Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้ ชีววิทยา 2 (ว31247) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

แผนการจัดการเรียนรู้ ชีววิทยา 2 (ว31247) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

Description: แผนการจัดการเรียนรู้ ชีววิทยา 2 (ว31247) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

Keywords: แผนการจัดการเรียนรู้ ชีววิทยา 2 (ว31247) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

Search

Read the Text Version

โครงการสอน กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ ปีการศกึ ษา 2564 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 ภาคเรียนที่ 2 จำนวน 1.5 หน่วยกิต วิชา ชวี วทิ ยา 2 (ว 31247) หนว่ ยการเรียนรู้ เร่อื ง คะแนน หมายเหตุ 10 1. พนั ธุศาสตร์ 1. กฏของเมนเดล 15 2. การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม 5 3. การแปรผันทางพนั ธกุ รรม 20 15 4. การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม 10 5. กระบวนการเกิดการกลายพันธ์ุ 5 30 2. ยีนและ 1. สมบตั ิและหน้าที่ของสารพันธุกรรม โครงสร้างและ = 100 โครโมโซม องคป์ ระกอบทางเคมีของ DNA และสรุปการจำลอง DNA 2. กระบวนการสงั เคราะห์โปรตนี 3. ความสัมพนั ธ์ระหว่างสารพนั ธุกรรม แอลลีล โปรตนี ลักษณะทางพันธุกรรม และเชื่อมโยงกับความรเู้ รื่องพันธุ ศาสตรเ์ มนเดล 4. ประเภทของภมู คิ ุ้มกนั และกลไกการสร้างภูมคิ ุ้มกันใน ร่างกาย 5. โรคที่เก่ียวข้องกับระบบภมู ิคมุ้ กนั ในร่างกาย ชิ้นงาน สอบกลางภาคเรียนท่ี 1 - หนว่ ยที่ 1 - หนว่ ยท่ี 2 3. พนั ธุ 1. การเกดิ มิวเทชนั ระดบั ยนี และระดบั โครโมโซม วิศวกรรม 2. โรคและกลุม่ อาการทเี่ ปน็ ผลจากการเกิดมิวเทชัน 3. ส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมโดยใช้ดีเอนเอรีคอมบิแนนท์ 4. เทคโนโลยที างดีเอน็ เอ 4. วิวัฒนาการ 1. การเกิดววิ ฒั นาการของส่งิ มชี ีวติ 2. แนวคดิ เกีย่ วกับววิ ฒั นาการของลามารก์ และชาลส์ ดาร์ วนิ 3. หลกั การของฮารด์ ี-ไวน์เบิร์ก 4. กระบวนการเกิดสปีชสี ์ใหม่ของสงิ่ มีชวี ิต ชิน้ งาน สอบปลายภาคเรยี นที่ 1 - หนว่ ยท่ี 3 - หนว่ ยที่ 4 รวม

