ลวดลายอสี าน 47
ช่อฟ้าวดั พระเหลาเทพนมิ ติ ช่อฟ้าจ�ำหลักไม้ปิดทองลายฉลุ ลักษณะจงอยปากครุฑ มีหงอนเป็น ลายหางไหลส่ีหยักไปจนถึงส่วนยอด เพรียวบางสะบัดปลายลาย ล�ำตัวปิดทอง ลายฉลุ ลายกระจงั มเี สน้ คน่ั เปน็ ชว่ งๆ มคี รบี ดา้ นหลงั ปจั จบุ นั เกบ็ รกั ษาไวท้ หี่ อศลิ ป์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี ซ่ึงรูปแบบช่อฟ้าของอีสานกับช่อฟ้าภาคกลาง มคี วามแตกต่างกันอย่พู อสมควร ช่อฟ้าภาคอีสาน กราฟิก : คงเดช นยิ มวงศ์ ชอ่ ฟ้าภาคกลาง 48 ลวดลายอสี าน
“ชอ่ ฟา้ ” อีสานเรยี ก “โหง”่ มคี ตคิ วามเชอื่ วา่ เปน็ สญั ลกั ษณข์ องพญาครฑุ “ตวั ลำ� ยอง” แทนนาค ใบระกาแทนขนปกี ของครฑุ และครบี ของนาค “หางหงส”์ แทนหวั นาค เพราะครฑุ กบั นาคมกั ตอ่ สกู้ นั เสมอ ในลกั ษณะของครฑุ ใชเ้ ทา้ ตะปบบรเิ วณลำ� คอของนาคเกดิ เปน็ “นาคสะดุง้ ” ในขณะท่ีมอื จบั ทีป่ ลายหางจึงปรากฏเปน็ ภาพในงานจติ รกรรมและประตมิ ากรรมที่เรียกวา่ “ครุฑยุดนาค” ถ่ายภาพ : สปิ ปวิชญ ์ บณุ ยพรภวษิ ย์ เขยี นภาพ : สดุ สาคร ชายเสม ลวดลายอสี าน 49
วดั ศรอี บุ ลรตั นาราม อำ� เภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ชอ่ ฟา้ ศาลาการเปรยี ญ ชอ่ ฟา้ จำ� หลกั ไม ้ ปดิ ทองประดบั กระจก ทำ� จากไมต้ ะเคยี น มีปีกท้ัง ๒ ข้าง มีหงอนเป็นลายหางไหลสี่หยักทับซ้อนส่งกันไป จนถงึ สว่ นยอด สะบดั ปลายลายเหมอื นตอ้ งลม พลว้ิ ไหวไปดา้ นหลงั ศาลาการเปรียญ หรือ หอแจก หลังนี้สร้างสมัยพระศาสนดิรก (ชิตเสโน เสน)เป็นเจ้าอาวาส ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ ศรอี บุ ลรัตนาราม จงั หวดั อบุ ลราชธานี 50 ลวดลายอสี าน
วดั ราษฎรป์ ระดษิ ฐ์ บา้ นกระเดยี น อำ� เภอตระการพชื ผล จงั หวดั อบุ ลราชธานี หนา้ บนั ดา้ นหนา้ อโุ บสถ หน้าบนั อุโบสถเปน็ ลายนนู ตำ่� ระบายสรี ูปมงั กร โดย เปน็ สญั ลกั ษณข์ องอำ� นาจและความรงุ่ เรอื ง สว่ นดา้ นบนสดุ เป็นรูปมังกรเต็มตัว ฝีมือช่างญวนที่มีความช�ำนาญในการ กอ่ อฐิ ถอื ปนู ลกั ษณะลวดลายสมั ผสั ไดถ้ งึ อทิ ธพิ ลของศลิ ปะ จนี ท่ีส่งผา่ นช่างญวน อีกนัยหน่ึงอาจหมายถึง เกียรติมุขหรือหน้ากาล ผู้ท่ีกลนื กนิ ทกุ สรรพส่งิ ทง้ั มวล เป็นสญั ลกั ษณ์ของ “เวลา” และเป็นช่ือของพระยม ผู้พิพากษาคนตายในศาสนาฮินดู ต่อมาจึงมีความเชื่อว่าการสร้างหน้ากาลไว้เหนือประตูทาง เขา้ ศาสนสถาน จะเปน็ เสมอื นสง่ิ คมุ้ ครองปกปกั รกั ษาไมใ่ ห้ ส่งิ ชวั่ ร้ายเขา้ มาสู่ศาสนสถานนน้ั ๆ ลวดลายอสี าน 51
