 อตั รา 25 กโิ ลกรมั ตอไร โดยเปดรอ งลกึ 6 - 8 นว้ิ โรยปยุ ทเี่ ตรยี มไวก น หลมุ แลว กลบ ดว ยดนิ แลว หยอดเมลด็ ขา งบนใหล กึ ใตผ วิ ดนิ ประมาณ 1 - 2 นวิ้ ใชด นิ กลบบางๆ โดย ใชร ะยะระหวา งแถว 50 เซนตเิ มตร ระยะ 70
ระหวา งหลมุ 20 เซนตเิ มตร จาํ นวน 2 - 3 ตน ตอ หลมุ ใชเ มลด็ อตั รา 3-4 กโิ ลกรมั ตอ ไร 2.2.2 ปลกู วธิ ีโรยเปน แถว ระยะระหวางแถว 40 - 50 เซนติเมตร ทํารอ งลกึ 5 - 7 น้ิว แลว โรยเมล็ดในรองใหเมลด็ หา งกนั ประมาณ 5-6 เซนตเิ มตรใหไ ดจํานวนตน 15 - 20 ตน ตอ เมตร ใชเ มลด็ พนั ธุ 5 - 6 กิโลกรัมตอไร 2.2.3 ปลูกแบบหวาน ใหหวา นใหเมล็ดกระจายพอดใี ชเ มล็ดอตั รา 6 - 8 กิโลกรัมตอ ไร หลงั หวานเมลด็ พรวนกลบทนั ที การปลูกถ่ัวเขียวแบบหวานในฤดูฝนควรขุดรองระบายนํ้าเพื่อกันนํ้าทวม แปลง 3. การดูแลรักษา 3.1 การใสป ุย 3.1.1 สตู รปุย สูตรท่ีเหมาะสม คอื สตู ร 3 - 9 - 6 กิโลกรัมตอ ไร ของ กNา-รPป2ลOกู 5-โKด2ยOวิธหีโรรือยเปปุยน สแูตถรว1ใ2ห-ใ2ส4ป-1ยุ 2เมห่ือรถือ่ัวเ1ข5ยี -ว1ง5อ-1ก51อ0-ตั 1ร4า 25 กิโลกรมั ตอไร วัน หลงั กาํ จดั วัชพชื และถอน แยกใหเหลอื จาํ นวนตน 15-20 ตน /เมตร แลว โดยโรยปยุ ขางแถวปลกู แลวพรวนดนิ กลบ โคนตน 3.2 การใหน าํ้ การปลูกในฤดูแลงโดยการใชน้ําชลประทานใหนํ้าตลอดฤดูปลูกประมาณ 3-4 คร้ัง อยา ใหน้ําทวมแปลงและดนิ แฉะเกินไป การใหน้ําแตล ะครง้ั ไมควรหางกนั เกิน 14 วันตอครงั้ ไมควรปลอ ยใหด ินแหงเกนิ ไป และหยดุ ใหน ้ําเม่อื ถ่ัวเขียวเจริญเติบโตถงึ ระยะ ฝกแรกเปลยี่ นเปนสดี ํา การปลกู ในฤดฝู น หากมฝี นทง้ิ ชว งเกนิ 10 - 14 วนั ควรมกี ารใหน ํา้ โดย เฉพาะอยา งยิง่ ในระยะออกดอกถึงระยะติดเมล็ด ในกรณที ี่มนี ้าํ จาํ กัด ควรใชว สั ดุ เชน ฟางขาวคลมุ ดนิ เพ่อื ลดความรุนแรง ของการขาดนาํ้ 4. ศัตรพู ืชที่สาํ คัญ 4.1 วชั พชื 4.1.1 วชั พืชฤดูเดยี ว เปน วัชพืชท่คี รบวงจรชวี ติ ภายในฤดูเดียว สว นมาก ขยายพนั ธดุ ว ยเมล็ด - ประเภทใบแคบ ไดแ ก หญานกสชี มพู หญาตนี นก หญา ตีนกา และหญา ดอกขาว - ประเภทใบกวา ง ไดแ ก ผกั ยาง ผกั โขม ปอวัชพชื ผักเบี้ยหนิ สาบ แรงสาบกา ผักคราดหัวแหวน หญากํามะหยี่ เทยี นนา และกะเม็ง 4.1.2 วัชพืชขามป เปนวชั พืชท่สี วนมากขยายพันธดุ ว ยตน ราก เหงา หวั และไหลไดดีกวาการขยายพันธดุ วยเมล็ด 71
- ประเภทใบแคบ เชน หญา แพรก หญา ตีนติด และหญาชนั กาด เปน ตน - ประเภทใบกวาง เชน ไมยราบเครือ สาบเสอื และตดหมตู ดหมา เปน ตน - ประเภทกก เชน แหวหมู และกกดอกตุม การปองกนั กาํ จัด - กําจัดวัชพชื โดยวิธกี ลใชแรงงานหรือเครือ่ งจักรกล 1 - 2 ครั้ง เม่อื ถ่วั เขยี วอายุ 10 - 14 วัน และ 28 - 30 วัน - กรณีที่การปองกันกําจัดวัชพืชดวยวิธีดังกลาวขางตนไมมีประสิทธิภาพ เพยี งพอ อาจเลอื กใชวิธพี น สารกาํ จดั วชั พชื 4.2 โรค 4.2.1 โรคใบจดุ สีน้ําตาล เกิดจากเชือ้ รา ลักษณะอาการ พบแผลบนใบ เปนจุดสีนํ้าตาลคอนขางกลม ขอบ แผลไมสมํ่าเสมอตรงกลางแผลมสี ีเทา ขนาด 1 - 5 มลิ ลิเมตร ทําใหใ บเหลืองแหง และรวงหลน ไป ในชว งระยะออกดอกถงึ เรม่ิ ติดฝก ถว่ั เขียว เปนโรคใบจดุ สนี า้ํ ตาลมากและรนุ แรงมากข้ึนในระยะกอ นเก็บเก่ียว การปองกันกําจัด ใชพันธตุ านทานเชน ชยั นาท36 กาํ แพงแสน1 ปลกู พชื หมนุ เวยี นใชส ารเคมตี ามคาํ แนะนาํ 4.2.2 โรคราแปง เกิดจากเชอื้ ราลักษณะอาการ สว นทถี่ กู ทาํ ลายจะมจี ดุ แผลสเี ทาบนใบ จดุ แผลจะมีสขี าว คลา ยแปง ในระยะตอ มา สามารถพบไดต้ังแตเ ร่มิ งอก และรุนแรงเมื่อถ่ัวเขียวเร่ิมออกดอกจนถึงระยะฝกแกถาเปนมากใบจะรวงผลผลิตลดลง มากกวา 40 เปอรเ ซ็นต ชว งเวลาระบาดในชว งอากาศแหง-เยน็ การปองกนั กําจัด ใชพ นั ธตุ านทาน เชน พันธุกาํ แพงแสน1 กําแพงแสน 2 ชัยนาท 60 ใชส ารเคมตี ามคําแนะนํา 4.2.3 โรครากเนา ดาํ เกดิ จากเชอื้ รา ลักษณะอาการรากและลําตน เนา ดํา พบเมด็ เล็กๆสดี ําจาํ นวนมากอยูท่ี ราก ตอมาใบเริ่มเหลืองแหง ตาย อาการจะลามจาก สว นลา งขน้ึ สสู วนบนของลาํ ตน และตนพืชจะยืนแหงตาย เช้อื นสี้ ามารถตดิ ไปกบั เมล็ด พบการระบาดของโรคเนาดาํ ในทกุ ระยะการเจริญเตบิ โตและทุกสวนของถว่ั เขยี ว ชวงการ ระบาดพบระบาดมากในฤดฝู น โดยเฉพาะในสภาวะทีฝ่ นท้ิงชว งนาน 14 - 21 วนั การปองกนั กาํ จัด ใชเ มลด็ พนั ธุป ราศจากโรค คลุกเมล็ดดว ยสารเคมี กอ นปลูก 4.2.3 โรครากปม เกิดจากไสเดอื นฝอยรากปม ตน ถว่ั เขยี วมกี ารเจริญ เติบโตทางลาํ ตนและใบนอ ยกวาตน ปกติ ใบเหลืองซดี คลา ยอาการขาดธาตอุ าหาร รากของถั่วเขียวบวมพองโตเปนปมท้ังสวนของรากฝอยและรากใหญบริเวณโคนตน ระบาดมากในชวงฤดฝู น ในสภาพดินมคี วามช้นื สูง การปอ งกนั กําจัด ไถพรวนและตากดนิ กอ นปลกู ใชส ารปอ งกนั กาํ จดั ไสเดอื นฝอย 72
4.3 แมลงศตั รู 4.3.1 หนอนแมลงวันเจาะลําตน เปนแมลงสดี ําปก ใส ขนาดยาวไมเกิน 3 มิลลิเมตร จะวางไขบ นโคนกา น ใบ ของถ่ัว ไขฟ ก เปนตัวหนอนมีสีเหลอื งออนทอ่ี าจ ชอนไชไปในลาํ ตน สงั เกตยากทําใหต น ถัว่ ชะงกั การเจรญิ เตบิ โต ผลผลติ ลดลง ชว งการ ระบาดจะทุกระยะการเจรญิ เตบิ โต ต้ังแตถัว่ เขยี วเริ่มมีใบจรงิ คแู รกและเปน อนั ตรายมาก ทสี่ ดุ เมือถ่วั เขียวอยูในระยะตนกลา การปอ งกันกําจัด ใชส ารเคมตี ามคําแนะนํา 4.3.2 หนอนกระทผู กั ตัวหนอนมีสีเขียวหรือนํ้าตาลออนมีจุดสี ดําหรือนํ้าตาลไหมคาดตามขวางบนสัน หลัง และสวนบนทองปลอ งท่ี 7-8 หวั สี ดํากวาตวั เขา ทําลายถั่วเขียวโดยกดั กินใบ ดอก และฝกออ น ระยะทเ่ี สียหายมากคอื ระยะออกดอกและตดิ เมลด็ การปองกันกําจดั ตรวจแปลงอยางสมา่ํ เสมอ พบการ ทําลายของหนอนที่เพิ่งฟกออกจากไข ระยะแรกอยกู