แผนการจัดการเรยี นรู้ รหสั วชิ า ว31247 ชอ่ื รายวชิ า ชวี วิทยา 2 ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 4 กลุม่ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์ ภาคเรียนท่ี 2 ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ พันธุศาสตร์ แผนการเรียนรทู้ ี่ 1 เร่อื ง การศกึ ษาพันธุศาสตร์ของเมนเดล (1) เวลา 2 ชว่ั โมง ผู้สอน นางสาวศรอี ุดร ลา้ นสาวงษ์ 1. ผลการเรียนรู้ 1) อธิบายและสรุปการการศึกษาพันธุศาสตร์ของเมนเดล ความนา่ จะเป็นและกฎการแยก กฎแหง่ การรวมกลุ่มอย่างอิสระ และการผสมเพ่ือทดสอบ รวมท้งั ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมที่นอกเหนือกฎ ของเมนเดลได้ (ว 1.2 ม. 4/2) 2) ตั้งคำถามที่อย่บู นพ้ืนฐานของความรู้และความเข้าใจทางวทิ ยาศาสตร์ หรอื ความสนใจ หรอื จากประเดน็ ที่เกดิ ขนึ้ ในขณะนน้ั ท่ีสามารถทำการสำรวจตรวจสอบหรอื ศกึ ษาค้นคว้าได้อย่างครอบคลมุ และเช่อื ถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) 2. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด เมนเดลซึง่ เป็นบดิ าแห่งวิชาพันธุศาสตรไ์ ดศ้ ึกษาลกั ษณะตา่ ง ๆ ของถ่วั ลนั เตา 7 ลกั ษณะท่ี แตกต่างกันอย่างชัดเจน คือ ความสงู ของลำต้น รปู รา่ งของฝัก รปู รา่ งของเมล็ด สีของเมล็ด ตำแหนง่ ของ ดอก สขี องดอก และสขี องฝกั ซ่ึงพบว่าลกั ษณะในรุน่ พ่อแม่จะปรากฏออกมาในรุน่ ลูกเสมอ ทำให้เมน เดลค้นพบกฎเกณฑท์ ส่ี ำคัญทางดา้ นพันธศุ าสตร์ และสามารถอธิบายพื้นฐานของการถ่ายทอดลกั ษณะทาง พนั ธกุ รรมของสงิ่ มชี วี ิตได้ 3. สาระการเรียนรู้ ความรู้ ประวัติของเมนเดล และวธิ กี ารค้นพบกฎการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ทักษะ/กระบวนการ 1) ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2) ทกั ษะการคิด 3) ทักษะการเรยี นรู้ 4) ทกั ษะการแก้ปัญหา 5) ทกั ษะกระบวนการทำงานกลุ่ม 4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1) สืบค้นข้อมูล วเิ คราะห์ อภิปราย อธบิ าย และสรุปผลการทดลองของเมนเดล 2) นำความรวู้ ธิ ีการคน้ พบกฎการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรมของเมนเดลไปอธบิ ายเกี่ยวกบั การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม 5. คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 1) ใฝเ่ รียนรู้ 2) อยู่อย่างพอเพยี ง 3) มงุ่ ม่ันในการทำงาน 4) มีวินัย

6. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน 1) ความสามารถในการสือ่ สาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา 7. กระบวนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ขั้นนำเขา้ ส่บู ทเรียน 1) ครแู นะนำคำอธิบายรายวิชา ว31247เพอ่ื ให้นักเรียนได้ทราบสาระสำคญั ทจ่ี ะได้เรยี นรู้ใน ภาคเรียนน้ี วิธีการวัดผล และเกณฑ์ท่ีใช้ในการประเมนิ ผลการเรียน 2) ครใู ห้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรยี น โดยครยู ังไม่เฉลยคำตอบทีถ่ ูกตอ้ ง เพ่ือวัดความรู้ พ้ืนฐานเดมิ ของนักเรยี น ขน้ั จดั การเรียนรู้ จัดกิจกรรมการเรยี นร้โู ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซงึ่ มขี นั้ ตอนดงั นี้ 1) ครูนำเสนอ PowerPoint ใหน้ ักเรียนดูรูปลูกสตั ว์และคนที่มีลักษณะเหมือนพ่อและแม่ แล้วให้ นกั เรยี นรว่ มกันอภปิ รายว่าสิ่งมีชีวติ ทเี่ หน็ ในรูปมีลกั ษณะใดทเี่ หมอื นพอ่ แม่บ้าง ต้ังคำถามถามนกั เรียนว่า “ลกั ษณะที่สง่ ผา่ นจากพ่อแม่ไปสู่ลูกไดน้ น้ั มีกระบวนการอย่างไร” แล้วใหน้ กั เรียนรว่ มกันอภปิ รายแสดง ความคิดเหน็ อยา่ งอิสระ โดยครูยังไมเ่ ฉลยคำตอบท่ีถูกต้อง แลว้ ช้แี จงให้นกั เรียนทราบวา่ ความคดิ ของ นักเรยี นจะถูกต้องหรือไม่ นกั เรยี นสามารถเรยี นรูไ้ ด้จากการศึกษาในเรื่องพันธุกรรม 2) ครูนำเสนอ PowerPoint รปู เกรเกอร์ โยฮัน เมนเดล แลว้ อธิบายใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจวา่ เมนเดล เปน็ บิดาของวชิ าพันธุศาสตร์ เน่อื งจากเขาไดท้ ำการทดลองผสมพันธถุ์ ่วั ลันเตาหลาย ๆ รุน่ และสงั เกต ลักษณะของถัว่ พบว่าบางลักษณะในรุ่นพ่อแมจ่ ะปรากฎออกมาในร่นุ ลูกเสมอ ทำให้เมนเดลคน้ พบ กฎเกณฑ์ทีส่ ำคัญอย่างย่ิงทางพนั ธุศาสตร์ และสามารถอธบิ ายพืน้ ฐานการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม ของสง่ิ มชี ีวิตได้ 3) ครตู ง้ั คำถามเพ่ือนำไปส่กู ารสืบค้นและการอภปิ รายวา่ “เมนเดลมวี ิธีการอยา่ งไรจงึ ทำให้ค้นพบ หลกั การถา่ ยทอดทางพันธกุ รรม” แล้วให้นักเรียนศึกษาหวั ขอ้ การศกึ ษาพนั ธุศาสตร์ของเมนเดลจาก หนงั สอื เรยี น และร่วมกันอภปิ ราย นักเรียนควรได้ข้อสรปุ ร่วมกันวา่ ประเดน็ สำคญั ที่ทำใหเ้ มนเดลค้นพบ หลกั การถา่ ยทอดทางพันธุกรรม คือ - การเลือกถ่วั ลันเตา ซึ่งเป็นพืชทเ่ี หมาะสมมาใชใ้ นการทดลองผสมพันธ์ุ - การเลอื กลกั ษณะของถั่วลนั เตาทแ่ี ตกตา่ งกนั อยา่ งชดั เจนมาผสมกัน โดยเลอื กมา 7 - การเลอื กวธิ ีการผสมพนั ธ์ุ โดยนำลกั ษณะของตน้ พ่อและแมท่ ่เี ป็นพันธุแ์ ทใ้ ห้มาผสมกันทลี ะ ลักษณะ ทำให้วเิ คราะห์ผลการทดลองได้งา่ ย - วิเคราะหผ์ ลการทดลองโดยใช้หลกั คณติ ศาสตร์เรอ่ื ง ความนา่ จะเป็น 4) ครกู ระตนุ้ ให้นักเรียนอยากร้เู กี่ยวกบั ลกั ษณะของถวั่ ลันเตา และวธิ กี ารทดลองของเมนเดล โดย ตง้ั คำถาม ดังนี้ - เมนเดลเลอื กลกั ษณะของถั่วลันเตาอยา่ งไรมาผสมกนั บา้ ง เพราะอะไร - ลักษณะของถั่วลันเตาท่ีเมนเดลเลือกศึกษามีอะไรบ้าง - เมนเดลมวี ธิ ีการผสมถ่วั ลันเตาอยา่ งไร

นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ รว่ มกันสืบคน้ ขอ้ มลู จากหนังสือเรียน ตัวแทนกลมุ่ นำเสนอผลการอภปิ ราย ครู และนักเรียนร่วมกนั ตรวจสอบผลการอภปิ ราย กจิ กรรมรวบยอด 1) ใหน้ กั เรยี นทำแบบทดสอบ Check Point 1 เพื่อทบทวนความรทู้ น่ี กั เรยี นไดร้ บั จากการเรียน โดยใหน้ กั เรยี นตอบคำถามต่อไปน้ี - เพราะเหตใุ ดเมนเดลจึงได้รับการยกย่องวา่ เป็นบิดาแห่งพันธศุ าสตร์ - ถว่ั ลันเตามีลักษณะเหมาะสมตอ่ การนำมาศึกษาการถ่ายทอดทางพนั ธุกรรมอย่างไร - ลักษณะถ่วั ลันเตา 7 ลักษณะท่เี มนเดลนำมาศึกษามีอะไรบ้าง - self-pollination แตกต่างจาก cross-pollination อย่างไร - ลักษณะทปี่ รากฏในร่นุ F1 แตกต่างจากรนุ่ F2 อยา่ งไร 2) ครูใหน้ กั เรยี นส่งสมดุ เพื่อตรวจสอบการบันทึกความรทู้ ี่ไดจ้ ากการเรยี นและการตอบคำถาม Check Point 1 หลงั เลกิ เรียน 8. ส่ือและแหลง่ การเรียนรู้ สื่อ 1) คำอธบิ ายรายวิชา ว31247 2) ข้อสอบก่อนเรียน 3) PowerPoint ประกอบการเรยี นรู้ เรื่อง การศึกษาพันธุศาสตร์ของเมนเดล (1) 4) หนังสือเรียน รายวิชาเพม่ิ เติม ชวี วิทยา 2 ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 4-6 ของ สสวท 5) google classroom แหล่งการเรยี นรู้ 1) หนงั สอื หรอื วารสารวทิ ยาศาสตร์ 2) สารานกุ รมวิทยาศาสตร์ 3) อนิ เทอร์เนต็

