Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระพุทธศาสนาเถรวาท

พระพุทธศาสนาเถรวาท

Description: พระพุทธศาสนาเถรวาท

Search

Read the Text Version

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี กอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๔๑ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ มนั ส่วนพระพุทธศาสนาสอนเร่ืองอนตั ตา ไม่รบั รองเร่ืองชีวาตมนั น้ีเป็นขอ้ แตกต่างระหว่างพระพุทธศาสนากบั ศาสนาเชน ส่วนขอ้ ท่ตี รงกนั ของศาสนาเชนกบั พระพทุ ธศาสนาก็คือปฏเิ สธพระเจา้ (God) ผูส้ รา้ งโลก พระพทุ ธศาสนา ก็ปฏิเสธพระเจา้ ผูส้ รา้ งโลก ศาสนาในโลกมเี พียง ๒ ศาสนาเท่านน้ั ท่ีปฏิเสธฐานะของพระเจา้ เป็นผูส้ รา้ งโลก คือ พระพทุ ธศาสนาและศาสนาเชน ศาสนานอกนน้ั สอนมพี ระเจา้ เป็นผูส้ รา้ งโลกทงั้ นน้ั คาว่า เชน มาจากศพั ทว์ ่า ชนิ ะ แปลว่า ชนะ มนี ยั หมายถงึ การเอาชนะภายใน คือ กเิ ลสของตนเอง ศาสนา เชนถอื ว่ากเิ ลสเป็นสง่ิ เลวรา้ ย เพราะนาความทุกข์ ความวบิ ตั ิมาสู่ตนเองและผูอ้ ่นื เช่น การทาสงครามหรือการเขน่ ฆ่า ทารา้ ยกนั เหตปุ จั จยั ของการกระทาเหลา่ น้ีกเ็ น่ืองมาจากอานาจของกเิ ลส นอกจากน้ีกิเลสยงั เป็นเหตุแห่งการเวยี น วา่ ยตายเกดิ ไมร่ ูจ้ บส้นิ ๗๓ นิครนถน์ าฏบุตรหรือเจา้ มหาวรี ะเผยแพร่ศาสนามอี ายุยืนไปถึง ๗๐ ปี และพกั เทศนาสงั่ สอนคนทง้ั หลาย อยู่ทเ่ี มอื งปาวา อยูต่ ราบจนกระทงั่ วาระสุดทา้ ยของตนก่อนเขา้ สู่ถงึ นิพพาน มหาวรี ะเรยี กสาวกทง้ั หลายเขา้ มาสงั่ สอน เป็นครง้ั สุดทา้ ย อนุญาตใหศ้ ิษยท์ กุ คนตงั้ ปญั หาถาม เพ่ือมใิ หม้ คี วามเคลอื บแคลงสงสยั ใดๆ ในขอ้ ธรรมของตนให้ เหลอื อยู่ไดใ้ นภายหลงั สาวกคนหน่ึงไดถ้ ามว่า ในบรรดาคาสอนของพระชินะทง้ั ปวง คาสอนอะไรถือว่าเป็นคาสอน สาคญั ทส่ี ุด มหาวรี ะตอบว่า “อหิงสา เป็นธรรมสาคญั ทีส่ ุดในบรรดาคาสอนของเราทงั้ หมด และกลา่ วต่อไปว่า ตอ้ ง ไม่ ทารา้ ยสงิ่ ทมี่ ชี วี ติ ทางร่างกาย ทางวาจา และทางนา้ ใจ อย่าฆ่าสตั วท์ งั้ หลายเพอื่ อาหารของตน อย่าลา่ สตั ว์ อย่ายงิ นกตกปลา อย่าฆ่าร้ินยุง แมว้ ่ามนั จะกดั กินเลือดเน้ือ อย่าทาสงคราม อย่าต่อสู ้ ศตั รู อย่ายา่ เหยียบพืชผกั ใดๆ เพราะว่า สงิ่ ทงั้ หลายเหลา่ น้ีมวี ญิ ญาณทงั้ ส้นิ ” เจา้ มหาวรี ะสอนว่าใหแ้ สวงหาความหลุดพน้ จากสภาวะการเวยี นว่ายตายเกดิ ดว้ ยการเวน้ จากการประพฤติ เบยี ดเบยี นชีวติ ทุกชนิด พูดเทจ็ การถอื ครองทรพั ยส์ ่งิ ทงั้ หลายทง้ั ปวง แมแ้ ต่เส้อื ผา้ เคร่อื งนุ่งห่ม การลกั ทรพั ย์ ให้ ประพฤตพิ รหมจรรยอ์ ย่างเคร่งครดั นิยมในวธิ ีการทรมานตนเอง ใหไ้ ดร้ บั ความลาบาก เรียกว่า อตั ตกิลมถานุโยค ซง่ึ พระพทุ ธเจา้ ทรงปฏเิ สธ ในขน้ั สูงสุดกย็ งั ถอื ว่ามอี ตั ตาอยู่ เรียกว่า ชีวาตมนั แต่ท่เี หมอื นกบั พระพทุ ธศาสนาก็คือ ปฏเิ สธการสรา้ ง โลกโดยพระเจา้ และถอื หลกั อหงิ สา คอื ความไมเ่ บยี ดเบยี นอยา่ งเขม้ งวดมาก ศาสนาเชนมพี ระศาสดาดว้ ยกนั ๒๔ พระองค์ แต่สาหรบั ศาสนิกชนเชน เรียกพระศาสดาของตนเองว่า “พระติรถงั กร” แปลว่า ผูก้ ระทาซ่งึ ท่า (นา้ ) เพ่อื พาคนขา้ มฟากจากมนุษยภูมิ ไปสู่นิรวาณ (ภาษาปรากฤต) หรือ นิพพานในศาสนาพทุ ธ พระตริ ถงั กร ทง้ั ๒๔ พระองค์ มพี ระนามดงั ต่อไปน้ี พระนามพระตริ ถงั กร และเมืองท่ปี ระสูติ ๑. ฤษภเทวะ หรอื อทนิ าถภควนั ต์ อโยธยา ๒. อชติ นาถ อโยธยา ๓. สมั ภาวนาถ ศรวี สั ติ ๗๓ คณาจารย์ มจร., ศาสนาทวั่ ไป, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๒), หนา้ ๑๖๑-๑๖๙.

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๔๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ๔. อภนิ นั ท์ อโยธยา ๕. สุมาตนิ าถ อโยธยา ๖. ปทั มปราภู โกสมั พี ๗. สุพารสวนาถ วาราณสี ๘. จนั ทรประภา จนั ทรประภา ๙. บษุ ปทนั ต คาคนั ที ๑๐. ศีตลนาถ ภาทรลิ ะ ๑๑. เศยาสนาถ สมิ หปรุ ะ ๑๒. วอสั ุพชุ ยา กมั พาปรุ ะ ๑๓. วมิ ลนาถ คมั ปิลาปรุ ี ๑๔. อนนั ตนาถ อโยธยา ๑๕. ธรรมนาถ รตนะปรุ ี ๑๖. ศนั ตนิ าถ หสั ตนิ าปูร์ ๑๗. กนุ ตนุ าถ หสั ตนิ าปูร์ ๑๘. อรหนาถ หสั ตนิ าปูร์ ๑๙. มาลลนิ นาถ มถิ ลิ า ๒๐. มนุ ีสุวรนาถ ราชคฤห์ ๒๑. นามนิ าถ มถิ ลิ าปรุ ี ๒๒. เนมนิ าถ เศารปี รุ ะ ๒๓. ปรศั วนาถ วาราณสี ๒๔. มหาวรี ะ คนั ทาลปรุ ะ พระประวตั พิ ระปรศั วนาถะ ปรศั วาถะ ศาสดาองคท์ ่ี ๒๓ ประสูตทิ เ่ี มอื งพาราณสี กลา่ ววา่ ก่อน ค.ศ.๒๔๖๑ ปี บา้ ง ๘๑๖ ปี บา้ ง ๖๖๒ ปีบา้ ง ก่อนมหาวรี ะ ๒๕๐ ปีบา้ ง พระบดิ าเป็นราชาแห่งพาราณสี ทรงพระนามว่า อศั วเสน พระมารดา วามา ก่อน ประสูตทิ รงสุบนิ ว่า เหน็ งูเห่าดาขา้ งกาย จงึ ตง้ั นามพระโอรสว่าปรศั นาถะ ท่านเป็นนกั รบ สามารถปราบเมอื งกลงิ ค รฐั ไดอ้ ภเิ ษกกบั เจา้ หญงิ ประภาวดี ราชธดิ าของพระเจา้ ประเสนชติ กษตั รยิ แ์ ห่งอโยธยา อายุ ๓๐ ปี ออกเป็นสนั ยา สี บาเพญ็ ตบะทรมานกายอยู่ ๘๓ ปี ปีท่ี ๘๔ จงึ สาเรจ็ เกวลนั ชญาณ บางคมั ภรี ก์ ล่าวว่าตอนเกิดมกี ารทานายอย่าง เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ อายุ ๘ ปี ไดถ้ อื ศีล ๑๒ ขอ้ คือ ๑. ไมฆ่ ่า ๒. ไมป่ ด ๓. ไมล่ กั ๔. ไมป่ ระพฤตผิ ดิ ประเวณี

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี ก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๔๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๕. ไมโ่ ลภ ๖. อธษิ ฐานวา่ จะเดนิ ไปไหนแค่ไหนทกุ วนั ๗. พดู ชวั่ ๘. ไมค่ ดิ ชวั่ ๙. ไมเ่ พลดิ เพลนิ กบั การกนิ ๑๐. สวดมนตว์ นั ละ ๓ เวลา ๑๑. อดอาหารตามกาหนด ๑๒. ใหท้ านทุกวนั อายุ ๑๖ ปี ไดอ้ ภเิ ษกโดยมไิ ดต้ อ้ งการ ท่านบาเพญ็ ตบะและสาเร็จเกวลชั ญาณท่ใี ตต้ น้ อโศก โดยมมี ารช่อื เมฆมาลนิ มาผจญ มพี ญานาคช่ือธารณะกบั ภรรยาช่ือปทั มาวดี มาช่วย สาวก ๒ คนแรกคือ พระมารดากบั ชายาของท่าน ท่านสงั่ สอนอยู่ ๖๐ ปี ถงึ เบญจภาพ ท่เี ขาสเมตสขี ร เมอื งคยา บดั น้ีเขา เรยี กวา่ เขาปารศั วนถะ พระประวตั พิ ระมหาวรี ะ ศาสดาของศาสนาเชน เดมิ มนี ามว่า วรรธมาน แปลว่า ผูเ้จริญมกี าเนิดในสกลุ กษตั ริย์ เมอื งเวสาลี พระ บดิ านามว่า สทิ ธารถะ พระมารดานามว่า ตรศิ าลา เมอ่ื เจริญวยั ไดร้ บั การศึกษาศิลปศาสตรห์ ลายอย่างโดยควรแก่ ฐานะแห่งกษตั รยิ ์ เผอิญวนั หน่ึงขณะเล่นอยู่กบั สหาย ไดม้ ชี า้ งตกมนั ตวั หน่ึงหลุดออกจากโรงว่งิ มาอาละวาด ทาให้ ฝูงชนแตกต่นื ตกใจ ไมม่ ใี ครจะกลา้ เขา้ ใกลแ้ ละจดั การชา้ งตกมนั ตวั น้ีใหส้ งบได้ แต่เจา้ ชายวรรธมานไดต้ รงเขา้ ไปหา ชา้ งและจบั ชา้ งพากลบั ไปยงั โรงชา้ งไดต้ ามเดมิ เพราะเหตทุ ่แี สดงความกลา้ หาญจบั ชา้ งตกมนั ไดจ้ ึงมนี ามเกยี รตยิ ศ ว่า มหาวีระ แปลว่า ผูก้ ลา้ หาญมาก มหาวรี ะมพี ่ีนอ้ งร่วมพระมารดาเดียวกนั ๒ องค์ คือ พระเชษฐภคินี และ พระเชษฐภาดา พระมหาวรี ะ เป็นโอรสองคส์ ุดทา้ ย เม่อื เจา้ ชายวรรธมานมพี ระชนมายุได้ ๑๒ พรรษา ทรงไดร้ บั พิธียชั โญปวีตคือพธิ ีสวมดา้ ยมงคลแสดง พระองค์เป็นศาสนิกตามคติศาสนาพราหมณ์ หลงั จากพระบดิ าไดท้ รงส่งเจา้ ชายวรรธมานไปศึกษาลทั ธิของพ ราหมณาจารยห์ ลายปี เจา้ ชายทรงสนพระทยั ในการศึกษาแต่ในพระทยั มคี วามขดั แยง้ กบั คาสอนของพราหมณ์ทว่ี ่า วรรณะพราหมณป์ ระเสรฐิ ทส่ี ุดในโลก ส่วนวรรณะอ่นื ตา่ ตอ้ ย แมว้ รรณะกษตั รยิ ย์ งั ตา่ กว่าวรรณะพราหมณ์ แต่แลว้ พวกพราหมณไ์ ดป้ ระพฤตกิ าย วาจาและใจ เลวทรามไปตามทฏิ ฐแิ ละลทั ธนิ น้ั ๆ เมอ่ื เจา้ ชายวรรธมาน มพี ระชนมายุได้ ๑๙ พรรษา พระบดิ าทรงจดั ใหอ้ ภเิ ษกสมรสกบั เจา้ หญิงยโสธรา ซ่งึ เวลาต่อมาไดพ้ ระธิดาองคห์ น่ึงนามว่า อโนชา หรือ ปริยทรรศนา เจา้ ชายวรรธมานกบั พระชายาไดเ้ สวยสุขใน ฆราวาสวสิ ยั ดว้ ยความเกษมสาราญจนพระชนมายุได้ ๒๘ พรรษา มคี วามเศรา้ โศกเสยี พระทยั อย่างมากจากการ ส้นิ พระชนมข์ องพระบดิ าและพระมารดา ดว้ ยวิธีการอดอาหารตามขอ้ วตั รปฏิบตั ิในศาสนาพราหมณ์ซ่ึงเรียกว่า “ศาสนอตั วนิ ิบาตกรรม” ซง่ึ ถอื ว่าเป็นบญุ อยา่ งหน่ึง การสูญเสยี พระบดิ าและพระมารดาไดท้ าใหเ้จา้ ชายทรงเศรา้ พระทยั มาก ทรงสละพระชายาและพระธิดา เปลย่ี นผา้ คลุมพระกายเป็นแบบนกั พรต เสด็จออกจากนครไพสาลี และไดท้ รงประกาศมหาปฏญิ ญาในวนั นนั้ ว่า นบั ตงั้ แต่วนั น้ีเป็นตน้ ไป ๑๒ ปี ขอไม่พูดกบั ใครแมค้ าเดยี ว พระมหาวรี ะไดท้ รงบาเพญ็ ตนเป็นนกั พรตถือการขอ

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๔๔ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง เป็นอาชีพ ไดเ้ สด็จเท่ยี วไปตามคามนิคมต่างๆโดยมไิ ดพ้ ูดอะไรกบั ใครเป็นเวลา ๑๒ ปี ไดบ้ รรลุความรูข้ น้ั สูงสุด เรียกว่า ไกวลั ถอื เป็นผูห้ ลุดพน้ กิเลสทงั้ ปวงเป็นพระอรหนั ตแ์ ละเป็นผูช้ นะโดยส้ินเชิง เม่อื พระมหาวีระไดท้ รง บรรลุไกวลั แลว้ จึงทรงพจิ ารณาเห็นว่ามคี วามจาเป็นตอ้ งละปฏิญญานน้ั เสยี กลบั มาสู่ภาวะเดิมคือยองพูดกบั คน ทงั้ หลาย เพอ่ื ช่วยปฏริ ูปความคิดและความประพฤติเสยี ใหม่ แลว้ ไดเ้ ร่มิ เท่ยี วประกาศศาสนาใหมอ่ นั ไดน้ ามว่าท่าน เชน ศาสดามหาวีระไดท้ รงใชเ้ วลาในการสงั่ สอนสาวกไปตามคามนิคมต่างๆเป็นเวลา ๓๐ ปี และไดท้ รงเขา้ ถึง นิพพานหรือมรณภาพ เม่อื มพี ระชนมายุได้ ๗๒ พรรษา ในประมาณปีท่ี ๕๗๒ ก่อน ค.ศ. ท่ีเมืองปาวา หรือ สาธารณรฐั มลั ละ และปาวาบรุ นี ้ีไดเ้ป็นสงั เวชนียสถานสาหรบั ศาสนิกเชนทุกคน ๓. นิกายต่างๆ (แบ่งออกเป็นก่นี ิกาย ทาไม แต่ละนิกายแตกต่างกนั อย่างไร ในเร่อื งคาสอน การปฏบิ ตั ิ และพธิ กี รรม) ศาสนาเชนมนี ิกายใหญ่อยู่ ๒ นิกายคือ นิกายทิคมั พร และ นิกายเศวตมั พร การแตกแยกเป็น ๒ นิกายนนั้ เกดิ จากความแตกต่างกนั ทค่ี วามเช่อื ในการปฏบิ ตั เิ พอ่ื เขา้ ถงึ โมกษะต่างกนั เช่น ๑. นิกายทคิ มั พร เหน็ ว่านกั บวชจะตอ้ งสละทรพั ยส์ นิ ทง้ั หมด แมแ้ ต่ผา้ ห่มก็ตอ้ งสละ หากยงั นุ่งห่มอยู่ก็ แสดงว่ายงั มกี เิ ลสเพราะยงั อายอยู่ ยงั ตดิ ยงั ยดึ อยู่ ผูท้ ห่ี ลดุ พน้ แลว้ จากกเิ ลสจะไมต่ ดิ ไมย่ ดึ อยูใ่ นอะไรทง้ั ส้นิ ดงั นน้ั นิกายทคิ มั พรจงึ นุ่งลงหม่ ฟ้า (ชเี ปลอื ย) ๒. นิกายเศวตมั พรถอื ว่า การนุ่งห่มผา้ ขาวเป็นเพยี งการป้องกนั หนาวรอ้ นและปกปิดร่างกายไมใ่ หอ้ จุ าด ตาเทา่ นน้ั ไมใ่ ช่เรอ่ื งกเิ ลส ดงั นนั้ นิกายเศวตมั พรจงึ นุ่งหม่ ขาว ขอ้ ปฏบิ ตั ขิ องพระนิกายทคิ มั พร ๑. ตอ้ งปฏิบตั ิตามปญั จมหาพรตหรือมหาพรตทงั้ ๕ (ปํฺจมหาวตสยุตฺโต) คือ อหงิ สา สตั ยะ อสั เตย พรหมจรยิ ะ และ อปรคิ รหะ อยา่ งเคร่งครดั ๒. ตอ้ งสารวม ๔ (จาตุยามสวรสวุโต) คือการเคลอ่ื นไหว การพูด การบริโภคอาหาร การยก และวาง สง่ิ ของการโยนสง่ิ ต่างๆ ๓. ตอ้ งควบคุมอายตนะภายในทง้ั ๕ (ปํฺจทวารสวรสยุตโฺ ต) คอื ตา หู จมกู ล้นิ และกาย ๔. ตอ้ งปฏบิ ตั กิ จิ ๖ อย่าง (ฉวธิ กจิ จฺ กโต) คอื หาความสงบ สวดมนตร์ เคารพผูเ้หนือกว่าตน ปลงอาบตั ิ มงุ่ มนั่ ทจ่ี ะกาจดั บาป และทาสมาธิ ๕. โกนผม ๖. เปลอื ยกาย ๗. ไมอ่ าบนา้ ๘. นอนบนพ้นื ทร่ี าบ ๙. ไมแ่ ปรงฟนั ๑๐. ยนื บรโิ ภค ๑๑ บรโิ ภคอาหารเพยี ง ๑ ครง้ั ใน ๒๔ ชวั่ โมง ขอ้ ปฏบิ ตั ขิ องพระนิกายเศวตมั พร

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี ก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๔๕ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ๑. ตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามหมาพรต ทง้ั ๕ ๒. ตอ้ งไมบ่ รโิ ภคอาหารในเวลาคา่ คืน ๓. ตอ้ งควบคุมอายตนะทง้ั ๕ ๔. ตอ้ งรกั ษาความสะอาดภายใน ๕. ตอ้ งรกั ษาความหมดจด ๖. ตอ้ งรกั ษาความหมดจดในการครอบครองเป็นเจา้ ของสง่ิ ต่างๆ ๗. ตอ้ งใหอ้ ภยั ๘. ตอ้ งไมย่ ดึ มนั่ ถอื มนั่ ๙. ตอ้ งใจดี ๑๐. ตอ้ งพดู ดี ๑๑. ตอ้ งช่วยคุม้ ครองทกุ ชวี ติ นิกายทคิ มั พรมผี ูน้ บั ถอื มากในทางภาคใตข้ องอนิ เดยี และนิกายน้ีมเี ฉพาะเพศชายเท่านนั้ ส่วนเพศหญงิ จะ บวชไมไ่ ด้ เพราะถอื ว่าเพศหญงิ เป็นเพศแห่งบาป ไมส่ ามารถบรรลุคุณธรรมชน้ั สูงได้ จะตอ้ งทาใหค้ วามดีเกิดเป็นชาย เสยี ก่อน จงึ จะสามารถบรรลุมรรคผลได้ นิกายเศวตมั พรเจริญเติบโตทางภาคเหนือของอินเดีย นกั บวชนนั้ มไี ดท้ ง้ั ๒ เพศ นิกายเศวตมั พรเช่ือว่า ผูห้ ญงิ สามารถบรรลุโมกษะได้ โดยอา้ งวา่ พระตติ ถงั กร องคท์ ่ี ๑๙ นนั้ เป็นหญงิ ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๐๑๖ ไดเ้กดิ นิกายท่ี ๓ เรยี กว่า สถานคั วาที เป็นนิกายท่แี ยกจากนิกายเศวตมั พร นิกาย น้ีจะไมใ่ หค้ วามสาคญั ในการสรา้ งวดั และการเคารพรูปบูชาทง้ั รบั รองอาคมะ เพยี ง ๓๓ ใน ๘๔ อาคมะเท่านน้ั ว่าเป็น คมั ภรี ท์ ถ่ี กู ตอ้ ง คาสอนเก่ียวกบั การกาเนิดโลกและมนุษยธ์ รรมชาติของมนุษย์ ชะตากรรมของมนุษย์ ความตาย ความดี ความชวั่ ฐานะของสตรี ศาสนาเชนเป็นศาสนาประเภทนอสั ตกิ เช่นเดยี วกบั พทุ ธศาสนาคือปฏเิ สธในคมั ภรี พ์ ระเวททม่ี าพระเจา้ โดย ไดแ้ สดงใหเ้ ห็นว่าทุกส่ิงทุกอย่างท่ีเกิดมาในโลกลว้ นมเี หตุปจั จยั อาศยั ซ่งึ กนั และกนั ส่ิงท่เี กิดข้นึ ตอ้ งมีสาเหตุและ สาเหตุลว้ นมาจากผลแห่งการกระทา(กรรม) ดว้ ยเหตุน้ีธรรมชาติของมนุษยจ์ ึงอยู่ท่ีการกระทาของมนุษยเ์ องไม่มี บุคคลใดหยิบย่ืนการกระทาทง้ั ดีและ/หรือชวั่ ใหแ้ ก่ผูใ้ ดได้ พระศาสดาแต่ละพระองค์ลว้ นเป็นตวั อย่างของการ ประพฤตใิ นกรรมดโี ดยไดแ้ สดงแนวทางและวธิ กี ารประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ หศ้ าสนิกชนดาเนินตาม ชวี ติ ของมนุษยเ์ ป็นส่ิงมชี ีวะท่ปี ระเสริฐทส่ี ามารถก่อคุณประโยชนใ์ หแ้ ก่โลกได้ การมชี ีวติ อยู่ในโลกมนุษย์ จงึ มหี นา้ ท่รี ่วมกนั คือช่วยเหลอื เก้อื กูลซง่ึ กนั และกนั ไมต่ ง้ั ตนเป็นศตั รูกนั เพราะเป็นเคร่อื งกดี กนั้ ใหต้ นเองไม่ประสบ ความสาเร็จ ศาสนาเชนเนน้ คาสอนเร่ือง อหงิ สาว่าเป็นบรมธรรมคือเป็นท่ีอนั ย่ิงเหนือกว่าธรรมหรือคาสอนอ่ืนใด เพราะเมอ่ื มนุษยต์ ง้ั อยูใ่ นความเบยี ดเบยี นทงั้ ตนเองและผูอ้ ่นื แลว้ สงั คมจะเกดิ สนั ติสุข การตายในศาสนาเชนไม่ใช่สง่ิ น่ากลวั สาหรบั ผูศ้ ึกษาและปฏบิ ตั ใิ นกุศลธรรมเพราะความตายเป็นส่วนหน่ึง ของชวี ติ มนุษย์ แต่การดารงชวี ติ อยู่ของมนุษยเ์ ป็นสง่ิ ทย่ี ากกว่าเพราะตอ้ งพบกบั อปุ สรรคในรูปแบบต่างๆ เช่น ความ

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๔๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง หวิ กระหาย ความเจบ็ ปวดทงั้ ทางร่างกายและจติ ใจ เป็นตน้ การจะรอดพน้ ในส่งิ เหลา่ น้ีไดต้ อ้ งอาศยั การลงมอื ปฏบิ ตั ิ การปฏบิ ตั ใิ นทางธรรมจะยกตวั ตนของผูป้ ฏบิ ตั ใิ หส้ ูงข้นึ จนถงึ ขนั้ เป็นบรรลุเป็นพระอรหนั ตเ์ ขา้ สู่โมกษะไม่กลบั มาเกดิ อน่ื ไมม่ ตี น้ เหตขุ องการเกดิ และการตายอกี ต่อไป การตายท่ชี าวเชนถอื ว่าไดบ้ ุญมากมอี านิสงสม์ ากคือ การอดอาหาร ดงั ปรากฏเรอ่ื งราวของพระบดิ าและพระมารดาของพระมหาวรี ะไดป้ ฏบิ ตั ิธรรมอย่างอุกฤษฏ์ คือการยอมอดอาหารจน สวรรคตลงดว้ ยการบาเพญ็ ตบะดงั กลา่ ว ศาสนาเชนใหค้ วามยกยอ่ งและใหเ้กยี รตสิ ตรีเป็นอย่างย่งิ สตรมี สี ทิ ธิเท่าเทยี มกบั บรุ ุษทุกประการทง้ั ในเร่อื ง การศึกษาและปฏบิ ตั ธิ รรมใหบ้ รรลุธรรมท่สี ูงข้นึ ได้ ดา้ นสงั คมสตรชี าวเชนไดร้ บั เกยี รตจิ ากสงั คมและสามารถเขา้ ร่วม พธิ กี รรมทางศาสนาไดอ้ ย่างเสนมอภาค แมก้ ารบวชเป็นนกั บวชสามารถกระทาไดใ้ นนิกายเศวตมั พรเท่านนั้ โดยเรา เรยี กทา่ นว่า สาดพี หลกั จรยิ ธรรมสาคญั เก่ยี วกบั การตดั สนิ ความดี ความชวั่ การเป็นแนวทางดาเนินชีวติ และการสรา้ งมนุษย์ สมั พนั ธร์ ะหว่างบคุ คล สามี ภรรยา พอ่ แม่-ลูก หลกั คาสอนทส่ี าคญั พ้นื ฐานของศาสนาเชนคื ปญั จพรตหรอื พรต ๕ ขอ้ มี ๑. อหงิ สา การไม่เบยี ดเบยี นกนั ทง้ั กายวาจาใจ ศาสนาเชนถอื ว่า สง่ิ มชี วี ติ มอี ยู่หลายระดบั จากตา่ ไปหาสูง คอื ชีวติ ท่เี คลอ่ื นท่ไี ม่ได้ (สถาวระ) มเี พยี งอายตนะเดยี วคือ กายสมั ผสั เช่น ตน้ ไมแ้ ละพชื ต่างๆ ชีวติ ทเ่ี คลอ่ื นท่ไี ม่ได้ (ตรสะ) แบง่ ออกเป็นหลายระดบั คือ ก. ชวี ติ ทม่ี อี ายตนะ ๒ อย่าง คอื กายสมั ผสั กบั ชวิ หาสมั ผสั เช่น หนอน ข. ชวี ติ ทม่ี อี ายตนะ ๓ อยา่ ง คอื กายสมั ผสั กบั ชวิ หาสมั ผสั และฆานสมั ผสั เช่นมด ค. ชวี ติ ทม่ี อี ายตนะ ๔ อยา่ ง คือ กายสมั ผสั กบั ชวิ หาสมั ผสั ฆานสมั ผสั และจกั ษุสมั ผสั เช่น ผ้งึ ง. ชีวติ ทม่ี อี ายตนะ ๕ อย่าง คือ กายสมั ผสั กบั ชวิ หาสมั ผสั ฆานสมั ผสั จกั ษุสมั ผสั และโสตสมั ผสั เช่น คนและสตั วอ์ ่นื ๆ ศาสนาเชนสอนว่าส่ิงท่ีมชี ีวิตดงั แสดงมาจะถูกทาลายไม่ได้ ทงั้ น้ีเพราะ ‚ทุกชีวิตย่อมเกลียดชงั ความ เจ็บปวด เพราะฉะนนั้ อย่าทารา้ ยหรือฆ่าใคร‛ กก็ ารไม่ฆ่าไม่ทารา้ ย นอกจากจะไม่ทารา้ ยดว้ ยตวั เองทางกาย วาจา หรอื ทางใจแลว้ จะใชใ้ หค้ นอ่นื ทาตลอดถงึ สนบั สนุนหรอื ยนิ ดที ค่ี นอ่นื ทาก็ไม่ได้ และเน่ืองจากศาสนาเชนเคร่งครดั มากในเร่อื งไม่ทารา้ ยส่งิ มชี วี ติ ทกุ รูปแบบ ดงั นนั้ พระในนิกายทคิ มั พรเมอ่ื เดนิ ไปไหนจะตอ้ งมไี มก้ วาดคอยปดั กวาด ทางจะไดไ้ มเ่ หยยี บยา่ แมลง อกี ทงั้ มผี า้ ปิดจมกู และปากเพ่อื ปกป้องกนั แมลงเลก็ ๆ และจลุ นิ ทรยี ต์ ่างๆ เขา้ ไปทางปาก และลมหายใจอกี ดว้ ย ๒. สตั ตยะ พูดแต่ความจริง ไม่พูดเท็จ ตลอดทง้ั ไม่พูดคาหยาบ ส่อเสียด และเพอ้ เจอ้ ๓. อสั เตยะ ไม่ลกั ขโมย ศาสนาเชนสอนว่า ทรพั ยส์ มบตั ิเป็นชีวติ ภายนอกของคน การลกั ทรพั ย์ ผูใ้ ดก็ เช่อื ว่าไดท้ าลายของชีวติ ผูน้ น้ั ศีลขอ้ น้ียงั รวมไปถงึ การไมห่ ลบหนีภาษี ไม่ปลอมแปลงธนบตั ร ไมช่ งั่ ตวงวดั โกงอีก ดว้ ย

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี กอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๔๗ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ๔. พรหมจรยิ ะ ประพฤตพิ รหมจรรย์ ศาสนาเชนใหค้ วามสาคญั ต่อศีลขอ้ น้ีมาก ชีวติ ทป่ี ระเสริฐแทต้ อ้ งเป็น ชีวติ นกั บวช เพราะเป็นชีวิตท่ปี ระเสรฐิ ดุจพรหม ไม่ยุ่งเก่ียวดว้ ยกามารมณ์ ศีลขอ้ น้ียงั รวมไปถึงการละเวน้ ส่งิ ท่ี ตอ้ งหา้ ม เช่น ไมด่ ม่ื สุราเมรยั ไมเ่ สพยาเสพตดิ ต่างๆ อกี ดว้ ย ๕. อปรคิ รหะ ไมล่ ะโมบมาก อยากไดโ้ น่นอยากไดน้ ่ีไมม่ ที ่สี ้นิ สุด ตลอดจนอยากไดส้ ง่ิ ทไ่ี มส่ มควรดว้ ย ศีล ๕ ขอ้ น้ีเรียกว่ามหาพรต เป็นขอ้ ปฏิบตั ขิ องพระ ส่วนคฤหสั ถก์ ็ปฏบิ ตั ิตามศีลทงั้ ๕ น้ีดว้ ย เพยี งแต่ ปฏบิ ตั ผิ ่อนลงมา เรยี กว่าอนุพรต อย่างเช่นศีลขอ้ ๑ คฤหสั ถก์ ็ละเวน้ ไม่เบยี ดเบยี นทารา้ ยเฉพาะชีวติ ทเ่ี คลอ่ื นทไ่ี ด้ เท่านน้ั ศีลขอ้ ๒ ก็งดเฉพาะการพดู เทจ็ เท่านน้ั ศีลขอ้ ๔ ยงั ยินดใี นคู่ครองของตนได้ และศีลขอ้ ๕ ยงั ยนิ ดีสง่ิ ท่ี ไดม้ าโดยชอบธรรมหรอื อาชพี สุจริตได้ พรตทงั้ ๕ ขอ้ น้ีเป็นพ้นื ฐานของคาสอนในศาสนาเชน ส่วนคาสอนอ่นื ๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นไปเพอ่ื ขยายหรือ สนบั สนุนพรตทงั้ ๕ ศาสนาเชนมจี ุดมงุ่ หมายทจ่ี ะใหศ้ าสนิกกาจกั กิเลสาวะทงั้ ปวงไดอ้ ย่างเด็ดขาด เพ่อื บรรลุโมกษะ ภูมทิ พ่ี น้ จากสงั สารวฎั การเวยี นวา่ ยตายเกดิ ดงั นนั้ ศาสนาเชนจะตอ้ งปฏบิ ตั ธิ รรมอย่างเคร่งครดั แต่การจะปฏบิ ตั ิธรรมอย่าง เคร่งครดั ได้ กจ็ าตอ้ งใหค้ าปฎิญาณตนแก่พระเชน เพ่อื ผูกพนั ท่จี ะตอ้ งปฏบิ ตั ิตามใหไ้ ด้ ชาวเชนถือคาปฏญิ าณว่า สาคญั มาก เป็นหนทางนาไปสู่ความสาเรจ็ ในทกุ กจิ การ องคม์ หาวรี ะทรงสงั่ สอนมนุษยผ์ ูใ้ หเ้กดิ ปญั ญาดว้ ยหลกั แหง่ การดาเนินชวี ติ ๕ ขอ้ คอื ๑. อหงิ สา (Ahimsa: Non-violence) คือการไมเ่ บยี ดเบยี นกนั และมเี มตตากรุณาเอ้อื อาทรต่อกนั ทงั้ ทาง กาย วาจา ใจ การไม่เบียดเบียน หมายถึงการไม่ทาใหผ้ ูอ้ ่ืนไดร้ บั ความเดือดรอ้ นหรือความทุกขท์ ง้ั ทางตรงและ ทางออ้ ม เช่น การไมเ่ ขน่ ฆ่าทารา้ ยชวี ติ มนุษยแ์ ละสตั ว์ หรอื การพดู และการคิดทไ่ี ม่บรสิ ุทธ์ิ นอกจากน้ีผูน้ บั ถือศาสนาเชนยงั บริโภคอาหารมงั สวิรตั อย่างเคร่งครดั และหลกี เล่ยี งอาหารมงั สวิรัตบาง ชนิด ทอ่ี าจทาใหเ้กดิ การเบยี ดเบยี นชวี ติ พชื และสตั ว์ เช่น ผลไมท้ ม่ี เี มลด็ พนั ธุม์ าก ผลไมท้ ม่ี รี าก นา้ ผ้งึ นม ไข่ ฯลฯ หลกั แหง่ การอหงิ สาอกี ขอ้ หน่ึงคือการใหผ้ ูท้ น่ี บั ถอื ศาสนาน้ีละเวน้ อย่างเด็ดขาดในการประกอบอาชพี ท่ี อาจก่อใหเ้กดิ การเบยี ดเบยี นมนุษยแ์ ละสตั ว์ รวมไปถงึ พชื พนั ธุน์ านาชนิด เช่น อาชีพเกษตรกรรม ปศุสตั ว์ การคา้ อาวุธ หรืออาชพี พาณิชยกรรม อตุ สาหกรรมทเ่ี อารดั เอาเปรียบผูอ้ ่นื สรรพสตั วแ์ ละธรรมชาตอิ ่นื ๆ เป็นตน้ ๒. อมสุ าวาท (Truthfulness) การไมพ่ ดู เทจ็ พดู ส่อเสยี ด พดู คาหยาบ พูดเพอ้ เจอ้ พูดโออ้ วด หลกั การน้ี ไดแ้ ก่การพดู แต่ความจรงิ และการไมใ่ ชค้ าพดู เพอ่ื ทารา้ ยและเบยี ดเบยี นผูอ้ น่ื ๓. อทินนาทาน (Non-stealing) การไม่ลกั ขโมยเอาส่งิ ท่ีผูอ้ ่ืนหวงแหนและไม่ไดใ้ หด้ ว้ ยความเต็มใจ รวมทง้ั ไม่ฉอ้ โกง ไม่ขูดรีด กรรโชก ทุจริตดว้ ยเหตุผลใดๆ การลกั ขโมยถือเป็นสาเหตุแห่งการเบียดเบียนผูอ้ ่ืน โดยตรง ขอ้ ปฏบิ ตั นิ ้ียงั รวมไปถงึ การมคิ วรหยบิ ของของผูอ้ ่นื มาใชโ้ ดยมไิ ดร้ บั อนุญาตจากผูท้ เ่ี ป็นเจา้ ของ ๔. พรหมจรรย์ หรอื พรหมจรยิ า (Chastity) การประพฤตพิ รหมจรรย์ คือการประพฤติตนในหลกั แห่ง เมตตา กรุณา และการยดึ มนั่ พอใจในคู่ครองของตน รวมไปถงึ การดารงตนใหบ้ ริสุทธ์ิดว้ ย กาย วาจา ใจ หลกั ปฏบิ ตั ิ ขอ้ น้ีสาหรบั นกั บวชเชน คือการปฏบิ ตั อิ ย่างเคร่งครดั ออกจากกามโภคี แต่สาหรบั ฆราวาส คือการมคี วามพอใจใน คู่ครองของตน

