Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือเสริมสร้างไอคิวและอีคิวเด็กสำหรับครูโรงเรียนอนุบาล

คู่มือเสริมสร้างไอคิวและอีคิวเด็กสำหรับครูโรงเรียนอนุบาล

Description: คู่มือเสริมสร้างไอคิวและอีคิวเด็กสำหรับครูโรงเรียนอนุบาล.

Search

Read the Text Version

คูมอื เสรมิ สรางไอคิวและอคี วิ เด็ก สําหรบั ครูโรงเรยี นอนบุ าล 1



คูมือ เสริมสรางไอคิวและอีคิวเด็ก สําหรับครูโรงเรียนอนุบาล

คูมอื เสรมิ สรา งไอควิ และอคี วิ เด็ก สําหรบั ครูโรงเรยี นอนบุ าล เลขมาตรฐานสากลประจําหนังสอื 974-415-180-3 พิมพค รัง้ ที่ 1 มิถนุ ายน 2548 พิมพค รงั้ ท่ี 2 ธนั วาคม 2548 (ฉบบั ปรบั ปรงุ ) จาํ นวน 2,000 เลม ผลติ โดย สํานักพฒั นาสขุ ภาพจติ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข โทร. 0-2951-1385 โทรสาร 0-2951-1386 สงวนลิขสิทธ์ิตามพระราชบัญญัติ หามลอกเลียนแบบสวนหนง่ึ สวนใดของหนังสือเลม น้ี โดยไมไดร ับอนญุ าตจากเจาของลิขสิทธ์ิ ขอมลู บรรณานกุ รม สนิ นี าฏ จิตตภกั ด,ี แสงเดอื น ยอดอญั มณวี งศ, บรรณาธิการ คมู ือเสริมสรางไอควิ และอีคิวเด็ก สาํ หรับครโู รงเรยี นอนุบาล/สนิ นี าฏ จิตตภักด.ี แสงเดอื น ยอดอญั มณวี งศ. พมิ พคร้ังท่ี 2. นนทบรุ ี : สาํ นักพฒั นาสขุ ภาพจติ 2548. 140 หนา. 1. เด็ก-การดแู ล 2. พัฒนาการเด็ก 3. ไอควิ และอีควิ 4. ครูอนุบาล พิมพท ี่ โรงพิมพช ุมนุมสหกรณก ารเกษตรแหง ประเทศไทย จํากดั ศิลปกรรม อตวิ รรณ ทองมา, อภวิ รรณ อินดวง, ฤทธิรงค อรณุ านนท, จริ โชติ พึ่งรอด ภาพประกอบ จกั รพนั ธุ หงษส วสั ดิ์

คํ า นํ า การมีความสามารถทางเชาวนปญญาทดี่ ี (IQ) ชวยใหคนเรียนรสู งิ่ ตา งๆ ไดด ี มีศักยภาพในการสรางสรรค และดําเนินชวี ิตใหอ ยูร อดในสงั คม ซง่ึ จะตอ ง ควบคไู ปกบั การพัฒนาทางอารมณ (EQ) ท่ีดดี ว ย จึงจะทาํ ใหบ คุ คลเปน คนท่ี มีคุณภาพได หากขาดส่ิงใดสิ่งหนึ่งยอมทําใหก ารพัฒนาเปนไปอยา งไมเต็ม ศักยภาพ เพราะการที่ จะมี EQ ดี ตองอาศัยการคิดอยางมีเหตุผล การตัดสินใจและความสามารถในการสื่อสารท่ีดีดว ย การปลูกฝงพ้ืนฐานที่ดี ทัง้ ไอคิว (IQ) และอีคิว (EQ) ในวยั เดก็ จะพัฒนาไปสูผูใหญทีม่ คี ุณภาพอยรู ว ม กับผอู น่ื ไดอยา งราบรน่ื และเปนสง่ิ สําคัญที่ทําใหคนเราประสบความสําเร็จในชวี ิต การเสริมสรางความสามารถทางเชาวนปญญาและความฉลาดทาง อารมณ ครูจะตองเขาใจความสามารถและพัฒนาการของเด็กแตละวัยดวย กจิ กรรมตอ งไมง า ยหรอื ยากจนเกนิ ไป เพราะถา งา ยเดก็ จะรูสกึ เบอื่ แตถ า ยากอาจ จะเปน การเรง เด็กมากเกินไปได ในขณะทีร่ า งกายยังไมพรอ มหรอื อาจทาํ ใหร สู กึ ผิดหวงั ไมสามารถทาํ ไดสําเร็จ หมดกาํ ลงั ใจ แตถ าจัดใหพ อเหมาะพอควร เด็ก จะอยากเรยี นรู มุงม่นั ที่จะทาํ ใหส ําเรจ็ สนุกสนานและมคี วามสุข กรมสุขภาพจติ ตระหนักถงึ ความสําคัญของการเสริมสรางความสามารถ ทางเชาวนปญญาและความฉลาดทางอารมณ จงึ จดั ทําคมู อื เสรมิ สรา งไอคิวและ อีควิ เดก็ สาํ หรบั ครูโรงเรยี นอนุบาล โดยเริม่ จากการกําหนดคณุ ลกั ษณะทางดา น

เชาวนป ญญาและความฉลาดทางอารมณของเดก็ ทีย่ ดึ หลักพัฒนาการการเรียน รขู องเดก็ ท่ีเกิดข้ึนตลอดเวลา เปนไปตามข้ันตอนท้ังพฒั นาการของสมองและ รา งกายเปนหลกั เพ่อื สาํ หรับครู ใชเปน แนวทางในการสง เสรมิ พัฒนาการเดก็ เพื่อใหการสงเสริมไอคิวและอีคิวเด็ก เปนไปอยางตอเน่ืองและมี ประสิทธิภาพ กรมสุขภาพจิตไดจ ัดทาํ ชดุ เทคโนโลยีเสริมสรางไอคิว อีคิวเด็ก ประกอบดวยหนังสือ/คูมอื ทง้ั หมด 5 เลม ดวยกนั คือ 1. คูมอื เสรมิ สรา งไอควิ และอคี วิ เดก็ วัยแรกเกดิ -5 ป สําหรับพอแม/ ผูปกครอง 2. คมู ือเสริมสรางไอคิวและอีคิวเด็ก สําหรับครูโรงเรียนอนบุ าล 3. คูมอื เสริมสรางไอคิวและอีควิ เด็ก สาํ หรับครู/พ่ีเล้ียงศนู ยพ ฒั นา เดก็ เลก็ 4. คมู ือจัดกิจกรรมเสริมสรางไอคิวและอีควิ เด็กสาํ หรับศูนยพฒั นา เดก็ เลก็ และโรงเรียนอนุบาล 5. คมู ื อวิทยากร หลักสูตรการเสริมสรางไอคิวและอีคิวเด็ก วัยแรกเกิด-5 ป ดวยความปรารถนาดี กรมสุขภาพจติ กระทรวงสาธารณสุข

ส า ร บั ญ v คาํ นํา v การพัฒนาความฉลาดท่ีหลากหลาย ........................................................ 9 • ความสาํ คญั ของการพัฒนาความฉลาดที่หลากหลาย............................ 9 • ไอควิ /อคี ิว สิ่งท่ีสําคัญของเด็กยุคใหม ............................................... 15 − การวัดไอคิว.................................................................................. 15 − ปจจยั ที่ชวยเสริมสรางไอคิว .......................................................... 16 − การพัฒนา อีคิว (EQ:Emotional Quotient) .............................. 23 − การพัฒนาความฉลาดที่หลากหลาย ............................................. 28 v พฒั นาการและการเรยี นรขู องเด็ก 3-5 ป ............................................. 35 • พฒั นาการเด็กวัย 3–5 ป ................................................................... 35 • พัฒนาการทางอารมณใ นเด็กอายุ 3–5 ป ........................................... 43 • การเรยี นรขู องเดก็ 3-5 ป .................................................................. 44 − ส่งิ ท่ีชว ยใหเด็ก 3-5 ป เกดิ การเรียนรู ........................................... 44 − สง่ิ ที่เดก็ 3-5 ป สามารถเรยี นรูได ................................................. 49 • การสรางประสบการณสาํ หรบั เด็กวยั 3-5 ป ...................................... 53

v การพัฒนาไอควิ และอคี ิวเดก็ 3-5 ป ในสถานศกึ ษา ............................ 59 • กรอบแนวคดิ การพัฒนา ไอควิ /อคี ิวเดก็ วยั 3-5 ป ............................ 59 • ความสามารถทางเชาวนป ญ ญา (ไอควิ : IQ) ..................................... 61 • ความฉลาดทางอารมณ (อคี ิว : EQ) .................................................. 64 • ปจ จัยสง เสริมการพัฒนา ไอคิว/อีควิ ................................................. 73 • การบูรณาการ การพัฒนาสติปญญาและความฉลาดทางอารมณเ ด็ก ในกิจกรรมการเรียนการสอน ............................................................ 81 − บูรณาการในการทํากิจวัตรประจําวัน ........................................ 81 − บรู ณาการในกจิ กรรมหลัก 6 กิจกรรม ..................................... 83 v เทคนคิ วิธกี ารพฒั นา ไอควิ และอีควิ ..................................................... 89 • การสอนใหเด็กเกิดการเรียนรู ............................................................ 89 • การเตรียมเด็กใหพ รอม ..................................................................... 91 • การดําเนินกิจกรรม ............................................................................ 92 • การสงเสริมนิสัยรักการอา น .............................................................. 93 • กลยุทธการสงเสริมความสามารถในการจาํ และการเรียนรทู ่ีดี ........... 95 • การสงเสริมการเลน ........................................................................... 98 • การเลานิทาน ..................................................................................... 99 • การสงเสริมกิจกรรมเพลงและดนตรี ............................................... 105

