Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore องค์ความรู้ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสู่การเป็น smart officer : พืชไร่ ธัญพืช

องค์ความรู้ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสู่การเป็น smart officer : พืชไร่ ธัญพืช

Description: องค์ความรู้ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสู่การเป็น smart officer : พืชไร่ ธัญพืช.

Search

Read the Text Version

เทคนคิ การปลกู และดูแลรกั ษายาสบู 1. การเตรยี มการกอนปลกู 1.1 การเตรยี มดิน 1.1.1 ไถดะ 1 ครัง้ ดวยไถผาน 3 หรือ ไถผาน 4 ลกึ ประมาณ 30 เซนติเมตร ตากดินไวอยา งนอ ย 2 สปั ดาห เพอื่ กําจัด วัชพชื โรค แมลง และสตั วศตั รพู ชื 1.1.2 ไถพรวน 2 คร้งั ดว ย ไถผาน 7 เพอ่ื ยอ ยดนิ ใหร ว นซยุ มคี วามสมา่ํ เสมอ และเพือ่ เก็บความชนื้ 1.1.3 ยกแปลงปลูกแบบรองคู หรอื รองเด่ียว 1.2 การเตรยี มพันธุ 1.2.1 เมล็ดพันธุตองมีความ งอกไมต่าํ กวารอยละ 90 1.2.1 การเพาะกลา มี 2 ระบบ - ระบบแปลงเพาะ ขนาดกวาง 1 เมตร ยาว 11 เมตร สูง 30 เซนตเิ มตร วธิ ีการโดยใชผาขาวบางหรอื ผาดิบหมุ เมลด็ พนั ธแุ ชน้ําใหชุม แลว ยกออก ปลอ ยท้ิงไวป ระมาณ 3-5 วนั เมือ่ เมลด็ เริม่ เจรญิ ทางสรรี ะ ใหผ สมกบั น้ําอตั รา 1 - 2 กรัม ตอน้าํ 7 ลิตร พรอ มผสมสารเคมีตามคาํ แนะนําปองกนั โรค ใสบ วั รดนา้ํ นําไปหวา น ในแปลงทเ่ี ตรยี มไว คลมุ ดวยมุงไนลอนเพอ่ื ปอ งกันแสงแดดจัด วธิ นี ี้จะไดก ลายาสูบ ประมาณ 10,000 – 20,000 ตน และยายปลกู เม่อื อายุกลาอายปุ ระมาณ 40 - 45 วนั หรือยายกลา อายุ 3 สปั ดาหใ สใ นถงุ ชําเพอ่ื ใหม คี วามแข็งแรงหลงั จากชําถงุ ประมาณ 15 - 25 วนั นาํ ไปปลกู ในแปลงตอไป - ระบบ Float beds การเพาะในถาดเปน วิธที น่ี ยิ มปฏิบัติ ขอ ดี คอื ลดตน ทนุ ในการผลติ ตนกลา ทําไดรวดเร็ว ประหยัดเวลา ตน กลา มีความสมา่ํ เสมอ ปลกู ไดท ้งั แรงงานคนหรือใชเคร่อื งปลูก วิธกี าร คือ เพาะเมล็ดในถาดเพาะ เมอ่ื กลาอายุ ประมาณ 20 วนั ยายไปชาํ ในถาดชําประมาณ 15 - 25 วัน จงึ นําไปปลกู 2. การปลกู 2.1 ฤดปู ลูก 2.2.1 เร่มิ เพาะกลาประมาณเดอื นตุลาคม 2.2.2 เริ่มปลกู ตนเดอื นพฤศจิกายน 2.2 วธิ ีปลกู ใชแรงงานคน 2.3 ระยะปลกู 2.3.1 ยาสูบเวอรจ เิ นยี ระยะระหวางแถว 120 เซนตเิ มตร ระหวา งตน 60 เซนตเิ มตร จะได 2,200 – 2,500 ตน ตอ ไร 44

2.3.2 ยาสบู เบอรเลย ระยะระหวางแถว 90 เซนติเมตร ระหวา งตน 60 เซนตเิ มตร จะไดจ ํานวนตน 2,800 – 3,000 ตน ตอไร 2.1.4 ยาสบู เตอรก ิช ปลกู แถวคู ระยะระหวางแถว 15 - 20 เซนติเมตร ระหวา งแถวคู 40 เซนติเมตร และระหวางตน 10 เซนตเิ มตร จะไดจาํ นวนตน 20,000 – 30,000 ตนตอ ไร 3. การดูแลรกั ษา 3.1 การใสปยุ 3.1.1 ยาสบู เวอรจิเนยี ใชป ยุ ผสมสตู ร 4-16-24+4 (MgO) อตั รา 150 กโิ ลกรมั ตอไร หรอื 6-18-24+4 (MgO) อตั รา 120 กิโลกรัมตอ ไร โดยแบง ใส 2 ครั้ง เม่ืออายุ ได 7 - 10 และ 30 วนั หลังยายปลกู โดย ใสป ยุ ขา งตน แลว พรวนกลบ 3.1.2 ยาสูบเบอรเ ลย คร้ังท่ี 1 หลังจากยายปลกู ประมาณ 7 - 10 วัน - ปลกู ตน ฤดู ใชสตู ร 6-12-24 + 4MgO + 0.5B อตั รา 50 กิโลกรัม ตอไร - ปลูกกลางฤดูและปลายฤดใู ชสตู ร 6-12-24 + 4MgO + 0.5B อตั รา 100 กโิ ลกรมั ตอไร ครัง้ ท่ี 2 หลงั จากยายปลูกประมาณ 21 - 25 วัน - ปลกู ตน ฤดู ใชสตู ร 6-12-24 + 4MgO + 0.5B อตั รา 20 กโิ ลกรมั ตอ ไรแ ละสตู ร 27-0-0 อัตรา 30 กโิ ลกรัมตอ ไร - รุนปลูกกลางฤดูและปลายฤดู ใชสูตร 27-0-0 อตั รา 50 กโิ ลกรัม ตอ ไร ครงั้ ที่ 3 หลงั จากยา ยปลูกประมาณ 40 - 45 วัน โดยฝงรอบโคนตน ใหห า งจากโคนตนในแนวรัศมปี ลายใบ หรือแนวกลางแปลงปลกู - ปลูกตน ฤดู ใชส ตู ร 6-12-24 + 4MgO + 0.5B อัตรา 30 กก.ตอ ไร และสตู ร 27-0-0 อตั รา 20 กิโลกรมั ตอไร - ปลูกกลางฤดูและปลายฤดู ใสเ ฉพาะกรณที ี่ตน ยาสูบแสดงอาการ ขาดปยุ และใหใชส ูตร27-0-0 อัตรา 20 กโิ ลกรัมตอ ไร หรอื สูตร 13-0-46 อัตรา 15 กิโลกรมั ตอไร 3.1.3 ยาสูบเตอรกิช สตู รปุย ท่ใี ชคอื 3-10-8 อตั รา 70 - 80 กิโลกรัมตอ ไร ใสก อนปลกู 2 - 3 วนั ไมนยิ มใสหลงั ปลกู เพราะใชระยะปลูกคอ นขา งถ่ี ในกรณที ่ีเปน ดนิ ทรายจัดและมอี นิ ทรียวตั ถุต่ํากวา 1 เปอรเซน็ ต ควรหวา นปุย คอกอตั รา 3 ตันตอไร หลงั การไถแลว ไถแปรกลบอกี 2 คร้งั หลงั หวาน เพอ่ื ใหปยุ คอกสลายตัวควรหวานกอน ปลกู 3- 4 เดอื น 45

3.2 การใหน ํ้า หลงั จากปลกู ยาสบู 3- 5 วนั ใหน า้ํ เพยี งเลก็ นอ ยเพอื่ ใหต ง้ั ตวั เมอื่ อายุ 25-30 วนั เรมิ่ ใหน า้ํ ครงั้ แรก หรอื หลงั จากใหป ยุ ครง้ั ที่ 2 หลงั จากนนั้ ใหท กุ 10 - 15 วนั ขนึ้ อยูกับสภาพดิน การใหน้ําอยางถูกวิธีจะชวยใหตนยาสูบเจริญเติบโต ลดความ เสยี หายทเ่ี กดิ กบั รากจากโรคแขง ดาํ หรอื ไสเ ดอื นฝอย ผลผลติ เพม่ิ ขนึ้ ประมาณ 15 เปอรเ ซน็ ต ใบยามคี ณุ ภาพดี ระยะสกุ แกส มาํ่ เสมอ เผาไหมด ี ขอ ควรระวงั อยา ใหน าํ้ ทว มแปลง หรอื ให นา้ํ ขงั นานเกนิ ไป และนา้ํ ทใ่ี ชไ มค วรมคี ลอไรดใ นนาํ้ เกนิ 25 ppm. 3.3 การตอนยอดและกําจัดแขนง การตอนยอด หมายถงึ การเดด็ ชอ ดอกและใบขนาดเลก็ ทยี่ อดทง้ิ ไป สว นการกาํ จดั แขนงหมายถงึ การกาํ จดั กงิ่ แขนงทเ่ี กดิ ขน้ึ หลงั การเดด็ ยอด เพอ่ื ปรบั ปรงุ คณุ ภาพ ผลผลิต และปริมาณนิโคติน กระตุนใหเกิดราก ทําใหรากดูดน้ํา และอาหารไดมากขึ้น ลดการหกั ลม ความเสยี หายจากโรคและแมลง วธิ กี ารโดยใชแ รงงานคน ในการตอนยอด และใชส ารเคมตี ามคาํ แนะนาํ ในการควบคมุ การแตกแขนงยาสบู เวอรจ เิ นยี ควรทาํ ในระยะที่ ดอกบาน 1 ดอกในแตล ะชอ หรอื อายุ 65 - 75 วนั จาํ นวนใบทต่ี ดั ทงิ้ ขน้ึ กบั ความสมบรู ณ ของตน ถา ตน แขง็ แรงเหลอื ใบไว 16 - 18 ใบ ถา ไมส มบรู ณค วรเหลอื ใบประมาณ 12 ใบ ยาสบู เบอรเ ลยท าํ เมอ่ื อายปุ ระมาณ 65 - 75 วนั หรอื ดอกทง้ั แปลงบานประมาณ 2 ใน 3 รนุ ท่ี ปลกู พรอ มกนั ควรตอนใหเ สรจ็ ในคราวเดยี วกนั ตน สมบรู ณเ ตม็ ทใ่ี หเ หลอื 20 - 24 ใบ สมบรู ณ ปานกลางเหลอื 17 - 19 ใบ และตน ทไ่ี มส มบรู ณใ หเ หลอื 14 - 16 ใบ สว นพนั ธเุ ตอรก ชิ ไมน ยิ มตอนยอดและกาํ จดั แขนง เนอ่ื งจากจะทาํ ใหค วามหอมลดลง 4. ศตั รพู ืชที่สาํ คัญ 4.1 วชั พชื กาํ จัดโดยใชแ รงงานคน 4.2 โรค โรคในแปลงเพาะกลา 4.2.1 โรคโคนเนา เกดิ จากเชือ้ รา ปองกันโดยใชช ีวภัณฑไ ตรโคเดอรมา (ยูนิกรนี ยูเอ็น-1) 550 กรัม โรงใหท่ัวแปลงเพาะ หรือใชสาร เคมีตามคําแนะนาํ 4.2.2 โรคแอนแทรคโนส เกดิ จากเชอ้ื รา การปองกนั ใชเ ช้ือแบคทเี รีย บาซลิ ัส ซับทลี สิ 30-50 กรัม ฉีดพนทุกสัปดาห หรอื ใชสารเคมตี าม คาํ แนะนํา ควรเปด ผา คลุมแปลงเพาะใหต นกลา ได รบั แสงแดดอยูเสมอ ในเวลาเชา และเย็น เพื่อลด ความชืน้ ในดิน 46

โรคทเ่ี กดิ ในแปลงปลูก 4.2.3 โรคใบหด เกดิ จากเช้ือไวรสั โดยมแี มลงหวี่ขาว เปนพาหะนําโรค ระบาดมาก ในชว งตน ฝนถึงปลายฝน ปองกนั โดยปลูกพชื ชนดิ อน่ื หมุนเวยี นสลับกับยาสบู หรือใชสารเคมตี ามคาํ แนะนํา 4.2.4 โรคไสเดอื นฝอยรากปม เกดิ จากพยาธิตวั กลม ปอ งกันโดยปลกู พืช ชนดิ อน่ื หมุนเวยี นสลบั กับยาสบู หรือใชส ารเคมตี ามคาํ แนะนาํ 4.3 แมลง 4.3.1 เพลี้ยไฟ เพลยี้ ออน หนอนกระทกู ินยอด หนอนกระทูกินใบ หนอนเจาะลาํ ตน ปอ งกันกําจัดโดยใชสารเคมตี ามคําแนะนํา 5. การเก็บเกี่ยว 5.1 ยาสบู เวอรจ เิ นีย เก็บครงั้ แรกเมอื่ 70-75 วนั หลังยายปลกู โดยใชแ รงงานคน สงั เกตุไดจ ากเมือ่ ดอกบาน 50% ของจาํ นวนตน ท้ังหมด หรือเมอื่ ปลายและขอบใบเร่ิมเปลี่ยนจากสเี ขยี ว เปน เหลอื ง เสน กลางใบมสี ีขาว ผิวใบหยาบ ขรุขระ มีจุดตกกระบางๆ รมิ ใบบางสว นมี รอยยน ปลายใบตก เนือ้ ใบยดื หยนุ ไมห ักงาย มยี างนอย กานใบทํามมุ กบั ลาํ ตน กวา งข้นึ เปราะและหกั จากลาํ ตน ไดง า ย ครัง้ ตอๆ ไปเกบ็ ทกุ 5 - 7 วัน ครง้ั ละ 2 - 3 ใบ แตละ ตนเกบ็ ใบได 7 - 8 คร้ัง คร้ังสุดทา ยเม่ืออายุประมาณ 120 วนั ในกรณีท่ใี บยาแกเรว็ อาจ ตอ งเก็บ 7 - 10 ใบตอตนตอ สปั ดาห แตถาใบยาแกช า เพราะเกิดความแหงแลงหรือไดร ับ ปุยไนโตรเจนมากเกนิ ไป อาจงดเกบ็ บางสปั ดาห ควรเกบ็ ตอนเชา เพราะถา แดดจดั ใบจะ สรา งสารเหนยี ว ไมส ะดวกในการเก็บ ไมควรเกบ็ ขณะฝนตกกอนหรือกอ น 3 วนั หลัง ฝนตก เพราะเมอื่ นําไปบมจะไดใบยาคณุ ภาพตา่ํ ควรปลดิ ใบออกทางดา นขาง ไมป ลดิ ลง เพราะจะทําใหเปลอื กลาํ ตนลอกติดมาดว ย รีบนําใบยาเขา ท่รี ม ทนั ทีดวยภาชนะปากกวาง ไมค วรทง้ิ ไวก ลางแดด หลงั จากเก็บใบยาหมดแลวใหข ดุ ตน นาํ ไปเผาทําลาย 5.2 ยาสบู เบอรเลย เกบ็ ครั้งแรกเมอ่ื อายุ 70 - 75 วัน หลงั ยายปลูกโดยใชแ รงงานคน สังเกตุ ไดจ ากปลายใบยาลางสุดมีสนี ้ําตาล และใบยาบนเรมิ่ เหลอื ง วิธเี ก็บจับที่โคนใบแลว ปลดิ ออกดานขาง เก็บคร้งั ละ 2 - 3 ใบ ใบยาตนี และใบยากลางเวนระยะเก็บทุก 7 - 10 วนั ใบยายอดเวนระยะเก็บทุก 10 - 15 วัน และการเก็บครง้ั สดุ ทา ยเมอื่ อายุประมาณ 110 - 120 วัน ควรเก็บในชวงเชา เพราะถา แดดจดั จะเกิดสารเรซนิ มลี กั ษณะเหนยี ว ทําใหเ กบ็ ไมส ะดวก ไมควรเกบ็ ขณะฝนตกหรือหลงั ฝนตกใหม เมือ่ เกบ็ แลว ใหรีบนาํ เขา ในที่รมเพอื่ ทาํ การบม หลงั จากเก็บใบยาหมดแลวใหข ุดตนนาํ ไปเผาทาํ ลาย 5.3 ยาสบู เตอรก ชิ เกบ็ เม่ือปลายใบเปลีย่ นเปน สีเหลืองประมาณ 2.5 เซนติเมตร ขอบใบ เรม่ิ เหลอื งเมอ่ื เดด็ จากลาํ ตน จะมเี สยี งดงั ใบหลดุ ไดโ ดยงา ย ลกั ษณะออ นตวั นาํ มาพนั มว นได 47

ขอควรระวังในการเกบ็ ใบยาสูบเตอรก ิช ไมค วรเกบ็ เมอ่ื ใบเหลอื งเกนิ ไป เพราะเมอื่ บม แลว ใบยาจะเบา ไมม เี นอ้ื เปราะและสคี ลาํ้ วธิ เี กบ็ จะเกบ็ ใบยาทลี ะใบ ครงั้ ละ 3-5 ใบ ประมาณ 5-6 ครง้ั เกบ็ ทกุ 7 วนั ใบยาทอี่ ยลู า ง สดุ 2-3 ใบแรกควรเดด็ ทงิ้ เนอื่ งจากคณุ ภาพตาํ่ ใบยายอดจะมคี ณุ ภาพดที สี่ ดุ มกี ลน่ิ หอมจดั ควรเกบ็ ในชว งเชา ไมค วรเกบ็ ในขณะแดดจดั และฝนตก หลงั จากเกบ็ ใบยาหมดแลว ใหข ดุ ตน นาํ ไปเผาทาํ ลาย การปฏิบตั ิหลังการเกบ็ เกย่ี ว (การบม) ยาสบู เวอรจ เิ นยี ใชว ธิ บี ม ดว ยไอรอ น โรงบม ตอ งควบคมุ อณุ หภมู แิ ละความชน้ื ได ในระยะเรม่ิ บม คอื ระยะทําสี ตอ งเพ่มิ อุณหภูมิทีละนอยและรกั ษาความชืน้ ไว เพื่อไมให ใบตาตายและมสี ีตามตอ งการ จากนน้ั ตรึงสีโดยเปดชอ งระบายอากาศ และเพิ่มอณุ หภูมิ ใหสงู ตามดว ยการเพม่ิ ความรอนระบายความชืน้ ออกทางชองระบายดา นบน เปด ชอง ระบายดา นลา งและบนทัง้ หมด เพือ่ ทาํ ใหใ บยาและกา นแหง ยาสูบเบอรเลย ใชว ธิ บี ม อากาศ โรงบมตองควบคมุ ความช้ืนและถา ยเทอากาศ ไดด ี ขนาดโรงบม มาตรฐาน กวา ง 4 เมตร ยาว 5.5 เมตร ระยะเวลาการบมแบง เปน 3 ระยะ คอื ระยะทําใหใบยาเปนสเี หลอื งใชเวลา 4 - 5 วัน สนี ํ้าตาล 10 - 12 วนั และ ระยะทาํ กา นแหง 10 - 12 วนั ขึน้ อยกู ับขนาดของใบยา การนาํ ใบยาแหง ออกจากโรงบม ใบและกา นตอ งแหง สนิท เขียนปา ยบอกหมู นํา้ หนัก วนั ทีก่ องใบยาแหง นําไปเก็บใน โรงเกบ็ ท่ปี พู ้นื ดว ยกระสอบหรอื ผา ทส่ี ะอาด คดั มัดกาํ ใบยาแหง คัดหมู สี ขนาด ตําหนิ ใหอยูในระดับเดยี วกันแลว นํามาเรียงใหหัวกานเสมอกนั รอการอดั การอัดใบยาแหง นําใบยาหมเู ดียวกันอัดลงในลังอดั ใบยาขนาด2 x 3 x 1.5 ฟตุ นํา้ หนักตอหอประมาณ 65 - 70 กิโลกรมั โดยใชก ระสอบทสี่ ะอาด 2 ผนื ตอใบยา 1 หอ แลวใชเ ชือกกระสอบ เยบ็ ใหห างกันชวงละ 8 - 10 เซนตเิ มตร ยาสบู เตอรกิช ใชว ธิ บี มแดด นําใบยาสูบแขวนไวใ นท่ีอณุ หภูมิ 21 - 27 องศา เซลเซยี ส ความช้นื สมั พัทธป ระมาณ 85 เปอรเซ็นต 1 - 3 วนั เพื่อลดความชื้น นําไปบม โดยใชแสงแดดอีกประมาณ 48 ช่ัวโมง จากนัน้ นําไปแขวนในท่รี ม อากาศถา ยเทสะดวก เมือ่ ใบเปล่ียนเปน สเี หลอื งใหน ําใบยาออกตากแดดเฉพาะกลางวนั และใหนาํ เขารม เพอ่ื หลีกเล่ียงน้ําคาง ประมาณ 15 - 20 วัน 48