หน้าบันดา้ นหลงั อโุ บสถวัดราษฎรป์ ระดษิ ฐ์ หนา้ บนั หรอื สีหนา้ เป็นลายนูนตำ�่ ระบายสรี ปู นกหัสดีลิงค์ก�ำลังจับช้างกินเป็นอาหาร นกหัสดีลิงค์เป็น สัตว์หิมพานต์ ในลักษณะตัวนกมีงวงเป็นช้าง หรือครึ่งนก ครง่ึ ชา้ งนกหสั ดลี งิ คน์ ม้ี พี ละกำ� ลงั มากเทา่ กบั ชา้ ง ๕ ตวั นสิ ยั ของนกหสั ดลี งิ คช์ อบกนิ ของสดๆ เปน็ อาหาร และมีหน้าท่ี คาบศพชาวอตุ ตรกรุ ุททวีปไปท้งิ ยงั แผ่นดินอื่น บางท้องถน่ิ มีความเช่ือว่านกหัสดีลิงค์สามารถน�ำวิญญาณของผู้ตายไป สู่สวรรค์ได้ สว่ นด้านบนเปน็ รปู นกกระเรยี น ตามความเช่อื ของ ชาวจีนมีความหมายถึงการมีอายุยืนยาวและเจริญรุ่งเรือง ตลอดไป จึงเป็นการผสมผสานระหว่างความเช่ือของไทย และจนี ได้อยา่ งลงตวั ทแ่ี สดงออกมาเป็นผลงานทางศิลปะ ที่มเี อกลกั ษณ์เฉพาะถน่ิ 52 ลวดลายอสี าน
วดั มหาธาตุ อ�ำเภอเมอื ง จงั หวดั ยโสธร ประตหู อไตรวัดมหาธาตุ หอไตรวดั มหาธาตุ สรา้ งขน้ึ เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๓๗๓ สมัยรัชกาลท่ี ๓ โดยพระครหู ลกั ค�ำ (กคุ ำ� ) เจา้ อาวาส วัดมหาธาตรุ ูปท่ี ๓ ในสมัยพระสนุ ทรราชวงศา (ฝ่าย) เปน็ เจา้ เมอื ง เปน็ บานประตจู ำ� หลกั ไม้ ปดิ ทอง ลอ่ งชาด ลายกา้ นขดออกชอ่ ดอกกาละกบั ประกอบภาพนก และ กระรอก เปน็ การผสมผสานระหวา่ งศลิ ปะลาวลา้ นชา้ ง กบั ศิลปะรัตนโกสนิ ทร์ได้อย่างลงตัว กรมศลิ ปากรไดป้ ระกาศขนึ้ ทะเบยี นในราชกจิ จานุเบกษา เล่มท่ี ๖๕ ตอนท่ี ๔๓ วนั ที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๔๙๑ และ เลม่ ท่ี ๙๘ ตอนท่ี ๑๐๔ วนั ที่ ๓๐ มถิ นุ ายน ๒๕๒๔ ลวดลายอสี าน 53
54 ลวดลายอสี าน
สาหรา่ ยรวงผึ้ง หอไตรวัดมหาธาตุ สาหร่ายรวงผึ้ง ภาษาอีสานเรยี ก “ฮังผง้ึ ” แกะสลกั ไม้ฉลุลาย ปดิ ทอง ลายพรรณพฤกษา ต้นไม้แบบไทย ลำ� ตน้ คดโคง้ เลอ่ื นไหล จากโคนตน้ ไปสู่ยอด ออกชอ่ ดอกกาละกบั มภี าพนกแทรกอยตู่ ามกงิ่ ไม้ มกี ารซอ้ นทบั ของกง่ิ ไม้ ทำ� ให้ เกดิ ระยะหน้าหลงั สวยงามตามแบบอย่างศิลปะลาวลา้ นช้าง ลวดลายอสี าน 55