ันเปนกลมุ ใหเกบ็ ทําลาย หรือใชศัตรูธรรมชาติเชนแตนเบียนหนอน หรอื ใชไวรสั NPV ของหนอนกระทูผัก อตั ราตามคําแนะนํา 4.3.3 เพลีย้ ไฟ ตัวออ น และตัวเต็มวัยดูดกินน้ําเลี้ยงจากสวนออน ตา งๆ ของพืช ทําใหใ บหงกิ งอบิดเบยี้ ว แหง กรอบ ดอกรวง ติดฝกนอ ย ระบาด มากในฤดูแลง หรอื ในฤดฝู นท่ีเกดิ สภาวะฝนท้งิ ชว ง การปองกันกําจัด ใชสารเคมตี ามคาํ แนะนาํ 4.3.4 หนอนเจาะสมอฝาย ตัวเตม็ วยั เปนผเี ส้ือกลางคนื วางไขเ ปน ฟอง เดย่ี วตามสวนตางๆของพืช ตัว หนอนมสี ีตางกนั เขยี ว เหลือง เทา และน้ําตาลเขม มขี น รอบตัวและมีแถบสดี ําพาดยาวตามดา นขางลาํ ตวั ลักษณะการทําลายหนอนเขา ทําลาย ถั่วเขยี วโดยกดั กนิ ใบ ดอก เจาะฝกและกดั กินเมล็ดภายในฝก พบระบาดมากในฤดูแลง การปอ งกันกาํ จัด ตรวจแปลงอยางสม่ําเสมอ ใชไ วรัส NPV ของ หนอนเจาะสมอฝาย อตั ราตามคาํ แนะนาํ ใชศตั รูธรรมชาติ ไดแ ก แตนเบียนไข แมลงชาง ปกใส มวนตาโต มวนเพชฌฆาต และแมลงวนั เบียนกนขน 4.3.4 หนอนเจาะฝก มารคู า ตวั เตม็ วยั เปน ผเี สอ้ื กลางคนื จะวางไขท กี่ ลบี ดอก ตัวหนอนมีสีขาวและขาวเหลือง มีจุดสีน้ําตาลดําเปนคูบนสวนหลังของลําตัว ทกุ ปลอ ง การทาํ ลายเขา ตงั้ แตร ะยะออกดอกจนถงึ ฝก แกโ ดยกดั กนิ เกสรดอก และเมลด็ ในฝก 73
การปอ งกนั กําจัด เม่อื ตนถัว่ อยูในระยะตดิ ดอกและติดฝกออ น ควร พน ดวยสารเคมีตามคําแนะนาํ ใชส ารสกัดเมลด็ สะเดาเขม ขน 4.4 สตั วศัตรู หนู จะทาํ ลายโดยขุดเมลด็ กนิ กอนงอก กัดตน ออน และเจาะกนิ เฉพาะ เมลด็ ออ นภายในฝก หนทู พ่ี บมหี ลายชนดิ ไดแก หนูพกุ ใหญ หนพู กุ เลก็ หนูนาใหญ หนนู าเล็ก หนบู า นทองขาว หนหู รง่ิ นาหางยาว และหนหู รงิ่ นาหางสนั้ เปน ตน ระบาดรุนแรงในฤดู แลง หลงั การทาํ นา โดยเฉพาะพน้ื ท่ีที่ไมม อี าหารอน่ื การปองกันกําจัด ใชกรงหรอื กบั ดักหรือเหยื่อพิษ 5. การปฏิบตั ิกอนและหลงั การเกบ็ เกย่ี ว 5.1 ระยะเก็บเก่ียวท่ีเหมาะสม ถ่วั เขยี วเปน พชื ทมี่ ีการสุกแกของฝกไมพรอม กัน อายุเกบ็ เกย่ี วของถัว่ เขยี ว ข้นึ อยูก ับพันธุ ความชน้ื ดนิ และสภาพภูมิอากาศ โดยทว่ั ไป จะเกบ็ เกย่ี ว 2 ครง้ั คร้งั แรกเมื่อถ่ัวเขยี วมีฝก สกุ แก 80 เปอรเ ซน็ ต และครง้ั ท่ี 2 หลังจาก เก็บเกย่ี วคร้ังแรกประมาณ 14 วัน 5.2 วธิ ีการเก็บเกยี่ ว ใชม อื ปลดิ ฝก แกท เ่ี ปลยี่ นเปน สีดํา 5.3 การปฏิบตั หิ ลงั การเกบ็ เก่ยี ว นาํ ฝก ถัว่ เขียว ไปผงึ่ แดดเพ่อื ใหค วามชน้ื ฝก และเมล็ดลดลงเหลอื ประมาณ 11 - 13 เปอรเซน็ ต การกะเทาะฝกถั่วเขียว บรรจุฝกในถุง หรอื กระสอบ ใชไ มท บุ หรอื กองฝก ถัว่ เขียวสงู ประมาณ 25 เซนตเิ มตร ใชร ถแทรคเตอร เลก็ ทป่ี ลอ ยลมยางรถใหออ น ยํา่ บนลานนวด ใชความเรว็ รอบของเครอ่ื งตา่ํ เพอ่ื ลดการ แตกหักของเมลด็ ทาํ ความสะอาดเมลด็ ดว ยวธิ ีรอนและฝด แลว นาํ เมล็ดไปผึง่ แดดเพอ่ื ลด ความช้นื เหลอื ประมาณ 11 - 12 เปอรเซ็นต บรรจุเมลด็ ในกระสอบปานทีส่ ะอาด เพอ่ื เก็บรกั ษาหรือสงจาํ หนาย 5.4 การเก็บรกั ษา โรงเกบ็ ตอ งเปน อาคารโปรงอากาศถา ยเทไดดี ปอ งกนั ความ เปยกชน้ื จากฝนและนํ้าทว มได ไมมแี มลง หนู สตั วเลอ้ื ยคลาน หรอื สตั วเ ลี้ยงเขา รบกวน ถาเปน พน้ื ซเี มนตใหหาวสั ดรุ องกระสอบปา น เชน ไมไผ หรอื แคร ทาํ ความสะอาดโรงเก็บ กอ นนาํ เมลด็ เขา เก็บรกั ษาทุกครั้ง และทําความสะอาดตลอดระยะเวลาท่ีเก็บรกั ษาอยาง สมํ่าเสมอตรวจสอบปริมาณแมลงและเมลด็ เสยี หายหากพบแมลงใหกาํ จัดตามคําแนะนาํ 74
ขอมลู สภาพแวดลอ มที่เหมาะสมตอการเจริญเติบโตของถวั่ เขยี ว สภาพแวดลอม ความเหมาะสม ขอจาํ กัด 1. สภาพภูมอิ ากาศ - อุณหภูมิ (เซลเซียส) - อุณหภมู ทิ เี่ หมาะสมตอการเจริญเติบโต อณุ หภูมิทส่ี งู หรอื ต่าํ เกนิ ไปมีผลตอการเจรญิ เตบิ โต และ ขบวนการสรีระวิทยาของ 25-35 องศาเซลเซยี ส ถวั่ เขียว เชน อุณหภมู ิต่าํ จะทําใหต น เติบโตชา ในชวงปลูก ถาอากาศมอี ณุ หภมู ิ ต่ํา 2. สภาพพืน้ ที่ กวา 9.9 องศาเซลเซยี ส จะทําใหเมลด็ ไมง อก และหากอุณหภมู ิสงู จะทําใหดอกรวง - ความลาดเอียงของพ้นื ท่ี การติดฝกนอ ย ผลผลติ ตาํ่ และเมล็ดมคี ณุ ภาพตา่ํ 3. สภาพดิน - ลกั ษณะของเน้ือดิน - เปน ท่ดี อนหรือท่ลี ุมทมี่ กี ารระบายนํา้ ดี น้ําไมทวมขงั และไม ถ่วั เขยี วเปน พชื ทไ่ี มทนตอ สภาพน้าํ ขงั - ความลกึ ของหนาดนิ แหงแลง - ความเปนกรด-ดา ง (pH) - มคี วามลาดเอยี งของพ้นื ท่ไี มเกิน รอยละ 3 - ปรมิ าณอินทรยี วตั ถุ 4. ความตองการธาตอุ าหารพืช - ดนิ รว น ดินรว นเหนียว ดนิ เหนยี ว หรอื ดนิ รว นเหนียวปนทราย ปุยชวี ภาพไรโซเบยี มเปน เชื้อจุลินทรียท่อี ยใู นปมรากของถ่ัวเขียวชว ยตรงึ ไนโตรเจน 5. สภาพนา้ํ - ระดับหนาดนิ ลกึ ไมน อ ยกวา 25 เซนตเิ มตร ในอากาศ ดงั นั้นกอนปลูกถั่วเขียวควรคลกุ เมลด็ พันธดุ ว ยปยุ ชีวภาพไรโซเบียมกอน - คุณภาพนาํ้ - คา ความเปน กรดเปนดางระหวาง 5.5-7.0 ปลกู - ปรมิ าณนา้ํ ท่ีตองการ - อนิ ทรยี วัตถไุ มต่ํากวา 1.5 % -ฟอสฟอรสั ทเ่ี ปนประโยชนม ากกวา 10 มิลลิกรมั /กโิ ลกรัม -โพแทสเซยี มทแี่ ลกเปลย่ี นไดมากกวา 60 มิลลิกรมั /กโิ ลกรมั - การระบายนํ้าและถายเทอากาศดี ผลกระทบจากการขาดน้าํ ท่ีมตี อผลผลิตขึ้นอยู กับชวงระยะเวลาของการเจรญิ - ปริมาณน้าํ ฝนกระจายสม่าํ เสมอ 500-1,000 มิลลิเมตรตอ ป เตบิ โตดงั น้ี - การปลกู ในฤดแู ลงโดยการใหน้ํา – ขาดน้ําในชว งการเจรญิ ทางลาํ ตน ผลผลิตลดลง รอยละ 25 – ขาดนํ้าในชวงเร่มิ ออกดอกถึงออกดอกเตม็ ที่ ผลผลติ ลดลง รอ ยละ 45 – ขาดนาํ้ ในชวงเร่มิ ตดิ ฝกผลผลติ ลดลง รอยละ 35 ขาดน้าํ ในชวงตดิ ฝก ถึงฝกแก ผลผลิตลดลง รอยละ 13 75