บทท่ี ๑ “ภูมิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๔๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ๕. สนั โดษ หรือ สมชีวติ า (Aparigrah: Non-possessiveness) การใชช้ ีวติ ใหพ้ อเหมาะ ไมโ่ ลภอยากได้ ในสง่ิ ทไ่ี มค่ วรไดร้ บั นอกเหนือจากความสมเหตสุ มผล ศาสนาเชนเป็นศาสนาท่สี อนใหม้ นุษยล์ ดละความตอ้ งการทาง วตั ถแุ ละทรพั ยส์ นิ และไม่พงึ ปรารถนาส่งิ ใดจนเกนิ ควร การไม่ยดึ ติดในส่งิ ทงั้ หลายเหล่าน้ีเป็นเหตใุ หผ้ ูล้ ะมจี ิตใจท่ี สะอาด บรสิ ุทธ์ิ และเป็นหนทางทจ่ี ะนาไปสู่การหลดุ พน้ ในเบ้อื งหนา้ ทศั นคตแิ ละความเช่ือในศาสนาเชน ศาสนาเชนเช่ือว่าโลกและจกั รวาลไม่มจี ุดเร่ิมตน้ และจุดจบ ปฏิเสธทศั นะเร่ืองการสรา้ งโลกและความเช่ือ เร่อื งพระเจา้ ศาสนาเชนเช่อื เร่อื งกรรมและการเกิดใหม่ ทศั นคติทผ่ี ูน้ บั ถอื ศาสนาเชนยดึ ถอื และปฏบิ ตั ิคือ การมชี ีวติ อยู่เพอ่ื ใหช้ วี ติ (ช่วยเหลอื ผูอ้ น่ื และสรรพสง่ิ ) (live and let live) องคม์ หาวรี ะทรงสอนว่า เราคือมนุษย์ ดงั นน้ั เราจง ใชช้ ีวิตในการช่วยเหลอื ผูอ้ ่ืน เม่อื พระองคก์ ล่าวเช่นน้ี มไิ ดห้ มายถึงเพียงแค่การช่วยเหลอื ชีวิตมนุษยเ์ ท่านน้ั แต่ พระองคท์ รงหมายถึงสรรพชีวติ ทง้ั หมดไมว่ ่าจะเป็นมนุษยห์ รอื สตั ว์ รวมไปถงึ พชื พนั ธุ์ อากาศ ดิน นา้ ลม ไฟ ฯลฯ หลกั อหงิ สาในศาสนาเชนเช่อื ว่าทกุ อณูพ้นื ท่เี ต็มไปดว้ ยชีวติ ชีวติ ทุกชีวติ มคี วามเท่าเทยี มกนั ศาสนาเชนสอนว่า ธาตุ ธรรมชาตทิ งั้ หลายทเ่ี ป็นแหลง่ ก่อกาเนิดชวี ติ ธาตธุ รรมชาตเิ หลา่ น้ีมคี วามเป็นชวี ติ อยู่เช่นกนั ดงั นนั้ เราจงึ ควรเคารพ ธรรมชาตแิ ละไมเ่ บยี ดเบยี นสง่ิ เหลา่ ในทางปรชั ญา เสาหลกั ๓ ขอ้ ทศ่ี าสนาเชนถอื เป็นพ้นื ฐานสาคญั ต่อความเชอ่ื คือ ๑. หลกั อหงิ สา (Ahimsa) หลกั แหง่ การไมเ่ บยี ดเบยี น ๒. ปริจาคะ / อนุปาทาน (Aparigraha) คือการรูจ้ กั เสยี สละ เอ้ือเฟ้ือต่อผูอ้ ่นื ตามสมควร รูจ้ กั แบ่งปนั และการไม่ยดึ ติดในวตั ถหุ รือส่งิ รอบกายจนกลายเป็นความเดือดรอ้ น ปรชั ญาเชนสอนใหม้ นุษยร์ ูจ้ กั ประมาณความ ตอ้ งการและความปรารถนาของตนเอง การไม่ยึดติดในท่นี ้ีหมายถงึ การไม่ยึดติดในวตั ถอุ นั เป็นทรพั ยส์ มบตั ิและ ความเป็นบคุ คล (รูป สี เสยี ง กลน่ิ รส) ศาสนาเชนเชอ่ื วา่ ความตอ้ งการในวตั ถแุ ละความยดึ ติดเป็นเหตแุ ห่งทุกข์ การ ลดละความตอ้ งการถอื เป็นหนทางแห่งการละซ่งึ กเิ ลส อนั เป็นไปในทางพน้ ทกุ ข์ อีกทง้ั ยงั นาความสุขสงบมาสู่โลกอีก ดว้ ย ๓. อเนกวาทะ หรอื นานาจติ ตงั (Anekantvaad) หรอื (Syadvaad) ทศั นะการมองโลกแบบสมั พทั ธ์ คือ การรบั ฟงั และพจิ ารณาว่ามคี วามจรงิ ในความเชอ่ื หรอื ทศั นะของบคุ คลอ่นื ท่ตี ่างกบั ของเรา ขอ้ น้ีนาไปสู่การยอมรบั ใน ตวั ตนและความคิดของปจั เจกบุคคล (Individual) และการเปิดใจไม่ปิดกนั้ ทศั นะท่ีแตกต่างจากความคิดตน ปรชั ญาอเนกวาทะน้ีเหน็ วา่ สจั ธรรมมลี กั ษณะซบั ซอ้ นและหลากหลาย ทศั นะของเราทม่ี องหรือเขา้ ใจความจรงิ ถอื เป็น ทศั นะในลกั ษณะของปจั เจกบุคคลท่ขี ้นึ อยู่กบั ความเช่ือดง้ั เดิมและประสบการณ์ส่วนตวั ดงั นน้ั จึงเป็นไปไดท้ ่จี ะมี ความคิด ความเช่ือ หรือทศั นะอ่ืนๆ ท่ีแตกต่างจากเราท่ีมคี วามถูกตอ้ ง ความดี ความงาม และความจริงเช่นกนั หลกั การมองโลกในลกั ษณะสมั พทั ธน์ ้ี ถอื เป็นทศั นะท่หี ลกี เลย่ี งการเช่อื แบบฝงั หวั และความมีทฏิ ฐวิ ่าทศั นะของตน ถกู ตอ้ งแต่ฝ่ายเดียว นอกจากน้ีปรชั ญาอเนกวาทะน้ียงั นามาสู่ขนั ติธรรม และความประนีประนอมในความสมั พนั ธ์ ต่อบคุ คลอ่นื และเป็นพ้นื ฐานทด่ี ีต่อการเผชญิ หนา้ กบั ทศั นะท่หี ลากหลาย (พหุนิยม –Pluralism) จากความคิดของ คนหลายกลมุ่ ในมติ ทิ างศาสนาแลว้ อเนกวาทะหรอื ทศั นะการมองโลกแบบสมั พทั ธน์ ้ีนบั ไดว้ ่าเป็นอหงิ สา หรือการไม่ เบยี ดเบยี นผูอ้ ่นื โดยแท้ ทง้ั ทางความคิด ความรูส้ กึ และทางใจ

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๔๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง คณุ ค่าแหง่ ชวี ติ ๓ ประการ ถอื เป็นหลกั ปฏบิ ตั ทิ นี่ าไปสู่ความหลดุ พน้ จากวฏั สงสาร และเอาชนะกรรม ๑. สมั มาทศั นะ/สมั มาทิฏฐิ (Right Faith) ไดแ้ ก่ การมคี วามเห็นถูกตอ้ งตามทานองคลองธรรม ไม่ ผดิ เพ้ยี นไปจากเหตผุ ลและความเป็นจรงิ คอื การสามารถแยกแยะมองเหน็ สง่ิ ต่างๆ ว่าส่งิ ใดหรอื การกระทาใดถูกตอ้ ง และไมถ่ กู ตอ้ ง ๒. สมั มาสงั กปั ปะ (Right Knowledge) ไดแ้ ก่การมคี วามรูท้ ถ่ี กู ตอ้ งตามความเป็นจริงคือ รูว้ ่าส่งิ ไหนเป็น โทษ สง่ิ ไหนเป็นประโยชน์ ส่งิ ไหนจรงิ สง่ิ ไหนเทจ็ คือการมคี วามรูท้ จ่ี ะทาใหจ้ ิตวิญญาณมคี วามสะอาด บริสุทธ์ิ เช่น การรูว้ า่ ความตอ้ งการวตั ถใุ นทางโลกและการยดึ ติดเป็นเหตุแห่งความทุกขแ์ ละการตดิ ขอ้ งอยู่ในวฏั สงสาร (การเวยี น วา่ ยตายเกดิ ) ๓. อาชีวะปารสิ ุทธิ (Right Conduct) ไดแ้ ก่ความหมดจดแห่งการใชช้ วี ติ คือการปฏบิ ตั ติ นอยู่ในหลกั แห่งความถกู ตอ้ ง ความเหมาะสมและความดีตลอดเวลา ไม่ทากิรยิ าใดๆ ท่จี ะทาใหต้ วั เองและผูอ้ ่นื ไดร้ บั ความเดือด เน้ือรอ้ นใจทงั้ ต่อหนา้ และลบั หลงั ตามทศั นะของเชนการปฏบิ ตั ติ นอยู่ในหลกั แห่งความถกู ตอ้ งคือการปฏบิ ตั ิตามหลกั คาสอนของศาสนา โดยเฉพาะเร่อื งการไมเ่ บยี ดเบยี น บุคคลใดมคี วามเห็นและความรูท้ ่ถี ูกตอ้ งแลว้ เขาย่อมมกี าร กระทาทถ่ี กู ตอ้ งในทางตรงกนั ขา้ ม บคุ คลใดปราศจากความเหน็ และความรูท้ ่ถี ูกตอ้ ง การกระทาท่ถี ูกตอ้ งย่อมมอิ าจท่ี จะเกดิ ข้นึ ไดเ้ช่นกนั หลกั แห่งการบริจาค การครอบครองวตั ถหุ รือส่งิ ของจนเกินความพอดีถือเป็นส่งิ ท่ผี ูน้ บั ถือศาสนาเชนพึง ตระหนกั และลดละเสีย หรือกระทาใหน้ อ้ ยท่ีสุด การใหท้ าน หรือบริจาคส่ิงของ แบ่งปนั ส่งิ ของแก่ผูท้ ่ีดอ้ ยโอกาส หรอื ดาเนินงานการกศุ ลต่างๆ ใหแ้ ก่โรงพยาบาล โรงพยาบาลสตั ว์ โรงเรยี น ผูพ้ กิ าร บา้ นพกั คนชรา และสถานเล้ยี ง เดก็ กาพรา้ ฯลฯ ถอื เป็นหนา้ ทส่ี ่วนหน่ึงของผูน้ บั ถอื ศาสนาเชนอนั เป็นไปตามหลกั คาสอนของศาสนา คือการมชี วี ติ อยู่ เพอ่ื ใหช้ วี ิต (ช่วยเหลอื ผูอ้ ่นื ) เมอ่ื เรามคี ุณภาพชีวติ ท่ดี ีแลว้ ส่งิ หน่ึงทต่ี อ้ งตระหนกั ถงึ คือ การมคี ุณภาพชีวติ ท่ดี ีของ บคุ คลอน่ื เพอ่ื สงั คมและโลกทด่ี ี ความหลุดพน้ ในศาสนาเชน คาว่า การหลุดพน้ หรอื ความเป็นอสิ ระของวญิ ญาณ หรอื การถงึ โมกษะ หมายถงึ การทาใหว้ ญิ ญาณหลุดพน้ จากอตั ตา และจากความไมบ่ ริสุทธ์ทิ ง้ั ปวง ไมก่ ลบั คืนมาเกดิ ใหม่อกี ในศาสนา พราหมณก์ ารหลุดพน้ ของชีวาตมนั จะกลบั คืนไปรวมอยู่กบั พรหม ในศาสนาเชนเมอ่ื วญิ ญาณหลุดพน้ จาอตั ตาแลว้ วญิ ญาณจะไปอยู่ในส่วนหน่ึงของเอกภพท่เี รียกว่า “สทิ ธิศิลา” ซ่งึ เป็นดินแดนแห่งความสุขนิรนั ดร ไม่ตอ้ งกลบั มา เกดิ ใหม้ ที กุ ขอ์ กี แนวความคดิ เช่นน้ี นอกจากจะแสดงใหเ้หน็ ว่า เป็นแนวความคิดทส่ี บื เน่ืองต่อจากแนวความคิดของ พราหมณ์แลว้ ยงั แสดงใหเ้หน็ ว่า เป็นแนวความคิดท่มี องเหน็ วิญญาณและอตั ตา เป็นคนละส่วนกนั ดงั นน้ั ความ พยายามทาใหว้ ญิ ญาณแยกออกไปจากอตั ตาจงึ มวี ธิ ีการต่างๆ เช่น ทาใหว้ ญิ ญาณมคี วามบริสุทธ์โิ ดยการบาเพญ็ ทุกร กริ ยิ า โดยการปฏบิ ตั นิ ิชรา และ โยคะ เป็นตน้ ในแนวความคิดของศาสนาเชน การท่จี ะบรรลุถึง ‚ความหลุดพน้ ‛ จาก กฺรมนฺ (กรรม) หรือถึงโมกษะ จะตอ้ งปฏบิ ตั ิ ๔ ขนั้ ตอน และตอ้ งมคี วามรู้ ๕ ประเภทดว้ ยกลา่ วคือ การกาหนดและความตง้ั ใจ นาไปสู่ความรูเ้ชงิ จติ วสิ ยั (มตญิ าณ) ซง่ึ เป็นความรูช้ น้ั แรกของความรู้ (ญาณ) ทงั้ ๕ ประเภท ความรูช้ นิดท่สี องไดแ้ ก่ สูตรญาณ เป็น ความรูไ้ ดจ้ ากคมั ภรี แ์ ละความรูท้ วั่ ไป ความรูส้ องปะเภทแรกทง้ั มติญาณและสูตรญาณ เป็นความรูร้ ะดบั กลางๆ (ปโร

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๕๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ กาสสะญาณ) เป็นความรูจ้ ากภายนอก ความรูจ้ ากระดบั กลางท่สี ูงข้นึ ไปมี ๓ ชนิด ไดแ้ ก่ อวาธิ (เป็นความรูท้ ่ไี ดจ้ าก ความรูส้ ึกชนั้ สูง) มานะ–ปารยายะ (ความรูไ้ ดจ้ ากการอ่าน) เกลาละ (ความรูส้ ูงสุดรูถ้ งึ อดีตปจั จุบนั และอนาคต) ขนั้ ตอนของความรูท้ งั้ มวลเป็นอิสระจากการถูกขดั ขวางจากกรรม ทาใหว้ ิญญาณมีความบริสุทธ์ิพน้ จาก มลทนิ หลกั การหน่ึงในศาสนาเชนเช่ือว่า ความรูไ้ ดม้ าจากวิญญาณ เพราะคุณสมบตั ิของวิญญาณคือ มเี จตนา (ความรูส้ กึ ) ซ่งึ ประกอบดว้ ยความรู้ (ญาณ) และสญั ชาตญิ าณ (ทศั นะ) แต่วญิ ญาณทางโลกถกู ปิดบงั เพราะอานาจ ทาลายของกรฺมนฺ (กรรม) จงึ เป็นวญิ าณทไ่ี มม่ คี วามรู้ อานาจ และความร่าเรงิ โดยสมบูรณ์ โยคะ ตามหลกั การในศาสนาเชน โยคะ คือ การปฏบิ ตั ิวธิ ีหน่ึงทาใหถ้ งึ โมกษะ หรอื การหลุดพน้ โยคะทาให้ เกิดความรูถ้ งึ สภาพความเป็นจริงตามท่เี ป็นอยู่ทาใหม้ ศี รทั ธาในคาสอนขององคต์ ิรถงั กร (องคศ์ าสดา) หยุดการ ประพฤติชวั่ และประพฤตชิ อบซ่งึ นาไปสู่การหลุดพน้ จากการรอ้ ยรดั ของ กรฺมนฺ (กรรม) ดงั นน้ั การปฏบิ ตั โิ ยคะจึงมี คุณค่าเท่ากบั การปฏบิ ตั ติ ามหลกั รตั นไตรของศาสนาเชน ซง่ึ ไดแ้ ก่ ความเหน็ ชอบ ความรูช้ อบ ความประพฤตชิ อบ คมั ภรี ข์ องศาสาเชน เรียกว่า องั คะ (อาคม) จารกึ คาบญั ญตั ิหรือวินยั และสิทธานต์ เป็นคมั ภีรก์ ล่าวถึง เร่อื งราวประเภทชาดกในศาสนา(นกั ปราชญใ์ นชนชนั้ หลงั อนุโลมว่า องั คะและสทิ ธานต์ เป็นอนั เดยี วกนั ) คมั ภรี ข์ องศาสนาเชนไดม้ กี ารรวบรวมจดั เป็นหมวดหมหู่ ลงั จากทห่ี มาวรี ะปรนิ ิพพานไปแลว้ ราว ๒๐๐ ปี และเพ่งิ จดเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรเม่อื ราว ๙๘๐ ปีหลงั จากปรินิพพานของพระมหาวีระ โดยเขยี นเป็นภาษาปรากฤต แต่อรรถกถาเขยี นเป็นภาษาสนั สกฤต อาคมะแบง่ เป็นองั คะหรือส่วนได้ ๑๒ องั คะ แต่องั คะท่ี ๑๒ ไดส้ ูญหายไป ต่อมาในปี พ.ศ. ๙๙๗ ไดม้ กี ารประชมุ ท่เี มอื งวลั ลภี แควน้ คุชรตั และไดม้ กี ารจารึกคาสอนศาสนาเชนเป็นคมั ภรี ์ ต่างๆ มากมาย แต่ทร่ี บั รองกนั มี ๘๔ คมั ภรี ์ ในจานวน ๘๔ คมั ภรี ์ จดั เป็นสูตรได้ ๔๑ สูตร สูตรเบด็ เตลด็ ๓๐ สูตร เป็นอรรถกถา ๑๒ สูตร และมหาอรรถกถา ๑ สูตร แต่สูตรต่างๆ ดงั กล่าว ก็ไม่เป็นท่แี พร่หลายรูจ้ กั ทวั่ ไปแมใ้ น วงการศาสนาเชน สาหรบั อนุพรตในขอ้ ๑ คอื อหงิ สามรี ายละเอียดในการแบ่งชน้ั ของสตั วอ์ อกเป็นประเภทตามความสามารถ ทางประสาทสมั ผสั และตามลกั ษณะทเ่ี คลอ่ื นไหวไดห้ รือไม่คือ อาตมนั ท่ถี ูกผูกมดั มี ๒ ไดแ้ ก่ สถาวระ(เคลอ่ื นไหว ไมไ่ ด)้ และตรุสะ(เคลอ่ื นไหวได)้ ในประเภทเคลอ่ื นไหวไม่ได้ (สถาวระ) มเี พยี งอายตนะเดยี วคือ อายตนะสาหรบั สมั ผสั ไดแ้ ก่ ผกั หญา้ ใน ประเภทเคลอ่ื นไหวได้ สตั วท์ ่มี อี ายตนะ ๒ คือ ทางสมั ผสั กบั ทางล้มิ รส เช่น หนอน สตั วท์ ่มี อี ายตนะ ๓ คือ ทาง สมั ผสั ล้มิ รส ไดก้ ลน่ิ เช่น มด สตั วท์ ่มี อี ายตนะ ๔ คือ เพ่มิ ในทางมองเหน็ เช่น ผ้งึ สตั วท์ ม่ี อี ายตนะ ๕ คือ เพ่มิ ในทางไดย้ นิ เสยี ง เช่น นก ผูท้ น่ี บั ถอื ศาสนาเชนจะฆ่าหรอื กนิ สตั วเ์ หลา่ น้ีไมไ่ ด้ จะทาไดเ้ฉพาะทม่ี อี ายตนะทางสมั ผสั อย่างเดียว คือ ผกั หญา้ สรุปกค็ ือ เชนศาสนิกทกุ คนทานอาหารมงั สวริ ตั ิ หลกั ปรชั ญา หลกั ปรชั ญาในศาสนาเชน แบง่ ออกเป็น ๒ ขอ้ ดงั น้ี ๑. ชญาน แบง่ ออกเป็น ๕ ประการ ดงั น้ี -มตชิ ญาน ความรูท้ างประสาทสมั ผสั -ศรุตชิ ญาน ความรูเ้กดิ จากการฟงั

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี กอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๕๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง -อวธิชญาน ความรูเ้หตทุ ป่ี รากฎในอดตี -มนปรยายชญาน ชญานกาหนดรูใ้ จผูอ้ น่ื ๑.๕ เกวลชญาน ชญานอนั สมบูรณซ์ ง่ึ เกดิ ข้นึ ก่อนบรรลุนิรวาณะ ๒. ชีวะ และ อชีวะ ศาสนาเชนเป็นศาสนาทวนิ ิยม กล่าวคือ มองสภาพความจรงิ ว่ามสี ่วนประกอบของส่งิ ท่มี อี ย่างเท่ยี งแทเ้ป็น นิรนั ดรวา่ มอี ยู่ ๒ สง่ิ ดงั น้ี (๑) ชีวะ ไดแ้ ก่ วญิ ญาณ หรือสงิ่ มชี วี ติ หรือ อาตมนั (๒) อชีวะ ไดแ้ ก่ อวญิ ญาณ หรือ สงิ่ ไมม่ ชี วี ติ ไดแ้ ก่วตั ถุ อชีวะ หรอื สสารประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบขน้ั พ้นื ฐาน ๕ ประการคือ การเคล่อื นไหว (ธมั มะ) การหยุดน่ิง (อธมั มะ) อวกาศ (อากาศ) สสาร และกาล ทง้ั หมดเป็นนิรนั ดร (ปราศจากการเร่มิ ตน้ ) และทงั้ หมดยกเวน้ วิญญาน (ชวี ะ) เป็นสง่ิ ไมม่ ชี วี ติ และทงั้ หมด ยกเวน้ สสารเป็นสง่ิ ไมม่ ตี วั ตน การเคลอ่ื นท่แี ละการหยุดน่ิง โดยตวั ของมนั เองไม่ มอี ยู่ จะตอ้ งมสี ่งิ อ่ืนมาทาใหม้ นั เคลอ่ื นทแ่ี ละหยุดน่ิง องคป์ ระกอบขน้ั พ้นื ฐานของอชีวะหรือสสารทง้ั ๕ ดงั กล่าวมี กาล (เวลา) ซง่ึ เป็นนิรนั ดรเป็นองคป์ ระกอบ ถา้ กลา่ วโดยพสิ ดารทกุ อย่าง แบง่ ออกเป็น ๙ ดงั ต่อไปน้ี ๑. ชีวะ หรอื อาตมนั ๒. อชีวะ หรอื วตั ถุ ๓. ปณุ ยะ ไดแ้ ก่ บญุ ๔. ปาปะ ไดแ้ ก่ บาป ๕. กรรม ไดแ้ ก่ การกระทา ๖. พนั ธะ ไดแ้ ก่ ความผูกพนั ๗. สงั สาระ ไดแ้ ก่ ความเวยี นวา่ ยตายเกดิ ๘. นิรชระ ไดแ้ ก่ การทาลายกรรม ๙. โมกษะ ไดแ้ ก่ ความหลดุ พน้ หลกั โมกษะ โมกษะ คือการหลุดพน้ หรือความเป็นอิสระของวญิ ญาณ พูดง่ายๆ คือการทาใหว้ ญิ ญาณหลุดพน้ จาก อตั ตา และจากความไมบ่ รสิ ุทธ์ิไมต่ อ้ งมาเกดิ อกี ในศาสนาพราหมณ์ เมอ่ื วญิ ญาณหลุดพน้ แลว้ จะไปรวมอยู่กบั พรหม ส่วน ศาสนาเชน เมอ่ื วิญญาณหลุด พน้ แลว้ กจ็ ะไปอยู่ในสว่ นหน่ึงของเอกภาพทเ่ี รยี กวา่ \"สทิ ธศิ ิลา\" ซง่ึ เป็นดนิ แดนแห่งความสุขนิรนั ดร ไมต่ อ้ งกลบั มา เกดิ อกี ขอ้ ปฏบิ ตั ทิ จ่ี ะบรรลโุ มกษะในศาสนาเชน มีอยู่ ๓ ประการ ดงั น้ี ๑. ความเช่ือท่ีถูกตอ้ ง (สมั ยคั ทรรศนะ) ไดแ้ ก่ เช่ือในศาสดาทงั้ ๒๔ องค์ ของศาสนาเชน เช่ือในเชน ศาสตร์ หรอื คมั ภรี ข์ องศาสนาเชน และเช่อื ในนกั บวชผูส้ าเรจ็ ผลในศาสนาเชน

บทท่ี ๑ “ภูมิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๕๒ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ๒. ความรูท้ ถ่ี กู ตอ้ ง (สมั ยคั ชญาณะ) ไดแ้ ก่ รูส้ ง่ิ ทง้ั หลายตามเป็นจรงิ และดว้ ยความแน่ใจ ๓. ความประพฤตทิ ถ่ี กู ตอ้ ง (สมั ยคั จรติ ะ) มขี อ้ ปฏบิ ตั ทิ ง้ั ของนกั บวชและคฤหสั ถ์ แต่ท่นี บั ว่าสาคญั ท่สี ุดก็ คอื อหงิ สา การไมเ่ บยี ดเบยี น หลกั การทงั้ ๓ ขอ้ น้ี เป็นทางทาลายกรรม คือการกระทา ซ่งึ เป็นเหตใุ หเ้กดิ การถกู ผูกมดั หรือผูกพนั ตาม หลกั ปรชั ญาของศาสนาน้ี พธิ กี รรมศกั ด์ิสทิ ธ์ิ งานสาคญั ทางศาสนาเชนไดแ้ ก่ งานพธิ กี รรมราลกึ ถงึ องคศ์ าสดาในศาสนาเชนทกุ องค์ โดยเฉพาะงานพธิ ีกรรมราลกึ ถงึ พระมหาวรี ะ (ศาสดาองคส์ ุดทา้ ย) พระกฤษภะนาท (ศาสดาองคแ์ รก) และพระภารส วนาท (ศาสดาองคก์ ่อนพระมหาวรี ะ) แต่งานพธิ กี รรมทส่ี าคญั ทส่ี ุดในศาสนาเชนไดแ้ ก่งาน พธิ ยี ุสะนะ หรอื ปชั ชสุ ะนะ ซง่ึ เป็นงานพธิ กี รรมกระทาใจใหม้ คี วามสงบ การอภยั และการเสยี สละ อาศยั อยู่เฉพาะทแ่ี หง่ เดียว ในฤดูฝน ในวนั สุดทา้ ยของงาน เชนศาสนิกชนจะบรจิ าคทานใหแ้ ก่ผูย้ ากจน และนาองคศ์ าสดาแห่ไปตามทอ้ งถนน นอกจากนน้ั ยงั มพี ธิ ีกรรมทางศาสนาอกี ปีละ ๒ ครงั้ ๆ ละ ๙ วนั โดยจดั ข้นึ ในเดอื นไกตระ (พฤษภาคม- มถิ นุ ายน) และเดอื น อศั วนิ (กนั ยายน–ตลุ าคม) งานน้ีจดั ข้นึ เพอ่ื เคารพรูปองคพ์ ระศาสดา ในวนั เพ็ญ เดือนตลุ าคม–พฤศจิกายน วนั เดียวกบั ท่ชี าวฮินดูจดั งานพิธีบูชา ทวิ าลี (งานพธิ ีกรรมเคารพ แสงสวา่ ง) เชนศาสนิกชน มพี ธิ กี รรมระลกึ ถงึ การนิพพานของมหาวรี ะ โดนจุดตะเกียง หลงั จากนนั้ อีก ๕ วนั จะเป็น งานวนั ญาณปญั จม มพี ธิ กี รรมจดั ข้นึ ภายในโบสถเ์ พอ่ื เคารพพระคมั ภรี ข์ องศาสนา ในวนั เพญ็ เดือนไกตระ (มนี าคม-เมษายน) เชนนิกชนจานวนมากพากนั เดินทางจาริกแสวงบุญไปยงั ภูเขา สะตรนั ชยั ซ่ึงถือว่าเป็นสถานท่ีศกั ด์ิสิทธิแห่งองคต์ ิรธงกร (ศาสดา) องคแ์ รก นากจากนน้ั ผูน้ บั ถือศาสนาเชนทวั่ อนิ เดยี ทาพธิ ฉี ลองวนั ประสูติของมหาวรี ะ ประเทศทมี่ ศี าสนิกชนศาสนา สาธารณรฐั อนิ เดยี ปากีสถาน บงั คลาเทศ เนปาล ปจั จบุ นั สาวกศาสนาเชนมอี ยู่ประมาณ ๒,๐๐๐,๐๐๐ คน กระจดั กระจายกนั อยู่ในเกอื บทกุ รฐั ของอนิ เดีย แต่สว่ นใหญ่จะมอี ยู่มากในบรเิ วณภาคตะวนั ตกของอนิ เดยี เช่นรฐั อตุ รประเทศ เมอื งไมเซอร์ รฐั มธั ยมประเทศ และรฐั มหาราช ในอนิ เดยี สว่ นเชนศาสนิกในต่างประเทศไมม่ ผี ูน้ บั ถอื สรุปแลว้ เจา้ มหาวรี ะสอนใหแ้ สวงหาความหลุดพน้ จากสภาวะการเวียนว่ายตายเกิด ดว้ ยการเวน้ จากการ ประพฤตเิ บยี ดเบยี นชวี ติ ทกุ ชนิด ไมพ่ ดู เทจ็ ไม่ถอื ครองทรพั ยส์ นิ ทง้ั หลายทงั้ ปวง แมแ้ ต่เส้อื ผา้ เคร่อื งนุ่งห่ม การลกั ทรพั ย์ ใหป้ ระพฤตพิ รหมจรรยอ์ ยา่ งเคร่งครดั นิยมการทรมานตนเองให้ ไดร้ บั ความลาบากทเ่ี รียกกนั ว่า อตั ตกลิ มถา นุโยค ในขน้ั สูงสุดก็ยงั ถอื ว่ามอี ตั ตาอยู่เรียกว่า ชีวาตมนั แต่ทเ่ี หมอื นกบั พระพทุ ธศาสนาก็คือ ปฏเิ สธการสรา้ งโลก โดยพระเจา้ และถอื หลกั อหงิ สา คือความไมเ่ บยี ดเบยี นซง่ึ กนั และกนั อย่างเขม้ งวดอกุ ฤษฏม์ ากทส่ี ุด๗๔ ลทั ธขิ องครูสญั ชยั เวลฏั ฐบุตร อมราวกิ เขปวาทะ=ลทั ธิท่ีร่ืนไหล หลบเล่ยี งไปมา กล่าววาจาไม่แน่นอน พระเจา้ อชาตศรตั รู ไดส้ นทนากบั ครูสญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร ว่า ‘ท่านสญั ชยั อาชพี ทอี่ าศยั ศิลปะมากมายเหล่าน้ี คือ ฯลฯ ท่านสญั ชยั จะบญั ญตั ผิ ลแห่ง ๗๔ คณาจารย์ มจร., ศาสนาทวั่ ไป, หนา้ ๑๖๑-๑๖๙.

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๕๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ความเป็นสมณะทเี่ หน็ ประจกั ษใ์ นปจั จุบนั ไดเ้ ช่นนนั้ บา้ งหรือไม่’ ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ เมอ่ื หมอ่ มฉนั ถามอย่างน้ี ครูสญั ชยั เวลฏั ฐบุตร ตอบว่า ‘ถา้ มหาบพติ รตรสั ถามอาตมภาพว่า “โลกหนา้ มจี ริงหรือ? หากอาตมภาพ มคี วามเหน็ วา่ มจี ริง (อตฺถิ ปโร โลโกติ อติ ิ เจ ม ปจุ ฺฉต)ิ กจ็ ะทูลตอบวา่ มจี ริง (อตฺถิ ปโร โลโกติ อติ ิ เจ เม อสฺส อตฺถ)ิ แต่อา ตมภาพมคี วามเหน็ ว่า อยา่ งน้ี กม็ ใิ ช่ อย่างนนั้ กม็ ใิ ช่ อย่างอนื่ กม็ ใิ ช่ จะว่าไม่ใช่กม็ ใิ ช่ จะว่ามใิ ช่ไม่ใช่ก็มใิ ช่’ (ปโร โลโก ติ อติ ิ เตน พฺยากเรยฺย เอวนฺตปิ ิ เม โน ตถาตปิ ิ เม ฯลฯ ) ถา้ มหาบพติ ร ตรสั ถามอาตมภาพว่า ‘โลกหนา้ ไมม่ หี รอื ฯลฯ โลกหนา้ มแี ละไม่มหี รอื ฯลฯ โลกหนา้ จะว่ามกี ็ มใิ ช่ จะว่าไม่มกี ม็ ใิ ช่หรอื ฯลฯ สตั วท์ ผ่ี ุดเกดิ มจี รงิ หรอื ฯลฯ สตั วท์ ผ่ี ุดเกดิ ไม่มหี รือ ฯลฯ สตั วท์ ่ผี ุดเกิดมแี ละไมม่ ี หรือ ฯลฯ สตั วท์ ่ผี ุดเกิดจะว่ามกี ็มใิ ช่ จะว่าไม่มกี ็มใิ ช่หรือ ฯลฯ ผลวบิ ากแห่งกรรมดีกรรมชวั่ มจี รงิ หรือ ฯลฯ ผล วบิ ากแห่งกรรมดีกรรมชวั่ ไม่มหี รือ ฯลฯ ผลวบิ ากแห่งกรรมดีกรรมชวั่ มแี ละไม่มหี รือ ฯลฯ ผลวิบากแห่งกรรมดี กรรมชวั่ จะวา่ มกี ม็ ใิ ช่ จะวา่ ไมม่ กี ม็ ใิ ช่หรอื ฯลฯ หลงั จากตายแลว้ ตถาคต๗๕ เกิดอกี หรือ ฯลฯ หลงั จากตายแลว้ ตถาคตไมเ่ กิดอีกหรือ ฯลฯ หลงั จากตาย แลว้ ตถาคตเกดิ อีกและไม่เกิดอีกหรือ ฯลฯ หลงั จากตายแลว้ ตถาคต จะว่าเกิดอีกก็มใิ ช่ จะว่าไมเ่ กดิ อกี ก็มใิ ช่หรอื หากอาตมภาพมคี วามเห็นว่า หลงั จากตายแลว้ ตถาคตจะว่าเกิดอีกก็มใิ ช่ จะว่าไม่เกิดอีกก็มใิ ช่ ก็จะทูลตอบว่า หลงั จากตายแลว้ ตถาคตจะว่าเกดิ อกี กม็ ใิ ช่ จะวา่ ไมเ่ กดิ อกี กม็ ใิ ช่ แต่อาตมภาพมคี วามเหน็ ว่า อย่างน้ีกม็ ใิ ช่ อย่างนน้ั กม็ ใิ ช่ อยา่ งอ่นื กม็ ใิ ช่ จะวา่ ไมใ่ ช่กม็ ใิ ช่ จะวา่ มใิ ช่ไมใ่ ช่กม็ ใิ ช่’ ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ หม่อมฉนั ถามถงึ ผลแห่งความเป็นสมณะท่เี หน็ ประจกั ษ์ แต่ครูสญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร กลบั ตอบหลบเลย่ี ง เปรยี บเหมอื นเขาถามเร่ืองมะมว่ ง กลบั ตอบเร่อื งขนุนสาปะลอ หรือเขาถามเร่อื งขนุนสาปะลอ กลบั ตอบเร่ืองมะม่วง หม่อมฉนั จึงคิดว่า คนระดบั เราจะรุกรานสมณพราหมณ์ผูอ้ ยู่ในราชอาณาเขตไดอ้ ย่างไรกนั หม่อมฉนั จึงไม่ช่นื ชมไมต่ าหนิคากลา่ วของครูสญั ชยั เวลฏั ฐบุตร ถงึ ไม่ช่นื ชมไม่ตาหนิ แต่ก็ไม่พอใจ และไมเ่ ปล่ง วาจาแสดงความไมพ่ อใจออกมา เมอ่ื ไมย่ ดึ ถอื ไมใ่ สใ่ จคากลา่ วนนั้ กไ็ ดล้ ุกจากทน่ี งั่ จากไป ประวตั แิ ละทรรศนะสญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร ตามประวตั แิ ลว้ เรยี กว่าสญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร เพราะว่าเป็นบตุ รของช่างสาน สญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร เป็นพวก อมรา วกิ เขปิ กวาที (มวี าทะกล่าวถงึ สงิ่ ต่างๆ ซดั ส่ายไม่ตายตวั ลนื่ แบบปลาไหล) มลี ทั ธิคดั คา้ น ปฏเิ สธทกุ ทฤษฎี บางครงั้ สอนจนฟงั ไมร่ ูเ้รอ่ื ง คือสอนวา่ -อย่างน้ี กไ็ มใ่ ช่ (เอวนฺตปิ ิ เม โน) -อย่างนน้ั กไ็ มใ่ ช่ (ตถาตปิ ิ เม โน) -อยา่ งอ่นื กไ็ มใ่ ช่ (โน อํฺญถาตปิ ิ เม โน) -มใิ ช่ มใิ ช่ กม็ ใิ ช่ (โนตปิ ิ เม โน ‘โน โนตปิ ิ เม โน) การพดู ซดั สา่ ยไมต่ ายตวั แบบปลาไหล(อมราวิกเขปิกทิฏฐ)ิ มเี หตผุ ล ๔ ประการคือ ๑. เกรงวา่ จะพดู ปด จงึ พดู ปฏเิ สธวา่ อยา่ งน้ีกไ็ มใ่ ช่ อย่างนน้ั กไ็ มใ่ ช่ อยา่ งอน่ื กไ็ มใ่ ช่ มใิ ช่ มใิ ช่อะไร กไ็ มใ่ ช่ ๗๕ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๑๗๓-๑๗๖. (สุมงฺคลวลิ าสนิ ี)

