Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิจัยภาษาชอง

รายงานวิจัยภาษาชอง

Description: รายงานวิจัยภาษาชอง.

Search

Read the Text Version

โครงการบนั ทึกรวบรวม เพอื่ การสงวนรกั ษา ภาษาและภมู ปิ ัญญาทอ้ งถิน่ ของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ : ภาษาชอง คณะผู้ดําเนนิ โครงการ สวุ ิไล เปรมศรรี ัตน์ มยรุ ี ถาวรพัฒน์ กมุ ารี ลาภอาภรณ์ โครงการน้ีไดร้ ับงบประมาณสนับสนุนจากกรมส่งเสริมวฒั นธรรม

บทคัดย่อ ภาษาแต่ละภาษาล้วนมีคุณค่า เป็นมรดกของมนุษยชาติ ภาษาเป็นระบบส่ือสารท่ีสร้างขึ้นจาก ภูมิปัญญาเฉพาะของแต่ละกลุ่มชน ภาษาจึงเป็นทั้งระบบความคิด ระบบความรู้ ความเข้าใจโลกและ สิ่งแวดล้อม เป็นปูมบนั ทึกภมู ปิ ญั ญาและเปน็ สญั ลกั ษณ์ทางวฒั นธรรมของแต่ละกลมุ่ ชน การเปลี่ยนแปลงในสังคมปัจจุบันอันเป็นผลมาจากโลกาภิวัตน์และยุคของการสร้างชาติ ทําให้หลาย ภาษาตกอยู่ในภาวะวิกฤต โดยจํานวนกว่า ๗๐ กลุ่มภาษาในประเทศไทย มีจํานวนถึง ๑๕ กลุ่มที่อยู่ในกลุ่ม ภาวะวิกฤตรุนแรงใกล้สูญ (สุวิไล เปรมศรีรัตน์, ๒๕๕๒) จึงมีความจําเป็นอย่างเร่งด่วนท่ีจะต้องรวบรวมและ บันทึกองค์ความรู้ด้านภาษา และภูมิปัญญาท้องถ่ินอย่างเป็นระบบ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการสงวนรักษาและ สบื สานในหมูเ่ ยาวชนหรอื ชนรุ่นหลังต่อไป โครงการบนั ทึกรวบรวมเพือ่ การสงวนรกั ษาภาษาและภูมิปัญญาท้องถ่ินของกลุ่มชาติพันธ์ุ : ภาษาชอง มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษารวบรวมบันทึกข้อมูลและจัดทําคลังมรดกภูมิปัญญาด้านภาษา วัฒนธรรม และ ภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์ชอง ซึ่งอยู่ในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก และเป็นภาษาด้ังเดิมของดินแดน เอเชียอาคเนย์ด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยชุมชนมีบทบาทเป็นผู้เก็บรวบรวมองค์ความรู้ท้องถ่ินด้วย ตนเอง และเปน็ ผู้ถา่ ยทอดองคค์ วามรู้ส่กู ลุ่มเยาวชนของตนเอง ผลจากการศึกษาวิจัยน้ีได้บันทึกและรวบรวมองค์ความรู้ด้านภาษา วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยศึกษาระบบภาษา คําศัพท์ วรรณกรรมบอกเล่าต่าง ๆ เช่น นิทาน เพลง ตลอดจนองค์ความรู้และ ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่ินที่ผ่านภาษา เชน่ พฤกษศาสตรพ์ นื้ บา้ น อาหารพน้ื บ้าน ประเพณีพ้ืนบ้าน เป็นต้น ซ่ึงงานวิจัย นเี้ ป็นประโยชน์โดยตรงกับชาวชอง และวงวิชาการดา้ นภาษาและชาตพิ ันธ์ุ รวมทั้งภาษาชองไดข้ ึ้นทะเบียนเป็น มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ สาขาภาษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจะนําเสนอยูเนสโก้ให้เป็นมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนษุ ยชาติเมือ่ ประเทศไทยเข้าเป็นภาคตี ่อไป นอกจากน้ีชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ชอง ยังเกิดกําลังใจและเกิดจิตสํานึกในการสงวนรักษาภูมิปัญญา ท้องถิ่นของตนเอง อันเป็นแนวทางในการสงวนรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เพื่อการดํารงรักษาความ หลากหลายทางภาษาและวฒั นธรรมที่มีคณุ คา่ ของประเทศและของมนุษยชาตโิ ดยสว่ นรวม

คํานํา โครงการ “บันทึกรวบรวม เพื่อการสงวนรักษาภาษาและภูมิปัญญาท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธ์ุ : ภาษาญัฮกุร” มีวัตถุประสงค์ในการดําเนินโครงการเพื่อปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โดย ศึกษาบันทึกรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลภาษาญัฮกุรโดยชุมชนเจ้าของภาษามีส่วนร่วม เพื่อจัดทําคลังข้อมูล มรดกภูมิปัญญาด้านภาษา วัฒนธรรม และภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธ์ุญัฮกุรในขอบเขตประเทศไทย เพ่ือ นําไปสู่การเสนอข้ึนทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ สาขาภาษาและนําเสนอยูเนสโกให้ เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติเม่ือประเทศไทยเข้าเป็นภาคี Convention for the Safeguarding of the Intangible Cultural Heritage ในอนาคต และเพ่ือให้ชุมชนกลุ่มชาติพันธ์ุญัฮกุร มี กําลังใจและเกิดจิตสํานึกในการสงวนรักษาภูมิปัญญาท้องถ่ินของตน เพื่อให้เป็นมรดกทางภูมิปัญญาของชาติ ตอ่ ไป กระบวนการในการดําเนินงานวิจัยน้ี ทีมวิจัยได้มุ่งเน้นการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน เจ้าของภาษาเป็นสําคัญ โดยใช้ระบบตัวเขียนเป็นเคร่ืองมือในการบันทึกภาษา และภูมิปัญญาท้องถิ่น โดย ชุมชนเจ้าของภาษาเป็นผู้สามารถบันทึกได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการสร้างกระบวนการถ่ายทอด ภาษา และภูมิปัญญาท้องถ่ินจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนรุ่นหน่ึงอีกด้วย ดังเช่น การปฏิบัติการเย็บเส้ือพ็่อกในกลุ่ม ญฮั กุร เปน็ ตน้ เน้ือหา สาระของรายงานฉบับประกอบด้วย ๒ ส่วน กล่าวคือ ส่วนที่ ๑ ภาษาและภูมิปัญญาท้องถ่ิน ญัฮกุร เช่น ประวัติความเป็นมา สาระทางภาษาญัฮกุร ภาษาและองค์ความรู้ท้องถิ่น เงื่อนไขภาวะวิกฤต / ปัจจัยคุกคามของภาษาญัฮกุร และการอนุรักษ์ฟื้นฟูภาษาและภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยชุมชน ส่วนท่ี ๒ วิธีการ ดําเนินงานวิจยั ไดก้ ลา่ วถงึ กระบวนการดาํ เนินงานของทีมวิจัย โดยมุ่งเน้นการสร้างกระบวนการเรียนรู้และการ มีส่วนรว่ มของชุมชน การดําเนินงานโครงการ “บันทึกรวบรวม เพื่อการสงวนรักษาภาษาและภูมิปัญญาท้องถ่ินของกลุ่ม ชาติพันธ์ุ : ภาษาญัฮกุร” น้ีสําเร็จได้ด้วยการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เก่ียวข้อง ได้แก่ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม, มูลนิธิเพ่ือการฟื้นฟูภาษาและภูมิปัญญาท้องถิ่น, สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และ สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล ทางคณะผู้วิจัยมุ่งหวังว่าการ ดําเนินงานวจิ ัยนจ้ี ะเป็นประโยชน์ต่อชมุ ชนกลุ่มชาตพิ ันธุ์ และเปน็ ประโยชนต์ อ่ วงวิชาการต่อไป คณะผ้วู ิจยั

สารบญั หน้า สว่ นท่ี ๑ ภาษาและภูมิปัญญาทอ้ งถน่ิ ชอง ๑ ๓ บทที่ ๑ บทนาํ ๓ ๑.๑ หลักการและเหตุผลทตี่ อ้ งรวบรวมและจดั เก็บข้อมลู ๕ ๑.๒ ประวัตคิ วามเป็นมา ๗ ๑.๒.๑ ข้อมูลจากตํานานท้องถ่ินและเร่อื งเล่าจากคนชองในชมุ ชน ๗ ๑.๒.๒ งานวิจยั / งานค้นคว้าของนักวิชาการ ๗ ๑.๓ สภาพทว่ั ไปทางสังคมและวัฒนธรรม ๘ ๑.๓.๑ ลักษณะบ้านเรอื น ๘ ๑.๓.๒ วฒั นธรรมการแตง่ กาย ๙ ๑.๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ ๙ ๑.๓.๔ เครอ่ื งมอื เครอ่ื งใชใ้ นการทํามาหากิน ๙ ๑.๓.๕ การกนิ อยขู่ องคนชอง ๑๐ ๑.๓.๖ การทาํ นาํ้ มันยาง ๑๑ ๑.๓.๗ การทาํ กระวาน ๑๓ ๑.๓.๘ ความเชือ่ ของชาวชอง ๑๓ ๑.๓.๙ ประเพณี พิธีกรรมของชาวชอง ๑๓ ๑.๓.๑๐ เครอ่ื งดนตรี ๑๕ ๑.๔ สถานภาพองค์ความร้ทู มี่ ีอยู่ ๑๖ ๑.๔.๑ ประเด็นภาษาชอง ๑๗ ๑.๔.๒ ประเด็นภมู ิปญั ญาและวัฒนธรรมชอง ๑๙ ๑.๔.๓ ประเดน็ การฟน้ื ฟูภาษาและวัฒนธรรมชอง ๑.๕ การกระจายตัวหรือการปรากฏตวั ของภาษาชอง ๒๑ ๑.๖ ชมุ ชน / กลุม่ คนทเ่ี กีย่ วข้อง ๒๒ ๒๒ บทท่ี ๒ สาระทางภาษาชอง ๒๖ ๒.๑ ช่อื ภาษาทปี่ รากฏ ๒.๒ ระบบโครงสรา้ ง และรูปแบบภาษา ๒.๒.๑ ระบบเสียง ๒.๒.๒ ลักษณะไวยากรณ์

สารบญั (ต่อ) หนา้ ๒.๓ คําและความหมาย ๓๘ ๒.๔ ลักษณะการสอื่ สาร ๔๕ ๒.๕ คณุ คา่ ภาษาชอง ๔๖ ๒.๗ การถ่ายทอดและการสบื ทอด ๔๗ บทท่ี ๓ ภาษาและองค์ความรทู้ ้องถิ่น ๔๘ ๓.๑ นิทาน ๔๖ ๓.๒ เพลง ๕๘ ๓.๓ กลอน ๖๐ ๓.๔ บันทึกประเพณี พิธกี รรม ๖๒ ๓.๕ อาหารพื้นบ้านชอง บทที่ ๔ เง่อื นไขภาวะวกิ ฤต / ปัจจัยคุกคามของภาษา ๗๑ ๔.๑ สภาพปัจจุบนั ๗๒ ๔.๒ ปจั จัยคุกคาม บทที่ ๕ การอนุรักษ์ฟน้ื ฟภู าษาและภูมิปญั ญาท้องถนิ่ โดยชมุ ชน ๕.๑ การอนรุ กั ษฟ์ น้ื ฟภู าษาและภมู ิปัญญาทอ้ งถิน่ โดยชมุ ชนชอง ๗๔ ๕.๑.๑ การดาํ เนินงานฟ้ืนฟูภาษาและภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ ทผ่ี า่ นมา ๗๔ ๕.๑.๒ การฟืน้ ฟูภาษาและวัฒนธรรมชองภายใต้งานวิจยั เพอ่ื ทอ้ งถิน่ ๗๕ ๕.๒ ผลทีไ่ ดจ้ ากการดาํ เนนิ งานฟ้ืนฟูภาษาและวฒั นธรรมชอง ๘๒ ๕.๓ กา้ วต่อไปของการฟืน้ ฟูภาษาและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถ่นิ ของชุมชนชอง ๘๙ ๕.๔ ข้อเสนอให้เป็นมรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ / มนษุ ยชาติ ๙๐ ๕.๔.๑ เหตุผล ๙๐ ๕.๔.๒ แนวทางการสง่ เสริมให้ภาษาชองเป็นมรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ/ ๙๑ มนษุ ยชาติ

สารบญั (ตอ่ ) หน้า ส่วนท่ี ๒ วธิ กี ารดาํ เนนิ งานวิจัย ๑. การทบทวนวรรณกรรม ๙๓ ๒. การจดั ประชุมทีมวิจัย ๙๓ ๓. การดําเนนิ งานวจิ ยั ของกลมุ่ ชอง ๙๔ ๓.๑ กจิ กรรมเวทชี แ้ี จงโครงการ ฯ ๙๔ ๓.๒ กจิ กรรมการวางแผนเก็บข้อมูลกลุ่มชอง ๙๕ ๓.๓ กจิ กรรมคน้ หาทมี วิจยั ชุมชน ๙๕ ๓.๔ กจิ กรรมบันทกึ เสียงภาษาชอง ๙๖ ๓.๕ การประชุมเชิงปฏบิ ัตกิ ารเรื่อง “การใชเ้ ครื่องมอื ทางภาษา เพอื่ เก็บรวบรวมข้อมลู ” ๙๗ ๓.๖ กจิ กรรมปฏิบตั กิ ารทาํ อาหารพื้นบา้ น ๙๗ ๓.๗ กจิ กรรมวางแผนเวที “ระดมความคดิ เหน็ แนวทางในการสงวนรกั ษาภาษาและ ๙๘ ภูมปิ ัญญาทอ้ งถิน่ ของกลุ่มชาตพิ ันธุ์ : ภาษาชอง” ๓.๘ การจดั เวที“ระดมความคดิ เหน็ แนวทางในการสงวนรักษาภาษาและ ๙๙ ภมู ิปญั ญาท้องถ่ินของกลุม่ ชาติพันธุ์ : ภาษาชอง” ๓.๙ กิจกรรมเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์การขนึ้ ทะเบียนมรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม ๑๐๐ ของกล่มุ ชาติพันธุช์ องในพื้นท่อี ่นื ๔. การจัดทําวดิ ีโอรวบรวมความรูภ้ าษาชอง ๑๐๑ บรรณานกุ รม ๑๐๒ ภาคผนวก ๑๐๔  ใบแสดงความยินยอม ๑๐๕  แบบบนั ทึกขอ้ มลู รายการภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรม ๑๑๙  ข้อมลู ผู้บอกภาษาชอง ๑๒๒  ผ้เู ก็บข้อมลู และวนั เวลาท่เี กบ็ ๑๒๔  ภาพการทํากิจกรรมของกลุ่มชอง

สว่ นที่ ๑ ภาษาและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถ่ินชอง บทท่ี ๑ บทนํา ๑.๑ หลกั การและเหตผุ ลทต่ี ้องรวบรวมและจดั เกบ็ ข้อมลู เอเชียอาคเนย์เป็นดินแดนที่มีประชากรต่างชาติพันธ์ุและภาษาปะปนกันมากท่ีสุดแห่งหนึ่งของโลก ประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ในกลางแผ่นดินใหญ่เอเชียอาคเนย์ จึงเป็นดินแดนที่มีความหลากหลายของภาษา วัฒนธรรม และชาติพันธุ์ของประชากรท่ีน่าสนใจย่ิง ประชากรไทยกลุ่มต่าง ๆ มีภูมิปัญญา ภาษา วัฒนธรรม และโลกทัศน์ หรือวิธีการให้ความสําคัญให้ความหมายกับส่ิงต่าง ๆ รอบตัวท่ีแตกต่างหลากหลาย มีผลทําให้ เกิดการประพฤติปฏิบัติ ธรรมเนียม ประเพณี พิธีกรรมที่แตกต่างกันไป ดังน้ันความรู้ ความเข้าใจพ้ืนฐานของ ประชากรในชาติ ด้านภาษา วัฒนธรรมและโลกทัศน์ จึงเป็นส่ิงสําคัญสําหรับการศึกษาวิจัยระดับลึกในด้าน ต่างๆ ซ่ึงมีฐานสําหรับการวางนโยบาย และการวางแผนปฏิบัติงาน เพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรด้าน ตา่ ง ๆ ในแต่ละพน้ื ทไี่ ดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพและสอดคล้องกบั วิถีชีวิต (สุวิไล เปรมศรรี ตั น์ และคณะ, ๒๕๔๗) อย่างไรก็ตามภาวะวิกฤตทางภาษากําลังเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในปัจจุบัน คุกคามต่อการสูญเสียความ หลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรมอันเป็นมรดกของมนุษยชาติ ในทํานองเดียวกับความสูญเสียความ หลากหลายทางชีวภาพ หรือการสูญพันธ์ุของพืชและสัตว์ โดยนักภาษาศาสตร์ประมาณการว่า ๙๐ % ของ ภาษาในโลกจะสญู ส้นิ ไปในศตวรรษท่ี ๒๑ น้ี ทงั้ นี้โดยท่ี ๔๐ % อย่ใู นภาวะใกล้สูญ และ ๕๐ % เยาวชนไม่เห็น คณุ ค่าและไมใ่ ชภ้ าษาทอ้ งถิ่น มเี พยี ง ๑๐ % ซง่ึ เป็นภาษาใหญ่ มอี ํานาจทางการเมืองการปกครอง อยู่ในระบบ การศึกษาและส่ือมวลชนท่ีจะยังปลอดภัย (Krauss, 1992) ซึ่งการตายของภาษามีผลกระทบโดยตรงต่อการ สูญเสยี องค์ความรู้ของกลุม่ ชาติพนั ธ์ุตา่ ง ๆ ท่ไี ดส้ ง่ั สมมานับเป็นพนั ปี ในปัจจุบันจึงได้มีการรณรงค์โดยองค์กรนานาชาติเพื่อสร้างความตระหนักถึงปัญหาของผลกระทบ ต่อมนุษยชาติโดยส่วนรวมเพื่อช่วยกันสงวนรักษาความหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรมของชนกลุ่มต่าง ๆ ไว้ให้มากท่ีสุด ความแตกต่างหลากหลายของภาษาและวัฒนธรรม ถือว่าเป็นทรัพยากรหรือทุนทางวัฒนธรรม ของประเทศ ภาษาท้องถ่ินท่ีเข้มแข็งย่อมเป็นแผนท่ีนําทางในการเข้าถึงคุณค่าทรัพยากร และเป็นรากฐานท่ี ยั่งยืนอย่างมีเกียรติมีศักด์ิศรีของพลเมืองให้สามารถพัฒนาตนเองต่อไปได้ (ชัยอนันต์ สมุทรวานิช, ๒๕๕๑) จากคํากล่าวนี้มีความสอดคล้องกับแนวคิดตามอนุสัญญาว่าด้วยการปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรม (Convention for the Safeguarding of the Intangible Culture Heritage – ICH) ของ UNESCO ในวันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ (ค.ศ. 2003) ซึ่งได้ระบุไว้ว่า มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมมี ความสําคัญในฐานะท่ีเป็นบ่อเกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นหลักประกันของการพัฒนาท่ีย่ังยืน ดังนั้นชุมชนนานาชาติ และรัฐภาคีของอนุสัญญาควรได้ร่วมกัน “ปกป้องคุ้มครอง” มรดกภูมิปัญญาทาง ๑