หนา้ ตา่ งหอไตร วดั มหาธาต ุ บานหน้าต่างไมล้ งรัก ปิดทอง ลายฉลุ ภาพทวารบาล และ ภาพเซีย่ วกาง ลายฉลุ ปิดทอง ล่องชาด ส่วนขอบด้านบนประดับสาหร่ายรวงผ้ึงแกะลายฉลุไม้ ปิดทอง เป็นภาพ ตัวอรหัน ครฑุ หงส์ นก ประกอบลายพรรณพฤกษา ด้านล่างมี “หย่องลูกมะหวด” หากพิจารณาจากกระบวนลายและรูปทรงทางสถาปัตยกรรมมีหลายส่วนคล้ายกับ หอไตรวัดทุ่งศรีเมือง จึงสันนษิ ฐานได้ว่านา่ จะเปน็ สกุลชา่ งเดียวกัน 56 ลวดลายอสี าน
ลวดลายอสี าน 57
58 ลวดลายอสี าน
ผนงั ตัวเรือนช้นั ใน หอไตรวัดมหาธาตุ ผนังตัวเรือนช้ันในเป็นฝาผนังไม้ลงรักปิดทองลายฉล ุ ลายพุ่มข้าวบิณฑ์หน้าขบ รูปแบบเดียวกันทั้งผนัง ซึ่งต่างจาก ผนังตวั เรอื นช้นั ในหอไตรวดั ทงุ่ ศรีเมอื ง จังหวัดอบุ ลราชธานี ที่มี รูปแบบลาย ๒ แบบสลับกนั มภี าพกินรี กินนร และภาพหนุมาน ประดับอยดู่ า้ นล่างของผนังท้ัง ๔ ด้าน ลวดลายอสี าน 59
บนั ไดทางเขา้ ตวั เรอื นชนั้ ใน หอไตรวดั มหาธาต ุ จำ� หลกั ไมล้ ายนนู ตำ่� ลงรกั ปดิ ทอง บางสว่ นระบายสี ลายขดั สาน ประกอบภาพสตั วห์ ิมพานต์ ราชสีห์ และคชสีห์ รวมถงึ สัตวท์ ่มี ีจริงในธรรมชาติ เช่น ลงิ กระต่ายและกวาง ภายในกรอบ ลวดลายสวยงามเปน็ เอกลักษณเ์ ฉพาะถิ่น สว่ นลายขดั สานทมี่ เี ส้นแกนหลัก ๖ เสน้ ทแี่ ทนค่าดว้ ยสี ๖ สี หัวและท้ายของ ทกุ เส้นเป็นลายกระหนกเปลว สอดประสานทบั ซอ้ นกัน ทำ� ใหเ้ กดิ มติ ิ ระยะภายในภาพ 60 ลวดลายอสี าน
ลวดลายอสี าน 61
พพิ ธิ ภณั ฑท์ อ้ งถน่ิ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื วดั มหาชยั อำ� เภอเมือง จังหวดั มหาสารคาม พิพิธภัณฑ์ท่ีเก็บรวบรวมวัตถุโบราณมากมาย โดยพระอาริยานุวัตรเขมจารี เจ้าอาวาสองค์เดิมเป็นผู้ริเร่ิม มสี าหรา่ ยรวงผง้ึ แกะสลกั ไม้ เปน็ ภาพอมนษุ ยค์ าบนาคประกอบลายกา้ นขดสวยงาม รวมถงึ บานประตแู กะสลกั ไมล้ ายกา้ นขด ประกอบภาพสัตว์ตา่ งๆ ฝีมือชา่ งท้องถนิ่ 62 ลวดลายอสี าน
ลวดลายอสี าน 63
วดั พระธาตพุ นม วรมหาวหิ าร อำ� เภอพระธาตพุ นม จงั หวดั นครพนม ประตหู อพระแกว้ บานประตเู กา่ หอพระแกว้ วัดพระ ธาตุพนมวรมหาวิหาร สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๗ จ�ำหลักไม้ ปดิ ทองประดบั กระจกลายเทพพนม ประกอบลายพรรณพฤกษาใบเทศ ออกชอ่ ดอกพดุ ตานและดอกกาละกบั สวยงาม 64 ลวดลายอสี าน