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๕๔ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเริง ๒. เกรงวา่ จะยดึ ถอื จงึ พดู ปฏเิ สธแบบขอ้ ๑ ๓. เกรงวา่ จะถกู ซกั ถาม จงึ พดู ปฏเิ สธแบบขอ้ ๑ ๔. เพราะโงเ่ ขลา จงึ พดู ปฏเิ สธแบบขอ้ ๑ และไมย่ อมรบั หรอื ยนื ยนั อะไรเลย โดยตอบปฏเิ สธเชิงเหตุผลของตรรกะ นาเอาคาตอบทง้ั ๔ ประการขา้ งตน้ มาตอบ เช่นถามว่า “โลกหนา้ มี อยู่หรอื ?” (นตถฺ ิ อย โลโก) “โลกหนา้ มแี ละไมม่ หี รอื ?” (อตถฺ ิ จ นตถฺ ิ จ ปโร โลโก) “โลกหนา้ จะว่ามกี ไ็ ม่ใช่ จะว่าไม่ มกี ม็ ใิ ช่หรอื ?” (เนว อตถฺ ิ น นตถฺ ิ ปโร โลโก) กจ็ ะไดร้ บั คาตอบวา่ “จะว่ามอี ยา่ งน้ี ก็ไมใช่, จะว่ามอี ย่างนนั้ กไ็ มใ่ ช่, จะ ว่ามอี ย่างอนื่ กม็ ใิ ช่, จะวา่ มใิ ช่ มใิ ช่ กม็ ใิ ช่” สญั ชยั เวลฏั ฐบุตร เป็นเจา้ ลทั ธิท่มี คี วามเหน็ ไมค่ งท่ี กลบั กลอก ไมก่ ลา้ ตดั สนิ ใจ ไม่กลา้ รบั รองอะไรอย่าง เด็ดขาด ไม่กลา้ จะบญั ญตั ิอะไรตายตวั ลงไป อาจจะเป็นเพราะ รูไ้ มจ่ ริง หรอื กลวั ผดิ หรอื เลน่ สานวน จงึ ตงั้ เกณฑท์ ่ี แน่นอนไมไ่ ด้ เช่น ๑. ผลของกรรมดกี รรมชวั่ ไมม่ ี จะว่าไมม่ กี ไ็ มใ่ ช่ จะว่ามรี กึ ไ็ มใ่ ช่ทง้ั สองอยา่ ง ๒. โลกน้ีและโลกหนา้ ไม่มี จะวา่ ไมม่ กี ไ็ มใ่ ช่ จะว่ามกี ไ็ มใ่ ช่ ไมใ่ ช่ทง้ั สองอยา่ ง ๓. วญิ ญาณไมม่ ี จะว่าไมม่ กี ไ็ มใ่ ช่ จะวา่ มกี ไ็ มใ่ ช่ จะว่ามกี ไ็ มใ่ ช่ และก/็ ไม่ใช่ทง้ั สองอยา่ ง จงึ เหน็ ไดว้ ่า ความเหน็ ของท่านผูน้ ้ีฟงั ยาก พดู ชดั ส่ายไปมา เอาแน่นอนอะไรไม่ได้ จบั ยากเหมอื นปลาไหล จงึ เรียกช่อื เป็นบาลวี ่า ‚อมราวิกเขปิกา‛ ผูพ้ ดู ซดั ส่ายเหมอื นปลาไหล แต่ทฤษฎขี องท่านผูน้ ้ีก็ไม่ถอื เป็นอกิริยาวาท เพราะไมป่ ฏิเสธบญุ การกระทาทงั้ ปวง เพียงแต่เป็นคนไม่มคี วามเหน็ คงตวั เท่านน้ั พระพุทธเจา้ ตรสั ตาหนิว่า ลทั ธิน้ี เป็นลทั ธิของคนตาบอด ไมส่ ามารถจะนาตนและผูอ้ ่ืนเขา้ ถงึ ความจริงได้ เป็นบคุ คลประเภทโงเ่ ขลาไมก่ ลา้ ตดั สินส่งิ ใดๆ ลงไปอย่างเดด็ ขาด เพราะความไมร่ ูจ้ รงิ นนั่ เอง มคี วามเหน็ วา่ ไมค่ วรเช่อื ความคิดเหน็ ของบคุ คลใดๆ ทงั้ ส้นิ เพราะความคิดเหน็ เป็นส่งิ ทอ่ี าจผดิ พลาดได้ ผู้ อยูใ่ นลทั ธนิ ้ีมกั จะใชค้ าปฏเิ สธเหตุผลของผูอ้ ่นื ว่า อย่างนนั้ กไ็ ม่ใช่ อย่างโนน้ กไ็ ม่ใช่ จะว่าไม่ใช่อย่างนนั้ กไ็ ม่ใช่ จะ ว่าไมใ่ ช่อยา่ งโนน้ กไ็ มใ่ ช่ สรุปความวา่ สอนลน่ื เหมอื นปลาไหลไมใ่ หย้ อมรบั ทรรศนะของผูใ้ ดว่าผดิ หรอื ถกู ทรรศนะของสญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร ไมป่ รากฏชดั เจนว่า สญั ชยั ถอื ทรรศนะใดว่าเป็นส่งิ สูงสุด เพราะถือว่าส่งิ อนั ตมิ ะเป็ นส่งิ ไม่สามารถกาหนด ได้ สญั ชยั กล่าวถงึ ปญั หาบางอย่างท่พี ระพุทธเจา้ ไม่ทรงพยากรณ์ เช่นปญั หาเร่ืองอาตมนั เป็นส่งิ เดียวกับร่างกาย หรอื ไม?่ สตั วต์ ายแลว้ เกดิ อกี หรือไม่? ปญั หาเหล่าน้ีพระพทุ ธเจา้ ไมท่ รงพยากรณ์ โดยทรงแสดงเหตุผลว่าเป็นเร่อื ง ไรป้ ระโยชน์ แต่ทรงพยากรณป์ ญั หาต่างๆ ในกระบวนการของอรยิ สจั ๔ ในการตอบปญั หาต่างๆ สญั ชยั ใชห้ ลกั ตรรกวทิ ยาเป็นเคร่ืองมอื อย่างสาคญั จึงถูกวิจารณ์ว่าเป็น อมราวิ กเขปิ กะ คอื พูดซดั ส่ายไปมาอย่างปลาไหล เป็นคนพูดจาไม่อยู่กบั ร่องรอยทแ่ี น่นอน แต่ไมจ่ ดั ว่าเป็นอกิรยิ าวาทิน อยา่ ง ๔ เจา้ ลทั ธขิ า้ งตน้ คมั ภรี ท์ างพระพุทธศาสนากล่าวว่า สญั ชยั เป็นครูของพระสารีบุตร และพระโมคคลั ลานะผูเ้ ป็นอคั รสาวก เบ้อื งขวาและเบ้อื งซา้ ยของพระพทุ ธเจา้ พระอคั รสาวกไดพ้ ยายามท่ีจะใหอ้ าจารยไ์ ปเฝ้าพระพทุ ธเจา้ เมอ่ื ออ้ นวอนไม่ เป็นการสาเรจ็ จงึ ไดไ้ ปเฝ้าพระพทุ ธเจา้ พรอ้ มดว้ ยบรวิ ารจานวนมาก

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี ก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๕๕ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ รวมความว่า ลทั ธปิ รชั ญาของครูทง้ั ๖ เป็นลทั ธปิ รชั ญาร่วมพทุ ธกาลทาใหเ้หน็ ว่าในสมยั พทุ ธกาลนนั้ ไมไ่ ด้ มเี ฉพาะพระพทุ ธศาสนาเทา่ นนั้ ทป่ี รากฏในหว้ งความคิดของปวงชนแต่ยงั มลี ทั ธปิ รชั ญาอ่นื ๆ อีกมาก มที รรศนะของ ครูทง้ั ๖ เป็นตน้ พระพทุ ธเจา้ ตรสั ปรารภครูทง้ั ๖ ว่า เหมอื นชาวประมงท่ปี ิดกน้ั ปลาไมใ่ หส้ ตั วน์ า้ แหวกว่ายลงสู่หว้ ง แหง่ อสิ รภาพ คือมรรคผลนิพพาน ๑.๖ สาระสาคญั เกย่ี วกบั ลทั ธโิ ลกายตั (จารวาก) โลกายตั ช่ือหน่ึงของลทั ธิปรชั ญาฝ่ายวตั ถุนิยมของอินเดีย ถอื ว่าโลกน้ีเกิดจากการรวมตวั กนั เองของวตั ถุ ธาตุ ๔ คือ ดิน นา้ ไฟ ลม ชพี หรือชวี ติ เป็นเพยี งผลติ ผลของวตั ถธุ าตทุ ่รี วมตวั กนั นน้ั คนเราเกดิ ครง้ั เดยี ว ตายแลว้ ขาดสูญ ไม่มโี ลกหนา้ จึงควรแสวงหากามสุข เสยี แต่วนั น้ี พรุ่งน้ีเราอาจตาย, ลทั ธิน้ีทางพระพุทธศาสนาจดั เป็น อจุ เฉททฏิ ฐิ แปลว่าความเหน็ ว่าตายแลว้ สูญ, จารวาก กเ็ รยี ก ลทั ธิโลกายตั หรือจารวาก เป็นพวกวตั ถนุ ิยมจดั หรือสสารนิยม (materialism) ผูก้ ่อตง้ั ลทั ธิน้ีคือ ฤาษี พฤหสั บดี หรอื ทา้ วสหมั บดพี รหม ท่านผูน้ ้ีนบั เป็นคนแรกทม่ี ที รรศนะว่า “สสารเป็ นอนั ติมะสจั จะ” เป็นสภาพความ จรงิ สูงสุด แนวความคิดของลทั ธโิ ลกายตั ในสมยั นน้ั บางครงั้ เป็นทต่ี ลกขบขนั บางครงั้ ก็เป็นท่เี กลยี ดชงั ของพวกนกั คิดในสมยั เดยี วกนั เพราะในสมยั นน้ั นกั คดิ ต่างๆ ทกุ สานกั จะเป็นพวกจติ นิยม (Idealism) กนั ทง้ั นนั้ ปรชั ญาวตั ถนุ ิยมของอนิ เดีย ปรชั ญาจารวาก ปรชั ญาวตั ถนุ ิยมลทั ธิน้ีบางทเี รียกว่า ‚โลกายตั ‛ เพราะมแี นวคิดโนม้ นาไปในทางดึงดูด ความสนใจของชาวโลก แต่ปรากฏว่า เป็นปรชั ญาท่ีไม่ค่อยไดร้ บั ความนิยมนกั ประวตั ิความเป็นมาของการเกิด ปรชั ญาน้ี เช่อื กนั วา่ พระพฤหสั บดี อาจารยข์ องพวกเทวดาและอสูร เป็นปฐมาจารยข์ องลทั ธวิ ตั ถนุ ิยมจารวาก ไดส้ งั่ สอนลทั ธิน้ีใหแ้ ก่พวกอสูร เพ่อื จะไดท้ าใหพ้ วกอสูรมคี วามพินาศเส่อื มโทรมไป แต่ในอีกดา้ นหน่ึงกล่าวว่า จารวาก เป็นช่ือศิษยค์ นสาคญั ของพระพฤหสั บดี หรืออาจจะเป็นช่ือเรียกลทั ธิวตั ถุนิยม ท่ีถือคติว่า ‚กิน ดืม่ และรืน่ เริง สาราญ‛ หลกั แนวคิดจารวาก มสี าระสาคญั ว่า ธาตทุ งั้ หลายมเี พยี ง ๔ คือดิน นา้ ไฟ ลม ร่างกาย ประสาทสมั ผสั และสง่ิ ทร่ี บั รูไ้ ดด้ ว้ ยประสาทสมั ผสั เป็นผลทเ่ี กดิ ข้นึ จากการรวมตวั ของธาตุต่าง ๆ เมอ่ื วตั ถรุ วมตวั กนั อย่างถกู ส่วนก็ เกิด ‚สมั ปชญั ญะ-consciousness‛ ข้นึ มา ส่วนท่ีเรียกว่าวิญญาณ หรือ อาตมนั ก็คือร่างกายท่ีมสี มั ปชญั ญะ จุดหมายของชวี ติ จึงอยู่ท่คี วามสุขสาราญเรงิ รมย์ และความตายคือ โมกษะ๗๖ นกั ปรชั ญาจารวาก ไม่เช่อื เร่อื งความ หลดุ พน้ ใดๆ ไมม่ วี ญิ ญาณ ไมม่ สี วรรค์ ไมม่ กี ฎแห่งกรรมทส่ี ง่ ผลแก่ผูก้ ระทา พธิ ีกรรมบูชายญั เป็นเร่อื งหลอกหลวง ของพวกพราหมณ์ท่ตี อ้ งการหาเล้ยี งชพี และเป็นเร่อื งงมงายของพวกท่โี ง่เขลา ผูท้ ่แี ต่งคมั ภรี พ์ ระเวท จึงเป็นคนลวง โลก แนวคดิ เชงิ ญาณวทิ ยาจารวาก จงึ เหน็ วา่ ความประจกั ษ์ คือความรูท้ ่รี บั รูไ้ ดท้ างประสาทสมั ผสั ส่วนความรูว้ ธิ อี ่ืน ใด เช่น วิธีอนุมาน เป็นความรูท้ ่ไี ม่ถูกตอ้ งเพราะ การอนุมาน เป็นเพียงการอา้ งเหตุผล จากความรูเ้ ก่าท่ีหาความ ๗๖ รศ.ดร. สุนทร ณ รงั ษี, ปรชั ญาอนิ เดีย : ประวตั ิและลทั ธิ, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพจ์ ุฬาลงกรณมหาวทิ ยาลยั , ปทุมวนั , กรุงเทพมหานคร, ๒๕๓๗), หนา้ ๖๕.

บทท่ี ๑ “ภูมิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๕๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง แน่นอนไม่ได้ จึงกล่าวไดว้ ่า จารวาก เป็นปรชั ญาวตั ถุนิยมท่ปี ฏเิ สธ ความมอี ยู่ของจิต วญิ ญาณ อาตมนั กฎแห่ง กรรม คนเราเกิดและตายหนเดียว ปฏิเสธความมีอยู่ของพระเป็นเจา้ ไม่มีพระผูเ้ ป็นเจา้ สรา้ งโลก ทุกส่ิงเป็น ปรากฏการณธ์ รรมชาติ พระผูเ้ป็นเจา้ ไม่มอี ยู่จรงิ ไม่เหน็ ดว้ ยกบั หลกั ชีวติ ๔ ขนั้ ตอน โดยเนน้ ว่า คนเราควรแสวงหา ทรพั ยส์ มบตั ิ หาความเพลดิ เพลนิ ในชีวติ หาความสุขทางเน้ือหนงั และกามารมณ์ใหเ้ต็มท่ี คุณธรรมไมใ่ ช่ส่งิ ท่ีจาเป็น สาหรบั ชีวิต คนเราไม่จาเป็น ตอ้ งทุกขท์ รมาน บาเพ็ญชีวิต เพ่ือแสวงหาความหลุดพน้ เพราะไม่มคี วามหลุดพน้ นอกจากความตาย นกั คดิ จารวากมหี ลายท่านไดแ้ ก่ อชิตะ เกสกมั พล ผูป้ ระกาศลทั ธิท่เี รยี กว่า ‚ตายแลว้ สูญ‛ จิตและวญิ ญาณเป็นผลพลอยไดข้ องร่างกาย ปฏิเสธเร่ืองความดี ความชวั่ บุญ-บาป ว่าไม่มีอยู่จริง ไม่ก่อเกิดผลแก่ผูก้ ระทา และปฏิเสธว่า บิดามารดาไม่มี เท่ากบั ปฏเิ สธพนั ธะ ทางศีลธรรมในหมมู่ นุษย๗์ ๗ ปกุธะ กจั ายนะ เสนอหลกั แนวคิดว่าดว้ ย สภาวะ ๗ กอง ไดแ้ ก่ ธาตุทง้ั ๔ และ สุข ทุกข์ และชีวะ ส่ิง ต่างๆ ถา้ ไม่มชี ีวติ ประกอบดว้ ย ๔ ธาตุ และถา้ มชี ีวิตประกอบดว้ ย สภาวะ ๗ กอง ทฤษฎสี ภาวะ ๗ กองน้ี จึงเป็น ทฤษฎปี รมาณู ทอ่ี ธบิ ายว่า ตวั สภาวะเอง เป็นสง่ิ ทเ่ี ทย่ี งและไมม่ กี ารผนั แปรไป ลทั ธโิ ลกายตั หรือจารวาก ถอื ว่าประสบการณ์ทางประสาทสมั ผสั (Perception) เท่านนั้ เป็นแหล่งความรูท้ ่ี แน่นอนและถูกตอ้ งแทจ้ ริง ความรูท้ างออ้ ม เช่นความรูท้ ่เี กิดจากการอนุมาน (Inference) ความรูท้ ่ไี ดม้ าจากการ เรยี น หรอื บอกเลา่ จากคนอ่นื เป็นความรูท้ เ่ี ช่อื ถอื ไมไ่ ด้ ความรูเ้หลา่ นน้ั นาไปสู่ความผดิ เสมอ เราไมค่ วรเช่อื ถอื ความรู้ ในเร่อื งใดเร่อื งหน่ึงโดยไมผ่ า่ นประสาทสมั ผสั ของเราเสียก่อน คาสอนของลทั ธโิ ลกายตั หรอื จารวาก มคี าสอนบางอยา่ งของพฤหสั บดไี ดก้ ลา่ วถงึ สาระสาคญั ของลทั ธิโลกายตั หรอื จารวาก๗๘ ซง่ึ พอจะนามากล่าว โดยยอ่ เป็นขอ้ ๆ ไดด้ งั ต่อไปน้ี ๑. ธาตทุ ง้ั หลายมเี พยี ง ๔ คอื ธาตดุ นิ นา้ ลม ไฟ ๒. ร่างกาย ประสาทสมั ผสั และสง่ิ ทร่ี บั รูไ้ ดด้ ว้ ยประสาทสมั ผสั เป็นผลทเ่ี กดิ ข้นึ จากการรวมตวั ของธาตตุ ่าง ๆ ๓. วญิ ญาณ (Consciousness) เกดิ มขี ้นึ จากการรวมตวั อย่างถูกส่วนของวตั ถุ เช่นเดยี วกบั คุณสมบตั ทิ ่ที า ใหเ้กดิ ความมนึ เมาของสุราเมรยั ซง่ึ เกดิ ข้นึ จาการหมกั ดองของวตั ถทุ ใ่ี ชผ้ ลติ ฉะนนั้ ๔. ส่ิงท่เี รียกวิญญาณหรืออาตมนั นน้ั มิใช่อะไรอ่ืน ท่ีแทก้ ็คือร่างกายท่มี สี มั ปชญั ญะ หรือความรูส้ านึก นนั่ เอง ๕. ความบนั เทงิ เรงิ รมยเ์ ป็นจดุ หมายเพยี งอย่างเดียวของชวี ติ ๖. ความตายคือโมกษะหรอื ความหลดุ พน้ ๗๗ สุนทร ณ รงั ษ,ี ปรชั ญาอนิ เดีย : ประวตั ิและลทั ธิ, หนา้ ๘๒. ๗๘ เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๖๕.

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๕๗ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ คาสอนของลทั ธิจารวาก ถือว่า ไม่มสี วรรค์ ไม่มคี วามหลุดพน้ (โมกษะ) ไม่มวี ิญญาณใดๆ อยู่ในโลกอ่ืน ไมม่ กี ารกระทาหรือกรรมของใครในวรรณะทง้ั ๔ ทจ่ี ะก่อใหเ้กดิ ผล (ไม่มผี ลของ กรรม) การบูชาไฟ พระเวททง้ั สาม การร่ายมนตข์ องพวกนกั บวช และการทาตวั ดว้ ยข้เี ถา้ เป็นอบุ ายวธิ ีหาเล้ยี งชพี ของคนโง่ ไรย้ างอาย การฆ่าสตั วบ์ ูชา ยญั เป็นการตม้ ตนุ๋ หลอกลวง เป็นคนลวงโลก ถา้ หากสตั วท์ ่ถี ูกฆ่าในพธิ ีบูชายญั จะไดไ้ ปเกิดในสวรรคจ์ ริงแลว้ ไฉน เลยผูป้ ระกอบพธิ ีบูชายญั ไมเ่ อาบดิ ามารดาของตนมาฆ่าบชู ายญั เช่นนนั้ บา้ งเลา่ จารวากสอนใหแ้ สวงหาความสุขตงั้ แต่ในเวลาทย่ี งั มชี วี ติ อยู่ กนิ ดม่ื ใหส้ ุขสาราญ แมว้ ่าจะตอ้ งเป็นหน้ีเป็นสนิ เขาก็ตาม เพราะว่าเม่ือร่างกายถึงความตายถูกเขาเผาเป็นเถา้ ถ่านไปแลว้ มนั จะกลบั ฟ้ืนคืนชีพข้นึ มาไดอ้ ีกไฉน พธิ ีกรรมต่างๆ นน้ั เป็นอุบายวธิ ีหาเล้ยี งชีพของพวกพราหมณ์นนั่ เอง ผูแ้ ต่งคมั ภรี พ์ ระเวทคือคนโง่งงั่ คนลวงโลก เจา้ พวกอสูรกาย จารวากถือว่าคมั ภีรด์ งั กล่าวเขยี นข้นึ โดยพวกพระท่มี เี ล่หค์ ดโกง และเล้ยี งชีพดว้ ยการหลอกลวง ประชาชนผูโ้ งเ่ ขลา พวกพระเหลา่ น้ีสอนประชาชนใหห้ ลงใหลกบั การประกอบพธิ ีกรรมบูชายญั ทง้ั น้ีเพอ่ื พวกตนจะได้ มปี จั จยั ไทยธรรมเล้ยี งปากเล้ยี งทอ้ ง หาไดม้ ปี ระโยชนอ์ นั ใดท่พี งึ เกดิ ข้นึ จากการประกอบพธิ ีกรรมบูชายญั เหลา่ นนั้ แต่ ประการใดไม่ อภปิ รชั ญาของลทั ธิโลกายตั หรอื จารวาก สสารหรือวตั ถุเท่านนั้ เป็นความจริงทีเ่ ป็นอนั ติมะ ถือว่าความรูท้ ่ีแทจ้ ริง ตอ้ งเป็นความรูท้ ่ีไดร้ บั มาทาง ประสาทสมั ผสั หรือความรูป้ ระจกั ษเ์ ท่านนั้ (empiricism) เป็นความรูท้ ถ่ี ูกตอ้ งส่งิ ใดท่ปี ระจกั ษโ์ ดยประสาทสมั ผสั ไม่ได้ ก็ถือว่าส่งิ นนั้ ไม่มอี ยู่จริง ดงั นน้ั นรก สวรรค์ บาป บุญ เทวดา ภูตผีปิศาจ ชีวิตในโลกหนา้ วิญญาณหรือ อาตมนั พระพรหม พระเป็นเจา้ จงึ เป็นส่งิ ทไ่ี ม่มอี ยู่จรงิ เพราะว่าสง่ิ เหลา่ น้ีรบั รูไ้ มไ่ ดด้ ว้ ยประสาทสมั ผสั ส่งิ ทม่ี อี ยู่จรงิ ตามทรรศนะของพวกจารวากจงึ มเี พยี งวตั ถเุ ท่าทเ่ี รารบั รูไ้ ดเ้ท่านนั้ อภปิ รชั ญาของจารวาก๗๙ อาจแบง่ ได้ ๓ หวั ขอ้ คอื ๑. ยนื ยนั วา่ สรรพสง่ิ เกดิ มาจากการรวมตวั ของธาตทุ งั้ ๔ ๒. ปฏเิ สธการมอี ยูข่ องโลกหนา้ และตวั ตนหรอื อาตมนั ๓. ปฏเิ สธการมอี ยูข่ องพระผูเ้ป็นเจา้ โดยส้นิ เชงิ ปรชั ญาจารวากน้ีเรยี กอกี ช่อื ว่า ‚ปรชั ญาโลกายตั ‛ เพราะปฏเิ สธ อดตี ปจั จบุ นั และอนาคต เนน้ การแสวงหา ความสุขในโลกเป็นสาคญั ไม่มนี รก ไม่มีสวรรค์ การกระทาพิธีกรรมต่างๆ ไม่ก่อใหเ้ กิดผลใดๆ ทงั้ ส้ิน ต่อมา สานุศิษยข์ องพฤหสั บดี ‚จารวาก‛ ไดน้ ามาฟ้ืนฟูคาสอนว่า ‚เราควรแสวงหาความสุขตง้ั แต่ยงั มชี วี ติ อยู่ โดยการกิน การด่มื และการแสวงหาความสุขทางกามารมณ์ใหม้ ากท่สี ุด เพราะเมอ่ื ร่างกายแตกสลาย (ตาย) ไปแลว้ จะไมม่ อี ะไร เหลอื อยู่เลย‛ สรรพทรรศนะสงั คหะ กลา่ วตามแนวคาสอนของจารวากวา่ ไมม่ สี วรรค์ ไมม่ คี วามหลุดพน้ (โมกษะ) ไมม่ ี วญิ ญาณใดๆ อยู่ในโลกอน่ื ไม่มกี ารกระทาใดๆ ก่อใหเ้กดิ ผลกรรม การบชู าไฟ การปฏบิ ตั ติ ามพระเวท การร่ายมนต์ ของนกั บวช และการทาตวั ดว้ ยข้เี ถา้ เป็นอบุ ายวธิ กี ารหาเล้ยี งชพี ของคนโง่และคนไรย้ างอาย ถา้ หากสตั วท์ ถ่ี กู ฆ่าบชู า จะไดไ้ ปเกิดในสวรรคจ์ รงิ ทาไมไมท่ าพธิ บี ูชายญั บดิ ามารดาของตนเอง เพอ่ื ใหท้ ่านไปสวรรค์ ดงั นน้ั มนุษยท์ ุกคนควร ๗๙ สนุ ทร ณ รงั ษ,ี ปรชั ญาอนิ เดีย : ประวตั แิ ละลทั ธิ, อา้ งแลว้ , หนา้ ๗๑.

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๕๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง แสวงหาความสุขในขณะทย่ี งั มชี ีวติ อยู่ จงแสวงหาความสุขจากกามารมณใ์ หม้ ากทส่ี ุด แมจ้ ะตอ้ งเป็นหน้ีสนิ กต็ าม เพราะเมอ่ื ร่างกายแตกสลาย กลายเป็นเถา้ ถ่านแลว้ จะไมก่ ลบั ฟ้ืนคืนชพี มาอีกเลย ปรชั ญาการดาเนินชีวติ ของจารวาก คติการดาเนินชวี ติ ของพวกจารวากมปี รชั ญาชีวติ ว่า กิน ด่มื และร่ืนเริงสาราญ มคี วามสุขทางเน้ือหนงั เป็น จดุ หมายปลายทาง มนุษยเ์ กดิ หนเดียวตายหนเดียว ไม่มโี ลกหนา้ ไมม่ กี ารเกดิ ใหม่ หลงั จากตายแลว้ คนดีคนชวั่ มี จดุ สุดทา้ ยของชวี ติ อยา่ งเดยี วกนั คอื ความตาย ดงั นนั้ มนุษยจ์ งึ ควรรบี ตกั ตวงแสวงหาความสุขเสยี ใหเ้ตม็ ทต่ี ง้ั แต่ยงั มชี ีวิตอยู่ กินใหเ้ ป็นสุข ด่ืมใหเ้ ป็นสุข และสนุกเสยี ใหเ้ ต็มอ่ิม ตายแลว้ ก็ส้นิ สุดกนั จะด่ืมสนุกสนานอะไรไม่ไดอ้ ีก แลว้ ลทั ธิน้ีสอนตรงกบั ความตอ้ งการกิเลสของปุถุชนทวั่ ๆ ไป พวกน้ียอมรบั เอาหลกั ปรชั ญาชีวิตของจารวากมา ปฏบิ ตั ไิ ดโ้ ดยไมร่ ูส้ กึ ตวั และงา่ ยดาย ปรชั ญาจารวาก ยงั สอนใหค้ นเราแสวงหาทรพั ย์ เพราะว่าทรพั ยส์ มบตั ิทาใหเ้ ราสามารถแสวงหาความ สนุกสนานเพลดิ เพลนิ ในชีวติ ไดอ้ ย่างเต็มท่ี ความสุขทางเน้ือหนงั หรือความสุขทางกามารมณ์เป็นความสุขสูงสุด คุณธรรมไมเ่ ป็นสง่ิ จาเป็นสาหรบั ชวี ติ เพราะคนดคี นชวั่ กจ็ บลงดว้ ยความตายเทา่ กนั ทศั นะเกย่ี วกบั โมกษะ โมกษะ คอื ความหลุดพน้ จากความทุกขไ์ ม่จาเป็นตอ้ งรบี แสวงหาในขณะน้ี และไม่มปี ระโยชนอ์ นั ใดดว้ ย ผู้ ท่ยี อมทนทุกขท์ รมานหรอื ยอมสละความสุขทางโลกิยวสิ ยั เพ่อื แสวงหาความหลุดพน้ บรรลุโมกษะ ไดช้ ่อื ว่าเป็นคน โงเ่ หงา้ เต่าต่นุ ตามทรรศนะของพวกจารวาก การแสดงความเคารพภกั ดแี ละออ้ นวอนบูชาพระผูเ้ป็นเจา้ ไม่ว่าจะมนี าม อยา่ งไร ลว้ นเป็นความโงเ่ หงา้ ทง้ั ส้นิ เพราะความตายเทา่ นนั้ คือโมกษะอนั แทจ้ รงิ ของคนทกุ คน ดงั นน้ั บุคคลจงึ ควรแสวงหาความสุขสนุกสนานเพลดิ เพลนิ กินใหเ้ป็นสุข สนุกใหเ้ ต็มอ่มิ ตง้ั แต่ยงั มชี วี ติ อยู่ เม่อื ความตายมาปลดิ ฉากชีวิตก็เป็นอนั หมดกนั ไป ร่างกายก็สูญสลายไปตามอากาศธาตุ ท่กี ล่าวมาน้ีคือแนว ปรชั ญาการดาเนินชวี ติ ของลทั ธิโลกายตั หรอื จารวาก สาระสาคญั ทค่ี วรศึกษาคอื ๑. ญาณวทิ ยา ยอมรบั ว่าความรูท้ แ่ี ทจ้ รงิ มเี พยี งสง่ิ เดยี ว คือความรูป้ ระจกั ษ์ อนั เกดิ จากประสาทสมั ผสั ทงั้ ๕ คอื ตา หู จมกู ล้นิ กาย ๒. อภปิ รชั ญา เป็นลกั ษณะวตั ถนุ ิยม และยดึ ถอื ความรูป้ ระจกั ษเ์ ป็นความถูกตอ้ ง โดยยนื ยนั ว่าวตั ถเุ ท่านน้ั เป็นสง่ิ สูงสุด (สสาร) นรก สวรรคเ์ ป็นส่งิ ทร่ี บั รูไ้ มไ่ ดโ้ ดยสมั ผสั ไมม่ อี ยู่จรงิ สรรพสง่ิ เกิดข้นึ มาจากธาตุทงั้ ๔ คือ ดนิ นา้ ลม ไฟ และเป็นสง่ิ ไมเ่ ทย่ี งแทเ้ปลย่ี นแปลงอยูเ่ สมอ การตายของมนุษยแ์ ละสตั วเ์ กิดจากการแยกตวั ของธาตุทงั้ ๔ เท่านน้ั ปฏเิ สธโลกหนา้ เร่อื งจติ หรืออาตมนั ว่าไม่เท่ยี ง ข้นึ อยู่กบั ร่างกาย เมอ่ื ร่างกายแตกดบั กเ็ พราะธาตุ ๔ แยกตวั ออกจากกนั วญิ ญาณหรอื จติ กด็ บั สลายไป จงึ ถอื วา่ เป็นการปฏเิ สธชาตหิ นา้ โดยตรง ๓. จรยิ ศาสตร์ เป็นแนวความคิดแบบวตั ถนุ ิยม ยดึ ถอื ความสุขทางเน้ือหนงั มงั สาเป็นจุดหมายสูงสุดของ ชวี ติ โดยตกั ตวงความสุขใหเ้ตม็ ท่ีและถอื วา่ จดุ มงุ่ หมายแห่งชวี ติ มอี ยู่ ๔ อย่าง คอื ๑) อรรถะ ทรพั ยส์ มบตั ิ ๒) กามะ ความสุขจากกามารมณ์

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี ก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๕๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ๓) ธรรมะ ความสมบรู ณด์ ว้ ยคุณธรรม ๔) โมกษะ ความหลุดพน้ จากทกุ ข์ ๑.๗ ลกั ษณะสงั คมชมพูทวปี และความเช่ือของสงั คมอนิ เดียกอ่ นพทุ ธกาล ปรชั ญาและลทั ธศิ าสนาของสงั คมอนิ เดีย มผี ูเ้ขา้ ใจว่า ‚ปรชั ญาอนิ เดยี ‛ หมายถงึ ปรชั ญาฮินดู ซง่ึ เป็นความเขา้ ใจทค่ี ลาดเคลอ่ื นหรือไมต่ รงกบั ความ เป็นจรงิ ความหมายท่ถี ูกตอ้ งของคาว่า ‚ปรชั ญาอนิ เดยี ‛ กค็ ือ หมายถงึ ปรชั ญาทกุ สานกั หรือทุกระบบทเ่ี กิดข้นึ ใน อินเดีย หรือท่คี ิดสรา้ งสรรคข์ ้นึ ไวโ้ ดยศาสดา และนกั คิดท่เี คยมชี ีวติ อยู่หรือกาลงั มชี ีวติ อยู่ในอินเดีย เพราะฉะนนั้ ปรชั ญาอนิ เดยี จงึ ไมไ่ ดห้ มายถงึ เฉพาะแต่ปรชั ญาฮนิ ดู แต่หมายรวมถงึ ปรชั ญาอ่นื ทไ่ี ม่ใช่ปรชั ญาฮนิ ดูดว้ ย เช่น พทุ ธ ปรชั ญา ปรชั ญาเชน เป็นตน้ ปรชั ญาอนิ เดยี มวี ธิ กี ารเป็นแบบฉบบั ของตนเอง คือก่อนทจ่ี ะเสนอแนวความคิดของตนเองข้นึ มานกั ปรชั ญา หรอื นกั คิดอนิ เดยี จะเสนอแนวความคิดของนกั ปรชั ญาคนอน่ื หรอื ระบบอ่นื เสยี ก่อน แนวความคดิ ของนกั ปรชั ญาคนอ่นื หรอื ระบบอ่นื ทเ่ี สนอก่อนน้ีเรยี กวา่ ปรู วปกั ษ์ เมอ่ื เสนอแนวความคิดของ คนอ่ืนข้นึ มาแลว้ ต่อจากนน้ั นกั ปรชั ญาคนนนั้ ก็จะวิพากษว์ ิจารณ์โจมตีว่า แนวความคิดเช่นนน้ั มีจุดอ่อนหรือ ขอ้ บกพร่องอย่างไร มคี วามหมายสมควรแก่การยอมรบั เช่อื ถอื หรือไม่ การวพิ ากษว์ จิ ารณโ์ จมตีน้ี เรียกว่า ขณั ฑนะ เม่ือไดย้ กทรรศนะของคนอ่ืนข้ึนมาวิพากษ์วิจารณ์โจมตีช้ีใหเ้ ห็นขอ้ บกพร่องแลว้ นักปรชั ญาคนนนั้ จึงเสนอ แนวความคิดทางปรชั ญาของตน พรอ้ มกบั พยายามอธิบายใหเ้ห็นว่า ทรรศนะของตนนนั้ ปราศจากขอ้ บกพร่องและ เป็นทรรศนะท่ถี กู ตอ้ งอยา่ งไรบา้ ง ทรรศนะของตนเองทเ่ี สนอข้นึ มาทหี ลงั น้ีเรยี กว่า อตุ ตรปกั ษ์ ดว้ ยเหตทุ ว่ี ธิ ีการแห่งปรชั ญาอนิ เดยี มลี กั ษณะดงั กล่าวมาน้ี จงึ ปรากฏว่าในบนั ทกึ แนวความคิดทางปรชั ญา ระบบต่างๆ ของอินเดีย นอกจากจะมีแนวความคิดของตนเองโดยเฉพาะแลว้ ยงั มีคาวิพากษว์ ิจารณ์โจมตี แนวความคดิ ของระบบอ่นื ๆ ปรากฏรวมอยู่ดว้ ยเสมอ