วัฒนธรรม ในที่นี้ “การปกป้องคุ้มครอง” หมายถึง การจําแนก การบันทึกหลักฐาน การวิจัย การสนับสนุน และส่งเสริมให้มีการสืบสาน (ครอบคลุมการถ่ายทอด การอนุรักษ์ และสร้างสรรค์) มรดกทางภูมิปัญญาทาง วฒั นธรรมอย่างย่ังยนื ตามสภาพแวดลอ้ มท่เี หมาะสม (ฉววี รรณ ประจวบเหมาะ, ๒๕๕๕) จากคุณค่าและความสําคัญของความหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรมดังกล่าวน้ี นักวิชาการทาง ภาษาจึงได้ศึกษาสํารวจสถานการณ์ทางภาษาของประเทศไทย และได้พบว่า ในปัจจุบันมีกลุ่มภาษาท่ีอยู่ใน ภาวะวกิ ฤตรุนแรงใกลส้ ญู จํานวน ๑๕ กลุ่ม จากจํานวนภาษาท้ังหมดกว่า ๗๐ กลุ่มภาษาในประเทศไทย ได้แก่ กลุ่มชอง กะซอง ซําเร ชุอุง (ซะโอจ) ญัฮกุร เกนซิว (ซาไก) มลาบรี (ตองเหลือง) ลัวะ (เลอเวือะ) โซ่ (ทะวืง) ละว้า (ก๋อง) อึมปี้ บีซู มอเกล็น อรู ักลาโวยจ และแสก (สุวไิ ล เปรมศรรี ัตน,์ ๒๕๕๒) ในเรอื่ งน้ีจึงไดม้ คี วามพยายามที่จะศึกษาและดําเนินงานฟ้ืนฟูภาษาและวัฒนธรรมโดยชุมชนเจ้าของ ภาษา ในลักษณะการดําเนินงานวิจัยเพ่ือท้องถิ่นตามบริบทของแต่ละชุมชน โดยได้รับงบประมาณสนับสนุน เบื้องต้นจากสํานักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย (สกว.) ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น ดําเนินการในกลุ่มชอง กะซอง ญัฮกุร เกนซิว (ซาไก) มลาบรี (ตองเหลือง) ลัวะ (เลอเวือะ) โซ่ (ทะวืง) ละว้า (ก๋อง) อึมปี้ บีซู อูรักลาโวยจ และแสก ตามความสนใจและตามบรบิ ทของแต่ละชุมชน ทําให้เกิดองคค์ วามรู้ ภูมิปัญญา ตลอดจนวรรณกรรม ท้องถ่ินมากมาย ซ่ึงกลุ่มมอเกล็น และกลุ่มเกนซิว (ซาไก) ยังต้องดําเนินการศึกษาและพัฒนาความรู้ ความ เข้าใจของนักวิจัยทางภาษาและของกลุ่มชาติพันธุ์เอง สําหรับกลุ่มซําเร และกลุ่มชอุง (ซะโอจ) ถือเป็นกลุ่ม ภาษาในภาวะวิกฤตข้ันสุดท้าย นักภาษาศาสตร์จึงได้ดําเนินการศึกษาและรวบรวมองค์ความรู้ทางภาษาไว้บ้าง แลว้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการดําเนินงานการอนุรักษ์และฟ้ืนฟูภาษาและวัฒนธรรมโดยชุมชนเจ้าของ ภาษา ผ่านการดําเนินงานในลักษณะงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น ซ่ึงเน้นการสร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน และการ มีส่วนร่วมของชุมชนในกลุ่มภาษาในภาวะวิกฤตไปบ้างแล้วตามความสนใจแต่ละชุมชน แต่ยังขาดการรวบรวม และจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ดังนั้นจึงจําเป็นที่จะต้องมีการศึกษาวิจัยตามโครงการ“บันทึกรวบรวม เพ่ือ การสงวนรักษาภาษาและภูมิปัญญาท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธ์ุ : ภาษาชอง” เพ่ือเก็บรวบรวมและบันทึก ข้อมูล องค์ความรู้ และภูมิปัญญาในกลุ่มชาติพันธุ์ท่ีภาษาอยู่ในภาวะวิกฤตเสี่ยงต่อการสูญ โดยศึกษาระบบ ภาษาและภูมิปัญญาท้องถ่ินผ่านภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ อันเป็นการกระตุ้นจิตสํานึกให้เกิดการสงวนรักษา มรดกทางภูมิปญั ญาและวฒั นธรรมซึง่ มคี วามสาํ คัญต่อวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เส่ียงต่อการสูญหาย และเป็น ประโยชน์ต่อการพัฒนาวิถีชีวิตที่ยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมสําหรับการดําเนินการจัดทํา ICH เสนอต่อ UNESCO ในโอกาสตอ่ ไป ๒

๑.๒ ประวตั คิ วามเปน็ มา คําวา่ “ชอ์ ง”๑ หรือ ชอง แปลวา่ “คน” เป็นทัง้ ชอื่ เรยี กตนเอง และภาษาพูดของกลมุ่ ชนด้ังเดิม จาก การให้ความหมายของราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๔๒) ได้กล่าวว่า “ชอง” เป็นช่ือชนชาวป่าเผ่าหน่ึงในตระกูล มอญ – เขมร มีมากทางตอนเหนือจังหวัดจันทบุรี ตัวเองเรียกว่า สําเร หรือ ตําเหรด เขมร เรียกว่า พวกปอร แต่สําหรับชาวชองในจังหวัดจันทบุรีน้ันเรียกตนเองว่า “ช์อง” มาโดยตลอด มีการทํามาหากินแบบกสิกรรม และเกษตรกรรมเปน็ หลกั ซึ่งมิได้ดาํ รงชีวิตแบบชาวปา่ อย่างใด นอกจากนี้คําว่า “ชอง” ยังถูกคนทั่วไปใช้เป็นคําเรียกคนกลุ่มชาติพันธ์ุกะซองและซัมเร อาศัยอยู่ มากในจังหวัดตราด โดยกลุ่มกะซอง เรียกตนเองว่า “คนกะซอง” ใช้ “ภาษากะซอง” ส่วนกลุ่มซัมเรเรียก ตนเองว่า “คนซัมเร” ใช้ “ภาษาซัมเร” นักภาษาศาสตร์ได้จัดให้ภาษากะซอง และภาษาซัมเรอยู่ในตระกูล ออสโตรเอเชียติก กลุ่มมอญ – เขมร เช่นเดียวกับภาษาชอง ซ่ึงกล่าวได้ว่าคนท้ังสามกลุ่มนี้มีความใกล้เคียงกัน แต่ในขณะเดียวกันมีความแตกต่างกันท้ังด้านภาษา วัฒนธรรม และมีสํานึกของการเป็นคนละกลุ่ม (สวุ ไิ ล เปรมศรรี ตั น์ และพรสวรรค์ พลอยแกว้ , ๒๕๔๘) จากการทบทวนวรรณกรรมพบวา่ ประวัตศิ าสตร์ความเป็นมาของชาวชองแบง่ ออกเป็น ๒ แหล่ง คือ ๑) ข้อมูลจากตํานานท้องถ่ินและเร่ืองเล่าจากคนชองในชุมชน ๒) งานวิจัย / งานค้นคว้าของนักวิชาการ ดังรายละเอยี ดต่อไปน้ี ๑.๒.๑ ขอ้ มูลจากตาํ นานท้องถน่ิ และเรอ่ื งเลา่ จากคนชองในชมุ ชน จากวิทยานิพนธ์เร่ือง แหล่งเรียนรู้ชุมชนกับการฟ้ืนฟูอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของชาวชอง สิรริ ัตน์ สีสมบตั ิ ไดอ้ ธบิ ายเรือ่ งตาํ นานทอ้ งถนิ่ และเร่อื งเล่าจากคนชองในชุมชนดังน้ี (สิรริ ตั น์ สสี มบตั ิ, ๒๕๕๒) ตํานานจันทบุรีกับคนชอง หลักฐานช้ินหนึ่งใน “แคมโบช” (Le Camboadge) ซ่ึงชาว ฝรัง่ เศส ม. อติ เี มอร์ เขียนไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๔ ว่ามีบาทหลวงองค์หนึ่งพบศิลาจารึกบริเวณตําบลเขาสระบาป ในศลิ าจารึกน้นั มีข้อความภาษาสันสกฤตวา่ “เมอื่ ๑,๐๐๐ ปลี ว่ งมาแล้ว มีเมืองหนึ่งช่ือว่า “ควนคราบุรี” เป็น เมืองท่ีมีอาณาเขตกว้างขวางมากต้ังอยู่ท่ีเชิงเขาสระบาป ผู้สร้างเมืองชื่อหาง หรือ แหง ชาวเมืองเป็นเชื้อชาติ ชอง (พลเมืองเป็นชาวชอง)” มีคํากล่าวกันว่า ไทยกับเขมร ได้รบกันเม่ือ พ.ศ. ๑๙๑๖ – ๑๙๓๖ เพ่ือแย่งการครอบครอง เมืองจันทบุรี ซ่ึงบางทีเรียก “จันทบุรี” เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “CANDRAPURI” (คานดราบุรี) ทําให้ ๑ คําว่า ช์อง เป็นการเขียนตามระบบตัวเขียนภาษาชองที่กลุ่มชาวชองท่ีตําบลคลองพลู และตําบลตะเคียนทอง อําเภอ เขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี ซึ่งร่วมดําเนินการสร้างร่วมกับ ศ.ดร.สุวิไล เปรมศรีรัตน์ และคณะ เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยสร้าง ข้ึนจากหลักการในการใช้ตัวอักษรไทย ๑ ตัว แทน ๑ เสียง เพ่ือใช้บันทึกประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของตน สัญลักษณ์ ์ ใช้ แทนลักษณะนา้ํ เสยี งเฉพาะ ซง่ึ เปน็ เอกลักษณข์ องภาษาชอง ไมพ่ บในภาษาอนื่ ๆ ๓

สันนษิ ฐานได้วา่ คานดราบรุ ี กลายเปน็ ควนคราบุรี หรือ “คังคะ” อาจเกิดจากการออกเสียงของภาษาไทยแล้ว นาํ ไปเขยี นเป็นภาษาอังกฤษ หรอื จากการฟงั ภาษาองั กฤษแลว้ นํามาพูดภาษาไทย จากเอกสาร บันทึกวัฒนธรรมชอง ของนายเฉิน ผันผาย ได้กล่าวถึง ตํานาน “เมืองกาไว” กับคนชอง ไว้ว่าคนเมืองจันทบุรีได้รับรู้และมีการเล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับเมืองจันทบุรีโบราณ (คือเมืองดั้งเดิม ของจันทบุรี) บริเวณเชิงเขาสระบาปว่า “ประมาณ ๙๐๐ ปีเศษมาแล้ว มีกษัตริย์ผู้ครองนครพระองค์หน่ึงทรง พระนามว่า พระเจ้าพรหมทัต มีพระเอกอัครมเหสี ๒ พระองค์ มีพระโอรสทรงพระนามว่าพระไวยทัต และ นามว่า พระนางกาไว ซ่ึงทรงเป็นท่ีโปรดปรานของพระเจ้าพรหมทัตย่ิงนัก และมีโอรสด้วยกันอีก ๑ พระองค์ พระนางกาไวมีพระประสงค์จะให้โอรสของพระนางได้ครองราชสมบัติในนคร จึงได้ทูลขอให้พระเจ้าพรหมทัต ส่งพระโอรสทั้ง ๒ พระองค์ของพระมเหสีองค์ก่อนออกไปสร้างเมืองอยู่ในท้องถิ่นที่กันดารทางเหนือแดนต่อ แดน (แถบชายแดนขอมหรือเขมร ปัจจุบันคือเขตอําเภอโป่งนํ้าร้อน) พระเจ้าพรหมทัตทรงตามใจ ต่อมาเมื่อ พระเจ้าพรหมทัตสวรรคต พระนางกาไวจึงสถาปนาพระโอรสของพระนางขึ้นเป็นกษัตริย์ครองนครต่อไป และ พระนางเป็นผู้สําเร็จราชการเพราะพระราชบุตรยังเยาว์พระชนม์อยู่ ดังนั้น นครนี้จึงเรียกกันติดปากว่า “เมือง กาไว” (เฉนิ ผันผาย, ม.ป.ป.) จากตํานานดังกล่าว ปัจจุบันปรากฏหลักฐานท่ียังหลงเหลือให้เห็นเป็นซากเมืองเก่า และยัง มีศิลาจําหลักสมยั ลพบุรตี ลอดจนศลิ าจารึกภาษาขอม อยู่ทีบ่ รเิ วณวัดเพนียต ตําบลคลองนารายณ์ อําเภอเมือง จันทบุรี ร่องรอยของเมืองเดิมท่ียังคงเหลืออยู่น้ันคือ กําแพงก่อด้วยศิลาแลง มีเชิงเทินดินเป็นคันข้ึนไป และมี ถนนโบราณอีก ๒ สาย นอกจากนั้นยังมีศิลาแกะสลักเทวรูป ศิลาจารึกภาษาขอม เป็นต้น เมืองน้ีเป็นเมืองเดิม ซึ่งสร้างข้ึนก่อนเมืองอ่ืน ๆ ในเขตจังหวัดจันทบุรี ปัจจุบันชาวเมืองจันทบุรีเรียกกันว่า “เมืองเพนียต” บ้าง และ “เมอื งกาไว” บ้าง เร่ืองเลา่ พญากําพุช นายหนู สสี มบตั ิ ชาวชอง ตําบลคลองพลู ได้เล่าว่า “ตระกูลของตนเอง เป็นลูกหลานท่ีสืบทอดเช้ือสายจากพญากําพุช ในบัดตะบองหรือพระตะบองแถวไพลินเมืองเขมร โดย บรรพบุรุษของตนได้พากันหนีสงครามมาจากเขมร และมาอยู่ในบริเวณอําเภอโป่งนํ้าร้อน และปัจจุบันพบว่า ยังคงมีญาติพ่ีน้องของพญากําพุชที่ยังมีชีวิตอยู่ได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนลูกหลานที่อยู่บ้านคลองพลู” ประกอบ กับคําบอกเล่าของยายจิ้น ชาวชอง ตําบลตลองพลู ได้เล่าว่า “พญากําพุชเป็นคนมาจากไหนตนไม่รู้ คนที่เป็น ลูกหลานพญากําพุชโดยตรงคือ ครอบครัวของยายอาบ – ตาจิ้ม ศรีสมบัติ ซึ่งเขามีผิวพรรณและการแต่งตัวดู สะอาดสะอ้าน มีลักษณะเหมือนเป็นเจ้าเปน็ นาย อพยพมาอยู่ทต่ี ะเคยี นทองหลายชว่ั อายุคนแล้ว” เรื่องเล่าที่อิงประวัติศาสตร์ระดับชาติ : กรณี ทหารสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จาก บันทึกเร่ืองไทยเช้ือสายชอง (ชิน อยู่ดี, ๒๕๒๔) เม่ือคร้ังที่ไทยกําลังจะเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่ารามัญน้ัน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ตีแหวกวงล้อมทหารพม่า เพ่ือมารวบรวมไพร่พลทางตะวันออก เมือง เป้าหมายในขณะนั้นคือ เมืองจันทบุรี ซ่ึงมีชาวชองอาศัยอยู่ ชาวบ้านจากจังหวัดจันทบุรีท่ีอาสาร่วมกันสู้รบ เพ่ือกอบกู้บ้านเมืองกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในครั้งน้ัน ชาวชองในปัจจุบันเชื่อกันว่ามีผู้ชายชาวชอง ปะปนเป็นไพร่พลไปร่วมสู้รบด้วย ดังนั้น ทุกคร้ังที่เมืองจันทบุรีมีการกล่าวถึงประวัติศาสตร์ชาติไทยเม่ือใด คน ชองกไ็ ดป้ รากฏตวั ตนเป็นหนึ่งในประวัตศิ าสตรช์ าติน้นั ดว้ ย ๔

คําบอกเลา่ ของคนยคุ กอ่ น (หลวงพอ่ เพช็ ร) และหลักฐานการสร้างวดั ในชุมชน จากหลักฐาน การอนุญาตให้สร้างวัดสุวรรณคีรีราม (วัดเขาน้อยในปัจจุบัน) ได้มีการจารึกไว้ที่พันธสีมาว่าวัดแห่งน้ีสร้างขึ้น เม่ือปี พ.ศ. ๒๒๙๙ และจากหลักฐานการอนุญาตให้สร้างวัด ซ่ึงมีพระบรมราชโองการ (ท่ี ๑๐๙ / ๖๓๐) ประกาศเขตพระอุโบสถวดั สุวรรณครี รี าม ตําบลตะเคียนทอง ตัง้ แตว่ นั ท่ี ๑๔ กันยายน รศ. ๑๓๒ เนื่องจากวัดสุวรรณคีรีรามเป็นวัดแห่งแรกที่มีการสร้างขึ้นในตําบลตะเคียนทอง ซึ่งเป็น ชุมชนที่ชาวชองอาศัยในขณะนั้น ดังน้ันจากหลักฐานดังกล่าวพอสรุปได้ว่าชาวชองตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ในพื้นที่ ตําบลตะเคียนทองปัจจุบันมานานกว่า ๒๕๐ ปี แล้ว ซ่ึงสอดคล้องกับคําบอกเล่าในเอกสารบันทึกชีวประวัติ ของพระครูจันทวราการ (หลวงปู่เพ็ชร พุทฺธสโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดตะเคียนทอง ได้กล่าวถึงเจ้าอาวาสคนแรก ของวัดตะเคียนทองในสมัยน้ันก็เป็นคนชอง โดยคนชองได้เรียนหนังสือมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๐๐ นอกจากนั้น หลวงปู่เพ็ชรยังได้กล่าวถึงกลุ่มคนในหมู่บ้านทุ่งกบิล (ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ข้ึนอยู่กับตําบลตะเคียนทอง แต่ ปัจจุบันขึ้นอยู่กับตําบลคลองพลู) ไว้ว่า “มีคนโบราณเล่าว่าในปีขาล ตรงกับปี พ.ศ. ๒๔๕๗ ฝรั่งตีเมืองเขมร แตก พวกเขมรก็หนีทัพแตกต่ืนไปอยู่คนละพวกคนละหมู่ตาม ๆ กัน พวกหน่ึงได้หนีข้ามคอเขาเข้ามาอยู่ใน หมู่บ้านตะเคียนทอง แล้วก็มาตั้งก๊ก ต้ังหมู่อยู่ร่วมกัน จับจองที่ดินทํามาหากินเป็นถิ่นฐานตนเอง ชื่อว่า “บ้าน ทงุ่ กะบนิ ” และอยูร่ วมกันเปน็ เพอื่ นพีน่ อ้ งเป็นมติ รสหายกนั จนถึงปัจจุบนั นี”้ ประวตั ศิ าสตร์ความทรงจําในอดีตเร่ืองการเดินทาง จากคําบอกเล่าของชาวชองตําบลคลอง พลู พบว่าในอดีตชาวชองเดินทางเท้าบุกป่าฝ่าดงเพื่อนําของที่หาได้จากป่า เช่น มัด ไต้ น้ํามันยาง ลูกกระวาน และกานพลู เป็นต้น นําเขา้ ไปขาย โดยเฉพาะทเี่ มืองจันทบรู ณ์และหมู่บ้านแถบชายฝั่งทะเลอําเภอท่าใหม่ เพื่อ แลกซอื้ อาหารแห้ง กะปิ นาํ้ ปลา ไวก้ นิ ในครอบครวั ต้องใช้เวลาเดนิ ทางราว ๗ – ๘ คนื ชาวชองมักเดินทางกัน เป็นกลุ่ม และระหว่างเส้นทางการเดินทางจะใช้เส้นทางจะต้องแวะพักท่ีจุดต่าง ๆ จุดเดียวกันทุกกลุ่ม ใน ขณะเดียวกันคนชองสมัยก่อนมีการเดินทางทางนํ้าโดยอาศัยแม่น้ําจันทบุรี หรือชาวชองเรียกว่า “คลองใหญ่” ซ่ึงไหลผ่านชุมชนชอง จนกระท่ังหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ หมู่บ้านชาวชองซึ่งเริ่มมีการคมนาคมสะดวกและ รวดเรว็ ข้ึนตามลาํ ดบั ๑.๒.๒ งานวจิ ยั / งานค้นควา้ ของนักวชิ าการ นอกจากข้อมูลตํานานท้องถ่ินและเรื่องเล่าจากคนชองในชุมชน ยังพบเอกสารสําคัญใน ประวัติศาสตร์ท่ีมกี ารกล่าวถงึ คนชอง ดงั นี้ ประวัติศาสตร์เขมรกับเมืองจันทบุรี ตามประวัติศาสตร์เก่ียวกับเมืองจันทบุรี พบว่ามีการ กล่าวถึงพวกขอมหรือเขมรเมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๔๐๐ ซ่ึงได้แผ่อํานาจเข้าครอบครองเมืองจันทบุรี พวกขอม ปกครองเมอื งจนั ทบรุ ีอย่ปู ระมาณ ๔๐๐ ปี จงึ เสอื่ มอํานาจลงใน พ.ศ. ๑๘๐๐ พวกไทยทางอาณาจักรฝ่ายใต้ซ่ึง มีราชธานีอยู่ที่เมืองสุพรรณภูมิ (เมืองอู่ทอง) จึงเข้ายึดเมืองจันทบุรีไว้ได้ จันทบุรีจึงรวมอยู่ในอาณาจักรไทย ทางฝ่ายใตเ้ รื่อยมา จากหลักฐานพบว่า เม่ือพระเจ้าอู่ทองทรงสร้างกรุงศรีอยุธยาขึ้นและทรงประกาศว่ากรุงศรี อยธุ ยามปี ระเทศราช ๑๖ หัวเมอื ง และใน ๑๖ หวั เมืองนี้ มีเมอื งจนั ทบุรอี ย่ดู ้วยเมืองหนงึ่ ๕