ขอ มูลสภาพแวดลอมทีเ่ หมาะสมตอการเจรญิ เติบโตของยาสบู สภาพแวดลอ ม ความเหมาะสม ขอจํากดั 1. สภาพภมู อิ ากาศ - 21-26 องศาเซลเซียส - ในสภาพทีอ่ ุณหภูมิตา่ํ กวา 9 และสงู กวา 40 องศาเซลเซียส ขา วโพดจะไม - ชวงกลางวนั 29-32 องศาเซลเซียส เจรญิ หรือหยุดชะงักกระบวนการตาง ๆ - อุณหภูมิ - ชว งกลางคืน 18-21 องศาเซลเซียส - แสง - ความสูงจากระดับนํ้าทะเล ไมเ กิน 1,000 เมตร - หากปลกู ในพื้นทีส่ งู จากระดับน้าํ ทะเลมากกวา 1,000 เมตร จะทําใหเกิดโรค 2. สภาพพน้ื ท่ี - ความลาดเอยี งไมเ กิน 5 เปอรเ ซ็นต ทางฝก ทเ่ี กิดจากเชอ้ื ราFusarium monoliforme เนอื่ งจากมนี ํา้ คา งแรงในเวลา กลางคืน เหมาะสมกับการระบาดของเชอื้ ราดงั กลาว ทาํ ใหผลผลิตเสยี หาย 3. สภาพดิน และมีคุณภาพไมดี - ลักษณะเนอื้ ดิน - ดนิ รวน ดนิ รวนเหนียว ดินรวนทรายหรอื ดนิ เหนยี ว - ความเปน กรด - ดา ง - การระบายน้าํ และถา ยเทอากาศดี - ระดับหนาดินลึกไมนอยกวา 25 เซนติเมตร - ความอดุ มสมบูรณปานกลาง มีอินทรียวัตถุไมต ํ่ากวา 1.0 เปอรเ ซน็ ต มีฟอสฟอรัสท่เี ปนประโยชนไมนอยกวา 10 สว นในลานสวน และมี โพแทสเซียมท่แี ลกเปลย่ี นไดไมนอยกวา 60 สว น ในลานสว น - 5.5 - 7.0 49

50 ขอมลู สภาพแวดลอ มทเี่ หมาะสมตอ การเจริญเติบโตของยาสบู (ตอ) สภาพแวดลอม ความเหมาะสม ขอจํากดั 4. ความตอ งการธาตุอาหารพืช - อินทรียวัตถุ (OM , %) นอยกวา 1 % ใสปยุ 20 กก./ไร 1-2 ใสป ุย 10-15 กก./ไร มากกวา 2 ใสป ยุ 5-10 กก./ไร - ฟอสฟอรัส (P , มก./กก.) PPP222OOO555 นอยกวา 10 ใสป ยุ 10 กก./ไร 10-15 ใสปุย 10-5 กก./ไร นอยกวา 15 ใสป ยุ 5-0 กก./ไร - โพแทสเซยี ม (K , มก./กก.) KKK222OOO มากกวา 60 ใสปยุ 10 กก./ไร 60-100 ใสป ุย 10-5 กก./ไร มากกวา 100 ใสปุย 5-0 กก./ไร 5. สภาพน้าํ - สภาพดนิ ท่ปี ลูกขา วโพดโดยท่วั ไป ตองการนํ้าประมาณ 450-600 - ชว งวิกฤตของขาวโพด คอื กอนออกดอก 2 สัปดาห และหลงั ออกดอก 2 สัปดาห มิลลเิ มตร กระจายสมา่ํ เสมอตลอดฤดูปลูก เฉลี่ยประมาณ 4-5 หากขาดนา้ํ อยางรุนแรงจะทาํ ใหผ ลผลิตลดลงอยางมาก มลิ ลเิ มตรตอวัน - ชวงออกดอกถึงชวงขา วโพดสะสมนา้ํ หนกั แหง ตองการประมาณ 6-8 มลิ ลเิ มตรตอวัน

แนวทางการเพ่มิ ประสทิ ธิภาพการผลิต และแหลงสืบคนขอ มูลเพมิ่ เตมิ แหลง สืบคนขอมูลเพิ่มเตมิ วิภาวรรณ กิตวิ ัชระเจริญ.2548. ยาสบู พชื เศรษฐกจิ ของไทย.สถาบันวิจยั พชื ไร. กรมวิชาการเกษตร. โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง. 2546. คูมอื การเพาะปลูกยาสูบเบอรเลย ใบยาตวั เตมิ ปรับปรงุ (Filler Plus) 51

ถัว่ เหลอื ง การเตรยี มการ 20 วัน ขนั้ ตอนการปลูกและการดูแลรกั ษาถว่ั เหลอื ง 120 วัน 140 วัน 40 วนั 60 วัน 80 วนั 100 วนั สภาพไร การเตรียมดิน การปลูก การใสปุย การใหน าํ้ การเกบ็ เกยี่ ว -หยอดเปนหลุม 50 x 20 ซม.หยอด สภาพไร เม่อื ถ่ัวเหลอื งอายุ 20 วัน ให - สภาพไร อาศัยนํา้ ฝน ตองไม - เกบ็ เกยี่ วตามอายุของ - ไถผาน 3 ลึก 15-20 ซม. ตาก 4-5 เมลด็ /หลมุ ใสป ุยตามลักษณะดนิ โดยโรยขา งแถว ใหขาดน้ําชวงตดิ ฝก และเมล็ด พันธุหรอื เมื่อสฝี กเปล่ยี น ดนิ 7-10 วัน -โรยเปน แถวระยะระหวางแถว 50 ซม. ดงั นี้ 60 วนั หลังปลูก เปน สนี ้าํ ตาล 95% - ไถผาน 7 แลว คราด เอาเศษ จํานวน 20-25 ตน /แถว - ดินรว น หรอื ดนิ เหนยี วปนทราย ใสปยุ - สภาพนา ใหน าํ้ ทกุ 7-15 วัน - ใชเคียว หรอื เคร่ืองเกย่ี ว วัชพชื ขามปออก ปรับดินให -หยอดเปนหลมุ ระยะปลกู ตามชนดิ สูตร 12-24-12 อัตรา 20กก./ไร ตอ งไมใ หขาดน้ําชวงติดฝกและ มัดเปนฟอนวางบนแครไม สม่าํ เสมอ พนั ธุ หลุมละ 4-5 เมล็ด - ดินเหนยี ว ใสปุยสูตร 16-20-0 อัตรา เมลด็ 60 วนั หลังปลูก ยกพ้นื สูง 50 ซม. - ใสป ยุ 16-16-8 อัตรา 30 กก./ไร -การใสป ยุ หากชว งปลกู ขาวใสปุย 16- 30 กก./ไร สภาพนา 16-8 หรือ 16-20-0 แลว ใหใ สปยุ 0-46- - ตดั ตอซงั ท้ิงในนาไมตองไถหรือ 0 อตั รา 10 กก./ไร พรอ มปลกู หากชวง การกําจดั วัชพชื พรวนดนิ ปลกู ขา วไมไ ดใ สป ยุ 16-16-8 หรอื 16- กําจดั วชั พชื โดยวธิ กี ลหลงั ถว่ั งอก 15- ศัตรทู ส่ี ําคัญและการปองกนั - ขดุ รองระบายนํา้ รอบกระทงนา 20-0 ใหใสปยุ 0-46-0 อัตรา 20 กก./ไร 20 วนั หากไมไดผลใหใชสารเคมีตาม ปป--แหทนลลมโรรููกกอวคกพพนนรโเนัืชาเนขจสหธสียานุตมวะปิมานุขฝนอาเก ใวทวงถบยีกาวั่จหนนันดุนปคพออลรนนางกุ นสกแเมานั้าํมรลคตลเด็าคางงพวมมนันัคโี คเาํธจนแุดาเนวะนยะลา นสําาแตาํ รอนปนถอ่ัวงกนั - ใหนา้ํ แบบทว มแปลงจนดนิ อิ่ม พรอ มปลูก คําแนะนํา ตวั แลว ระบายออกกอ นปลูก 3. ใชสารเคมี กําจัดวัชพืชกอ นงอก หลงั ปลูกทนั ที การปฎบิ ัติหลังการเกบ็ เก่ียว การเตรียมพันธุ 4. ใหฟางคลุมหลงั ปลกู ทนั ทีเพือ่ ปอ งกัน - นวด เม่อื ความชน้ื ลดลงเหลอื 15-17 % 1. ความงอกไมตํ่ากวา 75% วัชพืช - ตากเมล็ด1-3 แดด ใหความชน้ื เหลือ 13% 2. คลุกปยุ ชีวภาพไรโซเบยี ม อตั รา - บรรจเุ มล็ดถ่วั เหลืองในกระสอบปานเย็บปาก 200 กรมั /เมลด็ พนั ธุ 15 กก. กระสอบใหเ รียบรอย วางในทรี่ ม บนพ้นื ท่มี ีไมรอง

เทคนิคการปลูกและดูแลรกั ษาถว่ั เหลือง 1. การเตรียมการกอ นปลูก 1.1 การเตรียมดนิ 1.1.1 ในสภาพไร เปน การปลูก ในฤดูฝนไถดวยผานสาม 1 คร้ัง ลกึ 15 - 20 เซนตเิ มตร ตากดิน 7 - 10 วนั พรวนดวยผาน เจด็ 1 คร้งั แลวคราดเก็บซาก ราก เหงา หวั และไหลของวชั พืชขามปออกจากแปลง แลว ปรับดนิ ใหสมํ่าเสมอ 1.1.2 ในสภาพนา เปน การปลูกในฤดูแลงหลงั เกบ็ เกี่ยวขา ว - ตัดตอซังทิ้งเศษฟางไวใ นแปลงนา โดยไมต อ งไถหรอื พรวนดนิ - ขดุ รอ งนํ้ารอบและผา นแปลงนากวาง 30 เซนติเมตร ลึก 20 เซนติเมตร ระยะระหวา งรองนา้ํ 3-5 เมตร เพอ่ื สะดวกตอ การใหน าํ้ และระบายนาํ้ ออก - ใหน ํ้ากอ นปลูก โดยใหน ํ้าแบบทว มแปลงครึง่ วัน หรือจนกระท่ัง ดินอิ่มตัว แลว ระบายนํา้ ออก ตากดนิ 1 - 2 วัน ใหด ินหมาดไมมนี ้ําขงั แลว จึงหยอดเมล็ด ถวั่ เหลือง 1.2 การเตรยี มพันธุ 1.2.1 ใชเมล็ดพันธุที่มีความสมบูรณปราศจากโรคแมลงมีความงอกไมนอย กวา รอ ยละ 75 1.2.2 ใชเมลด็ พันธุ 15 กโิ ลกรัมตอ ไร คลกุ กับปยุ ชีวภาพไรโซเบยี ม 1 ถงุ (200 กรมั ) 1.2.3 คลกุ สารเคมปี อ งกันโรคราน้ําคาง (แหลงทีม่ ีโรค) 2. การปลูก 2.1 วธิ ีปลกู 2.1.1 ในสภาพไร 1) หยอดเปนหลมุ ใชไ มแ หลมทําหลมุ กวาง 2 - 3 เซนติเมตร ลึก 3 - 4 เซนติเมตร ระยะปลกู 50 x 20 เซนติเมตร หยอด 4 - 5 เมล็ดตอ หลมุ ไดป ระมาณ 64,000 ตนตอ ไร 2) โรยเปน แถว โดยใชแ รงงานคนหรอื เครอ่ื งปลูกโรยเปนแถว ระยะ ระหวา งแถว 50 เซนติเมตร จาํ นวน 20 - 25 ตนตอแถว ยาว 1 เมตร จะไดประมาณ 64,000 - 80,000 ตน ตอ ไร 2.1.2 ในสภาพนา 1) ใชไมแหลมทําหลมุ กวา ง 2 - 3 เซนตเิ มตร ลึก 3 - 4 เซนตเิ มตร หยอด 4 - 5 เมลด็ ตอ หลมุ 2) ระยะปลกู และจาํ นวนตน ทเ่ี หมาะสม - พันธอุ ายุส้นั เชน นครสวรรค1 เชยี งใหม2 ศรีสาํ โรง1 ระยะ 53

ปลูก 25 x 25 เซนติเมตร จะได ประมาณ 100,000 ตน ตอไร - พันธอุ ายปุ านกลาง เชน สจ.5 เชียงใหม60 ขอนแกน เชยี งใหม6 ระยะปลูก 40 x 20 เซนติเมตร จะไดประมาณ 80,000 ตนตอ ไร - พนั ธุอายุยาว เชน พันธจุ ักรพนั ธ1 ระยะปลกู 50 x 20 เซนติเมตร จะไดประมาณ 64,000 ตน ตอไร 3) ใสปุยพรอ มปลกู - ในชวงการปลูกขาวถา ใสป ุยเคมสี ูตร 16-16-8 หรอื 16-20-0 แลว ใหใ สป ุย 0-46-0 อัตรา 10 กโิ ลกรัมตอ ไร - ในชวงการปลกู ขา วไมไดใสป ยุ เคมีสตู ร 16-16-8 หรอื 16-20-0 ใหใ สป ุย 0-46-0 อัตรา 20 กิโลกรมั ตอไร 4) ใชส ารเคมีกาํ จดั วชั พชื กอ นงอก 5) คลุมฟางขาวหลังปลกุ ทนั ทเี พือ่ ปองกันวัชพืช 3. การดูแลรกั ษา 3.1 การใสป ุย 3.1.1 ในสภาพไร ใสป ุย ขา งแถวเมอ่ื ถว่ั เหลอื งอายุ 20 วัน ตามลกั ษณะดนิ ดังน้ี 1) ดินรว นหรือดินรว นเหนยี วปนทราย ใสปุยสตู ร 12-24-12 อตั รา 20 กโิ ลกรมั ตอ ไร หรอื หวา นปยุ เคมสี ตู ร 16-16-8 อตั รา 30 กโิ ลกรมั ตอ ไรพ รอ มเตรยี มดนิ 2) ดินเหนยี วหรอื ดนิ รว นเหนียวใสป ุย สูตร 16-20-0 อตั รา 30 กิโลกรมั ตอไร 3.2 การใหน าํ้ 3.2.1 ในสภาพไร ปลูกโดยอาศยั นาํ้ ฝน แตถ าฝนทิง้ ชว งนานตอ งใหน ํ้าเพ่ิม โดยเฉพาะในชวงการเจรญิ เตบิ โตของฝก หรอื เมล็ดหรือ ประมาณ 60 วันหลังปลกู 3.2.2 ในสภาพนา 54

1) ใหนํ้าทกุ 7 - 15 วนั 2) ตองไมใหถั่วเหลืองขาดน้ําในชวงการเจริญเติบโตของของฝกหรือ เมล็ดหรือ ประมาณ 60 วนั หลงั ปลกู 4. ศตั รพู ชื ท่ีสําคญั 4.1 วชั พืช 4.1.1 วัชพืชฤดเู ดียว เปนวัชพชื ท่ีครบวงจรชีวิตภายในฤดเู ดยี วสวนมาก ขยายพันธดุ ว ยเมล็ด 1) ประเภทใบแคบ เชน หญา นกสีชมพู หญาตีนนก หญาตนี กา หญา ตนี ตดิ หญาปากควายและหญา ดอกขาวเปน ตน 2) ประเภทใบกวาง เชน ผักยาง ผกั โขมหนิ ผักปลาบ ผักตนี ตุกแก ปอวัชพชื ผกั เบยี้ หนิ สาบแรงสาบกา ผกั คราดหวั แหวน ผักไผนํา้ หญากํามะหย่ี เทียนนา กะเม็ง เปน ตน 3) ประเภทกก เชน กกทราย เปน ตน 4.1.2 วชั พืชขามป เปนวชั พชื ทีข่ ยายพันธุดว ย ตน ราก เหงา หวั และไหล ไดด ีกวา การขยายพนั ธุดวยเมลด็ 1) ประเภทใบแคบ เชน หญาแพรก และหญา ชนั อากาศ 2) ประเภทใบกวา ง เชน ไมยราบเครอื สาบเสอื และเถาตอเชอื ก 3) ประเภทกก เชน แหวหมู และกกดอกตมุ การปอ งกนั กําจัด 1) กําจัดวัชพืชโดยใชแรงงานคนหรือเครื่องจักรกลเมื่อถั่วเหลืองอายุ 15 - 20 วันหรอื กอนถ่วั เหลอื งออกดอก 2) หากใชว ธิ ีกลไมไ ดผลใหพ น สารกาํ จัดวัชพชื ตามคําแนะนํา 4.2 โรค 4.2.1 โรครานาํ้ คาง เกิดจากเชอื้ รา ลกั ษณะอาการเปนแผลจุดสเี หลือง แกมเขียวดา นบนใบ ตอ มาขยายใหญเ ปนสนี ้ําตาลขนาดแผลไมแนนอน พบเสนใยสเี ทา ของเชอื้ ราบรเิ วณแผลใตใบ ชวงเวลาระบาด ระบาดรุนแรงชวงปลายฤดฝู น ทีม่ อี ากาศ เยน็ และความช้นื สงู การปอ งกนั กําจดั ใชพันธุตานทาน คลุกเมล็ดดว ยสารเคมตี าม คําแนะนาํ 4.2.2 โรคราสนิม เกดิ จากเชอื้ รา เปน แผลจุดสนี ํา้ ตาลขนาดเล็กใตใบ ระยะแรกพบใบลา งระบาดสใู บบน เห็นสปอรผ งสนี ํา้ ตาลคลา ยสนิมเหล็กบริเวณรอยแผล ชวงเวลาระบาด ระบาดรนุ แรงชว งปลายฤดฝู นท่มี อี ากาศเยน็ และความชื้นสูง การปองกนั กาํ จัด เก็บซากพืชท่เี ปนโรค เผาทาํ ลายนอกแปลง ใชส ารเคมตี ามคําแนะนํา 55

4.2.3 โรคใบจดุ นนู เกดิ จากเชือ้ แบคทเี รีย ลักษณะอาการเปนแผลจุด สเี หลอื งแกมเขียวดานใตใบตอมาขยายโตขึน้ กลางแผลจะแหง ตกสะเกด็ เปนตมุ เลก็ ๆ สนี า้ํ ตาลคลายโรคราสนิมแตม วี งสีเหลืองลอ มรอบ ระบาดรนุ แรงในชวงทม่ี ีอากาศรอน อบอาว การปอ งกนั กําจดั เกบ็ ซากพืชทีเ่ ปนโรคเผาทําลายนอกแปลง ใชสาร เคมีตามคาํ แนะนาํ 4.2.4 โรคโคนเนา ตน ดํา เกดิ จากเชอื้ รา ตนถ่ัวจะเหี่ยว ใบเหลืองซีด ตอมายืนตน ตาย ทโ่ี คนตนและรากเนา เปนสีดํา ระบาดเม่ือมีฝนตกหนกั หลังภาวะฝน ทิง้ ชว งนาน 2-3 สัปดาห การปอ งกนั กาํ จัด ปลูกพืชหมุนเวียน เกบ็ ซากพืชท่เี ปนโรคเผา ทําลายนอกแปลง ใชสารเคมตี ามคาํ แนะนํา 4.2.5 โรคแอนแทรคโนส เกดิ จากเช้อื รา ลักษณะอาการเสนใบมแี ผล ขนาดเลก็ สนี ํา้ ตาลแลวขยายสแู ผนใบ ทาํ ใหใ บเหลืองไหม รว งกอ นกําหนด บนกิ่งและ ลําตน เปนแผลสีน้าํ ตาลดํา บนฝกและเมล็ดเปน จดุ หรือตุม เลก็ ๆสีนํ้าตาลดาํ เรียงเปน วง ซอ นกนั ระบาดรุนแรงเมื่อฝนตกในระยะท่ีถ่วั เหลอื งใกลเกบ็ เกย่ี ว การปองกันกําจดั ไมใ ชเ มลด็ พนั ธจุ ากแหลง และแปลงทม่ี โี รคระบาด เกบ็ ซากพชื ทเ่ี ปน โรคเผาทาํ ลายนอกแปลง ใชส ารเคมตี ามคาํ แนะนาํ 4.3 แมลงศตั รู 4.3.1 หนอนแมลงวนั เจาะลาํ ตน ถว่ั เปน แมลงวนั ขนาดเลก็ สเี ทาดาํ ขนาด ประมาณ 2 มลิ ลเิ มตร ปก ใส หนอนเจาะไชชอนเขา ไปกดั กนิ ทไี่ สก ลางลาํ ตน และใตผ วิ เปลอื ก บรเิ วณโคนตน แลว เขา ดกั แด ระบาดรนุ แรงในระยะกลา การปองกนั กาํ จดั คลกุ เมลด็ พนั ธดุ ว ยสารเคมตี ามคาํ แนะนาํ กอ น ปลกู หรอื พน สารเคมีตามคําแนะนาํ 4.3.2 หนอนเจาะตน ฝก ถ่ัว เปนผีเสอ้ื กลางคนื ขนาดเลก็ วางไขเปนฟอง เด่ยี วๆ ทกี่ ลีบดอก บนฝกออ นบรเิ วณฐานหรือลําตน ใกลฝก หนอนจะเจาะเขา ไปกนิ อยู ภายในฝก ระบาดมากในระยะตดิ ฝก เมือ่ อากาศแหง แลง และอุณหภูมิสงู การปองกันกําจดั ใชส ารเคมีปอ งกนั กาํ จดั แมลงศัตรูตามคําแนะนาํ 4.3.3 มวนเขียวขา ว รปู รา งคลายโลส เี ขยี ว วางไขเปน กลมุ หลายแถวเรียง กันเปนระเบียบตามสว นตา งๆ ของพืช ตวั ออ นและตวั เต็มวยั ดดู กินน้ําเล้ยี งจากใบ 56