บทท่ี ๑ “ภูมิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๖๐ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง เทพเจา้ ของอนิ เดีย ในบรรดาเร่อื งราวของเทพเจา้ ของชนชาติทงั้ หลายนนั้ เทพเจา้ ของอินเดยี นบั ว่ามเี ร่ืองราวและประวตั ิความ เป็นมาทซ่ี บั ซอ้ นมากกว่าชาติอ่นื และกล่าวกนั ว่า ตงั้ แต่สมยั ดกึ ดาบรรพ์ ชนชาติอรยิ กะ หรอื อนิ เดียอหิ ร่านท่อี พยพ ไปตงั้ ถน่ิ ฐานอยู่ในลมุ่ แมน่ า้ สนิ ธุ มกี ารนบั ถอื เทพเจา้ และมคี มั ภรี พ์ ระเวทเกิดข้นึ พวกอรยิ กะ หรืออารยนั นนั้ แต่เดมิ กน็ บั ถอื ธรรมชาติ เช่น ดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์ ทอ้ งฟ้า ลม และไฟ ต่อมามกี ารกาหนดใหป้ วงเทพเกดิ มหี นา้ ทก่ี นั ข้นึ โดยตงั้ ช่ือตามส่งิ ท่เี ป็นธรรมชาตินน้ั ๆ แลว้ ก็เกิดมหี วั หนา้ เทพเจา้ ข้นึ ดงั ท่ปี รากฏอยู่ในคมั ภรี พ์ ระเวท ซ่งึ ก็คือพระ อนิ ทร์ จากหลกั ฐานโบราณท่เี ป็นจารึกบนแผ่นดินเหนียวอายุราว ๑,๔๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล เรียกว่าแผ่นจารึก โบ กาซ คุย หรือจารกึ เทเรีย ซง่ึ ขดุ พบท่ตี าบลดงั กล่าว ของดินแดนแคปปาโดเซยี ในตรุ กี จารึกน้ี ไดอ้ อกนามเทพเจา้ เป็นพยานถงึ ๔ องค์ นนั่ กค็ อื พระอนิ ทร์ (lndra) เทพเจา้ แห่งพลงั มทิ ระ (Mitra) พระวรุณ (Varuna) และ นาสตั ย์ (Nasatya) คือ พระนาสตั ยอ์ ศั วนิ (Asvins) นบั เป็นช่อื เทพเจา้ ทเ่ี ก่าท่สี ุดทถ่ี กู เอ่ยนาม แสดงวา่ ลทั ธิพราหมณ์ มมี ายาวนานย่งิ นกั สมยั ของพระเวท จึงมี ผูเ้ช่ยี วชาญกลา่ วว่า มมี าก่อนพทุ ธกาลราว ๑,๐๐๐ ปี และบางตาราบอกว่า เทพเจา้ ดงั้ เดมิ ของพวกอรยิ กะนนั้ มพี ระ อนิ ทร์ พระสาวติ รี พระวรุณ และพระยม (พระสาวติ รี คือ ดวงอาทติ ย)์ ส่วนอกี ตาราหน่ึงกล่าวว่า เทพเจา้ ทเ่ี ก่าทส่ี ุด คือพระอินทร์ พระพฤหสั บดี พระวรุณ และพระยม เทพท่พี ราหมณ์ยกย่องนนั้ มเี พยี งไม่ก่อี งคท์ ป่ี รากฏอยู่ในพระ เวท ซง่ึ กค็ อื พระอนิ ทร์ ทถ่ี อื วา่ มฤี ทธ์อิ านาจมาก สงั คมชมพทู วปี สมยั กอ่ นพระพทุ ธเจา้ ลกั ษณะทางสงั คมของชมพูทวีป ในสมยั นนั้ มกี ารแบ่งชนชน้ั เรียกว่า ‚วรรณะ‛ ตามหลกั ความเช่ือของ ศาสนาพราหมณ์ โดยถอื ว่าวรรณะทง้ั ๔ เกิดจากอวยั วะของพระพรหมทต่ี ่างกนั จึงถอื ว่าระบบวรรณะไดถ้ ูกกาหนด ไวต้ ายตวั โดยพระผูเ้ป็นเจา้ ระบบวรรณะของอินเดยี มี ๔ วรรณะ โดยระบบวรรณะเกิดจากพวก อารยนั ซ่งึ เขา้ มารุกรานชนพ้นื เมอื งใน อนิ เดยี ไดท้ าสงครามกบั เจา้ ของถน่ิ เดมิ ซง่ึ เรยี กวา่ พวก มลิ กั ขะ ชาวอารยนั จะยดึ ถือวรรณะทงั้ ๔ ซ่ึงเช่ือว่าเกิดจากอวยั วะจากของพระพรหม และระบบวรรณะไดเ้ ป็น ตวั กาหนดหนา้ ทใ่ี หแ้ ต่ละวรรณะนน้ั แลว้ การเปลย่ี นแปลงสถานภาพทางสงั คมโดยยกชนชน้ั ของตนเองใหส้ ูงข้นึ จึงเป็นไปไม่ได้ การแบ่งวรรณะ มี ดงั ต่อไปน้ีคือ ๑) วรรณะพราหมณ์ (Brahmins) เกดิ จากพระโอษฐข์ องพระพรหม มหี นา้ ทก่ี ล่าวมนต์ ไดแ้ ก่ พวกศึกษา คมั ภีรพ์ ระเวท มีหนา้ ท่ีติดต่อกบั เทวะ และกระทาพิธีกรรมทางศาสนา สีเคร่ืองแต่งกายประจาวรรณะคือสีขาว (หมายถงึ ความบรสิ ุทธ์)ิ ๒) วรรณะกษัตริย์ (Kshatriyas) เกิดจากพระพาหา (แขน) ของพระพรหม มีหนา้ ท่ีรบและปกป้ อง อาณาจกั รหรือขยายอาณาจกั ร ไดแ้ ก่ พวกนกั รบ นกั ปกครอง พระเจา้ แผ่นดิน สีเคร่ืองแต่งกายประจาวรรณะคือสี แดง

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี กอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๖๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ๓) วรรณะแพศย์ (Vaisyas) เกิดจากพระโสณี (ตะโพก) ของพระพรหม เป็นพวกแสวงหาทรพั ยส์ มบตั ิ มาก บรโิ ภคมาก ไดแ้ ก่ พ่อคา้ คหบดี เศรษฐี เกษตรกร ศิลปหตั ถกรรม เป็นตน้ สเี คร่อื งแต่งกายประจาวรรณะคือสี เหลอื ง ๔) วรรณะศูทร (Sudras) เกิดจากพระบาทของพระพรหม จึงตอ้ งทางานท่ใี ชแ้ รงงาน ไดแ้ ก่ พวกกรรมกร ลูกจา้ ง สเี คร่อื งแต่งกายประจาวรรณะคือสดี า หรือสอี น่ื ๆ ทไ่ี มส่ ดใสและไมต่ รงกบั สขี องวรรณะทงั้ สามขา้ งตน้ ในคมั ภรี พ์ ระธรรมศาสตรบ์ ่งไวว้ ่า ผูห้ น่ึงผูใ้ ดมลี กั ษณะ ๔ ประการดงั ต่อไปน้ี ผูน้ น้ั ไดช้ ่อื ว่าเป็น ไวศย(ะ) คอื ๑. ความเฉลียวฉลาดในการแลกเปล่ยี นส่งิ ของต่างๆ และในการอุตสาหกรรมต่างๆดว้ ย เพราะ อตุ สาหกรรมมกั เกดิ มาควบคู่กบั พณิชยกรรมเสมอ ๒. มสี มองดีในการคิดเลข บวก ลบ คูณ หาร ตน้ ทุน กาไร ฯลฯ และรูจ้ กั ว่าเมอ่ื ไรควรเสยี เมอ่ื ไรควรได้ มรี อบรูอ้ ยูเ่ สมอ ๓. มคี วามเช่อื ถอื และความจงรกั ภกั ดตี ่อพระเป็นเจา้ คือพระพรหม ตลอดจนคาสงั่ สอนของพระพรหม ดว้ ย ๔. มคี วามนบั ถอื วรรณะพราหมณ์และวรรณะกษตั รยิ ์ วรรณะจณั ฑาล (The Untouchable) นอกจากบุคคลใน ๔ วรรณะนนั้ แลว้ ยงั อีกวรรณะหน่ึงท่ีเรียกกนั ว่า วรรณะจณั ฑาล ถือว่าเป็นคนนอก วรรณะ ชอ่ื ของวรรณะน้ีความจรงิ ไมเ่ คยมปี รากฏในยุคพระเวทเลย สนั นิฐานว่าเกิดข้นึ มาในภาคหลงั ยุคพระเวท จณั ฑาลเกดิ จากการแต่งงานขา้ มวรรณะ โดยทห่ี ญิงมสี ถานะทางสงั คม (วรรณะ) สูงกว่าชาย บตุ รท่เี กิดมา จะเป็นจณั ฑาล บคุ คลทอ่ี ยูใ่ นวรรณะจณั ฑาลเป็นผูท้ ค่ี นในวรรณะสูงๆ ไมค่ วรถกู ตอ้ งสมั ผสั หรือแมแ้ ต่มอง เป็นทด่ี ู ถูกของคนในสงั คม พวกกลุ่มจณั ฑาลน้ีจะถูกเหยียดหยามจากวรรณะอ่ืนๆ ไม่มศี กั ด์ิ ไม่มสี ทิ ธิใดๆ ในสงั คม มี สถานภาพตา่ กว่าสตั วเ์ ดรจั ฉานเสียอีก แมก้ ระทงั่ เดินผ่านใหพ้ ราหมณ์เห็น หรือใหเ้ งาไปทบั กบั เงาของพราหมณ์ พราหมณจ์ ะถอื ว่าเป็นเสนียดจญั ไร กลบั ถงึ บา้ นตอ้ งเอานา้ ลา้ งตาหรอื อาบนา้ นมลา้ งเสนียด นอกจากน้ียงั มคี นอกี กลุม่ หน่ึงทจ่ี ดั ไดว้ ่าอยู่นอกระบบปกตกิ ค็ ือ หญงิ หมา้ ย ในสงั คมอนิ เดยี หญงิ หมา้ ยดู จะเป็นกลุ่มคนทด่ี อ้ ยโอกาส ไม่สามารถทจ่ี ะร่วมกิจกรรมทางสงั คมกบั คนในระบบไดเ้ หมอื นในสมยั ท่สี ามยี งั มชี วี ิต อยู่ จะตอ้ งรวมกลุม่ กนั ทากิจกรรมไมว่ ่าเป็นกจิ กรรมทางศาสนา ทางสงั คม แต่หญงิ หมา้ ยก็ไม่ไดร้ บั การดูถูกเหยยี ด หยามจากสงั คมเหมอื นจณั ฑาล การนบั ถอื ศาสนาของชาวอินเดีย มจี านวนประชากรท่ีนบั ถอื ศาสนาต่างๆ เรยี งลาดบั จากมากไปหานอ้ ยคือ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ประมาณรอ้ ยละ ๘๓ ศาสนาอิสลามประมาณรอ้ ยละ ๑๑ ศาสนาคริสตป์ ระมาณรอ้ ยละ ๓ ศาสนาซกิ ขป์ ระมาณรอ้ ยละ ๒ ศาสนาพทุ ธประมาณรอ้ ยละ ๑ อทิ ธพิ ลของศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู การดารงชวี ติ ของชาวอนิ เดยี โบราณมคี วามสมั พนั ธก์ บั ศาสนามาก ซ่งึ สงั เกตไดจ้ ากคมั ภรี พ์ ระเวท เป็นตาราประวตั ศิ าสตรแ์ ละวรรณคดเี ล่มแรกของอินเดียโดยชาวอนิ เดยี ถอื ว่าคมั ภรี พ์ ระ

บทท่ี ๑ “ภูมิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๖๒ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ เวทเป็นคมั ภรี ท์ ่ศี กั ด์ิสทิ ธ์ิ นอกจากน้ียงั มคี มั ภรี ภ์ ควตั คีตา แปลว่าเพลงของพระเจา้ เป็นระบบคาสอนแบบรวม คา สอนของพราหมณท์ เ่ี คยแพร่หลายเป็นเวลานาน เนน้ สาระสาคญั ๔ ประการคือ - ความเจรญิ สูงสุดเกย่ี วกบั สญั ญาณของโลกเรยี กพรหม - ความไมแ่ น่นอนของวตั ถโุ ลก - การเวยี นว่ายตายเกดิ ของวญิ ญาณ - ความพยายามทจ่ี ะหนีจากการเวยี นวา่ ยตายเกดิ พทุ ธศาสนากบั อทิ ธิพลของวฒั นธรรมอนิ เดีย พทุ ธศาสนาเกิดข้นึ ท่ามกลางวฒั นธรรมอินเดีย ซ่งึ มแี บบ ฉบบั ขนบธรรมเนียมสืบต่อกนั มาหลายพนั ปี โดยเฉพาะศาสนาพราหณ์-ฮนิ ดู มอี ทิ ธิพลมาก พทุ ธศาสนาไดท้ าการ ปรบั เปลย่ี นแกไ้ ขใหด้ ขี ้นึ กว่าแบบเก่าของอนิ เดียหลายประการ บางอย่างไดแ้ นวปฎบิ ตั ใิ นรูปวฒั นธรรมใหม่ จงึ มสี ง่ิ ดี งามใหมๆ่ ข้นึ หลายประการ เช่น -พระพทุ ธศาสนาไดส้ อนหลกั แห่งกรรม โดยยนื ยนั ความดคี วามชวั่ ตามกรรมท่ตี นทา ไมใ่ ช่เอาการกาเนิด เป็นเครอ่ื งตดั สนิ -พระพทุ ธศาสนาไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั ระบบการซ้อื ขายทาสในอนิ เดยี มบี ทบญั ญตั หิ า้ มพระภกิ ษุมที าส มกี ารเลกิ ระบบทาส พทุ ธศาสนาจงึ มสี ว่ นสง่ เสรมิ สทิ ธมิ นุษยชน -ชาวอินเดยี โบราณเช่อื ในเร่อื งพรหมลขิ ติ เป็นเหตุใหป้ ล่อยชวี ติ ไปตามยถากรรม ผูท้ ต่ี อ้ งการความเจริญ หรอื อยากพน้ ทกุ ข์ เอาแต่สวดออ้ นวอน ดว้ ยเหตนุ ้ีพระพทุ ธศาสนาไดส้ อนหลกั แหง่ กรรม คือ ทาดไี ดด้ ี ทาชวั่ ไดช้ วั่ - ชาวอินเดียโบราณแสวงหาบุญดว้ ยการฆ่าสตั วบ์ ูชายญั เพ่อื บูชาเทพเจา้ ก่อใหเ้ กิดความทุกขโ์ ศกใหแ้ ก่ มนุษยแ์ ละสตั ว์ เป็นอย่างมาก พระพทุ ธเจา้ ทรงสอนใหเ้ลกิ วธิ กี ารดงั กล่าว ใหม้ าสรา้ งความดดี ว้ ยการใหส้ งเคราะหซ์ ง่ึ กนั และกนั ไมเ่ บยี ดเบยี นกนั ใหอ้ ภยั กนั ชาระจติ ใจใหส้ ะอาด เป็นตน้ ระบบวรรณะฝงั รากลึกถงึ สงั คมอนิ เดยี ปจั จุบนั คนอินเดียราว ๑๗๐ ลา้ นคน (บางขอ้ มูลว่าถึง ๓๐๐ ลา้ นคน) เกดิ มาในกลุ่มท่เี รียกว่า อวรรณะ หรือ ถูก เรียกว่าจณั ฑาล หรือ อธิศูทร และคนกลุ่มวรรณะจณั ฑาลคือกลุ่มท่ีถูกรงั เกียจ และถูกเลอื กปฏิบตั ิมากท่ีสุดใน สงั คมอนิ เดยี ในขณะน้ี ตามความเชอ่ื ในศาสนาฮนิ ดูเก่ยี วกบั เร่อื งวรรณะในอินเดียนนั้ วรรณะมี ๔ ชน้ั คือ พราหมณ์ กษตั รยิ ์ แพศย์ ศูทร โดยมบี ทบาทความสาคญั ในสงั คม ตามลาดบั แต่เมอ่ื มกี ารแต่งงานขา้ มวรรณะ บุตรท่เี กิดมาก็ จดั เป็นพวกจณั ฑาล คนวรรณะจณั ฑาลถกู คนวรรณะอน่ื รุมรงั เกยี จจนถงึ กบั ไมก่ ลา้ จบั ตอ้ งพวกเขา กลวั ว่าจะตดิ เช้อื โรค โดนเงา กย็ งั ไมไ่ ด้ น่ีเป็นคาสอนกนั มาแต่โบราณและยงั คงเชอ่ื กนั จนในทกุ วนั น้ี อาชีพของพวกเขากค็ ือ กวาดถนน ลา้ งท่อระบายนา้ เกบ็ ขยะ เป็นตน้ ถา้ จะทาการเกษตรกท็ าไดเ้พยี งเช่าท่ี เขาทา ไม่มสี ทิ ธ์ิเป็นเจา้ ของท่ดี นิ ไมอ่ นุญาตใหใ้ ชข้ องบางชนิดซ่งึ คนในวรรณะอ่นื ๆใช้ และจะอาศยั แถวๆ กองขยะ หรอื ตามแหลง่ เสอ่ื มโทรม

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี ก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๖๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ เมอ่ื เกดิ มาเป็นจณั ฑาล (อธิศูทร) ก็ตอ้ งมชี ีวติ อยู่อย่างจณั ฑาล และตายไปอย่างจณั ฑาล ท่สี าคญั พวกเขา เองก็ยอมรบั ว่าพวกตนถูกพระเจา้ สาปใหเ้ กิดมาใชก้ รรมใชเ้ วร เขาจึงเป็นคนท่ีแตกสลาย ไรอ้ นาคต สมดงั คาว่า จณั ฑาล (Dalit) ซง่ึ แปลว่า มดื มน ไรอ้ นาคต แน่นอนว่า การแต่งงานโดยท่สี ามภี รรยาอยู่วรรณะเดยี วกนั เมอ่ื มลี ูก ลูกก็จะอยู่ในวรรณะเดยี วกบั พ่อแม่ และกม็ กั ถอื กนั มาตลอดว่าถา้ แต่งงานขา้ มวรรณะ ลูกทอ่ี อกมาจะเป็นจณั ฑาลหมด อย่างไรกด็ ี กม็ บี างตาราบอกว่า ของดง้ั เดิมไมไ่ ดเ้ป็นอย่างนน้ั เสยี ทเี ดยี ว หากมกี ารแต่งงานขา้ มวรรณะกนั จะมวี รรณะต่างกนั เรยี กวา่ วรรณะสงั กร และมกี ารแต่งงานขา้ มวรรณะแบบทส่ี ่งผลดีและส่งผลไมด่ ี ดงั น้ี แบบแรก การแตง่ งานขา้ มวรรณะแลว้ สง่ ผลดี คอื แตง่ งานโดยสามีอยูใ่ นวรรณะท่สี ูงกว่าภรรยา - สามวี รรณะพราหมณ์ ภรรยาวรรณะกษตั รยิ ์ จะมลี ูกเป็นวรรณะมรู ธาวสกิ ตะ - สามวี รรณะพราหมณ์ ภรรยาวรรณะแพศย์ จะมลี ูกเป็นวรรณะอมั พษั ฐะ - สามวี รรณะพราหมณ์ ภรรยาวรรณะศูทร จะมลี ูกเป็นวรรณะนิษาทะ - สามวี รรณะกษตั รยิ ์ ภรรยาวรรณะแพศยห์ รอื ศูทร จะมลี ูกเป็นวรรณะมาหษิ ยะ - สามวี รรณะแพศย์ ภรรยาวรรณะศูทร จะมลี ูกเป็นวรรณะกรณะ สว่ นการแต่งงานทเ่ี ลว คอื แต่งงานขา้ มวรรณะโดยภรรยาอยูใ่ นวรรณะท่สี ูงกวา่ สามี - ภรรยาวรรณะพราหมณ์ สามวี รรณะกษตั รยิ ์ จะมลี ูกเป็นวรรณะสูตระ - ภรรยาวรรณะพราหมณ์ สามวี รรณะแพศย์ จะมลี ูกเป็นวรรณะไวเทหถะ - ภรรยาวรรณะพราหมณ์ สามวี รรณะศูทร จะมลี ูกเป็นวรรณะจณั ฑาล อนั น้ีเลวรา้ ยทส่ี ุด - ภรรยาวรรณะกษตั รยิ ์ สามวี รรณะแพศย์ จะมลี ูกเป็นวรรณะมาคระ - ภรรยาวรรณะกษตั รยิ ์ สามวี รรณะศูทร จะมลี ูกเป็นวรรณะกษตั ตฤ - ภรรยาวรรณะแพศย์ สามวี รรณะศูทร จะมลี ูกเป็นวรรณะยาโยควะ แนวทางน้ียงั บอกอกี ว่า นอกจากน้ีแลว้ ยงั มวี รรณะอน่ื ๆ อกี ๓,๐๐๐ วรรณะเกดิ จากการแต่งงานของลูกของ สามภี รรยาในวรรณะกษตรยิ แ์ ละแพศย์ และยงั ข้นึ กบั การทาอาชีพของคนนน้ั ๆ ดว้ ย เช่น คนวรรณะพราหมณ์ ถา้ ทา อาชีพแบบศูทร ๗ ชวั่ คน ก็จะเป็นวรรณะศูทร เป็นตน้ และวรรณะสงั กรยกเวน้ จณั ฑาลกส็ ามารถเขา้ สู่ ๔ วรรณะ แรกได้ เช่น ตระกูลพราหมณ์ชายท่ีแต่งงานกบั หญิงวรรณะนิษาทะมาแลว้ ๗ ชวั่ คน ลูกท่ีเกิดมาในรุ่นต่อมาจะมี วรรณะพราหมณ์ อย่างไรก็ตาม เร่ืองวรรณะมนั ก็คือเร่อื งเดียวกบั การเหยยี ดผวิ (apathied) เหยยี ดเช้อื สายหรือเหยยี ดเช้อื ชาติ (racism) เหยยี ดเพศ (sexism) และเหยยี ดศาสนา (sectism) ดๆี น่ีเอง เพยี งแต่ใส่เร่อื งราวว่ามปี ระวตั ศิ าสตร์ เชงิ เทพนิยายประกอบเขา้ ไปใหฟ้ งั ดูขลงั ข้นึ เร่อื งระบบชนชน้ั วรรณะในอินเดยี นน้ั ถกู ฝงั รากลกึ อยู่ในวฒั นธรรมของชาวอนิ เดียมาอย่างชา้ นาน แมจ้ ะมี กฎหมายออกมาหา้ มการเลอื กปฏิบตั ิเช่นน้ีมากว่า ๕๐ ปีแลว้ ก็ตาม (ตงั้ แต่ปี ๒๔๙๘) แต่ดว้ ยความเช่ือท่ฝี งั ลกึ ใน เร่อื งวรรณะน้ีจึงไม่อาจจะเปลย่ี นแปลงไดโ้ ดยง่าย แมก้ ฏหมายเปล่ยี นไป แต่ความเช่ือของคนยงั ไม่เปล่ยี นแปลง มี

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๖๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง เจตนารมณท์ างการเมอื งท่จี ะใหย้ ุติการเลอื กปฏิบตั ิต่อคนจณั ฑาล แต่อคติทม่ี ตี ่อคนกลุ่มน้ีฝงั รากลกึ ไม่สามารถทา ใหห้ มดไปได้ มโี รงเรียนรฐั บาลในอินเดยี ถงึ รอ้ ยละ ๓๘ ซง่ึ เด็กจณั ฑาลตอ้ งแยกโตะ๊ รบั ประทานอาหารกบั เด็กวรรณะอ่ืน และมโี รงเรียนถึงรอ้ ยละ ๒๐ ซ่งึ เด็กจณั ฑาลไม่ไดร้ บั อนุญาตใหด้ ่ืมนา้ ร่วมแหล่งเดียวกบั เด็กวรรณะอ่ืนๆ ถา้ เด็ก เหลา่ น้ีไดเ้ ขา้ โรงเรียนก็จะตอ้ งนงั่ แถวหลงั สุด แต่ท่แี ย่ไปกว่านน้ั ก็คือเคยเกิดกรณีครูลงโทษนกั เรยี นจณั ฑาลอย่าง รุนแรง ชายผูห้ น่ึงกล่าวว่า เขาลาออกจากโรงเรียนเม่อื ๓๘ ปีก่อน เพราะถูกลงโทษดว้ ยการตีดว้ ยขาเกา้ อ้ี เพียง เพราะจ่ายค่าเลา่ เรยี นไมต่ รงเวลา ในขณะท่นี กั เรียนคนอ่นื ท่ที าแบบเดียวกบั เขา แต่อยู่ต่างวรรณะกนั เพยี งแค่ถูก ตกั เตอื นเท่านน้ั นอกจากน้ีนกั เรยี นจณั ฑาล ยงั คงตอ้ งนงั่ อยูห่ ลงั หอ้ ง และไมไ่ ดร้ บั การเหลยี วแลจากครูผูส้ อน เลา่ กนั ว่า รา้ นขายของชาในหม่บู า้ นในรฐั อุตรประเทศ (State of Uttar Pradesh)๘๐ ไม่ยอมรบั เงนิ จากมอื โดยตรงของลูกคา้ จณั ฑาล และอีกหลายหมู่บา้ นท่ีคนจณั ฑาลถูกก่อกวนรงั ควานเม่อื สวมเส้อื ผา้ ใหม่ บางคนถูก บงั คบั ใหเ้ หน็บก่ิงไมไ้ วท้ ่หี ลงั เพอ่ื ใหช้ ่วยลบรอยเทา้ เวลาเดิน หรือแมจ้ ะจดั งานแต่งงาน ก็ยงั ถูกวรรณะอ่ืนท่อี ยู่ใน หมบู่ า้ นเดยี วกนั กดดนั ใหเ้ลกิ ครูผูห้ น่ึงเล่าว่า ครอบครวั ของเขาเตรยี มจดั งานใหญ่โต แต่ทนั ทที ่เี ขาเดินออกจากบา้ น เพ่ือไปหาลูกสาว ชาวบา้ นบางคนท่ีอยู่ในวรรณะสูงกว่า ออกมาด่าทอว่า วรรณะจณั ฑาลไม่ควรมพี ิธีแต่งงานท่ี เอกิ เกรกิ แมค้ นจณั ฑาลยงั คงถกู เลอื กปฏบิ ตั ิอยู่ แต่ก็ยงั คงมกี ารรณรงคต์ ามหมบู่ า้ น เพอ่ื ใหเ้ดก็ ๆ ไดม้ โี อกาสเรยี น หนงั สอื เพ่อื ใหค้ นจณั ฑาลไดร้ ูส้ ึกเช่อื มนั่ ว่าการศึกษา ยงั คงเป็นกญุ แจสาคญั ของความสาเร็จ แต่ทกุ คนกเ็ หน็ ว่ามนั ยากอยู่ หากคนวรรณะอ่นื ๆ ไมร่ ่วมมอื ทจ่ี ะมองและปฏบิ ตั ิต่อกนั ใหส้ มกบั ทเ่ี ขาเป็นมนุษยเ์ หมอื นกนั นกั เคลอ่ื นไหวเพ่อื คนจณั ฑาลในอินเดียกลา่ วว่า แมป้ ระเทศอินเดียจะมโี ครงการส่งยานอวกาศไปยงั ดวง จนั ทร์ แต่คนจณั ฑาลก็ยงั ถูกกดใหจ้ มปลกั อยู่กบั อาชีพท่ีใชแ้ รงงาน เช่นการลา้ งท่อระบายนา้ ซ่ึงแมว้ ่าพวกเขา ตอ้ งการเปล่ยี นอาชีพ แต่ก็ยงั คงถูกบงั คบั ใหท้ างานประเภทน้ีอยู่ต่อไป ตอ้ งยอมรบั ว่าศาสนาสามารถส่งผลต่อชีวติ คนทง้ั ปจั เจกและสงั คมไดอ้ ย่างลกึ ซ้งึ และยาวนานจรงิ ๆ หากยอ้ นกลบั มาดูรายละเอียดเร่ืองของระบบวรรณะตามหลกั ความเช่ือของศาสนาฮินดู เราจะเหน็ ความ ตงั้ ใจของคนยุคโบราณมากข้นึ สว่ี รรณะของศาสนาฮนิ ดูมหี นา้ ท่เี ฉพาะเจาะจงของแต่ละวรรณะดงั น้ี ๑. พราหมณ์ มี หนา้ ท่สี งั่ สอนผูค้ นใหม้ คี วามรูท้ า้ งดา้ นขนบธรรมเนียมและประเพณี ๒. กษตั ริย์ มหี นา้ ทป่ี กครองบา้ นเมอื ง ๓. ไวศ ยะ มหี นา้ ทใ่ี ชว้ าจาคา้ ขาย ๔. ศูทร มหี นา้ ทแ่ี รงงาน ถา้ ดูลกึ ๆ การท่ศี าสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู แบง่ คนออกเป็น ๔ วรรณะ และใหแ้ ต่ละวรรณะมหี นา้ ท่ที ่แี ตกต่าง กนั ออกไป เป็นการแบ่งแยกในเร่ืองลาดบั ความสาคญั และลาดบั ศกั ด์ศิ รีสูงตา่ ทางสงั คมมาก่อน และเร่อื งความยาก ง่ายของงานก็อาจมสี ่วนประกอบดว้ ย และก็เป็นไปไดท้ ว่ี ่า เพราะพวกเขาเวลานน้ั มแี นวคิดว่า สงั คมตอ้ งมงี านหลกั ๘๐ รฐั อตุ ตรประเทศ คอื หน่งึ ในรฐั ของประเทศอนิ เดยี ตงั้ อยู่บรเิ วณสว่ นบนของประเทศโดยมเี ขตแดนติดต่อกบั ประเทศเนปาลทางทศิ เหนือ เป็นทต่ี ง้ั ของเมอื งสาคญั ในศาสนาฮนิ ดู เช่น เมอื งพาราณสี อโยธยา (เมอื งเกิดของพระราม) มธุรา (เมอื งเกดิ ของพระกฤษณะ) และ อลั ลาลาบดั หรือ เมอื งโกสมั พใี นสมยั พทุ ธกาล

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี ก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๖๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๔ ประเภทน้ี และงานแต่ละประเภทน้ีตอ้ งใชค้ นท่มี ี \"สายพนั ธุ\"์ หรือดีเอ็นเอ๘๑ ท่แี ตกต่างกนั จงึ จะทาไดด้ ี แมเ้ป็น คนเหมอื นกนั แต่ยนี สต์ ่างพนั ธุก์ ท็ าไมไ่ ดห้ รอื ทาไดไ้ มด่ ี อกี ทง้ั งานบางอย่างตอ้ งการความศกั ด์สิ ทิ ธ์ขิ องสายเลอื ดแทท้ ่ี สบื ต่อกนั มา ซง่ึ น่ีกเ็ ป็นแนวคิดแบบโบราณ เช่นคนจะเป็นผูป้ กครองกต็ อ้ งมสี ายเลอื ดกษตั ริยเ์ ท่านนั้ จะเป็นนกั บวชก็ ตอ้ งสายเลอื ดพราหมณเ์ ท่านน้ั ถา้ จะพยายามมองแงด่ กี ม็ องไดอ้ กี ว่า การแบง่ แยกชนชนั้ วรรณะซง่ึ เป็นการแบง่ งานเช่นน้ี จะทาใหเ้กดิ ความ ต่อเน่ืองในการถ่ายทอดความรูค้ วามสามารถใหก้ บั คนในวรรณะเดยี วกนั ไปเร่อื ยๆ ก็จะกลายเป็นการพฒั นาต่อยอด ความรูค้ วามสามารถและเทคโนโลยไี ปดว้ ย แต่กไ็ มค่ ่อยมใี ครเช่อื ทฤษฎนี ้ีสกั เท่าไหร่ แต่กลบั เช่อื มากกว่าคือ ก็มบี าง แนวคิดวเิ คราะหว์ ่า เร่อื งระบบวรรณะน้ี จริงๆ แลว้ อาจเป็นแผนการของพวกกษตั ริยแ์ ละพราหมณส์ มคบคิดกนั ใช้ ศาสนามาอา้ ง เพ่อื กดข่ปี ระชาชนซ่งึ เป็นคนนอกเช้อื สายของพวกตนไม่ใหก้ ลา้ คิดแขง็ ขอ้ ข้นึ มาชิงอานาจและลม้ ลา้ ง วรรณะของตน ซง่ึ วธิ กี ดขด่ี ว้ ยกาลงั ทหารกอ็ าจไมเ่ ขม้ แขง็ พอหรือไม่ยงั่ ยนื พอ เพราะประชาชนมจี านวนมหาศาล อย่า กระนนั้ เลย ใหพ้ วกเราใชว้ ธิ กี ดขใ่ี หป้ กครองงา่ ยกวา่ คือใชศ้ าสนาควบคุมจติ ใจประชาชนไว้ ซง่ึ กจ็ ะทาใหไ้ มก่ ลา้ แมแ้ ต่ จะคิด ซง่ึ กพ็ สิ ูจนแ์ ลว้ ว่าระบบทโ่ี งเ่ ขลาและไรจ้ ริยธรรมขนาดน้ียงั คงไดผ้ ลมานานนบั หลายพนั ปี และยงั คงอยู่อย่าง มนั่ คงจวบจนปจั จบุ นั ในบรรดาศาสนาหลกั ของโลก พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวท่ปี ฏเิ สธเร่ืองพระเจา้ สร้างโลก ว่าไม่ เป็นจรงิ เป็นเร่อื งเขา้ ใจผดิ ของบางลทั ธิ แต่พระพทุ ธศาสนาใหท้ รรศนะว่า ความมอี ยู่ของเทพเจา้ หรือเทวดา ว่ามอี ยู่ ในฐานะเป็นสตั วช์ นิดหน่ึงท่ยี งั ตอ้ งเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสงั สารวฎั มภี พภูมทิ อ่ี ยู่เรยี กว่า ‘ฉกามาพจรสวรรค’์ ซ่งึ แตกต่างจากมนุษย์ ถา้ จะมองประเภทของศาสนาในโลกน้ี ก็สามารถจดั หมวดหม่ขู องคาสอนทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั เทวดา หรือเทพไวส้ องประการ คือกลุม่ เทวนิยมและกลุ่มอเทวนิยม คือ เคารพนบั ถอื พระเจา้ หรือเทวดาเป็นส่งิ สูงสุด กบั เคารพนบั ถอื ในเทพหรอื เทวดาในฐานะผูม้ คี วามดี มธี รรมอีกระดบั หน่ึง พทุ ธศาสนาจดั อยู่ในประเภทอเทวนิยม คือ พระเจา้ ไมใ่ ช่สง่ิ สูงสุด เทวดาหรอื เทพเป็นเพยี งสง่ิ มชี วี ติ ในสงั สารวฎั ในภพภมู ขิ องตน ความเช่อื ในวิญญาณและเทพเจา้ เป็นความเช่ือดงั้ เดิมของชนพ้นื เมอื งเดิม คือพวกมลิ กั ขะเดมิ พวกน้ีจะ เช่อื ในสภาพดนิ ฟ้า อากาศ ภูเขา ตน้ ไม้ เมอ่ื สภาพธรรมชาตเิ กดิ การเปลย่ี นแปลง เช่น เกดิ ฟ้ารอ้ ง ฟ้าผ่า พายุใหญ่ ชนพ้นื เมอื งจะเขา้ ใจว่าเป็นการกระทาของวิญญาณอนั ศกั ด์สิ ิทธ์ิ ซง่ึ พวกมลิ กั ขะไดย้ กใหเ้ป็นเทพเจา้ ซ่งึ พวกอารยนั ทม่ี าภายหลงั กย็ อมรบั นบั ถอื ตามไปดว้ ย และไดต้ ง้ั หลกั การเก่ยี วกบั เทพเจา้ หรอื เทวดา ส่วนกลุ่มศาสนาประเภทเทวนิยม คือคาสอนทางศาสนาหรือปรชั ญาซ่งึ ยอมรบั ความคิดเก่ยี วกบั เทวดาว่ามี อทิ ธพิ ลต่อมนุษย์ ซง่ึ ตรงกนั ขา้ มกบั อเทวนิยม คาสอนซง่ึ ถอื ว่าทกุ สง่ิ มตี น้ กาเนิดจากพระเจา้ องคเ์ ดยี ว ซง่ึ ตรงขา้ มกบั พหุเทวนิยมคาสอนซง่ึ ถอื ว่าพระเจา้ องคเ์ ดยี วซง่ึ เป็นสง่ิ ลกึ ลบั เหนือโลกยี ท์ งั้ มวล ในสจั จะต่างๆ ในขณะเดยี วกนั ก็เป็น ตวั กระตนุ้ ในการกระทาทกุ อย่างซง่ึ แยง้ กบั นานาเทวดาหรอื พหเุ ทวดา ๘๑ ดีเอน็ เอ (DNA) คอื ช่อื ย่อของสารพนั ธุกรรม มชี ่อื แบบเต็มวา่ กรดดอี อกซไี รโบนิวคลอี กิ (Deoxyribonucleic Acid) ซ่งึ เป็นจาพวก กรดนวิ คลอี กิ (Nucleic acid) (กรดทส่ี ามารถพบไดใ้ นส่วนของใจกลางของเซลล)์ ซง่ึ ดเี อน็ เอ (DNA) มกั พบอยูใ่ นสว่ นของนวิ เคลยี สของเซลล์ โดยพนั ตวั อยู่บนโครโมโซม(Chromosome) ดเี อน็ เอ (DNA)มกั พบในเซลลข์ องสง่ิ มชี วี ติ ทกุ ชนดิ ไดแ้ ก่ คน (Human), สตั ว์ (Animal), พชื (Plant), เหด็ และรา (Fungi), แบคทเี รีย (Bacteria), ไวรสั (Virus) (มคี นบางกลมุ่ มคี วามเหน็ วา่ ไวรสั ไมใ่ ช่สง่ิ มชี วี ติ เพราะมอี งคป์ ระกอบบางอยา่ งไมค่ รบ) เป็นตน้ .....