นิราศเมืองแกลงท่ีกล่าวถึงชอง ประวัติความเป็นมาท่ีนักวิชาการมักนํามากล่าวอ้างเกี่ยวกับ คนชอง ยงั มีการกระจายอยู่ท่ีจังหวัดระยองด้วย ซ่ึงปรากฏในนิราศเมืองแกลงของท่านสุนทรภู่ เชื่อว่าแต่งในปี พ.ศ. ๒๓๕๐ ทีก่ ลา่ วถึงชาวชองไวว้ า่ “คร้นั แลว้ ลาฝา่ เท้าท่านบติ ุรงค์ ไปบ้านพงคอ้ ตั้งรมิ ฝง่ั คลอง ดหู นุ่มสาวชาวบา้ นราํ คาญจติ ไม่น่าคดิ เข้าในกลอนอักษรสนอง ล้วนวงศ์งานว่านเครอื เป็นเชอ้ื ชอง ไม่เหมอื นนอ้ งนกึ น่าน้ําตากระเดน็ ” นอกจากน้ันยังพบว่า ธรรมพันธุศิริสด ซ่ึงเป็นนักวิชาการท้องถ่ินในจังหวัดจันทบุรี และให้ ความสนใจเกย่ี วกบั ชาวชอง ได้มีการกล่าวสนับสนุนนิราศเมืองแกลงดังกล่าว โดยยกย่องว่าสุนทรภู่เป็นกวีชอง ผู้ยิง่ ใหญ่ มเี ชอื้ สายชอง (ทางพ่อ) อาศยั อยทู่ ีบ่ า้ นกลาํ่ อําเภอแกลง จังหวดั ระยอง ขอ้ สรุปของนกั วิชาการเก่ียวกับชองภาคตะวันออก มีนักวิชาการต่าง ๆ เช่น เวบเบอร์ (Karl E. Webber) อีริค ไซฟาเดน (Erik Seidenfaden) และ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้กล่าวและสรุปเกี่ยวกับกลุ่ม ชาวชองที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันไว้ว่า ชาวชองเป็นคนกลุ่มน้อยท่ีอาศัยอยู่ตามเชิงเขาทางทิศเหนือของ จันทรบูรณ์ มีความเป็นอยู่แบบสมัยโบราณ คือ การหาของป่า ล่าสัตว์ แล้วนํามาแลกเปล่ียนเป็นอาหารอื่น ๆ กับชาวไทย ชาวชองมีภาษาและวัฒนธรรมเป็นของตนเอง ภาษาของเขาใกล้เคียงกับเขมร แต่ขนบธรรมเนียม ประเพณี และการแต่งกายใกลเ้ คียงมาทางไทย มีอาชพี ปลกู ข้าว แต่เปน็ ประเภททํานาในปา่ จากข้อมูลที่กล่าวมาเบ้ืองต้น สามารถสรุปได้ว่า ชาวชองเป็นชนกลุ่มหน่ึง กระจายอาศัยอยู่ สภาพแวดล้อมตามเชิงเขาทางทิศเหนือของจันทบูรณ์หรือจันทบุรี ติดกับเขตแดนเมืองพระตะบอง ประเทศ เขมรเป็นป่าเขาอุดมสมบูรณ์ นักมานุษยวิทยาและนักภาษาศาสตร์ได้จัดภาษาพูดของชาวชองในตระกูล ออสโตรเอเชียติก สาขามอญ – เขมร กลุ่มภาษาเพียริก ซึ่งเป็นภาษาของกลุ่มตน ที่มีมาต้ังแต่อาณาจักรเขมร มีความเปน็ อย่ดู ้วยการทาํ นาบนพ้นื ที่ราบลมุ่ น้าํ ทว่ มถงึ เกบ็ หาของป่า ล่าสัตว์ เจาะน้ํามันยาง ทําไต้ เก็บลูกเร่ว กระวานและกานพลู เพื่อนํามาแลกเปลี่ยนอาหารอื่น ๆ กับชาวไทยและชาวจีน ต่อมาชาวชองได้มีการต้ังถิ่น ฐานเป็นหลักแหล่งในบริเวณท่ีราบป่าเขา และที่ลุ่ม มีเมืองหลวงอยู่ใกล้กับวัดทองทั่ว ภายหลังจากสิ้นสุด สงครามในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีคนต่างถิ่นเร่ิมอพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งในจังหวัดจันทบุรีมากข้ึน ชาวชองจึงได้ย้ายไปต้ังถ่ินฐานทํามาหากินในบริเวณป่าที่อุดมสมบูรณ์ และเป็นแหล่งท่ีก่อเกิดและส่ังสม ประสบการณ์ทางภาษาและวัฒนธรรมชองตั้งแต่น้ันจนถึงปัจจุบัน ชาวชองอาศัยอยู่ท่ีจังหวัดจันทบุรี ระยอง ฉะเชงิ เทรา และตราด ปัจจุบนั พบมากทีส่ ุดท่ีจงั หวดั จันทบรุ ี ๖

๑.๓ สภาพทว่ั ไปทางสังคมและวฒั นธรรม ๑.๓.๑ ลกั ษณะบ้านเรือน ชาวชองเรียก “บ้าน” หรือท่ีพักอาศัยว่า “ต็อง” ซึ่งครอบคลุมลักษณะของบ้านท่ีเป็นแบบ ดั้งเดมิ ที่ใช้ไม้ไผเ่ ปน็ วสั ดหุ ลัก และแบบสมยั ใหมห่ รือแบบปจั จุบันทใ่ี ชไ้ ม้และปูนเปน็ วัสดุในการก่อสร้าง ซึ่งมีท้ัง แบบยกใตถ้ ุนสูงและแบบท่ีปลกู ตดิ ดนิ บา้ นชองแบบดั้งเดิมหรือท่ชี าวชองเรยี กวา่ “ต็อง ชอ์ ง” มลี กั ษณะเปน็ เรอื นปลูกชัน้ เดียว มีใต้ ถุนสูง พื้นเรือนและฝาบ้านทําจากไม้ไผ่ทุบแผ่เรียงต่อกัน หรือเรียกว่า “ฟาก” เสาบ้านทําจากไม้ยืนต้น ส่วน หลังคาบ้านใช้ใบระกํา หรือหญ้าคามุงหลังคา ซึ่งถือเป็นวัสดุที่หาได้ง่ายภายในท้องถิ่น แต่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะบ้านที่มีฐานะดี มีการปลูกบ้านปูน กระเบื้องมุงหลังคา เพื่อความคงทนถาวร และสะดวกต่อการซื้อ หาตามรา้ นวสั ดกุ อ่ สรา้ ง ทําให้ไม่คอ่ ยพบเห็นบา้ นเรอื นตามแบบดัง้ เดิมของชาวชองมากนัก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบันคนชองจะหันมาสร้างบ้านตามแบบสมัยใหม่มากข้ึน แต่ก็ยังคง แบ่งพ้นื ทใี่ ชส้ อยของบา้ นตามแบบบา้ นดัง้ เดมิ โดยแบง่ พ้ืนทีใ่ ช้สอยเป็น ๔ สว่ นอย่างชัดเจน คือ ชานพัก ติดกับ บริเวณบันไดทางขึ้น ชานเรือน ใช้สําหรับพักผ่อนและรับรองแขก ห้องครัว และห้องนอน นอกจากน้ียังมี บริเวณสําหรบั เปน็ ทจี่ อดรถหรือจอดเกวยี นอีกด้วย ภาพแสดง การแบง่ พนื้ ที่ใชส้ อยของบ้านชองดง้ั เดิม สําหรับบางครัวเรือนท่ีมีผืนนาเป็นของตนเอง จะมียุ้งข้าวท่ีมีขนาดไม่ใหญ่โตนัก อยู่ติดกับ บรเิ วณตัวบ้าน สําหรับเก็บข้าวเปลือกท่ีเพียงพอต่อการบริโภคในแต่ละปีเท่าน้ัน (สุวิไล เปรมศรีรัตน์และคณะ, ๒๕๕๐) ๑.๓.๒ วัฒนธรรมการแตง่ กาย ชาวชองสมัยโบราณจะทอผ้าและตัดเย็บเสื้อผ้าใส่เอง เส้นใยที่นํามาใช้เป็นเส้นใยสับปะรด โดยใช้ใบสบั ปะรดมาทุบให้แหลกแล้วดึงใยท่ีเป็นเส้น ๆ ออกมาล้างน้ําแล้วผึ่งแดดให้แห้ง จึงนําไปทอผ้า ต่อมา เปล่ียนเป็นเส้นด้ายที่ชาวชองซื้อจากตลาดเมื่อเวลานําของป่าเข้ามาขายในเมือง สีของเส้ือผ้าทั้งหญิงและชาย จะออกเป็นสีนํ้าเงินเข้มหรือสีดํา ส่วนเสื้อจะเป็นสีขาว ลักษณะการแต่งกายของผู้หญิงจะนุ่งผ้าซิ่น ชายผ้าจะ ยาวประมาณครงึ่ น่อง เสื้อผ้าท่ีใส่จะเป็นเสื้อคอกระเช้า ผู้ชายจะนุ่งกางเกงขาส้ันหรือขากว้างที่ยกชายสูงขึ้นไป ๗

และใช้ผ้าคาดเอว เวลาอยู่บ้านไม่สวมเสื้อ แต่เวลาเข้าป่าล่าสัตว์หรือหาของป่าจะสวมเส้ือ (สุเรขา สุพรรณ ไพบลู ย์, ๒๕๔๒) ๑.๓.๓ ดา้ นเศรษฐกจิ อาชีพหลักของชาวชองสมัยโบราณ คือการล่องแพ การหาของป่ามาขายในเมือง การล่องแพ คือการนําไม้ที่ตัดจากป่ามาทําแพซุง เช่น ไม้กันเกรา นําไปทําค้างพริกไทย ไม้มะค่า ไม้ยาง ไม้เนื้อแข็งต่าง ๆ ส่งโรงเล่ือย พอ่ ค้าจะแปรรูปเปน็ ไม้กระดานและอนื่ ๆ เพือ่ ใชก้ อ่ สรา้ งอาคาร ส่วนไม้หลักไม้ราชาวประมงจะรับ ซอ้ื ไปทาํ โปะ๊ ดกั ปลา การชกั ลากไม้ซุงมาลงแม่นํ้าจันทบุรี โดยใช้ควายชักลากประมาณ ๒๐ ตัว ต่อซุงต้นใหญ่ๆ ๑ ต้น แล้วใช้หวายถักเป็นเชือกพรวนอย่างดี มัดรวมเป็นแพแล้วล่องมาตามลําน้ําจันทบุรี ใช้เวลาประมาณ ๓ – ๔ วัน ถึงท่าน้ําเมืองเก่า (หน้าวัดจันทารามปัจจุบัน) และการล่องแพมาก็นําของป่าท่ีหาได้และสะสมไว้ นําไปขายดว้ ย เชน่ ไม้จันทน์ ไม้กฤษณา เครื่องเทศ สมุนไพรต่าง ๆ เช่น กานพลู เร่ว พลูสี สมอไทย เคร่ืองยา ต่าง ๆ นา้ํ มนั ยาง หวายชนิดต่าง ๆ เขาสัตว์ หนังสัตว์ ซ่ึงปีหนึ่งจะนําของไปขายเพียงครั้งเดียว คือในช่วงเดือน สิบ เดือนสิบเอ็ด หรือเดือนสิบสอง ส่วนในหน้าแล้งคือ เดือนสาม เดือนส่ี ไม่นิยมเดินทางเข้าเมือง เน่ืองจาก การเดินทางลําบาก เพราะใช้เกวียนเป็นพาหนะเดินทาง และใช้ระยะเวลาหลายวันกว่าจะถึงตัวเมือง ส่วน ส่ิงของท่ีชาวชองจะซื้อกลับบ้านคือ เกลือ หอม กระเทียม น้ําอ้อย ด้าย ยาฉุน การเดินทางเข้าเมืองซื้อขาย สิ่งของน้ี ผชู้ ายจะเป็นผทู้ าํ หนา้ ที่ ส่วนผ้หู ญงิ จะอยู่บ้าน อาชพี อีกอยา่ งหนึง่ คือการปลูกข้าว ซงึ่ เป็นการปลูกเพียงเพื่อพอกินเท่าน้ัน ไม่ใช่ปลูกเพื่อขาย ดังน้ันจึงทํานาไม่มาก และไม่พิถีพิถัน โดยมีการทํานา ๒ ประเภท ได้แก่ การทํานาข้าว เป็นการทํานาในพ้ืนที่ ราบลุ่มเหมือนนาข้าวทั่วไป และการทํานาไร่ เป็นการทําในป่าหรือชายป่าที่พอมีนํ้าเลี้ยงต้นข้าว โดยขุดหลุม หยอดเมล็ดข้าวลงไป เม่ือต้นข้าวเติบโตขึ้นก็เพียงถอนวัชพืชออก ไม่ต้องดูแลมาก (สุเรขา สุพรรณไพบูลย์, ๒๕๔๒) ปัจจุบันชาวชองส่วนใหญ่ในตําบลคลองพลู และตําบลตะเคียนทอง ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดย ทําสวนผลไม้เพื่อขายเปน็ อาชพี หลัก เช่น ทุเรยี น เงาะ มังคดุ กลว้ ย เป็นตน้ (สิรริ ัตน์ สีสมบตั ิ, ๒๕๕๒) ๑.๓.๔ เครื่องมือ เครื่องใช้ในการทํามาหากิน ๑. ขวานปูลู เป็นเคร่ืองมือสารพัดประโยชน์ใช้โค่นต้นไม้ ตัดหวาย เหลาไม้ จักตอก ผ่าฟืน ชําแหละเน้ือสัตว์ และใช้เป็นอาวุธประจํากายหรือใช้แทนเคร่ืองมือในการขุดหลุมเม่ือเข้าป่า นอกจากนี้ขวาน ปูลูจะใชใ้ นการทาํ พิธกี รรมในประเพณกี ารแต่งงานดว้ ย ๒. เคร่ืองมือในการทํามาหากินอ่ืน ๆ เช่น เบ็ด สุ่ม ลอบ ข้อง แห ใช้ในการหาปลา ส่วน เคร่ืองมือที่ใช้ในการล่าสัตว์คือ หน้าไม้ บ่วง แร้ว ทุบ เป็นเครื่องมือท่ีใช้ไม้ขัดกัน มีเหย่ือท่ีปลายไม้ เม่ือสัตว์ คาบเหย่ือ ไมท้ ่ขี ัดกนั กจ็ ะดดี ถกู สตั ว์นน้ั อตี ก เปน็ บว่ งลอบและไมท้ อ่ นยาวท่พี าดเพอ่ื กระดกสตั วใ์ หต้ ิดบ่วงที่ผูก ไว้ นอกจากน้นั กเ็ ป็นเครอื่ งใช้ในบ้าน เชน่ มีด กระด้ง เป็นต้น (สุเรขา สุพรรณไพบลู ย,์ ๒๕๔๒) ๘

๑.๓.๕ การกินอยู่ของคนชอง อาหารหลักของชาวชองคือ ข้าวเจ้าและน้ําพริก (พริกโขลกรวมกับเกลือ) ซึ่งมีรสเผ็ดมาก รบั ประทานร่วมกับผกั ชนดิ ต่าง ๆ ทห่ี าได้จากป่าหรอื ปลกู ไว้ข้างบา้ น เช่น มะเขือ บวบ พรกิ ฟกั น้ําเต้า อาหาร ประเภทเน้ือสัตว์ที่เป็นหลักคือ ปลา ส่วนสัตว์อื่นแล้วแต่จะหาได้ ซึ่งหากมีจํานวนมากก็จะหมักเกลือแล้วนํามา ตากแหง้ ไว้ (สเุ รขา สุพรรณไพบูลย,์ ๒๕๔๒) นอกจากนี้ชาวชองยงั นยิ มทาํ อาหารประเภทแกง เชน่ แกงปลาช่อนใส่กะทิ มะพร้าว แกงเผ็ด ปลาต่าง ๆ ใส่ส้มมะขาม ส้มมะเฟือง ส้มมะอึก หน่อไม้ดอง แกงเน้ือเผ็ดใส่ใบชะมวง แกงเผ็ดปลาไหลใส่ว่าน เมือง แกงปลาไหลต้มโพล้ง เป็นต้น ส่วนอาหารหวาน นิยมทําบัวลอย หวานมันเทศ หวานฟักทอง ฟักทอง เชอื่ ม มะตมู เชอ่ื ม ขา้ วเหนียวนํา้ กะทิ ขา้ วเหนยี วสงั ขยา เป็นต้น (สิริรัตน์ สีสมบตั ,ิ ๒๕๕๒) ภาพ อาหารพนื้ บา้ นชาวชอง ๑.๓.๖ การทํานํา้ มนั ยาง ในการทําน้ํามนั ยาง ผูท้ ําจะตอ้ งเดินทางเขา้ ไปในปา่ ทม่ี ีต้นยาง จากน้ันใช้ “ขวานบูลู” ซ่ึงเป็น ขวานคมแคบแบบด้ังเดิมของชาวชองขุดต้นยางให้เป็นโพรง แล้วนําใบไม้มาเผาเพ่ือรมควันภายในโพรงน้ัน จากน้ันจึงไปตักน้ํามันยางมารวมกันในบ่อเพ่ือทําการกรองอีกครั้ง ซึ่งผลผลิตของนํ้ามันยางที่ได้นั้นเป็นท่ี ต้องการของตลาดในเมืองจันทบุรี นอกจากน้ันกากท่ีเหลือจากการทํานํ้ามันยางยังสามารถนําไปทํามัดไต้ขาย ไดอ้ ีกดว้ ย ๑.๓.๗ การทํากระวาน การทาํ สวนกระวานของชาวชองถือว่าเปน็ ภมู ิปญั ญาท่มี ีมานานกว่า ๓๐๐ ปี ปัจจุบันยังมีผู้ทํา สวนกระวานประมาณ ๔๐ ราย บนพื้นท่ีประมาณ ๒,๐๐๐ ไร่ ส่วนใหญ่พบอยู่ในแถบอําเภอโป่งน้ําร้อน บริเวณเขาสอยดาวใต้เท่าน้ัน ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งผลิตกระวานอันเป็นท้ังเครื่องเทศและสมุนไพรที่สําคัญของ ประเทศทย่ี ังมีใหเ้ หน็ ในปัจจบุ ัน ลักษณะทัว่ ไปของกระวาน เป็นพืชล้มลุกท่ีสามารถเจริญเติบโตได้ดีตามบริเวณภูเขาที่มีความ ชมุ่ ชนื้ มไี มใ้ หญ่ปกคลุม ลําต้นมีขนาดสูงใหญ่ อายุยืน สามารถให้ผลผลิตได้นับร้อยปี ส่วนผลและเมล็ด มีกล่ิน ๙

หอมคล้ายการบูร มีรสชาติเผ็ดร้อน นิยมใช้เป็นเครื่องเทศในการประกอบอาหาร เหง้าอ่อนสามารถดับกลิ่น คาวของเน้ือสัตว์ได้ นอกจากนี้ยังถือเป็นสมุนไพรมีฤทธ์ิขับลมและบํารุงธาตุ ยับยั้งการเจริญเติบโตของ แบคทเี รีย แกล้ มจุกเสียดแน่นทอ้ งไดอ้ กี ด้วย ปัจจุบันการทําสวนกระวานถือว่าสร้างรายได้ให้กับชาวสวนเป็นอย่างมาก สามารถขายได้ กิโลกรัมละ ๒๐๐ – ๒๕๐ บาท นอกจากน้ีสวนกระวานยังกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แห่งหนึ่งของ จังหวัดจันทบุรี เนอื่ งจากเมือ่ ถงึ ฤดูกาลเกบ็ เก่ียวมักมผี ู้สนใจเดนิ ทางมาชมวิถกี ารทํากระวานอีกด้วย ภาพ การทํากระวาน ๑.๓.๘ ความเชือ่ ของชาวชอง ชาวชองมีความเชื่อในเร่ืองผีบรรพบุรุษเป็นอย่างมาก กล่าวคือ จะใช้อิทธิพลของผีบรรพบุรุษ เป็นเคร่ืองมือในการควบคุมความประพฤติและคุณสมบัติของบุคคลในสังคม เช่น ความซื่อสัตย์ ความกตัญญู ความขยันอดทนในการทํามาหากิน ตลอดจนความประพฤติด้านต่าง ๆ ถ้าหากบุคคลใดมีความประพฤติไม่ดี ไม่เหมาะสม “ผีบรรพบุรุษ” จะมาว่ากล่าวตักเตือน ดังน้ันทุกบ้านจะมี “ผีห้ิง” ไว้กราบไหว้ ถ้าหากผี บรรพบรุ ษุ มาวา่ กล่าวตกั เตอื นแลว้ ยงั ไม่เชอ่ื บุคคลรายนัน้ จะถูกสงั คมตเิ ตยี น นอกจากนั้นชาวชองยังมีความเชื่อในเรื่องผีป่าด้วย กล่าวคือ ถ้าหากเข้าป่าแล้วแสดงกริยาไม่ ดี กล่าวคําหยาบคาย จะถกู ผีป่าลงโทษ เช่น ทําให้หลงป่า หรือพบสัตว์ร้ายท่ีจะทําอันตรายได้ (สุเรขา สุพรรณ ไพบูลย,์ ๒๕๔๒) ๑๐