และฝกออน ทําใหฝ ก ลบี ระบาดรนุ แรงในระยะออกดอกถงึ เกบ็ เกยี่ วในสภาพอากาศมี ความชน้ื สูง การปอ งกันกาํ จัด ใชสารเคมีตามคาํ แนะนํา 5. การปฏบิ ัตกิ อ นและหลังการเก็บเกี่ยว 5.1 ระยะเก็บเกยี่ วทีเ่ หมาะสม 5.1.1 เกบ็ เกีย่ วตามชว งอายุของพนั ธุทป่ี ลูก หรอื 95 เปอรเซน็ ตข องฝก เปลยี่ นเปน สีน้าํ ตาล 5.1.2 เม่อื เมล็ดถ่วั เหลอื งมีความชน้ื 15 - 17 เปอรเซ็นต 5.2 วิธกี ารเก็บเกี่ยว 5.2.1 ใชเคียวเกี่ยวตนหรือใชเ ครอื่ งเก่ียววางราย 5.2.2 ใชเ ชอื กมัดเปนฟอน นําไปกองบนแครไมทสี่ ะอาดยกพืน้ สูง 50 เซนตเิ มตร 5.3 การปฏบิ ัตหิ ลังการเก็บเกย่ี ว 5.3.1 นวดดวยเครอื่ งขณะท่ถี ั่วเหลอื งมคี วามชื้น 15-17 เปอรเ ซ็นต 5.3.2 นําเมล็ดที่นวดผึง่ แดด 1 - 3 แดด ลดความชน้ื ในเมลด็ เหลอื 13 เปอรเซน็ ต 5.3.3 บรรจุเมลด็ ถ่ัวเหลืองในกระสอบปาน ทไี่ มชาํ รดุ สะอาดและเยบ็ ปดปากกระสอบใหเรยี บรอย 5.3.4 วางกระสอบทบี่ รรจเุ มลด็ ถว่ั เหลืองในที่รมบนพื้นท่ีมไี มรอง 57

58 ขอมูลสภาพแวดลอมท่ีเหมาะสมตอการเจริญเติบโตของถั่วเหลือง สภาพแวดลอ ม ความเหมาะสม ขอ จาํ กดั 1. สภาพภูมิอากาศ - 25-35 องศาเซลเซียส - อุณหภมู ทิ ่สี งู หรือต่ําเกนิ ไปมผี ลตอ การเจริญเตบิ โต เชน อุณหภมู ิต่าํ จะทําให - อณุ หภูมิ (เซลเซยี ส) ตน เติบโตชา อุณหภมู ิ ต่ํากวา 9.9 องศาเซลเซยี ส จะทําใหเมล็ดไมงอก และ หากอณุ หภมู สิ งู จะทาํ ใหด อกรว ง การตดิ ฝก นอ ย ผลผลติ ตาํ่ เมลด็ มคี ณุ ภาพตาํ่ 2. สภาพพืน้ ท่ี - ความสูงจากระดบั น้ําทะเล - มคี วามสูงจากระดบั นาํ้ ทะแลไมเกนิ 600 เมตร - ความลาดเอียงของพื้นที่ - ไมเ กิน 5 เปอรเซน็ ต 3. สภาพดิน - ลกั ษณะของเนือ้ ดนิ - มีเนอ้ื ดินเปนดินรวน รวนเหนยี ว หรือ รวน ปนทราย - ดินท่ีปลกู ถั่วเหลืองมกี ารระบายนํา้ ดีเพราะถ่วั เหลืองเปนพชื ท่ีไมทนตอสภาพ - ความลกึ ของหนาดิน - 20-25 เซนติเมตร นํ้าขงั - ความเปนกรด-ดา ง (pH) - 5.5-7.0 - ปรมิ าณอินทรียวัตถุ - ไมตาํ่ กวา 1.5 เปอรเซ็นต

ขอ มูลสภาพแวดลอมทีเ่ หมาะสมตอการเจรญิ เตบิ โตของถั่วเหลอื ง (ตอ ) สภาพแวดลอ ม ความเหมาะสม ขอ จํากดั 4. ความตอ งการธาตอุ าหารพืช - ธาตอุ าหารหลกั - ธาตุอาหารไนโตรเจน (N) ถว่ั เหลืองเปนพชื ที่มตี องการไนโตรเจน - พชื ตองการรองจากธาตอุ าหารหลัก - ธาตุอาหารรอง/ธาตุอาหารเสริม สงู มากแตแ หลง ทมี่ าของไนโตรเจนนอกจากดนิ แลวยงั ไดมาจากไรโซ เบียมดวย 5. สภาพนํา้ - ธาตุอาหารฟอสฟอรสั (P) มากกวา 12 ppm ไมตอ งใสป ุย - คุณภาพนาํ้ - ธาตุอาหารโพแทสเซียม (K ) ทแ่ี ลกเปลี่ยนไดม ากกวา 50 ppm ไม - ปริมาณนํา้ ท่ีตอ งการ ตองใสป ุยเพ่มิ เตมิ ธาตอุ าหารรอง - พชื ตอ งการนอ ยกวา ธาตุอาหารหลัก/ธาตอุ าหารรอง - กาํ มะถนั (S) - แคลเซยี ม (Ca) - แมกนเี ซียม (Mg) ธาตอุ าหารเสรมิ - เหลก็ (Fe) - แมงกานีส (Mn) - สงั กะสี (Zn) - ทองแดง (Cu) - โบรอน (B) - โมลบิ ดินัม่ (Mo) - คลอรนี (Cl) 59 - สภาพนาํ้ ทว มขงั ( water logging ) มผี ลตอผลผลิตถัว่ เหลืองโดย - ขาดนํ้าในชว งการเจรญิ ทางลาํ ตนและใบผลผลิตลดลง รอ ยละ 12 ขาดนํา้ ใน เฉพาะหากเกดิ สภาพน้ําทวมขงั ในชวงระยะสะสมนาํ้ หนักเมล็ด ชว งเร่มิ ออกดอก-ออกดอกเต็มท่ี ผลผลิตลดลง รอ ยละ 24 ขาดนาํ้ ในชว งเร่ิม (นํา้ ทว มขัง 7 วนั ผลผลิตลดลง 13% นํ้าหนกั เมลด็ ลดลง 21 %) ตดิ ฝกผลผลติ ลดลง รอ ยละ 35 ขาดนาํ้ ในชว งตดิ ฝก ฝก แกผลผลติ ลดลง 1,000-1,500 มิลลเิ มตรตอ ป รอ ยละ 13

แนวทางการเพม่ิ ประสทิ ธิภาพการผลติ และแหลงสืบคน ขอมูลเพ่ิมเตมิ 1. เตรยี มแปลงปลูกถว่ั เหลอื ง - ควรปรบั สภาพดินใหหนา ดินใหส มาํ่ เสมอ - ขดุ รองน้าํ รอบแปลงเพื่อใหระบายนา้ํ ออกจากแปลงใหสะดวก เพราะหากนํา้ ทวมขังรากถั่วเหลอื ง อายุ 10-20 วนั เปนเวลา 2 วัน จะทําใหผ ลผลิตลดลง 10 เปอรเ ซ็นต - ในพนื้ ทท่ี มี่ ีฝนตกมากใหเลือกปลกู ถัว่ เหลอื งในพื้นท่ที ม่ี ีความลาดชนั เพอ่ื ไมให เกดิ การกกั เกบ็ นาํ้ จนเกิดปญ หานํ้าทวมขังแปลง 2 ใชเ มล็ดพนั ธดุ ที ี่ใชป ลกู ไมเ กิน 3 ฤดู คลกุ เมลด็ พนั ธุดวยเช้อื ไรโซเบยี ม 200 กรมั ตอเมลด็ พันธุ 15 กก. หรอื ปลูก 1 ไร 3. ใหนํ้าแปลงถั่วเหลืองในปริมาณท่ีเหมาะสมและสมํ่าเสมอต้ังแตปลูกจนถึง ออกดอกและติดฝก หามไมใ หน ํา้ ทว มขังรากและขาดนํา้ ในชวงออกดอกติดฝก 4. วชั พชื ในแปลงถว่ั เหลอื งเปน ปญ หาสาํ คญั ทท่ี าํ ใหผ ลผลติ ลดลงมากกวา 30 เปอรเ ซน็ ต และทาํ ใหค ณุ ภาพเมลด็ สญู เสยี มากกวา รอ ยละ 12 โดยเฉพาะการเกดิ เมลด็ เขยี ว เนอ่ื งจาก เกดิ การแขง ขนั กนั ระหวา งถว่ั เหลอื งกบั วชั พชื ในการแกง แยง แสงแดด นาํ้ แรธ าตอุ าหารและ ปจ จยั อน่ื ๆ ทจ่ี าํ เปน ตอ การเจรญิ เตบิ โต 5. ปยุ ฟอสฟอรสั มคี วามสาํ คัญในดนิ นาที่ไมค อยใสป ยุ มกั ขาดปยุ ฟอสฟอรัส ดังนน้ั 5.1 ในดนิ นาชวงปลุกขา วถาเกษตรกรใสป ยุ 16-16-8 หรือ 16-20-0 ชว งปลกู ถว่ั เหลืองใหใสปุย 0-46-0 อตั รา 10 กิโลกรมั ตอ ไร 5.2 ในดนิ นาชวงปลกู ขา วไมไ ดใสป ยุ 16-16-8 หรือ 16-20-0 ชว งปลกู ถว่ั เหลอื ง ใหใ สปยุ 0-46-0 อตั รา 20 กิโลกรมั ตอไร จะใหผลผลติ เพ่ิมขึ้น แหลงสืบคน ขอมลู เพ่ิมเติม กรมวชิ าการเกษตร. 2547. เกษตรท่ีดีเหมาะสมสําหรบั ถ่ัวเหลอื ง. พมิ พครัง้ ที่ 2 โรงพมิ พชมุ ชุมสหกรณก ารเกษตรแหง ประเทศไทยจํากดั กรงุ เทพฯ 26 หนา กรมวชิ าการเกษตร. 2548. โรคถวั่ เหลอื งและการปอ งกันกําจดั . โรงพิมพจรลั ธุรกจิ เชียงใหม 57 หนา กรมสง เสรมิ การเกษตร. 2555 การผลติ เมล็ดพันธุถั่วเหลอื ง. ฝา ยโรงพมิ พ สาํ นักพฒั นา การถา ยทอดเทคโนโลยี กรมสงเสริมการเกษตร กรุงเทพฯ 78 หนา กรมสง เสริมการเกษตร. 2555. การปลูกถั่วเหลือง. ฝายโรงพิมพ สํานักพฒั นาการ ถา ยทอดเทคโนโลยี กรมสงเสริมการเกษตร กรุงเทพฯ 30 หนา 60

ถั่วลิสง การเตรียมการ 20 วนั ขน้ั ตอนการปลูกและการดูแลรักษาถัว่ ลิสง 120 วัน 140 วนั 40 วนั 60 วนั 80 วัน 100 วัน การเตรียมดิน การปลกู การใสปุย การใหน ้าํ การเก็บเกีย่ ว 1. สภาพไรน ํา้ ฝน 1. ใชไมปลายแหลมทาํ หลมุ พรวนดินเพือ่ กาํ จดั วัชพืช ใหน ้ําทกุ 7 วนั - เกบ็ เกี่ยวตามอายุของ - วชั พชื นอ ยไมต อ งเตรยี มดนิ ใชไ ถเปด รอ งสาํ หรบั หยอด กวา ง 5-8 ซม. หยอด 2-3 ขา งแถวชวงออกดอก (30- ในเดอื นแรก หลงั พนั ธหุ รอื เมื่ออายุเกบ็ เมลด็ เมล็ด/หลุม 40 วัน) ตามดว ย โรยยปิ ซัม จากนัน้ ทุก 10 วัน เกีย่ วถว่ั ลิสง 85-120 - วัชพชื หนาแนน ไถ 1 คร้ังลกึ 10-20 ซม. ตากดนิ 7-10 2. ใชร ะยะปลูก 50 x 20 ซม. บนตน ถวั่ ลิสงอัตรา 50 กก./ หา มขาดนาํ้ ชว ง วัน ข้ึนอยูกบั ชนิดพนั ธุส ี วนั พรวน 1 ครง้ั เกบ็ ซากวชั พืชขา มปอ อก ลึก 10 ซม. ไร เพ่อื ลด% เมลด็ ลบี และ อายุ 30-60 วัน เปลอื กฝกดานในเปล่ียน 2. สภาพนาฤดแู ลง 3. ดินที่มีธาตุอาหารตํา่ ใช เพ่มิ % กะเทาะ หลงั งอก เปน สนี า้ํ ตาลดาํ มากกวา - ปลกู ในนาอาศัยน้ําชลประทาน (ธ.ค-ม.ค) ไถ 1 ครั้งยก ปุยสูตร 12-24-12 อัตรา 25 60% รองปลูกสงู 20-25 ซม. เพือ่ ใหนา้ํ สะดวก กก./ไร หรอื สูตร 16-16-8 การกําจดั วัชพชื - ใชถอนหรอื ใชจ อบขดุ - ปลกู หลังนาอาศัยความชน้ื ในดนิ (ต.ค.-พ.ย.) เตรยี ม อตั รา 35 กก./ไรร องกนหลมุ ขณะดนิ มคี วามชืน้ ดินใหล ะเอยี ด ไถดิน 2 คร้ังพรวน 1-2 ครั้ง กอนปลกู หรอื โรยขา งแถว - ครั้งท่ี 1 15 วัน หลงั งอก 3. ดนิ ท่ีมอี นิ ทรยี วตั ถตุ าํ่ กวา 1 % ใสป ุย คอก ปยุ หมัก แลวพรวนดนิ กลบหลงั งอก ครงั้ ท่ี 2 30 วันหลงั งอก 1,000-2,000 กก./ไร แลว พรวนดนิ กลบ 10-15 วัน โรคและศัตรทู ่สี าํ คัญ 4. ใหน า้ํ ทนั ทีหลงั ปลูก - หากมีวัชพืชตกคางในแปลงควร - หนอนชอนใบ เพลย้ี ไฟ เพลีย้ ออ น เพลย้ี การเตรยี มพนั ธุ 5. ฉีดยาคุมวัชพชื กอ นงอก กําจดั อีกครั้งเมื่ออายุ 60 วนั จักจ่นั เส้ยี นดนิ ใชสารเคมตี ามคําแนะนํา 1. เตรยี มเมล็ดพนั ธุ 20 กก./ไร ความงอกไมตํา่ กวา 75% 2. คลกุ เมลด็ พนั ธุดว ยสารเคมีปองกันเชือ้ ราและปุย - โรคโคนเนา ลําตนเนา ยอดไหม ใบจุด ชวี ภาพไรโซเบียม ราสนมิ ปอ งกันโดยเผาทาํ ลาย ปลูกพืช หมนุ เวยี น พน สานเคมี ปลูกพันธุตา นทาน การปฎบิ ัติหลงั การเกบ็ เกย่ี ว - ตากฝก ถว่ั บนตะแกรง อยา ใหส มั ผสั ดนิ ตากแดดจดั 3-5 วนั ความชน้ื ตาํ่ กวา 9 % - เกบ็ ในรปู เมลด็ แหง ไดประมาณ 2 เดอื น - ควรกะเทาะถว่ั ลิสงแหงภายใน 3 เดอื น เพือ่ คุณภาพการบรโิ ภค

เทคนิคการปลกู และดูแลรกั ษาถว่ั ลสิ ง 1. การเตรียมการกอนปลูก 1.1 การเตรยี มดิน 1.1.1 ในสภาพไร เปน การ ปลูกในฤดฝู น - พ้ืนท่ีมีวัชพืชนอย ไมตองเตรยี มดนิ ใหไถเปดรอง แลวหยอด เมล็ด - พน้ื ทม่ี วี ัชพชื หนาแนน ใหเตรยี มดนิ โดยไถ 1 คร้ัง ลกึ 10 - 20 เซนตเิ มตร ตากดิน 7-10 วัน พรวน 1 คร้งั แลวคราดเก็บเศษซาก ราก เหงา หวั และไหล ของวัชพืชขามปออกจากแปลง 1.1.2 ในสภาพนา เปน การปลูกในฤดูแลง ในพืน้ ทน่ี าหลังเกยี่ วขา ว - โดยอาศยั นํา้ ชลประทาน ใหเตรียมดนิ ปลกู โดยไถ 1 คร้ัง ลึก 10 - 20 เซนติเมตร ตากดิน 7 - 10 วัน พรวน 1 คร้งั แลวคราดเก็บเศษซาก ราก เหงา หวั และไหล ของวชั พืชขา มปออกจากแปลง ยกรองปลกู สูง 20 - 25 เซนตเิ มตร เพือ่ สะดวกในการใหน าํ้ - โดยอาศยั ความช้นื ในดนิ ตองเตรียมดินใหล ะเอียดโดยไถดิน 2 ครัง้ และพรวน 1 - 2 ครง้ั 1.1.3 ดนิ ท่ีมอี นิ ทรียวตั ถตุ า่ํ กวา 1 เปอรเซ็นตใ หใสปยุ คอกหรอื ปยุ หมักที่ ยอยสลายดีแลว อตั รา 1,000 กิโลกรมั ตอไรใ นดนิ รว นเหนียวปนทราย และอตั รา 2000 กิโลกรัมตอไร ในดินรว นหรือดินรว นปนทรายแลวพรวนกลบ 1.1.4 ดินท่ีมปี ริมาณแคลเซียมตาํ่ ควรหวานปนู ขาวอตั รา 100 - 200 กโิ ลกรมั ตอไร แลว พรวนดินกอ นปลกู 1.2 การเตรยี มพันธุ 1.2.1 เมลด็ พันธทุ ี่ใหมความงอกไมต ํา่ กวา 75 เปอรเซน็ ต 1.2.2 คลุกเมลด็ ดว ย - สารเคมีตามคาํ แนะนําเพื่อปอ งกนั โรคโคนเนา โรคเนา ขาดทีเ่ กิด จากเช้อื ราทไี่ มมผี ลกระทบตอไรโซเบยี ม - ปุยชีวภาพไรโซเบียม 200 กรมั (1 ถุง) กับเมล็ดพันธุป ลกู 1 ไร (15 - 20 กก.ฝก สด หรอื 20 - 25 กก. ฝกแหง ) 1.2.3 ถ่วั ลสิ งบางพนั ธุมรี ะยะการพักตวั เชน พันธขุ อนแกน 60 – 3 (ถัว่ ลสิ ง เมลด็ โต จัมโบ) จําเปนตองทําลายระยะพกั ตวั โดยใชสารอเี ทรล ความเขม ขน 3 เปอรเ ซน็ ต ปรมิ าณ 9.5 มลิ ลเิ มตรตอ นาํ้ 1 ลติ ร พรมเมลด็ พนั ธพุ อหมาดปลอ ยทง้ิ ไว 1 วนั กอ นนาํ ไปปลกู 62

2. การปลกู 2.1 วธิ ีปลกู - ใชแรงงานคน หยอดเปนหลมุ ระยะปลูก 50 x 20 เซนตเิ มตร ลกึ 5 - 8 เซนติเมตร จํานวน 2 - 3 เมลด็ ตอ หลุม ถาปลกู ในฤดแู ลงโดยอาศยั ความชนื้ ในดิน ควรปลกู ใหลกึ 10 เซนตเิ มตร - ดนิ ทีม่ ีความอุดมสมบรูณตํา่ ใชป ยุ สตู ร 12-24-12 อัตรา 25 กโิ ลกรัมตอ ไร หรอื สตู ร 16-16-8 อัตรา 35 กโิ ลกรัมตอ ไร รองกนหลุมกอนปลูก หรือโรยขา งแถว แลว พรวนดนิ กลบหลังถัว่ ลสิ งงอก 10 - 15 วัน - ใชส ารเคมคี ุมวัชพชื กอ นงอกหลงั ปลกู ถว่ั ทนั ที่ขณะทด่ี ินมคี วามชนื้ หลัง วชั พชื งอก เมอื่ ถว่ั ลิสงอายุ 15 - 20 วนั หรือ 30 - 40 วัน กอ นถัว่ ลสิ งออกดอก ใชส าร ปอ งกัน กาํ จัดวชั พืชใบแคบ และกําจดั วชั พชื ประเภทใบกวา ง ตามคาํ แนะนาํ 2.2 อตั ราเมลด็ พันธทุ ีใ่ ช ประมาณ 20 - 25 กโิ ลกรัมฝก แหงตอ ไร หรอื 15 - 20 กิโลกรัมฝกสดตอ ไร 2.3 จาํ นวนตนตอไร 32,000 - 48,000 ตนตอไร 3. การปฏบิ ัติดแู ลรักษา 3.1 การใสปยุ 3.1.1 พรวนดินขา งแถวถวั่ ลสิ งหลงั ออกดอกและกอนแทงเข็ม ชว งอายุ 30 - 40 วนั หลงั งอก แลว โรยยิปซมั บนตนถว่ั ลิสง อตั รา 50 กโิ ลกรมั ตอไร เพือ่ ลด เปอรเ ซ็นตเมลด็ ลบี และเพิ่มเปอรเซ็นตก ารกะเทาะ พรอ มปรบั หนา ดนิ ใหเหมาะสมตอ การแทงเข็มและสรา งฝก 3.1.2 การพนู โคนไมค วรพูนดนิ กลบก่งิ แรก ควรพนู โคนเต้ยี ๆ และใหแ ผ กวางออกจากโคนตน เน่อื งจากการตดิ ฝก ไมไดกระจายอยบู รเิ วณโคนแตจ ะแผกระจาย ออกจากแนวโคนตนเล็กนอย 3.2 การใหนาํ้ - การปลูกในฤดูแลงใหนาํ้ ตามรองทันท่หี ลงั ปลูกจนเต็มสันรอง เพ่อื ใหถ วั่ ลสิ งงอกสมํ่าเสมอ - ควรใหน า้ํ ทกุ 7 วนั ในเดอื นแรก หลงั จากนนั้ ใหน า้ํ ทกุ 10 วนั สงู ถงึ ระดบั เศษ 3 สว น 4 ของ ความลกึ รอ งนาํ้ โดยไมต อ งระบาย นา้ํ ออก - ตองไมใหถ ว่ั ลิสง ขาดนํา้ ชวงอายุ 30 - 60 วันหลัง งอก ซึ่งอยใู นชว งแทงเข็มสรา งฝก และเมลด็ 63

