Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สัตว์

Description: สัตว์ทั้งหลายผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ท่องเที่ยวไปมาอยู่ บางคราวแล่นจากโลกนี้สู่โลกอื่น บางคราวแล่นจากโลกอื่นสู่โลกนี้ สัตว์เหล่านั้นได้เสวยทุกข์ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็นป่าช้า
ตลอดกาลนาน ข้อนั้นเพราะความที่สัตว์เหล่านั้นไม่เห็นอริยสัจทั้งสี่.

Search

Read the Text Version

เปดิ ธรรมทถี่ ูกปิด : สัตว์ เห็นบคุ คลนนั้ เบอื้ งหน้าจากการตายเพราะกายแตกทำ�ลาย เข้าถึงแล้วซ่ึงสุคติโลกสวรรค์ เสวยสุขเวทนาโดยส่วนเดียว ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษขุ องมนษุ ย.์ สารีบุตร  เปรียบเหมือนปราสาท ในปราสาทนั้น มีเรือนยอด ซึ่งฉาบทาแล้ว ท้ังภายในและภายนอก หาช่องลมไม่ได้ มีวงกรอบอันสนิท มีบานประตู และ หน้าต่างอันปิดสนิทดี ในเรือนยอดนั้น มีบัลลังก์อันลาด ดว้ ยผา้ โกเชาวข์ นยาว ลาดดว้ ยเครอ่ื งลาดท�ำ ดว้ ยขนแกะ สขี าว ลาดดว้ ยขนเจยี มเปน็ แผน่ ทบึ มเี ครอื่ งลาดอยา่ งดี ทำ�ด้วยหนังชะมด มีเพดานก้ันในเบ้ืองบน มีหมอนแดง วาง ณ ข้างทั้งสอง  ลำ�ดับน้ัน บุรุษผู้มีตัวอันความร้อน แผดเผา เหนด็ เหนอ่ื ย หวิ กระหาย มงุ่ มาสปู่ ราสาทนน้ั แหละ โดยหนทางสายเดียว บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาแล้ว พึงกล่าว อยา่ งนว้ี า่ บรุ ษุ ผเู้ จรญิ นี้ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งนน้ั ด�ำ เนนิ อยา่ งนนั้ และ ข้ึนสู่หนทางน้ัน จักมาถึงปราสาทนี้ทีเดียว โดยสมัยต่อมา บุรุษผู้มีจักษุน้ัน  พึงเห็นเขาน่ังหรือนอนบนบัลลังก์ใน เรอื นยอด ณ ปราสาทนัน้ เสวยสุขเวทนาโดยสว่ นเดยี ว. สารบี ตุ ร  ฉนั ใดกฉ็ นั นน้ั เรายอ่ มก�ำ หนดรใู้ จบคุ คล บางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า บุคคลน้ี ปฏิบัติอย่างน้ัน 37

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ด�ำ เนนิ อยา่ งนนั้ และขน้ึ สหู่ นทางนน้ั เบอ้ื งหนา้ จากการตาย เพราะกายแตกท�ำ ลาย จกั เขา้ ถงึ สคุ ตโิ ลกสวรรค์ โดยสมยั ต่อมา เราย่อมเห็นบุคคลนั้น เบ้ืองหน้าจากการตายเพราะ กายแตกท�ำ ลาย เขา้ ถงึ แลว้ ซงึ่ สคุ ตโิ ลกสวรรค์ เสวยสขุ เวทนา โดยสว่ นเดยี ว ดว้ ยทพิ ยจกั ษอุ นั บรสิ ทุ ธิ์ ลว่ งจกั ษขุ องมนษุ ย.์ สารบี ตุ ร  เรายอ่ มก�ำ หนดรใู้ จบคุ คลบางคนในโลกนี้ ด้วยใจอย่างน้ีว่า บุคคลนี้ ปฏิบัติอย่างนั้น ดำ�เนินอย่างน้ัน และขึ้นสู่หนทางน้ัน  จักกระทำ�ให้แจ้งซ่ึงเจโตวิมุตติ ปญั ญาวมิ ตุ ติ อนั หาอาสวะไมไ่ ด้ เพราะอาสวะทง้ั หลายสน้ิ ไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ โดยสมัยต่อมา เรายอ่ มเหน็ บรุ ษุ นน้ั กระท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ เจโตวมิ ตุ ติ ปญั ญาวมิ ตุ ติ อนั หาอาสวะไมไ่ ด้ เพราะอาสวะท้ังหลายสน้ิ ไป ดว้ ยปญั ญา อันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงแล้วแลอยู่ เสวยสุขเวทนาโดย ส่วนเดยี ว. สารบี ตุ ร  เปรยี บเหมอื นสระโบกขรณี มนี �้ำ อนั เยน็ ใสสะอาด มีท่าอันดี น่ารื่นรมย์ และในที่ไม่ไกลจาก สระโบกขรณีนั้น มีแนวป่าอันทึบ ลำ�ดับนั้น บุรุษผู้มีตัว อันความร้อนแผดเผา เหน็ดเหนื่อย หิว กระหาย มุ่งมาสู่ สระโบกขรณีน้ันแหละ โดยหนทางสายเดียว บุรุษผู้มีจักษุ 38

เปดิ ธรรมท่ถี กู ปดิ : สัตว์ เหน็ เขาแลว้ พงึ กลา่ วอยา่ งนวี้ า่ บรุ ษุ ผเู้ จรญิ น้ี ปฏบิ ตั อิ ยา่ งนน้ั ด�ำ เนนิ อยา่ งนน้ั และขนึ้ สหู่ นทางนน้ั จกั มาถงึ สระโบกขรณนี ้ี ทีเดียว โดยสมัยต่อมา บุรุษผู้มีจักษุนั้น พึงเห็นเขาลงสู่ สระโบกขรณีน้ัน อาบและด่ืม ระงับความกระวนกระวาย ความเหน็ดเหนื่อย และความร้อนหมดแล้ว ขึ้นไปน่ังหรือ นอนในแนวปา่ นนั้ เสวยสุขเวทนาโดยส่วนเดียว. สารบี ตุ ร  ฉนั ใดกฉ็ นั นน้ั เรายอ่ มก�ำ หนดรใู้ จบคุ คล บางคนในโลกน้ีด้วยใจอย่างนี้ว่า บุคคลน้ี ปฏิบัติอย่างนั้น ด�ำ เนนิ อยา่ งนน้ั และขนึ้ สหู่ นทางนนั้ จกั กระท�ำ ใหแ้ จง้ ซงึ่ เจโตวมิ ตุ ติ ปญั ญาวมิ ตุ ติ อนั หาอาสวะไมไ่ ด้ เพราะอาสวะ ทงั้ หลายสนิ้ ไป ดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เองในปจั จบุ นั เขา้ ถงึ อยู่ โดยสมัยต่อมา เราย่อมเห็นบุรุษนั้น กระทำ�ให้แจ้งซึ่ง เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะไม่ได้ เพราะอาสวะ ทั้งหลายส้ินไป ด้วยปัญญาอันย่ิงเองในปัจจุบัน เข้าถึงแล้ว แลอยู่ เสวยสขุ เวทนาโดยส่วนเดียว. 39

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปิด : สัตว์ 15สตั ตาวาส ๙ (ทอ่ี ยู่ ทอ่ี าศยั ของสตั ว)์ -บาลี นวก. อ.ํ ๒๓/๔๑๓/๒๒๘. ภิกษุท้ังหลาย  สัตตาวาส1 ๙ มีอยู่  สัตตาวาส ๙ อะไรบา้ ง คือ ภกิ ษทุ งั้ หลาย  สตั วท์ ง้ั หลาย (สตตฺ า) ทมี่ กี ายตา่ งกนั มีสัญญาตา่ งกันมอี ยู่ ได้แก่ มนุษยท์ ั้งหลาย เทวดาบางพวก และวินิบาตบางพวก น้คี อื สตั ตาวาสท่ี ๑. ภิกษุท้ังหลาย  สัตว์ท้ังหลาย  ท่ีมีกายต่างกัน มสี ญั ญาอย่างเดียวกนั มีอยู่ ได้แก่ พวกเทวดาพรหมกายิกา  (เทวดาผนู้ บั เนอื่ งในหมพู่ รหม) ผเู้ กดิ ในปฐมภมู 2ิ  (ปฐมานพิ พฺ ตตฺ า) น้คี ือสัตตาวาสท่ี ๒. ภิกษุทั้งหลาย  สัตว์ท้ังหลาย ท่ีมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกันมีอยู่ ได้แก่ พวกเทวดาอาภัสสระ นี้คือ สตั ตาวาสท่ี ๓. ภิกษุทั้งหลาย  สัตว์ท้ังหลาย ท่ีมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกันมีอยู่ ได้แก่ พวกเทวดาสุภกิณหะ น้ีคือสัตตาวาสท่ี ๔. 1. ทอ่ี ยู่ ทอ่ี าศยั ของสตั ว.์ 2. ปฐมภูมิ ภูมิเบ้อื งต้น สามารถเข้าถึงได้หลายทาง เช่น ผ้ไู ด้ปฐมฌาน, ผ้เู จริญ เมตตา, ผกู้ ระทำ�กศุ ลกรรมบท ๑๐, ผปู้ ระกอบพรอ้ มดว้ ย ศรทั ธา ศลี สตุ ตะ จาคะ ปญั ญา เปน็ ตน้ . 40

เปิดธรรมทถ่ี ูกปดิ : สตั ว์ ภิกษุท้งั หลาย  สัตว์ท้งั หลาย ท่ไี ม่มีสัญญา ไม่เสวย เวทนามอี ยู่ ไดแ้ ก่ พวกเทวดาอสญั ญสี ตั ว1์ นค้ี อื สตั ตาวาสท่ี ๕. ภิกษุทั้งหลาย  สัตว์ทั้งหลาย เพราะก้าวล่วงเสียได้ ซึ่งรูปสัญญา2 โดยประการทั้งปวง เพราะความดับไปแห่ง ปฏิฆสัญญา3 เพราะไม่ใส่ใจนานัตตสัญญา4 จึงเข้าถึง อากาสานญั จายตนะ5 มกี ารท�ำ ในใจวา่ อากาศไมม่ ที สี่ ดุ ดงั นี้ มอี ยู่ น้คี ือสตั ตาวาสที่ ๖. ภิกษุทั้งหลาย  สัตว์ทั้งหลาย เพราะก้าวล่วงเสียได้ ซงึ่ อากาสานญั จายตนะโดยประการทงั้ ปวง จงึ เขา้ ถงึ วญิ ญา- ณญั จายตนะ6 มกี ารท�ำ ในใจวา่ วญิ ญาณไมม่ ที ส่ี ดุ ดงั นี้ มอี ยู่ นีค้ อื สัตตาวาสท่ี ๗. ภิกษุทั้งหลาย  สัตว์ท้ังหลาย เพราะก้าวล่วงเสียได้ ซึ่งวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง  จึงเข้าถึง อากิญจัญญายตนะ7 มีการทำ�ในใจว่า อะไรๆ ก็ไม่มี ดังนี้ มีอยู่ น้คี ือสตั ตาวาสที่ ๘. 1. สตั วผ์ ไู้ มม่ สี ญั ญา ไมเ่ สวยเวทนา เขา้ ถงึ โดยผทู้ ไ่ี ดส้ ญั ญาเวทยติ นโิ รธ เปน็ ตน้ . 41 2. รปู สญั ญา ความหมายรใู้ นรปู . 3. ปฏฆิ สญั ญา ความหมายรอู้ นั ไมน่ า่ ยนิ ดใี นสว่ นรปู . 4. นานตั ตสญั ญา ความหมายรอู้ นั มปี ระการตา่ งๆ ในสว่ นรปู . 5. ความหมายรใู้ นความไมม่ ที ส่ี น้ิ สดุ ของอากาศ. 6. ความหมายรใู้ นความไมม่ ที ส่ี ดุ ของวญิ ญาณ. 7. ความหมายรใู้ นความไมม่ อี ะไร.

พุทธวจน - หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย  สัตว์ทั้งหลาย เพราะก้าวล่วงเสียได้ ซง่ึ อากญิ จญั ญายตนะโดยประการทง้ั ปวง จงึ เขา้ ถงึ เนวสญั ญา- นาสัญญายตนะ1 ดังนี้ มีอยู่ นี้คือสตั ตาวาสท่ี ๙. ภิกษุท้ังหลาย  เหล่านีแ้ ล สัตตาวาส ๙. 1. ความหมายรวู้ า่ สญั ญามกี ไ็ มใ่ ช่ สญั ญาไมม่ กี ไ็ มใ่ ช.่ 42

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปดิ : สตั ว์ 16วญิ ญาณฐติ ิ ๗ (ทต่ี ง้ั อยขู่ องวญิ ญาณ) -บาลี มหา. ท.ี ๑๐/๘๑/๖๕. อานนท ์ วิญญาณฐิต ิ (ทต่ี งั้ อย่ขู องวญิ ญาณ) ๗ เหลา่ นี้ และอายตนะ ๒ มีอยู่  วิญญาณฐิติ ๗ อะไรบ้าง คอื อานนท์  สัตว์ท้ังหลาย (สตฺตา)  ที่มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกันมอี ยู่ ได้แก่ มนษุ ย์ทั้งหลาย เทวดาบางพวก และวินบิ าตบางพวก นี้คอื วญิ ญาณฐติ ิที่ ๑. อานนท์  สัตว์ท้ังหลาย ที่มีกายต่างกัน มีสัญญา อยา่ งเดยี วกนั มอี ยู่ ไดแ้ ก่ พวกเทวดาพรหมกายกิ า ทบี่ งั เกดิ โดยปฐมภมู ิ น้ีคือวิญญาณฐติ ทิ ี่ ๒1. อานนท์  สัตว์ท้ังหลาย  ท่ีมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกันมีอยู่ ได้แก่ พวกเทวดาอาภัสสระ น้ีคือ วญิ ญาณฐิตทิ ี่ ๓. อานนท์  สัตว์ท้ังหลาย  ท่ีมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกันมีอยู่ ได้แก่ พวกเทวดาสุภกิณหะ นีค้ อื วญิ ญาณฐิตทิ ี่ ๔. 1. ในพระไตรปฎิ กฉบบั สยามรฐั เฉพาะในพระสตู รน้ี วญิ ญาณฐติ ทิ ่ี ๒ มคี ำ�วา่ อบาย ทง้ั ๔ อยู่ แตไ่ มต่ รงกบั พระสตู รอน่ื ทก่ี ลา่ วถงึ วญิ ญาณฐติ ิ ๗ (คอื ใน ๒ สตู รของ พระสารบี ตุ รทพ่ี ระพทุ ธเจา้ รบั รอง ๑ สตู ร และพระสารบี ตุ รทรงจำ�เอง ๑ สตู ร) และ ไมต่ รงกบั พระไตรปฎิ กฉบบั ภาษามอญและและภาษายโุ รป ดงั นน้ั คำ�วา่ อบายทง้ั ๔ จงึ ไมไ่ ดน้ ำ�มาใสใ่ นทน่ี .้ี   -ผรู้ วบรวม 43