๑.๓.๙ ประเพณี พธิ กี รรมของชาวชอง ๑. การไหวศ้ าลพระภูมิเจ้าท่ี เป็นการบูชาเจ้าที่ ผีเรือน ให้ช่วยปกปักษ์รักษาคนในบ้าน โดย ไหว้ศาลปีละ ๒ คร้ัง คือ ก่อนเข้าพรรษาและออกพรรษา เคร่ืองเซ่นไหว้ ได้แก่ ขนมลูกโทนใส่ไส้ บายศรีปาก ชาม ขนมตม้ แดง ขนมตม้ ขาว นาํ้ เปลา่ ธูป เทียน และดอกไม้ ๒. การเล่นผีหิ้ง – ผีโรง การเล่นผีหิ้ง หรือประเพณีการเล่นผีห้ิง เป็นประเพณีการเซ่นไหว้ผี บรรพบุรุษ ซ่ึงปีหน่ึงครอบครัวหนึ่ง หรือตระกูลหนึ่งจะทําพิธีเพียงครั้งเดียว ในช่วงเดือนสี่ถึงเดือนหก เพื่อจะ ได้ทราบว่าบรรพบุรุษของตนที่ตายไปแล้ว สุขสบายหรือไม่ และให้คนที่ตายไปแล้วเห็นว่าลูกหลานมีความสุข สบายแค่ไหน และเป็นการรวมพ่ีน้องได้พบปะกัน การเล่นผีห้ิงนี้จะทําพิธีในเวลากลางคืนเท่าน้ัน (สายฝน เหลื่อมคน่ั , ๒๕๓๔) สง่ิ ของทีใ่ ชใ้ นการประกอบพธิ กี รรม ไดแ้ ก่ ๑) ขนมตา่ ง ๆ เช่น ขนมเทียนไสม้ ะพรา้ วกวน ข้าว เหนียวแดง ขนมกวนใส่กระทงอย่างละ ๑ กระทง ๒) ไก่ต้ม ๒ ตัว ตัวหนึ่งวางไว้บนหิ้ง อีกตัวหน่ึงวางไว้ใน กระบุงขา้ วเปลือกข้างลา่ งหงิ้ ๓) บายศรีปากชาม วางในกระบุงข้าวเปลือก ๔) ขวดเหลา้ อยูใ่ นกระบงุ การทําพิธี หมอทําพิธีจะใช้ด้ายสายสิญจน์พันรอบศรีษะร่างทรง ปักธูป ๓ ดอก แล้วกราบ ไหว้ผีหิ้ง ซ่ึงต้ังอยู่บนเรือนและวางอยู่ที่สูงพอท่ีจะเอื้อมมือปักธูปถึง แล้วมาปักธูป ๓ ดอกท่ีลานบ้าน จึงเชิญ วญิ ญาณผูต้ ายมาเขา้ ทรง ซง่ึ การทาํ พธิ แี ต่ละครง้ั จะเชญิ ดวงวญิ ญาณไดไ้ มเ่ กนิ ๑๐ ดวง วิญญาณแต่ละดวงที่มา เข้าร่างทรงจะแสดงกิริยาท่าทางต่าง ๆ ให้ญาติของผู้ตายทราบว่าเป็นใคร และมีความสุขสบายหรือไม่อย่างไร รวมท้ังถ้าลูกหลานคนใดทําไม่ดี วิญญาณจะร้องไห้และว่ากล่าวตักเตือน เม่ือวิญญาณออกจากร่าง หมอทําพิธี จะใหร้ ่างทรงกนิ เปราะหอมหนึง่ อนั แล้วร้องเชิญดวงวญิ ญาณดวงอืน่ ตอ่ ไป เม่ือเชิญดวงวิญญาณครบ ๑๐ ดวงแล้ว จะส่งวิญญาณไป โดยหมอทําพิธีจะปักธูป ๔ ดอก บนศรีษะคนทรง แล้วพน่ นํ้ามนต์ทีศ่ รีษะ ๓ ครั้ง เก็บธูปไปปักท่ีลานบ้าน คนอื่น ๆ ก็จะเปิดเป็นช่องทางให้ดวง วิญญาณเดินออกไป ร่างทรงก็จะอวยพรให้ญาติพ่ีน้องท่ีมาชุมนุมกันมีความสุข ความเจริญ ด้านนอกบ้านจะมี คนรอ้ ง กา กา กา ๓ คร้งั หมายความวา่ เสร็จสน้ิ พธิ ีกรรมแลว้ (สเุ รขา สพุ รรณไพบูลย์, ๒๕๔๒) การเลน่ ผโี รงหรอื ผีท้าว ซ่ึงถือเป็นเวลาพิเศษที่ชาวชองจะได้สนทนากับบรรพบุรุษที่ล่วงลับไป แล้วผา่ นทางคนทรง ในการเล่นผีห้งิ และผีโรงมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่จะมีความแตกต่างกันเพียงช่วงเวลาใน การเล่นและอุปกรณ์ กล่าวคือ หากเล่นผีหิ้งต้องมีเรือนผีห้ิง หรือต็องฮึง เป็นอุปกรณ์ท่ีสําคัญท่ีสุด และเล่นใน เวลากลางคืนเท่านั้น ส่วนผีโรงเล่นในเวลากลางวัน มีการปลูกโรงหรือเพิงเล็ก ๆ ใช้ประกอบพิธี ห่างจากตัว บ้านประมาณ ๔ – ๕ เมตร ใช้ใบไมท้ ําหลังคาและฝา สงิ่ ของทีใ่ ช้ในการประกอบพิธีกรรม ไดแ้ ก่ ๑) เสาไม้ ๒ เสา เล็กต้นหน่ึง ใหญ่ต้นหนึ่ง เรียกว่า “เตว็ด” มีสายสิญจน์โยงจากเตว็ดไปสู่บายศรี ซ่ึงเตว็ดนี้ถือว่าเป็นทางเดินของวิญญาณที่จะมาเข้าร่างทาง ๒) บายศรีปากชาม และผ้าขาวยาวประมาณ ๒ ฟุต ปูลาดจากชามบายศรี บนผ้าขาวจะมีหมากพลูวางเรียงเป็น แถว แถวละ ๓ คาํ ๓) กระบงุ ใส่ข้าวเปลือก ปักธูป เทียน และในกระบุงมีไก่ต้ม ๑ ตัว เหล้า ๑ ขวด ๔) ถาดใส่ ขนมหวานชนิดต่าง ๆ ๑ ถาด และถาดอาหารคาว ๑ ถาด ๕) มีเส้ือใหม่ ผ้าถุงใหม่ พาดหรือแขวนไว้ ๑๑

๖) ท่ีด้านหน้าใช้กระดาษตัดเป็นตัวช้าง ม้า เรือ แขวนอยู่ พิธีกรรมจะเหมือนกับการเล่นผีห้ิง (สุเรขา สุพรรณ ไพบลู ย์, ๒๕๔๒) การเล่นผีหิ้ง หรือผีโรงท้ังสองนี้นอกจากจะมีนัยยะในการแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษที่ ล่วงลับไปแล้ว ยังเป็นอุบายสําคัญในการกระชับความสัมพันธ์ในเครือญาติและในชุมชนชองอีกด้วย (สุเรขา สพุ รรณไพบูลย์, ๒๕๓๐) ๓. การเลน่ กาตกั กาตัก หมายถึงการจัดงานใหญ่โตในพิธีแต่งงาน โดยจะจัดข้ึนให้กับลูกสาว คนโต ซึ่งชาวชองถือว่าเป็นลูกที่ช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระการงานของพ่อแม่ได้มากท่ีสุด ฉะนั้นการท่ีลูกสาว คนโตจะไปตั้งครอบครัวใหม่ จึงเป็นการจัดงานที่ใหญ่โต แต่ถ้าเป็นลูกสาวคนอ่ืน ๆ จะเป็นพิธีแต่งงานธรรมดา เทา่ นัน้ การสู่ขอ ฝ่ายชายจะให้ผู้ใหญ่ที่เป็นที่เคารพนับถือของบุคคลในหมู่บ้านเป็นผู้ใหญ่ไปสู่ขอฝ่าย หญิง ซึ่งจะนําหมากพลู ดอกไม้ เทียน ขึ้นไปกราบไหว้ผีบรรพบุรุษของฝ่ายหญิงในการขออนุญาต แล้วผู้ใหญ่ ฝา่ ยชายจะเจรจาสขู่ อพอ่ แม่หรอื ตัวแทนผู้ใหญฝ่ า่ ยหญิงจะเรยี กสนิ สอด ซึง่ แลว้ แต่ฐานะของฝ่ายชาย สินสอดที่ จะเรียกจะเป็นเงินกลมหรือทองคําก็ได้ เม่ือตกลงแล้วฝ่ายชายต้องนําสินสอดมาเท่าท่ีตกลงไว้จะขาดหรือเกิน ไม่ได้เปน็ อนั ขาด เพราะถือว่าผิดผีแล้วจึงกําหนดวันแตง่ งาน เครื่องประกอบพิธีกรรม ในวันแต่งงานฝ่ายชายจะต้องนําเทียน ขนมเปียก ข้าวเหนียวแดง กล้วย ขนมกวน อย่างละ ๑ ถาด เคร่ืองกินหมาก ๑ ถาด นําไปพร้อมกับของหม้ัน ฝ่ายหญิงจะเตรียมส่ิงของ เคร่ืองเซ่นไหว้ คือ ๑) โควเฌอ ประกอบด้วย กระบุงข้าวเปลือกซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวที่สําหรับใช้ปลูกเชงเลง (ไม้ไผ่ สานเป็นกรวย) ปักธูป หมากพลู ไก่ต้ม ๑ ตัว วางอยู่ในกระบุงข้าวเปลือก มีเคร่ืองประดับ เช่น กําไล เงิน ทอง สายสร้อย ขวานปูลู เคียวเกี่ยวข้าว ชามใส่ข้าวสาร ธูป เทียน วางในกระบุงข้าวเปลือก ๒) ถาดขนม ประกอบด้วย ขนมต้ม ขนมเทียน ข้าวเหนียวแดง ขนมกวน ข้าวต้มมัด ขนมงา ๓) ถาดผ้า ซึ่งมีผ้าแดง ผ้าขาว วางในถาดอยา่ งละ ๑ ผืน ใช้ทําพธิ ีปลูกซา (พธิ แี ตง่ งาน) ความหมายของส่ิงของท่ีอยู่ในโควเฌอ ได้แก่ พันธ์ุข้าว มีไว้ใช้ปลูกทําพันธุ์สําหรับการตั้ง ครอบครวั ใหม่ เคร่ืองประดับ เช่น ลูกปัด กําไล เงินทอง หมายถึง ให้ทํามาหากินร่ํารวย มีความสุข ใบตองถัก เป็นเกลียว ผกู ทเี่ ชงเลง ให้เปน็ คนซ่อื สัตย์ ไมค่ ดโกง เปน็ คนหนักแน่น หรอื เปน็ คนดี ขวานปูลู เคียวเก่ียวข้าว ใหเ้ ปน็ คนขยันทํามาหากนิ ขั้นตอนพิธี ขบวนฝ่ายชายนําสิ่งของเคร่ืองเซ่นมาบ้านฝ่ายหญิง เจ้าสาวยืนรอรับเจ้าบ่าวที่ บันไดบ้านและตักน้ําล้างเท้าเจ้าบ่าวเป็นเคร่ืองหมายแสดงว่า เจ้าสาวรับเจ้าบ่าวเป็นสามีของตน เจ้าสาวจูงมือ เจ้าบ่าวข้ึนบ้าน จากนั้นท้ังเจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่งคู่กันท่ีหน้าโควเฌอ ญาติทั้งสองฝ่ายนั่งล้อมรับอยู่ด้านหลัง หมอ ปลูก หรือผู้ทําพิธี จะใช้ผ้าขาวพันรอบศรีษะ จะกล่าวเชิญเทพเจ้าเทวดา เจ้าป่าเจ้าเขา ดวงวิญญาณผี บรรพบุรุษมาเป็นสักขีพยานและอวยพรให้พรแก่คู่บ่าวสาว แล้วทุกคนที่มาในงานจุดธูปปักไว้ใน โควเฌอ เจ้าบา่ วเจา้ สาวจะเคาะท่ีกระบุงข้าวเป็นการยอมรับในการเป็นสามีภรรยา หมอปลูกจะเทเหล้ารดที่เชงเลง พ่อ แม่ท้ังสองฝ่ายจะพูดจายกลูกสาวลูกชายให้กัน พร้อมกับอวยพรให้มีความสุข หมอปลูกใช้ผ้าขาวที่วางในถาด หลุมศรีษะคู่บ่าวสาว แสดงว่า ทั้งสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้ว หมอปลูกดึงใบตองถักจากเชงเลงมาวางท่ี ๑๒

เจ้าบ่าวและเจ้าสาว แสดงว่าให้ท้ังสองคนช่วยกันทํามาหากิน หมอปลูกเทเหล้าที่ขวานปูลู เป็นการช้ีให้เห็นว่า ขวานปูลูเป็นเครื่องมือทํามาหากินที่สําคัญ ต้องลับให้คมอยู่เสมอ หมอปลูกเทเหล้าที่หัวไก่ ถือขวานปูลูเดิน รอบ ๆ คู่บ่าวสาว ทําเสียงไก่ขัน ใช้มือตบสะโพก ให้เหมือนเสียงไก่ ตีปีก แล้วใช้ขวานปูลูทําทีฟันไปที่เชงเลง ทําเช่นน้ี ๓ คร้ัง ความหมายคือ ให้ต่ืนแต่เช้าเข้าป่ากินอย่าเกียจคร้าน เชงเลง แทนต้นไม้และใช้ขวานปูลูโค่น ลงมาเพื่อนําไปขาย หมอปลูกจับศรีษะคู่บ่าวสาวชนกันเบา ๆ หมายความว่าให้ช่วยกันทํามาหากิน เป็นคนใน หนักแน่น เยือกเย็น ไม่หูเบา เชื่อใครง่าย ๆ เพราะจะทําให้ครอบครัวไม่มีความสุข ให้บ่าวสาวกินน้ํามนต์จาก ขันเดียวกัน หมายถึง เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วมีอะไรก็กินด้วยกัน สุขทุกข์ด้วยกัน หมอปลูกปูผ้าแดง วางหมากพลู บนผ้าแดง เจ้าบ่าว เจ้าสาวกราบลงไปท่ีผ้าแดงนั้น พ่อแม่ฝ่ายเจ้าสาวนําข้าวสารมาโปรยที่หลังคู่บ่าวสาว และ ตบไหล่เจ้าบ่าว ๑ ครั้ง เป็นการยอมรับเจ้าบ่าวเข้ามาเป็นสมาชิกในครอบครัว จากนั้นพิธีแต่งงานลูกสาวคนโต หมอปลูกจะสวมเขาวัว เขาควาย ทําท่าชนวัว ชนควายไปรอบ ๆ เคร่ืองเซ่น เป็นการแสดงอาชีพของชาวชอง คือ การออกปา่ ลา่ สตั ว์ (สเุ รขา สพุ รรณไพบูลย,์ ๒๕๔๒) ๑.๓.๑๐ เคร่ืองดนตรี เคร่ืองดนตรีของชาวชองที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมคือ เกราะ หรือใช้ไม้ไผ่มาเคาะให้เป็น จังหวะแทนการปรบมือเท่าน้ัน ต่อมาใช้หนังวัว หนังควายมาทําเป็นเคร่ืองดนตรีประเภทกลองเพ่ิมข้ึน (สุเรขา สพุ รรณไพบลู ย,์ ๒๕๔๒) ๑.๔ สถานภาพองคค์ วามรทู้ ี่มอี ยู่ จากการทบทวนวรรณกรรมเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับภาษาและกลุ่มชาติพันธุ์ชอง ในประเดน็ ต่าง ๆ ได้แก่ ๑) ประเด็นภาษาชอง ๒) ประเด็นภูมิปัญญาและวัฒนธรรมชอง และ ๓) ประเด็นการ ฟื้นฟภู าษาและวัฒนธรรมชอง สามารถอธบิ ายรายละเอยี ดไดด้ งั นี้ ๑.๔.๑ ประเด็นภาษาชอง จากการทบทวนวรรณกรรม พบผ้ทู ่ศี กึ ษาเก่ียวกับภาษาชอง ดงั นี้ สายฝน เหลื่อมคั้น ศึกษาเร่ือง ภาษาชอง หมู่บ้านนํ้าขุ่น ตําบลคลองพลู อําเภอมะขาม (ปัจจุบันคืออําเภอเขาคิชฌกูฏ) จังหวัดจันทบุรี เป็นวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท สาขาวิชาจารึกภาษาไทย ภาควิชาภาษาตะวันออก มหาวิทยาลัยศิลปากร พบว่า ระบบเสียงของภาษาชองมี ๓ ชนิด คือ หน่วยเสียง พยัญชนะ หน่วยเสียงสระ และลักษณะนํ้าเสียง ส่วนระบบคํา ลักษณะคําภาษาชองส่วนใหญ่เป็นคําพยางค์ เดียว และคําสองพยางค์ หน่วยคําแบ่งเป็นหน่วยคําอิสระ และหน่วยคําผูกพัน การสร้างคํามีการสร้างคําแบบ คําประสาน คําประสม และคําซํ้า ส่วนวลีภาษาชอง แบ่งเป็น ๔ ชนิด คือ นามวลี กริยาวลี สถานวลี และ วิเศษณ์วลี รูปประโยคแบ่งเป็น ๓ ชนิด คือ ประโยคบอกเล่า ประโยคคําสั่ง และประโยคคําถาม (สายฝน เหลื่อมคัน้ , ๒๕๓๔) ๑๓

สุเรขา สุพรรณไพบูลย์ ได้ศึกษาเรื่องระบบเสียงในภาษาชอง หมู่บ้านตะเคียนทอง ตําบล ตะเคียนทอง อําเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี เป็นวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร สรุปไว้ว่า ระบบเสียงและลักษณะน้ําเสียงของภาษาชอง เป็นลักษณะภาษาที่ไม่มีระดับเสียง (tone) แต่เป็นลักษณะน้ําเสียง (register) แทน คือ มีลักษณะนํ้าเสียงแจ่มชัด (clear voices) กับลักษณะ นา้ํ เสยี งมีลมควบคู่ (breath voice) พร้อมกับลักษณะที่มีเสียง / ʔ / อยู่กลางพยางค์ (สุเรขา สุพรรณไพบูลย์, ๒๕๒๕) ศิรเิ พญ็ อึง้ สิทธิพลู พร ศึกษาการเปรียบเทียบระบบเสียงภาษาชอง ระหว่างชองคลองพลูและ ชองวังกระแพร เป็นวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท สาขาภาษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผลการศึกษาพบว่า ภาษาชองถ่ินคลองพลู มีความเหมือนกับภาษาชองถิ่นวังกระแพรในระดับสรวิทยา (Phonemic) คือมีหน่วย เสยี งพยัญชนะ ๒๑ หน่วยเสยี ง และลกั ษณะนํ้าเสยี ง ๔ ลกั ษณะคอื ลักษณะนํ้าเสียงปกติ ลักษณะน้ําเสียงปกติ ตามด้วยการกักของเส้นเสียง ลักษณะนํ้าเสียงก้องมีลม และลักษณะนํ้าเสียงก้องมีลมตามด้วยการกักของเส้น เสียง พยางค์ แบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คือ พยางค์ปิด และพยางค์เปิด คํามี ๓ ประเภท คือ คําพยางค์เดียว คํา สองพยางค์ และคําสามพยางค์ และทํานองเสียงมี ๒ ลักษณะ คือ ทํานองเสียงตก และทํานองเสียงข้ึน นอกจากนี้ยังพบว่า ภาษาชองถ่ินคลองพลู มีความแตกต่างจากถ่ินวังกระแพร ในด้านการใช้คําศัพท์ต่างชุดกัน รปู ปรากฏของเสยี งพยญั ชนะในพยางค์หลักต่างกันทต่ี าํ แหนง่ พยัญชนะตน้ และท้าย เสยี งสระของพยางค์หลักท่ี ถ่ินวงั กระแพรสว่ นใหญเ่ ปน็ สระสูงกว่าท่ถี นิ่ คลองพลู สทั ลักษณะของลกั ษณะน้าํ เสยี งทั้ง ๒ ถิ่น มคี วามแตกตา่ ง กล่าวคือ นํ้าเสียงก้อง มีลม และการกักของเส้นเสียงยังคงเด่นชัดในถิ่นคลองพลู แต่ไม่เด่นชัดในถ่ินวังกระแพร ซ่ึงสามารถคาดเดาได้ว่าภาษาชองถ่ินวังกระแพรอาจจะกลายเป็นภาษาที่มีวรรณยุกต์ในอนาคตได้ (Siripen Ungsitipoonporn, 2001) ณัฐมน โรจนกลุ ศกึ ษาโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาชอง เปน็ วทิ ยานพิ นธ์ระดับปริญญาโท สาขา ภาษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า โครงสร้างไวยากรณ์ภาษาชอง เรียงลําดับหน่วยในประโยคคล้ายคลึง กับภาษาไทย คือ ประธาน – กริยา – กรรม ยกเว้นโครงสร้างประโยคปฏิเสธซึ่งมีการเรียงลําดับคําแตกต่าง จากภาษากลุ่มเพยี ริกและภาษาไทย โดยหน่วยคําปฏิเสธภาษาชองจะปรากฏอยู่ตําแหน่งท้ายประโยคเสมอ ซึ่ง เป็นลักษณะทางมอญ – เขมร และยังพบลักษณะอื่น ๆ ของ มอญ – เขมร เช่น หน่วยคําเติม นามวลี และคํา ลกั ษณะนาม นอกจากน้ันยังพบว่าคําศัพท์ในภาษาชองมีคํายืมไทยปนอยู่มากกว่าครึ่ง และคํายืมท่ีพบมักมีการ ใช้พดู สลับกับภาษาชองทงั้ ทเ่ี ป็นคําเดียวกัน ผลการศึกษาดังกล่าวแสดงถึงสถานการณ์ทางภาษาชองที่กําลังอยู่ ในภาวะวิกฤต ท้ังจํานวนผู้พูด ภาษาท่ีลดน้อยลง และการใช้ภาษาไทยแทนที่ภาษาของตนเอง (Nattamon Rojanakul, 2009) อิสระ ชูศรี ได้ศึกษาเร่ือง แผนท่ีภาษาชองถ่ินต่าง ๆ ในจังหวัดจันทบุรี : การประยุกต์ใช้ ระบบสารสนเทศภมู ิศาสตร์ (GIS) เปน็ วิทยานพิ นธร์ ะดบั ปริญญาโท สาขาภาษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ สรุปไว้ว่า ภาษาชองในจันทบุรี แบ่งได้เป็น ๓ ภาษาถิ่นตามที่ต้ังทางภูมิศาสตร์ ได้แก่ ๑) ภาษาชองถ่ินทาง เหนือของอําเภอเขาคิชฌกูฏ อยู่บริเวณตําบลตะเคียนทอง – คลองพลู ๒) ภาษาชองถิ่นทางใต้ของอําเภอ เขาคิชฌกูฏ อยู่บริเวณตําบลพลวง ซ่ึงท้ัง ๒ ถิ่นนี้ต้ังอยู่ทางตะวันตกของเขาสอยดาว และ ๓) ภาษาชองถ่ิน ๑๔