บานประตเู กา่ หอพระแกว้ จ�ำหลักไม้ ปิดทอง ประดับกระจก ๒ ช่องด้านบนลายกินรีประกอบ ลายก้านขด ๒ ช่องตรงกลางเป็น ลายเทพพนม ประกอบลายกา้ นขด ส่วน ๒ ช่องด้านล่างเป็น ลายเทวดาประทับยืนบนราชสีห์ ประกอบลายก้านขด ลวดลายอสี าน 65
บานประตเู กา่ หอพระแกว้ สรา้ งเมอื่ ๑ มกราคม ๒๕๒๒ แกะสลกั ไมล้ ายนนู สงู มวี งกลม รูปดอกบัว ๓ ดอก ตรงกลาง เรือ่ งพทุ ธประวตั ิ ประกอบลายก้านขดกระหนกเปลว มีภาพ เทวดา นางฟา้ ร่ายรำ� วงกลมด้านลา่ งสุดเป็นเร่อื ง พระพทุ ธเจา้ ผจญ ธิดาพญามารทั้ง ๓ ได้แก่ นางตัณหา นางอรดี นางราคา วงกลมที่ ๒ เป็นตอนที่ พระพุทธเจ้าบ�ำเพ็ญทุกรกิริยา ส่วนวงกลม ท่ี ๓ ด้านบนสุดเป็นตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ โดยเปรยี บมนษุ ยเ์ หมือนบวั ๔ เหล่า 66 ลวดลายอสี าน
บานประตูเก่าหอพระแก้ว ดา้ นซ้ายมอื แกะสลักไม้นนู สงู เรื่องรามเกียรติ ตอน ศึกไมยราพ ประกอบลายกา้ นขด ดา้ นลา่ งมภี าพหนมุ าน และนางสพุ รรณมจั ฉา สว่ นดา้ นขวามอื เปน็ ภาพกนิ รี และกนิ นร ประกอบลายเครอื เถาพรรณพฤกษา ออกชอ่ ดอกพดุ ตาน มีฝงู นก และฝูงลงิ ประกอบลายจำ� นวนมาก ซง่ึ เป็นเรอ่ื งราวของปา่ หิมพานต์ ลวดลายอสี าน 67
ประตเู กา่ หอพระแกว้ แกะสลกั ไม้ ปิดทองประดบั กระจก บางช่องแกะ ไม้ลายฉลุลงรักปิดทอง ลวดลาย ศิลปะแบบจีน มีภาพนก ภาพเซียน มังกร กเิ ลน และลายดอกพุดตาน 68 ลวดลายอสี าน
วดั ศรฐี าน ตำ� บลเทอดไทย อำ� เภอทงุ่ เขาหลวง จงั หวดั รอ้ ยเอ็ด วัดศรีฐานสร้างข้ึนระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๖๙- ๒๓๙๘ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็น โบราณสถาน ในราชกจิ จานุเบกษา วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๕ ลวดลายอสี าน 69
สาหร่ายรวงผ้ึงอุโบสถแกะสลักไม้ สวยงาม ฝีมือช่างท้องถิ่นอีสาน ลายเครือเถา ก้านขด ด้านซ้ายเป็นภาพพระอินทร์ทรงช้าง เอราวณั ดา้ นขวาเปน็ ภาพอมนษุ ยค์ าบพญานาค ๒ ตัว อีกนัยอาจหมายถึงสวรรค์และนรก โดยสอดแทรกภาพปรศิ นาธรรม หาบชา้ งซาแมว และนทิ านพนื้ บา้ น หงสห์ ามเตา่ และการละเลน่ พื้นบ้าน หัวล้านชนกัน บานประตูแกะสลักไม้ นูนสงู ลายก้านไขวพ้ รรณพฤกษาใบเทศ นทิ าน พน้ื บ้านเรือ่ ง สังข์ ศลิ ป์ ชัย ด้านลา่ งขวามีภาพ เทวดาแผลงศร ด้านล่างซ้ายเป็นภาพยักษ์ ถือตรศี ูล 70 ลวดลายอสี าน