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๖๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง พระพทุ ธศาสนาถอื คาสงั่ สอนของพระพทุ ธองค์ ซง่ึ เป็นระบบปฏบิ ตั ิอนั ประเสริฐท่จี ะนาไปสู่ความดบั ทุกข์ ของมนุษย์ พระพทุ ธศาสนาถอื วา่ เทวดาเป็นขบวนการหน่ึงของสงั สารวฏั แต่เป็นสุคติภพ เป็นสตั วท์ อ่ี ยู่ในภพท่ดี ีอายุ ยืนยาว และมอี านุภาพมากกว่ามนุษยธ์ รรมดา แต่ดอ้ ยกว่าอริยชน พระพุทธศาสนาจึงแบ่งออกเป็น ๓ คือ (๑) สมมตเิ ทวดา คือเทวดาโดยสมมตุ ิ ในโลกน้ี ไดแ้ ก่กษตั ริย์ หรอื ผูน้ าบางประเภท (๒) อปุ ปตั ติเทวดา คือเทวดาโดย กาเนิด (๓) วิสุทธิเทวดา คือ เป็นเทวดาโดยความบริสุทธ์ิ ไดแ้ ก่เทวดาท่ลี ะกิเลสไดบ้ างประเภท จนถงึ หมดจดจาก สรรพกเิ ลสทง้ั ปวง๘๒ วสิ ุทธเิ ทพน้ี หมายถงึ พระพทุ ธเจา้ พระอรหนั ต์ ท่าทตี ่อปญั หาเร่อื งเทวดา นบั ไดว้ ่าเป็นปญั หาท่มี นุษยถ์ กเถยี งกนั มาโดยตลอดตง้ั แต่ก่อนสมยั พทุ ธกาล ใน สมยั พุทธกาลจนถึงปัจจุบนั ก็มีการกล่าวถึงเร่ืองเทวดาเสมอมา ปรากฎในหลายสถานะ เช่น ในวรรณคดี ใน ศิลปกรรมต่างๆ ภาพจิตรกรรมฝาผนงั ในปูชนียสถานก็มีจะเร่ืองราวเทวดาปรากฏเป็นจานวนมาก ในคมั ภีร์ พระพุทธศาสนาคือพระไตรปิฎก ก็แสดงทรรศนะเร่ืองเทวดาทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั พระพทุ ธเจา้ ไวเ้ป็นจานวนมาก ดงั พทุ ธ พจนใ์ นสุตตนั ปิฎกความว่า “ภกิ ษุทงั้ หลาย ในหม่เู ทวดานนั้ แล เทวดานบั รอ้ ยนบั พนั ไดเ้ ขา้ มาหาเราเป็นจานวนมาก ไดเ้ขา้ มาหาเรา ครง้ั เขา้ มาแลว้ ไหวเ้รา ไดย้ นื อยู่ ณ ทค่ี วรส่วนขา้ งหน่ึง ครง้ั เทวดาเหล่านน้ั ยนื เรียบรอ้ ยแลว้ ไดก้ ล่าว กะเราว่า ขา้ แต่พระองคผ์ ูน้ ิรทุกข์ นบั แต่น้ีเป็นตน้ ไป ๙๑ กปั พระผูม้ พี ระภาคเจา้ อรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ พระนาม ว่าวปิ สั สี เป็นกษตั รยิ โ์ ดยชาติ เสดจ็ อุบตั ใิ นขตั ติยสกุล เป็นโกณฑญั ญะโดยโครต มพี ระชนมายุประมาณแปดหมน่ื ปี พระองคไ์ ดท้ รงตรสั รูท้ ่คี วงไดแ้ คฝอย”๘๓ ความเช่ือของพวกพราหมณ์ ไดแ้ ก่ความเช่ือในคมั ภีรไ์ ตรเพท มีความเช่ือว่าพระพรหมเป็นผูส้ รา้ งโลก จกั รวาล และสรรพสง่ิ ทง้ั ปวง ความเช่อื ของพราหมณ์อีกประการหน่ึงท่ลี ะเลยไมไ่ ด้ คือ ความเช่อื ในเร่อื งการลา้ งบาป มคี วามเช่ือว่า บาปของมนุษยน์ นั้ ชาระลา้ งไดด้ ว้ ยแม่นา้ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ ไดแ้ ก่ แมน่ า้ คงคา ถา้ ใครไดอ้ าบ หรือไดก้ ินนา้ ใน แมน่ า้ คงคาถอื ว่าไดบ้ ญุ มาก โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ทเ่ี มอื งพาราณาสี ซง่ึ เป็นเมอื งของพระศิวะ และทเ่ี มอื งคยา ถอื ว่าเป็น เมืองของพระวิษณุ ผูท้ ่ีไดอ้ าบ หรือด่ืมกินนา้ ในแม่นา้ คงคา โดยเฉพาะเมืองดงั กล่าวถือว่าไดบ้ ุญมาก ความชวั่ ทง้ั หมดจะถกู ลอยไปกบั สายนา้ กลายเป็นผูบ้ รสิ ุทธ์ิทง้ั ทางกายและทางใจ ความเช่ือทางศาสนาสมยั กอ่ นพระพทุ ธเจา้ ชาวชมพทู วีปหรือชาวอนิ เดียสมยั โบราณส่วนใหญ่มคี วามเป็นอยู่แรน้ แคน้ แมใ้ นถน่ิ ท่อี ุดมสมบูรณ์ผูค้ นก็ เอารดั เอาเปรียบเบยี ดเบยี นกนั ผูม้ อี านาจมากกว่าหรือมพี วกมากกว่า ก็รงั แกผูอ้ ่อนแอหรอื มพี วกนอ้ ย ชวี ติ ในชมพู ทวีปหาความสงบสุขไดย้ าก คนส่วนใหญ่หมดหวงั ในชีวติ จึงมผี ูแ้ สวงหาแนวทางปรบั ปรุงชีวิตใหด้ ีข้นึ ดว้ ยวิธีการ ต่างๆ ตามความเชอ่ื ของตน จงึ เกดิ ความเช่อื หรือลทั ธติ ่างๆ เกดิ นกั บวช นกั ปรชั ญา มากมายหลายสาขา พอสรุปได้ ดงั น้ี ๑. ความเช่ือในธรรมชาติ ตามหลกั ฐานทางพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธเจา้ ตรสั ว่าคนเป็นอนั มากยดึ ถอื ภเู ขา ตน้ ไมใ้ หญ่ จอมปลวกต่างๆ เป็นสรณะซง่ึ ไมใ่ ช่สรณะท่ถี กู ตอ้ ง ถงึ จะเคารพนบั ถอื เพยี งใด กไ็ มท่ าใหห้ ลดุ พน้ ทกุ ขไ์ ด้ ๘๒ ข.ุ จู. (ไทย) ๓๐/๖๕๔/๓๑๒. ๘๓ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๙๑/๔๔.

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี ก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๖๗ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ๒. ความเช่ือในวิญญาณนิยม หรือผีสางเทวดา ใครนบั ถือผหี รอื เทพองคใ์ ด ก็เซ่นไหวบ้ วงสรวงบูชาเทพ องคน์ น้ั ๓. ความเช่ือในพธิ ีกรรมของศาสนาพราหมณ์ ซ่งึ มาจากพระเวท คนวรรณะสูงเท่านน้ั ท่มี สี ิทธิเช่ือ และ ประกอบพธิ กี รรม เช่น การบูชายญั เพราะตอ้ งอาศยั พราหมณ์ประกอบพธิ ี และตอ้ งเสยี ค่าใชจ้ ่ายในการประกอบพธิ ี อยา่ งสูง เช่น ตอ้ งซ้อื สตั วจ์ านวนมากมาฆ่าบชู ายญั ๔. ความเช่ือในคาสอนแบบปรชั ญาของนักบวชประเภทต่างๆ นกั บวชท่มี ชี ่อื เสยี งในสมยั นน้ั ไดแ้ ก่ ครูทงั้ ๖ (ครู มาจาก ครุ หรอื กรุ ู ซง่ึ มคี วามหมายวา่ ศาสดา) ไดแ้ ก่ - ปูรณกสั สป เป็นนกั บวชพวกเปลอื ยกาย ถอื ลทั ธอิ กริ ยิ วาท คือถอื ว่า บญุ ไม่มี บาปไม่มี ผลบญุ ผลบาปไม่ มี สง่ิ ทง้ั หลายเกดิ ข้นึ เอง - มกั ขลิโคสาล เป็นนกั บวชเปลอื ยกาย เคยไปศึกษาลทั ธินิครนถ์ แลว้ แยกตวั ตงั้ ลทั ธิใหม่ถือลทั ธิอเหตุ กวาท ถอื ว่าสง่ิ ทง้ั หลายไมม่ เี หตใุ หเ้กดิ ข้นึ ลว้ นเกดิ ข้นึ เอง - นิครนถนาฏบุตร เป็นวรรณะกษตั ริย์ เดิมช่ือมหาวีระ วรรธมาน บวชในศาสนาเซน ซ่ึงมมี านานแลว้ แยกตวั ไปตงั้ ลทั ธใิ หม่ เปลอื ยกาย ถอนผมดว้ ยแปรงตาล ยกย่องอตั ตกลิ มถานุโยค คือการทรมานตนใหล้ าบากดว้ ย ประการต่างๆ - สญั ชยั เวลฏั ฐบุตร เป็นนกั บวชประเภทปรพิ าชก เคยเป็นอาจารยเ์ ก่าของพระสารีบุตรและพระโมคคลั ลา นะ ชอบโตเ้ถยี ง มวี าทะด้นิ ไดไ้ มต่ ายตวั - ปกุทธกจั จายนะ ถอื ลทั ธสิ สั ตวาท คอื เกดิ เป็นอะไรกเ็ ป็นอย่างนนั้ ไมม่ เี ปลย่ี นแปลง - อชิตเกสกมั พล นุ่งห่มผา้ ทาดว้ ยผมคน ถอื ลทั ธินตั ถิกวาท บญุ บาปไมม่ ี ร่างกายเป็นเพยี งธาตุ ตายแลว้ ขาดสูญนอกจากครูทงั้ ๖ น้ีแลว้ ยงั มนี กั บวชประเภทต่างๆ อกี เฉพาะทส่ี าคญั ๆ มดี งั น้ี - ฤษี อยู่ป่า บาเพญ็ ตบะ บาเพญ็ ทกุ รกิริยา ทายญั พิธี นงั่ สาธยายมนต์ ตามความถนดั ดารงชพี โดยอาศยั ผลไม้ เหงา้ มนั บางพวกภกิ ขาจาร มคี วามเหน็ และขอ้ ปฏบิ ตั แิ ตกต่างกนั เป็นหลายพวก - ปริพาชก เป็นครูพเนจร สอนปรชั ญา ชอบโตเ้ ถียงเหมอื นนกั ปรชั ญากรีก ชอบสนทนาตวั อย่างคือ สญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร - อาชีวก (แปลวา่ ผูเ้ล้ยี งชพี ชอบ) เป็นนกั บญุ เปลอื ยกาย ตวั อยา่ งคือ มกั ขลโิ คสาล - นิครนถ์ (แปลว่าผูป้ ราศจากเคร่ืองรอ้ ยรดั ) เป็นนกั บวชเปลือยกาย นกั โตต้ อบปรชั ญา ตวั อย่างคือ นิครนถนาฏบตุ ร - อเจลกะ เป็นนกั บวชเปลอื ยกาย ศิษยข์ องปูรณกสั สป มกั ขลโิ คสาล นิครนถนาฏบตุ ร - ชฎิล เป็นดาบสเกลา้ ผมเป็นมวย เป็นพวกวรรณะพราหมณ์ ตวั อย่างเช่น อุรุเวลกสั สป นทีกสั สป คยากสั สป อทิ ธพิ ลความเช่ือทางศาสนาสมยั กอ่ นพทุ ธกาล กล่าวโดยสงั เขปคือ ความเช่ือเร่ืองเทพเจา้ บนั ดาล ความเช่ือเร่ืองการลา้ งบาปในแม่น้าคงคา ความเช่ือ เร่อื งการบชู ายญั โดยมคี าอธบิ ายตามลาดบั ดงั น้ี

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๖๘ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง ๑. ความเช่ือเรอ่ื งเทพเจา้ บนั ดาล ชาวอนิ เดยี สมยั พทุ ธกาลนบั ถอื เทพเจา้ หลายองคท์ ส่ี าคญั มี ๓ องคค์ อื (๑) พระพรหม เป็นเทพเจา้ ดง้ั เดมิ ของพราหมณ์ พวกพราหมณ์ถอื ว่าตนมาจากปากของพระพรหม กษตั ริย์ จากแขน แพศยห์ รือไวศยะจากขาหรือตะโพก ส่วนศูทรจากเทา้ ของพระพรหมตามความเช่อื ของชาวอนิ เดยี สมยั นนั้ พระพรหมเป็นผูส้ รา้ งสากลจกั รวาล รวมทงั้ มนุษย์ สตั วแ์ ละพชื พนั ธุธ์ ญั ญาหารต่างๆ ทานองเดียวกบั ท่ชี าวคริสตเ์ ช่อื เร่อื งพระเจา้ (God) ของเขา พระพรหมไมเ่ พยี งแต่สรา้ งมนุษยเ์ ท่านนั้ แต่ยงั กาหนดชะตาชีวติ ของมนุษยด์ ว้ ย ใครจะ ไดส้ ุขไดท้ ุกข์ ไดด้ ีไดช้ วั่ อย่างไร วาสนา ชะตาชีวิตจะสูงตา่ อย่างไรก็สุดแลว้ แต่พระพรหมจะบนั ดาล เรียกว่า พรหมลขิ ติ พวกพราหมณ์ไดเ้ ขยี นเร่ืองทานองสนบั สนุนพรหมลขิ ติ การตดั สินของพระพรหมว่าถูกตอ้ งยุติธรรมไว้ หลายเร่อื ง เช่น เร่อื งสองตายายเป็นคนจน อยู่กระตอ๊ บหลงั เลก็ ๆ มคี วายพกิ ารอยู่ตวั หน่ึง ยายแก่ด่าพระพรหมอยู่ ตลอดเวลา ด่าเชา้ ด่าเยน็ ส่วนตายอมรบั สภาพชีวติ ของตนโดยไมป่ ริปากบน่ และเช่อื ว่าพระพรหมท่านทาถูกยุตธิ รรม แลว้ วนั หน่ึง พระพรหมท่านเดอื ดรอ้ นดว้ ยคาด่าของยาย จงึ ลงมาหายายแลว้ พายายไปยงั ภพของท่าน ท่ที ่านอยู่นนั้ มี สายใยชวี ติ มนุษยแ์ ละสตั วท์ งั้ หลายมากมาย บอกยายว่า คราวน้ีขอใหย้ ายเลอื กเสน้ ชวี ติ เอาเอง จบั ตน้ เสน้ แลว้ ใหล้ ง ไปสูโ่ ลกมนุษย์ ปลายเสน้ ไปจดทใ่ี ดจะเป็นคฤหาสน์ หรือปราสาทราชวงั ก็ใหย้ ายอยู่ทน่ี นั่ ไดเ้ลย ยายดใี จเลอื กจบั เสน้ ทเ่ี ห็นว่าดีท่สี ุด สวยงามท่สี ุดแลว้ หลบั ตาลงมาตามเสน้ นน้ั พอรูส้ กึ ว่าถงึ โลกมนุษยก์ ล็ มื ตาข้นึ ปรากฏว่าลงมาอยู่ท่ี กระตอ๊ บหลงั เดมิ เหลยี วไปดูขา้ งๆเห็นตาคนเดมิ นอนอยู่ มองไปนอกหนา้ ต่างเหน็ ควายพกิ ารตวั เดิมนนั่ เอง ยายจึง ปลงได้ และยายเช่อื ว่าพระพรหมมคี วามยุติธรรม (๒) พระศิวะ พวกอนิ เดยี เหนือไดม้ คี วามเช่อื เร่อื งเทพเจา้ อกี องคห์ น่ึง คือ พระศิวะ หรอื บางทกี ็เรยี กว่า พระ อิศวร สีพระกายขาว (เพราะชาวอินเดียเหนือแถบภูเขาหมิ าลยั ส่วนมากผวิ ขาว) แต่ดุดนั ใชอ้ านาจแบบเดียวกบั พวก อริยกะหรอื อารยนั มมี เหสี คือพระอุมา ซง่ึ มคี วามงามมาก ทง้ั สองพระองคป์ ระทบั ณ ยอดเขา้ หมิ าลยั เจา้ แมก่ าลที ่ดี ุ รา้ ยกเ็ ป็นปางหน่ึงของพระอมุ า (๓) พระวษิ ณุ ชาวอนิ เดยี ใตม้ คี วามเชอ่ื เร่อื งเทพเจา้ อกี องคห์ น่ึง คือ พระวษิ ณุ หรอื พระนารายณ์ สพี ระกาย นิลหรือดา (เพราะชาวอินเดียใตส้ ่วนมากผิวดา) ประทบั ณ เกษียรสมทุ ร (ทะเลนม) บนหลงั อนนั ตนาคราช (ชาว อินเดียใตอ้ ยู่ติดทะเล หากินและคุน้ เคยทางทะเล) พระนารายณ์หรือพระวษิ ณุมลี กั ษณะสุภาพอ่อนโยน เมตตาปรานี (ทานองเดยี วกบั ชาวอนิ เดยี ใต้ ชอบเป็นนกั รูม้ ากกว่าเป็นนกั รบ และเป็นเจา้ ของถน่ิ เดมิ ชาวอินเดยี ) ๒. ความเช่ือเร่อื งการลา้ งบาปในแม่น้าศกั ด์ิสทิ ธ์ิ พวกพราหมณน์ ิยมเช่ือถอื เร่ืองการอาบนา้ ลา้ งบาป โดยเช่อื ว่าแม่นา้ คงคาโดยเฉพาะท่ที ่าเมอื งพาราณสีนนั้ ศกั ด์สิ ทิ ธ์มิ าก สามารถลา้ งบาปได้ พวกพราหมณ์ จงึ พากนั ลงอาบนา้ ลา้ งบาปอย่างนอ้ ยวนั ละ ๒ ครงั้ คือ เชา้ และเยน็ ถอื ว่าบาปทท่ี าตอนกลางวนั ลา้ งดว้ ยการลงอาบนา้ ในตอนเยน็ ส่วนบาปทท่ี าตอนกลางคืนก็ลา้ งไดด้ ว้ ยการลงอาบนา้ ในตอนเชา้ ท่ีเช่ือกนั ว่ากระแสนา้ ในแม่นา้ คงคาศกั ด์ิสิทธ์ินน้ั เพราะเช่ือว่าไดไ้ หลผ่านเศียรของพระศิวะลงมา ท่านา้ แห่งแมน่ า้ คงคาทเ่ี มอื งพาราณสี จงึ เป็นบณุ ยสถานของชาวอนิ เดยี ทงั้ ปวงในสมยั นน้ั แมใ้ นปจั จบุ นั น้ีกย็ งั เช่อื ถอื กนั อยู่ และยงั เช่อื ต่อไปอกี วา่ ใครกต็ ามทต่ี ายและไดเ้ผาทท่ี ่านา้ เมอื งพาราณสแี ลว้ กวาดกระดูกลงแม่นา้ คงคากเ็ ป็นอนั เช่อื ได้ ว่าตอ้ งไปสวรรคแ์ น่นอน พวกเศรษฐนี ิยมมาปลูกบา้ นท้งิ ไวท้ ร่ี มิ ฝงั่ แมน่ า้ คงคา เมอ่ื ป่วยหนกั คิดว่าจะไมร่ อดแลว้ พวก ญาติก็จะนามาท่ีบา้ นริมแม่นา้ พอตายก็จะไดส้ ะดวกในการเผาท่ีริมแม่นา้ และกวาดกระดูกลงแม่นา้ ไป เม่ือ

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี กอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๖๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง พระพทุ ธเจา้ ตรสั รูแ้ ลว้ พระองคเ์ คยทรงสนทนากบั พวกพราหมณ์ผูไ้ ปอาบนา้ ในแม่นา้ คงคาเพอ่ื ลา้ งบาปเป็นใจความ ว่า ถา้ ตอ้ งการลา้ งบาปไม่จาเป็นตอ้ งไปอาบนา้ ในแม่นา้ คงคา ขอใหช้ าระกาย วาจา ใจใหบ้ ริสุทธ์ิ คือ เวน้ ทุจริตทาง กาย วาจา ใจ และประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ นนั่ แหละคือการอาบนา้ ลา้ งบาปมใี นศาสนาของพระองค์ ถา้ ประพฤติอยู่ในสุจริตแลว้ แมน้ า้ ด่ืม นา้ อาบ ธรรมดาก็จะกลายเป็นนา้ ศกั ด์ิสิทธ์ิไปดว้ ย อน่ึง ถา้ นา้ ในแม่นา้ คงคา สามารถลา้ งบาปไดจ้ ริงและอานวยผลใหผ้ ูล้ งไปอาบไปสวรรคไ์ ดจ้ ริงแลว้ พวก กงุ้ หอย ปู ปลา ก็มโี อกาสไปสวรรค์ ไดม้ ากกวา่ มนุษยเ์ พราะอาศยั อยู่ในแมน่ า้ นน้ั ตลอดเวลา ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู เป็นอีกศาสนาหน่ึงท่มี คี วามเช่อื เร่อื งการลา้ งบาปมาอย่างยาวนาน ในฐานะท่เี ป็น ศาสนาทเ่ี ก่าแก่มากทส่ี ุดในโลกศาสนาหน่ึง มอี ายุกว่า ๔,๐๐๐ ปี ศาสนาน้ีมวี วิ ฒั นาการอนั ยาวนานผ่านขน้ั ตอนทาง ประวตั ศิ าสตรม์ าหลายขน้ั ตอน ตงั้ แต่โบราณกาลจนถงึ ปจั จบุ นั ศาสนาพราหมณเ์ ป็นศาสนาประเภทพหเุ ทวนิยมนบั ถอื พระเจา้ หลายองค์ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ดง้ั เดิมเป็น เอกเทวนิยม คือนบั ถอื พระพรหมองคเ์ ดยี วเท่านน้ั ต่อมามวี วิ ฒั นาการกลายเป็นศาสนาประเภทพหุเทวนิยม นบั ถอื เทพเจา้ มากมาย แต่เทพผูเ้ ป็ นใหญ่มี ๓ องคค์ ือ พระพรหม ผูส้ รา้ งโลก พระศิวะ ผูท้ าลาย พระวิษณุ ผูร้ กั ษาส่งิ ตา่ งๆ ใหเ้ ป็นปกติ เทพทงั้ ๓ องคร์ วมกนั เรยี กวา่ ตรีมูรติ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นศาสนาเดียวกนั โดยศาสนาฮินดูพฒั นามาจากศาสนาพราหมณ์และเกิดในยุค พระเวท พวกอารยนั ซง่ึ เป็นพวกผวิ ขาวไดเ้ดนิ ทางมาจากตอนใตข้ องรสั เซยี เขา้ มาขบั ไล่พวกดราวเิ ดยี นซ่งึ เป็นพวกผวิ ดา และเป็นชนพ้นื เมอื งเดิมของพวกอินเดีย พวกดราวเิ ดยี นบางพวกหนีไปอยู่ ศรีลงั กาและไปเป็นชนพ้นื เมอื งเดิม ของประเทศศรีลงั กา บางพวกไดส้ ืบเช้ือสายผสมผสานเผ่าพนั ธุก์ บั พวกอารยนั กลายเป็นคนอินเดียในปจั จุบนั คน อารยนั นบั ถอื พระอาทติ ย์ ส่วนพวกชนพ้นื เมอื งเดมิ นบั ถอื ไฟ พวกอารยนั เหน็ ว่าความเช่อื ของตนเขา้ กนั ไดก้ บั พวกด ราวเิ ดยี น จงึ ไดเ้ผยแพร่ความเช่อื ของตนโดยช้ใี หเ้หน็ ว่าดวงไฟท่ยี ่งิ ใหญ่นน้ั คือดวงอาทติ ย์ จงึ ควรนบั ถอื พระอาทติ ย์ ซ่งึ เป็นทม่ี าของไฟทง้ั ปวงในโลกมนุษย์ ทาใหแ้ นวความคิดของชนพ้นื เมอื งเดิมกบั พวกอารยนั ผสมผสานเขา้ ดว้ ยกนั จนเกดิ เป็น ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมคี วามเช่อื ว่า บาปสามารถลา้ งไดเ้ ช่นเดียวกบั ศาสนาคริสต์ แต่มี พธิ กี รรมทางศาสนาทแ่ี ตกต่างกนั ซ่งึ ขนั้ ตอนพธิ กี รรมโดยละเอยี ดนน้ั ไมค่ ่อยมปี รากฏมากนกั ทราบเพยี งว่า ศาสนิก ของศาสนาพราหมณ์ในสมยั ก่อน ถือว่าการไดล้ งอาบนา้ ชาระกายในแม่นา้ คงคามหานที เป็นการชาระมลทิน ก่อใหเ้กดิ ความบรสิ ุทธ์ิ เพราะถอื ว่าแมน่ า้ คงคาเป็นแมน่ า้ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ทิ ไ่ี หลมาจากพระโอษฐข์ องพระพรหมหรือพระศิวะ ทส่ี ถติ อยู่บนเขาไกรลาส แมค้ นใกลต้ าย กจ็ ะถกู หามมายงั รมิ ฝงั่ แมน่ า้ คงคา เพอ่ื ลอยองั คารเมอ่ื ศพถกู เผาแลว้ ถอื ว่า เป็นการลา้ งบาปครงั้ สุดทา้ ย แมป้ จั จุบนั น้ีพิธีกรรมการลา้ งบาปในทานองท่ีกล่าวมาแลว้ ยงั คงปรากฏอยู่มากใน ประเทศอินเดีย เป็นพิธีกรรมทย่ี ่งิ ใหญ่ศกั ด์ิสทิ ธ์ิของชาวฮินดู มผี ูค้ น นบั แสนคนไปรวมกนั ยงั ฝงั่ แม่นา้ คงคา เพ่ือ ประกอบพธิ ลี า้ งบาปตามความเช่อื ของตน ทรรศนะเร่อื งการลา้ งบาปในศาสนาพทุ ธ พระพทุ ธศาสนา เป็นศาสนาทม่ี งุ่ สอนใหค้ นทกุ คนมคี วามประพฤตดิ งี ามทงั้ กาย วาจา และใจ ไมเ่ บยี ดเบยี น ตนเองและผูอ้ ่ืน ใหเ้ ช่ือเร่ืองกฎแห่งกรรม ทาดีย่อมไดด้ ี ทาชวั่ ย่อมไดช้ วั่ ตามคาสอนของพระสมั มาสมั พุทธเจา้ มี

บทท่ี ๑ “ภูมิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๗๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ เป้าหมายสูงสุดคือการกาจดั กเิ ลสอาสวะใหห้ มดส้นิ ไป โดยนยั น้ีถอื ว่าเป็นการลา้ งบาป ในตวั อยู่แลว้ แต่มไิ ดใ้ ชค้ าว่า ลา้ งบาปโดยตรงเท่านนั้ เพราะคาน้ีเป็นคาของศาสนาพราหมณท์ ม่ี อี ยู่มาก ในอินเดียก่อนท่พี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จะ บงั เกดิ ข้นึ ดงั นน้ั จงึ จาเป็นจะตอ้ งเรยี นรูท้ รรศนะเร่อื งการลา้ งบาปในพระพทุ ธศาสนา เพอ่ื จะไดเ้ขา้ ใจหลกั คาสอนของ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ ว่า มคี าสอนท่เี หมอื นหรือแตกต่างจากคาสอนในศาสนาอ่ืนอย่างไร และสามารถตอบคาถาม เร่ืองการลา้ งบาปในพระพทุ ธศาสนาแก่ผูท้ ่ีสงสยั ใหเ้ ขา้ ใจจนหายสงสยั ได้ นอกจากน้ีจะไดน้ าความรูท้ ่ไี ดน้ ้ีไปใชใ้ น ชวี ติ ประจาวนั ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ความหมายของคาว่าลา้ งบาปในพระพทุ ธศาสนา อนั ท่ีจริง คาว่า “ลา้ งบาป” ไม่ไดม้ ีกล่าวถึงโดยตรงในคาสอนของพระสมั มาสมั พุทธเจา้ เพราะเหตุท่ี พระองคม์ งุ่ เนน้ การกระทาตนใหบ้ รสิ ุทธ์ทิ ง้ั กาย วาจา ใจ เพอ่ื ความหลุดพน้ จากกเิ ลสอาสวะเป็นสาคญั อยู่แลว้ ซง่ึ จะ หมายถงึ การท่กี าจดั กิเลสอาสวะซง่ึ เป็นตวั ก่อบาปใหห้ มดไปจากใจ อนั เป็นนยั ของการลา้ งบาปกไ็ ด้ แต่มไิ ดห้ มายถึง การลา้ งบาปท่ีเกิดข้นึ จากการกระทาชวั่ มีวิบากเป็นผลแลว้ ซ่ึงในลกั ษณะน้ีไม่สามารถ ลา้ งบาปไดอ้ ย่างท่ีเขา้ ใจ โดยทวั่ ไป ส่วนคาว่า ลา้ งบาป หรือบางทใี ชค้ าว่า ลอยบาปนนั้ เป็นคาในศาสนาพราหมณ์ ซ่งึ เป็นศาสนาเก่าแก่ท่ชี าว อนิ เดียนบั ถอื กนั มากในสมยั นนั้ และมกั จะประกอบพธิ กี ารลา้ งบาปในแม่นา้ คงคาอยู่เสมอ เมอ่ื พระพุทธองคต์ รสั รู้ แลว้ ไดเ้ ผยแผ่ธรรมะไปทวั่ ประเทศอินเดีย วิธีการอย่างหน่ึงท่พี ระองคท์ รงสอนคนต่างศาสนาคือการใชล้ กั ษณะคา เดมิ ของศาสนานน้ั อย่างคาว่าลา้ งบาป ลอยบาปของศาสนาพราหมณ์ เป็นตน้ ทรงใชค้ าน้ีกบั พวกพราหมณ์ แต่ทรง บอกวธิ กี ารปฏบิ ตั ทิ แ่ี ตกต่างและดกี วา่ การทพ่ี ระพทุ ธองคท์ รงกระทาเช่นนนั้ ก็เพอ่ื ใหพ้ ราหมณ์เปิดใจยอมรบั ก่อน ซ่งึ เมอ่ื ไดร้ บั ฟงั ธรรมะจากพระองคแ์ ลว้ กจ็ ะเขา้ ไปอยู่ในใจไดง้ า่ ย จนในทส่ี ุดพราหมณก์ ห็ นั มานบั ถอื พระรตั นตรยั คาว่า “ลา้ งบาป” ประกอบดว้ ยคา ๒ คา คือ คาว่า “ลา้ ง” และคาว่า “บาป” หากแยกคาแลว้ จะไดค้ วามว่า ลา้ ง ๑) แปลว่า ทาใหห้ มดส้นิ ไป โดยใชส้ ง่ิ เช่นนา้ หรอื ไฟ เป็นตน้ และมกี รรมวธิ ตี ่างๆ เช่น กวาดลา้ ง ชะลา้ ง ชาระ ลา้ ง ลา้ งกลน่ิ ลา้ งคาว ลา้ งถู โดยปรยิ ายหมายถงึ ลกั ษณะท่คี ลา้ ยคลงึ เช่น ฆ่าลา้ งโคตร สงครามลา้ งชาติ ส่วนคาว่า บาป มคี าแปลและความหมายไดห้ ลายนยั คือ บาป ๒) แปลว่า กรรมท่ที าใหส้ ตั วถ์ ึงทุคติ กรรมอนั เป็นเหตุใหไ้ ป อบาย บาป คือ ความชวั่ ความผดิ ความมวั หมอง กรรมชวั่ กรรมไมด่ ี ซง่ึ เมอ่ื ทาแลว้ เป็นเหตุใหถ้ งึ ทุคติภมู ิ เป็น สง่ิ ตรงกนั ขา้ มกบั บญุ บาป มคี าอน่ื ทม่ี คี วามหมายทานองเดียวกนั เช่น อกศุ ลกรรม กรรมอนั ลามก ธรรมดา บาป แปลว่า ชวั่ เลว เม่อื กล่าวตามหลกั พระพทุ ธศาสนา อาจแบ่งความหมายไดเ้ ป็น ๓ ประการคือ ๑. โดยสภาพของจิต ไดแ้ ก่ ความเศรา้ หมองแห่งจิต ๒. โดยเหตุ ไดแ้ ก่ การทาความชวั่ ทุกอย่าง ๓. โดยผล ไดแ้ ก่ ความทกุ ข์ คาว่า บาป อาจจะเทียบเคียงกบั ส่ิงของท่ีเสีย ท่ีมีช่ือเรียกต่างๆ กนั ไป เช่น บา้ นเสียเราเรียกบา้ นชารุด อาหารเสียเราเรียกอาหารบูด ฯลฯ คาจาพวกท่วี ่า บูด ชารุด แตกหกั ผุพงั เน่า ขาด ข้นึ รา ฯลฯ ถา้ กล่าวโดยรวม

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๗๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง เรียกว่า เสยี หมายความว่า ส่งิ ทไ่ี ม่ดี ส่วนอาการเสียของจิตก็เหมอื นกนั เราเรียกแยกไดห้ ลายอย่าง เช่น จิตเศรา้ หมอง จติ เหลวไหล ใจรา้ ย ใจดา ใจขนุ่ มวั ฯลฯ แลว้ แต่จะบอกอาการทางไหน คาว่า เศรา้ หมอง เหลวไหล ตา่ ทราม รา้ ยกาจ เป็นคาบอกวา่ จติ เสยี ซง่ึ อาการเสยี ของจติ น้ี เราเรยี กสนั้ ๆ ว่า บาป จากคาแปลและคาความหมายของบาปท่กี ล่าวมาทงั้ หมดนน้ั สามารถสรุปความหมายท่เี ป็นสาระสาคญั ท่ี เหน็ ภาพไดช้ ดั เจนของบาป คือ อาการเสยี ของจติ อาการทจ่ี ติ มวั หมอง คือ การท่ใี จมคี ุณภาพตา่ ลง ไม่ว่าจะเสยี ในแง่ ไหนกเ็ รยี กว่าบาปทง้ั ส้นิ หากรวมความหมายของคาว่า ลา้ งบาป กจ็ ะหมายถงึ การกาจดั กเิ ลสอาสวะอนั เป็นเหตุแห่งการทาความชวั่ ใหห้ มดส้นิ ไป มผี ลทาใหค้ ุณภาพใจสูงข้นึ มกี าย วาจา ใจสะอาดบริสุทธ์ิ จนกระทงั่ หมดกเิ ลส ซ่งึ ความหมายท่กี ล่าว สรุปมาน้ี มคี วามหมายเทยี บเคียงกบั คาว่า ผูล้ า้ งบาป ดงั ทพ่ี ระพทุ ธองคท์ รงตรสั ไวใ้ นพระสุตตตั นตปิฎก องั คุตตร นิกาย ตกิ นิบาต ทตุ ยิ โสเจยยสูตร๘๔ วา่ ‚ภกิ ษุทงั้ หลาย โสไจยะ คือ ความสะอาด ๓ อย่าง บุคคลผูส้ ะอาดทางกาย (กายโสเจยฺย) สะอาดทางวาจา (วจีโสเจยฺย) สะอาดทางใจ (มโนโสเจยฺย) ไม่มอี าสวะ เป็นคนสะอาดพรอ้ มดว้ ย คุณธรรมของคนสะอาด บณั ฑติ ทง้ั หลายกลา่ วบคุ คลนน้ั ว่า ผูล้ า้ งบาปแลว้ ‛ จากพระสูตรน้ีสามารถสรุปไดว้ ่า ผูล้ า้ งบาป หมายถงึ ผูท้ ก่ี าจดั กเิ ลสใหห้ มดส้นิ มคี วามสะอาดบริสุทธ์ิ กาย วาจา และใจแลว้ ส่วนความหมายของการลา้ งบาปจากพระสูตรน้ีน่าจะหมายถงึ การกาจดั กิเลสอาสวะหมดส้นิ ไป จน กาย วาจา ใจ สะอาดบรสิ ุทธ์ิ ซง่ึ เป็นความหมายทต่ี รงกบั คาสรุปดงั ทก่ี ลา่ วมาแลว้ การกาเนิดบาปในพระพทุ ธศาสนา ทรรศนะการลา้ งบาปในแต่ละศาสนามีความเช่ือท่ตี ่างกนั ศาสนาท่นี บั ถือพระเจา้ อย่างศาสนาคริสตแ์ ละ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มกั จะเช่อื ว่า บาปเกดิ จากการทผ่ี ดิ คาสงั่ ของพระผูเ้ป็นเจา้ เช่น ศาสนาครสิ ตเ์ ช่อื ว่า บาปเกิด จากการท่อี าดมั กบั อีวาแอบกินแอปเป้ิลในสวนเอเดน ซ่งึ เป็นการผิดคาสงั่ พระเจา้ ทาใหม้ บี าปติดตวั มาถึงลูกหลาน และมนุษยท์ วั่ โลก โดยนยั น้ีศาสนาคริสตเ์ ช่อื ว่า บาปตกทอดทางสายเลอื ด ดงั นนั้ มนุษยท์ ่เี กิดใหม่จะตอ้ งรบั ศีลลา้ ง บาป หรอื คาสอนทว่ี ่า พระเจา้ ทรงไวซ้ ง่ึ สทิ ธ์ขิ าดทจ่ี ะยกเลกิ บาปใหใ้ ครๆ ได้ โดยการไถ่บาป ขอเพยี งอย่างเดียว คือ ใหผ้ ูน้ นั้ ภกั ดตี ่อพระผูเ้ป็นเจา้ เท่านน้ั ส่วนพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ผูท้ รงรูแ้ จง้ โลกทงั้ ปวง มคี วามรูใ้ นทุกส่งิ ทุกอย่างตามความเป็นจริง ทรงเห็น กลไกความเป็นไปของกฎธรรมชาติ เป็นผลทาใหพ้ ระองคท์ รงรูจ้ กั ธรรมชาติของกิเลส อนั เป็น ตน้ เหตุแห่งการเกิด บาปทงั้ หลายไดอ้ ย่างถูกตอ้ งตรงความเป็นจริง และสามารถกาจดั กิเลสเหล่านน้ั ออกไป โดยส้ินเชิงและเด็ดขาด พระองคท์ รงสรุปเร่อื งการกาเนิดบาปไวอ้ ย่างชดั เจน วา่ “ตนทาบาปกรรมเอง กเ็ ศรา้ หมองเอง ตนไมท่ าบาปกรรมเอง กบ็ รสิ ุทธ์เิ องความบรสิ ุทธ์ิ และไมบ่ รสิ ุทธ์ิ เป็น ของเฉพาะตนคนอ่นื จะทาคนอ่นื ใหบ้ รสิ ุทธ์ไิ มไ่ ด”้ ๘๕ ๘๔ องฺ.ตกิ .(ไทย) ๒๐/๑๒๑-๑๒๒/๓๖๖-๓๖๘. ๘๕ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๑๖๕/๘๔. เศรา้ หมองเอง หมายถงึ เสวยทกุ ขใ์ นอบาย คอื นรก กาเนิดสตั วด์ ริ จั ฉาน เปรต อสุรกาย อา้ งใน ข.ุ ธ.อ. (บาล)ี ๖/๒๓.

