เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด : สัตว์ วัจฉะ ท่ที ่านไม่รเู้ ร่ืองนั้น ก็สมควรแลว้ ทท่ี า่ นเกดิ รูส้ ึกวนเวยี นนนั้ กส็ มควรแลว้ เพราะธรรมนี้เปน็ ของลุ่มลึก ยากท่ีจะเห็น ยากที่จะรู้ตาม ธรรมน้ีเป็นของสงบระงับ ประณีต ไมเ่ ป็นวิสยั ท่ีจะหยงั่ ถึงได้ดว้ ยการตรึก ธรรมน้เี ป็น ของละเอียด บัณฑิตจึงจะรู้ได้ ธรรมน้ี ตัวท่านมีความเห็น มาก่อนหน้าน้ี เป็นอย่างอ่ืน มีความพอใจท่ีจะฟังให้เป็น อย่างอ่ืน มีความชอบใจจะให้พยากรณ์เป็นอย่างอ่ืน เคย ปฏิบัติทำ�ความเพียรเพ่ือได้ผลเป็นอย่างอื่น ท่านเองได้มี ครูบาอาจารย์เป็นอย่างอ่ืน ฉะนั้นท่านจึงรู้ได้ยาก วัจฉะ ถ้าเช่นน้ัน เราจักย้อนถามท่านดู ท่านเห็นควรอย่างใด จงกล่าวแก้อยา่ งนนั้ . วัจฉะ ท่านจะสำ�คัญความข้อน้ีว่าอย่างไร ถ้าไฟ ลุกโพลงอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านจะพึงรู้ได้หรือไม่ว่า ไฟน้ี ลกุ โพลงๆ อยตู่ อ่ หนา้ เรา. ขา้ แต่พระองค์ผู้เจริญ ขา้ พเจา้ พงึ รู้ได้ พระเจา้ ข้า. วัจฉะ หากมีคนถามท่านว่า ไฟที่ลุกโพลงอยู่ ต่อหน้าท่านนี้ มันอาศัยอะไรจึงลุกได้ เมื่อถูกถามอย่างนี้ ทา่ นจะกล่าวแก้เขาว่าอย่างไร. 137
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ข้าแต่พระองค์ผูเ้ จรญิ ไฟทลี่ กุ โพลงๆ อยู่ต่อหนา้ นี้ มนั อาศัย หญา้ หรอื ไม้เปน็ เชอื้ มนั จงึ ลุกอยไู่ ด้ พระเจา้ ขา้ . วัจฉะ หากไฟน้ันดับไปต่อหน้าท่าน ท่านจะพึงรู้ หรือไม่วา่ ไฟได้ดบั ไปต่อหนา้ เรา. ขา้ แตพ่ ระองค์ผู้เจริญ ข้าพเจา้ พึงรไู้ ด้ พระเจ้าข้า. วัจฉะ หากมีคนถามท่านว่า ไฟท่ีดับไปต่อหน้า ท่านน้ัน มันไปทางทิศไหนเสีย ทิศตะวันออกหรือตะวันตก ทิศเหนือหรือใต้ เม่ือถูกถามอย่างนี้ ท่านจะกล่าวแก้เขาว่า อย่างไร. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ขอ้ นน้ั ไมค่ วรกลา่ วอยา่ งนนั้ เพราะไฟนนั้ อาศยั เชอื้ คอื หญา้ หรอื ไมจ้ งึ ลกุ ขนึ้ ได้ แตถ่ า้ เชอื้ นน้ั มนั สนิ้ ไปแลว้ ทง้ั ไมม่ ี อะไรอนื่ เปน็ เชอื้ อีก ไฟนน้ั ก็ควรนับว่าไม่มีเชอ้ื ดับไปแลว้ . วัจฉะ ฉันใดก็ฉันน้ัน เม่ือไปบัญญัติอะไรขึ้นมาให้ เปน็ ตถาคต โดยถอื เอารปู ใดขนึ้ มา รปู นน้ั ตถาคตละไดแ้ ลว้ ตัดรากขาดแล้ว ทำ�ให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วนแล้ว ถึงซึ่ง ความไมม่ แี ล้ว มอี นั ไม่เกิดข้นึ อกี ตอ่ ไปเป็นธรรมดา. วัจฉะ ตถาคตอยู่นอกเหนือการนับว่าเป็นรูป เสยี แลว้ มนั เปน็ เรอื่ งลกึ ซง้ึ ทใ่ี ครๆ ไมพ่ งึ ประมาณได้ หยง่ั ถงึ ได้ยาก เหมือนด่ังห้วงมหาสมุทรฉะนั้น วัจฉะ ข้อน้ีจึง 138
เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด : สัตว์ ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าไม่เกิด ไม่ควรจะ กล่าวว่าบางทีก็เกิด บางทีก็ไม่เกิด และไม่ควรจะกล่าวว่า เกดิ กไ็ ม่ใช่ ไม่เกดิ กไ็ ม่ใช่ วจั ฉะ เมอ่ื ไปบญั ญตั อิ ะไรขนึ้ มาใหเ้ ปน็ ตถาคต โดย ถือเอาเวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณใดขึ้นมา วิญญาณน้ันตถาคตละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำ�ให้เป็น เหมอื นตาลยอดดว้ นแลว้ ถงึ ซง่ึ ความไมม่ แี ลว้ มอี นั ไมเ่ กดิ ขน้ึ อกี ตอ่ ไปเปน็ ธรรมดา. วจั ฉะ ตถาคตอยนู่ อกเหนอื การนบั วา่ เปน็ วญิ ญาณ เสยี แลว้ มนั เปน็ เรอ่ื งลกึ ซงึ้ ทใ่ี ครๆ ไมพ่ งึ ประมาณได้ หยง่ั ถงึ ได้ยาก เหมือนดั่งห้วงมหาสมุทรฉะน้ัน วัจฉะ ข้อนี้จึง ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าไม่เกิด ไม่ควรจะ กลา่ ววา่ บางทกี เ็ กดิ บางทกี ไ็ มเ่ กดิ และไมค่ วรจะกลา่ ววา่ เกดิ ก็ไม่ใช่ ไมเ่ กิดก็ไม่ใช่ ดังนแ้ี ล. 139
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปดิ : สตั ว์ ตถาคตพน้ แลว้ จากอปุ าทานขนั ธ์ ๕ 39 -บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๑๑๒/๒๑๐. … อนุราธะ เธอจะสำ�คัญความข้อน้ีว่าอย่างไร รูปเทยี่ งหรอื ไมเ่ ทย่ี ง. ไม่เทยี่ ง พระเจ้าข้า. กส็ ิง่ ใดไม่เที่ยง สง่ิ น้ันเป็นทกุ ข์หรือเป็นสขุ เล่า. เปน็ ทุกข์ พระเจ้าขา้ . ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็น ธรรมดา ควรหรอื ทจี่ ะตามเหน็ สงิ่ นน้ั วา่ นนั่ ของเรา นนั่ เปน็ เรา นนั่ เปน็ ตัวตนของเรา. ไมค่ วรเหน็ อยา่ งนั้น พระเจ้าขา้ . อนุราธะ เธอจะสำ�คัญความข้อนี้ว่าอย่างไร เวทนา ... สัญญา ... สงั ขาร ... วญิ ญาณเท่ียงหรือไมเ่ ที่ยง. ไมเ่ ท่ียง พระเจา้ ข้า. กส็ ง่ิ ใดไมเ่ ทย่ี ง ส่งิ น้ันเป็นทกุ ขห์ รือเปน็ สขุ เลา่ . เป็นทุกข์ พระเจ้าขา้ . ก็ส่ิงใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็น ธรรมดา ควรหรอื ทจ่ี ะตามเหน็ สง่ิ นนั้ วา่ นน่ั ของเรา นนั่ เปน็ เรา น่ันเป็นตวั ตนของเรา. ไม่ควรเหน็ อย่างน้นั พระเจา้ ข้า. 140
เปดิ ธรรมท่ีถกู ปดิ : สตั ว์ อนรุ าธะ เพราะเหตนุ น้ั ในเรอ่ื งน้ี รปู อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ท้ังที่เป็นอดีต อนาคตหรือปัจจุบันก็ตาม เป็นภายในหรือ ภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีต ก็ตาม อยูใ่ นทไ่ี กลหรือใกลก้ ็ตาม รปู ท้งั หมดนน้ั เธอพึงเหน็ ด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า น่ันไม่ใช่ ของเรา ไมใ่ ช่เปน็ เรา ไม่ใชต่ วั ตนของเรา. อนรุ าธะ เวทนาอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ … สญั ญาอยา่ งใด อย่างหนง่ึ … สงั ขารเหล่าใดเหล่าหน่ึง … วิญญาณอยา่ งใด อย่างหนึ่ง ท้ังที่เป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบันก็ตาม เป็น ภายในหรือภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลว หรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ก็ตาม วิญญาณ ทั้งหมดน้ัน เธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็น จริงอย่างน้ีว่า นั่นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตน ของเรา. อนุราธะ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบ่ือหน่ายแม้ในรูป ย่อมเบ่ือหน่ายแม้ในเวทนา ย่อม เบอ่ื หนา่ ยแมใ้ นสญั ญา ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยแมใ้ นสงั ขารทงั้ หลาย ย่อมเบ่ือหน่ายแม้ในวิญญาณ เม่ือเบ่ือหน่าย ย่อมคลาย ก�ำ หนดั เพราะคลายก�ำ หนดั ยอ่ มหลดุ พน้ เมอื่ หลดุ พน้ แลว้ 141
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ยอ่ มมญี าณหยง่ั รวู้ า่ หลดุ พน้ แลว้ อรยิ สาวกนน้ั ยอ่ มรชู้ ดั วา่ ชาตสิ นิ้ แลว้ พรหมจรรยอ์ ยจู่ บแลว้ กจิ ทคี่ วรท�ำ ไดท้ �ำ เสรจ็ แลว้ กจิ อ่นื เพ่ือความเป็นอย่างนไ้ี มไ่ ดม้ ี ดงั นี้. อนุราธะ เธอจะสำ�คัญความข้อนี้ว่าอย่างไร เธอ พจิ ารณาเห็นรปู วา่ เป็นตถาคตหรือ. ไมใ่ ช่อย่างน้ัน พระเจา้ ขา้ . อนุราธะ เธอจะสำ�คัญความข้อน้ีว่าอย่างไร เธอ พิจารณาเห็นเวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณว่า เป็นตถาคตหรอื . ไมใ่ ช่อยา่ งน้นั พระเจ้าข้า. อนุราธะ เธอจะสำ�คัญความข้อน้ีว่าอย่างไร เธอ พิจารณาเหน็ ว่า ตถาคตมใี นรปู หรอื . ไม่ใช่อยา่ งนน้ั พระเจ้าข้า. อนุราธะ เธอจะสำ�คัญความข้อนี้ว่าอย่างไร เธอ พจิ ารณาเหน็ วา่ ตถาคตมีนอกจากรูปหรอื . ไมใ่ ช่อยา่ งน้ัน พระเจ้าข้า. อนุราธะ เธอจะสำ�คัญความข้อน้ีว่าอย่างไร เธอ พิจารณาเหน็ วา่ ตถาคตมีในเวทนา … มีนอกจากเวทนา … 142
เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปดิ : สตั ว์ มใี นสญั ญา ... มนี อกจากสญั ญา … มใี นสงั ขาร ... มนี อกจาก สังขาร ... มีในวิญญาณ … มีนอกจากวิญญาณ หรอื . ไม่ใชอ่ ย่างนน้ั พระเจา้ ขา้ . อนุราธะ เธอจะสำ�คัญความข้อน้ีว่าอย่างไร เธอ พิจารณาเห็นว่า ตถาคตมีรูป ... มีเวทนา ... มีสัญญา ... มีสงั ขาร ... มวี ญิ ญาณ หรือ. ไม่ใช่อย่างน้นั พระเจ้าขา้ . อนุราธะ เธอจะสำ�คัญความข้อนี้ว่าอย่างไร เธอ พจิ ารณาเหน็ วา่ ตถาคตไมม่ รี ปู ... ไมม่ เี วทนา ... ไมม่ สี ญั ญา ... ไม่มีสงั ขาร … ไม่มีวิญญาณ หรือ. ไม่ใช่อยา่ งน้ัน พระเจ้าขา้ . อนุราธะ โดยที่แท้แล้วเธอจะค้นหาตถาคตในขันธ์ ทงั้ ๕ นใี้ นปจั จบุ นั ไมไ่ ดเ้ ลย ควรหรอื ทเี่ ธอจะตอบวา่ ผมู้ อี ายุ ทงั้ หลาย พระตถาคตเปน็ อดุ มบรุ ษุ เปน็ บรมบรุ ษุ ทรงบรรลุ ธรรมที่ควรบรรลุอย่างยอดเยี่ยม เมื่อจะทรงบัญญัติข้อน้ัน ย่อมทรงบญั ญตั เิ วน้ จากฐานะ ๔ ประการนี้ คอื . หลงั จากตายแลว้ ตถาคตเกดิ อกี (โหติ ตถาคโต ปรมฺ มรณาติ). 143
พุทธวจน - หมวดธรรม หลงั จากตายแลว้ ตถาคตไมเ่ กดิ อกี (น โหติ ตถาคโต ปรมฺมรณาต)ิ . หลังจากตายแล้ว ตถาคตเกิดอีกและไม่เกิดอีก (โหติ จ น จ โหติ ตถาคโต ปรมฺมรณาติ). หลงั จากตายแลว้ ตถาคตจะวา่ เกดิ อกี กม็ ใิ ช่ จะวา่ ไม่เกิดอีกก็มใิ ช่ (เนว โหติ น น โหติ ตถาคโต ปรมฺมรณาติ) หรือ. ข้อนัน้ ไมค่ วรเลย พระเจ้าข้า. ดีละ ดีละ อนุราธะ ทั้งในกาลก่อนและในบัดนี้ เรายอ่ มบญั ญัตทิ กุ ขแ์ ละความดบั ทกุ ข์เทา่ นั้น. 144
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ : สตั ว์ ความเกดิ ขน้ึ และความดบั แหง่ ทกุ ข์ 40 -บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๑๒๖/๒๕๐. ภิกษุท้ังหลาย คร้ังก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายัง ไมไ่ ดต้ รสั รู้ ยงั เปน็ โพธสิ ตั วอ์ ยู่ เรานนั้ ไดม้ คี วามคดิ อยา่ งนวี้ า่ สัตว์โลกน้ีถึงความลำ�บากหนอ ย่อมเกิด ย่อมแก่ ย่อมตาย ย่อมจุติ และย่อมอุบัติ ก็เมื่อสัตว์โลกไม่รู้จักอุบายเคร่ือง ออกไปพน้ จากทกุ ขค์ อื ชราและมรณะแลว้ การออกจากทกุ ข์ คอื ชราและมรณะน้ี จะปรากฏข้นึ ไดอ้ ย่างไร. ภิกษุทั้งหลาย เราน้ันได้มีความคิดอย่างน้ีว่า เมื่อ อะไรหนอมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย จงึ มชี ราและมรณะ เพราะการท�ำ ในใจโดยแยบคายของเรานนั้ จึงได้รู้แจ้งด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติน่ันแหละมีอยู่ ชราและ มรณะจงึ มี เพราะมชี าตเิ ป็นปัจจยั จงึ มชี ราและมรณะ. ภิกษุท้ังหลาย เรานั้นได้มีความคิดอย่างน้ีว่า เม่ือ อะไรหนอมีอยู่ ชาติจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะการทำ�ในใจโดยแยบคายของเราน้ัน จึงได้รู้แจ้งด้วย ปัญญาวา่ เมอื่ ภพน่นั แหละมอี ยู่ ชาติจงึ ม ี เพราะมภี พเป็น ปจั จัย จงึ มชี าติ. 145
พทุ ธวจน - หมวดธรรม … เมื่ออุปาทานน่ันแหละมีอยู่ ภพจึงมี เพราะมี อุปาทานเป็นปัจจยั จงึ มีภพ. … เมอื่ ตณั หานนั่ แหละมอี ยู่ อปุ าทานจงึ ม ี เพราะมี ตัณหาเป็นปัจจยั จงึ มอี ปุ าทาน. … เม่ือเวทนานั่นแหละมีอยู่ ตัณหาจึงมี เพราะมี เวทนาเปน็ ปจั จัย จึงมีตณั หา. … เม่ือผัสสะน่ันแหละมีอยู่ เวทนาจึงมี เพราะมี ผัสสะเปน็ ปัจจยั จงึ มีเวทนา. … เมอื่ สฬายตนะนน่ั แหละมอี ยู่ ผสั สะจงึ ม ี เพราะมี สฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมผี ัสสะ. … เมอื่ นามรปู นนั่ แหละมอี ยู่ สฬายตนะจงึ ม ี เพราะมี นามรูปเปน็ ปจั จัย จึงมีสฬายตนะ. ภิกษุท้ังหลาย เรานั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เม่ืออะไรหนอมีอยู่ นามรูปจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะการทำ�ในใจโดยแยบคายของเราน้ัน จึงได้รู้แจ้งด้วยปัญญาว่า เม่ือวิญญาณนั่นแหละมีอยู่ นามรปู จึงม ี เพราะมวี ิญญาณเปน็ ปัจจัย จึงมนี ามรปู . ภิกษุทั้งหลาย เราน้ันได้มีความคิดอย่างน้ีว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย 146
เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ : สตั ว์ จึงมีวิญญาณ เพราะการทำ�ในใจโดยแยบคายของเราน้ัน จึงได้รู้แจ้งด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปนั่นแหละมีอยู่ วญิ ญาณจงึ ม ี เพราะมนี ามรปู เปน็ ปัจจัย จงึ มวี ญิ ญาณ. ภิกษุท้ังหลาย ความรู้แจ้งน้ีได้เกิดข้ึนแก่เราว่า วญิ ญาณนี้ ยอ่ มเวยี นกลบั มา ไมไ่ ปพน้ จากนามรปู ไดเ้ ลย ดว้ ยเหตเุ พยี งเทา่ น้ี สตั วโ์ ลกจงึ เกดิ บา้ ง จงึ แกบ่ า้ ง จงึ ตายบา้ ง จึงจตุ ิบ้าง จงึ อบุ ตั ิบา้ ง กลา่ วคือ เพราะมนี ามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะมนี ามรปู เปน็ ปจั จยั จงึ มสี ฬายตนะ เพราะมสี ฬายตนะ เปน็ ปจั จยั จึงมีผัสสะ เพราะมีผัสสะเป็นปัจจยั จึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะมีตัณหาเป็น ปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสะทั้งหลาย จงึ เกดิ ขน้ึ ครบถว้ น ความเกดิ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ กองทกุ ขท์ ง้ั สน้ิ น้ี ย่อมมดี ว้ ยอาการอยา่ งน.ี้ ภิกษุทง้ั หลาย จกั ษุ ญาณ ปญั ญา วิชชา แสงสวา่ ง ได้เกิดข้ึนแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟัง มากอ่ นวา่ ความเกดิ ขน้ึ พรอ้ ม (สมทุ โย) ความเกดิ ขน้ึ พรอ้ ม (สมุทโย) ดงั น้.ี 147
พุทธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย เราน้ันได้มีความคิดอย่างน้ีว่า เม่ือ อะไรหนอไม่มีอยู่ ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชราและมรณะจึงดับ เพราะการทำ�ในใจโดยแยบคาย ของเรานนั้ จงึ ไดร้ ู้แจง้ ดว้ ยปัญญาวา่ เมือ่ ชาตนิ ัน่ แหละไมม่ ี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะความดับแห่งชาติ จึงมี ความดับแหง่ ชราและมรณะ. ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดอย่างน้ีว่า เม่ือ อะไรหนอไม่มีอยู่ ชาติจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชาติจึงดับ เพราะการทำ�ในใจโดยแยบคายของเราน้ัน จึงได้รู้แจ้งด้วย ปัญญาว่า เมื่อภพนั่นแหละไม่มี ชาติจึงไม่มี เพราะมี ความดับแห่งภพ จึงมีความดับแหง่ ชาต.ิ … เม่อื อุปาทานนัน่ แหละไมม่ ี ภพจงึ ไม่มี เพราะมี ความดบั แห่งอปุ าทาน จึงมคี วามดบั แห่งภพ. … เมอื่ ตณั หานนั่ แหละไมม่ ี อปุ าทานจงึ ไมม่ ี เพราะมี ความดบั แห่งตัณหา จึงมีความดับอปุ าทาน. … เมอื่ เวทนานน่ั แหละไมม่ ี ตณั หาจงึ ไมม่ ี เพราะมี ความดบั แห่งเวทนา จึงมีความดับแหง่ ตณั หา. … เมอื่ ผสั สะน่ันแหละไมม่ ี เวทนาจงึ ไม่ม ี เพราะมี ความดบั แหง่ ผสั สะ จึงมีความดับแหง่ เวทนา. 148