ตะวันออกอยบู่ ริเวณอาํ เภอโป่งนา้ํ รอ้ น ซึง่ ตงั้ อย่ทู างตะวันออกของเขาสอยดาว ทําให้เห็นการแบ่งภาษาถิ่นของ ภาษาชองชดั เจนขนึ้ (Isara Choosri, 2002) นอกจากนี้ สุวิไล เปรมศรีรัตน์ และคณะ ได้อธิบายถึงระบบเสียงภาษาชอง หน่วยเสียง พยัญชนะ สระ ลักษณะนํ้าเสียง และลักษณะไวยากรณ์ ไว้ในหนังสือพจนานุกรม ภาษาชอง (สุวิไล เปรมศรี รตั น์ และคณะ, ๒๕๕๑) และยงั ได้อธิบาย เรอื่ งการพฒั นาระบบตัวเขียนภาษาชอง โดยอธิบายถึงวิธีการในการ พัฒนาระบบเขียนภาษาชอง การเปรียบเทียบระบบเสียงภาษาไทยและระบบเสียงภาษาชอง ความสําคัญของ ภาษาเขยี นและเกณฑ์ในการสร้างระบบเขียน การเขียนภาษาชอง และการฝึกนักเขียนชอง ไว้ในวารสารภาษา และวฒั นธรรม (สวุ ิไล เปรมศรรี ัตน์, ๒๕๔๓) ๑.๔.๒ ประเด็นภมู ปิ ัญญาและวฒั นธรรมชอง การศึกษาในประเด็นภมู ปิ ญั ญาและวฒั นธรรมชอง มีผูศ้ กึ ษาดงั ต่อไปน้ี สเุ รขา สพุ รรณไพบูลย์ ได้ศึกษาเรื่อง กลุ่มชาติพันธ์ุชาวชอง ได้อธิบายถึงประวัติศาสตร์ความ เป็นมาของชาวชอง การแต่งกาย ลักษณะทางเศรษฐกิจ ลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรม ความเช่ือ ประเพณี ต่าง ๆ ของชาวชอง ตลอดจนการเปล่ียนแปลงสภาพสังคมและวัฒนธรรมของชาวชองอีกด้วย พบว่า วิถีชีวิต แต่เดิมมีความเปน็ อยูอ่ ยา่ งลักษณะคนป่า มีการทํานาปลูกข้าวเพียงเพื่อการดํารงชีพเท่าน้ัน อาชีพของชาวชอง คือ การตัดไม้ ทํานํ้ามันยาง ชัน เก็บเร่ว หาของป่า ล่าสัตว์ เพ่ือนําไปแลกเปล่ียนสิ่งของท่ีจําเป็นใน ชีวิตประจําวัน เช่น เกลือ หอม กระเทียม จนกระท่ังเกิดความเปล่ียนแปลงต้ังแต่ชาวชองได้เป็นคนไทยตาม พระราชบัญญัตขิ องทางราชการ โดยหนั มาพดู ภาษาไทย นบั ถอื ศาสนาตามแบบคนไทย และยังเปล่ียนแปลงไป ตามสภาพของความเจริญในการพัฒนาประเทศ เช่น ชาวชองได้รับการศึกษาจากภาครัฐ ได้รับเครื่องมือ เครื่องใช้ เทคโนโลยีอํานวยความสะดวกท้ังเครื่องมือในการประกอบอาชีพ เคร่ืองมือในการสื่อสาร ตลอดจน การจัดระเบียบการปกครองตามรูปแบบของทางราชการ และการพัฒนาหมู่บ้านตามระบบสังคมอุตสาหกรรม ทาํ ให้วถิ ชี วี ติ ของชาวชองเปลี่ยนแปลงอยา่ งรวดเร็ว (สเุ รขา สพุ รรณไพบูลย,์ ๒๕๓๐) ส่วนบทความท่ีตีพิมพ์ในวารสาร ซ่ึงแสดงให้เห็นความเป็นตัวตนของชาวชอง สะท้อนให้เห็น ภาพวิถีชีวิตของชาวชองในจังหวัดจันทบุรี ได้แก่ บทความเรื่อง “ชอง ฟื้นความหลัง แลไปข้างหน้า” (อิสระ ชู ศรี, ๒๕๔๖) ในวารสารเมืองโบราณ และบทความเร่ือง “วิถีคนชอง วัฒนธรรมการกินของชนดั้งเดิมใน จันทบุรี” ซึ่งแสดงให้เห็นอาหารการกินตามแบบของคนชอง ในนิตยสารอาหารและวัฒนธรรม เรื่อง ครัว (อสิ ระ ชศู รี, ๒๕๔๓) นอกจากนี้ยังมีสารานุกรมชอง โดยสุวิไล เปรมศรีรัตน์ และสิริรัตน์ สีสมบัติ ซ่ึงยังอยู่ใน ระหว่างการตีพิมพ์ ได้อธิบายถึง ประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐาน ภูมิประเทศและถ่ินที่อยู่ ลักษณะบ้านเรือน ระบบเศรษฐกิจ การทํามาหากิน ภาษาชอง ลักษณะทั่วไปและการแต่งกายของชาวชอง วัฒนธรรมสุขภาพ อาหารพ้ืนบ้านและการละเล่นพ้ืนบ้าน ระบบความเช่ือ ประเพณีและพิธีกรรม เป็นต้น (สุวิไล เปรมศรีรัตน์ และสริ ิรตั น์ สสี มบัต,ิ ม.ป.ป.) ๑๕

๑.๔.๓ ประเดน็ การฟน้ื ฟูภาษาและวัฒนธรรมชอง ชาวชองทง้ั ในตําบลคลองพลู และตําบลตะเคียนทอง อําเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี ได้มี โอกาสในการดาํ เนินโครงการวจิ ยั เพื่อทอ้ งถ่ิน เพื่อการฟน้ื ฟูภาษาและวัฒนธรรมตัง้ แต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ โดยได้รับ ทนุ สนบั สนนุ จากสาํ นกั งานกองทนุ การวจิ ยั (สกว.) ซง่ึ เน้นการสรา้ งกระบวนการเรียนรู้ และกระบวนการมีส่วน ร่วมของชุมชน ปลูกจิตสํานึกให้คนในชุมชนได้ลุกข้ึนมาฟ้ืนฟูภาษาและวัฒนธรรมด้วยตนเอง โดยมี นกั ภาษาศาสตร์จากมหาวทิ ยาลัยมหดิ ลเป็นผสู้ นับสนุน ในการทาํ งานทผ่ี า่ นมาต้ังแตป่ ี พ.ศ. ๒๕๔๔ ถึง ๒๕๕๔ ชุมชนชาวชองได้มีการฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมท่ีหลากหลาย ดังเช่น การสร้างระบบตัวเขียนภาษาชอง การ ผลิตส่ือ นิทาน เรื่องเล่า การนําภาษาชองเข้าไปสอนในโรงเรียนตามหลักสูตรท้องถิ่น และการบูรณาการการ เรียนการสอนภาษาชองให้เข้ากับ ๘ สาระการเรียนรู้ นอกจากนี้ยังมีโครงการท่ีฟื้นฟูภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ชาวชอง ดังจะเห็นได้จาก โครงการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ฟ้ืนฟูภาษา – วัฒนธรรมชอง เป็นแหล่งเรียนรู้ชุมชน โดยชุมชนมีส่วนร่วม และโครงการศึกษาความรู้ชาวชองเร่ืองพืชคลุ้ม – คล้า (รุ่นทาก - รุ่นเชอ) โดยใช้ภาษา ชองเปน็ แนวทางในการศึกษา จากการดําเนินงานตามโครงการต่าง ๆ ทําให้เกิดผลผลิตจากการดําเนินงานวิจัยต่าง ๆ มากมาย อาทิ เช่น หนงั สอื เร่ืองเลา่ นทิ าน ส่ือการเรยี นการสอน หลักสูตรท้องถ่ินการเรียนการสอนภาษาชอง อีกท้ังยังเป็นการพัฒนาศักยภาพชาวชอง ให้สามารถลุกข้ึนมาฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมได้ด้วยตนเอง ซ่ึงจาก การดําเนินงานตามโครงการวิจัยเพื่อท้องถิ่นนี้ สิริรัตน์ สีสมบัติ ได้มองว่าแหล่งเรียนรู้ภาษา – วัฒนธรรมชอง (ศูนย์การเรียนรู้ชอง) ในตําบลคลองพลู มีส่วนประกอบสร้างการฟ้ืนฟูอัตลักษณ์ชาวชองในท่ามกลางการ เปล่ียนแปลงของสังคมไทย และพัฒนาประเทศ ชาวชองสร้างอัตลักษณ์ผ่านกิจกรรมการอนุรักษ์และฟื้นฟู ภาษาและวัฒนธรรมท่ีศูนย์ชอง เพ่ือสร้างความหมายในการอธิบายตนเองผ่านภาษาและวัฒนธรรม ด้วยการ สร้างระบบเขียนภาษาชอง การผลิตหนังสือนิทานภาษาชอง ฯลฯ เพื่อเป็นเครื่องมือในการประกาศตัวตนทาง วัฒนธรรมชองให้เป็นท่ีรู้จักของคนในสังคมและชุมชน ชาวชองมีการนําเสนออัตลักษณ์ตนเองผ่านงานฟื้นฟู ประเพณีแบบด้ังเดิมในบริบทสังคมสมัยใหม่ เพ่ือการธํารงอยู่อย่างมีตําแหน่งแห่งท่ีทางอัตลักษณ์วัฒนธรรม ประเพณชี อง และสานสมั พันธ์ระบบเครอื ญาติชาวชองในชมุ ชนให้แนบแน่น ตลอดจนการสรา้ งสํานึกชาติพันธ์ุ ชองในภาคตะวันออกโดยอาศัยการสื่อสารผ่านวัฒนธรรมบางอย่างของความเป็นชอง นอกจากน้ัน กลุ่มชาว ชองยังไดม้ ีการฟน้ื ฟอู ตั ลักษณ์ทางภาษาผา่ นแหลง่ เรียนรู้ท่ีเป็นโรงเรียนในชุมชน เพื่อสร้างภาพความเป็นตัวตน คนชองใหย้ นื อยใู่ นสังคมอยา่ งภาคภูมิใจ และมศี กั ดิศ์ รใี นสังคมไทยมากขึน้ (สริ ิรตั น์ สสี มบัต,ิ ๒๕๕๒) นอกจากน้ีในการฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมชอง ยังถูกรวบรวมเป็นหนังสือในชื่อเร่ือง ประสบการณ์การฟ้ืนฟูภาษาในประเทศไทย กรณีภาษาชอง จังหวัดจันทบุรี ซ่ึงแสดงให้เห็นภาพการทํางาน ฟื้นฟูภาษา และได้ทราบประสบการณ์จริงในการร่วมมือกันระหว่างชุมชนเจ้าของภาษากับนักวิชาการและ ผู้เกี่ยวข้องอ่ืน ๆ เช่น ครู โรงเรียน ผู้บริหารระดับท้องถิ่น และแหล่งทุนต่าง ๆ อีกทั้งยังชี้ให้เห็นถึงความ ตระหนักและความเข้าใจถึงความสําคัญของสถานการณ์โลกและประเทศไทยในปัจจุบัน ท่ีมีผลต่อการธํารงอยู่ และสูญสลายไปของภาษาอีกด้วย (สวุ ไิ ล เปรมศรรี ัตนแ์ ละคณะ, ๒๕๕๐) ๑๖

อาจกล่าวสรุปได้ว่ามีผู้ศึกษาประเด็นภาษาชอง ซึ่งสามารถทําให้ทราบถึงระบบเสียงของ ภาษาชอง ไวยากรณ์ภาษาชอง และแผนท่ีภาษาชองถิ่นในจังหวัดจันทบุรี พื้นท่ีที่มีการศึกษาเหล่านี้ส่วนใหญ่ คือพ้ืนที่ตําบลคลองพลู และตําบลตะเคียนทอง ซ่ึงเป็นพ้ืนท่ีเป้าหมายของงานวิจัยนี้ และได้มีการศึกษาถึง ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมชอง ตลอดจนการศึกษาฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมชาวชอง ซ่ึงสามารถนําข้อมูลที่ได้ จากการทบทวนวรรณกรรมเป็นฐานในการต่อยอดของการดําเนินงานวิจัยน้ีได้ต่อไป นอกจากน้ียังพบว่า การศึกษาภาษาและกลุ่มชาติพันธุ์ชอง ยังขาดการศึกษาระบบความหมายและภูมิปัญญาท้องถ่ินผ่านภาษา ซึ่ง ยังต้องการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล โดยการทําวิจัยในโครงการนี้จะมีการศึกษาระบบความหมายและ ภูมิปัญญาท้องถ่ินของชาวชอง ผ่านองค์ความรู้ด้านอาหารพ้ืนบ้าน และพฤกษศาสตร์พ้ืนบ้าน ซึ่งมีนัก พฤกษศาสตรจ์ ากองค์การสวนพฤกษศาสตร์ เปน็ ผรู้ ่วมในงานวจิ ยั น้ีด้วย จากงานวิจัยในภาษาและกลุ่มชาติพันธุ์ชองดังกล่าวเบ้ืองต้น สะท้อนให้เห็นว่าภาษาและ วัฒนธรรมของชาวชองอยู่ในข้ันภาวะวิกฤต กล่าวคือ หลงเหลือผู้พูดจํานวนน้อย ใช้พูดกันเฉพาะรุ่นผู้สูงอายุ สว่ นเด็กและเยาวชนสว่ นใหญ่ไมส่ ามารถพูดหรอื สือ่ สารด้วยภาษาชองได้ รวมไปถึงวฒั นธรรมของชาวชองท่ีเริ่ม เลือนหายไปทา่ มกลางกระแสโลกาภิวัตน์ แม้ว่าจะมีการดําเนินงานตามโครงการวิจัยเพื่อท้องถิ่น ในประเด็นการฟ้ืนฟูภาษาและ วัฒนธรรมท้ังชาวชอง แต่ก็ยังไม่สามารถส่งผลต่อการอนุรักษ์ฟ้ืนฟูภาษาและวัฒนธรรมชองในเชิงโครงสร้าง หรือเชิงนโยบายได้ ดังน้ันการดําเนินงานวิจัยในโครงการ “บันทึกรวบรวมเพ่ือการสงวนรักษาภาษาและ ภูมิปัญญาท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธ์ุ : ภาษาชอง” โดยมุ่งเน้นให้ชุมชนมีส่วนร่วม ถือเป็นการกระตุ้นจิตสํานึก ของชุมชนให้เกิดการสงวนรักษามรดกทางภูมิปัญญาและวัฒนธรรมซึ่งมีความสําคัญต่อวิถีชีวิตของกลุ่ม ชาติพันธท์ุ เ่ี สีย่ งต่อการสญู หาย และเป็นประโยชนต์ ่อการพัฒนาวิถีชวี ิตท่ยี ั่งยนื ต่อไป ๑.๕ การกระจายตัวหรอื การปรากฏตัวของภาษาชอง ปจั จบุ ันชาวชองตง้ั ถ่นิ ฐานอาศยั อย่ใู นแถบภาคตะวนั ออกของประเทศไทย อาศัยอยู่หนาแน่นในเขตกิ่ง อําเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี โดยเฉพาะ ๒ ตําบลทางตอนเหนือของอําเภอ คือ ตําบลตะเคียนทอง และ ตําบลคลองพลู ส่วนตําบลท่ีอยู่ทางตอนใต้ คือ ตําบลพลวง และตําบลชากไทย มีประชากรค่อนข้างเบาบาง และในตําบลทับไทรของอําเภอโป่งน้ําร้อนนั้นมีประชากรที่พูดภาษาชองเหลืออยู่น้อยมาก นอกจากน้ียังพบใน จงั หวัดฉะเชงิ เทรา และจังหวัดระยองอีกด้วย ปัจจุบันพบว่ามีคนชองท่ีสามารถใช้ภาษาชองได้ดีมีประมาณ อยู่ ประมาณ ๒๐๐ คน จาก ๔,๐๐๐ คน ซ่ึงจัดเป็นหน่ึงในกลุ่มภาษาที่อยู่ในภาวะวิกฤตใกล้สูญของประเทศไทย (สวุ ไิ ล เปรมศรีรัตน,์ ๒๕๔๓) ถ่ินที่อยู่ของชาวชองอยู่ในบริเวณท่ีติดกับภูเขาสอยดาว ซึ่งเป็นเขตป่าร้อนช้ืนท่ีมีความอุดมสมบูรณ์ และยังเป็นแหล่งต้นนํ้าของแม่น้ําจันทบุรี ซ่ึงพ้ืนที่เหล่าน้ีได้ถูกปกคลุมด้วยป่าและภูเขาภายใต้การควบคุมดูแล ของกรมป่าไม้ ซ่ึงประกอบด้วยอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าเขาสอยดาว และป่าสงวน ตา่ งๆ ๑๗

ชาวชองอาศัยกระจายอยู่ตามเชิงเขาทางทิศเหนือของจันทบุรี ติดกับเขตแดนเมืองพระตะบอง ประเทศเขมร เขตท่ีอยู่อาศัยของชาวชองจึงเป็นแหล่งกําเนิดของพรรณไม้และเคร่ืองเทศ เช่น ไม้กฤษณา เร่ว หอม และกระวาน เป็นต้น และเป็นแหล่งผลิตนํ้ามันยางจากธรรมชาติ ซึ่งนําไปใช้ในการเคลือบผิวไม้ หรือ นําไปผสมกับชันเพ่ือใช้ยาเรือ และนําข้ีโล้ไปทํามัดไต้สําหรับจุดเป็นไฟส่องสว่างในครัวเรือน ในสมัยกรุง ศรีอยุธยาตอนปลายมีคนต่างถ่ินเริ่มอพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งในจังหวัดจันทบุรีมากข้ึน ชาวชองจึงได้ย้ายเข้า ไปต้ังถ่ินฐานทํามาหากินในบริเวณป่าที่อุดมสมบูรณ์มากข้ึน และใช้ทรัพยากรธรรมชาติแค่เพียงพอต่อการ ดาํ รงชวี ิต หลังจากทรี่ ัฐบาลอนญุ าตใหม้ ีการสัมปทานปา่ ไม้ ประกอบกับการบกุ เบกิ ทที่ ํากินเพ่อื ทําสวนผลไม้และ พ้ืนที่การเกษตรอ่ืน ๆ ทําให้สภาพแวดล้อมของชุมชนชองท่ีเคยแวดล้อมด้วยป่าทึบกลับกลายเป็นสวนผลไม้ สวนยางพารา และนา – ไร่ ซง่ึ ได้กลายเป็นวถิ กี ารทํามาหากนิ ของคนชองในปัจจบุ นั ภาพ แสดงการกระจายตัวของชาวชองในจงั หวดั จนั ทบรุ ี ๑๘

ภาพ แสดงการกระจายตัวของชาวชองตดิ กบั ภเู ขาสอยดาว ๑.๖ ชุมชน / กลุม่ คนทเี่ กี่ยวขอ้ ง ชุมชนและกลุ่มคนที่เก่ียวข้องชาวชอง ในตําบลคลองพลู และตําบลตะเคียนทอง ประกอบไปด้วยผู้นํา ชุมชน ปราชญ์ชุมชน ครูภูมิปัญญา และทีมวิจัยชุมชนท่ีเคยร่วมงานการทํางานวิจัยเพื่อท้องถิ่นมาแล้ว มี รายชือ่ เบ้อื งตน้ ดังต่อไปนี้ ๑. นางกุหลาบ เตา่ เงิน นักวจิ ยั ท้องถน่ิ ในชุมชน ๒. นางจ้ิน ผนั ผาย ปราชญ์ชุมชน ๓. นางทองสี สนิทเหลือ นกั วิจัยท้องถน่ิ ในชมุ ชน ๔. นางศริ ิพร ควรสถาน นักวิจัยท้องถ่นิ ในชมุ ชน ๕. นางสาวปภาณิน โยธี นักวิจัยท้องถิน่ ในชมุ ชน ๖. นางสาวสริ ริ ัตน์ สีสมบตั ิ นกั วิจยั ท้องถ่นิ ในชุมชน ๗. นางสาวสพุ รรณี จ่นั นํา้ แดง นกั วจิ ัยทอ้ งถนิ่ ในชมุ ชน ๘. นางสิริ หงษบ์ ิน ครูภมู ิปญั ญา โรงเรยี นนํ้าขุ่น / ปราชญช์ มุ ชน ๙. นายจารึก แก้วสว่าง ปราชญ์ชุมชน ๑๐. นายเฉิน ผันผาย ปราชญช์ ุมชน ๑๑. นายเฉยี น ผนั ผาย ปราชญช์ ุมชน ๑๒. นายชัยณรงค์ อาลยั ครูภมู ปิ ญั ญา วัดตะเคียนทอง / ปราชญช์ มุ ชน ๑๓. นายไพรวัลย์ ผนั ผาย ปราชญ์ชุมชน ๑๔. นายรัก ฉตั รเงิน ปราชญ์ชุมชน ๑๙

๑๕. นายรงุ่ เพ็ชร ผันผาย ปราชญ์ชุมชน ๑๖. นายสําราญ เกอื้ กจิ ปราชญ์ชมุ ชน ๑๗. นายสุวรรณ์ ไทรสูง นกั วจิ ัยทอ้ งถ่นิ ในชมุ ชน ๑๘. นายหนู สสี มบตั ิ ปราชญ์ชุมชน ๑๙. นายหลอม นาคสาย ปราชญ์ชมุ ชน ๒๐. นายเอนก ฉัตรเงิน ปราชญช์ ุมชน ๒๐