วดั ศรสี ขุ บา้ นขอ่ ย ตำ� บลหนองหิน อำ� เภอเมอื งสรวง จังหวดั รอ้ ยเอ็ด อโุ บสถสรา้ งขน้ึ เมอ่ื ปีพ.ศ.๒๔๖๔เพย้ี สมเพยี้ อำ� มาตย์และกำ� นนั บา้ นขอ่ ย ขออนญุ าตตัง้ วัดบ้านขอ่ ยใหญ่ (วิโรจน์ ศรสี โุ ร, ๒๕๓๖ : ๑๕๐) และเปลยี่ นช่ือ เปน็ วัดศรสี ขุ บา้ นข่อย เมอื่ พ.ศ. ๒๕๕๔ บรู ณะเมือ่ ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ลวดลายอสี าน 71
สาหร่ายรวงผึ้งหน้าอุโบสถแกะ สลักไมง้ ดงาม ฝีมอื ชา่ งทอ้ งถิ่นอีสานโดยแท้ ช่องด้านซ้ายเป็นภาพพระอินทร์ทรงช้าง เอราวัณ ช่องตรงกลางเป็นภาพอมนุษย์ คาบพญานาค ๒ ตัวช่องด้านขวาแกะสลัก ลายเครือเถาก้านขดพรรณพฤกษาใน ลักษณะของใบไม้ สาหร่ายรวงผ้ึงนี้อาจ หมายถึง “ไตรภูมิ” สวรรค์ นรก และ โลกมนุษย์ สอดแทรกภาพปริศนาธรรม หาบชา้ งซาแมว นทิ านพ้ืนบา้ น หงสห์ ามเต่า และการละเล่นหัวล้านชนกัน สันนิษฐาน ว่าเป็นสกุลช่างเดียวกันกับวัดศรีฐาน สังเกตุได้จากรูปแบบตัวลายและเรื่องราว คล้ายคลึงกนั 72 ลวดลายอสี าน
วดั สระเกตุ บ้านน้ำ� ค�ำ อ�ำเภอสุวรรณภมู ิ จังหวัดร้อยเอด็ วัดสระเกตุสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย ประกอบด้วยวิหาร (เดิมเป็นอุโบสถ) และอุโบสถ สร้างข้ึนช่วงปลายรัชกาลที่ ๔ ต้นรัชกาลท่ี ๕ กรมศลิ ปากรไดบ้ ูรณะเมอื่ ปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ลวดลายอสี าน 73
สาหร่ายรวงผ้งึ วิหาร (เดิมเป็นอโุ บสถ) แกะสลักไม้ระบายสีสวยงาม เป็นฝีมือ ช่างพืน้ ถน่ิ อีสาน แบ่งออกเปน็ ๓ ชอ่ ง ชอ่ งดา้ น ซ้ายและขวาเป็นลายก้านขด ส่วนช่องตรงกลาง เปน็ ภาพราหอู มจนั ทร์ ประกอบลายกา้ นขด 74 ลวดลายอสี าน
สาหร่ายรวงผง้ึ อโุ บสถ แกะสลกั ไมร้ ะบายสบี นแผงไมแ้ ผน่ เดยี ว ภาพราหอู มจนั ทร์ ประกอบลายกา้ นขดพรรณพฤกษา มลี กั ษณะการพนั เปน็ ขดเกลียวเกาะเก่ยี วสวยงามแปลกตา ฝมี ือช่างทอ้ งถ่นิ อสี าน ลวดลายอสี าน 75
วดั จกั รวาลภมู พิ นิ จิ ตำ� บลหนองหม่นื ถา่ น อ�ำเภออาจสามารถ จังหวดั ร้อยเอ็ด อุโบสถ หรือ สิม สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ กรมศิลปากรได้ประกาศข้ึนทะเบียน เป็นโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา วันท่ี ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๔ และ ได้รับการบูรณะเม่ือปี พ.ศ. ๒๕๔๒ 76 ลวดลายอสี าน