• กิจกรรมการทองคําคลอ งจอง ..........................................................112 • การสง เสริมกิจกรรมศิลปะ ..............................................................115 v ปญหาของเด็กอนุบาล 3-5 ป ที่พบบอยและแนวทางแกไ ข ................ 123 − ขี้อาย ...........................................................................................124 − ดื้อเอาแตใ จตนเอง .......................................................................125 − ข้ีเกียจ ไมร บั ผดิ ชอบ ...................................................................125 − ขยิบตา.........................................................................................126 − รองกร๊ีดแลวด้ิน ...........................................................................126 − เด็กพดู ไมจ รงิ ..............................................................................127 − ชอบแยง ของเลน ..........................................................................128 − กลัวการไปโรงเรียน .....................................................................128 − ปสสาวะรดท่ีนอน ........................................................................130 − การไมเปนทยี่ อมรับของเพ่ือน ......................................................132 − การเปนเด็กอายมุ ากหรืออายุนอยในช้ันเรียน ...............................133 − เด็กที่มีอาการปวยทางกาย ...........................................................133 v บรรณานุกรม...................................................................................... 137 v รายนามคณะทํางาน............................................................................ 139

   10 คูม ือเสรมิ สรา งไอคิวและอีควิ เดก็ สาํ หรบั ครโู รงเรียนอนบุ าล

การพัฒนาความฉลาดท่ีหลากหลาย • ความสาํ คญั ของการพฒั นาความฉลาดทหี่ ลากหลาย การพฒั นาเดก็ ตาม พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง ชาติ พ.ศ. 2542 และเจตนารมณข องรฐั ธรรมนญู แหง ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2540 ผูใ หญ ทุกคนทเ่ี ก่ียวขอ งกบั การดแู ลเดก็ วัยเรียนท้ังในระดับปฐมวัยและประถม ศึกษา ตอ งมีความรคู วามเขาใจ และมีความสามารถในการพัฒนาและ จัดประสบการณการเรียนรูใ หเด็กวัยเรียนได โดยเฉพาะใหผปู กครองมี บทบาทหนา ทหี่ รอื ภาระกจิ สําคญั ในการเสรมิ สรา งศกั ยภาพตามองคค วามรู การพัฒนาสมองของลูก เพื่อใหเด็กไทยทุกคนไดอยใู นสิ่งแวดลอมของ การเรยี นรูท เี่ หมาะสม ยงั ความเจรญิ งอกงามไปตลอดชีวติ คูม ือเสริมสรา งไอคิวและอคี วิ เดก็ สําหรบั ครูโรงเรยี นอนุบาล 11

มนุษยแตละคนมีความฉลาดหลายๆ ดานและแตกตางกัน Haward Gardner นักจิตวิทยาชาวอเมริกนั (Haward (2526):อา งถงึ ในวทิ ยา นาควชั ระ.2544.72-75) ไดใหค วามหมายของเชาวนปญ ญา หรอื ความฉลาดทหี่ ลากหลายของมนษุ ย ทสี่ าํ คญั ไดแ ก ความฉลาดทางดา นภาษา ความฉลาดทางตรรกะและคณติ ศาสตร ความฉลาดทางดา นมติ ิ ความฉลาด ทางดานการใชรางกายและการเคลื่อนไหว ความฉลาดทางดานดนตรี ความฉลาดทางดานมนุษยสมั พันธ ความฉลาดทางดานเขา ใจตนเอง และ ความฉลาดในการเขาใจธรรมชาติ ในความฉลาดท่ีหลากหลายเหลาน้ี ในอดีตเราใหความสําคัญ แตเฉพาะความสามารถทางเชาวนปญญา ดานการคิด การใชเหตุผลและ ความจํา ทีเ่ รยี กกันวาไอคิว (IQ:Intelligence Quotient ) เนอ่ื งจากไอควิ สามารถวดั ออกมาเปน ตัวเลข เหน็ เปน คา ทชี่ ัดเจนได จงึ มีผใู หความสาํ คัญ กับไอคิวมาโดยตลอด สงผลใหเด็กที่เรียนหนังสือเกงมีแตคนชื่นชม พอ แมค รอู าจารยร กั ใคร ตา งจากเดก็ ทเี่ รยี นปานกลางหรอื เดก็ ทเี่ รยี นออนมกั 12 คูมอื เสริมสรา งไอควิ และอีควิ เด็ก สาํ หรบั ครูโรงเรยี นอนุบาล

ไมค อ ยเปน ทสี่ นใจหรอื ถกู ดวุ า ทงั้ ๆทเี่ ด็กเหลา นอ้ี าจจะมีความสามารถทาง ดา นอ่ืน เชน ดนตรี กฬี า ทักษะการใชฝมือ การพดู คุย ฯลฯ เปน ตน มาในชว งหลงั ๆความเชอ่ื มน่ั และใหค ณุ คา เฉพาะไอควิ เรม่ิ สนั่ คลอน เมือ่ มกี ารต้งั ขอสังเกตเก่ยี วกับความสัมพันธข องไอควิ กับความสําเรจ็ ของ บุคคล จนในท่ีสุดเม่ือ10ป ท่ีผา นมาจึงยอมรับกันวา แทจริงแลวไอคิว อยา งเดยี วไมเ พยี งพอทจี่ ะทาํ ใหค นๆหนงึ่ ประสบความสาํ เรจ็ ในชวี ติ ไดท กุ ดา น เพราะในความเปน จริง ชวี ติ ตอ งการทกั ษะและความสามารถในดา นอนื่ ๆ อีกมากมายทีน่ อกเหนอื ไปจากการจําเกง การคดิ เลขเกง หรอื การเรยี นเกง ความสามารถเหลานอี้ าจจะชว ยใหค นๆ หนง่ึ ไดเ รยี น ไดท าํ งานในสถานทดี่ ๆี แตค งไมส ามารถเปน หลกั ประกนั ถงึ การทาํ งานไดอ ยา งราบรน่ื สามารถฟน ฝา ปญ หาอปุ สรรค และการมชี วี ิตทมี่ คี วามสขุ ได คนฉลาดหรือคนเกงในการเรียนหนังสือถือวาเปนที่มีเชาวน ปญญาสงู หรอื ไอควิ ดี แตบ คุ คลเหลา นอ้ี าจจะเปน คนเจาอารมณ ใจรอน แสนงอน ไมเขาใจท้ังตัวเองและผอู ื่น โกรธงาย กาวราว แยกตัวงาย เจา คดิ เจา แคน ไมม มี นุษยสมั พันธ เกบ็ ตัว ทอ ถอยงาย ทาํ ใหไมม คี วามสขุ แมจะเปน คนเกงก็ตาม ความเกง นนั้ ถา ไมส ามารถทาํ งานอยูร ว มกบั ผอู นื่ ได กจ็ ะไมป ระสบความสําเรจ็ ในการงานเทา ทคี่ วร นอกจากนคี้ นทมี่ ีสตปิ ญ ญา ดี แตมอี ารมณม ารบกวน เชน ความโกรธ ความขนุ เคือง ราํ คาญใจตางๆ กจ็ ะทําใหเ ขาไมส ามารถใชส ตปิ ญ ญาทดี่ ไี ดด เี ทาทคี่ วร ในแนวคดิ ใหมเ ชอื่ วา คมู ือเสริมสรา งไอควิ และอีควิ เดก็ สําหรบั ครโู รงเรยี นอนบุ าล 13

ถา หากมนษุ ยม คี วามฉลาดทางการจดั การกบั อารมณ ( Emotional Quotient หรอื EQ) กจ็ ะเปน คนทนี่ า รกั ประสบความสําเรจ็ มคี วามสขุ ไดม ากขนึ้ และ ทําใหไ อควิ สงู ขน้ึ ดว ย “ไอควิ ” และ “ อคี วิ ” เปน ความฉลาดทเี่ กอื้ หนนุ กนั และกนั คนที่ เชาวนป ญ ญาดี จะสามารถเรยี นรูท กั ษะการควบคมุ และการจดั การกบั อารมณ ไดร วดเรว็ ในขณะเดยี วกนั คนทมี่ คี วามฉลาดทางอารมณส งู จะชว ยสนบั สนนุ ใหบคุ คลสามารถใชค วามฉลาดทางเชาวนป ญ ญาไดอ ยางเตม็ ที่ ดงั นนั้ ในการพฒั นาความฉลาดของเดก็ เพอื่ ใหเ ดก็ ทกุ คนมโี อกาส เปน คนทปี่ ระสบความสําเรจ็ เปน คนดี และมคี วามสขุ นน้ั ควรใหค วามสําคญั ทงั้ การพฒั นาความสามารถทางเชาวนป ญ ญา และความฉลาดทหี่ ลากหลาย และจาํ เปนตองสงเสรมิ ความฉลาดทางอารมณค วบคไู ปดว ย สงเสรมิ ใหเดก็ มที กั ษะในการจดั การกบั อารมณ ความเครยี ดตา งๆ มที กั ษะในการชว ยเหลอื ตวั เอง แกป ญ หาตา งๆ ไดด ว ยตนเอง และมที กั ษะในการอยูร ว มกบั ผูอ นื่ กจ็ ะ ทาํ ใหก ารพฒั นานน้ั สมบูรณ และประสบความสําเรจ็ ยง่ิ ขนึ้ 14 คูม ือเสรมิ สรา งไอคิวและอีควิ เด็ก สาํ หรับครูโรงเรียนอนุบาล