บทท่ี ๑ “ภูมิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๗๒ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง “ผูท้ าบาปเป็นปกติ ย่อมเศรา้ โศกในโลกน้ี ตายไปแลว้ ก็ยงั เศรา้ โศกในโลกหนา้ ช่อื ว่าเศรา้ โศกในโลกทง้ั สอง เขายอ่ มเศรา้ โศกเดอื ดรอ้ น เพราะเหน็ กรรมทเ่ี ศรา้ หมองของตน”๘๖ “หากท่ฝี ่ามอื ไม่มแี ผล บคุ คลก็ใชฝ้ ่ามอื นายาพษิ ไปได้ เพราะยาพษิ จะไม่ซมึ เขา้ ไปยงั ฝ่ามอื ท่ีไม่มแี ผล เหมอื นบาปไมม่ แี ก่ผูไ้ มท่ าบาป ฉะนน้ั ”๘๗ จากพระพุทธวจนะน้ี เป็นเคร่ืองยืนยนั การคน้ พบของพระองคว์ ่า บาปเป็นเร่ืองเฉพาะตวั ไม่ใช่ส่ิงท่ี ตดิ ต่อกนั ได้ ใครทาบาปคนนนั้ กไ็ ดร้ บั บาปเอง ใครไม่ทาบาปก็รอดตวั ไป หากพ่อทาบาปก็เป็นกรรมของพ่อ จะไม่ตก ไปถงึ ลูก เหมอื นพ่อกินขา้ วอ่มิ ลูกก็ไมไ่ ดอ้ ่มิ ดว้ ย ดงั นน้ั สรุปว่า ตามความเหน็ ของพระพทุ ธศาสนา บาปเกดิ ข้นึ ทต่ี วั ผูท้ าเอง คือ เกิดจากกิเลสในใจของผูท้ า ไม่เก่ียวกบั บุคคลอ่ืน ถา้ ใครทาชวั่ บาปก็จะกดั กร่อนใจผูน้ น้ั ใหใ้ จเศรา้ หมอง ขนุ่ มวั ทาใหเ้กดิ ทกุ ขท์ รมาน ขาดประสทิ ธภิ าพ ช่องทางใหเ้ กดิ บาปเกดิ ดงั ท่ที ราบแลว้ ว่า บาปเกดิ จากกิเลสภายในใจ คือ โลภะ โทสะ โมหะ บงั คบั จิตใจมนุษยใ์ หก้ ระทาความชวั่ ทงั้ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ เป็นผลใหเ้ กิดความเดือดรอ้ นแก่จิต ทาใหจ้ ิตอยู่ในสภาวะ เศรา้ หมองไม่ผ่องใส หนทางแห่งการทาบาป ทาความชวั่ ทาความไม่ดีน้ัน ตามหลกั พระพุทธศาสนา เรียกว่า อกุศลกรรมบถ มี ๑๐ ประการ แบง่ ออกเป็น ๓ ทาง คือ กายกรรม ๓ วจกี รรม ๔ และมโนกรรม ๓ ซง่ึ มรี ายละเอยี ดดงั น้ี ๑. กายกรรม ๓ หมายถงึ ความประพฤตไิ มด่ ที แ่ี สดงออกทางกาย ๓ ประการ ไดแ้ ก่ (๑) ปาณาตบิ าต ทาสตั วใ์ หต้ กลว่ ง คือ ฆ่าสตั ว์ (๒) อทนิ นาทาน ถอื เอาสง่ิ ของทเ่ี จา้ ของไมไ่ ดใ้ ห้ ดว้ ยอาการแห่งขโมย (๓) กาเมสุมจิ ฉาจาร ประพฤตผิ ดิ ในกาม ๒. วจกี รรม ๔ หมายถงึ ความประพฤตไิ มด่ ที แ่ี สดงออกทางวาจา ๔ ประการ ไดแ้ ก่ (๔) มสุ าวาท พดู เทจ็ (๕) ปิสุณาวาจา พดู ส่อเสยี ด (๖) ผรุสวาจา พดู คาหยาบพดู เพอ้ เจอ้ (๗) สมั ผปั ปลาปะ พดู เพอ้ เจอ้ ๓. มโนกรรม ๓ หมายถงึ ความประพฤตไิ มด่ ที เ่ี กดิ ข้นึ ในใจ ๓ ประการ ไดแ้ ก่ (๘) อภชิ ฌา โลภอยากไดข้ องเขา (๙) พยาบาท ปองรา้ ยเขา (๑๐) มจิ ฉาทฏิ ฐิ เหน็ ผดิ จากคลองธรรม สรุปว่า ทางท่จี ะทาชวั่ ทาบาปได้ มี ๓ ทาง เม่อื นกั ศึกษาทราบดงั น้ีแลว้ จะตอ้ งสารวมระวงั ควบคุมกาย วาจา ใจ ไม่ใหพ้ ลาดพลงั้ ไปกระทาบาปอย่างเดด็ ขาด โดยประพฤติตนตามหลกั กศุ ลกรรมบถ ๑๐ คือ ประพฤติตรง ขา้ มกบั อกุศลกรรมบถ ๑๐ หรือประพฤติตามหลกั สุจริต คือ กายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต อนั เป็นความ ๘๖ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๑๕/๒๘. ๘๗ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๑๒๔/๖๙.

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี ก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๗๓ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ประพฤตเิ พ่อื ความสะอาด ตามหลกั คาสอนของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ดงั ทก่ี ล่าวไวใ้ นองั คุตตรนิกาย ทสกนิบาต จุ นทสูตร๘๘ ว่าพระศาสดาประทบั อยู่ ณ สวนมะม่วงของนายจุนทกมั มารบุตร (บุตรนายช่างทอง) ไดก้ ล่าวถงึ ความ สะอาด และวธิ กี ารทาความสะอาดของพราหมณ์ ซง่ึ ต่างจากความสะอาดของพระอรยิ ะ มใี จความว่า พระผูม้ พี ระภาคจงึ ไดต้ รสั ถามวา่ ‚จนุ ทะ เธอชอบใจความสะอาดของใคร‛ นายจุนทกมั มารบตุ รกราบทูลว่า ‚ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ พวกพราหมณช์ าวปจั ฉาภมู ิ (ปจฺฉาภูมกา) ผูถ้ อื นา้ เตา้ (กมณฺฑกุลกา) สวมพวงมาลยั สาหร่าย (เสวาลมาลกา) บาเรอไฟ (อคฺคิปริจาริกา) ลงนา้ เป็นวตั ร (อุทโกโรหกา) บญั ญตั ิความสะอาดไว้ (โสเจยฺยานิ ปํฺญา เปนฺต)ิ ขา้ พระองคช์ อบใจความสะอาดของพราหมณเ์ หล่านน้ั ‛ ‚จนุ ทะ พวกพราหมณช์ าวปจั ฉาภูมิ ผูถ้ ือนา้ เตา้ สวมพวงมาลยั สาหร่าย บาเรอไฟ ลงนา้ เป็นวตั ร บญั ญตั ิ ความสะอาดไวอ้ ยา่ งไร‛ ‚ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ ขอประทานวโรกาส พวกพราหมณ์ชาวปจั ฉาภมู ิ ผูถ้ อื นา้ เตา้ สวมพวงมาลยั สาหร่าย บาเรอไฟ ลงนา้ เป็นวตั ร ย่อมชกั ชวนสาวกทง้ั หลายอย่างน้ีว่า ‘มาเถดิ บุรุษผูเ้จริญ ท่านควรลุกข้นึ จากท่นี อนแต่เชา้ จบั ตอ้ งแผ่นดิน ถา้ ไม่จบั ตอ้ งแผ่นดนิ ตอ้ งจบั ตอ้ งโคมยั สด ถา้ ไม่จบั ตอ้ งโคมยั สด ตอ้ งจบั ตอ้ งหญา้ เขยี วสด ถา้ ไม่ จบั ตอ้ งหญา้ เขยี วสด ตอ้ งบาเรอไฟ ถา้ ไม่บาเรอไฟตอ้ งประคองอญั ชลนี อบนอ้ มดวงอาทติ ย์ ถา้ ไม่ประคองอญั ชลี นอบนอ้ มดวงอาทติ ย์ ตอ้ งลงนา้ วนั ละ ๓ ครงั้ ’ ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ พวกพราหมณ์ชาวปจั ฉาภมู ิ ผูถ้ อื นา้ เตา้ สวมพวงมาลยั สาหร่ายบาเรอไฟ ลงนา้ เป็น วตั ร บญั ญตั คิ วามสะอาดไวอ้ ยา่ งน้ี ขา้ พระองคช์ อบใจความ สะอาดของพราหมณเ์ หลา่ นน้ั ‛ ‚จุนทะ พวกพราหมณช์ าวปจั ฉาภูมิ ผูถ้ ือนา้ เตา้ สวมพวงมาลยั สาหร่าย บาเรอไฟ ลงนา้ เป็นวตั ร บญั ญตั ิ ความสะอาดไวเ้ป็นอยา่ งหน่ึง สว่ นความสะอาดในอรยิ วนิ ยั เป็นอกี อยา่ งหน่ึง‛ ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ ความสะอาดในอรยิ วนิ ยั เป็นอย่างไร ฯลฯ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ‚จุนทะ ถา้ เช่นนนั้ เธอจงฟงั จงใสใ่ จใหด้ ี เราจกั กลา่ ว‛ จุนทะ ความไมส่ ะอาดทางกาย ๓ อย่าง ความไมส่ ะอาดทางวาจา ๔ อยา่ งความไม่สะอาดทางใจ ๓ อยา่ ง ความไม่สะอาดทางกาย ๓ อย่าง คอื บคุ คลบางคนในโลกน้ี ๑. เป็นผูฆ้ า่ สตั ว์ (ปาณาตปิ าโต) หยาบชา้ มมี อื เป้ือนเลอื ด ปกั ใจอยู่ในการฆ่าและการทุบตีไม่มคี วามเอ็นดู ในสตั วท์ ง้ั ปวง ๒. เป็นผูล้ กั ทรพั ย์ (ทนิ ฺนาทาย)ี คือ เป็นผูถ้ อื เอาทรพั ยอ์ นั เป็นอปุ กรณเ์ คร่อื งปล้มื ใจของผูอ้ ่นื ซ่งึ อยู่ในบา้ น หรอื อยูใ่ นป่าทเ่ี จา้ ของไมไ่ ดใ้ ห้ ดว้ ยจติ เป็นเหตขุ โมย ๓. เป็ นผูป้ ระพฤติผิดในกาม (กาเมสุ มิจฺฉาจารี) คือ เป็นผูป้ ระพฤติล่วงในสตรี ท่ีอยู่ในปกครองของ มารดา (มาตรุ กขฺ ติ า) ทอ่ี ยู่ในปกครองของบดิ า (ปิตรุ กขฺ ติ า) ทอ่ี ยู่ในปกครองของพ่ชี ายนอ้ งชาย (ภาตรุ กฺขติ า) ท่อี ยู่ใน ปกครองของพส่ี าวนอ้ งสาว (ภคินิรกขฺ ติ า) ทอ่ี ยู่ในปกครองของญาติ (ญาตริ กขฺ ติ า) ท่ปี ระพฤตธิ รรม (ธมมฺ ารกฺขติ า) มี ๘๘ องฺ.ทสก.(ไทย) ๒๔/๑๗๖/๓๑๙-๓๒๒.

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๗๔ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง สามี (สสามกิ า) มกี ฎหมายคุม้ ครอง (สปรทิ ณฺฑา) โดยทส่ี ุด แมแ้ ต่สตรีท่บี ุรุษสวมดว้ ยพวงมาลยั หมายไว้ (อนฺตมโส มาลาคุณปรกิ ขฺ ติ าปิ) ความไม่สะอาดทางวาจา ๔ อย่างคอื ๑. เป็ นผูพ้ ูดเท็จ (มสุ าวาท)ี คือ อยู่ในสภา อยู่ในบรษิ ทั อยู่ท่ามกลางหม่ญู าติ อยู่ท่ามกลางหมทู่ หาร หรือ อยูท่ า่ มกลางราชสานกั ถกู เขาอา้ งเป็นพยานซกั ถามว่า ‘ท่านรูส้ ง่ิ ใด จงกล่าวส่งิ นน้ั ’ บคุ คลนนั้ ไมร่ ูก้ ็กลา่ วว่า ‘รู’้ หรอื รู้ กก็ ลา่ วว่า ‘ไมร่ ู’้ ไมเ่ หน็ กก็ ลา่ ววา่ ‘เหน็ ’ หรอื เหน็ กก็ ลา่ วว่า ‘ไม่เหน็ ’กล่าวเทจ็ ทง้ั ท่รี ูเ้พราะตนเป็นเหตุบา้ ง เพราะบุคคล อ่นื เป็นเหตบุ า้ ง เพราะเหตคุ ือเหน็ แก่อามสิ เลก็ นอ้ ยบา้ ง ๒. เป็ นผูพ้ ูดสอ่ เสยี ด (ปิสุณวาท)ี คือ ฟงั ความฝ่ายน้ีแลว้ ไปบอกฝ่ายโนน้ เพ่อื ทาลายฝ่ายน้ีหรือฟงั ความ ฝ่ ายโนน้ แลว้ มาบอกฝ่ ายน้ีเพ่ือทาลายฝ่ ายโนน้ ยุยงคนท่ีสามคั คีกนั ส่งเสริมคนท่ีแตกแยกกนั ช่ืนชมยินดี เพลดิ เพลนิ ต่อผูท้ แ่ี ตกแยกกนั พดู แต่ถอ้ ยคาทก่ี ่อความแตกแยกกนั ๓. เป็ นผูพ้ ูดคาหยาบ (ผรุสวาท)ี คือ กล่าวแต่คาทห่ี ยาบคาย กลา้ แขง็ เผด็ รอ้ นหยาบคายรา้ ยกาจแก่ผูอ้ ่นื กระทบกระทงั่ ผูอ้ ่นื ใกลต้ ่อความโกรธ ไมเ่ ป็นไปเพอ่ื สมาธิ ๔. เป็นผูพ้ ดู เพอ้ เจอ้ (สมผฺ ปปฺ ลาปี) คอื พดู ไมถ่ กู เวลา พดู คาไมจ่ รงิ พดู ไม่อิงประโยชนพ์ ูดไม่องิ ธรรม พดู ไมอ่ งิ วนิ ยั พดู คาทไ่ี มม่ หี ลกั ฐาน ไมม่ ที อ่ี า้ งองิ ไมม่ ที ก่ี าหนด ไมป่ ระกอบดว้ ยประโยชน์ ความไม่สะอาดทางใจ ๓ อยา่ ง คอื บคุ คลบางคนในโลกน้ี ๑. เป็ นผูเ้ พ่งเลง็ อยากไดข้ องเขา (อภชิ ฺฌาลุ) คือ เพ่งเลง็ อยากไดท้ รพั ยอ์ นั เป็นอุปกรณเ์ คร่อื งปล้มื ใจของ ผูอ้ ่นื วา่ ‘ทาอยา่ งไร ทรพั ยอ์ นั เป็นอปุ กรณเ์ ครอ่ื งปล้มื ใจของผูอ้ น่ื จะพงึ เป็นของเรา’ ๒. เป็นผูม้ ีจติ พยาบาท (พยฺ าปนฺนจิตฺโต) คือ มจี ติ คิดรา้ ยว่า ‘ขอสตั วเ์ หลา่ น้ีจงถกู ฆ่า จงถูกทาลาย จงขาด สูญ จงพนิ าศไป หรอื อยา่ ไดม้ ’ี ๓. เป็ นมิจฉาทิฏฐิ (มจิ ฺฉาทิฏฺฐโิ ก) มคี วามเหน็ วปิ ริตว่า (วปิ ริตฺตทสฺสโน) ‘ทานท่ใี หแ้ ลว้ ไม่มผี ล ยญั ทบ่ี ูชา แลว้ ไม่มผี ล การเซ่นสรวงไม่มผี ล ผลวิบากแห่งกรรมท่ที าดีและชวั่ ก็ไม่มีโลกน้ีไม่มี โลกหนา้ ไม่มี มารดาไม่มคี ุณ บดิ าไมม่ คี ุณ โอปปาตกิ สตั ว์ ไมม่ สี มณพราหมณ์ผูป้ ระพฤตดิ ปี ฏบิ ตั ิชอบ ทาใหแ้ จง้ โลกน้ีและโลกหนา้ ดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เองแลว้ สอนผูอ้ ่นื ใหร้ ูแ้ จง้ กไ็ มม่ ใี นโลก’๘๙ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการน้ีแลท่ีบุคคลประกอบแลว้ เม่ือลุกข้ึนจากท่ีนอนแต่เชา้ ตรู่ แมจ้ ะจบั ตอ้ ง แผ่นดนิ ก็ตาม ไมจ่ บั ตอ้ งแผ่นดินกต็ าม กเ็ ป็นผูส้ ะอาดไมไ่ ดเ้ ลย แมจ้ ะจบั ตอ้ งโคมยั สดก็ตาม ไมจ่ บั ตอ้ งโคมยั สดก็ ตาม กเ็ ป็นผูส้ ะอาดไมไ่ ด้ แมจ้ ะจบั ตอ้ งหญา้ เขยี วสดกต็ าม ไม่จบั ตอ้ งหญา้ เขยี วสดกต็ าม ก็เป็นผูส้ ะอาดไม่ได้ แมจ้ ะ บาเรอไฟกต็ าม ไมบ่ าเรอไฟกต็ าม กเ็ ป็นผูส้ ะอาดไมไ่ ด้ แมจ้ ะประคองอญั ชลี นอบนอ้ มดวงอาทติ ยก์ ็ตาม ไม่ประคอง อญั ชลนี อบนอ้ มดวงอาทติ ยก์ ็ตาม ก็เป็นผูส้ ะอาดไมไ่ ด้ แมจ้ ะลงนา้ วนั ละ ๓ ครงั้ ก็ตาม ไมล่ งนา้ วนั ละ ๓ ครง้ั กต็ าม กเ็ ป็นผูส้ ะอาดไม่ไดอ้ ยู่นนั่ เอง ขอ้ นนั้ เพราะเหตไุ ร เพราะอกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการน้ีเป็นธรรมไมส่ ะอาด และเป็น เหตกุ ่อใหเ้กดิ ความไมส่ ะอาด ๘๙ องฺ.ทสก.(ไทย) ๒๔/๑๗๖/๓๑๙-๓๒๒.

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี กอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๗๕ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง จนุ ทะ เพราะเหตทุ ป่ี ระกอบดว้ ยอกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการน้ี จงึ ปรากฏมที ง้ั นรก กาเนิดสตั วด์ ิรจั ฉาน ภมู ิ แหง่ เปรต หรอื ทคุ ตอิ ย่างใดอย่างหน่ึงแมอ้ ่นื ๙๐ ส่วน ความสะอาดก็มี ๓ กลุ่ม คือ ความสะอาดทางกาย ๓ อย่าง ความสะอาดทางวาจา ๔ อย่าง ความ สะอาดทางใจ ๓ ฯลฯ กลา่ วคอื ไมฆ่ ่าสตั วไ์ มล่ กั ทรพั ย์ ไมป่ ระพฤติผดิ ในกามทาความสะอาดทางวาจา คือการละจาก การพดู เทจ็ ละจากการพดู ส่อเสยี ด ละจากการพดู คาหยาบ ละจากการพดู เพอ้ เจอ้ ทาความสะอาดทางใจ คือ ไม่อยากไดข้ องคนอ่นื ไมม่ คี วามม่งุ รา้ ยคนอ่นื และมีความเหน็ ถูก จากพระสูตร น้ี นกั ศึกษาจะเหน็ ว่า สง่ิ ทค่ี วรจะทาใหส้ ะอาดบรสิ ุทธ์ิ มี ๓ ทาง คือ กาย วาจา และใจ และทางแห่งการทาความชวั่ ก็ มอี ยู่ ๓ ทางหลกั ๆ เช่นกนั พระพทุ ธศาสนาปฏเิ สธการลา้ งบาปอย่างศาสนาอน่ื ส่วนในประเด็นทว่ี ่า ในความเช่อื ของศาสนาทเ่ี ช่อื ว่า บาปสามารถสบื ทอดมาถึงมนุษยค์ นอ่นื ได้ มนุษยเ์ กิด มาจะตอ้ งทาพธิ ลี า้ งบาป หรอื ความเชอ่ื ทว่ี ่า ศาสดาเป็นผูเ้กดิ มาเพ่อื ไถ่บาปนน้ั ในประเด็นน้ีพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรง ไดอ้ ธบิ ายไวด้ งั น้ี สุทธฺ ิ อสุทธฺ ิ ปจฺจตตฺ : ความบรสิ ทุ ธ์ิ และไม่บรสิ ุทธ์ิ เป็นเรอ่ื งเฉพาะตวั นาญฺโญ อญญ วโิ สธเย : ใครจะไถบ่ าป ทาใหค้ นอน่ื บรสิ ุทธ์ิไม่ได้ พระพทุ ธวจนะน้ี ปฏเิ สธทรรศนะท่วี ่า บาปของคนหน่ึงจะตกทอดไปยงั อีกคนหน่ึงได้ และปฏเิ สธทรรศนะ ทว่ี ่า บาปทค่ี นหน่ึงทาแลว้ จะมผี ูห้ น่ึงผูใ้ ดมาไถ่ถอนใหไ้ ด้ ส่วนในทรรศนะเร่ืองการลา้ งบาปของศาสนาท่ีเช่ือเร่ืองลา้ งบาปดว้ ยการลงอาบนา้ ในแม่นา้ ศกั ด์ิสิทธ์ิ พระองคท์ รงปฏเิ สธความเช่อื ดงั กลา่ วเช่นกนั ดงั ทพ่ี ระองคต์ รสั ไวใ้ นมชั ฌิมนิกาย มลู ปณั ณาสก์ วตั ถูปมสูตร๙๑ มี ใจความว่า สมยั หน่ึง พระผูม้ พี ระภาคเจา้ ประทบั อยู่ ณ พระวหิ ารเชตวนั ใกลเ้มอื งสาวตั ถี สุนทรกิ ภารทวาชพราหมณ์ (ผูม้ คี วามเหน็ ว่า คนทอ่ี าบนา้ ในแมน่ า้ สุนทริกาย่อมละบาปได)้ นงั่ อยู่ใกลท้ ่ปี ระทบั ไดฟ้ งั พระดารสั ว่าดว้ ยเคร่อื งอาบ อนั เป็นภายใน จงึ ทูลถามพระผูม้ พี ระภาคเจา้ ว่า ‚ท่านพระโคดมเสดจ็ ไปยงั แมน่ า้ พาหุกาเพอ่ื สรงนา้ หรอื ‛ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ตอบวา่ ‚พราหมณ์ แมน่ า้ พาหกุ าจะมปี ระโยชนอ์ ะไร แมน่ า้ พาหกุ าจกั ทาอะไรได‛้ สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ กราบทูลว่า ‚ท่านพระโคดม คนจานวนมากถือกนั ว่า แม่นา้ พาหุกาใหค้ วาม บริสุทธ์ิได้ คนจานวนมากถือกนั ว่า แม่นา้ พาหุกา เป็นบุญสถาน อน่ึง คนจานวนมากลอยบาปกรรมท่ตี นทาแลว้ ใน แมน่ า้ พาหกุ า‛ ครงั้ นน้ั พระผูม้ พี ระภาคไดต้ รสั กบั สุนทรกิ ภารทวาชพราหมณด์ ว้ ยพระคาถา วา่ ๙๐ องฺ.ทสก.(ไทย) ๒๔/๑๗๖/๓๑๙-๓๒๒. ๙๑ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๗๙-๘๐/๖๘-๖๙.

บทท่ี ๑ “ภูมิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๗๖ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ‚คนพาลมกี รรมชวั่ แมจ้ ะไปยงั แม่นา้ พาหุกา ท่านา้ อธิกกั กะ ท่านา้ คยา แม่นา้ สุนทริกา แม่นา้ สรสั สดี ท่า นา้ ปยาคะ และแมน่ า้ พาหมุ ดี เป็นประจา กย็ งั บริสุทธไิ์ มไ่ ด้ แมน่ า้ สุนทริกา ท่านา้ ปยาคะ แม่นา้ พาหกุ า จกั ทาอะไรได้ จะพงึ ชาระคนผูม้ เี วร ผูท้ ากรรมหยาบชา้ ผูม้ กี รรมชวั่ นนั้ ใหบ้ ริสุทธไิ์ มไ่ ดเ้ ลย ผคั คณุ ฤกษ๙์ ๒ เป็นฤกษด์ ีทกุ เมอื่ สาหรบั ผูบ้ ริสุทธิ์ อุโบสถเป็นวนั ศกั ดิส์ ิทธิท์ ุกเมอื่ สาหรบั ผูบ้ ริสุทธิ์ วตั รปฏิบตั ิสมบูรณท์ ุกเมือ่ สาหรบั ผูบ้ ริสุทธิ์ มกี รรม สะอาด พราหมณ์ ท่านจงอาบนา้ ในศาสนาของเราน้ีเถดิ ท่านจงทาความปลอดภยั ในสตั วท์ งั้ ปวงเถดิ ถา้ ท่านไมพ่ ูด เทจ็ ไมเ่ บยี ดเบยี นสตั ว์ ไมถ่ อื เอาสงิ่ ของทเี่ จา้ ของไมไ่ ดใ้ ห้ มคี วามเชอื่ ไมต่ ระหนี่ ท่านจะไปยงั ท่านา้ คยาทาไม แมก้ าร ดืม่ นา้ จากท่านา้ คยาจกั มปี ระโยชนอ์ ะไรแก่ท่าน‛ เม่อื พระผูม้ พี ระภาคตรสั อย่างนน้ั แลว้ สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ไดก้ ราบทูลพระผูม้ พี ระภาคว่า ‚ขา้ แต่ ท่านพระโคดม พระภาษติ ของท่านพระโคดมชดั เจนไพเราะย่งิ นกั ขา้ แต่ท่านพระโคดม พระภาษติ ของท่านพระโคดม ชดั เจนไพเราะยง่ิ นกั ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมแจ่มแจง้ โดยประการต่างๆ เปรียบเหมอื นบคุ คลหงายของทคี่ วา่ เปิดของทปี่ ิด บอกทางแก่ผูห้ ลงทาง หรือตามประทีปในทีม่ ดื ดว้ ยตงั้ ใจว่า ‘คนมตี าดีจกั เหน็ รูปได’้ ขา้ พระองคน์ ้ีขอถงึ ท่านพระโคดม พรอ้ มทงั้ พระธรรม และพระสงฆเ์ ป็นสรณะ ขา้ พระองคพ์ งึ ไดบ้ รรพชาอปุ สมบทในสานกั ของท่านพระ โคดมเถดิ ‛ สุนทริกภารทวาชพราหมณ์ ไดบ้ รรพชาอุปสมบทในสานกั ของพระผูม้ ีพระภาคแลว้ ไม่นานก็จากไปอยู่ผู้ เดียว ไม่ประมาท มคี วามเพียร อุทิศกายและใจอยู่ ไม่นานนกั ก็ทาใหแ้ จง้ ซง่ึ ประโยชนย์ อดเย่ยี ม อนั เป็นท่สี ุดแห่ง พรหมจรรยท์ ่เี หลา่ กลุ บุตรออกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบตอ้ งการดว้ ยปญั ญาอนั ย่งิ เองเขา้ ถงึ อยู่ในปจั จุบนั รูช้ ดั ว่า ‚ชาตสิ ้นิ แลว้ อยู่จบพรหมจรรยแ์ ลว้ ทากจิ ทค่ี วรทาเสร็จแลว้ ไม่มกี จิ อ่นื เพ่อื ความเป็นอย่างน้ีอกี ต่อไป‛ ท่าน พระภารทวาชะไดเ้ป็นพระอรหนั ตอ์ งคห์ น่ึงในบรรดาพระอรหนั ตท์ งั้ หลายดงั น้ีแล จากพระสูตรน้ีสามารถสรุปสาระสาคญั ไดด้ งั น้ี ๑. การอาบนา้ ไมว่ ่าจะอาบทไ่ี หน อาบอย่างไร ใชน้ า้ อะไร ก็เป็นเพยี งการอาบนา้ เท่านน้ั เป็นกริ ยิ ากลางๆ ไม่ เป็นบญุ ไมเ่ ป็นบาป เพราะทาใหส้ ะอาดเพยี งแค่ร่างกายเท่านน้ั หาไดท้ าใหจ้ ติ ใจสะอาดข้นึ ไม่ ๒. หากนา้ ลา้ งบาปไดจ้ ริง สตั วน์ า้ ท่อี าศยั อยู่ในนา้ ตลอดชวี ติ เกดิ ในนา้ กินอยู่ เจริญเตบิ โตและตายในนา้ ก็เป็นผูบ้ ริสุทธ์ิสะอาดและไดไ้ ปสวรรคก์ นั หมด ทง้ั ท่คี วามจริงสตั วน์ า้ จานวนมากต่างกท็ าบาปดว้ ยการกินซง่ึ กนั และ กนั อยู่เสมอ ดงั คาพงั เพยทว่ี ่า ปลาใหญ่กินปลาเลก็ หากนา้ ลา้ งบาปได้ แหล่งอบายมขุ บางแห่งจะไม่กลายเป็นแหล่ง บญุ กศุ ลไปหรอื ๓. บาปกรรมอยู่ทจ่ี ิตใจซ่งึ เป็นนามธรรม ไม่อาจชาระดว้ ยนา้ ซ่งึ เป็นรูปธรรม มแี ต่ธรรมะท่เี ป็นนามธรรม ดว้ ยกนั จงึ จะสามารถชาระลา้ งจติ ใจได้ ยง่ิ อาบดว้ ยธรรมะ คือใหท้ าน รกั ษาศีล และเจริญภาวนามากเพยี งใด จิตใจก็ ยง่ิ สะอาดข้นึ เพยี งนน้ั ๔. ผูท้ ย่ี งั ทาบาปกรรมอยู่ ยงั เบยี ดเบยี นผูอ้ ่นื อยู่ แมจ้ ะอาบนา้ รดนา้ มนต์ ๙ วดั หรือทาพธิ สี ะเดาะเคราะห์ แลว้ กช็ ่อื วา่ เป็นคนไมส่ ะอาดอยูด่ ี กายของเขาไมส่ ะอาดเพราะยงั ประพฤตกิ ายทจุ รติ วาจาของเขาไมส่ ะอาด เพราะยงั ๙๒ ผคั คุณฤกษ์ หมายถงึ งานนกั ขตั ฤกษป์ ระจาเดอื น ๔ ทพ่ี ราหมณถ์ อื วา่ ผูท้ ช่ี าระหรอื อาบนา้ วนั ขา้ งข้นึ เดอื น ๔ ไดช้ อ่ื วา่ ชาระบาปทท่ี ามาแลว้ ตลอดปีได้ อา้ งใน ม.ม.ู อ.(บาล)ี ๑/๗๙/๑๙๑.

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี ก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๗๗ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ กลา่ ววจที จุ รติ ใจของเขาไมส่ ะอาด เพราะยงั มคี วามโลภ ความพยาบาท ความเหน็ ผดิ จากทานองคลองธรรมอยู่ตราบ ใด เม่อื เวน้ จากบาปทง้ั ปวง บาเพญ็ บุญเป็นประจา แมจ้ ะไม่ได้ อาบนา้ ไม่ไดร้ ดนา้ มนต์ ก็ช่ือว่าเป็นคนสะอาดอยู่ เสมอ จากเน้ือหาทก่ี ลา่ วมาแลว้ นนั้ นกั ศึกษาคงจะเขา้ ใจหลกั คาสอนของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในเร่ืองการลา้ งบาป ไดอ้ ย่างชดั เจนย่งิ ข้นึ ว่า พระพทุ ธองคม์ ไิ ดท้ รงใชค้ าว่า ลา้ งบาปโดยตรง หากแต่คาสอนของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ มี ความหมายในลกั ษณะของการลา้ งบาปอยู่แลว้ และจดุ หมายปลายทางของการลา้ งบาปโดยนยั ของพระพทุ ธศาสนาก็ เพอ่ื กาจดั กเิ ลสอาสวะใหห้ มดส้นิ ไปจากใจ การทาบญุ ละลายบาป ก่อนท่จี ะศึกษาเร่ืองการลา้ งบาปในหวั ขอ้ ต่อไป ในหวั ขอ้ น้ีอยากจะช้ีประเด็นสาคญั ในเร่ืองของการทาบุญ ละลายบาป ซ่งึ มกี ารกล่าวถงึ กนั มากในหนงั สอื หลายเล่ม ท่เี ก่ยี วกบั เร่อื งกฎแห่งกรรม เพราะโดยทวั่ ไปแลว้ จะเขา้ ใจ ว่า บาปทเ่ี กดิ จากการทาชวั่ มผี ลเป็นวบิ ากแลว้ นน้ั ไมส่ ามารถลา้ งได้ จงึ เช่อื ว่าบาปลา้ งไม่ได้ ซ่ึงเป็นสง่ิ ท่ถี ูกตอ้ ง เพราะ หมายถึงบาปในลกั ษณะท่เี ป็นผล แต่ในกรณีของวชิ ากฎแห่งกรรมนน้ั มไิ ดห้ มายถงึ บาปในลกั ษณะดงั กลา่ วนน้ั แต่ หมายถงึ การกาจดั กเิ ลสตวั ก่อใหเ้ กิดบาปอนั เป็นความหมายในลกั ษณะท่เี ป็นเหตุ ซ่งึ นกั ศึกษาจะไดม้ คี วามเขา้ ใจท่ี ตรงกนั อย่างท่ที ราบกนั ดีแลว้ ว่า แมพ้ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จะทรงสอนใหค้ นละชวั่ ทาดี ทาจิตใหผ้ ่องใส เพ่อื การ กาจดั กเิ ลสอาสวะใหห้ มดส้นิ ไป แต่ในการดาเนินชวี ติ จรงิ ของบคุ คลทวั่ ไปไมไ่ ดท้ าความดแี ต่เพยี งอย่างเดยี วไดต้ ลอด แต่มกั จะทาความดปี นความชวั่ สลบั กนั ไป ดงั นนั้ เวลากรรมส่งผล ก็จะส่งผลไม่ต่อเน่ือง จะส่งผลสลบั ปรบั เปลย่ี นกนั ระหว่างบญุ กบั บาป ตามการกระทาของแต่ละบุคคล บางครงั้ บางคนกาลงั เจริญกา้ วหนา้ ในชีวติ แต่บาปก็มาตดั รอน ใหช้ ีวิตพบอุปสรรคแบบทนั ด่วน ทาใหเ้ กิดคาถามท่กี ล่าวถงึ กนั มากนอกจากคาถามเร่ืองการลา้ งบาป ในกรณีท่ที า ความชวั่ มากกวา่ ความดี คอื นึกถงึ ความดไี ม่ค่อยออก จะมวี ธิ ีแกไ้ ขอย่างไร เพอ่ื ใหช้ วี ติ ดาเนินไปไดอ้ ย่างมคี วามสุข เพราะบาปทท่ี าไปแลว้ ไมส่ ามารถลา้ งได้ แมจ้ ะยงั ไมส่ ามารถทาความดีใหย้ ง่ิ ยวดทจ่ี ดั อยู่ในขน้ั ลา้ งบาปไดก้ ต็ าม โดยปรกตพิ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงสอนใหท้ าดีอย่างต่อเน่ือง จนความดเี ต็มเป่ียมสามารถกาจดั กเิ ลสตวั ก่อบาปใหห้ มดส้ินไปได้ จึงจะไดช้ ่ือว่าส้ินสุดกิจของการเกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะฉะนน้ั วิธีแกไ้ ข บาปอกุศลท่ีได้ กระทาไปแลว้ ตามหลกั พระพทุ ธศาสนา คือ ประการแรก ตอ้ งเหน็ โทษของบาปกรรมนนั้ แลว้ ยอมรบั ผดิ เสียก่อน และตง้ั ใจว่าจะไมท่ าผดิ อย่างนนั้ อกี วธิ กี ารแกไ้ ขต่อไป คือ ตอ้ งฝึกทาความดใี หม้ ากข้นึ เพอ่ื ใหค้ ุน้ กบั การทาความดี กระทงั่ มบี ุญมาก ทาใหผ้ ลแห่งกรรมชวั่ ตามส่งผลไม่ทนั ดงั ทผ่ี ูร้ ูใ้ นทางพระพทุ ธศาสนา ใชค้ าว่า การละลายบาป แม้ ยงั ลา้ งบาปตามนยั ของพระพทุ ธศาสนาดงั ทก่ี ลา่ วมาแลว้ ไดไ้ มห่ มด แต่สามารถละลายบาปใหเ้จือจางได้ เพราะหากไม่ ทาดีใหย้ ่งิ ข้นึ ไปแลว้ โอกาสท่บี าปจะส่งผลก็มมี าก เมอ่ื บาปส่งผลแลว้ จะใหท้ าความดีไดอ้ ย่างเต็มท่กี ็เป็นเร่ืองยาก วธิ กี ารละลายบาปน้ี มกี ลา่ วไวใ้ น องั คุตตรนิกาย ตกิ นิบาต โลณผลสูตร๙๓ ว่า ๙๓ องฺ.ตกิ .(ไทย) ๒๐/๑๐๑/๓๓๖-๓๔๑.

