Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือเสริมสร้างไอคิวและอีคิวเด็กสำหรับครูโรงเรียนอนุบาล

คู่มือเสริมสร้างไอคิวและอีคิวเด็กสำหรับครูโรงเรียนอนุบาล

Description: คู่มือเสริมสร้างไอคิวและอีคิวเด็กสำหรับครูโรงเรียนอนุบาล.

Search

Read the Text Version

• การเลา นทิ าน การเลานิทานเปน สง่ิ จําเปน สาํ หรับเดก็ เดก็ วัยกอนเรียนจะสนใจ และชอบหนงั สือนิทาน ชอบเลา เรอ่ื งตา งๆ เปนการแสดงการใหค วามรกั การดูแลเอาใจใสต อ เดก็ การเลาเร่ืองตา งๆ จะชวยพฒั นาการดานภาษา และขณะเดียวกันก็เปนการสงเสริมการเรียนรูเกี่ยวกับชีวิตประจําวัน พัฒนาระบบการคิด การจินตนาการและเกิดความคิดสรางสรรค และ ทําใหเ ดก็ สนกุ สนาน คูม ือเสริมสรา งไอคิวและอคี ิวเดก็ สําหรับครโู รงเรียนอนบุ าล 101

จดุ มุง หมายการเลา นทิ าน 1. สง เสรมิ การคดิ คาํ นึง จนิ ตนาการ 2. สงเสริมการฟง และเกดิ ความสนกุ สนานเพลิดเพลิน 3. สอนเดก็ ใหเ ดก็ ทราบวา อะไร ดไี มด ี เสรมิ สรา งคณุ ธรรมและ จรยิ ธรรม 4. ชว ยสง เสรมิ การเรยี นรูค าํ และภาษาพดู ใหมๆ 5. ชว ยใหเด็กมคี วามกลา ทจี่ ะแสดงออกอยา งมน่ั ใจ 6. กระตุนใหเ ดก็ เลยี นแบบในสงิ่ ทดี่ ขี องนทิ าน เชน “ หนอู อกวาด บาน” “ลกู หมปี วดฟน ” “หบุ เขาแหง ความดี” 7. สรา งประสบการณใ นการรบั ฟง และเพมิ่ คําศพั ทใหมๆ 8. อธบิ ายและสอนเดก็ ในเรอื่ งตา งๆ 9. ชว ยแกไขปญหาพฤตกิ รรมทไี่ มด ีของเด็กได เชน นิทาน สอนเรอ่ื งการไมร งั แกเพอื่ น การไมด อ้ื 10.เนน การชว ยกระตุนใหเดก็ พยายามหัดอา นหนังสอื ทางออ ม เนอ่ื งจากเมอ่ื เดก็ เหน็ หนงั สอื นทิ าน เดก็ อยากจะรูเ รอื่ งอาจนาํ มา ใหผ ูใหญอา นใหฟ ง ทําใหเ ดก็ อยากรูเ รอ่ื งดว ยตวั เอง เดก็ กจ็ ะ นําหนงั สอื นน้ั ใหผใู หญส อนใหต นหดั อา น 102 คมู อื เสรมิ สรางไอคิวและอคี ิวเดก็ สําหรับครูโรงเรยี นอนุบาล

การเลอื กหนงั สอื นทิ าน 1. ขนาดของหนงั สอื เหมาะสมกบั กลมุ ผฟู ง หนงั สอื นทิ านเลม เลก็ เหมาะกับการเลากับเดก็ กลมุ เล็ก หรอื เลา แบบตวั ตอตัว แตไ มเหมาะกับ การเลาใหเ ดก็ กลมุ ใหญเกิน 10 คนฟง เพราะเดก็ จะมองไมเหน็ ภาพ 2. รปู ภาพและสี ภาพและสเี ปน องคประกอบทสี่ ําคญั ของหนงั สอื นทิ านทสี่ ามารถดงึ ดดู ความสนใจของผูฟงได หนงั สอื นทิ านทเี่ หมาะกบั เดก็ จงึ ควรเปน ภาพท่สี ่อื ความหมายไดช ดั เจน และสีสันสดใส สวยงาม 3. เน้อื หาของนิทานไมควรยาวจนเกินไป ซ่ึงอาจทําใหผ ูฟ ง เกดิ ความเบอ่ื หนา ยกอ นจะฟง จบ และตัวหนังสือความเปนตวั พมิ พทม่ี ขี นาด ใหเดก็ เหน็ ไดช ดั เจน แนวทางปฏบิ ัตใิ นการเลา นิทาน การเลา นทิ านใหเ กดิ ผลสมั ฤทธิ์ จาํ เปนตอ งใชศ าสตรแ ละศลิ ปใ น การเลา ผูเสนอควรพิจารณาถงึ สง่ิ ตางๆ กอนการเลือกนิทานมาเลา คือ จะเลา เรอ่ื งอะไร เลา ทาํ ไม เพือ่ อะไร เลา อยางไร เด็กเรียนรหู รอื ไดอ ะไร บา งจากการฟง นทิ าน เมอื่ เลอื กเรอื่ งทจี่ ะเลา ได สง่ิ ทผี่ ูเลาตอ งทําเปนอนั ดบั แรกคือการเตรียมเด็กใหสงบพรอมท่ีจะฟง เม่ือเด็กพรอมรับฟงแลว จงึ เลา นทิ านตอ ดว ยเทคนคิ วธิ กี ารตางๆ คมู อื เสริมสรา งไอคิวและอคี วิ เด็ก สําหรับครูโรงเรียนอนบุ าล 103

แนวทางปฏิบตั ิในการเลา นทิ าน ไดแ ก 1. การถอื หนงั สอื นทิ าน ตอ งอยูใ นระดบั สายตา หรอื อาจจะสงู กวา ไมเ กิน 1 ฟตุ ของผฟู ง 2. การจดั ทนี่ ง่ั ของผฟู ง ควรจดั ใหน ง่ั เปน รปู ตวั ยู หรอื ครงึ่ วงกลม จะเหมาะกวา การนง่ั เปน แถว เพราะผฟู ง ทกุ คนจะไดเ หน็ ผเู ลา โดยทวั่ ถงึ ทาํ ให สนใจฟง ยงิ่ ข้ึน 3. การเตรยี มตวั ของผูเ ลา เชน การอา นนทิ านลว งหนา การเตรยี ม วธิ กี ารทจี่ ะใชใ นการเลา ตลอดจนเตรยี มสอื่ และอปุ กรณต า ง ๆ ทใี่ ชป ระกอบ การเลา นทิ าน 4. วธิ กี ารเลา นทิ าน การเลา นทิ านควรใชเ สยี งทมี่ กี ารเนน ระดบั เสยี ง สูงตํา่ หนักเบา ใหสอดคลองเหมาะสมกบั อารมณ ความรสู กึ และวัยของ ตวั ละครในนทิ าน การเลาแบบนจี้ ะเนน การฟง อยางสนกุ สนาน เพลดิ เพลนิ ใหผ ูฟ ง มคี วามรสู กึ เกดิ อารมณร ว มกบั ผูเลา และตวั ละครในนิทาน 5. การกระตุน ความสนใจของเดก็ หากเดก็ ไมส นใจพดู คยุ เลน กนั ในขณะเลา นทิ าน ผูเ ลา อาจใชเ ทคนคิ หนง่ึ คอื การเรยี กชอื่ ตวั ละครเปน ชอ่ื เดก็ ทกี่ าํ ลงั พดู หรอื เลน หรอื อาจใชค าํ ถามความคดิ เหน็ แทรกโดยใหผ ทู กี่ ําลงั คยุ เปน ผตู อบหรือแสดงความคดิ เห็น ฯลฯ ซงึ่ เปนวิธกี ารทไี่ มท ําใหเนอ้ื หาของ นทิ านขาดตอน และไมเ ปนการขดั จงั หวะของเดก็ สวนใหญทสี่ นใจ ทําใหไ ม เสยี อรรถรสในการฟง นทิ าน 104 คมู ือเสรมิ สรางไอควิ และอีควิ เดก็ สาํ หรับครูโรงเรยี นอนุบาล

สวนการอานนทิ าน จะเปน การอา นตามบทในหนงั สอื นทิ านทกุ คํา โดยไมเ นน การใชเ สยี งสงู ตา่ํ จะอา นแบบใชน า้ํ เสยี งราบเรยี บเหมอื นการอา น โดยปกตทิ วั่ ไป การอา นแบบนเ้ี นน ในเรอ่ื งของการสง เสรมิ พฒั นาการทางภาษา มากกวา ความสนกุ สนานเพลดิ เพลนิ คมู ือเสรมิ สรา งไอควิ และอีคิวเดก็ สําหรบั ครูโรงเรียนอนบุ าล 105

รปู แบบการเลา นทิ าน การเลานทิ านสามารถใชร ปู แบบและวธิ กี ารทหี่ ลากหลาย เชน • เลา นทิ านหรอื อา นจากหนงั สอื นทิ านโดยตรง • การเลา นทิ านโดยใชแ ผน ภาพประกอบ แผน ปา ยผา สาํ ลปี ระกอบ • การใชห ุน ตา งๆ เชน หุน มอื หุนถงุ หนุ นว้ิ มอื หุน ชกั ประกอบ การเลา • การวาดภาพบนนวิ้ มอื แลว สมมตใิ หน วิ้ มอื เปนตวั ละครตาง ๆ • การเลา ปากเปลา และใชท า ทางประกอบบา งตามโอกาส • การวาดภาพบนกระดานดาํ ใหเ ดก็ คอยตดิ ตามเหตกุ ารณข องเรอื่ ง • การเลา ไปวาดไปคอื นทิ านทชี่ วนใหต ดิ ตามโดยมเี นอ้ื หาเชอ่ื มโยง กบั การสอนใหเ ดก็ วาดภาพ • การเลาไปตัดไป คือ นิทานท่ีชวนใหติดตามโดยมีเน้ือหา เชอ่ื มโยงกบั การสอนใหเ ด็กติดตามภาพเฉลยจากการตัดของ ผูเลา การเลาแบบนี้ผูเลาตองฝกฝนและมีการเตรียมตัวมา อยา งดกี อ นการเลา วธิ ีการที่กลาวมาขา งตน ผูเ ลาควรพิจารณาเลอื กวิธที ี่ถนัดหรอื เหมาะสมกบั บคุ ลิกและความสามารถของตวั เอง 106 คูมือเสรมิ สรา งไอควิ และอคี ิวเด็ก สาํ หรับครโู รงเรยี นอนบุ าล