คูมอื เสริมสรางไอคิวและอคี วิ เด็ก สําหรบั ครูโรงเรียนอนุบาล 15

16 คูม ือเสรมิ สรา งไอคิวและอคี ิวเดก็ สําหรบั ครูโรงเรยี นอนบุ าล

• ไอควิ /อคี วิ สงิ่ ทส่ี าํ คญั ของเดก็ ยคุ ใหม การพฒั นา ไอควิ (IQ) (IQ: (Intelligence Quotient) ความสามารถทางเชาวนปญญา หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู การจํา การคิดอยางมีเหตุผล การวเิ คราะห การสรปุ ความคดิ รวบยอด การวัดไอควิ การวดั IQ เปนการเปรียบเทยี บความเฉลยี วฉลาด ของคนนั้นกับคนอืน่ ท่ัวๆไปซึง่ มีอายเุ ทากบั คนๆ นั้นดว ย การวัดไอคิว เกดิ ขนึ้ ครงั้ แรกในป ค.ศ. 1905 โดยนกั จิตวทิ ยาชาวฝรงั่ เศสทตี่ องการแยก บคุ คลปญ ญาออ นจากคนปกตเิ พอื่ จะไดจ ดั การศกึ ษาใหอ ยา งเหมาะสม โดย ใชการเปรียบเทียบระหวางความสามารถท่ีควรจะเปน กับอายุสมองแลว คาํ นวณออกมาเปน เปอรเ ซน็ ต ปจจุบนั การวดั ไอคิวโดยมากมักใชแ บบทดสอบในการวดั เชน แบบทดสอบของเวคสเลอร แบบทดสอบของ สแตนฟอรด บเิ นต เปน ตน คมู อื เสริมสรา งไอคิวและอีควิ เด็ก สําหรับครูโรงเรียนอนุบาล 17

ปจจยั ทชี่ ว ยเสรมิ สรา งไอควิ ไอคิว (IQ) มีสวนเก่ียวของกับพันธุกรรมอยูมาก เช่ือวา พนั ธุกรรมมีผลตอ ความเฉลยี วฉลาดประมาณ 50 % ขณะทีเ่ ดก็ เกิดมานน้ั เดก็ ไดร บั มรดกทางพนั ธกุ รรมในเรอ่ื งความสามารถทางเชาวนปญ ญามาจาก พอแม แตอ ีก 50 % นั้นมีปจจัยจากส่งิ แวดลอม และการเล้ยี งดูเขามา เกี่ยวขอ งสง่ิ แวดลอ มในท่ีนี้ ไดแ ก สารอาหารทีเ่ ปน ประโยชน การท่ีสมอง ไดรบั การกระตนุ ดวยการเรียนรูการฝก ฝน ตา งๆ เปนตน ดังนั้นแมวา คนเราจะเกดิ มาพรอ มกบั พน้ื ฐานทางสตปิ ญ ญาทตี่ ดิ ตวั มาแตกตา งกนั แตส งิ่ แวดลอมก็มีอิทธิพลตอการพัฒนาเชาวนปญ ญาไดไมแ พก ับพันธุกรรม พนั ธกุ รรมเปน สง่ิ ทเี่ ราเปลย่ี นแปลงไมไ ด แตส ง่ิ แวดลอ มเปน สง่ิ ทเี่ ราสามารถ สรรคส รางใหเ กิดขึ้นได ผลการวจิ ัย ป 1996 โดย Kotulux (อางถงึ ใน กมลพรรณ ชวี พันธศุ รี .ม.ป.พ. 8) ไดนาํ เด็ก 6 เดือนมาอยใู นส่งิ แวดลอ ม ทพี่ รอมท้งั ของเลน อาหารทสี่ มบรู ณ เรียนรูสง่ิ ตา งๆ และการละเลน พบวา เดก็ กลุม นม้ี ไี อควิ (IQ) สูงกวาอกี กลุม ทตี่ รงกนั ขา ม และสมองมกี ารทํางาน มากขน้ึ (จากเครอ่ื งตรวจสมอง) เพราะฉะนน้ั สมองจะไวตอ ประสบการณ และสง่ิ แวดลอ มทสี่ มบูรณ 18 คมู อื เสรมิ สรา งไอคิวและอคี วิ เด็ก สําหรับครูโรงเรยี นอนบุ าล

ใน 2 ปแรก สมองจะมีการสรางใยประสาทมากที่สุด เด็กจึง เรียนรูอยางรวดเร็วมากที่สุด และจะมีพัฒนาการในการเคลื่อนไหว การมองเห็น และการไดย นิ เสียงกอ นอยางอน่ื ใด เมื่อเดก็ อายุ 6 ป สมอง จะพัฒนาไดเกือบ 60-70% ของสมองผูใหญ หลังจากนั้นจะมีการ ปรับเปลย่ี นเล็กนอยจนถงึ วยั ชรา ข้ึนอยกู บั การกระตนุ การใชง านบอ ยๆ เปนตน ซ่งึ เราจะเหน็ วา เดก็ ๆ จะเรยี นรไู ดเ รว็ กวา ผใู หญม าก จะเห็นไดว า เวลาทองของการพฒั นาสมองจะอยใู นระยะชว งตน ของชวี ติ ซงึ่ เปนเวลาทอง ของการสรา งบคุ ลกิ ภาพ และวยั ของการฝก ฝนทกั ษะในเรอ่ื งของกระบวนการ คิด จินตนาการ ความคิดสรางสรรค การสรางประสาทสัมผัสใหค มไว ถาไมฉวยโอกาสน้ี ก็จะผานพน เวลาที่สําคัญท่ีสุดไปและยิ่งนานวันเขา การพัฒนาก็ยากขึ้นเปนลําดับ ดังนั้นในวัยท่ีกําลังเจริญเติบโต ภายใน 10 ขวบแรก หากระบบการเรยี นการสอนและการจดั การศกึ ษา และการอบรม สั่งสอน ไมคอยเปดโอกาสใหเด็กหัดคิด หัดแกปญหา ไมม ีโอกาสคิด จนิ ตนาการตามความตอ งการตามวยั ของเดก็ แตล ะคน กเ็ ปน สงิ่ ทนี่ า เสยี ดาย วาเราไดล ะโอกาสทองของการพฒั นาศกั ยภาพของมนษุ ยไ ป คมู ือเสริมสรางไอคิวและอีคิวเด็ก สําหรบั ครโู รงเรียนอนบุ าล 19

จากการศกึ ษาพบวา สมองจะเตบิ โตไดด จี าก 1. สงิ่ แวดลอมทางสงั คม และอาหารทีส่ มบรู ณ โดยเฉพาะใน ระยะวัยเด็กๆ กอน 10 ขวบ 2. การเรยี นรจู ากการมกี จิ กรรมทางสังคม เราเรยี นรูด ีข้นึ เมอ่ื กจิ กรรมกลุม ทางสงั คมรว มกบั ผอู นื่ 3. การสมั ผสั ออ นโยนอบอนุ ในการเลยี้ งดแู ละการดแู ล 4. ปฏิกิริยาตอส่ิงแวดลอม สมองจะถูกใชและถูกกระตุน ทุกอณู และใชคิดสิ่งตางๆ ท่ีทาทายตอสมอง เด็กเล็กๆ จะเรียนโดยการเลนและการไดสัมผัสประสบการณตางๆ การเลนและการไดสัมผัสกบั ของจริง เปน ส่งิ ทมี่ ีประสิทธิภาพ มากทสี่ ดุ ตอ การเรยี นรู 5. ใหม ีความเครยี ดนอ ยทส่ี ดุ คดิ และทําสง่ิ ทท่ี าทาย จะกระตุน ใหเ กดิ แรงจงู ใจในการเรยี นรู และสามารถจดจาํ เรยี นรสู งิ่ ตา งๆ ไดม าก 20 คูม อื เสริมสรา งไอคิวและอีควิ เดก็ สําหรบั ครูโรงเรียนอนุบาล

อาหารพฒั นาสมอง การขาดอาหารในเดก็ จะมผี ลกระทบตอ การ พฒั นาของสมอง และการเจรญิ เติบโตของรา งกาย เด็กควรไดรบั อาหารให ครบทง้ั 5 หมู สารอาหารทดี่ ที ี่สดุ สําหรบั การพัฒนาสมองไดแ ก ¤ โปรตนี ( ไข ตับ ถวั่ เหลือง) ปลาชนดิ ตางๆ ¤ แคลเซยี ม ซงึ่ มใี นงาดาํ นม ปลาเล็ก ปลานอ ย ถวั่ แดงหลวง ¤ สารโปรแตสเซยี ม มใี นผลไม ¤ นาํ้ ทเี่ พยี งพอ ¤ การไดรับออกซเิ จน จากการหายใจลึกๆ ชา ๆ หรือหลังออก กาํ ลงั กาย ออ กซเิ จนจะไปหลอเลยี้ งสมองไดมากขนึ้ ¤ ธาตเุ หลก็ และไอโอดนี คมู ือเสรมิ สรา งไอควิ และอีควิ เดก็ สาํ หรับครโู รงเรียนอนุบาล 21