บทท่ี ๑ “ภูมิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๗๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ‚บคุ คลน้ีทากรรมทต่ี อ้ งเสวยผลไวอ้ ย่างใดๆ เขาตอ้ งเสวยผลของกรรมนนั้ อย่างนนั้ ๆ‛ เมอ่ื เป็นเช่นนน้ั การ อยู่ประพฤติพรหมจรรยย์ ่อมมีได้ โอกาสท่ีจะทาท่ีสุดแห่งทุกขโ์ ดยชอบย่อมปรากฏ บุคคลบางคนในโลกน้ีทา บาปกรรมแมเ้ พียงเล็กนอ้ ย บาปกรรมก็นาเขาไปสู่นรกได้ ส่วนบุคคลบางคนในโลกน้ีทาบาปกรรมเพียงเล็กนอ้ ย เช่นนนั้ แล บาปกรรมนน้ั ใหผ้ ลในปจั จุบนั เท่านนั้ ไม่ใหผ้ ลแมแ้ ต่นอ้ ยในอตั ภาพท่ี ๒(ชาตหิ นา้ ) ไม่จาเป็นตอ้ งพูดถึง ผลมากบคุ คลทท่ี าบาปกรรมแมเ้พยี งเลก็ นอ้ ย บาปกรรมนนั้ กน็ าเขาไปสู่นรกได้ คอื บคุ คลเช่นไร... ภกิ ษุทงั้ หลาย เปรยี บเหมอื นบรุ ุษใส่กอ้ นเกลอื ลงในขนั ใบนอ้ ย เธอทง้ั หลายเขา้ ใจเร่อื งนน้ั อย่างไร นา้ ในขนั เลก็ นอ้ ยนนั้ เคม็ ด่มื กนิ ไมไ่ ดเ้พราะกอ้ นเกลอื โนน้ ใช่หรอื ไม่ ‚อย่างนนั้ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ‚ขอ้ นน้ั เพราะเหตุไร‛ ‚เพราะในขนั นา้ มีนา้ นิดหน่อย นา้ นนั้ จึงเค็ม ด่ืมกินไม่ไดเ้ พราะกอ้ นเกลือโนน้ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ‚บุคคลใส่กอ้ นเกลอื ลงในแม่นา้ คงคา เธอทง้ั หลายเขา้ ใจเร่ืองนนั้ อย่างไร แม่นา้ คงคานนั้ เค็ม ด่มื กินไม่ได้ เพราะกอ้ นเกลอื โนน้ ใช่หรอื ไม่‛ ไมใ่ ช่อย่างนน้ั พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ‚ขอ้ นนั้ เพราะเหตไุ ร‛ ‚เพราะในแมน่ า้ คงคานนั้ มหี ว้ งนา้ ใหญ่ นา้ นน้ั จึงไม่เค็ม ด่มื กินไดเ้พราะกอ้ นเกลอื โนน้ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ‚ภกิ ษุทงั้ หลาย บคุ คลบางคนในโลกน้ีกฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั แล ทาบาปกรรมแมเ้พยี ง เล็กนอ้ ย บาปกรรมนนั้ ก็นาเขาไปสู่นรกได้ ส่วนบุคคลบางคนในโลกน้ีทาบาปกรรมเพียงเล็กนอ้ ยเช่นนัน้ แล บาปกรรมนน้ั ใหผ้ ลในปจั จุบนั เท่านนั้ ไมใ่ หผ้ ลแมแ้ ต่นอ้ ยในอตั ภาพท่ี ๒ ไมจ่ าเป็นตอ้ งพดู ถงึ ผลมาก‛ จากพระสูตรน้ี ทาใหท้ ราบวธิ ีการแกไ้ ขบาปท่เี กิดจากการทาชวั่ ทเ่ี รยี กว่า การละลายบาป ก็คือ การตงั้ ใจทา ความดีสงั่ สมบุญใหม้ ากเขา้ ไว้ ใหบ้ ุญกุศลนน้ั มาเจือจางบาปลงไป การทาบุญอุปมาเสมอื น เติมนา้ ทาบาปอุปมา เสมอื นเติมเกลอื เมอ่ื เราทาบาป บาปนน้ั กต็ ิดตวั เราไป ไมส่ ูญหายไปไหน ไม่มใี คร ไถ่แทนได้ ฉะนนั้ เราจะตอ้ งหมนั่ สรา้ งบญุ กศุ ลใหม้ าก เพอ่ื มาเจอื จางบาปใหห้ มดฤทธ์ลิ งไปใหไ้ ด้ อปุ มาเหมอื นเกลอื กบั นา้ ในแมน่ า้ แมเ้กลอื จะยงั มอี ยู่ ไมไ่ ดส้ ูญหายไปไหน แต่กไ็ มม่ ผี ล ถงึ แมว้ า่ จะเจอื จางบาปดว้ ยความดไี ด้ ถงึ อย่างนน้ั บางคนแมจ้ ะรูว้ ่าอะไรเป็นความ ดี แต่ไม่ยอมทาหรือทาไดเ้ พียงเล็กนอ้ ยเพราะไม่อาจฝืนอานาจกิเลสได้ การทาความดีใหม้ ากๆ เพ่ือไปละลาย บาปกรรมจึงเป็นสง่ิ ท่ที าไดย้ าก ดงั นน้ั วธิ ีแกไ้ ขท่ดี ที ่สี ุดคือ อย่าทาบาป หรอื พยายามทาบาปใหน้ อ้ ยท่สี ุด ดว้ ยการมี สตพิ จิ ารณาผลดผี ลเสยี ใหร้ อบคอบก่อนลงมอื กระทาสง่ิ ใดลงไปทกุ ครง้ั จติ ไม่มวั หมองเพราะกเิ ลสกม็ องเหน็ ประโยชน์ชดั “หว้ งนา้ ท่ขี ่นุ มวั ไมใ่ สสะอาด เป็นโคลนตม บคุ คลผูม้ ตี าดี ยนื อยู่บนฝงั่ มองไม่เหน็ หอยโขง่ และหอยกาบ บา้ ง กอ้ นกรวดและกระเบ้อื งถว้ ยบา้ ง ฝูงปลาทว่ี ่ายไปและหยุดอยู่บา้ ง ในหว้ งนา้ นน้ั ขอ้ นนั้ เพราะเหตุไร เพราะนา้ ข่นุ มวั แมฉ้ นั ใด ภกิ ษุรูปนน้ั กฉ็ นั นนั้ เหมอื นกนั เป็นไปไมไ่ ดเ้ลยทจ่ี กั รูป้ ระโยชนต์ น รูป้ ระโยชนผ์ ูอ้ ่นื รูป้ ระโยชนท์ ง้ั สอง หรือจกั ทาใหแ้ จง้ ซ่ึงญาณทสั สนะท่ีประเสริฐอนั สามารถ๒อนั วิเศษย่ิงกว่าธรรมของมนุษยด์ ว้ ยจิตท่ีขุ่นมวั ขอ้ นั้น เพราะเหตไุ ร เพราะจติ ขนุ่ มวั ” “หว้ งนา้ ท่ไี ม่ข่นุ มวั ใสสะอาด บคุ คลผูม้ ตี าดียืนอยู่บนฝงั่ พงึ มองเหน็ หอยโขง่ และหอยกาบบา้ ง กอ้ นกรวด และกระเบ้อื งถว้ ยบา้ ง ฝูงปลาทว่ี า่ ยไปและหยุดอยูบ่ า้ ง ในหว้ งนา้ นนั้ ขอ้ นน้ั เพราะเหตุไร เพราะนา้ ไม่ขนุ่ มวั แมฉ้ นั ใด

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๗๙ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ภกิ ษุรูปนน้ั กฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั เป็นไปไดท้ จ่ี กั รูป้ ระโยชนต์ น รูป้ ระโยชนผ์ ูอ้ ่นื รูป้ ระโยชนท์ ง้ั สอง หรอื จกั ทาใหแ้ จง้ ซ่งึ ญาณทสั สนะท่ปี ระเสรฐิ อนั สามารถอนั วเิ ศษย่งิ กว่าธรรมของมนุษยด์ ว้ ยจติ ท่ไี ม่ข่นุ มวั ขอ้ นนั้ เพราะเหตไุ ร เพราะจิต ไมข่ นุ่ มวั ๙๔ วธิ ีการลา้ งบาปดว้ ยการปฏบิ ตั ศิ ีล สมาธิ ปญั ญา เร่ืองการลา้ งบาปมาตามลาดบั แลว้ ในหวั ขอ้ น้ี นกั ศึกษาจะไดเ้ รียนรูว้ ธิ ีการ ลา้ งบาปตามหลกั คาสอนของ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทม่ี งุ่ หมายเพอ่ื การกาจดั กเิ ลสอาสวะ เพอ่ื ความบรสิ ุทธ์ิ กาย วาจา และใจ เป็นบคุ คลผูพ้ น้ ทกุ ข์ มชี วี ติ ทส่ี มบูรณ์ และมติ อ้ งกลบั มาเกดิ อีกต่อไป คาสอนในพระพทุ ธศาสนา ม่งุ เนน้ ใหผ้ ูป้ ระพฤติกระทาตนใหส้ ะอาด บรสิ ุทธ์ทิ ง้ั กาย วาจา ใจ ดว้ ยการกาจดั กิเลสอาสวะ ตามหลกั คาสอนในพระพทุ ธศาสนาท่มี กี ล่าวไวใ้ นพระไตรปิฎก เมอ่ื สรุปย่อคาสอนในพระไตรปิฎกทงั้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธแ์ ลว้ มหี ลกั ปฏบิ ตั ทิ เ่ี ป็นแมบ่ ทสาคญั คือ อริยมรรค มอี งค์ ๘ อนั ประกอบดว้ ย ๑. สมั มาทฏิ ฐิ ความเหน็ ถกู ในเบ้อื งตน้ หมายถงึ เหน็ ถกู ในเร่อื ง พ่อแมม่ พี ระคุณจริง ทาดไี ดด้ ี ทาชวั่ ไดช้ วั่ นรกสวรรคม์ ี โลกน้ีโลกหนา้ มจี ริง และความเหน็ ถกู เบ้อื งสูง คือเหน็ ทกุ ข์ เหตใุ หเ้กิดทุกข์ ความดบั ทุกข์ และวธิ กี าร ปฏบิ ตั เิ พอ่ื ความดบั ทกุ ข์ ๒. สมั มาสงั กปั ปะ ความดารถิ กู หมายถงึ มคี วามคดิ ออกจากกาม คิดไมผ่ ูกพยาบาท คิดไม่เบยี ดเบยี น คิด ไมท่ ารา้ ยใหใ้ ครเดอื ดรอ้ น ๓. สมั มาวาจา คอื วาจาถูก หมายถงึ ไมพ่ ูดปด ไมพ่ ูดส่อเสยี ด ใหเ้ขาแตกแยก ไม่พดู คาหยาบ ไม่พดู เพอ้ เจอ้ อวดอา้ งความดขี องตวั หรอื ทบั ถมผูอ้ ่นื ๔. สมั มากมั มนั ตะ การงานถูก หมายถึง ไม่ฆ่าสตั ว์ ไม่ลกั ทรพั ย์ และประพฤติพรหมจรรย์ เวน้ ขาดจาก การเสพเมถนุ ๕. สมั มาอาชีวะ การเล้ยี งชวี ติ ถกู หมายถงึ เลกิ การประกอบอาชพี เล้ยี งชีวติ ในทางทผ่ี ดิ แลว้ ประกอบอาชีพ ในทางทถ่ี กู ๖. สมั มาวายามะ ความเพยี รถูก หมายถึง เพียรป้องกนั บาปอกุศลท่ยี งั ไม่เกิดไม่ใหเ้ กิดข้นึ เพียรละบาป อกุศลท่เี กิดข้นึ แลว้ ใหห้ มดไป เพียรสรา้ งกุศลคุณความดีท่ยี งั ไม่เกิดใหเ้ กิดข้นึ และเพียรบารุงกุศลคุณความดีท่ี เกดิ ข้นึ แลว้ ใหเ้จรญิ งอกงามยง่ิ ข้นึ ๗. สมั มาสติ ความระลกึ ถูก หมายถึง ไม่ปล่อยใจใหฟ้ ุ้งซ่าน มสี ติรูต้ วั อยู่เสมอหมนั่ ตามเหน็ กายในกาย เวทนาในเวทนา จติ ในจติ ธรรมในธรรมอยู่เสมอ ๘. สมั มาสมาธิ ความตงั้ ใจมนั่ ถกู หมายถงึ มใี จตง้ั มนั่ หยุดน่ิงทศ่ี ูนยก์ ลางกาย ตามเหน็ กายในกาย เวทนา ในเวทนา จติ ในจิต ธรรมในธรรม จนบรรลุฌานขนั้ ต่างๆ ไปตามลาดบั จากสมาธิท่เี ป็นโลกยิ ะไปสู่สมาธิท่เี ป็นโลกุต ตระ อริยมรรคมอี งค์ ๘ เป็นคาสอนเป็นหลกั ปฏบิ ตั ิเพ่อื ความดบั ทุกขท์ งั้ ปวง หรือเป็นวิธีการปฏบิ ตั สิ าคญั เพ่อื การ ลา้ งบาป ซง่ึ ยงั สามารถสรุปย่อลงมาเป็นหลกั ปฏบิ ตั ิ ๓ ขอ้ ทเ่ี รยี กวา่ ไตรสกิ ขา คือ ศีล สมาธิ ปญั ญา ดงั น้ี ๙๔ องฺ.ตกิ .(ไทย) ๒๑/๔๕-๔๖/๘-๙.

บทท่ี ๑ “ภูมิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๘๐ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ - สมั มาวาจา สมั มากมั มนั ตะ และสมั มาอาชวี ะ จดั อยู่ใน ศีล - สมั มาวายามะ สมั มาสติ และสมั มาสมาธิ จดั อยูใ่ น สมาธิ - สมั มาทฏิ ฐิ และสมั มาสงั กปั ปะ จดั อยูใ่ น ปญั ญา หรอื อกี นยั หน่ึงทร่ี ูจ้ กั กนั ทวั่ ไปในหลกั คาสอนทางพระพทุ ธศาสนา คือละชวั่ ทาดี ทาใจใหผ้ ่องใส ไตรสกิ ขา น้ีถอื ว่า เป็นหวั ใจหลกั ของพระพทุ ธศาสนา เป็นสุดยอดการปฏิบตั ทิ ่พี ระพทุ ธองคท์ รงเนน้ ยา้ ใหพ้ ระภกิ ษุใคร่ครวญ ศึกษาอยู่ตลอดเวลา เพ่อื ความบรสิ ุทธ์หิ ลุดพน้ จากกิเลส อาสวะ และถอื ว่าเป็นขอ้ ปฏบิ ตั เิ พ่อื การลา้ งบาปดงั ท่กี ลา่ ว มาแลว้ เพราะผลสุดทา้ ยของการปฏบิ ตั ติ ามไตรสกิ ขา คือกาจดั กเิ ลสอาสวะอนั เป็นเหตเุ กดิ บาปไดห้ มดส้นิ สรุปว่าการอธิบายเร่ืองการลา้ งบาปท่ผี ่านมาทง้ั หมด เป็นเร่ืองท่คี ่อนขา้ งยาก อาจจะไม่สามารถอธิบายให้ สมบูรณท์ งั้ หมด เพราะเป็นประเดน็ ใหมท่ แ่ี ตกต่างจากแนวคิดอน่ื ๆ แต่กพ็ อเป็นแนวทางใหน้ กั ศึกษาไดท้ าความเขา้ ใจ เร่อื งการลา้ งบาปในพระพทุ ธศาสนา ถึงแมพ้ ระองคม์ ไิ ดใ้ ชค้ าโดยตรง แต่กส็ ามารถเทยี บเคียงไดต้ ามหลกั คาสอน ท่ี มงุ่ การกาจดั กิเลสอาสวะใหห้ มดส้ินไปจากใจ เป็นบุคคลผูบ้ ริสุทธ์ิหลุดพน้ จากกเิ ลสอาสวะแลว้ ดงั ท่กี ลา่ วมาแลว้ ใน หวั ขอ้ ของความหมายของการลา้ งบาป การทาความเขา้ ใจวธิ กี ารลา้ งบาปดว้ ยการปฏบิ ตั ิตามอริยมรรคมอี งค์ ๘ ทส่ี รุปลงเหลอื หลกั ในการปฏบิ ตั ทิ ่ี เรียกว่าไตรสกิ ขา คือ ศีล สมาธิ ปญั ญา เร่ิมตงั้ แต่มคี วามสะอาดกาย วาจา ท่ีส่งผลถึงใจ จนเกิดมคี วามสว่างทงั้ ภายนอกและภายใน แลว้ ผลจากความสะอาดกาย วาจา ทเ่ี กดิ จากการรกั ษาศีล และความสว่างทเ่ี กิดจากการทาสมาธิ น้ี จะกลายเป็นความสงบอย่างย่ิงดว้ ยปญั ญา ท่ีเกิดข้นึ ในตวั บุคคล จึงทาใหร้ ูเ้ ท่าทนั กิเลสตวั ก่อบาปอกุศล เม่อื มองเหน็ รูเ้ ท่าทนั ตลอดเวลา บาปก็ถูกกาจดั ขดั เกลาออกไปจากใจ จนใจเกล้ยี งเกลาปลอดจากอาสวะกเิ ลสทง้ั หลาย ซ่งึ ถือว่าเป็นการลา้ งบาป กาจดั บาปใหห้ มดไป ความบริสุทธ์ิก็จะเกิดอย่างถาวร ไม่กลบั มาทาบาปอีก ดงั เช่นพระ อรหนั ตท์ ง้ั หลาย เพราะฉะนนั้ เร่อื งกฎแห่งกรรม เป็นเร่อื งท่คี วรศึกษาจะตอ้ งทาความเขา้ ใจใหล้ กึ ซ้งึ เพราะมผี ลต่อ การดาเนินชวี ติ หากเผลอทาผดิ ทาชวั่ เขา้ ก็จะเป็นอนั ตรายไดร้ บั ความทุกขท์ รมานทงั้ ในปจั จบุ นั และในอนาคต ทางท่ี ดี หากไดท้ าผดิ พลาดไวม้ ากในอดีตก็ควรจะสงั่ สมความดีเพ่อื เป็นการละลายบาปใหเ้ จือจาง และทางท่ดี ีควรจะรีบ กาจดั บาป ลา้ งบาปใหห้ มดส้นิ ไป เพ่อื ความปลอดภยั ในการดาเนินชีวติ ในสงั สารวฏั และเพ่อื ความดบั ทุกข์ ม่งุ ไปสู่ เป้าหมายอนั สูงสุดของการเกดิ มาเป็นมนุษย์ คอื พระนิพพาน ๓. ความเช่ือเร่อื งการบูชายญั การบูชายญั (Sacrifice) และการเซ่นสรวงบูชา (Offerings) การบูชายญั โดยการฆ่าสตั วน์ ้ี พวกพราหมณ์ ถอื ว่าเป็นบญุ ยอดเยย่ี มและเป็นทถ่ี กู ใจเทพเจา้ เป็นอย่างยง่ิ ผูบ้ ูชาจะไดบ้ ญุ และพน้ จากบาปทง้ั หมด ซ่งึ เคยทามาแลว้ ตง้ั รอ้ ยชวั่ คน อน่ึง สทิ ธิในการบูชายญั ชนิดน้ีเป็นของพวกพราหมณ์โดยส่วนเดียว คนในวรรณะอ่นื ไม่มโี อกาสอยู่ใน พธิ ี การบูชายญั ชนิดน้ีเสยี ค่าใชจ้ ่ายมาก เพราะพราหมณ์เป็นอนั มากท่ไี ดร้ บั เชญิ มาในพธิ นี ้ีจะตอ้ งไดร้ บั ของไทยธรรม (ของทาบญุ ) จากผูเ้ป็นเจา้ ของงานโดยทวั่ ถงึ กนั ต่อไปเป็นรายละเอียดในพธิ ี ผูเ้ป็นประธานในพธิ ีจะประกาศกาหนดวนั ประกอบพธิ ที วั่ เขตนน้ั แลว้ เชญิ พราหมณท์ ง้ั หมดมาร่วมพธิ ี เป็น การจาเป็นท่ีจะตอ้ งเชิญพราหมณ์ผูแ้ ตกฉานในแต่ละประเภทแห่งพระเวททง้ั ๔ (ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๘๑ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ อถรรพเวท) มาร่วมดว้ ย ถา้ ขาดผูแ้ ทนแมเ้พียงประเภทเดียว ยญั นนั้ ก็ใชไ้ ม่ได้ ในพธิ ีกรรมน้ี คนวรรณะศูทรไม่ว่า ตาแหน่งจะสูงสกั เทา่ ไร พวกพราหมณท์ ไ่ี มส่ มประกอบคือเป็นโรคหรอื พกิ าร หรอื แมเ้ป็น พ่อหมา้ ยกเ็ ขา้ พธิ ไี มไ่ ด้ แกะท่ีจะใชใ้ นพิธีตอ้ งไดร้ บั การคดั เลือกอย่างละเอียดถ่ีถว้ นจะตอ้ งขาวปลอด (หรือดาปลอด) มีอายุ ประมาณ ๓ ปี และมลี กั ษณะสมบูรณไ์ ม่บกพร่อง ปโุ รหติ ผูห้ น่ึงจะประกาศว่า เป็นกาลอนั สมควรทพ่ี ธิ จี ะเร่ิมแลว้ พวกพราหมณป์ ระมาณกว่าสองพนั คนซ่งึ ไป ร่วมในพธิ ีนน้ั จะรีบเขา้ นงั่ ประจาท่ี เมอ่ื ก่อไฟติดแลว้ ก็ใชข้ อนไมท้ ่เี ป็นมงคลมาสุมไมใ่ หไ้ ฟดบั ทง้ั เอาหญา้ คาโปรยลง ไปดว้ ย ในบางครง้ั ขอนไมแ้ ละหญา้ เหลา่ นนั้ ช่มุ ดว้ ยนา้ มนั เนยทาใหไ้ ฟติดมเี ปลวพวยพ่งุ ข้นึ มา ขณะนนั้ ปุโรหติ จะร่าย มนตด์ ว้ ยเสยี งอนั ดงั พราหมณ์ผูไ้ ปร่วมพธิ ีจะกล่าวซา้ เป็นทานองลูกคู่รบั ในบางตอน ครนั้ แลว้ ก็นาแกะเขา้ ไปในท่ี ประชมุ เอานา้ มนั ทาใหท้ วั่ ตวั เอานา้ อาบให้ และเอาอกั ษตะ (ขา้ วเปลอื กทงั้ เมลด็ ลา้ งนา้ ใหส้ ะอาดใชเ้ป็นเคร่อื งบูชาใน พธิ ีกรรม) มาโรยตามตวั และท่เี ขา สวมแกะดว้ ยพวงมาลยั ดอกไม้ เอาเชือกทาดว้ ยหญา้ คามดั รอบตวั สตั ว์ ในช่วง เวลาดงั กลา่ วน้ี ปโุ รหติ ยงั คงร่ายมนตต์ ่อไป ต่อจากนน้ั มกี ารอุดรูจมกู และปากของสตั ว์ พราหมณห์ ลายคนจะช่วยกนั ตี ลงทา้ ยดว้ ยพราหมณค์ นหน่ึงเอาเข่าทง้ั สองของตนกดลงไปทค่ี อแกะ เพ่อื ใหห้ ายใจไมอ่ อกตาย ปุโรหติ พรอ้ ม ดว้ ย สานุศิษยจ์ ะเร่งเสยี งสวดมนตซ์ า้ ๆ ใหด้ งั ข้นึ ดว้ ยเสยี งอนั ดงั เพ่อื ช่วยใหแ้ กะตายไดเ้รว็ ข้นึ โดยไม่เจบ็ ปวดทรมานมาก นกั และจะถอื กนั ว่าเป็นเสนียดจญั ไรอย่างรา้ ยแรง ถา้ แกะรอ้ งออกมาไดแ้ มเ้พยี งเลก็ นอ้ ย เพราะจะเป็นเคร่อื งหมาย แห่งความค่อยๆ ดบั สูญไปของวงศส์ กลุ นนั้ เมอ่ื แกะตายแลว้ พราหมณผ์ ูเ้ป็นประธานในพธิ จี ะผ่าทอ้ งแกะเอาตบั ไตไสพ้ งุ พรอ้ มทงั้ เปลวมนั ออกย่างบน ไฟใหเ้ปลวมนั หยดลงไปเป็นเคร่ืองสงั เวย พรอ้ มทง้ั เอานา้ มนั เนยเทลงไปในไฟเป็นครง้ั คราว ต่อจากนนั้ ก็ถลกหนงั แกะ ตดั เน้ือออกเป็นช้นิ ๆ เอาลงผดั ดว้ ยนา้ มนั เนย บางส่วนก็โยนลงไปในไฟเป็นเคร่อื งสงั เวย ส่วนท่เี หลอื ก็แบ่งกนั ในระหว่างพราหมณ์ผูท้ าพธิ ีกบั เจา้ ภาพ บางส่วนก็จะใหแ้ ก่พวกพราหมณท์ ่มี าร่วมพธิ ี โดยพวกพราหมณ์เหลา่ นั้นจะ แย่งช้ินส่วนกนั อย่างโกลาหล เพราะถือว่าเป็นของวิเศษอานวยสวสั ดิมงคล ตอนน้ีเองเป็นท่ีน่าสงั เกตว่า พวก พราหมณท์ ไ่ี มก่ นิ เน้ือสตั ว์ ไดม้ โี อกาสกนิ เน้ือสตั ว์ ลาดบั ต่อไป มกี ารนาขา้ วสุกและขา้ วสารท่ลี า้ งสะอาดแลว้ มาสงั เวยไฟอีกของต่างๆ ท่วี างรอบกองไฟ เช่น หมากพลู เมอ่ื เสรจ็ พธิ ีแลว้ กแ็ จกแก่พราหมณ์ ในทส่ี ุด เจา้ ภาพจะแจกเงนิ และเส้อื ผา้ แก่พราหมณ์ทุกคนท่มี าร่วมพธิ ี ตามความเหมาะสมแก่ตาแหน่งและเกยี รตขิ องบคุ คลนนั้ ๆ อนั เป็นค่าใชจ้ ่ายทส่ี ูงมาก ในการบูชายญั น้ี พราหมณ์จะเลือกบูชาเทวดาองคใ์ ดก็ไดท้ ่ีเป็นใหญ่ตามความเช่ือของเขา แต่เทวดาผู้ ยง่ิ ใหญ่ในการน้ีดูเหมอื นจะเป็นพระอคั นีศวร หรอื เทพเจา้ แห่งไฟ พวกพราหมณ์ถอื ว่าการบูชายญั ไดบ้ ุญมาก ทงั้ ทาใหพ้ น้ จากบาปทงั้ หมด แต่พทุ ธศาสนามคี วามเหน็ ทต่ี รงกนั ขา้ ม ดงั ท่พี ระผูม้ พี ระภาคเจา้ ทรงเตือนพราหมณ์ผูก้ าลงั จะบูชายญั ดว้ ยชีวติ สตั วจ์ านวนมาก ดงั ขอ้ ความพระสุตตนั ตปิฎก องั คตุ ตรนิกาย สตั ตกนิบาต ทุติยอคั คสูตร๙๕ ความว่า บคุ คลเมอื่ จะก่อไฟ ปกั หลกั บูชายญั ก่อนทีจ่ ะบูชายญั ย่อมคิด อย่างน้ีว่า ‘ตอ้ งฆ่าโคผูเ้ ท่าน้ีตวั เพ่ือประโยชนแ์ ก่การบูชายญั ตอ้ งฆ่าลูกโคผูเ้ ท่าน้ีตวั เพ่อื ประโยชนแ์ ก่การบูชายญั ๙๕ องฺ.สตฺตก.(ไทย) ๒๓/๔๗-/๗๐-๗๔.

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๘๒ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ตอ้ งฆ่าลูกโคตวั เมยี เท่าน้ีตวั เพ่อื ประโยชนแ์ ก่การบูชายญั ตอ้ งฆ่าแพะเท่าน้ีตวั เพ่อื ประโยชนแ์ ก่การบูชายญั ตอ้ งฆ่า แกะเทา่ น้ีตวั เพอ่ื ประโยชนแ์ ก่การบูชายญั ’ เขาคิดว่า ‘จะทาบญุ ’ แต่กลบั ทาส่งิ ท่มี ใิ ช่บุญ คิดว่า ‘จะทากุศล’ แต่กลบั ทา อกศุ ลคิดว่า ‘จะแสวงหาทางสุคต’ิ แต่กลบั แสวงหาทางทคุ ติ พราหมณ์ บุคคลเมอ่ื จะก่อไฟปกั หลกั บูชายญั ก่อนทจ่ี ะ บชู ายญั ย่อมเง้อื ศสั ตราทางใจชนิดท่ี ๑ น้ี ทเ่ี ป็นอกศุ ลมที กุ ขเ์ ป็นกาไร มที กุ ขเ์ ป็นผล บุคคลเมือ่ จะก่อไฟ ปกั หลกั บูชายญั ก่อนทีจ่ ะบูชายญั ย่อมกล่าวอย่างน้ีว่า ‘ตอ้ งฆ่าโคผูเ้ ท่าน้ีตวั เพ่ือ ประโยชน์แก่การบูชายญั ตอ้ งฆ่าลูกโคผูเ้ ท่าน้ีตวั เพ่ือประโยชน์แก่การบูชายญั ตอ้ งฆ่าลูกโคตวั เมียเท่าน้ีตวั เพ่ือ ประโยชนแ์ ก่การบูชายญั ตอ้ งฆ่าแพะเท่าน้ีตวั เพอ่ื ประโยชนแ์ ก่การบูชายญั ตอ้ งฆ่าแกะเท่าน้ีตวั เพอ่ื ประโยชนแ์ ก่การ บูชายญั ’ เขาคิดว่า ‘จะทาบญุ ’ แต่กลบั ทาส่งิ ท่มี ใิ ช่บุญ คิดว่า ‘จะทากศุ ล’ แต่กลบั ทาอกุศล คิดว่า ‘จะแสวงหาทาง สุคต’ิ แต่กลบั แสวงหาทางทคุ ติ พราหมณ์ บคุ คลเมอ่ื จะก่อไฟ ปกั หลกั บชู ายญั ก่อนท่จี ะบูชายญั ย่อมเง้อื ศสั ตราทาง วาจาชนิดท่ี ๒ น้ีทเ่ี ป็นอกศุ ลมที กุ ขเ์ ป็นกาไร มที กุ ขเ์ ป็นผล’ บคุ คลเม่อื จะก่อไฟปกั หลกั บูชายญั ก่อนทจ่ี ะบูชายญั ตนเองลงมอื ฆ่าโคผูก้ ่อนเพ่อื ประโยชนแ์ ก่การบูชายญั ตนเองลงมอื ฆ่าลูกโคผูก้ ่อนเพ่อื ประโยชนแ์ ก่การบูชายญั ตนเองลงมอื ฆ่าลูกโคตวั เมยี ก่อนเพ่อื ประโยชนแ์ ก่การบูชา ยญั ตนเองลงมอื ฆ่าแพะก่อนเพ่อื ประโยชนแ์ ก่การบูชายญั ตนเองลงมอื ฆ่าแกะก่อนเพอ่ื ประโยชนแ์ ก่การบูชายญั เขา คิดว่า ‘จะทาบุญ’ แต่กลบั ทาสง่ิ ท่มี ใิ ช่บุญ คิดว่า ‘จะทากุศล’ แต่กลบั ทาอกุศล คิดว่า ‘จะแสวงหาทางสุคติ’ แต่กลบั แสวงหาทางทคุ ติ พราหมณ์ บคุ คล เมอ่ื จะก่อไฟปกั หลกั บชู ายญั ก่อนทจ่ี ะบูชายญั ย่อมเง้อื ศสั ตราทางกายชนิดท่ี ๓ น้ี ทเ่ี ป็นอกศุ ล มที กุ ขเ์ ป็นกาไร มที กุ ขเ์ ป็นผล‛ บคุ คลเมอ่ื จะก่อไฟปกั หลกั บูชายญั ก่อนท่จี ะบูชายญั ย่อมเง้อื ศสั ตรา ๓ ชนิดน้ีแล ทเ่ี ป็นอกศุ ล มที กุ ขเ์ ป็นกาไร มที กุ ขเ์ ป็นผลพราหมณ์ อคั คิ (ไฟ) ๓ ประการน้ี เป็นสง่ิ ท่คี วรละ ควรเวน้ ไม่ ควรเสพ คาวา่ อคั คิ คือไฟ กเิ ลสทเ่ี ปรยี บเหมอื นไฟ เพราะเผาลนจติ ใจใหเ้ร่ารอ้ นและแส่พร่านไป อคั คิมี ๓ ประการ คอื ๙๖ ๑. ราคคั คิ ไฟคอื ราคะ ไดแ้ ก่ความตดิ ใจ กระสนั อยากได้ ๒.โทสคั คิ ไฟคอื โทสะ ไดแ้ ก่ความขดั เคือง ไมพ่ อใจคิดประทษุ รา้ ย ๓. โมหคั คิ ไฟคือโมหะ ไดแ้ ก่ความหลง ไมร่ ูไ้ มเ่ ขา้ ใจสภาวะของสง่ิ ทงั้ หลายตามเป็นจรงิ ไฟ ๓ อย่างน้ี ทา่ นสอนใหล้ ะเสยี เพราะเหตุไร ราคคั คิน้ี จึงเป็นส่งิ ทค่ี วรละ ควรเวน้ ไม่ควรเสพ เพราะบุคคลผูม้ รี าคะ ถูกราคะครอบงา มี จิตถูกราคะกลุม้ รุม ย่อมประพฤติ ทุจริตทางกาย ประพฤติทจุ รติ ทางวาจา ประพฤติทจุ ริตทางใจ หลงั จากตายแลว้ เขาจงึ ไปเกดิ ในอบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก ฉะนนั้ ราคคั คิ น้ีจงึ เป็นสง่ิ ทค่ี วรละ ควรเวน้ ไมค่ วรเสพ เพราะเหตไุ ร โทสคั คิน้ี จึงเป็นส่งิ ทค่ี วรละ ควรเวน้ ไม่ควรเสพ เพราะบุคคลผูม้ โี ทสะ ถูกโทสะครอบงา มี จิตถูกโทสะกลุม้ รุม ย่อมประพฤติทุจรติ ทางกาย ประพฤตทิ ุจริตทางวาจา ประพฤตทิ ุจริตทางใจ หลงั จากตายแลว้ เขาจงึ ไปเกดิ ในอบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก ฉะนน้ั โทสคั คนิ ้ี จงึ เป็นสง่ิ ทค่ี วรละ ควรเวน้ ไมค่ วรเสพ ๙๖ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๖๘.