4. ศัตรูพืชทส่ี าํ คัญ 4.1 วชั พชื - วชั พืชฤดูเดียว เปนวัชพชื ที่ครบวงจรชีวติ ภายในฤดูเดยี วสวนมากขยาย พนั ธดุ ว ยเมลด็ - วชั พชื ขา มป เปน วชั พชื ทส่ี ว นมากขยายพนั ธดุ ว ยตน ราก เหงา หวั และไหล การปองกนั กาํ จดั - ไถ 1 ครั้ง ตากดนิ 7-10 วัน พรวน คราด เก็บเศษซาก ราก เหงา หัว และ ไหล ของวชั พชื ขา มปออกจากแปล - ใชแ รงงาน 1-2 คร้ัง เมือ่ อายุตนถว่ั ลสิ งอายุ 15 วนั และ 30 วัน หลงั งอก ตองระวังไมใ หกระทบกระเทือนตอการลงเข็มของตนถวั่ ลิสง โดยทําพรอมกับการพรวน ดนิ และพูนโคน 4.2 โรค 4.2.1 โรคโคนเนาขาด เกิดจากเช้อื รา ลักษณะอาการตน เหยี่ วเหลอื ง ยบุ ตัว โคนตนเปน แผลสนี ้ําตาล พบกลุมสปอรส ีดาํ ปกคลุมบรเิ วณแผล เม่อื ถอนสวน ลําตน จะขาดออกจากราก ระบาดรุนแรงในระยะตน กลา อายุ 1 - 4 สปั ดาห ในสภาพ ดินทรายหรอื ดินรว นปนทราย อณุ หภูมขิ องดนิ และอากาศสงู 30 - 35 องศาเซลเซียส การปองกนั กาํ จดั คลุกเมล็ดดวยสารเคมีตามคําแนะนํา ถาพบโรค ในระยะ 2 สปั ดาหแ รกหลังปลูก หากเสียหาย ไมเ กนิ รอ ยละ 20 ใหปลูกซอม แตถ า เสยี หายมากกวา รอ ยละ 50 ควรไถทิง้ แลวปลกู ใหม 4.2.2 โรคยอดไหม เกดิ จากไวรสั ลักษณะอาการในระยะ 2 สัปดาหแ รก หลังตน ถ่วั งอก ใบจะมสี จี ุดซดี หรอื เปน ปน มนี ํ้าตาลบนใบทเ่ี ชอื้ เขา ทําลาย จากนั้นเสนใบ ซดี หรอื จดุ กระสีซดี บนยอดใบ กานใบและกิง่ โคง งอ ถาเปนโรคในระยะกลา ถ่วั ลิสงจะตาย หรือแคระแกรน็ ไมต ดิ ฝก ถาเปนระยะตนโตทําใหการติดฝก ลดลง ระบาดรุนแรงในฤดแู ลง การปองกันกาํ จัด ถอนตน ท่แี สดงอาการและนาํ ไปทาํ ลายท้งิ ใหไกล จากแปลงปลูก ทําลายพืชอาศยั ของโรค กําจดั เพลยี้ ไฟซงึ่ เปน แมลงพาหะและใชพ นั ธุ ทท่ี นทาน เชน ขอนแกน 5 ขอนแกน 60-1 4.2.3 โรคราสนิม เกดิ จากเช้ือรา ลกั ษณะอาการแผลเปน ตมุ สนี ้าํ ตาล ถงึ น้าํ ตาลเขม ขนาดเทา หวั เข็มหมดุ กระจายทว่ั บนใบ ตอ มาเมือ่ แผลแตก พบสปอรข อง เชือ้ ราสีนํ้าตาลคลายสนมิ เหลก็ จํานวนมาก มาคลุม บริเวณปากแผล สปอรปลิวไปตาม ลมและน้าํ แพรก ระจายโดยนกและแมลงโดยทัว่ ไประบาดรวมกับโรคใบจุด ระบาดรุนแรง ในชว งฤดฝู น การปอ งกันกาํ จัด ใชพ นั ธตุ านทานตอ โรค คอื กาฬสนิ ธุ 2 ทาํ ลาย เศษซากพชื ทเี่ ปนโรคหลังเก็บเกย่ี วใชสารเคมีตามคําแนะนํา 4.2.4 โรคใบจุด เกิดจากเชื้อรา ลกั ษณะอาการ แผลเปนจดุ สีดําหรือ สีนํ้าตาล ขนาด 1-8 มลิ ลเิ มตร ขอบแผลสีเหลอื งลอ มรอบ ในระยะแรกพบท่ีใบลางตอ มา ลกุ ลามสใู บบน อาการรนุ แรงทําใหใบเหลือง ขอบใบบดิ เบ้ยี ว ไหมแ หงดาํ และรวงกอน กําหนด ระบาดรุนแรงในฤดฝู น โดยเฉพาะในสภาพทม่ี ีฝนติดตอกัน 6 - 7 วัน 64

การปองกันกาํ จัด เผาทําลายซากพืชทเ่ี ปนโรคหลงั เก็บเก่ียว ใชสาร เคมตี ามคําแนะนํา 4.2.5 โรคโคนเนาขาว เกดิ จากเช้ือรา ลักษณะอาการ ยอด ก่ิง และลําตน เหี่ยวยบุ เปนหยอ มๆ พบแผลเนา ทส่ี ว นสัมผสั กบั ผวิ ดิน บรเิ วณทีถ่ ูกทาํ ลายมเี สนใยสขี าว รวมท้งั เม็ดสเคลอเทยี มของเช้อื ราท่มี ีสขี าว โดยเฉพาะในพ้ืนท่ีที่มกี ารปลูกพืชแนน เกนิ ไป และปลกู ซา้ํ ท่เี ดิม พบพืชเปนโรคในชว งหลงั จากติดฝก ถงึ เกบ็ เก่ยี ว ระบาดมากในฤดูฝน สภาพท่มี ีความชื้นสูงหรือมฝี นตกชุก การปอ งกันกาํ จัด ปลกู พชื หมุนเวียนที่ไมใ ชพืชตระกูลถั่ว ถอนตน ที่เปนโรคตั้งแตเ ร่ิมแสดงอาการและนําไปทําลายท้งิ นอกแปลง ใชส ารเคมีตามคําแนะนาํ 4.3 แมลงศตั รู 4.3.1. หนอนชอนใบถัว่ ลสิ ง เปน ผเี ส้อื กลางคนื สนี าํ้ ตาลยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร หนอนฟก ออกจากไขแ ละชอนเขา ไปกัดกินเนือ้ เย่อื ของใบเหลือไวแ ตผ วิ ใบดาน บนและดานลา ง ตอมาใบจะแหงเปนสขี าว เม่อื หนอนโตมากข้ึน จะออกมาพบั ใบถั่วหรือ ชักใยเอาใบมารวมกัน อาศัยกัดกินและเขา ดักแดใ นใบนนั้ ถา ระบาดรนุ แรงจะทาํ ใหตนถั่ว แคระแกรน็ ใบรวงหลน ผลผลติ ลดลง 50 เปอรเซนต ระบาดรุนแรงในสภาพอากาศแหง แลง ฝนทิ้งชว งเวลานานเกนิ 15 วัน การปอ งกนั จาํ กดั หากพบพนื้ ทีใ่ บเสียหายเกินรอยละ 30 ใหใ ชสาร เคมตี ามคาํ แนะนําหรือในกรณที ีร่ ะบาดไมรนุ แรง ใชสารสกัดสะเดา 4.3.2 เพลี้ยออ นถว่ั เปน แมลงขนาดเล็ก ยาวประมาณ 1 มลิ ลเิ มตร เคลอื่ นไหวชา หัวมีขนาดเล็กกวาสว นอก สวนทองโต ลักษณะอว นปอม ตวั ออ นและตวั เต็มวัยดดู กนิ นํา้ เล้ยี งตามยอด ใบออ น ดอก ทําใหยอดออ นใบออ นหงิกงอ ดอกรว ง การปองกนั กาํ จัด ใชสารเคมตี ามคาํ แนะนํา 4.3.3 เพลีย้ ไฟ เปนแมลงขนาดเลก็ ยาวไมเ กนิ 2 มลิ ลเิ มตร สีนํา้ ตาล สีนํา้ ตาลดํา เคลอื่ นไหววอ งไว ดูดกนิ นํ้าเล้ยี งตามยอดออ น ใบและดอก ทําใหใ บหงกิ งอ บิดเบี้ยว ถา ระบาดรุนแรงยอดไหมและตาย ระบาดรุนแรงในสภาพอากาศแหงแลง ฝนทง้ิ ชว งนานเกิน 15 วนั การปอ งกันกาํ จดั ใชส ารเคมีตามคําแนะนํา 4.3.4 เพลีย้ จ๊ักจ่นั ลําตัวยาวประมาณ 3 มิลลเิ มตร สเี ขียวออ น ตาสีขาว บนิ ไดว อ งไว ตัวออนและตวั เต็มวัยจะดูดนํ้าเลยี้ งบรเิ วณใตใ บทําใหใ บเหลือง ปลายใบ เปนรูปตวั วี ถา ระบาดรนุ แรงมากใบจะไหมเ ปน สีนา้ํ ตาลและรวง ระบาดรุนแรงในสภาพ อากาศแหงแลง ฝนท้งิ ชวงเวลานานเกนิ 15 วนั การปองกนั กาํ จัด ใชสารเคมีตามคําแนะนาํ 4.3.3 เสี้ยนดิน (แมงแดง) เปนมดชนิดหนึง่ ขนาดเทา มดแดง ทําลายฝก ถวั่ ลสิ ง โดยการเจาะเปลอื กถ่วั เปน รู แลวกดั กินเมล็ดในฝก หลงั จากนั้นจะนําดนิ เขาไปไว ในฝก การปอ งกันกําจัด ทุกพนื้ ทขี่ นาด 2 ไรใหตรวจสอบการระบาดของเสีย้ นดิน การตรวจสอบใชวัสดลุ อ เชน ผลมะพราวหรือแตงโมผา ซีกโดยวางในตาํ แหนงทกุ มมุ และ จดุ ก่ึงกลางของแปลงปลูกรวม 5 จดุ 65

การปองกันจาํ กดั ใชสารเคมตี ามคําแนะนาํ เม่ือถวั่ อายุ 30 - 35 วนั และ 60-65 วนั 4.4 สตั วศตั รู หนู ขุดกนิ ถัว่ ลสิ งต้งั แตร ะยะฝกออ น โดยกินทั้งฝก เมอื่ ถงึ ระยะเก็บเกีย่ ว หนจู ะกัดกินเฉพาะเมลด็ ในและทง้ิ ซากเปลอื กไว การปอ งกนั กาํ จดั ใชก รงดกั หรอื กบั ดกั รว มกบั การใชเ หยอ่ื พษิ ตามคาํ แนะนาํ 5. การปฏบิ ัติกอ นและหลังการเกบ็ เกี่ยว 5.1 การเก็บเกย่ี ว 5.1.1 การนบั อายุภายใตส ภาพแวดลอมที่เหมาะสม ถ่ัวลิสงแตล ะพันธุ ใชเวลาในการเจริญเติบโตจนถึงใหผลผลิตคอนขางคงท่ีโดยท่ัวไปถั่วลิสงท่ีปลูกใน ประเทศไทยจะมีอายกุ ารเก็บเก่ยี วฝก สด (เพ่อื การบริโภคในรูปถัว่ ตม) ประมาณ 85 - 95 วนั และเก็บเกยี่ วฝกแหง ทอ่ี ายุประมาณ 95 - 110 วัน 5.1.2 สงั เกตสีของเปลือกฝกดา นใน ทําการสุม ถอนตน ถ่ัวลิสงหลายๆ จุด ในแปลง มาตรวจนับ หากมเี ปอรเซ็นตของฝก ท่ีมีเปลอื กฝก ดา นในเปลย่ี นสเี ปน สนี ํา้ ตาล มากกวา 60 เปอรเ ซน็ ต แสดงวา ถึงอายเุ กบ็ เก่ยี วที่เหมาะสม 5.1.3 การถอนหรอื ขดุ ตน ถว่ั ลสิ ง ในขณะทด่ี นิ มคี วามชน้ื จะถอนตน ถว่ั ไดง า ย ถา ดนิ แหง ตอ งใชจ อบหรือเครือ่ งมอื ชวยขุด การใชเ ครอื่ งมอื ตองระมัดระวัง ไมใ หฝ กถั่ว เกิดรอยแผลหรอื เกิดนอยทสี่ ุด 5.1.4 การปลิดฝกถ่ัว - ปลิดดวยมอื เลือกเฉพาะฝกท่ีสมบรู ณ ไมเ ปน โรค ไมถกู แมลง ทําลายและไมม รี อยแผลจากการเก็บเกี่ยว เพ่ือใหไดผ ลผลติ ท่ีมีคุณภาพ - ใชเครือ่ งปลดิ ตอ งปรับความเร็วเครือ่ งใหเ หมาะสม อยา ใหเ กดิ ความเสียหายกับฝก และตอ งมขี น้ั ตอนการเลอื กฝก เสีย ฝก เนา ฝกทเ่ี ปนแผลออก 5.1.5 การตาก ตากฝกถวั่ บนตะแกรงตาขาย แคร หรือผาใบ โดยไมใ หฝก ถว่ั สมั ผสั พืน้ ดนิ และใหมคี วามหนาของกอง ไมเ กนิ 5 เซนตเิ มตร พลิกกลบั กองถวั่ 2 - 3 ครง้ั /วนั เพ่ือใหถ ั่วแหง เร็วขึน้ และแหงสมา่ํ เสมอทัง้ กอง ถาเปนชว งแดดจดั ตาก 3 - 5 วนั เพื่อลดความชน้ื ใหต ่ํากวา 10 เปอรเ ซ็นต 5.2 การปฏบิ ตั หิ ลังการเก็บเกี่ยว 5.2.1 ฝก ถว่ั ทจ่ี ะนาํ ไปเกบ็ ตอ งผา นการทาํ ความสะอาดใหไ มม ฝี นุ เศษซากพชื คดั ฝก เนา และไมสมบรู ณอ อกใหห มด 5.2.2 บรรจฝุ กถัว่ ในกระสอบปา นท่ีมีการถายเทอากาศไดด ี 5.2.3 โรงเกบ็ ทเ่ี ปนอาคารโปรง อากาศถา ยเทไดด ี ปองกันความช้ืนจาก ละอองฝน ไมม ีมอด หนู หรือสัตวเลี้ยงรบกวน มวี ัสดรุ องไมใหก ระสอบถ่วั สมั ผัสพ้ืน โดยตรง 66

ขอมูลสภาพแวดลอมท่ีเหมาะสมตอ การเจรญิ เติบโตของถวั่ ลสิ ง สภาพแวดลอ ม ความเหมาะสม ขอจาํ กดั 1. สภาพภมู อิ ากาศ - อุณหภมู ทิ เ่ี หมาะสมสาํ หรบั การเจรญิ เติบโตของถ่ัวลสิ งระหวาง - อณุ หภูมิ (เซลเซยี ส) กลางคนื กบั กลางวนั ควรอยรู ะหวาง 25 – 35 องศาเซลเซยี ส - แสงแดด - มแี สงแดดจัด 2. สภาพพ้นื ที่ - ความสงู จากระดบั นา้ํ ทะเล - ความสูงจากระดับน้ําทะเล ไมเกิน 800 เมตร - ไมท นตอ สภาพนา้ํ ทวมขัง - ความลาดเอยี งของพน้ื ที่ - ความลาดเอียงไมเกิน 5 เปอรเ ซน็ ต 3. สภาพดิน - ลกั ษณะของเนอื้ ดนิ - ดินรว น ดนิ รวนปนทราย ดนิ รว นเหนยี วปนทราย - ดินเหนียวไมเ หมาะสมกบั การปลกู ถัว่ ลสิ ง - การระบายน้าํ และถา ยเทอากาศดี สามารถอมุ นา้ํ ไดด ี - ความลกึ ของหนา ดนิ - ความเปนกรด-ดาง (pH) - ระดบั หนา ดนิ ลกึ ประมาณ 30 เซนติเมตร - ปริมาณอินทรยี วัตถุ - คาความเปนกรดดางระหวา ง 5.5-6.5 ไมเ ปนดนิ เคม็ - ความอดุ มสมบูรณ ปานกลาง มีอินทรยี วตั ถไุ มตํ่ากวา 1.5 % 4. ปรมิ าณธาตุอาหารในดนิ - อาหารธาตุหลัก N P K - ดินเหนียว ดนิ รวนเหนยี วใสป ุยทมี่ ีธาตอุ าหาร N-P-K อัตรา 0-6-0 หรือ 3-9-0 กก./ไร - ดินรวน ดนิ รวนปนทราย ใสปุย ท่มี ธี าตุอาหาร N-P-K อัตรา 3-6-3 หรอื 3-9-6 กก./ไร หรอื 12-24-12 อตั รา 25 กก./ไร 67

แนวทางการเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการผลติ และแหลง สบื คนขอ มูลเพม่ิ เตมิ แนวทางการเพม่ิ ประสิทธภิ าพการผลิต 1. ในดนิ ที่ปลกู ถ่วั ลสิ ง มปี ริมาณแคลเซียมต่ํากวา 120 สวนในลานสวน ใหห วา น ปนู ขาวอัตรา 100-200 กโิ ลกรมั ตอไร แลว พรวนดนิ กอ นปลูก หรือโรยยิปซ่มั ตรงโคนตน ชว งถ่วั ลิสงออกดอก (30-40 วนั ) อัตรา 50 กิโลกรมั ตอ ไร เพือ่ ลดเปอรเ ซ็นตเ มลด็ ลบี และเพิม่ เปอรเ ซน็ ตก ารกะเทาะ 2. ใชพ นั ธุดีที่ปลูกไมเ กิน 3 ฤดู และเลอื กพันธถุ วั่ ลสิ ง ใหเ หมาะสมกับสภาพพ้นื ที่ ดนิ ฟา อากาศ และตรงความตอ งการตลาด เชน ดินที่มีความอดุ มสมบรูณตํา่ ใหเ ลอื กปลูก ถ่วั ลิสงทม่ี เี มล็ดขนาดกลาง เชน พนั ธุไ ทนาน9 ขอนแกน4 ขอนแกน 5 สภาพที่มีฝนทง้ั ชวง และคอนขางแลง ควรเลอื กพันธุท ่ีมีอายุสั้น เชน สข.38 ลําปาง ขอนแกน 60-2 3. การพรวนดนิ กลบโคนถ่วั ลสิ ง ชวงอายุ 30 - 40 วนั หลังงอก ซงึ่ เปน ชว งถว่ั ลสิ ง หลังออกดอกกอนแทงเข็มใหพรวนดินขางแถวถั่วลิสงและพูนโคนออกจากโคนตนเต้ียๆ ไมพรวนดนิ กลบกิง่ แรก 4. ถัว่ ลิสงทมี่ รี ะยะพักตัว เชน พนั ธุข อนแกน 60 - 3 (ถั่วลิสงเมลด็ โตจมั โบ) ตอ งทาํ ลายระยะพกั ตวั โดยใชสาร อเี ทรล ความเขมขน 3% ปริมาณ 9.5 มลิ ลลิ ติ รตอนํ้า 1 ลิตร พรมเมล็ดพนั ธพุ อหมาดปลอยทิง้ ไว 1 วันกอ นปลกู 5. หลีกเล่ยี งการปนเปอนสารอะฟลาทอกซนิ ซึง่ เกดิ จากเชือ้ ราในเมล็ดถว่ั ลสิ ง 5.1 ไมป ลกู ถว่ั ลสิ งตอ เนอ่ื งในพน้ื ทเ่ี ดมิ ทกุ ปค วรปลกู สลบั ดว ยขา งฟา ง ถว่ั เหลอื ง หรือถัว่ เขียว 5.2 ไมค วรปลูกถั่วลิสงตามขา วโพดเลีย้ งสตั ว 5.3 อยา ใหถ่วั ลสิ งขาดน้าํ ในชว งท่ีออกดอก แทงเขม็ และพฒั นาเปน ฝก ใหน ้ํา สม่าํ เสมอ หากถ่ัวลสิ งขาดนา้ํ จะทําใหถ ว่ั ลสิ งออ นแอตอการเขา ทาํ ลายของเชือ้ รา และผลผลิตลดลง 5.4 หลังกะเทาะเปลอื ก รีบคัดแยกเมลด็ ทีถ่ ูกแมลงศัตรูเขาทาํ ลาย มเี ชอื้ รา เมลด็ เสีย เมล็ดเนาออกทันที หา มใชเ มล็ดท่ีคัดทงิ้ ไปบริโภคหรือเล้ียงสัตวอยา งเด็ดขาด แหลง สบื คนขอ มลู เพิ่มเตมิ กรมวชิ าการเกษตร 2547. เกษตรดที ีเ่ หมาะสมสาํ หรับถว่ั ลิสง. โรงพิมพชมุ นุมสหกรณ การเกษตรแหง ประเทศไทย จํากัด กรมสง เสรมิ การเกษตร 2545. คมู อื ประกอบการเรยี นรูก ารปฏบิ ัตดิ แู ลรกั ษาและ จดั การศัตรูถว่ั ลิสงแบบผสมผสาน. โรงพิมพชมุ นมุ สหกรณก ารเกษตรแหง ประเทศไทย จํากดั กรมสงเสริมการเกษตร 2551. คมู อื นักวชิ าการสงเสรมิ การเกษตร. ถว่ั ลิสง. ฝายโรงพิมพ สํานกั พัฒนาการถา ยทอดเทคโนโลยี กรมสงเสรมิ การเกษตร 68