เปิดธรรมทถ่ี กู ปิด : สตั ว์ … เม่ือสฬายตนะน่ันแหละไม่มี ผัสสะจึงไม่มี เพราะมีความดบั แหง่ สฬายตนะ จงึ มคี วามดบั แหง่ ผสั สะ. … เมื่อนามรูปน่ันแหละไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี เพราะมีความดับแหง่ นามรปู จงึ มีความดบั แห่งสฬายตนะ. ภิกษุท้ังหลาย เรานั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่อ อะไรหนอไมม่ ี นามรปู จงึ ไมม่ ี เพราะอะไรดบั นามรปู จงึ ดบั เพราะการทำ�ในใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงได้รู้แจ้งด้วย ปัญญาว่า เม่ือวิญญาณน่ันแหละไม่มี นามรูปจึงไม่มี เพราะมคี วามดบั แหง่ วญิ ญาณ จงึ มคี วามดบั แหง่ นามรปู . ภิกษุท้ังหลาย เราน้นั ได้มีความคิดอย่างน้วี ่า เม่อื อะไรหนอไมม่ ี วญิ ญาณจงึ ไมม่ ี เพราะอะไรดบั วญิ ญาณจงึ ดบั เพราะการทำ�ในใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงได้รู้แจ้งด้วย ปัญญาว่า เม่ือนามรูปนั่นแหละไม่มี วิญญาณจึงไม่มี เพราะมคี วามดบั แหง่ นามรปู จงึ มคี วามดบั แหง่ วญิ ญาณ. ภิกษุท้ังหลาย ความรู้แจ้งน้ีได้เกิดข้ึนแก่เราว่า หนทางเพ่อื การตรัสร้นู ้ี เราได้บรรลุแล้ว ได้แก่ส่งิ เหล่าน้คี ือ เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งวิญญาณ เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ 149
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา เพราะมีความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน เพราะมคี วามดบั แหง่ อปุ าทาน จงึ มคี วามดบั แหง่ ภพ เพราะมี ความดบั แหง่ ภพ จงึ มคี วามดบั แหง่ ชาต ิ เพราะมคี วามดบั แหง่ ชาตนิ น่ั แล ชรามรณะ โสกะปรเิ ทวะ ทกุ ขะโทมนสั อปุ ายาสะ ทง้ั หลาย จงึ ดบั สนิ้ ความดบั ลงแหง่ กองทกุ ขท์ ง้ั สน้ิ น้ี ยอ่ มมี ไดด้ ว้ ยอาการอย่างน้ี. ภิกษุทง้ั หลาย จักษุ ญาณ ปญั ญา วชิ ชา แสงสว่าง ได้เกิดข้ึนแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟัง มาก่อนว่า ความดบั (นิโรธ) ความดับ (นโิ รธ) ดังนี้ … . 150
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี ูกปดิ : สัตว์ อตั ถติ าและนตั ถติ า 41 -บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๒๐/๔๒. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ทกี่ ลา่ วกนั วา่ สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาทฏิ ฐิ ดงั นี้ อันว่าสัมมาทฏิ ฐิ ยอ่ มมีไดด้ ้วยเหตเุ พียงเท่าไร พระเจา้ ข้า. กัจจานะ สัตว์โลกน้ี อาศัยแล้วซ่งึ ส่วนสุดท้งั สอง โดยมาก คอื สว่ นสดุ วา่ อตั ถติ า (ความม)ี และสว่ นสดุ วา่ นตั ถติ า (ความไมม่ )ี . กัจจานะ ส่วนสุดว่า นัตถิตา ย่อมไม่มีแก่บุคคล ผู้เห็นอยู่ด้วยปัญญาอันชอบตามท่ีเป็นจริง ซึ่งธรรมคือ เหตใุ ห้เกดิ ขนึ้ แหง่ โลก. กัจจานะ ส่วนสุดว่า อัตถิตา ย่อมไม่มีแก่บุคคล ผู้เห็นอยู่ด้วยปัญญาอันชอบตามท่ีเป็นจริง ซึ่งธรรมคือ ความดับไม่เหลือแหง่ โลก. กัจจานะ สัตว์โลกนี้โดยมาก ถูกผูกพันแล้วด้วย ตัณหา ด้วยอุปาทาน ด้วยทิฏฐิ (อุปายุปาทานาภินิเวสวินิพนฺโธ) แตอ่ ริยสาวกนี้ ไม่เข้าถึง ไม่ถอื เอา ไมถ่ งึ ทับ ซึง่ ตณั หาและ อปุ าทาน อนั เปน็ เครอ่ื งถงึ ทบั แหง่ ใจ อนั เปน็ อนสุ ยั แหง่ ทฏิ ฐิ ว่า อัตตาของเราดังน้ี ย่อมไม่สงสัย ย่อมไม่ลังเลในข้อที่ว่า เมื่อจะเกิด ทุกข์เท่านั้นย่อมเกิดขึ้น เม่ือจะดับ ทุกข์เท่าน้ัน 151
พุทธวจน - หมวดธรรม ย่อมดับดังนี้ ญาณในข้อนี้ ย่อมมีแก่อริยสาวกน้ัน โดยไม่ ต้องเชื่อตามผู้อื่น กัจจานะ สัมมาทิฏฐิ ย่อมมีได้ด้วยเหตุ เพยี งเท่านแี้ ล. กจั จานะ ค�ำ กลา่ วทย่ี นื ยนั ลงไปดว้ ยทฏิ ฐวิ า่ สง่ิ ทง้ั ปวง มอี ย ู่(สพพฺ มตถฺ ตี )ิ ดงั น้ี นเ้ี ปน็ สว่ นสดุ ทหี่ นงึ่ ค�ำ กลา่ วทยี่ นื ยนั ลงไปด้วยทิฏฐิว่า ส่ิงท้ังปวงไม่มีอยู่ (สพฺพ นตฺถีติ) ดังน้ี นเ้ี ป็นสว่ นสุดท่สี อง. กัจจานะ ตถาคตย่อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปหาส่วนสุดทั้งสองน้ัน คือตถาคตย่อมแสดงดังนี้ ว่า เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย เพราะมี สงั ขารเปน็ ปจั จยั จงึ มวี ญิ ญาณ เพราะมวี ญิ ญาณเปน็ ปจั จยั จึงมีนามรูป เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะมสี ฬายตนะเปน็ ปจั จยั จงึ มผี สั สะ เพราะมผี สั สะเปน็ ปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะมีอุปาทาน เปน็ ปจั จยั จงึ มภี พ เพราะมภี พเปน็ ปจั จยั จงึ มชี าต ิ เพราะ มีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาสะท้ังหลายจึงเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกดิ ขน้ึ พรอ้ ม แหง่ กองทกุ ขท์ ง้ั สน้ิ น้ี ยอ่ มมดี ว้ ยอาการอยา่ งน้ี. 152
เปดิ ธรรมที่ถูกปิด : สัตว์ เพราะความจางคลายดบั ไปโดยไมเ่ หลอื แหง่ อวชิ ชานน้ั น่ันเทียว จึงมีความดับแห่งสังขาร เพราะมีความดับแห่ง สังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ เพราะมีความดับแห่ง วิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป เพราะมีความดับแห่ง นามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ เพราะมีความดับ แห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ เพราะมีความดับ แหง่ ผสั สะ จึงมคี วามดับแหง่ เวทนา เพราะมีความดบั แหง่ เวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา เพราะมีความดับแห่ง ตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน เพราะมีความดับแห่ง อุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ เพราะมีความดับแห่งชาติน่ันแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสะท้ังหลาย จึงดับส้ิน ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งส้ินนี้ ย่อมมีด้วย อาการอย่างน้ี ดงั นแ้ี ล. 153
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถกู ปดิ : สตั ว์ โสดาบนั เปน็ ผหู้ มดความสงสยั 42 ในฐานะ ๖ ประการ และในอรยิ สจั ๔ -บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๒๔๘/๔๑๗. ภกิ ษทุ งั้ หลาย เมอื่ อะไรมอี ยู่ เพราะเขา้ ไปยดึ ถอื ซงึ่ อะไร เพราะปักใจเข้าไปสู่อะไร ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นจนถึงกับว่า ลมกไ็ มพ่ ดั แมน่ �้ำ กไ็ มไ่ หล สตรมี คี รรภก์ ไ็ มค่ ลอด พระจนั ทร์ และพระอาทิตย์ก็ไม่ข้ึนไม่ตก แต่ละอย่างๆ เป็นของตั้งอยู่ อย่างมัน่ คงดจุ การตงั้ อยูข่ องเสาระเนียด ดงั น.ี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมทั้งหลายของพวกข้าพระองค์ มพี ระผมู้ พี ระภาคเปน็ มลู มพี ระผมู้ พี ระภาคเปน็ ผนู้ �ำ มพี ระผมู้ พี ระภาค เปน็ ทพ่ี ง่ึ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ เปน็ การชอบแลว้ หนอ ขอใหอ้ รรถแหง่ ภาษติ นนั้ จงแจม่ แจง้ กะพระผมู้ พี ระภาคเจา้ เองเถดิ ภกิ ษทุ งั้ หลายไดฟ้ งั จากพระผมู้ ีพระภาคแล้วจักทรงจำ�ไว้. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ถา้ เชน่ นนั้ เธอทง้ั หลายจงฟงั จงใสใ่ จ ให้ดี เราจกั กลา่ ว. ภิกษุทั้งหลาย เม่ือรูปมีอยู่ เพราะเข้าไปยึดถือ ซึ่งรูป เพราะปักใจเข้าไปสู่รูป ทิฏฐิจึงเกิดข้ึนอย่างนี้ว่า ลม ก็ไม่พัด แม่นำ้�ก็ไม่ไหล สตรีมีครรภ์ก็ไม่คลอด พระจันทร์ และพระอาทิตย์ก็ไม่ข้ึนไม่ตก แต่ละอย่างๆ เป็นของตั้งอยู่ อย่างมัน่ คง ดุจการต้งั อย่ขู องเสาระเนยี ด. 154