แนวทางการเพิม่ ประสิทธภิ าพการผลติ และแหลง สบื คนขอ มลู เพม่ิ เติม แนวทางการเพ่มิ ประสิทธภิ าพการผลิต 1. การเลือกพื้นที่ หลีกเลย่ี งพ้ืนทีท่ ี่มรี ะดบั ตาํ่ ดินเหนียวจัดระบายนา้ํ ไมดี เพราะ จะทําใหตน ถัว่ มกี ารเจรญิ เติบโตไมด ี ตนเตีย้ แคระแกรน็ แสดงอาการใบเหลืองและให ผลผลติ ตํา่ 2. การเตรยี มดนิ ปลูกถว่ั เขยี วทง้ั ฤดูฝนและฤดูแลง ควรวางแผนจัดระบบนํา้ ให เหมาะสม - ในสภาพดินไร อาศัยนา้ํ ฝน ควรปรับระดับหนา ดนิ ใหสมํา่ เสมอ และมีความ ลาดเอียงเลก็ นอย และตดั รองระบายน้ําเพอ่ื ใชร ะบายนํา้ ทมี่ ากเกินทงิ้ - ในสภาพดินนา เขตชลประทาน ควรเตรยี มดนิ แบบยกรองปลูก 3. การเตรียมดินปลูกถั่วเขียวตองเตรียมดินใหดีจะทําใหเมล็ดงอกงามไดเร็วและ ชวยกําจัดวชั พชื ถา ดินเปนกรดควรใสป ูนขาวหรือหนิ ฟอสเฟต 100 - 200 กโิ ลกรมั ตอไร โดยหวา นพรอมกบั การไถพรวนดนิ กอ นปลกู 10 - 15 วนั 4. ถา ดนิ มีอินทรยี วตั ถุต่ํากวา 1.5 เปอรเ ซ็นต หลงั จากไถพรวนดนิ ใหห วานปยุ คอก หรือปุยหมักทีย่ อ ยสลายแลว อตั รา 500 - 1,000 กโิ ลกรมั ตอ ไร 5. ถาในดนิ มีอินทรยี วตั ถมุ ากกวา 1.5 เปอรเ ซน็ ต ฟอสฟอรัสที่เปนประโยชน มากกวา 10 มิลลกิ รมั ตอกโิ ลกรัม และโพแทสเซียมท่แี ลกเปลย่ี นไดมากกวา 60 มลิ ลิกรมั ตอ กโิ ลกรมั ไมจ ําเปนตองใสปยุ เคมี 6. ถาในดินขาดธาตเุ หล็ก สว นใหญพ บในดนิ ดางสดี ํา เชน ดินชุดตาคลี อาการที่ พบคือ ใบยอดที่แตกออกมาใหมมีสีเหลอื งซีดแตเสน กลางใบยังคงมสี ีเขยี ว ถา ขาดรนุ แรง ใบเปล่ยี นเปน สเี หลอื งซีดจนเกอื บขาว ตนแคระแกร็น ผลผลิตลดลง หรือไมไดผ ลผลติ ให ใชพ ันธุท นทาน ไดแก พันธุชยั นาท36 และชัยนาท72 หรอื พนเหลก็ ซลั เฟต (ความเขม ขน 0.5%) อัตรา 3 กิโลกรัมตอ ไร พนเมอ่ื ตน ถั่วเขียวอายุ 20, 30 และ 40 วนั หลงั งอก 7. ใชเมล็ดพนั ธดุ ที ปี่ ลูกไมเกิน 3 ฤดู 8. คลุกเมลด็ พนั ธุถ่วั เขยี วดวยปุยชีวภาพไรโซเบยี มสําหรับถั่วเขียวอัตรา 1 ถุง (200 กรมั ) ตอ เมล็ดพนั ธุป ลกู 1 ไรกอนปลูก ในพนื้ ทท่ี ี่ไมเคยปลกู ถัว่ เขียวมากอน 9. การปลูกถ่ัวเขยี วในฤดูฝนนนั้ ควรปลกู เปน แถวจะดีกวาการหวา น เน่ืองจากใน ฤดูฝนมกั มปี ญ หาเรอื่ งวัชพชื ขน้ึ มาก การหวานทําใหก ําจัดวชั พืชในแปลงไดยาก 10. ในกรณที ่มี นี ้าํ จํากดั ควรใชว ัสดุ เชน ฟางขา วคลุมดนิ เพื่อลดความรนุ แรงของการ ขาดนาํ้ แหลงสบื คนขอมูลเพิ่มเติม นันทวรรณ สโรบล และปย ะอิศรา ขอดวงกลาง 2545. เทคโนโลยกี ารผลติ ถั่วเขียว ผวิ มันคุณภาพด.ี เอกสารเผยแพร กองสง เสรมิ พืชไรนา กรมสงเสรมิ การเกษตร กรมสง เสริมการเกษตร 2551. คมู อื นักวิชาการสง เสริมการเกษตรถ่วั เขียว. สํานักสงเสรมิ และจดั การสินคา เกษตร กรมสงเสรมิ การเกษตร 76
งา การเตรยี มการ 20 วนั ขนั้ ตอนการปลกู และการดแู ลรักษางา 120 วนั 140 วนั 40 วนั 60 วัน 80 วัน 100 วัน การเตรียมดนิ 1. ไถ 1 -2 คร้ัง ตากดนิ การปลูก การใสป ุย การใหน ํา้ การกาํ จัดวชั พชื การเกบ็ เกย่ี ว 7-10 วัน พรวน 1 คร้งั แลว - การปลกู แบบโรย - ดนิ ทรายหรอื ดินรว นปนทราย ใช การปลกู เดอื น 1. กาํ จดั วชั พชื ดว ย เกบ็ เก่ียวตามอายุของพันธุ คราดเกบ็ เศษซาก ราก เปนแถว ใชอัตราเมล็ด ปยุ สตู ร 16-16-8 อตั รา 30-40 กก./ไร ก.พ.ใหนา้ํ หลงั แรงงาน 2 คร้ัง เมื่อ หรอื สงั เกตฝกงาเปล่ยี นเปนสี เหงา หวั และไหลของวัชพชื ประมาณ 0.5 กก./ไร ขามปอ อกจากแปลง - การปลูกโดยวธิ หี วาน - ดนิ เหนยี วสแี ดง ใชป ยุ สตู ร 16-20-0 งอกทุก 7-15 15 วนั และ 30-40 วัน เหลืองประมาณ 80 % ของ 2. ดินอินทรยี วตั ถุตา่ํ ใสป ุย หวา นปุยตามดว ย หรือ 20-20-0 อตั รา 20-30 กก./ไร วัน จนถึงอายุ หลังงอก พ้ืนท่ีแลวตดั ตน งาใตฝ กลา งสุด คอก หรอื ปุยหมัก อัตรา เมลด็ พันธุอัตราเมล็ด - ดนิ เหนียวสีดําหรอื ดนิ รวนเหนยี ว 45 วนั หลงั ปลกู 2. ในกรณีกาํ จดั วัชพชื แลว มัดรวมกนั มดั ละ 10-20 สีน้ําตาล ใชปยุ สตู ร 21-0-0 อัตรา ดว ยแรงคน/เคร่ืองจกั ร ตน นํามดั งามาพิงกันไวก ลุมละ 1,000-1,500 กก./ไร แลว ประมาณ 1 กก./ไร แลว 20-30 กก./ไร ไมม ปี ระสิทธิภาพให 3-4 มัดบนลานตากซึ่งอาจปู พรวนกลบ คราดกลบ ใชสารพนกาํ จัดวชั พืช ผา ใบหรือผา ใยพลาสติกรองรบั 3. ดนิ ทมี่ ี pH ต่ํากวา 5.5 การปฎิบัติหลังการเกบ็ เก่ยี ว กอนหรอื หลงั ปลกู งา เมล็ดทจี่ ะรวงไว ตากแดด ใหหวา นปูนขาว 100-200 ตามคาํ แนะนาํ ประมาณ 5-7 แดด กก./ไร แลวพรวนกลบกอน - ทําความสะอาดเมลด็ โดยการฝด เพ่อื ใหเ ศษสิง่ เจอื ปน และเมล็ดลบี รวงทง้ิ ไป ปลูก 10-15 วัน - ลดความชืน้ ของเมล็ด โดยการตากแดดจดั 4-5 แดด ศัตรทู ่สี ําคญั และการปอ งกันกาํ จดั การเตรียมพันธุ เพื่อลดความช้ืนของเมลด็ ลง เหลือ 4-5 เปอรเ ซน็ ต โรคทีส่ าํ คัญ โรคเนาดาํ โรคใบไหมและลําตน เนา โรคเห่ยี ว - เมลด็ พนั ธตุ องมคี วามงอก แลว จึงบรรจถุ ุงเพอื่ เก็บรกั ษา หรอื จําหนาย การปอ งกนั กาํ จดั คลกุ เมลด็ ดว ยสารเคมกี อ นปลกู ใชพ นั ธตุ า นทาน ปลกู พชื หมนุ เวยี น ไมตํ่ากวา 80 %อตั ราเมล็ด - บรรจเุ มลด็ งาในกระสอบปา นที่ไมช ํารดุ สะอาด ตัด แมลงศัตรู หนอนหอ ใบงา หนอนผีเสื้อหัวกะโหลก เพลี้ยจักจนั่ มวนเขยี วขา ว ปลกู 0.5-1.0 กก./ไร แตง ปากกระสอบใหเรยี บรอ ย และเยบ็ ดว ยเชือกฟาง การปองกนั ใชพนั ธุตานทาน ใชส ารเคมี