บทที่ ๒ สาระทางภาษาชอง ๒.๑ ชื่อภาษาท่ีปรากฏ ภาษาชอง (Chong) จัดอยู่ในกลุ่มย่อยเพียริก สาขามอญ – เขมรของตระกูลออสโตรเอเชียติก ภาษา ชองมีลักษณะร่วมกับภาษาอื่นๆ ในสาขามอญ-เขมร ท้ังด้านระบบเสียง โครงสร้างพยางค์ ระบบคํา และ ไวยากรณ์ ความโดดเด่นของระบบเสียงชอง คือการใช้ ลักษณะน้ําเสียง (Register) ท้ัง ๔ ลักษณะในการ กําหนดความแตกต่างของคําศัพท์ คําในภาษาชองส่วนมากเป็นคําสองพยางค์ และภาษาชองมีคําศัพท์จํานวน หนงึ่ ที่มีลักษณะการสร้างคําด้วยการใช้หน่วยคําเติม (Affixation) นอกจากนี้โครงสร้างทางไวยากรณ์ท่ีโดดเด่น สําหรับภาษานี้อยู่ในรูปแบบของวลีแสดงการปฏิเสธ ซึ่งใช้คําปฏิเสธ อิฮ = ไม่ วางขนาบหน้าคํากริยาหรือ คําคุณศัพท์ และ/หรือในตําแหน่งท้ายของประโยค ลักษณะทางภาษาท่ีกล่าวท้ังหมดนี้เป็นความโดดเด่นของ ภาษาชองที่แตกต่างจากภาษาในตระกูลไท ชาวชองในแต่ละพื้นที่มีสําเนียงท่ีแตกต่างกันไป โดยสามารถแบ่ง ภาษาชองในจังหวัดจันทบุรีออกเป็น ๓ ถ่ินย่อยตามที่ต้ังทางภูมิศาสตร์ ได้แก่ ๑) ภาษาชองถิ่นทางเหนือของ อ.เขาคิชฌกูฏ อยู่บริเวณ ต.ตะเคียนทอง-คลองพลู ๒) ภาษาชองถิ่นทางใต้ของ อ.เขาคิชฌกูฏ อยู่บริเวณ ต.พลวง ซ่ึงท้ัง ๒ ถิ่นนี้ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเขาสอยดาว และ ๓) ภาษาชองถิ่นตะวันออก อยู่บริเวณ อ.โป่ง น้ําร้อน ซ่ึงต้ังอยู่ทางตะวันออกของเขาสอยดาว (Isara Choosri, 2002) นอกจากน้ียังมีการแยกภาษาชอง ออกเป็น “ชองลอ” และ “ชองเฮิบ” โดย “ชองลอ” คือภาษาชองท่ีใช้พูดกันใน อ.เขาคิชฌกูฏ และ “ชอง เฮิบ” คือภาษาชองที่ใช้พูดกันใน อ.โป่งน้ําร้อน (Marie A. Martin, 1975) ซ่ึงคําว่า ลอ และเฮิบ น้ันเป็นคําลง ท้ายประโยค การสาํ รวจสถานการณท์ างภาษาในปี ๒๕๔๓ พบว่า จํานวนคนที่สามารถพูดภาษาชองได้ดีมีประมาณ ๒๐๐ คน ซ่ึงล้วนเป็นผู้สูงวัยของจํานวนคนชองทั้งหมดประมาณ ๔,๐๐๐ คน (สุวิไล เปรมศรีรัตน์, ๒๕๔๓) เน่ืองจากภาษาน้ีอย่ใู นวงลอ้ มและไดร้ ับอิทธิพลของภาษาไทยจนเป็นเหตุให้ภาษามีการเปล่ียนแปลงและพบคํา ยืมภาษาไทยจํานวนมาก จึงส่งผลให้การใช้ภาษาชองและจํานวนผู้พูดภาษาลดลงอย่างรวดเร็วและมีภาษาไทย เข้ามาปะปนในการใช้เป็นอย่างมาก สําหรับภาษาชองในชีวิตประจําวัน ผู้พูดยังคงรักษาลักษณะเด่นทางเสียง และไวยากรณไ์ ว้ไดอ้ ย่างสมบรู ณด์ ังเช่น การใช้ลักษณะน้ําเสียงท้ัง ๔ เสียง และการใช้คําปฏิเสธ จึงทําให้ภาษา ชองเป็นท่ีสนใจสําหรบั นกั ภาษาศาสตร์และสทั ศาสตร์อย่างมาก ๒๑   

๒.๒ ระบบโครงสรา้ ง และรปู แบบภาษา ๒.๒.๑ ระบบเสียง ระบบเสียงในภาษาชอง ประกอบด้วย หน่วยเสียงพยัญชนะ หน่วยเสียงสระ และลักษณะ นาํ้ เสียงของภาษาชองในตาํ บลคลองพลู ตําบลตะเคยี นทอง ตําบลพลวง อําเภอเขาคิชฌกูฏ และบ้านวังกะแพร อําเภอโปง่ นํ้ารอ้ น จังหวัดจันทบุรี ซึ่งมีระบบเสียงคล้ายกันประกอบด้วย หน่วยเสียงพยัญชนะ ๒๑ หน่วยเสียง พยัญชนะสะกด ๑๒ หน่วยเสียง พยัญชนะควบกลํ้าที่พบในเขตตําบลตะเคียนทอง-คลองพลูมี ๑๒ เสียง และ พยัญชนะควบกล้ําพบในตาํ บลพลวงและตาํ บลวังกระแพร ๑๑ เสียง ดังน้ี หนว่ ยเสยี งพยญั ชนะ (Consonants) มี ๒๑ หนว่ ยเสยี ง ไดแ้ ก่ ตําแหน่งลิน้ ลกั ษณะการออก รมิ ฝปี าก ปมุ่ เหงอื ก เพดานแขง็ เพดานอ่อน เสน้ เสยี ง เสียง เสียงกัก ไมก่ ้อง ไม่ p <ป> t <ต> c <จ> k <ก> Ɂ <อ> พ่นลม เสียงกกั ไม่กอ้ ง ph <พ > th <ท> ch <ช> kh <ค> พน่ ลม เสยี งกกั ก้อง b <บ> d <ด> s <ซ > f <ฟ> h <ฮ> เสียงเสยี ดสี *เป็นเสยี งคาํ ซาํ้ ใน n <น> ɲ <ญ> ŋ <ง> เสยี งนาสกิ ภาษาไทย l <ล> j <ย> m <ม> r <ร> เสียงขา้ งลนิ้ เสยี งลน้ิ รวั เสยี งก่งึ สระ w <ว> พยัญชนะต้น (Initial Consonants) พยัญชนะทั้ง ๒๑ หน่วยเสยี ง สามารถเกิดในตาํ แหนง่ พยัญชนะต้นได้ ดังตวั อยา่ งในคาํ ต่อไปนี้ ๒๒   

คาํ ชอง คาํ เขยี นไทย ความหมาย คาํ ชอง คําเขยี นไทย ความหมาย แพก้ เปยี ก อนี มี pԑԑɁk พิ่ อร่อย Ɂiin เม่ดิ phiɁ̤ บุก รัง mət̤ น่มึ ลูกตา buk เตว ขวา nɨm̤ ญัญ ปี teew ทุฮ นม ɲaɲ งอน thuh ดอ็ ง บวบ ŋɔɔn ซมุ ผมหยกิ dɔŋ จัก ยิง sum โฮจ หญา้ คา cak เชม ป้อน hooc ลอง ดาว cheem กิจ เลก็ lɔɔŋ วิจ ตาย kic เคน ลูก wic รอ่ ก กลว้ ย kheen ย่าม ร้องไห้ rɔk jaa̤ m อกี คางคก พยัญชนะสะกด (Final Consonants) มี ๑๒ หนว่ ยเสยี ง ได้แก่ -p <บ> -t <ด> -c <จ> -k <ก> -m <ม> -n <น> - ɲ <ญ> -ŋ <ง> -w <ว> -j <ย> -h <ฮ> ดงั ตวั อย่างต่อไปนี้ คําชอง คําเขยี นไทย ความหมาย คาํ ชอง คําเขยี นไทย ความหมาย กู้บ กบ ปาง ดอกไม้ kuuɁp มาด แรด paaŋ ลุ์ย ไสเ้ ดอื น maat คน้ี lṳɁj เพล่ว ไฟ khii̤ Ɂn แลก ลูกนํ้าเตา้ phlee̤ w โช่ะ ส้ม lԑԑk กะละ ไก่ choɁ̤ กะมูจ ตะไคร้ kalaɁ เญญ่ ใบไม้ kamuuc กะแท่ฮ เกวยี น ɲeɲ̤ kathԑh̤ ตน้ โคลงเคลง ๒๓   

พยัญชนะควบกลาํ้ ทป่ี รากฏในถ่นิ ตะเคียนทอง-คลองพลู มี ๑๒ เสียง ได้แก่ pr pl phr phl kr kl kw khr khl khw mr และ ml <ปร ปล พร พล กร กล กว คร คล คว มร มล> สว่ นในถ่นิ พลวงและวงั กระแพรพบเพยี ง ๑๑ เสยี ง โดยไมพ่ บเสยี ง mr ในถนิ่ วงั กระแพร และไม่พบเสียง ml ในถิ่นพลวง ดังตัวอยา่ ง คําต่อไปนี้ คําชอง คําเขยี นไทย ความหมาย ปรี ตะกวด prii ปลอ็ ง ข้าวสวย plɔŋ พรอก กระรอก phrɔɔk โพลม ข้ผี ึง้ phloom กรึบ มะเขือ krɨp บา่ kamlԑԑŋ กะมแลง เหล้า khraaɲ คราญ อาย khleɁ เคละ คลาน kwaat กวาด ขวาน khwan thaw ควาน เทา กิ่ง kraan กราน ตวั ล่ิน kamruj กะมรจู หน่วยเสียงสระ ภาษาชองในถิ่นคลองพลู และวังกระแพรมีหน่วยเสียงสระ ๑๙ เสียง ได้แก่ สระเสียงเดี่ยว ๑๘ หน่วยเสียง /i ii e ee ԑ ԑԑ ɨ ɨɨ ə əə a aa u uu o oo ɔ ɔɔ/ และสระประสม ๑ หน่วย เสียง คอื uə ส่วนในถน่ิ พลวงมสี ระประสม ๓ หนว่ ยเสยี ง คือ /iə, ɨə, uə/ ตําแหน่งลิ้น หนา้ กลาง หลงั ระดับล้ินและลกั ษณะ สัน้ ยาว สนั้ ยาว สัน้ ยาว ของสระ i ii ɨ ɨɨ u uu สงู e ee o oo กึ่งสูง ə əə กลาง ԑ ԑԑ ɔ ɔɔ กึง่ ตํ่า a aa ตาํ่ iə ɨə uə สระประสม ๒๔   

ดังตวั อย่างคําต่อไปนี้ คําชอง คําเขียนไทย ความหมาย คําชอง คําเขยี นไทย ความหมาย ทวิ ซื้อ เปรอ ใช้ thiw ตีว เย็บ prəə ตบั กัด tiiw เทะ ดนิ tap ท้าม ปู theɁ เม่ แม่ thaaɁm พยุ เมา mee̤ แซจ หนาว phuj ซจู มด sԑԑc แซ นา suuc วก่ ผ้า sԑԑ ฮึย บนิ wok̤ กะโง่ งา hɨj ทืด ข่ี kaŋo̤o กะซก หยด thɨɨt เชด่ิ รัว่ kasɔk จอ้ ย ไหล chət̤ ฮวจ cɔɔˀj huəc ผวิ ปาก ลักษณะน้ําเสียง (Register) ภาษาชองมีลักษณะนํ้าเสียง ๔ ลักษณะท่ียังพบได้ในทั้ง ๓ ถ่ิน (ธีระพันธ์: ๒๕๓๔, สุเรขา: ๒๕๒๕, สิริกาญจน์: ๒๕๓๐) โดยมีลักษณะที่สําคัญอย่างหน่ึงคือ การกักที่เส้นเสียง (Glottal Constriction) และเสียงก้องมีลมตามด้วยการกักเส้นเสียง (Breathy with glottal constriction) ซึ่งเป็นลักษณะท่ีเด่นเฉพาะภาษาชอง ที่ยังเป็นการออกเสียงที่ชัดเจนและผู้พูดสามารถให้ความหมายของ คําศพั ท์ทม่ี ีลกั ษณะนา้ํ เสียงแตกต่างกนั ไดอ้ ย่างชดั เจน ลักษณะน้าํ เสียงท้ัง ๔ เสียง ไดแ้ ก่ ลักษณะนา้ํ เสยี งปกติ เชน่ ในคําว่า /chɔɔ/ ชอ = หมา, /tap/ ตบั = กดั ลักษณะนํ้าเสยี งปกติตามด้วยการกักของเสน้ เสียง เชน่ ในคาํ วา่ /suuɁc/ ซจู้ = มด, /kalooɁn/ กะโล้น = สะดือ ลักษณะน้ําเสยี งกอ้ งมลี ม เชน่ ในคาํ ว่า /roo̤ ŋ/ โรง่ = ตะขาบ, /kalaa̤ ŋ/ กะลา่ ง = หู ลักษณะนํ้าเสียงก้องมีลมตามด้วยการกักของเส้นเสียง เช่นในคําว่า /ŋaa̤ Ɂm/ ง์าม = หวาน, /moo̤Ɂj/ โมย์ = หน่งึ ตวั อยา่ งคําศพั ทเ์ ปรยี บเทียบท่ีใช้ลกั ษณะนํา้ เสียงแตกต่างกนั เสียงกลางปกติ เสยี งสูง-บบี kataak̤ กะต่าก = ถวั่ kətaaɁ̤ k กะต้าก = ลิน้ suuc ซจู = เซน่ suuɁc ซจู้ = มด saap ซาบ = จดื saaɁp ซ้าบ = สวา่ ง ๒๕   

เสียงกลางปกติ เสยี งตาํ่ -ใหญ่ kathԑh กะแทฮ = ฟ้าแลบ kəthԑ̤h กะแท่ฮ ‘เกวยี น ’ เสยี งตาํ่ -ใหญ่ เสียงตา่ํ -บีบ cho̤k ชก่ = ชก choˀ̤ k ช์ก = หมู kəlaŋ̤ กะล่าง = หู kəlaˀ̤ ŋ กะล์าง = ทราย lṳj ล่ยุ = แหลม lṳˀj ลุ์ย = ไสเ้ ดอื น ในปัจจุบัน ลักษณะนํ้าเสียงชองมีความน่าสนใจเน่ืองจากยังคงรักษาความชัดเจนในการออก เสียงได้มากถึง ๔ ลักษณะน้ําเสียง ในขณะที่ ระบบลักษณะนํ้าเสียงของภาษาในสาขามอญ-เขมรกําลังอยู่ ระหว่างการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบวรรณยุกต์โดยได้รับอิทธิพลจากภาษาตระกูลอื่นๆ และในบางภาษาเหลือ เพียงลักษณะน้ําเสียงก้องมีลม หรือนํ้าเสียงท่ีมีการกักของเส้นเสียงแต่ไม่ชัดเจน เช่น ภาษามอญ กูย-กวย ญฮั กรุ กะซอง เป็นตน้ ๒.๒.๒ ลกั ษณะทางไวยากรณ์ ลักษณะทางไวยากรณ์ ประกอบด้วย การสร้างคํา โครงสร้างของวลีและประโยค โดยจะ ประกอบขึ้นจากหน่วยท่ีเล็กที่สุดคือ หน่วยคํา เป็นคํา วลี อนุพากย์ ประโยค และข้อความตามลําดับ สําหรับ ในภาษาชองสามารถจําแนกกลุ่มคําออกเป็น ๒ กลุ่ม ได้แก่ คําศัพท์ (Content words) ซ่ึงเป็นคําที่มี ความหมายหรอื เนือ้ หาในตัวเอง เช่น คาํ นาม คาํ กริยา หรือหน่วยคําเติม (Affixes) เป็นต้น ส่วนคําอีกกลุ่มหน่ึง ได้แก่ คําไวยากรณ์ (Function words) ซึ่งจะมีความหมายต่อเม่ือทําหน้าที่ในโครงสร้างไวยากรณ์ท่ีสูงกว่า ระดับคําขึ้นไป คําประเภทหลังน้ีได้แก่ คําแสดงการปฏิเสธ (Negative marker) คําอนุภาคท้ายประโยค (Particle) ทม่ี กั จะทาํ หน้าทแี่ สดงความรสู้ ึกของผ้พู ดู หรือคาํ แสดงการถาม (Question marker) เปน็ ตน้ หน่วยคํา (Morpheme) ซ่ึงเป็นหน่วยทางภาษาท่ีเล็กที่สุดในภาษาชอง แบ่งได้เป็น ๒ ประเภทคือ หน่วยคําอิสระ (Free morpheme) เป็นหน่วยคําเด่ียวที่มีความหมาย สามารถเกิดเป็นคําพยางค์ เดียวได้ และหน่วยคําผูกพัน (Bound morpheme) คือหน่วยคําผูกพัน ไม่สามารถเกิดเป็นคําได้ลําพัง โดย อาจเกิดระหว่างหน่วยคําผูกพันกับหน่วยคําผูกพัน หรือหน่วยคําผูกพันกับหน่วยคําอิสระ คําท่ีพบจึงมักเป็นคํา สองพยางค์ ซึ่งเป็นกลุ่มคําที่พบมากที่สุดในภาษาน้ี หน่วยคําผูกพันของภาษาชองทําหน้าท่ีเป็นหน่วยคําเติม (Affix) ซ่ึงทําหน้าท่ีในหน่วยคําเติมหน้า (Prefix) และหน่วยคําเติมกลาง (Infix) หน่วยคําผูกพันท่ีทําหน้าท่ีเป็น หน่วยคําเติมหน้าในภาษาชองได้แก่ หน่วยคําเติมหน้า (Prefix) /pa-/ และ /ma-/ และหน่วยคําเติมกลาง (Infix) ๒๖   

/--/ (ตัวอย่างในการสร้างคํา) นอกจากนี้ หน่วยคําเติมหน้า kə, kʰə, kəm, cʰɨm มักพบเป็นกลุ่มคําใหญ่ใน ภาษาชอง เหมอื นกับภาษาอนื่ ๆ ในกล่มุ เดียวกันทม่ี ีคาํ สองพยางค์เป็นสว่ นมาก คํา (Word) เป็นหน่วยที่มีความหมายที่เล็กที่สุดในระดับโครงสร้างไวยากรณ์ ประกอบขึ้น จาก หน่วยคํา (Morpheme) เกิดเป็น คําเด่ียว คําประสม และคําซ้อน โดยผ่านกระบวนการสร้างคํา (Word formation) แบบการเติมหน่วยคําเติม (Affixation), การประสมคํา (Compounding), การซ้ําคํา (Reduplication) และการเลียนเสยี งธรรมชาติ (onomatopoeia) คําในภาษาชองสามารถจําแนกประเภททางไวยากรณ์ (Parts of speech) ได้ ๑๖ ประเภท ได้แก่ คํานาม, คาํ สรรพนาม, คาํ บง่ ช้ี, คาํ กริยา, คําช่วยกริยา, คําคุณศัพท์, คําวิเศษณ์, คําแสดงจํานวนนับ, คํา ลักษณนาม, คําบุพบท, คําเช่อื ม, คําเนน้ , คาํ ปฏิเสธ, คําแสดงเวลา, คําแสดงคําถาม และคําลงท้าย ดังตัวอย่าง ตอ่ ไปนี้ ประเภทของคาํ ภาษาชอง ความหมาย ประเภทของคาํ ภาษาชอง ความหมาย คาํ นาม กะนาย ช้าง คาํ สรรพนาม แฮง เรา คาํ บ่งช้ี เทิน น่นั คํากริยา อึด ให้ คําชว่ ยกริยา เฮย แล้ว คําคณุ ศพั ท์ ชดึ แก่ คาํ วเิ ศษณ์ บ้าง คําปฏิเสธ อฮิ ไม่ คาํ ลกั ษณนาม นจ่ั คําบพุ บท เระ ใน คําเชอ่ื ม นิ คํา (อาหาร) คําเน้น เดวเดว จรงิ ๆ คําแสดงจํานวนนับ ม็อง กับ คําแสดงเวลา ประโอ คําแสดงคาํ ถาม พา้ ย สอง คําลงทา้ ย เยาะ เมื่อวานน้ี ยังอิฮ หรอก อย่างไร ลักษณะคําในภาษาชองส่วนใหญ่เป็นคํา ๒ พยางค์ ซ่ึงประกอบขึ้นจากหน่วยคําผูกพันทํา หน้าที่เป็นพยางค์รองเกิดข้ึนท่ีตําแหน่งแรก และหน่วยคําอิสระทําหน้าท่ีเป็นพยางค์หลักในตําแหน่งท่ีสอง ใน ปัจจบุ ันผพู้ ูดบางคนกรอ่ นคําใหเ้ หลือเพียงพยางคเ์ ดยี ว พยางค์แต่ละประเภทมีโครงสรา้ งดงั น้ี (C1 V1 (C2) . C3 (C4) V2 (V3) (C5). (พยางคห์ นา้ ) . (พยางคห์ ลกั ) (๑) คําพยางค์เดียว (Monosyllabic word) ตี = มอื เปรอ = ใช้ ๒๗   