เปิดธรรมทถี่ ูกปิด : สัตว์ ภิกษุท้ังหลาย เม่ือเวทนามีอยู่ … เมื่อสัญญามีอยู่ … เมอื่ สงั ขารทงั้ หลายอยู่ … เมอ่ื วญิ ญาณมอี ยู่ เพราะเขา้ ไป ยดึ ถอื ซง่ึ วญิ ญาณ เพราะปกั ใจเขา้ ไปสวู่ ญิ ญาณ ทฏิ ฐจิ งึ เกดิ ขนึ้ อยา่ งนวี้ า่ ลมกไ็ มพ่ ดั แมน่ �ำ้ กไ็ มไ่ หล สตรมี คี รรภก์ ไ็ มค่ ลอด พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็ไม่ขึ้นไม่ตก แต่ละอย่างๆ เปน็ ของตง้ั อยูอ่ ยา่ งมั่นคง ดุจการต้งั อยูข่ องเสาระเนียด. ภิกษุท้ังหลาย พวกเธอจะสำ�คัญความข้อนี้ว่า อยา่ งไร รปู เที่ยงหรอื ไมเ่ ทย่ี ง. ไม่เที่ยง พระเจา้ ข้า. กส็ ิ่งใดไมเ่ ทย่ี ง ส่งิ นั้นเปน็ ทุกข์หรือเปน็ สขุ เล่า. เปน็ ทกุ ข์ พระเจา้ ข้า. ก็สิ่งใดไม่เท่ียง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็น ธรรมดา แต่ถ้าไม่ยึดม่ันถือม่ันซึ่งส่ิงน้ันแล้ว ทิฏฐิอย่างนี้ จะเกดิ ขน้ึ ไดไ้ หมว่า ลมกไ็ ม่พัด แมน่ �ำ้ กไ็ มไ่ หล สตรีมคี รรภ์ ก็ไม่คลอด พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็ไม่ข้ึนไม่ตก แต่ละอย่างๆ เป็นของต้ังอยู่อย่างมั่นคง ดุจการตั้งอยู่ของ เสาระเนยี ด ดังนี.้ ข้อน้ันหาไม่ได้ พระเจา้ ขา้ . 155
พุทธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย พวกเธอจะสำ�คัญความข้อนี้ว่า อย่างไร เวทนา … สัญญา … สังขารทั้งหลาย … วิญญาณ เท่ยี งหรือไมเ่ ท่ียง. ไมเ่ ท่ยี ง พระเจา้ ข้า. ก็ส่งิ ใดไม่เทีย่ ง สิง่ น้ันเป็นทุกข์หรอื เปน็ สขุ เลา่ . เปน็ ทกุ ข์ พระเจ้าขา้ . ก็ส่ิงใดไม่เท่ียง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็น ธรรมดา แต่ถ้าไม่ยึดมั่นถือม่ันซึ่งส่ิงนั้นแล้ว ทิฏฐิอย่างนี้ จะเกดิ ขน้ึ ไดไ้ หมว่า ลมก็ไมพ่ ดั แมน่ ้ำ�ก็ไม่ไหล สตรีมีครรภ์ ก็ไม่คลอด พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็ไม่ข้ึนไม่ตก แต่ละอย่างๆ เป็นของต้ังอยู่อย่างมั่นคง ดุจการตั้งอยู่ของ เสาระเนียด ดังน.้ี ข้อนั้นหาไม่ได้ พระเจ้าข้า. ภกิ ษทุ งั้ หลาย แมส้ ง่ิ ใดทบ่ี คุ คล ไดเ้ หน็ แลว้ ฟงั แลว้ รู้สึกแล้ว รู้แจ้งแล้ว บรรลุแล้ว แสวงหาแล้วครุ่นคิดอยู่ ด้วยใจแล้ว เหลา่ นีเ้ ปน็ ของเท่ยี งหรอื ไมเ่ ทย่ี ง. ไมเ่ ทย่ี ง พระเจ้าขา้ . 156
เปิดธรรมทถี่ ูกปิด : สัตว์ กส็ ิ่งใดไม่เท่ยี ง สงิ่ นนั้ เปน็ ทุกข์หรอื เปน็ สขุ เลา่ . เป็นทกุ ข์ พระเจา้ ข้า. ก็สิ่งใดไม่เท่ียง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็น ธรรมดา แต่ถ้าไม่ยึดมั่นถือม่ันซ่ึงส่ิงนั้นแล้ว ทิฏฐิอย่างน้ี จะเกิดขนึ้ ไดไ้ หมวา่ ลมก็ไมพ่ ดั แมน่ ำ้�กไ็ ม่ไหล สตรมี ีครรภ์ ก็ไม่คลอด พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็ไม่ขึ้นไม่ตก แต่ละอย่างๆ เป็นของตั้งอยู่อย่างมั่นคง ดุจการตั้งอยู่ของ เสาระเนยี ด ดังน.ี้ ขอ้ นน้ั หาไม่ได้ พระเจ้าข้า. ภิกษุท้ังหลาย ในกาลใดแล ความสงสัย (กงฺขา) ในฐานะ ๖ ประการเหล่าน้ี เป็นสิ่งที่อริยสาวกละขาดแล้ว ในกาลน้ัน ก็เป็นอันว่า ความสงสัยแม้ในทุกข์ แม้ในเหตุ ใหเ้ กดิ ทกุ ข์ แมใ้ นความดบั ไมเ่ หลอื ของทกุ ข์ แมใ้ นขอ้ ปฏบิ ตั ิ ให้ถึงซึ่งความดับไม่เหลือของทุกข์ ก็เป็นส่ิงที่อริยสาวก ละขาดแล้ว. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อรยิ สาวกน้ี เราเรยี กวา่ เปน็ โสดาบนั มีความไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา เปน็ ผเู้ ทย่ี ง จะตรสั รไู้ ดใ้ นกาล เบอ้ื งหนา้ . 157
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ : สัตว์ สงั ขตลกั ษณะ-อสงั ขตลกั ษณะ 43 -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๑๙๒/๔๘๖. ภิกษุท้ังหลาย สังขตลักษณะของสังขตะ ๓ ประการเหล่าน้ีมอี ย ู่ ๓ ประการอะไรบ้าง คอื มีความเกดิ ข้นึ ปรากฏ (อุปปฺ าโท ปฺ ายติ) มคี วามเสื่อมปรากฏ (วโย ปฺ ายต)ิ เมอ่ื ตงั้ อยมู่ คี วามแปรปรวนปรากฏ (ติ สสฺ อฺ ถตตฺ ปฺายติ) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เหล่านแี้ ล สงั ขตลักษณะของสังขตะ ๓ ประการ. ภิกษุทั้งหลาย อสังขตลักษณะของอสังขตะ ๓ ประการเหล่านม้ี อี ย ู่ ๓ ประการอะไรบ้าง คือ ไม่ปรากฏความเกดิ (น อุปปฺ าโท ปฺ ายต)ิ ไมป่ รากฏความเสื่อม (น วโย ปฺ ายต)ิ เม่ือต้ังอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน (น ิตสฺส อฺ ถตตฺ ปฺายต)ิ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เหลา่ นแ้ี ล อสงั ขตลกั ษณะของอสงั ขตะ ๓ ประการ. 158
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปดิ : สัตว์ ธรรมชาติ อนั ไมเ่ กดิ แลว้ 44 อนั ปจั จยั ปรงุ แตง่ ไมไ่ ดแ้ ลว้ มอี ยู่ -บาลี อ.ุ ข.ุ ๒๕/๒๐๗/๑๖๐. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ธรรมชาตอิ นั ไมเ่ กดิ แลว้ ไมเ่ ปน็ แลว้ อนั ปจั จยั กระท�ำ ไมไ่ ดแ้ ลว้ ปรงุ แตง่ ไมไ่ ดแ้ ลว้ มอี ย ู่ ภิกษุ ทัง้ หลาย ถ้าธรรมชาตอิ นั ไม่เกดิ แล้ว ไม่เปน็ แลว้ อนั ปัจจยั กระท�ำ ไมไ่ ดแ้ ลว้ ปรงุ แตง่ ไมไ่ ดแ้ ลว้ จกั ไมไ่ ดม้ แี ลว้ ไซร้ การสลดั ออกซ่ึงธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำ�แล้ว ปรงุ แตง่ แล้ว จะไม่พงึ ปรากฏในโลกนีเ้ ลย. ภิกษุท้ังหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำ�ไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มอี ยู่ ดงั นน้ั การสลดั ออกซงึ่ ธรรมชาตทิ เ่ี กดิ แลว้ เปน็ แลว้ อันปัจจัยกระทำ�แลว้ ปรงุ แต่งแล้วจงึ ปรากฏ. พระสตู รน้ี มีบาลอี ยา่ งน้ี อตฺถิ ภิกฺขเว อชาต อภูต อกต อสงฺขต โน เจ ต ภกิ ขฺ เว อภวสิ สฺ อชาต อภตู อกต อสงขฺ ต นยธิ ชาตสสฺ ภตู สสฺ กตสสฺ สงฺขตสสฺ นิสสฺ รณ ปฺ าเยถ. ยสมฺ า จ โข ภกิ ฺขเว อตถฺ ิ อชาต อภูต อกต อสงขฺ ต ตสมฺ า ชาตสสฺ ภตู สสฺ กตสสฺ สงขฺ ตสสฺ นสิ สฺ รณ ปฺ ายตตี .ิ 159
พุทธวจน - หมวดธรรม อกี สตู รหนง่ึ -บาลี อติ วิ .ุ ข.ุ ๒๕/๒๕๘/๒๒๑. ตรสั ชว่ งตน้ เหมือนกนั กบั สตู รขา้ งบนนี้ แตม่ ีตรัสชว่ งทา้ ยเพ่ิมเติม ดังนี้. ใครๆ ไมค่ วรเพลดิ เพลนิ ตอ่ สงิ่ ทเี่ กดิ แลว้ เปน็ แลว้ เกดิ ขน้ึ พรอ้ มแลว้ อนั ปจั จยั กระท�ำ แลว้ ปรงุ แตง่ แลว้ ไมย่ ง่ั ยนื ปรุงแต่งเพ่ือชราและมรณะ เป็นรังแห่งโรค เป็นของผุพัง มีอาหารและตณั หา เป็นแดนเกดิ . การสลัดออกซึ่งธรรมชาตินั้น เป็นบทอันระงับ จะคาดคะเนเอาไมไ่ ด้ เปน็ ของยงั่ ยนื ไมเ่ กดิ ไมเ่ กดิ ขน้ึ พรอ้ ม ไมม่ คี วามโศก ปราศจากธลุ ี เปน็ ความดบั แหง่ สง่ิ ทม่ี คี วามทกุ ข์ เปน็ ธรรมดา เป็นความเข้าไปสงบร�ำ งับแหง่ สงั ขาร เปน็ สขุ . 160
ทางเพอื่ พน้ จาก ความเป็นสตั ว์ 161
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปดิ : สัตว์ 45ประพฤตพิ รหมจรรยเ์ พอ่ื ละขาดซง่ึ ภพ -บาลี อ.ุ ข.ุ ๒๕/๑๒๑/๘๔. สตั วโ์ ลกนี้ เกดิ ความเดือดรอ้ นแล้ว มีผัสสะบงั หนา้ ยอ่ มกลา่ วซง่ึ โรคนน้ั โดยความเปน็ ตวั เปน็ ตน เขาส�ำ คญั สง่ิ ใด โดยความเปน็ ประการใด แตส่ งิ่ นนั้ ยอ่ มเปน็ โดยประการอน่ื จากท่ีเขาส�ำ คญั น้นั . สัตว์โลกติดข้องอยู่ในภพ ถูกภพบังหน้าแล้ว มีภพ โดยความเป็นอย่างอ่ืน จึงได้เพลิดเพลินย่ิงนักในภพน้ัน เขาเพลดิ เพลนิ ยง่ิ นกั ในสง่ิ ใด สง่ิ นน้ั เปน็ ภยั เขากลวั ตอ่ สงิ่ ใด ส่ิงนน้ั ก็เป็นทุกข์. พรหมจรรย์น้ี อันบุคคลย่อมประพฤติ ก็เพ่ือการ ละขาดซึ่งภพ. สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใด กล่าวความหลุดพ้น จากภพว่ามีได้เพราะภพ เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์ ทง้ั ปวงน้ัน มใิ ชผ่ หู้ ลดุ พ้นจากภพ. ถงึ แมส้ มณะหรอื พราหมณเ์ หลา่ ใด กลา่ วความออกไป ได้จากภพ ว่ามีได้เพราะวิภพ เรากล่าวว่า สมณะหรือ พราหมณท์ ง้ั ปวงนัน้ ก็ยังสลัดภพออกไปไมไ่ ด้. 162
