á¼¹¡Òè´Ñ¡ÒÃàÃÕ¹Ì٠ARTTherapy ÈÔŻкӺѴ»ÃШӻ‚¡ÒÃÈÖ¡ÉÒòõöô โดยฝา���ย���ศลิปะบำบดั ศนูยการศกึษาพิเศษเขตการศกึษา๑จังหวัดนครปฐม สำนักบริหารงานการศกึษาพเิศษ สังกดัคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน กระทรวงศกึษาธิการ
คำนำ แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ ฝ่ำยศิลปะบำบัดฉบับน้ี ดำเนินงำนตำมแผนปฏิบัติกำร ปีกำรศึกษำ ๒๕63 ของกลุ่มบริหำรวิชำกำร ศูนย์กำรศึกษำพิเศษ เขตกำรศึกษำ ๑ จังหวัดนครปฐม ซ่ึงเป็นกิจกรรมที่ได้จัดเพ่ือ ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีกำรพัฒนำศักยภำพตำมควำมสำมำรถผู้เรียน และฝึกให้ผู้เรียนได้ร่วมทำกิจกรรมกับผู้อ่ืน รูจ้ ักควำมสำมคั คีในหมูค่ ณะและทักษะอน่ื ๆ กจิ กรรมนม้ี กี ำรดำเนินกำรอย่ำงต่อเน่ืองทุกปี ซ่ึงควำมสอดคล้อง กบั วสิ ัยทัศน์ พนั ธกิจ และเปำ้ ประสงคข์ องศูนย์กำรศึกษำพิเศษ เขตกำรศึกษำ ๑ จังหวดั นครปฐม ในกำรน้ี ขอขอบพระคุณผู้อำนวยกำรศูนย์กำรศึกษำพิเศษ เขตกำรศึกษำ ๑ จังหวัดนครปฐม ที่ ให้คำปรกึ ษำ แนะนำ และบุคลำกรทุกท่ำนทใี่ หค้ วำมรว่ มมือในกำรดำเนิน ฝ่ำยศิลปะบำบัด ดำเนินกำรจัดกำร เรยี นกำรสอนให้มีประสิทธิภำพตอ่ ไป ฝำ่ ยศิลปะบำบัด
สารบัญ หนา้ คานา ก สารบญั ข ศิลปะบาบัด (Art Therapy) สาหรบั เดก็ ท่ีมีความจาเป็นพิเศษของ 1 ศูนยก์ ารศกึ ษาพิเศษ เขตการศกึ ษา 1 จงั หวัดนครปฐม กาหนดตารางการสอนและระยะเวลาแผนการสอน หนว่ ยส่งเสริมการเรียนร้ทู ักษะอาชีพ 14 ปกี ารศกึ ษา 2564 ศูนย์การศึกษาพเิ ศษ เขตการศกึ ษา 1 จงั หวัดนครปฐม ตารางวเิ คราะห์ หน่วยสง่ เสรมิ การเรียนรู้ทกั ษะอาชีพ ปีการศึกษา 2564 16 ศนู ย์การศึกษาพิเศษ เขตการศกึ ษา 1 จังหวดั นครปฐม แผนการจดั การเรียนรู้ ศิลปะบาบัด Art Therapy แผนการจดั การเรยี นรู้หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 จติ รกรรม 18 แผนการสอนท่ี 1 ระบายสีกรอบรูปภาพขนาดใหญ่ 18 แผนการสอนที่ 2 ระบายสรี ปู ภาพขนาดใหญ่ 20 แผนการสอนที่ 3 วาดรูปทรงตามแบบทก่ี าหนดและระบายสี 22 แผนการสอนท่ี 4 วาดรปู วงกลม, สามเหลย่ี ม, สี่เหล่ียม 24 โดยไมม่ เี ส้นกาหนด (อิสระ) แผนการสอนท่ี 5 ระบายสีรูปภาพขนาดใหญ่ โดยใช้สีเมจิก 26 แผนการสอนท่ี 6 ระบายสีรูปภาพขนาดเล็ก, ใหญ่ (หลายรูป) โดยใช้สีเมจิก 28 แผนการสอนท่ี 7 วาดภาพตามเส้นปะไข่ปลา และ 30 ระบายสีให้สวยงาม (รปู ภาพขนาดใหญ่ ๑ รูป) แผนการสอนท่ี 8 วาดภาพตามเสน้ ปะไข่ปลา และ 32 ระบายสีให้สวยงาม (รูปภาพขนาดเล็กหลายรูป) แผนการสอนที่ 9 โยงเสน้ จบั ครู่ ูปสัตวแ์ ละระบายสี 34 แผนการสอนที่ 10 วาดรูปตามมอื ตัวเองและระบายสีให้สวยงาม 36 แผนการจดั การเรยี นรู้หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 ประติมากรรม 38 แผนการสอนท่ี 11 กดดินนามนั ตามชอ่ งว่างรูปภาพ 38 แผนการสอนที่ 12 ปั้นแก้วใส่ของดว้ ยดนิ นามนั 40 แผนการสอนที่ 13 ป้ันแกว้ ใส่ของด้วยดนิ เหนียว 42 แผนการสอนท่ี 14 การทา Paper Macha 44 แผนการสอนที่ 15 การคลึงดนิ นามันใหย้ าว ปัน้ กลม ทาใหแ้ บน 46 แผนการสอนที่ 16 ป้ันผลไม้ในจินตนาการ 48 แผนการสอนท่ี 17 สัตวใ์ นจนิ ตนาการ 50 แผนการจัดการเรยี นรู้หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 3 ภาพพิมพ์ 52 แผนการสอนท่ี 18 จมุ่ สีวัสดุธรรมชาติ 52 แผนการสอนที่ 19 ระบายสีนาลงบนแป้นพมิ พ์ ตรายางรูปสตั ว์ แลว้ 54 ป้มั อสิ ระลงบนกระดาษ
แผนการสอนที่ 20 เป่าสี 56 แผนการสอนท่ี 21 พมิ พ์ใบไม้ วัสดุจากธรรมชาติอย่างสร้างสรรค์ 58 แผนการสอนที่ 22 พิมพ์เชือก 60 แผนการสอนท่ี 23 กลงิ ลกู แกว้ สตี ่าง ๆ 62 แผนการจัดการเรยี นรู้หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๔ ศลิ ปะประยุกต์ 64 แผนการสอนท่ี 24 แยกหินสีวางรูปทรงที่กาหนด 64 แผนการสอนที่ 25 โรยทรายตามรูปภาพ 66 แผนการสอนที่ 26 ปม๊ั รปู สัตว์ระบายสี 68 แผนการสอนท่ี 27 เมลด็ ถ่ัวติดรปู ภาพ 70 แผนการสอนท่ี 28 ตดั กระดาษและตดิ ตามภาพรูปทรงท่กี าหนด 72 แผนการสอนที่ 29 ตดิ ปะใบไมร้ ูปผลไม้ 74 แผนการสอนท่ี 30 ฉีก ติด ปะ 76 แผนการสอนท่ี 31 ตดั เชือกติดรูปทรง 78 แผนการสอนที่ 32 การติดสตกิ เกอร์ผลไม้ 80 แผนการสอนที่ 33 ตะเกียบคีบวตั ถุขนาดใหญ่ ติดปะบนกาว 82 แผนการสอนท่ี 34 ตดั กระดาษเป็นชนิ เล็กโดยใชก้ รรไกร 84 แผนการสอนท่ี 35 ฉกี กระดาษสี ๒ สเี ป็นชนิ เล็กและ 86 แยกสตี ิดปะลงในรูปภาพ 88 แผนการสอนที่ 36 แยกเมลด็ ถ่วั เขยี ว ถวั่ เหลือง แล้ว 90 ติดปะลงบนรปู วงกลม ซา้ ยและขวา 92 แผนการสอนท่ี 37 แกะ ติดปะ สติก๊ เกอร์แยกสีหลายสี แผนการสอนที่ 38 ระบายสนี าโดยใชว้ ัสดธุ รรมชาติ 94 96 (เช่น ใบไม้ กงิ่ ไม้ กอ้ นหิน) 98 แผนการสอนที่ 39 จิม ตดิ ปะ ตวั ตุ๊ดตู่ (วงกลมขนาดเล็ก) ตามเส้นรปู ภาพ แผนการสอนที่ 40 ตัดใบไม้แห้ง และใบไมส้ ด แยกนามาตดิ ปะบนรูปภาพ แผนการสอนท่ี 41 เจ้าปูนอ้ ย
ศลิ ปะบำบดั A r t T h e r a p y ๑ ศลิ ปะบำบดั (Art Therapy) สำหรับเด็กที่มีควำมจำเป็นพเิ ศษของ ศูนยก์ ำรศกึ ษำพิเศษ เขตกำรศึกษำ 1 จังหวดั นครปฐม พัฒนำกำรทำงศลิ ปะ (Art Development Stages) วกิ เตอร์ โลเวนเฟลด์ แบง่ ขั้นพฒั นาการทางศลิ ปะ มีทั้งหมด 6 ขน้ั คือ 1. ข้ันขีดเขย่ี (The Scribbling Stage) 2. ขน้ั กอ่ นมรี ูปแบบ (The Preschematic Stage) 3. ขัน้ มีรูปแบบ (The Schematic Stage) 4. ข้นั เขา้ กล่มุ เพื่อน (The Gang Age) 5. ขน้ั คล้ายธรรมชาติ (The Pseudo-Naturalistic Stage) 6. ขั้นศลิ ปะวัยรุน่ (Adolescent Art) วกิ เตอร์ โลเวนเฟลด์ อธบิ ายขนั้ พฒั นาการทางศลิ ปะ โดยคณุ ลักษณะ 3 ด้านคอื 1. ลักษณะการวาดภาพ (Drawing Characteristics) 2. การแสดงพื้นที่ (Space Representation) 3. การแสดงภาพคน (Human Figure Representation) พัฒนำกำรทำงศิลปะของเด็ก ศลิ ปะจัดเป็นภาษาของมนษุ ยใ์ นอกี ลักษณะหนง่ึ ด้วยเหตุที่ศิลปะสามารถเป็นส่ือโยงความคิดความ เขา้ ใจต่อกันของมวลมนษุ ยไ์ ด้ศิลปะเป็นสว่ นหนง่ึ ของการแสดงออกทางภาษา การแสดงออกทางศิลปะมักจะ แตกตา่ งกันออกไป ตามแนวจินตนาการและการสร้างสรรคข์ องแต่ละบุคคล นักจิตวิทยาส่วนมากเช่ือกันว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวและประจาตัวเชื่อกันว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นคุณสมบัติ เฉพาะตวั และประจาตวั สาหรบั เดก็ ซ่ึงจะพัฒนาการไปได้มากน้อยแค่ไหนก็ข้ึนอยู่กับสิ่งแวดล้อมและโอกาสที่ผู้เกี่ยวข้องกับเด็กจะ จัดสรรส่งเสริมให้ความคิดสร้างสรรค์น้ีจะส่งผลสะท้อนถึงเด็กในหลายๆ ด้าน เช่น ระดับความเชื่อม่ันใน ตนเองการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นและสติปัญญา การแสดงออกเหล่าน้ีเราพอจะมองเห็นได้จากการวาด ภาพระบายสี การป้ัน เป็นต้น วิคเตอร์โลเวนเฟลด์ (Victor Lowenfeld) นักจิตวิทยาการศึกษาได้ ทาการศึกษาค้นคว้างานทางด้านศิลปะของเด็ก และการคิดสร้างสรรค์จากงานทางศิลปะ โดยให้เด็ก แสดงออกทุกอยา่ งอย่างอสิ ระเขาทดลองกบั เดก็ ทีม่ ฐี านะทางเศรษฐกจิ ปานกลาง อายุต้ังแต่ 2 ปีคร่ึงขึ้นไป ให้เดก็ วาดภาพด้วยสเี ทียน จะสอี ะไรกไ็ ด้ พบวา่ เด็กมพี ฒั นาการในการวาดขีดเข่ียเปน็ 4 ขั้น ไดแ้ ก่ 1. ข้ันขีดเขี่ย (Scribbling Stage) ประมำณอำยุระหว่ำง 2-4 ปี ข้ันน้ีแบ่งระยะของพัฒนาการ ได้ ออกเปน็ 4 ขัน้ คอื 1.1. Disordered Scribbling (2 ปี) การขีดเขียนยังเป็นแบบสะเปะสะปะ กล่าวคือ การขดี เขียนจะเปน็ เส้นย่งุ เหยิง โดยปราศจากความหมาย ทั้งนี้เน่ืองมาจากการประสานงานของกล้ามเน้ือ ยงั ไมด่ ี เช่น การบงั คับกล้ามเน้ือเล็กๆ ยังไม่ได้ จะทดลองง่ายๆ โดยให้เด็กวัยน้ีกามือ แล้วให้เด็กยกน้ิวที่ ละนิ้ว หรอื สองน้ิวกไ็ ด้ เด็กจะทาไม่ได้ หรือลองให้เดก็ ชกเรา เดก็ จะยกแขนชกพร้อมๆ กนั ทัง้ 2 แขน เป็น ต้น
ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๒ 1.2. Longitudinal Scribbling ข้ันขีดเป็นเส้นยาว เด็กจะเคลื่อนแขนขีดได้เป็นเส้นแนว ยาว ขีดเขี่ยซ้าๆ หลายครั้ง ทั้งแนวตั้งและแนวนอน แสดงให้เห็นพัฒนาการทางกล้ามเน้ือว่าเด็กค่อยๆ ควบคุมกลา้ มเนอื้ ของการเคล่อื นไหวของตนเองใหด้ ีขนึ้ ระยะน้เี ด็กจะเร่มิ รู้สึกสนุกและสนใจเปน็ ครง้ั แรก 1.3. Circular Scribbling เป็นขั้นที่เด็กสามารถขีดลากเป็นวงกลม ระยะนี้การ ประสานงานของกล้ามเน้ือ (motor Coordination) ดีขึ้นการประสานงานของกล้ามเน้ือมือและสายตา (Eye-hand Coordination) ดีข้ึนเด็กสามารถขีดเส้น ซึ่งมีเค้าเป็นวงกลมเป็นวงกลมเป็นระยะเด็ก เคลือ่ นไหวไดต้ ลอดทัง้ แขน 1.4. Noming Scribbling ข้ันให้ช่ือรอยขีดเขียน การขีดเขียนชักมีความหมายข้ึน เช่น จะวาดเป็นรูป น้อง พี่ พ่อ แม่ ซ่ึงเป็นสิ่งท่ีอยู่ใกล้ตัวเด็ก ขณะขีดเขียนไปเด็กก็จะบรรยายไปด้วย ถา่ ยทอดออกมาในรูปการขดี เขยี นและความคดิ คานงึ ในภาพ พัฒนาการทัง้ 4 ระยะนี้ ย่อมขึ้นอยู่กับเด็ก แต่ละบุคคลไปคงตัวเสมอไป เด็กที่มีพัฒนาการข้ึนเร็วจะถึงขั้น Noming Scribbling ก่อนซึ่งนับเป็นขั้น พฒั นาการที่สาคัญมาก จากการใช้ความคิดนึกคิดในการเคล่ือนไหวของเด็ก ท้ังๆท่ีภาพน้ันจะไม่เป็นรูปร่าง ดงั กลา่ วเลย ซงึ่ เดก็ จะบรรลถุ ึงขน้ั น้เี ม่อื ใกล้ 4 ขวบ 2. ขนั้ เรมิ่ ขดี เขยี น (Pre-Schematic Stage) (4-7 ป)ี เป็นระยะเริ่มต้นการขีดเขียนภาพอย่างมีความหมาย การขีดเขียนจะปรากฏเป็นรูปร่างขึ้น สัมพันธก์ ับความจรงิ ของโลกภายนอกมากข้ึน มคี วามหมายกับเดก็ มากข้นึ ซึ่งจะสังเกตได้จาก 2.1. คนทวี่ าดอาจเปน็ พอ่ แม่ พี่ น้อง ตุก๊ ตาทรี่ กั ฯลฯ 2.2. ชอบใช้สีท่สี ะดดุ ตาไมค่ านงึ ถงึ ความเป็นจริงตามธรรมชาติการแลว้ แตส่ ไี หนประทับใจ 2.3. ช่องไฟ (Space) ภายในภาพยังไม่เปน็ ระเบยี บสิ่งท่ีเขยี นมกั กระจดั กระจาย ง.การออกแบบ (Design) ไมค่ ่อยมีหรือไมม่ เี อาเลย แล้วแต่จะนกึ คดิ 3. ข้ันขีดเขียน (Schematic Stage) (7-9 ปี) เป็นขั้นที่ขีดเขียนให้คล้ำยของจริง และควำมเป็น จริงจะพิจำรณำไดต้ ำมลำดบั ดงั น้ี 3.1. คน รูปที่ออกมาจะแสดงพอเป็นสัญลักษณ์ ถ้าวาดรูปคนเราอาจไม่รู้ว่าเป็นคนรูป คน และภาพท่ีออกมาเปน็ รูปทรงเรขาคณิต เช่น ส่วนใดที่เด็กเห็นว่าสาคัญ น่าสนใจก็จะวาดส่วนใหญ่เป็น พิเศษ ส่วนไหนทไ่ี มส่ าคญั อาจตัดทิ้งไปเลย ฉะน้ันเราจะเห็นเด็กวัยนี้วาดภาพส่วนต่างๆ ขาดหายไป เช่น ลาตัว ขา เทา้ ฯลฯ ซึง่ ไมใ่ ช่เรือ่ งประหลาดอะไรเลย บางทีอาจเป็นเด็กหัวโต ตาโต แขนโต ฯลฯ แล้วแต่เด็ก จะใหค้ วามสาคัญอะไรและบางทใี่ นรูปหน่งึ จะย้าหลายๆ อย่าง(ซ้ากัน) ในภาพ 3.2. การใชส้ ี สว่ นมากใช้สีตรงกบั ความจริง แตม่ ักใช้สีเดียวตลอด เชน่ พระอาทิตย์ต้อง สีแดงตลอด ท้องฟ้าต้องสฟี ้าตลอด ประสบการณ์ของเดก็ จะทาให้ใช้สีได้ถูกต้อง และตรงกับความเป็นจริง ข้นึ ถา้ ใบไมส้ ดตอ้ งสีเขียว ถ้าใบไม้แหง้ ต้องสนี ้าตาล เป็นต้น 3.3. ช่องวาง (Space) มีการใช้เส้นฐาน (based line) แล้วเขียนทุกอย่างสัมพันธ์กัน บนเส้นฐาน เช่น วาดรูป คน สุนัข ต้นไม้ บ้าน อยู่บนเส้นเดียวกัน ภาพที่ออกมาจะเป็นแบบลาดับ เหตุการณ์ ส่วนสูง ขนาด ยังไม่มีความสัมพันธ์กัน เช่น ดวงอาทิตย์ อยู่บนขอบของกระดาษ รูปคนก็ อาจสงู ถงึ ใกล้ขอบกระดาษ เป็นตน้ 3.4. งานออกแบบ ไมค่ อ่ ยดี มักจะเขียนตามลักษณะทต่ี นพอใจ
ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓ 4. ข้ันวำดภำพของจริง (The Drawing Realism) (9-11 ปี) เป็นขั้นเริ่มต้นการขีดเขียนอย่างของจริงเน่ืองจากระยะน้ีตามหลักจิตวิทยาพัฒนาการ เด็ก เรม่ิ รวมกลุ่มกนั โดยแยกชาย หญิง เด็กผู้ชาย ชอบผาดโผน เดินทางไกล เด็กผู้หญิงสนใจเคร่ืองแต่งตัว เพอื่ แต่งตวั งานร่ืนเรงิ ฉะน้ันการขีดเขยี นจะแสดงออกในทานองต่อไปน้ีคือ 4.1. คน จะเน้นเร่อื งเพศด้วยเครือ่ งแตง่ ตัว แต่กระด้าง ๆ 4.2. สี ใช้ตามความเป็นจริง แต่อาจเพ่ิมความรู้สึก เช่น บ้านคนจนอาจใช้สีมัว ๆ บา้ นคนรวยอาจใชส้ ีสดๆ มีชวี ติ ชวี า 4.3. ช่องว่าง ทกุ อย่างในช่องวา่ งเหลื่อมล้ากนั ได้ เช่น ต้นไมบ้ งั ฟ้าได้ วาดฟ้าคลุมไปถึง ดินเส้นระดับ (Based Line) ค่อยๆ หายไป รูปผู้หญิงมักเน้นลวดลาย เคร่ืองแต่งกายมีดอกดวง รูปผู้ชายก็ ต้องเป็นรูปคาวบอย การจัดวัตถุให้สัมพันธ์กันเป็นเรื่องสาคัญมากในระยะนี้ เพราะเป็นระยะแรกของการ พัฒนาการทางการรบั ร้ทู างสายตา ซ่งึ จะนาไปสกู่ ารวาดภาพสามมติ ไิ ดอ้ ีกตอ่ หน่งึ 4.4. การออกแบบ ประสบการณ์ของเด็กจะทาให้การออกแบบดีขึ้น เป็นธรรมชาติขึ้น รจู้ ักการวางหนา้ ทข่ี องวัตถตุ ่างๆ 5.ขัน้ กำรใชเ้ หตผุ ล (The Stage of Reasoning) (11-12 ปี) ขนั้ กำรใชเ้ หตุผล ระยะเขา้ สู่วัยรุ่น เป็นระยะท่ีเด็กแสดงออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว เช่น เอาบรรทัด ดินสอมาร่อน แล้วทาเสียงอย่างเครื่องบินเป็นต้น เด็กจะทาอย่างเป็นอิสระ และสนุกสนาน ถ้าผู้ใหญ่ทาก็เท่ากับไม่เต็ม บาท ถ้าพิจารณาจากขน้ั น้จี ะสงั เกตวา่ 5.1. การวาดคน จะเห็นข้อต่อของคน ซึ่งเป็นระยะเด็กเร่ิมค้นพบ เสื้อผ้าก็มีรอยพล้ิวไหว มีรอยย่น รอยยับ คนแก่-เด็ก ต่างกันด้านสัดส่วนก็ใกล้ความจริงข้ึนมีรายละเอียดมากขึ้นแต่รายละเอียดที่ จาเป็นเทา่ นน้ั เนน้ ส่วนสาคัญทีเ่ กินความจริง ชอบวาดตนเองแสดงความรู้สึกทางร่างกายมากกว่าคุณลักษณะ ภายนอก 5.2. สี แบ่งเป็น 2 พวก พวกแรกจะใช้สีตามความเป็นจริง (Visually Minded)ส่วนอีก พวก (Non visually minded) มกั ใช้สีตามอารมณแ์ ละความรสู้ กึ ตนเอง เชน่ ตอนเศร้าตอนมีความสุข มัก แสดงออกโดยเน้นความสัมพันธท์ างอารมณ์กับโลกภายนอก นบั เปน็ งานแสดงออกซึ่งการสร้างสรรค์งานทาง ศิลปะ 5.3. ชอ่ งว่าง พวก Visually Minded รจู้ กั เส้นระดับ รูปเริม่ มี 3 มติ โิ ดยการจัดขนาดวัตถุ เลก็ ลงตามลาดบั ระยะใกล้ไกล ส่วนพวก Non Visually Minded ไม่ค่อยใช้รูป 3 มิติชอบวาดภาพคน และมกั เขยี นโดยใชต้ นเองเป็นผูแ้ สดง สิ่งแวดลอ้ มจะเขยี นเมอื่ จาเป็นหรือเหน็ ว่าสาคญั เท่านน้ั 5.4. การออกแบบ พวก Visually Minded ชอบออกแบบทางสวยงาม พวก Non Visually Minded มองทางประโยชน์ อารมณ์แตท่ ้ังน้ีเปน็ เพยี งการเริ่มตน้ เทา่ นัน้ ยังไมเ่ ขา้ ใจการออกแบบอยา่ งจรงิ จงั
ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๔ กำรจัดกำรศกึ ษำ “ศลิ ปะ” ตำมหลักศตุ รปฐมวัยสำหรบั เดก็ ท่ีมีควำมจำเป็นพิเศษของ ศนู ย์กำรศึกษำพิเศษ เขตกำรศึกษำ 1 จังหวดั นครปฐม ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา ๑ จังหวัดนครปฐม เป็นศูนย์ฟ้ืนฟูและเตรียมความพร้อม ศักยภาพเด็กพกิ ารเดก็ พกิ ารทุกประเภทความพกิ าร โดยไดจ้ ัดกจิ กรรมทกั ษะต่าง ๆ ที่จัดให้เด็กพิการท่ีมารับ บริการ เพอื่ พฒั นา ๔ ด้าน ได้แก่ ๑. พฒั นาดา้ นรา่ งกาย แบง่ ออกเปน็ ๒ ส่วน การใช้กล้ามเน้อื ใหญแ่ ละการใช้กลา้ มเน้ือเลก็ ๒. พฒั นาการทางด้านอารมณแ์ ละจติ ใจ ๓. พฒั นาการดา้ นการช่วยเหลือตนเองและสงั คม ๔. พฒั นาการด้านสติปญั ญา การจัดกิจกรรมศิลปะให้กับเด็กปฐมวัยในแต่ละวัน นับว่ามีความสาคัญอย่างย่ิงสาหรับเด็กปฐมวัย นอกจากจะได้พัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเน้ือเล็กและการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับสายตาแล้ว กิจกรรมศิลปะยังสอดคล้องกับแบบแผนการเรียนรู้ของสมอง หรือท่ีเรียกว่า Brain Base Learning (BBL) อกี ดว้ ย เด็กจะได้ฝึกปฏิบัติจริง มีประสบการณ์ตรง เรียนรู้ผ่านการสังเกตและฝึกกิจกรรมอย่างหลากหลาย เพอ่ื พฒั นาจุดเช่อื มตอ่ ของใยประสาท ภายใต้สภาพแวดลอ้ มที่ผอ่ นคลาย มีอสิ ระทางความคิด กิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ เป็นกจิ กรรมที่สามารถพัฒนากล้ามเน้ือเล็กได้เป็นอย่างดี และยังเชื่อมโยงพัฒนาการของอวัยวะ หลายส่วน ทาให้เกิดจุดเช่ือมต่อของใยประสาทที่สามารถพัฒนาไปสู่แบบแผนการเรียนรู้ของสมอง ในการ จัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ครูควรส่งเสริมจัดกิจกรรมให้เด็กมีประสบการณ์ตรงและฝึกปฏิบัติอย่าง หลากหลาย การสอนศิลปะสร้างสรรคส์ าหรบั เด็กปฐมวยั ทางศนู ย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา ๑ จังหวัด นครปฐมได้จัดการเรียนการสอน ๔ หน่วยการเรียนหลักตามหลักสูตรปฐมวัยของสถานศึกษา ได้แก่ หน่วยการเรยี นท่ี ๑ จติ รกรรม หน่วยการเรยี นท่ี ๒ ประติมากรรม หนว่ ยการเรยี นที่ ๓ ภาพพมิ พ์ หนว่ ยการเรยี นที่ ๔ ศิลปะประยกุ ต์ ในการจัดกิจกรรมดังกล่าว ครูสามารถส่งเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ที่เพิ่มจุดเช่ือมต่อของใย ประสาท โดยส่งเสริมให้เด็กสังเกตรายละเอียดของส่ิงต่าง ๆ พัฒนาการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับ สายตา การพัฒนาระบบกายสัมผัสโดยให้เด็กมีโอกาสสัมผัสรับรู้วัสดุที่มีผิวสัมผัสต่างกันในระหว่างทา กิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น ผ้ากระสอบ ผ้าสักหลาด กามะหย่ี กระดาษทราย กระดาษที่มีผิวสัมผัส ต่างกนั ฯลฯ ระหวา่ งทากจิ กรรมศิลปะ ครูต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม เช่น แสงสว่างพอเหมาะ มี เสยี งดนตรีเบา ๆ บรรยากาศผ่อนคลาย ทาให้เกิดการเช่ือมโยงสมองส่วนประสาทสัมผัสกับสมองส่วนท่ีคุม กล้ามเนือ้ พรอ้ ม ๆ กนั การเชอื่ มโยงสมองซกี ซ้ายเข้ากบั ซีกขวาที่เป็นดา้ นจนิ ตนาการ ดังนั้น งานศิลปะจึงไม่ ควรเป็นการลอกเลียนแบบหรือต้องทาให้เหมือนจริง รวมทั้งไม่เน้นความถูกต้องของสัดส่วน แต่ส่งเสริม พัฒนาการทางอารมณ์ สังคม และความคิดสร้างสรรค์ ทาให้เด็กสนุกสนาน ซึมซับความงามของส่ิงต่าง ๆ รอบตัว มีความมั่นใจ ภาคภูมิใจในผลงานของตน ควบคู่กับความสามารถถ่ายทอดการรับรู้ภายในด้านมิติ รูปทรง ขนาด ระยะ ฯลฯ ตามจนิ ตนาการและความคดิ สรา้ งสรรค์เด็ก
ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๕ ศิลปะสรา้ งสรรคก์ บั เด็กปฐมวัย เด็กในช่วงวัยน้โี ครงสรา้ งสมองซีกขวาซึง่ เกี่ยวกับศลิ ปะ จินตนาการ ความคิดสรา้ งสรรค์ดมี าก ถา้ ส่งเสริมอย่างถูกทิศถูกทางและทาให้เกิดพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง แต่เม่ือไหร่ที่ เราไปขัดขวางพัฒนาการ บีบบังคับ สร้างความเป็นระบบแบบแผนมากเกินไป ล้วนแล้วแต่เป็นตัวขัดขวาง จนิ ตนาการและความคิดสรา้ งสรรคข์ องเดก็ การศึกษาไทยยังไม่มีความเข้าใจในการพัฒนาเด็กให้มีความคิดสร้างสรรค์ จะเห็นว่าทุกวันน้ีเรา พยายามสร้างกระบวนการคิดสร้างสรรค์ให้แก่เด็กไทยมากขึ้น หากแต่บางคร้ังก็ยังไม่มีความเข้าใจมากพอ เดก็ แตล่ ะวัยมคี วามแตกตา่ งกันในการจัดกิจกรรมเพ่ือสร้างกระบวนการคิดสร้างสรรค์จึงต้องต่างกันไป เด็ก ในระดบั ชัน้ ปฐมวยั จงึ จาตอ้ งสร้างกระบวนการเรียนรู้ เราจะเนน้ ใหเ้ ด็กเกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เมื่อ เขาสนุกและเพลิดเพลิน แล้วจะทาให้เขาสามารถคิดอะไรได้แปลกใหม่อย่างมีอิสระ และเสรีภาพ คนท่ีจะ สร้างกระบวนการเรียนรูใ้ หเ้ ด็กตอ้ งเขา้ ใจ มิฉะน้ันจะไม่สามารถสร้างสถานการณ์ของการเรียนการสอนได้ใน การพัฒนาเสรภี าพการเขยี นการคิดได้อย่างแทจ้ ริง การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยโดยผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความคิด จนิ ตนาการไดเ้ ตม็ ทตี่ าม ที่ไดเ้ หน็ เด็กสามารถสร้างจนิ ตนาการได้กว้างกว่าที่เราจะคาดเดาได้ บางทีก็อาจจะ สะทอ้ นจติ ใจความรสู้ กึ ของเดก็ ทบ่ี างท่ไี มส่ ามารถถา่ ยทอดเป็นคาพูดได้แต่สามารถถ่ายทอดมาทางงานศิลปะ สร้างสรรค์ได้ วิชาศิลปะสร้างสรรค์เป็นฐานทางการศึกษาพัฒนาการเด็กซึ่งควรเริ่มต้ังแต่เด็กยังเล็กอยู่การ เรียนร้ศู ิลปะสรา้ งสรรค์สาหรบั เดก็ ปฐมวัยนนั้ จะมุ่งเนน้ ถึงพัฒนาการดา้ นต่างๆของเด็กมากกว่าผลงาน ดังน้ัน จะเหน็ ว่ากิจกรรมตา่ งๆ ทางศลิ ปะสรา้ งสรรคจ์ ะเปน็ การฝึกกล้ามเน้ือมือให้แข็งแรง และสัมพันธ์กับการใช้ตา เช่นการป้ันแป้ง ดินน้ามัน วาดรูป และระบายสี เด็กได้ใช้ส่วนต่างๆของนิ้วมือ แขนไหล่ และส่วนอ่ืนๆของ ร่างกาย เปน็ การเตรยี มความพรอ้ มในด้านการใช้กล้ามเน้ือใหญ่-เล็กเป็นอย่างดี ทาให้เด็กสามารถหยิบจับส่ิง ตา่ งๆได้ อนั จะนาไปสูก่ ารเรียนร้ขู องเด็กต่อไป
ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๖ ศิลปะกับควำมคดิ สร้ำงสรรค์ นกจติ วทิ ยาทางการศึกษาท่วั โลกเชอื่ กันว่าเด็กทุกคนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และสามารถพัฒนาให้เจริญ งอกงามได้ตามระดับความสามารถของแต่ละบุคคล ถ้าหากเด็กน้ัน ๆ ได้รับการเสริมและสนับสนุนให้มีการ แสดงออกภายใต้ บรรยากาศที่มีเสรีภาพ สาหรับเด็กท่ีมีความคิดสร้างสรรค์ในตัว สามารถพิจารณาจากพฤติกรรมได้หลาย ดา้ นดงั น้ี 1. การเปน็ ผูก้ ระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา 2. การเป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ด้วย ความคดิ ของตนเอง 3. การเป็นผู้ชอบสารวจตรวจสอบ ความคดิ ใหม่ ๆ 4. การเป็นผู้เชื่อม่ันในความคิดของ ตวั เอง 5. การเป็นผสู้ อบสวนสง่ิ ต่าง ๆ 6. การเป็นผู้มีประสาทสัมผัสอันดีต่อ ความงาม จะเห็นได้ว่าการสร้างสรรค์ คือการเจริญงอกงามทั้งด้านความคิด ร่างกาย และ พฤติกรรม และศิลปะ สร้างสรรค์ คือ เครื่องมือท่ีดีและเหมาะสมท่ีสุดในการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เพราะ กระบวนการทาง ศิลปะสร้างสรรค์ไม่มีขอบเขตแห่งการส้ินสุด สามารถสร้างความเพลิดเพลินให้แก่เด็กได้ตลอด เวลา นอกจากน้ียังช่วยให้เด็กเกิดความคิดท่ีต่อเนื่องอย่างไม่จบส้ิน และก้าวไปยังโลกแห่ง จินตนาการอย่างไม่มี ขอบเขต ๑ จิตรกรรม (การวาดรปู ระบายส)ี เปน็ อีกกจิ กรรมหนึ่งซึง่ ชว่ ยในการทางานประสานกันระหว่างมือ และตา เด็กจะรู้จัก สี เส้น รูปทรง พ้ืนผิว ขนาดที่จะต้องพบในชีวิตประจาวันของเขา ภาพท่ีจะเห็นต่อไปนี้ เป็นภาพ ท่ีวาดโดยเด็กปฐมวัยอายุ ๓-๔ ขวบ เป็นภาพท่ีวาดตามความคิดและจินตนาการของเด็กเป็นอีก กจิ กรรมหนงึ่ ซ่ึงช่วยในการทางานประสานกันระหว่างมือและตา เด็กจะรู้จัก สี เส้น รูปทรง พื้นผิว ขนาดท่ี จะต้องพบในชีวติ ประจาวันของเขา ๒ ประติมากรรม (การป้ัน) การปั้นดินน้ามันหรือ ดินเหนียว แป้งโด ฯลฯ มาปั้นเป็นรูปต่างๆตาม จนิ ตนาการของเด็กแต่ ละคนซงึ่ จะแตกตา่ งกันไปเปน็ การฝึกสมาธิ และพัฒนากล้ามเน้ือส่วนต่าง ๆ ของเด็ก เด็กจะได้เรยี นรู้ รปู ร่าง ตา่ ง ๆ ความหมาย เกดิ จากนาวตั ถทุ ม่ี คี วามยืดหยนุ่ มาสร้างรปู ทรงใหเ้ กิดการสร้างสรรค์ ได้จากธรรมชาติและมนุษย์ สรา้ งขน้ึ เช่น ดินเหนียว ดินนา้ มัน แปง้ โด ดินกระดาษ ฯลฯ นาวัตถุดิบเหล่านี้ผ่านกระบวนการปั้น นวด ขูด แกะ เพม่ิ กด คลงึ ทาใหเ้ กดิ รูปทรงตามจินตนาการของผูเ้ รียนอยา่ งสร้างสรรค์ ๓. การพิมพ์ การพิมพ์ภาพเปน็ การสรา้ งภาพหรอื ลวดลายทเี่ กิดจากการนาวัสดุหลายๆประเภท เช่น ใบไม้ กง่ิ ไม้ ก้านกล้วย หรืออวัยวะของร่างกาย เช่น มอื เทา้ มาใช้เป็นแม่พิมพ์กดทับลงบนสีแล้วนาไป พิมพ์ บนกกระดาษหรือผา้ ก็ได้ การขูด การใชด้ นิ สอสีไมใ้ นการขูดลงกระดาษบนพน้ื ผิวท่ีแตกต่างกัน ทาให้เกิดลาย ที่หลากหลายให้ผ้เู รียนสนกุ กบั การคน้ หาลวดลาย การเป่าสี คือการนาสนี ้าหรือสีโปสเตอร์ ผสมกับน้าให้สีข้น
ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๗ พอสมควร โดยการหยดสีลงบนกระดาษ ใช้หลอดกาแฟจ่อปลายหลอดท่ีสี แล้วเป่าให้สีกระจาย จะได้ภาพ สวยงามหลายหลากสี การกดพิมพ์ ด้วยวัสดุธรรมชาติ เช่น ก้านกล้วย ใบไม้ ลูกยาง นามาจุสีน้าหรือ โปสเตอร์ กดลงบนกระดาษทาใหเ้ กดิ ลาย สร้างเรื่องราวอย่างสร้างสรรค์ ๔. ศิลปะประยุกต์ (Applied Art) ศิลปะท่ีสร้างข้ึนเพื่อสนองความต้องการด้านความสะดวกสบาย ทั้งทางกายและทางจิตใจของคนเรา ศิลปะประยุกต์จึงมีคุณค่าทางประโยชน์ใช้สอยต่อชีวิตประจาวันเป็น สาคญั เช่น เครื่องประดับ เสื้อผ้า เคร่ืองใช้ เป็นต้น ลักษณะของศิลปะประยุกต์มีหลายแขนง เช่น พาณิชย ศิลป์ หตั ถกรรม มัณฑนศิลป์ สอื่ ผสม เปน็ ตน้ การประดิษฐ์เศษวัสดุ เป็นการช่วยส่งเสริมให้เด็กเห็นคุณค่าการประยุกต์ให้เศษวัสดุใกล้ตัว ช่วย รักษาสงิ่ แวดลอ้ ม เกิดความภาคภูมใิ จต่อผลงานของตนเอง สง่ เสริมใหเ้ ด็กเรียนรู้ด้วยการลงมือกระทา มีส่วน ร่วมท้ังความคิด จิตใจ สมอง เกิดความประทับใจ เรียนรู้ด้วยความเข้าใจ จะทาให้เด็กค่อย ๆ เกิดความคิด สร้างจินตนาการ นาไปสกู่ ารคิดค้น การแก้ปัญหาและสรา้ งสรรค์งานใหม่ได้ การพบั กระดาษ เป็นกิจกรรมในการพัฒนาจิตใจและสร้างเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ทาให้ เด็กเกดิ ความสนใจ และรสู้ ึกสนกุ จึงทาซ้าแลว้ ซ้าอีก และเรียนรคู้ วามสัมพันธร์ ะหว่างความเคล่ือนไหวของมือ และการเปล่ยี นแปลงของรูปร่างจากกระดาษท่ีพับ การฉกี -ปะกระดาษ เปน็ กิจกรรม ที่ช่วยส่งเสริม การใช้ ทักษะมือและน้ิวมือ ท่ีเราเรียกว่ากล้ามเน้ือมัดเล็ก กล้ามเนื้อส่วนนี้จะทางานได้ดีต้องอาศัยการประสาน สมั พนั ธ์ระหว่างตากบั มือด้วย เทคนิคกำรเรยี นกำรสอนกับเดก็ ทม่ี คี วำมจำเปน็ พเิ ศษ “ศิลปะบำบัด” 1. เทคนิคกำรเรียนกำรสอนแบบกำรมอง (Visual) นักจิตวิทยาท่ีศึกษารูปแบบการเรียนรู้หรือลีลาการเรียนรู้ของมนุษย์ (Learning style) ได้พบว่า มนษุ ย์สามารถรับข้อมูลโดยผ่านเส้นทางการรับรู้ 3 ทาง คือ การรับรู้ทางสายตาโดยการมองเห็น (Visual percepters) การรับรู้ทางโสตประสาทโดยการได้ยิน (Auditory percepters) และ การรับรู้ทางร่างกาย โดยการเคลื่อนไหวและการรู้สึก (Kinesthetic percepters) ซ่ึงสามารถนามาจัดเป็นลีลาการเรียนรู้ได้ 3 ประเภทใหญ่ ๆ ผู้เรยี นแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกนั คอื 1.1 ) ผู้ที่เรียนรู้ทางสายตา (Visual learner) เป็นพวกที่เรียนรู้ได้ดีถ้าเรียนจากรูปภาพ แผนภมู ิ แผนผังหรือจากเน้อื หาทเ่ี ขยี นเปน็ เรื่องราวเวลาจะนึกถึงเหตกุ ารณใ์ ดก็จะนึกถึงภาพเหมือนกับเวลา ที่ดูภาพยนตร์คือมองเห็นเป็นภาพท่ีสามารถเคล่ือนไหวบนจอฉายหนังได้ เน่ืองจากระบบเก็บความจาได้ จัดเก็บส่ิงท่ีเรียนรู้ไว้เป็นภาพ ลักษณะของคาพูดท่ีคนกลุ่มนี้ชอบใช้ เช่น “ฉันเห็น” หรือ “ฉันเห็นเป็น ภาพ…..” พวก Visual learner จะเรียนได้ดีถ้าครูบรรยายเป็นเรื่องราว และทาข้อสอบได้ดีถ้าครูออก ข้อสอบในลักษณะท่ีผูกเป็นเรื่องราวนักเรียนคนใดที่เป็นนักอ่าน เวลาอ่านเน้ือหาในตาราเรียนท่ีผู้เขียน บรรยายในลักษณะของความรู้ ก็จะนาเร่ืองทอ่ี า่ นมาผกู โยงเป็นเร่ืองราวเพ่ือทาให้ตนสามารถจดจาเนื้อหาได้ ง่ายข้ึน เด็ก ๆ ที่เป็น Visual learner ถ้าได้เรียนเนื้อหาท่ีครูนามาเล่าเป็นเรื่อง ๆ จะน่ังเงียบ สนใจเรียน และสามารถเขียนผูกโยงเป็นเร่ืองราวได้ดี ผู้ที่เรียนได้ดีทางสายตาควรเลือกเรียนทางด้านสถาปัตยกรรม หรอื ด้านการออกแบบ และควรประกอบอาชีพมัณฑนากร วิศวกร หรือหมอผ่าตัด พวก Visual learner จะพบประมาณ 60-65 % ของประชากรท้งั หมด
ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๘ 1.2) ผู้ที่เรียนรู้ทางโสตประสาท (Auditory Learner) เป็นพวกท่ีเรียนรู้ได้ดีท่ีสุดถ้าได้ฟังหรือได้ พูด จะไม่สนใจรูปภาพ ไม่สร้างภาพ และไม่ผูกเรื่องราวในสมองเป็นภาพเหมือนพวกท่ีเรียนรู้ทางสายตา แต่ชอบฟังเรอื่ งราวซา้ ๆ และชอบเลา่ เรอื่ งใหค้ นอืน่ ฟัง คณุ ลักษณะพเิ ศษของคนกลมุ่ นี้ ไดแ้ ก่ การมีทักษะ ในการได้ยิน/ได้ฟังที่เหนือกว่าคนอ่ืน ดังนั้นจึงสามารถเล่าเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างละเอียดละออ และรู้จัก เลือกใชค้ าพดู ผู้เรียนทเ่ี ป็น Auditory learner จะจดจาความรู้ได้ดีถ้าครู พูดให้ฟัง หากครูถามให้ตอบ ก็จะสามารถตอบได้ทันที แต่ ถ้ าค รู ม อ บ หม ายใ ห้ไ ปอ่ าน ตา ร า ล่ ว ง หน้ าจ ะ จ า ไ ม่ไ ด้ จนกว่าจะไดย้ นิ ครอู ธิบายให้ฟงั เวลาทอ่ งหนังสือก็ต้องอ่าน ออกเสียงดังๆ ครูสามารถช่วยเหลือผู้เรียนกลุ่มน้ีได้โดย ใชว้ ิธีสอนแบบอภิปราย แต่ผทู้ เ่ี รยี นทางโสตประสาทก็อาจ ถูกรบกวนจากเสียงอ่ืน ๆ จนทาให้เกิดความวอกแวก เสีย สมาธิในการฟงั ไดง้ า่ ยเช่นกนั ในด้านการคิด มักจะคิดเป็นคาพูด และชอบพูดว่า “ฉัน ไดย้ นิ มาว่า……../ ฉันได้ฟังมาเหมอื นกบั ว่า……” พวก Auditory learner จะพบประมาณ 30-35 % ของ ประชากรท้ังหมด และมักพบในกลุ่มท่ีเรียนด้านดนตรี กฎหมายหรอื การเมอื ง สว่ นใหญจ่ ะประกอบอาชีพเป็นนัก ดนตรี พิธีกรทางวิทยุและโทรทัศน์ นักจัดรายการเพลง (disc jockey) นกั จิตวทิ ยา นักการเมือง เปน็ ต้น 1.3) ผู้ท่ีเรียนรู้ทางร่างกายและความรู้สึก (Kinesthetic learner) เป็นพวกท่ีเรียนโดยผ่านการ รับรู้ทางความรู้สึกการเคลื่อนไหวและร่างกาย จึงสามารถจดจาสิ่งท่ีเรียนรู้ได้ดีหากได้มีการสัมผัสและเกิด ความรู้สึกที่ดีต่อสิ่งท่ีเรียน เวลานั่งในห้องเรียนจะนั่งแบบอยู่ไม่สุข นั่งไม่ติดที่ ไม่สนใจบทเรียน และไม่ สามารถทาใจให้จดจ่ออยู่กับบทเรียนเป็นเวลานาน ๆ ได้ คือให้นั่งเพ่งมองกระดานตลอดเวลาแบบพวก Visual learner ไมไ่ ด้ ครูสามารถสังเกตบุคลิกภาพของเด็กที่เป็น Kinesthetic learner ได้จากคาพูดท่ีว่า “ฉนั รสู้ ึกวา่ ……” 2. เทคนิคกำรเรียนกำรสอน แบบ BBL (Brain Based Learning) กระบวนการเรียนรู้และกระบวนการอื่นๆ ท่ีเกี่ยวข้องเพื่อสร้างศักยภาพสูงสุดในการเรียนรู้ของ มนุษย์ โดยเช่ือว่าโอกาสทองของการเรียนรู้อยู่ระหว่างแรกเกิด – 10 ปี Regate และ Geoffrey Caine นักวจิ ัยเก่ียวกับการเรียนรู้โดยใชค้ วามรเู้ กี่ยวกับสมองเป็นหลัก ได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการเรียนการ สอนทม่ี ีความสมั พนั ธ์กับสมองไว้ดังนี้ 1. สมองเป็นกระบวนการค่ขู นานสมองเปน็ อวยั วะท่มี ีความสาคญั ทสี่ ดุ ในร่างกายของคนเรา เพราะ การทมี่ นุษย์สามารถเรยี นรสู้ ิ่งตา่ ง ๆ ได้นน้ั จะตอ้ งอาศัยสมองและระบบประสาทเปน็ พน้ื ฐานของ การรบั รู้ รับความร้สู ึกจากประสาทสัมผัส ได้แก่ ตาทาให้เห็น หูทาให้ได้ยิน จมูกทาให้ได้กล่ิน ลิ้นทาให้ ไดร้ บั รส และผวิ กายทาใหเ้ กิดการสมั ผสั 2. สมองกับการเรียนรู้สมองไม่ได้มีหน้าท่ีเฉพาะรับรู้แต่เพียงอย่างเดียว แต่จะเป็นอวัยวะท่ีสาคัญ ต่อการพัฒนาของอวัยวะทั้งหมดของร่างกาย ซึ่งจะรวมถึงการคิด การเรียนรู้ การจา และพฤติกรรมของ
ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๙ มนุษย์ มีความจาเปน็ อย่างยิ่งทคี่ รูผสู้ อนควรจะมีความรู้เร่ืองที่เก่ียวกับการทางานและการพัฒนาของสมอง เพ่ือจะได้วางแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะที่กระตุ้นให้สมองคิดและทางานแบบท้าทาย ยั่วยุมาก ที่สุด ผู้เรียนไดค้ ิดและแสดงออกอยา่ งสร้างสรรค์ในทกุ ด้าน ซ่งึ จะทาใหผ้ เู้ รยี นได้พัฒนากระบวนการคิดและ เรยี นร้เู ต็มตามศกั ยภาพ เป็นรากฐานไปสูก่ ารเปน็ คนดี คนเก่งและมคี วามสขุ ในการดารงชีวิตและเม่ือเติบโต ขนึ้ จะได้เป็นเยาวชนพลเมอื งทด่ี ขี องสงั คมตอ่ ไป 3. การเรียนรูม้ ีมาแต่กาเนิด ในการเรียนรู้ของบุคคลเรานั้นจะเกิดขึ้นต้ังแต่เริ่มมีชีวิต และเป็นที่รู้ กันโดยทัว่ ไปวา่ การเรยี นรู้ที่ดที สี่ ุดนนั้ จะต้องลงมือปฏิบตั ดิ ว้ ยตนเองหรอื เป็นการเรยี นร้โู ดยประสบการณต์ รง 4. รูปแบบการเรียนรู้ของบุคคล ผู้เรียนในห้องเรียนหน่ึง ๆ มักจะมีผู้ถนัดการเรียนรู้ตามรูปแบบ ของตน ครจู ึงจาเปน็ ต้องจัดกจิ กรรมการเรียนรใู้ ห้เหมาะสมกับผู้เรียนทุกรูปแบบอย่างเสมอภาคกัน เพื่อให้ ผู้เรียนมีความสนุกสนานและเกิดความสุขในการเรียนรู้ตามรูปแบบท่ีตนถนัด รวมท้ังยังมีโอกาสพัฒนา ความสามารถด้านอน่ื ๆ ท่ีตนไมถ่ นัดอกี ด้วย 5. ความสนใจมีความสาคัญต่อการเรียนรู้ ความสามารถพิเศษของมนุษย์ แบ่งออกเป็น 8 ด้าน ด้วยกนั มนษุ ย์ย่อมมคี วามแตกต่างระหว่างบุคคล แต่ละคนมักจะมีความเก่งไม่เหมือนกัน ควรเปิดโอกาส ใหผ้ เู้ รียนเป็นผ้วู างแผนในการพฒั นาตนเอง โดยเร่มิ จากรู้จักตนเอง รู้จุดเด่น จุดด้อย ค้นหาวิธีการพัฒนา ความเก่งใหแ้ ก่ตนเองท่จี ะนาไปสู่การปฏิบตั อิ ยา่ งมคี วามสขุ และเกดิ การเรียนรอู้ ย่างมคี วามหมาย 6. สมองมหี นา้ ท่ีสรา้ งกระบวนการเรียนรู้ สมองของคนเราแบ่งออกเป็น 2 ซีก คือซีกซ้ายกับซีก ขวา สมองทั้งสองด้านมีความสัมพันธ์กัน สมองมีหน้าท่ี ควบคุมการรับรู้ การคิด การเรียนรู้และการจา ควบคมุ การทางานของอวัยวะต่าง ๆ ของรา่ งกาย และควบคมุ ความรู้สกึ และพฤติกรรม 7. การเรยี นรู้ในสง่ิ ทีส่ นใจสามารถรบั รู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสมองจะซึมซับข้อมูลที่บุคคลมีความ สนในเรื่องน้ันอยู่แล้ว เช่ือมโยงกับข้อมูลความรู้ใหม่ ประสานข้อมูลความรู้เข้าด้วยกัน ซ่ึงหมายความว่า การเรยี นรขู้ องมนษุ ยจ์ ะมีประสทิ ธภิ าพสูงข้นึ เมื่อมกี ารเชื่อมโยงระหว่างประสบการณเ์ ดิมของผู้เรียนกับการ จดั ประสบการณใ์ นการเรยี นร้ใู นแตล่ ะครง้ั 8.การเรยี นรเู้ กิดขนึ้ ได้เกีย่ วขอ้ งกบั กระบวนการทัง้ ในแบบที่มีจุดมุ่งหมายและไม่ได้ต้ังใจ การเรียนรู้ ของคนส่วนใหญ่มักเกิดการเรียนรู้ข้ึนได้จากส่ิงท่ีไม่ได้ตั้งใจ สามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์ใน สถานการณ์จริง เช่น ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เผชิญอยู่โดยไม่ได้คิดในการแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นมาก่อน โดยอาศัยประสบการณเ์ ดมิ ของแต่ละบคุ คลในการเรียนรู้ทจี่ ะแกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 9. การเรียนรู้ท่ีเกิดจากกระบวนการสร้างความเข้าใจ การเรียนรู้ที่ดีเกิดจากกระบวนการท่ีสร้าง ความเข้าใจ และให้ความหมายกับสิ่งท่ีรับรู้มา มีการเช่ือมโยงระหว่างส่ิงท่ีเรียนกับชีวิตจริง สอน/แนะนา บนพื้นฐานความรู้ ประสบการณแ์ ละทักษะทีม่ ีอยเู่ ดมิ ของผเู้ รยี น 10. การเรียนรู้เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืน ภาษาแรกของมนุษย์เราถูกเรียนรู้จาก ประสบการณ์ท่ีมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างหลากหลาย ด้วยคาศัพท์และไวยกรณ์ ถูกเรียนรู้โดยกระบวนการ เรียนรู้ภายในของบุคคลที่เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมและสิ่งแวดล้อมภายนอก การเรียนรู้คือการ สง่ เสรมิ ให้ผเู้ รยี นเผชิญกับสถานการณ์ส่ิงแวดล้อมที่กระตุ้นการเรียนรู้เซลล์สมองจะเกิดมีการเชื่อมต่ออย่าง สงู สุด เมอ่ื ถกู กระตุ้นใหเ้ ผชิญกบั สถานการณ์ท่ที า้ ทายให้ผู้เรยี นอยากเรียนรู้ โดยผ่านกระบวนการเล่นอย่าง สนุกสนาน และมีความสุข ปราศจากความเครียด เพราะความเครียดเป็นสิ่งท่ีบ่ันทอนการเรียนรู้ของ ผู้เรียนได้สมองของบุคคลมีความเท่าเทียมกันมนุษย์ทุกคนมีระบบสมองที่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าทุกคนจะมี