พุทธวจน - หมวดธรรม อานนท์  สัตว์ท้ังหลาย  เพราะก้าวล่วงเสียได้ซึ่ง รูปสัญญาโดยประการทั้งปวง  เพราะความดับไปแห่ง ปฏฆิ สญั ญา เพราะไมใ่ สใ่ จนานตั ตสญั ญา จงึ เขา้ ถงึ อากาสา- นัญจายตนะ มีการทำ�ในใจว่า อากาศไม่มีที่สุด ดังน้ี มีอยู่ นีค้ ือวิญญาณฐติ ิที่ ๕. อานนท์  สัตว์ทั้งหลาย  เพราะก้าวล่วงเสียได้ซ่ึง อากาสานัญจายตนะโดยประการท้ังปวง จึงเข้าถึงวิญญา- ณญั จายตนะ มกี ารทำ�ในใจวา่ วญิ ญาณไมม่ ีทีส่ ุด ดงั นี้ มอี ยู่ นค้ี ือวญิ ญาณฐิตทิ ่ี ๖. อานนท์  สัตว์ท้ังหลาย  เพราะก้าวล่วงเสียได้ซึ่ง วิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง จึงเข้าถึงอากิญ- จัญญายตนะ มีการทำ�ในใจว่า  อะไรๆ ก็ไม่มี ดังน้ี มีอยู่ นี้คอื วญิ ญาณฐิติท่ี ๗. ส่วนอายตนะ ๒ น้นั   คอื อสัญญสี ัตตายตนะท่ี ๑ และเนวสญั ญานาสญั ญายตนะที่ ๒. อานนท ์ ในบรรดาวญิ ญาณฐติ ิ ๗ และอายตนะ ๒ นนั้ วญิ ญาณฐติ ทิ ี่ ๑ อนั ใดมอี ยู่ คอื สตั วท์ ง้ั หลาย ทม่ี กี ายตา่ งกนั มีสัญญาต่างกัน  ได้แก่  มนุษย์ท้ังหลาย เทวดาบางพวก และวนิ บิ าตบางพวก  อานนท ์ ผใู้ ดรชู้ ดั วญิ ญาณฐติ ทิ ่ี ๑ นน้ั รู้ชัดการเกิด (สมุทัย) แห่งสิ่งนั้น รู้ชัดความดับ (อัตถังคมะ) 44

เปิดธรรมทีถ่ ูกปิด : สัตว์ แหง่ ส่งิ น้นั รู้ชดั รสอร่อย (อสั สาทะ) แห่งสิง่ นั้น  รชู้ ดั โทษอัน ต่ำ�ทราม (อาทีนวะ) แห่งส่ิงน้ัน  และรู้ชัดอุบายเครื่อง สลัดออก (นิสสรณะ) แห่งส่ิงน้ัน ดังน้ีแล้ว  ควรหรือท่ีผู้นั้น จะเพลดิ เพลินยิ่งซงึ่ วิญญาณฐติ ิที่ ๑ นัน้ . ข้อนั้น เปน็ ไปไม่ได้ พระเจ้าข้า. อานนท ์ ในบรรดาวญิ ญาณฐติ ิ ๗ และอายตนะ ๒ นนั้ วญิ ญาณฐติ ทิ ี่ ๒ อนั ใดมอี ยู่ … อานนท ์ ผใู้ ดรชู้ ดั วญิ ญาณฐติ ิ ท่ี ๒ น้ัน รู้ชัดการเกิดแห่งส่ิงนั้น รู้ชัดความดับแห่งสิ่งนั้น รชู้ ดั รสอรอ่ ยแหง่ สง่ิ นนั้ รชู้ ดั โทษอนั ต�ำ่ ทรามแหง่ สง่ิ นน้ั และ รชู้ ดั อบุ ายเครอื่ งสลดั ออกแหง่ สงิ่ นนั้ ดงั นแี้ ลว้ ควรหรอื ทผี่ นู้ นั้ จะเพลิดเพลินย่งิ ซึง่ วญิ ญาณฐติ ทิ ่ี ๒ นั้น. ขอ้ น้ัน เปน็ ไปไมไ่ ด้ พระเจา้ ขา้ . อานนท ์ ในบรรดาวญิ ญาณฐติ ิ ๗ และอายตนะ ๒ นน้ั วญิ ญาณฐติ ทิ ๓ี่ อนั ใดมอี ยู่ … อานนท ์ ผใู้ ดรชู้ ดั วญิ ญาณฐติ ิ ที่ ๓ นั้น รู้ชัดการเกิดแห่งส่ิงน้ัน รู้ชัดความดับแห่งส่ิงน้ัน รชู้ ดั รสอรอ่ ยแหง่ สง่ิ นนั้ รชู้ ดั โทษอนั ต�ำ่ ทรามแหง่ สงิ่ นน้ั และ รชู้ ดั อบุ ายเครอ่ื งสลดั ออกแหง่ สงิ่ นน้ั ดงั นแี้ ลว้ ควรหรอื ทผี่ นู้ นั้ จะเพลิดเพลินยง่ิ ซึ่งวญิ ญาณฐติ ิท่ี ๓ น้นั . ขอ้ นนั้ เป็นไปไมไ่ ด้ พระเจา้ ขา้ . 45

พทุ ธวจน - หมวดธรรม อานนท ์ ในบรรดาวญิ ญาณฐติ ิ ๗ และอายตนะ ๒ นน้ั วญิ ญาณฐติ ทิ ่ี ๔ อนั ใดมอี ยู่ … อานนท ์ ผใู้ ดรชู้ ดั วญิ ญาณฐติ ิ ที่ ๔ นั้น รู้ชัดการเกิดแห่งสิ่งนั้น รู้ชัดความดับแห่งส่ิงน้ัน รชู้ ดั รสอรอ่ ยแหง่ สงิ่ นน้ั รชู้ ดั โทษอนั ต�ำ่ ทรามแหง่ สง่ิ นนั้ และ รชู้ ดั อบุ ายเครอื่ งสลดั ออกแหง่ สง่ิ นน้ั ดงั นแ้ี ลว้ ควรหรอื ทผี่ นู้ นั้ จะเพลิดเพลินยิ่งซง่ึ วญิ ญาณฐติ ิที่ ๔ นั้น. ข้อนน้ั เปน็ ไปไม่ได้ พระเจา้ ขา้ . อานนท ์ ในบรรดาวญิ ญาณฐติ ิ ๗ และอายตนะ ๒ นน้ั วญิ ญาณฐติ ทิ ่ี ๕ อนั ใดมอี ยู่ … อานนท ์ ผใู้ ดรชู้ ดั วญิ ญาณฐติ ิ ที่ ๕ นั้น รู้ชัดการเกิดแห่งส่ิงนั้น รู้ชัดความดับแห่งสิ่งน้ัน รชู้ ดั รสอรอ่ ยแหง่ สงิ่ นน้ั รชู้ ดั โทษอนั ต�ำ่ ทรามแหง่ สงิ่ นน้ั และ รชู้ ดั อบุ ายเครอ่ื งสลดั ออกแหง่ สง่ิ นน้ั ดงั นแ้ี ลว้ ควรหรอื ทผี่ นู้ นั้ จะเพลิดเพลนิ ยิ่งซง่ึ วิญญาณฐิตทิ ่ี ๕ นน้ั . ขอ้ น้ัน เป็นไปไมไ่ ด้ พระเจ้าขา้ . อานนท ์ ในบรรดาวญิ ญาณฐติ ิ ๗ และอายตนะ ๒ นนั้ วญิ ญาณฐติ ทิ ี่ ๖ อนั ใดมอี ยู่ … อานนท ์ ผใู้ ดรชู้ ดั วญิ ญาณฐติ ิ ท่ี ๖ น้ัน รู้ชัดการเกิดแห่งสิ่งน้ัน รู้ชัดความดับแห่งส่ิงนั้น รชู้ ดั รสอรอ่ ยแหง่ สง่ิ นนั้ รชู้ ดั โทษอนั ต�่ำ ทรามแหง่ สง่ิ นนั้ และ 46

เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ : สตั ว์ รชู้ ดั อบุ ายเครอื่ งสลดั ออกแหง่ สงิ่ นนั้ ดงั นแี้ ลว้ ควรหรอื ทผี่ นู้ นั้ จะเพลิดเพลินย่งิ ซงึ่ วญิ ญาณฐติ ทิ ี่ ๖ น้นั . ข้อน้ัน เป็นไปไม่ได้ พระเจา้ ข้า. อานนท ์ ในบรรดาวญิ ญาณฐติ ิ ๗ และอายตนะ ๒ นนั้ วญิ ญาณฐติ ทิ ี่ ๗ อนั ใดมอี ยู่ … อานนท ์ ผใู้ ดรชู้ ดั วญิ ญาณฐติ ิ ที่ ๗ น้ัน รู้ชัดการเกิดแห่งส่ิงน้ัน รู้ชัดความดับแห่งส่ิงน้ัน รชู้ ดั รสอรอ่ ยแหง่ สงิ่ นนั้ รชู้ ดั โทษอนั ต�่ำ ทรามแหง่ สง่ิ นนั้ และ รชู้ ดั อบุ ายเครอ่ื งสลดั ออกแหง่ สงิ่ นนั้ ดงั นแี้ ลว้ ควรหรอื ทผี่ นู้ น้ั จะเพลดิ เพลินยิ่งซง่ึ วิญญาณฐิตทิ ่ี ๗ น้ัน. ขอ้ นนั้ เป็นไปไมไ่ ด้ พระเจา้ ข้า. อานนท ์ ในบรรดาวญิ ญาณฐติ ิ ๗ และอายตนะ ๒ นนั้ อสัญญสี ัตตายตนะอนั ใดมีอยู่  อานนท์  ผู้ใดรชู้ ัดอสญั ญี- สตั ตายตนะนน้ั รชู้ ดั การเกดิ แหง่ สง่ิ นน้ั รชู้ ดั ความดบั แหง่ สง่ิ นน้ั รชู้ ดั รสอรอ่ ยแหง่ สง่ิ นนั้ รชู้ ดั โทษอนั ต�่ำ ทรามแหง่ สง่ิ นน้ั และ รชู้ ดั อบุ ายเครอื่ งสลดั ออกแหง่ สงิ่ นน้ั ดงั นแี้ ลว้ ควรหรอื ทผี่ นู้ น้ั จะเพลดิ เพลินยง่ิ ซง่ึ อสัญญีสัตตายตนะนั้น. ข้อนั้น เป็นไปไมไ่ ด้ พระเจา้ ขา้ . 47

พุทธวจน - หมวดธรรม อานนท ์ ในบรรดาวญิ ญาณฐติ ิ ๗ และอายตนะ ๒ นน้ั เนวสัญญานาสัญญายตนะอันใดมีอยู่  อานนท์  ผู้ใดรู้ชัด เนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น รู้ชัดการเกิดแห่งส่ิงน้ัน รู้ชัด ความดับแห่งส่ิงน้ัน รู้ชัดรสอร่อยแห่งส่ิงนั้น รู้ชัดโทษอัน ตำ่�ทรามแห่งสิ่งน้ัน และรู้ชัดอุบายเครื่องสลัดออกแห่ง ส่ิงนั้น ดังน้ีแล้ว ควรหรือท่ีผู้น้ัน จะเพลิดเพลินยิ่งซ่ึง เนวสัญญานาสัญญายตนะนน้ั . ข้อนน้ั เปน็ ไปไมไ่ ด้ พระเจา้ ข้า. อานนท์  เมื่อใดแล ภิกษุรู้แจ้งชัดตามเป็นจริง ซ่ึงการเกิด ความดับ รสอร่อย โทษอันต่ําทราม และอุบาย เครอื่ งสลดั ออกแหง่ วญิ ญาณฐติ ิ ๗ เหลา่ น้ี และแหง่ อายตนะ ๒ เหลา่ น้ดี ว้ ยแลว้ เปน็ ผหู้ ลดุ พ้นเพราะความไมย่ ดึ มน่ั . อานนท ์ ภิกษนุ ้ีเรากลา่ วว่า ผ้เู ปน็ ปัญญาวิมุตต.ิ 48