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๘๓ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง เพราะเหตุไร โมหคั คิน้ี จึงเป็นสง่ิ ทค่ี วรละ ควรเวน้ ไม่ควรเสพ เพราะบคุ คลผูม้ โี มหะ ถูกโมหะครอบงา มี จติ ถกู โมหะกลมุ้ รุม ยอ่ มประพฤตทิ จุ รติ ทางกาย ประพฤตทิ จุ รติ ทางวาจา ประพฤตทิ จุ รติ ทางใจ หลงั จากตายแลว้ เขา จงึ ไปเกดิ ในอบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก ฉะนน้ั โมหคั คนิ ้ี จงึ เป็นสง่ิ ทค่ี วรละ ควรเวน้ ไมค่ วรเสพ พราหมณ์ อคั คิ ๓ ประการน้ีแล เป็นสง่ิ ท่คี วรละ ควรเวน้ ไม่ควรเสพพราหมณ์ อคั คิ ๓ ประการน้ี เป็นส่งิ ท่ี ควรสกั การะ เคารพ นบั ถอื บูชาแลว้ บรหิ ารใหเ้ป็นสุขโดยชอบ อคั คิ ๓ ประการ อะไรบา้ ง คอื ๑. อาหุเนยยคั คิ ๒. คหปตคั คิ ๓. ทกั ขเิ ณยยคั คิ อาหุเนยยคั คิ เป็นอย่างไร คือ บุตรในโลกน้ีมมี ารดาหรอื บดิ า น้ีเรยี กว่า อาหุเนยยคั คิ ขอ้ นนั้ เพราะเหตุไร เพราะบตุ รเกดิ มาจากมารดาบดิ าน้ี ฉะนนั้ อาหุเนยยคั คิน้ี จงึ เป็นผูท้ ่คี วรสกั การะ เคารพ นบั ถอื บูชา บรหิ ารใหเ้ป็น สุขโดยชอบ คหปตคั คิ เป็นอย่างไร คือ คหบดีในโลกน้ีมบี ุตร ภรรยา ทาส คนใช้ หรือกรรมกร น้ีเรียกว่า คหปตคั คิ ฉะนน้ั คหปตคั คนิ ้ี จงึ เป็นผูท้ ค่ี วรสกั การะ เคารพ นบั ถอื บชู า บรหิ ารใหเ้ป็นสุขโดยชอบ ทกั ขเิ ณยยคั คิ เป็นอย่างไร คือ สมณพราหมณ์ผูเ้ วน้ ขาดจากความมวั เมาและประมาท ตงั้ มนั่ อยู่ในขนั ติ และโสรจั จะ ฝึกตนไดเ้ป็นหน่ึง ทาตนใหส้ งบไดเ้ป็นหน่ึง ทาตนใหด้ บั เยน็ ไดเ้ป็นหน่ึงน้ีเรียกว่า ทกั ขเิ นยยคั คิ ฉะนน้ั ทกั ขเิ ณยยคั คิน้ี จงึ เป็นผูท้ ค่ี วรสกั การะ เคารพนบั ถอื บชู า แลว้ บรหิ ารใหเ้ป็นสุขโดยชอบ พราหมณ์ อคั คิ ๓ ประการ น้ีแล เป็นสง่ิ ทค่ี วรสกั การะ เคารพ นบั ถอื บูชาแลว้ บรหิ ารใหเ้ป็นสุขโดยชอบ ส่วน กฏั ฐคั คิ น้ีตอ้ งจดุ ตามกาลอนั ควร ตอ้ งคอยดูตามกาลอนั ควร ตอ้ งคอยดบั ตามกาลอนั ควร ตอ้ งคอย เก็บตามกาลอนั ควร เมอ่ื พระผูม้ พี ระภาคตรสั อย่างน้ีแลว้ อุคคตสรีรพราหมณ์ไดก้ ราบทูลพระผูม้ พี ระภาคดงั น้ีว่า ‚ขา้ แต่ทา่ นพระโคดม ภาษติ ของทา่ นพระโคดมชดั เจนไพเราะยง่ิ นกั ฯลฯ ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจาขา้ พระองคว์ ่า เป็นอุบาสกผูถ้ ึงสรณะ ตงั้ แต่วนั น้ี เป็นตน้ ไปจนตลอดชีวติ ขา้ พระองคจ์ ะปล่อยโคผู้ ๕๐๐ ตวั ใหช้ ีวิตพวกมนั จะ ปล่อยลูกโคผู้ ๕๐๐ ตวั ใหช้ ีวติ พวกมนั จะปลอ่ ยลูกโคตวั เมยี ๕๐๐ ตวั ใหช้ ีวติ พวกมนั จะปล่อยแพะ ๕๐๐ ตวั ให้ ชวี ติ พวกมนั จะปลอ่ ยแกะ ๕๐๐ ตวั ใหช้ วี ติ พวกมนั พวกมนั จะกนิ หญา้ สด ดม่ื นา้ เยน็ และรบั ลมเยน็ ‛๙๗ พระดารสั น้ีแสดงวา่ การฆ่าสตั วบ์ ูชายญั เป็นบาปกรรมหนกั เพราะทากรรมครบทง้ั ๓ ทวาร คือ กายทวาร วจที วาร และมโนทวาร สาระทค่ี วรกลา่ วถงึ มดี งั น้ี ๑. การฆ่าสตั วบ์ ูชายญั บชู าเทพเจา้ เป็นสง่ิ ไรส้ าระ ทุกคนย่อมรกั สุขเกลยี ดทุกข์ กลวั เจบ็ กลวั ตาย อยากมี ชวี ติ อยู่ต่อไป ดงั นน้ั พระผูม้ พี ระภาคเจา้ จงึ ตรสั ไวใ้ นขทุ ทกนิกาย ธรรมบท วา่ “สตั วท์ ุกประเภท ย่อมสะดุง้ กลวั โทษทณั ฑส์ ตั วท์ ุกประเภท ย่อมหวาดกลวั ความตายบุคคลนาตนเขา้ ไป เปรียบเทยี บแลว้ ไม่ควรฆ่าเอง ไมค่ วรใชใ้ หค้ นอนื่ ฆ่า๙๘ ๙๗ องฺ.สตตฺ ก.(ไทย) ๒๓/๔๗-/๗๐-๗๔. ๙๘ ข.ุ ธ.(ไทย) ๒๕/๑๒๙/๗๒/

บทท่ี ๑ “ภูมิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๘๔ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเริง ๒. ความรกั อ่ืนย่ิงกว่าตนไม่มี รกั คนอ่ืนก็เพ่ือประโยชนแ์ ห่งตนเท่านน้ั รกั ลูกก็เพ่ือให้เล้ยี งดูยามแก่ รกั ญาตมิ ติ รกเ็ พอ่ื ใหช้ ่วยทากจิ รกั พระรตั นตรยั กเ็ พอ่ื ความสุขในสวรรคแ์ ละมรรคผล ตนแลเป็นท่รี กั ยง่ิ ดว้ ยเหตนุ ้ีพระ ผูม้ พี ระภาคเจา้ จงึ ตรสั ไวใ้ นพระสุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย อทุ าน ปิยตรสูตร วา่ “บคุ คลตงั้ ใจคน้ หาทวั่ ทกุ ทศิ กไ็ มพ่ บใครซงึ่ เป็นทรี่ กั ยงิ่ กวา่ ตนในทไี่ หนๆ เลย สตั วท์ งั้ หลายเหลา่ อืน่ กร็ กั ตน มากเช่นนนั้ เหมอื นกนั เพราะฉะนนั้ ผูร้ กั ตนจงึ ไมค่ วรเบยี ดเบยี นผูอ้ นื่ ”๙๙ ๓. ในพระสุตตนั ตปิฎก มชั ฌมิ นิกาย อปุ รปิ ณั ณาสก์ จูฬกมั มวภิ งั คสูตร๑๐๐ พระพทุ ธองคไ์ ดต้ รสั ถงึ การ ฆ่าสตั วเ์ ป็นเหตุใหม้ อี ายุสน้ั การเบยี ดเบยี นสตั วเ์ ป็นเหตุใหม้ โี รคมาก โดยมี สุภมาณพ โตเทยยบุตรไดก้ ราบทูลพระ ผูม้ พี ระภาควา่ ‚ท่านพระโคดม อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปจั จยั ใหส้ ตั วท์ ่ีเกิดเป็นมนุษยป์ รากฏเป็นคนเลวและคนดี คือ มนุษยท์ งั้ หลายย่อมปรากฏว่ามอี ายุสน้ั มอี ายุยนื มโี รคมาก มโี รคนอ้ ย มผี วิ พรรณทราม มีผวิ พรรณดี มอี านาจนอ้ ย มอี านาจมาก มโี ภคะนอ้ ย มโี ภคะมาก เกดิ ในตระกูลตา่ เกดิ ในตระกูลสูง มปี ญั ญานอ้ ย มปี ญั ญามาก ทา่ นพระโคดม อะไรหนอ เป็นเหตเุ ป็นปจั จยั ใหม้ นุษยท์ ง้ั หลายท่เี กดิ เป็นมนุษยป์ รากฏเป็นคนเลวและคนดี‛ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ‚มาณพ สตั วท์ ง้ั หลายมกี รรมเป็นของตน มกี รรมเป็นทายาท มกี รรมเป็นกาเนิด มี กรรมเป็นเผ่าพนั ธุ์ มกี รรมเป็นทพ่ี ง่ึ อาศยั กรรมย่อมจาแนกสตั วท์ ง้ั หลายใหเ้ลวและดตี ่างกนั ‛ ‚ขา้ พระองค์ ไม่รูท้ วั่ ถึงเน้ือความแห่งพระภาษิตน้ีทท่ี ่านพระโคดมตรสั ไวโ้ ดยย่อ ไมท่ รงช้ีแจงโดยพิสดารให้ พสิ ดารได้ ขอประทานวโรกาส ขอท่านพระโคดมโปรดแสดงธรรมแก่ขา้ พระองค์ โดยวิธีท่ีขา้ พระองคจ์ ะพึงรูท้ วั่ ถึง เน้ือความแหง่ พระภาษติ น้ีทท่ี ่านพระโคดมตรสั ไวโ้ ดยย่อ ไมท่ รงช้แี จงโดยพสิ ดารใหพ้ สิ ดารเถดิ ‛ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ‚มาณพ ถา้ เช่นนน้ั เธอจงฟงั จงใสใ่ จใหด้ เี ราจะกลา่ ว‛ สุภมาณพโตเทยยบุตรทูลรบั สนองพระดารสั แลว้ พระผูม้ พี ระภาคไดต้ รสั ว่า ‚มาณพ บคุ คลบางคนในโลกน้ี เป็นสตรีก็ตาม เป็นบรุ ุษกต็ าม เป็นผูฆ้ ่าสตั ว์ เป็น คนหยาบชา้ มมี อื เป้ือนเลอื ด ฝกั ใฝ่ในการประหตั ประหาร ไม่มคี วามกรุณาในสตั วท์ ง้ั หลาย เพราะกรรมนน้ั ท่ีเขาให้ บรบิ รู ณย์ ดึ มนั่ ไวอ้ ย่างนนั้ หลงั จากตายแลว้ เขาจงึ ไปเกดิ ในอบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก หลงั จากตายแลว้ ถา้ ไมไ่ ปเกดิ ใน อบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก กลบั มาเกดิ เป็นมนุษยใ์ นทใ่ี ดๆ เขากจ็ ะเป็นคนมอี ายุสนั้ มาณพ การทบ่ี ุคคลเป็นผูฆ้ ่าสตั ว์ เป็นคนหยาบชา้ มมี อื เป้ือนเลอื ด ฝกั ใฝ่ในการประหตั ประหาร ไม่มคี วาม กรุณาในสตั วท์ ง้ั หลายน้ีเป็นปฏปิ ทา(ขอ้ ปฏบิ ตั )ิ ทเ่ี ป็นไปเพอ่ื ความมอี ายุสน้ั มาณพ ส่วนบุคคลบางคนในโลกน้ี เป็นสตรีก็ตาม เป็นบุรุษก็ตาม เป็นผูล้ ะเวน้ ขาดจากการฆ่าสตั ว์ วางทณั ฑาวุธ และศสั ตราวุธ มคี วามละอาย มคี วามเอน็ ดู ม่งุ หวงั ประโยชนเ์ ก้อื กูลในสรรพสตั ว์ เพราะกรรมนนั้ ท่เี ขา ใหบ้ รบิ รู ณย์ ดึ มนั่ ไวอ้ ยา่ งนนั้ หลงั จากตายแลว้ เขาจงึ ไปเกดิ ในสุคตโิ ลกสวรรค์ หลงั จากตายแลว้ ถา้ ไมไ่ ปเกดิ ในสุคติ โลกสวรรค์ กลบั มาเกดิ เป็นมนุษยใ์ นท่ใี ดๆ เขากจ็ ะเป็นคนมอี ายุยนื ๙๙ ข.ุ อ.ุ (ไทย) ๒๕/๔๒/๒๕๕. ๑๐๐ ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๒๘๙-๒๙๑/๓๔๙-๓๕๑.

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี กอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๘๕ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ มาณพ การท่บี คุ คลเป็นผูล้ ะเวน้ ขาดจากการฆ่าสตั ว์ วางทณั ฑาวุธ และศสั ตราวุธ มคี วามละอาย มคี วาม เอน็ ดู มงุ่ หวงั ประโยชนเ์ ก้อื กลู ในสรรพสตั วน์ ้ีเป็นปฏปิ ทาท่เี ป็นไปเพอ่ื ความมอี ายุยนื มาณพ บคุ คลบางคนในโลกน้ี เป็นสตรกี ็ตาม เป็นบุรุษกต็ าม เป็นผูเ้บยี ดเบยี นสตั วท์ ง้ั หลายดว้ ยฝ่ามอื บา้ ง ดว้ ยกอ้ นดินบา้ ง ดว้ ยท่อนไมบ้ า้ ง ดว้ ยศสั ตราบา้ ง เพราะกรรมนน้ั ท่เี ขาใหบ้ ริบูรณ์ ยดึ มนั่ ไวอ้ ย่างนนั้ หลงั จากตาย แลว้ เขาจงึ ไปเกิดในอบาย ทุคติ วนิ ิบาต นรก หลงั จากตายแลว้ ถา้ ไม่ไปเกิดในอบายทุคติ วนิ ิบาต นรก กลบั มาเกดิ เป็นมนุษยใ์ นท่ใี ดๆ เขาก็จะเป็นผูม้ โี รคมากมาณพ การท่บี ุคคลเป็นผูเ้บยี ดเบยี นสตั วท์ งั้ หลายดว้ ยฝ่ามือบา้ ง ดว้ ย กอ้ นดนิ บา้ ง ดว้ ยท่อนไมบ้ า้ ง ดว้ ยศสั ตราบา้ ง น้ีเป็นปฏปิ ทาทเ่ี ป็นไปเพอ่ื ความมโี รคมาก มาณพ ส่วนบคุ คลบางคนในโลกน้ี เป็นสตรกี ็ตาม เป็นบุรุษก็ตาม เป็นผูไ้ มเ่ บยี ดเบยี นสตั วท์ ง้ั หลายดว้ ยฝ่า มอื บา้ ง ดว้ ยกอ้ นดนิ บา้ ง ดว้ ยท่อนไมบ้ า้ ง ดว้ ยศสั ตราบา้ ง เพราะกรรมนนั้ ทเ่ี ขาใหบ้ รบิ ูรณย์ ดึ มนั่ ไวอ้ ย่างนนั้ หลงั จาก ตายแลว้ เขาจงึ ไปเกดิ ในสุคติโลกสวรรค์ หลงั จากตายแลว้ ถา้ ไมไ่ ปเกิดในสุคติโลกสวรรคก์ ลบั มาเกดิ เป็นมนุษยใ์ นท่ี ใดๆ เขาก็จะเป็นผูม้ โี รคนอ้ ยมาณพ การท่บี ุคคลเป็นผูไ้ ม่เบยี ดเบยี นสตั วท์ งั้ หลายดว้ ยฝ่ามอื บา้ ง ดว้ ยกอ้ นดินบา้ ง ดว้ ยทอ่ นไมบ้ า้ ง ดว้ ยศสั ตราบา้ ง น้ีเป็นปฏปิ ทาทเ่ี ป็นไปเพอ่ื ความมโี รคนอ้ ย๑๐๑ ฯลฯ ความหมายและองคป์ ระกอบการบูชายญั (sacrifice) คาภาษาองั กฤษว่า sacrifice มาจากคาภาษาละตินว่า sacrificium โดย sacer แปลว่า holy ‚ท่ศี กั ด์ิสทิ ธ์ิ หรือสูงส่ง‛ และ facere แปลว่า to make ‚ทา‛ จงึ มคี วามหมายว่าเป็นการทาพธิ กี รรมทางศาสนาท่สี ูงส่งท่สี ุด และ อาจมคี วามหมายว่า เป็นกฤตยกรรม (act) ทท่ี าใหเ้ป็นเร่อื งศกั ด์ิสทิ ธ์ิ หรือทาใหว้ ตั ถสุ ่งิ ของกลายเป็นวตั ถสุ ่งิ ของท่ี ศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ โดยความหมายทห่ี ลวมๆ แปลว่าการใหข้ องขวญั สว่ นในภาษาไทย คาว่า บูชายญั มาจากคาภาษาสนั สกฤต โดยยญั แปลว่าการเซ่น หรือการบูชา การเซ่นสรวงโดยมกี ารฆ่าสตั วห์ รอื คนเป็นเคร่อื งบูชา เรียกว่าบูชายญั ส่วนคา ว่า สรวง แปลว่าฟ้า, สวรรคห์ รือเทวดา การบูชายญั จึงเป็นการเอาชีวิตของคนหรือสตั วไ์ ปเซ่นสง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ิท่ีสูงส่ง เช่น ฟ้า สวรรค์ เทวดา คาว่า sacrifice เป็นคาท่มี คี วามหมายในทางศาสนามาแต่แรก ต่อมามผี ูน้ าไปใชค้ วามหมายในทางโลก หมายถึงการอุทิศตน ยอมเสียสละบางอย่างเพ่ือประโยชน์ท่ีย่ิงใหญ่กว่า เช่น บิดามารดาอุทิศตนยอมเสียสละ ความสุขสบายส่วนตนเพ่อื อนาคตของบุตรธดิ าดว้ ยการใหก้ ารศึกษาเลา่ เรียนท่มี รี าคาแพง ตวั อย่างน้ีก็สามารถใชค้ า ว่า sacrifice กบั กริ ิยาอาการของบดิ ามารดาได้ ทหารตารวจก็ sacrifice ความสุขสบายและความปลอดภยั ของ ตนเองเพ่อื ประเทศชาติ กล่าวโดยย่อความหมายของคาว่า sacrifice กค็ ือการยอมเสยี สละส่งิ ซง่ึ สูงค่า เพอ่ื จะไดอ้ กี ส่ิงหน่ึงท่ีสูงค่ากว่ามาแทนท่ี เม่อื ใชใ้ นความหมายทางศาสนาคาว่า sacrifice จึงหมายความว่าการทาพิธีอะไร บางอย่างโดยการนาสง่ิ ทม่ี คี ่าสูงมาทาพธิ ที าลายต่อหนา้ ส่งิ ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ ถอื ว่าการทาลายนน้ั เป็นการส่งสง่ิ ของนนั้ โดยตรง ไปใหแ้ ก่ส่งิ ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ ยง่ิ สง่ิ ของท่ถี กู ทาลายนน้ั เป็นสง่ิ ของทม่ี รี าคาสูง กจ็ ะถอื ว่าส่งิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ิจะพอใจมาก กส็ ่ิงใดจะ เป็นส่งิ ทส่ี ูงค่าย่งิ กว่าชีวติ เล่า ดงั นนั้ ผูท้ าพิธีบูชายญั จึงตอ้ งทาพิธีดว้ ยการฆ่าบุคคลหรือหากหาไม่ไดก้ ็ฆ่าสตั วส์ ่งไป ใหแ้ ก่สง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ ๑๐๑ ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๒๘๙-๒๙๑/๓๔๙-๓๕๑.

บทท่ี ๑ “ภูมิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๘๖ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ การกระทาบูชายญั เป็นความพยายามของคนท่ีจะติดต่อกบั ส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิ มผี ูก้ ล่าวว่ามนุษยส์ ามารถท่ีจะ ตดิ ต่อกบั สง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ไิ ด้ ๒ ช่องทาง ช่องทางทห่ี น่ึงคือโดยการใชค้ าพดู อาจเป็นคาพูดสามญั หรอื คาพูดท่รี อ้ ยกรอง เป็นบทกาพยก์ ลอนโคลงฉนั ท์ ซ่งึ ทง้ั หมดน้ีเป็นเร่ืองของการสวดมนต์ (prayer) ท่ีไดก้ ล่าวถึงแลว้ ในบทท่ีสาม ช่องทางท่สี องคือโดยการใชก้ ารกระทา นาคนท่กี าหนดไวแ้ ลว้ ว่าจะตอ้ งตาย หรอื นาสตั วท์ ใ่ี ชใ้ นการบูชายญั หรือนา วสั ดุส่ิงของทก่ี าหนดไวม้ าวางไวห้ นา้ แท่นบูชาของส่งิ ศกั ด์ิสทิ ธ์แิ ลว้ ฆ่าหรือทาลาย คน สตั ว์ และส่งิ ของนน้ั ถอื ว่าการ ฆ่าหรอื การทาลายเป็นช่องทางของการสง่ คน สตั ว์ สง่ิ ของไปถวายแก่สง่ิ ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ เมอ่ื ส่งิ ศกั ด์ิสทิ ธ์ริ บั ของนน้ั แลว้ สง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์จิ ะมคี วามพอใจและบนั ดาลสง่ิ ต่างๆ ตามคาขอของผูก้ ระทาการบูชายญั องคป์ ระกอบของการบูชายญั ประกอบดว้ ยหลายสง่ิ ก. จะตอ้ งมสี ง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ทิ ผ่ี ูท้ าพธิ กี าลงั ขอใหท้ าสง่ิ ใดส่งิ หน่ึง ส่งิ ศกั ด์ิสทิ ธ์ิน้ีบางครงั้ ก็ประทบั ในวหิ ารหรอื ใน ศาล หรอื ตามป่าเขาลาเนาไพรทเ่ี ป็นสถานทไ่ี กลๆ เป็นหนา้ ทข่ี องผูท้ ท่ี าพธิ ตี อ้ งไปใหถ้ งึ สถานทท่ี ส่ี ง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์อิ ยู่ ข. จะตอ้ งมผี ูก้ ระทาพธิ ีผูก้ ระทาพิธีอาจเป็นนกั บวช หรือพ่อมดหมอผี ผูม้ หี นา้ ท่ที าพิธีบูชายญั โดยเฉพาะ ในบางแหง่ บางทอ่ี าจมตี ระกูลของพระผูท้ าพธิ นี ้ีโดยเฉพาะ ค. จะตอ้ งมผี ูข้ อใหท้ าพธิ ี คือเป็นบคุ คลตน้ คิดท่จี ะใหเ้กิดมพี ิธีบูชายญั เราอาจเรียกว่าเป็นผูอ้ อกเงนิ ทอง สาหรบั ทาพธิ บี ูชายญั และเป็นคนทจ่ี ะไดร้ บั ผลประโยชน์ เม่อื การทาพิธีสาเร็จ ในกรณีท่บี ุคคลในขอ้ ค. น้ีมีความรูเ้ ร่ืองพิธีบูชายญั ก็อาจจะทาพิธีเองก็ได้ โดยตดั บคุ คลในขอ้ ข. ออกไปเสยี สง่ิ น้ีแลว้ แต่ว่าเป็น การบูชายญั ในศาสนาอะไร ถา้ เป็นศาสนาทางการของนครอนั รุ่งเรอื งใน อดีต เช่นศาสนาของคนโบราณเผ่ามายา (Maya) เผ่าอินคา (Inca) เผ่าอซั เตค (Aztec) เผ่าเคลท์ (Celt) ศาสนาโรมนั ตลอดจนศาสนายวิ ในสมยั โบราณก่อน การทาลายมหาวหิ ารใน ค.ศ. ๗๐ ในศาสนาเหล่าน้ีการทาพิธีบูชายญั จะตอ้ งมพี ระท่ีรูข้ นบธรรมเนียมเป็น ผูก้ ระทาพธิ ี ไมใ่ ช่หวั หนา้ ครอบครวั ทากนั เองซง่ึ อาจทาผดิ ๆ ถูกๆ ถอื ว่าทาใหส้ ง่ิ ศกั ด์ิสทิ ธ์ิไม่โปรด แต่ในบรรดาชนชาว ป่าชาวเขาทไ่ี มไ่ ดม้ ที รพั ยส์ นิ เงนิ ทองจะจา้ งวานใคร และเร่อื งทท่ี าบูชายญั ก็เป็นเร่อื งเลก็ ๆ นอ้ ยๆ ผูช้ ายผูใ้ หญ่ทร่ี ูจ้ กั พธิ ี ซง่ึ อาจเป็นหวั หนา้ ครอบครวั เองอาจจะทาพธิ เี องได้ ง. จะตอ้ งมเี หย่อื (victim) ท่กี าหนดไวว้ ่าจะตอ้ งทาใหต้ าย เหย่อื น้ีอาจจะเป็นเชลยศึกท่ีจบั มาไวส้ าหรับ กระทาบูชายญั โดยขงั ไวเ้พอ่ื การน้ีโดยเฉพาะ ในสมยั โบราณมกี ารสงครามทท่ี ากนั ดว้ ยเหตผุ ลสาคญั คือ เพ่อื จบั เชลยมา ไวส้ าหรบั บชู ายญั กม็ กี ลา่ วถงึ ใหเ้ราทราบอยู่มากดว้ ยกนั จ. จะตอ้ งกาหนดวธิ ีทาใหต้ าย ซง่ึ ในแต่ละศาสนากไ็ ม่เหมอื นกนั บางทใ่ี ชว้ ธิ ีไมใ่ หโ้ ลหติ ตก จงึ ใชว้ ธิ ีแขวนคอ หรอื ถ่วงนา้ หรือมดั ดว้ ยผา้ ใหแ้ น่นจนหายใจไม่ออก ฯลฯ บางทใ่ี ชว้ ธิ ใี หโ้ ลหติ ตกเช่นใชอ้ าวุธทาใหเ้ป็นบาดแผลตามท่ี ต่างๆ แลว้ แต่จะนิยมทากนั ในบางศาสนาถอื ว่า โลหติ เป็นสญั ลกั ษณข์ องพลงั จึงทาใหโ้ ลหติ ตกยง่ิ มากย่งิ ดี บางศาสนา ทาพธิ โี ดยไมใ่ หเ้หยอ่ื ตาย จงึ เพยี งแต่ตดั อวยั วะบางสว่ น ฯลฯ ฉ. จะตอ้ งพจิ ารณาเรอ่ื งเวลาและสถานทส่ี าหรบั การทาบูชายญั นนั้ ๆ โดยคานึงถงึ สาเหตุท่ที าใหต้ อ้ งจดั พธิ ีบูชา ยญั ครงั้ นน้ั ๆ ดว้ ย ความแตกต่างระหว่างการบูชายญั (sacrifice) กบั การใหห้ รอื อุทศิ ใหห้ รอื ถวาย (ในภาษาไทยมคี า เลอื กใชห้ ลายคาแลว้ แต่ฐานะของส่ิงศกั ด์ิสทิ ธ์ิท่ีตอ้ งการอุทิศให)้ หรือเรียกโดยรวมว่าการเซ่นสรวงบูชา (Offerings)

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี กอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๘๗ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ อาจจะมองไดห้ ลายแง่มมุ นกั ศาสนศาสตรช์ ่อื ยาน แวน บาล (Jan van Baal) มองการนาสง่ิ ของทกุ ชนิดถวายแก่สง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์วิ ่าเป็นเร่อื งของการเซ่นสรวงบูชา (Offerings) และมองการเซ่นสรวงบูชาท่ปี ระกอบดว้ ยการฆ่าในการทาพธิ วี ่า เป็นการบชู ายญั (sacrifice) การใหค้ าจากดั ความอย่าง ยาน แวน บาล เป็นสง่ิ ทช่ี ดั เจนเขา้ ใจไดง้ า่ ย แต่มผี ูเ้หน็ ว่าเป็นคาจากดั ความท่แี คบ เกินไป เพราะคาว่าฆ่าใชไ้ ดเ้ ฉพาะกบั ส่ิงท่ีมีชีวิต เราจะฆ่าตุ๊กตาหรือฆ่าแจกนั ดอกไมไ้ ม่ได้ ดงั นั้นจึงไม่รวมถึงการ ทาลายสง่ิ ของต่างๆ ทเ่ี อาไปตง้ั บูชาบนศาลของสง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ ในศาสนาสาคญั หลายศาสนาไม่มกี ารฆ่า แต่มกี ารนาสง่ิ ของ ต่างๆ ไปเซ่นสรวงบูชาส่ิงศกั ด์ิสทิ ธ์ิการจะพิจารณาเร่ืองการบูชายญั กบั การเซ่นสรวงบูชาจึงควรมองท่ีสองอย่างอย่าง แรกคือจะตอ้ งมสี ่งิ ศกั ด์ิสทิ ธ์ิทจ่ี ะเป็นผูร้ บั การทาพธิ ใี นครง้ั นน้ั ส่งิ ศกั ด์ิสทิ ธ์ิน้ีไม่ใช่มนุษยแ์ ละจะตอ้ งเป็นท่รี บั ทราบกนั ทวั่ ไปในสงั คมนน้ั ๆว่าเป็นผูม้ ฤี ทธาศกั ดานุภาพ และส่งิ ท่ีนาไปถวายก็เป็นส่ิงท่รี ูก้ นั ว่าส่งิ ศกั ด์ิสทิ ธ์ิจะรบั การนาของไป ถวายสง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์กิ ็เพราะมวี ตั ถปุ ระสงคจ์ ะใหส้ ง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์พิ อใจ อย่างท่สี องบุคคลหรือสตั วห์ รือส่งิ ของท่นี าไปถวายจะตอ้ งถูกทาลายโดยความเช่ือท่วี ่าการทาลาย (ไม่ว่าจะ โดยการฆ่า หรอื ไมก่ ต็ าม) เป็นวธิ กี ารส่งบุคคลหรือสตั ว์ หรือสง่ิ ของใหเ้ขา้ ไปในโลกของสง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ ส่งิ ศกั ด์ิสทิ ธ์จิ ะได้ ใชส้ อยตามความพอใจ แต่นกั วชิ าการบางคนกเ็ หน็ ว่าการพจิ ารณาอย่างหลงั น้ีเป็นการพจิ ารณาอย่างแคบเกนิ ไปอกี จงึ ใชค้ าแต่เพยี งว่า ‚set apart‛ หรือ ‚consecrated‛ ดงั ท่ปี รากฏคานิยามของคาว่า ‚sacrifice‛ ใน Encyclopaedia Britannica ว่า a sacrifice is ‚a cultic act in which objects were set apart or consecrated and offered to a god or some other supernatural power‛ ซง่ึ แปลความไดว้ ่า ‚การบูชายญั เป็นกฤตยกรรมการทาพธิ ี ในพธิ ีน้ี ส่ิงของต่างๆ ถูกกนั ไวต้ ่างหาก หรือถูกกนั ไวเ้ พ่อื อุทิศแก่ส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิในพธิ ีกรรมทางศาสนา‛ คาจากดั ความของ สารานุกรมบริตนั นิกาครอบคลุมทงั้ หมด ไม่ว่าเหย่ือจะเป็นบุคคล หรือสตั ว์ หรือวตั ถุส่ิงของ และวิธีการส่งใหส้ ่ิง ศกั ด์สิ ทิ ธ์กิ ็ไม่กาหนดว่าจะเป็นความรุนแรงขนาดใด จะเป็นการฆ่า หรอื การทาลาย หรือการเก็บไวจ้ ากดั เฉพาะท่ี ถา้ มี ความประสงคจ์ ะส่งถวายส่ิงศกั ด์ิสทิ ธ์กิ เ็ รียกไดว้ ่าเป็นการบูชายญั การใชค้ าจากดั ความท่กี วา้ งมากสะดวกตรงทไ่ี มต่ อ้ ง ใชค้ วามพนิ ิจพจิ ารณาอะไรมาก โอกาสถูกมมี ากกว่าผดิ แต่เราก็รูส้ กึ ไดถ้ งึ ความไม่ชอบมาพากล ศาสนาทาพธิ ีบูชายญั ชนิดเลอื ดสาดแลว้ สาดอกี อย่างศาสนาของชนเผ่าโบราณอซั เตค (Aztec) จะมคี วามเหมอื นกนั กบั การถวายดอกไมแ้ ละ เคร่อื งหอมทแ่ี ท่นบูชาในศาสนาครสิ ตไ์ ดอ้ ย่างไร การใชค้ าว่า sacrifice คาเดียวใหภ้ าพท่แี ทจ้ ริงแลว้ หรือ หรือแมแ้ ต่ การใชค้ าวา่ อทุ ศิ กไ็ มเ่ ป็นคาท่มี คี วามหมายเด่นชดั พอ ระหว่างการอุทศิ พระพทุ ธรูปไวใ้ นพทุ ธศาสนา เมอ่ื เปรียบเทยี บ กบั การอทุ ศิ ลูกแกะในศาสนาของชาวคารเ์ ธจ (ปนู ิค) ในตอนทต่ี กอยู่ใตอ้ านาจของชาวโรมนั เปรยี บเทยี บกนั ไดห้ รือไม่ เมอ่ื มคี วามขดั แยง้ ในเร่อื งของคาจากดั ความคาว่า ‚การบูชายญั ‛ (sacrifice) เพ่อื จะกนั มใิ หก้ ารกระทาใดๆ ท่ีเป็นการถวายคน สตั ว์ และส่งิ ของแก่ส่งิ ศกั ด์ิสิทธ์ิกลายเป็นการบูชายญั ไปหมด ในตาราเล่มน้ีจะพิจารณาว่าจะ เรยี กวา่ พธิ ใี ดเป็นการบชู ายญั กต็ ่อเมอ่ื มกี ารฆ่า หรอื มกี ารทาลายสง่ิ ของทจ่ี ะถวายสง่ิ ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ ถา้ ส่งิ ของนน้ั เน่าเสยี ไป เองตามสภาพของของเช่น สารบั ขา้ วพระพทุ ธ์ ท่ลี มื เก็บแลว้ บูดเน่า หรอื ดอกไมใ้ นแจกนั ท่เี ห่ยี วเฉาตามธรรมชาตจิ ะ ไมเ่ รยี กว่าเป็นการบูชายญั ขา้ วพระพทุ ธ หรอื บูชายญั ดอกไม้ โดยนยั น้ี

บทท่ี ๑ “ภูมิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๘๘ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ สรุปทา้ ยบท ลทั ธคิ วามเช่ือของสงั คมอินเดียก่อนสมยั พทุ ธกาล เป็นอิทธิพลความเช่อื เก่ียวกบั เทพเจา้ บนั ดาบในศาสนา พราหมณ์ท่เี รยี กว่า ตรีมรู ติ คือพระพรหม พระศิวะ และพระนารายณ์ ความเช่อื เก่ียวกบั การลา้ งบาปในแม่นา้ คงคา ความเชอ่ื ในสงั คมเก่ยี วกบั ระบบชนชนั้ วรรณะและความเช่อื เกย่ี วกบั การบูชายญั นอกจากน้ียงั มคี วามเช่อื ในเร่อื งลทั ธิ อิสระ คือกลุม่ ท่มี คี วามเช่ืออิสระเป็นพวกนกั บวชท่มี คี วามม่งุ หมายท่จี ะคน้ หาความจริงอย่างเป็นอิสระ มหี ลกั ฐาน กล่าวไวว้ ่า มถี ึง ๓๓๖ ลทั ธิ แต่หลกั ฐานทางพระพุทธศาสนากล่าวว่ามี ๖๒ ลทั ธิ แต่ท่ีตง้ั สานกั สงั่ สอนในกรุงรา ชคฤหแ์ ควน้ มคธนน้ั มลี ทั ธอิ สิ ระ ๖ ลทั ธิ สรุปไดด้ งั น้ี ปรู ณกสั สปะ มคี วามเหน็ ว่า บญุ บาปไม่จริง การกระทาใดๆ ไม่ว่า ดี เลว จะไม่มผี ลอะไรตอบสนอง ลทั ธนิ ้ี เรยี กวา่ อกริ ยิ ทฏิ ฐิ ซง่ึ มคี วามเหน็ ว่าทากเ็ ท่ากบั ไม่ทา มกั ขลโิ คสาล มคี วามเหน็ ว่าความบรสิ ุทธ์ิและความมวั หมอง ไม่มเี หตุ ไม่มปี จั จยั สตั วท์ ง้ั หลายบรสิ ุทธ์ิ และ เศรา้ หมองเองตามธรรมชาติ ลทั ธนิ ้ีเรยี กว่า อเหตกุ ทฏิ ฐิ เหน็ วา่ ไมม่ เี หตุ ไมม่ ผี ล อชติ เกสกมั พล มคี วามเหน็ ว่า คนไมม่ ี สตั วไ์ มม่ ี มแี ต่การประชุมแห่งธาตุทง้ั ๔ คือ ดนิ นา้ ลม ไฟเท่านน้ั ท่เี ป็นของจริง สง่ิ อ่นื นอกนน้ั ลว้ น เป็นมายา (Illusion) เกดิ จากการรวมตวั ของธาตุ ๔ เมอ่ื ธาตุ ๔ สลายตวั แลว้ ส่งิ นน้ั ก็เป็นอนั สูญ อชิตเกสกมั พล ปฏเิ สธเร่อื งความดี ความชวั่ บุญ บาป โดยส้นิ เชิง ลทั ธนิ ้ีเรียกว่า “อจุ เฉทวาทะ” “นตั ถกิ ทฏิ ฐ”ิ “วตั ถนุ ิยม” “สสารนิยม” แบบสุดๆ คลา้ ยกบั ลทั ธปิ รชั ญาโลกายตั ปกุธกจั จายนะ มคี วามเหน็ ว่า ส่ิงทเ่ี ท่ยี งแทม้ อี ยู่ ๗ อย่างคือ ดิน นา้ ลม ไฟ ลม สุข ทกุ ข์ และชวี ะไม่ผนั แปรเป็นอยา่ งอน่ื มอี ยู่อย่างไรกอ็ ยูอ่ ย่างนนั้ เรยี กวา่ สสั สตทิฏฐิ (เหน็ วา่ นิรนั ดร) ในดา้ น จริยธรรม ถอื ว่าไมม่ กี ารฆ่า ไมม่ คี นถกู ฆ่า เป็นเพยี งแต่อาวุธชาแหละผ่านอวยั วะทไ่ี มย่ งั่ ยนื เท่านน้ั แต่ชวี ะทเ่ี ทย่ี งแทไ้ มม่ ใี ครฆ่าได้ นิครนถน์ าฏบุตร มีความเห็นว่า การทรมานกายใหล้ าบากดว้ ยวิธีต่างๆ เป็นทางหลุดพน้ คือการไม่ เบยี ดเบยี น ไม่มสี มบตั ิท่ีจะครอบครอง ประพฤติตนสนั โดษ เช่ือว่าการทรมานกายจะทาใหห้ ลุดพน้ ทุกข์ เรียกว่า อตั ตกลิ มถานุโยค สญั ชยั เวลฏั ฐบุตร เป็นลทั ธิท่ไี ม่ติดกบั ทรรศนะใดๆ เป็นลทั ธิลน่ื ไหลไม่ตายตวั แน่นอน เรียกว่า อมราวิ กเขปิกาทฏิ ฐิ

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๘๙ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ คาถามทา้ ยบท คาช้ีแจง : ขอ้ สอบมลี กั ษณะเป็นแบบอตั นยั และใหผ้ ูศ้ กึ ษาตอบคาถามทง้ั หมดดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. จงอธบิ ายสาระสาคญั ของคมั ภรี พ์ ระเวท เทพเจา้ ท่สี าคญั ในยุคแรกสุดของพระเวท และวรรณะในทรรศนะคมั ภรี ์ พระเวท ๒. จงอธบิ ายพราหมณไ์ ดก้ าหนดหนา้ ทค่ี ือสรา้ งเทพเจา้ ผูย้ ง่ิ ใหญ่ไวอ้ ย่างไร สาระสาคญั ลทั ธิอาตมนั เป็นอย่างไร และจงอธบิ ายหลกั ความดสี ูงสุดในคมั ภรี พ์ ระเวท วา่ มอี ยา่ งไร ๓. จงอธบิ ายแนวคิดสาคญั สางขยะ มมี ามสา เวทานตะ ไวเศษกิ ะ นยายะ และโยคะ ๔. จงอธบิ ายสาระสาคญั ของแนวคดิ เจา้ ลทั ธิปรู ณกสั สปะ ๕. จงอธบิ ายสาระสาคญั ของแนวคิดเจา้ ลทั ธิมกั ขลโิ คศาล ๖. จงอธบิ ายสาระสาคญั ของแนวคดิ เจา้ ลทั ธอิ ชติ เกสกมั พล ๗. จงอธบิ ายสาระสาคญั ของแนวคิดเจา้ ลทั ธิปกุกจั จายนะ ๘. จงอธบิ ายสาระสาคญั ของแนวคิดเจา้ ลทั ธสิ ญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร ๙. จงอธบิ ายสาระสาคญั ของแนวคิดเจา้ ลทั ธนิ ิครนถน์ าฏบตุ รหรอื ศาสดามหาวรี ะ ๑๐. จงอธบิ ายสาระสาคญั เก่ยี วกบั ลทั ธโิ ลกายตั (จารวาก) ๑๑. จงอธบิ ายลกั ษณะสงั คมชมพูทวปี ๑๒. จงอธบิ ายความเช่อื ของสงั คมอินเดยี ก่อนพทุ ธกาล

บทท่ี ๑ “ภูมิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๙๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . ศาสนาทวั่ ไป. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๒. มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรราชวทิ ยาลยั . พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณ ราชวทิ ยาลยั . กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. มหามกฏุ ฯ. พระสริ มิ งั คลาจารย์ (รจนา). มงั คลตั ถทปี นี แปล เลม่ ๑ เลม่ ๒. โรงพมิ พม์ หามกฎุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕. สุนทร ณ รงั ษ.ี ปรชั ญาอนิ เดีย : ประวตั แิ ละลทั ธิ. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๕. เสถยี ร โพธนิ นั ทะ. ประวตั ศิ าสตรศ์ าสนา ฉบบั มขุ ปาฐะ ภาค ๑. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙. พระญาณวโรดม. ศาสนาตา่ งๆ. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๙.