ว่าย = เสอื ฮวจ = ผวิ ปาก คล์อง = ขอนไม้ (๒) คําสองพยางค์ (Disyllabic word) คะเนว้ = เดก็ ประโอ = เม่ือวาน ปะตา = ขา้ งใต้ กะมลู = หมากพลู กะเพลิง = ปนื กะนวจ = เชอื ก จงั กรวิ = ผีเสื้อ บงิ บาง = แมงมมุ (๓) คาํ สามพยางค์ (Trisyllabic word)   ลกุ กะพริก = นา้ํ พรกิ ลุกกะโมย = เกลอื โครงสร้างพยางค์และคําในภาษาชองมีลักษณะเช่นเดียวกับภาษาในสาขามอญ-เขมร ท่ีสร้าง คําด้วยหน่วยคําเติม (Affixation) สําหรับภาษาชองมีเพียงหน่วยคําอุปสรรค (Prefix) และ หน่วยคําเติมกลาง (Infix) ทยี่ ังปรากฏให้เหน็ อยู่จาํ นวนหนง่ึ ปจั จบุ นั ไมม่ กี ารสรา้ งคาํ ขนึ้ ใหม่ดว้ ยหน่วยคาํ เติม การสร้างคาํ (Word formation) การเตมิ หน่วยคําเติม (Affixation) การเติมหน่วยคําเติมของภาษาชองเป็นลักษณะทางไวยากรณ์ของภาษาในตระกูลมอญ-เขมร ซึ่งปัจจุบันยังคงมีหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง แต่เดิมภาษาชองเคยมีการสร้างคําด้วยการเติมหน่วยคําเติม หน่วยคําเติมจะถูกรวมเข้ากับรากศัพท์ ซ่ึงอาจปรากฏได้ทั้งส่วนหน้า (Prefix) ส่วนกลาง (Infix) หรือส่วนท้าย (Suffix) สําหรับภาษาชองมีหน่วยคําเติมเพียง ๒ ประเภทคือ หน่วยคําเติมหน้า (Prefix) และหน่วยคําเติม กลาง (Infix) ๒๘   

หนว่ ยคาํ เติมหนา้ (Prefix) (๑) /ปะ-/ ‘ท่’ี คอื หนว่ ยคาํ เตมิ หนา้ แสดงสถานท่ี เปล่ียนใหค้ าํ บพุ บทเป็นคาํ นามสถานที่ ดึง = บน  ปะดงึ = ข้างบน เฮน = นน้ั  ปะเฮน = ท่ีนนั่ มูน = หลงั  ปะมนู = ข้างหลัง แท่ว = อ่ืน  ปะแทว่ = ทอี่ ื่น (๒) /มะ-/ ‘หนว่ ยคาํ เตมิ หนา้ แสดงเหตุ’ จะแสดงหน้าอกรรมกรยิ า เพ่อื เปลย่ี นให้เป็น สกรรมกริยา โฮจ = ตาย  มะโฮจ = ฆ่า หนว่ ยคําเติมกลาง (Infix) (๓) /-an-/ ‘หนว่ ยคาํ เติมแสดงเคร่อื งมือ’ มีหนา้ ที่แปลงคาํ กรยิ าใหเ้ ป็นคาํ นามแสดง เครื่องมือ kʰɛɛp  แคบ = ย่าง  kʰanɛɛˀp  คะแนบ้ = ไมค้ บี kəəj เกย คะเนย = หมอน kɔɔk กอก = หนนุ  kʰanəəj  กะนอ้ ก = ไม้คาน kʰee̤ t  เค่ด คะเน่ด = หวี (คํานาม) = แบก  kanɔɔˀk = หวี (คาํ กริยา)  kʰanee̤ t  การประสมคาํ (Compounding) คําประสมเกิดจากหน่วยคําอิสระ ๒ คําหรือมากกว่าประกอบกันขึ้นเป็นคําใหม่ แบ่งเป็น (๑) คาํ นามประสม (๒) คํากริยาประสม (๓) คาํ ประสมไทย-ชอง และ (๔) คาํ ประสมชอง-ไทย (๑) คํานามประสม การประสมของคํานามกับคําชนิดอ่ืนเพ่ือให้ได้คํานามใหม่ โดยอาจ ประสมกันระหว่างคาํ นามกบั คาํ นาม คํานามกับคาํ กริยา คาํ นามกบั คาํ คุณศพั ท์ และคาํ นามกับคําบุพบท โตด = หัว + ชก่ = หมู  โตดชก่ = หวั หมู ทา่ ก = นา้ํ + ชา = กนิ  ทา่ กชา = นา้ํ ด่ืม ช์อง = คน + ตกั = โต  ชอ์ งตัก = ผใู้ หญ่ (๒) คํากรยิ าประสม เกดิ จากคาํ กริยาประสมกบั คาํ กรยิ า, คาํ นาม, คําวเิ ศษณ์ หรือคําบพุ บท พ่จิ = นอน + ลั่ก = ตก  พจ่ิ ล่ัก = นอนหลบั จัก = ยงิ + เพลงิ = ปืน  จักเพลงิ = ยิงปนื กดึ = ลกุ + ดงึ = บน  กึดดงึ = ลกุ ข้ึน, ต่นื ๒๙   

นอกจากนี้ คําประสมท่มี ากกว่า ๒ พยางคข์ ้ึนไป ได้แก่ พกั กะซอง วา ชา ท่าก = รงุ้ กินนา้ํ ข้ึน บนั ได ลงิ กนิ นํา้ (๓) คําประสมไทย-ชอง นอกจากการสร้างคาํ ศพั ท์แบบดง้ั เดิมดงั ทก่ี ลา่ วมา การสรา้ งคาํ ประสมดว้ ยคาํ ชองและคําไทยก็มไี มน่ อ้ ยไปกว่าคาํ ยืมไทย ความ- (หน่วยคําเตมิ ที่ทําให้เปน็ คํานาม) + โพะ= ฝัน  ความฝัน ข้าง = ขา้ ง + แตง = ขวา  ขา้ งขวา ช์อง = คน + บ้า = บ้า  คนบา้ อูด = ไม้ + ขดี = ขีด  ไมข้ ดี การซ้าํ คาํ (Reduplication) (๑) การซ้ําคําท้ังหมด (Repetitive reduplication) คือ การซ้ําของคู่คําคุณศัพท์ คํา วิเศษณ์ คําบุพบท หรือคํานามหรือกริยา ซ่ึงเป็นการซํ้าคําเพ่ือเปลี่ยนให้คําเดิมเป็นพหูพจน์, เน้นความหมาย, หรือแสดงการซํ้าของการกระทํา กิจ กิจ = เล็กๆ เดว เดว = จรงิ ๆ งาย งาย = งา่ ยมาก เชนิ่ เช่นิ = ใกล้ๆ พา่ ง พ่าง เป้ว เปว้ = ‘เช้าๆ คํา่ ๆ’ (๒) การซํ้าคําบางส่วน (Partial reduplication) เป็นการซ้ําคําที่มีการเปลี่ยนแปลงท่ี หน่วยเสียงบางเสียง ส่วนมากพบการเปลี่ยนแปลงของหน่วยเสียงสระและพยัญชนะสะกด โดยการคงหน่วย เสียงพยัญชนะต้น และคําพยางคห์ นา้ ไว้จึงทาํ ใหม้ ีการเกย่ี วเนื่องกัน กะเซ กะซงั = ไม่มีสติ ซะติ ซะตัง = สตสิ มั ปชญั ญะ มเรจ่ มรู่จ = ยิม้ กวา้ ง ญู่ย ญา่ ย = ยิ้มนอ้ ยๆ แงฮ ง่าม = สัปหงก เงอะ งะ = ลงั เล (๓) การซํ้าความหมาย (Semantic reduplication) บางคร้ัง ผู้พูดอาจใช้คําท่ีมี ความหมายเหมือนกันบ่อยๆ จนเหมือนเป็นคําเดียวกัน คําซํ้าท่ีพบในภาษาชองจึงมีการใช้คําที่มีความหมาย เดียวกันทัง้ ภาษาไทย และภาษาชอง แฮงแลง ร่าง (แห้งแลง้ + แหง้ แล้ง) = แหง้ แลง้ ว่ก ซ่ิน (ผ้า + ผา้ น่งุ ) = ผ้าถงุ ๓๐   

การเลยี นเสียงธรรมชาติ (Onomatopoeia) การเลียนเสียงธรรมชาติ คือการสร้างคําอีกรูปแบบหนึ่งโดยจําลองเสียงท่ีได้ยินจากเสียงร้อง ของสัตว์ เสียงนํ้า ลม หรือใบไม้ หรือลักษณะท่าทางของการกระทํา คําเลียนเสียงธรรมชาติส่วนใหญ่จะมี ลกั ษณะการซ้าํ คาํ คอื มีหน่วยคําสองหนว่ ยคําขน้ึ ไป เมอ เมอ = เสียงเรียกสุนัข ฮึย ฮึย = เสยี งไล่วัวหรือควาย เอิว เอวิ = เสียงรอ้ งของควาย การเรยี งลาํ ดับคําในวลแี ละประโยคในไวยากรณ์ชองมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับภาษาไทย แต่มี ความแตกตา่ งในรปู ประโยคปฏิเสธ และวลีบางประเภททีเ่ รยี งลําดบั คลา้ ยกบั กลมุ่ ภาษาในสาขามอญเขมร วลี คือกล่มุ คาํ ทท่ี าํ หน้าท่ีขยายคาํ ประเภทต่างๆ เชน่ นามวลี กริยาวลี บพุ บทวลี เป็นต้น มี โครงสร้างดงั นี้ นามวลี ประกอบด้วย คํานามหลกั + คําคุณศพั ท์ กริยาวลี ประกอบดว้ ย คาํ วเิ ศษณ์ + คํากรยิ าหลกั + คําวิเศษณ์ นามวลี (Noun phrase) ช์อง ซุก (คาํ นามหลกั + คาํ คณุ ศัพท์) = ชาวบ้าน ต็อง ลัง ตกั ซี เงย่ (คาํ นามหลัก + กลมุ่ คาํ คุณศพั ท์) = บ้านหลงั ใหญส่ แี ดง  ชอ ชัน โชบ ปลัก (คาํ นามหลัก + กลมุ่ คาํ คณุ ศพั ท)์ = หมาฉันขาหกั นามวลีท่ีมีโครงสร้างเหมือนกับภาษาอื่นๆ ในสาขามอญ-เขมร ซึ่งมีความหมายเหมือนกับ นามวลใี นภาษาไทย แตม่ กี ารเรยี งลาํ ดบั ต่างกนั โครงสรา้ งเดิม โครงสรา้ งใหม่ ความหมาย หน้าตา มั่ด - ง่าย  ง่าย - มด่ั ตา - หนา้  หน้า - ตา โบด - ลงึ  ลงึ - โบด พีน่ ้อง น้อง - พ่ี  พ่ี - น้อง เม่ - อญู  อญู - เม่ พ่อแม่ ๓๑   

แม่ - พอ่  พ่อ - แม่ เน่ืองจากการใช้ภาษาท่สี ับสนทัง้ ไทยและชองทําให้บางครั้งผ้พู ดู ใช้โครงสร้างเลียนแบบ ภาษาไทยแตใ่ ชค้ ําศัพทช์ อง อย่างไรกต็ าม การเก็บข้อมลู ในวงสนทนาของผพู้ ดู ท่ีสูงอายุและใชภ้ าษาชองได้ คล่องแคลว่ เหมอื นกันหรือในการเล่าเรือ่ งเป็นภาษาชองด้วยความเคยชนิ พบไดว้ ่ามีนามวลใี นแบบโครงสร้าง เดมิ ซึ่งเป็นโครงสรา้ งนามวลขี องภาษาในสาขามอญ-เขมร  กรยิ าวลี ซี โฮจ (ประธาน + คาํ กริยา) งู ตาย งตู าย แฮง ก็ ยงั รอ น้ําตก (ประธาน + คาํ วเิ ศษณ์ + คํากรยิ า + คาํ วเิ ศษณ)์ เรา ก็ รอ ท่ี น้ําตก เราก็รอท่ีนํ้าตก พู ก็ ลอง รอื่ อีน แง่ ดู (ประธาน + กรยิ าวล)ี มึง ก็ ลอง รอ้ ง ให้ ฟงั ดู คุณกล็ องร้องใหฟ้ ังดู หนว่ ยคาํ ปฏเิ สธที่เปน็ ลักษณะเดน่ ของไวยากรณ์ภาษาชอง นบั เปน็ กริยาวลปี ระเภทหน่ึง ชนั จะ พูด ม็อง เพย อิฮ เฮย ฉนั จะ พูด กบั มัน ไม่ แลว้ ฉนั จะไม่พูดกับมนั แลว้ เพย อฮิ โฮจ อฮิ มนั ไม่ ตาย ไม่ มันไม่ตาย โครงสร้างประโยค ภาษาชองมีโครงสร้างในรูปประโยคที่เรียงลําดับคล้ายภาษาไทยคือ ประธาน กริยา กรรม และส่วนขยายประโยคในรูปแบบต่างๆ ท่ีปรากฏใน ประโยคความเดียว (Simple sentence) ประโยคความ รวม (Compound sentence) และ ประโยคความซ้อน (Complex sentence) ๓๒   

ประโยคความเดียว มีโครงสร้างไม่ซับซ้อนแบ่งตามประเภทของประโยควัจนกรรมออกเป็น ประโยคบอกเล่า ประโยคคาํ ส่งั และประโยคคาํ ถาม ประโยคบอกเล่า ในที่น้ีหมายถึงประโยคความเดียวท่ีกําหนดให้คํากริยามีหน้าท่ีกํากับ โครงสรา้ งของประโยค มีการเรียงลําดบั เป็นปกติคอื ประธาน – กริยา - กรรม (คําขยาย) ประโยคสกรรมกรยิ า (Transitive) ชู เจอะ ซี จงอาง หลาน เจอ งู จงอาง ประโยคอกรรมกริยา (Intransitive) หลานเจองจู งอาง วา่ ย พิ่จ งิ ประโยคทวิกรรมกริยา (Bitransitive) เสือ นอน กลางวัน เสือนอนกลางวนั ประโยคกริยาวรรณนา (Descriptive) อญู อึด กะตงั โบด พ่อ ให้ เงิน นอ้ ง ประโยคกริยาดาํ รงอยู่ (Existential) พ่อใหเ้ งนิ นอ้ ง ประโยคกริยาแสดงการเคลื่อนไหว อดู คิด ม์ูย กลกั แฮด (Motion) ไม้ ขดี หน่งึ กลัก กระจาย ประโยคกรยิ าแสดงปรากฏการณ์ ไม้ชีดหนึง่ กลกั กระจาย ธรรมชาติ (Ambient) อีน ตะฮาน โพ้น นกั ประโยคสมการกรยิ า (Equational) มี ทหาร ส่ี คน มีทหารส่ีคน ประโยคกรยิ าแสดงสถานที่ (Locative) เพย ฮัจ ตาม โตด โมะ ประโยคกริยาทําใหเ้ คล่ือน (Propulsion) มัน กระโดด ตาม โขด หนิ มันกระโดดตามโขดหนิ มะ อิฮ อีน ฝน ไม่ มี ไม่มฝี น ตอ็ ง ลงั ตกั เปน็ ตอ็ ง พยู ยั บา้ น หลงั ใหญ่ เปน็ บา้ น ผใู้ หญ่ บ้านหลังใหญ่เปน็ บ้านผใู้ หญบ่ า้ น แตะ คาง แตง กึย ซน เพลิง รองเท้าแตะ ข้าง ขวา อยู่ ส้น(ทา้ ย) ปนี รองเทา้ แตะขา้ งขวาอยปู่ ลายดา้ มปืน ดัก นมั ซี เจน ทึง ต็อง ๓๓   

ประโยคกรยิ าบอกกลา่ ว (quotative) เขา พา งู มา ถึง บา้ น เขาพางมู าถึงบ้าน ประโยคกริยาแสดงปรมิ าณ แฮง บอก ว่า จะ ทอ กาน มงคน อะฮ ลอ (quantitative) เรา บอก วา่ จะ ทํา งาน มงคล แลว้ นะ เราบอกวา่ จะทาํ งานมงคลแลว้ นะ ประโยคกริยาเปรียบเทียบ ตวั อุ ราคา เพว้ พัน บาด (comparative) ตวั อุ (อุณาโลม) ราคา สอง พัน บาท ตวั อุณาโลมราคาสองพันบาท ม้จู ตาไหว ใจถงึ กว่า เขา มดั ผี ตาไหว ใจถงึ กว่า เขา หมด ผีตาไหวใจถึงกวา่ เขาหมด ประโยคคําสงั่ (Interrogative) แบ่งเป็น ประโยคคาํ สัง่ เชงิ บวก และประโยคคําส่ังเชิงลบ โดยโครงสร้างของประโยคคําส่งั จะไม่มีคําปรากฏในตําแหนง่ ประธาน และขน้ึ ตน้ ประโยคด้วยคํากรยิ า สําหรับ ประโยคคาํ สงั่ เชงิ ขอร้องจะมีคาํ ลงทา้ ย (final particle) ปรากฏอยเู่ สมอ ประโยคคาํ สั่งเชงิ บวก ประกอบดว้ ยประโยค ๒ ลักษณะคอื ๑) ประโยคคาํ ส่งั เชิงบวก กาว เจน อัน. กา้ ว มา นี่ กา้ วมานี่ ๒) ประโยคคาํ ส่ังเชงิ ขอร้อง ลูม ท่าก ซัก มูย์ ตยึ ซ.ิ ขอ นาํ้ สัก หน่ึง ขัน สิ ขอนํ้าสักหนึ่งขันซิ ประโยคคําส่งั เชิงลบ ข้นึ ต้นประโยคดว้ ยคาํ ว่า /ม้าย/ ‘อย่า’ ม้าย ปาก รด. อย่า ข้นึ รถ อยา่ ขนึ้ รถ ประโยคคาํ ถาม จะมีคําแสดงคําถามปรากฏอยู่เสมอ แบ่งออกเป็น ประเภทคําแสดงคําถาม ใช่-ไม่ใช่ (Yes-no question) และประเภทคาํ แสดงคําถามเนอ้ื หา (Content question) ๓๔   

๑) คําแสดงคําถามใช-่ ไมใ่ ช่ (Yes-no question) ๓๕  ทอม กยึ อิฮ โด. ลุง อยู่ ไหม ลงุ อยู่ท่ีไหน โค พู ร่าบ อีนแต. ข้าว มึง ล้าง ได้หรอื ยงั ขา้ วทีค่ ณุ ลา้ งไดห้ รอื ยงั เจอะ ไอ้ไพ อิฮ วะ. เจอ ไอ้ไพ ไหม วะ เจอไอโ้ พไหมล่ะ ซะบายดี ฮอแฮ.  สบายดี หรอื เปลา่ สบายดีหรือเปล่า ฮิว ปลอ็ ง ฮดี . หิว ขา้ ว ไหม หิวขา้ วไหม คู อนั ซม ซา ก็ รอื ตยั . คู่ นี้ สม กนั ก็ หรอื ไม่ คู่นีส้ มกนั หรือไม่ ๒) คาํ แสดงคาํ ถามเนื้อหา (Content question) มิฮ จะ เจว น่ัจ. ใคร จะ ไป บ้าง ใครจะไปบ้าง ต็อง ทอม กยึ ปานิฮ. บา้ น ลงุ อยู่ ท่ไี หน บา้ นลุงอยทู่ ีไ่ หน  

ดัก กาํ ลงั ทอ กะปฮิ . เขา กําลัง ทาํ อะไร เขากําลังทาํ อะไร อนี ปฮิ ฮ็อบ ปล็อง. มี อะไร กิน ขา้ ว มอี ะไรกินกับขา้ ว ทอม จะ เจว ซะมาทิ ชวิ อาว. ป้า จะ ไป สมาธิ กี่ วนั ป้าจะไป (นั่ง) สมาธิก่ีวัน ดัก ทาม แก ทออิฮ. เขา ถาม แก ทําไม เขาถามแกทาํ ไม แก ทอ นมจกุ ยังอฮิ . แก ทาํ ขนมจนี อย่างไร แกทําขนมจนี อย่างไร ประโยคความรวม ประโยคความเดยี วทม่ี ี ๒ ประโยค โดยมคี ําเชื่อมระหว่างประโยค รวมทัง้ ประโยคทีไ่ มม่ คี าํ เชอ่ื ม แต่มีเนื้อหาต่อเนือ่ งกนั ๑) แตะ คาง เตว กึย โช้ย เพลิง || คาง แตง กึย ซน เพลิง/ รอ้ งเทา้ แตะ ข้าง ขวา อยู่ ปลาย ปนื || รองเท้าแตะ ข้าง ซา้ ย อยู่ สน้ ปนื ’ รอ้ งเท้าแตะขา้ งขวาอยปู่ ลายกระบอกปืน ส่วนรองเท้าแตะข้างซ้ายอยู่ปลายด้ามปนื ๒) โบด เจว ตะลาด || ชนั จะ กลบั ต็อง น้อง ไป ตลาด || ฉนั จะ กลับ บา้ น น้องไปตลาด สว่ นฉันจะกลบั บา้ น ๓) ทา เม่ อญู ดกั เจน || ชนั กอ้ ตอง เจว อิฮ ๓๖  ถา้ แม่ พ่อ เขา มา || ฉัน ก็ ตอ้ ง ไป ไม่  

ถ้าพอ่ แม่เขามา ฉันก็ตอ้ งไป ๔) แก จะ เจว ชูน || รือ อญู ดัก เจน เคจ่ แก จะ ไป ส่ง || หรอื พอ่ เขา มา รบั แกจะไปส่งหรอื พอ่ เขามารับ ๕) ชัน เจว วัด่ แมะ || แต แมะ กยึ อฮิ ฉัน ไป หา ยาย || แต่ ยาย อยู่ ไม่ ฉนั ไปหายาย แตย่ ายไม่อยู่ ๖) โบด ฮมู ทา่ ก || แลว้ ก็ รื้อ เพลง น้อง อาบ น้าํ || แล้วก็ รอ้ ง เพลง นอ้ งอาบนา้ํ แล้วกร็ ้องเพลง ประโยคความซอ้ น ประกอบไปดว้ ยประโยคความเดยี วที่มสี ่วนขยายเป็นประโยค ๑) ชอ คิ ตบั อยั เคียว เปน็ ชอ ต็อง เทิน่ หมา ที่ กัด ไอ้เขียว เป็น หมา บ้าน นนั้ หมาทก่ี ดั ไอเ้ ขียวเป็นหมา(ของ)บ้านนน้ั ๒) พระ ที่ กยึ ดึง น่อง เจน จาก อบุ ล พระ ท่ี อยู่ บน ภเู ขา มา จาก อบุ ลราชธานี พระที่อยบู่ นภเู ขามาจากอบุ ลราชธานี ๓) แมะ ทั่ง ชอ โจก โจก เจว ตฮิ ยาย เหน็ หมา วิ่ง ว่ิง ไป โน่น ยายเหน็ หมาว่งิ ไปโน่น ๔) เคน เพ่ย ฮวิ ชัน เลย ทมึ ปล็อง อดึ ๓๗  ลกู มนั หิว ฉัน เลย หุง ขา้ ว ให้ ลูกเขาหวิ ฉนั เลยหุงข้าวให้  