ถ่ัวเขยี ว ขนั้ ตอนการปลกู และการดูแลรักษาถวั่ เขยี ว การเตรียมการ 20 วัน 30 วนั 40 วัน 50 วนั 60 วนั 70 วัน 80 วนั การเตรียมดนิ - สภาพ การปลกู การใสป ยุ การใหน้ํา การกําจัด การเกบ็ เกย่ี ว ไร/ สภาพนาอาศยั นํา้ ชลประทาน 1. ปลูกแบบหยอดใสปยุ - การปลกู แบบโรย - ใหน ้ําทันทหี ลังปลูก และหลังการใส วชั พืช ถ่วั เขยี วผวิ มัน ใชม อื - ไถ 1 ครงั้ ตากดิน 7-10 วนั ไถ รองกนหลุมสตู ร12-24- เปนแถวกําจดั วัชพืช ปุยทกุ ครง้ั หลงั จากน้ันใหน ํ้าทกุ 10- ปลิดฝกแกท ่ีเปลย่ี นเปน พรวน1 ครงั้ คราดเกบ็ เศษซาก 12 หรอื 15-15-15 อัตรา และถอนแยกใหเ หลือ 14 วนั - กาํ จดั วชั พชื โดยวิธี สีดาํ ถัว่ เขียวผิวมันเปน วชั พืชออกจากแปลง 25กก/ไร ระยะปลูก 50 x จาํ นวนตน 15-20 ตน ตอ - อยาใหถ วั่ เขียวขาดนา้ํ ในชวงปลาย กล 1-2 ครัง้ เมอื่ ถัว่ พืชทีม่ กี ารสกุ แกข องฝก - สภาพนาอาศัยความชื้นใน 20 ซม. หยอดเมล็ด 2-3 เมตรแลว ใสป ุยเคมีสตู ร ระยะออกดอกจนถึงติดฝก (35-40 เขียวมอี ายุ 14 และ ไมพรอมกนั เก็บเก่ียว 2 ดนิ ไถดนิ 1-2 คร้ัง ถา ปลกู เมล็ด/หลมุ 12-24-12 หรอื 15-15- วัน) 28 วนั ครง้ั คร้ังแรกสกุ แก 80 แบบหวานใหห วา นปยุ 12-24- 2. ปลูกแบบโรยเปน แถว 15อัตรา 25 กก./ไรโ ดย - ในกรณีทีม่ ีน้ําจาํ กัด ควรใชวสั ดุ เชน % ครัง้ ท่ี 2 หลังจากเก็บ 12หรือ15-15-15อัตรา 25 กก/ ระยะระหวา งแถว 40- โรยขางแถวหลังถ่ัวเขียว ฟางขาว คลมุ ดิน เพื่อลดความรุนแรง เกย่ี วครง้ั แรก 14 วัน ไรตอนเตรียมดนิ 50ซม. ระหวา งตน 5-6 ซม ถว่ั เขียวผิวดาํ จะเก็บ - ดนิ pH ต่าํ กวา 7หวานปูนขาว 3. ปลูกแบบหวานให การปฏบิ ตั ิหลงั การเกบ็ เก่ยี ว เก่ียวเม่อื มฝี ก สุกแก 90 50 – 100 กก. หวานเมลด็ ถ่วั เขยี ว 1. นาํ ฝกถั่วไปผึง่ แดด เพื่อใหความชนื้ ฝก และเมลด็ ลดลงเหลอื 11-13 % % โดยใชเ คียวเก่ยี วทงั้ ตน - ดินอินทรยี วตั ถุตํา่ กวา 1.5 % กระจายพอดีแลวพรวน 2. นาํ เมลด็ ทีน่ วดไดทําความสะอาดดว ยวิธีรอ นและฝด แลว นาํ ไปผึง่ แดดเพ่ือลดความชืน้ ให แลวมดั รวมเปนกองๆไว หวานปุยคอก และปยุ หมัก 500- กลบทนั ที เหลือประมาณ 11-12 % แลวบรรจุเมลด็ ในกระสอบปา นท่สี ะอาด 1,000 กก./ไร 4. คลมุ ดินดวยฟางขาว หลังปลูกทนั ที เพอ่ื ปอ งกัน โรคและศตั รทู ่ีสําคัญ การเตรยี มพันธุ วชั พชื ขึ้น - แมลงศตั รู หนอนแมลงวันเจาะลําตน หนอนกระทผู ัก เพล้ียไฟ หนอนเจาะสมอฝาย หนอนเจาะฝก มารคู า 1. ความงอกไมต า่ํ กวา80% 5. ใหนํา้ ทนั ทหี ลงั ปลกู - โรค ใบจุดสีน้ําตาล ราแปง โรครากเนา ดํา โรครากปม ปอ งกนั คลุกเมลด็ พันธุด วยสารปองกัน ปลูกพชื หมนุ เวยี น พนสาร 2. ใชเมล็ดพนั ธุ 3-8 กก./ไรคลกุ เคมี ปลกู พันธตุ า นทาน เชื้อไรโซเบียม 200 กรมั - สตั วศัตรู หนูปองกันกําจัดโดยใชกับดกั หรือเหยอ่ื พิษ

เทคนิคการปลูกและดูแลรักษาถ่ัวเขียว 1. การเตรียมการกอ นปลกู 1.1 การเตรยี มดิน - ในสภาพไร ปลกู ในฤดู ฝนเตรยี มดนิ โดยไถผานสาม 1 ครัง้ ลึก ง20 - 30 เซนติเมตร ตากดิน 7 - 10 วัน พรวนดว ยผานเจ็ด 1 ครัง้ แลวคราด เกบ็ เศษซาก ราก เหงา หวั และไหล ของ วชั พชื ขามปออกจากแปลง - ในสภาพนา การปลูกใน ฤดแู ลง มี 2 วิธี - อาศยั นํ้าชลประทาน ใหเ ตรียมดนิ ปลูกเชนเดยี วกบั ในฤดฝู น - อาศัยความชื้นในดิน และไมม กี ารใหนาํ้ ชลประทาน ตอ งเตรียมดนิ ให ละเอยี ด โดยไถดนิ 1 - 2 ครั้ง ใหห วานปยุ สูตร 12–24-12 หรือ 15-15-15 อตั รา 25 กิโลกรัมตอไร หวานเมลด็ แลวพรวนกลบ ในดนิ ทีม่ ีคา pH ต่าํ กวา 7 ใหห วานปนู ขาว ประมาณ 50 - 100 กโิ ลกรัมตอไรก อ นปลกู 15 วนั แลว ไถกลบขณะเตรียมแปลงปลกู ถาดินมีอนิ ทรยี วตั ถตุ า่ํ กวา 1.5 เปอรเซน็ ต หลงั จากไถพรวนดนิ ใหห วานปุยคอกหรือปุย หมกั ทีย่ อยสลายแลวอัตรา 500 - 1,000 กโิ ลกรัมตอไร 1.2 การเตรยี มพนั ธุ ปลกู ดวยเมล็ดท่มี คี วามงอกมากกวา 80 เปอรเซน็ ต จาํ นวน 3-8 กิโลกรมั ตอไรข ้นึ อยกู ับวธิ ีการปลูก กอนปลูกนําเมลด็ พันธคุ ลกุ ดว ยปยุ ชวี ภาพไรโซเบยี มสําหรบั ถ่วั เขยี วอัตรา 200 กรมั (1 ถุงตอ เมลด็ พนั ธปุ ลกู 1ไร) โดยเฉพาะ ในพนื้ ท่ีที่ไมเ คยปลูกถั่วเขยี วมากอ น 2. การปลกู 2.1 ฤดปู ลกู 2.1.1 ตนฤดูฝน ปลูกชว งตนเดือนเมษายน - กรกฎาคม 2.1.2 ปลายฤดูฝน ปลูกชวงเดือนสงิ หาคม - ตลุ าคม 2.1.3 ฤดแู ลง ปลูกในชว งเดือนธันวาคม - กุมภาพนั ธ เปน การปลกู ในพื้นท่ี นาหลังเกีย่ วขาว 2.2 วิธปี ลกู 2.2.1 ปลกู วธิ หี ยอด การปลกู วธิ นี ้ี ใหใ สป ยุ สตู ร12–24-12 หรอื 15-15-15 อตั รา 25 กโิ ลกรมั ตอไร โดยเปดรอ งลกึ 6 - 8 นว้ิ โรยปยุ ทเี่ ตรยี มไวก น หลมุ แลว กลบ ดว ยดนิ แลว หยอดเมลด็ ขา งบนใหล กึ ใตผ วิ ดนิ ประมาณ 1 - 2 นวิ้ ใชด นิ กลบบางๆ โดย ใชร ะยะระหวา งแถว 50 เซนตเิ มตร ระยะ 70

ระหวา งหลมุ 20 เซนตเิ มตร จาํ นวน 2 - 3 ตน ตอ หลมุ ใชเ มลด็ อตั รา 3-4 กโิ ลกรมั ตอ ไร 2.2.2 ปลกู วธิ ีโรยเปน แถว ระยะระหวางแถว 40 - 50 เซนติเมตร ทํารอ งลกึ 5 - 7 น้ิว แลว โรยเมล็ดในรองใหเมลด็ หา งกนั ประมาณ 5-6 เซนตเิ มตรใหไ ดจํานวนตน 15 - 20 ตน ตอ เมตร ใชเ มลด็ พนั ธุ 5 - 6 กิโลกรัมตอไร 2.2.3 ปลูกแบบหวาน ใหหวา นใหเมล็ดกระจายพอดใี ชเ มล็ดอตั รา 6 - 8 กิโลกรัมตอ ไร หลงั หวานเมลด็ พรวนกลบทนั ที การปลูกถ่ัวเขียวแบบหวานในฤดูฝนควรขุดรองระบายนํ้าเพื่อกันนํ้าทวม แปลง 3. การดูแลรักษา 3.1 การใสป ุย 3.1.1 สตู รปุย สูตรท่ีเหมาะสม คอื สตู ร 3 - 9 - 6 กิโลกรัมตอ ไร ของ กNา-รPป2ลOกู 5-โKด2ยOวิธหีโรรือยเปปุยน สแูตถรว1ใ2ห-ใ2ส4ป-1ยุ 2เมห่ือรถือ่ัวเ1ข5ยี -ว1ง5อ-1ก51อ0-ตั 1ร4า 25 กิโลกรมั ตอไร วัน หลงั กาํ จดั วัชพชื และถอน แยกใหเหลอื จาํ นวนตน 15-20 ตน /เมตร แลว โดยโรยปยุ ขางแถวปลกู แลวพรวนดนิ กลบ โคนตน 3.2 การใหน าํ้ การปลูกในฤดูแลงโดยการใชน้ําชลประทานใหนํ้าตลอดฤดูปลูกประมาณ 3-4 คร้ัง อยา ใหน้ําทวมแปลงและดนิ แฉะเกินไป การใหน้ําแตล ะครง้ั ไมควรหางกนั เกิน 14 วันตอครงั้ ไมควรปลอ ยใหด ินแหงเกนิ ไป และหยดุ ใหน ้ําเม่อื ถ่ัวเขียวเจริญเติบโตถงึ ระยะ ฝกแรกเปลยี่ นเปนสดี ํา การปลกู ในฤดฝู น หากมฝี นทง้ิ ชว งเกนิ 10 - 14 วนั ควรมกี ารใหน ํา้ โดย เฉพาะอยา งยิง่ ในระยะออกดอกถึงระยะติดเมล็ด ในกรณที ี่มนี ้าํ จาํ กัด ควรใชว สั ดุ เชน ฟางขาวคลมุ ดนิ เพ่อื ลดความรุนแรง ของการขาดนาํ้ 4. ศัตรพู ืชที่สาํ คัญ 4.1 วชั พชื 4.1.1 วชั พืชฤดูเดยี ว เปน วัชพืชท่คี รบวงจรชวี ติ ภายในฤดูเดียว สว นมาก ขยายพนั ธดุ ว ยเมล็ด - ประเภทใบแคบ ไดแ ก หญานกสชี มพู หญาตนี นก หญา ตีนกา และหญา ดอกขาว - ประเภทใบกวา ง ไดแ ก ผกั ยาง ผกั โขม ปอวัชพชื ผักเบี้ยหนิ สาบ แรงสาบกา ผักคราดหัวแหวน หญากํามะหยี่ เทยี นนา และกะเม็ง 4.1.2 วัชพืชขามป เปนวชั พืชท่สี วนมากขยายพันธดุ ว ยตน ราก เหงา หวั และไหลไดดีกวาการขยายพันธดุ วยเมล็ด 71

- ประเภทใบแคบ เชน หญา แพรก หญา ตีนติด และหญาชนั กาด เปน ตน - ประเภทใบกวาง เชน ไมยราบเครือ สาบเสอื และตดหมตู ดหมา เปน ตน - ประเภทกก เชน แหวหมู และกกดอกตุม การปองกนั กาํ จัด - กําจัดวัชพชื โดยวิธกี ลใชแรงงานหรือเครือ่ งจักรกล 1 - 2 ครั้ง เม่อื ถ่วั เขยี วอายุ 10 - 14 วัน และ 28 - 30 วัน - กรณีที่การปองกันกําจัดวัชพืชดวยวิธีดังกลาวขางตนไมมีประสิทธิภาพ เพยี งพอ อาจเลอื กใชวิธพี น สารกาํ จดั วชั พชื 4.2 โรค 4.2.1 โรคใบจดุ สีน้ําตาล เกิดจากเชือ้ รา ลักษณะอาการ พบแผลบนใบ เปนจุดสีนํ้าตาลคอนขางกลม ขอบ แผลไมสมํ่าเสมอตรงกลางแผลมสี ีเทา ขนาด 1 - 5 มลิ ลิเมตร ทําใหใ บเหลืองแหง และรวงหลน ไป ในชว งระยะออกดอกถงึ เรม่ิ ติดฝก ถว่ั เขียว เปนโรคใบจดุ สนี า้ํ ตาลมากและรนุ แรงมากข้ึนในระยะกอ นเก็บเก่ียว การปองกันกําจัด ใชพันธตุ านทานเชน ชยั นาท36 กาํ แพงแสน1 ปลกู พชื หมนุ เวยี นใชส ารเคมตี ามคาํ แนะนาํ 4.2.2 โรคราแปง เกิดจากเชอื้ ราลักษณะอาการ สว นทถี่ กู ทาํ ลายจะมจี ดุ แผลสเี ทาบนใบ จดุ แผลจะมีสขี าว คลา ยแปง ในระยะตอ มา สามารถพบไดต้ังแตเ ร่มิ งอก และรุนแรงเมื่อถ่ัวเขียวเร่ิมออกดอกจนถึงระยะฝกแกถาเปนมากใบจะรวงผลผลิตลดลง มากกวา 40 เปอรเ ซ็นต ชว งเวลาระบาดในชว งอากาศแหง-เยน็ การปองกนั กําจัด ใชพ นั ธตุ านทาน เชน พันธุกาํ แพงแสน1 กําแพงแสน 2 ชัยนาท 60 ใชส ารเคมตี ามคําแนะนํา 4.2.3 โรครากเนา ดาํ เกดิ จากเชอื้ รา ลักษณะอาการรากและลําตน เนา ดํา พบเมด็ เล็กๆสดี ําจาํ นวนมากอยูท่ี ราก ตอมาใบเริ่มเหลืองแหง ตาย อาการจะลามจาก สว นลา งขน้ึ สสู วนบนของลาํ ตน และตนพืชจะยืนแหงตาย เช้อื นสี้ ามารถตดิ ไปกบั เมล็ด พบการระบาดของโรคเนาดาํ ในทกุ ระยะการเจริญเตบิ โตและทุกสวนของถว่ั เขยี ว ชวงการ ระบาดพบระบาดมากในฤดฝู น โดยเฉพาะในสภาวะทีฝ่ นท้ิงชว งนาน 14 - 21 วนั การปองกนั กาํ จัด ใชเ มลด็ พนั ธุป ราศจากโรค คลุกเมล็ดดว ยสารเคมี กอ นปลูก 4.2.3 โรครากปม เกิดจากไสเดอื นฝอยรากปม ตน ถว่ั เขยี วมกี ารเจริญ เติบโตทางลาํ ตนและใบนอ ยกวาตน ปกติ ใบเหลืองซดี คลา ยอาการขาดธาตอุ าหาร รากของถั่วเขียวบวมพองโตเปนปมท้ังสวนของรากฝอยและรากใหญบริเวณโคนตน ระบาดมากในชวงฤดฝู น ในสภาพดินมคี วามช้นื สูง การปอ งกนั กําจัด ไถพรวนและตากดนิ กอ นปลกู ใชส ารปอ งกนั กาํ จดั ไสเดอื นฝอย 72

4.3 แมลงศตั รู 4.3.1 หนอนแมลงวันเจาะลําตน เปนแมลงสดี ําปก ใส ขนาดยาวไมเกิน 3 มิลลิเมตร จะวางไขบ นโคนกา น ใบ ของถ่ัว ไขฟ ก เปนตัวหนอนมีสีเหลอื งออนทอ่ี าจ ชอนไชไปในลาํ ตน สงั เกตยากทําใหต น ถัว่ ชะงกั การเจรญิ เตบิ โต ผลผลติ ลดลง ชว งการ ระบาดจะทุกระยะการเจรญิ เตบิ โต ต้ังแตถัว่ เขยี วเริ่มมีใบจรงิ คแู รกและเปน อนั ตรายมาก ทสี่ ดุ เมือถ่วั เขียวอยูในระยะตนกลา การปอ งกันกําจัด ใชส ารเคมตี ามคําแนะนํา 4.3.2 หนอนกระทผู กั ตัวหนอนมีสีเขียวหรือนํ้าตาลออนมีจุดสี ดําหรือนํ้าตาลไหมคาดตามขวางบนสัน หลัง และสวนบนทองปลอ งท่ี 7-8 หวั สี ดํากวาตวั เขา ทําลายถั่วเขียวโดยกดั กินใบ ดอก และฝกออ น ระยะทเ่ี สียหายมากคอื ระยะออกดอกและตดิ เมลด็ การปองกันกําจดั ตรวจแปลงอยางสมา่ํ เสมอ พบการ ทําลายของหนอนที่เพิ่งฟกออกจากไข ระยะแรกอยกู ันเปนกลมุ ใหเกบ็ ทําลาย หรือใชศัตรูธรรมชาติเชนแตนเบียนหนอน หรอื ใชไวรสั NPV ของหนอนกระทูผัก อตั ราตามคําแนะนํา 4.3.3 เพลีย้ ไฟ ตัวออ น และตัวเต็มวัยดูดกินน้ําเลี้ยงจากสวนออน ตา งๆ ของพืช ทําใหใ บหงกิ งอบิดเบยี้ ว แหง กรอบ ดอกรวง ติดฝกนอ ย ระบาด มากในฤดูแลง หรอื ในฤดฝู นท่ีเกดิ สภาวะฝนท้งิ ชว ง การปองกันกําจัด ใชสารเคมตี ามคาํ แนะนาํ 4.3.4 หนอนเจาะสมอฝาย ตัวเตม็ วยั เปนผเี ส้ือกลางคนื วางไขเ ปน ฟอง เดย่ี วตามสวนตางๆของพืช ตัว หนอนมสี ีตางกนั เขยี ว เหลือง เทา และน้ําตาลเขม มขี น รอบตัวและมีแถบสดี ําพาดยาวตามดา นขางลาํ ตวั ลักษณะการทําลายหนอนเขา ทําลาย ถั่วเขยี วโดยกดั กนิ ใบ ดอก เจาะฝกและกดั กินเมล็ดภายในฝก พบระบาดมากในฤดูแลง การปอ งกันกาํ จัด ตรวจแปลงอยางสม่ําเสมอ ใชไ วรัส NPV ของ หนอนเจาะสมอฝาย อตั ราตามคาํ แนะนาํ ใชศตั รูธรรมชาติ ไดแ ก แตนเบียนไข แมลงชาง ปกใส มวนตาโต มวนเพชฌฆาต และแมลงวนั เบียนกนขน 4.3.4 หนอนเจาะฝก มารคู า ตวั เตม็ วยั เปน ผเี สอ้ื กลางคนื จะวางไขท กี่ ลบี ดอก ตัวหนอนมีสีขาวและขาวเหลือง มีจุดสีน้ําตาลดําเปนคูบนสวนหลังของลําตัว ทกุ ปลอ ง การทาํ ลายเขา ตงั้ แตร ะยะออกดอกจนถงึ ฝก แกโ ดยกดั กนิ เกสรดอก และเมลด็ ในฝก 73