สงิ่ แวดลอ มทพี่ ฒั นาสมอง การทเี่ ดก็ อยูในสง่ิ แวดลอมทดี่ นี นั้ มผี ลตอการกระตนุ สารเคมใี น สมองทสี่ ง ผลตอ การพฒั นาสมอง สารเคมใี นสมองมีอยู 2 กลมุ ไดแ ก 1. กลมุ กระตุน สมองไดแ ก Serotonin, Endorphine Acetylcho-line Dopamine 2. กลมุ กดการทาํ งานของสมอง ไดแ ก Adrenaline และCortisol กลุมแรกทําหนาที่ควบคุมอารมณ การแสดงออก ทาํ ใหสมอง ต่ืนตัวและมีความสุข ทําใหอานขอมูลขาวสารไดรวดเร็วและงายข้ึน ทําใหรสู ึกดีและมีความสุข ทําใหเพิ่มภูมิตานทานโรค สุขภาพแข็งแรง จะหลั่งมากเม่ือมีการออกกาํ ลังกาย การไดร ับคําชมเชย การรองเพลง เลน ดนตรี เรยี นศลิ ปะโดยไมถ กู บงั คบั การเลน เปน กลุม หรอื ทาํ กจิ กรรมกลุม สิ่งแวดลอมในหอ งเรียนทด่ี ี การไดร ับสัมผัสทอ่ี บอุน การมองเห็นคณุ คา ของตนเอง การมสี มั พันธทดี่ ี 22 คมู อื เสริมสรา งไอควิ และอคี วิ เด็ก สําหรับครูโรงเรยี นอนบุ าล

กลมุ ท่ีสอง เปนสารเคมีท่ีเกี่ยวของกับความเครียด หากเด็ก เตบิ โตภายใตบ รรยากาศทไี่ มม คี วามสขุ และมคี วามเครยี ดเชน ถกู เลยี้ งดแู บบ เขมงวด โดนดดุ า มคี วามวติ กกงั วล รา งกายกจ็ ะมกี ารหลงั่ สารนซ้ี ง่ึ จะยบั ยงั้ การสงขอมูลของเซลลสมอง และการเติบโตของเซลลสมอง ยับย้ัง ความสามารถในการจาํ และเกิดภูมติ านทานโรคตา่ํ ทาํ ใหเดก็ มสี มาธสิ ั้น ควบคมุ ไมได และความสามารถในการเรยี นลดลง ดว ยเหตนุ ี้ ครแู ละพอ แม จงึ ควรหาชอ งทางทจี่ ะชมเชยเดก็ อยเู สมอ ใหเดก็ มีการออกกาํ ลงั กาย เคลอ่ื นไหวในขณะทเี่ รยี นบา ง มกี ารแสดงออก ถึงความรักตอ เด็กดวยการสัมผัสบางเชน การลูบหัว จับมือ โอบไหล ใหกําลังใจ การจับกลมุ กันทํางาน ทําใหเด็กรูสึกวาตนเองมีสวนรวม การใหเ ด็กมีกจิ กรรมรอ งเพลง ดนตรีทสี่ นุกสนานเราใจ โดยเด็กไมรูสกึ วา ถูกบังคบั ไมดุดาเดก็ มากมายจนขาดเหตุผล แตพยายามกระตนุ ใหเดก็ มี ความสนกุ กบั การเรยี น จะทําใหเดก็ มคี วามสขุ สามารถเรยี นรูแ ละจาํ ไดด ขี น้ึ เดก็ อยากจะเรยี นวชิ านน้ั มากขน้ึ คูม ือเสรมิ สรางไอคิวและอีควิ เด็ก สําหรับครโู รงเรียนอนุบาล 23

สรปุ ปจ จยั ทมี่ ผี ลตอ สมอง ปจ จัยเกอ้ื หนุนการพัฒนาของสมอง ปจจัยยับยัง้ การพฒั นาของสมอง - การไดท ํากิจกรรมกลมุ , มีปฏสิ มั พันธ * ความเครยี ดนานๆ จากทุกสาเหตุ เชน กับสงั คม 1. ถกู บงั คับใหเรยี น /ทาํ ในส่งิ ที่ไมชอบ 2. ทํางาน/เรียนหนกั การบานมาก ไมมี - ไดทํางาน/เรียนในสิ่งท่ีชอบ - การละเลนตา งๆ /เลน กับเพือ่ น เวลาพักผอ น/ออกกําลังกาย - การไดเคลื่อนไหวดวยการเลน การ 3. ถูกดดุ าทุกวนั ฯลฯ 4. มองคณุ คาตัวเองต่ํา เรียนรูขณะมีการเคลื่อนไหวรางกาย 5. วิตกกังวล ทุกขน านๆ - การไดฟงการเลา นิทาน 6. ความกลัว โกรธนานๆ - ศิลป ดนตรี กีฬา ออกกําลังกาย 7. เขม งวดเกนิ ไป 8. สมองไมถ ูกใชห รือไมก ระตนุ รอ งเพลง ตามความถนัด และอิสระ * การที่สมองถูกทําลายจากอุบัติเหตุ ไมถูกบังคับ - ไดรับคาํ ชมเชย และสารพิษตางๆ เชน สารปรอท - มองภาพตนดานบวก สารตะกั่ว - เปนคนยืดหยนุ ไมเขมงวดเกินไป - ชวยเหลือตัวเองตามวัย - ความรัก ความอบอนุ การสัมผัส โอบกอด จากพอ แม/ ผูใกลชดิ - ทัศนะศึกษา/สัมผัสกับของจริง - อาหารครบหาหมู และสารอาหารท่ีเปน ประโยชน 24 คมู ือเสริมสรา งไอควิ และอคี วิ เดก็ สําหรับครูโรงเรียนอนุบาล

การพฒั นาอคี วิ (EQ) ความฉลาดทางอารมณเ ดก็ (EQ: Emotional Quotient) หมายถงึ ความสามารถในการรูจ กั เขา ใจ ควบคมุ อารมณ และปรบั จติ ใจอารมณข อง ตนเองไดส อดคลอ งกับวัย มีสมั พนั ธภาพท่ีราบรื่นและมีความประพฤติ ปฏบิ ัตติ นในการอยรู วมกบั ผูอน่ื อยา งเหมาะสมและมีความสขุ ความฉลาด ดานอารมณเ ปน คุณลกั ษณะพ้ืนฐานท่ีสาํ คัญที่จะนาํ ไปสคู วามเปนผใู หญ ทงั้ ความคิด อารมณ และพฤตกิ รรม ความฉลาดทางอารมณสามารถพัฒนาไดดีจากการเรียนรแู ละ กลอมเกลาทางสังคมที่ใหค ณุ คา และมคี ณุ ภาพ ดังนน้ั ผใู หญ ซงึ่ หมายถึง พอแมหรือครู ควรใหการสงเสริมความฉลาดทางอารมณเ ด็ก โดยการเปน แบบอยา งทดี่ ี การใหก ารอบรมสงั่ สอน มวี ธิ กี ารเลยี้ งดเู อาใจใสอ ยา งถกู ตอง ผูใ หญเปน ทปี่ รึกษาทเี่ ปด ใจกวาง รบั ฟง ความคิดเห็น คอยชแี้ นะแนวทางที่ ถูกตอ ง รวมทงั้ การสรางสรรคแ ละจดั กจิ กรรมเพ่อื สงเสรมิ ความฉลาดทาง อารมณเ ดก็ โดยเฉพาะ กรมสขุ ภาพจติ ไดแบง ความฉลาดทางอารมณของเดก็ วยั 3-5 ป ออกเปน 3 ดา นไดแ ก คมู อื เสรมิ สรางไอคิวและอคี วิ เด็ก สําหรับครูโรงเรียนอนบุ าล 25

ดา นดี (เปนความพรอมทางอารมณท จี่ ะอยรู ว มกบั ผอู นื่ ) 1. รูจ กั อารมณ 2. มนี าํ้ ใจ 3. รวู า อะไรถกู อะไรผดิ ดา นเกง (เปน ความพรอมทางอารมณท จี่ ะพฒั นาตนเองไปสูความ สาํ เรจ็ ) 1. กระตอื รอื รน / สนใจใฝรู 2. ปรบั ตวั ตอ การเปลยี่ นแปลง 3. กลา พดู กลา บอก ดา นสขุ (เปนความพรอ มทางอารมณข องบคุ คลทที่ ําใหเ กดิ สขุ ) 1. มคี วามพอใจ 2. อบอุน ใจ 3. สนกุ สนานรา เรงิ 26 คมู อื เสรมิ สรางไอคิวและอีควิ เดก็ สําหรับครโู รงเรียนอนุบาล

การพฒั นาอคี วิ นน้ั จาํ เปน ตอ งไดร บั การปลกู ฝง และพฒั นาตอ เนอ่ื ง ตงั้ แตวยั เด็ก ควบคกู บั ความฉลาดทางเชาวนป ญญา เนอื่ งจากความฉลาด ทางอารมณเ ปนทกั ษะทเ่ี กดิ ข้นึ ได ดว ยกระบวนการเรียนรูจากวิธีการเลย้ี ง ดูของพอแม/คนใกลชิด และการเลียนแบบอยา งส่ิงที่พอแม/ คนใกลชิด ปฏบิ ตั ริ วมทงั้ บรรยากาศในครอบครวั หรอื สง่ิ แวดลอ มทที่ าํ ใหเ ดก็ มคี วามสขุ สรา งความพอใจในตนเอง และความพงึ พอใจในชวี ติ แกเ ดก็ การพฒั นาอคี วิ ควรเรมิ่ ตน ตงั้ แตว ยั เดก็ เลก็ ในชว ง 2-5 ป เพราะความสามารถในการเรยี นรู ของเดก็ จะพฒั นาไดอ ยา งมากมายในชว งวยั น้ี และคณุ สมบตั หิ ลายประการ อาทเิ ชน การควบคมุ อารมณต นเอง การมวี ินยั ความเออ้ื อาทร การเห็นอก เหน็ ใจผอู น่ื จะเกดิ ขน้ึ จากการสรา งรากฐานในวยั น้ี วิธีการเล้ียงดูและดูแลเด็กเพ่ือเสริมสรางอีคิวเด็กนั้น ทําได ทงั้ ทางตรงและทางออม ทางตรง เดก็ เรยี นรูอีควิ จาก 1. การที่ผใู หญบอกและสอน วาเด็กตอ งทําตัวอยางไรและ บอกเหตผุ ลวา เพราะอะไร ฝก ใหเ ดก็ รจู กั คดิ เหตผุ ล และรูว า อะไร ควรไมค วร โดยผใู หญม กี ารจดั การและควบคุมตามทตี่ กลงไว โดยผูใ หญค วรมกี ฏเกณฑท ่แี นนอน และมคี วามคงเสนคงวา ไมใ ชอ ารมณใ นการดแู ลเดก็ 2. มกี ารใหคําชมเมอื่ เดก็ ทําดี และทําโทษดว ยวธิ ที เี่ หมาะสม ไมใ ช การลงโทษทรี่ นุ แรงกบั เดก็ คูมอื เสรมิ สรา งไอคิวและอีควิ เด็ก สาํ หรบั ครโู รงเรยี นอนบุ าล 27