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถี่ กู ปดิ : สตั ว์ การไดอ้ ตั ตา ๓ อยา่ ง 17 -บาลี ส.ี ท.ี ๙/๒๔๑,๒๔๕/๓๐๒,๓๐๙. โปฏฐปาทะ  ความไดอ้ ตั ตา ๓ เหลา่ น้ี คอื ความได้ อตั ตาทหี่ ยาบ (โอฬารโิ ก อตตฺ ปฏลิ าโภ) ความไดอ้ ตั ตาทส่ี �ำ เรจ็ ด้วยใจ (มโนมโย อตฺตปฏิลาโภ) ความได้อัตตาท่ีหารูปไม่ได้  (อรูโป อตตฺ ปฏิลาโภ). ความไดอ้ ตั ตาทห่ี ยาบ เปน็ อยา่ งไร คอื อตั ตาทมี่ รี ปู ประกอบดว้ ยมหาภตู ๔ บรโิ ภคอาหารคอื ค�ำ ขา้ ว นค้ี อื ความได้ อตั ตาที่หยาบ. ความไดอ้ ตั ตาทสี่ �ำ เรจ็ ดว้ ยใจ เปน็ อยา่ งไร คอื อตั ตา ท่ีมีรูปสำ�เร็จด้วยใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ ไม่บกพรอ่ ง น้ีคอื ความไดอ้ ัตตาทีส่ ำ�เร็จดว้ ยใจ. ความได้อตั ตาทห่ี ารปู ไมไ่ ด้ เปน็ อย่างไร คอื อตั ตา อนั หารปู ไมไ่ ด้ ส�ำ เรจ็ ดว้ ยสญั ญา นค้ี อื ความไดอ้ ตั ตาทห่ี ารปู ไม่ได้ … . จิตตะ  สมัยใด มีการได้อัตตาท่ีหยาบ สมัยนั้น ไม่นับว่าได้อัตตาที่สำ�เร็จด้วยใจ ไม่นับว่าได้อัตตาที่หารูป ไม่ได้ นบั ว่าไดอ้ ัตตาท่หี ยาบอยา่ งเดยี ว. จติ ตะ  สมยั ใด มกี ารไดอ้ ตั ตาทส่ี �ำ เรจ็ ดว้ ยใจ สมยั นนั้ ไมน่ บั วา่ ไดอ้ ตั ตาทห่ี ยาบ  ไมน่ บั วา่ ไดอ้ ตั ตาทห่ี ารปู ไมไ่ ด้ นบั วา่ ไดอ้ ัตตาท่สี �ำ เร็จดว้ ยใจอยา่ งเดียว. 49

พุทธวจน - หมวดธรรม จติ ตะ  สมยั ใด มกี ารไดอ้ ตั ตาทหี่ ารปู ไมไ่ ด้ สมยั นนั้ ไม่นับว่าได้อัตตาท่ีหยาบ ไม่นับว่าได้อัตตาท่ีสำ�เร็จด้วยใจ นับวา่ ได้อัตตาทห่ี ารปู ไม่ได้อยา่ งเดียว. จิตตะ  ถ้าชนท้ังหลายพึงถามท่านว่า เธอได้มีแล้ว ในอดีตกาล ไมใ่ ชว่ า่ เธอไมไ่ ดม้ แี ล้ว เธอจักมีในอนาคตกาล ไม่ใช่ว่าเธอจักไม่มี เธอมีอยู่ในบัดน้ี ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีอยู่ เช่นนั้นหรือ เม่ือท่านถูกถามอย่างน้ี ท่านจะพึงตอบเขา วา่ อยา่ งไร. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ถ้าเขาถามข้าพระองค์อย่างน้ัน ข้าพระองคพ์ งึ ตอบเขาว่า ข้าพเจ้าไดม้ ีแล้วในอดตี กาล ไม่ใช่วา่ ไม่มแี ลว้ ขา้ พเจา้ จกั มใี นอนาคตกาล ไมใ่ ชว่ า่ จกั ไมม่ ี ขา้ พเจา้ มอี ยใู่ นบดั นี้ ไมใ่ ชว่ า่ ไม่มีอย.ู่ จิตตะ  ถ้าเขาพึงถามเธอว่า ท่านได้อัตตภาพท่เี ป็น อดตี แลว้ การทท่ี า่ นไดอ้ ตั ตภาพเชน่ นเ้ี ทา่ นน้ั เปน็ ของเทย่ี งแท้ การได้อัตตภาพท่ีเป็นอนาคตและที่เป็นปัจจุบัน เป็นโมฆะ  ท่านจักได้อัตตภาพท่ีเป็นอนาคต การได้อัตตภาพเช่นนี้ เท่านั้น เป็นของเท่ียงแท้ การได้อัตตภาพที่เป็นอดีตและ ทเ่ี ปน็ ปจั จบุ นั เปน็ โมฆะ  ทา่ นไดอ้ ตั ตภาพทเ่ี ปน็ ปจั จบุ นั ใน บดั นี้ การไดอ้ ตั ตภาพเชน่ นเ้ี ทา่ นนั้ เปน็ ของเทย่ี งแท้ การได้ อตั ตภาพทเ่ี ปน็ อดตี และทเ่ี ปน็ อนาคต เปน็ โมฆะ อยา่ งนน้ั หรอื เมอ่ื เธอถูกถามอย่างนแ้ี ลว้ จะตอบเขาวา่ อยา่ งไร. 50

เปิดธรรมท่ถี กู ปิด : สัตว์ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ   ถา้ เขาถามขา้ พระองคอ์ ยา่ งนี้ ขา้ พระองค์ จะตอบเขาวา่ ข้าพเจา้ ไดอ้ ตั ตภาพที่เป็นอดตี แล้ว การได้อตั ตภาพเช่นนี้ เท่านั้น เป็นของเที่ยงแท้ในสมัยน้ัน การได้อัตตภาพที่เป็นอนาคตและ ที่เป็นปัจจุบัน เป็นโมฆะ ข้าพเจ้าจักได้อัตตภาพที่เป็นอนาคต การได้ อตั ตภาพเชน่ นเ้ี ทา่ นน้ั เปน็ ของเทยี่ งแทใ้ นสมยั นน้ั การไดอ้ ตั ตภาพทเี่ ปน็ อดีตและท่ีเป็นปัจจุบัน เป็นโมฆะ ข้าพเจ้าได้อัตตภาพท่ีเป็นปัจจุบันใน บัดนี้ การได้อัตตภาพเช่นน้ีเท่าน้ัน เป็นของเที่ยงแท้ในสมัยน้ัน การได้ อตั ตภาพทเี่ ปน็ อดตี และท่ีเป็นอนาคต เปน็ โมฆะ. จิตตะ  อย่างน้ันแหละ สมัยใด มีการได้อัตตาท่ี หยาบ สมัยน้ัน ไม่นับว่าได้อัตตาท่ีสำ�เร็จด้วยใจ ไม่นับว่า ได้อัตตาท่ีหารปู ไม่ได้ นบั วา่ ได้อัตตาที่หยาบอยา่ งเดียว. จติ ตะ  สมยั ใด มกี ารไดอ้ ตั ตาทสี่ �ำ เรจ็ ดว้ ยใจ สมยั นนั้ ไมน่ บั วา่ ไดอ้ ตั ตาทห่ี ยาบ ไมน่ บั วา่ ไดอ้ ตั ตาทห่ี ารปู ไมไ่ ด้ นบั วา่ ได้อตั ตาที่สำ�เรจ็ ด้วยใจอย่างเดยี ว. จติ ตะ  สมยั ใด มกี ารไดอ้ ตั ตาทห่ี ารปู ไมไ่ ด้ สมยั นน้ั ไม่นับว่าได้อัตตาที่หยาบ ไม่นับว่าได้อัตตาที่สำ�เร็จด้วยใจ นบั ว่าไดอ้ ัตตาท่หี ารูปไมไ่ ดอ้ ย่างเดียว. จติ ตะ  เหมอื นอยา่ งวา่ นมสดเกดิ จากแมโ่ ค นมสม้ เกดิ จากนมสด เนยขน้ เกดิ จากนมสม้ เนยใสเกดิ จากเนยขน้ หวั เนยใสเกดิ จากเนยใส สมยั ใดเปน็ นมสด สมยั นนั้ ไมน่ บั วา่ เปน็ นมสม้ เนยขน้ เนยใส หรอื หวั เนยใส แตน่ บั วา่ เปน็ นมสด อย่างเดียวเท่าน้ัน สมัยใดเป็นนมส้ม สมัยน้ัน ไม่นับว่า 51

พุทธวจน - หมวดธรรม เปน็ นมสด เนยขน้ เนยใส หรอื หวั เนยใส แตน่ บั วา่ เปน็ นมสม้ อย่างเดียวเท่าน้ัน  สมัยใดเป็นเนยข้น สมัยน้ัน ไม่นับว่า เปน็ นมสด นมสม้ เนยใส หรอื หวั เนยใส แตน่ บั วา่ เปน็ เนยขน้ อย่างเดียวเท่าน้ัน  สมัยใดเป็นเนยใส สมัยนั้นไม่นับว่า เปน็ นมสด นมสม้ เนยขน้ หรอื หวั เนยใส แตน่ บั วา่ เปน็ เนยใส อย่างเดียวเท่าน้ัน สมัยใดเป็นหัวเนยใส สมัยน้ัน ไม่นับว่า เปน็ นมสด นมสม้ เนยขน้ หรอื เนยใส แตน่ บั วา่ เปน็ หวั เนยใส อยา่ งเดยี วเท่านั้น. จิตตะ  ฉันใดก็ฉันน้ันเหมือนกัน สมัยใดมีการได้ อตั ตาทห่ี ยาบ สมยั นน้ั ไมน่ บั วา่ ไดอ้ ตั ตาทสี่ �ำ เรจ็ ดว้ ยใจ ไมน่ บั วา่ ไดอ้ ตั ตาทห่ี ารปู ไมไ่ ด้ แตน่ บั วา่ ไดอ้ ตั ตาทหี่ ยาบอยา่ งเดยี ว เทา่ นนั้   สมยั ใดมกี ารไดอ้ ตั ตาทสี่ �ำ เรจ็ ดว้ ยใจ สมยั นน้ั ไมน่ บั ว่าได้อัตตาที่หยาบ ไม่นับว่าได้อัตตาที่หารูปไม่ได้ แต่นับ วา่ ไดอ้ ตั ตาทส่ี �ำ เรจ็ ดว้ ยใจอยา่ งเดยี วเทา่ นน้ั   สมยั ใดมกี ารได้ อัตตาที่หารูปไม่ได้ สมัยน้ัน ไม่นับว่าได้อัตตาที่หยาบ ไมน่ บั วา่ ไดอ้ ตั ตาทส่ี �ำ เรจ็ ดว้ ยใจ แตน่ บั วา่ ไดอ้ ตั ตาทห่ี ารปู ไมไ่ ด้ อย่างเดียวเทา่ นน้ั . จติ ตะ  เหลา่ นแ้ี ลเปน็ ชอ่ื ตามโลก เปน็ ภาษาของโลก เป็นโวหารของโลก เป็นบัญญตั ขิ องโลก ที่ตถาคตกลา่ วอยู่ แตไ่ ม่ไดย้ ึดถือ. 52

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี ูกปิด : สัตว์ การกา้ วลงสคู่ รรภ์ ๔ 18 -บาลี ปา. ท.ี ๑๑/๑๑๑/๗๗. … ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  อีกประการหนึ่ง ซึ่งเป็น ขอ้ ธรรมทเ่ี ยยี่ ม คอื พระผมู้ พี ระภาคทรงแสดงธรรมในการ กา้ วลงสู่ครรภ์ การกา้ วลงสคู่ รรภ์ ๔ เหลา่ นี้คือ สัตว์บางชนิดในโลกนี้ ไม่รู้สึกตัวก้าวลงสู่ครรภ์ มารดา ไมร่ สู้ กึ ตวั อยใู่ นครรภ์มารดา ไมร่ สู้ กึ ตวั คลอดจาก ครรภม์ ารดา นเ้ี ปน็ การกา้ วลงสคู่ รรภ์ขอ้ ที่ ๑. ขอ้ อน่ื ยงั มอี กี สตั วบ์ างชนดิ ในโลกน้ี รสู้ กึ ตวั กา้ วลง สคู่ รรภม์ ารดาอยา่ งเดียว แตไ่ มร่ ู้สึกตัวอยูใ่ นครรภ์มารดา ไมร่ สู้ กึ ตวั คลอดจากครรภม์ ารดา นเี้ ปน็ การกา้ วลงสคู่ รรภ์ ขอ้ ที่ ๒. ขอ้ อน่ื ยงั มอี กี สตั วบ์ างชนดิ ในโลกนี้ รสู้ กึ ตวั กา้ วลง สู่ครรภ์มารดา รู้สึกตัวอยู่ในครรภ์มารดา แต่ไม่รู้สึกตัว คลอดจากครรภม์ ารดา นี้เป็นการก้าวลงส่คู รรภ์ข้อท่ี ๓. ขอ้ อนื่ ยงั มอี กี สตั วบ์ างชนดิ ในโลกนี้ รสู้ กึ ตวั กา้ วลง สู่ครรภ์มารดา รู้สึกตัวอยู่ในครรภ์มารดา รู้สึกตัวคลอด จากครรภม์ ารดา นีเ้ ปน็ การก้าวลงสคู่ รรภ์ขอ้ ที่ ๔. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  นี้ก็เป็นข้อธรรมท่ีเยี่ยม ในการกา้ วลงสคู่ รรภ์ … . 53

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปดิ : สตั ว์ การกา้ วลงสคู่ รรภ์ 19 ของสตั วผ์ เู้ กดิ ในครรภ์ -บาลี ม.ู ม. ๑๒/๔๘๗/๔๕๒. ภกิ ษทุ งั้ หลาย  เพราะการประจวบพรอ้ มแหง่ ปจั จยั ๓ ประการ การกา้ วลงสคู่ รรภข์ องสตั วผ์ เู้ กดิ ในครรภ์ ยอ่ มมขี นึ้   (ตณิ ณฺ  โข ปน ภกิ ขฺ เว สนฺนิปาตา คพภฺ สฺสาวกกฺ นตฺ ิ โหติ) ในกรณีนี้ คือ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน แต่มารดา ไม่มีระดู ท้ังคันธัพพะ (สัตว์ที่จะปฏิสนธิในครรภ์) ก็ยังไม่ได้ เข้าไปต้ังอยู่เฉพาะแล้ว การก้าวลงสู่ครรภ์ของสัตว์ผู้เกิด ในครรภ์ (คพภฺ สสฺ าวกฺกนฺต)ิ ก็ยังมีไมไ่ ดก้ อ่ น. ในกรณีน้ี แม้มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน มารดาก็มี ระดู แตค่ นั ธพั พะยงั ไมเ่ ขา้ ไปตงั้ อยเู่ ฉพาะแลว้ การกา้ วลง สคู่ รรภข์ องสตั ว์ผูเ้ กดิ ในครรภ์ ก็ยงั มไี ม่ไดก้ อ่ นอย่นู ่ันเอง. ภกิ ษทุ งั้ หลาย  แตใ่ นกาลใด มารดาบดิ าอยรู่ ว่ มกนั ดว้ ย มารดามรี ะดดู ว้ ย คนั ธพั พะเขา้ ไปตง้ั อยเู่ ฉพาะแลว้ ดว้ ย การก้าวลงสู่ครรภ์ของสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ ย่อมมีเพราะ การประจวบพรอ้ มแหง่ ปจั จยั ๓ ประการ ดว้ ยอาการอยา่ งน.้ี ภิกษุทั้งหลาย  มารดาย่อมบริหารซึ่งสัตว์ผู้เกิดใน ครรภ์นั้นด้วยท้อง ตลอดเวลา ๙ เดือนบ้าง ๑๐ เดือนบ้าง ดว้ ยความวิตกกังวลอนั ใหญห่ ลวง เปน็ ภาระหนกั . 54