การสง เสรมิ การเรยี นรูจากนทิ าน หลงั จากการเลานิทานจบ ผูเ ลา ควรใชคําถามตา งๆ เพอื่ ทดสอบ วา เดก็ ไดเ กดิ การเรยี นรแู ละเขา ใจเนอื้ หาของนทิ านหรอื ไม การใชค ําถามเปน สิง่ ที่สําคัญซ่ึงสมควรปฏิบัตทิ ุกครั้งหลังการสอนหรือการจดั กิจกรรมใดๆ กต็ าม และความเปน คาํ ถามทหี่ ลากหลาย ทงั้ คาํ ถามปลายเปด ถามความจํา ถามความคิดเห็น ถามเชงิ อุปมาอปุ ไมย ถามเชงิ คดิ วิเคราะห ฯลฯ การใชคําถามข้นั พื้นฐานใหเ ด็กเกิดกระบวนการคิด เชน อะไร ทไี่ หน เมอื่ ไร ทําไม อยา งไร เกดิ อะไรขน้ึ ฯลฯ โดยครูสามารถประเมิน ผลสําเร็จของการเลานิทานไดจากความสนใจในการเขารวมกิจกรรม การสนทนา ซกั ถาม แสดงขอคดิ เหน็ การตอบคําถาม มารยาทในการฟง พูด การกลา พูด กลาแสดงออก ของเด็ก • การสงเสรมิ กิจกรรมเพลงและดนตรี ดนตรพี ฒั นาทงั้ ไอควิ และอคี วิ ดนตรชี ว ยพฒั นาสมองทงั้ ซกี ซา ย และซกี ขวา ขณะทฟี่ งดนตรสี มองทงั้ ซกี ซา ยและซกี ขวาจะทํางานไปพรอ มกนั เพราะดนตรมี ที งั้ ความไพเราะ ใหค วามรูส กึ สบาย ชว ยกระตนุ การทาํ งานของ สมองซีกขวา สวนตัวโนตและจังหวะเคาะซ่ึงคลายกับการอานหนังสือ แตละตวั ชว ยกระตุนการทาํ งานของสมองซกี ซา ย ซงึ่ เกี่ยวกับเหตุผลและ คูม ือเสรมิ สรางไอคิวและอคี วิ เดก็ สําหรบั ครโู รงเรยี นอนุบาล 107

ภาษาไอนส ไตนก ลาวไวว า ดนตรมี ีสวนชวยขยายกระบวนการคิดของเขา ทําใหเ ขามีความลมุ ลึกในการใชชวยแกปญ หาทพี่ ลิกแพลงตางๆ เมอ่ื เขา จนปญ ญาคดิ แกป ญ หาอะไรไมได เขาจะไปเลน ดนตรี (ไอนส ไตนช อบเลน ไว โอลีน) จากนนั้ จะเรม่ิ แกปญหาทยี่ งุ ยากซบั ซอ นได การทาํ งานของสมองนน้ั หากไดร บั การกระตุน ทเี่ หมาะสมจากดนตรี ในระดบั หนง่ึ กจ็ ะเกดิ การผสมผสานเปน หนงึ่ เดยี ว ประสทิ ธภิ าพในการทาํ งาน ของสมองทเี่ ก่ียวขอ งกบั สว นตา งๆ จะกลมกลืนสอดคลอ งกัน เม่อื ไรทเี่ ราฟงดนตรี เรามักรสู กึ เพลดิ เพลินกับความไพเราะของ เสียงและเกดิ จนิ ตนาการตา งๆ เกย่ี วกับเสยี ง ท้ังนเี้ พราะผูประพันธเพลง จะถา ยทอดอารมณค วามรูส กึ ของตนเองผา นเสยี งดนตรที มี่ คี วามหมายตา งๆ ดนตรที มี่ จี งั หวะชา อยา งเหมาะสม จะกระตนุ ใหเ กดิ คลนื่ สมองทชี่ ว ยเรยี บเรยี ง ความคิด การใชเหตุผล มคี วามคิดสรา งสรรค ตลอดจนทบทวนความจาํ ซงึ่ นําไปสกู ารเขา ใจตนเองและผูอ นื่ เพลงท่ีใชสอนเด็กควรมีเนื้อรองท่ีชวยสง เสริมพัฒนาการและ ใหค วามรแู กเ ดก็ หลายดา น เชน 1. ดานรางกายหรือดานพลานามัย เสียงเพลงและเสียงดนตรี จะกระตนุ ใหเ ด็กมีการเคลื่อนไหว ในการสอนเด็ก ผูสอนตองใชทาทาง ประกอบ เนอื่ งจากธรรมชาติของเด็กจะชอบการเคล่อื นไหว ไมช อบอยูนง่ิ ในการรอ งเพลงควรทําทาประกอบดว ย เด็กจะไดทาํ ทาทางตามครูหรือ 108 คมู ือเสริมสรา งไอควิ และอคี วิ เดก็ สําหรบั ครูโรงเรยี นอนุบาล

คดิ ทา ทางขน้ึ เองตามความคดิ และจนิ ตนาการของตนเอง ใหเ ขา กบั จงั หวะและ เนอื้ เพลง เปนการสง เสรมิ พฒั นาการการใชประสาทสมั ผสั ของรา งกาย 2. ดา นอารมณ เสยี งเพลงและเสยี งดนตรี เปน ศาสตรแ ละศลิ ป ทสี่ ามารถขบั กลอ มเปลยี่ นแปลงอารมณข องเดก็ สง เสรมิ ใหเ ดก็ มสี นุ ทรยี ภาพ เกดิ ความสขุ และความเพลดิ เพลนิ ไมเ บอื่ หนายในการเรยี นรู และสามารถ ผอนคลายความตึงเครียด ขณะทเี่ ดก็ รว มรองเพลงหรือทําทาทางประกอบ เพลง เดก็ จะแสดงพฤตกิ รรมทร่ี า เรงิ แจม ใส สนกุ สนาน ดวงตาเปน ประกาย อยา งมคี วามสขุ เมอ่ื เดก็ ทาํ ไดห รอื ไดร บั คาํ ชมเชยจากครู มที า ทผี อ นคลายและ สนกุ สนานไปตามจงั หวะดนตรี 3. ดา นสงั คม เมอ่ื เดก็ มาโรงเรยี นนบั วา เปน การเปลยี่ นแปลงครงั้ ยงิ่ ใหญใ นชวี ติ เดก็ เพราะเดก็ จะตอ งจากบา นมาสูโ รงเรยี นซงึ่ เปน สงั คมใหม ประกอบไปดว ยสถานทใี่ หม เพอ่ื นใหม ครู หรอื คนอนื่ ๆ ทที่ าํ หนา ทใี่ นโรงเรยี น สง่ิ ทจี่ ะชว ยใหเ ดก็ คุนเคยและเขา กบั ผูอ น่ื ไดโ ดยการใชเ พลงเปน สอื่ ทางสงั คม ซงึ่ จะชว ยใหเ ดก็ ไดส นทิ สนมใกลช ดิ กบั ครแู ละเพอื่ น ชวยใหเ ดก็ ปรบั ตวั กบั สงั คมทโี่ รงเรยี นไดงา ยขึน้ ทั้งยงั ไดค วามรูจ ากเนื้อเพลงดว ย 4. ดานสติปญญา เพลงชวยใหเดก็ มคี วามรคู วามเขาใจเรือ่ งราว ตา งๆ ไดด ี ทงั้ ชว ยใหจ ําไดเ รว็ กวา การบอกเลา ฝก ใหร ูจ กั คดิ และไดเรยี นรู เรอื่ งตา งๆ เชน คณติ ศาสตร เพลงชว ยใหเ ดก็ มคี วามเขา ใจและจดจาํ เกย่ี วกบั จํานวนหรอื ความหมายของคําทางคณติ ศาสตรแ ละผูสอนอาจจะสังเกตวา คูม ือเสริมสรางไอคิวและอคี วิ เด็ก สาํ หรับครโู รงเรยี นอนบุ าล 109

เดก็ เขา ใจความหมายของเนื้อเพลงไดเ พยี งไร จากการที่เด็กแสดงทา ทาง ประกอบเพลง เสียงเพลงและเสียงดนตรีเปนสิ่งที่ชวยสงเสริมความคิด สรา งสรรคท ําใหเดก็ เกดิ จนิ ตนาการและมองเหน็ ภาพได จะเหน็ ไดวา เพลงใหค ณุ คา แกเดก็ มากมาย การทเี่ ดก็ ไดร องเพลง ไดท ําทาทางตามเนื้อเพลงหรือตามจงั หวะจะชว ยไมใหเ ด็กเบ่ือการเรียน ทงั้ ยงั ชว ยใหท กุ ๆ สว นของกลา มเนอ้ื ตลอดจน ตา หูมอื เทา มคี วามคลอ งแคลว วอ งไว ซ่ึงเปน การชวยพัฒนาการใชประสาทสัมผสั ของเด็กไดเ ปนอยา งดี เพลงจึงเปน สื่ออีกอยางหนึ่งที่ผสู อนทุกคนควรพิจารณาคัดเลือกมาจัด ประสบการณใหเ ดก็ เรยี นรูอ ยา งมคี วามสขุ เทคนคิ และวธิ กี ารจดั กจิ กรรมการรอ งเพลง การสอนโดยใชเ พลงและดนตรเี ปน สือ่ การสอนใหแ กเ ด็กอยา งมี ประสิทธิภาพเพ่ือใหเด็กเกิดการเรียนรูอยางมคี วามสุขได ควรคํานึงถึง สิง่ ตางๆ ดังนี้ 1. อายุของกลุมเด็กที่จะทําการสอน เพราะเด็กแตละวัยมี คณุ ลกั ษณะและความสามารถทแี่ ตกตา งกนั 2. เพลงทมี่ เี นอ้ื รอ งและทาํ นองงา ยๆ 3. วตั ถปุ ระสงคข องการใชเ พลงนน้ั เชน บางครงั้ อาจใชก ารรอ งเพลง เพ่ือเปนการเรียกความสนใจของเด็กกอนเรียนรสู ิ่งอื่นๆ ในลักษณะ 110 คมู ือเสรมิ สรางไอคิวและอคี ิวเดก็ สําหรับครูโรงเรยี นอนบุ าล