สาหร่ายรวงผ้ึง ภาษาอสี าน เรยี ก “ฮังผ้งึ ” ถือว่าเปน็ ส่ิงส�ำคัญและมีคุณค่ายิ่ง มีลักษณะเป็นแผงไม้แผ่นเดียว ตอ่ ลงมาจากหนา้ บนั แกะสลกั ไมป้ ระดบั กระจก ดา้ นบนเปน็ ลายเกลยี วแบบพนื้ บา้ นอสี านสวยงามแปลกตาดี ไมเ่ หมอื น กับลายเกลียวของภาคกลาง ระหวา่ งชอ่ งโค้ง หรอื โก่งคว้ิ มีลายดอกลอยประกอบลายกระหนกเปลว ส่วนปลายของ รวงผ้ึงแกะสลักเป็นลายกระจัง มีลักษณะการบากลายท่ี ละเอยี ดเหมือนกระหนกภาคกลาง ลวดลายอสี าน 77
วดั ไตรภมู คิ ณาจารย์ บ้านตากแดด ตำ� บลหวั โทน อำ� เภอสุวรรณภมู ิ จังหวัดร้อยเอด็ “พระครูหลักค�ำองค์นี้ได้สร้างหอไตรขึ้นในสระน้�ำทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสิม มีหลักฐานจารึกบนแผ่นไม้สีแดง เป็นอักษรธรรมระบุว่า สร้างปี “จุลสังกาดราชาได้ ๑๒๑๙ พระวสั สา...” ซ่ึงตรงในราว พ.ศ. ๒๔๐๐ สมัยรชั กาลท่ี ๔ ฉะนนั้ สมิ หลงั นจ้ี งึ นา่ จะสรา้ งกอ่ น พ.ศ. ๒๔๐๐ ขน้ึ ไป (วโิ รจน์ ศรสี โุ ร, ๒๕๓๖ : ๒๓๕) กรมศลิ ปากรไดป้ ระกาศขน้ึ ทะเบยี น เป็นโบราณสถาน ในราชกิจจานุเบกษา วันที่ ๑๒ กนั ยายน ๒๕๔๐ และไดร้ บั การบรู ณะเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๐ 78 ลวดลายอสี าน
สาหร่ายรวงผึ้ง ทั้ง ๓ ช่องแกะสลักไม้ เป็นลายดอกลอยก้านขด กระหนกเปลว มีความ ละเอยี ดและการบากตวั ลาย เหมอื นลวดลายภาคกลาง ลวดลายอสี าน 79
วดั กลางมง่ิ เมอื ง อำ� เภอเมือง จงั หวดั ร้อยเอด็ อุโบสถสร้างในพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ ผนังด้านนอกเขียนภาพจิตรกรรม เร่ือง พุทธประวัติ และทศชาติชาดก ส่วนท่เี ป็นของเดมิ ไดแ้ ก่ สาหรา่ ยรวงผ้งึ ระหวา่ งเสาท้ัง ๓ ช่อง ทง้ั ดา้ นหนา้ และดา้ นหลังอุโบสถ 80 ลวดลายอสี าน
สาหรา่ ยรวงผง้ึ ทงั้ ดา้ นหนา้ และดา้ นหลงั แกะสลกั ไม้ ระบายสี ลายก้านขดพรรณพฤกษา ออกช่อดอกพุดตาน มีภาพลิง และกระรอกประกอบอยู่ในส่วนต่างๆ ของลาย ปัจจุบันอยู่ในสภาพช�ำรุดผุพัง ลวดลายถูกแดดฝนท�ำลาย จนตวั ลายลบเลือนหายไป เช่น รอยบากขอบและเส้นใบไม้ ลวดลายอสี าน 81
สาหร่ายรวงผึ้งดา้ นหน้า และด้านหลงั ไดร้ ะบายพื้นสนี ้ำ� เงิน เพ่ือให้เหน็ ลวดลายท่ีสวยงามเด่นชดั มากยง่ิ ขน้ึ 82 ลวดลายอสี าน