เปิดธรรมทถี่ ูกปิด : สตั ว์ ภิกษุทั้งหลาย  มารดาย่อมคลอดซึ่งทารกนั้น โดย กาลอันล่วงไป ๙ เดือนบ้าง ๑๐ เดือนบ้าง ด้วยความวิตก กังวลอันใหญ่หลวง เป็นภาระหนัก เล้ียงแล้วซ่ึงทารก อันเป็นผู้เกิดแล้วนั้น ด้วยโลหิตแห่งตน  ภิกษุทั้งหลาย  ในอรยิ วนิ ยั สง่ิ ทเ่ี รยี กวา่ โลหติ นน้ั หมายถงึ น�ำ้ นมแหง่ มารดา. ภิกษุท้ังหลาย  กุมารน้ัน อาศัยความเจริญและ ความเติบโตแห่งอินทรีย์ท้ังหลายแล้ว เล่นอยู่ด้วยของเล่น ส�ำ หรบั เดก็ กลา่ วคอื เลน่ ไถเลก็ ๆ เลน่ ตไี มห้ งึ่ เลน่ หกคะเมน เลน่ กังหัน เลน่ ตวงทราย เลน่ รถเล็กๆ เล่นธนูเลก็ ๆ. ภิกษุทั้งหลาย  กุมารน้ัน อาศัยความเจริญและ ความเติบโตแห่งอินทรีย์ท้ังหลายแล้ว  เป็นผู้เอิบอ่ิม เพียบพร้อม ถูกปรนเปรอด้วยกามคุณ ๕ คือ รูปท่ีเห็นได้ ด้วยตา เสียงที่ได้ยินด้วยหู กล่ินท่ีรู้ได้ด้วยจมูก รสท่ีรู้ได้ ดว้ ยลน้ิ โผฏฐพั พะทรี่ ไู้ ดด้ ว้ ยกาย อนั นา่ ปรารถนานา่ รกั ใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปต้ังอาศัยอยู่แห่ง ความใคร่ เปน็ ท่ตี ั้งแห่งความหนัด น�ำ มาซงึ่ ความรัก. กุมารน้ัน ครั้นเห็นรูปด้วยตาแล้ว … ได้ยินเสียง ด้วยหูแล้ว … ได้กล่ินด้วยจมูกแล้ว … รู้รสด้วยล้ินแล้ว … รสู้ กึ โผฏฐพั พะดว้ ยกายแลว้ … รแู้ จง้ ธรรมดว้ ยใจแลว้ ยอ่ ม ก�ำ หนดั ยนิ ดใี นรปู … เสยี ง … กลน่ิ … รส … โผฏฐพั พะ … 55

พุทธวจน - หมวดธรรม ธรรมทม่ี ลี กั ษณะนา่ รกั   ยอ่ มขดั เคอื งในรปู … เสยี ง … กลน่ิ … รส … โผฏฐพั พะ … ธรรมทมี่ ลี กั ษณะนา่ ชงั   กมุ ารนนั้ ยอ่ มเปน็ ผู้มีสติในกายไม่ต้ังม่ัน และมีจิตเป็นอกุศลอยู่ เขาย่อม ไม่รู้ชัดตามท่ีเป็นจริง ซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็น ทด่ี บั โดยไมเ่ หลอื แหง่ ธรรมอนั เปน็ บาปอกศุ ลทง้ั หลายดว้ ย. กุมารน้ัน เมื่อประกอบด้วยความยินดีและความ ยินร้ายอยู่เช่นน้ีแล้ว เสวยอยู่ซ่ึงเวทนาใดๆ เป็นสุขก็ตาม เปน็ ทกุ ขก์ ต็ าม ไมใ่ ชท่ กุ ขไ์ มใ่ ชส่ ขุ กต็ าม เขายอ่ มเพลดิ เพลนิ พรำ่�สรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งเวทนานั้นๆ  เมื่อเป็น ผู้เพลิดเพลิน พรำ่�สรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งเวทนาน้ันๆ นันทิ (ความเพลิน) ย่อมเกิดขึ้น  นันทิใดในเวทนาทั้งหลาย นนั ทนิ นั้ คอื อปุ าทาน เพราะอปุ าทานของกมุ ารนน้ั เปน็ ปจั จยั จึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็น ปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสะ ทงั้ หลาย จงึ เกดิ ขน้ึ ครบถว้ น ความเกดิ ขนึ้ พรอ้ มแหง่ กองทกุ ข์ ทง้ั ส้นิ น้ี ยอ่ มมีด้วยอาการอยา่ งน.้ี 56

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปดิ : สัตว์ เมอ่ื การกา้ วลงสคู่ รรภม์ อี ยู่ 20 นามรปู ยอ่ มมี -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๒๗/๕๐๑. … ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  เพราะอาศยั ซง่ึ ธาตทุ ง้ั ๖ ประการ การกา้ วลงสคู่ รรภย์ อ่ มมี เมอ่ื การกา้ วลงสคู่ รรภม์ อี ยู่ นามรปู ย่อมมี  เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ  เพราะ มสี ฬายตนะเปน็ ปจั จยั จงึ มผี สั สะ  เพราะมผี สั สะเปน็ ปจั จยั จงึ มเี วทนา. ภิกษุท้ังหลาย  เราย่อมบัญญัติว่า น้ีทุกข์  นี้เหตุ ใหเ้ กดิ ทกุ ข ์ นค้ี วามดบั ไมเ่ หลอื ของทกุ ข ์ นขี้ อ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความดับไมเ่ หลือของทกุ ข์ ดงั น้ี แก่ผเู้ สวยเวทนาอยู่ ผรู้ อู้ ยู่  (เวทยิ มานสสฺ ปนาห) . 57

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปิด : สัตว์ การกอ่ ตวั ของนามรปู ในทอ้ งมารดา 21 -บาลี มหา. ท.ี ๑๐/๗๔/๖๐. … อานนท์  ก็คำ�น้ีว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูปดังนี้ เปน็ ค�ำ ท่เี รากลา่ วแล้ว. อานนท์  เธอต้องทราบความข้อนี้ โดยปริยาย ดังต่อไปน้ี เหมือนที่เรากล่าวไว้แล้วว่า  เพราะวิญญาณ เป็นปัจจัย จงึ มีนามรูป. อานนท์  ถ้าหากว่าวิญญาณไม่ก้าวลงในท้องแห่ง มารดา นามรูปจะก่อตวั ขึน้ มาในทอ้ งแห่งมารดาไดไ้ หม. ไมไ่ ดเ้ ลย พระเจา้ ข้า. อานนท์  ถ้าหากว่าวิญญาณก้าวลงในท้องแห่ง มารดาแล้ว สลายลงเสีย  นามรูปจะบังเกิดข้ึนเพื่อความ เป็นอยา่ งนีไ้ ด้ไหม. ไมไ่ ด้เลย พระเจา้ ขา้ . อานนท์  ถ้าหากว่าวิญญาณของเด็กอ่อนที่เป็น ชายหรือเป็นหญิงก็ตาม ขาดความสืบต่อ นามรูปจะถึงซึ่ง ความเจรญิ ความงอกงาม ความไพบลู ยไ์ ด้ไหม. ไม่ได้เลย พระเจา้ ข้า. 58

เปดิ ธรรมทถี่ ูกปิด : สตั ว์ อานนท์  เพราะเหตุนั้นในเร่ืองนี้ น่ันแหละคือเหตุ น่ันแหละคือนิทาน นั่นแหละคือสมุทัย น่ันแหละคือปัจจัย ของนามรปู นน้ั คือวญิ ญาณ. อานนท์  ก็คำ�น้ีว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมี วญิ ญาณ ดังนี้ เปน็ ค�ำ ท่เี รากลา่ วแล้ว. อานนท์  เธอต้องทราบความข้อน้ี  โดยปริยาย ดังต่อไปนี้ เหมือนที่เรากล่าวไว้แล้วว่า  เพราะนามรูป เปน็ ปัจจยั จงึ มวี ิญญาณ. อานนท์  ถ้าหากว่าวิญญาณ ไม่ได้มีท่ีตั้งอาศัยใน นามรปู แลว้ ความเกดิ ขนึ้ พรอ้ มแหง่ ทกุ ข์ คอื ชาติ ชรา มรณะ ต่อไป จะปรากฏได้ไหม. ไม่ได้เลย พระเจา้ ขา้ . อานนท์  เพราะเหตุนั้นในเร่ืองนี้ น่ันแหละคือเหตุ น่ันแหละคือนิทาน นั่นแหละคือสมุทัย น่ันแหละคือปัจจัย ของวญิ ญาณ น้ันคอื นามรปู . อานนท์  ด้วยเหตุเพียงเท่าน้ี สัตว์โลกจึงเกิดบ้าง จึงแก่บ้าง จึงตายบ้าง จึงจุติบ้าง จึงอุบัติบ้าง  ทางแห่ง การเรยี ก (อธวิ จน) กม็ เี พยี งเทา่ น ี้ ทางแหง่ การพดู จา (นริ ตุ ตฺ )ิ 59

พทุ ธวจน - หมวดธรรม กม็ เี พยี งเทา่ น ้ี ทางแหง่ การบญั ญตั  ิ (ปญฺ ตตฺ )ิ  กม็ เี พยี งเทา่ น ้ี เรอ่ื งทจ่ี ะตอ้ งรดู้ ว้ ยปญั ญา (ปญฺ าวจร) กม็ เี พยี งเทา่ น ี้ ความ เวยี นว่ายในวฏั ฏะก็มเี พยี งเท่าน ้ี นามรูปพรอ้ มท้ังวิญญาณ ตั้งอยู่ เพ่อื การบัญญตั ซิ ง่ึ ความเปน็ อย่างน้ี. 60

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี กู ปิด : สัตว์ 22 สตั วต์ ง้ั อยใู่ นครรภไ์ ดอ้ ยา่ งไร -บาลี สคาถ. ส.ํ ๑๕/๓๐๓/๘๐๒. อนิ ทกยักษ์เข้าไปเฝ้าพระผมู้ ีพระภาคถงึ ทปี่ ระทบั ครัน้ แล้วได้ กราบทูลด้วยคาถาว่า. ท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่า รูปหาใช่ชีพไม่ สัตว์น้ีจะประสพ รา่ งกายนไ้ี ด้อย่างไรหนอ กระดกู และกอ้ นเนอื้ จะมาแตไ่ หน สตั วน์ ้ีจะตดิ อยู่ในครรภ์ไดอ้ ย่างไร. รปู นเ้ี ปน็ กลละ1จากกลละเปน็ อพั พทุ ะ2จากอพั พทุ ะ เกิดเป็นเปสิ (ช้ินเน้ือ) จากเปสิเกิดเป็นฆนะ (ก้อน) จากฆนะ เกดิ เปน็ ปญั จสาขา3 ตอ่ จากนั้น มผี ม ขน และเล็บ (เปน็ ตน้ ) เกิดข้ึน มารดาของสัตวใ์ นครรภบ์ รโิ ภคข้าว นำ�้ โภชนาหาร อย่างใด สัตว์ผู้อยู่ในครรภ์มารดา ก็ยังอัตตภาพให้เป็นไป ด้วยอาหารอย่างน้นั ในครรภ์น้ัน. 1. กลละ รปู เรม่ิ แรกทป่ี ฏสิ นธใิ นครรภม์ ารดา. 2. ยงั ไมพ่ บความหมายโดยนยั แหง่ พทุ ธวจน. 3. ปญั จสาขา กง่ิ หา้ คอื แขน ๒ ขา ๒ หวั ๑ ของทารกทอ่ี ยใู่ นครรภ.์ 61

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี ูกปดิ : สัตว์ เหตใุ หไ้ ดค้ วามเปน็ หญงิ หรอื ชาย 23 -บาลี สตตฺ ก. อ.ํ ๒๓/๕๘/๔๘. ภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดงธรรมปริยายอันเป็น ความเก่ียวข้อง (สญฺโค) และความไม่เกี่ยวข้อง (วิสญฺโค) แกเ่ ธอทงั้ หลาย เธอทง้ั หลายจงฟงั จงใสใ่ จใหด้ ี เราจกั กลา่ ว. ภกิ ษทุ งั้ หลาย  กธ็ รรมปรยิ ายอนั เปน็ ความเกยี่ วขอ้ ง และความไมเ่ กย่ี วข้อง เป็นอย่างไร. ภิกษุท้ังหลาย  หญิงย่อมสนใจสภาพแห่งหญิง ในภายใน ทั้งกิริยา ท่าทาง ความไว้ตัว ความพอใจ เสียง และเครอ่ื งประดบั ของหญงิ เธอยอ่ มยนิ ดี พอใจในสภาพนน้ั ๆ ของตน เมื่อเธอยินดี พอใจในสภาพน้ันๆ ของตนแล้ว ย่อมสนใจถึงสภาพของชายในภายนอก ท้ังกิริยา ท่าทาง ความไว้ตัว ความพอใจ เสียง และเคร่ืองประดับของชาย เธอยอ่ มยนิ ดี พอใจในสภาพนน้ั ๆ ของชาย เมอ่ื เธอยนิ ดี พอใจ ในสภาพนน้ั ๆ ของชายแลว้ ย่อมม่งุ หวงั การสมาคมกับชาย และสขุ โสมนสั ท่เี กิดข้นึ เพราะการสมาคมกับชายเปน็ เหตุ. ภิกษุท้ังหลาย  สัตว์ท้ังหลาย (สตฺตา) ผู้พอใจใน ความเป็นหญิงก็ถึงความเกี่ยวข้องกับชาย ด้วยอาการ อยา่ งน้ีแล หญิงจงึ ไม่ล่วงพน้ ความเปน็ หญิงไปได.้ 62

เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปดิ : สตั ว์ ภิกษุทั้งหลาย  ชายย่อมสนใจสภาพแห่งชาย ในภายใน ทั้งกิริยา ท่าทาง ความไว้ตัว ความพอใจ เสียง และเครอื่ งประดบั ของชาย เขายอ่ มยนิ ดี พอใจในสภาพนน้ั ๆ ของตน เม่ือเขายินดี พอใจในสภาพน้ันๆ ของตนแล้ว ย่อมสนใจถึงสภาพของหญิงในภายนอก ท้ังกิริยา ท่าทาง ความไว้ตัว ความพอใจ เสียง และเครื่องประดับของหญิง เขายอ่ มยนิ ดี พอใจในสภาพนน้ั ๆ ของหญงิ เมอ่ื เขายนิ ดี พอใจ ในสภาพนนั้ ๆ ของหญงิ แลว้ ยอ่ มมงุ่ หวงั การสมาคมกบั หญงิ และสขุ โสมนสั ทเ่ี กดิ ขนึ้ เพราะการสมาคมกบั หญงิ เปน็ เหต.ุ ภิกษุท้ังหลาย  สัตว์ท้ังหลายผู้พอใจในความ เปน็ ชาย กถ็ งึ ความเกย่ี วขอ้ งกบั หญงิ   ดว้ ยอาการอยา่ งนแ้ี ล ชายจึงไมล่ ว่ งพน้ ความเปน็ ชายไปได.้ ภิกษุท้ังหลาย  ความเก่ียวข้อง ย่อมมี ด้วยอาการ อยา่ งน้ีแล. ภิกษทุ ั้งหลาย  ความไม่เกี่ยวขอ้ ง เป็นอยา่ งไร. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  หญงิ ยอ่ มไมส่ นใจในสภาพแหง่ หญงิ ในภายใน ทั้งกิริยา ท่าทาง ความไว้ตัว ความพอใจ เสียง และเครื่องประดับของหญิง เมื่อเธอไม่ยินดี ไม่พอใจ ในสภาพนน้ั ๆ แหง่ หญงิ แลว้ ยอ่ มไมส่ นใจถงึ สภาพแหง่ ชาย ในภายนอก ทัง้ กิรยิ า ท่าทาง ความไวต้ ัว ความพอใจ เสยี ง 63

พุทธวจน - หมวดธรรม และเครอื่ งประดบั แหง่ ชาย เมอ่ื เธอไมย่ นิ ดี ไมพ่ อใจในสภาพ แห่งชายนั้นๆ แล้ว  ย่อมไม่มุ่งหวังการสมาคมกับชาย และสุขโสมนัสท่ีเกดิ ข้นึ เพราะการสมาคมกับชายเป็นเหต.ุ ภิกษุท้ังหลาย  สัตว์ท้ังหลายผู้ไม่พอใจในความ เปน็ หญงิ กถ็ งึ ความไมเ่ กย่ี วขอ้ งกบั ชาย ดว้ ยอาการอยา่ งนแ้ี ล หญิงจงึ ลว่ งพน้ ความเป็นหญงิ ไปได.้ ภิกษุท้ังหลาย  ชายย่อมไม่สนใจในสภาพแห่งชาย ในภายใน ท้ังกิริยา ท่าทาง ความไว้ตัว ความพอใจ เสียง และเครื่องประดับของชาย เม่ือเขาไม่ยินดี ไม่พอใจใน สภาพน้ันๆ แห่งชายแล้ว ย่อมไม่สนใจถึงสภาพแห่งหญิง ในภายนอก ท้งั กริ ยิ า ทา่ ทาง ความไวต้ วั ความพอใจ เสยี ง และเคร่ืองประดับของหญิง เม่ือเขาไม่ยินดี ไม่พอใจใน สภาพนน้ั ๆ แหง่ หญงิ แลว้ ยอ่ มไมม่ งุ่ หวงั การสมาคมกบั หญงิ และสขุ โสมนสั ทเ่ี กดิ ขนึ้ เพราะการสมาคมกบั หญงิ เปน็ เหต.ุ ภิกษุทั้งหลาย  สัตว์ท้ังหลายผู้ไม่พอใจในความ เป็นชาย ก็ถึงความไม่เกี่ยวข้องกับหญิง ด้วยอาการ อยา่ งนีแ้ ล ชายจึงลว่ งพน้ ความเป็นชายไปได.้ ภกิ ษทุ งั้ หลาย  ความไมเ่ กยี่ วขอ้ ง ยอ่ มมี ดว้ ยอาการ อย่างนี้แล. ภิกษุทั้งหลาย  น้ีแล ช่ือว่า ธรรมปริยายอันเป็น ความเกีย่ วขอ้ ง และความไมเ่ ก่ยี วขอ้ ง. 64

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถกู ปดิ : สัตว์ พฒั นาการของสตั วท์ ม่ี าเกดิ 24 เปน็ มนษุ ย์ สมยั ทโ่ี ลกกลบั เจรญิ ขน้ึ -บาลี ปา. ท.ี ๑๑/๙๒/๕๖. วาเสฏฐะและภารทวาชะ  มีสมัยซ่ึงในกาลบางครั้ง บางคราวโดยการล่วงไปแห่งกาลนานไกล ท่ีโลกน้ีจะพินาศ เมอื่ โลกกำ�ลังพนิ าศอยู่ โดยมาก เหล่าสัตว์ (สตตฺ า) ย่อมเกิด ในอาภัสสระ (อาภสฺสร) สัตว์เหล่านั้น ได้สำ�เร็จทางใจ มีปีติ เป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นส้ินกาล ยดื ยาวช้านาน. วาเสฏฐะและภารทวาชะ  มีสมัยซ่ึงในกาลบางคร้ัง บางคราวโดยการล่วงไปแห่งกาลนานไกล ที่โลกนี้จะกลับ เจรญิ ขนึ้ เมอ่ื โลกก�ำ ลงั เจรญิ ขน้ึ อยู่ โดยมาก เหลา่ สตั วพ์ ากนั จตุ  ิ(เคลอื่ น) จากอาภสั สระ (อาภสสฺ รกายา) มาสคู่ วามเปน็ อยา่ งน้ี และสตั วเ์ หลา่ นนั้ ไดส้ �ำ เรจ็ ทางใจ มปี ตี เิ ปน็ อาหาร มรี ศั มซี า่ น ออกจากกายตนเอง สญั จรไปไดใ้ นอากาศ อยใู่ นวมิ านอนั งาม สถติ อยใู่ นภพนนั้ สนิ้ กาลยดื ยาวชา้ นาน กใ็ นสมยั นนั้ จกั รวาล ทง้ั สน้ิ น้ี เปน็ น�้ำ ทงั้ นน้ั มดื มนมองไมเ่ หน็ อะไร ดวงจนั ทรแ์ ละ ดวงอาทติ ยก์ ย็ งั ไมป่ รากฏ ดาวนกั ษตั รและดาวทง้ั หลายกย็ งั ไม่ปรากฏ กลางคืนและกลางวันก็ยังไม่ปรากฏ เดือนและ 65

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ปักษ์ก็ยังไม่ปรากฏ ฤดูและปีก็ยังไม่ปรากฏ เพศชายและ เพศหญิงก็ยังไม่ปรากฏ สัตว์ทั้งหลาย ถึงซึ่งการนับเพียง วา่ สตั ว์ (สตตฺ ) เทา่ นั้น. วาเสฏฐะและภารทวาชะ  ครนั้ ตอ่ มา โดยการลว่ งไป แห่งกาลนานไกล ได้เกิดมีง้วนดิน (รสปฐวี) ขึ้นปรากฏแก่ สัตว์เหล่าน้ัน ง้วนดินนี้ลอยอยู่ทั่วไปบนนำ้� เหมือนนมสด ท่ีบุคคลเค่ียวให้งวด แล้วต้ังไว้ให้เย็น จับเป็นฝาอยู่ข้างบน ง้วนดินน้ันถึงพร้อมด้วยสี กล่ิน รส มีสีคล้ายเนยใส หรือ เนยขน้ อย่างดี มรี สอรอ่ ยดจุ รวงผง้ึ เล็ก อันหาโทษไมไ่ ด้. เม่ือสัตว์เหล่านั้น พากันเอาน้ิวช้อนง้วนดินข้ึนลอง ล้ิมดูอยู่ รสของง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว สัตว์เหล่านั้น จึงเกิดความอยากข้ึน ต่อมาก็ได้พากันพยายามเพื่อจะป้ัน ง้วนดินให้เป็นคำ�ๆ ด้วยมือแล้วบริโภค ในคราวที่พากัน บริโภคง้วนดินอยู่ รัศมีกายของสัตว์เหล่านั้นก็ได้หายไป เมื่อรัศมีกายหายไป ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ย่อมปรากฏ เมื่อดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ปรากฏ ดาวนักษัตรและดาว ทง้ั หลายยอ่ มปรากฏ เมอ่ื ดาวนกั ษตั รและดาวทง้ั หลายปรากฏ กลางคนื และกลางวนั ยอ่ มปรากฏ เมอื่ กลางคนื และกลางวนั ปรากฏ เดือนและปักษ์ย่อมปรากฏ เม่ือเดือนและปักษ์ ปรากฏ ฤดแู ละปยี อ่ มปรากฏ ดว้ ยเหตเุ พียงเทา่ น้ีแล โลกนี้ จึงกลบั เจรญิ ขึน้ อีก. 66

เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปดิ : สตั ว์ ครั้นต่อมา สัตว์เหล่าน้ัน พากันบริโภคง้วนดิน รบั ประทานงว้ นดนิ มงี ว้ นดนิ เปน็ อาหาร ด�ำ รงอยไู่ ดส้ น้ิ กาล ชา้ นาน ดว้ ยเหตทุ สี่ ตั วเ์ หลา่ นน้ั มวั เพลดิ เพลนิ บรโิ ภคงว้ นดนิ รบั ประทานงว้ นดนิ มงี ว้ นดนิ เปน็ อาหาร ด�ำ รงอยไู่ ดส้ น้ิ กาล ชา้ นาน สตั วเ์ หลา่ นน้ั จงึ มรี า่ งกายแขง็ กลา้ ขน้ึ ทกุ ที ทงั้ ผวิ พรรณ กป็ รากฏวา่ แตกตา่ งกนั ออกไป สตั วบ์ างพวกมผี วิ พรรณงาม สตั วบ์ างพวกมผี วิ พรรณไมง่ าม ในสตั วท์ งั้ สองพวกนน้ั สตั ว์ พวกทม่ี ผี วิ พรรณงาม ไดพ้ ากนั ดหู มนิ่ สตั วพ์ วกทมี่ ผี วิ พรรณ ไม่งาม เม่ือสัตว์ท้ังสองพวกน้ัน เกิดมีการไว้ตัวดูหม่ินกัน เพราะทะนงตวั ปรารภผวิ พรรณเปน็ ปจั จยั งว้ นดนิ จงึ หายไป. เมอื่ งว้ นดินหายไปแล้ว ก็ได้เกิดมีกระบดิ นิ  (ภูมปิ ป-ฺ ปฏิก) ขึ้น สัตว์เหล่านั้นได้ใช้กระบิดินเป็นอาหาร ดำ�รงอยู่ สน้ิ กาลชา้ นาน ผวิ พรรณกป็ รากฏวา่ แตกตา่ งกนั ออกไป ดว้ ย เพราะมกี ารไวต้ วั ดหู มนิ่ กนั เพราะทะนงตวั ปรารภผวิ พรรณ เปน็ ปจั จยั กระบดิ นิ จงึ หายไป เมอื่ กระบดิ นิ หายไปแลว้ กไ็ ด้ เกิดมีเครือดิน (ปทาลตา) ขึ้น สัตว์เหล่านั้นได้ใช้เครือดิน เป็นอาหาร ดำ�รงอยู่ส้ินกาลช้านาน ผิวพรรณก็ปรากฏว่า แตกต่างกันออกไป ด้วยเพราะมีการไว้ตัวดูหมิ่นกัน เพราะทะนงตวั ปรารถผวิ พรรณเปน็ ปจั จยั เครอื ดนิ จงึ หายไป เมอ่ื เครอื ดนิ หายไปแลว้ กไ็ ดม้ ขี า้ วสาลเี กดิ ขน้ึ ในทท่ี ไ่ี มต่ อ้ งไถ เป็นข้าวไมม่ รี �ำ ไม่มีแกลบ ขาวสะอาด มีกลนิ่ หอม มเี มล็ด 67