เทคนคิ การปลูกและดแู ลรักษางา 1. การเตรยี มการกอ นปลกู 1.1 การเตรยี มดนิ การเตรียมดนิ ท่ีรว นซุยดีจะชว ยใหง างอกไดดแี ละสมํ่าเสมอ การไถพรวน จะ มากหรือนอ ยข้นึ กบั โครงสรา งและชนดิ ของเนอื้ ดิน และปริมาณวัชพืช - ไถ 1 - 2 คร้งั ตากดนิ 7 - 10 วัน พรวน 1 ครง้ั แลว คราดเกบ็ เศษซาก ราก เหงา หัว และไหลของวชั พชื ขามปอ อกจากแปลง - ถา ดินมอี ินทรียวตั ถุตาํ่ กวา 1 เปอรเ ซ็นต ใหห วานปุยคอกหรอื ปยุ หมกั ทยี่ อ ยสลายดีแลว อตั รา 1,000 - 1,500 กิโลกรัมตอ ไร แลวพรวนกลบ - ถา ดินมีคาความเปน กรดดา งตาํ่ กวา 5.5 ใหห วา นปนู ขาว อตั รา 100 - 200 กิโลกรมั ตอไร แลว พรวนกลบ กอนปลกู 10 - 15 วัน 1.2 การเตรียมพนั ธุ - ใชเ มล็ดพนั ธจุ ากแหลง และแปลงทสี่ ะอาดปราศจากการทําลาย ของโรค และแมลงศัตรู - เมล็ดพันธุตอ งมีความงอกไมต ่าํ กวา 80% อตั ราเมลด็ พันธุปลกู 0.5 - 1.0 กิโลกรมั ตอไรข ึ้นอยกู ับวธิ กี ารปลกู 2. การปลกู 2.1 วิธีปลกู - การปลกู แบบโรยเปน แถว ใชร ะยะแถว 30 ถงึ 50 เซนติเมตร เปดรองลกึ ประมาณ 5 เซนตเิ มตร ใช อัตราเมล็ดพนั ธปุ ระมาณ 0.5 กิโลกรัมตอไร โดยโรยเมลด็ ใหม ี จาํ นวนตน ประมาณ 10 - 20 ตนตอความยาวแถว 1 เมตร - การปลกู โดยวธิ หี วาน ใหห วานปุย (สูตรและอตั ราตามขอ 3.1) กอนแลว ตามดว ยหวานเมล็ด ใชอ ัตราเมล็ดประมาณ 1 กโิ ลกรมั ตอ ไร คราดกลบหลังหวาน 78
3. การดูแลรกั ษา 3.1 การใสป ุย - ดินทรายหรือดนิ รว นปนทราย ใชป ุย สตู ร 16-16-8 อตั รา 30 - 40 กโิ ลกรมั ตอ ไร - ดนิ เหนยี วสแี ดง ใชป ยุ สตู ร 16-20-0 หรือ 20-20-0 อตั รา 20 - 30 กโิ ลกรมั ตอไร - ดนิ เหนยี วสดี าํ หรอื ดนิ รวนเหนยี ว สนี ้ําตาล ใชปุยสตู ร 21-0-0 อตั รา 20- 30 กิโลกรัม ตอไร หรอื 46-0-0 อตั รา 10 - 15 กิโลกรมั ตอ ไร 3.2 วิธีการใส - ปลกู เปนแถว โดยโรยปุยขางแถวงา แลวพรวนดินกลบ เมอ่ื งา อายุ 15 - 20 วัน 3.3 การใหน ํา้ งาคอ นขางทนแลง ไมจ ําเปน ตองใหน ้าํ ถาดินมีความชืน้ สมํ่าเสมอ ตลอดฤดปู ลูก การปลกู งาในชวงเดอื น กมุ ภาพนั ธถ ึงมนี าคมในเขตทม่ี ีการใหน ้าํ แบบยกแปลงปลกู กอ นปลูกควรใหนาํ้ เพ่อื ดนิ มี ความช้ืนพอเพยี ง และใหน้ําหลงั งอกทุก 7 - 15 วัน ไมค วรใหง าขาดน้าํ ในชวงออกดอก และตดิ ฝก หรอื ประมาณ 30 - 45 วันหลงั ปลูก 4. ศัตรพู ืชท่ีสาํ คัญ 4.1 วัชพชื วชั พืชใบแคบ ไดแก หญาเจาชู หญา ปากควาย หญา ตนี นก หญา ตนี กา หญา ดอกขาว หญา ขจรจบดอกใหญ หญา ขจรจบดอกเลก็ วัชพชื ใบกวาง ไดแ ก ผักโขมหนาม ผกั โขมธรรมดา ผักเบีย้ หิน ผกั ปราบ กระดมุ ใบ สาบเสอื วัชพชื กก ไดแก กกทราย แหว หมู หนวดปลาดกุ การปอ งกันกําจัด - กาํ จัดวัชพืชดวยแรงงาน 1 - 2 ครั้ง เม่อื 15 วนั หรือ 30 - 40 วนั หลงั จากงางอก โดยใชจ อบดาย ระหวา งแถว และใชม อื ถอนระหวา งตน ตองระวังไมใหรากและตนของงากระทบกระเทอื น - หากการปองกันกําจัดวัชพืชโดยวิธี กลไมไดผ ล ควรพน สาร กําจดั วัชพชื ตามคําแนะนาํ หลีกเล่ยี งการพนโดยตรงไปที่ตน งา 4.2 โรค 4.2.1 โรคเนา ดํา เกิดจากเชอื้ รา ลักษณะอาการใบเร่มิ เหลืองซีดลงกวาปกติ ตนงาจะ 79
เห่ียวยืนตน ตาย รากและลาํ ตนเนาสนี ํ้าตาลเปลือกตดิ แนน กบั ลาํ ตน ฉีกดูภายในจะกลวง แฟบ บริเวณแผลมีเมล็ดสดี ํา คลา ยผงถานกระจายอยทู ่วั ไปโรคน้รี ะบาดไดตัง้ แตระยะ กลาจนถึงเกบ็ เก่ียว การปอ งกันกําจดั คลุกเมลด็ ดวยสารเคมตี ามคําแนะนํากอนปลกู ปลกู พืชหมุนเวยี นทไ่ี มเปน โรคนส้ี ลับกับการปลกู งา เผาทําลายเศษซากพชื ทีเ่ ปนโรค 4.2.2 โรคใบไหม เกดิ จากเชอื้ รา ลักษณะอาการ ใบไหมโดยเฉพาะเม่ือ มีความช้นื สูงฝนตกชกุ อาการไหมจ ะลุกลามสกู านใบ ลําตน ระยะการระบาด ทําความ เสียหายกับงาในระยะเติบโตถึงเกบ็ เกี่ยว การปอ งกันกําจัด ปลกู พันธุต านทาน ปลูกพชื หมุนเวยี น ใชสารเคมี ตามคําแนะนําคลุกเมลด็ กอ นปลกู 4.2.3 โรคเหี่ยวแบคทเี รยี ลักษณะอาการ ยอดเหีย่ วมรี อยประสีขาวใส เลก็ ๆ กระจายตามความยาวของลําตน เมื่อผา ลําตน ตามขวางดจู ะมีสนี าํ้ ตาลบรเิ วณรอย ตอของเปลือกกบั แกน เม่อื บีบจะมีน้ําเยม้ิ สขี าวขุน ตน งาจะเหย่ี วและยืนตน ตาย โดยท่ี รากยงั ปกตอิ ยู การระบาดทําความเสยี หายกับงาในระยะเติบโตถึงเก็บเก่ียว การปอ งกนั กาํ จดั ใชพ ันธุตานทาน 4.3.4. โรคยอดฝอย เกิดจากเชอื้ ไมโครพลาสมา โดยมีเพลีย้ จ๊กั จ่ันเปน แมลงพาหะ งาท่ีเปน โรคจะชะงักการเจริญเติบโต ใบมีขนาดเลก็ ยอดแตกเปนพุม ฝอย ดอกเปลีย่ นเปนสเี ขยี วคลายใบ ไมตดิ ฝก ระบาดกบั งาในระยะตน กลาถึงระยะเจริญเตบิ โต การปองกนั กําจดั ถอนและเผาทาํ ลายตน ท่เี ปนโรค หลีกเล่ยี งการปลกู ในชว งฤดูฝน ใชสารเคมีตามคาํ แนะนาํ 4.3 แมลงศัตรู 4.3.1หนอนหอ ใบงา เปนแมลงศัตรูที่สําคญั ที่สดุ ของงา จะเขาทําลายใน ทุกสว นและในทุกระยะ การเจรญิ เติบโต การปอ งกันกาํ จดั ใชพนั ธตุ า นทาน ใชสารเคมีตามคําแนะนาํ 4.3.2 หนอนผเี สอื้ หวั กะโหลก เกษตรกรเรยี กหนอนชนดิ น้วี า “หนอนแกว” ทาํ ความเสยี หายไดม าก และรวดเรว็ ทาํ ลายตงั้ แตง าเรมิ่ แตกใบจรงิ จนกระทงั่ ตดิ ดอกออกฝก การปอ งกนั กําจดั ใชพนั ธตุ านทาน ใชสารเคมตี ามคําแนะนํา 4.3.3 แมลงกินูนเลก็ แมลงชนิดนี้จะทํา ความเสยี หายใหกับตนงาไดอ ยา ง รวดเรว็ การระบาดข้ึนอยู กบั สภาพภูมอิ ากาศและสภาพพนื้ ที่ มกั ทําลายตนงา ในระยะติดฝก ในเวลากลางคนื สว นกลางวันจะหลบอยตู ามตนไมใหญรอบๆ แปลงปลกู การปองกนั กาํ จัด ถาพบแมลงกนิ ูนระบาดจะดกั จบั มาเปน อาหาร หรอื จําหนาย ซ่ึงเปน วิธีการกําจดั แมลงทไี่ ดผลดวี ิธีหน่ึง 4.3.4เพลยี้ จักจ่ัน ตัวออนและตัวเต็มวัยจะอาศยั ดูดกินน้าํ เลีย้ ง ตามใบ และยอดออ นของงา นอกจากนเ้ี พล้ยี จกั จ่นั ยงั เปน แมลงพาหะนาํ โรคยอดฝอยมาสงู า อีกดวย การปองกันกาํ จัด ใชสารเคมีตามคําแนะนาํ ฉดี พนในระยะกอ น ออกดอก 1-2 ครั้ง หา งกัน 7-10 วัน 80