การนําเขา สบู ทเรยี นหรอื อาจใชเ ปนการสรปุ ทบทวนขอความรูเมอ่ื เสรจ็ สิ้น กจิ กรรมหนงึ่ ๆ 4. เทคนิคการจดั กจิ กรรมการรอ งเพลงทเี่ หมาะสม ผูสอนควร เลอื กใชเ ทคนคิ การสอนตามความถนดั ของตนเอง และเหมาะสมกบั กลมุ เดก็ ซึ่งมวี ิธกี ารทหี่ ลากหลาย เชน • ใหเ ดก็ ฟง และรอ งไปพรอ มๆ กบั ผูสอนไดโ ดยไมจ ําเปน ตอ งจดจาํ เนอ้ื รอ งใหไ ดก อน • ผูส อนบอกเนอื้ เพลงใหเ ดก็ ฟง ทลี ะบท จนเดก็ จาํ เนอ้ื เพลง ไดแ ลว คอยสอนรองใสทํานองเพลง • ผูส อนสอนใหร อ งเพลงพรอมทาํ ทา ทางประกอบไปพรอ ม กนั อาจเปนเทคนิคหนงึ่ ทชี่ วยใหเ ด็กจาํ เนอ้ื เพลงไดจ าก ทา ทางประกอบเพลง • ใชว ธิ กี ารกระตุน ใหเ ดก็ ทกุ คนมสี ว นรว ม โดยอาจแบง กลมุ เดก็ เทาจาํ นวนบทในแตล ะเพลง เชน เพลงสวสั ดี (อ.ศรนี วล รตั นสวุ รรณ) สวสั ดี สวัสดี ยนิ ดที พี่ บกนั เธอกบั ฉนั พบกันสวัสดี คมู อื เสรมิ สรา งไอควิ และอคี ิวเด็ก สาํ หรับครูโรงเรยี นอนุบาล 111

จากเพลงนีจ้ ะพบวา มี 4 บท หรอื 4 ทอน ใหแบง เด็กเปน 4 กลมุ และใหเ ด็กแตล ะกลมุ รองกลุมละทอ น ตามลําดบั 1 2 3 4 เมอ่ื รองครง้ั ที่ 2 ใหกลุมท่ี 2 รอ งทอนที่ 1 กลมุ 3 รองทอ นที่2 กลมุ 4 รอ งทอ นที่ 3 กลุม 1 รอ งทอ นที่ 4 เวยี นจนทกุ กลมุ ไดรอ งครบทกุ ทอ นแลว จงึ ใหร อ งพรอ มกนั โดย ผูสอนอาจตกลงกบั เดก็ กอ นวา เมอ่ื กลุม ใดรอ ง กลุม ทไี่ มไ ดร อ งตอ งเปนผูฟง วธิ นี จี้ ะเปน การกระตนุ ใหเ ดก็ ทกุ คนมสี ว นรว มมากทสี่ ดุ และสามารถจดจาํ เนอื้ เพลงไดเรว็ ทงั้ ยงั เปนการฝกมารยาทในการฟง ไปพรอ มกบั เดก็ ไดรบั ความ สนกุ สนานเพลิดเพลิน • ผสู อนใชส อ่ื เทคโนโลยี เชน เทปเพลงสาํ เรจ็ รปู วธิ นี เ้ี หมาะ สาํ หรบั ผูท รี่ อ งเพลงไมได หรอื รอ งแลว ทํานองผดิ เพยี้ น (ยกเวน เพลงทีผ่ ูสอนแตง เองใสทาํ นองเอง) ซ่ึงเปน สิ่งที่ ผูสอนทุกคนควรคํานงึ ถงึ กอ นการสอนรองเพลง และ ตอ งยอมรบั วา ความสามารถในการรอ งเพลงเปพ รสวรรค อยา งหน่งึ ไมไ ดเ กิดขน้ึ ในทุกคน ซึ่งควรคํานึงถงึ เดก็ วา มคี วามสามารถในดา นนแ้ี ตกตา งกนั ดว ย ดงั นน้ั การสอน โดยใชเทปเพลงจึงเหมาะสมกวาการสอนเองอยาง ผดิ เพย้ี น ซงึ่ จะทําใหเดก็ รบั รูแ ละเรยี นรูใ นสงิ่ ทผี่ ดิ เพยี้ น ไปดว ย 112 คมู อื เสรมิ สรางไอควิ และอีควิ เดก็ สําหรบั ครูโรงเรียนอนบุ าล

• ผูสอนอาจเปลีย่ นบรรยากาศในสอนรองเพลง โดยเชิญ ผปู กครองหรือรุนพี่ภายในโรงเรียนที่มีความสามารถ ในการรองเพลง ครูดนตรสี อนเด็กบา ง ครสู อนขบั รอ ง มาสอนเดก็ บาง • การสอนในบรรยากาศทสี่ อดคลอ งกบั เพลงทจี่ ะสอน เปน อกี เทคนคิ หนง่ึ ทจี่ ะทาํ ใหเ ดก็ ไดเ หน็ ภาพไปดว ย เชน สอน เด็กรองเพลงตน ไมผ ูสอนอาจพาเดก็ ไปจัดกจิ กรรมใต ตน ไม ในสวนหรอื เรือนเกษตรของโรงเรยี น 5. การสอนเพลงในแตละครง้ั ควรสอนครง้ั ละ 1–2 เพลง ไมค วร มากกวา นเี้ พราะเดก็ อาจเกดิ ความสบั สนและจําเนอื้ เพลงไมได 6. เปด เพลงใหเ ดก็ ฟง เมอ่ื มเี วลาวา ง เชน กอ นนอน หรอื เปด เพลง บรรเลงขณะเด็กปฏิบัติกิจกรรมศิลปะ เชน ขณะวาดภาพระบายสี ฉีกปะ ฯลฯ ก็จะเปนการสงเสริมการเรียนรเู ร่ืองเพลง และอาจสง ผล ใหเดก็ เพลดิ เพลินกบั การปฏบิ ตั ิกจิ กรรมศลิ ปะใหด ี ใหส วยงามยง่ิ ขนึ้ ได คูมอื เสริมสรางไอควิ และอคี ิวเด็ก สําหรับครโู รงเรยี นอนุบาล 113

• กจิ กรรมการทอ งคาํ คลอ งจอง คาํ คลอ งจอง หมายถงึ คาํ ประพนั ธ อาจเปน โคลง กลอน ฯลฯ ซงึ่ ใชค าํ งา ยๆ และมคี วามยาวไมม ากนกั มเี นอ้ื หาสาระงา ยๆ สอื่ ความหมายได เดก็ ทอ งแลว เกดิ ความสนกุ สนาน คณุ คา ของกจิ กรรม 1. สงเสรมิ พฒั นาการทางภาษา 2. สง เสรมิ พฒั นาการดา นสตปิ ญ ญา ดา นความคดิ และฝก ความจาํ 3. สง เสรมิ พฒั นาการทางอารมณ ใหเ ดก็ สนกุ สนาน เพลดิ เพลนิ 4. สงเสริมพัฒนาการทางสังคม ความมีระเบียบวินัยและ การปฏบิ ตั กิ จิ กรรมรว มกบั ผูอน่ื เนอื้ หา คําคลอ งจองอาจแยกไดเ ปน 2 ประเภทใหญ คือ 1. มเี นอ้ื หาสมั พนั ธก บั เรอื่ งทสี่ อน คําคลองจองบางบทมขี อ ความ ท่ีสัมพันธกับเนื้อหาในหนวยการสอน ทาํ ใหเด็กมีความเขาใจและจดจํา เรอ่ื งราวตา งๆ ทเี่ กยี่ วขอ งกบั หนว ยการสอนไดร วดเรว็ ยงิ่ ขนึ้ เชน หนว ยแมเ หลก็ คาํ คลอ งจอง แมเ หล็ก (ไมทราบนามผแู ตง) แมเ หลก็ นนั้ หนา หนา ตาหลายอยา ง ดดู เกาะไมวาง พวกเหลก็ ดวยกัน สว นไมก ระดาน อโลหะนนั้ เลิกสนใจพลนั ฉนั ไมด ดู เลย 114 คมู ือเสรมิ สรา งไอควิ และอีคิวเดก็ สาํ หรบั ครูโรงเรยี นอนุบาล

2. ไมส มั พนั ธกบั เรอ่ื งทสี่ อน แตเปน คาํ คลอ งจองทคี่ รใู หเ ดก็ ทอ ง เพอื่ ความสนกุ สนาน เพลดิ เพลนิ และผอ นคลายความตงึ เครยี ดในขณะทํา กจิ กรรมท่ีตองใชส มาธิมากๆ เชน คาํ คลอ งจอง “หงกิ หงิก งอ งอ” คาํ คลองจอง “หงิก หงกิ งอ งอ” (ไมทราบนามผแู ตง ) หงิก หงกิ งอ งอ หัวรอ คกิ คกิ สายหวั ดุก ดิก๊ หงกิ หงิก งอ งอ เทคนคิ การดําเนนิ กจิ กรรม ในการสอนคาํ คลอ งจองใหก บั เดก็ ผสู อนสามารถใชเ ทคนคิ วธิ กี าร ตา งๆ เฉพาะตัวไดอ ยา งหลากหลาย เชน • สอนตามลาํ ดับขนั้ ตอน คอื 1. ครจู ะพดู คาํ คลอ งจองใหเดก็ ฟง กอ น 2. ครพู ดู คาํ คลอ งจองใหเ ดก็ พดู ตามทลี ะวรรคจนจบบทใหเ ดก็ พดู คาํ คลอ งจองตามซ้ําอกี 2–3 ครง้ั เมือ่ เดก็ จาํ ไดบา งแลว จึงใหพูดพรอ มๆ กบั ครู 3. ขณะทพี่ ดู คาํ คลอ งจองครอู าจใหเ ดก็ ทาํ ทา ทางประกอบไปดว ยถา ทาํ ได เพราะถาครทู ําใหด ู เดก็ กจ็ ะทําทาทางประกอบตามครู 4. เมอื่ เดก็ จาํ คาํ คลอ งจองและทาทางประกอบไดแ ลว จงึ ใหเ ด็ก พดู คําคลอ งจอง และทําทา ประกอบเอง โดยครคู อยแนะนาํ อยใู กลๆ คูมือเสรมิ สรา งไอคิวและอคี ิวเด็ก สําหรบั ครโู รงเรียนอนบุ าล 115