ศลิ ปะบำบดั A r t T h e r a p y ๑๐ ศักยภาพแตกต่างกันในด้านความรู้ความถนัดที่มีอยู่เดิม ตามสภาพแวดล้อมของแต่ละคน แต่เราสามารถ เรยี นรู้ได้เต็มตามศักยภาพได้อย่างเทา่ เทียมกนั แนวทำงกำรจดั กำรเรยี นกำรสอนตำมหลัก BBL 1. การจัดการเพ่ือให้เกิดการเรียนรู้ที่แท้จริงและถาวรนั้น จะต้องจัดให้ครบองค์ประกอบท้ัง 3 สว่ น ไดแ้ ก่ การรับรู้ การบรู ณาการความรู้ และการประยกุ ต์ใช้ เพ่ือเป็นการเช่ือมโยงความรู้สู่การปฏิบัติ จริงในวิถชี ีวิต 2. ครูผู้สอนจะต้องมีข้อมูล และรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล คิดและจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาความ ถนัด/ความสามารถหรือความเก่งให้เก่งมากย่ิงข้ึน รวมท้ังการพัฒนาด้านอ่ืน ๆ อีกให้มีความเก่งหลาย ๆ ดา้ น เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนได้แสดงออกถึงความสามารถหรือความเก่งสู่สาธารณชน โดยอาจจัดเวทีให้แสดง อย่างอสิ ระ 3.การจัดการเรียนการสอนที่ดี ครูต้องมีความเข้าใจทักษะท่ีเกี่ยวโยงกับความสามารถพิเศษของ สมองแต่ละซกี สมองซกี ซ้ายสงั่ การทางานเกี่ยวกบั คา ภาษา ตรรก ตวั เลข/จานวน ลาดับ ระบบ การ คิดวิเคราะห์ และการแสดงออกเป็นต้น สมองซีกขวาจะสั่งการเก่ียวกับ จังหวะ ดนตรี ศิลปะ จินตนาการ การสรา้ งภาพ การรับรู้ การเหน็ ภาพรวม ความจา ความคิดสรา้ งสรรค์ เปน็ ตน้ 4.ควรจดั เนื้อหาท่ีมคี วามหลากหลายครอบคลมุ ทุกมติ ิของชวี ิตมนุษย์ กระบวนการเรียนรู้มีลักษณะ หลากหลายร่วมกันในลักษณะ ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง แหล่งการเรียนรู้หลากหลาย เช่น เรียนรู้จากสื่อ ธรรมชาติ จากคาบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ จากแหล่งงานอาชีพของชุมชน จากการค้นคว้าทางเทคโนโลยี ฯลฯ 5. ในกระบวนการเรียนรู้น้ัน ขณะท่ีผู้เรียนเรียนรู้น้ันอาจเป็นแค่การรับรู้ แต่ยังไม่เข้าใจ ความ เขา้ ใจอาจเกดิ ขึน้ ภายหลังจากทีผ่ ู้เรียนสามารถมองเห็นถึงความหมายและความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันถึงส่ิงต่าง ๆ ทีต่ นเองรับรจู้ ากแหลง่ ความรทู้ ีห่ ลากหลาย ในระดับที่สามารถอธิบายเชิงเหตุผลได้ ซ่ึงบางคร้ังการสอน ในชน้ั เรียนเมื่อจบลงบางบทเรยี นไม่สามารถทาให้ผูเ้ รียนเกดิ การเรยี นรูไ้ ด้ เนือ่ งจากการสอนน้ันไม่สอดคล้อง กบั ประสบการณเ์ ดมิ ของผูเ้ รียน 6. บางคร้ังการจาเป็นสิ่งสาคัญและมีประโยชน์ แต่การสอนท่ีเน้นการจาไม่ก่อให้เกิดความ เช่อื มโยงให้เกิดการเรียนรู้และบางครั้งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความเข้าใจ ถ้าครูไม่ได้ศึกษาลีลารูปแบบ การเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละประเภท ว่ามีความชื่นชอบ ความถนัด วิธีการเรียนรู้ หลักการเรียนรู้ท่ีมี ประสิทธิภาพ และจัดกิจกรรมการสอนให้สอดคล้องกับผู้เรียนแต่ละประเภท จะส่งผลต่อการเรียนรู้ท่ีมี ประสทิ ธิภาพเช่นเดียวกัน 7. ครูจาเป็นต้องใชก้ ิจกรรมท่เี ป็นสถานการณ์ในชีวติ ประจาวนั ประกอบดว้ ย การสาธิต การทา โครงงาน ทัศนศึกษา การรับรู้ประสบการณ์ด้วยการมองเห็นของจริง การเล่าเรื่อง ละคร และการมี ปฏิสัมพันธ์ต่อคนหลาย ๆ ประเภท การเรียนแบบมุ่งประสบการณ์ทางภาษาสามารถ เรียนรู้ได้ใน กระบวนการโดยผ่านเรอ่ื งหรือการเขียน 8.ควรสร้างสถานการณ์และส่ิงแวดล้อมให้ปลอดภัยเพ่ือ การเรียนรู้ โดยผ่านการเล่นแบบท้าทาย การเสี่ยง ความสนุกสนาน เป็นส่ิงจาเป็นที่ทาให้เกิดการเรียนรู้ การถูกทาโทษอันเนื่องมาจากความ ผิดพลาดจะทาให้เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ ครูจึงไม่ควรลงโทษผู้เรียนในการเข้าร่วมกิจกรรมท่ีให้ผู้เรียน เผชญิ กับสถานการณ์แวดล้อมท่ีกระต้นุ การเรยี นรู้
ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๑๑ 9.ผเู้ รียนมคี วามแตกต่างกนั เกยี่ วกับความสามารถทางสตปิ ัญญา ความสามารถความเก่งของมนุษย์ คือ ทฤษฎพี หปุ ัญญา ความเป็นคนเกง่ คืออะไร มคี าตอบมากมายหลายรูปแบบ แต่สรุปรวมได้ว่า คนเก่ง คอื ผมู้ คี วามสามารถดา้ นใดด้านหนึ่งเฉพาะดา้ น หรอื หลาย ๆ ดา้ น ทีแ่ สดงออกถึงความสามารถได้อย่างเป็น ที่ประจกั ษ์ 3. เทคนิคกำรเรยี นกำรสอนแบบ Task analysis (กำรวิเครำะห์ภำระงำน) 1. วิเคราะห์ภาระงาน (Task Analysis) การวเิ คราะหภ์ าระงานเปน็ ส่วนหนึง่ ของการวิเคราะห์ การ เรยี นการสอน ซึ่งประกอบดว้ ย 3 ข้นั ตอน คอื 1. ตดั สินใจให้ไดว้ ่าเป็นความตอ้ งการในเรื่องการเรียนการ สอน มีภาระงานที่เกี่ยวข้องกับ การเรียนการสอน 2. ตอ้ งความชดั เจนวา่ ต้องเรยี นรู้เรอ่ื งใดมากอ่ น จงึ จะนาไปสู่ ผลการเรียนรูท้ ค่ี าดหวงั 3. การประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน จากข้ันท่ี 2 บอกให้รู้ว่า ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้และ วดั ผลในเร่ืองใด 2. การวิเคราะห์งาน การวิเคราะห์งานเป็นการตรวจสอบว่าการศึกษานั้น ๆ มี งานใดท่ีเป็นชีวิต และมคี วามรู้ทกั ษะและเจตคตใิ ดบ้างทีน่ าไปสู่ ความสาเร็จในการทางานน้ัน ๆ การวิเคราะห์งานช่วยให้แน่ใจ ว่าจะได้สาระและคณุ ค่าทีเ่ กีย่ วขอ้ งในการเรียนรู้ คาถามหลักท่ีใช้ในการวิเคราะหง์ าน มคี าถามหลกั 3 ขอ้ • ภาระงานใดงานใดเป็นข้อกาหนดของงาน • การจดั เรียงลาดบั ของแตล่ ะภาระงานคืออะไร • เวลาท่ใี ชใ้ นการทาแตภ่ าระงาน 3. การวิเคราะห์ภาระงาน การวิเคราะห์ภาระงานคลา้ ยคลึงกับการวเิ คราะหง์ านแต่ มีระดับของการ วเิ คราะห์อยทู่ ่ีรายละเอยี ด – หนว่ ยย่อย การ วเิ คราะห์งานทาได้โดยการจาแนกงานออกเป็นภาระงานหลาบ ภาระ จากนั้นวิเคราะห์ภาระงานก็จะสามารถเคราะห์ย่อยลง ส่วนประกอบโดยใช้คาถามในการวิเคราะห์ เชน่ เดียวกนั กบั การวิเคราะหง์ าน ดงั น้ี • สว่ นประกอบของแต่ละภาระงานคอื อะไร • ส่วนประกอบของแต่ละ ส่วนสามารถนามาเรยี งลาดับด้วย อะไรได้บา้ ง • ส่วนประกอบแตล่ ะส่วนต้องใชเ้ วลาเท่าไร 4. การวิเคราะหส์ าระการเรยี นรู้ การวิเคราะหส์ าระการเรียนรู้จะเป็นการจากัดขอบเขต ของเร่ืองท่ี จะนามาสอนกับเรื่องท่ีไม่ต้องนามาสอน ซ่ึงมี ความสาคัญย่ิงในปัจจุบันเนื่องจากหนังสือเรียนบรรจุสาระ สนเทศไว้มากเกนิ กวา่ ทจ่ี ะมาสอนอย่างมปี ระสทิ ธผิ ลในระยะเวลาหนึ่งภาคเรียน ควรยึดหลักว่า เพื่อเป็นผลดี ตอ่ การ เรียนรู้จริงๆ ของผู้เรียน ส่ือการเรียนรู้ท่ีจาเป็นถึงแม้ว่าจะน้อย แต่ก็ดีกว่าสื่อการเรียนรู้ขนาดใหญ่ แตไ่ ม่ได้ชว่ ยใหป้ ระสบความสาเรจ็ ในการเรยี น 5. การวิเคราะห์สาระการเรียนรู้ วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ เนื้อหาสาระท่ีช่วยให้ผู้เรียน เกิดการ เรยี นรู้ตามจุดประสงค์ อาจจะแบ่งได้หลายลักษณะ เช่น กาเย่ และบริกส์ กาหนดสาระการเรียนรู้ ดังนี้ 1) ข้อมูลท่ีเป็นความรู้ 2) เจตคติ 3) ทักษะ เดคโค แบ่งสาระการเรียนรู้ตามจุดประสงค์เป็น 1) ทักษะ 2) ความรู้ทเ่ี ป็นขอ้ มูลธรรมดา 3) ความคิดรวบยอดและหลักการ 4) การแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์และการ ค้นพบ 6. การออกแบบและพัฒนาภาระงาน 1. การระบุความรู้และทักษะที่ผู้เรียนจะเรียนรู้จากการ ปฏบิ ัติงาน โดยเริ่มจากพจิ ารณาและวิเคราะห์มาตรฐานการ เรียนรู้ในหลักสูตร ผลการเรียนท่ีคาดหวัง หรือ วัตถุประสงค์การ เรียนรู้ เพื่อสามารถระบุขอบเขตและประเภทของความรู้ ทักษะ และคุณลักษะท่ีพึ่ง
ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๑๒ ประสงค์ 2. ออกแบบภาระงานทผ่ี ้เู รียนต้องใชค้ วามรู้และ ทักษะ (จากขอ้ 1) ลักษณะสาคญั ของงานคือ ต้อง กระตุ้นหรือ สร้างแรงจูงใจให้กับผู้เรียน มีความท้าทาย แต่ไม่ยากเกินไปจน ผู้เรียนทาไม่ไ ด้ และใน ขณะเดียวกันต้องครอบคลุมสาระสาคัญ ทางวิชาและทักษะที่ลึกซึ้ ง เพ่ือให้สามารถนาผลการประเมินไป ใชไ้ ดอ้ ย่างสมเหตุสมผลและนา่ เชอ่ื ถอื 7. การกาหนดเกณฑ์การให้คะแนน (Rubrics) หรือ เกณฑ์การประเมินท่ีชัดเจนเป็นปรนัย เป็นที่ ยอมรับและสามารถ สะท้อนให้เห็นถึงระดับของผลสัมฤทธิ์ทางด้านความรู้ทักษะและ คุณลักษณะที่พึง ประสงค์เกณฑ์การให้คะแนนส่วนมากมักจะอยู่ ในรูปตาราง 2 มิติ ประกอบด้วย ส่วนหัว Rows จะแสดง ระดับคณุ ภาพของความรู้ ทกั ษะและความสามารถของแต่ละ Column จานวน Rows จะ ข้ึนอยู่กับจานวน ของระดับคุณภาพท่ีต้องการใช้ และส่วนมากจะ อยู่ระหว่าง 2 ถึง 3 ระดับ การออกแบบและพัฒนาภาระ งาน 8. การวางแผนการจัดการเรียนรู้ • เม่ือมีความชัดเจนเก่ียวกับจุดหมายการเรียนรู้และหลักฐานท่ี เป็นรูปประธรรมแล้วผู้สอนสามารถเร่ิมวางแผนการจัดการ เรียนรู้ได้โดยอาจต้ังคาถามดังต่อไปนี้ • ความรู้ และทักษะอะไรจะช่วยให้นักเรียนมีความสามารถตาม จุดหมายท่ีกาหนดไว้ • กิจกรรมอะไรจะช่วยพัฒนา นักเรยี นไปสจู่ ุดหมายดงั กล่าว • สือ่ การสอนจึงจะเหมาะสมสาหรับกิจกรรมการเรียนรู้ขั้นต้น • การออกแบบ โดยรวมสอดคลอ้ งและลงตวั หรือไม่ 9. สรุป ในการจดั การเรยี นการสอนจะตัดสินใจว่าปัญหาในการพัฒนา ศักยภาพของผู้เรียนนั้นเป็น ปัญหาที่สามารถแก้ไขด้วยการศึกษาการ วางแผนจัดการเรียนการสอนจะต้องมีการวิเคราะห์เน้ื อหาสาระ วิเคราะห์ งานและภาระงานการวิเคราะห์ภาระงานนาไปสู่การปฏิบัติเพ่ือสนองตอบ ความต้องการ การ เรยี นรูก้ ลา่ วคือการทบทวนระบบหรอื กระบวนการเพื่อ ช่วยให้ผ้เู รียนมีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้ นและผู้เรียนจะ ไดร้ บั ภาระงาน สาหรับการเรียนการสอนส่วนภาระหน้าที่ไมเ่ กี่ยวข้องกค็ วรจะถูกตัดออก หรือใช้วิธีอ่ืนท่ีไม่ใช่ การสอนพลังงานที่เลือกมาต้องทามีประสิทธิผลและ ประสิทธิภาพ ซ่ึงการจัดการเรียนรู้ที่ดีต้องแสวงหา วิธีการทดี่ ีทีส่ ดุ ภายใต้ กรอบคา่ ใช้จ่ายท่ีไดร้ ับ (มีประสิทธิภาพ)