4.3.5 มวนเขยี วขา ว พบมกี ารระบาดทว่ั ไปในแหลง ปลกู งา โดยเฉพาะ การปลูกงาตามหลังขา ว จะเกดิ การระบาดอยา งตอเนื่องและรนุ แรง เพราะเปน แมลงศตั รู ท่สี าํ คญั ของขา ว ตวั ออ นฟกใหมๆ จะอยูรวมกลุมกันดูดกนิ นํ้าเลย้ี ง งาบางตนจะมสี ีดํา ตลอดบริเวณยอด เนอื่ งจากตัวออนของมวนเขียวขาวรวมตัวกนั ดดู กินนา้ํ เลีย้ ง เมอื่ ตวั โต ข้ึนจะเรม่ิ แยกไปดูดกินน้ําเลี้ยงตามตน อ่นื ๆ ขณะท่งี าเร่มิ ออกดอกและติดฝก การปอ งกันกําจัด ใชสารเคมตี ามคําแนะนํา 4.3.6. มวนฝน เปนแมลงปากดูดขนาดเลก็ ทําลายโดยการดูดกนิ น้ําเล้ยี งจากยอด ใบออ น ดอก และฝก ออ น ถาถูกทําลายมาก ๆ ตนงาจะแสดงอาการ เหีย่ วเฉาได การปอ งกันกําจดั ใชพันธุตานทาน ใชสารสกดั สะเดาเขม ขน ใชส ารเคมีตามคําแนะนํา 5. การปฏิบัติกอ นและหลงั การเกบ็ เกย่ี ว เกบ็ เกี่ยวตามอายุของพันธทุ ปี่ ลูก (85 - 120 วนั ตามชนดิ พนั ธุ) โดยสังเกตจาก ฝก งา 2 ใน 3 ของลําตน เปลี่ยนเปนสเี หลอื งจํานวน 80 เปอรเซ็นตของพน้ื ทป่ี ลกู ในงาดาํ และงาแดง สามารถสงั เกตจากเมล็ดในฝก ท่ี 2 - 3 จากยอดเปล่ยี นเปน สนี ํา้ ตาล 5.1 วธิ ีการเกบ็ เกย่ี ว ตดั ตน งาใตฝ กลา งสดุ แลวมดั รวมกันมัดละ 10 - 20 ตน นํามัดงามาพิงกนั ไว กลุมละ 3 - 4 มดั บนลานตากทปี่ ผู า ใบหรือผา ใยพลาสติกรองรับเมล็ดที่จะรว งไว ตากแดด ประมาณ 5 - 7 แดด 5.2 การกะเทาะ 81
- นาํ งาทต่ี ากแหง แลว มาแคะเอาเมล็ดออกจากฝก หรอื ใชเ ครือ่ งนวดขา ว ทด่ี ัดแปลงมากะเทาะเมล็ดงา ออกจากฝก - ทําความสะอาดเมลด็ โดยการฝดดว ยกระดง เพือ่ ใหเศษส่ิงเจอื ปน และเมล็ดลบี รวงท้ิงไป - ลดความช้นื ของเมลด็ โดยการตากแดดจัดประมาณ 4-5 แดด เพอ่ื ลด ความช้ืนของเมลด็ ลง เหลือประมาณ 4-5 เปอรเ ซ็นต แลวจงึ บรรจุถงุ เพื่อเกบ็ รกั ษา หรือจําหนาย - บรรจุเมล็ดงาในกระสอบปา นทไ่ี มชํารดุ สะอาด ปากกระสอบตดั แตง ใหเรียบรอ ย และเยบ็ ปากกระสอบดวยเชอื กฟาง 5.3 ปฏิบตั ิหลังการเกบ็ เก่ยี ว - ควรวางกระสอบท่บี รรจุเมล็ดงาในท่รี ม บนพ้ืนท่มี ีไมร อง - ระหวา งการขนสง ไมควรใหเมล็ดงาถกู ความช้ืน - รถบรรทุกตอ งสะอาด หากขนสงเมลด็ งาในฤดูฝน ตองมผี าใบคลุม เพอ่ื ปองกัน เมล็ดงาถูกความชื้นและไดรับความเสยี หาย 82
ขอ มูลสภาพแวดลอ มท่ีเหมาะสมตอการเจรญิ เติบโตของงา สภาพแวดลอ ม ความเหมาะสม ขอจาํ กดั 1. สภาพภมู ิอากาศ - อณุ หภูมทิ ่เี หมาะสมตอการเจรญิ เตบิ โตอยรู ะหวาง 25 - 35 - ไมชอบอากาศหนาวเย็น - อณุ หภมู ิ (เซลเซียส) องศาเซลเซยี ส - เมล็ดจะไมงอกท่ีอุณหภมู ติ าํ่ กวา 20 องศาเซลเซียส - งาเปน พืชวันสน้ั และไวตอ ชว งแสง - ถา อุณหภูมิสงู กวา 40 องศาเซลเซียส จะทาํ ใหเ กสรตดิ ยากและการสรา งฝก - แสง เปนไปไดชา - ชว งแสง Photoperiod ทม่ี ผี ลตอการออกดอกงาประมาณ 11 ชัว่ โมง 2. สภาพพ้ืนท่ี -เปนท่ดี อน ระบายนาํ้ ดี - ไมท นตอสภาพนํา้ ขงั - ความสูงจากระดบั นา้ํ ทะเล - สามารถข้นึ ไดในระดับความสงู 1,200 -1,500 เมตร เหนอื - พ้นื ทที่ ่ไี มมกี ารระบาดของโรคในปท่ีผานมา ระดับทะเลปานกลาง - มีความทนตอ ปริมาณเกลอื ในดินตาํ่ มาก 3. สภาพดนิ - ลกั ษณะเนอื้ ดิน - ดนิ รว น รว นทราย และรวนเหนียว ทมี่ กี าระบายนํ้าและการ ถา ปลูกในดนิ เหนยี วควรยกรองปลกู เพอื่ ใหมีการระบายน้าํ ดี - ความลึกของหนา ดนิ ถา ยเทอากาศดี - ความเปนกรด-ดา ง (pH) - ประมาณ 20-25 เซนตเิ มตร - ปริมาณอินทรียวัตถุ - อยูระหวา ง 5.5 - 6.5 4. สภาพนาํ้ - อินทรยี วัตถไุ มต า่ํ กวา 1 เปอรเ ซ็นต - ปริมาณนาํ้ ที่ตองการ - งาตองการปรมิ าณนา้ํ ฝนกระจายสมํา่ เสมอประมาณ 300 - ชวงงาออกดอก (30-45 วัน) เปนชวงทงี่ าใชนา้ํ มากท่ีสุด ถาขาดนํ้าชวงน้ีจะมี 1,000 มิลลิเมตรตอ ป หรอื ประมาณ150-250 ลกู บาศกเมตรตอป ผลตอ ผลผลิตงา 83
แนวทางการเพ่ิมประสทิ ธภิ าพการผลิต และแหลง สบื คน ขอ มูลเพมิ่ เติม แนวทางการเพิ่มประสทิ ธิภาพการผลติ 1. การเตรยี มดนิ ปลกู งาตองเตรยี มดนิ ใหร วนซุยสามารถควบคุมวชั พืชในแปลง ระยะแรก จะชว ยให งางอก ไดดแี ละสมา่ํ เสมอ และปลอดจากวัชพชื ขึน้ มาแกงแยง ดินรวน รว นปนทราย ไถ 1-2 คร้ัง ดินรวนเหนียว ไถ 2-3 ครง้ั 2. ดนิ มีอนิ ทรยี วัตถุตํา่ กวา 1 เปอรเ ซน็ ต ใหห วานปุยคอกหรือปุยหมัก ทยี่ อยสลาย ดแี ลว อัตรา 1,000 - 1,500 กิโลกรมั ตอ ไร แลว พรวนกลบ ถาดินมคี าความเปน กรดดา ง ตา่ํ กวา 5.5 ใหห วานปนู ขาว อตั รา 100 - 200 กโิ ลกรมั ตอ ไร แลว พรวนกลบ กอ นปลูก 10 - 15 วนั 3. การใสป ยุ สตู รปุยและอตั ราทใี่ สควรคาํ นึงชนิดของดนิ ดงั นี้ - ดนิ ทรายหรอื ดนิ รว นปนทราย ใชป ยุ สตู ร 16-16-8 อตั รา 30 - 40 กโิ ลกรมั ตอ ไร - ดนิ เหนยี วสแี ดง ใชป ยุ สตู ร 16-20-0 หรอื 20-20-0 อตั รา 20 - 30 กโิ ลกรมั ตอ ไร - ดินเหนียวสีดาํ หรอื ดินรวนเหนยี วสนี าํ้ ตาล ใชปุย สูตร 21-0-0 อัตรา 20 - 30 กิโลกรัมตอไรหรอื 46-0-0 อตั รา 10 - 15 กโิ ลกรัมตอไร 4. ไมควรใหง าขาดน้ําในชวงออกดอกและติดฝก หรอื ประมาณ 30 - 45 วนั หลัง ปลูก แมว า งาเปนพชื ทนแลงแตใ นชวงระยะออกดอกเปน ชวงท่งี าใชน้าํ มากทส่ี ดุ ดังน้นั การขาดนํ้าในระยะน้ีจะมผี ลกระทบตอ ผลผลติ ของงา 5. ควรกําจดั วชั พชื ในแปลงตลอดฤดปู ลกู เพราะในแปลงงาที่มีวชั พืชรบกวนมีผล กระทบทาํ ใหผล ผลติ ลดลง 2 - 3 เทาตวั 6. การเกบ็ เกย่ี วงา ตองรีบเรงในการเกบ็ เกีย่ วเมอื่ งาแก หากเกบ็ ชาฝก งาจะแตก เมลด็ จะรว งทาํ ให ผลผลติ ไดรบั ลดลง แหลง สบื คน ขอ มูลเพิม่ เติม กรมวิชาการเกษตร http://www.doa.go.th./data-agri/SESAMI/4tech/tec01.html เตือนจติ ต สตั ยาวิรทุ ธ. 2535. เอกสารวชิ าการแมลงและสตั วศ ัตรูท่ีสาํ คัญของพืช เศรษฐกจิ และการบริหาร. กองกฎี และสัตววทิ ยา กรมวชิ าการเกษตร. สัตวศัตรูทสี่ าํ คญั ของพชื เศรษฐกิจและการบรหิ าร. กองกีฎและสัตววทิ ยา กรมวชิ าการเกษตร ศูนยวจิ ยั พชื ไรอ บุ ลราชธานี 2539. เอกสารวชิ าเกษตร 152 หนา หจก. อุบลกิจออฟเซทการพิมพ อุบลราชธานี 84