การปอ งกนั กําจัด เม่อื ตนถัว่ อยูในระยะตดิ ดอกและติดฝกออ น ควร พน ดวยสารเคมีตามคําแนะนาํ ใชส ารสกัดเมลด็ สะเดาเขม ขน 4.4 สตั วศัตรู หนู จะทาํ ลายโดยขุดเมลด็ กนิ กอนงอก กัดตน ออน และเจาะกนิ เฉพาะ เมลด็ ออ นภายในฝก หนทู พ่ี บมหี ลายชนดิ ไดแก หนูพกุ ใหญ หนพู กุ เลก็ หนูนาใหญ หนนู าเล็ก หนบู า นทองขาว หนหู รง่ิ นาหางยาว และหนหู รงิ่ นาหางสนั้ เปน ตน ระบาดรุนแรงในฤดู แลง หลงั การทาํ นา โดยเฉพาะพน้ื ท่ีที่ไมม อี าหารอน่ื การปองกันกําจัด ใชกรงหรอื กบั ดักหรือเหยื่อพิษ 5. การปฏิบตั ิกอนและหลงั การเกบ็ เกย่ี ว 5.1 ระยะเก็บเก่ียวท่ีเหมาะสม ถ่วั เขยี วเปน พชื ทมี่ ีการสุกแกของฝกไมพรอม กัน อายุเกบ็ เกย่ี วของถัว่ เขยี ว ข้นึ อยูก ับพันธุ ความชน้ื ดนิ และสภาพภูมิอากาศ โดยทว่ั ไป จะเกบ็ เกย่ี ว 2 ครง้ั คร้งั แรกเมื่อถ่ัวเขยี วมีฝก สกุ แก 80 เปอรเ ซน็ ต และครง้ั ท่ี 2 หลังจาก เก็บเกย่ี วคร้ังแรกประมาณ 14 วัน 5.2 วธิ ีการเก็บเกยี่ ว ใชม อื ปลดิ ฝก แกท เ่ี ปลยี่ นเปน สีดํา 5.3 การปฏิบตั หิ ลงั การเกบ็ เก่ยี ว นาํ ฝก ถัว่ เขียว ไปผงึ่ แดดเพ่อื ใหค วามชน้ื ฝก และเมล็ดลดลงเหลอื ประมาณ 11 - 13 เปอรเซน็ ต การกะเทาะฝกถั่วเขียว บรรจุฝกในถุง หรอื กระสอบ ใชไ มท บุ หรอื กองฝก ถัว่ เขียวสงู ประมาณ 25 เซนตเิ มตร ใชร ถแทรคเตอร เลก็ ทป่ี ลอ ยลมยางรถใหออ น ยํา่ บนลานนวด ใชความเรว็ รอบของเครอ่ื งตา่ํ เพอ่ื ลดการ แตกหักของเมลด็ ทาํ ความสะอาดเมลด็ ดว ยวธิ ีรอนและฝด แลว นาํ เมล็ดไปผึง่ แดดเพอ่ื ลด ความช้นื เหลอื ประมาณ 11 - 12 เปอรเซ็นต บรรจุเมลด็ ในกระสอบปานทีส่ ะอาด เพอ่ื เก็บรกั ษาหรือสงจาํ หนาย 5.4 การเก็บรกั ษา โรงเกบ็ ตอ งเปน อาคารโปรงอากาศถา ยเทไดดี ปอ งกนั ความ เปยกชน้ื จากฝนและนํ้าทว มได ไมมแี มลง หนู สตั วเลอ้ื ยคลาน หรอื สตั วเ ลี้ยงเขา รบกวน ถาเปน พน้ื ซเี มนตใหหาวสั ดรุ องกระสอบปา น เชน ไมไผ หรอื แคร ทาํ ความสะอาดโรงเก็บ กอ นนาํ เมลด็ เขา เก็บรกั ษาทุกครั้ง และทําความสะอาดตลอดระยะเวลาท่ีเก็บรกั ษาอยาง สมํ่าเสมอตรวจสอบปริมาณแมลงและเมลด็ เสยี หายหากพบแมลงใหกาํ จัดตามคําแนะนาํ 74

ขอมลู สภาพแวดลอ มที่เหมาะสมตอการเจริญเติบโตของถวั่ เขยี ว สภาพแวดลอม ความเหมาะสม ขอจาํ กัด 1. สภาพภูมอิ ากาศ - อุณหภูมิ (เซลเซียส) - อุณหภมู ทิ เี่ หมาะสมตอการเจริญเติบโต อณุ หภูมิทส่ี งู หรอื ต่าํ เกนิ ไปมีผลตอการเจรญิ เตบิ โต และ ขบวนการสรีระวิทยาของ 25-35 องศาเซลเซยี ส ถวั่ เขียว เชน อุณหภมู ิต่าํ จะทําใหต น เติบโตชา ในชวงปลูก ถาอากาศมอี ณุ หภมู ิ ต่ํา 2. สภาพพืน้ ที่ กวา 9.9 องศาเซลเซยี ส จะทําใหเมลด็ ไมง อก และหากอุณหภมู ิสงู จะทําใหดอกรวง - ความลาดเอียงของพ้นื ท่ี การติดฝกนอ ย ผลผลติ ตาํ่ และเมล็ดมคี ณุ ภาพตา่ํ 3. สภาพดิน - ลกั ษณะของเน้ือดิน - เปน ท่ดี อนหรือท่ลี ุมทมี่ กี ารระบายนํา้ ดี น้ําไมทวมขงั และไม ถ่วั เขยี วเปน พชื ทไ่ี มทนตอ สภาพน้าํ ขงั - ความลกึ ของหนาดนิ แหงแลง - ความเปนกรด-ดา ง (pH) - มคี วามลาดเอยี งของพ้นื ท่ไี มเกิน รอยละ 3 - ปรมิ าณอินทรยี วตั ถุ 4. ความตองการธาตอุ าหารพืช - ดนิ รว น ดินรว นเหนียว ดนิ เหนยี ว หรอื ดนิ รว นเหนียวปนทราย ปุยชวี ภาพไรโซเบยี มเปน เชื้อจุลินทรียท่อี ยใู นปมรากของถ่ัวเขียวชว ยตรงึ ไนโตรเจน 5. สภาพนา้ํ - ระดับหนาดนิ ลกึ ไมน อ ยกวา 25 เซนตเิ มตร ในอากาศ ดงั นั้นกอนปลูกถั่วเขียวควรคลกุ เมลด็ พันธดุ ว ยปยุ ชีวภาพไรโซเบียมกอน - คุณภาพนาํ้ - คา ความเปน กรดเปนดางระหวาง 5.5-7.0 ปลกู - ปรมิ าณนา้ํ ท่ีตองการ - อนิ ทรยี วัตถไุ มต่ํากวา 1.5 % -ฟอสฟอรสั ทเ่ี ปนประโยชนม ากกวา 10 มิลลิกรมั /กโิ ลกรัม -โพแทสเซยี มทแี่ ลกเปลย่ี นไดมากกวา 60 มิลลิกรมั /กโิ ลกรมั - การระบายนํ้าและถายเทอากาศดี ผลกระทบจากการขาดน้าํ ท่ีมตี อผลผลิตขึ้นอยู กับชวงระยะเวลาของการเจรญิ - ปริมาณน้าํ ฝนกระจายสม่าํ เสมอ 500-1,000 มิลลิเมตรตอ ป เตบิ โตดงั น้ี - การปลกู ในฤดแู ลงโดยการใหน้ํา – ขาดน้ําในชว งการเจรญิ ทางลาํ ตน ผลผลิตลดลง รอยละ 25 – ขาดนํ้าในชวงเร่มิ ออกดอกถึงออกดอกเตม็ ที่ ผลผลติ ลดลง รอ ยละ 45 – ขาดนาํ้ ในชวงเร่มิ ตดิ ฝกผลผลติ ลดลง รอยละ 35 ขาดน้าํ ในชวงตดิ ฝก ถึงฝกแก ผลผลิตลดลง รอยละ 13 75

แนวทางการเพิม่ ประสิทธภิ าพการผลติ และแหลง สบื คนขอ มลู เพม่ิ เติม แนวทางการเพ่มิ ประสิทธภิ าพการผลิต 1. การเลือกพื้นที่ หลีกเลย่ี งพ้ืนทีท่ ี่มรี ะดบั ตาํ่ ดินเหนียวจัดระบายนา้ํ ไมดี เพราะ จะทําใหตน ถัว่ มกี ารเจรญิ เติบโตไมด ี ตนเตีย้ แคระแกรน็ แสดงอาการใบเหลืองและให ผลผลติ ตํา่ 2. การเตรยี มดนิ ปลูกถว่ั เขยี วทง้ั ฤดูฝนและฤดูแลง ควรวางแผนจัดระบบนํา้ ให เหมาะสม - ในสภาพดินไร อาศัยนา้ํ ฝน ควรปรับระดับหนา ดนิ ใหสมํา่ เสมอ และมีความ ลาดเอียงเลก็ นอย และตดั รองระบายน้ําเพอ่ื ใชร ะบายนํา้ ทมี่ ากเกินทงิ้ - ในสภาพดินนา เขตชลประทาน ควรเตรยี มดนิ แบบยกรองปลูก 3. การเตรียมดินปลูกถั่วเขียวตองเตรียมดินใหดีจะทําใหเมล็ดงอกงามไดเร็วและ ชวยกําจัดวชั พชื ถา ดินเปนกรดควรใสป ูนขาวหรือหนิ ฟอสเฟต 100 - 200 กโิ ลกรมั ตอไร โดยหวา นพรอมกบั การไถพรวนดนิ กอ นปลกู 10 - 15 วนั 4. ถา ดนิ มีอินทรยี วตั ถุต่ํากวา 1.5 เปอรเ ซ็นต หลงั จากไถพรวนดนิ ใหห วานปยุ คอก หรือปุยหมักทีย่ อ ยสลายแลว อตั รา 500 - 1,000 กโิ ลกรมั ตอ ไร 5. ถาในดนิ มีอินทรยี วตั ถมุ ากกวา 1.5 เปอรเ ซน็ ต ฟอสฟอรัสที่เปนประโยชน มากกวา 10 มิลลกิ รมั ตอกโิ ลกรัม และโพแทสเซียมท่แี ลกเปลย่ี นไดมากกวา 60 มลิ ลิกรมั ตอ กโิ ลกรมั ไมจ ําเปนตองใสปยุ เคมี 6. ถาในดินขาดธาตเุ หล็ก สว นใหญพ บในดนิ ดางสดี ํา เชน ดินชุดตาคลี อาการที่ พบคือ ใบยอดที่แตกออกมาใหมมีสีเหลอื งซีดแตเสน กลางใบยังคงมสี ีเขยี ว ถา ขาดรนุ แรง ใบเปล่ยี นเปน สเี หลอื งซีดจนเกอื บขาว ตนแคระแกร็น ผลผลิตลดลง หรือไมไดผ ลผลติ ให ใชพ ันธุท นทาน ไดแก พันธุชยั นาท36 และชัยนาท72 หรอื พนเหลก็ ซลั เฟต (ความเขม ขน 0.5%) อัตรา 3 กิโลกรัมตอ ไร พนเมอ่ื ตน ถั่วเขียวอายุ 20, 30 และ 40 วนั หลงั งอก 7. ใชเมล็ดพนั ธดุ ที ปี่ ลูกไมเกิน 3 ฤดู 8. คลุกเมลด็ พนั ธุถ่วั เขยี วดวยปุยชีวภาพไรโซเบยี มสําหรับถั่วเขียวอัตรา 1 ถุง (200 กรมั ) ตอ เมล็ดพนั ธุป ลกู 1 ไรกอนปลูก ในพนื้ ทท่ี ี่ไมเคยปลกู ถัว่ เขียวมากอน 9. การปลูกถ่ัวเขยี วในฤดูฝนนนั้ ควรปลกู เปน แถวจะดีกวาการหวา น เน่ืองจากใน ฤดูฝนมกั มปี ญ หาเรอื่ งวัชพชื ขน้ึ มาก การหวานทําใหก ําจัดวชั พืชในแปลงไดยาก 10. ในกรณที ่มี นี ้าํ จํากดั ควรใชว ัสดุ เชน ฟางขา วคลุมดนิ เพื่อลดความรนุ แรงของการ ขาดนาํ้ แหลงสบื คนขอมูลเพิ่มเติม นันทวรรณ สโรบล และปย ะอิศรา ขอดวงกลาง 2545. เทคโนโลยกี ารผลติ ถั่วเขียว ผวิ มันคุณภาพด.ี เอกสารเผยแพร กองสง เสรมิ พืชไรนา กรมสงเสรมิ การเกษตร กรมสง เสริมการเกษตร 2551. คมู อื นักวิชาการสง เสริมการเกษตรถ่วั เขียว. สํานักสงเสรมิ และจดั การสินคา เกษตร กรมสงเสรมิ การเกษตร 76

งา การเตรยี มการ 20 วนั ขนั้ ตอนการปลกู และการดแู ลรักษางา 120 วนั 140 วนั 40 วนั 60 วัน 80 วัน 100 วัน การเตรียมดนิ 1. ไถ 1 -2 คร้ัง ตากดนิ การปลูก การใสป ุย การใหน ํา้ การกาํ จัดวชั พชื การเกบ็ เกย่ี ว 7-10 วัน พรวน 1 คร้งั แลว - การปลกู แบบโรย - ดนิ ทรายหรอื ดินรว นปนทราย ใช การปลกู เดอื น 1. กาํ จดั วชั พชื ดว ย เกบ็ เก่ียวตามอายุของพันธุ คราดเกบ็ เศษซาก ราก เปนแถว ใชอัตราเมล็ด ปยุ สตู ร 16-16-8 อตั รา 30-40 กก./ไร ก.พ.ใหนา้ํ หลงั แรงงาน 2 คร้ัง เมื่อ หรอื สงั เกตฝกงาเปล่ยี นเปนสี เหงา หวั และไหลของวัชพชื ประมาณ 0.5 กก./ไร ขามปอ อกจากแปลง - การปลูกโดยวธิ หี วาน - ดนิ เหนยี วสแี ดง ใชป ยุ สตู ร 16-20-0 งอกทุก 7-15 15 วนั และ 30-40 วัน เหลืองประมาณ 80 % ของ 2. ดินอินทรยี วตั ถุตา่ํ ใสป ุย หวา นปุยตามดว ย หรือ 20-20-0 อตั รา 20-30 กก./ไร วัน จนถึงอายุ หลังงอก พ้ืนท่ีแลวตดั ตน งาใตฝ กลา งสุด คอก หรอื ปุยหมัก อัตรา เมลด็ พันธุอัตราเมล็ด - ดนิ เหนียวสีดําหรอื ดนิ รวนเหนยี ว 45 วนั หลงั ปลกู 2. ในกรณีกาํ จดั วัชพชื แลว มัดรวมกนั มดั ละ 10-20 สีน้ําตาล ใชปยุ สตู ร 21-0-0 อัตรา ดว ยแรงคน/เคร่ืองจกั ร ตน นํามดั งามาพิงกันไวก ลุมละ 1,000-1,500 กก./ไร แลว ประมาณ 1 กก./ไร แลว 20-30 กก./ไร ไมม ปี ระสิทธิภาพให 3-4 มัดบนลานตากซึ่งอาจปู พรวนกลบ คราดกลบ ใชสารพนกาํ จัดวชั พืช ผา ใบหรือผา ใยพลาสติกรองรบั 3. ดนิ ทมี่ ี pH ต่ํากวา 5.5 การปฎิบัติหลังการเกบ็ เก่ยี ว กอนหรอื หลงั ปลกู งา เมล็ดทจี่ ะรวงไว ตากแดด ใหหวา นปูนขาว 100-200 ตามคาํ แนะนาํ ประมาณ 5-7 แดด กก./ไร แลวพรวนกลบกอน - ทําความสะอาดเมลด็ โดยการฝด เพ่อื ใหเ ศษสิง่ เจอื ปน และเมล็ดลบี รวงทง้ิ ไป ปลูก 10-15 วัน - ลดความชืน้ ของเมล็ด โดยการตากแดดจดั 4-5 แดด ศัตรทู ่สี ําคญั และการปอ งกันกาํ จดั การเตรียมพันธุ เพื่อลดความช้ืนของเมลด็ ลง เหลือ 4-5 เปอรเ ซน็ ต โรคทีส่ าํ คัญ โรคเนาดาํ โรคใบไหมและลําตน เนา โรคเห่ยี ว - เมลด็ พนั ธตุ องมคี วามงอก แลว จึงบรรจถุ ุงเพอื่ เก็บรกั ษา หรอื จําหนาย การปอ งกนั กาํ จดั คลกุ เมลด็ ดว ยสารเคมกี อ นปลกู ใชพ นั ธตุ า นทาน ปลกู พชื หมนุ เวยี น ไมตํ่ากวา 80 %อตั ราเมล็ด - บรรจเุ มลด็ งาในกระสอบปา นที่ไมช ํารดุ สะอาด ตัด แมลงศัตรู หนอนหอ ใบงา หนอนผีเสื้อหัวกะโหลก เพลี้ยจักจนั่ มวนเขยี วขา ว ปลกู 0.5-1.0 กก./ไร แตง ปากกระสอบใหเรยี บรอ ย และเยบ็ ดว ยเชือกฟาง การปองกนั ใชพนั ธุตานทาน ใชส ารเคมี

เทคนคิ การปลูกและดแู ลรักษางา 1. การเตรยี มการกอ นปลกู 1.1 การเตรยี มดนิ การเตรียมดนิ ท่ีรว นซุยดีจะชว ยใหง างอกไดดแี ละสมํ่าเสมอ การไถพรวน จะ มากหรือนอ ยข้นึ กบั โครงสรา งและชนดิ ของเนอื้ ดิน และปริมาณวัชพืช - ไถ 1 - 2 คร้งั ตากดนิ 7 - 10 วัน พรวน 1 ครง้ั แลว คราดเกบ็ เศษซาก ราก เหงา หัว และไหลของวชั พชื ขามปอ อกจากแปลง - ถา ดินมอี ินทรียวตั ถุตาํ่ กวา 1 เปอรเ ซ็นต ใหห วานปุยคอกหรอื ปยุ หมกั ทยี่ อ ยสลายดีแลว อตั รา 1,000 - 1,500 กิโลกรัมตอ ไร แลวพรวนกลบ - ถา ดินมีคาความเปน กรดดา งตาํ่ กวา 5.5 ใหห วา นปนู ขาว อตั รา 100 - 200 กิโลกรมั ตอไร แลว พรวนกลบ กอนปลกู 10 - 15 วัน 1.2 การเตรียมพนั ธุ - ใชเ มล็ดพนั ธจุ ากแหลง และแปลงทสี่ ะอาดปราศจากการทําลาย ของโรค และแมลงศัตรู - เมล็ดพันธุตอ งมีความงอกไมต ่าํ กวา 80% อตั ราเมลด็ พันธุปลกู 0.5 - 1.0 กิโลกรมั ตอไรข ึ้นอยกู ับวธิ กี ารปลกู 2. การปลกู 2.1 วิธีปลกู - การปลกู แบบโรยเปน แถว ใชร ะยะแถว 30 ถงึ 50 เซนติเมตร เปดรองลกึ ประมาณ 5 เซนตเิ มตร ใช อัตราเมล็ดพนั ธปุ ระมาณ 0.5 กิโลกรัมตอไร โดยโรยเมลด็ ใหม ี จาํ นวนตน ประมาณ 10 - 20 ตนตอความยาวแถว 1 เมตร - การปลกู โดยวธิ หี วาน ใหห วานปุย (สูตรและอตั ราตามขอ 3.1) กอนแลว ตามดว ยหวานเมล็ด ใชอ ัตราเมล็ดประมาณ 1 กโิ ลกรมั ตอ ไร คราดกลบหลังหวาน 78

3. การดูแลรกั ษา 3.1 การใสป ุย - ดินทรายหรือดนิ รว นปนทราย ใชป ุย สตู ร 16-16-8 อตั รา 30 - 40 กโิ ลกรมั ตอ ไร - ดนิ เหนยี วสแี ดง ใชป ยุ สตู ร 16-20-0 หรือ 20-20-0 อตั รา 20 - 30 กโิ ลกรมั ตอไร - ดนิ เหนยี วสดี าํ หรอื ดนิ รวนเหนยี ว สนี ้ําตาล ใชปุยสตู ร 21-0-0 อตั รา 20- 30 กิโลกรัม ตอไร หรอื 46-0-0 อตั รา 10 - 15 กิโลกรมั ตอ ไร 3.2 วิธีการใส - ปลกู เปนแถว โดยโรยปุยขางแถวงา แลวพรวนดินกลบ เมอ่ื งา อายุ 15 - 20 วัน 3.3 การใหน ํา้ งาคอ นขางทนแลง ไมจ ําเปน ตองใหน ้าํ ถาดินมีความชืน้ สมํ่าเสมอ ตลอดฤดปู ลูก การปลกู งาในชวงเดอื น กมุ ภาพนั ธถ ึงมนี าคมในเขตทม่ี ีการใหน ้าํ แบบยกแปลงปลกู กอ นปลูกควรใหนาํ้ เพ่อื ดนิ มี ความช้ืนพอเพยี ง และใหน้ําหลงั งอกทุก 7 - 15 วัน ไมค วรใหง าขาดน้าํ ในชวงออกดอก และตดิ ฝก หรอื ประมาณ 30 - 45 วันหลงั ปลูก 4. ศัตรพู ืชท่ีสาํ คัญ 4.1 วัชพชื วชั พืชใบแคบ ไดแก หญาเจาชู หญา ปากควาย หญา ตนี นก หญา ตนี กา หญา ดอกขาว หญา ขจรจบดอกใหญ หญา ขจรจบดอกเลก็ วัชพชื ใบกวาง ไดแ ก ผักโขมหนาม ผกั โขมธรรมดา ผักเบีย้ หิน ผกั ปราบ กระดมุ ใบ สาบเสอื วัชพชื กก ไดแก กกทราย แหว หมู หนวดปลาดกุ การปอ งกันกําจัด - กาํ จัดวัชพืชดวยแรงงาน 1 - 2 ครั้ง เม่อื 15 วนั หรือ 30 - 40 วนั หลงั จากงางอก โดยใชจ อบดาย ระหวา งแถว และใชม อื ถอนระหวา งตน ตองระวังไมใหรากและตนของงากระทบกระเทอื น - หากการปองกันกําจัดวัชพืชโดยวิธี กลไมไดผ ล ควรพน สาร กําจดั วัชพชื ตามคําแนะนาํ หลีกเล่ยี งการพนโดยตรงไปที่ตน งา 4.2 โรค 4.2.1 โรคเนา ดํา เกิดจากเชอื้ รา ลักษณะอาการใบเร่มิ เหลืองซีดลงกวาปกติ ตนงาจะ 79