พุทธวจน - หมวดธรรม เป็นข้าวสาร ตอนเย็นสัตว์เหล่าน้ัน นำ�เอาข้าวสาลีใดมา เพอ่ื บรโิ ภคในเวลาเยน็ ตอนเชา้ ขา้ วสาลนี น้ั กม็ เี มลด็ สกุ แลว้ งอกข้ึนแทนท่ี ตอนเช้าสัตว์เหล่าน้ัน นำ�เอาข้าวสาลีใดมา เพอ่ื บรโิ ภคในเวลาเชา้ ตอนเยน็ ขา้ วสาลนี น้ั กม็ เี มลด็ สกุ แลว้ งอกข้ึนแทนท่ี ไม่ปรากฏว่าพร่องไปเลย สัตว์เหล่าน้ันจึง ได้บริโภคข้าวสาลีนั้นเป็นอาหาร ดำ�รงอยู่สิ้นกาลช้านาน ด้วยประการท่ีสัตว์เหล่านั้นมีข้าวสาลีเป็นอาหาร ดำ�รงอยู่ ส้ินกาลช้านาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายแข็งกล้าขึ้นทุกที ทงั้ ผวิ พรรณกป็ รากฏวา่ แตกตา่ งกนั ออกไป สตรกี ม็ เี พศหญงิ ปรากฏ และบรุ ษุ กม็ เี พศชายปรากฏ ดว้ ยวา่ สตรกี เ็ พง่ ดบู รุ ษุ อยู่เสมอ และบุรุษก็เพ่งดูสตรีอยู่เสมอ เมื่อคนท้ังสองเพศ ต่างก็เพ่งดูกันและกันอยู่เสมอ ก็เกิดความกำ�หนัด เกิด ความเร่าร้อนขึ้นในกาย  เพราะความเร่าร้อนเหล่าน้ัน เปน็ ปัจจัย เขาทงั้ สองจึงเสพเมถุนธรรมกนั . ในสมยั นน้ั สตั วพ์ วกใด เหน็ สตั วพ์ วกอนื่ เสพเมถนุ - ธรรมกนั อยู่ ยอ่ มโปรยฝนุ่ ใสบ่ า้ ง โปรยเถา้ ใสบ่ า้ ง โยนมลู โค ใส่บ้าง พร้อมกับพูดว่า คนชาติช่ัวจงฉิบหาย คนชาติช่ัว จงฉบิ หาย ดงั นี้ แลว้ พดู ตอ่ ไปวา่ กท็ �ำ ไมขนึ้ ชอ่ื วา่ สตั ว์ จงึ ท�ำ แกส่ ตั วเ์ ชน่ นเี้ ลา่ ขอ้ ทว่ี า่ มานน้ั จงึ ไดเ้ ปน็ ธรรมเนยี มมาจนถงึ ทุกวันน้ีว่า ในชนบทบางแห่ง คนทั้งหลาย โปรยฝุ่นใส่บ้าง 68

เปดิ ธรรมที่ถูกปดิ : สตั ว์ โปรยเถา้ ใสบ่ า้ ง โยนมลู โคใสบ่ า้ ง ในระหวา่ งทเี่ ขาจะน�ำ สตั ว์ ผู้ประพฤติชั่วร้ายไปสู่ที่ประหาร พวกพราหมณ์มาระลึกถึง อักขระท่ีรู้กันว่าเป็นของดี อันเป็นของโบราณน้ันเท่านั้น แตพ่ วกเขาไม่รูช้ ัดถงึ เน้ือความแห่งอักขระนั้นเลย. ในสมัยนั้น การโปรยฝุ่นใส่กันเป็นต้นนั้น สมมติ กันว่าไม่เป็นธรรม มาในบัดน้ี กลับสมมติกันว่าเป็นธรรม ก็สมัยน้ัน สัตว์พวกใดเสพเมถุนธรรมกัน สัตว์พวกนั้น เขา้ บา้ นหรอื นคิ มไมไ่ ด้ สน้ิ สองเดอื นบา้ ง สามเดอื นบา้ ง เมอ่ื ใด สัตว์ท้ังหลายพากันเสพอสัทธรรมนั่นอยู่เสมอ  เม่ือนั้น จงึ พยายามสรา้ งบา้ นเรอื นกนั ขน้ึ เพอ่ื เปน็ ทก่ี �ำ บงั อสทั ธรรมนน้ั . คร้ังน้ัน สัตว์ผู้หน่ึงเกิดความเกียจคร้าน จึงได้เก็บ ขา้ วสาลมี าไวเ้ พอ่ื บรโิ ภคเสยี คราวเดยี ว ทง้ั เวลาเชา้ และเวลาเยน็ ตอ่ มาสตั วพ์ วกอนื่ กถ็ อื เอาแบบอยา่ งของสตั วผ์ นู้ นั้ โดยเกบ็ ขา้ วสาลมี าไวเ้ พอ่ื บรโิ ภคเสยี คราวเดยี ว ทงั้ เวลาเชา้ และเวลา เยน็ บา้ ง เกบ็ ไว้เพอ่ื บริโภคส้นิ ๒ วันบา้ ง เกบ็ ไวเ้ พ่อื บริโภค สนิ้ ๔ วันบา้ ง เก็บไว้เพ่อื บรโิ ภคสิน้ ๘ วนั บา้ ง. เม่ือใด สัตว์ท้ังหลายเหล่าน้ัน พยายามเก็บสะสม ข้าวสาลีไว้เพื่อบริโภค เมื่อน้ันข้าวสาลีน้ันจึงกลายเป็นข้าว ทีม่ รี ำ�ห่อเมลด็ บา้ ง มแี กลบห้มุ เมล็ดบ้าง ต้นที่ถกู เก่ยี วแลว้ ก็ไม่กลับงอกขึ้นแทนที่ ปรากฏความพร่องให้เห็น จึงได้มี ขา้ วสาลเี ป็นหย่อมๆ. 69

พุทธวจน - หมวดธรรม (ต่อมาสัตว์เหล่านั้นพากันจับกลุ่มและได้ปรับทุกข์แก่กัน และกัน ถึงเรื่องท่ีมีการปรากฏของอกุศลธรรมอันเป็นบาป ทำ�ให้สัตว์ เหล่านี้จากที่เคยเป็นผู้ได้สำ�เร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออก จากกายตน แลว้ กไ็ ดม้ กี ารเปลยี่ นแปลงมาเรอ่ื ยๆ จนกระทงั่ มาถงึ ในสมยั ท่ี ดำ�รงอยู่ด้วยการบริโภคข้าวสาลี ที่มีรำ�ห่อเมล็ด มีแกลบหุ้มเมล็ด ต้นท่ี ถกู เกย่ี วแลว้ กไ็ มก่ ลบั งอกขนึ้ แทนที่ ปรากฏความบกพรอ่ งใหเ้ หน็ จากนนั้ จงึ ไดม้ ีการแบ่งส่วนข้าวสาลีและปกั ปันเขตแดนกนั ) วาเสฏฐะและภารทวาชะ  ครั้งนั้นแล สัตว์ผู้หนึ่ง เป็นคนโลภ สงวนสว่ นของตนไว้ ไปเก็บเอาส่วนอื่นทีเ่ ขาไม่ ไดใ้ หม้ าบรโิ ภค สตั วเ์ หลา่ นนั้ จงึ ชว่ ยกนั จบั สตั วผ์ นู้ น้ั ครนั้ แลว้ ได้ตักเตือนอย่างนี้ว่า แน่ะสัตว์ผู้เจริญ  ก็ท่านกระทำ�กรรม อนั ช่วั ช้านกั ที่สงวนส่วนของตนไว้ ไปเก็บเอาส่วนอื่น ทีเ่ ขา ไม่ได้ให้มาบริโภค ท่านอย่าได้กระทำ�กรรมอันชั่วช้า เหน็ ปานน้อี กี เลย สตั วผ์ นู้ ้ันได้รับค�ำ ของสัตว์เหลา่ น้ันแลว้ . แม้ครั้งที่ ๒ สัตว์ผู้น้ันก็ยังขืนทำ�เช่นเดิมและรับคำ� สตั วท์ ง้ั หลายวา่ จะไมท่ �ำ อกี แมค้ รงั้ ท่ี ๓ สตั วผ์ นู้ น้ั กย็ งั ขนื ท�ำ เช่นเดิมอีก สัตว์เหล่านั้นจึงช่วยกันจับสัตว์ผู้นั้น ครั้นแล้ว ไดต้ กั เตอื นวา่ แนะ่ สตั วผ์ เู้ จรญิ   ทา่ นท�ำ กระกรรมอนั ชว่ั ชา้ นกั ที่สงวนส่วนของตนไว้ ไปเก็บเอาส่วนอ่ืน ที่เขาไม่ได้ให้ มาบรโิ ภค ทา่ นอยา่ ไดก้ ระท�ำ กรรมอนั ชว่ั ชา้ เหน็ ปานนอ้ี กี เลย 70

เปิดธรรมท่ถี กู ปิด : สตั ว์ สตั วพ์ วกหนง่ึ ประหารดว้ ยฝา่ มอื บา้ ง สตั วพ์ วกหนงึ่ ประหาร ด้วยก้อนดินบ้าง พวกหนึ่งประหารด้วยท่อนไม้บ้าง ในเพราะมีเหตุเช่นน้ีเป็นต้นมา การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของ ไม่ได้ให้จึงปรากฏ การติเตียนจึงปรากฏ การกล่าวเท็จ จงึ ปรากฏ การถือท่อนไม้จึงปรากฏ. คร้ังน้ันแล พวกสัตว์ที่เป็นผู้ใหญ่จึงประชุมกัน คร้นั แล้ว ต่างก็ปรับทุกขก์ ันวา่ ท่านผ้เู จรญิ เอย๋   การถือเอา สิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้จักปรากฏ การติเตียนจักปรากฏ การพูดเท็จจักปรากฏ การถือท่อนไม้จักปรากฏ ในเพราะ อกุศลธรรมอันเป็นบาปเหล่าใด อกุศลธรรมอันเป็นบาป เหลา่ นนั้ เกดิ ขนึ้ แลว้ ในสตั วท์ ง้ั หลาย อยา่ กระนน้ั เลย พวกเรา จักสมมติ (แต่งตั้ง) สัตว์ผู้หน่ึงให้เป็นผู้ว่ากล่าวผู้ท่ีควร ว่ากล่าว ให้เป็นผู้ติเตียนผู้ที่ควรติเตียน ให้เป็นผู้ขับไล่ ผู้ที่ควรขับไล่โดยชอบ ส่วนพวกเราจักแบ่งส่วนข้าวสาลี ใหแ้ กผ่ นู้ นั้ ดงั นี้ ครน้ั แลว้ สตั วเ์ หลา่ นน้ั พากนั เขา้ ไปหาสตั วท์ ี่ สวยงามกวา่ นา่ ดนู า่ ชมกวา่ นา่ เลอ่ื มใสกวา่ และนา่ เกรงขามกวา่ แลว้ จงึ แจง้ เร่อื งนี้วา่ มาเถิดทา่ นผู้เจริญ  ขอทา่ นจงวา่ กลา่ ว ผู้ที่ควรว่ากล่าว จงติเตียนผู้ท่ีควรติเตียน จงขับไล่ผู้ที่ควร ขับไล่โดยชอบเถิด ส่วนพวกข้าพเจ้าจักแบ่งส่วนข้าวสาลี ใหแ้ กท่ า่ น. 71

พทุ ธวจน - หมวดธรรม สตั วผ์ นู้ น้ั รบั ค�ำ แลว้ จงึ วา่ กลา่ วผทู้ คี่ วรวา่ กลา่ ว ตเิ ตยี น ผทู้ ค่ี วรตเิ ตยี น ขบั ไลผ่ ทู้ ค่ี วรขบั ไลโ่ ดยชอบ สว่ นสตั วเ์ หลา่ นนั้ ก็แบ่งส่วนข้าวสาลีให้แก่สัตว์ที่เป็นหัวหน้านั้น เพราะเหตุ ผู้ท่ีเป็นหัวหน้า อันมหาชนสมมติ (แต่งต้ัง) น้ัน อักขระว่า มหาชนสมมติ มหาชนสมมติ (มหาสมฺมต) จึงเกิดขึ้นเป็น อันดับแรก  พราะเหตผุ ้ทู ี่เป็นหัวหน้า เป็นใหญย่ ิ่งแหง่ เขต ทั้งหลายน้ัน อักขระว่า กษัตริย์ กษัตริย์ (ขตฺติย) จึงเกิดขึ้น เป็นอันดับท่ี ๒  เพราะเหตุที่ผู้เป็นหัวหน้า ยังชนเหล่าอ่ืน ใหส้ ขุ ใจได้โดยธรรม อักขระว่า ราชา ราชา (ราช) จงึ เกดิ ข้นึ เปน็ อนั ดบั ที่ ๓. ด้วยเหตุดังที่กล่าวมาน้ี การบังเกิดขึ้นแห่งพวก กษตั รยิ น์ ้นั จงึ มขี ้นึ ได้ เพราะอักขระทร่ี ู้กนั วา่ เป็นของดี เป็น ของโบราณอย่างน้ี เรื่องของสัตว์เหล่าน้ัน จะต่างกันหรือ เหมือนกัน จะไม่ต่างกันหรือไม่เหมือนกัน ก็ด้วยธรรม เท่าน้ัน ไม่ใช่นอกไปจากธรรม ความจริง ธรรมเท่าน้ันเป็น ของประเสรฐิ สดุ ในหมมู่ หาชน ทง้ั ในปจั จบุ นั  (ทฏิ ฺ ธรรม) และ ภายหนา้  (อภิสมปฺ ราย) ครงั้ นั้นแล สตั วบ์ างจ�ำ พวก ไดม้ ีความคดิ ขนึ้ อยา่ งนี้ ว่า ท่านผู้เจริญเอ๋ย  การถือเอาสิ่งของท่ีเจ้าของไม่ได้ให้ 72