๕) มูจ้ ตาเย เจน ทว่ิ ราคา เพ้ว พัน บาท ผี ตาเย มา ซ้ือ ราคา สาม พนั บาท ผีตาเยมาซือ้ ราคาสามพันบาท ๒.๓ คําและความหมาย การเขยี นคําและข้อความในภาษาชอง มีหลักเกณฑ์ตามราชบณั ฑติ ยสถาน ดังน้ี  การเขียนคาํ สองพยางค์จะใสส่ ระอะในพยางคต์ น้ เพื่อแยกพยางค์ตน้ ออกจากพยางคห์ ลกั เชน่ กะวาญ = กระวาน กะปาว = ควาย  การเขียนคําประสม เขยี นติดกันโดยไม่ต้องเว้นวรรค เชน่ เน้มอูด (ต้น + ไม)้ = ต้นไม้ คึ่นเน้ม (เมยี +ตน้ ) = เมียคนแรก  การเขยี นขอ้ ความ เขียนประโยคเรียงต่อกนั ไปโดยมีเครอื่ งหมายมหพั ภาค ( . ) แสดงว่าจบ ประโยค เช่น ย่าย ม่อง ตา พา์ ย นก่ั อิ อนี กะปิฮ ฮอบ ปลอ็ ง อฮิ . ยายกบั ตา ๒ คน ไม่มอี ะไรจะกนิ กบั ขา้ ว เลย คาํ ศพั ท์ภาษาชอง จาํ นวน ๒๖๕ คาํ ลําดับที่ ภาษาชอง ความหมาย ลาํ ดบั ท่ี ภาษาชอง ความหมาย ๑๔. แซ้จ (หนาวจน) แขง็ ๑. พลงึ ฟ้า ๑๕. ท่าก นา้ํ ๑๖. เมท่ า่ ก แมน่ ํา้ ๒. อจิ เม่ก เมฆ ๑๗. ออ บึง ๑๘. กะเล ทะเล ๓. มดั่ ทะงิ พระอาทติ ย,์ ตะวนั ๑๙. เทะ แผน่ ดิน ๒๐. คะโมะ หนิ ๔. กาง พระจันทร,์ เดอื น ๒๑. กะลา้ ง ทราย ๒๒. ปล้อก โคลน ๕. ซูม ดาว ๒๓. คะม้ยู ฝุ่น ๒๔. ท่อง ทอง ๖. คะย้าย ลม ๒๕. ปรัก เงิน ๒๖. นอ้ ง ภเู ขา, ดอย ๗. กะม่ะ ฝน ๒๗. เน้มอูด ต้นไม้ ๘. พัก กะซอ้ ง วา ชา รงุ้ ๓๘  ทา่ ก ๙. มอก หมอก ๑๐. แคลง้ กลางคืน ๑๑. คะงิ กลางวัน ๑๒. นึ่ม ปี ๑๓. ฟนแก่ว ลูกเหบ็  

ลําดับท่ี ภาษาชอง ความหมาย ลําดับท่ี ภาษาชอง ความหมาย ๒๘. พร่ี ป่า ๕๘. วา ลงิ ๒๙. คะละ ใบไม้ ๕๙. เจ้ด กวาง ๓๐. กะเกาะ เปลือกไม้ ๖๐. กะว่าย เสือ ๓๑. ปางอดู ดอกไม้ ๖๑. กะปาว ควาย ๓๒. เรด่ อูด รากไม้ ๖๒. ง่ัว วัว ๓๓. พลีอูด ผลไม,้ ลูกไม้ ๖๓. กะนาย ช้าง ๓๔. ชัก เมลด็ ๖๔. โพลก่ งาชา้ ง ๓๕. กะตู หญา้ ๖๕. กะเกาะ หนอน ๓๖. กรางอูด ก่งิ ไม้ ๖๖. กะยา แมลงป่อง ๓๗. ลอง กลว้ ย ๖๗. บงึ บาง แมงมุม ๓๘. เซ หวาย ๖๘. ชี เหา ๓๙. มาก หมาก ๖๙. โค้ด ยงุ ๔๐. กะฮุง มะละกอ ๗๐. รอ์ ย แมลงวนั ๔๑. ดงู มะพร้าว ๗๑. กะตูด จมูก ๔๒. ชมี้ นก ๗๒. มั่ด ตา ๔๓. คะลาบ ปีก ๗๓. กะลา่ ง หู ๔๔. ค็อน ขน ๗๔. โตด หัว ๔๕. ฮยึ บิน ๗๕. กา ปาก ๔๖. ตุง ไข่ ๗๖. โคย ฟัน ๔๗. พดั หาง ๗๗. กะตา้ ก ลิน้ ๔๘. กะทด้ั เล็บ (ของสัตว)์ ๗๘. ซกุ ผม ๔๙. โซจ เขา ๗๙. กอก คอ ๕๐. ชอ หมา ๘๐. กะแมลง่ บา่ ไหล่ ๕๑. ช่ก หมู ๘๑. ทัง่ กรึก หน้าอก ๕๒. แลก ไก่ ๘๒. กงโลง่ หลัง ๕๓. กะตา เปด็ ๘๓. ฮั้วไจ หัวใจ ๕๔. เม์ว ปลา ๘๔. คุง่ ทอ้ ง ๕๕. ซี งู ๘๕. อจิ พุ่ง ไส้ (ลําไส้) ๕๖. คอ้ น หนู ๘๖. โลม่ ตับ ๕๗. กะท่ง กระต่าย ๘๗. ตี มอื ๓๙   

ลําดับที่ ภาษาชอง ความหมาย ลําดบั ท่ี ภาษาชอง ความหมาย ๘๘. ปา้ ยตี ฝ่ามอื ๑๑๘. นั่บ นบั ๘๙. กะทด้ั เลบ็ ๑๑๙. ต้อง กลัว ๙๐. พลู่ ขา ๑๒๐. วัง์ ตอ้ งการ, อยาก ๙๑. กะโชบ เท้า, ตีน ๑๒๑. พิจ่ นอน ๙๒. โตด กะนูย่ เขา่ ๑๒๒. ทาว ยืน ๙๓. พลู่ โพ้ด ขาออ่ น, ต้นขา ๑๒๓. กยึ นั่ง ๙๔. กะทนั่ น่อง ๑๒๔. เจว เดิน ๙๕. มะฮาม เลือด ๑๒๕. เจน้ มา ๙๖. กลอง กระดกู ๑๒๖. ทง่ี เขา้ ๙๗. คะโละ ผิวหนัง ๑๒๗. กลับ กลับมา ๙๘. ปดึ ไขมัน ๑๒๘. ฮั้นกลบั กลับ, หัน ๙๙. โฮจ ตาย ๑๒๙. เลยทา่ ก ว่ายน้ํา ๑๐๐. ชม่ึ คดั คนป่วย ๑๓๐. โลย่ ลอย ๑๐๑. วัด มะเฮม หายใจ ๑๓๑. จอ้ ย ไหล ๑๐๒. ซัง ได้ยิน ๑๓๒. พลกั ผลกั ๑๐๓. ทงั่ เหน็ ๑๓๓. ชดุ ดงึ ๑๐๔. พดู่ พดู ๑๓๔. เพี้ยง ขว้าง, ปา ๑๐๕. แพ่ก หวั เราะ ๑๓๕. กะล่ัก (ของ) ตก, หล่น ๑๐๖. ย่าม ร้องไห้ ๑๓๖. อึด ให้ ๑๐๗. ดดู ดดู ๑๓๗. โอจ เอา ๑๐๘. ชุฮ ถม่ ๑๓๘. ร่าบ ล้าง ๑๐๙. เพด่ิ พดั ๑๓๙. พุ ชัก ๑๑๐. ตบั กดั ๑๔๐. พล่าก ผา่ ๑๑๑. ชา กนิ ๑๔๑. คอด ผูก ๑๑๒. ท้าย ด่ืม ๑๔๒. ชดี เช็ด ๑๑๓. พุ่ย เมา ๑๔๓. ทู ถู, ขัด ๑๑๔. โจ้ด อาเจียน ๑๔๔. กรจิ ตัด, ขาด ๑๑๕. อนี กลิน ได้กล่นิ ๑๔๕. ชอก แทง ๑๑๖. ค่ดิ คดิ ๑๔๖. คุด ขุด ๑๑๗. คฮั รู้ ๑๔๗. คดู , ครจั ขูด, เกา ๔๐   

ลําดบั ที่ ภาษาชอง ความหมาย ลําดบั ที่ ภาษาชอง ความหมาย ๑๔๘. บิด, บีบ บดิ , บีบ ๑๗๘. ตอ์ ง บา้ น ๑๔๙. กะลอง ผู้ชาย ๑๗๙. กะบูย หลงั คา ๑๕๐. ชัมคนึ่ ผหู้ ญงิ ๑๘๐. เซ เชือก ๑๕๑. ชึ่ม คน ๑๘๑. ตีว เยบ็ ๑๕๒. อญู พอ่ ๑๘๒. ว่ก เสอื้ ผา้ ๑๕๓. เม่ แม่ ๑๘๓. วก่ คะมา เตย่ี ว, ผา้ ขาวมา้ ๑๕๔. คะเนว เด็ก, ลกู ๑๘๔. กาน งาน ๑๕๕. โบด น้อง ๑๘๕. เลง่ เล่น ๑๕๖. ชือ ชอ่ื ๑๘๖. รีฮ รอ้ งเพลง ๑๕๗. ชัน / อญิ ฉัน / กู ๑๘๗. กะโพน กลอง ๑๕๘. แก / พู เธอ / มงึ ๑๘๘. คอง ค้อง ๑๕๙. ดัก เขา ๑๘๙. ท่วั ซอ้ื ๑๖๐. แฮง เรา ๑๙๐. คะนา หนา้ ไม้ ๑๖๑. พวกพู พวกมึง ๑๙๑. ฮอก หอก ๑๖๒. พวกดกั พวกเขา ๑๙๒. จัก ยงิ ๑๖๓. ฮาย กะเกาะ ขา้ วเปลือก ๑๙๓. ล่า ล่า ๑๖๔. กงโค ขา้ วสาร ๑๙๔. มะโฮจ ฆ่า ๑๖๕. ปล็องช้นี ขา้ วสุก ๑๙๕. ซู่ สู้ ๑๖๖. ขา้ วโพด ข้าวโพด ๑๙๖. โม์ย หนง่ึ ๑๖๗. ลุก กะโมย เกลือ ๑๙๗. พ์าย สอง ๑๖๘. เท่ด พริก ๑๙๘. เพ้ว สาม ๑๖๙. เกด หมาก ๑๙๙. โพน้ สี่ ๑๗๐. กะฮี ลอก สาก ๒๐๐. พรัม ห้า ๑๗๑. โค ครก ๒๐๑. กะตอง หก ๑๗๒. อดู เพลว่ ฟืน ๒๐๒. กะนยู่ เจด็ ๑๗๓. เพล่ว ไฟ ๒๐๓. กะตี แปด ๑๗๔. พูย่ เผา ๒๐๔. กะชา่ ย เก้า ๑๗๕. พอฮ เถา้ , ขเ้ี ถา้ ๒๐๕. รา่ ย โม์ย สิบ ๑๗๖. คะมะฮ ควัน ๒๐๖. พา์ ย เซ ยีส่ ิบ ๑๗๗. ครา ถนน ๒๐๗. ร่อย ร้อย ๔๑   

ลาํ ดบั ที่ ภาษาชอง ความหมาย ลําดบั ท่ี ภาษาชอง ความหมาย ๒๐๘. ทังมัด ท้ังหมด ๒๓๘. กลอง ตรง ๒๐๙. ลอ เยอะ ๒๓๙. โท่น ถกู ๒๑๐. เนจ บา้ ง ๒๔๐. ดี ดี ๒๑๑. อูจ นอ้ ย ๒๔๑. อฮิ ดี ไมด่ ี ๒๑๒. ตกั ใหญ่ ๒๔๒. เลว เลว ๒๑๓. กิจ เล็ก ๒๔๓. ชดึ ชา แก่เฒา่ ๒๑๔. โคง์ ยาว ๒๔๔. ง้าย ไกล ๒๑๕. เยงิ สูง ๒๔๕. ก้าด ใกล้ ๒๑๖. เก้น ส้ัน ๒๔๖. เตว ขวา ๒๑๗. เกิด้ เต้ยี ๒๔๗. แตง ซ้าย ๒๑๘. กลอม กลม ๒๔๘. ปะงา่ ย หน้า ๒๑๙. เรยี บ เรียบ ๒๔๙. ปะโมน หลงั ๒๒๐. กรจั หนา ๒๕๐. เหมือนซา เหมอื น (กัน) ๒๒๑. กะตง้ึ บาง ๒๕๑. ยัง ซา อฮิ ไม่เหมอื นกนั ๒๒๒. กวาง กว้าง ๒๕๒. ดึง อัน (ท่ี) นี่ ๒๒๓. แคบ แคบ ๒๕๓. ดงึ ติฮ (ท่)ี นนั่ ๒๒๔. จงั้ ดาํ ๒๕๔. อัน น้ี ๒๒๕. เงย่ แดง ๒๕๕. ติฮ น้ัน ๒๒๖. โพรง่ ขาว ๒๕๖. นะอิฮ เมอื่ ไร ๒๒๗. พะฮ แห้ง ๒๕๗. ปานิฮ ท่ีไหน ๒๒๘. แป้ก เปียก ๒๕๘. มฮิ ใคร ๒๒๙. ปุก เนา่ ๒๕๙. กะปิฮ อะไร ๒๓๐. พยู่ บวม ๒๖๐. มง กับ ๒๓๑. แตม เต็ม ๒๖๑. ยังอิฮ อยา่ งไร ๒๓๒. ซกกะปลอ็ ก สกปรก ๒๖๒. ปาเระ ใน ๒๓๓. เคย์ คม ๒๖๓. อิฮ ไม่ ๒๓๔. พล่า ใหม่ ๒๖๔. อฮิ โด ยงั , ยังไม่ ๒๓๕. ทฮุ ร้อน ๒๖๕. เฮย เฮย แลว้ ๒๓๖. กะช่ัก เย็น ๒๓๗. จยั หนัก ๔๒   

คําศพั ทเ์ ก่ยี วกบั พฤกษศาสตรพ์ นื้ บ้าน จาํ นวน ๑๓๙ คาํ ลําดับที่ ภาษาชอง ความหมาย ลาํ ดับท่ี ภาษาชอง ความหมาย ๑. กระปรอก กระปรอด ๓๐. กมั รอ้ จ มะเมา่ ๒. กระรอ่ ก กระรอก ๓๑. กาํ แพง เจด ชนั กาํ แพงเจ็ดชน้ั ๓. กะแงง่ แตว้ ๓๒. เกราะ พวง มะเขือพวง ๔. กะช่าย กระชาย ๓๓. คะนุย ขนุน ๕. กะเช้ม ชะเอม ๓๔. คะปรงั ฝรงั่ ๖. กะซงั ผกั กระสัง ๓๕. คะโพด่ ข้าวโพด ๗. กะซกี นนทรี ๓๖. คะแลก็ ขเี้ หลก็ ๘. กะซีก อินทรีย์ ๓๗. ค่าบเชอลาว หลาว ๙. กะญา่ กลอย ๓๘. โง่ะ เงาะ ๑๐. กะดงี ข่า ๓๙. ชองละอา ชองระอา ๑๑. กะโดย กระโดน ๔๐. ชะพลู ชะพลู ๑๒. กะตอ สะตอ ๔๑. ชะออ็ ม ชะอม ๑๓. กะท่อน กะทอ้ น ๔๒. ชุ์ม เถาวลั ย์ ๑๔. กะทนิ กระถนิ ๔๓. ชุม้ โค เถาชงโค ๑๕. กะแทง้ กระแท่ง ๔๔. เช่าะกะพื่อ มะเฟือง ๑๖. กะบาก ตะบาก ๔๕. เช่าะพ่อก มะไฟ ๑๗. กะเพรา เงย่ กระเพราะแดง ๔๖. เช่าะเพล้ว มะอกึ ๑๘. กะเพรา โพรง่ กระเพราขาว ๔๗. เชาะมะคาม มะขาม ๑๙. กะเพา่ ฟักทอง ๔๘. เช่าะมะปรงิ มะปรงิ ๒๐. กะมริ่ด พริกไทย ๔๙. เชา่ ะมะยม มะยม ๒๑. กะมล่า ลาย ๕๐. เช่าะยา้ ก ชะมวง ๒๒. กะมลู่ พลู ๕๑. เช่าะละกาํ ระกํา ๒๓. กะม้จู ตะไคร้ ๕๒. ซะละพา โหระพา ๒๔. กะล่อก ตะลอก ๕๓. ซะมอ ดี งู สมอดีงู ๒๕. กะวาญ กระวาน ๕๔. ซะมอ พิ เพก สมอพิเภก ๒๖. กะทง่ เค้มิ เร่วหอม ๕๕. ซาแก สาเก ๒๗. กะทง่ เคม้ิ เร่ว ๕๖. ซาํ รอง สาํ รอง ๒๘. กันซอ็ ง คนั ทรง ๕๗. ซีเซียด สเี สยี ด ๒๙. กนั แนง่ ลาํ ดวน ๕๘. ซดี เหด็ ๔๓   

ลําดับท่ี ภาษาชอง ความหมาย ลาํ ดบั ที่ ภาษาชอง ความหมาย ๕๙. ซดี ปาก นก แกว เห็ดปากนกแก้ว ๙๐. เนม้ พะยอม พะยอม ๖๐. ซีด ปึด ช่ก เห็ดมันหมู ๙๑. เนม้ พี่ก กะพ้อ ๖๑. เซ ซมุ หวายโสม ๙๒. เน้ม มลา่ ไมล้ าย ๖๒. เซ โพ์ด เวิด หวายขม ๙๓. เนม้ มะฮอม ไม้หอม, กฤษณา ๖๓. เซ ปวย หวายพรวน ๙๔. เนม้ แมม่ คะยอ็ ง คอเหีย้ ๖๔. ญอง หยอ่ ง ๙๕. เนม้ ละคี่ว ตะเคียน ๖๕. ดอกแดง ดอกแดง ๙๖. เน้ม โอย บอน ๖๖. ตอง ประดู่ ๙๗. เนม้ ตังไค้ หนามเหยย่ี ว ๖๗. ตะเกรา ตะเกรา ๙๘. บอระเพ่ด บอระเพ็ด ๖๘. ตะแงง้ แตว้ ๙๙. ปลา่ ว ปลา้ ว ๖๙. ตะลง์ ตะบก ๑๐๐. ปะตุง ขอบ ๗๐. ตําแย ตาํ แย ๑๐๑. พลคี ุย่ ไค คุยไข่ ๗๑. ตําลึง ตาํ ลงึ ๑๐๒. พ่อง พลอง ๗๒. ตงุ มนั มนั สาํ ปะหลัง ๑๐๓. พะนอ่ ง พะนอง ๗๓. ตงุ โอย หัวเผอื ก ๑๐๔. พกั ปูด กดู ๗๔. เถาคุ่ย เถาคุย ๑๐๕. พี่ก กะพ้อ ๗๕. ทินเทพา กระถินเทพา ๑๐๖. พุด ซา พุทรา ๗๖. ทเุ ร่ียน ทเุ รียน ๑๐๗. โพลด พะวา ๗๗. เทบพะโร เทพธาโร ๑๐๘. มะกรดู มะกรดู ๗๘. เทา ซะบา พร่ี เถาสะบ้าปา่ ๑๐๙. มะแวง มะแวง้ ต้น ๗๙. เทา ทะลกบาด เถา ถลกบาตร ๑๑๐. มะฮาด มะหาด ๘๐. เทา พลเี กรียว นมควาย ๑๑๑. มะฮาด ล้ะ นุย หาดหนุน ๘๑. นอยน่า นอ้ ยหน่า ๑๑๒. มงั ค่ดุ มงั คดุ ๘๒. เน้ม กะโดย กระโดน ๑๑๓. มัน ยาง พร่ี ไม้ยางปา่ ๘๓. เนม้ กะล็อง กระบก ๑๑๔. มาก หมาก ๘๔. เนม้ โคร่ย คอแลน ๑๑๕. มายฮอม กฤษณา ๘๕. เน้ม เชา่ ะ โกก เถามะตาด ๑๑๖. ยา่ ง แดง ยางแดง ๘๖. เนม้ เญญ่ โคลงเคลงขน ๑๑๗. ราชะพรึก ราชพฤกษ์ (คนู ) ๘๗. เนม้ ดอกโค่ หาํ ช้าง, ไข่เข้ ๑๑๘. รุ่นเชอ คลุ้ม ๘๘. เน้ม ตงั วา่ ย เฉยี งพร้า ๑๑๙. รนุ่ ท่าก คลา้ ๘๙. เนม้ พรงี่ หว้า ๑๒๐. เรด่ บัว บัวสาย ๔๔