• ใชว ธิ กี ารกระตุน ใหเ ดก็ ทกุ คนมสี ว นรว ม โดยอาจแบง กลุม เดก็ เทา จาํ นวนประโยคของคาํ คลอ งจองในแตล ะบท เชน คาํ คลอ งจอง บา นแสนสวย ฉนั คอื บา นแสนสวย มปี ระตดู ว ยชา งงามนา ดู มีเด็กเล็กเล็กน่ังอยู มพี นื้ งามหรทู ั้งหมด 10 คน จากคาํ คลอ งจองบทน้ีจะพบวา มี 4 บท หรอื 4 ทอ น ใหแ บง เดก็ เปน 4 กลุม และใหผ ูส อนบอกใหเ ด็กแตละกลมุ พูดตามทลี ะทอน ตามลาํ ดับ 1 2 3 4 เมื่อพดู คร้งั ที่ 2 ใหก ลุมที่ 2 พดู ทอ นที่ 1 กลุมที่ 3 พูดทอนท่ี 2 กลมุ ท่ี 4 พดู ทอนท่ี 3 กลุม 1 พดู ทอนที่ 4 เวยี นจนทุกกลมุ ได ทอ งครบทกุ ทอ นแลวจงึ ใหพ ดู คาํ คลอ งจองทงั้ บทพรอ มกนั โดยผูส อนอาจ ตกลงกับเดก็ กอ นวาเม่อื กลมุ ใดกาํ ลงั พูด กลมุ ทไี่ มไดพดู ตอ งเปน ผฟู ง วิธีน้ีจะเปนการกระตนุ ใหเด็กทุกคนมีสว นรวมมากท่ีสุด และ สามารถจดจําคําคลอ งจองไดร วดเร็ว ทั้งยังเปนการฝกมารยาทในการฟง ไปพรอ มกบั เด็กไดรบั ความสนกุ สนานเพลดิ เพลนิ • การสอนคาํ คลอ งจองในแตละครงั้ ควรสอนครงั้ ละ 1–2 บท ไมค วรมากกวา นเ้ี พราะเดก็ อาจเกดิ ความสบั สนและจาํ ไมไ ด 116 คูมอื เสริมสรา งไอคิวและอคี วิ เด็ก สําหรบั ครูโรงเรยี นอนุบาล

• การสง เสริมกจิ กรรมศลิ ปะ ศลิ ปะเปน เครอ่ื งมอื ทชี่ ว ยใหเด็กฉลาด พฒั นาความคิดสรา งสรรค สรา งจนิ ตนาการ และชว ยใหเ ดก็ ออนโยน มที ศั นคตติ อ โลกและเพอื่ นมนษุ ย ทดี่ ี อยา งพรอมจะเปน สว นหนงึ่ ของสังคมไดด ว ย พฒั นาการทางศลิ ปะของเดก็ เด็กวัย 2-4 ป เปน วยั แหง การขดี เข่ีย ดว ยเปน วัยท่เี ดก็ เริ่มมี การพฒั นาทางรา งกายที่สมบรู ณม ากข้ึน ทงั้ สายตา มอื และการเคลอ่ื นไหว ตา งๆ เร่มิ แรกอาจจะเปน การขดี เขีย่ ที่ไรก ารควบคมุ แตหากเด็กไดทําซาํ้ กนั บอ ยๆ กจ็ ะสามารถควบคุมมือ และถา ยทอดความรสู กึ ภายในออกมา ได การเริ่มตนสรางงานศิลปะของเด็กเล็กจะเร่ิมต้ังแตการสรา งเสนและ รปู ทรงงา ยๆ และเรมิ่ สรางรปู รางทหี่ ลากหลายจากเสนตางๆ เด็กวัย 4-7 ป เปนวัยแหงการถายทอดความรูของตนท่ีมี ตอ ส่ิงตา งๆ ออกเปนสญั ลักษณ คมู อื เสรมิ สรา งไอคิวและอคี ิวเด็ก สาํ หรบั ครโู รงเรยี นอนบุ าล 117

เด็กจะเต็มไปดวยจินตนาการ แสดงออกดวยภาพท่ีมีชนิดและ รปู รา งทหี่ ลากหลาย และเมอ่ื ใหเ ดก็ เลา ทมี่ าของการสรา งภาพในชว งนอ้ี อกมา กจ็ ะสามารถเลาไดอยางเปน เรอื่ งเปน ราว เดก็ จะสนกุ กบั ภาพในจนิ ตนาการ ระยะหนึ่ง จากน้ันจะเริ่มหันเหความสนใจไปสสู ิ่งที่เปนกฏเกณฑ และ ความเหมือนจริงย่ิงข้ึน เด็กจะแสดงออกในสิ่งที่ตนชอบและสนใจ เชน เครอื่ งบิน จรวด มนษุ ยก บ รวมไปถงึ การตูนจากโทรทศั น เดก็ จะวาดรปู ตามแบบอยา งทเี่ ขาชอบและเพยี รพยายามวาดใหเหมอื นจรงิ ทสี่ ดุ การสง เสรมิ พฒั นาการทางศลิ ปะอยา งเปน ขนั้ ตอน 1. การเรมิ่ ตน เรมิ่ ตน ดวย การวาดรปู ทรงงายๆ เชน วงกลม เปน ส่งิ ทเี่ ปน เดก็ อายุ 2-3 ป ถายทอดออกมาไดมากทสี่ ดุ การที่เดก็ บังคับมือ ใหสามารถสรา งวงกลมไดเ ปน การพฒั นาทนี่ า ชน่ื ชมยงิ่ เสน ตรง เปน เสน ทเี่ ดก็ เรยี นรูใ นอนั ดบั ตอ มา และเมอื่ เดก็ สามารถ นาํ เสน ตรงเหลานม้ี าผสมกับวงกลมจนไดร ปู รางงา ยๆ ของคน สง่ิ ของ และ สัตวตา งๆ ก็คอื ความสาํ เรจ็ อกี ขนั้ หนงึ่ การใหเด็กขดี เสน ตามรปู รา งของวัสดทุ ี่ทาบบนกระดาษ เปน การ สรา งสรรคอ ยางหน่งึ ของเด็กเลก็ ๆ เด็กวัย 2-3 ขวบ ชอบเลยี นแบบสิง่ ท่ี พบเห็นมาก และคืองานสรางสรรคอยางหนึ่งของเด็ก เด็กไดเรียนรวู า 118 คูมอื เสริมสรางไอคิวและอคี วิ เดก็ สาํ หรับครโู รงเรียนอนุบาล

รปู ทรงของสงิ่ ตา งๆ เปนอยา งไร และตลอดเวลาทเี่ ดก็ ไดล ากเสน ไปตามวตั ถุ นน้ั เด็กไดส ัมผัสถงึ รายละเอยี ดอยางแทจ รงิ ไปในตัว ทําใหไ ดค วามรใู หม เพมิ่ พนู ขน้ึ โดยไมร ูต วั 2. พฒั นาจากงาน 2 มิติ เปน 3 มิติ การหนั เหจากการสรางงาน ศิลปะของเด็ก จากงาน 2 มิติ มาเปน การใชเศษวสั ดุตางๆ ประดิษฐเปน ของเลนดวยตัวเอง สรางเปนงาน 3 มิติ เอาเศษกระดาษสรางเปนรูป สง่ิ ของ และสตั วต ามจนิ ตนาการของเดก็ เดก็ จะรจู กั การสรางสรรคด ดั แปลง การออกแบบ ซงึ่ เปนการพฒั นาสมองทดี่ ี ในการทํางานศลิ ปะเหลาน้ี ผใู หญ อาจเปน ผูเ รม่ิ ตน และคอยชว ยเหลอื บา งตามสมควร จนเดก็ รสู กึ สนกุ กบั การ สรา งสรรคด ว ยตวั เองแลว จงึ วางมอื ใหระวงั อยา ไปทําใหเ ดก็ ตงั้ แตตน จนจบ 3. ใหอ สิ ระเดก็ ในการสรา งสรรคศ ลิ ปะ ศลิ ปะในหวั ใจเดก็ ไมจ าํ กดั วาตอ งเปนการวาดภาพระบายสี หรอื ปน แกะสลกั เทา นนั้ เดก็ อาจคน พบวธิ ี การทํางานศลิ ปะดว ยตวั เอง ซง่ึ การคน พบนเี้ ปน สงิ่ ทนี่ าตนื่ เตนและสนกุ สนาน สาํ หรับเดก็ เชน การสอดวสั ดุบางอยาง เชน หวี เหรียญและสงิ่ อื่นๆ เขา ไป ใตแผน กระดาษขาว และใชป ลายดนิ สอฝนลงไปทวี่ ัตถนุ นั้ เกดิ ภาพเสมอื น จริงของวัตถุนั้นขึ้นมาก การวางมอื บนกระดาษและลากเสนตามโครงราง นว้ิ มอื แลว ระบายสใี นรปู มอื การใชส ที าบนวสั ดตุ างๆ แลว ทาบบนกระดาษ เกดิ ภาพเหมอื นลกั ษณะการพมิ พ คูม ือเสรมิ สรางไอคิวและอคี วิ เดก็ สาํ หรับครูโรงเรียนอนบุ าล 119

4. ใชธ รรมชาตใิ นการแสดงออกทางงานศลิ ปะของเดก็ จะเพมิ่ พนู ความคิด จินตนาการ การเรียนรแู ละการแกไขปญหา เชน เมือ่ จะใหเดก็ วาดภาพใบไม ก็ใหเดก็ ไปสัมผัสและเรยี นรกู ับพชื ชนดิ นัน้ ๆ จรงิ ๆ วา เปน อยา งไร 120 คมู อื เสริมสรา งไอควิ และอคี วิ เด็ก สําหรับครูโรงเรยี นอนบุ าล