เปดิ ธรรมท่ถี ูกปดิ : สตั ว์ จักปรากฏ การติเตียนจักปรากฏ การกล่าวเท็จจักปรากฏ การถือท่อนไม้จักปรากฏ การขับไล่จักปรากฏ ในเพราะ อกุศลธรรมอันเป็นบาปเหล่าใด อกุศลธรรมอันเป็นบาป เหลา่ นน้ั เกดิ ขน้ึ แลว้ ในสตั วท์ งั้ หลาย อยา่ กระนนั้ เลย พวกเรา ควรไปลอยอกุศลธรรมอันเป็นบาปน้ีเถิด ดังนี้ คร้ันแล้ว สัตว์เหล่านั้นจึงได้พากันลอยอกุศลธรรมอันเป็นบาปท้ิงไป เพราะเหตทุ สี่ ตั วเ์ หลา่ นน้ั พากนั ลอยอกศุ ลธรรมอนั เปน็ บาป อยู่ดังนี้ อักขระวา่ พวกพราหมณ์ พวกพราหมณ ์ (พฺราหมฺ ณ) จงึ เกดิ ข้นึ เป็นอันดบั แรก. พราหมณ์เหล่าน้ัน พากันสร้างกระท่อม ซ่ึงมุงและ บังด้วยใบไม้ในราวป่า เพ่งอยู่ในกระท่อม ซ่ึงมุงและบัง ด้วยใบไม้น้ัน พวกเขาไม่มีการหุงต้ม ไม่มีการตำ�ข้าว ทง้ั ในเวลาเยน็ และเวลาเชา้ จงึ ไดพ้ ากนั เทยี่ วแสวงหาอาหาร ตามหม่บู ้าน นิคม และเมืองหลวง เพ่อื บริโภคในเวลาเย็น และเวลาเชา้ เขาเหลา่ นนั้ ครน้ั ไดอ้ าหารแลว้ จงึ พากนั กลบั ไป เพ่งอยู่ในกระท่อม ซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ในราวป่าอีก คนท้ังหลาย เห็นการกระทำ�ของพวกพราหมณ์น้ันแล้ว จึงพากันพูดอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญเอ๋ย  สัตว์พวกนี้พากัน มาสรา้ งกระทอ่ ม ซงึ่ มงุ และบงั ดว้ ยใบไมใ้ นราวปา่ แลว้ เพง่ อยู่ 73

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ในกระท่อม ซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้นั้น ไม่มีการหุงต้ม ไม่มีการตำ�ข้าว ท้ังในเวลาเย็นและเวลาเช้า จึงพากันเท่ียว แสวงหาอาหารตามหมบู่ า้ น นคิ ม และเมอื งหลวง เพอื่ บรโิ ภค ในเวลาเย็นและเวลาเช้า เขาเหล่านั้นครั้นได้อาหารแล้ว จึงพากันกลับไปเพ่งอยู่ในกระท่อม ซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ ในราวปา่ อีก ดังนี้ เพราะเหตุนนั้ อกั ขระวา่ พวกเจริญฌาน พวกเจรญิ ฌาน (ฌายิกา) จงึ เกดิ ขน้ึ เป็นอันดับท่ี ๒. บรรดาสัตว์เหล่าน้นั สัตว์บางพวกเมื่อไมอ่ าจสำ�เรจ็ ฌานไดท้ ก่ี ระทอ่ ม ซงึ่ มงุ และบงั ดว้ ยใบไมใ้ นราวปา่ จงึ เทย่ี วไป ยังหมู่บ้านและนิคมที่ใกล้เคียง แล้วก็จัดทำ�คัมภีร์อยู่ คนทั้งหลาย เห็นการกระทำ�ของพวกพราหมณ์น้ันแล้ว จงึ พดู อยา่ งนวี้ า่ ทา่ นผเู้ จรญิ เอย๋   กส็ ตั วเ์ หลา่ น้ี ไมอ่ าจส�ำ เรจ็ ฌานไดท้ ก่ี ระทอ่ ม ซง่ึ มงุ และบงั ดว้ ยใบไมใ้ นราวปา่ จงึ เทย่ี วไป ยงั หมบู่ า้ นและนคิ มทใี่ กลเ้ คยี ง จดั ท�ำ คมั ภรี อ์ ยู่ บดั นพี้ วกชน เหลา่ นไ้ี ม่เพง่ อยู่ บดั นี้พวกชนเหล่านี้ไมเ่ พง่ อยู่ ดังน้ี เพราะ เหตนุ น้ั อกั ขระวา่ อชั ฌายกิ า อชั ฌายกิ า (อชฌฺ ายกิ า) จงึ เกดิ ขน้ึ เปน็ อนั ดบั ที่ ๓  กส็ มยั นน้ั การทรงจ�ำ การสอน การบอกมนต์ ถกู สมมตวิ า่ เลว มาในบัดนี้ สมมติกันว่าประเสรฐิ ดว้ ยเหตุ ดงั ท่ีกล่าวมาน้ี การเกดิ ขนึ้ แหง่ พวกพราหมณน์ นั้ จึงมีข้ึนได้ 74

เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ : สัตว์ บรรดาสตั วเ์ หลา่ นน้ั สตั วบ์ างจ�ำ พวกยดึ มน่ั เมถนุ ธรรม แลว้ ประกอบการงานเปน็ แผนกๆ เพราะเหตทุ ส่ี ตั วเ์ หลา่ นนั้ ยดึ มน่ั เมถนุ ธรรม แลว้ ประกอบการงานเปน็ แผนกๆ นนั้ แล อักขระว่า เวสสา เวสสา (เวสฺสา) จึงเกิดข้ึน ด้วยเหตุดังที่ กล่าวมาน้ี การเกิดข้นึ ของเวสส์นัน้ จงึ มขี ึ้นได้. บรรดาสัตว์เหล่านั้น สัตว์บางจำ�พวกประพฤติตน โหดรา้ ย ท�ำ งานต�ำ่ ตอ้ ย เพราะเหตทุ ส่ี ตั วเ์ หลา่ นนั้ ประพฤตติ น โหดรา้ ย ท�ำ งานต�ำ่ ตอ้ ยนนั้ แล อกั ขระวา่ สทุ ทา สทุ ทา (สทุ ทฺ า) จงึ เกดิ ขน้ึ ดว้ ยเหตดุ งั ทก่ี ลา่ วมาน้ี การเกดิ ขน้ึ แหง่ พวกสทู ทน์ น้ั จงึ มีขน้ึ ได้. มสี มยั ทกี่ ษตั รยิ บ์ า้ ง พราหมณบ์ า้ ง เวสสบ์ า้ ง สทู ทบ์ า้ ง ตำ�หนิธรรมของตน จึงได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ดว้ ยประสงคว์ า่ เราจกั เปน็ สมณะ ดว้ ยประการดงั ทก่ี ลา่ วมาน้ี พวกสมณะจงึ เกดิ มขี น้ึ ได้ จากวรรณะท้งั สี่ เหลา่ น.้ี กษตั รยิ ก์ ด็ ี พราหมณก์ ด็ ี เวสสก์ ด็ ี สทู ทก์ ด็ ี สมณะกด็ ี ประพฤติกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมยึดถือการกระทำ�ด้วยอำ�นาจมิจฉาทิฏฐิ เพราะยึดถือ การกระทำ�ด้วยอำ�นาจมิจฉาทิฏฐิเป็นเหตุ เบ้ืองหน้าจาก การตายเพราะกายแตกทำ�ลาย ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ทัง้ สิ้น. 75

พทุ ธวจน - หมวดธรรม กษตั รยิ ก์ ด็ ี พราหมณก์ ด็ ี เวสสก์ ด็ ี สทู ทก์ ด็ ี สมณะกด็ ี ประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เป็นสัมมาทิฏฐิ ย่อมยึดถือการกระทำ�ด้วยอำ�นาจสัมมาทิฏฐิ เพราะยึดถือ การกระท�ำ ดว้ ยอ�ำ นาจสมั มาทฏิ ฐเิ ปน็ เหตุ เบอื้ งหนา้ จากการ ตายเพราะกายแตกท�ำ ลาย ย่อมเข้าถงึ สุคติโลกสวรรค์. กษตั รยิ ก์ ด็ ี พราหมณก์ ด็ ี เวสสก์ ด็ ี สทู ทก์ ด็ ี สมณะกด็ ี มีปกติกระทำ�กรรมทั้งสอง (คือสุจริตและทุจริต) ด้วยกาย มีปกติกระทำ�กรรมท้ังสองด้วยวาจา มีปกติกระทำ�กรรม ทั้งสองด้วยใจ มีความเห็นปนกัน ยึดถือการกระทำ�ด้วย อำ�นาจความเห็นปนกัน เพราะยดึ ถือการกระทำ�ด้วยอำ�นาจ ความเห็นปนกันเป็นเหตุ เบ้ืองหน้าจากการตายเพราะกาย แตกท�ำ ลาย ย่อมเสวยสุขบา้ ง ทุกข์บา้ ง. กษตั รยิ ก์ ด็ ี พราหมณก์ ด็ ี เวสสก์ ด็ ี สทู ทก์ ด็ ี ส�ำ รวมกาย สำ�รวมวาจา สำ�รวมใจ อาศัยการเจริญโพธิปักขิยธรรม ทงั้ ๗ แล้ว ย่อมปรินิพพานในปัจจุบันน้ที ีเดียว. ก็บรรดาวรรณะทั้งส่ีนี้  วรรณะใด เป็นภิกษุ ส้ิน อาสวะแลว้ มพี รหมจรรยอ์ ยจู่ บแลว้ มกี จิ ทค่ี วรท�ำ ท�ำ เสรจ็ แลว้ วางภาระเสียได้แล้ว บรรลุถึงประโยชน์ของตนแล้ว หมด เคร่ืองเกาะเกี่ยวในภพแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบ 76

เปดิ ธรรมทีถ่ กู ปดิ : สตั ว์ วรรณะน้ันปรากฏว่า เป็นผู้เลิศกว่าคนทั้งหลายโดยธรรม แท้จริง มิใช่นอกไปจากธรรมเลย ความจริงธรรมเท่าน้ัน เป็นของประเสริฐท่ีสุดในหมู่มหาชน ทั้งในปัจจุบัน และ ภายหน้า. กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่ชนผู้รังเกียจ ดว้ ยโคตร ทา่ นผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยวชิ ชาและจรณะ เปน็ ผปู้ ระเสรฐิ ท่ีสดุ ในหมู่เทวดาและมนษุ ย์ … . 77

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี ูกปิด : สัตว์ เพราะระลกึ ยอ้ นหลงั ไดจ้ �ำ กดั 25 จงึ มคี วามเหน็ ทต่ี า่ งกนั -บาลี ส.ี ท.ี ๙/๒๒/๓๑. ภิกษุท้ังหลาย  มีสมณพราหมณ์พวกหน่ึงมีทิฏฐิว่า บางอยา่ งเทย่ี ง บางอยา่ งไมเ่ ทยี่ ง จงึ บญั ญตั อิ ตั ตาและโลกวา่ บางอยา่ งเท่ยี ง บางอย่างไม่เทย่ี ง ด้วยเหตุ ๔ ประการ. (๑) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  เมอื่ โลกก�ำ ลงั พนิ าศอยู่ โดยมาก เหล่าสัตว์ (สตฺตา) ย่อมเกิดในอาภัสสระ สัตว์เหล่าน้ัน ได้สำ�เร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกาย ตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ ในภพน้ันส้ินกาลยืดยาวช้านาน  ภิกษุท้ังหลาย  มีสมัย บางคร้งั บางคราว โดยระยะกาลยดื ยาวช้านาน ทโี่ ลกนกี้ ลบั เจริญขึ้น เม่ือโลกกำ�ลังเจริญอยู่ วิมานของพรหมปรากฏว่า ว่างเปล่า คร้ังนั้น สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นอาภัสสระ เพราะส้ินอายุหรือเพราะส้ินบุญ ย่อมเข้าถึงวิมานพรหม ที่ว่างเปล่า … เพราะสัตว์ผู้น้ันอยู่ในวิมานนั้นแต่ผู้เดียว เปน็ เวลานาน จงึ เกดิ ความกระสนั ความดน้ิ รนขน้ึ วา่ โอหนอ  แมส้ ตั วเ์ หลา่ อน่ื ก็พึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง ต่อมาสัตว์เหล่าอื่น ก็จุติจากช้ันอาภัสสระ เพราะสิ้นอายุหรือเพราะสิ้นบุญ ย่อมเข้าถึงวมิ านพรหม เปน็ สหายของสตั วผ์ นู้ นั้ . 78

เปดิ ธรรมที่ถูกปิด : สัตว์ ภกิ ษทุ งั้ หลาย  บรรดาสตั วจ์ �ำ พวกนน้ั ผใู้ ดเกดิ กอ่ น ผู้นั้นย่อมมีความคิดเห็นอย่างน้ีว่า เราเป็นพรหม เราเป็น มหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้ กมุ อ�ำ นาจ เปน็ อสิ ระ เปน็ ผสู้ รา้ ง เปน็ ผนู้ ริ มติ เปน็ ผปู้ ระเสรฐิ เปน็ ผบู้ งการ เปน็ ผทู้ รงอ�ำ นาจ เปน็ บดิ าของหมสู่ ตั วผ์ เู้ ปน็ แลว้ และกำ�ลังเป็น สัตว์เหล่าน้ีเรานิรมิต แม้พวกสัตว์ท่ีเกิด ภายหลัง ก็มีความคิดเห็นอย่างน้ีว่า ท่านผู้เจริญน้ีแล เป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำ�นาจ เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง เป็นผู้ นริ มติ เปน็ ผปู้ ระเสรฐิ เปน็ ผบู้ งการ เปน็ ผทู้ รงอ�ำ นาจ เปน็ บดิ า ของหมสู่ ตั วผ์ เู้ ปน็ แลว้ และก�ำ ลงั เปน็  (ปติ า ภตู ภพยฺ าน) พวกเรา อันพระพรหมผู้เจริญนีน้ ิรมติ แล้ว. ภกิ ษทุ งั้ หลาย  บรรดาสตั วจ์ �ำ พวกนนั้ ผใู้ ดเกดิ กอ่ น ผู้นั้นมีอายุยืนกว่า มีผิวพรรณกว่า มีศักดิ์มากกว่า ส่วนผู้ที่ เกิดภายหลังมีอายุน้อยกว่า มีผิวพรรณทรามกว่า มีศักด์ิ นอ้ ยกว่า. ภิกษุทั้งหลาย  ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ท่ีสัตว์ผู้ใด ผู้หนึ่งจุติจากช้ันน้ันแล้วมาเป็นอย่างน้ี เม่ือมาเป็นอย่างนี้ แล้วจงึ ออกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชิต เมอ่ื บวชแล้ว อาศัย 79