ทางออ ม คือ 1. การทผี่ ใู หญเ ปน แบบอยางการแสดงอารมณแ ละการจดั การกบั อารมณท เี่ หมาะสม 2. การทเี่ ดก็ ทํากจิ กรรมตา งๆ กบั ผใู หญในขณะทเี่ ลน เกมส ดทู วี ี เลานิทาน ผูใหญก็สามารถถายทอดทักษะทางสังคม และ สอดแทรกความคดิ คา นยิ มทดี่ งี ามแกเ ดก็ 3. การเลย้ี งดทู ฝี่ ก หดั และสรา งประสบการณใ หเ ดก็ ชว ยเหลอื ตวั เอง ตามวัย หัดใหเด็กรูจักแกไขปญหาดวยตัวเอง ใหเด็กได ทํากจิ กรรมทหี่ ลากหลาย เพอื่ ฝก หดั ใหเดก็ มคี วามอดทน รจู กั โลกกวา ง และพฒั นาทกั ษะทางสงั คมจากการไดร ว มทาํ กจิ กรรม ตางๆ กบั เพอื่ น 4. การหดั ใหเดก็ รูจกั ผดิ หวงั บาง รจู กั รอคอยบา ง ดว ยการใหส ง่ิ ของวตั ถเุ ทาทจี่ ําเปน และเหมาะสม 5. การฝก หัดระเบยี บวนิ ยั การใชเวลาอยางมีคุณคา และการใช จายเงนิ อยา งประหยดั 28 คมู อื เสรมิ สรางไอคิวและอีควิ เดก็ สําหรบั ครูโรงเรยี นอนุบาล

คูมอื เสริมสรางไอคิวและอคี วิ เด็ก สําหรบั ครูโรงเรียนอนุบาล 29

การพฒั นาความฉลาดทห่ี ลากหลาย เดก็ ๆ มคี วามฉลาดหลายดานทหี่ ลากหลาย ไมใ ชเ ฉพาะรูห นงั สอื อยา งเดยี ว การทพี่ อ แมแ ละครสู ามารถสงั เกตและใหก ารสง เสรมิ ความฉลาด ทหี่ ลากหลาย ซง่ึ มีความแตกตา งกันในเดก็ แตล ะคนน้ี จะชว ยเสริมสรา ง ศกั ยภาพของเด็กทีม่ อี ยแู ลวใหเดน ชดั และชวยใหเดก็ ประสบความสําเร็จ ไดม ากข้ึน นอกจากน้ียังชว ยใหเด็กทุกคนมีโอกาสประสบความสาํ เร็จ ตามแนวทางของเขาเองอกี ดว ย ความฉลาดทห่ี ลากหลาย ไดแก 1. Word smart การเกงทางคาํ พดู ภาษา เปนความสามารถ ในการใชคําอยางมปี ระสิทธิภาพ เชน การเขยี น การพดู การชกั จงู ความจํา การอธิบาย เลา นทิ าน เลาโจก การใหเ หตุผล เขียนสรปุ การชกั ชวน มกั จะมบี คุ ลกิ ภาพดงั น้ี มคี วามสามารถในการจดั ระเบยี บแบบแผน เปนคนมรี ะเบยี บ มรี ะบบ สามารถใหเ หตผุ ล เปนนกั ฟง นกั อา น นกั เขยี น สามารถสะกดคําไดง า ย ชอบเลนเกมตอ คํา ชา งจาํ เรอ่ื งเลก็ ๆ นอยๆ สามารถ พบไดจ าก นกั แตง บทกวี นกั เขยี นบทละคร นกั ปกครอง นกั พดู นกั การเมอื ง บรรณาธกิ าร คนเลานทิ าน การฝกฝน หดั เลา เร่อื งตางๆ เลน เกมที่เก่ยี วกบั ชอ่ื สถานที่ หดั อา นเขยี นเรอ่ื งราวตา งๆ หรอื เรอ่ื งขบขนั เลน เกมทาํ ทา เลยี นแบบคาํ ศพั ท 30 คูมือเสรมิ สรา งไอควิ และอคี ิวเดก็ สําหรับครโู รงเรียนอนุบาล

หดั เขียนเร่อื งราว สัมภาษณ เลนเกมปริศนา หรอื เกมสะกดคาํ หดั โตว าที วจิ ารณเ รอ่ื งราวตางๆ 2. Logical/mathematical ความสามารถดา นคณติ ศาสตรแ ละ ตรรกวิทยา การเรยี นรเู กิดข้ึนเมื่อมกี ารแกปญหา การทํางานกับตวั เลข การทดลอง การสงั เคราะหค วามคดิ สาํ รวจ การคาํ นวณ เรยี งลําดบั เวลา ลาํ ดบั เหตกุ ารณ การใชเ หตผุ ล เปรยี บเทยี บ ลาํ ดบั ความคดิ การตงั้ สมมตุ ฐิ าน กลมุ พวกนี้ไดแก นักวิทยาศาสตร นักคณิตศาสตร วิศวกร ตํารวจ นักสบื นกั กฏหมาย นกั บญั ชี มักจะมบี ุคลกิ ภาพดังน้ี ชอบคดิ ในเรอ่ื งนามธรรม ชอบวิจารณ ชอบสนกุ สนานในการนบั ของ ชอบทํางานเปน ระบบ สนุกสนานกบั การใช คอมพวิ เตอร สนกุ สนานกบั การแกไขปญ หา การฝก ฝน กระตนุ ใหห ดั แกไ ขปญ หา ใหเ ลน เกมคณติ ศาสตรจ าก เครอื่ งคอมพิวเตอร หดั ใหเ หตผุ ล หัดทําการทดลอง หัดคาดคะเน หดั ให ทํางานผสมผสานระหวา งคณติ ศาสตรก บั การจดั ระบบในหวั ขอ ตา งๆ หดั จดั สถานที่ หัดทํางานอยางเปน ขน้ั เปน ตอน 3. Spatial ความสามารถดานการมองภาพรวม (มิติสัมพนั ธ) สามารถพบไดจากสถาปนกิ ชา งทาสี ชางปน นกั เลน หมากรุก นกั นยิ มไพร นกั ฟสิกส ผบู ริหาร คมู ือเสรมิ สรา งไอคิวและอคี วิ เดก็ สําหรบั ครูโรงเรยี นอนบุ าล 31

มักจะมีบุคลิกดังน้ี สามารถจินตนาการและแสดงความรสู ึก ออกมาเปน การแสดง รปู ภาพ หรอื ภาพพจนไ ด มกั ใชคาํ อปุ มาอปุ มยั ชอบ งานศลิ ปะ วาดภาพ ระบายสี ปน หรอื แกะสลกั มีทักษะในการอานแผนท่ี แผนภมู ิ จําเรอ่ื งราวตางๆ เปน ภาพได มที ักษะในการใชส ี การฝก ฝน ใชก ารเรียนดว ยภาพ หดั ใหส รางสญั ลกั ษณหรอื ภาพ หดั ใหว าดแผนท/่ี แผนภมู ิ หดั ใหท าํ งานผสมผสานระหวา งงานศลิ ปะ กับวิชาตา งๆ หัดวาดแผนท่ใี นใจ ใชส่ิงกระตุนจากสงิ่ ตางๆ รอบขา ง เชน จากโปสเตอรหรือสัญลักษณรอบหองเรียน หัดเลนละครท่ีใชทาทาง หดั ใชค อมพวิ เตอรใ นการวาดภาพ ทําแผนภมู ิ 4. Music เกง ทางดนตรี การเขยี นบทเพลง การรอ งเพลง การฟง จงั หวะดนตรี สามารถในการรบั รแู ละแสดงออกทางดนตรี มกั พบได จากนกั แตงเพลง นักแสดง ชา งปรับแตงดนตรี ผคู วบคุมวงดนตรี มกั จะมบี ุคลกิ ดงั นี้ มที กั ษะในเร่ืองของจังหวะ ระดบั เสียง การแยกแยะเสยี งดนตรี รบั รูใ นพลงั และความซับซอ นของดนตรีได การฝก ฝน หดั ใหเลนดนตรี ใชการรอ งเพลงเขามาประกอบ ในการเรยี น หัดแตงเพลง หัดจินตนาการหรอื วาดภาพโดยใชเสยี งดนตรี การอา นบทกวโี ดยใชจ งั หวะดนตรตี า งๆ กนั 32 คูมือเสรมิ สรางไอคิวและอคี ิวเด็ก สาํ หรับครูโรงเรียนอนุบาล

5. Kinesthetic เกง ในการเคลื่อนไหว การเตน ราํ การกฬี า การแสดงบทบาทตา งๆ การทศั นศกึ ษา ความสามารถในการแสดงออกตา งๆ ตวั อยางเชน นักกีฬา นักเต็นราํ นกั แสดง นักประดิษฐ ชา งกล มกั จะมบี คุ ลกิ สามารถควบคมุ รา งกายได มลี กั ษณะในการเรยี น รูก ารเคลอ่ื นไหวรา งกายไดดี ชอบเลน กฬี า มที กั ษะในงานฝม อื ชอบแสดง ชอบทํางานหัตถกรรมตางๆ ชอบเรียนรโู ดยการมีสว นรว มในงานนั้นๆ จําเร่ืองราวตา งๆ ไดด ี ชอบการรวมในกจิ กรรมมากกวา การบอกเลา หรอื แคส งั เกต มีความรูส กึ ไวตอการเปลยี่ นแปลงของสภาพแวดลอ ม การฝก ฝน สนบั สนนุ กจิ กรรมการเคลอ่ื นไหว ใหม กี ารเคลอื่ นไหว ในการเรยี นการสอน การทาํ กจิ กรรมกลางแจง ตา งๆ การใชเ วลาวา งฝก ฝน ทักษะดา นการกฬี า การเตน ราํ การประดษิ ฐสงิ่ ตา งๆ ใหมเี วทแี ละฝก ฝน การแสดงออกตามทเี่ ดก็ ถนดั 6. Interpersonal ความสามารถทางดา นปฏสิ มั พนั ธก ับบคุ คล อ่ืนหรือทางดานสังคม เกงทางมนุษยสัมพันธ การเรียนรเู กิดข้ึนเมื่อมี การทาํ งานกบั คนอ่ืน การถกเถียงในกลมุ การวางแผน การสาํ รวจ การให คาํ วิจารณ การสอน การระดมสมอง การวิเคราะหตนเอง ความสามารถ ในการสงั เกตความแตกตา งของแตล ะบคุ คล มเี พอื่ นมาก ชอบกจิ กรรมกลุม มกั พบใน นกั รัฐศาสตร ครู ผนู าํ ทางศาสนา ผนู ําทางการเมือง ทีป่ รกึ ษา คนขายของ ผจู ดั การ นกั สังคมสงเคราะห คมู อื เสรมิ สรา งไอคิวและอคี ิวเด็ก สําหรับครูโรงเรยี นอนบุ าล 33

มักมีบุคลิกภาพดงั น้ี มคี วามคิดรเิ ร่มิ เขากับผอู ื่นไดดี สามารถ เขาใจความรูสกึ นกึ คดิ ของคนอน่ื ได สนกุ สนานกบั การไดอ ยูกบั บคุ คลอนื่ มีเพื่อนมาก ส่ือสารและปฏิบัติงานรวมกับผูอ ่ืนไดดว ยดี สนุกสนานกับ การทาํ กจิ กรรมเปน กลมุ ชอบทาํ หนา ทเี่ ปน สอ่ื กลางในการโตว าที ชอบทาํ งาน รว มกบั ผอู นื่ เรยี นรูทางสังคมไดเ กง การฝก ฝน หดั ใหท าํ กจิ กรรมกลมุ สนั ทนาการ แบง ปน กนั ฝก หดั การตดิ ตอและสรางสมั พนั ธก บั ผอู นื่ เรยี นรกู ารใหบ รกิ ารผูอน่ื หดั ใหค าํ แนะ นาํ แกผ ูอ น่ื หดั ใชเหตผุ ล 7. Intrapersonal มที ักษะในการรจู กั ตนเอง มีความสามารถ ในการคนหาและเขาใจตนเอง สามารถแกไ ขปญหาดวยตนเองได มักพบ ไดจ าก นกั เขยี นนวนิยาย ที่ปรึกษา นกั ปรัชญา นกั จิตวิทยา ผูนําศาสนา มีบุคลิกภาพดังนี้ รูจักตนเอง รูจักคุณคาของตนเอง รับรู ความรสู ึกของผูอ่นื ไดดี มีเปาหมายของชวี ติ มีพฒั นาการรับรูตนเองไดดี รูถึงจุดออนและจุดแขง็ ของตนเอง ชอบสนั โดษ ตองการทจ่ี ะเปนตวั ของ ตัวเอง การฝกฝน ฝกใหพูดความรสู ึกของตนเอง สํารวจตนเอง ทงั้ ความคดิ อารมณค วามรูสกึ ทํากจิ กรรมทพี่ ฒั นาตนเอง หดั ทาํ บนั ทกึ ชวี ติ ประจําวัน แลกเปล่ียนความคิด ความรสู ึกตอ ผูอ่นื ฝก หดั ใหฟง และคดิ เรยี นรูก ารควบคมุ ตนเอง สอนใหเชอื่ มน่ั ในตนเองและสอนใหห ดั ตงั้ คําถาม 34 คูม ือเสรมิ สรางไอคิวและอีคิวเดก็ สาํ หรับครูโรงเรยี นอนบุ าล

8. Naturalist มีความสามารถในการเขา ถึงคน และธรรมชาติ เรยี นรจู ากสงิ่ แวดลอ ม ผูค น ธรรมชาติ สังเกตความแตกตา งและความเปน ไปของส่ิงตางๆ ไดด ี มักพบไดจ ากนกั ชวี วิทยา นกั สิ่งแวดลอม บคุ ลกิ เปน คนทชี่ อบธรรมชาติ มคี วามสขุ กบั ธรรมชาติ ชา งสงั เกต เปรยี บเทยี บและกระตอื รนื รน ตอการเรยี นรูธ รรมชาตริ อบตวั การฝก ฝน ใหท ํากจิ กรรมสงั เกตธรรมชาติ ทศั นศกึ ษา ใหศ กึ ษา อยา งลกึ ซงึ้ ในเรอ่ื งธรรมชาตทิ สี่ นใจ ทํารายงานในเรอ่ื งทสี่ นใจ การพฒั นาเด็กควรสามารถสงเสริมเด็กไดตามความถนัดและ ความสนใจของเดก็ ไมจ าํ เปน ตอ งเคยี่ วเขญ็ ในสงิ่ ทเี่ ดก็ ไมช อบ หรอื ทาํ ไมไ ด ควรพูดคยุ และรับฟง เดก็ ดว ยเหตผุ ล ปจ จุบนั ขอมลู และองคค วามรตู า งๆ มมี ากมาย และเพมิ่ ขนึ้ เรอ่ื ยๆ จงึ เปนไปไมไ ดท จี่ ะใหเ ดก็ เรยี นรูไ ดท กุ อยา ง สง่ิ ทสี่ ําคญั ทสี่ ดุ ในการเรยี นการสอนคอื การสอนวธิ กี ารแสวงหาความรูท เี่ ดก็ สนใจ และสอนใหเ ดก็ คดิ เปน เดก็ ทกุ คนจะเรยี นรไู ดว า เขามคี วามตอ งการ และความสนใจอะไร ในชว งเวลาทแี่ ตกตางกันของชีวติ และสามารถทจี่ ะ คน ควาหาความรทู ตี่ นสนใจนนั้ ได คมู อื เสรมิ สรางไอคิวและอคี วิ เด็ก สาํ หรบั ครูโรงเรียนอนุบาล 35

    36 คมู ือเสรมิ สรา งไอควิ และอคี ิวเดก็ สาํ หรบั ครูโรงเรียนอนุบาล

พฒั นาการและการเรยี นรูของ เดก็ 3-5 ป • พัฒนาการเด็กวัย 3-5 ป เด็กวัย 3–5 ป เปนวัยท่ีมีการพัฒนาทักษะในการรับรูทาง ความคดิ ความสามารถทางเชาวนป ญ ญา และความอยากรอู ยากเหน็ มากขนึ้ เด็กจะเริม่ คิด เร่มิ ทาํ สิง่ ใหมๆ และชอบถามคาํ ถามบอ ยๆ เชน น่นั อะไร ทําไม ฯลฯ ซ่งึ พอ แมบางคนไมเ ขา ใจ อาจจะดุเด็กไดจ นเดก็ บางคนขยาด หวาดกลัววา จะทําผิด เพราะถกู ผูใหญวา กลาวมาแตเล็ก ความรูสึกน้ีมา ปด กนั้ ความคิดของเด็ก และจะติดตัวจนถงึ วยั ผูใ หญ คูม อื เสริมสรา งไอควิ และอีคิวเดก็ สําหรบั ครโู รงเรยี นอนุบาล 37

การพัฒนาของเด็กวยั 3-4 ป เรมิ่ เปนตวั ของตัวเองโดยไมต อง ใหผูใ หญเ ฝา ในการเลน ความสามารถของพฒั นาการเดก็ วยั นใี้ นแตละดา น ไดแ ก - พฒั นาการดา นการเคล่อื นไหว เด็กสามารถเดนิ ดวยปลายเทา เดนิ บนเสน ตรงกวาง 5 ซม. ในขณะทวี่ ิ่งแลว หยุดวงิ่ เลยี้ วหรือ หลบสงิ่ กีดขวางได เดนิ ขน้ึ ลงบันไดสลบั เทาได ปน ตาขายเชอื ก ไดสูงขึ้น ขวางและรับลูกบอลขนาดเลก็ ได วิ่งไปเตะลกู บอล ไดโ ดยไมตอ งหยุดเล็ง กระโดดสองเทา ไดไกล 30 ซม. หรอื กระโดดลงจากบันไดขั้นสุดทา ยได ถีบจกั รยาน 3 ลอ ได - พฒั นาการดา นการใชก ลา มเนอ้ื มดั เลก็ และสตปิ ญ ญา ประกอบ ชนิ้ สว นของรปู ภาพได วางเรยี งกอ นไมท มี่ ขี นาดตา งกนั เรยี งตาม ลาํ ดบั ได จบั คแู ละแยกกรปู ภาพ สี วตั ถุ ตวั อกั ษรได เลยี นแบบ การเขียน กากบาท (+ ) ตัววี ( V ) วาดรปู คนท่มี ีสวนของราง กายอยางนอ ย 3 สว น รอยลูกปดขนาดเลก็ ใชกรรไกรตดั กระดาษไดสน้ั ๆ - พฒั นาการดา นการเขา ใจภาษา ชอ้ี วัยวะของรา งกายไดม ากขนึ้ เลอื กรปู ภาพชายหญงิ ได รูจ กั ผวิ สัมผสั แขง็ และนิม่ รจู กั คาํ วา ปด เปด เลือกรปู ภาพทแี่ สดงสหี นา สขุ เศรา โกรธ รขู นาดใหญ 38 คมู ือเสริมสรางไอคิวและอคี วิ เดก็ สําหรบั ครโู รงเรยี นอนบุ าล