ปจ จยั เสรมิ สรา งพฒั นาการดา นศลิ ปะของเดก็ 1. เรมิ่ ตน ฝก หดั ต้งั แตว ยั เดก็ เลก็ การใหเ ดก็ แสดงออกทางศลิ ปะเดก็ สามารถทาํ ไดแ มว า ทกั ษะการ ใชม อื ยงั ไมค ลอ งแคลว นกั ควรใหสแี ละดนิ สอแกเ ดก็ ในทนั ทที เี่ ดก็ สามารถ ใชน ว้ิ ทงั้ 5 ได เรมิ่ ตน ตงั้ แต 2 ขวบ ไปถงึ 4 ขวบ มผี ลการทดลองทยี่ นื ยนั วา เดก็ ทีไ่ ดรับการฝกในการลากเสนตางๆ มาตงั้ แตยงั เด็กๆ จะสามารถเขยี น หนังสือและใชมือทาํ งานตางๆ ไดอยางคลอ งแคลว ท้ังยังมีพัฒนาการ ทรี่ วดเร็วมากกวาเดก็ ทเี่ พงิ่ มาเรม่ิ ตน จบั ดนิ สอเมอ่ื อายุเขา เรยี นแลว 2. ใหอ สิ ระเดก็ โดยไมส ะกดั กน้ั ความคดิ และจนิ ตนาการของเดก็ เดก็ เลก็ ทเี่ พงิ่ เรม่ิ เรยี นรูก ารใชม อื มกั ขดี เขยี่ ดินสอไปอยางไร ทิศทางและไมสนใจท่ีจะเปล่ียนสีสันของดินสอใหแปลกไปกวาเดิม การขดี เขีย่ เสนอยางไมประณตี งดงามของเดก็ เล็กๆ น้ี แมจ ะดูเปนสิง่ งาย แสนงา ย แตน ่นั คอื ชัยชนะอันย่งิ ใหญใ นชวี ิตของเด็กทเี ดยี ว ในขณะทีเ่ ดก็ เรม่ิ ตน ขดี เขยี นอยา งไรทศิ ทางเชน น้ี ครไู มค วรรบี รอ นเรยี กรอ งใหเ ดก็ สราง รปู ทรงอยา งรวดเรว็ เกนิ ไป ดว ยคาํ ถาม เชน “ทาํ ไมไมเ ปน อยา งนน้ั ละ ” หรอื “จะตองเปน อยา งนซี้ ถิ งึ จะถกู ” “เขยี นนซี่ ลิ กู ” หรอื “ดอกไมต องมสี แี ดงซจิ ะ ” “ ปลาทําไมไมม คี รบี ” และถอ ยคาํ อนื่ ๆ ทสี่ ะกดั กนั้ ความคดิ และจนิ ตนาการ ของเด็ก การมองผลงานสรางสรรคของเด็กเล็กดวยสายตาของผใู หญ คมู อื เสรมิ สรา งไอคิวและอีควิ เดก็ สาํ หรบั ครโู รงเรยี นอนุบาล 121

ไมใชสิง่ ทถี่ ูกตอง เพราะจะทําใหเกดิ คาํ สง่ั และกตกิ าตางๆ เกิดขึ้นมากมาย ซง่ึ ทกุ อยา งลว นแตเปนเรอ่ื งยากเกนิ ไปสําหรบั เดก็ 3. ใชว สั ดอุ ปุ กรณทหี่ ลากหลาย ชว ยกระตุน การเรยี นรดู านศลิ ปะ • ใหเ ดก็ เรียนรคู วามแตกตางของสีตา งๆ โดยจัดหาสีมาวางไว ใกลมอื เด็กจะสนุกสนานกบั การเปลยี่ นสีแตล ะเสน • การเปล่ยี นวสั ดุ จากดินสอสไี ปสูสชี อลก หรอื สีเทยี นกเ็ ปน เครอื่ งกระตุน ใหเดก็ สนกุ สนานกบั ความแปลกใหมม ากขนึ้ วยั อนบุ าลกส็ ามารถเลน สนี า้ํ ไดแ ลว การเปลยี่ นสไี ปหลายๆ อยา ง เปน การสอนใหเ ดก็ เรยี นรวู สั ดใุ นการสรา งสรรค รวมไปถงึ ทาํ ให เดก็ ไดร บั กระบวนการใหมใ นการทาํ งาน • อุปกรณอื่นๆ ที่เด็กทํางานศิลปะท่ีครูควรจัดเตรียมไดแก ดนิ นํา้ มนั และกระดาษสชี นดิ ตา งๆ ทสี่ มควรจดั ไวใ กลม อื เดก็ การบบี นวดดนิ นํา้ มนั ชวยใหเ ดก็ ไดพ ฒั นากลา มเนอื้ ใหแ ขง็ แรง การขยํารูปทรงตางๆ ทาํ ใหเด็กเรียนรรู ูปทรง 3 มิติ ที่มี ท้ังความกวาง ความยาวและความสูง เชนเดียวกับการ ฉีกกระดาษสีใหเกิดเปนรูปรางตาง รวมไปถึงการขยําขย้ี การพบั หกั งอ กล็ ว นแลว แตเ ปนสง่ิ ทเี่ ด็กโปรดปราน 122 คมู อื เสรมิ สรา งไอคิวและอีควิ เดก็ สาํ หรบั ครูโรงเรียนอนุบาล

4. การใหคาํ ชมเชย รบั ฟง ความคดิ เห็น ใหเ ด็กอธิบายสง่ิ ท่ี ทําอยางอสิ ระ ทําใหส มองเดก็ มกี ารแตกกงิ่ กา นสาขามากขนึ้ 5. หลีกเล่ยี งการเปรียบเทยี บผลงานของเดก็ แตล ะคน ซง่ึ ใช มมุ มองการตดั สนิ ของผูใ หญ การสงั เกตพฒั นาการของเดก็ ควรเปรยี บเทยี บ กบั ตวั ของเดก็ เอง ในความกา วหนา ทเี่ ขาทําไดแตละขนั้ 6. ฝก การมรี ะเบยี บวนิ ยั ในขณะทาํ งานศลิ ปะ เชน ใหเ ดก็ ขดี เขยี น ในกระดาษทเี่ ตรยี มไว ไมข ดี เขยี นบนฝาผนงั ใหเ กบ็ ขยะ และเศษอปุ กรณ ตา งๆ ทาํ ความสะอาดอปุ กรณ และเกบ็ อปุ กรณต า งๆ ใหเ รยี บรอ ยเมอื่ ทาํ งาน เสรจ็ แลว คูมือเสริมสรา งไอคิวและอคี วิ เดก็ สําหรับครโู รงเรียนอนุบาล 123

       124 คูม ือเสรมิ สรางไอควิ และอคี ิวเดก็ สําหรับครโู รงเรยี นอนุบาล

ปญ หาของเดก็ อนุบาล 3 – 5 ป ที่พบบอ ยและแนวทางแกไข ปญ หาทพี่ บบอ ยในเดก็ อนบุ าลเปน ปญ หาทรี่ บกวนการเรยี นของเดก็ และทําใหค รรู ูส กึ ลาํ บากใจ เนื่องจากเด็กไมสามารถเขา รวมทํากจิ กรรมได เพราะมขี อ จาํ กดั บางอยา ง ปญ หาหรอื ขอ จาํ กดั เหลา นนั้ เปน สงิ่ ทคี่ รอู าจตอ งเฝา ระวงั และใหค วามสนใจเปน พเิ ศษเพราะเปนส่งิ ทข่ี ดั ขวางการพฒั นาความ ฉลาดทางอารมณแ ละสตปิ ญ ญาของเดก็ สาเหตสุ าํ คญั ของปญ หามาจากการ เลย้ี งดแู ละการปลกู ฝง ตงั้ แตใ นวยั กอนเขาเรียน ซง่ึ ครจู าํ เปนตอ งเขา ใจและ หาแนวทางในการแกไ ข คูมอื เสริมสรา งไอควิ และอคี วิ เด็ก สําหรับครโู รงเรยี นอนบุ าล 125

1. ขอ้ี าย เปนอาการท่พี บไดในเด็กท้ังกอ นวัยเรียนและเด็กวัย อนบุ าล โดยลกั ษณะของเดก็ ขอ้ี ายเชน เวลาซอ มการแสดงจะทาํ ไดด ี แตเ มอื่ ตอ งแสดงตอ หนาผูค นจะไมส ามารถทําได เนอ่ื งจากอายไมก ลา ซงึ่ ทําใหครู รูส กึ ลาํ บากใจในการจดั กจิ กรรมใหก บั เดก็ เหลา นี้ สาเหตสุ ว นหนงึ่ เกดิ จากการ เลยี นแบบพอ แมทขี่ อี้ าย ไมก ลา พูด ไมก ลาแสดงออก แตสวนหนงึ่ เกิดจาก เดก็ ที่อยใู นครอบครวั เล็กๆ มีเฉพาะพอ แม พ่เี ลย้ี ง หวงเดก็ มาก ทําใหเ ดก็ ไมม ที กั ษะทางสงั คม ไมกลา แสดงออก อกี ทงั้ ไมม โี อกาสทจี่ ะไดเ ลน กบั เพอื่ น เน่ืองจากพอแมท่ีปกปองมากเกินไป เด็กไมรจู ักรับผิดชอบงานตางๆ ไมมั่นใจ ไมกลาทําสิ่งตางๆ นอกจากนี้การเล้ียงดูอยางเรงรัดเกินวัย ทาํ ใหเ ดก็ ไมพรอม เกิดความกังวลใจ หวน่ั ใจ และไมแ นใ จในการกระทํา ของตนเอง และท่สี ําคัญคอื การที่เด็กถกู ลอเลยี นจากเพ่ือนเชน พูดไมชัด ทง้ั ๆ ทส่ี ตปิ ญ ญาดี แตผลการเรียนไมด ี เพราะวติ กกังวลในเร่ืองการถกู ลอเลยี น แนวทางการแกไ ข ใหเ ดก็ ไดม โี อกาสเลน กบั เพอื่ นบอ ยๆไมจ องดู และไมกํากบั การเลน พยายามอยา กดดนั ใหเด็กทําสงิ่ ใดทเี่ กนิ วฒุ ภิ าวะและ พัฒนาการของเขา และไมค วรลอเลยี นในจุดดอ ยของเด็ก ใหเดก็ ฝกรจู ัก รับผิดชอบทํากิจวัตรประจําวันดวยตนเอง ทําการบาน ชวยเหลือครู ในสง่ิ ทสี่ ามารถทําได 126 คมู ือเสริมสรา งไอควิ และอีคิวเด็ก สําหรบั ครโู รงเรยี นอนุบาล