ทานตะวัน การเตรยี มการ 20 วนั ข้นั ตอนการปลกู และการดแู ลรกั ษาทานตะวนั 120 วัน 140 วนั 40 วนั 60 วัน 80 วนั 100 วนั การเตรียมดนิ การปลูก การใสป ุย การใหนํา้ การกําจัดวชั พชื การเกบ็ เกย่ี ว 1. สภาพไรไ ถดะลึก 30-35 - หลมุ ลึก 4-5 ซม. - ดนิ รว นทราย หรือดนิ รวนปน - เรมิ่ ใหน้าํ เม่อื ทานตะวนั - ครง้ั ที่ 1 ทานตะวนั เก็บเก่ียวตามอายุ ซม. ตากดิน 7 วัน ไถผาน ระยะปลกู 75x25 ซม. ทราย ใสปุยสูตร 15-15-15 อายุ 10-15 วัน และหลัง อายุ 10 วัน ทํา ของพันธุ หรือ 7 อกี 1 ครั้ง คราดเกบ็ วชั พืช อัตรา 2 เมล็ด/หลมุ อตั รา 25 กก./ไร และปยุ สตู ร จากนนั้ ใหน้ําทกุ 20 วัน จน รนุ พรอมถอนแยก ดา นหลงั จานดอก ออกจากแปลง - ใสป ยุ รองกนหลมุ ตาม 46-0-0 อตั รา 20 กก./ไร กระทงั่ ถึงระยะติดเมล็ด ทานตะวันเหลอื หลุมละ เปลี่ยนสนี ้ําตาล 2. สภาพนา ไถดะ 20-25 ชนิดของดนิ อตั รา 25 - ดินรว นสีน้ําตาล ใสปุยสูตร 20- (ทานตะวนั อายปุ ระมาณ 70 1 ตน 7-14 วนั ใชก รรไกร ซม. ตากดิน 7 วนั ไถผาน กก./ไร 20-0 อัตรา 25 กก./ไร วนั ) หยดุ การใหน ้ํา - ครั้งที่ 2 ตัดจานดอก 7 อีก 1 ครง้ั เก็บวัชพชื - ใหน ํา้ ทนั ทหี ลงั ปลูก - ดินเหนียวสดี าํ ใสปุยสูตร 21- - ควรใหน ้ําพอดินชุม แตไม เมอ่ื ทานตะวันอายุ 20- ออกจากแปลงยกรอ งกวา ง หรือหลังปลกู ทันทีหลัง 0-0 อตั รา 25 กก./ไร แฉะขังและไมค วรปลอ ยให 25 วัน พรอมกบั ใสป ยุ 1.5 เมตร ฝนตก - โดยโรยขางแถวแลวกลบ ดนิ แหงมาก 3. ในดินทรายขาดโบรอน ใหใสโ บแรก็ ซ 2 กก./ไร การเตรียมพันธุ ศัตรูทีส่ ําคัญและการปอ งกันกาํ จดั การปฎบิ ตั ิหลังการเก็บเก่ยี ว หวานใหท ั่วแปลง 1. ควรเปนพันธลุ กู ผสมที่ตดิ เมล็ด - ศัตรูทีส่ าํ คัญ หนอนเจาะสมอฝา ย เพลี้ยจกั จัน่ 1. นาํ จานดอกตากแดด 1-2 แดด ไดดี ไมตอ งอาศยั แมลงชว ย ปองกนั โดยใชส ารเคมีปองตามนําแนะนาํ 2. กะเทาะเมลด็ จากจานดอก โดยใช 2. อัตราการงอกไมต ่าํ กวา 80 % - โรค โรคเมลด็ เนา ปองกนั โดยจัดเวลาปลูกให ทอ นไมทบุ หรอื เคร่ืองนวด 3. อตั ราเมลด็ พันธุ 0.8-1 กก./ไร ออกดอกชวงหนาแลง 3. นาํ เมลด็ ที่กะเทาะแลวไปตากแดด - สตั วศตั รู หนู นก 1-2 แดด ความช้ืนไมเ กนิ 12-14 %
เทคนิคการปลกู และดแู ลรกั ษาทานตะวนั 1. การเตรียมการกอ นปลูก 1.1 การเตรียมดนิ - ในสภาพไร ไถดะลึก 30 - 35 เซนติเมตร ตากดินไว 7 วัน แลวไถพรวน ดินดวยผาน 7 อกี คร้งั หน่งึ แลวคราดเกบ็ ซากวัชพชื ขา มปออก - ในสภาพนา ไถดะลกึ 20 - 25 เซนตเิ มตร ตากดินไว 7 วนั แลว ไถพรวน ดนิ ดว ยผาน 7 อกี ครง้ั คราดเก็บซากวัชพืชขา มปออก ยกรองปลกู อาจเปน รองสาํ หรบั ปลูกแถวเดียว หรอื แถวคู โดยยกรองกวา ง 1.5 เมตร 1.2 การเตรยี มพันธุ พันธุท่ีใชปลูกควรเปนพันธุทานตะวันลูกผสมที่ติดเมล็ดไดดีโดยไมตอง อาศยั แมลงชว ยผสมเกสรและมอี ตั ราการงอกไมตํา่ กวา 80% 2. การปลูก 2.1 วธิ ีปลูก ใสปุย 15-15-15 หรือ 20-20-0 หรือ 21-0-0 ตามชนิดของดนิ อัตรา 25 กิโลกรัมตอไร รองกน หลมุ แลวหยอดเมลด็ อตั รา 2 เมลด็ ตอ หลมุ ลึก 4-5 เซนตเิ มตร 2.2 ระยะปลกู 75 x 25 เซนตเิ มตร 2.3 จํานวนตน ตอไร มีประมาณ 8,533 ตนตอ ไร 2.4 ใหน าํ้ ทันทหี ลงั ปลกู 3. การดูแลรกั ษา 3.1 การใสป ยุ 3.1.1 ชนิดปุยและอตั ราที่ใชข้ึนอยกู บั สภาพดินเม่อื ทานตะวนั อายุ 20 - 25 วันหลังงอก ดงั นี้ 86
- ดินรวนทราย หรือดินรวนปนทราย มีอินทรียวัตถุตํ่ากวา 1 เปอรเซ็นต ใหปยุ สตู ร 15-15-15 อตั รา 25 กโิ ลกรมั ตอ ไร และปยุ สตู ร 46-0-0 อตั รา 20 กิโลกรมั ตอไร โดยโรยขา งแถวแลวกลบ - ดินรว นสีนาํ้ ตาล ใหป ยุ สูตร 46-0-0 อัตรา 20 กิโลกรัมตอ ไร โดยโรยขา งแถวแลวกลบ - ดินเหนยี วสดี าํ ใสป ยุ สตู ร 21-0-0 อตั รา 25 กโิ ลกรัมตอ ไร โดยโรยขา งแถวแลวกลบ - ดินเหนียวสแี ดง ใหป ยุ สูตร20-20-0อัตรา 25 กิโลกรมั โรยขา ง แถวแลวกลบ ในดนิ ทรายและขาดธาตุโบรอน ควรใสผงโบแรกซ ประมาณ 2 กิโลกรัมตอ ไร หวา นใหท่วั แปลงตอนเตรยี มดิน จะทาํ ใหเพ่มิ ผลผลติ ไดมากและ ทาํ ใหค ณุ ภาพของเมลด็ ทานตะวนั ดีขน้ึ 3.2 การใหน ํ้า หากความช้นื ในดนิ มีนอ ยจะทําใหผ ลผลติ ลดลงดว ย การใหน ํ้าท่ี เหมาะสมแกทานตะวนั จงึ จะทําใหไ ดรบั ผลผลิตดีดวย ดงั นนั้ ควรใหน้าํ ดงั น้ี ระยะมใี บจรงิ 2 คู หรอื ประมาณ 10 - 15 วัน หลงั งอก ระยะเริ่มมตี าดอก หรอื ประมาณ 30 - 35 วัน หลังงอก ระยะดอกเร่มิ บาน หรอื ประมาณ 50 - 55 วัน หลงั งอก ระยะกําลงั ตดิ เมล็ด หรือประมาณ 60 - 70 วัน หลังงอก ควรใหนํา้ อยา งเพียงพอใหด ินชุม แตไ มต องแฉะและขัง การใหน้าํ ควรคํานงึ ถึงความชุมชน้ื ในดินดวย ไมควรปลอ ยใหดินแหง มาก โดยเฉพาะอยา งย่ิงชวงแรกของการ เจริญเติบโตจนถงึ ระยะตดิ เมล็ด 4. การปอ งกันกําจัดศัตรูพืช 4.1 วชั พืช มปี ญหาตอทานตะวนั ในชว งแรกของการเจริญเตบิ โต ในการแยง อาหารและความชื้นในดนิ ขณะตน ยงั เล็ก การปอ งกนั กําจัดวัชพืช - เกบ็ เศษซากวชั พืชขามป ออกจากแปลง กอ นปลกู ทานตะวัน - กําจัดวชั พชื โดยใชแ รงงานคน หรอื เครอ่ื งจักรกลอยางนอย 2 คร้งั ครงั้ ที่ 1 เมื่อทานตะวนั มีอายุ 10 วนั หลังงอกหรอื มีใบจรงิ 2 - 4 คู ทํารนุ ทําพรอมกับการถอนแยกตน พืชใหเ หลือ 1 ตน ตอ หลุม และใสปยุ และพนู โคน ครัง้ ที่ 2 เมอ่ื ทานตะวันอายุ 20 - 25 วันหรือ ทานตะวันมใี บจริง 6 - 7 คู ในกรณีท่ีแปลงมีวัชพืชรบกวนมากหรือการกําจัดวัชพืชดวยวิธีดังกลาวขาง ตนไมม ปี ระสิทธิภาพเพียงพอใหใชส ารกําจัดวชั พชื ดว ยตามคาํ แนะนาํ ขอ ควรระวงั หา มใชส ารเคมกี าํ จดั วชั พชื อะทราซนี ในทานตะวนั โดยเดด็ ขาด 4.2 โรค 4.2.1 โรคใบจดุ หรอื ใบไหม เกิดจากเช้อื รา ลกั ษณะอาการ ใบจุดเลก็ สีนํ้าตาลมวี งสีเหลืองลอมรอบแผล จดุ ขยายใหญม ีรปู รางไมแ นน อน และทําใหเกดิ ใบไหม 87
ตอมาแผลจุดจะแพรกระจาย ไปยังทุกสวนของตน ทานตะวันทอ่ี ยเู หนือพ้นื ดนิ ตั้งแต ใบ กา นใบ ลําตน กลีบเล้ียง กลบี ดอก และจานดอก เช้ือเขา ทําลายสวนตา ง ๆ ของตน ทานตะวันแลว แพรก ระจายข้นึ สยู อด ทาํ ใหตนทานตะวันไหม แหง และแกก อนกําหนด จานดอกเลก็ เมล็ดลีบ ผลผลติ ต่ํา การปองกนั กาํ จดั กาํ จัดซากพืชทเ่ี ปน โรคดว ยการเผาทาํ ลาย หรอื นํา ออกจากแปลง 4.2.2 โรคเนา ดาํ หรอื ชาโคลรอท เกดิ จากเชอ้ื รา ลกั ษณะอาการตน ทานตะวนั ทมี่ กี ารตดิ เชอ้ื จะมีขนาดเล็กกวา ปกติ ใบเห่ยี วลูล งแหงติดคาตน ลําตน สวนทีต่ ดิ ผวิ ดินเกดิ แผลสนี ้าํ ตาลดําลุกลามจากโคนตนไปตามสว นตาง ๆ ของลาํ ตน และราก เมื่อผาดภู ายใน จะพบฝนุ ผงเมด็ กลมเลก็ สดี าํ หรอื เทาดาํ กระจายอยใู นเนอ้ื เยอื่ พชื ทวั่ ทกุ สว นและปด กนั้ ขวาง ทางลําเลยี งนํ้าและอาหาร ทาํ ใหต นทานตะวันเหยี่ วแหง ตาย การปอ งกนั กาํ จดั ถอนและเผาทาํ ลายตน ทานตะวนั ทเี่ ปน โรค ไมป ลอ ย ใหต นทานตะวนั ขาดน้าํ รนุ แรงในชว งท่ีอากาศ รอนจดั และความชนื้ ในดินตํ่า 4.2.3 โรคใบหงิก เกิดจากเชอ้ื ไวรสั โดยมีแมลงหวข่ี าวเปนพาหะ ลักษณะ อาการ ใบหงิกงอเปนรูปถวยหงายต้ังแตใบยอดลงมาจนถึงกลางตน ดานลางใบจะพบ ลักษณะของเสน กลางใบและเสน แขนงโปง พองจนเห็นไดช ดั บรเิ วณเนือ้ ใบจะมเี สน ใบฝอย สีเขยี วเขม กระจายท่ัวไป ทําใหใบหดยน ตน แคระแกรน็ จนไมส ามารถใหด อก ในกรณีที่ให ดอก ดอกอาจมรี ูปรางผิดปกติ การปองกันกําจัด ถอนตนท่ีเปนโรคออกจากแปลงปลูกและนําไป ทําลาย ควบคมุ การแพรร ะบาดของแมลงปากดูด ไดแ ก แมลงหวี่ขาว 4.3 แมลงศัตรู 4.3.1หนอนเจาะสมอฝา ย กินเมล็ดและเจาะจานดอก ทาํ ใหดอกเนาเสีย หาย การทําลายรุนแรง ผลผลติ จะเสียหายมาก การปองกันกาํ จัด ใชส ารเคมตี ามคําแนะนํา 4.3.2เพลยี้ จก๊ั จนั่ ตวั ออ นและตวั เตม็ วยั ชอบดดู กนิ นา้ํ เลยี้ งทด่ี า นใตใ บ ทาํ ให ใบพชื หด หงกิ งอ ขอบใบ มว นขนึ้ ดา นบน ถา ระบาดรนุ แรงจะทาํ ใหข อบใบแหง หรอื ใบไหม ผลผลิตลดลง การปองกันกําจัด ใชสารเคมตี ามคําแนะนาํ 4.4 สตั วศัตรู 4.4.1 นก จะกินเมลด็ ท่ีจานดอก 4.4.2 หนู กนิ เมล็ดพนั ธุท ปี่ ลูกในดิน กดั กินตนออ น และเมล็ดที่จานดอก การปอ งกันกาํ จดั ใชกรงหรอื กับดกั 5. การปฏิบตั กิ อนและหลงั การเก็บเก่ียว 5.1 การเก็บเกีย่ ว เก็บเก่ียวทานตะวนั ตามชว งอายขุ องพนั ธุท ป่ี ลูก หรอื เมอื่ อายุประมาณ 90 - 120 วัน หรือสงั เกตหุ ลงั จากจานดอกเริ่มเปล่ยี นเปน สีน้ําตาลแลว ประมาณ 7 - 14 วนั โดยใชก รรไกรตดั จานดอก โดยเลอื กเฉพาะดอกทสี่ มบรู ณ 88
5.2 การปฏิบัตหิ ลงั การเก็บเกยี่ ว - นาํ ดอกทเ่ี กบ็ เกี่ยวแลว ตากแดด 1 - 2 แดด บนลานซีเมนต หรอื ตาก บนผืนผา ใบและคลุมกองดอกทานตะวันดว ยผนื ผาใบในเวลากลางคืน เพอื่ ปองกันน้าํ คาง - กะเทาะเมล็ดจากจานดอก โดยใสดอกในถงุ ผา หรอื กระสอบแลว ใชท อนไมท ุบ หรือใชเ คร่อื งนวดถัว่ เหลอื งทด่ี ดั แปลงแลว ความเร็วรอบ 200 - 350 รอบ ตอนาที - นาํ เมล็ดทกี่ ะเทาะแลวไปตากแดด 1 - 2 แดด เพือ่ ลดความชื้นในเมล็ด ใหเหลอื ประมาณ 12 - 14 เปอรเ ซ็นต แลวทําความสะอาดเมลด็ - บรรจเุ มล็ดทไ่ี ดใ นกระสอบปา นทีไ่ มช ํารดุ สะอาด - ตดั แตงปากกระสอบใหเ รียบรอย และเย็บปากกระสอบดว ยเชือกฟาง - ควรวางกระสอบที่บรรจุเมลด็ ทานตะวันในทร่ี ม บนพ้ืนทม่ี ีแผนไมรอง 5.3 การขนสง - ระหวา งการขนสง ไมควรใหเมลด็ ทานตะวันถกู ความช้นื - รถบรรทุกตอ งสะอาด และเหมาะสมกับปรมิ าณเมลด็ ทานตะวนั - ไมควรเปน รถทใ่ี ชบรรทุกดิน สัตว มูลสตั ว ปยุ เคมี หรอื สารปอ งกันกําจัด ศัตรพู ืช เพราะอาจมกี ารปนเปอ น ยกเวน จะทําความสะอาดอยาง เหมาะสม กอนนํามา บรรทุก - กรณมี ีการขนสงเมล็ดทานตะวันในชว งฤดฝู นตองมีผา ใบคลุม เพ่ือปอ งกัน เมล็ดทานตะวนั ถูกความช้นื และไดร ับความเสยี หาย 89
90 ขอ มลู สภาพแวดลอมทเี่ หมาะสมตอการเจรญิ เตบิ โตของทานตะวนั สภาพแวดลอม ความเหมาะสม ขอ จาํ กดั 1. สภาพภูมิอากาศ ทานตะวนั เจริญเตบิ โตไดต้งั แตเขตเสน ศนู ยสูตรถึงบรเิ วณเสนรุงท่ี 56 องศาเหนือ - อณุ หภูมิ (เซลเซยี ส) - อณุ หภูมทิ เ่ี หมาะสมสําหรบั การเจริญเติบโตของ - อตั ราสว นของอุณหภมู ติ ่ําสดุ สูงสดุ ใน 24ช่ัวโมงไมค วรตา งกัน1:2 - แสงแดด ทานตะวนั ระหวางกลางคนื กบั กลางวันควรอยูระหวาง 18 – - อณุ หภมู ิกลางวนั สูงเกินกวา 30องศาเซลเซยี สจะทําใหเปอรเซน็ ตนํา้ มนั ลดลง5 - ความช้นื สมั พทั ธ (เปอรเซน็ ต) 35 องศาเซลเซียส เปอรเ ซ็นต - ตน ออนในชว งใบเลี้ยงมีชีวติ อยทู ่ีอณุ หภูมิ-5 องศาเซลเซยี ส และทนตอสภาพ 2. สภาพพื้นท่ี นาํ้ คางแขง็ - ความสูงจากระดบั น้าํ ทะเล - แสงแดดจดั - ทานตะวนั สะสมนา้ํ หนกั แหง หรือ NAR (Net Assymilation Rate) ไดอตั ราสูงสดุ - ความลาดเอียงของพืน้ ท่ี - ทนตอสภาพแหงแลง และรอนไดพอสมควร ท่ี 28 องศาเซลเซยี ส 3. สภาพดิน - ความช้ืนสมั พัทธท ่ีเหมาะสม 40-75 เปอรเ ซ็นต - ความช้นื สมั พัทธต ํ่ากวา 14 เปอรเซน็ ต ทาํ ใหทานตะวนั เรมิ่ เห่ยี วใบแหง - ลักษณะของเนื้อดิน - ความช้ืนสัมพทั ธต ํา่ กวา 40 เปอรเ ซ็นต ทานตะวันจะตอ งการนํ้าปริมาณมาก - ความลึกของหนาดนิ - ความเปนกรด-ดา ง (pH) พน้ื ท่ดี อนหรือท่ีลมุ น้ําไมท วมขงั ระบายนํ้าไดด ี ทานตะวันไมท นตอ สภาพนา้ํ ทวมขงั - ปริมาณอินทรยี วัตถุ - ความสงู จากระดับน้ําทะเลไมเกิน 500 เมตร - ความลาดเอยี งของพืน้ ที่ไมค วรเกิน 5% - ดินรวน ดินรว นปนทราย ดนิ รว นเหนียว - ทนสภาพดนิ เกลือและเปนดางพอสมควรไมทนตอสภาพดินทีเ่ ปน กรดจัดและมี - ลึกประมาณ 30 เซนตเิ มตร อมุ นํา้ ไดดี นา้ํ ขงั - คาความเปน กรดดางระหวาง 6.0-7.5 - ดินที่ขาดโบรอนจะทาํ ใหท านตะวนั ไมตดิ เมลด็ โดยเฉพาะดินทรายที่จาดโบรอน - ความอุดมสมบรู ณ ปานกลาง มีอนิ ทรยี ว ัตถไุ มต ่ํากวา ควรใสผงโบแรก็ 2 กโิ ลกรัมตอ ไร จะทาํ ใหเพ่มิ ผลผลติ และคณุ ภาพเมล็ดทานตะวัน 1.5 % ดขี ึ้น