เปิดธรรมท่ีถูกปดิ : สัตว์ ก็ทุกข์นี้มีขึ้น เพราะอาศัยซึ่งอุปธิทั้งปวง เพราะ ความส้ินไปแห่งอุปาทานทั้งปวง ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์จึง ไม่ม.ี ทา่ นจงดโู ลกนเ้ี ถดิ (จะเหน็ วา่ ) สตั วท์ ง้ั หลายอนั อวชิ ชา หนาแนน่ บงั หนา้ แลว้ และวา่ สตั วผ์ ยู้ นิ ดใี นภพอนั เปน็ แลว้ นน้ั ย่อมไม่เปน็ ผหู้ ลุดพ้นไปจากภพได้. กภ็ พทง้ั หลายเหลา่ หนง่ึ เหลา่ ใด อนั เปน็ ไปในทห่ี รอื ในเวลาทง้ั ปวง เพอ่ื ความมแี หง่ ประโยชนโ์ ดยประการทง้ั ปวง. ภพทั้งหลายท้ังหมดน้ัน ไม่เท่ียง เป็นทุกข์มีความ แปรปรวนเปน็ ธรรมดา. เม่ือบุคคลเห็นอยู่ซึ่งข้อน้ัน ด้วยปัญญาอันชอบ ตามท่ีเป็นจริงอย่างน้ีอยู่ เขาย่อมละภวตัณหาได้ และ ไมเ่ พลดิ เพลินวภิ วตณั หาด้วย. ความดบั เพราะความส�ำ รอกไมเ่ หลอื เพราะความสน้ิ ไป แหง่ ตณั หาโดยประการทง้ั ปวง นน้ั คอื นพิ พาน. ภพใหม่ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้ดับเย็นสนิทแล้ว เพราะไมม่ คี วามยดึ มน่ั ภกิ ษนุ น้ั เปน็ ผคู้ รอบง�ำ มารไดแ้ ลว้ ชนะสงครามแล้ว ก้าวล่วงภพทั้งหลายทั้งปวงได้แล้ว เป็น ผคู้ งที่ ดังน้แี ล. 163
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถี่ กู ปิด : สตั ว์ เหตปุ จั จยั เพอ่ื ความเศรา้ หมอง 46 และความบรสิ ทุ ธข์ิ องสตั วท์ ง้ั หลาย -บาลี ขนธ. ส.ํ ๑๗/๘๕/๑๓๑. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ปรู ณกสั สปะ ไดก้ ลา่ วอยา่ งนว้ี า่ เหตไุ มม่ ี ปจั จยั ไมม่ ี เพอ่ื ความเศรา้ หมองของสตั วท์ ง้ั หลาย สตั วท์ ง้ั หลาย จกั เศรา้ หมอง โดยไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย และเหตุไม่มี ปัจจัยไม่มี เพอ่ื ความบรสิ ทุ ธข์ิ อง สตั วท์ ง้ั หลาย สตั วท์ ง้ั หลายยอ่ มบรสิ ทุ ธไ์ิ ด้ โดยไมม่ เี หตุ ไม่มีปัจจัย ดังน้ี ในเร่ืองน้ี พระผมู้ ีพระภาคกลา่ วอย่างไร. มหลิ เหตุมี ปัจจัยมี เพื่อความเศร้าหมองของ สัตว์ทั้งหลาย (สตฺตาน สงฺกิเลสาย) สัตว์ทั้งหลาย (สตฺตา) จัก เศรา้ หมอง เพราะมเี หตุ มปี จั จยั มหล ิ และเหตมุ ี ปจั จยั มี เพอ่ื ความบรสิ ทุ ธข์ิ องสตั วท์ ง้ั หลาย (สตตฺ าน วสิ ทุ ธฺ ยิ า) สตั วท์ ง้ั หลาย ยอ่ มบริสทุ ธิ์ได้ เพราะมเี หตุ มปี ัจจยั . ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เหตุปัจจัย เพื่อความเศร้าหมองของ สตั วท์ ้ังหลายเป็นอยา่ งไร และสตั ว์ทงั้ หลาย จกั เศร้าหมอง เพราะมีเหตุ มีปัจจยั อย่างไรเล่า. มหล ิ ถา้ หากรปู จกั เปน็ ทกุ ขโ์ ดยสว่ นเดยี ว อนั ทกุ ข์ ตามสนอง หยง่ั ลงสคู่ วามทกุ ข์ ไมห่ ยง่ั ลงสคู่ วามสขุ เสยี เลยไซร้ สตั ว์ทง้ั หลายก็จะไม่ก�ำ หนดั ยินดีในรปู . มหล ิ แตเ่ พราะเหตทุ ร่ี ปู ยงั น�ำ มาซงึ่ ความสขุ อนั สขุ ตามสนอง หยั่งลงสู่ความสุข ไม่หย่ังลงสู่ความทุกข์ก็มีอยู่ 164
เปิดธรรมทถ่ี ูกปดิ : สตั ว์ สัตว์ทั้งหลายจึงกำ�หนัดยินดีในรูป (รูปสฺมึ สารชฺชนฺติ) เพราะ ความกำ�หนัดยนิ ดี จงึ ถกู ผกู ไว ้(สาราคา สฺุชฺชนฺต)ิ เพราะถกู ผกู ไว้ จงึ เศรา้ หมองรอบดา้ น (สโฺ คา สงกฺ ลิ ิสฺสนฺติ). มหล ิ ถา้ หากเวทนา … สญั ญา … สงั ขารทงั้ หลาย … วญิ ญาณ จกั เปน็ ทกุ ขโ์ ดยสว่ นเดยี ว อนั ทกุ ขต์ ามสนอง หยง่ั ลง สู่ความทุกข์ ไม่หยั่งลงสู่ความสุขเสียเลยไซร้ สัตว์ท้ังหลาย ก็จะไม่กำ�หนดั ยินดีในวญิ ญาณ. มหลิ แต่เพราะเหตุท่ีเวทนา … สัญญา … สังขาร ท้งั หลาย … วญิ ญาณ ยังน�ำ มาซ่ึงความสขุ อันสุขตามสนอง หยง่ั ลงสคู่ วามสขุ ไมห่ ยง่ั ลงสคู่ วามทกุ ขก์ ม็ อี ยู่ สตั วท์ ง้ั หลาย จึงกำ�หนัดยินดีในวิญญาณ เพราะความกำ�หนัดยินดี จึงถูก ผกู ไว้ เพราะถูกผูกไว้ จงึ เศร้าหมองรอบด้าน. มหลิ สิ่งเหล่านี้แหละ เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เพ่ือ ความเศร้าหมองของสัตว์ท้ังหลาย สัตว์ท้ังหลายย่อม เศร้าหมองเพราะมเี หตุ มีปัจจยั โดยอาการอย่างน.้ี ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เหตุปัจจัย เพ่ือความบริสุทธิ์ของ สัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างไร และสัตว์ท้ังหลายย่อมบริสุทธ์ิได้ เพราะมีเหตุ มีปจั จยั อยา่ งไรเลา่ พระเจา้ ข้า. มหล ิ ถา้ หากรปู จกั เปน็ สขุ โดยสว่ นเดยี ว อนั สขุ ตาม สนอง หย่ังลงสู่ความสุข ไม่หยั่งลงสู่ความทุกข์เสียเลยไซร้ สตั วท์ ้งั หลายก็จะไมเ่ บื่อหน่ายจากรูป. 165
พุทธวจน - หมวดธรรม มหล ิ แตเ่ พราะเหตทุ รี่ ปู เปน็ ทกุ ข์ อนั ทกุ ขต์ ามสนอง หยงั่ ลงสคู่ วามทกุ ข์ ไมห่ ยง่ั ลงสคู่ วามสขุ กม็ อี ยู่ สตั วท์ งั้ หลาย จงึ เบอื่ หนา่ ยจากรปู เมอ่ื เบอื่ หนา่ ย ยอ่ มคลายก�ำ หนดั เพราะ คลายกำ�หนดั ย่อมบริสุทธไิ์ ด้. มหล ิ ถา้ หากเวทนา … สญั ญา … สงั ขารทง้ั หลาย … วญิ ญาณ จกั เปน็ สขุ โดยสว่ นเดยี ว อนั สขุ ตามสนอง หยง่ั ลงสู่ ความสขุ ไมห่ ยง่ั ลงสคู่ วามทกุ ขเ์ สยี เลยไซร้ สตั วท์ ง้ั หลายกจ็ ะ ไมเ่ บอ่ื หนา่ ยจากวญิ ญาณ. มหลิ แต่เพราะเหตุท่ีเวทนา … สัญญา … สังขาร ทั้งหลาย … วิญญาณ เป็นทุกข์ อันทุกข์ตามสนอง หย่ังลง สู่ความทุกข์ ไม่หย่ังลงสู่ความสุขก็มีอยู่ สัตว์ท้ังหลายจึง เบอ่ื หนา่ ยจากจากเวทนา … จากสญั ญา … จากสงั ขารทง้ั หลาย … จากวิญญาณ เมื่อเบ่ือหน่าย ย่อมคลายกำ�หนัด เพราะ คลายก�ำ หนัด ย่อมบรสิ ุทธไิ์ ด.้ มหลิ ส่ิงเหล่าน้ีแหละ เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เพ่ือ ความบรสิ ทุ ธข์ิ องสตั วท์ ง้ั หลาย สตั วท์ งั้ หลายยอ่ มบรสิ ทุ ธไ์ิ ด้ เพราะมเี หตุ มีปจั จยั โดยอาการอยา่ งน้ี. 166
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปิด : สตั ว์ ธาตุ ๔ มอี สั สาทะ อาทนี วะ 47 และนสิ สรณะ -บาลี นทิ าน. ส.ํ ๑๖/๒๐๕/๔๐๘. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ถา้ หากอสั สาทะ (รสอรอ่ ย) ของปฐวธี าตุ จักไม่ได้มีอยู่ สัตว์ทั้งหลาย (สตฺตา) ก็จะไม่กำ�หนัดยินดีใน ปฐวีธาตุ ภิกษุทั้งหลาย แต่เพราะอัสสาทะ ของปฐวีธาตุ มีอยู่ สัตว์ท้งั หลาย จึงก�ำ หนดั ยินดใี นปฐวธี าต.ุ ภิกษุท้ังหลาย ถ้าหากอาทีนวะ (โทษ) ของปฐวีธาตุ จักไม่ได้มีอยู่ สัตว์ทั้งหลาย ก็จะไม่เบ่ือหน่ายจากปฐวีธาตุ ภิกษุท้ังหลาย แต่เพราะอาทีนวะของปฐวีธาตุมีอยู่ สัตว์ ท้งั หลาย จึงเบอ่ื หน่ายจากปฐวธี าตุ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ถา้ หากนสิ สรณะ (อบุ ายเครอ่ื งสลดั ออก) ของปฐวีธาตุ จักไม่ได้มีอยู่ สัตว์ทั้งหลายก็จะไม่ออกไปพ้น ได้จากปฐวีธาตุ ภิกษุทั้งหลาย แต่เพราะนิสสรณะของ ปฐวธี าตุมีอยู่ สตั ว์ทง้ั หลาย จึงออกพ้นไปได้จากปฐวีธาต.ุ ภิกษุท้ังหลาย ถ้าหากอัสสาทะของอาโปธาตุ … ของเตโชธาตุ … ของวาโยธาตุ จักไม่ได้มีอยู่ สัตว์ท้ังหลาย กจ็ ะไมก่ �ำ หนดั ยนิ ดใี นอาโปธาตุ … ในเตโชธาตุ … ในวาโยธาต ุ ภิกษุทั้งหลาย แต่เพราะอัสสาทะของอาโปธาตุ … ของ 167