เห่ียวยืนตน ตาย รากและลาํ ตนเนาสนี ํ้าตาลเปลือกตดิ แนน กบั ลาํ ตน ฉีกดูภายในจะกลวง แฟบ บริเวณแผลมีเมล็ดสดี ํา คลา ยผงถานกระจายอยทู ่วั ไปโรคน้รี ะบาดไดตัง้ แตระยะ กลาจนถึงเกบ็ เก่ียว การปอ งกันกําจดั คลุกเมลด็ ดวยสารเคมตี ามคําแนะนํากอนปลกู ปลกู พืชหมุนเวยี นทไ่ี มเปน โรคนส้ี ลับกับการปลกู งา เผาทําลายเศษซากพชื ทีเ่ ปนโรค 4.2.2 โรคใบไหม เกดิ จากเชอื้ รา ลักษณะอาการ ใบไหมโดยเฉพาะเม่ือ มีความช้นื สูงฝนตกชกุ อาการไหมจ ะลุกลามสกู านใบ ลําตน ระยะการระบาด ทําความ เสียหายกับงาในระยะเติบโตถึงเกบ็ เกี่ยว การปอ งกันกําจัด ปลกู พันธุต านทาน ปลูกพชื หมุนเวยี น ใชสารเคมี ตามคําแนะนําคลุกเมลด็ กอ นปลกู 4.2.3 โรคเหี่ยวแบคทเี รยี ลักษณะอาการ ยอดเหีย่ วมรี อยประสีขาวใส เลก็ ๆ กระจายตามความยาวของลําตน เมื่อผา ลําตน ตามขวางดจู ะมีสนี าํ้ ตาลบรเิ วณรอย ตอของเปลือกกบั แกน เม่อื บีบจะมีน้ําเยม้ิ สขี าวขุน ตน งาจะเหย่ี วและยืนตน ตาย โดยท่ี รากยงั ปกตอิ ยู การระบาดทําความเสยี หายกับงาในระยะเติบโตถึงเก็บเก่ียว การปอ งกนั กาํ จดั ใชพ ันธุตานทาน 4.3.4. โรคยอดฝอย เกิดจากเชอื้ ไมโครพลาสมา โดยมีเพลีย้ จ๊กั จ่ันเปน แมลงพาหะ งาท่ีเปน โรคจะชะงักการเจริญเติบโต ใบมีขนาดเลก็ ยอดแตกเปนพุม ฝอย ดอกเปลีย่ นเปนสเี ขยี วคลายใบ ไมตดิ ฝก ระบาดกบั งาในระยะตน กลาถึงระยะเจริญเตบิ โต การปองกนั กําจดั ถอนและเผาทาํ ลายตน ท่เี ปนโรค หลีกเล่ยี งการปลกู ในชว งฤดูฝน ใชสารเคมีตามคาํ แนะนาํ 4.3 แมลงศัตรู 4.3.1หนอนหอ ใบงา เปนแมลงศัตรูที่สําคญั ที่สดุ ของงา จะเขาทําลายใน ทุกสว นและในทุกระยะ การเจรญิ เติบโต การปอ งกันกาํ จดั ใชพนั ธตุ า นทาน ใชสารเคมีตามคําแนะนาํ 4.3.2 หนอนผเี สอื้ หวั กะโหลก เกษตรกรเรยี กหนอนชนดิ น้วี า “หนอนแกว” ทาํ ความเสยี หายไดม าก และรวดเรว็ ทาํ ลายตงั้ แตง าเรมิ่ แตกใบจรงิ จนกระทงั่ ตดิ ดอกออกฝก การปอ งกนั กําจดั ใชพนั ธตุ านทาน ใชสารเคมตี ามคําแนะนํา 4.3.3 แมลงกินูนเลก็ แมลงชนิดนี้จะทํา ความเสยี หายใหกับตนงาไดอ ยา ง รวดเรว็ การระบาดข้ึนอยู กบั สภาพภูมอิ ากาศและสภาพพนื้ ที่ มกั ทําลายตนงา ในระยะติดฝก ในเวลากลางคนื สว นกลางวันจะหลบอยตู ามตนไมใหญรอบๆ แปลงปลกู การปองกนั กาํ จัด ถาพบแมลงกนิ ูนระบาดจะดกั จบั มาเปน อาหาร หรอื จําหนาย ซ่ึงเปน วิธีการกําจดั แมลงทไี่ ดผลดวี ิธีหน่ึง 4.3.4เพลยี้ จักจ่ัน ตัวออนและตัวเต็มวัยจะอาศยั ดูดกินน้าํ เลีย้ ง ตามใบ และยอดออ นของงา นอกจากนเ้ี พล้ยี จกั จ่นั ยงั เปน แมลงพาหะนาํ โรคยอดฝอยมาสงู า อีกดวย การปองกันกาํ จัด ใชสารเคมีตามคําแนะนาํ ฉดี พนในระยะกอ น ออกดอก 1-2 ครั้ง หา งกัน 7-10 วัน 80

4.3.5 มวนเขยี วขา ว พบมกี ารระบาดทว่ั ไปในแหลง ปลกู งา โดยเฉพาะ การปลูกงาตามหลังขา ว จะเกดิ การระบาดอยา งตอเนื่องและรนุ แรง เพราะเปน แมลงศตั รู ท่สี าํ คญั ของขา ว ตวั ออ นฟกใหมๆ จะอยูรวมกลุมกันดูดกนิ นํ้าเลย้ี ง งาบางตนจะมสี ีดํา ตลอดบริเวณยอด เนอื่ งจากตัวออนของมวนเขียวขาวรวมตัวกนั ดดู กินนา้ํ เลีย้ ง เมอื่ ตวั โต ข้ึนจะเรม่ิ แยกไปดูดกินน้ําเลี้ยงตามตน อ่นื ๆ ขณะท่งี าเร่มิ ออกดอกและติดฝก การปอ งกันกําจัด ใชสารเคมตี ามคําแนะนํา 4.3.6. มวนฝน เปนแมลงปากดูดขนาดเลก็ ทําลายโดยการดูดกนิ น้ําเล้ยี งจากยอด ใบออ น ดอก และฝก ออ น ถาถูกทําลายมาก ๆ ตนงาจะแสดงอาการ เหีย่ วเฉาได การปอ งกันกําจดั ใชพันธุตานทาน ใชสารสกดั สะเดาเขม ขน ใชส ารเคมีตามคําแนะนํา 5. การปฏิบัติกอ นและหลงั การเกบ็ เกย่ี ว เกบ็ เกี่ยวตามอายุของพันธทุ ปี่ ลูก (85 - 120 วนั ตามชนดิ พนั ธุ) โดยสังเกตจาก ฝก งา 2 ใน 3 ของลําตน เปลี่ยนเปนสเี หลอื งจํานวน 80 เปอรเซ็นตของพน้ื ทป่ี ลกู ในงาดาํ และงาแดง สามารถสงั เกตจากเมล็ดในฝก ท่ี 2 - 3 จากยอดเปล่ยี นเปน สนี ํา้ ตาล 5.1 วธิ ีการเกบ็ เกย่ี ว ตดั ตน งาใตฝ กลา งสดุ แลวมดั รวมกันมัดละ 10 - 20 ตน นํามัดงามาพิงกนั ไว กลุมละ 3 - 4 มดั บนลานตากทปี่ ผู า ใบหรือผา ใยพลาสติกรองรับเมล็ดที่จะรว งไว ตากแดด ประมาณ 5 - 7 แดด 5.2 การกะเทาะ 81

- นาํ งาทต่ี ากแหง แลว มาแคะเอาเมล็ดออกจากฝก หรอื ใชเ ครือ่ งนวดขา ว ทด่ี ัดแปลงมากะเทาะเมล็ดงา ออกจากฝก - ทําความสะอาดเมลด็ โดยการฝดดว ยกระดง เพือ่ ใหเศษส่ิงเจอื ปน และเมล็ดลบี รวงท้ิงไป - ลดความช้นื ของเมลด็ โดยการตากแดดจัดประมาณ 4-5 แดด เพอ่ื ลด ความช้ืนของเมลด็ ลง เหลือประมาณ 4-5 เปอรเ ซ็นต แลวจงึ บรรจุถงุ เพื่อเกบ็ รกั ษา หรือจําหนาย - บรรจุเมล็ดงาในกระสอบปา นทไ่ี มชํารดุ สะอาด ปากกระสอบตดั แตง ใหเรียบรอ ย และเยบ็ ปากกระสอบดวยเชอื กฟาง 5.3 ปฏิบตั ิหลังการเกบ็ เก่ยี ว - ควรวางกระสอบท่บี รรจุเมล็ดงาในท่รี ม บนพ้ืนท่มี ีไมร อง - ระหวา งการขนสง ไมควรใหเมล็ดงาถกู ความช้ืน - รถบรรทุกตอ งสะอาด หากขนสงเมลด็ งาในฤดูฝน ตองมผี าใบคลุม เพอ่ื ปองกัน เมล็ดงาถูกความชื้นและไดรับความเสยี หาย 82

ขอ มูลสภาพแวดลอ มท่ีเหมาะสมตอการเจรญิ เติบโตของงา สภาพแวดลอ ม ความเหมาะสม ขอจาํ กดั 1. สภาพภมู ิอากาศ - อณุ หภูมทิ ่เี หมาะสมตอการเจรญิ เตบิ โตอยรู ะหวาง 25 - 35 - ไมชอบอากาศหนาวเย็น - อณุ หภมู ิ (เซลเซียส) องศาเซลเซยี ส - เมล็ดจะไมงอกท่ีอุณหภมู ติ าํ่ กวา 20 องศาเซลเซียส - งาเปน พืชวันสน้ั และไวตอ ชว งแสง - ถา อุณหภูมิสงู กวา 40 องศาเซลเซียส จะทาํ ใหเ กสรตดิ ยากและการสรา งฝก - แสง เปนไปไดชา - ชว งแสง Photoperiod ทม่ี ผี ลตอการออกดอกงาประมาณ 11 ชัว่ โมง 2. สภาพพ้ืนท่ี -เปนท่ดี อน ระบายนาํ้ ดี - ไมท นตอสภาพนํา้ ขงั - ความสูงจากระดบั นา้ํ ทะเล - สามารถข้นึ ไดในระดับความสงู 1,200 -1,500 เมตร เหนอื - พ้นื ทที่ ่ไี มมกี ารระบาดของโรคในปท่ีผานมา ระดับทะเลปานกลาง - มีความทนตอ ปริมาณเกลอื ในดินตาํ่ มาก 3. สภาพดนิ - ลกั ษณะเนอื้ ดิน - ดนิ รว น รว นทราย และรวนเหนียว ทมี่ กี าระบายนํ้าและการ ถา ปลูกในดนิ เหนยี วควรยกรองปลกู เพอื่ ใหมีการระบายน้าํ ดี - ความลึกของหนา ดนิ ถา ยเทอากาศดี - ความเปนกรด-ดา ง (pH) - ประมาณ 20-25 เซนตเิ มตร - ปริมาณอินทรียวัตถุ - อยูระหวา ง 5.5 - 6.5 4. สภาพนาํ้ - อินทรยี วัตถไุ มต า่ํ กวา 1 เปอรเ ซ็นต - ปริมาณนาํ้ ที่ตองการ - งาตองการปรมิ าณนา้ํ ฝนกระจายสมํา่ เสมอประมาณ 300 - ชวงงาออกดอก (30-45 วัน) เปนชวงทงี่ าใชนา้ํ มากท่ีสุด ถาขาดนํ้าชวงน้ีจะมี 1,000 มิลลิเมตรตอ ป หรอื ประมาณ150-250 ลกู บาศกเมตรตอป ผลตอ ผลผลิตงา 83

แนวทางการเพ่ิมประสทิ ธภิ าพการผลิต และแหลง สบื คน ขอ มูลเพมิ่ เติม แนวทางการเพิ่มประสทิ ธิภาพการผลติ 1. การเตรยี มดนิ ปลกู งาตองเตรยี มดนิ ใหร วนซุยสามารถควบคุมวชั พืชในแปลง ระยะแรก จะชว ยให งางอก ไดดแี ละสมา่ํ เสมอ และปลอดจากวัชพชื ขึน้ มาแกงแยง ดินรวน รว นปนทราย ไถ 1-2 คร้ัง ดินรวนเหนียว ไถ 2-3 ครง้ั 2. ดนิ มีอนิ ทรยี วัตถุตํา่ กวา 1 เปอรเ ซน็ ต ใหห วานปุยคอกหรือปุยหมัก ทยี่ อยสลาย ดแี ลว อัตรา 1,000 - 1,500 กิโลกรมั ตอ ไร แลว พรวนกลบ ถาดินมคี าความเปน กรดดา ง ตา่ํ กวา 5.5 ใหห วานปนู ขาว อตั รา 100 - 200 กโิ ลกรมั ตอ ไร แลว พรวนกลบ กอ นปลูก 10 - 15 วนั 3. การใสป ยุ สตู รปุยและอตั ราทใี่ สควรคาํ นึงชนิดของดนิ ดงั นี้ - ดนิ ทรายหรอื ดนิ รว นปนทราย ใชป ยุ สตู ร 16-16-8 อตั รา 30 - 40 กโิ ลกรมั ตอ ไร - ดนิ เหนยี วสแี ดง ใชป ยุ สตู ร 16-20-0 หรอื 20-20-0 อตั รา 20 - 30 กโิ ลกรมั ตอ ไร - ดินเหนียวสีดาํ หรอื ดินรวนเหนยี วสนี าํ้ ตาล ใชปุย สูตร 21-0-0 อัตรา 20 - 30 กิโลกรัมตอไรหรอื 46-0-0 อตั รา 10 - 15 กโิ ลกรัมตอไร 4. ไมควรใหง าขาดน้ําในชวงออกดอกและติดฝก หรอื ประมาณ 30 - 45 วนั หลัง ปลูก แมว า งาเปนพชื ทนแลงแตใ นชวงระยะออกดอกเปน ชวงท่งี าใชน้าํ มากทส่ี ดุ ดังน้นั การขาดนํ้าในระยะน้ีจะมผี ลกระทบตอ ผลผลติ ของงา 5. ควรกําจดั วชั พชื ในแปลงตลอดฤดปู ลกู เพราะในแปลงงาที่มีวชั พืชรบกวนมีผล กระทบทาํ ใหผล ผลติ ลดลง 2 - 3 เทาตวั 6. การเกบ็ เกย่ี วงา ตองรีบเรงในการเกบ็ เกีย่ วเมอื่ งาแก หากเกบ็ ชาฝก งาจะแตก เมลด็ จะรว งทาํ ให ผลผลติ ไดรบั ลดลง แหลง สบื คน ขอ มูลเพิม่ เติม กรมวิชาการเกษตร http://www.doa.go.th./data-agri/SESAMI/4tech/tec01.html เตือนจติ ต สตั ยาวิรทุ ธ. 2535. เอกสารวชิ าการแมลงและสตั วศ ัตรูท่ีสาํ คัญของพืช เศรษฐกจิ และการบริหาร. กองกฎี และสัตววทิ ยา กรมวชิ าการเกษตร. สัตวศัตรูทสี่ าํ คญั ของพชื เศรษฐกิจและการบรหิ าร. กองกีฎและสัตววทิ ยา กรมวชิ าการเกษตร ศูนยวจิ ยั พชื ไรอ บุ ลราชธานี 2539. เอกสารวชิ าเกษตร 152 หนา หจก. อุบลกิจออฟเซทการพิมพ อุบลราชธานี 84

ทานตะวัน การเตรยี มการ 20 วนั ข้นั ตอนการปลกู และการดแู ลรกั ษาทานตะวนั 120 วัน 140 วนั 40 วนั 60 วัน 80 วนั 100 วนั การเตรียมดนิ การปลูก การใสป ุย การใหนํา้ การกําจัดวชั พชื การเกบ็ เกย่ี ว 1. สภาพไรไ ถดะลึก 30-35 - หลมุ ลึก 4-5 ซม. - ดนิ รว นทราย หรือดนิ รวนปน - เรมิ่ ใหน้าํ เม่อื ทานตะวนั - ครง้ั ที่ 1 ทานตะวนั เก็บเก่ียวตามอายุ ซม. ตากดิน 7 วัน ไถผาน ระยะปลกู 75x25 ซม. ทราย ใสปุยสูตร 15-15-15 อายุ 10-15 วัน และหลัง อายุ 10 วัน ทํา ของพันธุ หรือ 7 อกี 1 ครั้ง คราดเกบ็ วชั พืช อัตรา 2 เมล็ด/หลมุ อตั รา 25 กก./ไร และปยุ สตู ร จากนนั้ ใหน้ําทกุ 20 วัน จน รนุ พรอมถอนแยก ดา นหลงั จานดอก ออกจากแปลง - ใสป ยุ รองกนหลมุ ตาม 46-0-0 อตั รา 20 กก./ไร กระทงั่ ถึงระยะติดเมล็ด ทานตะวันเหลอื หลุมละ เปลี่ยนสนี ้ําตาล 2. สภาพนา ไถดะ 20-25 ชนิดของดนิ อตั รา 25 - ดินรว นสีน้ําตาล ใสปุยสูตร 20- (ทานตะวนั อายปุ ระมาณ 70 1 ตน 7-14 วนั ใชก รรไกร ซม. ตากดิน 7 วนั ไถผาน กก./ไร 20-0 อัตรา 25 กก./ไร วนั ) หยดุ การใหน ้ํา - ครั้งที่ 2 ตัดจานดอก 7 อีก 1 ครง้ั เก็บวัชพชื - ใหน ํา้ ทนั ทหี ลงั ปลูก - ดินเหนียวสดี าํ ใสปุยสูตร 21- - ควรใหน ้ําพอดินชุม แตไม เมอ่ื ทานตะวันอายุ 20- ออกจากแปลงยกรอ งกวา ง หรือหลังปลกู ทันทีหลัง 0-0 อตั รา 25 กก./ไร แฉะขังและไมค วรปลอ ยให 25 วัน พรอมกบั ใสป ยุ 1.5 เมตร ฝนตก - โดยโรยขางแถวแลวกลบ ดนิ แหงมาก 3. ในดินทรายขาดโบรอน ใหใสโ บแรก็ ซ 2 กก./ไร การเตรียมพันธุ ศัตรูทีส่ ําคัญและการปอ งกันกาํ จดั การปฎบิ ตั ิหลังการเก็บเก่ยี ว หวานใหท ั่วแปลง 1. ควรเปนพันธลุ กู ผสมที่ตดิ เมล็ด - ศัตรูทีส่ าํ คัญ หนอนเจาะสมอฝา ย เพลี้ยจกั จัน่ 1. นาํ จานดอกตากแดด 1-2 แดด ไดดี ไมตอ งอาศยั แมลงชว ย ปองกนั โดยใชส ารเคมีปองตามนําแนะนาํ 2. กะเทาะเมลด็ จากจานดอก โดยใช 2. อัตราการงอกไมต ่าํ กวา 80 % - โรค โรคเมลด็ เนา ปองกนั โดยจัดเวลาปลูกให ทอ นไมทบุ หรอื เคร่ืองนวด 3. อตั ราเมลด็ พันธุ 0.8-1 กก./ไร ออกดอกชวงหนาแลง 3. นาํ เมลด็ ที่กะเทาะแลวไปตากแดด - สตั วศตั รู หนู นก 1-2 แดด ความช้ืนไมเ กนิ 12-14 %

เทคนิคการปลกู และดแู ลรกั ษาทานตะวนั 1. การเตรียมการกอ นปลูก 1.1 การเตรียมดนิ - ในสภาพไร ไถดะลึก 30 - 35 เซนติเมตร ตากดินไว 7 วัน แลวไถพรวน ดินดวยผาน 7 อกี คร้งั หน่งึ แลวคราดเกบ็ ซากวัชพชื ขา มปออก - ในสภาพนา ไถดะลกึ 20 - 25 เซนตเิ มตร ตากดินไว 7 วนั แลว ไถพรวน ดนิ ดว ยผาน 7 อกี ครง้ั คราดเก็บซากวัชพืชขา มปออก ยกรองปลกู อาจเปน รองสาํ หรบั ปลูกแถวเดียว หรอื แถวคู โดยยกรองกวา ง 1.5 เมตร 1.2 การเตรยี มพันธุ พันธุท่ีใชปลูกควรเปนพันธุทานตะวันลูกผสมที่ติดเมล็ดไดดีโดยไมตอง อาศยั แมลงชว ยผสมเกสรและมอี ตั ราการงอกไมตํา่ กวา 80% 2. การปลูก 2.1 วธิ ีปลูก ใสปุย 15-15-15 หรือ 20-20-0 หรือ 21-0-0 ตามชนิดของดนิ อัตรา 25 กิโลกรัมตอไร รองกน หลมุ แลวหยอดเมลด็ อตั รา 2 เมลด็ ตอ หลมุ ลึก 4-5 เซนตเิ มตร 2.2 ระยะปลกู 75 x 25 เซนตเิ มตร 2.3 จํานวนตน ตอไร มีประมาณ 8,533 ตนตอ ไร 2.4 ใหน าํ้ ทันทหี ลงั ปลกู 3. การดูแลรกั ษา 3.1 การใสป ยุ 3.1.1 ชนิดปุยและอตั ราที่ใชข้ึนอยกู บั สภาพดินเม่อื ทานตะวนั อายุ 20 - 25 วันหลังงอก ดงั นี้ 86