และเล็ก ตําแหนง เชน ขางหนา ขางหลัง ขางๆ หางๆ ตอบคาํ ถามงายๆ ได โดยการพดู หรอื ชใ้ี นขณะฟง นทิ าน - พฒั นาการดา นการใชภาษา พดู กระซิบหรอื ตะโกน รองเพลง งา ยๆ ได พดู โตตอบสนทนา บอกหนา ทอี่ วัยวะของรางกายได และบอกประโยชนข องสง่ิ ตา งๆ ไดเ ชน หอ งน้ํา เตาไฟ สามารถ เลาเหตกุ ารณท เ่ี พงิ่ ผา นไปได บอกชอ่ื จริง นามสกุลเตม็ ของ ตนเองได พดู คาํ ทมี่ คี วามหมายตรงขามได พดู เปน ประโยคได - พฒั นาการดา นการชว ยเหลอื ตนเองและสงั คม เดก็ เลน กบั เดก็ อนื่ โดยวิธีการผลัดกันเลน บอกเพศของตนเองได ชว ยงาน งายๆ ได สามารถหลกี เลีย่ งสง่ิ ท่ีเปนอนั ตรายได ใชชอนสอ ม รบั ประทานอาหารได เทนาํ้ จากเหยอื กไดโ ดยไมห ก ถอดกระดมุ เมด็ ใหญไ ด ถอดเสอื้ ผา ได ไมป ส สาวะรดทน่ี อนในเวลากลางคนื ลา งมือลา งหนา ไดเ อง คูม ือเสรมิ สรางไอควิ และอีคิวเดก็ สําหรับครโู รงเรียนอนบุ าล 39

การพฒั นาของเด็กวยั 4 -5 ป เดก็ วัย 4 ขวบ จะเปนเดก็ วัยทีใ่ ช พลงั งานไปกบั การเลน และเลน เปนวยั ทมี่ จี นิ ตนาการ ไมม คี วามอดทน และ ชอบทาํ ตนเปน ตัวตลกชวนหวั ภาษาของเด็กวัย 4-5 ขวบนี้ จะพูดจาเลน คําใชเสยี งทดี่ ัง ตะโกนและหัวเราะเสยี งดัง เดก็ 4 ขวบจะมีจินตนาการที่ยง่ิ ใหญกวาความเปนจริง ซึ่งมกั จะปฏเิ สธความจรงิ และมกั จะถกู ทําใหเ ชอื่ การพดู จาโออวดเกนิ จรงิ ถอื เปน เรอ่ื งปกตขิ องเดก็ วยั น้ี เดก็ วัย 4 ขวบน้จี ะรสู ึกดหี ากไดแ สดงออกในสง่ิ ท่ี ตนตอ งการแสดงใหเ หน็ ถงึ ความเชอ่ื มน่ั ในตนเองและเตม็ ใจทจี่ ะลองของใหม ผจญภัยในส่งิ แปลกใหม เด็กชอบแขง ว่ิงขน้ึ ลงบันได หรือวง่ิ ตามมุมหอ ง ข่ีจักรยาน ผูปกครองหรอื ครูยังคงตอ งเฝา ดแู ลอยางใกลช ิด เพราะเด็กยัง ไมรถู ึงภัยที่จะมาจากการเลน เด็กยังไมสามารถประเมินความสามารถ ของตนเองไดอ ยา งถกู ตอ ง การออกแรงมากเกนิ ไป การวงิ่ เรว็ อยางไมค ดิ ชวี ติ จงึ อาจทําใหเ ขาประสบอบุ ตั เิ หตุได พฒั นาการเดก็ วยั นใ้ี นแตล ะดา น ไดแก - พฒั นาการดา นการเคลอ่ื นไหว เดนิ สลบั เทาบนกระดานทรงตวั กวาง 10 ซม ได ยนื หลับตาทรงตวั บนขาขางเดยี วได เดนิ ตอ สน เทา กระโดดสองเทา ขา มเชอื กสงู 15 ซม ได กระโดดขาเดยี ว ได ถบี จกั รยานสามลอ แลว เลยี้ วกลบั ได รบั และขวา งลกู บอล ขนาดเลก็ ไดคลอ งขน้ึ โหนตัวบนราวทสี่ งู เหนอื ศรี ษะได 40 คูม อื เสรมิ สรา งไอควิ และอคี วิ เดก็ สําหรับครูโรงเรยี นอนบุ าล

- พัฒนาการดานการใชกลามเนื้อมัดเล็กและสติปญญา ตัดกระดาษตามแนวเสน ตรงไดย าวขึ้น ตัดกระดาษเปนรูป วงกลมได วาดรูปคนที่มีสว นประกอบของรางกาย 6 สว นได และวาดรูปงายๆ ทมี่ ีสว นประกอบ 4 สว นได จับดนิ สอดว ย ทา ทางท่ีถูกตอง บอกสีได 4 สี ช้ีสว นท่ีหายไปในภาพได ประกอบช้ินสวนของรูปภาพท่ีตัดออกเปนช้ินๆ ไดเร็วข้ึน พดู ตามตัวเลขทีบ่ อกได 4 ตวั - พฒั นาการดา นการเขา ใจภาษา ทาํ ตามคาํ สงั่ ตอ เนอ่ื งทปี่ ระกอบ ดวยการกระทาํ 3 อยา ง กบั วัตถุทมี่ ีอยูใ นหอ งเรยี น เชน วตั ถุ ตําแหนง สี รูความหมายคําวา “ตอ จาก” “ระหวา ง” “ขางหนา ” “ขางหลัง” “ไวกับ” และช้ีอวัยวะของรางกายได ประมาณ 19 สวน เลอื กวัตถุได 4 ประเภท ไดแ ก ตกุ ตาสตั ว ผลไม เครอื่ งมอื ชา ง เลอื กรปู ภาพทเี่ ปน เวลากลางวนั / กลางคนื รูจกั รอน/เย็น หนัก/เบา เสียงดัง เสียงเบา ยาวกวา /ส้ันกวา วา งเปลา /เตม็ มากกวา /นอยกวา คมู อื เสรมิ สรา งไอควิ และอคี ิวเด็ก สาํ หรบั ครโู รงเรียนอนบุ าล 41

42 คูม ือเสรมิ สรา งไอคิวและอคี ิวเดก็ สําหรบั ครูโรงเรยี นอนบุ าล

- พฒั นาการดานการใชภ าษา เลา เร่ืองจากภาพทคี่ นุ เคย โดย ใชป ระโยค 6 คาํ ได ใชค ําท่บี อกเวลา ในอดีตไดเ ชน เมือ่ วาน ใชสันธานเชื่อมประโยคได เชน คําวา และ/ หรือ/ กับ ไดตอบคําถามเกี่ยวกับหนาท่ีของอวัยวะได ตอบคาํ ถาม เมื่อถามวา ถา รอน / ปว ย/ คอแหง จะทําอยางไร - พัฒนาการดานการชวยเหลือตนเองและสังคม ทํางานท่ี มอบหมายใหเ สรจ็ ดว ยตนเอง เรมิ่ ตน สนทนากบั เพอื่ น บอกอายุ และทอี่ ยขู องตนเองได เลน รว มกนั โดยชว ยกนั ทาํ และชว ยเหลอื กันได เลนเลียนบทบาทแบบผูใ หญ เลนของเลนโดยใช จนิ ตนาการ ใชชอนตักอาหารชน้ิ เล็กได ถอดกระดมุ รจู กั แยก ดา นหนา ดานหลงั ของเสอื้ ได แตง ตวั ไดเ อง แปรงฟน เขาหอ งน้ํา ขบั ถายไดเ อง คมู ือเสรมิ สรา งไอคิวและอีควิ เดก็ สาํ หรับครโู รงเรียนอนบุ าล 43