ศลิ ปะบำบดั A r t T h e r a p y ๑๓
ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๑๔ กาหนดตารางการสอนและระยะเวลาแผนการสอน ศิลปะบาบัด ปกี ารศกึ ษา 2564 ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศกึ ษา 1 จังหวัดนครปฐม หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี แผนการสอน วตั ถุประสงค์ เน้ือหา/กิจกรรม ระยะเวลา 1 จิตรกรรม ฝกึ ทักษะการระบาย 1. ระบำยสกี รอบรูปภำพขนำดใหญ่ พ.ค. – ก.ค. (ระบายสี) สี ขดี เขียน 2. ระบำยสรี ปู ภำพขนำดใหญ่3. 2564 2 ประตมิ ากรรม ฝกึ ทักษะการป้นั ระบำยสีรปู ภำพขนำดเล็ก ส.ค. – ก.ย. 2564 3. วำดรูปทรงตำมแบบที่กำหนดและ ระบำยสี 4. วำดรูป วงกลม, สำมเหลี่ยม, สีเ่ หลย่ี ม โดยไม่มเี สน้ กำหนด (อิสระ) 5. ระบำยสรี ปู ภำพขนำดใหญ่ โดยใช้สี เมจกิ 6. ระบำยสีรปู ภำพขนำดเลก็ (หลำย รูป) โดยใช้สเี มจิก 7. วำดภำพตำมเส้นปะไข่ปลำ และ ระบำยสีให้สวยงำม (รปู ภำพขนำด ใหญ่ ๑ รูป) 8. วำดภำพตำมเสน้ ปะไข่ปลำ และ ระบำยสีให้สวยงำม (รปู ภำพขนำดเลก็ หลำยรูป) 9. โยงเสน้ จบั คู่รปู สตั ว์และระบำยสี 10. วำดรูปตำมมือตัวเองและระบำยสี ใหส้ วยงำม 1. กดดินนา้ มันตามชอ่ งว่างรปู ภาพ 2. ปน้ั แกว้ ใสข่ องด้วยดนิ เหนียว 3. ป้ันแก้วใสข่ องดว้ ยดนิ นา้ มนั 4. การทา Paper Macha 5. การคลงึ ดินนา้ มันให้ยาว ปนั้ กลม ทาให้แบน 6. ปน้ั ผลไมใ้ นจินตนาการ 7. สตั ว์ในจินตนาการ
ศลิ ปะบำบดั A r t T h e r a p y ๑๕ หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี แผนการสอน วตั ถุประสงค์ เนื้อหา/กจิ กรรม ระยะเวลา 3 ภาพพิมพ์ 1. จมุ่ สวี ัสดธุ รรมชำติ ต.ค. – พ.ย. ฝกึ ทกั ษะการ พิมพ์ จาก 2. ระบำยสนี ำลงบนแปน้ พิมพ์ ตรำยำง 2564 ธรรมชาติ และ มนษุ ยส์ รา้ งขึ้น รูปสัตว์ แล้วปั้มอิสระลงบนกระดำษ ธ.ค. 64 - ม.ี ค.65 3. เป่ำสี 4. พิมพ์ใบไม้ วัสดุจำกธรรมชำตอิ ย่ำง สร้ำงสรรค์ 5. พิมพ์เชอื ก 6. กลิงลกู แก้วสีตำ่ ง ๆ 4 ศลิ ปะประยกุ ต์ ทกั ษะหลากหลาย 1.แยกหินสีวำงรปู ทรงทก่ี ำหนด (สือ่ ประสม) วิธที างศลิ ปะท่ที า 2. โรยทรำยตำมรูปภำพ ให้เกดิ ผลงานที่ 3. ปัม๊ รปู สตั วร์ ะบำยสี สรา้ งสรรค์ 4. เมลด็ ถัว่ ติดรูปภำพ 5. ตดั กระดำษและตดิ ตำมภำพรูปทรงท่ี กำหนด 6. ติดปะใบไม้รูปผลไม้ 7. ฉกี ติด ปะ 8. ตดั เชอื กติดรูปทรง 9. กำรตดิ สตกิ เกอร์ผลไม้ 10.ตะเกยี บคีบวัตถุขนำดใหญ่ ติดปะบน กำว 11. ตดั กระดำษเป็นชินเลก็ โดยใชก้ รรไกร 12. ฉกี กระดำษสี ๒ สเี ป็นชินเลก็ และแยก สตี ิดปะลงในรูปภำพ 13. แยกเมลด็ ถ่ัวเขยี ว ถัว่ เหลอื ง แล้วติดปะ ลงบนรูปวงกลม ซ้ำยและขวำ 14. แกะ ตดิ ปะ สต๊ิกเกอรแ์ ยกสีหลำยสี 15. ระบำยสีนำโดยใชว้ ัสดุธรรมชำติ (เช่น ใบไม้ กงิ่ ไม้ กอ้ นหิน) 16. จมิ ติดปะ ตัวตุ๊ดตู่ (วงกลมขนำดเลก็ ) ตำมเส้นรปู ภำพ 17. ตดั ใบไม้แหง้ และใบไม้สด แยกนำมำ ติดปะบนรปู ภำพ
ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๑๖ ตำรำงวิครำะห์เนือ้ หำ แผนกำรสอน ศลิ ปะบำบัด ปกี ำรศึกษำ 2564 ศนู ย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 1 จงั หวัดนครปฐม ท่ี หัวข้อ เน้อื หำ/กิจกรรม จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม 1 จิตรกรรม 1. ระบายสกี รอบรปู ภาพขนาดใหญ่ 1. ผเู้ รยี นสามารถระบายสีรูปร่างรปู ทรง (ระบายสี) 2. ระบายสีรปู ภาพขนาดใหญ่ ต่างๆ ได้ 3. ระบายสีรูปภาพขนาดเลก็ 2. ผเู้ รยี นสามารถระบายสไี มไ้ ดถ้ ูกต้องตาม 3. วาดรูปทรงตามแบบทก่ี าหนดและ แบบอย่างศลิ ปะ ระบายสี 3. ผู้เรียนสามารถระบายสเี มจิกไดต้ ามหลกั 4. วาดรปู วงกลม, สามเหลยี่ ม, ส่ีเหลยี่ ม ศลิ ปะ โดยไมม่ ีเส้นกาหนด (อิสระ) 4. ผู้เรียนสามารถลากเสน้ ตามแนวเส้นปะ 5. ระบายสีรปู ภาพขนาดใหญ่ โดยใช้สีเม ไขป่ ลาได้ จกิ 5. ผูเ้ รียนลากเส้นได้ดว้ ยตนเอง 6. ระบายสรี ูปภาพขนาดเลก็ (หลายรปู ) โดยใช้สีเมจกิ 7. วาดภาพตามเสน้ ปะไข่ปลา และระบาย สใี ห้สวยงาม (รูปภาพขนาดใหญ่ ๑ รูป) 8. วาดภาพตามเส้นปะไข่ปลา และระบาย สีให้สวยงาม (รปู ภาพขนาดเล็กหลายรูป) 9. โยงเส้นจับค่รู ปู สัตว์และระบายสี 10. วาดรูปตามมือตวั เองและระบายสีให้ สวยงาม 2 ป้นั 1. กดดนิ น้ามนั ตามชอ่ งวา่ งรปู ภาพ 1. ผู้เรียนสามารถนวดดินได้ 2. ปัน้ แกว้ ใส่ของด้วยดนิ นา้ มัน 2. ผเู้ รยี นสามารถคลึงดนิ ไดเ้ ปน็ เส้นแนว 3. ป้นั แกว้ ใสข่ องด้วยดินเหนยี ว ยาว 4. การทา Paper Macha 3. ผู้เรียนใชน้ ม้ิ มอื กดดนิ ได้ 5.การคลึงดนิ น้ามนั ใหย้ าว ป้นั กลม ทาให้ 4. ผเู้ รียนสามารถปนั้ รูปทรงกระบอกได้ แบน และตกแต่งใหส้ วยงามตามจินตนาการของ 6. ปั้นผลไม้ในจนิ ตนาการ ผ้เู รียน 7. สัตว์ในจินตนาการ 5. ผู้เรยี นสามารถป้ันผลไม้ตา่ งๆ ได้ 6. ผเู้ รียนสามารถป้นั สตั ว์ต่างๆ ไดต้ าม จนิ ตนาการ 7. ผเู้ รียนสามารถฉีกกระดาษแชใ่ นนา้ ได้ 8. ผูเ้ รียนทากาวและแปะกระดาษได้
ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๑๗ ท่ี หัวขอ้ เนือ้ หำ/กจิ กรรม จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 3 ภาพพมิ พ์ 1. จุ่มสวี สั ดธุ รรมชำติ 1. ผ้เู รียนสามารถพิมพภ์ าพใบไมไ้ ด้ 2. ระบำยสนี ำลงบนแปน้ พิมพ์ ตรำยำงรปู สัตว์ โดยใช้สีโปสเตอร์ แล้วป้มั อิสระลงบนกระดำษ 2. ผูเ้ รียนสามารถพมิ พ์ลายนิว้ มือได้ 3. เปำ่ สี 4. พมิ พใ์ บไม้ วัสดจุ ำกธรรมชำติอย่ำงสรำ้ งสรรค์ ตามจนิ ตนาการ 5. พิมพ์เชอื ก 3. ผู้เรยี นสามารถพมิ พเ์ ชอื กให้ 6. กลิงลูกแก้วสีตำ่ ง ๆ สวยงามได้ 4. ผเู้ รียนสามารถใช้ปากเป่าไปตาม ทิศทางตา่ งๆ ได้จนเกิดเป็นภาพ จนิ ตนาการ 5. ผเู้ รยี นสามารถกล้ิงลกู แก้วตาม ทศิ ทางต่างๆ โดยมีความสุขและเกิด งานอยา่ งสรา้ งสรรค์ 4 ศิลปะประยกุ ต์ 1.แยกหนิ สวี ำงรปู ทรงที่กำหนด 1. ผู้เรียนสามารถ ตดั ติด ปะ ให้เกิด 2. โรยทรำยตำมรปู ภำพ เปน็ งานสร้างสรรค์ได้ 3. ปมั๊ รปู สัตวร์ ะบำยสี 2. ผเู้ รียนสามารถนาวสั ดุท่ีเหลอื ใช้ 4. เมล็ดถว่ั ติดรูปภำพ หรือวสั ดุตามธรรมชาติมาสรา้ งผลงาน 5. ตัดกระดำษและติดตำมภำพรูปทรงท่ีกำหนด ทางศลิ ปะได้อย่างอิสระ และมี 6. ติดปะใบไมร้ ูปผลไม้ 7. ฉกี ติด ปะ ความสุข 8. ตดั เชือกติดรูปทรง 3. ผเู้ รยี นสามารถผสมผสานงานศลิ ปะ 9. กำรตดิ สติกเกอร์ผลไม้ ตา่ งๆ ทาให้เกดิ ผลงานในจติ นาการได้ อยา่ งสวยงาม 10.ตะเกียบคีบวตั ถุขนำดใหญ่ ติดปะบนกำว11. ตัด กระดำษเปน็ ชินเล็กโดยใชก้ รรไกร 12. ฉีกกระดำษสี ๒ สเี ป็นชินเล็กและแยกสีติดปะ ลงในรูปภำพ 13. แยกเมลด็ ถ่ัวเขียว ถ่ัวเหลอื ง แลว้ ติดปะลงบน รปู วงกลม ซ้ำยและขวำ 14. แกะ ติดปะ สต๊ิกเกอร์แยกสีหลำยสี 15. ระบำยสนี ำโดยใชว้ ัสดธุ รรมชำติ (เช่น ใบไม้ กง่ิ ไม้ กอ้ นหนิ ) 16. จมิ ตดิ ปะ ตัวตุ๊ดตู่ (วงกลมขนำดเลก็ ) ตำมเส้น รปู ภำพ 17. ตดั ใบไม้แห้ง และใบไมส้ ด แยกนำมำติดปะบน รูปภำพ
ศลิ ปะบำบดั A r t T h e r a p y ๑๘ แผนการสอน ศิลปะบาบดั หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 จติ รกรรม กจิ กรรมที่ ๑ ระบายสกี รอบรปู ภาพขนาดใหญ่ พ.ค. – ก.ค. วตั ถปุ ระสงค์ การระบายสี จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1. ผ้เู รยี นสามารถระบายสีรูปร่างรปู ทรงตา่ งๆ ได้ 2. ผเู้ รยี นสามารถระบายสีไมไ้ ด้ถูกต้องตามแบบอย่างศลิ ปะ เริ่มใช้แผนวันท่ี 16 พ.ค. 2564 สิน้ สุดแผน 31 ก.ค. 2564 ใชเ้ วลาสอน คาบละ 60 นาที พฒั นาการที่เกดิ ขึ้นระหว่างการเรียนการสอน พฒั นาการดา้ นรา่ งกาย พฒั นาการดา้ นอารมณ์ พัฒนาการดา้ นการ พัฒนาการดา้ นสติปัญญา และจิตใจ ช่วยเหลอื ตนเองและสงั คม จุดประสงค์ 1. พฒั นาทกั ษะกล้ามเนือ้ มัดเลก็ 2. ใหค้ วามรว่ มมอื กับผอู้ ืน่ อย่างมีความสุข 3. ฝกึ ความสมั พนั ธ์ระหว่างมอื กับตา 4. ฝึกสมาธิความสนใจใหผ้ ู้เรยี นได้ 5. ฝึกทกั ษะการระบายสี ขีด เขยี น เน้อื หา 1. ระบายสกี รอบรปู ภาพขนาดใหญ่ กิจกรรมการเรยี นรู้ ข้นั นา 1. ผู้สอนและผู้เรียนทักทาย “สวัสดคี รับ” และ “สวสั ดคี ่ะ” โดยผสู้ อนร้องเป็นเพลงและ ท่าทางให้ผเู้ รยี นสนใจ 2. ผสู้ อนอธิบายกิจกรรมที่จะทา และนาเสนออุปกรณต์ ่างๆ ในกิจกรรมนนั้ ๆ 3. ผูส้ อนสาธิต ข้นั สอน ๑. ผเู้ รยี นรจู้ ักอุปกรณ์ตำ่ งๆ เช่น แบบรปู ทรงกรอบขนำดใหญ่ ๒. ผู้เรยี นเดินมำหยบิ อุปกรณ์ท่ีผู้สอนกำหนด ๓. ผูเ้ รยี นวำดแบบลงบนกระดำษ ๔. ผูเ้ รยี นระบำยสไี ม่ใหอ้ อกนอกกรอบใหส้ วยงำม ขนั้ สรปุ ๑. ผเู้ รียนนำผลงำนมำติดทีบ่ อร์ดและบอกว่ำแบบทวี่ ำดเปน็ รปู อะไรและสีทร่ี ะบำยสอี ะไร ๒. ผู้เรียนเก็บอปุ กรณ์ท่ที ำไว้ท่ใี ห้เรยี บรอ้ ยและเดนิ มำสง่ งำนทีละคนและตรวจผลงำนผเู้ รยี น
ศลิ ปะบำบดั A r t T h e r a p y ๑๙ 3. ครูพดู คุยกบั ผ้เู รียน ซกั ถาม เก่ียวกับกิจกรรม 4. เมอื่ หมดช่วั โมงผสู้ อนใหน้ กั เรียนกลา่ ว “ขอบคุณครบั ” และ “ขอบคณุ ค่ะ” สอ่ื /อปุ กรณ์ ๑. กระดำษ ๒.แบบรูปทรงกรอบขนำดใหญ่ ๓. สไี ม้ การวัดและประเมินผล วธิ กี ารสงั เกตพฤติกรรมผูเ้ รียน และบนั ทกึ ระดับความสามารถของผู้เรยี นในแบบประเมนิ ผลการ เรยี นรู้ เครอื่ งมอื แบบประเมินผลการเรียนรู้กิจกรรมศิลปะบาบัด เกณฑ์การวัดและประเมินผล เกณฑ์การให้คะแนน 5 หมายถงึ ทาได้ดว้ ยตนเองและเป็นแบบอย่างผูอ้ ื่นได้ 4 หมายถึง ทาไดด้ ว้ ยตนเอง 3 หมายถึง ทาไดโ้ ดยมีการช่วยเหลอื ช้แี นะจากผู้อนื่ บา้ งเล็กน้อย 2 หมายถงึ ทาได้โดยมีการช่วยเหลือ ชี้แนะ จากผู้อนื่ 1 หมายถึง ทาไดโ้ ดยมีผูอ้ ่นื พาทา เกณฑก์ ารผ่าน คอื ผู้เรยี นทาไดร้ ะดบั 4 หรือ 5
ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๒๐ กิจกรรมท่ี 2 ระบายสีรปู ภาพขนาดใหญ่ วัตถุประสงค์ การระบายสี จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. ผเู้ รียนสามารถระบายสีรปู รา่ งรปู ทรงตา่ งๆ ได้ 2. ผู้เรียนสามารถระบายสีไมไ้ ดถ้ ูกตอ้ งตามแบบอย่างศลิ ปะ จุดประสงค์ 1. พัฒนาทักษะกลา้ มเน้ือมัดเลก็ 2. ให้ความร่วมมือกับผอู้ ืน่ อย่างมคี วามสขุ 3. ฝกึ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งมอื กบั ตา 4. ฝึกสมาธิความสนใจให้ผู้เรยี นได้ 5. ฝกึ ทักษะการระบายสี ขดี เขยี น เนอื้ หา 1. ระบายสรี ูปภาพขนาดใหญ่ กจิ กรรมการเรียนรู้ ขนั้ นา 1. ผูส้ อนและผู้เรยี นทกั ทาย “สวัสดีครบั ” และ “สวัสดคี ่ะ” โดยผสู้ อนรอ้ งเป็นเพลงและ ท่าทางให้ผู้เรียนสนใจ 2. ผสู้ อนอธบิ ายกิจกรรมทจ่ี ะทา และนาเสนออปุ กรณ์ต่างๆ ในกิจกรรมน้นั ๆ 3. ผสู้ อนสาธติ นำรปู ภำพขนำดใหญม่ ำระบำยสไี มใ่ หอ้ อกนอกภำพทำตัวอย่ำงใหผ้ ู้เรยี นทำเป็น แบบอยำ่ ง ขั้นสอน 1.ผ้เู รียนรูจ้ ักอุปกรณ์ตา่ ง ๆ เชน่ รูปภาพขนาดใหญ่ (รูปสัตว)์ 2.ผู้เรยี นเดนิ มาหยบิ อุปกรณท์ ี่ผ้สู อนกาหนด 3.ผู้เรียนนาสรี ะบายในรูปภาพขนาดใหญไ่ ม่ใหอ้ อกนอกภาพ ข้นั สรปุ ๑. ผู้เรยี นนำผลงำนมำตดิ บอร์ดและบอกวำ่ รูปภำพทีร่ ะบำยสีเปน็ รปู อะไรและมสี ีอะไรบำ้ ง ท่ีนำมำระบำย ๒. ผูเ้ รยี นเก็บอปุ กรณ์ท่ีทำไว้ท่ใี ห้เรียบร้อยและเดินมำส่งงำนทีละคนและตรวจผลงำนผเู้ รียน 3. ครูพูดคุยกับผู้เรยี น ซกั ถาม เกย่ี วกบั กิจกรรม 4. เมือ่ หมดชัว่ โมงผสู้ อนใหน้ ักเรยี นกลา่ ว “ขอบคุณครบั ” และ “ขอบคณุ คะ่ ” สือ่ /อปุ กรณ์ ๑. กระดำษ ๒. แบบรูปทรงกรอบขนำดใหญ่ ๓. สีไม้
ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๒๑ การวัดและประเมนิ ผล วธิ ีการสงั เกตพฤติกรรมผ้เู รียน และบันทกึ ระดบั ความสามารถของผู้เรียนในแบบประเมินผลการ เรียนรู้ เครอ่ื งมือแบบประเมินผลการเรยี นรกู้ จิ กรรมศลิ ปะบาบัด เกณฑ์การวัดและประเมินผล เกณฑ์การใหค้ ะแนน 5 หมายถึง ทาได้ด้วยตนเองและเป็นแบบอย่างผอู้ ่ืนได้ 4 หมายถึง ทาไดด้ ว้ ยตนเอง 3 หมายถึง ทาได้โดยมกี ารช่วยเหลอื ชแ้ี นะจากผู้อน่ื บ้างเล็กนอ้ ย 2 หมายถึง ทาได้โดยมีการชว่ ยเหลอื ชี้แนะ จากผู้อ่ืน 1 หมายถึง ทาได้โดยมีผูอ้ นื่ พาทา เกณฑก์ ารผ่าน คือ ผ้เู รียนทาไดร้ ะดบั 4 หรอื 5
ศลิ ปะบำบดั A r t T h e r a p y ๒๒ กจิ กรรมท่ี 3 วาดรปู ทรงตามแบบท่ีกาหนดและระบายสี วตั ถุประสงค์ การระบายสี จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 1. ผูเ้ รียนสามารถระบายสีรูปรา่ งรูปทรงตา่ งๆ ได้ 2. ผูเ้ รียนสามารถระบายสีไม้ได้ถกู ต้องตามแบบอย่างศลิ ปะ จดุ ประสงค์ 1. พัฒนาทักษะกลา้ มเนอ้ื มดั เลก็ 2. ให้ความร่วมมอื กับผู้อื่นอยา่ งมีความสุข 3. ฝึกความสมั พนั ธร์ ะหว่างมือกับตา 4. ฝึกสมาธิความสนใจให้ผู้เรียนได้ 5. ฝกึ ทักษะการระบายสี ขีด เขียน เนอ้ื หา 1. วำดรูปทรงตำมแบบท่กี ำหนดและระบำยสี กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนา 1. ผูส้ อนและผู้เรยี นทกั ทาย “สวัสดคี รับ” และ “สวัสดคี ะ่ ” โดยผสู้ อนร้องเป็นเพลงและ ท่าทางให้ผ้เู รียนสนใจ 2. ผู้สอนอธบิ ายกิจกรรมที่จะทา และนาเสนออุปกรณต์ ่างๆ ในกจิ กรรมน้ันๆ 3. ผสู้ อนสาธติ กำรระบำยสที ่ีถูกวธิ ี ข้นั สอน 1. ผ้เู รียนรจู้ ักอุปกรณ์ตา่ งๆ เชน่ รูปภาพรูปทรง 2. ผ้เู รยี นเดนิ มาหยิบอุปกรณ์ที่ผู้สอนกาหนด 3. ผู้เรียนวาดแบบรูปทรงท่กี าหนดลงบนกระดาษ 4. ผเู้ รียนนาสรี ะบาย ลงไปทภี่ าพรูปทรงให้สวยงาม ขนั้ สรปุ ๑. ผู้เรยี นนำผลงำนมำตดิ บอร์ดและบอกว่ำรูปภำพท่รี ะบำยสเี ปน็ รปู อะไรและมสี อี ะไรบำ้ ง ทีน่ ำมำระบำย ๒. ผูเ้ รียนเก็บอุปกรณ์ท่ีทำไว้ท่ใี ห้เรยี บร้อยและเดนิ มำสง่ งำนทีละคนและตรวจผลงำนผู้เรียน 3. ครพู ูดคยุ กบั ผู้เรียน ซักถาม เก่ียวกับกิจกรรม 4. เม่อื หมดชั่วโมงผูส้ อนให้นักเรียนกลา่ ว “ขอบคุณครับ” และ “ขอบคณุ ค่ะ” ส่อื /อุปกรณ์ ๑. รปู ทรงวำดแบบลำยเสน้ ๒.กระดำษ ๓. สไี ม้
ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๒๓ การวัดและประเมนิ ผล วธิ ีการสงั เกตพฤติกรรมผ้เู รียน และบันทกึ ระดบั ความสามารถของผู้เรียนในแบบประเมินผลการ เรียนรู้ เครอ่ื งมือแบบประเมินผลการเรยี นรกู้ จิ กรรมศลิ ปะบาบัด เกณฑ์การวัดและประเมินผล เกณฑ์การใหค้ ะแนน 5 หมายถึง ทาได้ด้วยตนเองและเป็นแบบอย่างผอู้ ่ืนได้ 4 หมายถึง ทาไดด้ ว้ ยตนเอง 3 หมายถึง ทาได้โดยมกี ารช่วยเหลอื ชแ้ี นะจากผู้อน่ื บ้างเล็กนอ้ ย 2 หมายถึง ทาได้โดยมีการชว่ ยเหลอื ชี้แนะ จากผู้อ่ืน 1 หมายถึง ทาได้โดยมีผูอ้ นื่ พาทา เกณฑก์ ารผ่าน คือ ผ้เู รียนทาไดร้ ะดบั 4 หรอื 5
ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๒๔ กจิ กรรมที่ 4 วาดรูป วงกลม, สามเหล่ียม, สีเ่ หล่ียม โดยไมม่ เี ส้นกาหนด (อสิ ระ) วัตถุประสงค์ การระบายสี จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1. ผู้เรียนสามารถระบายสรี ูปรา่ งรูปทรงตา่ งๆ ได้ 2. ผู้เรียนสามารถระบายสไี ม้ไดถ้ ูกตอ้ งตามแบบอยา่ งศลิ ปะ จดุ ประสงค์ 1. พฒั นาทักษะกล้ามเนือ้ มัดเล็ก 2. ให้ความร่วมมือกบั ผอู้ ่ืนอย่างมคี วามสขุ 3. ฝึกความสมั พนั ธร์ ะหว่างมอื กับตา 4. ฝกึ สมาธิความสนใจใหผ้ ู้เรยี นได้ 5. ฝกึ ทกั ษะการระบายสี ขีด เขียน เนอื้ หา 1. วำดรูป วงกลม, สำมเหลย่ี ม, ส่ีเหลีย่ ม โดยไมม่ ีเส้นกำหนด (อิสระ) กิจกรรมการเรียนรู้ ขน้ั นา 1. ผสู้ อนและผู้เรยี นทกั ทาย “สวัสดีครบั ” และ “สวสั ดคี ่ะ” โดยผูส้ อนรอ้ งเปน็ เพลงและ ทา่ ทางให้ผู้เรียนสนใจ 2. ผู้สอนอธิบายกิจกรรมที่จะทา และนาเสนออุปกรณต์ ่างๆ ในกิจกรรมนัน้ ๆ 3. ผู้สอนสาธิตกำรระบำยสีท่ีถูกวธิ ี ขนั้ สอน ๑. ผเู้ รียนดกู ำรสำธิตกำรวำดรปู ของผู้สอน ๒. ผู้เรยี นหยิบดินสอสีนำมำวำดรปู ตำมทผี่ ู้สอนสำธิต ๓. ผู้เรียนวำดรปู วงกลม, สำมเหลยี่ ม, สี่เหล่ียม อย่ำงอิสระ ๔. ผู้เรียนใช้ดินสอสี ระบำยสีลงบนรูปทรงที่ผูเ้ รยี นวำดให้สวยงำม ขัน้ สรุป ๑. ผู้เรียนนำผลงำนมำตดิ บอร์ดและบอกวำ่ รูปภำพที่ระบำยสเี ป็นรูปอะไรและมสี อี ะไรบำ้ ง ท่นี ำมำระบำย ๒. ผู้เรียนเกบ็ อปุ กรณท์ ่ีทำไวท้ ่ใี ห้เรียบร้อยและเดินมำส่งงำนทลี ะคนและตรวจผลงำนผู้เรียน 3. ครพู ูดคุยกบั ผู้เรยี น ซกั ถาม เกยี่ วกับกจิ กรรม 4. เมอ่ื หมดชั่วโมงผ้สู อนใหน้ กั เรยี นกลา่ ว “ขอบคุณครบั ” และ “ขอบคณุ คะ่ ” สื่อ /อปุ กรณ์ ๑. กระดำษ ๑ แผ่น ๒. ดนิ สอสี การวดั และประเมินผล
ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๒๕ วธิ กี ารสังเกตพฤติกรรมผูเ้ รียน และบนั ทึกระดบั ความสามารถของผู้เรยี นในแบบประเมินผลการ เรยี นรู้ เครื่องมอื แบบประเมินผลการเรยี นรู้กจิ กรรมศลิ ปะบาบดั เกณฑก์ ารวดั และประเมินผล เกณฑ์การใหค้ ะแนน 5 หมายถงึ ทาได้ดว้ ยตนเองและเป็นแบบอยา่ งผอู้ ่ืนได้ 4 หมายถึง ทาได้ดว้ ยตนเอง 3 หมายถงึ ทาได้โดยมกี ารช่วยเหลอื ช้ีแนะจากผู้อน่ื บ้างเล็กนอ้ ย 2 หมายถึง ทาไดโ้ ดยมกี ารช่วยเหลือ ชี้แนะ จากผู้อ่ืน 1 หมายถึง ทาได้โดยมีผ้อู ่นื พาทา เกณฑก์ ารผา่ น คอื ผู้เรยี นทาได้ระดบั 4 หรือ 5
ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๒๖ กจิ กรรมที่ 5 ระบายสรี ูปภาพขนาดใหญ่ โดยใช้สีเมจกิ วัตถุประสงค์ การระบายสี จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1. ผเู้ รียนสามารถระบายสีรูปรา่ งรปู ทรงตา่ งๆ ได้ 2. ผเู้ รียนสามารถระบายสีเมจกิ ไดต้ ามหลักศิลปะ จุดประสงค์ 1. พฒั นาทกั ษะกลา้ มเนื้อมดั เล็ก 2. ใหค้ วามรว่ มมือกบั ผู้อืน่ อยา่ งมีความสุข 3. ฝึกความสมั พนั ธ์ระหว่างมือกับตา 4. ฝึกสมาธิความสนใจใหผ้ ู้เรียนได้ 5. ฝึกทกั ษะการระบายสี ขีด เขยี น เนอื้ หา 1. ระบำยสีรปู ภำพขนำดใหญ่ โดยใช้สีเมจกิ กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนา 1. ผู้สอนและผู้เรียนทักทาย “สวัสดคี รบั ” และ “สวสั ดคี ะ่ ” โดยผูส้ อนร้องเป็นเพลงและ ท่าทางให้ผู้เรียนสนใจ 2. ผู้สอนอธิบายกิจกรรมทจี่ ะทา และนาเสนออุปกรณ์ต่างๆ ในกิจกรรมนน้ั ๆ 3. ผู้สอนสาธติ กำรระบำยสีที่ถกู วธิ ี ขั้นสอน ๑. ผู้เรยี นฝกึ กำรใชแ้ ละกำรจับสเี มจกิ ใหถ้ กู วิธี ๒. ผู้เรียนเลอื กสีเมจกิ ตำมสีท่ีตอ้ งกำร ๓. ผู้เรียนหยิบสีเมจกิ ระบำยสีลงบนรปู ภำพขนำดใหญ่ให้สวยงำม ขัน้ สรุป ๑. ผู้เรียนนำผลงำนมำตดิ บอร์ดและบอกวำ่ รปู ภำพที่ระบำยสีเป็นรปู อะไรและมีสีอะไรบำ้ ง ทนี่ ำมำระบำย ๒. ผเู้ รยี นเก็บอปุ กรณ์ท่ีทำไวท้ ีใ่ ห้เรยี บร้อยและเดินมำสง่ งำนทีละคนและตรวจผลงำนผเู้ รียน 3. ครพู ูดคุยกบั ผู้เรียน ซกั ถาม เกย่ี วกับกิจกรรม 4. เม่อื หมดชั่วโมงผู้สอนให้นักเรียนกลา่ ว “ขอบคุณครับ” และ “ขอบคณุ ค่ะ” สอ่ื /อุปกรณ์ ๑. รูปภำพขนำดใหญ่ ๑ รปู ๒. สเี มจกิ การวดั และประเมนิ ผล
ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๒๗ วธิ กี ารสังเกตพฤติกรรมผูเ้ รียน และบนั ทึกระดบั ความสามารถของผู้เรยี นในแบบประเมินผลการ เรยี นรู้ เครื่องมอื แบบประเมินผลการเรยี นรู้กจิ กรรมศลิ ปะบาบดั เกณฑก์ ารวดั และประเมินผล เกณฑ์การใหค้ ะแนน 5 หมายถงึ ทาได้ดว้ ยตนเองและเป็นแบบอยา่ งผอู้ ่ืนได้ 4 หมายถึง ทาได้ดว้ ยตนเอง 3 หมายถงึ ทาได้โดยมกี ารช่วยเหลอื ช้ีแนะจากผู้อน่ื บ้างเล็กนอ้ ย 2 หมายถึง ทาไดโ้ ดยมกี ารช่วยเหลือ ชี้แนะ จากผู้อ่ืน 1 หมายถึง ทาได้โดยมีผ้อู ่นื พาทา เกณฑก์ ารผา่ น คอื ผู้เรยี นทาได้ระดบั 4 หรือ 5
ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๒๘ กจิ กรรมที่ 6 ระบายสีรปู ภาพขนาดเล็ก, ใหญ่ (หลายรปู ) โดยใช้สีเมจกิ วตั ถุประสงค์ การระบายสี จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 1. ผู้เรยี นสามารถระบายสรี ปู รา่ งรูปทรงตา่ งๆ ได้ 2. ผู้เรยี นสามารถระบายสเี มจิกได้ตามหลักศิลปะ จดุ ประสงค์ 1. พฒั นาทกั ษะกลา้ มเนือ้ มดั เลก็ 2. ใหค้ วามรว่ มมอื กบั ผอู้ ่ืนอย่างมีความสขุ 3. ฝกึ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างมอื กบั ตา 4. ฝึกสมาธิความสนใจให้ผู้เรียนได้ 5. ฝกึ ทกั ษะการระบายสี ขีด เขียน เนอื้ หา 1. ระบำยสีรปู ภำพขนำดเล็ก, ใหญ่ (หลำยรูป) โดยใชส้ ีเมจกิ กิจกรรมการเรยี นรู้ ข้นั นา 1. ผู้สอนและผู้เรยี นทกั ทาย “สวัสดีครับ” และ “สวัสดคี ่ะ” โดยผู้สอนร้องเป็นเพลงและ ทา่ ทางให้ผเู้ รยี นสนใจ 2. ผสู้ อนอธิบายกจิ กรรมที่จะทา และนาเสนออปุ กรณ์ต่างๆ ในกิจกรรมนนั้ ๆ 3. ผสู้ อนสาธิตกำรระบำยสีท่ีถูกวิธี ข้นั สอน ๑. ผู้เรยี นฝึกกำรใชแ้ ละกำรจับสีเมจิกให้ถูกวธิ ี ๒. ผู้เรยี นเลอื กสีเมจิกตำมสที ีต่ ้องกำร ๓. ผู้เรียนหยิบสีเมจิกระบำยสลี งบนรูปภำพขนำดเลก็ และใหญ่ (หลำยรูป) ใหส้ วยงำม ให้ เห็นขนำดท่แี ตกต่ำงกนั ของรปู ทรง ขัน้ สรุป ๑. ผู้เรยี นใหค้ วำมร่วมมือในกำรทำกิจกรรมและมีสมำธิสำมำรถใช้ตำประสำนสมั พันธก์ ับมอื ขณะทำ กจิ กรรมได้ ๒. ผู้เรียนเกบ็ อุปกรณ์ท่ีทำไว้ท่ีให้เรียบรอ้ ยและเดินมำส่งงำนทลี ะคนและตรวจผลงำนผู้เรียน 3. ครูพูดคยุ กับผู้เรียน ซกั ถาม เก่ยี วกบั กิจกรรม 4. เมือ่ หมดช่วั โมงผูส้ อนให้นักเรยี นกล่าว “ขอบคุณครบั ” และ “ขอบคณุ คะ่ ” สื่อ /อุปกรณ์ ๑. รปู ภำพขนำดเล็ก และ ใหญ่หลำยรปู ๒. สีเมจิก การวัดและประเมินผล
ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๒๙ วธิ กี ารสังเกตพฤติกรรมผูเ้ รียน และบนั ทึกระดบั ความสามารถของผู้เรยี นในแบบประเมินผลการ เรยี นรู้ เครื่องมอื แบบประเมินผลการเรยี นรู้กจิ กรรมศลิ ปะบาบดั เกณฑก์ ารวดั และประเมินผล เกณฑ์การใหค้ ะแนน 5 หมายถงึ ทาได้ดว้ ยตนเองและเป็นแบบอยา่ งผอู้ ่ืนได้ 4 หมายถึง ทาได้ดว้ ยตนเอง 3 หมายถงึ ทาได้โดยมกี ารช่วยเหลอื ช้ีแนะจากผู้อน่ื บ้างเล็กนอ้ ย 2 หมายถึง ทาไดโ้ ดยมกี ารช่วยเหลือ ชี้แนะ จากผู้อ่ืน 1 หมายถึง ทาได้โดยมีผ้อู ่นื พาทา เกณฑก์ ารผา่ น คอื ผู้เรยี นทาได้ระดบั 4 หรือ 5
ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓๐ กจิ กรรมที่ 7 วาดภาพตามเสน้ ปะไขป่ ลา และระบายสีให้สวยงาม (รปู ภาพขนาดใหญ่ ๑ รปู ) วัตถุประสงค์ การระบายสี จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. ผ้เู รยี นสามารถระบายสรี ูปร่างรปู ทรงต่างๆ ได้ 2. ผู้เรียนสามารถลากเสน้ ตามแนวเส้นปะไข่ปลาได้ จดุ ประสงค์ 1. พฒั นาทกั ษะกลา้ มเน้อื มดั เลก็ 2. ใหค้ วามรว่ มมือกบั ผ้อู ืน่ อยา่ งมีความสขุ 3. ฝกึ ความสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา 4. ฝึกสมาธิความสนใจใหผ้ ู้เรยี นได้ 5. ฝึกทกั ษะการระบายสี ขีด เขียน เนอ้ื หา 1. วำดภำพตำมเสน้ ปะไข่ปลำ และระบำยสใี ห้สวยงำม (รูปภาพขนาดใหญ่ ๑ รปู ) กิจกรรมการเรยี นรู้ ขนั้ นา 1. ผู้สอนและผู้เรยี นทักทาย “สวัสดีครับ” และ “สวสั ดีคะ่ ” โดยผสู้ อนรอ้ งเป็นเพลงและ ทา่ ทางให้ผเู้ รียนสนใจ 2. ผู้สอนอธบิ ายกิจกรรมท่ีจะทา และนาเสนออุปกรณ์ต่างๆ ในกจิ กรรมนั้นๆ 3. ผสู้ อนสาธติ กำรระบำยสีที่ถกู วิธี ข้ันสอน ๑. ผู้เรยี นจบั ดินสอวำดภำพตำมเสน้ ปะไขป่ ลำ (รูปภำพขนำนใหญ่) ๒. ผู้เรียนนำรูปภำพทว่ี ำดภำพตำมเส้นเสรจ็ แล้วมำระบำยสีให้สวยงำม ข้ันสรุป ๑. ผู้เรยี นใหค้ วำมร่วมมือในกำรทำกจิ กรรมและมีสมำธิสำมำรถใช้ตำประสำนสัมพันธก์ ับมือขณะทำ กิจกรรมได้ ๒. ผูเ้ รยี นเกบ็ อปุ กรณ์ท่ีทำไว้ทีใ่ หเ้ รยี บรอ้ ยและเดินมำส่งงำนทลี ะคนและตรวจผลงำนผเู้ รียน 3. ครูพูดคยุ กบั ผู้เรียน ซักถาม เก่ียวกบั กจิ กรรม 4. เมอื่ หมดชว่ั โมงผู้สอนใหน้ ักเรียนกลา่ ว “ขอบคุณครบั ” และ “ขอบคุณคะ่ ” ส่อื /อุปกรณ์ ๑. กระดำษรปู ภำพท่ีมีเส้นปะไข่ปลำ ๑ แผน่ ๒. ดินสอ ๓. ดนิ สอสี การวัดและประเมนิ ผล
ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓๑ วธิ กี ารสงั เกตพฤติกรรมผูเ้ รียน และบนั ทกึ ระดบั ความสามารถของผู้เรยี นในแบบประเมนิ ผลการ เรยี นรู้ เครือ่ งมือแบบประเมินผลการเรียนรู้กจิ กรรมศลิ ปะบาบดั เกณฑ์การวัดและประเมนิ ผล เกณฑ์การให้คะแนน 5 หมายถึง ทาไดด้ ว้ ยตนเองและเป็นแบบอย่างผู้อื่นได้ 4 หมายถงึ ทาไดด้ ้วยตนเอง 3 หมายถงึ ทาไดโ้ ดยมกี ารช่วยเหลอื ชีแ้ นะจากผู้อื่นบ้างเล็กนอ้ ย 2 หมายถึง ทาไดโ้ ดยมีการชว่ ยเหลอื ช้แี นะ จากผู้อ่ืน 1 หมายถึง ทาไดโ้ ดยมีผ้อู ่นื พาทา เกณฑก์ ารผา่ น คือ ผูเ้ รยี นทาได้ระดับ 4 หรอื 5
ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๓๒ กจิ กรรมที่ 8 วาดภาพตามเสน้ ปะไข่ปลา และระบายสีให้สวยงาม (รปู ภาพขนาดเลก็ หลายรปู ) วัตถุประสงค์ การระบายสี จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 1. ผ้เู รียนสามารถระบายสรี ูปรา่ งรปู ทรงตา่ งๆ ได้ 2. ผูเ้ รยี นสามารถลากเส้นตามแนวเส้นปะไข่ปลาได้ จดุ ประสงค์ 1. พฒั นาทักษะกล้ามเนือ้ มัดเล็ก 2. ใหค้ วามรว่ มมอื กบั ผู้อนื่ อย่างมีความสขุ 3. ฝกึ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างมอื กับตา 4. ฝึกสมาธิความสนใจใหผ้ ู้เรยี นได้ 5. ฝกึ ทกั ษะการระบายสี ขีด เขียน เนือ้ หา 1. วำดภำพตำมเสน้ ปะไข่ปลำ และระบำยสีให้สวยงำม (รปู ภำพขนำดเล็กหลำยรปู ) กิจกรรมการเรียนรู้ ขน้ั นา 1. ผู้สอนและผู้เรยี นทักทาย “สวัสดคี รบั ” และ “สวัสดคี ะ่ ” โดยผู้สอนรอ้ งเปน็ เพลงและ ท่าทางให้ผู้เรียนสนใจ 2. ผู้สอนอธบิ ายกิจกรรมทีจ่ ะทา และนาเสนออุปกรณต์ ่างๆ ในกิจกรรมนน้ั ๆ 3. ผ้สู อนสาธิตกำรระบำยสที ่ีถูกวิธี ขนั้ สอน ๑. ผเู้ รยี นจบั ดนิ สอวำดภำพตำมเส้นปะไข่ปลำ (รูปภำพขนำนเล็ก) ๒. ผูเ้ รยี นนำรปู ภำพที่วำดภำพตำมเส้นเสร็จแลว้ มำระบำยสใี ห้สวยงำม ขน้ั สรุป ๑. ผู้เรยี นให้ควำมรว่ มมือในกำรทำกิจกรรมและมสี มำธิสำมำรถใช้ตำประสำนสัมพันธ์กับมอื ขณะทำ กจิ กรรมได้ ๒. ผู้เรยี นเก็บอุปกรณ์ที่ทำไวท้ ใี่ ห้เรียบร้อยและเดินมำส่งงำนทีละคนและตรวจผลงำนผเู้ รยี น 3. ครพู ูดคยุ กับผู้เรียน ซักถาม เกี่ยวกับกิจกรรม 4. เม่ือหมดชัว่ โมงผู้สอนใหน้ ักเรยี นกลา่ ว “ขอบคุณครับ” และ “ขอบคุณคะ่ ” สอ่ื /อุปกรณ์ ๑. กระดำษรปู ภำพที่มีเส้นปะไขป่ ลำ ๑ แผ่น ๒. ดินสอ ๓. ดินสอสี การวัดและประเมินผล
ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓๓ วธิ กี ารสังเกตพฤติกรรมผูเ้ รียน และบนั ทึกระดบั ความสามารถของผู้เรยี นในแบบประเมินผลการ เรยี นรู้ เครื่องมอื แบบประเมินผลการเรยี นรู้กจิ กรรมศลิ ปะบาบดั เกณฑก์ ารวดั และประเมินผล เกณฑ์การใหค้ ะแนน 5 หมายถงึ ทาได้ดว้ ยตนเองและเป็นแบบอยา่ งผอู้ ่ืนได้ 4 หมายถึง ทาได้ดว้ ยตนเอง 3 หมายถงึ ทาได้โดยมกี ารช่วยเหลอื ช้ีแนะจากผู้อน่ื บ้างเล็กนอ้ ย 2 หมายถึง ทาไดโ้ ดยมกี ารช่วยเหลือ ชี้แนะ จากผู้อ่ืน 1 หมายถึง ทาได้โดยมีผ้อู ่นื พาทา เกณฑก์ ารผา่ น คอื ผู้เรยี นทาได้ระดบั 4 หรือ 5
ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓๔ กจิ กรรมที่ 9 โยงเสน้ จบั ค่รู ูปสัตว์และระบายสี วตั ถปุ ระสงค์ การระบายสี จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. ผู้เรยี นสามารถระบายสรี ปู รา่ งรปู ทรงต่างๆ ได้ 2. ผเู้ รยี นสามารถระบายสไี ม้ได้ถกู ต้องตามแบบอยา่ งศิลปะ 3. ผเู้ รยี นลากเสน้ ได้ดว้ ยตนเอง จดุ ประสงค์ 1. พัฒนาทักษะกล้ามเน้ือมัดเลก็ 2. ใหค้ วามร่วมมือกับผ้อู ่นื อยา่ งมีความสขุ 3. ฝกึ ความสมั พันธ์ระหวา่ งมอื กบั ตา 4. ฝกึ สมาธิความสนใจให้ผู้เรยี นได้ 5. ฝกึ ทกั ษะการระบายสี ขดี เขยี น เนอ้ื หา 1. โยงเส้นจับค่รู ปู สัตว์และระบำยสี กิจกรรมการเรียนรู้ ขน้ั นา 1. ผสู้ อนและผู้เรียนทกั ทาย “สวัสดคี รับ” และ “สวัสดคี ่ะ” โดยผูส้ อนรอ้ งเป็นเพลงและ ท่าทางให้ผ้เู รยี นสนใจ 2. ผสู้ อนอธิบายกจิ กรรมทจ่ี ะทา และนาเสนออุปกรณ์ต่างๆ ในกจิ กรรมนนั้ ๆ 3. ผสู้ อนสำธิตนำรูปสตั วม์ ำตดั และทำกำวตดิ รปู สตั วล์ งไปบนกระดำษ โยงเส้นจับคใู่ หต้ รงกันกับ ที่ตดิ รปู สัตว์ลงไปและระบำยสีทำตวั อย่ำงใหผ้ ู้เรยี นทำเป็นแบบอย่ำง ข้ันสอน 1.ผเู้ รียนร้จู ักอปุ กรณต์ า่ ง ๆ เชน่ ภาพรูปสัตว์,กรรไกร 2.ผเู้ รียนเดินมาหยบิ อุปกรณท์ ่ีผ้สู อนกาหนด 3.ผ้เู รียนตัดรปู สตั ว์และทากาวลงบนกระดาษนารูปสตั วท์ ตี่ ัดตดิ ลงไป 4.ผเู้ รียนระบายสีทงั้ ๒ ฝ่งั ให้สวยงาม 5.ผูเ้ รยี นโยงเสน้ จับครู่ ูปสัตวท์ ี่เหมือนกนั ข้นั สรปุ ๑. ผู้เรียนให้ควำมรว่ มมอื ในกำรทำกจิ กรรมและมีสมำธิสำมำรถใช้ตำประสำนสมั พันธก์ บั มอื ขณะทำ กจิ กรรมได้ ๒. ผเู้ รียนเกบ็ อปุ กรณ์ที่ทำไวท้ ี่ให้เรยี บร้อยและเดินมำส่งงำนทีละคนและตรวจผลงำนผู้เรยี น 3. ครพู ูดคยุ กับผู้เรยี น ซักถาม เกยี่ วกบั กิจกรรม 4. เมอื่ หมดช่วั โมงผู้สอนใหน้ ักเรียนกล่าว “ขอบคุณครับ” และ “ขอบคณุ คะ่ ” สอื่ /อปุ กรณ์ ๑. ภำพรูปสตั วท์ ี่กำหนด
ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓๕ ๒. กรรไกร ๓. กำว ๔. สไี ม้ การวัดและประเมินผล วิธีการสังเกตพฤติกรรมผเู้ รยี น และบนั ทกึ ระดบั ความสามารถของผู้เรยี นในแบบประเมินผลการ เรยี นรู้ เคร่อื งมอื แบบประเมินผลการเรยี นรู้กจิ กรรมศลิ ปะบาบดั เกณฑก์ ารวัดและประเมินผล เกณฑ์การให้คะแนน 5 หมายถึง ทาได้ดว้ ยตนเองและเป็นแบบอย่างผอู้ ่ืนได้ 4 หมายถงึ ทาไดด้ ว้ ยตนเอง 3 หมายถึง ทาไดโ้ ดยมกี ารช่วยเหลือ ชี้แนะจากผู้อน่ื บ้างเล็กนอ้ ย 2 หมายถงึ ทาไดโ้ ดยมกี ารช่วยเหลอื ชี้แนะ จากผู้อ่ืน 1 หมายถึง ทาได้โดยมีผ้อู ื่นพาทา เกณฑก์ ารผ่าน คอื ผู้เรยี นทาได้ระดบั 4 หรือ 5
ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓๖ กิจกรรมท่ี 10 วาดรปู ตามมือตัวเองและระบายสีใหส้ วยงาม วัตถปุ ระสงค์ การระบายสี จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. ผูเ้ รียนสามารถระบายสีรูปรา่ งรูปทรงตา่ งๆ ได้ 2. ผู้เรยี นสามารถระบายสีไมไ้ ดถ้ ูกตอ้ งตามแบบอยา่ งศลิ ปะ 3. ผู้เรยี นลากเสน้ ไดด้ ้วยตนเอง จดุ ประสงค์ 1. พัฒนาทักษะกล้ามเน้ือมดั เลก็ 2. ใหค้ วามร่วมมอื กับผู้อ่นื อยา่ งมคี วามสขุ 3. ฝกึ ความสมั พนั ธ์ระหว่างมือกบั ตา 4. ฝึกสมาธิความสนใจให้ผู้เรียนได้ 5. ฝึกทกั ษะการระบายสี ขีด เขียน เนื้อหา 1. วำดรูปตำมมือตวั เองและระบำยสีให้สวยงำม กิจกรรมการเรยี นรู้ ขั้นนา 1. ผูส้ อนและผู้เรียนทกั ทาย “สวัสดีครับ” และ “สวัสดคี ะ่ ” โดยผู้สอนร้องเปน็ เพลงและ ท่าทางให้ผู้เรียนสนใจ 2. ผสู้ อนอธบิ ายกจิ กรรมท่จี ะทา และนาเสนออปุ กรณต์ า่ งๆ ในกิจกรรมน้ันๆ 3. ผ้สู อนสำธิตนำรปู สตั ว์มำตดั และทำกำวติดรปู สัตวล์ งไปบนกระดำษ โยงเส้นจบั คใู่ หต้ รงกันกับ ทตี่ ิดรปู สัตวล์ งไปและระบำยสีทำตวั อย่ำงให้ผู้เรยี นทำเป็นแบบอย่ำง ขนั้ สอน 1. ผูเ้ รยี นฝึกวางมอื ทาบลงบนกระดาษ 2. ผู้เรียนหยิบดินสอสีแล้ววาดรปู มอื ตวั เองทีก่ ระดาษ 3. ผ้เู รียนระบายสลี งบนกระดาษใหส้ วยงาม ขั้นสรุป ๑. ผู้เรยี นให้ควำมร่วมมือในกำรทำกจิ กรรมและมีสมำธิสำมำรถใช้ตำประสำนสมั พันธ์กบั มือขณะทำ กิจกรรมได้ ๒. ผูเ้ รียนเก็บอุปกรณ์ที่ทำไว้ท่ีให้เรียบร้อยและเดินมำสง่ งำนทลี ะคนและตรวจผลงำนผู้เรยี น 3. ครูพูดคยุ กับผู้เรียน ซักถาม เกยี่ วกบั กจิ กรรม 4. เมอ่ื หมดช่วั โมงผูส้ อนให้นกั เรียนกล่าว “ขอบคุณครบั ” และ “ขอบคณุ ค่ะ” สือ่ /อุปกรณ์ ๑ กระดำษ ๑ แผน่ ๒ ๒. ดินสอสี
ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓๗ ๓ ๓. อวัยวะ (มอื ตัวเอง) การวดั และประเมนิ ผล วธิ กี ารสังเกตพฤติกรรมผู้เรียน และบนั ทกึ ระดบั ความสามารถของผู้เรยี นในแบบประเมินผลการ เรียนรู้ เครอ่ื งมอื แบบประเมินผลการเรียนรู้กจิ กรรมศลิ ปะบาบดั เกณฑ์การวดั และประเมินผล เกณฑก์ ารให้คะแนน 5 หมายถึง ทาได้ดว้ ยตนเองและเป็นแบบอย่างผอู้ ่ืนได้ 4 หมายถงึ ทาไดด้ ว้ ยตนเอง 3 หมายถึง ทาไดโ้ ดยมกี ารช่วยเหลือ ชี้แนะจากผู้อน่ื บ้างเล็กนอ้ ย 2 หมายถงึ ทาไดโ้ ดยมกี ารช่วยเหลอื ชี้แนะ จากผู้อ่ืน 1 หมายถึง ทาได้โดยมีผ้อู ื่นพาทา เกณฑก์ ารผ่าน คอื ผู้เรยี นทาได้ระดบั 4 หรือ 5
ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๓๘ แผนการสอน ศิลปะบาบดั หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 ประตมิ ากรรม กจิ กรรมท่ี 11 กดดนิ นำ้ มนั ตำมชอ่ งว่ำงรปู ภำพ ส.ค. – ก.ย. วัตถปุ ระสงค์ ฝกึ ทกั ษะกำรปั้น จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม 1. ผูเ้ รียนใชน้ ิมมือกดดินได้ เริ่มใช้แผนวนั ท่ี 1 ส.ค. 2564 สน้ิ สุดแผน 30 ก.ย. 2564 ใชเ้ วลาสอน คำบละ 60 นำที พฒั นาการที่เกดิ ขน้ึ ระหวา่ งการเรียนการสอน พฒั นำกำรด้ำนรำ่ งกำย พัฒนำกำรดำ้ นอำรมณ์ พฒั นำกำรดำ้ นกำร พฒั นำกำรด้ำนสติปญั ญำ และจติ ใจ ชว่ ยเหลือตนเองและสงั คม จดุ ประสงค์ 1. พฒั นำทักษะกล้ำมเนอื มัดเล็ก 2. ใหค้ วำมรว่ มมอื กับผ้อู น่ื อย่ำงมคี วำมสุข 3. ฝกึ ควำมสมั พันธร์ ะหวำ่ งมอื กบั ตำ 4. ฝกึ สมำธิควำมสนใจให้ผู้เรยี นได้ 5. ฝกึ ทกั ษะกำรปั้น เนอ้ื หา 1. กดดินนำมันตำมช่องว่ำงรูปภำพ กิจกรรมการเรยี นรู้ ข้ันนา 1. ผสู้ อนและผู้เรียนทักทำย “สวัสดีครับ” และ “สวสั ดีคะ่ ” โดยผสู้ อนรอ้ งเป็นเพลงและ ทำ่ ทำงให้ผู้เรยี นสนใจ 2. ผู้สอนอธบิ ำยกจิ กรรมท่ีจะท้ำ และน้ำเสนออุปกรณ์ต่ำงๆ ในกจิ กรรมนนั ๆ 3. ผูส้ อนสำธิตนำรูปสัตวม์ ำตดั และทำกำวติดรปู สัตวล์ งไปบนกระดำษ โยงเสน้ จบั ค่ใู หต้ รงกันกบั ท่ตี ดิ รปู สัตว์ลงไปและระบำยสีทำตัวอย่ำงให้ผู้เรียนทำเปน็ แบบอย่ำง ข้ันสอน ๑. ผู้เรียนฝึกปนั้ ดนิ นำมนั เป็นกอ้ นกลมเลก็ ๒. ผู้เรยี นใช้มือกดดินนำมันลงบนช่องวำ่ งของรปู ภำพท่ผี สู้ อนจัดเตรยี มไว้ให้ ข้ันสรปุ ๑. ผู้เรียนใหค้ วำมรว่ มมือในกำรทำกจิ กรรมและมสี มำธิสำมำรถใชต้ ำประสำนสัมพันธ์กับมอื ขณะทำ กิจกรรมได้ ๒. ผูเ้ รียนเกบ็ อปุ กรณ์ที่ทำไวท้ ่ใี หเ้ รียบรอ้ ยและเดินมำสง่ งำนทีละคนและตรวจผลงำนผู้เรียน 3. ครูพดู คุยกบั ผู้เรยี น ซักถำม เกย่ี วกับกิจกรรม 4. เมอื่ หมดชั่วโมงผสู้ อนใหน้ ักเรียนกล่ำว “ขอบคุณครบั ” และ “ขอบคุณค่ะ”
ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๓๙ ส่อื /อปุ กรณ์ ๑. ภำพรปู ทรงที่กำหนด ๒. ดนิ นำมนั ๓. ตะกร้ำขนำดเลก็ การวัดและประเมินผล วธิ กี ำรสังเกตพฤติกรรมผ้เู รยี น และบันทึกระดับควำมสำมำรถของผู้เรียนในแบบประเมินผลกำร เรยี นรู้ เครือ่ งมือแบบประเมนิ ผลการเรยี นรูก้ ิจกรรมศิลปะบาบดั เกณฑก์ ำรวดั และประเมนิ ผล เกณฑก์ ำรใหค้ ะแนน 5 หมำยถงึ ทำ้ ได้ดว้ ยตนเองและเป็นแบบอยำ่ งผอู้ ่ืนได้ 4 หมำยถึง ทำ้ ได้ดว้ ยตนเอง 3 หมำยถงึ ท้ำได้โดยมกี ำรช่วยเหลือ ชแี นะจำกผู้อน่ื บ้ำงเล็กน้อย 2 หมำยถงึ ท้ำได้โดยมกี ำรชว่ ยเหลือ ชีแนะ จำกผู้อ่ืน 1 หมำยถงึ ท้ำไดโ้ ดยมีผู้อืน่ พำท้ำ เกณฑ์กำรผำ่ น คือ ผู้เรียนทำ้ ได้ระดับ 4 หรือ 5
ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๔๐ กิจกรรมที่ 12 ปั้นแกว้ ใสข่ องดว้ ยดินน้ำมัน วตั ถปุ ระสงค์ กำรป้นั จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 1. ผู้เรียนใชน้ มิ มอื กดดินได้1. ผเู้ รยี นสำมำรถนวดดนิ ได้ 2. ผู้เรียนสำมำรถคลงึ ดินไดเ้ ป็นเสน้ แนวยำว 3. ผเู้ รยี นสำมำรถป้ันรปู ทรงกระบอกได้ จุดประสงค์ 1. พฒั นำทกั ษะกล้ำมเนือมัดเลก็ 2. ใหค้ วำมร่วมมอื กบั ผู้อ่นื อย่ำงมคี วำมสขุ 3. ฝกึ ควำมสมั พันธ์ระหว่ำงมอื กับตำ 4. ฝึกสมำธิควำมสนใจให้ผู้เรยี นได้ 5. ฝกึ ทักษะกำรป้ัน เนื้อหา 1. ป้นั แก้วใส่ของดว้ ยดนิ นำมัน กจิ กรรมการเรยี นรู้ ขน้ั นา 1. ผูส้ อนและผู้เรยี นทักทำย “สวัสดคี รบั ” และ “สวัสดีค่ะ” โดยผสู้ อนรอ้ งเปน็ เพลงและ ทำ่ ทำงให้ผูเ้ รยี นสนใจ 2. ผู้สอนอธิบำยกิจกรรมทจ่ี ะท้ำ และน้ำเสนออุปกรณ์ตำ่ งๆ ในกจิ กรรมนนั ๆ 3. ผสู้ อนสำธติ นำรูปสัตวม์ ำตดั และทำกำวติดรูปสัตวล์ งไปบนกระดำษ โยงเส้นจบั คใู่ ห้ตรงกันกับ ท่ีตดิ รูปสัตวล์ งไปและระบำยสที ำตัวอยำ่ งใหผ้ ู้เรียนทำเป็นแบบอยำ่ ง ขั้นสอน ๑. ผู้เรียนนำดนิ นำมนั มำคลงึ ให้เปน็ เส้นยำวประมำณ 20 ซม. ๒. ผูเ้ รียนนำดินนำมนั ทคี่ ลึงเสร็จแลว้ มำขดเหมอื นกน้ หอยพอื่ ทำฐำนแกว้ ๓. ผู้เรียนนำดนิ นำมันที่คลงึ เสรจ็ แล้ว นำมำขดรอบฐำนกน้ หอยเปน็ ชนั ให้ได้ ๑๐-๑๕ ชัน ๔. ผเู้ รียนตกแต่งลวดลำยแบบงำ่ ยๆ เหมำะสำหรบั ผู้เรียน ขัน้ สรปุ ๑. ผู้เรียนใหค้ วำมร่วมมอื ในกำรทำกิจกรรมและมสี มำธิสำมำรถใชต้ ำประสำนสัมพันธ์กับมือขณะทำ กิจกรรมได้ ๒. ผู้เรียนเกบ็ อปุ กรณ์ท่ีทำไวท้ ใ่ี หเ้ รยี บร้อยและเดินมำส่งงำนทลี ะคนและตรวจผลงำนผเู้ รยี น 3. ครูพูดคุยกบั ผู้เรยี น ซกั ถำม เกีย่ วกับกิจกรรม 4. เมื่อหมดช่ัวโมงผูส้ อนให้นกั เรียนกลำ่ ว “ขอบคุณครบั ” และ “ขอบคณุ ค่ะ”
ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๔๑ ส่อื /อปุ กรณ์ 1. ดนิ , 2. กระดำนไม้ 3. เศษผ้ำ การวดั และประเมนิ ผล วธิ ีกำรสังเกตพฤตกิ รรมผู้เรียน และบันทึกระดบั ควำมสำมำรถของผู้เรียนในแบบประเมินผลกำร เรยี นรู้ เครือ่ งมือแบบประเมนิ ผลการเรยี นรกู้ จิ กรรมศิลปะบาบดั เกณฑก์ ำรวดั และประเมนิ ผล เกณฑ์กำรให้คะแนน 5 หมำยถึง ท้ำได้ดว้ ยตนเองและเปน็ แบบอยำ่ งผอู้ ่ืนได้ 4 หมำยถึง ทำ้ ได้ด้วยตนเอง 3 หมำยถึง ท้ำได้โดยมีกำรชว่ ยเหลอื ชีแนะจำกผู้อน่ื บ้ำงเล็กน้อย 2 หมำยถึง ทำ้ ไดโ้ ดยมีกำรช่วยเหลือ ชแี นะ จำกผู้อ่ืน 1 หมำยถึง ทำ้ ไดโ้ ดยมีผู้อน่ื พำทำ้ เกณฑ์กำรผ่ำน คือ ผู้เรยี นท้ำไดร้ ะดับ 4 หรอื 5
ศิลปะบำบดั A r t T h e r a p y ๔๒ กจิ กรรมท่ี 13 ป้ันแก้วใสข่ องด้วยดินเหนียว วตั ถุประสงค์ กำรป้ัน จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม 1. ผู้เรยี นใชน้ มิ มือกดดินได้1. ผู้เรยี นสำมำรถนวดดินได้ 2. ผเู้ รยี นสำมำรถคลึงดนิ ไดเ้ ปน็ เส้นแนวยำว 3. ผู้เรยี นสำมำรถปัน้ รูปทรงกระบอกได้ จุดประสงค์ 1. พฒั นำทักษะกล้ำมเนอื มดั เล็ก 2. ให้ควำมรว่ มมือกบั ผ้อู ่ืนอย่ำงมีควำมสุข 3. ฝึกควำมสมั พนั ธ์ระหว่ำงมือกับตำ 4. ฝึกสมำธิควำมสนใจใหผ้ ู้เรียนได้ 5. ฝกึ ทักษะกำรปน้ั เนื้อหา 1. ปั้นแก้วใส่ของด้วยดนิ เหนียว กจิ กรรมการเรยี นรู้ ขั้นนา 1. ผสู้ อนและผู้เรียนทกั ทำย “สวัสดคี รบั ” และ “สวัสดคี ะ่ ” โดยผสู้ อนร้องเปน็ เพลงและ ทำ่ ทำงให้ผู้เรียนสนใจ 2. ผู้สอนอธบิ ำยกิจกรรมทีจ่ ะท้ำ และน้ำเสนออุปกรณต์ ่ำงๆ ในกจิ กรรมนันๆ 3. ผูส้ อนสำธิตนำรปู สตั วม์ ำตดั และทำกำวติดรปู สตั ว์ลงไปบนกระดำษ โยงเส้นจบั คใู่ ห้ตรงกันกับ ทตี่ ิดรปู สัตวล์ งไปและระบำยสีทำตัวอย่ำงให้ผู้เรียนทำเปน็ แบบอย่ำง ขั้นสอน ๑. ผู้เรยี นนำดินนำมันมำคลึงให้เป็นเสน้ ยำวประมำณ 20 ซม. ๒. ผเู้ รียนนำดินนำมนั ที่คลึงเสร็จแล้วมำขดเหมือนก้นหอยพ่ือทำฐำนแก้ว ๓. ผ้เู รยี นนำดนิ นำมันทค่ี ลึงเสร็จแล้ว นำมำขดรอบฐำนกน้ หอยเป็นชัน ให้ได้ ๑๐-๑๕ ชัน ๔. ผเู้ รยี นตกแตง่ ลวดลำยแบบงำ่ ยๆ เหมำะสำหรบั ผู้เรียน ขน้ั สรปุ ๑. ผู้เรียนให้ควำมร่วมมือในกำรทำกจิ กรรมและมสี มำธิสำมำรถใชต้ ำประสำนสัมพันธ์กับมือขณะทำ กจิ กรรมได้ ๒. ผเู้ รียนเก็บอุปกรณท์ ี่ทำไว้ทใ่ี ห้เรียบร้อยและเดินมำสง่ งำนทลี ะคนและตรวจผลงำนผเู้ รยี น 3. ครูพดู คุยกับผู้เรียน ซักถำม เกี่ยวกบั กิจกรรม 4. เม่อื หมดชั่วโมงผู้สอนใหน้ กั เรียนกลำ่ ว “ขอบคุณครบั ” และ “ขอบคุณคะ่ ”
ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๔๓ ส่อื /อปุ กรณ์ 1. ดนิ , 2. กระดำนไม้ 3. เศษผ้ำ การวดั และประเมนิ ผล วธิ ีกำรสังเกตพฤตกิ รรมผู้เรียน และบันทึกระดบั ควำมสำมำรถของผู้เรียนในแบบประเมินผลกำร เรยี นรู้ เครือ่ งมือแบบประเมนิ ผลการเรยี นรกู้ จิ กรรมศิลปะบาบดั เกณฑก์ ำรวดั และประเมนิ ผล เกณฑ์กำรให้คะแนน 5 หมำยถึง ท้ำได้ดว้ ยตนเองและเปน็ แบบอยำ่ งผอู้ ่ืนได้ 4 หมำยถึง ทำ้ ได้ด้วยตนเอง 3 หมำยถึง ท้ำได้โดยมีกำรชว่ ยเหลอื ชีแนะจำกผู้อน่ื บ้ำงเล็กน้อย 2 หมำยถึง ทำ้ ไดโ้ ดยมีกำรช่วยเหลือ ชแี นะ จำกผู้อ่ืน 1 หมำยถึง ทำ้ ไดโ้ ดยมีผู้อน่ื พำทำ้ เกณฑ์กำรผ่ำน คือ ผู้เรยี นท้ำไดร้ ะดับ 4 หรอื 5
ศลิ ปะบำบดั A r t T h e r a p y ๔๔ กิจกรรมที่ 14 กำรทำ้ Paper Macha วตั ถปุ ระสงค์ กำรปนั้ จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 1. ผู้เรียนสำมำรถฉีกกระดำษแช่ในนำ้ ได้ 2. ผเู้ รยี นทำกำวและแปะกระดำษได้ จดุ ประสงค์ 1. พัฒนำทักษะกลำ้ มเนือมดั เลก็ 2. ให้ควำมรว่ มมือกับผู้อ่นื อยำ่ งมีควำมสขุ 3. ฝึกควำมสมั พันธ์ระหว่ำงมือกับตำ 4. ฝึกสมำธิควำมสนใจให้ผู้เรียนได้ 5. ฝกึ ทกั ษะกำรปน้ั เนือ้ หา 1. กำรทำ้ Paper Macha กิจกรรมการเรยี นรู้ ขน้ั นา 1. ผสู้ อนและผู้เรยี นทักทำย “สวัสดีครับ” และ “สวัสดคี ะ่ ” โดยผสู้ อนรอ้ งเป็นเพลงและ ทำ่ ทำงให้ผ้เู รียนสนใจ 2. ผู้สอนอธิบำยกิจกรรมทีจ่ ะท้ำ และน้ำเสนออุปกรณต์ ำ่ งๆ ในกิจกรรมนนั ๆ 3. ผูส้ อนสำธิตนำรปู สตั ว์มำตดั และทำกำวตดิ รูปสัตวล์ งไปบนกระดำษ โยงเสน้ จบั คู่ใหต้ รงกนั กับ ท่ตี ดิ รูปสัตว์ลงไปและระบำยสที ำตัวอย่ำงให้ผู้เรยี นทำเป็นแบบอยำ่ ง ขัน้ สอน ๑ ผูเ้ รยี นเดนิ หยิบวัสดุ-อปุ กรณก์ ำรทำ Paper Mache ทีละคนอย่ำงเป็นระเบียบและฉกี กระดำษหนังสอื พิมพท์ ีไ่ ม่ใชแ้ ลว้ เป็นชนิ เล็ก ผู้เรยี นนำกระดำษท่ีฉีกแลว้ แยกเป็น ๒ ส่วน นำสว่ นท่ี ๑ ไปแชน่ ำ ให้กระดำษหนงั สอื พมิ พล์ ะลำยและให้นำมำกรองใส่ตะแกรงและนำมำผสมกำว ไวส้ ำหรับปนั้ ๒ นำสว่ นที่ ๒ ไปแปะลงบนภำชนะรปู ทรงต่ำงๆ ทไ่ี ด้จดั เตรยี มไว้ ซง่ึ ทำจำกกระดำษแข็งเท่ำ ขำว หรอื อืน่ ๆ แปะจนกวำ่ จะหนำ ๓ นำสว่ นที่ ๑ มำแปะบนภำชนะสว่ นท่ี ๒ ใหเ้ ปน็ รูปร่ำง รปู ทรง ตำมจนิ ตนำกำรผเู้ รยี น ๔ นำมำระบำยสีพืน ดว้ ยสขี ำวพลำสตกิ รอแห้งและนำสีโปสเตอร์มำระบำยสีให้สวยงำมและพ่นสีเคลอื บกันสี ลอกและใหเ้ กิดเงำสวยงำม ขัน้ สรุป ๑. ผู้เรยี นให้ควำมรว่ มมือในกำรทำกิจกรรมและมีสมำธิสำมำรถใช้ตำประสำนสมั พันธ์กับมอื ขณะทำ กิจกรรมได้ ๒. ผู้เรยี นเก็บอุปกรณ์ที่ทำไวท้ ใ่ี หเ้ รียบร้อยและเดินมำส่งงำนทลี ะคนและตรวจผลงำนผู้เรียน 3. ครพู ดู คุยกบั ผู้เรียน ซักถำม เก่ยี วกบั กจิ กรรม
ศลิ ปะบำบัด A r t T h e r a p y ๔๕ 4. เมอื่ หมดชว่ั โมงผสู้ อนใหน้ ักเรยี นกลำ่ ว “ขอบคุณครับ” และ “ขอบคณุ ค่ะ” สอ่ื /อปุ กรณ์ ๑. กระดำษหนงั สือพมิ พ์ ๒. กระดำษเทำ-ขำว ๓. กำว ๔. สีพลำสติก และโปสเตอร์ ๕ พกู่ ัน จำนสี การวัดและประเมินผล วิธีกำรสงั เกตพฤติกรรมผู้เรียน และบนั ทกึ ระดบั ควำมสำมำรถของผู้เรยี นในแบบประเมินผลกำร เรียนรู้ เครอื่ งมอื แบบประเมินผลการเรยี นรู้กิจกรรมศิลปะบาบัด เกณฑก์ ำรวดั และประเมินผล เกณฑ์กำรให้คะแนน 5 หมำยถงึ ทำ้ ไดด้ ้วยตนเองและเป็นแบบอย่ำงผูอ้ ่ืนได้ 4 หมำยถึง ทำ้ ไดด้ ้วยตนเอง 3 หมำยถึง ทำ้ ได้โดยมีกำรช่วยเหลือ ชีแนะจำกผู้อื่นบ้ำงเล็กน้อย 2 หมำยถงึ ทำ้ ไดโ้ ดยมีกำรช่วยเหลอื ชแี นะ จำกผู้อ่ืน 1 หมำยถึง ทำ้ ได้โดยมีผู้อ่ืนพำท้ำ เกณฑก์ ำรผ่ำน คอื ผู้เรียนทำ้ ได้ระดับ 4 หรอื 5
ศิลปะบำบัด A r t T h e r a p y ๔๖ กิจกรรมที่ 15 กำรคลงึ ดนิ น้ำมันให้ยำว ปัน้ กลม ท้ำให้แบน วตั ถุประสงค์ กำรปนั้ จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 1. ผู้เรยี นสำมำรถฉีกกระดำษแชใ่ นน้ำได้ 2. ผเู้ รยี นทำกำวและแปะกระดำษได้ จดุ ประสงค์ 1. พัฒนำทกั ษะกล้ำมเนือมดั เลก็ 2. ให้ควำมรว่ มมือกับผูอ้ ืน่ อยำ่ งมคี วำมสุข 3. ฝกึ ควำมสมั พนั ธ์ระหว่ำงมือกบั ตำ 4. ฝกึ สมำธิควำมสนใจใหผ้ ู้เรียนได้ 5. ฝกึ ทกั ษะกำรป้นั เนื้อหา 1. กำรคลึงดนิ น้ำมันให้ยำว ปั้นกลม ทำ้ ให้แบน กิจกรรมการเรยี นรู้ ขั้นนา 1. ผู้สอนและผู้เรยี นทักทำย “สวัสดคี รบั ” และ “สวัสดคี ่ะ” โดยผสู้ อนร้องเปน็ เพลงและ ทำ่ ทำงให้ผ้เู รยี นสนใจ 2. ผู้สอนอธบิ ำยกจิ กรรมทจ่ี ะท้ำ และน้ำเสนออุปกรณ์ตำ่ งๆ ในกจิ กรรมนันๆ 3. ผู้สอนสำธิตนำรปู สตั วม์ ำตัดและทำกำวตดิ รปู สตั ว์ลงไปบนกระดำษ โยงเสน้ จบั คูใ่ ห้ตรงกนั กับ ทต่ี ดิ รูปสัตว์ลงไปและระบำยสีทำตวั อย่ำงใหผ้ ู้เรียนทำเปน็ แบบอยำ่ ง ขั้นสอน 1. ผ้เู รยี นร้จู กั อปุ กรณ์ตำ่ ง ๆ เชน่ ดนิ นำ้ มนั 2. ผูเ้ รยี นเดินมำหยบิ อปุ กรณ์ทผ่ี ู้สอนก้ำหนด 3. ผูเ้ รยี นคลงึ ดนิ นำ้ มนั ใหย้ ำวตำมทก่ี ้ำหนดและวำงบนกระดำษ 4. ผู้เรยี นปัน้ ดนิ น้ำมันให้กลมวำงบนกระดำษ และ ป้ันใหก้ ลมท้ำใหแ้ บนวำงบนกระดำษให้ เรยี บรอ้ ย ข้นั สรุป ๑. ผู้เรียนให้ควำมร่วมมือในกำรทำกจิ กรรมและมีสมำธิสำมำรถใชต้ ำประสำนสัมพันธ์กับมอื ขณะทำ กิจกรรมได้ ๒. ผู้เรยี นเกบ็ อุปกรณท์ ี่ทำไว้ทใ่ี ห้เรยี บร้อยและเดินมำส่งงำนทีละคนและตรวจผลงำนผู้เรียน 3. ครูพูดคยุ กับผู้เรยี น ซกั ถำม เกีย่ วกับกจิ กรรม 4. เม่ือหมดช่วั โมงผ้สู อนให้นักเรยี นกลำ่ ว “ขอบคุณครับ” และ “ขอบคณุ คะ่ ” สือ่ /อุปกรณ์ ๑. ดินน้ำมนั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104