วดั บา้ นขอนแกน่ เหนอื ตำ� บลขอนแก่น อำ� เภอเมือง จังหวดั รอ้ ยเอด็ ปรากฏหลักฐานการสร้างอุโบสถเป็นอักษร ไทยน้อยที่ผนังสิมระบุว่า สร้างขึ้นเมื่อจุลศักราช ๑๒๔๗ ตรงกับปี พ.ศ. ๒๔๒๘ ข้ึนทะเบียนเป็นโบราณสถาน ในราชกจิ จานเุ บกษา เมอ่ื วันท่ี ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๔ และ ได้รับการบูรณะเมือ่ พ.ศ. ๒๕๔๙ ลวดลายอสี าน 83
สาหร่ายรวงผ้ึงแกะสลักไม้ลายก้านขดพรรณพฤกษา เกี่ยวกระหวัดกันสวยงามตามแบบช่างพ้ืนบ้าน ลายหนา้ กระดานท้ังสองข้างประดบั ลายดอกลอย 84 ลวดลายอสี าน
วดั พระธาตขุ ามแกน่ ตำ� บลบ้านขาม อำ� เภอนำ�้ พอง จังหวดั ขอนแก่น อุโบสถหลังเก่า มีสาหร่ายรวงผึ้งแกะสลักไม้ ฉลุลายระบายสี จ�ำนวน ๓ ช่อง ช่องด้านซ้ายเป็นภาพเทพพนม ประกอบลายก้านขดพรรณพฤกษา ช่องตรงกลางเป็นก้านขด ส่วนช่องด้านขวาเป็นลายเครือเถาก้านขดเทพพนม รูปแบบศิลปะพ้ืนถ่ินอีสาน ท่ีปรากฏลายลักษณะนี้ตามผนังธรรมาสน์ สาหร่ายรวงผ้ึง หน้าบันในเขตจังหวัดขอนแก่น ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นสกุลช่างเดียวกัน เพราะลักษณะการออกแบบลวดลายคล้ายคลึงกัน ลวดลายอสี าน 85
86 ลวดลายอสี าน
เรอื นโบราณ ชอ่ งลมด้านบนประตูเรอื นโบราณ ๒ ชั้น ในเขต อ�ำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ช่องลมด้านบนประตู มีการฉลุไมร้ ะบายสี ลายเครือเถาก้านขดสวยงาม กรอบ หน้าต่างชน้ั ๒ ฉลุลายไม้ ชอ่ งลมดา้ นบนประตเู รอื นโบราณ ๒ ชนั้ ในเขตอำ� เภอ วารนิ ช�ำราบ จังหวดั อบุ ลราชธาน ี ชอ่ งลมด้านบนประตู มีการฉลุไม้ระบายสีลายก้านขดเกาะเก่ียวพล้ิวไหว สวยงาม ลวดลายอสี าน 87
โบราณวตั ถุ ธรรมาสน์ ธรรมาสนว์ ดั ราษฎรป์ ระดษิ ฐ์ 88 ลวดลายอสี าน
ผนงั ตวั เรอื นธรรมาสนว์ ัดราษฎรป์ ระดษิ ฐ์ บ้านกระเดียน อำ� เภอตระการพชื ผล จังหวัดอุบลราชธานผี นังฉลุลาย ระบายสี เปน็ ลายเครอื เถาพลวิ้ ไหวไมเ่ หมอื นกนั ทง้ั ๔ ดา้ น สวยงามตามแบบฉบบั ศลิ ปะสกลุ ชา่ งพนื้ บา้ นอสี าน ธรรมาสน์ อสี านนยิ มเจาะฉลลุ ายไมร้ ะบายส ี นอกจากทำ� ใหธ้ รรมาสนด์ มู เี รอ่ื งราว สวยงาม ออ่ นชอ้ ย โปรง่ เบา ไมท่ บึ ตนั แลว้ ยงั ชว่ ย ระบายอากาศและเพ่ิมปริมาณแสงภายในตัวเรอื นธรรมาสน์อกี ดว้ ย ลวดลายอสี าน 89