พุทธวจน - หมวดธรรม เตโชธาตุ … ของวาโยธาตมุ อี ยู่ สตั วท์ ง้ั หลาย จงึ ก�ำ หนดั ยนิ ดี ในอาโปธาตุ … ในเตโชธาตุ … ในวาโยธาตุ. ภิกษุทั้งหลาย ถ้าหากอาทีนวะของอาโปธาตุ … ของเตโชธาตุ … ของวาโยธาตุ จักไม่ได้มีอยู่ สัตว์ทั้งหลาย ก็จะไม่เบ่ือหน่ายจากอาโปธาตุ … จากเตโชธาตุ … จาก วาโยธาตุ ภิกษุท้ังหลาย แต่เพราะอาทีนวะของอาโปธาตุ … ของเตโชธาตุ … ของวาโยธาตุมีอยู่ สัตว์ท้ังหลาย จึง เบอ่ื หนา่ ยจากอาโปธาตุ … จากเตโชธาตุ … จากวาโยธาต.ุ ภิกษุทั้งหลาย ถ้าหากนิสสรณะของอาโปธาตุ … ของเตโชธาตุ … ของวาโยธาตุ จักไม่ได้มีอยู่ สัตว์ท้ังหลาย ก็จะไมอ่ อกไปพน้ ไดจ้ ากอาโปธาตุ … จากเตโชธาตุ … จาก วาโยธาตุ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย แตเ่ พราะนสิ สรณะของอาโปธาตุ … ของเตโชธาตุ … ของวาโยธาตมุ อี ยู่ สตั วท์ งั้ หลาย จงึ ออก พน้ ไปไดจ้ ากอาโปธาตุ … จากเตโชธาตุ … จากวาโยธาต.ุ 168
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถกู ปิด : สัตว์ ขนั ธ์ ๕ มอี สั สาทะ อาทนี วะ 48 และนสิ สรณะ -บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๓๗/๖๒. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ถา้ หากอสั สาทะของรปู จกั ไมไ่ ดม้ อี ยู่ สัตว์ทั้งหลาย ก็จะไม่กำ�หนัดยินดีในรูป ภิกษุท้ังหลาย แตเ่ พราะอสั สาทะของรปู มอี ยู่ สตั วท์ งั้ หลาย จงึ ก�ำ หนดั ยนิ ดี ในรปู . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ถา้ หากอาทนี วะของรปู จกั ไมไ่ ดม้ อี ยู่ สัตว์ท้ังหลาย ก็จะไม่เบ่ือหน่ายจากรูป ภิกษุท้ังหลาย แต่เพราะอาทีนวะของรูปมีอยู่ สัตว์ท้ังหลาย จึงเบ่ือหน่าย จากรปู . ภกิ ษทุ งั้ หลาย ถา้ หากนสิ สรณะของรปู จกั ไมไ่ ดม้ อี ยู่ สัตว์ทั้งหลาย ก็จะไม่ออกไปพ้นได้จากรูป ภิกษุทั้งหลาย แตเ่ พราะนสิ สรณะของรปู มอี ยู่ สตั วท์ ง้ั หลาย จงึ ออกพน้ ไปได้ จากรปู . ภิกษุท้ังหลาย ถ้าหากอัสสาทะของเวทนา … ของ สญั ญา … ของสงั ขารทง้ั หลาย … ของวญิ ญาณ จกั ไมไ่ ดม้ อี ยู่ สตั วท์ ้ังหลาย กจ็ ะไม่กำ�หนัดยนิ ดใี นเวทนา … ในสญั ญา … ในสงั ขารทง้ั หลาย … ในวญิ ญาณ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย แตเ่ พราะ 169
พทุ ธวจน - หมวดธรรม อสั สาทะของเวทนา … ของสญั ญา … ของสงั ขารทง้ั หลาย … ของวญิ ญาณมอี ยู่ สตั วท์ งั้ หลาย จงึ ก�ำ หนดั ยนิ ดใี นเวทนา … ในสัญญา … ในสงั ขารทงั้ หลาย … ในวญิ ญาณ. ภิกษุทั้งหลาย ถ้าหากอาทีนวะของเวทนา … ของ สัญญา … ของสังขารทั้งหลาย … ของวิญญาณ จักไม่ได้ มีอยู่ สัตว์ทั้งหลาย ก็จะไม่เบื่อหน่ายจากเวทนา … จาก สัญญา … จากสังขารทั้งหลาย … จากวิญญาณ ภิกษุ ทั้งหลาย แต่เพราะอาทีนวะของเวทนา … ของสัญญา … ของสังขารท้ังหลาย … ของวิญญาณมีอยู่ สัตว์ท้ังหลาย จงึ เบอ่ื หนา่ ยจากเวทนา … จากสญั ญา … จากสงั ขารทง้ั หลาย … จากวญิ ญาณ. ภิกษุทั้งหลาย ถ้าหากนิสสรณะของเวทนา … ของ สญั ญา … ของสงั ขารทงั้ หลาย … ของวญิ ญาณ จกั ไมไ่ ดม้ อี ยู่ สตั วท์ งั้ หลาย กจ็ ะไมอ่ อกไปพน้ ไดจ้ ากเวทนา … จากสญั ญา … จากสงั ขารทง้ั หลาย … จากวญิ ญาณ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย แตเ่ พราะ นสิ สรณะของเวทนา … ของสญั ญา … ของสงั ขารทงั้ หลาย … ของวญิ ญาณมอี ยู่ สตั วท์ งั้ หลาย จงึ ออกพน้ ไปไดจ้ ากเวทนา … จากสญั ญา … จากสงั ขารทง้ั หลาย … จากวญิ ญาณ. 170
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถูกปดิ : สัตว์ ความพรากจากโยคะ ๔ 49 -บาลี จตกุ กฺ . อ.ํ ๒๑/๑๓/๑๐. ภิกษุท้ังหลาย ความพรากจากโยคะ ๔ ประการนี้ ๔ ประการอะไรบ้าง คอื (1) ความพรากจากกามโยคะ (กามโยควสิ โยโค)1 (2) ความพรากจากภวโยคะ (ภวโยควิสโ ยโค) (3) ความพรากจากทฏิ ฐโิ ยคะ (ทฏิ ฺโิ ยควสิ โยโค) (4) ความพรากจากอวชิ ชาโยคะ (อวชิ ชฺ าโยควิสโ ยโค) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กค็ วามพรากจากกามโยคะเปน็ อยา่ งไร บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิด (สมุทย) ความ ต้ังอยู่ไม่ได้ (อตฺถงฺคม) คุณ (อสฺสาท) โทษ (อาทีนว) และอบุ าย เครอ่ื งสลดั ออก (นสิ สฺ รณ) แหง่ กามทง้ั หลาย ตามความเปน็ จรงิ เมื่อเขารู้ชัดซ่ึงความเกิด ความต้ังอยู่ไม่ได้ คุณ โทษ และ อุบายเครื่องสลัดออกแห่งกามท้ังหลาย ตามความเป็นจริง ความก�ำ หนดั เพราะกาม ความเพลดิ เพลนิ เพราะกาม ความ เยื่อใยเพราะกาม ความหมกมุ่นเพราะกาม ความกระหาย เพราะกาม ความเร่าร้อนเพราะกาม ความหย่ังลงในกาม 1. บคุ คลผพู้ รากแลว้ จากกามโยคะ (กามโยควสิ ย ตุ โฺ ต) (แต)่ ยงั ประกอบดว้ ยภวโยคะ เปน็ อนาคามี ไมม่ าสคู่ วามเปน็ อยา่ งน.้ี บคุ คลผพู้ รากแลว้ จากกามโยคะ พรากแลว้ ๒จา๕ก/๓ภ๐ว๓โย/๒ค๗ะ ๖(ภ. วโยควิสยุตฺโต) เป็นอรหันต์ ส้ินอาสวะแล้ว. -บาลี อิติวุ. ขุ. 171
พุทธวจน - หมวดธรรม ความทะยานอยากเพราะกามในกามทง้ั หลาย ยอ่ มไมเ่ กดิ ขนึ้ ภกิ ษทุ งั้ หลาย น้เี ราเรียกว่า ความพรากจากกามโยคะ. ความพรากจากกามโยคะเปน็ ดงั น.้ี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กค็ วามพรากจากภวโยคะเปน็ อยา่ งไร บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดซ่ึงความเกิด ความตั้งอยู่ ไมไ่ ด้ คณุ โทษ และอบุ ายเครอ่ื งสลดั ออก แห่งภพทง้ั หลาย ตามความเปน็ จรงิ เมอื่ เขารชู้ ดั ซงึ่ ความเกดิ ความตงั้ อยไู่ มไ่ ด้ คุณ โทษ และอุบายเคร่ืองสลัดออกแห่งภพท้ังหลายตาม ความเป็นจริง ความกำ�หนัดเพราะภพ ความเพลิดเพลิน เพราะภพ ความเยื่อใยเพราะภพ ความหมกม่นุ เพราะภพ ความกระหายเพราะภพ ความเรา่ รอ้ นเพราะภพ ความหยง่ั ลง ในภพ และความทะยานอยากเพราะภพในภพทง้ั หลาย ยอ่ ม ไม่เกิดข้ึน ภิกษุท้ังหลาย น้ีเราเรียกว่า ความพรากจาก ภวโยคะ. ความพรากจากกามโยคะ ความพรากจากภวโยคะ เปน็ ดงั นี้. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย กค็ วามพรากจากทฏิ ฐโิ ยคะเปน็ อยา่ งไร บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดซ่ึงความเกิด ความตั้งอยู่ ไม่ได้ คณุ โทษ และอบุ ายเครอ่ื งสลดั ออก แหง่ ทฏิ ฐทิ ง้ั หลาย 172
เปิดธรรมทีถ่ กู ปิด : สตั ว์ ตามความเปน็ จรงิ เมอ่ื เขารชู้ ดั ซง่ึ ความเกดิ ความตง้ั อยไู่ มไ่ ด้ คณุ โทษ และอุบายเคร่ืองสลดั ออกแห่งทฏิ ฐทิ ้ังหลาย ตาม ความเป็นจริง ความกำ�หนัดเพราะทิฏฐิ ความเพลิดเพลิน เพราะทิฏฐิ ความเยื่อใยเพราะทิฏฐิ ความหมกมุ่นเพราะ ทิฏฐิ ความกระหายเพราะทิฏฐิ ความเร่าร้อนเพราะทิฏฐิ ความหย่ังลงในทิฏฐิ และความทะยานอยากเพราะทิฏฐิใน ทิฏฐิท้ังหลาย ยอ่ มไมเ่ กดิ ขึ้น ภกิ ษทุ ง้ั หลาย นี้เราเรยี กว่า ความพรากจากทฏิ ฐิโยคะ. ความพรากจากกามโยคะ ความพรากจากภวโยคะ ความพรากจากทฏิ ฐโิ ยคะเป็นดงั น้ี. ภิกษุท้ังหลาย ก็ความพรากจากอวิชชาโยคะเป็น อย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดซ่ึงความเกิด ความตั้งอยู่ไม่ได้ คุณ โทษ และอบุ ายเครอ่ื งสลดั ออก แห่ง ผัสสายตนะ ๖ ประการ ตามความเป็นจริง เมื่อเขารู้ชัดซ่ึง ความเกดิ ความตง้ั อยไู่ มไ่ ด้ คณุ โทษ และอบุ ายเครอ่ื งสลดั ออก แหง่ ผสั สายตนะ ๖ ประการ ตามความเป็นจริง ความไม่รู้ ความไม่หยั่งรู้ในผัสสายตนะ ๖ ประการ ย่อมไม่เกิดข้ึน ภิกษุทง้ั หลาย นเ้ี ราเรยี กวา่ ความพรากจากอวชิ ชาโยคะ. ความพรากจากกามโยคะ ความพรากจากภวโยคะ ความพรากจากทฏิ ฐโิ ยคะ ความพรากจากอวชิ ชาโยคะเปน็ ดงั น.้ี 173