2. ดอื้ เอาแตใ จตนเอง ตองการใหต อบสนองแตค วามตอ งการของ ตนเอง เมอ่ื เตบิ โตขนึ้ จะกลายเปน คนเหน็ แกต วั ไมม นี ้าํ ใจ สาเหตจุ ากพอ แม ทีร่ กั และเอาใจลูกมากเกนิ ไป หรอื เดก็ เปน ลกู คนเลก็ ลกู คนเดยี ว เมอ่ื เขา โรงเรยี นทําใหเ ดก็ เหน็ แกต วั และเอาแตใ จตนเอง แนวทางการแกไ ข ใหเ ดก็ ไดม โี อกาสตดั สนิ ใจในการเลน มกี จิ กรรม ทงั้ ทเี่ ปน ผูน าํ และผตู ามเพอื่ ใหเ ดก็ เรยี นรวู า ไมสามารถยดึ ถอื ความคดิ ของ ตนเองไดเ พยี งฝา ยเดยี ว มกี ารตงั้ กฎกตกิ าในการทํากจิ กรรมและการเลน ที่ ชดั เจน หากทําผดิ กฎจะมกี ารถกู ลงโทษ 3. ขี้เกียจ ไมรบั ผิดชอบ มีสาเหตมุ าจากพอ แมที่ตามใจลกู และ ชวยทําทุกสงิ่ ทกุ อยา งจนเดก็ ไมส ามารถชว ยเหลอื ตนเองได พอ แมม คี วาม กงั วลและหว งลกู มากเกนิ ไป ไมใ หล กู ชว ยเหลอื งานตา งๆ ทเี่ ดก็ สามารถทําได คดิ แทนลกู ในทกุ เรอื่ ง แนวทางการแกไ ข ใหเ ดก็ ไดม โี อกาสในการชว ยเหลอื ตนเองโดยไม ขดั ขวางธรรมชาตคิ วามเปนตวั ของตวั เองของเดก็ เชน เดก็ อยากเลน ของเลน ทโี่ รงเรยี นไมค วรขดั ขวางเพอ่ื ใหเ ดก็ ไดม อี สิ ระในการคดิ มากกวา ทพี่ อ แมต อ ง คดิ ใหต ลอดเวลา นอกจากนนั้ ควรมกี จิ กรรมเสรมิ สรา งความเปน ตวั เอง เชน ใหเ ดก็ กาํ หนดการลงโทษเมอ่ื เลน หรอื ทาํ กจิ กรรมผดิ กตกิ า ใหเ ดก็ ไดร บั ผดิ ชอบ งานที่สามารถทําได อาจเปนการชวยเหลือครู เชน ชวยยกหนังสือ ชว ยแจกสมดุ การบา นใหเ พอื่ น ชว ยจดั เวร รายงานชอ่ื เพอื่ นทไี่ มม าโรงเรยี น คมู อื เสริมสรางไอคิวและอคี ิวเดก็ สาํ หรับครโู รงเรยี นอนุบาล 127

4. ขยิบตา เปนอาการของเด็กในชวงวัยอนุบาลท่ีไมสามารถ ควบคมุ ได โดยเดก็ จะแสดงอาการกะพริบตาถบี่ อ ยๆ บางคนขยบั มุมปาก อาการเหลาน้ไี มใ ชโรคติดตอ สาเหตเุ กดิ จากความเครียด พันธกุ รรมและ สารเคมบี างอยางในสมองผดิ ปกติ แนวทางการแกไ ข พยายามไมส รา งความเครยี ดใหก บั เดก็ เพราะ ทโี่ รงเรยี นเดก็ อาจมคี วามเครยี ด เชน เรอ่ื งการเรยี น ความสมั พนั ธก บั ครู ความ สมั พนั ธก บั เพอื่ น นอกจากนไ้ี มควรย้าํ ถาม หรอื บงั คับใหเ ดก็ หยุดทําอาการ ขยบิ ตา ใหเ ดก็ ไดมโี อกาสระบายอารมณห รอื แสดงอารมณบ า ง แตถ า มอี าการ อยตู ลอด 2 – 3เดือน แลวยงั ไมด ขี ้นึ ควรพาเด็กไปพบจิตแพทย 5. รอ งกร๊ีดแลว ด้ิน เปน ปญ หาทเี่ กดิ ขน้ึ ตามปกติ อาจเปนเพราะ ดว ยวยั อนบุ าลทยี่ งั เอาแตใ จตนเองใชค วามรูส กึ ของตนเองเปน ศนู ยก ลาง ไม คอยมีเหตุผล ภาษายังไมพัฒนาเต็มที่จึงตองแสดงออกดวยทาทางและ พฤติกรรม อีกทงั้ ในเรื่องของพ้ืนฐานอารมณของเด็กเชน เด็กท่ีมีพืน้ ฐาน อารมณร อ นจะปรบั ตวั ยากเลยี้ งยาก ไมพ อใจจะแสดงอารมณร อ นไดร นุ แรง ซง่ึ สว นหนงึ่ เปน ผลจากการเรยี นรู แนวทางการแกไข ครตู องใชห ลักการเรยี นรูกับเดก็ โดยถา เด็ก เรยี นรวู า พฤตกิ รรมใดเปน พฤตกิ รรมทไ่ี ดป ระโยชนต อ ตนเอง เชน ไดร บั ความ สนใจ เดก็ จะรองหรอื นอนดน้ิ โดยไมม เี หตผุ ล ใหเบยี่ งเบนความสนใจ โดย ใชว ธิ นี ซี้ า้ํ ๆ แลว ในทสี่ ดุ จะเลกิ รอ งหรอื ลงนอนดน้ิ เอง ถา เบยี่ งเบนความสนใจ 128 คูมือเสรมิ สรา งไอคิวและอคี ิวเด็ก สําหรบั ครูโรงเรียนอนบุ าล

แลวยงั ไมไ ดผ ล ใหเมนิ เฉย ถา เดก็ จะรองแรงขน้ึ ไปอีก ในทสี่ ดุ เขาก็จะรูวา ขืนรองตอไปก็ไมส ามารถเรียกรองความสนใจจากเราได เมื่อหยุดรอ ง กอ็ ธบิ ายใหเ ดก็ ฟง วา ”คราวหนา ไมต อ งรอ ง มอี ะไรกบ็ อกครไู ด” อยา งไรกต็ าม ควรตอ งระมดั ระวงั มใิ หเ ดก็ ไดร บั อนั ตรายในขณะทนี่ อนดนิ้ บนพนื้ 6. เด็กพูดไมจรงิ การทเ่ี ด็กพูดไมจ ริงมสี าเหตมุ าจากการกลวั การลงโทษเมอ่ื เดก็ กระทําผดิ ซงึ่ ขนึ้ อยกู บั วา พอ แมเ ลย้ี งดมู าแบบใดลงโทษ รนุ แรงหรอื ไม ถา พอ แมทลี่ งโทษอยา งมเี หตุผลเดก็ มกั จะไมพ ดู โกหก แนวทางการแกไ ข เม่ือครรู ูวา เดก็ พดู ไมจ รงิ สอนใหเขา ใจวา ถา พดู ไมจ รงิ แลว คนทฟี่ ง กจ็ ะตอ งพยายามคน หาความจรงิ จนพบแลว เขาจะรูส กึ ไมด ถี า รูวา เดก็ โกหก ดงั นน้ั เมอื่ เดก็ โกหก ควรจะขอโทษเมอื่ โกหกแลว บอก ความจรงิ หาทางแกไ ขความผดิ โดยไมตอ งโกหก เชน ถา ทําแจกนั แตกกจ็ ะ ตอ งหาแจกนั ใบใหมมาใชท ดแทน โดยจะใชเ งนิ ทเี่ ปน ของขวญั วันเกดิ ไปซอื้ เปน ตน ถา เดก็ ตองการใหผ อู น่ื เชอ่ื ถอื ตองพูดความจรงิ ทสี่ าํ คญั ครไู มค วร โกหกกับเด็ก ควรสอนในเร่ืองของการแยกความเพอฝนกับความจริง เชน “จริงๆ แลว หนูไมมีมานะคะ” แตห นูคงอยากมีมาแนเลยใชม้ัยคะ อาจสอนเพ่ิมเติมเพ่ือใหเขารูจักถึงความแตกตางระหวาง” “แสรงทาํ ” กบั “ความจรงิ ” ดว ย คูมอื เสริมสรา งไอคิวและอคี ิวเดก็ สําหรับครโู รงเรยี นอนุบาล 129

7. ชอบแยง ของเลน ในเดก็ วยั อนบุ าลเดก็ ยงั ไมเ ขา ใจสทิ ธขิ องผอู น่ื ยงั ไมเ ขา ใจขอบเขตของสทิ ธสิ ว นบคุ คลดพี อ และมลี กั ษณะทรี่ ะงบั ความตอ งการ ของตนเองยังไมเปนหรือยังไมดีนัก เมื่อเห็นใครเลนก็อยากเลนบาง อยากไดเปน ของตนเองบาง เด็กจะเขา ไปแยงทันที สวนหนึง่ เกิดจากการ ทเี่ ดก็ ถกู ตามใจมากจะไมร ูจ กั ขอบเขตของสทิ ธิ แนวทางการแกไ ข ครสู อนใหเ ดก็ รจู กั คาํ วา “ขอยมื ” เมอ่ื เลนเสรจ็ แลวกก็ ระตนุ เตอื นใหเอาไปคนื เพอื่ น ถาเปน ของทเี่ ดก็ คนอน่ื ไมย อมใหเ ลน บอกใหรูวาไมใ ชข องเรา แลว เบยี่ งเบนความสนใจไปยงั จดุ อนื่ และเอาตวั เดก็ ออกจากเหตกุ ารณน น้ั ๆ เดก็ จะเรยี นรูค ําวา ของๆเราไดดี และจะมวี ฒุ ภิ าวะ ทางอารมณด ว ยคอื รูจกั ระงบั อารมณและความตอ งการหรอื รจู กั รอคอย 8. กลวั การไปโรงเรียน เดก็ จะมปี ฏกิ ิรยิ าตอตา นการไปโรงเรยี น รองไหท กุ เชา รบั ประทานอาหารเชา ไมล ง งอแงไมย อมแตงตวั บน วา ไมอ ยาก ไปเรยี น บน วา กลวั ครู บางคนมอี าการปวดศรี ษะ ปวดทอ ง นอนละเมอ หลบั ๆ ตนื่ ๆ ในวัยอนบุ าลอาการเหลาน้ี ไมใ ชเ ปน ความรสู กึ กลัวโรงเรยี นหรือกลัว ครโู ดยตรงแตจ รงิ ๆ แลว เปน ความรูส กึ กงั วลตอ การพลดั พรากจากแม ปญ หา สว นหนงึ่ มาจากพอ แมท ปี่ กปอ งลกู มากเกนิ ไป ทาํ ใหเ ดก็ อยากอยูบ า นมากกวา ทโี่ รงเรยี น 130 คูม ือเสรมิ สรา งไอคิวและอีควิ เดก็ สําหรบั ครูโรงเรียนอนุบาล