ธรรมาสนว์ ดั ศรนี วลแสงสวา่ งอารมณ ์ ตำ� บลชีทวน อำ� เภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี สรา้ งเมื่อ ราวปี พ.ศ. ๒๔๖๘-๒๔๗๐ ผสู้ ร้าง นายแกวเวยี ง ช่างญวน เป็นธรรมาสน์ ก่ออิฐถอื ปนู รูปสงิ ห์เทิน ส่วนยอดเปน็ ไม ้ ลักษณะคล้ายเกง๋ จนี ภาพน้ไี ด้เขียนลาย เพิ่มเติมส่วนทีเ่ ลอื นหายไป ให้ดู สมบรู ณ์สวยงามย่งิ ข้นึ 90 ลวดลายอสี าน
ลวดลายอสี าน 91
ดา้ นหลงั ตวั เรอื นธรรมาสนท์ ำ� เปน็ ชอ่ งลมแกะไมฉ้ ลลุ ายปดิ ทองลายพรรณพฤกษา สว่ นยอดชอ่ งลมแกะไมฉ้ ลลุ าย ปดิ ทอง ลายดอกลอย และนกประกอบลายพรรณพฤกษา สว่ นลายหนา้ กระดานชอ่ งลมชน้ั ท่ี ๒ เปน็ ลายดอกลอยประกอบ ลายประดิษฐค์ ลา้ ยมังกร 92 ลวดลายอสี าน
ธรรมาสนว์ ดั อนั ตรมคั คารา ตำ� บลเซเปด็ อำ� เภอตระการพชื ผล จงั หวดั อบุ ลราชธานี ผนงั ตวั เรอื นฉลไุ มร้ ะบายสี ลายเครอื เถา พรรณพฤกษา สรา้ งเมอ่ื พ.ศ. ๒๔๖๐ สกลุ ชา่ ง ท้องถ่ินอีสาน ปัจจุบันเหลือเพียงตัวเรือนและ ยอด ไม่มีฐาน และธรรมาสน์ได้รับการบูรณะ เขยี นลายระบายสใี หม ่ ลวดลายอสี าน 93
ลวดลายผนังตัวเรือนฉลุไม้ระบายสี ลายเครอื เถาพรรณพฤกษา ภาพนแี้ สดงใหเ้ หน็ เสน้ แกนลายหรอื โครงลายเปน็ เสน้ สแี ดงคดโคง้ เคลอ่ื นทจ่ี ากดา้ นลา่ งขนึ้ ไปดา้ นบน ในลกั ษณะ ของล�ำต้น ส่วนเส้นสีเขียวแสดงลักษณะของ กิ่งก้านและใบ เคล่ือนไหวรับส่งกัน ท�ำให้ลาย สะบัดพล้ิวไหว คล้ายใบไม้พลิ้วไหวเม่ือยาม ตอ้ งลมรวมถงึ การฉลลุ ายโปรง่ ทำ� ใหล้ ายไมท่ บึ ตนั ให้ความรู้สึกเบา และเกิดประโยชน์ในการ เพ่ิมแสงสว่าง และการระบายอากาศภายใน ธรรมาสน์ 94 ลวดลายอสี าน
ธรรมาสนว์ ดั สปุ ฏั นารามวรวหิ าร อำ� เภอเมอื ง จงั หวัดอุบลราชธานี สาหร่ายรวงผ้งึ ธรรมาสน์ (ฮังผ้ึง) แกะไมล้ ายฉลลุ งรกั ปดิ ทอง ลายขดั สานประกอบลายเครอื เถาพรรณพฤกษาออกชอ่ ดอกกาละกบั สว่ นยอดทเ่ี ปน็ คอระฆังปดิ ทองลายฉลลุ ายหน้าขบก้านขด ปจั จุบนั เกบ็ รักษาท่หี อศลิ ป์ วทิ ยาลัยอาชวี ศึกษาอบุ ลราชธานี ลวดลายอสี าน 95
พนกั ธรรมาสนว์ ดั สปุ ฏั นารามวรวหิ าร กระแหนะรกั ปน้ั ลาย ลงรัก ปิดทอง บางส่วนปิดทองล่องชาดลายก้านขดพรรณพฤกษา และลายดอกลอยสวยงามออ่ นช้อยฝีมอื สกุลชา่ งทอ้ งถิน่ 96 ลวดลายอสี าน Isan Pattern
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188