พุทธวจน - หมวดธรรม บุคคลผ้พู รากจากอกุศลธรรมอันเป็นบาป อันเป็น เครอ่ื งเศรา้ หมอง เปน็ เหตใุ หม้ ภี พใหม่ มคี วามกระสบั กระสา่ ย มผี ลเปน็ ทกุ ข์ มชี าติ ชราและมรณะตอ่ ไป เพราะฉะนน้ั เราจงึ เรียกว่า ผเู้ กษมจากโยคะ (โยคกเฺ ขม)ี . ภิกษุท้ังหลาย เหล่าน้ีคือ ความพรากจากโยคะ ๔ ประการ. สตั วท์ ง้ั หลายผปู้ ระกอบแลว้ ดว้ ยกามโยคะ (กามโยเคน สย ตุ ตฺ า) ดว้ ยภวโยคะ ดว้ ยทฏิ ฐโิ ยคะ และถกู อวชิ ชากระท�ำ ใน เบอื้ งหนา้ แลว้ มปี กตไิ ปสชู่ าตแิ ละมรณะ ยอ่ มไปสสู่ งั สารวฏั . ส่วนสัตว์เหล่าใดรอบรู้แล้ว ซึ่งกามท้ังหลาย และภวโยคะ โดยประการทง้ั ปวง ถอนขนึ้ ไดแ้ ลว้ ซงึ่ ทฏิ ฐโิ ยคะ และพรากออกได้โดยเด็ดขาดซ่ึงอวิชชา สัตว์เหล่าน้ันแล เปน็ ผพู้ รากจากโยคะทง้ั ปวง (สพพฺ โยควสิ ย ตุ ตฺ า) เปน็ มนุ ผี ลู้ ว่ งพน้ โยคะเสียได้. 174
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี ูกปิด : สตั ว์ ความดบั สนทิ ไมเ่ หลอื ของโลก 50 หาพบในกายน้ี -บาลี จตกุ กฺ . อ.ํ ๒๑/๖๓/๔๖. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เราไดก้ ลา่ วกะโรหติ สั สเทวบตุ รนน้ั วา่ อาวุโส ท่ีสุดโลกแห่งใด อันสัตว์ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ เราไม่กล่าวการรู้ การเห็น การถึงที่ สดุ โลกน้ัน เพราะการไป. อาวุโส เมื่อยังไม่ถึงท่ีสุดแห่งโลกแล้ว เราย่อม ไมก่ ลา่ วซึง่ การกระท�ำ ท่ีสุดแห่งทุกข์. อาวุโส ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้ ที่ยัง ประกอบด้วยสัญญาและใจน่ีเอง เราได้บัญญัติโลก เหตุ ให้เกิดโลก ความดับสนิทไม่เหลือของโลก และทางดำ�เนิน ให้ถงึ ความดบั สนิทไมเ่ หลอื ของโลกไว้ ดงั น.ี้ 175
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ ูกปิด : สตั ว์ ยาถา่ ยอนั เปน็ อรยิ ะ 51 -บาลี ทสก. อ.ํ ๒๔/๒๓๓/๑๐๘. ภิกษุท้ังหลาย แพทย์ทั้งหลาย ย่อมให้ยาถ่ายเพ่ือ กำ�จัดโรค ที่มีนำ้�ดีเป็นเหตุบ้าง ท่ีมีเสมหะเป็นเหตุบ้าง ที่มีลมเป็นเหตุบ้าง ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ยาถ่าย ชนิดน้ันมีอยู่ มิใช่ไม่มี แต่ว่ายาถ่ายชนิดน้ัน บางทีก็ได้ผล บางทกี ไ็ มไ่ ดผ้ ล. ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง ยาถ่ายอันเป็นอริยะ (อริย วิเรจน) อันเป็นยาถ่ายท่ีได้ผลโดยส่วนเดียว ไม่มีที่จะ ไม่ได้ผล เป็นยาถ่ายซ่ึงอาศัยแล้ว สัตว์ท่ีมีความเกิดเป็น ธรรมดา (ชาตธิ มมฺ า สตตฺ า) จะพน้ จากความเกดิ สตั วท์ ม่ี คี วามแก่ เป็นธรรมดา (ชราธมฺมา สตฺตา) จะพ้นจากความแก่ สัตว์ที่มี ความตายเปน็ ธรรมดา (มรณธมมฺ า สตตฺ า) จะพน้ จากความตาย สัตว์ท่ีมีโสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสะทั้งหลายเป็น ธรรมดา (โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสธมฺมา สตฺตา) จะพ้นจาก โสกะปรเิ ทวะ ทกุ ขะโทมนสั อปุ ายาสะทงั้ หลาย พวกเธอจงฟงั จงทำ�ในใจให้ดี เราจกั กล่าว. ภิกษุท้ังหลาย ยาถ่ายอันเป็นอริยะ ท่ีได้ผลโดย สว่ นเดยี ว ไมม่ ที จี่ ะไมไ่ ดผ้ ล เปน็ ยาถา่ ยซง่ึ อาศยั แลว้ สตั วท์ มี่ ี ความเกดิ เปน็ ธรรมดา จะพน้ จากความเกดิ สตั วท์ ม่ี คี วามแก่ 176
เปิดธรรมท่ถี กู ปิด : สตั ว์ เป็นธรรมดา จะพ้นจากความแก่ สัตว์ท่ีมีความตาย เป็นธรรมดา จะพ้นจากความตาย สัตว์ท่ีมีโสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสะทั้งหลายเป็นธรรมดา จะพ้นจาก โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสะทั้งหลายได้น้ัน เปน็ อย่างไร. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ผมู้ สี มั มาทฏิ ฐิ ยอ่ มระบายมจิ ฉาทฏิ ฐิ ออกได้ กล่าวคือ บาปอกุศลธรรมเป็นอเนกเกิดขึ้นเพราะ มิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัยเหล่าใด บาปอกุศลธรรมเหล่าน้ันเป็น สิ่งที่เขาระบายออกได้แล้ว และกุศลธรรมเป็นอเนก ที่มี สัมมาทิฏฐเิ ปน็ ปจั จัย ยอ่ มถงึ ความเจรญิ บริบูรณ.์ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ผมู้ สี มั มาสงั กปั ปะ ยอ่ มระบายมจิ ฉา สงั กปั ปะออกได้ … ภิกษุท้ังหลาย ผู้มีสัมมาวาจา ย่อมระบายมิจฉา วาจาออกได้ … ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ผมู้ สี มั มากมั มนั ตะ ยอ่ มระบายมจิ ฉา กมั มันตะออกได้ … ภิกษุทั้งหลาย ผู้มีสัมมาอาชีวะ ย่อมระบายมิจฉา อาชวี ะออกได้ … ภิกษุทง้ั หลาย ผ้มู สี ัมมาวายามะ ยอ่ มระบายมิจฉา วายามะออกได้ … 177
พุทธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย ผู้มีสัมมาสติ ย่อมระบายมิจฉาสติ ออกได้ … ภิกษุทั้งหลาย ผู้มีสัมมาสมาธิ ย่อมระบายมิจฉา สมาธิออกได้ … ภิกษุท้ังหลาย ผู้มีสัมมาญาณะ ย่อมระบายมิจฉา ญาณะออกได้ … ภิกษุทั้งหลาย ผู้มีสัมมาวิมุตติ ย่อมระบายมิจฉา- วิมุตติออกได้ กล่าวคือ บาปอกุศลธรรมเป็นอเนกเกิดขึ้น เพราะมิจฉาวิมุตติเป็นปัจจัยเหล่าใด บาปอกุศลธรรม เหลา่ นน้ั เปน็ สงิ่ ทเี่ ขาระบายออกไดแ้ ลว้ และกศุ ลธรรมเปน็ อเนก ทมี่ สี มั มาวมิ ตุ ตเิ ปน็ ปจั จยั ยอ่ มถงึ ความเจรญิ บรบิ รู ณ.์ ภกิ ษทุ งั้ หลาย เหลา่ นแ้ี ล ยาถา่ ยอนั เปน็ อรยิ ะ อนั เปน็ ยาถ่ายท่ีได้ผลโดยส่วนเดียว ไม่มีที่จะไม่ได้ผล เป็นยาถ่าย ซ่ึงอาศัยแล้ว สัตว์ท่ีมีความเกิดเป็นธรรมดา จะพ้นจาก ความเกดิ สตั วท์ ม่ี คี วามแกเ่ ปน็ ธรรมดา จะพน้ จากความแก่ สตั วท์ มี่ คี วามตายเปน็ ธรรมดา จะพน้ จากความตาย สตั วท์ มี่ ี โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสะทั้งหลายเป็นธรรมดา จะพ้นจากโสกะปรเิ ทวะ ทกุ ขะโทมนัสอปุ ายาสะทัง้ หลาย. 178
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปิด : สตั ว์ สง่ิ ทป่ี ถุ ชุ นยดึ ถอื 52 -บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๑๘๓/๒๕๘. ภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำ�หนดที่สุดเบ้ืองต้น เบ้ืองปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องก้ัน มีตัณหาเป็นเคร่ืองผูก ท่องเท่ียวไปมาอยู่ ที่สุดเบ้ืองต้น ย่อมไมป่ รากฏ. ภกิ ษุทงั้ หลาย สุนขั ทเ่ี ขาผูกไวด้ ้วยเชอื ก ถูกลา่ มไว้ ที่หลักหรือเสาอันม่ันคง ถ้าแม้มันเดิน มันก็ย่อมเดินใกล้ หลักหรือเสานั้นเอง ถ้าแม้มันยืน มันก็ย่อมยืนใกล้หลัก หรือเสาน้ันเอง ถ้าแม้มันน่ัง มันก็ย่อมน่ังใกล้หลักหรือเสา นน้ั เอง ถา้ แมม้ นั นอน มนั กย็ อ่ มนอนใกลห้ ลกั หรอื เสานนั้ เอง แม้ฉนั ใด. ภกิ ษทุ งั้ หลาย ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั กฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั ย่อมตามเห็นรูปว่า น่ันของเรา น่ันเป็นเรา น่ันเป็นตัวตน ของเรา ย่อมตามเห็นเวทนา … สัญญา … สังขารท้ังหลาย … วญิ ญาณวา่ นน่ั ของเรา นน่ั เปน็ เรา นนั่ เปน็ ตวั ตนของเรา. ปุถุชนนั้น ถ้าแม้เดินอยู่ เขาก็ย่อมเดินใกล้ อปุ าทานขนั ธ์ ๕ เหลา่ นน้ี น้ั เอง ถา้ แมย้ นื อยู่ เขากย็ อ่ มยนื ใกล้ อปุ าทานขนั ธ์ ๕ เหลา่ นน้ี น้ั เอง ถา้ แมน้ งั่ อยู่ เขากย็ อ่ มนงั่ ใกล้ 179