คูมือเสรมิ สรางไอควิ และอีควิ เดก็ สําหรบั ครูโรงเรยี นอนบุ าล 131

แนวทางการแกไ ข ครูตอ งอธิบายและแนะนําใหพอ แมห นักแนน เพื่อประโยชนข องเด็ก ซ่ึงถาพอแมรวมมอื จะไดผลดี ถากรณีทพ่ี อแมมี ความวติ กกงั วลสงู และเดก็ ขาดโรงเรยี นเปน เวลานานตอ งใชว ธิ แี บบคอ ยเปน คอ ยไป เชน ใหเ ดก็ ไปโรงเรยี นชว งทไี่ มม เี รยี นกอ น แลว เพมิ่ เวลาอยทู โี่ รงเรยี น มากขึ้นทกุ วนั ครูอธิบายใหพ อแมทราบวา เด็กอาจจะเรียนไมทนั เพื่อน เด็กอาจจะเกิดความกังวลและกลัว ครูควรใหรางวัลเด็กถาเด็กยอม ไปโรงเรยี นและถอดถอนรางวัลถา เดก็ ไมไ ปโรงเรยี น 9. ปส สาวะรดทนี่ อน ในวยั อนบุ าลมสี าเหตเุ กดิ จากการตดิ เชอื้ ของ ทางเดนิ ปส สาวะ หรอื เกดิ จากความเครยี ดเชน ครอบครวั แตกแยก การจาก แมนานเกนิ 1 เดอื น การยา ยบา น การทแี่ มคลอดนอ ง การเขาเปนผปู ว ย ในโรงพยาบาล ปญ หาการฝก หดั การขบั ถา ยทพี่ อ แมอ าจไมไ ดฝ ก เมอื่ ถงึ วยั อนั ควร แนวทางการแกไ ข ครใู หค าํ แนะนาํ แกพอ แมใ นการฝก เดก็ ใหรางวลั เดก็ เมอื่ เดก็ ไมป สสาวะรดทน่ี อนทโี่ รงเรยี น การจดบนั ทกึ และใหเ ดก็ วาดหรอื ตดิ ดาวในวันท่เี ด็กไมไ ดป ส สาวะรดทน่ี อน และแนะนําใหพอ แมฝก ท่บี า น โดยใหเ ดก็ ปสสาวะกอ นนอน หรอื ตงั้ เวลาปลกุ ใหเ ดก็ ปสสาวะเปน เวลาชว ง กลางคนื 132 คูมือเสรมิ สรา งไอควิ และอคี วิ เดก็ สําหรบั ครโู รงเรยี นอนุบาล

คูมือเสรมิ สรางไอควิ และอีควิ เดก็ สําหรบั ครูโรงเรยี นอนบุ าล 133

10. การไมเ ปน ท่ียอมรับของเพ่ือน ความสัมพันธกับเพ่ือนมี ความสาํ คญั ตอ เดก็ ตงั้ แตวยั อนบุ าล การมเี พอ่ื นสนทิ ชว ยลดผลกระทบทไี่ ม ดที อี่ าจมตี อเดก็ ขณะทกี่ ารถกู เพอื่ นปฏเิ สธ การตกเปน เหยอื่ ของการรังแก การรังแกหรือรวมกลุมกับเพื่อนไมดี จะมีสวนทาํ ใหเกิดปญ หาตามมา การถกู เพอ่ื นรงั แกทําใหเ ดก็ มปี ญ หาความมนั่ ใจในตนเอง ซง่ึ เดก็ ทรี่ งั แกเดก็ อน่ื มคี วามกา วราวตอบุคคลอนื่ เชน พน่ี อ ง พอแม และครดู ว ย เดก็ เหลา น้ี นยิ มความรนุ แรงและไมเ หน็ อกเหน็ ใจคนอนื่ มคี วามแขง็ แรงกวา เดก็ ในวยั เดยี วกนั บคุ ลกิ ภาพแบบกา วราวดงั กลาวเกดิ จากพนื้ ฐานอารมณ ซงึ่ เกดิ จาก พอแมทเี่ ลย้ี งดแู บบบงั คบั และวางอาํ นาจโดยไมใหค วามอบอุน การควบคมุ และช้ีแนะเหตุผล เด็กท่ีรังแกเด็กอื่นสวนใหญมีปญหาวิตกกังวล รูส ึก ไมป ลอดภยั หรอื ไมมน่ั ใจในตวั เอง มสี วนนอ ยเทา นนั้ ทรี่ งั แกเดก็ อนื่ เพอ่ื เพมิ่ ความสําคญั และความมนั่ ใจใหกบั ตวั เอง แนวทางการแกไ ข ครมู สี ว นสาํ คญั ในการอธบิ ายใหก บั เดก็ ฟง ถงึ การ ไมเ ปน ทยี่ อมรบั จากเพอ่ื น เพอ่ื นไมอ ยากเลน ดว ย และทสี่ าํ คญั เขาจะตอ งเลน คนเดยี ว โรงเรยี นจะตอ งมนี โยบายชว ยเหลอื โดยใหคาํ แนะนาํ และดําเนนิ การ แทรกแซงอยา งชัดเจนแกเ ดก็ ท่ีรังแกเพ่ือน โดยไมใ ชค วามรุนแรง เดก็ ท่ี ถูกรังแกก็จะรับรูวาโรงเรียน พอ แม ผูปกครองและเพื่อนจะสนับสนุน ชว ยเหลอื เมอ่ื มกี ารรายงานวาถกู รงั แก 134 คมู อื เสริมสรางไอควิ และอีคิวเดก็ สาํ หรับครูโรงเรียนอนบุ าล

11. การเปน เดก็ อายมุ ากหรอื อายนุ อ ยในชนั้ เรยี น เดก็ ในชนั้ เรยี น เดยี วกนั อาจมอี ายตุ า งกนั ถงึ 1 ป เดก็ อายนุ อยมกั มวี ฒุ ภิ าวะทางอารมณแ ละ สตปิ ญญาต่าํ กวาเดก็ อืน่ ซ่งึ ครูมกั จะไมส งั เกต เด็กที่ตวั เลก็ และไมแ ข็งแรง จะเสียเปรยี บเดก็ อน่ื การเปนเด็กอายมุ ากในชน้ั อาจมคี วามเสีย่ งที่จะรสู กึ เบอื่ หรอื ขม เดก็ อนื่ แนวทางการแกไ ข ครคู วรสงั เกตเดก็ แตล ะบคุ คลแมว าอายจุ ะตา ง กนั แตก ารเลย้ี งดขู องเดก็ อาจจะตา งกนั ซง่ึ ควรมกี ารจดั กจิ กรรมทไี่ ดมกี าร ชว ยเหลอื กนั เดก็ โตอยใู นกลมุ เดก็ เล็กใหม จี าํ นวนคละกนั ในกลุม เปน กลุม แบบทรี่ ว มมอื รว มใจกนั และไมค วรใหม กี ารเลน หรอื มกี จิ กรรมทแี่ ขง ขนั กนั มาก ควรเนน กจิ กรรมทใี่ หเดก็ โตชว ยเหลอื เดก็ เลก็ และมกี ารเออื้ เฟอ เผอื่ แผซง่ึ กนั และกนั 12. เดก็ ทมี่ อี าการปว ยทางกาย เดก็ ทมี่ อี าการปวยทางกายมกั จะมี ปญ หาเรอื่ งของการทคี่ รอู าจจะตอ งใหค วามดแู ลเปน พเิ ศษ เนอื่ งจากไมส ามารถ ทํากจิ กรรมบางอยา ง เชน โรคหวั ใจแตก าํ เนดิ ไมส ามารถทํากจิ กรรมทตี่ อง ใชพลังงานมากๆได โรคลมพิษ ไมสามารถเลนในท่ีกลางแจงหรือโดน แสงแดดได คมู ือเสริมสรางไอควิ และอีคิวเด็ก สําหรบั ครโู รงเรียนอนุบาล 135

แนวทางการแกไข ครูอาจตองหากจิ กรรมที่หลกี เล่ยี งขอจํากดั ของเดก็ เหลาน้ี ไมควรแยกเด็กใหเ ลนคนเดียว เพราะจะทาํ ใหเด็กรสู กึ วา เขาแปลกแยกจากเพ่ือน ไมจ ําเปน ตองตามใจจนเกนิ ไป หากิจกรรมท่ีมี ความเหมาะสมและชว ยใหเดก็ ทปี่ ว ยสามารถแสดงศกั ยภาพของตนเอง เชน เดก็ ที่เปนโรคหวั ใจ ครมู อบหมายใหเ ปนคนนับจํานวนเพอื่ นขณะเลน เกม หรอื ทาํ กจิ กรรม และทสี่ าํ คญั ครคู วรใหก าํ ลงั ใจและประคบั ประคองความรสู กึ ของเด็ก เพอื่ ใหเ ด็กคลายกงั วลเกยี่ วกับอาการของโรค 136 คูมือเสรมิ สรางไอคิวและอคี วิ เดก็ สําหรับครโู รงเรียนอนุบาล