- ดินรวนทราย หรือดินรวนปนทราย มีอินทรียวัตถุตํ่ากวา 1 เปอรเซ็นต ใหปยุ สตู ร 15-15-15 อตั รา 25 กโิ ลกรมั ตอ ไร และปยุ สตู ร 46-0-0 อตั รา 20 กิโลกรมั ตอไร โดยโรยขา งแถวแลวกลบ - ดินรว นสีนาํ้ ตาล ใหป ยุ สูตร 46-0-0 อัตรา 20 กิโลกรัมตอ ไร โดยโรยขา งแถวแลวกลบ - ดินเหนยี วสดี าํ ใสป ยุ สตู ร 21-0-0 อตั รา 25 กโิ ลกรัมตอ ไร โดยโรยขา งแถวแลวกลบ - ดินเหนียวสแี ดง ใหป ยุ สูตร20-20-0อัตรา 25 กิโลกรมั โรยขา ง แถวแลวกลบ ในดนิ ทรายและขาดธาตุโบรอน ควรใสผงโบแรกซ ประมาณ 2 กิโลกรัมตอ ไร หวา นใหท่วั แปลงตอนเตรยี มดิน จะทาํ ใหเพ่มิ ผลผลติ ไดมากและ ทาํ ใหค ณุ ภาพของเมลด็ ทานตะวนั ดีขน้ึ 3.2 การใหน ํ้า หากความช้นื ในดนิ มีนอ ยจะทําใหผ ลผลติ ลดลงดว ย การใหน ํ้าท่ี เหมาะสมแกทานตะวนั จงึ จะทําใหไ ดรบั ผลผลิตดีดวย ดงั นนั้ ควรใหน้าํ ดงั น้ี ระยะมใี บจรงิ 2 คู หรอื ประมาณ 10 - 15 วัน หลงั งอก ระยะเริ่มมตี าดอก หรอื ประมาณ 30 - 35 วัน หลังงอก ระยะดอกเร่มิ บาน หรอื ประมาณ 50 - 55 วัน หลงั งอก ระยะกําลงั ตดิ เมล็ด หรือประมาณ 60 - 70 วัน หลังงอก ควรใหนํา้ อยา งเพียงพอใหด ินชุม แตไ มต องแฉะและขัง การใหน้าํ ควรคํานงึ ถึงความชุมชน้ื ในดินดวย ไมควรปลอ ยใหดินแหง มาก โดยเฉพาะอยา งย่ิงชวงแรกของการ เจริญเติบโตจนถงึ ระยะตดิ เมล็ด 4. การปอ งกันกําจัดศัตรูพืช 4.1 วชั พืช มปี ญหาตอทานตะวนั ในชว งแรกของการเจริญเตบิ โต ในการแยง อาหารและความชื้นในดนิ ขณะตน ยงั เล็ก การปอ งกนั กําจัดวัชพืช - เกบ็ เศษซากวชั พืชขามป ออกจากแปลง กอ นปลกู ทานตะวัน - กําจัดวชั พชื โดยใชแ รงงานคน หรอื เครอ่ื งจักรกลอยางนอย 2 คร้งั ครงั้ ที่ 1 เมื่อทานตะวนั มีอายุ 10 วนั หลังงอกหรอื มีใบจรงิ 2 - 4 คู ทํารนุ ทําพรอมกับการถอนแยกตน พืชใหเ หลือ 1 ตน ตอ หลุม และใสปยุ และพนู โคน ครัง้ ที่ 2 เมอ่ื ทานตะวันอายุ 20 - 25 วันหรือ ทานตะวันมใี บจริง 6 - 7 คู ในกรณีท่ีแปลงมีวัชพืชรบกวนมากหรือการกําจัดวัชพืชดวยวิธีดังกลาวขาง ตนไมม ปี ระสิทธิภาพเพียงพอใหใชส ารกําจัดวชั พชื ดว ยตามคาํ แนะนาํ ขอ ควรระวงั หา มใชส ารเคมกี าํ จดั วชั พชื อะทราซนี ในทานตะวนั โดยเดด็ ขาด 4.2 โรค 4.2.1 โรคใบจดุ หรอื ใบไหม เกิดจากเช้อื รา ลกั ษณะอาการ ใบจุดเลก็ สีนํ้าตาลมวี งสีเหลืองลอมรอบแผล จดุ ขยายใหญม ีรปู รางไมแ นน อน และทําใหเกดิ ใบไหม 87

ตอมาแผลจุดจะแพรกระจาย ไปยังทุกสวนของตน ทานตะวันทอ่ี ยเู หนือพ้นื ดนิ ตั้งแต ใบ กา นใบ ลําตน กลีบเล้ียง กลบี ดอก และจานดอก เช้ือเขา ทําลายสวนตา ง ๆ ของตน ทานตะวันแลว แพรก ระจายข้นึ สยู อด ทาํ ใหตนทานตะวันไหม แหง และแกก อนกําหนด จานดอกเลก็ เมล็ดลีบ ผลผลติ ต่ํา การปองกนั กาํ จดั กาํ จัดซากพืชทเ่ี ปน โรคดว ยการเผาทาํ ลาย หรอื นํา ออกจากแปลง 4.2.2 โรคเนา ดาํ หรอื ชาโคลรอท เกดิ จากเชอ้ื รา ลกั ษณะอาการตน ทานตะวนั ทมี่ กี ารตดิ เชอ้ื จะมีขนาดเล็กกวา ปกติ ใบเห่ยี วลูล งแหงติดคาตน ลําตน สวนทีต่ ดิ ผวิ ดินเกดิ แผลสนี ้าํ ตาลดําลุกลามจากโคนตนไปตามสว นตาง ๆ ของลาํ ตน และราก เมื่อผาดภู ายใน จะพบฝนุ ผงเมด็ กลมเลก็ สดี าํ หรอื เทาดาํ กระจายอยใู นเนอ้ื เยอื่ พชื ทวั่ ทกุ สว นและปด กนั้ ขวาง ทางลําเลยี งนํ้าและอาหาร ทาํ ใหต นทานตะวันเหยี่ วแหง ตาย การปอ งกนั กาํ จดั ถอนและเผาทาํ ลายตน ทานตะวนั ทเี่ ปน โรค ไมป ลอ ย ใหต นทานตะวนั ขาดน้าํ รนุ แรงในชว งท่ีอากาศ รอนจดั และความชนื้ ในดินตํ่า 4.2.3 โรคใบหงิก เกิดจากเชอ้ื ไวรสั โดยมีแมลงหวข่ี าวเปนพาหะ ลักษณะ อาการ ใบหงิกงอเปนรูปถวยหงายต้ังแตใบยอดลงมาจนถึงกลางตน ดานลางใบจะพบ ลักษณะของเสน กลางใบและเสน แขนงโปง พองจนเห็นไดช ดั บรเิ วณเนือ้ ใบจะมเี สน ใบฝอย สีเขยี วเขม กระจายท่ัวไป ทําใหใบหดยน ตน แคระแกรน็ จนไมส ามารถใหด อก ในกรณีที่ให ดอก ดอกอาจมรี ูปรางผิดปกติ การปองกันกําจัด ถอนตนท่ีเปนโรคออกจากแปลงปลูกและนําไป ทําลาย ควบคมุ การแพรร ะบาดของแมลงปากดูด ไดแ ก แมลงหวี่ขาว 4.3 แมลงศัตรู 4.3.1หนอนเจาะสมอฝา ย กินเมล็ดและเจาะจานดอก ทาํ ใหดอกเนาเสีย หาย การทําลายรุนแรง ผลผลติ จะเสียหายมาก การปองกันกาํ จัด ใชส ารเคมตี ามคําแนะนํา 4.3.2เพลยี้ จก๊ั จนั่ ตวั ออ นและตวั เตม็ วยั ชอบดดู กนิ นา้ํ เลยี้ งทด่ี า นใตใ บ ทาํ ให ใบพชื หด หงกิ งอ ขอบใบ มว นขนึ้ ดา นบน ถา ระบาดรนุ แรงจะทาํ ใหข อบใบแหง หรอื ใบไหม ผลผลิตลดลง การปองกันกําจัด ใชสารเคมตี ามคําแนะนาํ 4.4 สตั วศัตรู 4.4.1 นก จะกินเมลด็ ท่ีจานดอก 4.4.2 หนู กนิ เมล็ดพนั ธุท ปี่ ลูกในดิน กดั กินตนออ น และเมล็ดที่จานดอก การปอ งกันกาํ จดั ใชกรงหรอื กับดกั 5. การปฏิบตั กิ อนและหลงั การเก็บเก่ียว 5.1 การเก็บเกีย่ ว เก็บเก่ียวทานตะวนั ตามชว งอายขุ องพนั ธุท ป่ี ลูก หรอื เมอื่ อายุประมาณ 90 - 120 วัน หรือสงั เกตหุ ลงั จากจานดอกเริ่มเปล่ยี นเปน สีน้ําตาลแลว ประมาณ 7 - 14 วนั โดยใชก รรไกรตดั จานดอก โดยเลอื กเฉพาะดอกทสี่ มบรู ณ 88

5.2 การปฏิบัตหิ ลงั การเก็บเกยี่ ว - นาํ ดอกทเ่ี กบ็ เกี่ยวแลว ตากแดด 1 - 2 แดด บนลานซีเมนต หรอื ตาก บนผืนผา ใบและคลุมกองดอกทานตะวันดว ยผนื ผาใบในเวลากลางคืน เพอื่ ปองกันน้าํ คาง - กะเทาะเมล็ดจากจานดอก โดยใสดอกในถงุ ผา หรอื กระสอบแลว ใชท อนไมท ุบ หรือใชเ คร่อื งนวดถัว่ เหลอื งทด่ี ดั แปลงแลว ความเร็วรอบ 200 - 350 รอบ ตอนาที - นาํ เมล็ดทกี่ ะเทาะแลวไปตากแดด 1 - 2 แดด เพือ่ ลดความชื้นในเมล็ด ใหเหลอื ประมาณ 12 - 14 เปอรเ ซ็นต แลวทําความสะอาดเมลด็ - บรรจเุ มล็ดทไ่ี ดใ นกระสอบปา นทีไ่ มช ํารดุ สะอาด - ตดั แตงปากกระสอบใหเ รียบรอย และเย็บปากกระสอบดว ยเชือกฟาง - ควรวางกระสอบที่บรรจุเมลด็ ทานตะวันในทร่ี ม บนพ้ืนทม่ี ีแผนไมรอง 5.3 การขนสง - ระหวา งการขนสง ไมควรใหเมลด็ ทานตะวันถกู ความช้นื - รถบรรทุกตอ งสะอาด และเหมาะสมกับปรมิ าณเมลด็ ทานตะวนั - ไมควรเปน รถทใ่ี ชบรรทุกดิน สัตว มูลสตั ว ปยุ เคมี หรอื สารปอ งกันกําจัด ศัตรพู ืช เพราะอาจมกี ารปนเปอ น ยกเวน จะทําความสะอาดอยาง เหมาะสม กอนนํามา บรรทุก - กรณมี ีการขนสงเมล็ดทานตะวันในชว งฤดฝู นตองมีผา ใบคลุม เพ่ือปอ งกัน เมล็ดทานตะวนั ถูกความช้นื และไดร ับความเสยี หาย 89

90 ขอ มลู สภาพแวดลอมทเี่ หมาะสมตอการเจรญิ เตบิ โตของทานตะวนั สภาพแวดลอม ความเหมาะสม ขอ จาํ กดั 1. สภาพภูมิอากาศ ทานตะวนั เจริญเตบิ โตไดต้งั แตเขตเสน ศนู ยสูตรถึงบรเิ วณเสนรุงท่ี 56 องศาเหนือ - อณุ หภูมิ (เซลเซยี ส) - อณุ หภูมทิ เ่ี หมาะสมสําหรบั การเจริญเติบโตของ - อตั ราสว นของอุณหภมู ติ ่ําสดุ สูงสดุ ใน 24ช่ัวโมงไมค วรตา งกัน1:2 - แสงแดด ทานตะวนั ระหวางกลางคนื กบั กลางวันควรอยูระหวาง 18 – - อณุ หภมู ิกลางวนั สูงเกินกวา 30องศาเซลเซยี สจะทําใหเปอรเซน็ ตนํา้ มนั ลดลง5 - ความช้นื สมั พทั ธ (เปอรเซน็ ต) 35 องศาเซลเซียส เปอรเ ซ็นต - ตน ออนในชว งใบเลี้ยงมีชีวติ อยทู ่ีอณุ หภูมิ-5 องศาเซลเซยี ส และทนตอสภาพ 2. สภาพพื้นท่ี นาํ้ คางแขง็ - ความสูงจากระดบั น้าํ ทะเล - แสงแดดจดั - ทานตะวนั สะสมนา้ํ หนกั แหง หรือ NAR (Net Assymilation Rate) ไดอตั ราสูงสดุ - ความลาดเอียงของพืน้ ท่ี - ทนตอสภาพแหงแลง และรอนไดพอสมควร ท่ี 28 องศาเซลเซยี ส 3. สภาพดิน - ความช้ืนสมั พัทธท ่ีเหมาะสม 40-75 เปอรเ ซ็นต - ความช้นื สมั พัทธต ํ่ากวา 14 เปอรเซน็ ต ทาํ ใหทานตะวนั เรมิ่ เห่ยี วใบแหง - ลักษณะของเนื้อดิน - ความช้ืนสัมพทั ธต ํา่ กวา 40 เปอรเ ซ็นต ทานตะวันจะตอ งการนํ้าปริมาณมาก - ความลึกของหนาดนิ - ความเปนกรด-ดา ง (pH) พน้ื ท่ดี อนหรือท่ีลมุ น้ําไมท วมขงั ระบายนํ้าไดด ี ทานตะวันไมท นตอ สภาพนา้ํ ทวมขงั - ปริมาณอินทรยี วัตถุ - ความสงู จากระดับน้ําทะเลไมเกิน 500 เมตร - ความลาดเอยี งของพืน้ ที่ไมค วรเกิน 5% - ดินรวน ดินรว นปนทราย ดนิ รว นเหนียว - ทนสภาพดนิ เกลือและเปนดางพอสมควรไมทนตอสภาพดินทีเ่ ปน กรดจัดและมี - ลึกประมาณ 30 เซนตเิ มตร อมุ นํา้ ไดดี นา้ํ ขงั - คาความเปน กรดดางระหวาง 6.0-7.5 - ดินที่ขาดโบรอนจะทาํ ใหท านตะวนั ไมตดิ เมลด็ โดยเฉพาะดินทรายที่จาดโบรอน - ความอุดมสมบรู ณ ปานกลาง มีอนิ ทรยี ว ัตถไุ มต ่ํากวา ควรใสผงโบแรก็ 2 กโิ ลกรัมตอ ไร จะทาํ ใหเพ่มิ ผลผลติ และคณุ ภาพเมล็ดทานตะวัน 1.5 % ดขี ึ้น

ขอ มูลสภาพแวดลอ มท่ีเหมาะสมตอการเจริญเตบิ โตของทานตะวนั (ตอ) สภาพแวดลอ ม ความเหมาะสม ขอจํากดั 4. ความตอ งการธาตอุ าหารพืช - ธาตุอาหารหลัก - ไนโตรเจน โปแตสเซยี มและฟอสฟอรัส - พนั ธุข าวไวตอ ชว งแสง จะตอบสนองตอปยุ ต่ํา - อืน่ ๆ - ปยุ คอก ปยุ ชวี ภาพ ระยะเวลาทใี่ สป ุยควรใส ๒ คร้ังคือ 5. ความตอ งการนํา้ - คณุ ภาพนํ้า นาดํา ใสห ลงั ปก ดาํ และระยะขา วต้ังทอง - ปริมาณน้าํ ทตี่ อ งการ นาหวาน ใสเม่อื ๑๕-๒๐ วนั หลังขา วงอก และระยะขาวตั้งทอง (60-90 วัน) - พนั ธขุ า วไมไวตอ ชวงแสง จะ ตอบสนองตอปุย สูง ระยะเวลาทค่ี วรใสปยุ ควรใส ๓ ระยะ คอื นาดํา ใสหลังปก ดาํ ระยะขา วแตกกอสูงสดุ และระยะขาวตงั้ ทอง นาหวา น ใสเมื่อ ๑๕-๒๐ วันหลังขาวงอก ระยะขาวแตกกอสูงสดุ และระยะ ขา วต้งั ทอ ง - การระบายน้ําและถา ยเทอากาศดี - การขาดนา้ํ ในระยะตดิ เมลด็ ทาํ ใหผลผลติ ลดลงมาก - ปรมิ าณน้าํ ฝน ประมาณ 800-1200 มิลลเิ มตรตอป และ - การใหนา้ํ ข้ึนอยูก บั ความชุม ชน้ื ในดินไมค วรใหจ นนํา้ ทวมขงั หรือปลอ ยดนิ จน มกี ารกระจายตวั ดี แหง มาก - ไมท นตอ สภาพนํา้ ทว มขัง - ควรมแี หลงน้ําสํารอง (ในกรณที ฝี่ นทงิ้ ชว ง) 91

แนวทางการเพมิ่ ประสิทธภิ าพการผลิต และแหลง สบื ขอคน มูลเพ่ิมเตมิ 1. พน้ื ทป่ี ลกู ทานตะวนั ตอ งเปน ทโ่ี ลง แจง ไมม ตี น ไมใ หญบ งั เงาสงู เพราะถา ทานตะวนั ไดร ับแสงไมเพียงพอจะสงผลกระทบตอการเจริญเตบิ โตทางลําตนและใบ ผลผลิตลดลง 2. การปลูกทานตะวนั ในพื้นท่ี ดนิ ทรายและขาดธาตโุ บรอน ตอ งใสผงโบแรกซ ประมาณ 2 กโิ ลกรมั ตอไรหวานใหทั่วแปลงกอนปลกู จะทําใหเพ่มิ ผลผลิตไดม าก และทําใหค ณุ ภาพของเมลด็ ทานตะวนั ดขี ึน้ 3. การเตรยี มดนิ เพื่อปลกู ทานตะวันควรไถดะใหลกึ ที่สุด เพราะทานตะวนั เปนพืช ทมี่ รี ะบบรากลกึ 4. ใหน ้าํ แปลงทานตะวนั ในชว งแรกของการเจริญเตบิ โตจนถงึ ระยะติดเมลด็ ระยะ วกิ ฤติของการขาดน้ําทม่ี ตี อผลผลิตคือระหวา ง 20 วนั หลงั ออกดอก แตรนุ แรงทสี่ ดุ คือ ประมาณ 10 วนั ระหวา งการผสมเกสร 5. การปลกู ทานตะวัน ควรปลูกชว งปลายฝนหรอื ฤดูแลง ต้งั แตเ ดอื นสิงหาคมถงึ มกราคม เพื่อหลีกเลยี่ งปญ หาเร่ืองเมลด็ เนา เสยี เนือ่ งจากทานตะวันมีดอกใหญเ มื่อเมลด็ แกด อกจะหอ ยลง และดานหลงั ของดอกจะเปนแอง เม่อื ฝนตกนํ้าฝนจะขังทาํ ใหด อกเนา และเมล็ดเสยี หาย 6. หามใชส ารเคมกี ําจัดวัชพชื อะทราซนี ในทานตะวันโดยเดด็ ขาด แหลง สืบคน ขอ มลู เพ่มิ เตมิ กรมสง เสริมการเกษตร .2545.ทานตะวนั คาํ แนะนาํ ท่ี 128 http://www.doa.go.th/pl_data/SUNFLW/1STAT/st01.html www.doae.go.th/library/html/detail/sunflower/detail.htm 92

มนั สําปะหลงั การเตรียมการ 1-30 วนั ข้ันตอนการปลูกและการดแู ลรักษามนั สาํ ปะหลงั 180 วนั 240-360 วนั 60 วนั 90 วัน 120 วนั 150 วนั การเตรียมดนิ การปลูก การใสปยุ การกาํ จัดวัชพืช การเกบ็ เกีย่ ว 1. ไถดะลึก 20 – 30 1. ปกทอนพันธุใหต ัง้ ตรงลึก 1. ใสป ยุ เคมี 1 ครง้ั หลงั จาก 1. ควรกําจดั วชั พืชในระยะ 1. อายกุ ารเก็บเก่ียว 8-12 เดอื น ซม.พรอมไถกลบเศษเหลือ 10 – 15 ซม. ปลูก 1-2 เดือน 1-4 เดือนแรกของการปลกู 2. หากไมส ามารถเกบ็ เกีย่ วได อาจทิ้ง ของพชื 2. ควรปลูกในฤดฝู น หากมี 2. ปยุ เคมีสตู รที่มี สัดสว น 1:1:1 2-3 ครง้ั หรอื ตามการเจรญิ ผลผลิตไวในดินไดถ ึงอายไุ มเ กนิ 18 2. หวา นปยุ อนิ ทรียอัตรา แหลงนํ้า ปลกู ไดต ลอดป หรือ 1:2:1 เชน สูตร เตบิ โตและปริมาณวชั พืช เดือน 500-1,000 กก./ไร 3. ระยะปลูก 1 X 1 เมตร 15-15-15 , 15-7-18 . อตั ราการ 2. การปอ งกนั อาจใชส าร 3. วิธีการเก็บเกี่ยว ใชแ รงงานคน/ใช 3. ไถพรวนดวยผาน 7 หรือ 1.20 X 0.80 เมตร 50 กก./ไร เคมฉี ีด คุมวชั พชื หรือใช เครือ่ งจักรกล 4. พื้นท่ีมีน้าํ ขังใหย กรอ ง (1,600 ตน/ไร) แรงงานคน และเคร่ืองจักร ปลกู ขนาดเล็ก การเตรยี มพันธุ แมลงศตั รพู ืช ศัตรทู ่สี าํ คัญ การปฎบิ ตั หิ ลงั การเกบ็ เกย่ี ว 1. คัดเลอื กพนั ธุ อายุ 8-12 โรคพชื 1. ตองขนสงหัวมนั สดเขาโรงงาน เดอื นใหมแ ละสด 1. เพล้ยี แปงมนั สําปะหลัง 1. ใบไหม แปรรูปทันทีทีเ่ กบ็ เก่ียว 2. ตดั ทอนพันธยุ าว 20-25 2. ไรแดง 2. โรครากเนา และหวั เนา 2 ควรตัดเหงาออกและกําจดั ดิน ซม. 3. แมลงหวีข่ าว ทรายทต่ี ดิ กับหวั มันใหมากที่สดุ 3. แชทอ นพันธุ ดวยสาร การปองกันกําจัด 3. กง่ิ พันธุทจี่ ะใชท ําพันธตอ เคมเี พอื่ ปอ งกันเพลยี้ แปง 1 ตอ งแชทอ นพนั ธดุ ว ยสารเคมีเพื่อปอ งกันเพล้ยี แปง และเดินสาํ รวจแปลงในระหวางป หากพบ สามารถเก็บรักษาไวไ มเ กิน 15 วัน และแมลงอืน่ ๆ เพลีย้ แปง สีชมพตู องรบี กําจดั และแจงเจาหนาทท่ี ราบ เพือ่ ปลอ ยแตนเบยี นและแมลงชา งปกใส ดงั น้นั จงึ ควรทําแปลงพันธุไว