พุทธวจน - หมวดธรรม อปุ าทานขนั ธ์ ๕ เหลา่ นน้ี น้ั เอง ถา้ แมน้ อนอยู่ เขายอ่ มนอนใกล้ อปุ าทานขนั ธ์ ๕ เหลา่ นนี้ น้ั เอง. ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุน้ันแล เธอท้ังหลาย พึง พจิ ารณาจติ ของตนเนอื งๆ วา่ จติ นเี้ ศรา้ หมองแลว้ ดว้ ยราคะ โทสะ โมหะ สนิ้ กาลนาน ภกิ ษทุ งั้ หลาย สตั วท์ งั้ หลาย ยอ่ ม เศร้าหมองเพราะจิตเศร้าหมอง สัตว์ท้ังหลายย่อมบริสุทธิ์ เพราะจิตผ่องแผว้ (จติ ฺตโวทานา) … . ภิกษุท้ังหลาย เปรียบเหมือนช่างย้อม หรือ ช่างเขยี น เม่ือมีนำ้�ย้อมคือครงั่ ขมิ้น คราม หรอื สีแดงออ่ น ก็จะพึงเขียนรูปสตรี หรือรูปบุรุษ ลงที่แผ่นกระดาษ หรือ ฝาผนัง หรือผืนผ้า ซ่ึงเกลี้ยงเกลา ได้ครบทุกส่วน ภิกษุ ทงั้ หลาย ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั ฉนั นนั้ เหมอื นกนั เมอ่ื จะใหเ้ กดิ ย่อมทำ�รูปนั่นแหละให้เกิด เมื่อจะให้เกิด ย่อมทำ�เวทนา นน่ั แหละใหเ้ กดิ เมอื่ จะใหเ้ กดิ ยอ่ มท�ำ สญั ญานนั่ แหละใหเ้ กดิ เม่ือจะใหเ้ กิด ยอ่ มท�ำ สังขารน่ันแหละให้เกิด เมื่อจะใหเ้ กดิ ยอ่ มท�ำ วิญญาณน่นั แหละใหเ้ กดิ . ภิกษุท้ังหลาย เธอท้ังหลายจะสำ�คัญความข้อนี้ว่า อยา่ งไร รปู เทย่ี งหรอื ไม่เที่ยง. ไมเ่ ที่ยง พระเจา้ ข้า. 180
เปดิ ธรรมทถี่ ูกปดิ : สตั ว์ ก็สง่ิ ใดไมเ่ ทีย่ ง สงิ่ น้นั เป็นทุกข์หรือเปน็ สุขเลา่ . เปน็ ทุกข์ พระเจ้าขา้ . ก็ส่ิงใดไม่เท่ียง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็น ธรรมดา ควรหรอื ทจ่ี ะตามเหน็ สง่ิ นนั้ วา่ นน่ั ของเรา นน่ั เปน็ เรา นนั่ เป็นตัวตนของเรา. ไมค่ วรเหน็ อยา่ งน้นั พระเจ้าข้า. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เธอทงั้ หลายจะส�ำ คญั ความขอ้ นนั้ วา่ อยา่ งไร … เวทนา … สญั ญา … สงั ขารทงั้ หลาย … วญิ ญาณ เท่ียงหรือไมเ่ ทีย่ ง. ไมเ่ ทย่ี ง พระเจา้ ข้า. ก็ส่ิงใดไมเ่ ทย่ี ง สงิ่ นน้ั เปน็ ทกุ ข์หรอื เปน็ สขุ เล่า. เป็นทุกข์ พระเจา้ ขา้ . ก็สิ่งใดไม่เท่ียง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็น ธรรมดา ควรหรอื ทจ่ี ะตามเหน็ สง่ิ นนั้ วา่ นน่ั ของเรา นนั่ เปน็ เรา น่นั เปน็ ตัวตนของเรา. ไม่ควรเหน็ อยา่ งนน้ั พระเจ้าขา้ . 181
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั แลว้ เหน็ อยอู่ ยา่ งน้ี ย่อมเบ่ือหน่ายแม้ในรูป ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา ย่อม เบอ่ื หนา่ ยแมใ้ นสญั ญา ยอ่ มเบอ่ื หนา่ ยแมใ้ นสงั ขารทงั้ หลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ เม่ือเบ่ือหน่าย ย่อมคลาย ก�ำ หนดั เพราะคลายก�ำ หนดั ยอ่ มหลดุ พน้ เมอื่ หลดุ พน้ แลว้ ยอ่ มมญี าณหยงั่ รวู้ า่ หลดุ พน้ แลว้ อรยิ สาวกนนั้ ยอ่ มรชู้ ดั วา่ ชาตสิ นิ้ แลว้ พรหมจรรยอ์ ยจู่ บแลว้ กจิ ทคี่ วรท�ำ ไดท้ �ำ เสรจ็ แลว้ กิจอืน่ เพอื่ ความเป็นอยา่ งนไี้ ม่ไดม้ ี ดังน.ี้ 182
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปดิ : สตั ว์ ขนั ธ์ ๕ ไมใ่ ชข่ องเรา 53 -บาลี ม.ู ม. ๑๒/๒๗๙/๒๘๗., -บาลี ขนธฺ . ส.ํ ๑๗/๔๒/๗๑. … ภิกษุท้ังหลาย เพราะเหตุนั้นแล ถ้าแม้ว่า ชนเหลา่ อนื่ พงึ ดา่ วา่ บรภิ าษ โกรธเคอื ง เบยี ดเบยี น กระทบ กระเทียบพวกเธอ พวกเธอไม่พึงมีความอาฆาต ไม่พึงมี ความขุ่นเคอื ง ไม่พึงมีความไมช่ อบใจในชนเหลา่ อื่นนั้น. ภิกษุท้ังหลาย เพราะเหตุน้ันแล แม้จะมีใครมา สักการะ เคารพ นับถือ บูชาพวกเธอ พวกเธอไม่พึงมี ความยินดี ไม่พึงมีความโสมนัส หรือไม่มีความเคลิ้มใจ ไปตามสิ่งเหล่าน้ัน ภิกษุท้ังหลาย ถ้ามีใครมาสักการะ เคารพ นบั ถอื บชู าพวกเธอ พวกเธอพงึ มคี วามคดิ อยา่ งนว้ี า่ ก่อนหน้านี้เรามีความรู้สึกตัวท่ัวถึงอย่างไร บัดนี้เราก็ต้อง ทำ�ความรสู้ กึ ตัวทวั่ ถึงอยา่ งนัน้ ดงั น้.ี ภกิ ษทุ งั้ หลาย เพราะเหตนุ นั้ แล สง่ิ ใดไมใ่ ชข่ องเธอ ส่ิงน้ันเธอจงละมันเสีย ส่ิงนั้นอันเธอละได้แล้ว จักเป็นไป เพ่อื ประโยชนเ์ กอ้ื กลู และความสุขแก่เธอ. ภิกษุท้งั หลาย อะไรเลา่ ทไี่ มใ่ ชข่ องเธอ. ภิกษุท้ังหลาย รูปไม่ใช่ของเธอ เธอจงละมันเสีย ส่ิงน้ันอันเธอละได้แล้ว จักเป็นไปเพ่ือประโยชน์เก้ือกูล และความสขุ แก่เธอ. 183
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เวทนาไมใ่ ชข่ องเธอ เธอจงละมนั เสยี สิ่งน้ันอันเธอละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแกเ่ ธอ. ภกิ ษทุ งั้ หลาย สญั ญาไมใ่ ชข่ องเธอ เธอจงละมนั เสยี ส่ิงนั้นอันเธอละได้แล้ว จักเป็นไปเพ่ือประโยชน์เก้ือกูล และความสุขแกเ่ ธอ. ภกิ ษุท้ังหลาย สงั ขารท้งั หลายไมใ่ ช่ของเธอ เธอจง ละมันเสีย สิ่งน้ันอันเธอละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เก้ือกูล และความสขุ แกเ่ ธอ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย วญิ ญาณไมใ่ ชข่ องเธอ เธอจงละมนั เสยี ส่ิงน้ันอันเธอละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแกเ่ ธอ. ภิกษุท้ังหลาย เปรียบเหมือนอะไรๆ ในเชตวันน้ี ท่ีเป็นหญ้า เป็นไม้ เป็นก่ิงไม้ เป็นใบไม้ ท่ีคนเขาขนไปท้ิง หรอื เผาเสยี หรอื ท�ำ ตามสมควรแกเ่ หตุ พวกเธอรสู้ กึ อยา่ งน้ี บ้างหรือไม่ว่า คนเขาขนเราไป หรือเผาเรา หรือทำ�แก่เรา ตามสมควรแกเ่ หต.ุ ไมร่ ู้สึกอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า. 184
เปดิ ธรรมที่ถูกปิด : สัตว์ ขอ้ น้นั เพราะเหตุอะไร. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ เพราะเหตวุ า่ ความรสู้ กึ วา่ ตวั ตน (อตตฺ า) ของตน (อตตฺ นิยา) ของขา้ พระองคไ์ ม่มใี นสงิ่ เหลา่ นน้ั พระเจา้ ข้า. ภิกษุท้ังหลาย ฉันใดก็ฉันนั้น รูปไม่ใช่ของเธอ เธอจงละมันเสีย ส่ิงน้ันอันเธอละได้แล้ว จักเป็นไปเพ่ือ ประโยชน์เกอื้ กูล และความสุขแก่เธอ. ภกิ ษทุ งั้ หลาย เวทนาไมใ่ ชข่ องเธอ เธอจงละมนั เสยี สิ่งน้ันอันเธอละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เก้ือกูล และความสขุ แกเ่ ธอ. ภกิ ษทุ งั้ หลาย สญั ญาไมใ่ ชข่ องเธอ เธอจงละมนั เสยี ส่ิงน้ันอันเธอละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสขุ แก่เธอ. ภกิ ษุทง้ั หลาย สังขารท้งั หลายไม่ใช่ของเธอ เธอจง ละมันเสีย ส่ิงนั้นอันเธอละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เกื้อกลู และความสขุ แกเ่ ธอ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย วญิ ญาณไมใ่ ชข่ องเธอ เธอจงละมนั เสยี ส่ิงนั้นอันเธอละได้แล้ว จักเป็นไปเพ่ือประโยชน์เก้ือกูล และความสขุ แกเ่ ธอ. 185
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปดิ : สตั ว์ อายตนะภายใน ๖ ไมใ่ ชข่ องเรา 54 -บาลี สฬา. ส.ํ ๑๘/๑๖๑/๒๑๙. ภิกษุท้ังหลาย ส่ิงใดไม่ใช่ของเธอ ส่ิงน้ันเธอจงละ มันเสีย สิ่งน้ันอันเธอละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เกื้อกลู และความสขุ แก่เธอ. ภกิ ษุท้งั หลาย อะไรเล่า ทไ่ี ม่ใชข่ องเธอ. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย จกั ษ ุ(ตา) ไมใ่ ชข่ องเธอ เธอจงละมนั เสยี ส่ิงนั้นอันเธอละได้แล้ว จักเป็นไปเพ่ือประโยชน์เกื้อกูล และความสขุ แก่เธอ. ภิกษุทั้งหลาย โสตะ (หู) … ฆานะ (จมูก) … ชิวหา (ลน้ิ ) … กายะ (กาย) … มโน (ใจ) ไมใ่ ชข่ องเธอ เธอจงละมนั เสยี ส่ิงนั้นอันเธอละได้แล้ว จักเป็นไปเพ่ือประโยชน์เกื้อกูล และความสขุ แก่เธอ. ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือน อะไรๆ ในเชตวันน้ี ท่ีเป็นหญ้า เป็นไม้ เป็นกิ่งไม้ เป็นใบไม้ ท่ีคนเขาขนไปทิ้ง หรอื เผาเสยี หรอื ท�ำ ตามสมควรแกเ่ หตุ พวกเธอรสู้ กึ อยา่ งนี้ บ้างหรือไม่ว่า คนเขาขนเราไป หรือเผาเรา หรือทำ�แก่เรา ตามสมควรแก่เหตุ. ไมร่ ู้สึกอย่างนน้ั เลย พระเจ้าข้า. 186
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288