ขอ มูลสภาพแวดลอ มท่ีเหมาะสมตอการเจริญเตบิ โตของทานตะวนั (ตอ) สภาพแวดลอ ม ความเหมาะสม ขอจํากดั 4. ความตอ งการธาตอุ าหารพืช - ธาตุอาหารหลัก - ไนโตรเจน โปแตสเซยี มและฟอสฟอรัส - พนั ธุข าวไวตอ ชว งแสง จะตอบสนองตอปยุ ต่ํา - อืน่ ๆ - ปยุ คอก ปยุ ชวี ภาพ ระยะเวลาทใี่ สป ุยควรใส ๒ คร้ังคือ 5. ความตอ งการนํา้ - คณุ ภาพนํ้า นาดํา ใสห ลงั ปก ดาํ และระยะขา วต้ังทอง - ปริมาณน้าํ ทตี่ อ งการ นาหวาน ใสเม่อื ๑๕-๒๐ วนั หลังขา วงอก และระยะขาวตั้งทอง (60-90 วัน) - พนั ธขุ า วไมไวตอ ชวงแสง จะ ตอบสนองตอปุย สูง ระยะเวลาทค่ี วรใสปยุ ควรใส ๓ ระยะ คอื นาดํา ใสหลังปก ดาํ ระยะขา วแตกกอสูงสดุ และระยะขาวตงั้ ทอง นาหวา น ใสเมื่อ ๑๕-๒๐ วันหลังขาวงอก ระยะขาวแตกกอสูงสดุ และระยะ ขา วต้งั ทอ ง - การระบายน้ําและถา ยเทอากาศดี - การขาดนา้ํ ในระยะตดิ เมลด็ ทาํ ใหผลผลติ ลดลงมาก - ปรมิ าณน้าํ ฝน ประมาณ 800-1200 มิลลเิ มตรตอป และ - การใหนา้ํ ข้ึนอยูก บั ความชุม ชน้ื ในดินไมค วรใหจ นนํา้ ทวมขงั หรือปลอ ยดนิ จน มกี ารกระจายตวั ดี แหง มาก - ไมท นตอ สภาพนํา้ ทว มขัง - ควรมแี หลงน้ําสํารอง (ในกรณที ฝี่ นทงิ้ ชว ง) 91
แนวทางการเพมิ่ ประสิทธภิ าพการผลิต และแหลง สบื ขอคน มูลเพ่ิมเตมิ 1. พน้ื ทป่ี ลกู ทานตะวนั ตอ งเปน ทโ่ี ลง แจง ไมม ตี น ไมใ หญบ งั เงาสงู เพราะถา ทานตะวนั ไดร ับแสงไมเพียงพอจะสงผลกระทบตอการเจริญเตบิ โตทางลําตนและใบ ผลผลิตลดลง 2. การปลูกทานตะวนั ในพื้นท่ี ดนิ ทรายและขาดธาตโุ บรอน ตอ งใสผงโบแรกซ ประมาณ 2 กโิ ลกรมั ตอไรหวานใหทั่วแปลงกอนปลกู จะทําใหเพ่มิ ผลผลิตไดม าก และทําใหค ณุ ภาพของเมลด็ ทานตะวนั ดขี ึน้ 3. การเตรยี มดนิ เพื่อปลกู ทานตะวันควรไถดะใหลกึ ที่สุด เพราะทานตะวนั เปนพืช ทมี่ รี ะบบรากลกึ 4. ใหน ้าํ แปลงทานตะวนั ในชว งแรกของการเจริญเตบิ โตจนถงึ ระยะติดเมลด็ ระยะ วกิ ฤติของการขาดน้ําทม่ี ตี อผลผลิตคือระหวา ง 20 วนั หลงั ออกดอก แตรนุ แรงทสี่ ดุ คือ ประมาณ 10 วนั ระหวา งการผสมเกสร 5. การปลกู ทานตะวัน ควรปลูกชว งปลายฝนหรอื ฤดูแลง ต้งั แตเ ดอื นสิงหาคมถงึ มกราคม เพื่อหลีกเลยี่ งปญ หาเร่ืองเมลด็ เนา เสยี เนือ่ งจากทานตะวันมีดอกใหญเ มื่อเมลด็ แกด อกจะหอ ยลง และดานหลงั ของดอกจะเปนแอง เม่อื ฝนตกนํ้าฝนจะขังทาํ ใหด อกเนา และเมล็ดเสยี หาย 6. หามใชส ารเคมกี ําจัดวัชพชื อะทราซนี ในทานตะวันโดยเดด็ ขาด แหลง สืบคน ขอ มลู เพ่มิ เตมิ กรมสง เสริมการเกษตร .2545.ทานตะวนั คาํ แนะนาํ ท่ี 128 http://www.doa.go.th/pl_data/SUNFLW/1STAT/st01.html www.doae.go.th/library/html/detail/sunflower/detail.htm 92
มนั สําปะหลงั การเตรียมการ 1-30 วนั ข้ันตอนการปลูกและการดแู ลรักษามนั สาํ ปะหลงั 180 วนั 240-360 วนั 60 วนั 90 วัน 120 วนั 150 วนั การเตรียมดนิ การปลูก การใสปยุ การกาํ จัดวัชพืช การเกบ็ เกีย่ ว 1. ไถดะลึก 20 – 30 1. ปกทอนพันธุใหต ัง้ ตรงลึก 1. ใสป ยุ เคมี 1 ครง้ั หลงั จาก 1. ควรกําจดั วชั พืชในระยะ 1. อายกุ ารเก็บเก่ียว 8-12 เดอื น ซม.พรอมไถกลบเศษเหลือ 10 – 15 ซม. ปลูก 1-2 เดือน 1-4 เดือนแรกของการปลกู 2. หากไมส ามารถเกบ็ เกีย่ วได อาจทิ้ง ของพชื 2. ควรปลูกในฤดฝู น หากมี 2. ปยุ เคมีสตู รที่มี สัดสว น 1:1:1 2-3 ครง้ั หรอื ตามการเจรญิ ผลผลิตไวในดินไดถ ึงอายไุ มเ กนิ 18 2. หวา นปยุ อนิ ทรียอัตรา แหลงนํ้า ปลกู ไดต ลอดป หรือ 1:2:1 เชน สูตร เตบิ โตและปริมาณวชั พืช เดือน 500-1,000 กก./ไร 3. ระยะปลูก 1 X 1 เมตร 15-15-15 , 15-7-18 . อตั ราการ 2. การปอ งกนั อาจใชส าร 3. วิธีการเก็บเกี่ยว ใชแ รงงานคน/ใช 3. ไถพรวนดวยผาน 7 หรือ 1.20 X 0.80 เมตร 50 กก./ไร เคมฉี ีด คุมวชั พชื หรือใช เครือ่ งจักรกล 4. พื้นท่ีมีน้าํ ขังใหย กรอ ง (1,600 ตน/ไร) แรงงานคน และเคร่ืองจักร ปลกู ขนาดเล็ก การเตรยี มพันธุ แมลงศตั รพู ืช ศัตรทู ่สี าํ คัญ การปฎบิ ตั หิ ลงั การเกบ็ เกย่ี ว 1. คัดเลอื กพนั ธุ อายุ 8-12 โรคพชื 1. ตองขนสงหัวมนั สดเขาโรงงาน เดอื นใหมแ ละสด 1. เพล้ยี แปงมนั สําปะหลัง 1. ใบไหม แปรรูปทันทีทีเ่ กบ็ เก่ียว 2. ตดั ทอนพันธยุ าว 20-25 2. ไรแดง 2. โรครากเนา และหวั เนา 2 ควรตัดเหงาออกและกําจดั ดิน ซม. 3. แมลงหวีข่ าว ทรายทต่ี ดิ กับหวั มันใหมากที่สดุ 3. แชทอ นพันธุ ดวยสาร การปองกันกําจัด 3. กง่ิ พันธุทจี่ ะใชท ําพันธตอ เคมเี พอื่ ปอ งกันเพลยี้ แปง 1 ตอ งแชทอ นพนั ธดุ ว ยสารเคมีเพื่อปอ งกันเพล้ยี แปง และเดินสาํ รวจแปลงในระหวางป หากพบ สามารถเก็บรักษาไวไ มเ กิน 15 วัน และแมลงอืน่ ๆ เพลีย้ แปง สีชมพตู องรบี กําจดั และแจงเจาหนาทท่ี ราบ เพือ่ ปลอ ยแตนเบยี นและแมลงชา งปกใส ดงั น้นั จงึ ควรทําแปลงพันธุไว
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169