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรท่ีต้ังม่ัน อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัย มนสกิ ารโดยชอบ แลว้ บรรลเุ จโตสมาธิ อนั เปน็ เครอื่ งตง้ั มน่ั แห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนนั้นได้ หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้ เขาจึงกล่าวอย่างน้ีว่า พระพรหม ผู้เจริญน้ันเป็นผู้เท่ียง ย่ังยืน คงทน มีความไม่แปรปรวน เปน็ ธรรมดา จกั ตง้ั อยเู่ ทย่ี งเสมอไปเชน่ นน้ั ทเี ดยี ว สว่ นพวกเรา ท่ีพระพรหมผู้เจริญน้ันนิรมิตแล้ว เป็นผู้ไม่เท่ียง ไม่ย่ังยืน มีอายนุ ้อย ยงั ตอ้ งจุตมิ าเปน็ อยา่ งนเ้ี ช่นน้.ี ภิกษุทั้งหลาย  น้ีเป็นฐานะท่ี ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์ พวกหนงึ่ อาศยั แลว้ ปรารภแลว้ จงึ มที ฏิ ฐวิ า่ บางอยา่ งเทย่ี ง บางอยา่ งไมเ่ ทยี่ ง ยอ่ มบญั ญตั อิ ตั ตาและโลกวา่ บางอยา่ งเทยี่ ง บางอยา่ งไม่เที่ยง. (๒) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  พวกเทวดาชอื่ วา่ ขฑิ ฑาปโทสกิ ะ มีอยู่ พวกน้ันพากันหมกมุ่นอยู่แต่ในความร่ืนรมย์ คือ การสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลา สติก็ย่อมหลงลืม เพราะสติหลงลืม จึงพากันจตุ ิจากชั้นนน้ั . ภิกษุท้ังหลาย  ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ท่ีสัตว์ผู้ใด ผหู้ นง่ึ จตุ จิ ากชนั้ นน้ั แลว้ มาเปน็ อยา่ งน้ี เมอื่ มาเปน็ อยา่ งนแี้ ลว้ 80

เปิดธรรมทีถ่ กู ปดิ : สตั ว์ จงึ ออกจากเรือนบวชเปน็ บรรพชิต … แล้วบรรลเุ จโตสมาธิ อนั เปน็ เครอื่ งตงั้ มน่ั แหง่ จติ ตามระลกึ ถงึ ขนั ธท์ เ่ี คยอาศยั อยู่ ในกาลก่อนนั้นได้ หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้ เขาจึงกล่าว อย่างนี้ว่า ท่านพวกเทวดาผู้มิใช่เหล่าขิฑฑาปโทสิกะ ย่อม ไม่พากันหมกมุ่นอยู่แต่ในความร่ืนรมย์ พวกเหล่านั้นจึง ไมจ่ ตุ จิ ากชน้ั นน้ั เปน็ ผเู้ ทยี่ ง ยงั่ ยนื คงทน มคี วามไมแ่ ปรปรวน เปน็ ธรรมดา จกั ตง้ั อยเู่ ทย่ี งเสมอไปเชน่ นน้ั ทเี ดยี ว สว่ นพวกเรา เหลา่ ขฑิ ฑาปโทสกิ ะ หมกมนุ่ อยแู่ ตใ่ นความรน่ื รมย์ พวกเรา จึงพากันจุติจากชั้นนั้น เป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ย่ังยืน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนีเ้ ช่นน.ี้ ภิกษุท้ังหลาย  น้ีเป็นฐานะที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์ พวกหนงึ่ อาศยั แลว้ ปรารภแลว้ จงึ มที ฏิ ฐวิ า่ บางอยา่ งเทยี่ ง บางอยา่ งไมเ่ ทย่ี ง ยอ่ มบญั ญตั อิ ตั ตาและโลกวา่ บางอยา่ งเทย่ี ง บางอยา่ งไมเ่ ทย่ี ง. (๓) ภิกษุท้ังหลาย  พวกเทวดาช่ือว่ามโนปโทสิกะ มอี ยู่ พวกนน้ั มกั เพง่ โทษกนั และกนั เกนิ ควร เมอ่ื มวั เพง่ โทษกนั และกนั เกนิ ควร ยอ่ มคดิ มงุ่ รา้ ยกนั และกนั เมอ่ื ตา่ งคดิ มงุ่ รา้ ย กนั และกนั จงึ ล�ำ บากกายและล�ำ บากใจ พากนั จตุ จิ ากชน้ั นน้ั . 81

พุทธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย  ก็เป็นฐานะท่ีจะมีได้แล ที่สัตว์ผู้ใด ผหู้ นง่ึ จตุ จิ ากชน้ั นน้ั แลว้ มาเปน็ อยา่ งน้ี เมอ่ื มาเปน็ อยา่ งนแ้ี ลว้ จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว อาศัย ความเพียรเป็นเคร่ืองเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัย มนสกิ ารโดยชอบ แลว้ บรรลเุ จโตสมาธิ อนั เปน็ เครอ่ื งตง้ั มน่ั แห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ท่ีเคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนนั้นได้ หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้ เขาจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านพวก เทวดาผมู้ ใิ ชเ่ หลา่ มโนปโทสกิ ะ ยอ่ มไมม่ วั เพง่ โทษกนั และกนั เกนิ ควร จงึ ไมจ่ ตุ จิ ากชน้ั นนั้ เปน็ ผเู้ ทย่ี ง ยง่ั ยนื คงทน มคี วาม ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นน้ัน ทเี ดยี ว สว่ นพวกเราไดเ้ ปน็ พวกมโนปโทสกิ ะ มวั เพง่ โทษกนั และกนั เกนิ ควร พวกเราจงึ พากนั จตุ จิ ากชนั้ นน้ั เปน็ ผไู้ มเ่ ทยี่ ง ไม่ยงั่ ยนื มีอายุน้อยยังต้องจุตมิ าเปน็ อย่างนี้เช่นน.ี้ ภกิ ษทุ ้ังหลาย  น้ีเป็นฐานะท่ี ๓ ซง่ึ สมณพราหมณ์ พวกหนง่ึ อาศยั แลว้ ปรารภแลว้ จงึ มที ฏิ ฐวิ า่ บางอยา่ งเทยี่ ง บางอยา่ งไมเ่ ทย่ี ง ยอ่ มบญั ญตั อิ ตั ตาและโลกวา่ บางอยา่ งเทย่ี ง บางอยา่ งไมเ่ ทย่ี ง. 82

เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปิด : สัตว์ (๔) อนง่ึ ในฐานะท่ี ๔ สมณพราหมณผ์ เู้ จรญิ อาศยั อะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่าง ไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอยา่ งไม่เที่ยง. ภกิ ษทุ งั้ หลาย  สมณะหรอื พราหมณบ์ างคนในโลกน้ี เปน็ นกั ตรกึ เปน็ นกั คน้ คดิ กลา่ วแสดงปฏภิ าณของตน ตามท่ี ตรึกได้ ตามท่ีค้นคิดได้อย่างน้ีว่า ส่ิงที่เรียกว่าตาก็ดี หูก็ดี จมูกก็ดี ล้ินก็ดี กายก็ดี น้ีได้ชื่อว่าอัตตา เป็นของไม่เที่ยง ไม่ยงั่ ยนื ไมค่ งทน มคี วามแปรปรวนเป็นธรรมดา สว่ นสง่ิ ท่ี เรียกว่าจิต หรือใจ หรือวิญญาณ นี้ช่ือว่าอัตตาเป็น ของเที่ยง ย่ังยืน คงทน มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา จกั ตัง้ อยูเ่ ทยี่ งเสมอไปเช่นนนั้ ทีเดียว. ภิกษุท้ังหลาย  น้ีเป็นฐานะท่ี ๔ ซึ่งสมณพราหมณ์ พวกหนง่ึ อาศยั แลว้ ปรารภแลว้ จงึ มที ฏิ ฐวิ า่ บางอยา่ งเทยี่ ง บางอยา่ งไมเ่ ทย่ี ง ยอ่ มบญั ญตั อิ ตั ตาและโลกวา่ บางอยา่ งเทยี่ ง บางอยา่ งไมเ่ ท่ยี ง. 83

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี ูกปดิ : สัตว์ สตั วท์ ง้ั หลาย เปน็ ทายาทแหง่ กรรม 26 -บาลี ทสก. อ.ํ ๒๔/๓๐๙/๑๙๓. ภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดงธรรมปริยาย อันเป็น เหตแุ หง่ ความกระเสอื กกระสนไปตามกรรม แกเ่ ธอทงั้ หลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจใหด้ ี เราจักกลา่ ว กธ็ รรมปรยิ าย อนั แสดงความกระเสอื กกระสนไปตามกรรมนน้ั เปน็ อยา่ งไร. ภิกษุทั้งหลาย  สตั ว์ท้ังหลาย เปน็ ผูม้ กี รรมเป็นของ ตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำ�เนิด มีกรรมเป็น เผ่าพนั ธ์ุ มีกรรมเป็นที่พึง่ อาศัย กระท�ำ กรรมใดไว้ ดีก็ตาม ชว่ั ก็ตาม จกั เปน็ ผรู้ ับผลกรรมนัน้  (กมมฺ สสฺ กา ภกิ ขฺ เว สตตฺ า กมมฺ ทายาทา กมมฺ โยนี กมมฺ พนธฺ ู กมมฺ ปฏสิ รณา ย กมมฺ  กโรนตฺ ิ กลยฺ าณ วา ปา ปก วา ตสสฺ ทายาทา ภวนตฺ )ิ . ภิกษุทั้งหลาย  คนบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ฆ่าสัตว์ หยาบชา้ มฝี ่ามือเปื้อนด้วยโลหติ มีแต่การฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิต เขากระเสือกกระสนด้วยกาย กระเสอื กกระสนดว้ ยวาจา กระเสอื กกระสนดว้ ยใจ กายกรรม ของเขาคด วจีกรรมของเขาคด มโนกรรมของเขาคด คติ ของเขาคด อปุ บัติ (การเขา้ ถงึ ภพ) ของเขาคด. 84

เปิดธรรมทถี่ กู ปดิ : สัตว์ ภิกษุทั้งหลาย  สำ�หรับผู้มีคติคด มีอุปบัติคดนั้น เรากลา่ วคตอิ ยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ในบรรดาคตสิ องอยา่ งแกเ่ ขา คือ เหล่าสัตว์นรก ผู้มีทุกข์โดยส่วนเดียว หรือว่าสัตว์ เดรัจฉานผู้มีกำ�เนิดกระเสือกกระสน ได้แก่ งู แมลงป่อง ตะขาบ พงั พอน แมว หนู นกเคา้ หรอื สตั วเ์ ดรจั ฉานเหลา่ อนื่ ทเ่ี ห็นมนุษย์แล้วกระเสือกกระสน. ภิกษุท้ังหลาย  ภูตสัตว์ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ คือ อุปบัติย่อมมีแก่ภูตสัตว์ เขาทำ�กรรมใดไว้ เขาย่อม อุปบัติด้วยกรรมน้ัน ผัสสะท้ังหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้น ผู้อุปบัติแล้ว  ภิกษุท้ังหลาย  เรากล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายเป็น ทายาทแห่งกรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดังน.ี้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย  คนบางคนในกรณนี ้ี เปน็ ผลู้ กั ทรพั ย์ ... เป็นผปู้ ระพฤติผิดในกาม ... เปน็ ผูพ้ ูดเทจ็ ... เป็นผพู้ ูด ยยุ งให้แตกกัน ... เปน็ ผ้พู ูดคำ�หยาบ ... เปน็ ผพู้ ดู เพอ้ เจอ้ ... เปน็ ผู้โลภเพ่งเลง็ ทรพั ย์ของผอู้ ่ืน ... เป็นผ้มู จี ติ พยาบาท ... เปน็ ผู้มีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) มที สั สนะวปิ รติ ว่า ทาน ทใี่ หแ้ ลว้ ไมม่  ี(ผล) ยญั ทบี่ ชู าแลว้ ไมม่  ี(ผล) การบชู าทบ่ี ชู าแลว้ ไม่มี (ผล) ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำ�ดีทำ�ช่ัวไม่มี โลกนี้ ไม่มี โลกอื่นไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ดำ�เนินไปโดยชอบ ปฏิบัติโดยชอบ 85

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ถงึ กบั กระท�ำ ใหแ้ จง้ โลกนแ้ี ละโลกอนื่ ดว้ ยปญั ญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ก็ไม่มี ดังน้ี  เขากระเสือกกระสน ดว้ ยกาย กระเสอื กกระสนดว้ ยวาจา กระเสอื กกระสนดว้ ยใจ กายกรรมของเขาคด  วจีกรรมของเขาคด  มโนกรรม ของเขาคด คตขิ องเขาคด อุปบตั ขิ องเขาคด. ภิกษุท้ังหลาย  สำ�หรับผู้มีคติคด มีอุปบัติคดน้ัน เรากลา่ วคตอิ ยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ในบรรดาคตสิ องอยา่ งแกเ่ ขา คือ เหล่าสัตว์นรก ผู้มีทุกข์โดยส่วนเดียว หรือว่าสัตว์ เดรัจฉานผู้มีกำ�เนิดกระเสือกกระสน ได้แก่ งู แมลงป่อง ตะขาบ พงั พอน แมว หนู นกเคา้ หรอื สตั วเ์ ดรจั ฉานเหลา่ อน่ื ท่ีเห็นมนุษยแ์ ล้วกระเสอื กกระสน ภิกษุทั้งหลาย  ภูตสัตว์ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ คือ อุปบัติย่อมมีแก่ภูตสัตว์ เขาทำ�กรรมใดไว้ เขาย่อม อุปบัติด้วยกรรมน้ัน ผัสสะท้ังหลายย่อมถูกต้องภูตสัตว์นั้น ผู้อุปบัติแล้ว  ภิกษุทั้งหลาย  เรากล่าวว่าสัตว์ท้ังหลายเป็น ทายาทแหง่ กรรม ด้วยอาการอย่างนี้ ดงั น้ี. ภิกษทุ ้งั หลาย  สตั วท์ ั้งหลาย เป็นผู้มกี รรมเป็นของ ตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำ�เนิด มีกรรมเป็น เผา่ พนั ธุ์ มีกรรมเปน็ ทพ่ี ึง่ อาศยั กระทำ�กรรมใดไว้ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักเปน็ ผู้รบั ผลแหง่ กรรมนั้น. 86


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook