Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระพุทธศาสนาเถรวาท

พระพุทธศาสนาเถรวาท

Description: พระพุทธศาสนาเถรวาท

Search

Read the Text Version

พระพทุ ธศาสนาเถรวาท Theravada Buddhism ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตนครราชสมี า พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๑

พระพทุ ธศาสนาเถรวาท : รหสั ๖๐๒ ๑๐๖ Theravada Buddhism ผูเ้ รยี บเรยี ง : ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ บรรณาธกิ าร : ดร.เสถยี ร ทงั่ ทองมะดนั และ ผศ.ดร.ประพฒั น์ ศรกี ูลกจิ คณะกรรมการทป่ี รกึ ษา : พระใบฎกี าหสั ดี กติ ตฺ นิ นฺโท ผศ.ดร., ดร.ประสพฤกษ์ รตั นยงค์ ผูท้ รงคุณวฒุ อิ า่ นและตรวจพจิ ารณาผลงานวชิ าการเบ้อื งตน้ : พระเมธสี ุตาภรณ์ ผศ.ดร., พระใบฎกี าหสั ดี กติ ตฺ นิ นฺโท ผศ.ดร., รศ.ดร.วรกฤต เถอ่ื นชา้ ง จดั รูปเล่ม : นายเกรยี งไกร พนิ ยารกั , ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ตรวจพสิ ูจนอ์ กั ษร : ดร.เสถยี ร ทงั่ ทองมะดนั และ ดร.ประสพฤกษ์ รตั นยงค์ ออกแบบปก : นายณฐั พล เบา้ คา พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒ : พฤษภาคม ๒๕๖๑ จานวนพมิ พ์ : ๒๕๐ เลม่ เน้ือหาจานวน ๖๓๙ หนา้ ขนาด A4 80 gsm ลกิ ขสทิ ธ์ิ : ลกิ ขสทิ ธ์เิ ป็นของผูแ้ ต่ง หา้ มลอกเลยี นแบบไมว่ ่าสว่ นใดส่วนหน่ึงของ หนงั สอื เลม่ น้ี นอกจากไดร้ บั อนุญาตเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร จดั พมิ พโ์ ดย : ดร. ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณ ราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตนครราชสมี า ผูจ้ ดั จาหน่าย : ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ พมิ พท์ ่ี : หจก. มติ รภาพการพมิ พ์ ๑๙๙๕, www.print-dee.com โทร ๐-๔๔๒๔-๔๕๕๑, ๒๔๑๔๗๖, แฟ็กซ์ ๐-๔๔๒๔-๔๕๕๑, Email : 2555 [email protected], [email protected] ๒๖๗ ถนนมติ รภาพ ตาบลในเมอื ง อาเภอเมอื ง จงั หวดั นครราชสมี า ๓๐๐๐๐ ราคา ๔๐๐ บาท

คานา เอกสารประกอบการสอนเรื่องพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ไดพ้ ฒั นามาจากคาบรรยายที่ผูเ้ ขยี นได้ บรรยายประจา จดั ทาข้นึ เพือ่ ประกอบการเรียนการสอน เป็นรายวชิ าทก่ี าหนดไวใ้ นหลกั สูตรพทุ ธศาสตรบณั ฑติ และมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา มรี ะดบั ค่าหน่วยกติ ๓ หน่วยกิต ใชเ้ วลาในการศึกษา ๑๖ สปั ดาห์ สปั ดาหล์ ะ ๓ คาบ รวมทง้ั ส้นิ ๔๘ คาบ เอกสารเลม่ น้ีผูเ้ขยี นไดร้ วบรวมมานานหลายปี โดยใชเ้ ป็นคู่มอื ประกอบการสอนและไดพ้ ฒั นาเน้ือหา ใหต้ รงตามท่กี าหนดในขอบข่ายรายวชิ าตามหลกั สูตรดงั กล่าว การผลติ เอกสารทางวชิ าการเล่มน้ีไดค้ านึงถึงความ สอดคลอ้ งกบั คาอธบิ ายรายวชิ าทก่ี าหนดไวใ้ นหลกั สูตร ในขณะเดียวกนั ก็ไดป้ รบั ปรุงเน้ือหาใหส้ อดคลอ้ งกบั แนวคิด ทางพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ผูเ้รยี นสามารถนาไปใชป้ ระโยชนใ์ นการศึกษาในรายวชิ าทเ่ี ก่ยี วขอ้ งต่อไป สาระสาคญั ของตาราเร่อื งพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ประกอบดว้ ยบทเรยี นจานวน ๘ บทดงั น้ี ครอบคลุม เน้ือหาเร่ือง ภูมิหลงั และความเช่ือสงั คมอินเดียก่อนพุทธกาล สภาพพระพุทธศาสนาและอารยธรรมในอินเดีย จุดเร่ิมตน้ คาสอนในพระพุทธศาสนาในปฐมโพธิกาล พุทธกิจ ๔๕ พรรษา เหตุการณ์สาคัญและนิกายใน พระพทุ ธศาสนา ภาษาทจ่ี ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนของพระพทุ ธศาสนา การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนา เถรวาท และอทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ อษุ าคเนย์ ผูเ้ขยี นหวงั วา่ เอกสารประกอบการสอนเร่อื ง พระพทุ ธศาสนาเถรวาท เลม่ น้ีจะเป็นประโยชนแ์ ก่ผูศ้ ึกษา และผูส้ นใจทวั่ ไป อน่ึง หามขี อ้ บกพร่องผดิ พลาดประการใดโดยอรรถและพยญั ชนะ ท่อี า้ งอิงและหลกั ฐานท่มี าอนั เกดิ ข้นึ ในส่วนต่าง ๆ ของเอกสารประกอบการสอนเลม่ น้ี ตอ้ งขออภยั เป็นอย่างยง่ิ มา ณ โอกาสน้ี ดร. ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ อาจารยห์ ลกั สูตรสาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา

สารบญั หนา้ ก เรอ่ื ง ข คานา ฉ สารบญั ๑ อกั ษรยอ่ ช่ือคมั ภรี ์ ๔ บทท่ี ๑ ภมู หิ ลงั ความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นพทุ ธกาล ๙ ๑๑ ๑.๑ ความนา ๑๕ ๑.๒ แนวคิดสาคญั ในยุคพระเวท ๑๘ ๑.๓ แนวคิดสาคญั ในยุคพรามหณะ ๕๕ ๑.๔ แนวคิดสาคญั ในยุคอปุ นิษทั ๕๙ ๑.๕ ลทั ธคิ วามเชอ่ื ครูทง้ั ๖ ๘๘ ๑.๖ ลทั ธโิ ลกยตั ๘๙ ๑.๗ ลกั ษณะสงั คมชมพทู วปี และความเชอ่ื ของสงั คมอนิ เดยี ก่อนพทุ ธกาล ๙๐ สรุปทา้ ยบท ๙๑ คาถามทา้ ยบท ๙๔ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท ๙๕ บทท่ี ๒ สภาพพระพทุ ธศาสนาและอารยธรรมในอนิ เดีย ๑๑๐ ๒.๑ ความนา ๑๒๓ ๒.๒ อารยธรรมสงั คมอนิ เดยี ๑๒๖ ๒.๓ อนิ เดยี ในฐานะอ่อู ารยธรรมของโลก ๑๓๐ ๒.๔ อนิ เดยี ปจั จบุ นั ๑๕๔ ๒.๕ การเมอื งการปกครองของอนิ เดยี ปจั จบุ นั ๑๕๖ ๒.๖ พฒั นาการของการกา้ วไปสูค่ วามเป็นมหาอานาจของอนิ เดีย ๑๕๗ สรุปทา้ ยบท ๑๕๘ คาถามทา้ ยบท ๑๖๑ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท ๑๖๖ บทท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาในปฐมโพธิกาล ๑๙๒ ๓.๑ ความนา ๒๐๒ ๓.๒ ภมู หิ ลงั ก่อนการตรสั รู้ ๒๐๗ ๓.๓ การตรสั รูแ้ ละเหตกุ ารณ์หลงั ตรสั รู้ ๓.๔ ทรงดารจิ ะประกาศธรรม ๓.๕ ปฐมเทศนา และสาระสาคญั ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร

๓.๖ อนตั ตลกั ขณสูตร -ค- สรุปทา้ ยบท คาถามทา้ ยบท ๒๗๗ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท ๒๓๘ บทท่ี ๔ พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา ๒๔๐ ๔.๑ ความนา ๒๔๑ ๔.๒ ธุระหรอื กจิ ในพระพทุ ธศาสนา ๒๔๒ ๔.๓ พทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา ๒๔๕ ๔.๔ พระวหิ ารทป่ี ระทบั ของพระพทุ ธเจา้ ๒๕๑ ๔.๕ สงั เวชนียสถาน ๔ ตาบล ๒๖๒ ๔.๖ ๑๖ ตาบล ทรงแสดงนิมติ ตโ์ อภาส ๓๒๘ ๔.๗ เจดยี ์ และสถปู ทส่ี าคญั เกย่ี วกบั พระพทุ ธเจา้ ๓๓๐ ๔.๘ ตน้ ไม้ สวน และป่าทเ่ี ก่ยี วกบั พระพทุ ธเจา้ ๓๓๒ สรุปทา้ ยบท ๓๓๓ คาถามทา้ ยบท ๓๓๖ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท ๓๔๒ บทท่ี ๕ เหตกุ ารณ์สงั คายนาและนิกายในพระพทุ ธศาสนา ๓๔๔ ๕.๑ ความนา ๓๔๕ ๕.๒ สง่ิ ทท่ี าใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเกดิ ความเสอ่ื ม และเกดิ ความเจรญิ ๓๔๖ ๕.๓ สงั คายนาทป่ี รากฏในสมยั พทุ ธกาล ๓๔๙ ๕.๔ สงั คายนาหลงั พทุ ธปรนิ ิพานในอนิ เดยี ๓๕๑ ๕.๕ สงั คายนาและนิกายในลงั กาทวปี ๓๕๘ ๕.๖ สงั คายนาและนิกายในประเทศเมยี นมา่ ร์ ๓๖๒ ๕.๗ สงั คายนาและนิกายในประเทศไทย ๔๐๑ ๕.๘ นิกายสาคญั ในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๔๑๒ ๕.๙ การทาสงั คายนาของพทุ ธศาสนาฝ่ายมหายาน ๔๒๓ ๕.๑๐ ความแตกต่างของพระพทุ ธศาสนาเถรวาทกบั มหายาน ๔๒๕ สรุปทา้ ยบท ๔๒๘ คาถามทา้ ยบท ๔๓๕ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท ๔๓๙ ๔๕๐ ๔๔๒

บทท่ี ๖ ภาษาท่ใี ชจ้ ารกึ คมั ภรี แ์ ละการรกั ษาคาสอนของพระพทุ ธศาสนา -ง- ๖.๑ ความนา ๖.๒ อกั ษรและภาษาทใ่ี ชบ้ นั ทกึ และเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ๔๔๔ ๖.๓ การรกั ษาสบื ทอดพระไตรปิฎก ๔๔๗ ๖.๔ ระบบการรกั ษาสบื ทอดโดยลายลกั ษณอ์ กั ษร ๔๔๘ ๖.๕ การนบั ครงั้ ในการทาสงั คายนา ๔๖๘ สรุปทา้ ยบท ๔๘๖ คาถามทา้ ยบท ๔๘๘ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท ๔๙๐ ๔๙๓ บทท่ี ๗ การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๔๙๔ ๗.๑ ความนา ๔๙๖ ๗.๒ พฒั นาการลาดบั คาสอนสาคญั ในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๔๙๙ ๗.๓ การจดั ลาดบั คมั ภรี ใ์ นพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๕๐๐ ๗.๔ เกณฑใ์ นการจดั ลาดบั คมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๕๐๕ สรุปทา้ ยบท ๕๑๔ คาถามทา้ ยบท ๕๓๑ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท ๕๓๒ ๕๓๓ บทท่ี ๘ อทิ ธิพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในกลมุ่ อษุ าคเนย์ ๕๓๕ ๘.๑ ความนา ๕๓๘ ๘.๒ อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศลงั กา ๕๔๐ ๘.๓ อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในประเทศเมยี นมา่ ร์ ๕๕๓ ๘.๔ อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในประเทศไทย ๕๕๙ ๘.๕ อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในประเทศลาว ๕๗๐ ๘.๖ อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในประเทศกมั พชู า ๖๐๓ ๘.๗ อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในประเทศเวยี ดนาม ๖๑๑ ๘.๘ อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนากบั สงั คมการเมอื งในมาเลเซยี ๖๑๘ ๘.๙ อทิ ธพิ ลพทุ ธศาสนากบั สงั คมการเมอื งในอนิ โดนีเซยี ๖๒๐ ๘.๑๐ อทิ ธพิ ลพระพทุ ธศาสนาในสงิ คโปร์ ๖๒๒ สรุปทา้ ยบท ๖๒๕ คาถามทา้ ยบท ๖๒๙ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท ๖๓๐

บรรณานุกรม -จ- ประวตั ผิ ูเ้ขยี น มคอ ๓ รายละเอยี ดวชิ า ๖๓๑ ๖๔๐

-ฉ- อกั ษรย่อช่ือคมั ภรี ์ การอา้ งอิงในหนงั สือเล่มน้ี ใชอ้ า้ งอิงจากพระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบบั มหาจุฬเตปิฏก ๒๕๐๐ และ พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ๒๕๓๙ โดยใชส้ ญั ลกั ษณ์ และคาย่อตามระเบยี บของ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั คอื ช่อื ย่อคมั ภรี /์ เลม่ /ขอ้ /หนา้ เช่น ข.ชา. (ไทย) ๒๗/๓๓/๓๔. หมายถงึ สุตตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย ชาดก (ภาษาไทย) เลม่ ท่ี ๓๓ ขอ้ ท่ี ๒๒ หนา้ ๓๔ เป็นตน้ พระวนิ ัยปิฎกภาษาบาลี – ไทย เลม่ ท่ี ๑-๒ ว.ิ มหา. (บาล)ี = วนิ ยั ปิฎก มหาวภิ งฺคปาลิ ว.ิ มหา. (ไทย) = วนิ ยั ปิฎก มหาวภิ งั ค์ เลม่ ท่ี ๓ ว.ิ ภกิ ขฺ นุ ี. (บาล)ี = วนิ ยั ปิฎก ภกิ ขฺ นุ ีวภิ งคฺ ปาลิ ว.ิ ภกิ ขฺ นุ ี. (ไทย) = วนิ ยั ปิฎก ภกิ ขนุ ีวภิ งั ค์ เลม่ ท่ี ๔-๕ ว.ิ ม. (บาล)ี = วนิ ยั ปิฎก มหาวคคฺ ปาลิ ว.ิ ม. (ไทย) = วนิ ยั ปิฎก มหาวรรค เลม่ ท่ี ๖-๗ ว.ิ จู (บาล)ี = วนิ ยั ปิฎก จฬู วคฺคปาลิ ว.ิ จู (ไทย) = วนิ ยั ปิฎก จฬู วรรค เลม่ ท่ี ๘ ว.ิ ป. (บาล)ี = วนิ ยั ปิฎก ปรวิ ารวคฺคปาลิ ว.ิ ป. (ไทย) = วนิ ยั ปิฎก ปรวิ าร เลม่ ท่ี ๙ ท.ี ส.ี (บาล)ี พระสตุ ตนั ตปิฎกภาษาบาลี – ไทย เลม่ ท่ี ๑๐ ท.ี ส.ี (ไทย) =สุตตฺ นฺตปิฏก ทฆี นิกาย สลี กขฺ นฺธวคคฺ ปาลิ เลม่ ท่ี ๑๑ ท.ี ม. (บาล)ี =สุตตฺ นฺตปิฏก ทฆี นิกาย สลี ขนั ธวรรค เลม่ ท่ี ๑๒ ท.ี ม. (ไทย) =สุตตฺ นฺตปิฏก ทฆี นิกาย มหาวคคฺ ปาลิ เลม่ ท่ี ๑๓ ท.ี ปา. (บาล)ี =สุตตฺ นฺตปิฏก ทฆี นิกาย มหาวรรค เลม่ ท่ี ๑๔ ท.ี ปา. (ไทย) =สุตตฺ นฺตปิฏก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วคคฺ ปาลิ ม.ม.ู (บาล)ี =สุตตฺ นฺตปิฏก ทฆี นิกาย ปาฏกิ วรรค ม.ม.ู (ไทย) =สุตตฺ นฺตปิฏก มชั ฺฌมิ นิกาย มลู ปณฺณาสกปาลิ ม.ม. (บาล)ี =สุตตฺ นฺตปิฏก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณั ณาสก์ ม.ม. (ไทย) =สุตตฺ นฺตปิฏก มชฌฺ มิ นิกาย มชั ฺฌมิ ปณฺณาสกปาลิ ม.อ.ุ (บาล)ี =สุตตฺ นฺตปิฏก มชั ฌมิ นิกาย มชั ฌมิ ปณณาสก์ ม.อ.ุ (ไทย) =สุตตฺ นฺตปิฏก มชั ฌฺ มิ นิกาย อปุ รปิ ณฺณาสกปาลิ =สุตตฺ นฺตปิฏก มชั ฌมิ นิกาย อปุ รปิ ณั ณาสก์

-ช- เลม่ ท่ี ๑๕ ส.ส. (บาล)ี =สุตตฺ นฺตปิฏก สงั ฺยุตตฺ นิกาย สคาถวคฺคปาลิ เลม่ ท่ี ๑๘ ส.ส. (ไทย) =สุตตฺ นฺตปิฏก สงั ยุตตนิกาย สคาถวรรค เลม่ ท่ี ๒๐ ส.สฬา. (บาล)ี =สุตตฺ นฺตปิฏก ยุตตฺ นิกาย สฬายตนวคคฺ ปาลิ เลม่ ท่ี ๒๒ ส.สฬา. (ไทย) =สุตตฺ นฺตปิฏก สงั ยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เลม่ ท่ี ๒๕ อง.ฺ ทกุ . (บาล)ี =สุตตฺ นฺตปิฏก องั ฺคุตตฺ รนิกาย ทกุ นิปาตปาลิ องฺก. (ไทย) =สุตตฺ นฺตปิฏก องั คุตตรนิกาย ทกุ นิบาต เลม่ ท่ี ๒๙ องฺ.ฉกกฺ . (บาล)ี =สุตตฺ นฺตปิฏก องี คฺ ุตตฺ รนิกาย ฉกั กฺ นิปาตปาลิ เลม่ ท่ี ๓๑ องฺ.ฉกกฺ . (ไทย) =สุตตฺ นฺตปิฏก องั คุตตรนิกาย ฉกั กนิบาต เลม่ ท่ี ๒๓ ข.ุ ธ. (บาล)ี =สุตตฺ นฺตปิฏก ขทุ ทฺ กนิกาย ธมมฺ ปทปาลิ เลม่ ท่ี ๒๖ ข.ุ ธ (ไทย) =สุตตฺ นฺตปิฏก ขทุ ทกนิกาย ธรรมบท ข.ุ สุ. (บาล)ี =สุตตฺ นฺตปิฏก ขทุ ทฺ กนิกาย สุตตฺ นิปาตปาลิ ข.ุ สุ. (ไทย) =สุตตฺ นฺตปิฏก ขทุ ทกนิกาย สุตตนิบาต ข.ุ ม. (บาล)ี =สุตตฺ นฺตปิฏก ขทุ ทฺ กนิกาย มหานิทเฺ ทสปาลิ ข.ุ ม. (ไทย) =สุตตฺ นฺตปิฏก ขทุ ทกนิกาย มหานิเทส ข.ุ ป. (บาล)ี =สุตตฺ นฺตปิฏก ขทุ ทฺ กนิกาย ปฏสิ มภฺ ทิ ามคฺคปาลิ ข.ุ ป. (ไทย) =สุตตฺ นฺตปิฏก ขทุ ทกนิกาย ปฏสิ มั ภทิ ามรรค องฺ.นวก. (บาล)ี =สุตตฺ นฺตปิฏก องฺคุตตฺ รนิกาย นวกนิปาตปาลิ อง.ฺ นวก. (ไทย) =สุตตฺ นฺตปิฏก องั คุตตรนิกาย นวกนิบาต ข.ุ เถร. (บาล)ี =สุตตฺ นฺตปิฏก ขทุ ทฺ กนิกาย เถรคาถาปาลิ ข.ุ เถร. (ไทย) =สุตตฺ นฺตปิฏก ขทุ ทกนิกาย เถรคาถา เลม่ ท่ี ๓๔ อภ.ิ สงฺ (บาล)ี พระอภธิ รรมปิ ฎกภาษาบาลี – ไทย เลม่ ท่ี ๓๕ อภ.ิ สงฺ (ไทย) =อภธิ มปฺ ิฎก ธมมฺ สงคฺ ณี เลม่ ท่ี ๓๖ อภ.ิ ว.ิ (บาล)ี =อภธิ มปฺ ิฎก ธรรมสงคณี =อภธิ มปฺ ิฎก วภิ งคฺ ปาลิ ฯลฯ

บทท่ี ๑ ภมู ิหลงั ความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง น.ธ.เอก, ป.ธ.๔, พธ.บ., M.A., Ph.D.(Buddhist Studies) วตั ถปุ ระสงคก์ ารศึกษาประจาบท เมอ่ื ไดศ้ ึกษาเน้ือหาในบทน้ีแลว้ ผูศ้ ึกษาสามารถ ๑. อธบิ ายสาระสาคญั แนวคดิ ยุคพระเวทไดถ้ กู ตอ้ ง ๒. อธบิ ายสาระสาคญั แนวคิดยุคพราหมณะไดถ้ ูกตอ้ ง ๓. อธบิ ายสาระสาคญั อปุ นิษทั ไดถ้ กู ตอ้ ง ๔. วเิ คราะหส์ าระสาคญั เก่ยี วกบั ลทั ธคิ วามเชอ่ื ครูทง้ั ๖ ไดถ้ กู ตอ้ ง ๕. วเิ คราะหส์ าระสาคญั เกย่ี วกบั ลทั ธโิ ลกายตั (จารวาก) ไดถ้ กู ตอ้ ง ๖. อธบิ ายลกั ษณะสงั คมชมพทู วปี และความเช่อื ของสงั คมอนิ เดยี ก่อนพทุ ธกาล ไดถ้ กู ตอ้ ง ขอบข่ายเน้ือหา  ความนา  สาระสาคญั แนวคิดยุคพระเวท  สาระสาคญั แนวคิดยุคพราหมณะ  สาระสาคญั อปุ นิษทั ไดถ้ กู ตอ้ ง  สาระสาคญั เก่ยี วกบั ลทั ธคิ วามเชอ่ื ครูทงั้ ๖  สาระสาคญั เก่ยี วกบั ลทั ธิโลกายตั (จารวาก)  ลกั ษณะสงั คมชมพทู วปี และความเชอ่ื ของสงั คมอนิ เดียก่อนพทุ ธกาล

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ แผนบรหิ ารการสอนบทท่ี ๑ เน้ือหาสาคญั บทท่ี ๑ ภูมหิ ลงั ความเช่อื สงั คมอนิ เดียก่อนสมยั พทุ ธกาล เป็นการกล่าวถงึ แนวคิดและววิ ฒั นาการของ ความเช่อื ในสงั คมอนิ เดยี ก่อนทพ่ี ระพทุ ธศาสนาจะอบุ ตั ิข้นึ แนวคิดสาคญั ในยุคก่อนพระพทุ ธศาสนาจะมคี วามเช่อื เร่อื งพระเจา้ เป็นหลกั สาคญั เพราะเช่อื วา่ สรรพสง่ิ นนั้ เกดิ มาจากพระเจา้ พระเจา้ เป็นผูม้ อี ิทธพิ ลอานาจเหนือมนุษย์ แนวคิดและความเช่ือสงั คมก่อนสมยั พทุ ธกาลมคี วามเช่ือท่หี ลากหลาย มลี ทั ธติ ่าง ๆ มากมายซ่งึ ทาใหเ้ หน็ ความ แตกต่างของความเชอ่ื จากแนวคิดและความเชอ่ื ทแ่ี ตกต่างกนั ทาใหเ้ขา้ ใจววิ ฒั นาการของแนวคิดก่อนสมยั พทุ ธกาล ซ่ึงจะเป็นประโยชนแ์ ละทาใหเ้ ราเขา้ ใจพระพุทธศาสนามากย่ิงข้นึ ว่า ทาไมพระพุทธศาสนา จึงปฏิเสธพระเจา้ (อเทวนิยม) อยา่ งไรกต็ าม แนวคดิ และความเช่ือก่อนสมยั พทุ ธกาลถงึ แมว้ ่าจะใหค้ วามสาคญั กบั พระเจา้ กต็ ามแต่ก็ มเี ป้าหมายสูงสุด เพอ่ื ใหม้ นุษยเ์ กิดสนั ติสุขและสามารถบรรลุเป้าหมายหลุดพน้ ส่งิ ต่างๆ ท่มี าพนั ธนาการชีวติ ของ มนุษยไ์ ด้ การทจ่ี ะทราบและเขา้ ใจภมู หิ ลงั ความเชอ่ื สงั คมอนิ เดยี ก่อนสมยั พทุ ธกาลจะตอ้ งศึกษาสาระสาคญั ดงั น้ี ๑. ความนาภมู หิ ลงั ความเชอ่ื สงั คมอนิ เดยี ก่อนพทุ ธกาล ๒. แนวคิดสาคญั ในยุคพระเวท ๓. แนวคดิ สาคญั ในยุคพรามหณะ ๔. แนวคดิ สาคญั ในยุคอปุ นิษทั ๕. ลทั ธคิ วามเช่อื ครูทงั้ ๖ ๖. ลทั ธโิ ลกยตั (จารวาก) ๗. ลกั ษณะสงั คมชมพทู วปี และความเช่อื ของสงั คมอนิ เดียก่อนพทุ ธกาล ๘. สรุปภมู หิ ลงั ความเชอ่ื สงั คมอนิ เดยี ก่อนสมยั พทุ ธกาล วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม ๑. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายสาระสาคญั แนวคดิ ยุคพระเวทได้ ๒. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายสาระสาคญั แนวคิดยุคพราหมณะได้ ๓. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายสระสาคญั อุปนิษทั ได้ ๔. ผูศ้ ึกษาสามารถวเิ คราะหส์ าระสาคญั เก่ยี วกบั ลทั ธคิ วามเช่อื ครูทง้ั ๖ ได้ ๕. ศึกษาสามารถวเิ คราะหส์ าระสาคญั เกย่ี วกบั ลทั ธิโลกายตั (จารวาก) ได้ ๖. ผูศ้ ึกษาสามารถอธบิ ายลกั ษณะสงั คมชมพทู วปี และความเช่อื ของสงั คมอนิ เดยี ก่อนพทุ ธกาลได้ ๗. ผูศ้ ึกษาสามารถวเิ คราะหค์ วามสาคญั และเป้าหมายของความเชอ่ื ของสงั คมอนิ เดียก่อนพทุ ธกาลได้ แต่ ละแนวคดิ ความเชอ่ื ได้

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี ก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๓ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ วธิ กี ารสอนและกจิ กรรม ๑. ศึกษาเอกสารประกอบการสอนบทท่ี ๑ รายวชิ าพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๒. วธิ สี อนแบบอภปิ รายเน้ือหา/ซกั ถาม/และทาแบบฝึกหดั ในชนั้ เรียน ๓. ศึกษาคน้ ควา้ ภมู หิ ลงั ความเชอ่ื สงั คมอนิ เดยี ก่อนพทุ ธกาลดว้ ยตนเอง ๔. รายงานผลตามกลมุ่ หนา้ ชน้ั เรยี นเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรและวาจา ๕. ร่วมวเิ คราะหเ์ อกสารจากเอกสาร บทความการวจิ ยั และ Power point หนา้ ชน้ั เรยี น ๖. สรุปเน้ือหาทเ่ี รยี นการสอนแต่ละครง้ั ๗. ทาแบบฝึกหดั ทา้ ยบทหลงั เรียนและนาผลท่ไี ดม้ าวิเคราะหพ์ ้ืนฐานความรูค้ วามเขา้ ใจของนิสิตอนั นาไปสูก่ ารพฒั นาและปรบั ปรุงการเรยี นรูท้ เ่ี หมาะสม สอ่ื การเรยี นการสอน ๑. เอกสารประกอบการสอนประจาบทท่ี ๑ รายวชิ าพระพทุ ธศาสนาเถรวาท ๒. คาถามและแบบประเมนิ ผลก่อน/หลงั เรยี น ๓. เอกสารคาถามประจาบทท่ี ๑ ๔. แบบฝึกปฏบิ ตั เิ พอ่ื การพฒั นาสงั คม ๕. สอ่ื ประกอบการบรรยายตาม Power point ๖. อปุ กรณเ์ ครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ การวดั ผลและประเมินผล ๑. สงั เกตการณก์ ารมสี ่วนร่วมการเรยี นรูแ้ ละการปฏบิ ตั งิ านของนิสติ ๒. การแสดงความคดิ เหน็ ของนิสติ ๓. วเิ คราะหจ์ ากการประเมนิ ผลก่อนและหลงั เรยี น ๔. การสงั เกตความตง้ั ใจเรยี น ความสนใจทจ่ี ะฟงั คาถามและตอบปญั หา ๕. การศึกษาจากรายงานประจาภาคเรยี น ๖. การทาแบบฝึกหดั ทา้ ยบท

บทท่ี ๑ “ภูมิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ๑.๑ ความนา พระพทุ ธศาสนาไดอ้ บุ ตั ขิ ้นึ ท่ามกลางสงั คมอินเดยี ทมี คี วามหลากหลายดา้ นความเช่อื ศาสนา ลทั ธติ ่างๆ ท่ี อุบตั ิข้นึ ก่อนพระพทุ ธศาสนาและท่เี กิดข้นึ ในช่วงเดียวกนั ตลอดจนลทั ธิท่เี กิดข้นึ มาภายหลงั อีกมากมาย แมว้ ่า พระพทุ ธศาสนาจะเกดิ ข้นึ มาในดินแดนชมพูทวปี หรืออนิ เดียเหมอื นกบั ลทั ธศิ าสนาต่างๆ เหล่านน้ั แต่พทุ ธศาสนามี ลกั ษณะพเิ ศษทแ่ี ตกต่างจากลทั ธิศาสนาต่างๆ ไดแ้ ก่การอุบตั ขิ ้นึ มาพรอ้ มกบั การปฏริ ูปสงั คมอินเดียเสยี ใหม่ คือ พระพทุ ธศาสนาไดเ้ สนอหลกั ทฤษฎใี หม่ ซ่งึ หกั ลา้ งกบั ความเช่อื ดงั้ เดมิ ของชาวอินเดียไปมาก โดยเฉพาะอย่างย่งิ หลกั การท่แี ตกต่างจากศาสนาพราหมณ์โดยส้นิ เชิง เมอ่ื เป็นเช่นนนั้ เมอ่ื พทุ ธศาสนาเคยไดเ้จริญรุ่งเรืองในอินเดียมา ก่อนย่อมจะทาใหส้ งั คมอินเดียไดร้ บั อิทธิพลดา้ นความคิดและความเช่ือจากพระพุทธศาสนาอย่างแน่นอน เม่ือ ความคิด ความเช่อื หรอื ทศั นคตขิ องคนอนิ เดยี เป็นอย่างไร ก็ย่อมส่งผลใหส้ งั คมเป็นไปอย่างนน้ั ดว้ ย แมว้ ่าปจั จบุ นั น้ี จะเหลอื แต่ภาพเก่าๆ ของพุทธศาสนาในความทรงจาของผูค้ นหรืออาจจะลมื ไปแลว้ ก็ตามสาหรบั คนอินเดีย แต่ อทิ ธพิ ลของของพทุ ธศาสนาท่เี คยมบี ทบาทต่อสงั คมอนิ เดยี นนั้ ยงั ปรากฏอยูท่ งั้ ในอดตี และปจั จบุ นั ศาสนาท่ีเก่าแก่ท่สี ุดของอินเดียคือ ศาสนาพราหมณ์ ต่อมาเรียกว่าศาสนาฮินดู เดิมนนั้ ศาสนาฮินดูสอน เร่อื งเทพเจา้ ประจาธรรมชาติเช่นสอนว่ามเี ทพประจาแผ่นดนิ ทะเล ทอ้ งฟ้า ดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์ และอ่นื ๆ ต่อมา เทพเจา้ หลายองคก์ ็ไดร้ บั เลอื กใหม้ บี ทบาทเด่นท่สี ุดสามองคค์ ือ พระพรหม พระนารายณ์ (หรอื พระวษิ ณุ) และพระ ศิวะ (หรือพระอิศวร) ปจั จุบนั เทพเจา้ สามองคม์ เี พียงสององคท์ ่ีชาวฮินดู นบั ถือมากท่ีสุดคือ พระศิวะและพระ นารายณ์ ในสงั คมไทยนน้ั เรากลบั นบั ถอื พระพรหม มากกว่าพระนารายณ์และพระศิวะ ชาวฮินดูเช่อื ว่าเทพเจา้ สาม องคน์ ้ีมบี ทบาทหลกั เก่ยี วขอ้ งกบั โลกเรา (โลกในท่ีน้ีหมายถงึ จกั รวาล) ต่างกนั คือพระพรหมสรา้ งโลก พระนารายณ์ คุม้ ครองโลก พระศิวะทาลายโลก บทบาทสามประการของเทพเจา้ สามองคน์ ้ีมาจากความเช่ือของศาสนาฮินดูท่วี ่า จกั รวาลน้ีมเี กดิ มดี บั สลบั กนั ไปเช่นน้ีชวั่ นิจนิรนั ดร การเกดิ ดบั ของโลกน้ีศาสนาฮนิ ดูเช่ือว่าเกย่ี วขอ้ งกบั การท่มี นุษยเ์ ราประพฤติตนอย่างไรในทางศีลธรรม เมอ่ื พระพรหมสรา้ งโลกแลว้ พระพรหมกจ็ ะปล่อยใหม้ นุษยด์ ูแลโลกไป ตราบเท่าทม่ี นุษยย์ งั มศี ีลธรรมอยู่ตราบนน้ั โลกก็ จะยงั ดาเนินไปดว้ ยดี ต่อเมอ่ื ใดท่มี าตรฐานทางศีลธรรมของมนุษยต์ า่ ลง เมอ่ื นน้ั โลกจะค่อยๆ เส่ือมลง ความเส่อื ม ของโลกน้ีดูจากการทโ่ี ลกจะมคี วามทุกขเ์ พม่ิ มากข้นึ ชีวติ มนุษยจ์ ะเตม็ ไปดว้ ยปญั หามากกว่าแต่ก่อน ตามความเช่อื ของชาวฮินดู เพ่ือใหศ้ ีลธรรมของมนุษยด์ ารงอยู่ พระนารายณ์จะอวตารลงมาเกิดเป็นผู้นาทางศีลธรรมเพ่อื บอก มนุษย์ว่าอะไรคือความดี อะไรคือความชวั่ บางครง้ั ก็มีการอธิบายว่าแมแ้ ต่พระศาสดาในศาสนาอ่ืน เช่น พระพุทธเจา้ ของศาสนาพุทธ ก็เป็นภาคอวตารของพระนารายณ์ อย่างไรก็ตาม พระนารายณ์ก็ไม่สามารถบงั คบั ให้ มนุษยท์ าดไี ดห้ ากมนุษยไ์ มเ่ หน็ คุณค่าของความดนี น้ั ดว้ ยตวั เขาเอง ดงั นน้ั จึงเป็นไปไดว้ ่าแมจ้ ะมศี าสนาแลว้ ในเวลา ต่อมาศีลธรรมของมนุษยก์ ็สามารถเส่อื มลงไดเ้ พราะมนุษยไ์ ม่เหน็ คุณค่าของศาสนา เม่อื เป็นเช่นน้ีบทบาทของพระ นารายณก์ จ็ ะค่อยๆ ลดลง จนถงึ วนั หน่ึงเมอ่ื มาตรฐานทางศีลธรรมของมนุษยต์ กตา่ จนถงึ ระดบั วกิ ฤติ พระศิวะจะเขา้ มาทาหนา้ ท่ีแทนพระนารายณ์ นนั่ ก็จะถึงจุดจบของโลก โลกจะพินาศเพราะการทาลายของพระศิวะ เม่อื โลกถูก ทาลายแลว้ พระพรหมกจ็ ะเขา้ มารบั ช่วงในการสรา้ งโลกรอบใหม่ต่อไป