คูมือเสรมิ สรางไอควิ และอีควิ เดก็ สําหรบั ครูโรงเรยี นอนบุ าล 137

138 คูม ือเสรมิ สรา งไอคิวและอคี ิวเดก็ สําหรบั ครูโรงเรยี นอนบุ าล

บรรณานุกรม กมลพรรณ ชวี พนั ธศุ ร,ี รศ.พญ. สมองกบั การเรยี นร.ู กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั พรการพมิ พจ าํ กดั . ไมป รากฏปพิมพ. ไกรสิทธิ์ ตนั ติศริ ินทร, ศ.นพ. ไอควิ และอีควิ ประตสู คู วามสําเร็จของลกู . กรุงเทพฯ : บรษิ ัทแปลนพบั ลชิ ช่ิง จาํ กัด . 2542. กรมสุขภาพจติ กระทรวงสาธารสุข. ไอควิ และอคี ิว ชองทางสูค วามสําเรจ็ . กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั บยี อนด พับลสิ ชงิ่ จาํ กดั . 2547. กรมสขุ ภาพจิต กระทรวงสาธารสุข. คมู อื ความรูเ พือ่ การพฒั นาความฉลาดทางอารมณ ในเด็กอายุ 3–5 ป สําหรับพอแมผูปกครอง. กรุงเทพฯ : สํานักงานกิจการ โรงพมิ พองคก าสงเคราะหท หารผานศึก. 2546. จันทฑ ิตา พฤกษานานนท. การสรางนสิ ยั รกั การอานใหล กู . นิตยสารใกลหมอ ปที่ 24 ฉบบั 8 สิงหาคม 2543. จิตตนิ ันท เดชะคุปต. เอกสารการสอนชุดวิชาฝก อบรมครู และผเู ชี่ยวชาญกับการอบรม เลย้ี งดูเด็กปฐมวยั (หนว ยท่ี 6 – 10 ) สาขาวิชาศกึ ษาศาสตรน นทบรุ ี. สํานักพิมพ มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช.2533. จติ ตนิ นั ท เดชะคปุ ต. คูมอื การสรา งเสรมิ ศกั ยภาพสมองลกู รกั วยั 0 – 6 เดอื นใหรดุ หนา . กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั แปลน พลับลิชชงิ จาํ กดั . 2544. ณปญ วรรณคาํ . อา นใจลูก เดาใจเด็ก . กรุงเทพฯ : แมเนเจอร มเี ดีย กรปุ . 2545. นภิ า ธนาม.ี นทิ านสรรคส รา งพฒั นาการเดก็ . จดหมายขา วกรมอนามยั 2544 : 2(12) ; 2 - 3 นัยพนิ จิ คชภกั ดี, รศ.ดร. พฒั นาสมองลูกใหลา้ํ เลิศ. กรงุ เทพฯ :บริษทั แปลน พรน้ิ ทตงิ้ จาํ กดั . 2539. บญุ ยาพร อนู ากลู . ปลกู MQ ใหง อกงาม. นติ ยสารรกั ลกู ปท ่ี 20 ฉบบั ท่ี 240 มกราคม 2546. คูมอื เสริมสรา งไอควิ และอีควิ เด็ก สําหรบั ครูโรงเรียนอนุบาล 139

มานพ ถนอมศรี. ศลิ ปะเลย้ี งลกู ใหฉ ลาด. กรงุ เทพฯ : บริษทั เลฟิ แอนดล พิ เพรส จาํ กดั . 2540. วิทยา นาควัชระ, ศ.นพ. สอนลกู ใหคิดเปน. กรงุ เทพฯ : สมารทคอม. 2544 ศนั สนยี  ฉตั รคปุ ต, รศ.พญ. เทคนคิ สรา ง IQ EQ AQ 3Q เพอ่ื ความสาํ เรจ็ . กรงุ เทพฯ : บรษิ ัทอมรนิ ทร บุค เซ็นเตอร จํากัด. ไมป รากฏปพมิ พ. ศรีเรือน แกว กังวาล, ดร. จิตวิทยาพัฒนาการชีวิตทุกชว งวัย. กรงุ เทพฯ : สาํ นกั พิมพ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร. 2544. สงั เวยี น ธํารงวจนเมธาวี. คูม อื สงเสรมิ พัฒนาการลูกนอยวัยแรกเกดิ ถึง 6 ป สาํ หรับ พอ แม ผูปกครอง.เชยี งใหม : บีเอสการพิมพ. 2541. สภุ าวดี หาญเมธ.ี เสรมิ สรา งIQ .EQ ใหล กู วยั เรยี น. กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั พมิ พดี จาํ กดั . 2546. สนั ต สงิ หภ กั ด.ี สอู จั ฉรยิ ะดวยสมองสองซกี . กรงุ เทพฯ : ซ.สามคั คสี าร (ดอกหญา ). 2537. สพุ ัตรา สภุ าพ. นทิ านชวยใหเ ด็กฉลาดข้นึ ไหม. นติ ยสารแมแ ละเดก็ ปท ี่ 21 ฉบับที่ 315 พฤษภาคม 2541. สมศักดิ์ ภูว ภิ าดาวรรธน, รศ.ดร. เทคนิคการสงเสริมความคดิ สรางสรรค. กรุงเทพฯ: บริษัทโรงพมิ พไ ทยวัฒนาพานิช จาํ กดั . 2542. อมั พล สอู าํ พนั , นพ. EQ ลกู เร่ิมท่รี ักจาก…พอ แม. กรงุ เทพฯ : บริษัทพิมพด ี จาํ กัด. 2544 อัมพล สอู าํ พัน, นพ. พอ แมม ีความสขุ ลูกมคี ณุ ภาพ. กรงุ เทพฯ : บริษัทแปลน พริ้นทตง้ิ จาํ กดั . 2540. อลสิ า วัชรสินธุ. จติ เวชเด็ก. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พแหง จุฬาลงกรณมหาวิทยาลยั . 2546. อุษณีย โพธิสขุ , ผศ.ดร. สรา งรากฐานอจั ฉริยภาพใหลกู นอ ย. กรงุ เทพฯ: บริษทั เยลโล การพมิ พ จํากัด. 2542. อุสา สุทธสิ าคร, ผศ. ดนตรี พัฒนาปญญา (IQ) อารมณ (EQ ). กรุงเทพฯ : บรษิ ทั พิมพดี จํากัด.2544. Landreth, C. Preschool learning and teaching. New York : Harper and Row, 1972 140 คมู ือเสรมิ สรางไอคิวและอคี วิ เดก็ สาํ หรับครโู รงเรยี นอนุบาล

ทป่ี รึกษา รายนามคณะทํางาน นายแพทยส จุ รติ สวุ รรณชพี นายแพทยห มอมหลวงสมชาย จกั รพันธุ ท่ีปรึกษากรมสุขภาพจติ นายแพทยอ ภชิ ัย มงคล อธบิ ดีกรมสุขภาพจิต แพทยหญงิ ศุภรัตน เอกอศั วิน รองอธิบดกี รมสขุ ภาพจติ นายแพทยส มยั ทองศริ ถิ าวร ผอู าํ นวยการสํานกั พฒั นาสขุ ภาพจิต แพทยห ญงิ พรรณพมิ ล หลอ ตระกูล ผอู าํ นวยการสถาบนั พฒั นาการเดก็ ราชนครนิ ทร นายแพทยด ุสิต ลิขนะพิชติ กลุ ผูอ าํ นวยการสถาบันราชานุกลู นายแพทยบัณฑติ ศรไพศาล ผอู าํ นวยการโรงพยาบาลยวุ ประสาทไวทโยปถมั ภ ผอู าํ นวยการสถาบนั สขุ ภาพจติ เดก็ และวัยรนุ ราชนครินทร คณะทํางาน หวั หนา สาํ นกั วชิ าการ (ประธาน) แพทยห ญิงอนิ ทิรา พวั สกุล สถาบันราชานกุ ูล แพทยหญิงนพวรรณ ศรีวงศพานิช สถาบันราชานกุ ูล นางสาวชนสิ า เวชวริ ฬุ ห สถาบันราชานกุ ูล นางสุธัญญา อภัยยานุกร สถาบันราชานกุ ูล นางพรพิมล ธีรนันท สถาบันราชานกุ ูล นางนิรมยั คุม รักษา สถาบนั พัฒนาการเดก็ ราชนครินทร นางสนิ นี าฎ จติ ตภักดี สถาบนั พัฒนาการเดก็ ราชนครนิ ทร นางสาวสังเวยี น ธํารงวจนะเมธาวี สถาบันพฒั นาการเดก็ ราชนครนิ ทร นางสาวขวัญใจ ธรรมขันโท คมู ือเสริมสรางไอควิ และอคี วิ เดก็ สําหรับครูโรงเรียนอนบุ าล 141

นางสาวแสงเดอื น ยอดอัญมณวี งศ สถาบนั พฒั นาการเดก็ ราชนครนิ ทร นางสาวพึงพศิ ศรสี ืบ สถาบนั พฒั นาการเด็กราชนครินทร นายยุทธการ อปุ ระโจง สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครนิ ทร นางเดอื นฉาย แสงรัตนายนต โรงพยาบาลยวุ ประสาทไวทโยปถมั ภ นางชะไมพร พงษพานิช โรงพยาบาลยวุ ประสาทไวทโยปถมั ภ นางสาวอศิ ราวลั ย จันเทีย่ ง โรงพยาบาลยวุ ประสาทไวทโยปถมั ภ นางอภริ ตั น เกวลิน โรงพยาบาลยวุ ประสาทไวทโยปถมั ภ นางสาวนาถลดา กอกจิ ฤกษชยั โรงพยาบาลยวุ ประสาทไวทโยปถมั ภ นางสาวชิตินนั ท สขุ วิเศษ โรงพยาบาลยวุ ประสาทไวทโยปถมั ภ แพทยหญงิ สธุ รี า ร้วิ เหลอื ง สถาบนั สขุ ภาพจิตเดก็ และวยั รนุ ราชนครนิ ทร นางสจุ ติ รา ศุภรฤทยั สถาบนั สุขภาพจิตเดก็ และวยั รนุ ราชนครนิ ทร นางยพุ าวดี ตรีทพิ ยธ ิคุณ สถาบนั สุขภาพจิตเดก็ และวยั รนุ ราชนครนิ ทร นางสาวจฬุ าลกั ษณ รมุ วริ ิยะพงษ สถาบนั สขุ ภาพจิตเดก็ และวยั รุน ราชนครนิ ทร นางวนดิ า ชนนิ ทยทุ ธวงศ สํานกั พฒั นาสุขภาพจิต นางสาวอมรากลุ อนิ โอชานนท สาํ นักพฒั นาสขุ ภาพจติ นางสาวกาญจนา วณชิ รมณีย สํานักพฒั นาสขุ ภาพจิต นางสาวรววิ รรณ ศรสี ุชาติ สํานักพัฒนาสุขภาพจติ นางธญั ลักษณ แกว เมือง สํานักพัฒนาสขุ ภาพจติ 142 คูมือเสริมสรางไอคิวและอีคิวเดก็ สําหรับครูโรงเรียนอนุบาล

คูมือเสรมิ สรางไอควิ และอีควิ เดก็ สําหรบั ครูโรงเรยี นอนบุ าล 143