44 คูม ือเสรมิ สรา งไอคิวและอคี ิวเดก็ สําหรบั ครูโรงเรยี นอนบุ าล

• พัฒนาการทางอารมณใ นเดก็ อายุ 3–5 ป ในเด็กอายุ 3–5 ป เปนวัยท่ีเด็กอยากใหเพ่ือนรัก อยากให เพอ่ื นชอบ เดก็ ตอ งการทจี่ ะเอาใจเพอื่ น อยากเปน เหมือนเพอื่ น เดก็ จะยอม ทาํ กฎเกณฑต างๆ ทเ่ี ขาชอบ เดก็ มักชอบรอ งเพลง ชอบเตน ระบํา อยาก เปน ตัวของตัวเอง อยากจะออกไปหาเพื่อนขางบา น เขาอยากจะไปเลนกับ เพ่ือนๆ ครูควรสนับสนุนใหเด็กเลนกับเพ่ือน เลนเปนกลมุ ในวัยน้ี เด็กอาจจะเริ่มด้ือเพราะมีความเปนตัวของตัวเอง ที่สําคัญผดู ูแล ตองใจเยน็ ไมหงดุ หงิด อารมณเย็น ควรอธิบายใหเด็กฟง ถา ผูดแู ลโกรธ ดุ หรอื ใชวธิ ลี งโทษทไี่ มเ หมาะสม เดก็ จะยง่ิ มพี ฤตกิ รรมทไี่ มด ี เด็กในชว งน้กี ําลงั เรยี นรสู ่ิงที่ถกู ท่ผี ิด ไมเขา ใจรายละเอียดของ จริยธรรมความดี เชน ถาเด็กทําของแตก เขาจะคิดวาไมดี ผดู ูแล ตองอธบิ ายถงึ ความแตกตางระหวา งอบุ ตั เิ หตทุ เี่ กดิ ขนึ้ และความตงั้ ใจทําให ของเสยี และจะตอ งแยกตวั เดก็ ออกจากพฤตกิ รรมของเขา เชน จะตอ งบอกวา “ครรู กั หนู แตค รไู มช อบในสง่ิ ทหี่ นทู าํ หนทู าํ แจกนั แตกเปน สงิ่ ทไี่ มด ี มนั ทําให เกดิ อนั ตราย” แตถ า มนั เปน อบุ ตั เิ หตกุ ต็ อ งอธบิ ายใหฟ ง วา “ไมเ ปน ไรมนั เปน เพยี ง อบุ ตั เิ หตุ คราวหนา หนคู วรทาํ อยา งน”ี้ และทสี่ าํ คญั ครคู วรตอ งระวงั ปอ งกนั อบุ ตั เิ หตทุ อี่ าจเกดิ ขน้ึ โดยการคาํ นงึ ถงึ สง่ิ แวดลอมของเดก็ ควรใหเ ดก็ คดิ ถงึ ส่งิ ทีเ่ ขาควรทาํ ได สาํ หรับวยั น้ีและจะตองชมเชยเมือ่ เดก็ ทําไดจะเปน การ เสรมิ สรางความเห็นคุณคา ในตนเอง รวมทั้งเร่ืองความคิดการตัดสินใจ คมู อื เสริมสรา งไอคิวและอีควิ เด็ก สาํ หรับครูโรงเรยี นอนุบาล 45

การสรา งทัศนคติทดี่ ี ทําใหเดก็ รสู กึ วา ตนเองมคี ุณคา และมคี วามสามารถ ทจี่ ะทําได • การเรยี นรูของเดก็ 3-5 ป สําหรบั การเรยี นรูของเดก็ 3-5 ป นน้ั มคี ําถามทว่ี า เด็ก 3-5 ป จะเรียนรูไ ดด จี ะตอ งอาศยั อะไรเปน องคป ระกอบบา ง และจะเรยี นรอู ะไร ซง่ึ ในเรอื่ งนม้ี รี ายละเอยี ดทคี่ วรพจิ ารณาดงั น้ี สิ่งท่ชี วยใหเ ดก็ 3-5 ป วัยเกิดการเรียนรู แลนเดร็ธ (Landreth.) กลาววา เด็ก 3-5 ปจะเรียนรูไดด ี จากสงิ่ ตอ ไปนี้ 1. เดก็ จะเรยี นรจู ากการตอ งการบางอยา ง (Learning Through Wanting Something) ในเรอ่ื งน้สี ง่ิ ทเี่ ดก็ ตองการ ไดแก • ตองการประสบความสําเร็จ เด็กจะตองการทราบระดับ ความสามารถของตน และตองการทราบวา เขาทําอะไรไดบาง • ตองการยอมรับและทําในสิ่งท่ีตนสนใจ เด็กวัยนี้เปนเด็ก ทชี่ อบสงั คมและชอบอยทู ามกลางผูคนที่เขารจู ัก เขาจะเรยี นรู ทจี่ ะทาํ สงิ่ ทพี่ อ แมพ อใจ • ตองการเปน เหมอื นคนทเี่ ขารกั เดก็ จะเรยี นรูจ ากการเลยี นแบบ บุคคลทีเ่ ขารกั เชน เดก็ ผชู ายจะทําในสง่ิ ทเี่ หมือนพอ และเดก็ ผหู ญงิ จะทําในสงิ่ ทเี่ หมอื นแม 46 คมู ือเสริมสรา งไอควิ และอีคิวเด็ก สาํ หรบั ครโู รงเรียนอนบุ าล

2. เด็กจะเรยี นรจู ากการสนใจส่ิงใดสิง่ หนึง่ (Learning Through Paying Attention to Something) ในการเรยี นรผู ูเรยี นจะตองสนใจ สิง่ ใดสง่ิ หนงึ่ เสียกอ น ในขอ นมี้ สี ง่ิ ที่ควรคาํ นงึ ถงึ คือ • การเรยี นรทู เี่ กดิ จากความตงั้ ใจจะมผี ลดกี วา การเรยี นรทู เี่ กดิ ความไมต งั้ ใจ • ครูควรจะกาํ หนดสิ่งที่ควรใหค วามสนใจและเกิดการเรียนรู ใหกบั เดก็ • ประสบการณห ลายๆ ประสบการณ และการมีสวนรวมใน กจิ กรรมจะมสี วนขยายความสนใจใหก วางขนึ้ • คําถามที่เหมาะกับเวลาและสถานการณชวยเราความสนใจ ของเดก็ • สิ่งที่จะกระตุนความสนใจของเด็ก ไดแ ก สิ่งที่ตรงกันขา ม สง่ิ ทเี่ หลอื เชอื่ สง่ิ ทแี่ ปลกประหลาดและสงิ่ ทเี่ คลอ่ื นไหวไมอ ยูน งิ่ • การขจดั สงิ่ ทรี่ บกวนสมาธขิ องเดก็ ออกไปจะชว ยเสรมิ ใหเ ดก็ เกดิ สมาธใิ นการทํางานขน้ึ • เกมทเี่ นน ความตงั้ ใจและมกี ารแพช นะจะกระตนุ ความสนใจของ เดก็ ไดด ี คูมือเสริมสรางไอควิ และอีคิวเด็ก สําหรับครโู รงเรียนอนุบาล 47

48 คูม ือเสรมิ สรา งไอคิวและอคี ิวเดก็ สําหรบั ครูโรงเรยี นอนบุ าล

3. เดก็ จะเรยี นรูจ ากการกระทาํ และการเลน (Learning Through Doing and Playing) ในเรอ่ื งนม้ี ีรายละเอยี ดตา งๆ ดงั นี้ • เด็กมักจะทาํ ส่ิงหน่ึงสิ่งใดซํา้ ๆ ชอบเลียนแบบ และมักจะหา แนวทางใหก บั การกระทาํ ของตนเอง เดก็ เลก็ ๆ มกั จะทําสงิ่ ตา งๆ ซาํ้ แลว ซาํ้ อกี และหาทางพฒั นาสงิ่ ทเี่ ขาทํา หรอื ไมก จ็ ะเลยี นแบบ จากผูทเี่ ขาเห็นวา เกง และบางทกี จ็ ะพดู สอนตัวเขาเองอกี ดว ย • เด็กจะชอบคนหา ปฏิบัติ ทดลอง เปรียบเทียบ และหา ความสมั พนั ธข องส่ิงตา งๆ อยเู สมอ • เด็กจะชอบแยกแยะหาวิธีการ และหาประสบการณจากส่ิงท่ี เขาเห็น และไดย ิน • เดก็ จะปรบั ปรงุ ความคดิ ของตนเองโดยอาศยั ผลจากประสบการณ • เด็กจะรับประสบการณเขาไวเปนภาพในสมองของเขาและ แสดงออกโดยการกระทํา คูมือเสริมสรางไอควิ และอคี วิ เด็ก สําหรบั ครูโรงเรยี นอนุบาล 49

4. เดก็ จะเรยี นรจู ากการทเี่ ดก็ พรอ มทจี่ ะเรยี น (Learning Through Being Ready to Learn) เดก็ จะเรยี นรไู ดดเี มอ่ื มคี วามพรอม (Readiness) หรอื มวี ฒุ ภิ าวะ (Maturity) ทเี่ กดิ จากการทาํ หนา ทขี่ องสมองหรอื อวยั วะตา งๆ ทเี่ กิดจากการควบคุมของสมอง ในเรอ่ื งนแี้ ลนเดรธ็ แนะนาํ วา • ครคู วรจดั ประสบการณเพอ่ื ชว ยเดก็ ใหพ รอ มทจี่ ะเรยี นรสู ง่ิ ตา งๆ ซงึ่ นอกจากเวลาจะทาํ ใหเดก็ เกดิ ความพรอมและวุฒภิ าวะแลว ประสบการณก ย็ งั มสี ว นทาํ ใหเ ดก็ เกดิ การเรยี นรเู พอื่ บรรลวุ ฒุ ภิ าวะ ดังกลาวได • เด็กพรอมท่ีจะเรียนในสิ่งท่ียากข้ึน และในส่ิงท่ีแตกตางจาก สง่ิ ทเี่ ขากระทําไดแ ลว • เดก็ ควรไดรบั การฝก ฝนทกั ษะตา งๆ ท่ีเขาไดเ รียนรูแลว โดยครู ควรจดั ประสบการณท แี่ ตกตา งออกไปจากทกั ษะเดมิ บา งเลก็ นอ ย 50 คูม อื เสริมสรา งไอควิ และอีควิ เดก็ สําหรบั ครโู รงเรียนอนบุ าล