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี ก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๕ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ แนวคิดของศาสนาฮินดูหลายอย่างนนั้ ศาสนาอ่ืนๆ ในอินเดียเช่นพุทธศาสนาอาจไม่เห็นดว้ ย เช่นพุทธ ศาสนาไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั แนวคิดเร่อื งวรรณะทศ่ี าสนาฮินดูสอน พทุ ธศาสนาไม่เหน็ ดว้ ยกบั ความเช่อื ของศาสนาฮินดูทว่ี ่า พธิ ีกรรมช่วยใหช้ ีวิตเราบริสุทธ์ิได้ (เช่นการลงไปอาบนา้ ในแม่นา้ คงคาจะช่วยใหพ้ น้ จากบาปท่ีไดก้ ระทามา) แต่ใน เรอ่ื งโครงสรา้ งทางศีลธรรมท่กี ลา่ วมาน้ี ดูเหมอื นว่าพทุ ธศาสนาจะเหน็ ดว้ ยกบั ศาสนาฮนิ ดู นอกจากพทุ ธศาสนายงั มี ศาสนาท่ีสาคญั อีกศาสนาหน่ึงของอินเดีย เกิดร่วมสมยั กบั พุทธศาสนาคือ ศาสนาไชนะ ศาสนาน้ีก็เช่ือในเร่ือง โครงสรา้ งทางศีลธรรมทจ่ี ะช่วยคา้ จนุ โลกเหมอื นกนั แต่รายละเอยี ดว่าธรรมทว่ี ่านน้ั คอื อะไรศาสนาเหลา่ น้ีสอนต่างกนั ศาสนาฮินดูสอนว่าธรรม คือ การทาหนา้ ท่ี ศาสนาพุทธสอนว่าธรรม คือ การทาตวั ใหส้ อดคลอ้ งกบั กฎ ธรรมชาติ ศาสนาไชนะ (ศาสนาเชน) สอนวา่ ธรรมคอื การไมเ่ บยี ดเบยี นผูอ้ ่นื เมอ่ื สามศาสนาน้ีนิยามธรรมต่างกนั หลกั การปฏบิ ตั ิหรอื หลกั การสาหรบั ตดั สนิ ว่าความดคี วามชวั่ คืออะไรก็ ต่างกนั เพอ่ื ใหเ้หน็ ภาพคาสอนทต่ี ่างกนั ของสามศาสนาน้ี ขอใหพ้ จิ ารณาตวั อย่างต่อไปน้ี ๑. ทหารทไ่ี ปรบเพอ่ื ป้องกนั ประเทศ จาเป็นตอ้ งฆ่าขา้ ศึก ถามว่าเขาทาบาปไหม? ๒. เรากนิ ยาถา่ ยพยาธเิ พ่อื ใหส้ ุขภาพแขง็ แรง ถามว่าเราทาบาปไหม? ๓. เราเดินทางขา้ มทะเลทรายโดยข่มี า้ ระหว่างทางมา้ เราขาหกั ไปต่อไม่ได้ เราไม่สามารถพามา้ ไปดว้ ย ปญั หาคอื ถา้ ท้งิ มา้ ไวอ้ ยา่ งนนั้ กวา่ มนั จะตายทา่ มกลางแสงแดดทร่ี อ้ นระอุนนั้ ตอ้ งใชเ้วลาหลายวนั เราไม่ตอ้ งการใหม้ า้ ท่ี เรารกั ตายอยา่ งทรมาน เราจงึ ตดั สนิ ใจยงิ มนั ดว้ ยปืนเพอ่ื ใหต้ ายทนั ที ถามว่าเราไดท้ าบาปไหม? ปญั หาขา้ งตน้ น้ีเป็นปญั หาทเ่ี รยี กกนั ในทางปรชั ญาว่า ปญั หาความขดั แยง้ ทางศีลธรรม (moral dilemma) ซง่ึ เป็นปญั หาทต่ี อบไดย้ าก และปญั หาประเภทน้ีโลกมนุษยก์ าลงั เผชิญหนา้ อยู่ไม่นอ้ ย (เช่นปญั หาการทาแทง้ ปญั หา โทษประหารชีวติ ) มคี วามพยายามจากหลายฝ่ายท่จี ะแกป้ ญั หาความขดั แยง้ ทางศีลธรรมเหล่าน้ี และศาสนาก็เป็น สถาบนั หน่ึงท่มี บี ทบาทสูงในการใหค้ าอธบิ ายและทางออกแก่ปญั หาเหล่าน้ี ในท่นี ้ีเราจะลองพจิ ารณาทศั นะของสาม ศาสนาทส่ี าคญั ของอนิ เดยี ท่กี ล่าวขา้ งตน้ คาตอบท่แี ต่ละศาสนาใหแ้ ก่ปญั หาเหล่าน้ีจะสะทอ้ นใหเ้หน็ ว่าแต่ละศาสนา คดิ อย่างไรเก่ยี วกบั โลกและชวี ติ ในคมั ภรี ์ “ภควทั คีตา” อนั เป็นคมั ภรี ส์ าคญั เล่มหน่ึงของศาสนาฮินดู มกี ารนิยามธรรมว่าคือการทาหนา้ ท่ี ในคมั ภรี เ์ ลม่ น้ีมกี ารเลา่ เร่อื งว่าแม่ทพั คนหน่ึงเกิดความสงสยั ว่า การท่ตี นเองเป็นทหารตอ้ งเขา้ รบอยู่เสมอและในการ รบนนั้ กจ็ าเป็นตอ้ งเขน่ ฆ่าฝ่ายตรงกนั ขา้ ม เขาจะตอ้ งรบั บาปอนั เกดิ จากการฆ่าคนหรือไม่ เน้ือหาของคมั ภรี ไ์ ดต้ อบว่า ตามทศั นะของศาสนาฮินดู อะไรจะผิดหรือไม่ผดิ ข้นึ อยู่กบั ว่าส่งิ นนั้ เป็นหนา้ ทข่ี องเราหรือไม่ การตง้ั คาถามเก่ยี วกบั การกระทาใดๆ โดยไม่ดูว่ากระทาโดยคนท่มี หี นา้ ท่หี รือไม่ ไม่สามารถตอบไดว้ ่าผิดหรือถูก เช่นการฆ่า ถามว่าผิด หรือถกู ทนั ทไี มไ่ ด้ ตอ้ งถามว่าใครเป็นคนฆ่าและใครถูกฆ่า และฆ่าในสถานการณ์เช่นใด เช่น นายเขยี วเป็นทหารไป รบฆ่านายขาวซ่ึงเป็นฝ่ ายตรงขา้ มตาย อย่างน้ี ไม่ถือว่าผิด เพราะเป็นการทาตามหนา้ ท่ี แต่ถา้ นายเขยี วเป็นคน ธรรมดา วนั หน่ึงเดนิ เขา้ ซอยเกดิ เขมน่ กบั นายขาวแลว้ ฆ่านายขาวตาย อย่างน้ี ถอื ว่าผดิ เพราะนายเขยี วไมม่ หี นา้ ท่ใี น การฆ่า กรณีตวั อย่างท่ยี กมาขา้ งตน้ ตามศาสนาฮินดูการกนิ ยาฆ่าพยาธิ ถา้ ตีความว่า เป็นไปตามหนา้ ท่ขี องมนุษยท์ ่ี จะพงึ รกั ษาสุขภาพของตนใหด้ ี ก็ไม่ถอื ว่าผดิ การฆ่ามา้ ขาหกั ในทะเลทราย เพราะไม่ตอ้ งการใหม้ นั ทุกขท์ รมาน ถา้ ตคี วามว่า เป็นหนา้ ทข่ี องเราทเ่ี ป็นเจา้ นายมนั ทต่ี อ้ งกระทาเช่นนนั้ กไ็ มถ่ อื วา่ ผดิ

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ธรรมตามทศั นะของพระพทุ ธศาสนา คือการทาตวั ใหส้ อดคลอ้ งกบั กฎธรรมชาติ การฆ่านนั้ พุทธศาสนาถอื ว่าผดิ ไม่ว่าจะฆ่าใคร ฆ่าทไ่ี หน หรอื ฆ่าภายใตส้ ถานการณเ์ ช่นใดก็ตาม ท่พี ทุ ธศาสนาเช่อื เช่นนนั้ กเ็ พราะพจิ ารณาว่า การฆ่าเป็นอกศุ ลกรรมตามธรรมชาติ และสง่ิ ทเ่ี ป็นอกุศลกรรมตามธรรมชาตินนั้ ย่อมส่งผลใหเ้กดิ ความเดอื ดรอ้ นแก่ ผูก้ ระทาเสมอ ไม่ว่าผูก้ ระทาจะอา้ งว่าทาไปเพราะไม่มที างเลอื ก เพราะสงสาร หรือเพราะถกู บงั คบั ก็ตาม การไปรบ แลว้ ฆ่าศตั รู การกินยาฆ่าพยาธิ การฆ่ามา้ ขาหกั ในทะเลทรายลว้ นแลว้ แต่เป็นเร่อื งท่ผี ดิ ตามหลกั การของพทุ ธศาสนา ทง้ั ส้นิ แมว้ ่าพทุ ธศาสนาจะมองว่าความผดิ ถูกเป็นเร่ืองตามธรรมชาติ มนุษยไ์ ม่สามารถเปลย่ี นแปลงสง่ิ ท่ผี ดิ ใหถ้ ูก หรอื ทถ่ี กู ใหผ้ ดิ แต่พทุ ธศาสนากม็ จี ารีตในการท่จี ะไมใ่ ชศ้ าสนาบบี บงั คบั ใหบ้ ุคคลทาตามศีลธรรมของศาสนาหากเขา ไมย่ นิ ดี ชาวพทุ ธทจ่ี าเป็นตอ้ งทาบาปเช่นตอ้ งประกอบอาชพี ประมงเพอ่ื เล้ยี งชพี และไมม่ อี าชพี อ่นื ใหท้ าในทอ้ งถน่ิ นนั้ (เช่นบริเวณชายทะเลท่ไี ม่สามารถทาการเกษตรได)้ พทุ ธศาสนาก็อนุโลมใหเ้ จา้ ตวั พิจารณาเองว่าจะจดั การกบั ชีวิต ตนเองอย่างไร ถา้ เจา้ ตวั เขาเหน็ ว่าตอ้ งทาไม่เช่นนน้ั จะอดตายก็ทาได้ แต่พทุ ธศาสนาก็ยงั ยนื ยนั ว่าการทาประมงนน้ั เป็นบาป และชาวประมงกต็ อ้ งรบั กรรมทก่ี ระทานนั้ ในอนาคต การตอ้ งทาบาปไม่เช่นนน้ั จะอดตายพทุ ธศาสนาก็ยงั ถอื ว่าไม่พน้ ความผิด ในขณะท่ศี าสนาฮินดูอาจจะมองว่าการทาประมงเป็นหนา้ ท่ี ถา้ ไม่มชี าวประมงเราก็ไม่มปี ลากิน ดงั นน้ั การทาประมงจงึ ไมผ่ ดิ แต่การตกปลาเพอ่ื ความสนุกสนานโดยไมม่ หี นา้ ทร่ี องรบั ตอ้ งถอื วา่ ผดิ ธรรมตามทศั นะของศาสนาไชนะ คือการงดเวน้ ทจ่ี ะไม่เบยี ดเบยี นผูอ้ ่นื หลกั การน้ีเรียกว่าหลกั อหงิ สา และ ผูอ้ ่นื ในท่นี ้ีศาสนาไชนะกต็ ีความกวา้ งมากโดยครอบคลุมมนุษย์ สตั ว์ พชื และแมแ้ ต่ส่งิ แวดลอ้ มตามธรรมชาติเช่น แมน่ า้ ป่าเขา อากาศ ศาสนาไชนะมจี รยิ ธรรมทเ่ี คร่งครดั มากกว่าทุกศาสนาในอินเดยี นกั บวชในศาสนาน้ีจะไดร้ บั การ สงั่ สอนใหพ้ ยายามเล่ยี งการเบยี ดเบยี นชีวิตอ่ืน จึงมีนกั บวชในนิกายหน่ึงของศาสนาน้ีไม่สวมเส้อื ผา้ เพราะคิดว่า เส้อื ผา้ กม็ าจากชวี ติ ผูอ้ น่ื การกินอาหารก็พยายามระวงั ไม่ใหท้ ารา้ ยใคร นกั บวชไชนะไม่กนิ เน้ือสตั วอ์ ยู่แลว้ แมพ้ ชื ท่ี กนิ ก็พยายามกินพชื ประเภททเ่ี ราไม่ตอ้ งทาลายมนั ทง้ั ชวี ติ เพอ่ื เอามาเป็นอาหาร กรณีตวั อย่างท่ตี งั้ เป็นคาถามขา้ งตน้ นนั้ ศาสนาไชนะเห็นดว้ ยกบั พทุ ธศาสนาว่าตอ้ งถอื ว่าผดิ แต่ศาสนาไชนะกเ็ คร่งกว่าพทุ ธศาสนาตรงท่ไี ม่สอนใหผ้ ่อน ปรน คนดีตามทศั นะศาสนาน้ีพรอ้ มจะทาตนใหล้ าบากมากกว่าท่ีจะทารา้ ยผูอ้ ่ืน ดงั นั้นศาสนาน้ีน่าจะแนะให้ ชาวประมงเลกิ จบั ปลาแลว้ หาอาชพี อน่ื ทา ถา้ ทาแถวนนั้ ไมไ่ ดก้ ค็ วรยา้ ยไปอยู่ทอ่ี ่นื ท่กี ล่าวมาขา้ งตน้ นน้ั เป็นการพิจารณาศาสนาของอินเดียจากประเด็นการตดั สนิ ค่าทางจริยธรรม ยงั มอี ีก ประเดน็ หน่ึงทส่ี าคญั ไม่แพป้ ระเด็นท่กี ลา่ วมาขา้ งตน้ คือประเดน็ ว่าอะไรคืออดุ มคตสิ ูงสุดของชวี ติ อนั ทจ่ี ริงประเด็น น้ีอาจถือไดว้ ่าสาคญั กว่าประเด็นแรกเสยี ดว้ ยซา้ หากเราคิดว่าแนวความคิดทางปรชั ญาและศาสนาของอินเดียนน้ั โดยภาพรวมลว้ นมงุ่ แสวงหาว่า อะไรคือจุดม่งุ หมายสูงสุดของชีวติ ดว้ ยกนั ทงั้ ส้ิน เราอาจแบ่งปรชั ญาและศาสนาของอินเดียออกเป็น ๒ พวกในเรอ่ื งทก่ี ลา่ วอยูน่ ้ี คอื (๑) พวกท่ีเห็นว่าเป้ าหมายสูงสุดของชีวิตคือการแสวงหาความสุขทางประสาทสมั ผสั ใส่ตน ปรชั ญาท่ีมี แนวคดิ น้ีคอื ปรชั ญาจารวาก

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๗ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ (๒) พวกทเ่ี หน็ วา่ ความหลุดพน้ ไปจากความทกุ ข์ อนั เน่ืองมาจากการตอ้ งเวยี นว่ายตายเกดิ ในสงั สารวฏั คือ เป้าหมายสูงสุดของชวี ติ ศาสนาทเ่ี หน็ ในแนวน้ีกค็ ือศาสนาโดยทวั่ ไปของอนิ เดยี อนั ไดแ้ ก่ศาสนาฮนิ ดู พทุ ธศาสนาและ ศาสนาไชนะทเ่ี รากลา่ วถงึ มาแลว้ ปรชั ญาจารวาก นน้ั ไม่เช่ือว่ามชี ีวิตหลงั ความตาย ไม่เช่ือว่ามวี ิญญาณท่จี ะล่องลอยไปเกิดใหม่หลงั จากท่ี คนเราตายแลว้ เม่อื ไม่เช่ืออย่างน้ีเลย ทาใหค้ ิดว่าการท่คี นเรามีโอกาสไดเ้ กิดมาดูโลกในช่วงระยะเวลาราว ๗๐ ปี โดยประมาณน้ีตอ้ งถอื ว่าเป็นโอกาสทส่ี าคญั ตายไปแลว้ ไม่แน่ว่าเราจะไดเ้กดิ อีกหรือไม่ เมอ่ื ไม่แน่ใจ เราจะอุทศิ ชวี ติ ใหแ้ ก่อะไร ระหว่างความสุขทส่ี ามารถจบั ตอ้ งไดแ้ น่ๆ ในชาติน้ีกบั ความหลุดพน้ ทศ่ี าสนาต่างๆ ของอนิ เดยี สอนอยู่ใน เวลานน้ั สาหรบั ปรชั ญาจารวากการเลอื กทฉ่ี ลาดกค็ ือการเลอื กสง่ิ ทจ่ี บั ตอ้ งไดแ้ ละแน่นอนว่ามีตวั ตนอยู่จรงิ ๆ ปรชั ญาจารวากคดิ วา่ คนทเ่ี ขา้ ใจชวี ติ กค็ อื คนทร่ี ูจ้ กั ตระเตรยี มตวั เองเพอ่ื ใหส้ ามารถมคี วามสุขในโลกน้ี การ ตระเตรยี มท่วี ่าน้ีกเ็ ช่นเมอ่ื เป็นเด็ก เป็นวยั รุ่น เป็นหนุ่มสาวก็ตอ้ งรูจ้ กั ขวนขวายเรียนหนงั สอื เมอ่ื เรยี นจบแลว้ ก็รูจ้ กั ทางานสรา้ งเน้ือสรา้ งตวั มคี นรกั แต่งงานและรูจ้ กั ใชเ้งนิ ทองทห่ี ามาไดน้ นั้ ซ้อื หาความสุขใส่ตวั ความสุขในทน่ี ้ีปรชั ญา จารวากแบ่งออกเป็นหลายระดบั ตง้ั แต่สุขหยาบๆ เช่นสุขจากการกินด่ืมไปจนถึงสุขท่ปี ระณีตเช่นการมคี รอบครวั มติ รสหายท่ีอบอุ่น โดยสรุปปรชั ญาจารวาก ไม่เช่ือเร่ืองสวรรคท์ ่ีเราจะไดไ้ ปพบหลงั จากตายแลว้ อย่างท่ีศาสนา ทงั้ หลายในอินเดียสอน แต่เช่ือว่าหากจะมสี วรรค์ สวรรคน์ นั้ ก็อยู่ในโลกน้ีแหละ เรานนั่ เองท่จี ะเป็นผูส้ รา้ งสวรรค์ ใหแ้ ก่ตนเอง หาใช่ใครไม่ ศาสนาฮนิ ดู พทุ ธ และไชนะ ไมค่ ิดวา่ ความสุขทางกายในโลกน้ีจะเป็นส่งิ สาคญั พทุ ธศาสนาวจิ ารณ์ว่าจริงๆ แลว้ ส่งิ ท่เี รียกว่าความสุขของมนุษยน์ นั่ ลว้ นแลว้ แต่แฝงความทกุ ขอ์ ยู่ดว้ ยเสมอ ขณะมคี วามรกั เราอาจคิดว่าชีวติ เป็นสุข แต่วนั หน่ึงเมอ่ื คนทเ่ี รารกั ตอ้ งแยกทางจากเราไป หรือตายจากเราไป เราจะพบว่าทา้ ยทส่ี ุดแลว้ สง่ิ ทเ่ี ป็นความ จรงิ ของชวี ติ หาใช่ความสุขไม่ หากแต่คือความทกุ ขต์ ่างหาก พระพทุ ธเจา้ สอนว่าเราแต่ละคนทา้ ยท่สี ุดแลว้ ก็ตอ้ งเดิน ทางเขา้ หาความตายอย่างโดดเด่ยี วเพยี งลาพงั ทงั้ ส้นิ ขณะทเ่ี รานอนรอความตายอยู่บนเตยี งในโรงพยาบาลนนั้ ใครๆ กช็ ่วยอะไรเราไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนรกั เราเช่นสามี ภรรยา ลูก พ่อแม่ หรอื มติ รสหาย เราแต่ละคนจะตอ้ งเดินเขา้ ไป หาความตายทม่ี ดื มดิ นนั้ เพยี งลาพงั เมอ่ื สจั ธรรมของชีวติ เป็นเช่นน้ี สง่ิ ทฉ่ี ลาดน่าจะไดแ้ ก่การเตรยี มตวั เดนิ ทางเขา้ สู่ ความตายอย่างผูม้ ปี ญั ญา พทุ ธศาสนาและศาสนาโดยทวั่ ไปในอินเดียเช่ือว่าการมชี ีวิตอยู่ในโลกน้ีเป็นเร่อื งชวั่ คราว เรายงั มชี ีวติ ท่จี ะตอ้ งสบื ต่อไปอกี ยาวนานหลงั จากท่เี ราตายแลว้ พทุ ธศาสนานิกายวชั รยานของทิเบตกลา่ วว่าความ ตายกเ็ หมอื นช่วงพระอาทติ ยต์ ก พระอาทิตยไ์ ม่ไดห้ ายไปไหน แต่รอเวลาท่จี ะกลบั มาอกี ครง้ั การม่งุ หาความสุขใน โลกน้ีจะทาใหเ้ราไมร่ ูจ้ กั ตระเตรียมตวั เพ่อื เผชญิ หนา้ โลกหลงั ความตาย ในโลกหลงั ความตายนน้ั มสี ุขท่ดี กี ว่าประณีต กว่าสุขในโลกน้ีอย่างไมอ่ าจเทยี บกนั ได้ คนฉลาดคือคนรูจ้ ดั อดเปร้ยี วไวก้ นิ หวาน พวกจารวากนน้ั คือพวกไม่รูจ้ กั รอ สง่ิ ดกี วา่ ทจ่ี ะมาถงึ แมว้ า่ พทุ ธศาสนาจะเนน้ เร่อื งโลกหนา้ แต่ก็มคี วามคิดว่าขณะท่อี ยู่ในโลกน้ีเรากส็ ามารถมคี วามสุขไดใ้ นบาง ระดบั แต่สุขท่ีพุทธศาสนาสอนไม่ใช่สุขทางกายอย่างท่ีปรชั ญาจารวากสอน พุทธศาสนาคิดว่าการรูจ้ กั กินด่ืมหา ความสุขใส่ตวั นนั้ สตั วเ์ ดรจั ฉานมนั ก็รูจ้ กั ทาเท่าท่สี ติปญั ญาของมนั จะเอ้อื อานวย ถา้ มนุษยเ์ ราเกดิ มาเพยี งเพ่อื หาสุข ใส่ตวั เราก็คงไม่ประเสริฐกว่าสตั ว์ พุทธศาสนาคิดว่าเราควรใชช้ ีวิตอย่างผูป้ ระเสริฐ อะไรทาใหเ้ ราเป็นผูป้ ระเสริฐ

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง คมั ภรี พ์ ทุ ธศาสนาตอบว่าธรรม ธรรมในทน่ี ้ีกค็ ือการรูจ้ กั ใชป้ ญั ญาไตร่ตรองว่าอะไรคือแก่นสารของความเป็นคน เด็ก สาวหรือเด็กหนุ่มทเ่ี อาแต่แต่งตวั และสนใจแต่หนา้ ตาตวั เอง ว่าจะเป็นท่พี งึ ใจของเพศตรงขา้ มหรือไม่ ตามหลกั พทุ ธ ศาสนายงั ไม่ถือว่าเขา้ ใจชีวิต เราอาจจะสนใจตวั เองก็ไดเ้ พราะเรายงั เป็นปุถุชน แต่ก็ควรสนใจเร่ืองท่ีประเทือง สติปญั ญาอนั ไม่เกินกว่าวยั ของเราท่จี ะเขา้ ใจดว้ ย นอกจากน้ีพทุ ธศาสนาก็เสนอว่า การศึกษาควรเตรียมเยาวชนให้ เป็นผูร้ ูจ้ กั แยกแยะวา่ อะไรคอื ความจรงิ ความลวงดว้ ย ยง่ิ ในโลกสมยั ใหมท่ ร่ี ะบบการโฆษณาสนิ คา้ พยายามยวั่ ยุใหเ้รา แยกไมอ่ อกระหวา่ งสองสง่ิ น้ี การศึกษาชนิดน้ียง่ิ จาเป็นมากข้นึ เป็นเงาตามตวั แหลง่ ความคิดทส่ี าคญั และเก่าแก่ท่สี ุดกค็ ือคมั ภรี ท์ างศาสนา สงั คมอินเดยี ทป่ี รากฏเป็นระบบอย่างเช่นทกุ วนั น้ีกค็ อื ผลผลติ ทางความคดิ ของปราชญอ์ นิ เดยี ตงั้ แต่สมยั โบราณ โครงสรา้ งของสงั คมอินเดียปจั จุบนั ก็คือผลผลติ ของอดตี คมั ภรี ท์ างศาสนาทส่ี าคญั มชี ่อื เสยี งอนั ถอื ไดว้ ่าเป็นแหลง่ บนั ทกึ วถิ ชี วี ติ ระบบสงั คมของอนิ เดีย(โดยเฉพาะ สงั คมฮนิ ดู) ไดแ้ ก่ วรรณคดีพระเวท คมั ภรี ป์ รุ าณะ สูตรต่างๆ มหากาพยร์ ามายณะ และมหาภารตะยุทธ รวมถงึ คมั ภีร์ภควตั คีตา คมั ภีรเ์ หล่าน้ีเป็นแหล่งความคิดทางสงั คมของอินเดียไม่ว่าจะเป็นเร่ืองราวเก่ียวกบั ระบบ อาศรม ระบบวรรณะ ระบบครอบครวั ลว้ นแลว้ แต่เกิดจากความคิดทบ่ี รรจอุ ยู่ในคมั ภีรเ์ หล่าน้ีทงั้ ส้นิ นอกจากน้ีก็ ยงั มคี มั ภีรม์ นูธรรมศาสตร์ ซ่งึ บรรจุเน้ือหาเก่ียวกบั ลทั ธิพธิ ีกรรม กฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีของสงั คม ก็ เป็นแหลง่ ความคดิ ทช่ี ่วยเสรมิ สรา้ งส่วนหน่ึงของระบบสงั คมอนิ เดียดว้ ยเช่นกนั นอกเหนือจากคมั ภรี ท์ างศาสนาของฮินดูแลว้ ในสมยั โบราณพทุ ธศาสนาก็เคยรุ่งเรืองในอนุทวีปอินเดียมา เช่นกนั พทุ ธศาสนากม็ แี นวคิดเก่ยี วกบั สงั คมเช่นเดยี วกบั ฮนิ ดู ในสมยั ก่อนทพ่ี ทุ ธศาสนาจะเส่อื มถอยไปจากอนุทวปี กลุ่มชาวพทุ ธก็นบั ว่ามีบทบาทไม่นอ้ ยต่อการสรา้ งระบบสงั คมอินเดีย แต่ต่อมาภายหลงั ความเส่อื มถอยของพุทธ ศาสนา เป็นเหตใุ หค้ วามคิดทางสงั คมของพทุ ธเสอ่ื มไปดว้ ย ในท่นี ้ีจะขออธบิ ายเฉพาะแนวคิดและการจดั ระเบยี บทาง สงั คมของฮนิ ดูดว้ ยเหตทุ ว่ี า่ ยงั คงปรากฏใหเ้ราไดเ้หน็ อยูจ่ นถงึ ปจั จบุ นั ในสมยั พทุ ธกาล อนิ เดยี หรอื ชมพทู วปี แบง่ อาณาเขตเป็น ๒ เขตคือ เขตภาคกลาง เรียกว่า มชั ฉิมชนบทหรือมธั ยมประเทศ เป็นทอ่ี ยู่ของชนชาติอริยกะ หรอื อารยนั แปลว่า ผู้ เจรญิ เป็นดนิ แดนของชนผวิ ขาว เขตรอบนอก เรียกว่าประจนั ตชนบทหรือประจนั ตประเทศ คือประเทศปลายเขตเป็นท่ีอยู่ของชนชาติ มลิ กั ขะ หรอื อนารยชน เป็นดนิ แดนของชนพ้นื เมอื ง ชมพทู วปี คอื อาณาเขตทเ่ี ป็นประเทศอนิ เดยี ปากสี ถาน อฟั กานิสสถาน ศรีลงั กา บงั คลาเทศ และเนปาลใน ปจั จุบนั (ปจั จุบนั เลกิ ใชช้ ่ือชมพูทวีปน้ีแลว้ ) ในสมยั พทุ ธกาล ชมพูทวีปนอกจากแบ่งเป็น ๒ เขตดงั กล่าวแลว้ ได้ แบ่งเป็นแควน้ ต่างๆ มจี านวน ๑๖ แควน้ แต่ละแควน้ ท่มี คี วามสาคญั ในสมยั พทุ ธกาลมเี พยี ง ๖ แควน้ คือ แควน้ มคธ แควน้ วงั สะ แควน้ อวนั ตี แควน้ กาสี แควน้ สกั กะ และแควน้ โกศล ประเทศอินเดียมีเน้ือท่ีกวา้ งใหญ่ไพศาลมาก และในปจั จุบนั น้ีมเี น้ือท่ีทง้ั หมดประมาณ๓,๒๘๗,๒๖๓๑ ตารางกโิ ลเมตร ประชากรประมาณ ๑,๐๐๐ ลา้ นคน ยอ้ นไปเมอ่ื ประมาณ ๑,๐๐๐ ปี ก่อนพทุ ธกาล ชนเผ่าดราวเิ ดยี น (Dravidians) หรอื มลิ กั ขะไดเ้ขา้ มาสู่ดนิ แดนส่วนน้ี ถ่ินเดมิ ของเผ่าน้ีอยู่ ท่ไี หนไม่ปรากฏชดั อารยธรรมทข่ี ดุ คน้ พบ

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ในอินเดีย แสดงใหเ้หน็ ว่า ชนชาติทราวดิ หรอื ดราวเิ ดียนน้ีเป็นชาติท่มี คี วามเจรญิ มาก่อน ส่วนมากไดม้ าตงั้ ถ่นิ ฐาน อยูแ่ ถบลมุ่ แมน่ า้ สนิ ธุ ก่อนจะมาถงึ ยุคพทุ ธกาล เราอาจจะแบง่ ช่วงระยะเวลาแห่งประวตั ิศาสตรข์ องประเทศอินเดยี ออกได้ ๓ ยุค ดว้ ยกนั คอื :๑. ยุคพระเวท ๒. ยุคพราหมณะ ๓. ยุคอปุ นิษทั ๑.๒ แนวคดิ สาคญั ยคุ พระเวท เป็นยุคท่พี วกอารยนั อพยพมาจากใจกลางดินแดนของทวปี เอเชีย อพยพเขา้ มา ตง้ั ภูมลิ าเนาในลุ่มแม่นา้ สนิ ธุ ภาคตะวนั ตกเฉียงเหนือของอินเดยี ปจั จบุ นั น้ี ไดแ้ ก่ บริเวณอนั เป็นทต่ี ง้ั ของประเทศปากีสถาน พวกอารยนั นนั้ ตามนกั ประวตั ศิ าสตรส์ นั นิษฐานวา่ เป็นพวกผวิ ขาวทเ่ี ดมิ มี ภมู ลิ าเนาอยู่ทางแถบทะเลสาบแคสเป้ียน ระหว่างยุโรปกบั เอเซยี เมอ่ื มคี วามขดั สนมกี ารเปลย่ี นแปลงทางดนิ ฟ้าอากาศเกดิ ข้นึ พวกอารยนั จึงไดแ้ บ่งแยกสาขาอพยพไปหาแหล่ง ทามาหากนิ ใหม่ อนั เป็นตน้ ตอของบรรพบรุ ุษชนชาติโรมนั ชนชาตกิ รีกในยุโรป และเป็นตน้ ตอของพวกอยี ปิ ตใ์ นอาฟ รกิ าเหนือ อกี พวกหน่ึงก็เพง่ิ จะมาอพยพในราว ๑,๐๐๐ ปี ถงึ ๑,๕๐๐ ปี ก่อนพุทธกาลอพยพไปทางตะวนั ออก โดย ถอื เอาดวงอาทติ ยเ์ ป็นเป้าหมาย คือการอพยพของชาวโบราณนนั้ มอี ยู่ ๒ วธิ ีดว้ ยกนั คือ ๑. อพยพไปตามตะวนั ออก ตามดวงอาทติ ยข์ ้นึ ๒. อพยพไปตามแมน่ า้ พยายามหาทางออกทะเล เพราะฉะนน้ั พวกอารยนั ทพ่ี ยายามอพยพไปตามแมน่ า้ เพอ่ื หาทางออกอ่าวกไ็ ดแ้ ก่บรรพบุรุษของพวกกรกี และโรมนั ส่วนพวกอารยนั ท่อี พยพไปตามดวงอาทติ ยข์ ้นึ ก็ไดแ้ ก่ชนชาติพวกอิหร่านกบั ชาวอินเดียในยุคปจั จุบนั น้ี อหิ ร่านกบั อนิ เดยี เป็นตน้ ตระกลู อนั เดยี วกนั เพง่ิ จะมาแยกออกเป็น ๒ พวก ตอนท่อี พยพมาทางอฟั กานิสถาน เกดิ มี ความแตกแยกทางขอ้ คิดเห็นบางส่ิงบางประการ โดยเฉพาะอย่างย่งิ การเช่ือถอื ในพระเจา้ เกิดแตกแยกกนั ข้นึ ไม่ สามารถจะรวมเป็นพวกอยู่ร่วมกนั อีกต่อไป จงึ ไดแ้ บง่ ออกเป็น ๒ สาขา คอื :- - สาขาหน่ึงอพยพเขา้ มาในเปอรเ์ ซยี หรอื ประเทศอหิ ร่าน - อีกพวกหน่ึง ก็อพยพเขา้ อินเดียทางช่องเขาไคเบอร์ (Khyber pass) ท่ตี งั้ อยู่ในปากีสถาน ต่อแดน อฟั กานิสถานปจั จบุ นั น้ี ชนชาติอารยนั นนั้ มชี ่ือเรียกกนั หลายอย่าง เรียกว่า อริยกะบา้ ง เรียกว่าอรยนั บา้ ง เรียกว่าอารยะ หรือ อารยนั บา้ ง ช่อื ทงั้ หมดน้ีมคี วามหมายอย่างเดียวกนั คือ มคี วามหมายว่า “เจรญิ ” เน่ืองจากชนชาติอารยนั เป็นชาตทิ ม่ี ี ความเจริญดว้ ยขนบธรรมเนียม ประเพณีและศิลปวฒั นธรรม ย่งิ กว่าชนชาตดิ ราวิเดียน (Dravidians) หรอื พวก มลิ กั ขะซ่งึ เป็นเจา้ ของถ่นิ เดิม ชนชาตอิ ารยนั จึงมอี านาจเขา้ ครอบงาปกครองอินเดียทงั้ หมด พวกมลิ กั ขะตอ้ งตกอยู่ ในอานาจของพวกอารยนั โดยส้นิ เชิง แต่ลทั ธคิ วามเช่อื ของชนทง้ั สองเผ่าน้ี ผสมกลมกลนื เขา้ กนั ไดเ้ป็นอย่างดี เรยี ก ไดว้ ่าแทบจะ ไม่มขี อ้ แตกต่างกนั กล่าวคือ “พวกดราวเิ ดียน หรือพวกมลิ กั ขะ มคี วามเชือ่ ถอื และเคารพธรรมชาติ เบ้อื งตา่ เช่น แผ่นดิน ภูเขา ตน้ ไม้ ดิน นา้ ไฟ ลม โดยถือว่าเป็นเทพเจา้ หรือมเี ทพเจา้ สิงสถิตอยู่ ถือว่าเป็นสิง่ ศกั ดิส์ ทิ ธสิ์ ามารถอานวยผลทีต่ นตอ้ งการ จงึ ทาการบูชายญั และกราบไหวอ้ อ้ นวอน”

บทท่ี ๑ “ภูมิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๑๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง พวกอารยนั ก็มคี วามเชือ่ ถอื และเคารพบูชาธรรมชาตเิ บ้อื งบนมาก่อน เช่น ดวงจนั ทร์ ดวงอาทิตย์ ดวงไฟ พายุ ปฐพี เป็นตน้ โดยยกข้นึ เป็นเทพเจา้ ตลอดจนเช่อื วญิ ญาณของบรรพบุรุษ หรอื พวกผปี ระจาตระกูล เมอ่ื พวก อารยนั อพยพเขา้ มาสู่อนิ เดียแลว้ กไ็ ดน้ าเอาศาสนามาดว้ ย ศาสนานนั้ ก็เรยี กว่า \"พระเวท\" ศาสนาสมยั พระเวทคาว่า เวทะ แปลว่าแสงสว่าง หรือความรู้ ท่ชี ่อื ว่าแสงสว่างหรือความรูน้ นั้ เพราะว่าชนชาติอารยนั นน้ั การบูชาพระเจา้ ของ เขาจะตอ้ งอาศยั ไฟเป็นสอ่ื เพอ่ื บูชาพระเจา้ ท่สี ถติ อยู่ในสรวงสวรรค์ หากว่าไมม่ ไี ฟเป็นสอ่ื แลว้ กไ็ ม่สามารถจะนาส่งิ ท่ี เราบวงสรวงไปใหพ้ ระองคไ์ ด้ เพราะฉะนน้ั พวกอารยนั จึงตงั้ กองฟืนก่อกองไฟไว้ แลว้ เอาสง่ิ ทต่ี นเองจะบูชาพระเจา้ เทลงไปบนกองไฟนน้ั เช่น พวกขนม นม เนย ต่างๆ แลว้ มคี าสวดออ้ นวอนใหพ้ ระเพลงิ หรอื พระอคั นี เป็นผูน้ าส่งิ สกั การะเหลา่ น้ีไปใหก้ บั พระเจา้ ท่ตี นจะบชู า เพราะฉะนนั้ เมอ่ื ไฟมปี ระโยชนต์ ่อชนชาติอารยนั ทง้ั ในทางศาสนา ทงั้ ในทางขจดั ความมดื ในเมอ่ื ผูอ้ พยพ จะอยู่ในท่ใี ดๆ ก็ตาม ก็ตอ้ งอาศยั กองไฟเพ่อื ป้องกนั สตั วร์ า้ ยอย่างหน่ึง และใหค้ วามอบอุ่น เม่อื ไฟเป็นประโยชน์ ในทางหุงตม้ ป้องกนั สตั วร์ า้ ย และยงั เป็นส่อื ทจ่ี ะนาส่งิ ของท่จี ะ สกั การบูชาไปใหพ้ ระเจา้ ในสรวงสวรรค์ ดงั นน้ั เม่อื นบั ถอื นานเขา้ ไฟกเ็ ป็นพระเจา้ องคห์ น่ึงข้นึ มา อยู่ระหว่างโลกกบั สวรรค์ พระอคั นีไม่ไดอ้ ยู่ในสวรรค์ แต่อยู่ระหว่างโลกกบั สวรรค์ เป็นเทวทูตนาขา่ วสาสน์ ต่าง ๆ ของมนุษยไ์ ปแจง้ แก่เทวดาทราบ ซ่งึ เป็นตน้ ตอของคาว่า เวทะ หรือเวทซ่ึงพวกอารยนั นบั ถือเป็นตน้ ตอของคาว่าพระเวทเกิดจากไฟ แสงสว่าง สมยั นนั้ ตวั อกั ษรของพวกอารยนั ยังไม่มีใช้ เพราะฉะนนั้ คาสวดต่างๆ ในทางศาสนาก็ช่วยกนั จา มี พราหมณ์ปุโรหิตช่วยกนั จา คาสวดเหล่านน้ั โดยมากแต่งเป็นฉนั ท์ ใจความนน้ั เป็นไปในทานองออ้ นวอนใหพ้ ระเจา้ รกั ษาสตั วเ์ ล้ยี ง พทิ กั ษร์ กั ษาตนเองและครอบครวั ใหป้ ลอดภยั เพราะคนเราเวลาบูชามอี ารมณ์กลวั ในส่งิ ใดก็จะตบ แต่งถอ้ ยคาในทานองวงิ วอนในสง่ิ นนั้ อย่าใหม้ าทารา้ ยตนเองได้ ภายหลงั เม่อื พวกอารยนั ตงั้ มนั่ ในอินเดียแลว้ ก็ไดร้ วบรวมข้นึ ตงั้ ช่ือว่า \"คมั ภีรเ์ วท\" อนั เป็นปฐมยุคของ พราหมณ์ทเ่ี ร่ิมตน้ ดว้ ยคมั ภรี เ์ วท คมั ภีรเ์ วทหรือไตรเพทถอื กนั ว่าเป็นศรุติ คือคมั ภรี ท์ ่ไี ดร้ บั ฟงั มาจากเทพเจา้ ผูส้ ูง ศกั ด์โิ ดยตรง คมั ภรี พ์ ระเวทไดแ้ ก่ ๑. ฤคเวท เป็นคาฉนั ทร์ อ้ ยกรองคาออ้ นวอนขอพรจากเทพเจา้ และประจบเอาใจเทพเจา้ เหล่านนั้ สวด สรรเสรญิ เทพเจา้ ต่างๆ ใหค้ ุม้ ครองตน สตั วเ์ ล้ยี ง ครอบครวั เป็นตน้ ๒. ยชรุ เวท เป็นคารอ้ ยแกว้ วา่ ดว้ ยหลกั การในการทาพธิ กี รรมและบวงสรวง เทพเจา้ ต่างๆ ๓. สามเวท เป็นคาฉนั ทใ์ ชส้ วดในพธิ บี ูชาถวายนา้ โสมแก่พระอนิ ทร์ และขบั กลอ่ มเทพเจา้ ต่อมาเม่อื ถงึ ยุคพราหมณะ มคี มั ภีรเ์ พ่มิ ข้นึ อกี ๑ คมั ภรี ์ เรียกว่า อาถรรพเวท เป็นคาถาอาคม มนตข์ ลงั หรอื อาถรรพณแ์ กเ้สนียดจญั ไร ป้องกนั สรรพภยั พบิ ตั ิต่างๆ นาสง่ิ อนั เป็นมงคลมาแก่ผูส้ วด และนาผลรา้ ยไปใหศ้ ตั รู เทพเจา้ ท่สี าคญั ในยุคแรกสุดของพระเวทมี ๔ องคด์ ว้ ยกนั คอื :- ๑. พระสาวติ รี เทพเจา้ แห่งอาทติ ย์ เน่ืองจากพวกอารยนั นบั ถอื พระอาทติ ยม์ าก่อน ๒. พระวรุณ เทพเจา้ แหง่ ฝน ๓. พระอินทร์ เทพเจา้ ผูส้ รา้ งโลก เพราะพวกอารยนั มองเหน็ ความจาเป็นทโ่ี ลกจะตอ้ งมผี ูส้ รา้ ง พระอนิ ทร์ จงึ เกดิ ข้นึ มาเพอ่ื สรา้ งสรรพสง่ิ

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๑๑ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ๔. พระยม เทพเจา้ แห่งความตาย เป็นผูป้ กครองชีวติ ในปรโลกหลงั จากมนุษยต์ ายไปแลว้ เป็นเทพเจา้ ทา หนา้ ทล่ี งโทษคนท่กี ระทาผดิ นอกจากเทพเจา้ ทง้ั ๔ องคด์ งั กล่าวแลว้ เม่อื เวลาผ่านไปก็มีเทพเจา้ เกิดข้นึ มาตามลาดบั เช่นพระรุทระ เทพเจา้ แห่งป่า ผูเ้ ป็นใหญ่ในเขตป่าทงั้ หมด เป็นเทพเจา้ ท่มี คี วามดุรา้ ยมากในเวลาโกรธ จึงเป็นท่เี กรงกลัวของชาว อนิ เดยี โบราณอยา่ งมาก พอๆ กบั พระวรุณ และพระอคั นี เทพเจา้ แห่งไฟ ในสมยั พระเวทน้ี พวกอารยนั ไดน้ บั ถอื ยก ย่องเทดิ ทูนพระอนิ ทรใ์ หเ้ป็นเทพเจา้ สูงสุด พระอนิ ทรน์ อกจากจะมฐี านะย่งิ ใหญ่ เป็นผูส้ รา้ งโลกแลว้ ยงั เป็นเทพเจา้ แห่งสงครามอีกดว้ ย ในการทาสงคราม ก่อนจะยกกองทพั ออกไปต่อสูก้ บั ศตั รู กษตั ริยใ์ นสมยั นนั้ จะตอ้ งทาพิธี บวงสรวงพระอินทรเ์ ป็นพิเศษ เมอ่ื ทาศึกชนะแลว้ ก็จดั พิธีบวงสรวงเป็นการเฉลมิ ฉลองอีกครง้ั หน่ึง พวกพราหมณ์ ผูท้ าพธิ ไี ดเ้พม่ิ พนู ความสุขสมบูรณใ์ หแ้ ก่พระอนิ ทรอ์ ย่างเตม็ ท่ี ใหม้ ชี ายาหลายองค์ ใหเ้สพสุราได้ สุราชนิด น้ีเรยี กว่า นา้ โสม พิธีถวายนา้ โสมแก่พระอินทรเ์ ป็นพิธีท่ยี ่งิ ใหญ่มาก จะตอ้ งมคี าสวดถวายนา้ โสมแก่พระอินทรใ์ นคมั ภีรส์ าม เวทเป็นพเิ ศษ สง่ิ สาคญั ทเ่ี กิดข้นึ ในสมยั พระเวทคือ ระบบวรรณะ (Caste system) พวกอารยนั หรืออรยิ กะนนั้ เป็นพวก ผวิ ขาว เจา้ ของถน่ิ เดมิ คอื พวกดราวเิ ดยี น หรอื พวกมลิ กั ขะนน้ั เป็นพวกผวิ ดา น้ีเป็นตน้ เหตุการแบง่ ชนชนั้ วรรณะของ คนอนิ เดยี ซง่ึ ไดข้ ยายออกมาเป็นวรรณะ ๔ คือ ๑. วรรณะกษตั ริย์ มหี นา้ ท่ีรกั ษาเขตแดนและขยายเขตแดนหรือป้องกนั เขตแดนเวลาถูกขา้ ศึกภายนอก รุกราน ๒. วรรณะพราหมณ์ มหี นา้ ทศ่ี ึกษาในเรอ่ื งไตรเพท และเป็นผูน้ าทางการศึกษา และประกอบพธิ ีทางศาสนา ๓. วรรณะแพศย์ เป็นคนสามญั ไดแ้ ก่ ชาวนา ชาวสวน มหี นา้ ทท่ี างการ คา้ ขาย ๔. วรรณะศูทร ไดแ้ ก่ พวกกรรมกร คนงาน ทาหนา้ ทร่ี บั จา้ งทวั่ ๆ ไป ๑.๓ สาระสาคญั เกย่ี วกบั แนวคดิ ยคุ พราหมณะ ต่อจากยุคคมั ภรี พ์ ระเวท เม่อื ชาวอารยนั อพยพเล่ือนจากแม่นา้ สินธุลงมาในภาคกลางของอินเดียคือลุ่ม แม่นา้ คงคา เป็นพ้ืนท่ีท่ีมคี วามอุดมสมบูรณ์เป็นอยู่สบายแลว้ ก็ไดต้ งั้ แว่นแควน้ ข้ึนเป็นรากฐานทางสงั คมฮินดู เรียบรอ้ ยแลว้ ก็มวี ิวฒั นาการทางความคิดคือมพี วกปุโรหติ อีกพวกหน่ึงเห็นว่า คมั ภรี เ์ วทเหล่านนั้ คาสวดต่างๆ มี มากมายเหลอื เกนิ และบางทคี าสวดเหลา่ นนั้ จะตอ้ งทาคาอธิบาย ดว้ ยว่าตอ้ งอธบิ ายการบูชาอย่างไร จงึ จะไดผ้ ลอย่าง นนั้ ๆ พวกปโุ รหติ พวกน้ีจงึ ไดแ้ ต่งคมั ภรี อ์ รรถกถาคมั ภรี เ์ วทใหช้ อ่ื ว่า “พราหมณะ” ในสมยั พราหมณะน้ี พราหมณ์ไดค้ ิดสรา้ งเทพเจา้ ทพ่ี เิ ศษข้นึ มาอกี องคห์ น่ึง คือ พระพรหม เน่ืองจากพระ อินทรแ์ มจ้ ะเป็นเทพเจา้ ชนั้ สูงเป็นผูส้ รา้ งโลกสรา้ งสรรพส่งิ ก็จริง แต่มผี ูน้ บั ถอื เคารพบูชานอ้ ยลง และไม่สามารถจะ อานวยประโยชนแ์ ก่ประชาชนไดอ้ ย่างแทจ้ ริง ส่วนเทพเจา้ ผูส้ รา้ งโลก และสรรพส่งิ ในโลกนน้ั คือพระพรหม โดยถอื กนั ว่าพระพรหมเป็นเทพเจา้ ผูบ้ ริสุทธ์ิ เพราะไม่มตี วั ตน ไม่มลี ูก ไม่มเี มยี ไม่เก่ียวขอ้ งทางกามารมณ์เหมอื นพระ

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๑๒ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ อนิ ทร์ แลว้ ประกาศแก่ประชาชนทง้ั หลายพูดว่าพระพรหมนนั้ ไมท่ าความเสยี หายเหมอื นพระอินทรแ์ น่นอน เพราะว่า พระพรหมนนั้ เป็นเพยี งสภาวธรรมเทา่ นน้ั ในคมั ภรี อ์ ปุ นิษทั มกี ารพดู ถงึ พระพรหมไวเ้ป็น ๒ ลกั ษณะ๑ คือ ลกั ษณะท่หี น่ึง พดู ถงึ พระพรหมในแง่โลกียะ (Cosmic) ซง่ึ ในแง่น้ีพระพรหม เป็นส่งิ ท่ปี ระกอบพรอ้ มดว้ ย คุณสมบตั ทิ ่ดี ีทงั้ ปวง (สคุณะ) และถึงพรอ้ มดว้ ยคุณวิเศษทุกอย่าง (สวิเศษะ) พระพรหมในลกั ษณะน้ีเรียกว่า อป รพรหมหรืออีศวร อปรพรหมหรืออีศวรเป็นภาคปุคคลาธษิ ฐานของส่งิ สมั บูรณ์เป็นพระเป็นเจา้ ท่มี ตี วั ตนหรอื รูปร่าง อย่างมนุษย์ ลกั ษณะท่สี อง พูดถงึ พระพรหมในแงโ่ ลกุตตระ (Acosmic) ในแงน่ ้ีพระพรหมคือส่งิ สมั บูรณพ์ ระพรหมใน ลกั ษณะน้ีเรียกว่าอปรพรหมเป็นภาคธรรมมาธิษฐานของพระเป็นเจา้ ซ่ึงไดแ้ ก่ ส่ิงสมั บูรณ์นนั่ เอง ท่ีปราศจาก คุณลกั ษณะทกุ อย่าง (นิรคุณะ) ปราศจากคุณวเิ ศษทง้ั ปวง (นิรวเิ ศษะ) และไม่อาจใชค้ าพูดหรอื ภาษาพดู บรรยายได้ (อนีรวจนียะ) พระพรหมในแงโ่ ลกตุ ตระน้ีมชี อ่ื เรยี กวา่ ปรพรหม เป็นสง่ิ สมั บูรณ์ซง่ึ ดารงรงอยู่ในฐานะอตุ ตรภาวะเป็น สง่ิ ท่กี าหนดไม่ได้ และอธบิ ายไมไ่ ด้ ปรพรหม หรอื พรหมนั ในสถานะน้ีเป็นมลู การณะของสรรพสง่ิ เป็นปฐมเหตขุ อง สรรพสง่ิ แมแ้ ต่พระเจา้ สูงสุดทเ่ี รยี กวา่ อศี วรกเ็ ป็นการสาแดงใหป้ รากฏของส่งิ สมบูรณน์ ้ี วธิ เี ดียวทจ่ี ะอธบิ ายเก่ยี วกบั ลกั ษณะของ พระพรหมไดก้ ค็ อื โดยการปฏเิ สธอย่างเช่นท่ี ยาชญวลั กยะ กลา่ วไวป้ รากฏอยู่ในพฤหทารณั ยกอุปนิษทั ว่า “สง่ิ ซง่ึ ไมม่ เี สอ่ื มสลายทผ่ี ูฉ้ ลาดเคารพบูชาน้ี เป็นสง่ิ ทไ่ี มห่ ยาบ ไมป่ ราณีต ไมส่ น้ั ไม่ยาว ไมม่ เี งา ไม่มคี วามมดื ไม่ มอี ากาศ ไมม่ ชี ่องวา่ ง ไมม่ อี ปุ าทาน ไมม่ รี ส ไมม่ กี ลน่ิ ไมม่ รี ูป ไม่มี คาพูด ไม่มจี ติ ไม่มแี สงสว่าง ไม่มลี มหายใจ ไม่ มหี ู ไม่มปี าก ไม่มขี า้ งนอกขา้ งใน ไม่กินอะไรและ ไม่มีอะไรจะกินมนั .....” รวมความว่า ในสมยั พราหมณะน้ี พระ พรหมไดร้ บั การยกย่องว่าเป็นเทพเจา้ สูงสุด เป็นผูป้ ระเสริฐสุด เป็นผูส้ รา้ งทกุ ส่งิ ทุกอย่าง สรรพสง่ิ มาจากพระพรหม สตั วโ์ ลกทง้ั มวลมาจากพระพรหม พระพรหมเป็นปรมาตมนั เป็นอตั ตาสูงสุด เป็นอมตะมองเหน็ ดว้ ยสายตาไม่ได้ เป็นอนาทิ ไมม่ เี บ้อื งตน้ และเป็นอนนั ตะ ไมม่ ที ส่ี ุด เป็นเบ้อื งตน้ แหง่ ปฐมวญิ ญาณทงั้ ปวง แต่ถึงกระนนั้ การท่พี ราหมณ์สรา้ งพระพรหมท่เี รียกว่า ปรพรหม ใหไ้ ม่มเี น้ือ มตี วั นน้ั มลี กั ษณะเป็นจิต และจิตก็ไมม่ รี ูปร่างอย่างมนุษย์ เมอ่ื เทพเจา้ มลี กั ษณะเป็นจิต การบวงสรวงบูชาเพอ่ื ขอใหอ้ านวยผลประโยชนต์ ่างๆ ย่อมไมส่ ามารถกระทาไดไ้ มเ่ ป็นทช่ี อบใจของคนทวั่ ไปเทา่ ใดนกั คน ไมเ่ หน็ ดว้ ย เพราะไม่สามารถจะบูชาปรพรหม ซง่ึ เป็นสภาวธรรมนนั้ ได้ ไมร่ ูว้ า่ เป็นอะไร ดงั นน้ั เพ่อื ใหต้ รงกบั ความประสงคข์ องประชาชน พราหมณ์จึงแกไ้ ขเร่ืองพรหมอีกนิดหน่อย แกไ้ ขจากป รพรหมมาเป็น อปรพรหม อปรพรหมก็คือพรหม หรืออิศวร เป็นเทพเจา้ ท่มี ตี วั มตี น ไม่เป็นนามธรรมเหมอื นอย่างป รพรหม สามารถจะอานวยประโยชนแ์ ก่ผูเ้ คารพบูชาได้ แลว้ จึงประกาศแก่ประชาชนว่า ความจริงพระพรหมนนั้ มี ตวั ตนและมถี งึ ๔ หนา้ สามารถมองดูทศิ ทง้ั ๔ ไดใ้ นเวลาเดียวกนั และดูความเป็นไปของชาวโลกไดท้ กุ หนทุกแห่ง พรอ้ มกนั ได้ ๑ รศ. ดร. สุนทร ณ รงั ษ,ี ปรชั ญาอนิ เดีย : ประวตั ิและลทั ธิ, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๕), หนา้ ๔๓.

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี กอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๑๓ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ เมอ่ื พระพรหมมตี วั ตน และยงั มถี งึ ๔ หนา้ อกี ซา้ ยงั ไมม่ ภี รรยา ไม่ยุ่งเก่ยี วขอ้ งดา้ นกามารมณเ์ หมอื นพระ อนิ ทร์ ประชาชนต่างกน็ ิยมชมชอบพอใจ แนวความคิดของพราหมณ์ท่สี รา้ งพระพรหมเป็นท่พี อใจของประชาชนน้ี ทา ใหศ้ าสนาพราหมณ์-ฮนิ ดูยง่ิ ใหญ่และมอี ทิ ธพิ ลเหนือจติ ใจของชาวอนิ เดยี อย่างไมเ่ สอ่ื มคลาย พราหมณ์ไดก้ าหนดหนา้ ทค่ี อื สรา้ งเทพเจา้ ผูย้ ง่ิ ใหญ่ข้ึนมา ๓ องค๒์ คอื ๑. พระพรหม ผูส้ รา้ ง (Creator) ๒. พระวษิ ณุ หรอื นารายณ์ ผูร้ กั ษา (Preserver) ๓. พระศิวะ หรอื อศิ วร ผูท้ าลาย (Destroyer) เทพเจา้ ทงั้ ๓ น้ี เรียกว่า ตรีมูรติ แปลว่าสามรูป ในคมั ภีรพ์ ระเวท พระพรหมไดส้ รา้ งมนุษยใ์ นระบบ วรรณะ ๔ ไว้ เพอ่ื สนั ตจิ ากอวยั วะต่างๆ ของพระองคเ์ อง ดงั น้ี ๑. ทรงสรา้ งพราหมณ์ จากพระโอษฐข์ องพระองค์ ๒. ทรงสรา้ งกษตั รยิ ์ จากพระพาหา (แขน) ของพระองค์ ๓. ทรงสรา้ งแพศย์ (พวกพ่อคา้ ) จากพระโสณี (ตะโพก) ๔. ทรงสรา้ งศูทร (กรรมกร) จากพระบาท ด้ว ย เ ห ตุ น้ี เ อ ง ร ะ บ บ ช น ชั้น ห รื อ ร ะ บ บ ว ร ร ณ ะ ๔ ใ น สัง ค ม อิ น เ ดี ย จึ ง มีม า ตั้ง แ ต่ ยุ ค พราหมณะ ในอดีตเร่ือยมา จนมาถงึ ปจั จุบนั น้ี ไม่มใี ครจะสามารถทาลายลา้ งได้ คงจะมอี ยู่ตลอดไปตราบนาน เท่า นาน ในยุคพราหมณะน้ี เมอ่ื แนวความคิดของพราหมณ์ทส่ี รา้ งพระพรหมจนเป็นท่พี อใจของประชาชนทวั่ ไป ทา ใหพ้ ราหมณค์ าดหวงั ผลอนั ยง่ิ ใหญ่ในศาสนาของตน จงึ ไดส้ รา้ งลทั ธพิ เิ ศษข้นึ มาอกี ลทั ธินบั ถอื ยกย่องเพศพรหมจรรย์ ตามแนวความคิดเดิมของพราหมณก์ ็อยู่กนั เป็นครอบครวั สามเี ป็นพราหมณ์ ภรรยาเป็นนางพราหมณี มี บตุ รหลานสบื สกลุ ต่อไปและสามารถประกอบอาชีพไดด้ ว้ ย แต่เมอ่ื มแี นวความคิดท่สี รา้ งพระพรหมไม่ใหม้ เี มยี ข้นึ มา และไม่เก่ียวขอ้ งกบั กามคุณ ทาใหเ้ ป็นผูบ้ ริสุทธ์ิกว่าเทพเจา้ ทงั้ หลาย เช่น พระอินทรเ์ ป็นเทพเจา้ ท่มี เี มยี มาก ความ เสยี หายทางกามคุณกเ็ กดิ ข้นึ เพราะความไมอ่ ม่ิ ทางกามารมณ์ ถงึ กบั ไปทาชูก้ บั ภรรยาของฤาษี ประชาชนรงั เกยี จเทพ เจา้ ท่มี คี วามประพฤติไม่เรียบรอ้ ย มคี วามประพฤติเหมอื นคนธรรมดา จึงหนั ไปยกย่องนบั ถอื พระพรหมท่มี คี วาม บรสิ ุทธ์กิ ว่าเทพเจา้ องคอ์ ่นื ๆ ต่อมามผี ูค้ ิดเลยี นแบบทจ่ี ะประพฤตอิ ยา่ งพรหม คอื สละทรพั ยส์ มบตั ิ ไม่มภี รรยา ออกไปอยู่โดดเด่ยี วปลกี วเิ วกอยูต่ ามลาพงั บาเพญ็ ภาวนาทาจิตใจใหบ้ รสิ ุทธ์ิ จงึ เกดิ มพี ราหมณ์ ๒ ประเภท คอื ๑. พราหมณท์ ย่ี งั มลี ูกมเี มยี ประกอบอาชพี อยูเ่ ป็นครอบครวั เรยี กวา่ คฤหบดพี ราหมณ์ ๒. พราหมณท์ ไ่ี ม่มลี ูกไมม่ เี มยี สละทรพั ยส์ มบตั ิ ออกไปบาเพญ็ พรตภาวนาอยู่ตามลาพงั ทาจติ ใหบ้ ริสุทธ์ิ จากกเิ ลสทงั้ ปวง เรยี กว่า สมณพราหมณ์ ๒ พระญาณวโรดม, ศาสนาตา่ งๆ , (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๙), หนา้ ๓๓.

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๑๔ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ดงั นนั้ จงึ เกดิ สถาบนั ใหมใ่ นสงั คมของอนิ เดยี คอื ผูท้ ส่ี ละทรพั ยส์ มบตั ิ สละบา้ นเรอื น ไม่มีบตุ รภรรยา สละ ความสุขในเพศคฤหสั ถ์ ออกไปอยู่โดดเดย่ี ว รกั ษาศีลบาเพญ็ ภาวนา ทาใจใหบ้ รสิ ุทธ์เิ รียกว่า เพศพรหมจรรย์ จึงมผี ู้ เคารพนบั ถอื นาส่งิ ของมาถวายถอื ว่าไดบ้ ญุ และผูป้ ระพฤติ เช่นนน้ั ยงั หวงั ท่จี ะไดบ้ รรลุคุณธรรมพเิ ศษ มฤี ทธ์ิเดชมี อานาจ มผี ูเ้คารพนบั ถอื เหมอื นเทพเจา้ ข้นึ มา พวกพราหมณ์ไดก้ าหนดปรชั ญาในการดาเนินชีวิตของพวกเขาเอง ซ่ึงมีระดบั ขน้ั ตอนอยู่ ๔ ระดบั หรือ เรยี กวา่ อาศรม ๔ ดงั น้ี ๑. พรหมจารี เป็นวยั ท่ตี อ้ งศึกษาเล่าเรียน จะเร่ิมทาพธิ ีเลา่ เรียนเรียกว่า \"อุปานยนั \" แปลว่านาชีวติ เขา้ สู่ ความรู้ ตงั้ แต่อายุ ๘ ขวบ เบ้อื งแรกจะตอ้ งใหพ้ ราหมณ์ผูเ้ป็นครูอาจารยเ์ ป็นผูส้ วมคลอ้ งดา้ ยสายศกั ด์ิสทิ ธ์เิ รียกว่า ยชั โญปวีต เท่ากบั เป็นการประกาศและปฏิญญาณตนว่าเป็นพรหมจารี ท่ีจะตอ้ งเป็นนกั เรียนนกั ศึกษาเช่ือฟงั ครู อาจารย์ ในระหวา่ งเป็นพรหมจารนี ้ีตอ้ งมคี วามประพฤติเรยี บรอ้ ย ตอ้ งเคารพต่ออาจารยท์ ุกโอกาส และตอ้ งเรียนอยู่ ในสานกั ของอาจารยอ์ ย่างนอ้ ย ๑๒ ปี จงึ สาเรจ็ การศึกษา ๒. คฤหสั ถ์ เป็นการแสวงหาความสุขทางโลกตามฆราวาสวสิ ยั เมอ่ื กลบั มาสู่บา้ นแลว้ จะตอ้ งทาพธิ แี ต่งงาน และมบี ุตรอย่างนอ้ ย ๑ คน เพ่ือใชห้ น้ีบรรพบุรุษและเป็นการป้องกนั มิใหบ้ ดิ ามารดาตกนรกขมุ “ปุตตะ” จะตอ้ ง ประกอบอาชพี ใหม้ ฐี านะมนั่ คงในทางฆราวาส ปฏบิ ตั ติ ามกฎของผูค้ รอง เรือน ตลอดจนเอาใจใส่ในการประกอบยญั พธิ ี ๓. วนปรสั ถ์ ผูท้ ส่ี รา้ งฐานะในทางคฤหสั ถไ์ ดแ้ ลว้ มบี ตุ รธิดาสืบสกุลแลว้ กย็ กทรพั ยส์ มบตั ิใหบ้ ตุ รธิดาแลว้ ออกไปอยู่ในป่า เพ่อื บาเพญ็ เพยี รทางใจทาคุณงามความดตี อ้ งออกไปหาความสุขสงบจากความวเิ วกในป่า เรียกว่า วนปรสั ถ์ ยงั มภี รรยาเหมอื นกบั บคุ คลทวั่ ไป แต่มงุ่ บาเพญ็ ความดเี พอ่ื สมั ปรายภพใหม้ ากยง่ิ ข้นึ ๔. สนั ยาสี พธิ บี วชเป็นสนั ยาสี คุรุจะทาพธิ ีสวดมนตบ์ ูชาพระเจา้ แลว้ สอนใหผ้ ูบ้ วชว่าตาม เสร็จแลว้ คุรุจะ อบรมใหผ้ ูถ้ ือบวชทราบทางปฏิบตั ิ การถือบวชเป็นสนั ยาสี เป็นช่วงสุดทา้ ยของชีวิตของผูท้ ่ีหวงั ประโยชนส์ ูงสุด จะตอ้ งสละโลกและบตุ รภรรยา ความวุ่นวายออกบาเพญ็ พรตอยู่ในป่าตลอดชวี ติ เพอ่ื จดุ หมายปลายทางของชีวติ คือ โมกษะ ลทั ธิอาตมนั ตามความคิดดง้ั เดมิ ของศาสนาพราหมณน์ น้ั ถอื ว่า ความดี ความชวั่ อยู่ท่เี ทพเจา้ มนุษยจ์ ะดจี ะชวั่ อยู่เทพ เจา้ จะบนั ดาล ผูท้ อ่ี ยากไดค้ วามดกี พ็ ยายามเซ่นสรวงบูชา เพอ่ื ใหเ้ทพเจา้ พอใจจะไดบ้ นั ดาลใหเ้กิดความดตี ่างๆ เมอ่ื พราหมณ์สรา้ งพระพรหมข้นึ ใหเ้ ป็นผูบ้ ริสุทธ์ิทางความประพฤติ ประชาชนพอใจในความบริสุทธ์ิของ พระพรหม จงึ ประพฤติเลยี นแบบพรหมเรียกว่า พรหมจรรย์ ผลของการประพฤติพรหมจรรยเ์ กิดข้นึ จรงิ ประชาชน เคารพนบั ถอื มากผูท้ ่เี สยี สละความสุขทางโลก ประพฤตพิ รหมจรรยแ์ ละสงั่ สอนใหค้ นประพฤติตามได้ ไดร้ บั เกยี รติ สูงสง่ ทาใหค้ นมองเหน็ ว่าความดคี วามชวั่ นนั้ อยู่ท่ตี วั เอง ดงั นนั้ แนวความคิดของมนุษยเ์ ร่มิ เขา้ สู่ระบบทถ่ี ูกตอ้ งคือ รูว้ ่าความดคี วามชวั่ อยู่ท่กี ารกระทาของตนเอง ลทั ธิอาตมนั หรอื ลทั ธิตนเอง เป็นแนวความคิดใหมข่ องพราหมณ์กเ็ กดิ ข้นึ คือใหค้ วามสาคญั แก่ตนเองไดแ้ ก่ จติ ใจ

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี ก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๑๕ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ โดยตรง ความดีอยู่ท่ตี นเอง ไม่ตอ้ งไปเทย่ี วออ้ นวอนหรือขอจากผูอ้ ่ืน กฎแห่งกรรมคือการกระทาของตนมอี ิทธิพล ต่อการดารงชวี ติ ของมนุษยเ์ ร่มิ ข้นึ จากลทั ธอิ าตมนั ซง่ึ สอนใหม้ นุษยร์ ูจ้ กั รบั ผดิ ชอบชวั่ ดดี ว้ ยตนเอง หลกั ความดสี ูงสุดในคมั ภรี พ์ ระเวท การปฏบิ ตั ิธรรม คือความดีสูงสุด ความดสี ูงสุดตามทศั นะของปรชั ญาพระเวท คือการนาเอาอาตมนั เขา้ สู่ ปรมาตมนั เพ่อื หลุดพน้ จากสงั สารวฏั แห่งชีวติ หรือการเวียนว่ายตายเกิด การดาเนินชีวิต ใหถ้ ึงความดีสูงสุดคือ โมกษะนน้ั จะตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามหลกั ๔ ระดบั คือ :- ๑. กรรมมรรค หรือกรรมโยคะ คือการกาหนดว่ากรรมเป็นส่งิ สาคญั ท่สี ุดในชีวิต ชีวะของแต่ละคนย่อม เวยี นว่ายตายเกิด มสี ุข มที กุ ข์ โดยอาศยั แรงแห่งกรรม ใหพ้ จิ ารณาว่ากรรมใดทเ่ี ป็นสาเหตุใหเ้วียนว่ายตายเกิด จง ละกรรมนน้ั เสยี และกรรมใดเป็นสาเหตใุ หห้ ลุดพน้ จากการเวยี นวา่ ยตายเกดิ จงปฏบิ ตั กิ รรมนน้ั ๒. ชญาณมรรค หรือชญาณโยคะ คือใหก้ ารกาหนดปฏบิ ตั ิโดยความรูแ้ จง้ ความเห็นชอบ อนั เป็นผลมา จากการพิจารณาโดยบริสุทธ์ิ ไม่สรา้ งความทุกขท์ รมานใหแ้ ก่ชีวะใด ๆ ม่งุ แต่การสรา้ งประโยชน์ และความดีงาม ใหแ้ ก่สว่ นรวม ๓. ภกั ตมิ รรค หรอื ภกั ตโิ ยคะ คือใหก้ าหนดปฏบิ ตั ดิ ว้ ยความจงรกั ภกั ดีต่อคาสอนของเทพเจา้ ๔. ราชมรรค หรือราชโยคะ คือม่งุ ปฏบิ ตั ิเก่ียวกบั การฝึกทางใจ บงั คบั ใจใหอ้ ยู่ในอานาจดว้ ยการบาเพญ็ โยคะ คือบาเพญ็ เพยี รอย่างอกุ ฤษฏ์ เพอ่ื ใหจ้ ติ พน้ จากกเิ ลส และมลี าดบั ขน้ั ตอนในการบาเพญ็ เพยี รทางจิตดงั น้ี - โสลกยมั คือการบาเพ็ญเพียรกระทงั่ จิตไปสู่โลกทิพยเ์ สมอื นไปอยู่เฉพาะหนา้ พระผูเ้ ป็นเจา้ ไดแ้ ก่ พระ อศิ วรหรอื พระศิวะ - สมิปยมั คอื การเขา้ ฌานฟอกจิตใหส้ ะอาดจนมองเหน็ พระเจา้ - สรุปยมั คือการฟอกจติ ใหแ้ น่วแน่จนตวั กลนื หายเป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกบั พระเจา้ - สยุชยมั คือการเขา้ ถงึ พระเจา้ จนตวั เองเป็นอนั หน่ึงอนั เดยี วกนั อนั เป็นจดุ หมายสูงสุดของสนั ยาสที งั้ หลาย เรยี กวา่ การหลุดพน้ จากทกุ ขท์ ง้ั ปวงคอื โมกษะ อนั เป็นจดุ หมายปลายทางสูงสุดของศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู ๑.๔ สาระสาคญั เกย่ี วกบั แนวคดิ ยคุ อปุ นิษทั ต่อจากยุคคมั ภีรพ์ ระเวท เม่อื ชาวอารยนั อพยพเล่อื นจากแม่นา้ สินธุลงมาในภาคกลางของอินเดียคือลุ่ม แม่นา้ คงคา เป็นพ้ืนท่ีท่ีมคี วามอุดมสมบูรณ์เป็นอยู่สบายแลว้ ก็ไดต้ ง้ั แว่นแควน้ ข้ึนเป็นรากฐานทางสงั คมฮินดู เรียบรอ้ ยแลว้ ก็มวี ิวฒั นาการทางความคิดคือมพี วกปุโรหติ อีกพวกหน่ึงเห็นว่า คมั ภีรเ์ วทเหล่านนั้ คาสวดต่างๆ มี มากมายเหลอื เกนิ และบางทคี าสวดเหลา่ นน้ั จะตอ้ งทาคาอธิบาย ดว้ ยว่าตอ้ งอธบิ ายการบูชาอย่างไร จึงจะไดผ้ ลอย่าง นนั้ ๆ พวกปโุ รหติ พวกน้ีจงึ ไดแ้ ต่งคมั ภรี อ์ รรถกถาคมั ภรี เ์ วทใหช้ ่อื ว่า พราหมณะ ศาสนาพราหมณ์ไดว้ วิ ฒั นาการมาจากยุคพราหมณะก็มาเขา้ สู่ยุคท่ี ๓ ซง่ึ เป็นยุคสมยั อปุ นิษทั ใกลพ้ ทุ ธกาล ประมาณ ๑๐๐-๑๕๐ ปี เมอ่ื ชาวอินเดียมคี วามเป็นอยู่แน่นอนลงไปแลว้ ทุกคนก็เร่มิ ฉุกคิดคน้ หาความจริงในชวี ติ คือเหน็ ว่าลาพงั การบชู าบวงสรวงดว้ ยวธิ ยี ญั กรรมต่างๆ อย่างท่เี คยประพฤตมิ านน้ั ไม่สูจ้ ะไดผ้ ลอะไรแต่อย่างใด ไม่

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๑๖ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ สามารถทาบุคคลใหพ้ น้ ทุกขไ์ ด้ ทาจิตใจใหส้ บายได้ นอกจากว่าเป็นการปลอบใจ หรือว่าเป็นการบารุงขวญั ชวั่ ครง้ั ชวั่ คราวเทา่ นนั้ เอง ไมส่ ามารถจะเอาชนะทุกขไ์ ดอ้ ย่างเดด็ ขาด เพราะฉะนนั้ จงึ มพี วกทต่ี อ้ งการแสวงหาความจรงิ พวกหน่ึง หลกี เรน้ ปลกี วเิ วกออกไปตาม ป่าเขาลาเนาไพร แลว้ กพ็ ยายามใชป้ ญั ญาของตนขบคิดหาความจรงิ ว่าชวี ติ คืออะไร เราเกิดมาทาไม ตายแลว้ จะไปไหน ซง่ึ นกั คิดท่จี ะ ตอบปญั หาเหลา่ น้ี เมอ่ื ขบคิดไปกพ็ บขอ้ คิดจรงิ บางอย่างบางประการท่พี วกเขาพบเขา้ จงึ ไดร้ วบรวมข้นึ อีกคมั ภรี ห์ น่ึง ใหช้ ่อื วา่ อปุ นิษทั คาว่า อุปนิษทั นน้ั หมายความว่า นงั่ เขา้ มาตีวงใกล้ ๆ หรอื นงั่ เขา้ มาฟงั ใกลๆ้ เพราะว่าพวกฤาษีชีไพรทไ่ี ป ขบคิดปญั หาทางปรชั ญาทางชีวิตพวกน้ี สมยั โบราณไม่มเี คร่ืองขยายเสียงไมคโ์ ครโฟน ถา้ ไม่เขา้ มาตีวงใกล้ ๆ กบั อาจารย์ กไ็ ม่รูเ้ร่อื ง ไม่เขา้ ใจว่าอาจารยพ์ ดู อะไร สมยั ท่ปี รชั ญาอปุ นิษทั เกดิ ข้นึ เป็นยุคทใ่ี กลก้ บั พทุ ธกาลแลว้ เป็นยุค ทน่ี กั คดิ ชาวอินเดยี เร่ิมเป็นตวั ของตวั เองมากข้นึ ไมผ่ ูกพนั กบั ระบบประเพณีดงั้ เดิม ซ่งึ สมยั พระเวทถ่ายทอดกนั มา เพราะฉะนน้ั จงึ มนี กั คดิ อสิ ระทม่ี คี วามคดิ แหวกแนวออกไปจากระบบประเพณีดง้ั เดมิ ของพระเวทออกไป พวกนกั คิดอสิ ระเหล่าน้ีปฏิเสธพระเวท พวกทป่ี ฏเิ สธมอี ยู่หลายพวกในประวตั ิวรรณคดีบาลไี ดก้ ล่าวถงึ ช่ือ พวกปริพาชก สนั ยาสี นิครนั ถะ และพวกครูทง้ั ๖ พวกน้ีลว้ นแต่เป็นนกั คิดอิสระ ทงั้ นน้ั ท่ีไม่ใช่พวกพราหมณ์ รวมทง้ั พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ดว้ ย เพราะฉะน้นั จงึ แบง่ ศาสนาและทศั นะต่างๆ ของอนิ เดียออกเป็น ๒ พวกใหญ่ๆ ได้ ดงั น้ี๓ ๑. พวกไวทิกวาทะ วาทะท่ียงั นบั ถือพระเวทเป็นปทฏั ฐาน ลทั ธิศาสนาในพวกน้ี ยอมรบั ประเพณีของ พราหมณ์ ไม่ปฏเิ สธพระเวท ซ่งึ ภายหลงั ไดเ้ กดิ เป็น ๖ ลทั ธิใหญ่ เรยี กว่า ษทั ทรรศนะ ประกอบดว้ ยลทั ธิ “สางขยะ มีมามสา เวทานตะ ไวเศษิกะ นยายะ และโยคะ” ๖ ลทั ธเิ หลา่ น้ีสอนวา่ มอี ตั ตาทงั้ นนั้ แนวความคิดของลทั ธิปรชั ญาทง้ั ๖ สาขามี ดงั น้ี ๑) ลทั ธิสางขยะ ลทั ธนิ ้ีถอื กนั วา่ เป็นปรชั ญาฮนิ ดูทเ่ี ก่าแก่ทส่ี ุด ทา่ นมหากบลิ มนุ ีเป็นผูต้ งั้ ข้นึ คาว่า สางขยะ มาจากคาว่า สางขยา แปลว่าการนบั หรอื จานวน ทม่ี ชี ่อื อย่างน้ีเพราะหลกั ธรรมหรอื ปรชั ญาของลทั ธนิ ้ี กล่าวถงึ ตตั ต วะ หรอื ความจรงิ แท้ ๒๕ ประการ ซง่ึ อาจย่อลงเป็น ๒ คือ (๑) ปุรุษะ อนั ไดแ้ ก่ อาตมนั หรอื วญิ ญาณสากล (๒) ประกฤติ หรอื ปกติ คือสง่ิ ทเ่ี ป็นตน้ เหตหุ รอื ตน้ กาเนิดของสง่ิ ทงั้ หลายทงั้ ปวง สาระปรชั ญาของลทั ธิน้ีถอื ว่า :- (๑) สรรพส่งิ ทงั้ หลายทง้ั ปวงย่อมเกดิ มาจากเหตุและผลของมนั เอง สง่ิ ท่มี ี อยูใ่ นปจั จบุ นั ตอ้ งเกิดจากสง่ิ ท่มี อี ยู่ก่อนแลว้ ส่งิ ท่มี อี ยู่ตอ้ งเกิดมาจากส่งิ ท่มี อี ยู่ จะเกิดจากสง่ิ ท่ไี มม่ ไี ม่ได้ (๒) ถอื ว่า ไมม่ พี ระเจา้ เป็นผูส้ รา้ งโลก พระเจา้ ไมม่ ตี วั ตนจะมาสรา้ งสง่ิ ทม่ี ตี วั ตนไดอ้ ยา่ งไร ๒) มีมามสา หรือปูรวมีมามสา เจา้ ลทั ธิปรชั ญามมี ามสา ช่ือไชมนิ ิ คาว่า มมี ามสา แปลว่า พิจารณาหรือ สอบสวน หมายถงึ การสอบสวนพระเวท ใหใ้ ชค้ วามไตร่ตรองในเหตผุ ลและทาพธิ ี การเสยี สละเคร่อื งพลบี ูชานนั้ เป็น หลกั ใหญ่ ปรชั ญามมี ามสา กล่าวถึงเร่ืองวญิ ญาณ แสดงความเช่ือว่า วิญญาณเป็นส่ิงท่มี ีอยู่จริง เช่ือว่าโลกและ วญิ ญาณเป็นอมตะและเชอ่ื ความศกั ด์สิ ทิ ธ์ขิ องคมั ภรี พ์ ระเวท แต่มไิ ดก้ ล่าวถงึ ผูส้ รา้ งโลก โดยถอื ว่าพระเจา้ สูงสุดไมม่ ี ๓ เสถยี ร โพธนิ นั ทะ, ประวตั ิศาสตรศ์ าสนา, ฉบบั มขุ ปาฐะ ภาค ๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙), หนา้ ๘.

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๑๗ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ ความจาเป็น ตามทรรศนะของมมี ามสา โลกน้ีไมม่ ใี ครสรา้ ง และจะไม่มกี ารแตกสลาย มนั จะดารงอยู่อย่างน้ีตลอดไป ไมม่ กี าลไหนๆ ทส่ี ากลจกั รวาลจะมลี กั ษณะผดิ แผกแตกต่างไปจากทม่ี นั เป็นอยูใ่ นเวลาน้ี ๓) เวทานตะ ผูท้ เ่ี ป็นเจา้ ลทั ธปิ รชั ญาสาขาน้ีคือ พาทรายณะ หรือ วยาส คาว่า เวทานตะ แปลว่า ตอนทา้ ย แหง่ พระเวท ปรชั ญาสาขาน้ีแสดงวา่ ความแทจ้ รงิ มเี พยี งสง่ิ เดยี วเท่านน้ั คือ ปรมาตมนั ปรมาตมนั แตกตวั เป็นอาตมนั คือวญิ ญาณของบุคคล อาตมนั มลี กั ษณะเหมอื นกบั ปรมาตมนั ทกุ อย่าง มนั สงิ อยู่ในตวั คนทุกคน คนทกุ คนจงึ มจี ิต เป็นพระพรหมอยูแ่ ลว้ เพยี งแต่เขาไมท่ ราบเทา่ นนั้ เอง ปรชั ญาหลกั ของเวทานตะคือ :- “ความไม่รูเ้ ท่าทนั ความจริงท่ีว่า จิตของเราแต่ละคนเป็นอาตมนั เป็นอย่างเดียวกบั จิตของพรหมคือ ปรมาตมนั คนเราจึงกระทากรรมและถือกรรมต่าง ๆ เป็นตวั ตนของเขา ดงั นนั้ จึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกน้ี เมอ่ื ใดกาจดั อวชิ ชา ความไมร่ ูไ้ ดแ้ ลว้ อาตมนั กจ็ ะเขา้ ร่วมกบั ปรมาตมนั คนทส่ี าเรจ็ จะกลายเป็นพรหม” ๔) ไวเศษิกะ คาว่า ไวเศษิกะ มาจากคาว่า วเิ ศษ ซง่ึ หมายถงึ ลกั ษณะทท่ี าใหส้ ง่ิ หน่ึงต่างไปจากอกี สง่ิ หน่ึง เป็นทฤษฎีวิเคราะห์ ส่งิ ท่มี ีอยู่เป็นอยู่จริงชวั่ นิรนั ดร ซ่งึ ตามทฤษฎีของลทั ธิไวเศษกิ ะ มอี ยู่ ๙ คือ ดิน น้า ไฟ ลม อากาศ กาละ ทิศ หรอื เทศะ หมายถงึ สถานท่ี หรอื ส่งิ ทม่ี กี ารกินเน้ือท่ี อาตมนั ใจ หรือมนะ ผูก้ ่อตง้ั ปรชั ญาสาขาน้ี คือ ท่าน กณาทะ ลทั ธิน้ีเป็นปรชั ญาคู่แฝดกบั ลทั ธินยายะ บางครง้ั จึงเรียกรวมกนั ว่า นยายะไวเศษกิ ะ ทงั้ น้ีเพราะ ปรชั ญาทงั้ สองระบบมจี ดุ ม่งุ หมายเหมอื นกนั คือ ถอื ว่าโมกษะความหลุดพน้ จากทกุ ขข์ องชีวาตมนั สามารถเขา้ ถงึ ได้ ดว้ ยการขจดั อวชิ ชาหรอื ความโงเ่ ขลาใหห้ มดไป และทาความรูแ้ จง้ ในสจั ธรรมใหเ้กดิ ข้นึ ๕) นยายะ ปรชั ญานยายะสาขาน้ี ฤาษโี คตมะ หรอื เคาตมะ เป็นคนแรกทต่ี ง้ั ปรชั ญานยายะข้นึ คาว่า นยายะ แปลว่า นาไป หรอื โตแ้ ยง้ การโตแ้ ยง้ ดว้ ยเหตผุ ลทางตรรกวทิ ยา เป็นระบบปรชั ญาทห่ี นกั ไป ในทางส่งเสรมิ สตปิ ญั ญาของมนุษย์ โดยอาศยั การอนุมาน (Inference) คลา้ ยกบั หลกั การของอรสิ โตเติล เช่นว่า ทภ่ี เู ขามไี ฟ (ประตชิ ญา) เพราะทภ่ี เู ขามคี วนั (เหต)ุ ทใ่ี ดมคี วนั ทน่ี นั่ มไี ฟ เช่น ทเ่ี ตาหุงขา้ ว (อทุ าหรณ)์ ทภ่ี เู ขามคี วนั ซง่ึ เป็นสง่ิ ทเ่ี กย่ี วเน่ืองดว้ ยไฟ (อปุ นยั ) เพราะฉะนน้ั ทภ่ี เู ขามไี ฟ (นิคม) ส่วนของอริสโตเตลิ มเี พยี ง ๓ ขนั้ ตอน เช่นตวั อยา่ งขา้ งบนน้ีวา่ ทใ่ี ดมคี วนั ทน่ี นั่ มไี ฟ (Major Premise) ทภ่ี เู ขามคี วนั (Minor Premise) เพราะฉะนน้ั ทภ่ี เู ขามไี ฟ (Conclusion) หลกั สาคญั ของปรชั ญานยายะ คือใหพ้ จิ ารณาถงึ ความทุกข์ ความเกดิ ความเคล่อื นไหวในระหว่างมชี ีวิต อยู่ และความสาคญั ผดิ ดว้ ยการพจิ ารณาหาความจรงิ ตามความเหมาะแก่เหตผุ ล สอนใหบ้ คุ คลเลกิ ละอกศุ ล ใหม้ ี เมตตาต่อกนั มสี จั จะบาเพญ็ ประโยชนต์ ่อกนั ๖) โยคะ ปรชั ญาสาขาน้ี ท่านปตญั ชลี เป็นผูต้ งั้ ข้นึ คาว่า โยคะ แปลว่าการประกอบ คือการลงมือทาให้ เกิดผล ปรชั ญาลทั ธิน้ีมที รรศนะไปขา้ งมีเทพเจา้ ผูท้ รงอานาจ มีอานาจเหนือมนุษย์ คือพระพรหมผูย้ ่ิงใหญ่หรือ

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๑๘ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ปรมาตมนั อนั เป็นปฐมวิญาณของสตั วท์ ง้ั หลาย ปรชั ญาลทั ธิน้ีกาหนดใหต้ ง้ั สมาธิ คือการเพ่งใหเ้ ป็นเอกคั คตา เพอ่ื ใหว้ ญิ ญาณเลก็ นอ้ ยทงั้ หลายเขา้ ร่วมอยู่ในวญิ ญาณอนั เป็นปฐม (คือ ใหอ้ าตมนั เขา้ ไปอยู่ในปรมาตมนั ) อุบายวธิ ี ในการบาเพญ็ โยคะเพอ่ื ใหเ้ขา้ ถงึ ปรมาตมนั นน้ั มอี ยู่ ๘ ประการดงั ต่อไปน้ี ๑. ยมะ การสารวมความประพฤติ ๒. นิยมะ การบาเพญ็ ขอ้ วตั รปฏบิ ตั ทิ างศาสนา ๓. อาสนะ อรยิ าบถต่าง ๆ ของร่างกายทถ่ี กู ตอ้ งในลกั ษณะต่าง ๆ ๔. ปราณายามะ การกาหนดลมหายใจ ๕. ปรตั ยาหาระ การสารวมอนิ ทรยี ์ ๖. ธารณะ การทาใจใหม้ นั่ คง ๗. ธยานะ การเพ่ง ๘. สมาธิ การทาจติ ใหเ้ป็นสมาธิ คอื ตง้ั มนั่ อย่างลกึ ซ้งึ ๒. พวกอไวทกิ วาทะ คือพวกท่ปี ฏเิ สธความศกั ด์ิสทิ ธ์ิของพระเวท ไม่ยอมรบั ประเพณีของพราหมณ์ ซ่งึ มี ลทั ธิของครูทง้ั ๖ ศาสนาเชนและพระพทุ ธศาสนา แต่ศาสนาเชนสอนว่ามอี ตั ตา เรยี กว่า ชีวาตมนั พวกอุจเฉททฏิ ฐิ อกิริยทิฏฐิ นตั ถิกทิฏฐิ และลทั ธิโลกายตั (จารวาก) ก็รวมอยู่ในพวก อไวทิกวาทะน้ีดว้ ย เพราะปฏิเสธพระเวท เหมอื นกนั ๑.๕ สาระสาคญั เกย่ี วกบั ลทั ธคิ วามเช่ือครูทง้ั ๖ ลทั ธิของครูทง้ั ๖ ลทั ธิ (Doctrine) คอื คาสงั่ สอน ทม่ี ผี ูเ้ชอ่ื ถอื และมอี ทิ ธพิ ลต่อการดาเนินชวี ติ ของมนุษย์ แนวความคิดของศาสดาทงั้ ๖ นนั้ เป็นแนวความคิดท่แี หวกแนวปฏวิ ตั ิไปจากความคิดดงั้ เดิมของคมั ภีร์ พระเวท เป็นแนวความคิดร่วมสมยั กบั พระพุทธเจา้ ซ่ึงมีปรากฏอยู่ในประวตั ิวรรณคดีบาลี โดยเฉพาะอย่างย่ิง ความคิดของท่านเหลา่ นนั้ มปี รากฏอยู่ใน ทฆี นิกาย สลี ขนั ธวรรค สามญั ญผลสูตร๔ พอจะนามาสรุปแนวความคิดได้ ดงั น้ี ๑. ปูรณกสั สปะ ๒. มกั ขลโิ คสาล ๓. ปกทุ ธกจั จายนะ ๔. อชติ เกสกมั พล ๕. นิครนถน์ าฏบตุ รหรอื ท่านมหาวรี ะ ๖. สญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร๕ ๔ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๕๐/๔๘. ๕ มงฺคล.(บาล)ี ๑/๑๗/๑๓-๑๔.

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี กอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๑๙ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ทรรศนะเก่ียวกบั โลกและชีวิตในชมพูทวีป หรืออินเดียสมยั ก่อนพุทธกาลไดม้ ีเจา้ ลทั ธิต่างๆ เกิดข้ึน มากมาย โดยตงั้ เป็นสานกั หรือคณะปรากฏใน พรหมชาลสูตร ทฆี นิกาย สีลขนั ธมรรค แห่งพระสุตตนั ตปิฎก ว่า มที ฏิ ฐิ ถงึ ๖๒ ประการ แต่เมอ่ื กลา่ วโดยยอ่ มที ส่ี าคญั อยู่ ๖ ลทั ธิ เรยี กโดยทวั่ ไปว่า ลทั ธขิ องครูทงั้ ๖ ๑. อกริ ยิ ทิฏฐิ (The theory of non-action) เป็นลทั ธิทม่ี คี วามเหน็ ว่า ทากไ็ ม่เช่อื ว่าทา เช่นบญุ บาปไม่มี ความดคี วามชวั่ ไมม่ ี เจา้ ลทั ธนิ ้ีคอื ปูรณะกสั สปะ ๒. อเหตุกทิฏฐิ (The theory of causelessness) เป็นลทั ธิท่มี คี วามเหน็ ว่า ไม่มเี หตุ ไม่มปี จั จยั สตั ว์ ทงั้ หลายจะไดด้ ี ไดช้ วั่ ไดส้ ุขหรือทุกขก์ ็ไดเ้ อง ไม่ใช่เพราะทาดีหรือทาชวั่ อน่ึงสตั วท์ ง้ั หลายหลงั จากท่องเท่ยี วไปใน สงั สารวฏั แลว้ กบ็ รสิ ุทธ์ไิ ดเ้อง ลทั ธนิ ้ีจงึ มชี อ่ื เรยี กอกี อยา่ งหน่ึงวา่ สงั สารสทุ ธกิ วาทะ เจา้ ลทั ธนิ ้ี คอื มกั ขลโิ คศาล ๓. นัตถกิ ทิฏฐิ (The theory of nothingness) (รวมทง้ั อจุ เฉททฏิ ฐิ ดว้ ย) ลทั ธนิ ้ีมคี วามเหน็ ว่าไมม่ ผี ล คอื การทาบุญทาทาการบูชาไม่มผี ล เจา้ ลทั ธนิ ้ีคือ อชิตะเกสกมั พล ท่านผูน้ ้ีสอนเร่อื งอุจเฉททฏิ ฐดิ ว้ ย คือเหน็ ว่าสตั ว์ ทงั้ หลายตายแลว้ สูญ ๔. สสั สตทิฏฐิ (The theory of the continuance of the soul after death) ลทั ธนิ ้ีมคี วามเหน็ ว่าส่งิ ทงั้ หลายเคยเกิดอย่างไร ก็เป็นไปอย่างนน้ั เช่น โลกเท่ยี ง จิตเท่ยี ง สตั วท์ งั้ หลายเคยเกิดอย่างไร ก็เป็นไปอย่างนน้ั ต่อไปตลอกกาล ดิน นา้ ลม ไฟ เป็นของเทย่ี ง การฆ่ากนั นนั้ ไม่มใี ครฆ่าใคร เพยี งแต่เอาศาสตราสอดเขา้ ไปในธาตุ (ร่าง) ซง่ึ ยงั่ ยนื ไมม่ อี ะไรทาลายได้ เจา้ ลทั ธคิ ือ ปกุธะ กจั จายนะ ๕. อมราวกิ เขปิ กทิฏฐิ (The theory of speech to un-definitive and unreliably be like the eel) ลทั ธนิ ้ีความเหน็ ไมแ่ น่นอน ซดั ส่ายไหลลน่ื เหมอื นปลาไหล เพราะเหตุหลายประการ เช่น เกรงจะพดู ปด เกรงจะเป็น การยดึ ถอื เกรงจะถกู ซกั ถาม เพราะโงเ่ ขลา จงึ ปฏเิ สธว่า อยา่ งน้ีกไ็ มใ่ ช่ อย่างนน้ั กไ็ มใ่ ช่ ไมย่ อมรบั และไม่ยนื ยนั อะไร ทง้ั หมด เจา้ ลทั ธนิ ้ีคอื สญั ชยั เวลฏั ฐบตุ ร ซง่ึ เคยเป็นอาจารยเ์ ดมิ ของพระโมคคลั ลานะ และพระสารบี ตุ ร ๖. อตั ตกลิ มถานุโยค (The extreme of self-mortification) และ อเนกานตวาทะ ลทั ธนิ ้ีถอื การทรมาน กายวา่ เป็นทางไปสูค่ วามพน้ ทกุ ข์ มคี วามเป็นอยู่เขม้ งวดกวดขนั ต่อร่างกาย เช่น อดขา้ ว อดนา้ ตากแดด ตากลม ไม่ นุ่งห่มผา้ เช่น พวกนิครนถ์ ตวั อยา่ งเจา้ ลทั ธนิ ้ี คือ นิครนถน์ าฏบตุ ร หรอื ท่านศาสดามหาวรี ะ ศาสดาองคท์ ่ี ๒๔ ของ ศาสนาเชน ศาสนาเชนเป็นคู่แข่งท่ีสาคญั ของพระพุทธศาสนาและเป็นเพียงลทั ธิเดียวในจานวนลทั ธิของครูทงั้ ๖ ท่ี ยงั่ ยนื สบื ทอดมาจนถงึ ปจั จบุ นั อยู่ในฐานะเป็นศาสนาหน่ึงของอนิ เดยี แต่เน่ืองจากเคร่งครดั เกนิ ไป เช่นนกั บวชจะข้นึ รถลงเรอื ไมไ่ ด้ จงึ ไมแ่ พร่หลายในต่างประเทศ ความเป็นมาของลทั ธิครูทง้ั ๖ เมอ่ื พระเจา้ อชาตศตั รูไดค้ รองราชยส์ บื ต่อจากพระเจา้ พมิ พสิ ารผูร้ าชบดิ า อยู่มาวนั หน่ึงพระองคท์ รงมคี วาม ประสงคจ์ ะสนทนากบั สมณพราหมณ์ ในปญั หาเร่อื งการบวชมผี ลเป็นท่ปี ระจกั ษอ์ ย่างไร ไดเ้สด็จถามปญั หาดงั กลา่ ว กบั ครูทงั้ ๖ ซ่งึ เป็นนกั ปราชญเ์ จา้ ลทั ธิในขณะนน้ั แต่ไดร้ บั คาตอบไม่เป็นท่พี อพระทยั เพราะเป็นการถามปญั หา อยา่ งหน่ึงและตอบเสยี อกี อย่างหน่ึง จนท่านหมอชีวกโกมารภจั จ์ แนะนาใหท้ ่านไปเขา้ เฝ้าพระพทุ ธเจา้ ท่านจงึ ทรงนา คาตอบในลทั ธิของครูทง้ั ๖ มาตรสั เล่าถวายพระพุทธเจา้ ดงั ขอ้ ความท่ีปรากฏในสุตตนั ตปิฎก ทีฆนิกาย สีล

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๒๐ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ ขนั ธวรรค ว่า สมยั หน่ึง พระผูม้ พี ระภาคประทบั อยู่ท่ีสวนมะม่วงของหมอชีวก โกมารภจั ๖ เขตกรุงราชคฤห์ พรอ้ ม ดว้ ยภกิ ษุสงฆห์ มใู่ หญ่จานวน ๑,๒๕๐ รูป สมยั นนั้ แล ในคืนวนั เพญ็ ข้นึ ๑๕ คา่ อนั เป็นวนั อุโบสถของเดือนท่ี ๔ ซง่ึ เป็นเดอื นทม่ี ดี อกโกมทุ บานสะพรงั่ พระราชาแห่งแควน้ มคธพระนามว่า อชาตศตั รู เวเทหบิ ุตร๗ มอี ามาตยแ์ วดลอ้ ม ประทบั นงั่ อยู่บนปราสาทชน้ั บน ขณะนน้ั ทา้ วเธอทรงเปลง่ อุทานว่า ‚ราตรีสว่างไสว น่าร่นื รมย์ งดงาม น่าช่นื ชมยง่ิ นกั เป็นฤกษง์ ามยามดี วนั น้ีเราควรเขา้ ไปหาสมณะ หรือพราหมณ์ผูใ้ ดหนอ ท่จี ะทาใหจ้ ติ ใจของเราเบกิ บานเลอ่ื มใส ได‛้ เมอ่ื ทา้ วเธอทรงเปลง่ อทุ านอยา่ งน้ี ราชอามาตยผ์ ูห้ น่ึงไดก้ ราบทูล ว่า ‚ขอเดชะ ครูปูรณะ กสั สปะ๘ เป็นเจา้ หมู่ (สงฺฆี)๙ เจา้ คณะ (คณี)๑๐ เป็นคณาจารย์ (คณาจริโย)๑๑ เป็นผูม้ ชี ่ือเสยี ง (ญาโต)๑๒ มเี กียรติยศ (ยสสฺส)ี ๑๓ เป็น เจา้ ลทั ธิ (ติตฺถกโร)๑๔ คนจานวนมากยกย่องกนั ว่าเป็นคนดี (สาธุสมฺมโต พหุชนสฺส)๑๕ มีประสบการณ์มาก (รตตฺ ํฺํู)๑๖ บวชมานาน (จริ ปพพฺ ชิโต)๑๗ มชี วี ติ อยู่หลายรชั สมยั (อทฺธคโต)๑๘ ลว่ งกาลผ่านวยั มามาก (วโยอนุปปฺ ตฺ โต)๑๙ พระองคโ์ ปรดเสดจ็ เขา้ ไปหาทา่ น เมอ่ื เสดจ็ เขา้ ไปหา พระทยั ของพระองคจ์ ะเบกิ บานเลอ่ื มใส‛ เมอ่ื ราชอามาตย์ ผูน้ น้ั กราบทูลอยา่ งน้ี ทา้ วเธอทรงน่ิง ๖ ท่ชี ่อื วา่ ชีวก เพราะเมอ่ื คลอดออกมาวนั แรกถูกแมน่ าไปท้งิ แต่มชี ีวติ รอดมาได้ ท่ชี ่อื วา่ โกมารภจั เพราะอภยั ราชกุมารทรงนาไปเล้ยี งไว้ อยา่ งราชกมุ าร เขาจบการศึกษาทางแพทย์ เป็นคนแรกทผ่ี า่ ตดั สมองเป็นผลสาเร็จ นอกจากน้ี ยงั เป็นแพทยป์ ระจาพระองคข์ องพระพทุ ธเจา้ อกี ดว้ ย อา้ ง ใน ว.ิ มหา.(บาล)ี ๕/๓๒๘/๑๒๕. ๗ พระเจา้ อชาตศตั รู เป็นพระราชโอรสของพระเจา้ พมิ พสิ ารกบั พระนางเวเทหิ อา้ งใน ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๑๕๐/๑๒๗. ๘ เจา้ ลทั ธชิ ่อื ปูรณะ กสั สปโคตร ในอา้ ง ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๑๕๑/๑๓๐. ๙ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๑๓. ‘ปพพฺ ชติ สมหู สงฺขาโต สงฺโฆ อสฺส อตถฺ ตี ิ สงฺฆ.ี สงฆก์ ลา่ วคอื ประชมุ แห่งบรรพชิต มอี ยู่แก่บุคคลนน้ั เหตนุ นั้ บคุ คล นนั้ ช่อื วา่ สงั ฆ.ี ๑๐ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๑๓. ‘สฺเวว คโณ อสฺส อตถฺ ตี ิ คณี. คณะนน้ั นนั่ เอง มอี ยูแ่ ก่กลมุ่ บคุ คลนน้ั เหตนุ น้ั กลมุ่ บคุ คลนนั้ ช่อื วา่ คณี. ๑๑ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๑๓. ‘อาจารสกิ ฺขาปนวเสน ตสฺส คณสฺส อาจริโยติ คณาจริโย. บคุ คลผูเ้ป็นอาจารยข์ องคณะนน้ั ดว้ ยอานาจใหศ้ ึกษา เร่อื งมารยาท เหตนุ น้ั จงึ ช่อื วา่ คณาจารย์ ๑๒ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๑๓. ‘ญาโตติ ปํฺญาโต ปากโฏ. บคุ คลผูท้ ค่ี นทวั่ ไปรูจ้ กั ทวั่ ไป คอื ผูม้ ชี อ่ื เสยี งปรากฏชดั ๑๓ ที.ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๑๓. ‘อปฺปิจฺโฉ สนฺตุฏฺโฐ อปฺปิจฺฉตาย วตฺถปิ น นิวาเสสีติ เอว สมคุ ฺคโต ‘ยโส อสฺส อตฺถตี ิ ยสสฺส.ี ผูใ้ ดมกั นอ้ ย สนั โดษ ไมน่ ุ่งแมผ้ า้ เพราะความมกั นอ้ ยสนั โดษนนั้ เหตนุ นั้ จงึ มชี ่อื เสยี งอยา่ งน้ี ยศชอ่ื เสยี งของผูน้ น้ั มอี ยู่ เหตนุ นั้ จงึ ช่อื วา่ ยสสั สี ๑๔ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๑๓. ‘ตติ ถฺ กโรติ ลทฺธกิ โร. เจา้ ลทั ธิ คอื ผูส้ รา้ งแนวคดิ และทฤษฏี ๑๕ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๑๓. ‘สาธุสมมฺ โตติ อย สาธุ สุนฺทโร ‘สปปฺ รุ ิโสติ เอว สมมฺ โต ‘พหชุ นสฺสาติ อสฺสตุ วโต อนฺธพาลปถุ ชุ ฺชนสฺส ฯ คนดี คน งามน้ี ส่วนใหญ่สมมตุ วิ า่ เป็นสตั บรุ ุษ ฯ คนส่วนใหญ่ คอื พวกทไ่ี มม่ สี ตุ ะ เป็นปถุ ชุ นอนั ธพาล ๑๖ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๑๓. ‘ปพพฺ ชติ โต ปฏฺฐาย อตกิ กฺ นฺตา พหู รตฺติโย ชานาตตี ิ รตฺตํฺํู ฯ บุคคลใด จาเดมิ ตงั้ แต่บวชมา ย่อมรูร้ าตรีเป็น อนั มากทผ่ี ่านพน้ ไปแลว้ เหตนุ นั้ ผูน้ น้ั จงึ ชอ่ื วา่ รตั ตญั ญู (Elder of Long Standing) ๑๗ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๑๓. ‘จริ ปพฺพชิตสฺสา อสฺสาติ จริ ปพฺพชโิ ต ฯ อจริ ปพฺพชิตสฺส หิ กถา โอกปฺปนียา น โหติ ฯ เตนาห ‘จริ ปพพฺ ชโิ ตติ เวลาเน่นิ นานของการบวช ชอ่ื วา่ บวชนาน ฯ ความจริง ถอ้ ยคาอนั เป็นทต่ี ง้ั ของความกาเรบิ ย่อมไมม่ แี ก่ผูบ้ วชไมน่ าน เหตนุ นั้ จงึ ช่อื วา่ บวชไมน่ าน ฯ ๑๘ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๑๓. ‘อทธฺ คโตติ อทธฺ าน คโต ฯ ‘เทฺว ตโต ราชปริวฏฺเฏ อตโี ตติ อธิปปฺ าโย ฯ ผูม้ เี วลาท่ผี ่านลว่ งเลยไปนาน อธิบายวา่ ‘ลว่ งผ่านการหมนุ เวยี นการครองราชย์ ๒ ถงึ ๓ พระองค’์ ๑๙ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๑๓. ‘วโยอนุปตฺโตต’ิ ปจฉฺ ิมวย อนุปตโฺ ต ฯ ผูถ้ งึ การเจรญิ วยั มาตามลาดบั คอื ปฐมวยั มชั ฌมิ วยั จนถงึ ปจั ฉิมวยั

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี ก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๒๑ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ราชอามาตยอ์ กี คนหน่ึงไดก้ ราบทลู วา่ ‚ขอเดชะ ครูมกั ขลิ โคศาล๒๐ เป็นเจา้ หมเู่ จา้ คณะ เป็นคณาจารย์ เป็น ผูม้ ชี ่อื เสยี งมเี กยี รตยิ ศ เป็นเจา้ ลทั ธิ คนจานวนมากยกยอ่ งกนั ว่าเป็นคนดี มปี ระสบการณม์ าก บวชมานาน มชี ีวติ อยู่ หลายรชั สมยั ฯลฯ ราชอามาตยอ์ ีกคนหน่ึงไดก้ ราบทูลว่า ‚ขอเดชะครูอชิตะ เกสกมั พล๒๑ ครูปกุธะกจั จายนะ๒๒ ครูสญั ชยั เวลฏั ฐบุตร๒๓ ครูนิครนถน์ าฏบตุ ร๒๔ เป็นเจา้ หม่เู จา้ คณะ เป็นคณาจารย์ เป็นผูม้ ชี ่อื เสยี งมเี กียรตยิ ศ เป็นเจา้ หม่เู จา้ คณะ เป็นคณาจารย์ เป็นผูม้ ชี ่อื เสยี ง มเี กียรติยศ เป็นเจา้ ลทั ธิ คนจานวนมากยกย่องกนั ว่าเป็นคนดี มปี ระสบการณ์ มาก บวชมานาน มชี วี ติ อยูห่ ลายรชั สมยั ลว่ งกาลผา่ นวยั มามาก พระองคโ์ ปรดเสด็จ เขา้ ไปหาท่าน เมอ่ื เสดจ็ เขา้ ไปหา พระทยั ของพระองคจ์ ะเบกิ บานเลอ่ื มใส‛ เมอ่ื ราชอามาตยผ์ ูน้ นั้ กราบทูลอย่างน้ี ทา้ วเธอทรงน่ิง๒๕ สมยั นน้ั หมอชวี ก โกมารภจั นงั่ น่ิงอยู่ ณ ท่ไี มไ่ กลจากพระเจา้ อชาตศตั รู เวเทหบิ ตุ ร ทา้ วเธอตรสั ถามหมอ ชวี ก โกมารภจั ว่า ‚สหายชีวก ทาไมท่านจึงน่ิงอยู่เล่า‛ หมอชวี ก โกมารภจั ทูลตอบว่า ‚ขอเดชะ พระผูม้ พี ระภาคผู้ ทรงเป็นพระ อรหนั ตต์ รสั รูด้ ว้ ยพระองคเ์ องโดยชอบ ประทบั อยู่ทส่ี วนมะมว่ งของขา้ พระพทุ ธเจา้ พรอ้ มดว้ ยภกิ ษุสงฆ์ หมู่ใหญ่จานวน ๑,๒๕๐ รูป พระองคม์ ีพระกิตติศพั ทอ์ นั งามขจรไปอย่างน้ีว่า แมเ้ พราะเหตุน้ี พระผูม้ ีพระภาค พระองคน์ น้ั เป็นพระอรหนั ต์ ตรสั รู้ ดว้ ยพระองคเ์ องโดยชอบ เพยี บพรอ้ มดว้ ยวชิ ชาและจรณะ เสด็จไปดี รูแ้ จง้ โลก เป็นสารถฝี ึกผูท้ ค่ี วรฝึกไดอ้ ย่างยอดเย่ยี ม เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษยท์ ง้ั หลายเป็นพระพทุ ธเจา้ ๒๖ เป็นพระผูม้ ี พระภาค๒๗ พระองคโ์ ปรดเสด็จเขา้ ไปเฝ้าพระ ผูม้ พี ระภาคพระองคน์ น้ั เมอ่ื เสด็จเขา้ ไปเฝ้า พระทยั ของพระองคจ์ ะ เบกิ บานเลอ่ื มใส‛ ทา้ วเธอจึงมรี บั สงั่ ว่า ‚ถา้ อย่างนนั้ ท่านจงสงั่ ใหจ้ ดั เตรียมขบวนชา้ งเถดิ สหายชีวก‛ หมอชีวก โก มารภจั กราบทูลรบั สนองพระบรมราชโองการแลว้ สงั่ ใหเ้ ตรียมชา้ งพงั ๕๐๐ เชือกและชา้ งพระท่ีนงั่ กราบทูลว่า ‚ขบวนชา้ งพรอ้ มแลว้ ขอเชญิ ใตฝ้ ่าละอองธุลพี ระบาทเสด็จเถดิ พระเจา้ ขา้ ‛ ต่อมา พระเจา้ อชาตศตั รู เวเทหิบุตร โปรดใหส้ ตรี ๕๐๐ คนข้นึ ชา้ งพงั เชือกละ ๑ คน แลว้ ทรงชา้ งพระท่นี งั่ มผี ูถ้ อื คบเพลงิ เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ ดว้ ยราชานุภาพอนั ยง่ิ ใหญ่สมพระเกยี รตไิ ปสวนมะม่วงของหมอชีวก โกมารภจั พอใกลจ้ ะถงึ สวนมะม่วง ทา้ วเธอทรง ๒๐ เจา้ ลทั ธิช่อื มกั ขลิ ผูเ้กดิ ในโรงโค อา้ งใน ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๑๕๒/๑๓๑. ๒๑ เจา้ ลทั ธิชอ่ื อชติ ะ ผูน้ ุ่งห่มผา้ ทท่ี าดว้ ยผมของมนุษย์ อา้ งใน ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๑๕๓/๑๓๑. ๒๒ เจา้ ลทั ธิชอ่ื ปกธุ ะ กจั จายนโคตร อา้ งใน ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๑๕๔/๑๓๒. ๒๓ เจา้ ลทั ธิชอ่ื สญั ชยั ผูเ้ป็นบตุ รของช่างสาน อา้ งใน ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๑๕๕/๑๓๒. ๒๔ นคิ รนถ์ ผูเ้ป็นบตุ รของนกั ฟ้อน อา้ งใน ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๑๕๖/๑๓๒. ๒๕ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๕๑-๑๕๖/๔๘-๖๐. ๒๖ ช่อื วา่ เป็นพระพทุ ธเจา้ เพราะทรงรูส้ ง่ิ ทค่ี วรรูท้ ง้ั หมดดว้ ยพระองคเ์ อง และทรงสอนใหผ้ ูอ้ น่ื รูต้ าม ๒๗ ว.ิ อ.(บาล)ี ๑/๑๕๔-๑๕๖. (สฺยามรฏฐฺ สฺส อฏฺฐกถา) ช่อื วา่ เป็ นพระผูม้ ีพระภาค เพราะ (๑) ภคี : ทรงมโี ชค (๒) ภชี : ทรงทาลายขา้ ศึก คอื กเิ ลส (๓) ภาคี : ทรงประกอบดว้ ยภคธรรม ๖ ประการ (คือ ความเป็นใหญ่เหนือจิตของตน, โลกุตตรธรรม, ยศ, สริ ิ, ความสาเร็จประโยชนต์ าม ตอ้ งการ และความเพยี ร) (๔) วิภตตฺ วา : ทรงจาแนกแจกแจงธรรม (๕) ภาคฺยวา : ทรงเสพอรยิ ธรรม (๖) ภวนฺตคโต : ทรงคายตณั หาในภพทง้ั สาม (๗) ครูติ ภาคฺยวา : ทรงเป็นทเ่ี คารพของชาวโลก (๘) พหูหิ ญาเยหิ สุภาวิตตฺตโน : ทรงอบรมพระองคด์ แี ลว้ (๙) จตุปจฺจยภาคี : ทรงมสี ่วนแห่งปจั จยั ๔ เป็นตน้ อา้ งใน สารตฺถ.ฏกี า.(บาล)ี ๑/๒๗๐. อน่งึ พทุ ธคณุ น้ี ท่านแบง่ เป็น ๑๐ ประการ โดยแยกพทุ ธคณุ ขอ้ ๖ เป็น ๒ ประการ คอื (๑) เป็นผูย้ อดเยย่ี ม (๒) เป็นสารถฝี ึกผูท้ ่คี วรฝึกได้ อา้ งใน วสิ ทุ ธฺ .ิ (บาล)ี ๑/๒๖๕., ว.ิ อ.(บาล)ี ๑/๑๑๒-๑๑๓.

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๒๒ ดร.ยทุ ธนา พูนเกดิ มะเรงิ หวาดระแวง พระโลมชาตชิ ูชนั จงึ ตรสั ถามหมอชวี ก โกมารภจั วา่ ‚สหายชวี ก ท่านไมไ่ ดห้ ลอกเรา ไมไ่ ดล้ วงเรา ไม่ได้ นา เรามาใหศ้ ตั รูดอกหรือ ภกิ ษุสงฆห์ มใู่ หญ่จานวน ๑,๒๕๐ รูปทาไมจงึ ไม่มเี สยี งจาม เสยี งกระแอมไอ หรือเสยี งพูด คยุ กนั เลย‛ หมอชีวก โกมารภจั ทูลตอบว่า ‚พระองคโ์ ปรดอย่าไดท้ รงหวาดระแวงไปเลย ขา้ พระพทุ ธเจา้ ไม่ไดห้ ลอก พระองค์ ไม่ไดล้ วงพระองค์ ไม่ไดน้ าพระองคม์ าใหศ้ ตั รูหรอก ขอเดชะ พระองคโ์ ปรดเสด็จเขา้ ไปเถดิ นนั่ ยงั มแี สง ประทปี ตามอยู่ในหอนงั่ ‛ ทา้ วเธอจงึ ไดเ้สดจ็ เขา้ ไปโดยขบวนชา้ งพระท่นี งั่ จนสุดทางชา้ ง แลว้ เสด็จลงจากชา้ งพระทน่ี งั่ เขา้ ทางประตูหอ นงั่ ตรสั ถามหมอชวี ก โกมารภจั วา่ ‚สหายชวี ก พระผูม้ พี ระภาคประทบั อยู่ทไ่ี หนเล่า‛หมอชวี ก โกมารภจั ทูลตอบว่า ‚ขอเดชะ ผูป้ ระทบั นงั่ พงิ เสากลาง ผนิ พระพกั ตรไ์ ปทางทศิ ตะวนั ออกขา้ งหนา้ ภกิ ษุสงฆ์ นนั่ แลคือพระผูม้ พี ระภาค พระเจา้ ขา้ ‛ ลาดบั นน้ั พระเจา้ อชาตศตั รู เวเทหิบุตร เสด็จเขา้ ไปเฝ้ าพระผูม้ พี ระภาคถึงทป่ี ระทบั ไดป้ ระทบั ยืน ณ ท่ี สมควร ทรงชาเลอื งเหน็ ภกิ ษุสงฆ์ สงบนิง่ เหมอื นสระนา้ ใส จงึ ทรงเปลง่ อุทานว่า ‚ขอใหอ้ ุทยั ภทั รกุมาร๒๘ของเรา จงมี ความสงบเหมอื นอย่างภกิ ษุสงฆ์ ในเวลาน้ีเถดิ ‛ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ‚มหาบพติ ร พระองคเ์ สดจ็ มาตามความรกั บญั ชา‛ ทา้ วเธอกราบทูลว่า ‚อุทยั ภทั ร กมุ าร เป็นทร่ี กั ของหมอ่ มฉนั ขอใหเ้ธอ จงมคี วามสงบ อยา่ งภกิ ษุสงฆใ์ นเวลาน้ีเถดิ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ลาดบั นนั้ ทา้ วเธอทรงกราบพระผูม้ พี ระภาค ทรงไหวภ้ กิ ษุสงฆแ์ ลว้ ประทบั นงั่ ณ ท่สี มควร กราบทูลว่า ‚ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ หม่อมฉนั ขอวโรกาสทูลถามปญั หาบางอย่างกะพระผูม้ พี ระภาค หากพระผูม้ พี ระภาคจะประทาน พระวโรกาสเพอ่ื ทรงตอบปญั หาของหมอ่ มฉนั ‛ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ว่า ‚เชิญถามตามพระประสงคเ์ ถดิ มหาบพติ ร‛ พระเจา้ อชาตศตั รู เวเทหบิ ุตร ไดท้ ูล ถามว่า ‚ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้ จริญ อาชีพท่ีอาศยั ศิลปะเหล่าน้ี คือ พลชา้ ง พลมา้ พลรถ พลธนู พนกั งานเชิญธง พนกั งานจดั กระบวนทพั พวกจดั ส่งเสบยี ง ราชนิกุลผูท้ รงเป็นนายทหารระดบั สูง พลอาสา ขนุ พล พลกลา้ พลสวม เกราะ พวกทาสเรอื นเบ้ยี พวกทาขนม ช่างกลั บก พนกั งานเคร่อื งสรง พวกพ่อครวั ช่างดอกไม้ ช่างยอ้ ม ช่างหูก ช่าง จกั สาน ช่างหมอ้ นกั คานวณ นกั บญั ชี หรืออาชีพท่อี าศยั ศิลปะอย่างอ่ืนทานองน้ี คนเหล่านน้ั ไดร้ บั ผลจากอาชีพท่ี อาศยั ศิลปะท่ีเห็นประจกั ษม์ าเล้ียงชีพในปจั จุบนั จึงบารุงตนเอง บิดา มารดา บุตรภรรยา มิตรสหายใหเ้ ป็นสุข บาเพญ็ ทกั ษณิ าในสมณพราหมณซ์ ง่ึ มผี ล มากเป็นไปเพอ่ื ใหไ้ ดอ้ ารมณ์ดีมสี ุขเป็นผลใหเ้กดิ ในสวรรค์ พระองคจ์ ะทรง บญั ญตั ิ ผลแห่งความเป็นสมณะทเ่ี หน็ ประจกั ษใ์ นปจั จบุ นั ไดเ้ช่นนนั้ บา้ งหรอื ไม่‛ พระผูม้ พี ระภาคตรสั ถามว่า ‚มหาบพติ ร พระองคท์ รงจาไดห้ รือไม่ว่าปญั หาขอ้ น้ีไดต้ รสั ถามสมณพราหมณ์ อ่นื มาบา้ งแลว้ ‛ ‚หมอ่ มฉนั จาไดว้ า่ เคยถามปญั หาขอ้ น้ีกบั สมณพราหมณเหล่าอนื่ มาแลว้ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ๒๘ อุทยั ภทั รกุมาร คอื พระโอรสของพระเจา้ อชาตศตั รู อา้ งใน ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๑๖๑/๑๓๙.

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๒๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ ‚ท่านเหล่านน้ั ตอบว่าอย่างไร หากไม่หนกั พระทยั เชญิ พระองคต์ รสั เถดิ ‛ ‚ณ สถานท่ที ม่ี พี ระผูม้ พี ระภาค หรือผูเ้ปรียบดงั พระผูม้ พี ระภาคประทบั นงั่ อยู่ หมอ่ มฉนั ไม่หนกั ใจเลย พระพทุ ธเจา้ ขา้ ‛ ‚ถา้ อย่างนน้ั เชญิ พระองค์ ตรสั เถดิ มหาบพติ ร‛๒๙ ลทั ธิของครูปูรณะ กสั สปะ๓๐ อกริ ยิ วาทะ๓๑ (The Theory of Non-action) = ลทั ธทิ ถ่ี อื ว่าทาแลว้ ไม่เป็นอนั ทา พระเจา้ อชาตศตั รู เวเทหิ บุตร กราบทูลว่า ‚ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้ จริญคราวหน่ึงในกรุงราชคฤหน์ ้ี หม่อมฉนั เขา้ ไปหาครูปูรณะ กสั สปะ ถงึ ท่อี ยู่ เจรจาปราศรยั กนั พอคุน้ เคยดี ไดน้ งั่ ลงถามครูปูรณะ กสั สปะ ว่า ‘ท่านกสั สปะ อาชีพท่อี าศยั ศิลปะมากมายเหล่าน้ี คือ พลชา้ ง พลมา้ พลรถ พลธนู พนกั งานเชิญธง พนกั งานจดั กระบวนทพั พวกจดั ส่งเสบยี ง ราชนิกุลผูท้ รงเป็น นายทหารระดบั สูง พลอาสาขนุ พล พลกลา้ พลสวมเกราะ พวกทาสเรือนเบ้ยี พวกทาขนม ช่างกลั บก พนกั งานเคร่อื ง สรง พวกพ่อครวั ช่างดอกไม้ ช่างยอ้ ม ช่างหูก ช่างจกั สาน ช่างหมอ้ นกั คานวณ นกั บญั ชี หรืออาชพี ท่อี าศยั ศิลปะ อย่างอ่ืนทานองน้ี คนเหลา่ นน้ั ไดร้ บั ผลจากอาชีพท่อี าศยั ศิลปะท่เี หน็ ประจกั ษม์ าเล้ยี งชีพในปจั จุบนั จึงบารุงตนเอง บดิ า มารดา บุตรภรรยา มิตรสหายใหเ้ ป็นสุข บาเพ็ญทกั ษิณาในสมณพราหมณ์ ซ่ึงมผี ลมาก เป็นไปเพ่ือใหไ้ ด้ อารมณด์ ี มสี ุขเป็นผล ใหเ้กิดในสวรรค์ ท่านกสั สปะ จะบญั ญตั ิผลแห่งความเป็นสมณะทเ่ี หน็ ประจกั ษใ์ นปจั จบุ นั ได้ เช่นนน้ั บา้ งหรือไม่’ ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้ จริญ เม่อื หม่อมฉนั ถามอย่างน้ี ครูปูรณะ กสั สปะ ตอบว่า ‘มหาบพิตร เมือ่ บคุ คลทาเอง ใชใ้ หผ้ ูอ้ นื่ ทา ตดั เอง ใชใ้ หผ้ ูอ้ ืน่ ตดั เบยี ดเบยี นเอง ใชใ้ หผ้ ูอ้ นื่ เบยี ดเบยี น ทาใหเ้ศรา้ โศกเอง ใชใ้ หผ้ ูอ้ นื่ ทาใหเ้ ศรา้ โศก ทาใหล้ าบากเอง ใชใ้ หผ้ ูอ้ ืน่ ทาใหล้ าบาก ด้ินรนเอง ใชใ้ หผ้ ูอ้ ืน่ ทาใหด้ ้ินรน ฆ่าสตั ว์ ถือเอาสิง่ ของที่ เจา้ ของเขาไม่ไดใ้ ห้ ตดั ช่องย่องเบา ปลน้ ทาโจรกรรมในบา้ นหลงั เดียว ดกั ซุ่มทีท่ างเปลยี่ ว เป็นชู้ พูดเท็จ ผูท้ า (เช่นนนั้ ) กไ็ มจ่ ดั วา่ ทาบาป แมห้ ากบคุ คลใชจ้ กั ร มคี มดจุ มดี โกน สงั หารเหลา่ สตั วใ์ นปฐพนี ้ีใหเ้ป็นดุจลานตากเน้ือ ให้ เป็นกองเน้ือเดียวกนั เขาย่อมไมม่ บี าปทเี่ กิดจากกรรมนนั้ ไม่มบี าปมาถงึ เขา แมห้ ากบุคคลไปฝงั่ ขวาแม่นา้ คงคา ฆ่า เอง ใชใ้ หผ้ ูอ้ นื่ ฆ่า ตดั เอง ใชใ้ หผ้ ูอ้ นื่ ตดั เบยี ดเบยี นเอง ใชใ้ หผ้ ูอ้ นื่ เบยี ดเบยี น เขาย่อมไม่มบี าปทีเ่ กิดจากกรรมนนั้ ไม่ มบี าปมาถงึ เขา แมห้ ากบคุ คลไปฝงั่ ซา้ ยแมน่ า้ คงคาใหเ้อง ใชใ้ หผ้ ูอ้ นื่ ใหบ้ ูชาเอง ใชใ้ หผ้ ูอ้ นื่ บูชา เขาย่อมไมม่ บี ุญทเี่ กิด จากกรรมนนั้ ไมม่ บี ญุ มาถงึ เขา ไมม่ บี ญุ ทเี่ กดิ จากการใหท้ าน จากการฝึกอนิ ทรีย์ จากการสารวม จากการพูดคาสตั ย์ ไมม่ บี ญุ มาถงึ เขา’๓๒ หม่อมฉนั ถามถงึ ผลแห่งความเป็นสมณะทเ่ี หน็ ประจกั ษ์ แต่ครูปูรณกสั สปะ กลบั ตอบเร่อื งท่ที า แลว้ ไมเ่ ป็นอนั ทา ๒๙ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๕๗-๑๖๔/๕๐-๕๒. ๓๐ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๖๕-๑๖๖/๕๓-๕๔. ๓๑ อกริ ยิ าทฏิ ฐฺ ิ คอื ลทั ธิทถ่ี อื วา่ การกระทาทกุ อย่างไมม่ ผี ล ทาดกี ไ็ มไ่ ดด้ ี ทาชวั่ ก็ไมไ่ ดช้ วั่ เป็นความเหน็ ท่ปี ฏเิ สธกฎแห่งกรรม อา้ งใน ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑๖๖/๑๔๕. ๓๒ “กโรโต โข มหาราช การยโต ฉินฺทโต เฉทาปยโต ปจโต ปจาปยโต โสจยโต โสจาปยโต กลิ มยโต กิลมาปยโต ผนฺทโต ผนทาปยโตฺ ปาณมตปิ าปยโต อทนิ ฺน อาทยิ โต สนฺธึ ฉินฺทโต นิลโฺ ลป หรโต เอกาคาริก กโรโต ปริปนฺเถ ตฏิ ฺฐโต ปรทาร คจฺฉโต มสุ า ภณโต กรโต น กริยติ ปาป ขรุ ปริยนฺเตน เจปิ จกฺเกน โย อมิ สิ ฺสา ปฐวยิ า ปาเณ เอก มสขล เอก มสปุํฺช กเรยฺย นตฺถิ ตโตนิทาน ปาป นตฺถิ ปาปสฺส อาคโม ทกฺขณิ เจปิ คงฺ คาย ตรี คจเฺ ฉยยฺ หนนฺโต ฆาเตนฺโต ฉินฺทนฺโต เฉทาเปนฺโต ปจนฺโต ปจาเปนฺโต นตถฺ ิ ตโตนิทาน ปาป นตถฺ ิ ปาปสฺส อาคโม อตุ ฺตรํฺเจปิ คงฺคาย ตีร

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๒๔ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ หม่อมฉนั ถามถงึ ผลแห่งความเป็นสมณะทเ่ี หน็ ประจกั ษ์ แต่ครูปูรณะ กสั สปะ กลบั ตอบเร่อื งท่ที าแลว้ ไม่เป็นอนั ทา เปรียบเหมอื นเขาถามเร่อื งมะม่วงกลบั ตอบเร่อื งขนุนสาปะลอ หรอื เขาถามเร่อื งขนุน สาปะลอกลบั ตอบเร่ือง มะม่วง หม่อมฉนั จึงคิดว่า คนระดบั เราจะรุกรานสมณพราหมณ์ผูอ้ ยู่ในราชอาณาเขตได้ อย่างไรกนั หม่อมฉนั จึงไม่ช่ืนชม ไม่ตาหนิคากลา่ วของครูปูรณะ กสั สปะ ถงึ ไม่ช่นื ชม ไม่ตาหนิ แต่กไ็ ม่พอใจ และ ไมเ่ ปลง่ วาจาแสดงความไมพ่ อใจออกมา เมอ่ื ไมย่ ดึ ถอื ไมใ่ สใ่ จคากลา่ วนนั้ กไ็ ดล้ กุ จากทน่ี งั่ จากไป๓๓ ประวตั แิ ละทรรศนะครูปูรณะกสั สปะ๓๔ ในคมั ภรี อ์ รรถกถาสุมงั คลวลิ าสนิ ี พระพทุ ธโฆษาจารยอ์ ธบิ ายว่า มตี ระกูลหน่ึง มที าส ๙๙ คน ทาสคนหน่ึง เกดิ มาครบ ๑๐๐ คนพอดี ดงั นนั้ นายจึงตง้ั ช่อื ทาสคนท่หี น่ึงรอ้ ยว่า \"ปูรณะ\" (กลุ สฺส เอกูนทาสสตสต ปูรยมาโน ชา โต) และนายจะกาชบั คนทงั้ หลายว่า ปูรณะเป็นทาสทเ่ี ป็นมง่ิ มงคล (มงฺคลทาสตตฺ า จสฺส สุกต) อะไรก็ตามท่ปี ูรณะทา ไมว่ า่ จะทาดี หรอื ทาชวั่ การงานทท่ี าแลว้ หรอื ยงั ไม่ทา หา้ มกลา่ วโทษปูรณะ ส่วนคาว่า “กสั สปะ” เป็นช่อื ตระกูล (กสฺ สโปติ โคตตฺ ) อยู่มาวนั หน่ึง ปูรณะ คิดว่าไมม่ ปี ระโยชนอ์ ะไรท่จี ะอยู่เป็นทาสจึงไดห้ ลบหนีออกไป ขณะท่หี นีออกไปไดถ้ ูก โจรชิงผา้ เขาจงึ ไมร่ ูแ้ มก้ ระทงั่ จะหาอะไรมาปกปิดร่างกายตวั เอง ก็เลยเป็นผูเ้ปลอื ยกายเดนิ ไปตามท่ตี ่างๆ บงั เอิญมี มนุษยก์ ลมุ่ หน่ึง สาคญั วา่ “บรุ ุษคนน้ี ตอ้ งเป็นสมณะ เป็นพระอรหนั ต์ มคี วามมกั นอ้ ย สนั โดษ จงึ ใหข้ า้ วนา้ เน้ือ นม ขนมนมเนย เป็นตน้ ” (มนุสฺสา น ทิสฺวา ‘อย สมโณ อรหา อปฺปิจฺโฉ นตฺถิ อิมินา สทโิ สติ ปูวภตฺตาทีนิ คเหตฺวา อปุ สงฺกมนฺต)ิ ปูรณกสั สปะ คิดว่า ขา้ วปลาอาหาร เน้ือนม ขนมนมเนย ทค่ี นทง้ั หลายนามาให้ คงเป็นเพราะสาเหตุทเ่ี ราไม่ นุ่งผา้ และตง้ั แต่บดั นนั้ เป็นตน้ มา เขาก็ไม่นุ่งผา้ อีกต่อไป ถึงแมว้ ่าจะมผี า้ นุ่งก็ตาม ถือว่าตวั เองเป็นนกั บวชผูห้ น่ึง และยงั มผี ูค้ นอกี ประมาณ ๕๐๐ คน พากนั บวชในสานกั ของเขา๓๕ ปูรณกสั สปะ เป็นพวก อกริ ิยวาที คือสอนว่า \"บุญ บาป\" ไมม่ ี การกระทาทกุ อย่างท่ที าไปแลว้ ไมว่ ่าจะทาดี หรือทาชวั่ ก็ถอื ว่าไม่เป็นการกระทา แมก้ ารทรมานอินทรีย์ การสารวมศีล การกล่าวคาสตั ย์ ก็ไม่ก่อใหเ้กดิ บญุ อะไร และผลบญุ กไ็ มถ่ งึ แก่ผูก้ ระทาเช่นนนั้ การฆ่าสตั ว์ ลกั ทรพั ย์ เป็นตน้ ไม่เป็นบาปอะไร เมอ่ื จบส้นิ แลว้ กแ็ ลว้ กนั ไป ไม่ มผี ลยอ้ นกลบั ตอบสนองในภายหลงั อยา่ งไรทงั้ ส้นิ ดงั นนั้ แนวคิดของปูรณะกสั สปะ เมอ่ื กล่าวว่า “บาป เมอ่ื บุคคลทาอยู่ ย่อมไม่เป็นอนั ทา” จงึ ช่อื ว่า ปฏเิ สธ กรรม (ปรู โณ ‘กโรโต น กรยี ติ ปาปนฺติ วทนฺโต กมมฺ ปฏพิ าหต)ิ ๓๖ คจเฺ ฉยยฺ ททนฺโต ททาเปนฺโต ยชนฺโต ยชาเปนฺโต นตฺถิ ตโตนิทาน ปํุ ฺญ นตฺถิ ปุํฺญสฺส อาคโม ทาเนน ทเมน สยเมนสจฺจวาเจน นตฺถิ ตโตนิทาน ปญุ ญ นตฺถิ ปํุ ฺญสฺส อาคโมติ ๓๓ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๕๗-๑๖๔/๕๐-๕๒. ๓๔ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๑๒-๒๑๓. (สุมงฺคลวลิ าสนิ )ี ๓๕ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๑๓-๒๑๔. โส “มยหฺ สาฏก อนิวตถฺ ภาเวน อทิ อปุ ปฺ นฺนนฺติ ตโต ปฏฺฐาน สาฏก ลภิ ติ วฺ าปิ น นิวาเสติ ฯ ตเทว ปพฺพชฺช อคฺคเหสิ ฯ ตสฺส สนฺตเิ ก อํฺเญปิ อํฺเญปีติ ปํฺจสตา มนุสฺสา อนุปพพฺ ชฺชสึ ุ ฯ ๓๖ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๔๕. (สมุ งฺคลวลิ าสนิ )ี

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี ก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๒๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ลกั ษณะคาสอนเช่นน้ี เรยี กว่า “เป็นการปฏเิ สธปจั จบุ นั นกรรม เมอ่ื หา้ มกรรม (เรยี กว่า ปจั จุบนั เหต)ุ ก็ช่อื ว่า หา้ มผลของกรรมดว้ ย (เรยี กวา่ อนาคตผล)” (ตตถฺ กมมฺ ปฏพิ าหนฺเตนาปิ วปิ าโก ปฏพิ าหโิ ต โหต)ิ ๓๗ ในมงั คลตั ถทปี นี พระสริ มิ งั คลาจารย์ ก็ไดอ้ ธบิ ายไวเ้ช่นกนั ว่า “ก็ ผูใ้ ดปฏเิ สธและคดั คา้ นกรรม โดยสาระ ผูน้ นั้ ก็ช่ือว่าปฏเิ สธแมว้ ปิ ากดว้ ยนนั่ เอง” (โย หิ กมมฺ ปฏกิ ฺขปิ ติ เตน อตถฺ โต วิปาโกปิ ปฏกิ ฺขติ ฺโตเอว นาม โหติ)๓๘ ดงั นน้ั ลทั ธิ “อกริ ยิ ทฏิ ฐ”ิ จงึ เป็นการปฏเิ สธอกรรม (อกริ ยิ ทฏิ ฐิ กมมฺ ปฏพิ าหต)ิ ๓๙ ปูรณะกสั สปะ เป็นเจา้ ลทั ธิเก่าแก่ผูห้ น่ึง มคี วามเห็นว่า “วิญญาณเป็นส่ิงไรก้ มั มนั ตภาพ เป็นส่งิ เท่ียงแท้ ถาวร ไมม่ กี ารเปลย่ี นแปลง ร่างกายน้ีเองเป็นเจา้ ของพฤตกิ รรม วญิ ญาณไม่เก่ยี วขอ้ งกบั กรรมดกี รรมชวั่ ท่รี ่างกายทา แต่ร่างกายกเ็ ป็นสง่ิ ทไ่ี รเ้จตนา ดงั นน้ั เมอ่ื ร่างกายทาสง่ิ ใดๆ ลงไป จงึ ไมจ่ ดั เป็นบุญบาปแต่อย่างใด บคุ คลไมจ่ ดั ว่าได้ ทาบญุ เมอ่ื ใหท้ าน เป็นตน้ และไมจ่ ดั ว่าไดท้ าบาป เมอ่ื ฆ่าสตั ว์ ลกั ทรพั ยป์ ระพฤตผิ ดิ ในกาม หรอื พดู ปด การทาชวั่ นน้ั ถา้ ไมม่ ใี ครเหน็ ไมม่ ใี ครรู้ และไมม่ ใี ครจบั ได้ ไมม่ ใี ครลงโทษ ผลของความชวั่ นนั้ กเ็ ป็นโมฆะ จะชวั่ ก็ต่อเมอ่ื มคี นรูเ้หน็ หรือจบั ไดเ้ ท่านั้น ส่วนความดนี น้ั ก็เหมอื นกนั จะมผี ลกต็ ่อเมอ่ื มคี นรูเ้ห็น มคี นช่ืนชมและมี ผูใ้ หบ้ าเหน็จรางวลั ถา้ ไมม่ ใี ครรูเ้หน็ ไมม่ ใี ครชม และไมม่ ใี ครใหร้ างวลั แลว้ ก็ไมม่ ผี ล ตกเป็นโมฆะ จากคาสอนของท่านปูรณกสั สปะน้ี ย่อมมคี วามหมายว่า “ทากไ็ ม่ชื่อว่าทา” เช่นคนทาบญุ กไ็ มช่ ่อื ว่าทาบญุ คนทาบาปกไ็ มช่ อ่ื วา่ ทาบาป โดยสรุปกค็ ือ บญุ ไม่มี บาปไมม่ ี ความดีไมม่ ี ความชวั่ ไมม่ ี เป็นลทั ธิท่ปี ฏเิ สธกฎเกณฑ์ ของศีลธรรมโดยส้นิ เชงิ พระพทุ ธศาสนาเรียกลทั ธิน้ีว่า “อกริ ิยทิฏฐ”ิ (The theory of non-action ; the theory that there is no after-effect Stream - Entrance ; Path of Stream - Attainment) พระพทุ ธศาสนาเรยี กทรรศนะของปูรณกสั สปะว่า “อกริ ิยวาท” แปลว่า ‚กลา่ วการทาว่าไมเ่ ป็นอนั ทา‛ เป็น ทรรศนะทป่ี ฏเิ สธพลงั งาน ปฏเิ สธกรรมไปดว้ ยพรอ้ มกนั ผูม้ ที รรศนะดงั กล่าวน้ีเรียกว่า “อกริ ิยวาที” ‚ผูก้ ลา่ วการทา วา่ ไมเ่ ป็นอนั ทา‛ ขดั แยง้ กบั หลกั กรรมทางพระพทุ ธศาสนาอย่างยง่ิ เพราะพระพทุ ธศาสนาสอนหลกั กรรม ทว่ี ่า “สตั วโ์ ลก ย่อมเป็นไปตามกรรม หม่สู ตั ว์ ย่อมเป็นไปตามกรรม สตั วท์ ง้ั หลาย มกี รรมเป็นเคร่อื งผูกพนั เปรยี บเหมอื นรถทแ่ี ลน่ ไปมหี มดุ เป็นเคร่อื งตรงึ ไว้ ฉะนน้ั ”๔๐ “บุคคลจะช่อื ว่า เป็นพราหมณ์ เพราะชาติกาเนิดกห็ ามไิ ด้ จะช่อื ว่ามใิ ช่พราหมณ์ เพราะชาตกิ าเกดิ กห็ ามไิ ด้ แต่ชอ่ื วา่ เป็นพราหมณ์ เพราะกรรม ชอ่ื วา่ มใิ ช่พราหมณเ์ พราะกรรม‛๔๑ ‚ชอ่ื ว่าเป็นโจร เป็นทหารอาชพี เป็นปโุ รหติ แมก้ ระทงั่ เป็นพระราชา กเ็ พราะกรรมทงั้ นนั้ ‛๔๒ ‚บณั ฑติ ผูม้ ปี กตเิ หน็ ปฏจิ จสมปุ บาท ฉลาดในกรรมและวบิ าก ยอ่ มเหน็ กรรมตามความเป็นจรงิ อย่างน้ี‛๔๓ ๓๗ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๔๕. ๓๘ มงฺคล.(บาล)ี ๑/๒๒๗/๒๒๐. ๓๙ มงฺคล.(บาล)ี ๑/๒๒๘/๒๒๐. ๔๐ ข.ุ สุ.(ไทย) ๒๕/๖๖๐/๖๕๔. ๔๑ ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๒๕/๖๕๖/๖๕๔. ๔๒ ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๒๕/๖๕๘/๖๕๔. ๔๓ ข.ุ สุ.(ไทย) ๒๕/๖๕๙/๖๕๔.

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๒๖ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ “บุคคล จะเป็นพราหมณ์ ก็เพราะกรรมอนั ประเสริฐน้ีคือ ตบะ พรหมจรรย์ สญั ญมะ ทมะกรรมอนั ประเสริฐน้ี นาความเป็นพราหมณท์ ่สี ูงสุดมาให‛้ ๔๔ “บคุ คลสมบูรณด์ ว้ ยวชิ ชา ๓ มคี วามสงบ ส้นิ ภพใหม่แลว้ วา เสฏฐะ เธอจงรูอ้ ย่างน้ี” ๔๕ พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาทส่ี อนใหเ้ช่อื เร่อื งของกรรม ไมใ่ หเ้ช่อื โชคลาง เช่อื ดวงดาว เช่อื ลายเสน้ บนฝ่ามอื เช่อื ไสยศาสตร์ เช่อื ขา่ วลอื ใหเ้ช่อื กรรม เช่ือผลของกรรมว่าสตั วท์ ากรรมดีย่อมไดด้ ี สตั วท์ ากรรมชวั่ ย่อมไดช้ วั่ ดงั พทุ ธภาษติ วา่ ‚บคุ คลหวา่ นพชื เช่นไร ยอ่ มไดผ้ ลเช่นนนั้ ทากรรมดี ย่อมไดด้ ี ทากรรมชวั่ ยอ่ มไดช้ วั่ ”๔๖ ปลูกมะเขอื ก็ย่อมไดผ้ ลเป็นมะเขอื ปลูกมะละกอ ก็ย่อมไดผ้ ลเป็นมะละกอ ปลูกมะม่วงจะไดผ้ ลเป็น ทเุ รยี น เป็นพรกิ ยอ่ มเป็นไปไมไ่ ด้ กรรมเท่านน้ั เป็นตวั จาแนก เป็นตวั ปนั ผลใหก้ บั มนุษยแ์ ละสตั ว์ ไมใ่ ช่พระเจา้ หรือ พระพรหมหรอื พลงั อานาจภายนอกแต่อยา่ งใด ดงั ท่ี สุภมาณพโตเทยยบตุ ร ทลู ถามพระพทุ ธองคว์ ่า “ท่านพระโคดม อะไรหนอ เป็นเหตุ เป็นปจั จยั ใหส้ ตั วท์ เี่ กดิ เป็นมนุษย์ ปรากฏเป็นคนเลวและคนดี คือ มนุษยท์ งั้ หลายย่อมปรากฏว่า มอี ายสุ นั้ มอี ายุยนื มโี รคมาก มโี รคนอ้ ย มผี วิ พรรณทราม มผี วิ พรรณดี มอี านาจ นอ้ ย มอี านาจมาก มโี ภคะนอ้ ย มโี ภคะมาก เกิดในตระกูลตา่ เกดิ ในตระกูลสูง มปี ญั ญานอ้ ย มปี ญั ญามาก ท่าน พระโคดม อะไรหนอ เป็นเหตุ เป็นปจั จยั ใหม้ นุษยท์ งั้ หลาย ทเ่ี กดิ เป็น มนุษยป์ รากฏเป็นคนเลวและคนดี‛๔๗ พระ พทุ ธองคจ์ งึ ตรสั ว่า “กมมฺ สฺสกา มาณก สตฺตา กมมฺ าทายาทา กมมฺ โยนิ กมมฺ พนฺธุ กมมฺ ปฏสิ รณา กมมฺ สตเฺ ต วภิ ชติ ยททิ หนี ปฺปณีตตายาติ”๔๘ “สตั วท์ ง้ั หลายมกี รรมเป็นของตน มกี รรมเป็นทายาท มกี รรมเป็นกาเนิดมกี รรมเป็น เผา่ พนั ธุ์ มกี รรมเป็นทพ่ี ง่ึ อาศยั กรรมยอ่ มจาแนกสตั วท์ งั้ หลายใหเ้ลวและดตี ่างกนั ‛๔๙ กรรมเป็นตวั จดั สรรคนทท่ี าชวั่ ใหช้ วั่ โฉด และจดั สรรคนท่ที าดีใหเ้ ฉิดฉาย พลงั ของกรรมเป็นพลงั ทย่ี ง่ิ ใหญ่ ไมม่ พี ลงั อะไรทจ่ี ะมาอยู่เหนือพลงั ของกรรม วาทกรรมของปูรณะกสั สปะคอื “กโรโต น กริยติ ปาปนฺติ วทนฺโต กมฺม ปฏพิ าหติ”๕๐ บาปกรรมเมอื่ บคุ คล ทาอยู่ ไมช่ อื่ วา่ เป็นอนั ทา ลทั ธิของครูมกั ขลิโคศาล๕๑ นตั ถกิ วาทะ (The Theory of nothingness) = ลทั ธิท่ถี อื ว่าไม่มีเหตไุ ม่มีปจั จยั ๔๔ ข.ุ สุ.(ไทย) ๒๕/๖๖๑/๖๕๔. ๔๕ ข.ุ สุ.(ไทย) ๒๕/๖๖๒/๖๕๔-๖๕๕. ๔๖ ส.ส.(ไทย) ๑๕/๒๕๖/๓๗๔. ๔๗ ม.อปุ .(ไทย) ๑๔/๒๘๙/๓๔๙-๓๕๐. (โก นุ โข โภ โคตโม เหตุ โก ปจฺจโย เยน มนุสฺสานเยว สต มนุสฺสภูตาน ทสิ ฺสติ หนี ปปฺ ณีตตา ทสิ ฺ สนฺติ โก นุ โข มนุสฺสา อปปฺ ายกุ า ทสิ ฺสนฺติ ทฆี ายกุ า ทสิ ฺสนฺติ พหฺ วาพาธา ทสิ ฺสนฺติ อปปฺ าพาธา ทสิ ฺสนฺติ ทพุ พฺ ณฺณา ทสิ ฺสนฺติ วณฺณวนฺโต ทสิ ฺสนฺติ อปฺ เปสกฺขา ทสิ ฺสนฺติ มเหสกฺขา ทสิ ฺสนฺติ อปปฺ โภคา ทสิ ฺสนฺติ มหาโภคา ทสิ ฺสนฺติ นจี ากลุ นี า ทสิ ฺสนฺติ อจุ จฺ ากลุ นี า ทสิ ฺสนฺติ อปุ ฺปปํฺญา ทสิ ฺสนฺติ ปํฺญวนฺโต โก นุ โข โภ โคตโม เหตุ โก ปจฺจโย เยน มนุสฺสานเยว สต มนุ สสุ ฺสภตู าน ทสิ ฺสติ หนี ปปฺ ณีตตาต)ิ อา้ งใน ม.อปุ .(บาล)ี ๑๔/๕๘๐/๓๗๖. ๔๘ ม.อปุ .(บาล)ี ๑๔/๕๘๑/๓๗๖. ๔๙ ม.อปุ .(ไทย) ๑๔/๒๘๙/๓๕๐. ๕๐ มงฺคล.(บาล)ี ๑/๒๒๙/๒๒๐. ๕๑ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๖๗-๑๖๙/๕๔-๕๖.

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๒๗ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้ จริญ คราวหน่ึงในกรุงราชคฤหน์ ้ี หม่อมฉนั เขา้ ไปหาครูมกั ขลิ โคศาล ถึงท่ีอยู่เจรจา ปราศรยั กนั พอคุน้ เคยดี ไดน้ งั่ ลงถามครูมกั ขลิ โคศาล ว่า ‘ท่านโคศาล อาชีพท่อี าศยั ศิลปะมากมายเหล่าน้ี คือ ฯลฯ ท่านโคศาล จะบญั ญตั ผิ ลแหง่ ความเป็นสมณะท่เี หน็ ประจกั ษใ์ นปจั จบุ นั ไดเ้ช่นนนั้ บา้ งหรอื ไม่’ ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ เมอ่ื หมอ่ มฉนั ถามอย่างน้ี ครูมกั ขลโิ คศาล ตอบว่า ‘มหาบพติ ร ความเศรา้ หมองของ สตั วท์ งั้ หลาย ไมม่ เี หตุ ไมม่ ปี จั จยั สตั ว์ ทงั้ หลายเศรา้ หมองเอง ความบริสุทธขิ์ องสตั วท์ งั้ หลาย ไม่มเี หตุ ไมม่ ปี จั จยั สตั วท์ งั้ หลายบริสุทธเิ์ อง ไม่ใช่เพราะการกระทาของตน และไม่ใช่เพราะการกระทาของ ผูอ้ ืน่ ไมใ่ ช่เพราะการกระทา ของมนุษย์ ไมม่ กี าลงั ไมม่ คี วามเพยี ร ไมม่ คี วามสามารถของมนุษย์ ไม่มคี วามพยายามของมนุษย์ สตั ว์ ปาณะ ภูตะ ชีวะ๕๒ ทงั้ ปวงลว้ นไมม่ อี านาจ ไมม่ กี าลงั ไมม่ คี วามเพยี ร ผนั แปรไปตามโชคชะตา ตามสถานภาพทางสงั คมและตาม ลกั ษณะเฉพาะตน ย่อมเสวยสุขและทุกขใ์ นอภิชาติ๕๓ ทงั้ ๖ อนึ่ง กาเนิดทีเ่ ป็นประธาน ๑,๔๐๖,๖๐๐ กรรม ๕๐๐ กรรม ๕ กรรม ๓ กรรม ๑ กรรมกง่ึ ปฏปิ ทา ๖๒ อนั ตรกปั ๖๒ อภชิ าติ ๖ ปุริสภูม๕ิ ๔ ๘ อาชีวก ๔,๙๐๐ ปริพาชก ๔,๙๐๐ นาควาส ๔,๙๐๐ อนิ ทรีย์ ๒,๐๐๐ นรก ๓๐๐ รโชธาตุ ๓๖ สญั ญีครรภ์ ๗ อสญั ญคี รรภ์ ๗ นิคณั ฐคี รรภ๖์ ๗ เทวดา ๗ มนุษย์ ๗ ปีศาจ ๗ สระ ๗ ตาไมไ้ ผ่ ๗ ตาไมไ้ ผ่ ๗๐๐ เหวใหญ่ ๗ เหวนอ้ ย ๗๐๐ มหาสุบนิ ๗ สุบนิ ๗๐๐ มหากปั ๕๕ ๘,๔๐๐,๐๐๐ เหลา่ น้ีทคี่ นพาลและบณั ฑติ พากนั เทยี่ วเวยี นว่าย ไปแลว้ จกั ทาทีส่ ุดทุกขไ์ ดเ้ อง ไม่มี ความสมหวงั ในความปรารถนาว่า เราจกั อบรมกรรมทยี่ งั ไมใ่ หผ้ ลใหใ้ หผ้ ล หรือสมั ผสั กรรมทใี่ หผ้ ลแลว้ จกั ทาใหห้ มด ส้นิ ไปดว้ ยศีล พรต ตบะหรือพรหมจรรยน์ ้ี ไม่มสี ุขทุกขท์ ีท่ าใหส้ ้นิ สุดลงได้ (จานวนเท่านนั้ เท่าน้ี) เหมอื นตวงดว้ ย ทะนาน ไมม่ สี งั สารวฏั ทที่ าใหส้ ้นิ สุดไปไดด้ ว้ ยอาการอย่างน้ี ไม่มคี วามเสอื่ มและความเจริญ ไม่มกี ารเลอื่ นข้นึ สูงและ เลอื่ นลงตา่ พวกคนพาลและบณั ฑติ พากนั เทยี่ วเวยี นว่ายไปแลว้ กจ็ กั ทาทีส่ ุดทุกขไ์ ดเ้ อง เหมอื นกลุ่มดา้ ยทีถ่ ูกขวา้ งไป ยอ่ มคลหี่ มดไปไดเ้อง ฉะนนั้ ’ ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ หม่อมฉนั ถามถงึ ผลแห่งความเป็นสมณะท่เี ห็นประจกั ษ์ แต่ครูมกั ขลิ โคศาล กลบั ตอบเร่ืองความบรสิ ุทธ์เิ พราะเวียนว่ายตาย เกดิ เปรยี บเหมอื นเขาถามเร่ืองมะม่วงกลบั ตอบเร่ืองขนุนสาปะลอ หรือ เขาถามเรอ่ื งขนุนสาปะลอกลบั ตอบเร่อื งมะมว่ ง หมอ่ มฉนั จึงคิดว่า คนระดบั เราจะรุกราน สมณพราหมณ์ผูอ้ ยู่ในราช อาณาเขตไดอ้ ย่างไรกนั หม่อมฉนั จงึ ไม่ช่ืนชมไม่ตาหนิคากล่าวของครูมกั ขลิ โคศาล ถงึ ไม่ช่ืนชมไม่ตาหนิ แต่ก็ไม่ พอใจ และไมเ่ ปลง่ วาจาแสดง ความไมพ่ อใจออกมา เมอ่ื ไมย่ ดึ ถอื ไมใ่ สใ่ จคากลา่ วนน้ั กไ็ ดล้ กุ จากทน่ี งั่ จากไป๕๖ ๕๒ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๓๘-๒๓๙. (สฺยามรฏฺฐสฺส อฏฺฐกถา) สตั ว์ หมายถงึ สตั วช์ น้ั สูง เช่น อูฐ มา้ ลา ฯ ปาณะ หมายถงึ สตั วท์ ม่ี ี ๑ อนิ ทรยี ์ ๒ อนิ ทรีย์ เป็นตน้ ฯ ภตู ะ หมายถงึ สตั วท์ กุ จาพวก ทงั้ ทเ่ี กดิ จากฟองไขแ่ ละเกดิ ในครรภม์ ารดา ฯ ชีวะ หมายถงึ พวกพชื ทกุ ชนิด ๕๓ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๔๐. (สฺยามรฏฺฐสฺส อฏฺฐกถา) อภชิ าติ คือ การกาหนดหมายชนชน้ั เช่น โจรเป็ น กณั หาภชิ าติ (สดี า) นักบวชเป็ นนี ลาภชิ าติ (สเี ขยี ว) นิครนถเ์ ป็ นโลหติ าภิชาติ (สแี ดง) คฤหสั ถเ์ ป็ นหลิททาภชิ าติ (สเี หลอื ง) อาชีวกเป็ นสกุ กาภิชาติ (สขี าว) นักบวชท่ีเคร่งวตั รปฏิบตั ิ เป็ นปรมสกุ กาภชิ าติ (สุมงฺคลวลิ าสนิ ี) ๕๔ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๔๐-๒๔๑. (สฺยามรฏฺฐสฺส อฏฺฐกถา) คาวา่ “ปรุ ิสภูมิ” ไดแ้ ก่ ขน้ั ตอนแห่งการเจริญเตบิ โตและพฒั นาการของบุคคล นบั ตง้ั แต่คลอดไปจนถงึ วาระสุดทา้ ยของชีวติ แบ่ง เป็น ๘ ขนั้ คือ มนั ทภูมิ (ระยะไรเ้ ดยี งสา) ขิฑฑาภูมิ (ระยะรูเ้ ดยี งสา) ปทวีมงั สภูมิ (ระยะตงั้ ไข่) อชุ คุ ตภูมิ (ระยะเดนิ ตรง) เสขภมู ิ (ระยะศกึ ษา) สมณภมู ิ (ระยะสงบ) ชินภูมิ (ระยะมคี วามรอบรู)้ ปนั นภมู ิ (ระยะแก่หงอ่ ม) ๕๕ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๓๙-๒๖๐. กาหนดระยะเวลา ๑ มหากปั ยาวนานมาก อรรถกถาเปรยี บวา่ มสี ระนา้ ใหญ่แห่งหน่ึงเต็มดว้ ยนา้ บคุ คลเอา ปลายใบหญา้ คาจ่มุ ลงไปนาหยดนา้ ออกมา ๑๐๐ ปีต่อ ๑ ครงั้ จนนา้ ในสระนน้ั แหง้ กระทาเช่นน้ไี ปจน ครบ ๗ ครงั้ นนั่ คอื ระยะเวลา ๑ มหากปั ๕๖ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๖๗-๑๖๙/๕๔-๕๖.

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๒๘ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ประวตั ิและทรรศนะของมกั ขลโิ คศาล๕๗ ตามประวตั ิแลว้ มชี ีวประวตั ิคลา้ ยกบั ปูรณกสั สปะ มกั ขลโิ คสาลเป็นทาสของนายผูห้ น่ึง คราวหน่ึงนายใชใ้ ห้ แบกหมอ้ นา้ มนั เดนิ ไปบนแผน่ ดนิ ทม่ี เี ปือกตมลน่ื มาก นายกาชบั ว่า แบกหมอ้ นา้ มนั ใหด้ ี อย่าลน่ื นะพ่อคุณ ผลท่สี ุด กล็ น่ื เพราะความพลง้ั เผลอจนได้ และมคี วามกลวั นายจึงคิดจะวง่ิ หนี นายวง่ิ ไปฉุดผา้ ไว้ เขาก็เลยท้งิ ผา้ วง่ิ หนีไปเป็น คนเปลอื ย อกี นยั หน่ึง บางครงั้ กเ็ รยี กวา่ โคสาล หมายถงึ เกดิ ในโรงโค มกั ขลิโคศาล เป็ นพวกอเหตุกวาที สอนว่า \"ความเศรา้ หมอง หรือ ความบริสุทธ์ิสุข ทุกข์ หรือ ความดี ความชวั่ เป็นส่ิงเกิดเองโดยธรรมชาติ ไม่มอี ะไรเป็นเหตุ หรอื ปจั จยั สนบั สนุนใหเ้กิดข้นึ ไม่ว่าจะเป็นการกระทาของ ตนเองหรอื คนอ่นื กต็ าม ทงั้ คนพาลและบณั ฑติ เมอ่ื ท่องเทย่ี วไปจะสามารถทาทส่ี ุดแห่งทุกขไ์ ดเ้อง\" ทา่ นครูมกั ขลิ สอนว่า เคราะหห์ รอื โชคชะตา เป็นสง่ิ ทม่ี อี ทิ ธพิ ลเหนือชีวติ มนุษยแ์ ละสตั วท์ ง้ั หลาย โดยไมม่ ี ใครฝืนได้ ไม่มใี ครแกไ้ ขได้ คนเราจะดหี รือเลว สุขหรือทุกข์ รวยหรอื จน อายุยนื หรอื สนั้ ลว้ นเป็นเร่อื งของเคราะห์ หรือโชคชะตาบนั ดาลใหเ้ ป็นไปทง้ั ส้นิ ไม่สามารถแกไ้ ขใหเ้ ป็นอย่างอ่ืนได้ เคราะหห์ รือโชคชะตายงั มอี ิทธิพลหรือมี อานาจบงั คบั ไปถึงชาติต่อๆ ไปอีกดว้ ย เพราะฉะนน้ั คนในชาติน้ี เม่อื ตายไปแลว้ อาจจะตอ้ งไปเกิดเป็นสตั วก์ ็ได้ แลว้ แต่เคราะหห์ รอื โชคชะตาทจ่ี ะบนั ดาลใหเ้ป็นไป แมว้ า่ คนๆ นน้ั จะพยายามสงั่ สมบญุ กศุ ลไวม้ ากมายเพยี งใดกต็ าม จากคาสอนของครูมกั ขลโิ คสาล สรุปไดว้ ่ากรรมท่บี ุคคลทาไวแ้ ลว้ ในอดีต ไม่มผี ลไปถงึ ในอนาคตนนั่ คือ “ไมม่ เี หตุ หรือ ไมม่ ปี จั จยั ” นนั่ เอง พระพทุ ธศาสนาจงึ เรยี กลทั ธนิ ้ีวา่ “อเหตุกทฏิ ฐ”ิ กลา่ วกนั ว่า มกั ขลโิ คศาลเป็นเจา้ ลทั ธฝิ ่าย อาชวี ก วนั หน่ึงเหน็ ตน้ ขา้ วท่คี นเหยยี บยา่ แลว้ กลบั งอกงามข้นึ มา อกี จึงเกดิ ความคิดว่า ‚สตั วท์ งั้ หลายหลงั จากตายแลว้ จะตอ้ งกลบั มวี ญิ ญาณข้นึ มาอกี ไม่ตายไมส่ ลาย‛ และถอื ว่า ‚สตั วท์ งั้ หลายข้นึ อยูก่ บั กระบวนการทไ่ี ดก้ าหนดไวแ้ ลว้ ‛ กระบวนการดงั กล่าวเร่มิ ตน้ จากระดบั ตา่ สุดไปหาจดุ หมายท่ี สูงสุด เป็นกระบวนการทแ่ี น่นอนไมเ่ ปลย่ี นแปลง เช่นเดยี วกบั ความรอ้ นมรี ะดบั ตา่ เป็นนา้ แข็ง และมรี ะดบั สูงเป็นไฟ มกั ขลโิ คศาล ปฏเิ สธกรรมและพลงั ความเพยี รวา่ เป็นสง่ิ ทไ่ี รค้ วามหมาย สตั วท์ ง้ั หลายไมต่ อ้ งทาความเพยี ร และไม่ตอ้ งทาความดีเพ่อื อะไร เพราะการบรรลุโมกษะไม่ไดส้ าเร็จดว้ ยความเพยี รหรอื ดว้ ยกรรมใดๆ สตั วจ์ ะตอ้ ง เวยี นว่ายตายเกิดจากภพสู่ภพไปโดยลาดบั เมอ่ื ถึงภพสุดทา้ ยกจ็ ะเขา้ ถงึ ความบริสุทธ์ิไดเ้อง ความบรสิ ุทธ์ิประเภทน้ี เรยี กวา่ “สงั สารสุทธ”ิ ๕๘ คือความบรสิ ุทธ์ทิ ไ่ี ดจ้ ากการเวยี นวา่ ยตายเกิด กระบวนการเวยี นว่ายตายเกิดของสรรพสตั ว์ เช่นเดียวกบั การคล่เี สน้ ดา้ ยออกจากกลุ่ม เมอ่ื จบั ปลายเสน้ ดา้ ยดา้ นนอกแลว้ ปากกลุ่มดา้ ยไป กลุ่มดา้ ยจะคลอ่ี อก จนถงึ ปลายดา้ นใน ปลายสุดดา้ นในของเสน้ ดา้ ยนนั่ เอง เปรยี บเหมอื นความบรสิ ุทธ์ขิ องสตั ว์ หรอื ทเ่ี รยี กวา่ โมกษะ เหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ข้นึ ในชวี ติ หน่ึงๆ เป็นเร่อื งของการโชคดแี ละเคราะหร์ า้ ยไม่เก่ยี วกบั กรรมดแี ละกรรมชวั่ แต่ อย่างใด สตั วป์ ระเภทอ่นื ๆ จะเขา้ ถงึ โมกษะได้ จาตอ้ งมาเกดิ เป็นมนุษยก์ ่อนจงึ จะเขา้ ถงึ ความบรสิ ุทธ์ไิ ด้ พระพทุ ธศาสนาเรยี กทรรศนะของมกั ขลโิ คศาลว่า “อเหตุกวาทะ” คือกลา่ วว่า ‚ความเศรา้ หมองและความ บรสิ ุทธ์ขิ องสตั ว์ ไมม่ เี หตุ ไมม่ ปี จั จยั ‛ ดงั ขอ้ ความทป่ี รากฏในคมั ภรี ส์ ุมงั คลวลิ าสนิ ีว่า ๕๗ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๓๘. ๕๘ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๖๙/๕๖.

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๒๙ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ มกั ขลิวาทะ : ปฏิเสธเหตุ และปจั จยั ทง้ั ๒ อย่าง กล่าวคือ (๑) คดั คา้ นปจั จยั แห่งสงั กิเลสของกรรม ทง้ั หลายมกี ายทจุ รติ วจที จุ รติ มโนทจุ รติ เป็นตน้ (๒) คดั คา้ นปจั จยั แห่งความบริสุทธ์ขิ องกรรมทงั้ หลาย มกี ายสุจริต วจสี ุจรติ มโนสุจรติ เป็นตน้ ในพระสุตตนั ตปิฎก ทฆี นิกาย สีลขนั ธวรรค สามญั ญผลสูตร ไดอ้ ธิบายแนวคิดของมกั ขลโิ คศาล ไว้ ถึง “๑๖ ขอ้ ปฏเิ สธ”๕๙ ดงั น้ี ๑. นตฺถิ เหตุ นตฺถิ ปจฺจโย สตฺตาน สกิเลสาย : ไม่มเี หตุ ไม่มีปจั จยั เพ่อื ความเศรา้ หมองของสตั ว์ ทง้ั หลาย ๒. อเหตู อปปฺ จฺจยา สตตฺ า สกลิ สิ ฺสนฺติ : สตั วท์ ง้ั หลาย ไมม่ เี หตุ ไมม่ ปี จั จยั เศรา้ หมองเอง ๓. นตถฺ ิ เหตุ นตถฺ ิ ปจฺจโย สตตฺ าน วสิ ทุ ธฺ ิยา : ไมม่ เี หตุ ไมม่ ปี จั จยั เพอ่ื ความบรสิ ุทธ์ขิ องสตั วท์ งั้ หลาย ๔. อเหตู อปปฺ จฺจยา สตตฺ า วสิ ุชฺฌนฺติ : สตั วท์ งั้ หลาย ไมม่ เี หตุ ไมม่ ปี จั จยั บรสิ ุทธ์เิ อง ๕. อตตฺ กาเร นตถฺ ิ : เศรา้ หมอง หรอื บรสิ ุทธ์ิ ไมใ่ ช่เพราะการกระทาของตนเอง ๖. ปรกาเร นตถฺ ิ : เศรา้ หมอง หรอื บรสิ ุทธ์ิ ไมใ่ ช่เพราะการกระทาของผูอ้ น่ื ๗. ปรุ สิ กาเร นตถฺ ิ : เศรา้ หมอง หรอื บรสิ ุทธ์ิ ไมใ่ ช่เพราะการกระทาของมนุษย์ ๘. พล นตถฺ ิ : ไมม่ กี าลงั ไมม่ ศี กั ยภาพในตวั มนุษย์ ๙. วริ ยิ นตถฺ ิ : ไมม่ คี วามเพยี ร ในตวั มนุษย์ ๑๐. ปรุ สิ ถาโม ปรุ สิ ปรกกฺ โม นตถฺ ิ : ไมม่ คี วามสามารถ ไมม่ คี วามพยายามของมนุษย์ ๑๑. สพฺเพ สตตฺ า สพฺเพ ปาณา สพฺเพ ภตู า สพฺเพ ชีวา อวสา อพลา อริรยิ า นิยติสงฺคตภิ าวปริณตาสุ สขุ ญฺจ ทุกขฺ ญฺจ ปฏสิ เวเทนฺติ ยานิ พาเล จ ปณฺฑเฺ ต จ สนฺธาวติ ฺวา สสริตวฺ า ทกุ ขฺ สฺสนฺต กรสิ ฺสนฺติ : สตั วท์ ง้ั หลาย ทกุ ประเภททงั้ ปวง ลว้ นไมม่ อี านาจ ไมม่ กี าลงั ไมม่ คี วามเพยี ร ผนั แผรไปตามโชคชะตา ตามสภาพทางสงั คมและตาม ลกั ษณะเฉพาะตนเอง ยอ่ มเสวยสุขและทกุ ขใ์ นอภชิ าติ ไปเรอ่ื ยๆ ทงั้ คนพาลและบณั ฑติ พากนั เวยี นว่ายตายเกิดแลว้ จกั ทาทส่ี ุดแห่งทกุ ขไ์ ดเ้อง ๑๒. นฺตถิ อิมินาห สเี ลน วา วตฺเตน วา ตเปน วา พฺรหฺมจริเยน วา อปริปกกฺ วา กมฺม ปริปาเวสฺสามิ ปริปกกฺ ม วา กมมฺ ผุสฺสา ผุสฺสา พฺยนฺติกรสิ ฺสามิ : ไมม่ คี วามสมหวงั ในความปรารถนาว่า เราจกั อบรมกรรมทย่ี งั ไม่ ใหผ้ ลใหใ้ หผ้ ล หรอื สมั ผสั กรรมทใ่ี หผ้ ลแลว้ จกั ทาใหห้ มดส้นิ ไปดว้ ยศีล พรต ตบะหรอื พรหมจรรยน์ ้ี ๑๓. นตฺถิ โทณมิเต สุขทกุ เฺ ข ปริยนฺตกเต : ไม่มสี ุขทกุ ขท์ ท่ี าใหส้ ้นิ สุดลงได้ (จานวนเท่านนั้ เท่าน้ี) เหมอื น ตวงดว้ ยทะนาน ๑๔. นตถฺ ิ สสาเร : ไมม่ สี งั สารวฏั ทท่ี าใหส้ ้นิ สุดไปไดด้ ว้ ยอาการอย่างน้ี ๑๕. นตถฺ ิ หานวฑฒฺ เน : ไมม่ คี วามเสอ่ื มและความเจรญิ ๕๙ ท.ี ส.ี (บาล)ี ๙/๙๕-/๘๖-๗๑. (สฺยามรฏฺฐสฺส เตปิฏก)

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๓๐ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเรงิ ๑๖. นตถฺ ิ อกุ กฺ สาวกกฺ เส เสยยฺ ถาปิ นาม สุตตฺ คุเล ขิตฺเต นิพฺเพฐยิ มานเมว ปเลติ เอวเมว พาเล จ ปณฺฑิ เต จ สนฺธาวติ วฺ า สสรติ วฺ า ทกุ ขฺ กขฺ นฺธสฺส กรสิ สฺ นฺติ : ไมม่ กี ารเลอ่ื นข้นึ สูงและเลอ่ื นลงตา่ พวกคนพาลและบณั ฑติ พา กนั เทย่ี วเวยี นว่ายไปแลว้ กจ็ กั ทาทส่ี ุดทกุ ขไ์ ดเ้อง เหมอื นกลมุ่ ดา้ ยทถ่ี กู ขวา้ งไปยอ่ มคลห่ี มดไปไดเ้อง๖๐ ทรรศนะของมกั ขลโิ คศาล จดั เป็น “อเหตกุ ทิฏฐ”ิ (อเหตทุ ฏิ ฺฐิ อภุ ยมปฺ ิ ปฏิพาหต)ิ ๖๑ เพราะปฏเิ สธทง้ั กรรม และวปิ าก จดั เป็น “อกริ ยิ าวาทะ” ดว้ ย เพราะเป็นการปฏเิ สธกรรมและผลของกรรมอยู่แลว้ ดว้ ย ทงั้ ยงั เป็น “อวริ ยิ วา ทะ” ดว้ ย เพราะปฏเิ สธพลงั ความเพยี รว่าเป็นสง่ิ ไรผ้ ลดว้ ย เป็น สงั สารสุทธวิ าทะ อกี ดว้ ย วาทกรรมของมกั ขลิโคศาล “อเหตูติ วทนฺโต อุภยมฺปิ ปฏิพาหติ ฯ ตตฺถ กมฺม ปฏิพาหนฺเตนาปิ วปิ าโก ปฏพิ าหิโต โหติ วิปาก ปฏพิ าหนฺเตนาปิ กมมฺ ปฏพิ าหติ โหติ ฯ อติ ิ สพฺเพเปเต อตถฺ โต อภุ ยปปฺ ฏพิ าหกา อเหตุกวาทา เจว อกิริยวาทา จ นตฺถกิ วาทา จ โหนฺติ”๖๒ เมอ่ื พูดว่า ไม่มเี หตุ ก็ช่ือว่า ไม่มที ง้ั ไม่มที งั้ สองอย่าง ใน บรรดากรรมและวปิ ากทงั้ สองนนั้ แมเ้มอ่ื หา้ มกรรม ก็ช่ือว่าหา้ มวบิ าก แมเ้มอ่ื หา้ มวิบาก ก็ช่ือว่าเป็นการหา้ มกรรม ดงั นน้ั บคุ คลผูม้ ปี กตปิ ฏเิ สธทงั้ สองอย่างเหล่าน้ีแมท้ ง้ั หมด โดยใจความแลว้ เป็น อเหตกุ วาทะ ดว้ ย เป็น อกริ ยิ วา ทะ ดว้ ย เป็นนตั ถกิ วาทะ ดว้ ย ลทั ธิของครูอชิตะ เกสกมั พล๖๓ อจุ เฉทวาทะ (The Doctrine of the Annihilation) = ลทั ธิท่ถี อื วา่ หลงั จากตายแลว้ อตั ตาขาดสูญ (The theory of the belief in the annihilation of the soul) ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ คราวหน่ึงในกรุงราชคฤหน์ ้ี หมอ่ มฉนั เขา้ ไปหาครูอชิตะ เกสกมั พล ถงึ ท่อี ยู่ เจรจา ปราศรยั กนั พอคุน้ เคยดี ไดน้ งั่ ลงถามครูอชติ ะ เกสกมั พลว่า ‘ท่านอชติ ะ อาชีพท่อี าศยั ศิลปะมากมายเหล่าน้ี คือ ฯลฯ ๑ ท่านอชติ ะจะบญั ญตั ผิ ลแหง่ ความเป็นสมณะทเ่ี หน็ ประจกั ษใ์ นปจั จุบนั ไดเ้ช่นนนั้ บา้ งหรอื ไม่’ ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ เมอ่ื หมอ่ มฉนั ถามอย่างน้ี ครูอชติ ะ เกสกมั พล ตอบว่า ‘มหาบพติ ร ทานท่ใี หแ้ ลว้ ไมม่ ี ผล ยญั ท่บี ูชาแลว้ ไม่มผี ล การเซ่นสรวงก็ ไม่มผี ล ผลวิบากแห่งกรรมท่ที าดีทาชวั่ ก็ไม่มี โลกน้ีไม่มี โลกหนา้ ไม่มี บดิ าไม่มคี ุณมารดาไม่มคี ุณ สตั วท์ ่เี กิดผุดข้นึ ก็ไม่มี สมณพราหมณ์ผูป้ ระพฤติปฏบิ ตั ิชอบทาใหแ้ จง้ โลกน้ีและโลก หนา้ ดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เองแลว้ สอนผูอ้ น่ื ใหร้ ูแ้ จง้ กไ็ มม่ ใี นโลก มนุษยค์ ือท่ปี ระชุมแห่งมหาภตู รูป ๔ เมอ่ื ส้นิ ชวี ติ ธาตดุ ินไปตามธาตดุ ิน ธาตุนา้ ไปตามธาตุนา้ ธาตุไฟไป ตามธาตไุ ฟ ธาตลุ มไปตามธาตลุ ม อนิ ทรยี ท์ ง้ั หลายย่อม ผนั แปรไปเป็นอากาศธาตุ มนุษยม์ เี ตียงนอนเป็นท่ี ๕ นาศพ ไป ร่างกายปรากฏอยู่แค่ป่าชา้ กลายเป็นกระดูกขาวโพลนดุจสนี กพริ าบ การเซ่นสรวงส้นิ สุดลงแค่เถา้ ถ่าน คนเขลา บญั ญตั ิทานน้ีไว้ (ภสฺสนฺตา หุติโย) คาท่คี นบางพวกยา้ ว่ามผี ลนน้ั ว่างเปล่า เทจ็ ไรส้ าระ (ทตฺตุปํฺญตฺตมทิ ทาน เตส ตุจฺฉ มสุ า วลิ าโป) เมอ่ื ส้นิ ชวี ติ ไม่ว่า คนเขลาหรือคนฉลาดย่อมขาดสูญไม่เกิดอกี ’ (เย เกจิ อตถฺ วิ าท วทนฺติ พาเล จ ปณฺฑเิ ต จ กายสฺส เภทา อจุ ฉฺ ิชฺชนฺติ วนิ สฺสนฺติ น โหนฺติ ปร มรณา) ๖๐ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๖๗-๑๖๙/๕๔-๕๖. (มจร. ๒๕๓๙) ๖๑ มงฺคล.(บาล)ี ๑/๒๒๘/๒๒๐. ๖๒ มงฺคล.(บาล)ี ๑/๒๒๙/๒๒๑. ๖๓ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๗๐-๑๗๒/๕๖-๕๗.

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๓๑ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเริง ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้ จริญ หม่อมฉนั ถามถงึ ผลแห่งความเป็นสมณะท่เี หน็ ประจกั ษ์ แต่ครู อชิตะ เกสกมั พล กลบั ตอบเร่ืองความขาดสูญ เปรียบเหมือนเขาถามเร่ืองมะม่วงกลบั ตอบเร่ืองขนุนสาปะลอ หรือเขาถามเร่ืองขนุน สาปะลอกลบั ตอบ เร่ืองมะม่วง หม่อมฉนั จึงคิดว่า คนระดบั เราจะรุกรานสมณพราหมณ์ผูอ้ ยู่ในราชอาณาเขตได้ อย่างไรกนั หมอ่ มฉนั จงึ ไมช่ น่ื ชมไมต่ าหนิคากล่าวของครูอชติ ะ เกสกมั พล ถงึ ไมช่ ่นื ชมไม่ตาหนิ แต่กไ็ ม่พอใจ และ ไมเ่ ปลง่ วาจาแสดงความไมพ่ อใจออกมา เมอ่ื ไมย่ ดึ ถอื ไมใ่ ส่ใจคากลา่ วนน้ั กไ็ ดล้ ุกจากทน่ี งั่ จากไป๖๔ ประวตั ิและทรรศนะอชิตเกสกมั พล ตามประวตั ิเลา่ กนั ว่าอชติ เกสกมั พล เพราะว่าใชผ้ า้ กมั พลทท่ี าดว้ ยผมของมนุษย์ อชิตเกสกมั พล เป็ นพวก อุจเฉทวาที กลา่ วว่า ความรูเ้ กิดมาจากประสาทสมั ผสั (Perception) คือ ตา หู จมูก ล้นิ กาย ตามทศั นะของอชิต เกสกมั พล จิต ไมเ่ ป็นส่งิ แทจ้ รงิ มนั ไม่ไดแ้ ยกต่างหากจากกาย แต่ว่ามนั เกิดข้นึ อนั เป็นผลพลอยไดจ้ ากการรวมตวั กนั ของธาตุ ๔ คือ ดิน นา้ ลม ไฟ ซ่ึงไดส้ ดั ส่วนเท่านนั้ เม่ือวตั ถุธาตุทง้ั ๔ น้ีรวมกนั เขา้ ก็เกิดข้ึนเป็นร่างกาย ความรูส้ กึ นึกคดิ กเ็ กดิ มขี ้นึ อชิตเกสกมั พล ถือว่า ธาตุ ๔ คือ ดิน นา้ ลม ไฟ เท่านนั้ ท่ีเป็นของจริง ส่ิงอ่ืนนอกนน้ั ลว้ น เป็นมายา (Illusion) เกดิ จากการรวมตวั ของธาตุ ๔ เมอ่ื ธาตุ ๔ สลายตวั แลว้ สง่ิ นนั้ กเ็ ป็นอนั สูญ อชิตเกสกมั พล ปฏเิ สธเร่อื ง ความดี ความชวั่ บุญ บาป โดยส้ินเชิง การใหท้ านก็ดี การเซ่นสรวงหรือการบูชายญั ก็ดี จะไม่ก่อใหเ้ กิดผลแก่ ผูก้ ระทาในทุกกรณี การใหท้ านเป็นการบญั ญตั ิของคนโง่เขลา การสอนว่าการใหท้ านจะก่อใหเ้ กิดผลดีแก่ผูก้ ระทา การสอนแบบน้ีเป็นการสอนท่เี หลวไหลไรส้ าระ เป็นการหลอกลวงใหผ้ ูอ้ ่นื หลงผดิ เป็นการสอนเพ่ือประโยชนใ์ นการ เล้ยี งชีพของคนสอนเอง เป็นเร่อื งของคนฉลาดสอนใหค้ นโงใ่ หท้ าน แต่คนฉลาดรบั ทาน การกระทาใดๆ ก็ตามไม่มี ผล ไมว่ ่าจะทาดีหรอื ทาชวั่ การคาดหวงั ว่า การกระทาความดี ย่อมจะไดร้ บั ผลดี และการคาดหวงั ว่าการกระทาชวั่ ยอ่ มจะไดร้ บั ผลชวั่ เป็นความคาดหวงั ทว่ี ่างเปลา่ เป็นการตงั้ ความหวงั อย่าง ลมๆ แลง้ ๆ ซ่งึ ไม่มที างจะสมหวงั ไดเ้ลย บดิ ามารดา ไม่มี ผูป้ ฏบิ ตั ิดีปฏบิ ตั ิชอบไม่มวี ิบากกรรม จึงไมก่ ่อใหเ้กิดประโยชนอ์ นั ใดทงั้ ส้นิ ลทั ธนิ ้ีถอื ว่า สุข ทุกข์ เป็นเร่ืองของความบงั เอิญ ไม่เก่ียวกบั กรรมดี กรรมชวั่ ไม่มนี รก สวรรค์ ไม่มีการหลุดพน้ และไม่มกี ารเกิดใหม่ ตายแลว้ สูญมคี าอธิบายบางตอนของอชิตเกสกมั พลต่อคาตรสั ถามของพระเจา้ อชาตศตั รู ปรากฏอยู่ในสามญั ญผล สูตรมเี น้ือความว่า - ทาน ไมม่ ผี ล (นตถฺ ิ ทานนฺติ ทนิ ฺนสฺส ผลาภาว สนฺธาย วทติ) - การเซน่ สรวง ไมม่ ผี ล (นตถฺ ิ ยฏิ ฐฺ : มหายาโค) - การบูชาไมม่ ผี ล (นตถฺ ิ หุตตฺ : หุตนฺติ วุจจฺ ติ ปาหุนกสกกฺ าโร) - ผลวบิ ากแห่งกรรมดกี รรมชวั่ ไมม่ ี (นตถฺ ิ สุกฎทกุ กฺ ฏาน กมมฺ าน ผล วปิ าโก) - โลกน้ี ไมม่ ี (นตถฺ ิ อย โลโก) - โลกหนา้ ไมม่ ี (นตถฺ ิ ปโร โลโก) - มารดา ไมม่ คี ุณ (นตถฺ ิ มาตา) ๖๔ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/ -๑๗๒/ -๕๘.

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๓๒ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ - บดิ า ไมม่ คี ุณ (นตถฺ ิ ปิตา) - สตั วท์ เ่ี กดิ เป็นโอปปาตกิ ะ ไมม่ ี (นตถฺ ิ สตตฺ า โอปปาตกิ าติ จวติ วฺ า อปุ ปชนฺ กา สตตฺ า นาม นฺตถ)ิ - สมณพราหมณ์ ผูด้ าเนินชอบ ปฏบิ ตั ิชอบ ซ่งึ รูแ้ จง้ เหน็ จริงในโลกน้ีและโลกหนา้ ดว้ ยปญั ญาอนั ย่งิ ใหญ่ ของตนเอง แลว้ สอนใหผ้ ูอ้ ่ืนรูแ้ จง้ เหน็ จริงไม่มใี นโลก (นตฺถิ โลเก สมณพรฺ หฺมณา สมคฺคตา สมมฺ าปฏิปนฺนา เย อมิ ํฺจ โลก ปรํฺจ โลก สย อภํิ ฺญา สจฉฺ ิกตวฺ า ปเวทนฺต)ิ มนุษยเ์ ป็นเพยี งการมาประชมุ ของมหาภูตทงั้ ๔ (จาตมุ มฺ หาภูตโิ ก อย ปรุ ิโส) เมอ่ื ทากาลกิรยิ าตายไป ธาตุ ดินคืนสู่ดิน ธาตุนา้ คืน สู่นา้ ธาตุลมคืนสู่ลม ธาตุไฟคืนสู่ไฟ (ยทา กาล กโรติ ปฐวี ปฐวกิ าย อนุเปติ อนุปคจฺฉติ อาโป อาโปกาย อนุเปติ อนุปคจฉฺ ติ เตโช เตโชกาย อนุเปติ อนุปคจฉฺ ติ วาโย วาโยกาย อนุเปติ อนุปคจฺฉติ) อินทรยี ์ ทง้ั หลายย่อมจางหายไปในอากาศ (อากาส อนิ ฺทรฺ ยิ านิ สกมนฺต)ิ คนทง้ั หลายมแี คร่เป็นท่ี ๕ จะหามเขาไป ร่างกาย ปรากฏอยู่แค่ป่าชา้ กลายเป็นกระดูกมสี ดี ุจสนี กพริ าบ การเซ่นสรวงมี ข้เี ถา้ เป็นท่สี ุด ทานน้ีคนเขลาบญั ญตั ไิ ว้ คาของ คนบางพวกท่ีพูดว่า ทานมีผล ลว้ นแต่เป็นคาพูด อนั ว่างเปล่า เป็นคาเทจ็ เป็นคาเพอ้ เจอ้ เพราะร่างกายแตกดบั บคุ คลทงั้ พาลและบณั ฑติ ขาดสูญพนิ าศส้นิ ตายไปแลว้ ยอ่ มไมม่ กี ารเกดิ อกี \" ทรรศนะของอชิตะเกสกมั พล ตรงกบั ปรชั ญาในยุคหลงั คือวตั ถนุ ิยม เป็นทรรศนะทป่ี ฏเิ สธว่า ไมม่ สี ตั ว์ ไม่ มบี ุคคลใดๆ ทง้ั ส้ิน ไม่มีชาติหนา้ ไม่มบี ุญ ไม่มบี าป ปฏิเสธกรรมดีกรรมชวั่ ปฏิเสธพิธีกรรมทางศาสนาว่าไรผ้ ล ปฏเิ สธความสมบูรณ์ทางจติ ไม่มใี ครทาดไี มม่ ใี ครทาชวั่ เพราะสตั วป์ ระกอบดว้ ยธาตุ ๔ คือดิน นา้ ลม ไฟ จงึ ไม่มี สตั วใ์ ดๆ คงมแี ต่กลุ่มธาตุ (จตุมหาภูมกิ มยธาตุมตฺตา สตฺตา) ชาตนิ ้ีของสตั วส์ ้นิ สุดลงทก่ี ารตาย ไม่มอี ะไรเหลอื อีก หลงั จากตาย๖๕ ธาตทุ งั้ หลายเหลา่ นนั้ ทาหนา้ ท่ผี ลติ วญิ ญาณข้นึ มา เมอ่ื ธาตเุ หลา่ นน้ั แยกจากกนั สตั วก์ ็ส้นิ สุดกนั แค่นนั้ ไมม่ ี ความดคี วามชวั่ ไมม่ โี ลกหนา้ ชาตหิ นา้ ต่อไปอกี ไมม่ สี วรรคห์ รอื โลกทพิ ยท์ ่ไี หนอกี ไม่มพี ระเจา้ โลกน้ีดารงอยู่โดย ตวั เอง วญิ ญาณและเจตนาของสตั วเ์ กิดจากธาตุ เช่นเดียวกบั สุราท่เี กิดจากการหมกั ดองเคร่ืองปรุง เมอ่ื ทุกอย่าง ส้นิ สุดลงทค่ี วามตายจึงไม่จาเป็นตอ้ งทาบุญเพ่อื เป็นเสบยี งไปชาติหนา้ ทรรศนะน้ีปฏิเสธคมั ภรี พ์ ระเวทอย่างรุนแรง เป็นทรรศนะท่ชี ้ีแนะว่าสตั วจ์ ะแสวงหาความสุขแก่ตนดว้ ยวธิ ีใดๆ ก็ได้ ไม่ตอ้ งทาส่งิ ท่เี คยเช่ือกนั มาว่า จะอานวย ความสุขในชาตหิ นา้ เพราะวญิ ญาณคือร่างกายท่ยี งั มชี วี ติ อยูน่ นั่ เอง พระพทุ ธศาสนาเรยี กทรรศนะน้ีว่า “อุจเฉทวาทะ” แปลว่า ‚กล่าวว่าไมม่ สี ตั วบ์ คุ คล‛ดงั นน้ั วาทะครูอชติ ะ เกสกมั พล “อชิโต ‘กายสฺส เภทา อจุ ฺฉิชฺชนฺตตี ิ วทนฺโต วปิ าก ปฏพิ าหติ”๖๖ จากเน้ือความขา้ งบนน้ีเราจะเหน็ ไดว้ ่า แนวความคิดปรชั ญาของอชิตเกสกมั พลนนั้ เป็นแนวความคิดแบบสุด ขวั้ เป็นพวกวตั ถุนิยม หรือสสารนิยมแบบสุดๆ คลา้ ยกบั ลทั ธิปรชั ญาโลกายตั หรือจารวากหรือวตั ถุนิยม ยอมรบั ค่านิยมทางกามสุขเท่านนั้ ไมม่ คี ่านิยมใดๆ อกี ท่เี หมาะสมของมนุษย์ จึงเป็นทรรศนะท่ถี ูกตาหนิจากปรชั ญาอ่นื อย่าง มาก ลทั ธิของครูปกธุ ะ กจั จายนะ๖๗ ๖๕ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๔๔-๒๔๕. (สุมงฺคลวลิ าสนิ ี) ๖๖ มงฺคล.(บาล)ี ๑/๒๒๙/๒๒๐-๒๒๑.

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๓๓ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง นัตถกิ วาทะ (The Theory of Nothingness) = ลทั ธิท่ถี อื ว่าไม่มีเหตุ ไม่มีปจั จยั (Nihilism ; Nihilistic View) ทา่ นผูน้ ้ีมคี วามเหน็ ตรงขา้ มกบั อชติ เกสกมั พล คอื เหน็ ว่าสงั ขารทง้ั ปวงคงอยู่ มอี ยู่แน่นอน เร่มิ ตน้ ก็สอนว่า สภาวะทจ่ี ะแยกออกหรอื แปรเปลย่ี นไม่ไดอ้ กี มอี ยู่ ๗ อย่าง เรยี กว่า สตั ตกายา (Seven Elements) คอื ๑. ปฐวธี าตุ (Earth) ไดแ้ ก่ สภาวะทแ่ี ขง็ ๒. อาโปธาตุ (Water) ไดแ้ ก่ สภาวะของเหลว ๓. เตโชธาตุ (Fire) ไดแ้ ก่ สภาวะทร่ี อ้ น ๔. วาโยธาตุ (Wind) ไดแ้ ก่ สภาวะเคลอ่ื นไหวไปมา ๕. สุขธาตุ (Pleasure) ไดแ้ ก่ สภาวะทใ่ี หเ้กดิ ความสุข ๖. ทกุ ขธาตุ (Pain) ไดแ้ ก่ สภาวะแหง่ ความทกุ ขค์ วามลาบาก ๗. ชวี ธาตุ (Soul) ไดแ้ ก่ ชวี ะหรอื วญิ ญาณ สตั ตกายา ในท่นี ้ีหมายถงึ กองธาตุ หรือสภาวะ หรือหมวดหมขู่ องสงั ขาร มใิ ช่ร่างกายธรรมดา (Body) เจา้ ลทั ธิน้ีอธิบายว่า ธาตุแต่ละอย่างจะมคี วามมนั่ คงในตวั เอง เป็นอิสระในตวั เอง ทาหนา้ ทข่ี องตวั เองตามสภาวะ และ ธาตุเหล่าน้ีก็ไม่ข้นึ ต่อกนั ต่างคนต่างอยู่ เป็นใหญ่ในตวั เอง ปกุธกจั จายนะ อธิบายต่อไปว่า ธาตุทง้ั หมดเป็นของ เท่ียงแท้ ไม่แปรเปลย่ี น รกั ษาสภาวะเดิม เช่น นา้ จะรกั ษาความเป็นนา้ ถึงจะถูกตม้ เป็นไอ ก็จะกลบั เป็นนา้ เย็น ตามเดมิ ถงึ จะเป็นนา้ แขง็ หมิ ะ นา้ คา้ ง เมฆ หรือนา้ ในสระ มนั กค็ งคุณลกั ษณะของนา้ ไวไ้ ด้ เช่นเดียวกนั ธาตุชนิด อ่นื ๆ กส็ ามารถรกั ษาสภาวะท่แี ทจ้ รงิ ของมนั ไวไ้ ด้ จึงเหน็ ว่า โลกและส่งิ ทงั้ ปวงในโลกน้ีเท่ยี ง บาลวี ่า สสฺสโต โลโก คอื โลกเทย่ี ง (The World is eternal) แต่ความหมายของคาวา่ โลกน้ีกวา้ งมาก คือหมายเอาสภาวะทเ่ี ป็นอยู่โดยปกติ ธรรมชาติ เช่น ธาตุทงั้ ๗ และดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ ดว้ ยเพราะ ทุกอย่างมนั คงสภาพมนั อยู่โดยปกติ อย่างไรก็ตาม แนวคาสอนบางตอนของลทั ธิน้ีก็ส่อไปในทางนตั ถิกทิฏฐดิ ว้ ย เช่น สอนว่าไม่มีใครสรา้ ง ไม่มีใคร บนั ดาล ไม่มใี ครทา ไม่มใี ครรบั สงั่ ใหท้ า ไม่มผี ูถ้ ูกฆ่า ใครทาอะไรใหใ้ คร ก็ไม่ถือว่าเป็นอนั ทานาย ก. เอามีดฟนั นาย ข. ไมถ่ อื วา่ นาย ก. เป็นผูฆ้ ่า และไมถ่ อื ว่า นาย ข. ถูกฆ่า ถอื เพียงว่ามดี ซง่ึ เป็นธาตุดนิ วง่ิ ผ่านร่างกายของ นาย ข. ซ่งึ เป็นธาตุ ดนิ ธาตนุ า้ เท่านน้ั เช่นเดียวกบั เอาตะปูตอกไปในไม้ ตะปูและไมก้ ไ็ มม่ ใี ครผดิ แนวสอนน้ีเห็นชดั ว่า ปฏเิ สธการกระทาและผลของการกระทา จงึ อยู่ในพวกนตั ถกิ ทฏิ ฐิ ดงั มเี น้ือความทป่ี รากฏในสุตตนั ตปิฎกวา่ ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ คราวหน่ึงในกรุงราชคฤหน์ ้ี หม่อมฉนั (พระเจา้ อชาตศตั รู) เขา้ ไปหาครูปกุธะ กจั จาย นะ ถงึ ทอ่ี ยู่ เจรจาปราศรยั กนั พอคุน้ เคยดี ไดน้ งั่ ลงถามครูปกุธะ กจั จายนะว่า ‘ท่านกจั จายนะ อาชพี ท่อี าศยั ศิลปะ มากมายเหล่าน้ี คือ ฯลฯ ท่าน กจั จายนะจะบญั ญตั ผิ ลแห่งความเป็นสมณะท่เี หน็ ประจกั ษใ์ นปจั จุบนั ไดเ้ช่นนน้ั บา้ ง หรอื ไม’่ ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ เมอ่ื หม่อมฉนั ถามอย่างน้ี ครูปกุธะ กจั จายนะ ตอบว่า ‘มหาบพติ รสภาวะ ๗ กองน้ี ไม่มผี ูส้ รา้ ง ไมม่ ผี ูบ้ นั ดาล ไม่มผี ูเ้นรมติ ไม่มผี ูใ้ หเ้นรมติ ยงั่ ยนื มนั่ คงดุจยอดภเู ขา ดุจเสาระเนียด ไม่หวนั่ ไหว ไม่ ๖๗ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๗๓-๑๗๕/๕๗-๕๘.

บทท่ี ๑ “ภูมิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๓๔ ดร.ยทุ ธนา พนู เกดิ มะเริง ผนั แปร ไม่กระทบกระทงั่ กนั ไม่ก่อใหเ้ กิดสุขหรือทุกข์ หรือทงั้ สุขและทุกขแ์ ก่กนั และกนั สภาวะ ๗ กองนน้ั คือ อะไรบา้ ง คือ กองแห่งธาตุดิน กองแห่งธาตนุ า้ กองแห่งธาตุไฟ กองแห่งธาตุลม กองสุข กองทกุ ข์ กองชีวะ สภาวะ ๗ กองเหล่าน้ี ไม่มผี ูส้ รา้ ง ไม่มผี ูบ้ นั ดาล ไม่มผี ูเ้นรมติ ไม่มผี ูใ้ หเ้นรมติ ยงั่ ยืน มนั่ คงดุจยอดภูเขา ดุจเสาระเนียด ไมห่ วนั่ ไหว ไมผ่ นั แปร ไมก่ ระทบกระทงั่ กนั ไมก่ ่อใหเ้กดิ สุขหรือทุกข์ หรือทง้ั สุขและทกุ ขแ์ ก่กนั และกนั ในสภาวะ ๗ กองนนั้ ไมม่ ผี ูฆ้ ่า ไมม่ ผี ูใ้ ชใ้ หค้ นอน่ื ฆ่า ไมม่ ผี ูฟ้ งั ไม่มผี ูใ้ ชใ้ หค้ นอ่นื ฟงั ไม่มผี ูร้ ู้ ไมม่ ผี ูท้ าใหค้ นอ่นื รู้ ใครกต็ ามแมจ้ ะ เอาศสั ตราคม ตดั ศีรษะใคร ก็ไมช่ ่ือว่าปลงชีวติ ใครได้ เพราะเป็นเพยี งศสั ตราแทรกผ่านไประหว่าง สภาวะ ๗ กอง เทา่ นน้ั เอง’ ขา้ แต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันถามถึงผลแห่งความเป็ นสมณะท่ีเห็นประจัก ษ์ แต่ครู ปกธุ ะ กจั จายนะ กลบั ตอบเร่อื งความขาดสูญ เปรยี บเหมอื นเขาถามเร่อื งมะมว่ งกลบั ตอบเร่อื งขนุนสาปะลอ หรือเขา ถามเร่ืองขนุนสาปะลอกลบั ตอบ เร่อื งมะม่วง หมอ่ มฉนั จึงคิดว่า คนระดบั เราจะรุกรานสมณพราหมณ์ผูอ้ ยู่ใน ราช อาณาเขตไดอ้ ยา่ งไรกนั หมอ่ มฉนั จึงไมช่ ่นื ชมไม่ตาหนิคากล่าวของครูปกุธะ กจั จายนะ ถงึ ไมช่ ่นื ชมไม่ตาหนิ แต่กไ็ ม่ พอใจ และไมเ่ ปลง่ วาจาแสดงความไมพ่ อใจ ออกมา เมอ่ื ไมย่ ดึ ถอื ไมใ่ สใ่ จคากลา่ วนน้ั กไ็ ดล้ ุกจากทน่ี งั่ จากไป ประวตั แิ ละทรรศนะของปกทุ ธะ กจั จายนะ๖๘ ตามประวตั กิ ล่าวว่า ทเ่ี รียกช่อื ว่าปกทุ ธะ กจั จายนะ เรยี กกนั ตามช่อื ของตระกูลท่าน ปกทุ ธะกจั จานะ หา้ ม นา้ เยน็ เวลาถา่ ยอจุ จาระกด็ ี กนิ ขา้ วก็ดี ของไม่สะอาดอะไรๆ เป้ือนกด็ ี ก็ไม่ทากจิ คือชาระดว้ ยนา้ เยน็ ไดน้ า้ รอ้ นหรือ นา้ ขา้ วแลว้ จึงทา ขา้ มแม่นา้ หรอื นา้ ในทาง กเ็ ขา้ ใจว่า ศีลของเราขาดแลว้ จึง ทาการก่อตะล่อมกองทรายอธษิ ฐานศีล แลว้ จงึ ไป ปกุธะกจั จายนะ เป็ นพวกนัตถิกวาที สอนว่าสง่ิ ท่เี ป็นจริงแทใ้ นโลกน้ีมเี พยี ง ๗ อย่างเท่านนั้ คือ “ดิน น้า ลม ไฟ สุข ทุกข์ และ ชีวะ กรรมดี กรรมช่วั บุญ บาป นรก สวรรค์ เป็ นส่งิ ท่ีตงั้ กนั ข้ึนเอง ทงั้ ส้นิ ” แทจ้ ริง ไม่มี ลทั ธิน้ีถอื ว่า การฆ่า ผูถ้ ูกฆ่า ไม่เป็นบาปกรรมใดๆ ทง้ั ส้นิ เช่น เม่อื เราใชด้ าบ ฟนั ลงไปบนร่างกาย คมดาบจะผ่าน แทรกลงไปในระหวา่ งอนุภาคของสง่ิ ท่เี ป็นนิรนั ดร (ใน ๗ สง่ิ ) ซง่ึ ไม่มสี ่งิ ใดสามารถทาลายหรือแบ่งแยกไดเ้ท่านน้ั จึง เทา่ กบั ไมม่ ผี ลดผี ลรา้ ยอย่างไรเกดิ ข้นึ ความเหน็ ของปกทุ ธะกจั จายนะ ท่นี บั ไดว้ ่าสาคญั ตอนหน่ึงในสามญั ญผลสูตร ทฆี นิกาย พระเจา้ อชาตศตั รู ไดถ้ ามปญั หาเร่ืองสามญั ญผลแห่งการดาเนินชีวิตของสมณะหรือนกั บวชว่าจะไดร้ บั ผลในชีวิตน้ีอย่างไรบา้ ง ปกทุ ธะกจั จายนะไมท่ ลู ตอบปญั หาน้ีโดยตรง แต่ตรงกนั ขา้ มกบั แสดงทศั นะของตนว่า \"มหาบพิตร สภาวะ ๗ กองเหล่าน้ี ไม่มใี ครทา ไม่ใช่ส่งิ ท่ใี ครไดท้ าไว้ ไม่มใี ครเนรมติ ไม่มใี ครบญั ชาให้ เนรมติ ไว้ เป็นสภาพยงั่ ยนื ตงั้ อยู่มนั่ คงดุจยอดภูเขา ตงั้ อยู่มนั่ คงดุจเสาระเนียด สภาวะ ๗ กองเหลา่ นน้ั (สตฺตเม อิ เม สตตฺ กายา) ไมห่ วนั่ ไหว ไมแ่ ปรปรวน ไมเ่ บยี ดเบยี นกนั และกนั ไมอ่ าจใหเ้กิดสุขหรือทกุ ขห์ รอื ทง้ั สุขทง้ั ทุกขแ์ ก่กนั และกนั สภาวะ ๗ กองนนั้ เป็นไฉน? คอื กองดนิ (ปฐวกี าโย) กองนา้ (อาโปกาโย) กองลม (เตโชกาโย) กองไฟ (เตโช กาโย) สุข ทุกข์ และชีวะ สภาวะ ๗ กองเหล่าน้ี ไมม่ ใี ครทา (อกฏา) ไม่ใช่เป็นสง่ิ ท่ใี ครไดท้ าไว้ (อกฏวิธา) ไมม่ ใี คร ๖๘ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๔๗. (สุมงฺคลวลิ าสนิ )ี

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี ก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๓๕ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง เนรมติ (อนิมมฺ ติ า) ไม่มใี ครบญั ชาใหใ้ ครมาเนรมติ (อนิมมฺ าตา) เป็นสภาพยงั่ ยนื (วํิ ฺฌา) ตงั้ อยู่มนั่ คงดุจยอดภูเขา (กูฏฏฺฐา) ตงั้ อยู่มนั่ คงดุจเสาระเนียด (เอสิกฏฺฐายิฏฺฐิตา) สภาวะ ๗ กองเหล่านน้ั ไม่หวนั่ ไหว (น อิํฺชนฺติ) ไม่ แปรปรวน (น ปรณิ มนฺต)ิ ไมเ่ บยี ดเบยี นกนั และกนั (น อํฺญมํฺญ พยฺ าพาเธนฺต)ิ ไมอ่ าจใหเ้กดิ สุขหรือทุกข์ หรือทง้ั สุขและทกุ ขแ์ ก่กนั และกนั (นาล อํฺญมํฺญสฺส สุขาย วา ทกุ ฺขาย วา สุขทุกขฺ าย วา) ผูฆ้ ่าเองกด็ ี ผูใ้ ชใ้ หค้ นอ่นื ฆ่าก็ ดี ผูไ้ ดย้ นิ เอง กด็ ี ผูก้ ลา่ วใหบ้ คุ คลอ่นื ไดย้ นิ ก็ดี ผูเ้ขา้ ใจความหมายเองก็ดี ผูท้ าใหค้ นอ่นื เขา้ ใจความหมายก็ดี ไม่มี อยู่ในสภาวะ ๗ กองนน้ั เพราะบุคคลท่ีเอาศาสตราท่ีคมกลา้ มาตดั ศีรษะกนั ก็ไม่ช่ือว่าใครปลงชีวิตใคร เป็นแต่ ศาสตราสอดเขา้ ไปตามช่องแห่งสภาวะ ๗ กองเท่านนั้ \" จากขอ้ ความขา้ งบนน้ีเราพอจะสามารถสรุปแนวความคิดของปกุทธะกจั จายนะ ไดว้ ่า สภาวะ ๗ กองท่เี จา้ ลทั ธิน้ีกล่าวถงึ เป็นเหมอื นสสารหรือวตั ถทุ ่ไี รค้ วามรูส้ กึ นึกคิด เมอ่ื สภาวะทง้ั ๗ อย่าง มารวมตวั กนั อย่างไดส้ ดั ส่วน จงึ เกดิ เป็นสง่ิ ทม่ี ชี วี ติ ข้นึ มา เช่น มนุษย์ สตั ว์ เป็นตน้ ถงึ แมจ้ ะมชี ีวติ กต็ าม ส่วนประกอบต่างๆ ของสง่ิ มชี ีวติ ก็ยงั คง เป็นวตั ถุ หรอื สสารนนั่ เอง ดว้ ยเหตนุ ้ี เจา้ ลทั ธปิ กทุ ธะกจั จายนะ จึงเหน็ ว่า ถา้ มใี ครเอาดาบคมกริบไปตดั ศีรษะของคนอ่นื หรอื แทงคน อ่นื ใหต้ าย กถ็ อื วา่ ไมม่ ผี ูฆ้ ่าหรอื ผูถ้ กู ฆ่า เพราะผูท้ ต่ี ดั ศีรษะผูท้ ่แี ทงก็เป็นวตั ถุ และสง่ิ ท่ี ถกู ตดั หรือถกู แทงกเ็ ป็นวตั ถุ จงึ ไมม่ ผี ูฆ้ ่าและผูท้ ถ่ี ูกฆ่า ดงั นนั้ ปกทุ ธะกจั จายนะจึงเป็นพวก นตั ถิกวาที กล่าวว่ากรรมและผลของกรรมไม่มี และ กลา่ วปฏเิ สธ ความดี ความชวั่ ถกู ผดิ บญุ บาป นรก สวรรค์ โมกษะ ไม่มโี ดยส้นิ เชงิ เมอ่ื สภาวะ ๗ กองรวมตวั กนั จงึ เกดิ มสี ง่ิ มชี วี ติ เมอ่ื สภาวะ ๗ กองแยกออกจากกนั จิตหรือความรูส้ กึ ก็หมดไป ไม่มคี วามรูส้ กึ นึกคิดทจ่ี ะเหลอื อยู่ อกี ต่อไป ปกธุ ะกจั จายนะสอนว่า ในโลกเราน้ีประกอบดว้ ยสง่ิ สาคญั ๒ ประการคือ ธาตุต่างๆ มดี ิน นา้ ลม ไฟ เป็น ตน้ กบั จิตวญิ ญาณ หรอื ชวี ะ หรืออตั ตา ซ่งึ ลว้ นเป็นของเทย่ี งแท้ ไม่มกี ารดบั สูญหรือถกู ทาลายไปไดธ้ าตตุ ่างๆ นนั้ ประกอบดว้ ยอณูเป็นจานวนมาก เมอ่ื มารวมตวั กนั กเ็ กิดเป็นวตั ถขุ ้นึ เมอ่ื วตั ถสุ ลาย อณูของธาตุก็เพยี งแตกกระจดั กระจายกนั ออกไป นนั่ คือวตั ถสุ ูญ แต่อณูไม่สูญ เพราะเป็นส่งิ เทย่ี งแทอ้ ณูท่อี ยู่ในสภาพแตกกระจดั กระจายออกไป น้ี มอี านาจในตวั ของมนั เอง ทเ่ี ป็นอสิ ระจากอานาจของเทพเจา้ คือสามารถรวมตวั กนั เขา้ เป็นวตั ถอุ ีก เพราะฉะนนั้ การ เกดิ ดบั ของวตั ถกุ ค็ อื ผลของการรวมตวั หรอื สลายตวั ของอณูนนั่ เอง ส่วนสง่ิ ทเ่ี รยี กวา่ ‘จติ วญิ ญาณ ชีวะ หรืออตั ตา’ นน้ั เป็นอกี ส่งิ หน่ึงมอี านาจในตวั เอง มไิ ดป้ ระกอบดว้ ยอณู แต่เทย่ี งแทเ้ช่นเดียวกนั วตั ถบุ างชนิด ถา้ จิตเขา้ ครองได้ จิตก็จะเขา้ ครอง เมอ่ื วตั ถนุ นั้ แตกดบั ไปเพราะอณูสลายตวั จติ กจ็ ะออกจากวตั ถนุ น้ั ไปสู่สภาพเดมิ เป็นอิสรเสรี ไมต่ กอยู่ในอานาจของเทพเจา้ ใดๆ จิตซ่งึ เป็นอิสระน้ี อาจเขา้ ถงึ สจั ธรรมไดแ้ ละการบาเพญ็ กค็ ือการทาจิตใหเ้ป็นอสิ ระเสรี ความหมายของนิพพานตามความเห็นของครูปกุทธกจั จายนะ ก็คือความรูจ้ ริง หรือรูส้ จั ธรรมในเร่ือง ความสมั พนั ธร์ ะหว่างวตั ถอุ นั ประกอบดว้ ยอณูอนั เทย่ี งแทก้ บั จติ หรือวญิ ญาณอนั เทย่ี งแท้ ดว้ ยเหตทุ ่คี รูปกุทธกจั จาย นะมคี วามเหน็ วา่ ‚อณูและจติ เป็นของเทย่ี งแท‛้ ปกธุ กจั จายนะ เป็นนกั พหุนิยม (Pluralism) และวตั ถุนิยม (Materialism) มที รรศนะคลา้ ยกบั อชติ เกส กมั พล โดยถอื ว่าสตั วป์ ระกอบดว้ ยธาตุทงั้ หลาย ธาตเุ หล่านนั้ เป็นส่งิ ท่มี คี วามมนั่ คง ไมเ่ ป็นบ่อเกิดของส่งิ ใดๆ ไดอ้ ีก

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๓๖ ดร.ยุทธนา พูนเกดิ มะเรงิ ไมม่ พี ฤตกิ รรมร่วมกบั สง่ิ ใดๆ ไมม่ กี ารเคลอ่ื นไหว ไมม่ กี ารเปลย่ี นแปลง ดงั นนั้ จึงไม่มใี ครฆ่าใคร ไมม่ ใี ครถกู ฆ่า ไม่ มใี ครแสดงอะไรแก่ใคร ไม่มใี ครสอน ไม่มใี ครเรียน แมด้ าบจะผ่านร่างกายของสตั วไ์ ปก็ไม่จดั เป็นการทาบาป ไม่ จดั เป็นการทาลายสตั วเ์ ป็นเพยี งดาบไดผ้ ่านกลมุ่ ธาตทุ ป่ี รากฏเป็นร่างกายเท่านนั้ ร่างกายนนั้ เป็นกลุม่ ของปรมาณูไม่มี สง่ิ อน่ื ใดทกุ อย่างส้นิ สุดลงพรอ้ มกบั การตายของสตั วน์ นั้ ๆ พระพทุ ธศาสนาเรียกทรรศนะน้ีว่า “อุจเฉทวาทะ” หรือ “อุจเฉททิฏฐ”ิ แปลว่า ‚เหน็ ว่าสูญส้นิ ‛ คือไมม่ ใี คร ตายแลว้ จึงไม่มอี ะไรเหลอื อยู่อีก อยู่ในฐานะเป็น นัตถิกทิฏฐิ คือปฏเิ สธความเป็นสตั วเ์ ป็นบุคคล เป็นอเหตุกทฏิ ฐิ คือปฏิเสธเหตุของความเศรา้ หมอง ความบริสุทธ์ิ และเป็น อกิริยทฏิ ฐิ คือปฏิเสธการกระทาดว้ ย เพราะเมอ่ื ปฏเิ สธ บุคคลอย่างเดียวแลว้ การกระทาจะมไี ดอ้ ย่างไร เพราะฉะนนั้ ทรรศนะของเจา้ ลทั ธิปกุธกจั จายนะ จึงมลี กั ษณะ กลมกลนื กบั เจา้ ลทั ธเิ หลา่ อ่นื ทก่ี ลา่ วมาแลว้ วตั ถุนิยม (Materialism) มใิ ช่หมายความถงึ ความหลงใหลในวตั ถคุ ือหลงใหลใน รูป รส กลน่ิ เสยี ง และ สมั ผสั เทา่ นน้ั แต่เป็นปรชั ญาสาขาหน่ึง คู่กบั จติ นิยม (Idealism หรอื Spiritualism) ปรชั ญาวตั ถุนิยมมมี าแต่โบราณและพฒั นามาเป็นลาดบั จนถึงขนั้ ล่าสุด ปรชั ญาวัตถุนิยมในปจั จุบนั เป็น ปรชั ญาวตั ถนุ ิยมวพิ ากษ์ (Dialectical Materialism) หลกั ทวั่ ไปของปรชั ญาวตั ถนุ ิยมแต่โบราณคือจติ เป็นผลติ ผล ของวตั ถุ ไมใ่ ช่วตั ถเุ ป็นผลติ ผลจิต แต่จิตซ่งึ เป็นผลติ ผลของวตั ถนุ นั้ มบี ทบาทเปลย่ี นแปลงวตั ถไุ ดห้ ลกั ปรชั ญาวตั ถุ นิยมดงั กลา่ วน้ี ยดึ ถอื กนั มาแต่อนิ เดยี โบราณ กรกี โรมนั ปลายสมยั กลางจนถงึ ปจั จุบนั นกั ปรชั ญาวตั ถุนิยมของอินเดียโบราณ คนสาคญั ท่ีสุดคือพระพุทธเจา้ ซ่งึ ถือว่าเม่อื อายตนะภายในกบั อายตนะภายนอกกระทบ หรือสมั ผสั กนั วญิ ญาณแลว้ จึงเกิดซ่งึ เป็นขน้ั ตน้ ของจติ แลว้ จิตก็พฒั นาจนถงึ ขน้ั สูงสุด น้ี คือจติ เป็นผลติ ผลของวตั ถุ ซง่ึ พสิ ูจนแ์ ลว้ ดว้ ยวทิ ยาศาสตรส์ มยั ใหม่ นกั ปรชั ญาวตั ถุนิยมกรีกโรมนั ก็ยึดถือหลกั น้ีนกั ปรชั ญาวตั ถุนิยมปลายสมยั กลางและตน้ สมยั ใหม่ เช่น ฟรานซสิ เบคอน ฟอย เออบคั ก็ยดึ ถอื หลกั น้ี นกั ปรชั ญาวตั ถนุ ิยมล่าสุด คือวตั ถนุ ิยมวพิ าษ ซงึ่ สรุปโดยมากซแ์ ละ เองเกลล์ ก็ยึดถอื หลกั น้ี รวมความผูย้ ดึ ถอื ‚จิตเป็นผลติ ผลของวตั ถุ‛ คือนกั วตั ถุนิยมและผูย้ ดึ ถือ ‚วตั ถเุ ป็น ผลติ ผลจติ ‛ คอื นกั จติ นิยม แต่พวกวตั ถนุ ิยมถอื วตั ถุ (ทางปรชั ญา) เป็นใหญ่ก็คือถอื กฎเกณฑส์ ่งิ ต่างๆ เป็นใหญ่ ทาใหไ้ ม่นึกถงึ ตวั เอง จงึ ทาใหไ้ ม่นึกถงึ ตวั เอง จึงไม่แสวงหาความสุขส่วนตวั ดงั ท่ี เองเกลล์ เขยี นไวว้ ่า ‚ความสุขส่วนตวั นน้ั ไม่มถี า้ ใครจะ แสวงหาความสุขส่วนตวั จะหาไม่พบส่งิ ท่ีมอี ยู่คือวตั ถุท่เี คลอ่ื นไหวไปตามกฎคนเรามหี นา้ ท่ที างประวัติศาสตรท์ ่จี ะ ปฏบิ ตั ไิ ปตามกฎนนั้ ๆ เทา่ นนั้ ‛ ลทั ธิของครูนิครนถ์ นาฏบตุ ร๖๙ ๖๙ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๗๖-๑๗๗/๕๘-๕๙.

บทท่ี ๑ “ภมู หิ ลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดยี กอ่ นสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๓๗ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ อตั ตกลิ มถานุโยค (The Extreme of self- mortification) = ลทั ธิท่ถี อื วา่ การทรมานตนเองเป็ นการ เผากเิ ลส การบีบคน้ั ทรมานตนใหเ้ ดอื ดรอ้ น ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ คราวหน่ึงในกรุงราชคฤหน์ ้ี หมอ่ มฉนั เขา้ ไปหาครูนิครนถ์ นาฏบุตร ถงึ ทอ่ี ยู่ เจรจา ปราศรยั กนั พอคุน้ เคยดี ไดน้ งั่ ลงถามครู นิครนถ์ นาฏบตุ ร วา่ ‘ทา่ นอคั คิเวสสนะ อาชพี ท่อี าศยั ศิลปะมากมายเหล่าน้ี คอื ฯลฯ ท่านอคั คิเวสสนะจะบญั ญตั ผิ ลแหง่ ความเป็นสมณะทเ่ี หน็ ประจกั ษใ์ นปจั จุบนั ไดเ้ช่นนนั้ บา้ งหรอื ไม่’ ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จรญิ เมอ่ื หมอ่ มฉนั ถามอย่างน้ี ครูนิครนถ์ นาฏบุตร ตอบว่า ‘มหาบพติ ร นิครนถใ์ นโลกน้ี สารวมดว้ ยการสงั วร ๔ อย่าง (จาตยุ ามสวรสวุโตติ จตโุ กฏฺ าเสน สวเรน สวุโต)๗๐ คอื ๑. เวน้ นา้ ดบิ ทกุ อย่าง (สพพฺ วรวิ ารโิ ต จาติ วารติ สพพฺ อทุ โก ปฏกิ ฺขติ ฺตสพพฺ สโี ตทโกติ อตฺโถ) ๒. ประกอบกจิ ทเ่ี วน้ จากบาปทุกอยา่ ง (สพพฺ าวารยิ ุตฺโต จาติ สพเฺ พน ปาปวรเณน ยตุ โฺ ต) ๓. ลา้ งบาปทกุ อย่าง (สพพฺ วารธิ ุโต จาติ สพเฺ พน ปาปวรเณน ธุตปาโป) ๔. รบั สมั ผสั ทกุ อย่างโดยไมใ่ หเ้กดิ บาป (สพพฺ าวารผิ ุโฏติ สพเฺ พน ปาปวารเณน ผุฏโฺ ฐ) นิครนถส์ ารวมดว้ ยการสงั วร ๔ อย่างน้ี ดงั นนั้ บณั ฑิตจงึ เรียกว่า ผูถ้ งึ ทส่ี ุดแลว้ (คตตฺโตติ โกฏิปปฺ ตฺตจติ ฺโต) สารวมแลว้ (ยตตฺโตติ สยตจติ ฺโต) ตง้ั มนั่ แลว้ (ฐติ ตฺโตติ สุปปฺ ตฏิ ฺฐติ จติ โฺ ต)๗๑ ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้จริญ หมอ่ มฉนั ถามถงึ ผลแห่งความเป็นสมณะท่เี หน็ ประจกั ษ์ แต่ครูนิครนถ์ นาฏบุตร กลบั ตอบเร่อื งความสงั วร ๔ อย่าง เปรยี บเหมอื นเขาถามเร่อื งมะมว่ งกลบั ตอบเร่อื งขนุนสาปะลอ หรอื เขาถามเร่อื ง ขนุนสาปะลอกลบั ตอบเรอ่ื งมะม่วง หม่อมฉนั จึงคิดว่า คนระดบั เราจะรุกรานสมณพราหมณผ์ ูอ้ ยู่ใน ราชอาณาเขตได้ อยา่ งไรกนั หมอ่ มฉนั จึงไมช่ ่นื ชมไม่ตาหนิคากลา่ วของครูนิครนถ์ นาฏบตุ ร ถงึ ไมช่ ่นื ชมไมต่ าหนิ แต่ก็ไมพ่ อใจ และ ไมเ่ ปลง่ วาจาแสดงความไมพ่ อใจ ออกมา เมอ่ื ไมย่ ดึ ถอื ไมใ่ ส่ใจคากลา่ วนนั้ กไ็ ดล้ ุกจากทน่ี งั่ จากไป ประวตั แิ ละทรรศนะนิครนถน์ าฏบตุ รหรอื ท่านมหาวรี ะ ศาสนาเชน เป็นศาสนาท่เี ก่าแก่ของโลกและในอนิ เดีย เกิดก่อนพระพทุ ธศาสนา ศาสนิกชนเชนเช่อื ว่าโลกน้ี มมี านานแลว้ และจะดารงอยู่เช่นน้ีตลอดไป โดยแบง่ เป็นยุคในแต่ละยุคจะมี ๒ รอบคือ รอบแห่งความเจรญิ และรอบ แห่งความเสอ่ื ม รอบแหง่ ความเจรญิ เรยี กวา่ อุตสรปินี หมายความวา่ ทุกอย่างเร่มิ จากความไมด่ แี ลว้ พฒั นาไปสู่ความ เจรญิ เช่น อายุของคนและสตั วจ์ ะเพม่ิ ข้นึ ร่างกายสูงใหญ่ข้นึ รวมถงึ คุณธรรมความดจี ะปรากฏเด่น ส่วนรอบแห่ง ความเสอ่ื มเรยี กว่า อวสรปิ นี หมายความว่าทุกอย่างจะเร่มิ จากความเจรญิ แลว้ ไปสู่ความเส่อื ม เช่น อายุของคนและ สตั วจ์ ะลดลง ร่างกายจะเลก็ ลง รวมถึงคุณธรรมกจ็ ะลดลง สาหรบั โลกท่เี รากาลงั อยู่ในปจั จบุ นั เป็นรอบแห่งความ เสอ่ื ม และในแต่ละรอบจะมศี าสดาของศาสนาเชนอุบตั ขิ ้นึ มาในโลก ๒๔ พระองค์ ก่อนพทุ ธกาลราว ๔๓ ปี นิครนถน์ าฏบุตร หรือมหาวีระ (Mahavira) ก็ไดก้ ่อตง้ั ลทั ธิศาสนาหน่ึงข้นึ ซ่งึ ปจั จุบนั เรียกว่า ศาสนาเชน ท่านนิครนถน์ าฏบตุ ร นบั เป็นบคุ คลสาคญั ทส่ี ุดในบรรดาครูทงั้ ๖ ตานานกลา่ วว่าเกดิ ท่ี กุณฑคาม เมอื งไวสาลี แควน้ วชั ชขี องพวกเจา้ ลจิ ฉวี บดิ านามว่าสทิ ธตั ถะหรือสทิ ธารถะ เป็นกษตั ริยล์ จิ ฉวพี ระองค์ หน่ึง มารดาช่ือว่าตฤศลา เน่ืองจากเป็นคนกลา้ หาญ จึงไดช้ ่ือว่า มหาวรี ะ แปลว่า มคี วามแกลว้ กลา้ อาจหาญ ตาม ๗๐ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๔๘. (สมุ งฺคลวลิ าสนิ ี) ๗๑ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๔๘. (สมุ งฺคลวลิ าสนิ )ี

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๓๘ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเรงิ คมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนากลา่ วว่าท่านเป็นบุตรของนกั ฟ้อน (นาฏสฺส ปุตโฺ ตติ นาฏปุตฺโต)๗๒ มชี ีวประวตั ิคลา้ ยๆ กบั พระพทุ ธเจา้ มาก (สมณโคดม) นิครนถนาฏบุตร หรือเจา้ มหาวรี ะต่อมาไดก้ ลายมาเป็นผูก้ ่อตงั้ ศาสนาไชนะหรือเชน เป็นศาสนาทเ่ี กดิ ร่วมสมยั กบั พระพทุ ธเจา้ ศาสนาเชนมศี าสดานบั เน่ืองกนั ได้ ๒๓ พระองคใ์ นอดีต ศาสดาทางศาสนา เชนเรยี กกนั วา่ ตริ ถงั กร (Tirthankara) หมายถงึ วญิ ญาณทส่ี มบรู ณ์ หรอื ชินะ องคแ์ รกมนี ามว่า \"ฤษภะ\" และองคท์ ่ี ๒๔ นบั เป็นองคส์ ุดทา้ ยช่ือว่า วรธมานะ หรือมหาวีระ ก็เป็นคนเดียวกบั นิครนถน์ าฏบุตร และถือว่าเป็นผูก้ ่อตงั้ ศาสนาเชนและพฒั นาใหเ้จริญรุ่งเรอื ง วรธมานะ มชี ่อื อกี อย่างหน่ึงว่า มหาวรี ะ ซ่งึ มเี ร่อื งเล่าว่าขณะเยาวว์ ยั เจา้ ชายวรธมานะเสดจ็ ประพาสเล่นใน อทุ ยานหลวงกบั พวกเพอ่ื น ๆ ขณะทก่ี าลงั เลน่ กีฬากนั เพลนิ ๆ ชา้ งพลายตกมนั เชอื กหน่ึงหลุดออกจากโรงชา้ งบุกเขา้ เขตอุทยานและตรงเขา้ ทารา้ ย เดก็ พวกอ่นื พากนั ว่งิ หนีเอาตวั รอด แต่เจา้ ชายวรธมานะไม่มชี าตขิ องผูข้ ลาด เมอ่ื เห็น ชา้ งเขา้ มาใกลก้ ต็ งั้ สตมิ นั่ ยนื ตรงอยู่กบั ทค่ี อยทอี ยู่ เมอ่ื ชา้ งว่ิงเขา้ มาใกลต้ วั เพอ่ื จะทารา้ ย วรธมานะกระโดดเขา้ จบั งวง ตามวธิ ที ไ่ี ดร้ บั ฝึกฝนมาจากควาญหลวง ข้นึ หลงั บงั คบั ขก่ี ลบั ไปถงึ โรงชา้ งมอบใหน้ ายควาญชา้ งได้ เจา้ ชายวรธมานะเสดจ็ เขา้ วงั โดยไม่ไดต้ รสั เร่ืองนน้ั แก่ใคร ๆ เลย แต่ควาญชา้ งผูเ้ป็นอาจารยม์ องเหน็ ความ กลา้ หาญท่ีเด็กคนอ่ืนไม่สามารถกระทาได้ จึงนาความไปกราบทูลกษตั ริยส์ ิทธารถใหท้ รงทราบ กิตติศพั ทไ์ ด้ แพร่กระจายออกไปทวั่ คามนิคมถงึ ความกลา้ หาญ ครง้ั น้ี เป็นท่แี ซ่ซอ้ งสรรเสริญของคนทวั่ ไป จึงพรอ้ มเพรียงกนั ถวายพระนามใหม่ใหเ้ จา้ ชายว่า มหาวีระ แปลว่าผูก้ ลา้ หาญท่ยี ่งิ ใหญ่ ก็เหมอื นกบั พระมหากษตั ริยไ์ ทยเราเช่น ใน หลวงรชั กาลท่ี ๕ พระองคท์ รงเป็นทร่ี กั ยง่ิ ของปวงชนชาวไทยจึงไดร้ บั ขนานพระนามใหม่อีกพระนามหน่ึงว่า “พระปิย มหาราช” เป็นตน้ เจา้ มหาวีระมเี ช้ือชาติความเป็นกษตั ริยเ์ หมือนกบั พระสมั มาสมั พุทธเจา้ พระพุทธเจา้ สืบเช้ือสายมาจาก กษตั ริยศ์ ากยวงศ์ ส่วนเจา้ มหาวรี ะหรือนิครนถน์ าฏบุตรเป็นกษตั ริยส์ บื เช้อื สายมาจากลจิ ฉววี งศ์ เมอื งไพศาลใี นลุ่ม แมน่ า้ คงคาตอนบน โดยไดร้ บั คาทานายจากโหราจารยโ์ ดยมคี ตเิ ป็น ๒ เช่นเดยี วกบั เจา้ ชายสทิ ธตั ถะในเวลาออกบวช ศาสดาทง้ั สองกเ็ สดจ็ ออกบวชเมอ่ื พระชนมายุใกลเ้คียงกนั พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ออกบวชเมอ่ื พระชนมายุ ๒๙ เจา้ มหาวี ระออกบวชเมอ่ื อายุ ๓๐ ปี ชวี ประวตั ิของท่านนิครนถน์ าฏบุตรนน้ั มคี วามละมา้ ยคลา้ ยคลงึ กบั พระพทุ ธเจา้ คือไดม้ มี เหสแี ลว้ และทรง เบอ่ื โลกออกบวช สละโลกาวสิ ยั แลว้ เสดจ็ ออกไปแสวงหาความจริงบาเพญ็ ทุกรกิรยิ าอยู่ ๑๒ ปี ในท่สี ุดกถ็ อื ว่าไดเ้ป็น ผูห้ ลุดพน้ เป็นอรหนั ตต์ รสั รูเ้ ป็นสพั พญั ํูข้ึนมา แลว้ ก็ไดบ้ ญั ญตั ิศาสนาใชเ้ วลา ๓๐ ปีเศษสอนสาวกของตน แพร่หลายศาสนาไปในลุม่ แมน่ า้ คงคา ยมนุ า ในพ้นื ทต่ี ่างๆ เช่นเดยี วกบั พระพทุ ธเจา้ ท่ที รงบาเพญ็ พทุ ธกจิ มา น่าแปลกใจท่วี ่าศาสดาทงั้ ๒ องคน์ ้ี ไมเ่ คยมโี อกาสพบปะสนทนากนั เลยในประวตั วิ รรณคดีบาลกี ็กล่าวถึง เสมอวา่ ทงั้ สองท่านไดไ้ ปอยูใ่ นทแ่ี หง่ เดยี ว จาพรรษาอยูใ่ กลเ้คียงกนั แต่วา่ กไ็ มเ่ คย พบปะกนั จงั ๆ สกั คราวหน่ึงเลย ทพ่ี บกนั สว่ นมากกเ็ ป็นว่านิครนถน์ าฏบตุ รหรอื เจา้ มหา วรี ะสง่ ลูกศิษยค์ นสาคญั มาโตว้ าทกี บั พระพทุ ธเจา้ ๗๒ ท.ี ส.ี อ.(บาล)ี ๔/๒๑๕.

บทท่ี ๑ “ภมู ิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียก่อนสมยั พทุ ธกาล” หนา้ ๓๙ ดร.ยุทธนา พนู เกิดมะเรงิ มเี ร่ืองใหญ่ ๆ ท่ีมีความสาคญั อยู่ ๒ เร่ือง ในอุปาลิวาทสูตรไดพ้ ูดถึงขอ้ โตแ้ ยง้ ระหว่าง ๒ ศาสนาน้ีถึง นิครนถค์ นหน่ึง นิครนถค์ นน้ีมชี อ่ื วา่ ทฆี ตปสั สนี ิครนถเ์ ป็นสาวกกาลงั สาคญั ของศาสดามหาวรี ะไดม้ าเขา้ เฝ้าพระพทุ ธ องคใ์ นท่แี ห่งหน่ึง ซง่ึ ในขณะนน้ั เจา้ มหาวรี ะกจ็ าพรรษาอยู่ในเมอื งเดียวกบั ท่พี ระพทุ ธเจา้ จาพรรษาอยู่คือเมอื งเวสาลี นนั่ เอง ทฆี ตปสั สีนิครนถไ์ ดเ้ สนอแนวความคิดหลกั ธรรมอา้ งถงึ ศาสดาของตนว่า ศาสดาของตนนน้ั เมอ่ื จะบญั ญตั ิ โทษ ทางกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม บญั ญตั ิว่าโทษทางกายกรรม หนกั กว่าโทษทางวจีกรรมและมโนกรรม แต่คาสอนในศาสนาชินะเรียกว่าทณั ฑะ คือกายทณั ฑะ วจีทณั ฑะ และมโนทณั ฑะ ในบรรดาทณั ฑะทง้ั ๓ นนั้ กาย ทณั ฑะ หนกั กว่าวจีทณั ฑะและมโนทณั ฑะ ทีฆตปสั สีทูลถามพระพทุ ธองคว์ ่าทรงมคี วามคิดเหน็ อย่างไร พระพทุ ธ องคต์ รสั ตอบว่าความเหน็ ของเรานน้ั มคี วามเหน็ ว่า มโนทณั ฑะ มโี ทษมากกว่ากาย ทณั ฑะและวจีทณั ฑะ ทฆี ตปสั สี ใหพ้ ระพทุ ธองคย์ นื ยนั ๓ ครง้ั พระพทุ ธเจา้ กใ็ หท้ ฆี ตปสั สนี ิครนถย์ นื ยนั ๓ ครงั้ วา่ วาทะของทา่ นเป็นอยา่ งนนั้ น้ีเป็นธรรมเนียมของคนในสมยั นน้ั เพราะว่ากลวั จะมกี ารกลบั คาพดู อกี ในภายหลงั หลงั จากนนั้ ทฆี ตปสั สี กไ็ มไ่ ดโ้ ตแ้ ยง้ อะไรแลว้ ทลู ลากลบั เมอ่ื กลบั มาแลว้ ก็ไปเฝ้าศาสดาของตวั คือเจา้ มหาวรี ะ กเ็ ลา่ ความจรงิ ใหฟ้ งั ว่าไดไ้ ป เฝ้าพระสมณโคดมมาไดโ้ ตแ้ ยง้ ความคดิ เหน็ อยา่ งน้ี นิครนถน์ าฏบุตรกช็ มเชยว่าตอบไดถ้ ูกตอ้ ง และยา้ ว่ากายทณั ฑะ มโี ทษมากกว่า ขณะนน้ั อบุ าลคี ฤหบดเี ป็นอบุ าสกของเจา้ มหาวรี ะนนั่ แหละเป็นคฤหบดคี นสาคญั มชี ่ือเสยี งและรา่ รวย มากเป็นท่รี ูจ้ กั ของคนทวั่ ไปในเมอื งเวสาลไี ดน้ งั่ ฟงั อยู่ดว้ ย และนิครนถน์ าฏบตุ รกม็ ปี ระสงคท์ ่จี ะส่งอบุ าลคี ฤหบดไี ป โตแ้ ยง้ หกั ลา้ งวาทะดว้ ยวาทะกบั พระสมณโคดม เพอ่ื จะทาใหพ้ ระพทุ ธเจา้ กลบั มาเป็นศิษยข์ องนิครนถน์ าฏบุตรใหไ้ ด้ ทฆี ตปสั สี ไดย้ นิ ดงั นนั้ กห็ า้ มวา่ อย่าสง่ ไปเลยทา่ นอาจารย์ เพราะว่าใคร ๆ กร็ ูว้ ่าพระสมณโคดมนนั้ ใครท่ไี ป ทา้ โตว้ าทีก็แพก้ ลบั มาทุกรายก็ดูอย่างกระผมซิยงั ไม่กลา้ เลย เพราะกลวั ว่าแพแ้ ลว้ จะตอ้ งกลายเป็นลูกศิษยไ์ ป นิครนถน์ าฏบุตรกอ็ อกปากหา้ มทฆี ตปสั สี ว่าอย่าพูดมากไปเลย ตรงกนั ขา้ มเรากลบั มคี วามเห็นว่า ถา้ อบุ าลคี ฤหบดี ศิษยข์ องเราไปโตว้ าทะกบั พระสมณโคดมแลว้ จะสามารถทาใหพ้ ระสมณโคดมกลบั มาเป็นศิษยข์ องเรามากกว่า เพราะ เราเช่ือมนั่ ว่าอุบาลคี ฤหบดีมคี วามรูค้ วามเช่ยี วชาญ มปี ญั ญามาก รูเ้ร่อื งลทั ธติ นและลทั ธขิ องผูอ้ ่นื เป็ นอย่างดี และรู้ เรอ่ื งศาสนาต่างๆ เป็นอยา่ งมาก จะสามารถเอาชนะพระสมณโคดมได้ การโตว้ าทะในครง้ั นนั้ กเ็ นน้ หนกั เร่ืองกรรมคือ กายกรรม วจกี รรม และมโนกรรม ผลของการโตแ้ ยง้ กนั ปรากฏว่า อบุ าลคี ฤหบดีกลบั ใจเป็นลูกศิษยข์ องพระพทุ ธเจา้ ทูลขอปฏิญญาเป็นชาว พทุ ธ พระพุทธเจา้ กท็ รงหา้ มว่าอย่าเลยคฤหบดี อย่ารีบด่วนมานบั ถือเราเลย เพราะว่าตวั ท่านนนั้ ใครๆ ก็รูว้ ่าเป็นผู้ อปุ ถมั ภค์ นสาคญั ของพวกนิครนถท์ งั้ หลายอยู่ การท่คี นมชี ่อื เสยี งอย่างท่านมศี รทั ธาหนกั แน่นในลทั ธินิครนถอ์ ย่าง ทา่ นมากลบั ใจเปลย่ี นศาสนาเสยี งา่ ยๆ ไมส่ มควรเลย พระพทุ ธเจา้ ทรงยบั ยงั้ ไว้ อุบาลี คฤหบดี พอไดย้ นิ ดงั นน้ั ก็ทูลตอบว่า ช่ืนใจเหลอื เกิน ขา้ พระองคไ์ ม่เคยฟงั เจา้ ลทั ธใิ ดท่จี ะมายบั ยงั้ ความเลอ่ื มใสของขา้ พระองคเ์ ช่นพระองคอ์ ย่างน้ีเลย ถา้ เป็นเจา้ ลทั ธิอ่นื พอรูว้ ่าขา้ พระองคจ์ ะเลอ่ื มใสเท่านน้ั เขาจะ เท่ยี วประกาศตีฆอ้ งรอ้ งเป่าไปทวั่ เมอื งแลว้ ว่า ท่านผูน้ นั้ ๆ กลบั ใจมานบั ถอื เราแลว้ พระพทุ ธเจา้ ก็ตรสั ว่า เอาเถอะอุ บาลที ่านไตร่ตรองแลว้ จึงทานะ การท่ที ่านมาเปลย่ี นใจเปลย่ี นศาสนามานบั ถือเราสมควรอยู่หรือ อุบาลที ูลตอบกบั พระพุทธเจา้ ว่า สมควรอย่างย่งิ พระพุทธเจา้ ขา้ เพราะบดั น้ีขา้ พระองคเ์ ห็นจริงแลว้ ว่าคาโฆษณาชวนเช่ือคาเล่าลือ เสยี ๆ หายๆ ทเ่ี จา้ ลทั ธิอ่นื โจมตี พระพทุ ธองคว์ ่าพระองคม์ มี ายาในการกลบั ใจคน วนั น้ี การทข่ี า้ พระองคม์ าเลอ่ื มใส

บทท่ี ๑ “ภูมิหลงั และความเช่ือสงั คมอนิ เดียกอ่ นสมยั พทุ ธกาล” ๔๐ ดร.ยุทธนา พนู เกดิ มะเริง ไม่ใช่เป็นเพราะพระองคใ์ ชม้ ายาในการกลบั ใจคนแต่อย่างใด แต่เกิดความเลอ่ื มใสในขอ้ ธรรมะท่พี ระองคไ์ ดช้ ้ีแจง คาสงั่ สอนอนั มเี หตุมผี ล สามารถใชป้ ญั ญาไตร่ตรองใหเ้หน็ จรงิ ไดจ้ นขา้ พระองคอ์ บั จนเกิดปญั ญาเล่อื มใสข้นึ มาเอง เพราะฉะนนั้ จงึ ขอใหพ้ ระองคท์ รงจาขา้ พระองคว์ า่ ถงึ พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะตลอดชวี ติ พระพทุ ธเจา้ ตรสั ว่า คฤหบดีเม่อื ท่านมศี รทั ธามคี วามเล่อื มใสอย่างน้ีก็ตามที แต่ว่าตวั ท่านเคยใหท้ านแก่ พวกนิครนถอ์ ย่างไร กจ็ งใหอ้ ย่างนนั้ นะ อบุ าลคี ฤหบดีทูลตอบว่า พระองคต์ รสั อย่างน้ี ทาใหข้ า้ พระองคเ์ ลอ่ื มใสมาก ยง่ิ ข้นึ เม่อื ก่อนมแี ต่คาโฆษณาทบั ถมพระพทุ ธองคว์ ่า พระสมณโคดมสอนใหค้ นทาทานแก่พระภกิ ษุสงฆส์ าวกของ พระองคเ์ ท่านน้ั ถงึ จะไดบ้ ุญ ทาบุญทาทานแก่นกั บวชนอกศาสนาแลว้ ไม่ไดบ้ ุญเลย วนั น้ีมาไดย้ ินไดฟ้ งั กบั หูตนเอง แลว้ ยง่ิ ทาใหเ้กดิ ความศรทั ธาเลอ่ื มใสในพระองคม์ ากยง่ิ ข้นึ เป็นทวคี ูณ ตกลงว่าคาโฆษณากลา่ วรา้ ยทบั ถมท่ขี า้ พระองคไ์ ดย้ นิ มาแต่ก่อนหนา้ น้ีจากครูทง้ั หก ลว้ นแต่เป็นคาใส่รา้ ย ป้ายสีทงั้ นนั้ ไม่เป็นเร่ืองจริงเลย เป็นการพูดของศาสดาเหล่านน้ั เกรงว่าสาวกของตนจะมาเล่อื มใสพระองค์ ลาภ สกั การะก็จะสูญเสียไป มาบดั น้ีมารูด้ ว้ ยตวั เอง ฟงั กบั หูตวั เองแลว้ ขา้ พระองคจ์ ะทาตามพระพุทธองค์ทุกอย่าง พระพทุ ธเจา้ ขา้ จากนน้ั อบุ าลคี ฤหบดกี จ็ ากไป หลงั จากนนั้ ขา่ วไดแ้ พร่กระจายไปอย่างรวดเรว็ ว่า อบุ าลคี ฤหบดีลูกศิษยข์ องท่านนิครนถน์ าฏบตุ รทม่ี คี วาม มงุ่ หวงั จะไปหกั ลา้ งวาทะดว้ ยวาทะเพ่อื เอาพระพทุ ธเจา้ มาเป็นลูกศิษยใ์ หไ้ ด้ บดั น้ีถูกพระพทุ ธเจา้ กลบั เอามาเป็นลูก ศิษยแ์ ลว้ นิครนถน์ าฏบตุ รไดฟ้ งั แลว้ กย็ งั ไมเ่ ชอ่ื คดิ ว่าเป็นไปไมไ่ ดท้ ล่ี ูกศิษยช์ น้ั เอกของเราท่มี คี วามเช่ยี วชาญทง้ั ลทั ธิ ตนและลทั ธขิ องคนอ่ืนจะไปเป็นลูกศิษยข์ องพระสมณโคดม จึงพรอ้ มดว้ ยบรวิ ารยกขบวนไปบา้ นของอุบาลคี ฤหบดี พอถึงบา้ นผูท้ ่ีเฝ้ าหนา้ ประตูบา้ นคฤหบดีบอกว่านิมนตห์ ยุดอยู่ท่ปี ระตูเรือนก่อน ถา้ ท่านตอ้ งการขา้ ว ตอ้ งการนา้ ตอ้ งการอาหารชนิดใด เราจะไปนามาใหท้ ่หี นา้ ประตูเรอื น นิครนถน์ าฏบุตรบอกว่าเจา้ ไม่รูห้ รอื ว่าเราเป็นใคร เราเป็นศาสดาของนายเจา้ รีบไปตามนายของเจา้ ออกมา เรว็ ๆ คนเฝ้ าประตูกไ็ ปบอกอุบาลคี ฤหบดอี อกมา อุบาลกี เ็ ชิญใหเ้ขา้ มาในบา้ น ถา้ เป็นวนั อ่นื ๆ อบุ าลจี ะตอ้ งตกั นา้ มา ลา้ งเทา้ ใหน้ ิครนถน์ าฏบุตร ปูลาดอาสนะใหน้ งั่ ในทส่ี ูงกว่าตนเอง และกระทาสามจี กิ รรมอญั ชลกี รรมต่อนิครนถน์ าฏ บุตร แต่มาวนั น้ี อุบาลคี ฤหบดีนงั่ อยู่ในทเ่ี สมอกนั กบั นิครนถ์ ไมก่ ระทาส่ิงใดๆ ทงั้ ส้นิ และพูดว่านิครนถ์ นา้ ก็มอี ยู่ อาหารกม็ อี ยู่ ถา้ ทา่ นปรารถนาจะฉนั นา้ กฉ็ นั นา้ ถา้ ท่านปรารถนาจะฉนั ขา้ วกจ็ งฉนั ขา้ ว ทน่ี งั่ กม็ อี ยู่เชญิ นงั่ นิครนถน์ าฏบตุ รเหน็ การกระทาอยา่ งนน้ั กโ็ กรธเป็นกาลงั กลา่ วว่าอบุ าลที ่านลมื คาปฏญิ ญาของท่านแลว้ หรือ ก่อนทท่ี ่านจะจากเราไปท่านสญั ญาบอกกะเราว่าจะไปหกั ลา้ งวาทะดว้ ยวาทะกบั พระสมณโคดม แต่ทาไมบดั น้ีท่านถงึ ไดท้ ากิริยาหยาบคายกะเราแบบน้ีเล่า อุบาลบี อกว่าไม่ไดห้ ยาบคายเลยท่านผูเ้จริญ เราไดท้ าการปฏิสนั ถารสมบูรณ์ แลว้ แลว้ เราไม่ไดเ้ ป็นศาสดาของท่าน หรือ อุบาลตี อบว่าไม่ใช่ จากนน้ั ก็ห่มผา้ เฉวยี งบ่าแลว้ หนั หนา้ ไปทางทศิ ท่ี พระพทุ ธเจา้ ประทบั เปล่งสดุดีพระพทุ ธคุณออกมา นิครนถน์ าฏบุตรทนฟงั ไม่ไดเ้ พราะมคี วามเสยี ใจและโกรธอย่าง สุดโกรธแคน้ อย่างสุดแคน้ ถงึ กบั อาเจียนเป็นโลหติ ในทน่ี นั้ เดนิ กลบั ออกจากเรอื นของคฤหบดไี ปในทนั ที น้ีเป็นเรอ่ื งของสองศาสนาทเ่ี ป็นอเทวนิยมดว้ ยกนั ทงั้ คู่ ในสมยั พทุ ธกาล บางเร่อื งกต็ รงกนั บางเร่อื งก็ขดั แยง้ กนั ท่แี ยง้ กนั เหมอื นขาวกบั ดาก็คือศาสนาเชน ถึงแมว้ ่าจะปฏิเสธพระเวท แต่กย็ งั รบั รองเร่อื งอตั ตาทเ่ี รียกว่า ชีวาต