9. การวดั และประเมนิ ผล เป้าหมาย หลักฐาน เครื่องมือวดั เกณฑก์ ารประเมนิ สาระสำคัญ - ประวตั ขิ องเมนเดล - สมุด - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ - แบบทดสอบ (check อย่างถูกต้อง และวิธีการค้นพบกฎ point) - ทำแบบทดสอบ (check point) ไดอ้ ยา่ ง การถา่ ยทอดลักษณะ ถกู ต้อง ทางพนั ธุกรรม ผลการเรยี นรู้ - อธบิ ายและสรปุ การ - สมดุ - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ อย่างถูกต้อง การศกึ ษาพนั ธุศาสตร์ - แบบทดสอบ (check - ทำแบบทดสอบ point) (check point) ไดอ้ ย่าง ของเมนเดล ความ ถูกต้อง น่าจะเปน็ และกฎการ แยก กฎแหง่ การ รวมกลุ่มอย่างอิสระ และการผสมเพ่อื ทดสอบ รวมทั้งลักษณะ ทางพันธกุ รรมที่ นอกเหนือกฎของเมน เดลได้ (ว 1.2 ม. 4/2) - ตงั้ คำถามท่ีอยูบ่ น พน้ื ฐานของความรแู้ ละ ความเขา้ ใจทาง วทิ ยาศาสตร์ หรือความ สนใจ หรือจากประเดน็ ท่เี กิดขึน้ ในขณะนน้ั ที่ สามารถทำการสำรวจ ตรวจสอบหรือศกึ ษา ค้นควา้ ได้อยา่ ง ครอบคลุมและเช่ือถือ ได้ (ว 8.1 ม. 4/2) คณุ ลกั ษณะ - ใฝ่เรยี นรู้ - การเขา้ ชั้นเรียน - ความตรงตอ่ เวลาและ - การเข้าช้ันเรยี นสาย จำนวนครั้งทเ่ี ขา้ เรยี น ไม่เกนิ 15 นาที และ จำนวนครัง้ ที่เข้าเรียน มากกวา่ 80% - ม่งุ มน่ั ในการทำงาน - ความสนใจในการ - การถาม/ตอบ - สามารถตอบคำถาม เรยี น ได้อย่างถูกตอ้ ง

แผนการจดั การเรียนรู้ รหสั วชิ า ว31247 ช่อื รายวชิ า ชีววิทยา 2 ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ภาคเรยี นที่ 2 ชื่อหนว่ ยการเรยี นรู้ พนั ธศุ าสตร์ เวลา 2 ชั่วโมง แผนการเรยี นรทู้ ่ี 2 เร่อื ง การศกึ ษาพนั ธศุ าสตรข์ องเมนเดล (2) และกฎของความนา่ จะเป็น ครูผ้สู อน นางสาวศรีอุดร ล้านสาวงษ์ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสำคญั ของการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม ววิ ัฒนาการของสงิ่ มชี วี ิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การใชเ้ ทคโนโลยชี วี ภาพทีม่ ผี ลกระทบต่อมนุษย์ และสิง่ แวดลอ้ ม มกี ระบวนการสืบเสาะหาความร้แู ละจติ วิทยาศาสตร์ ส่ือสารส่ิงทเ่ี รียนรแู้ ละนำความรู้ไป ใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และจติ วทิ ยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การแกป้ ัญหา รู้วา่ ปรากฏการณท์ างธรรมชาติทเ่ี กดิ ขึ้นสว่ นใหญ่มรี ปู แบบท่ีแนน่ อน สามารถอธบิ ายและ ตรวจสอบได้ภายใตข้ ้อมลู และเครื่องมือที่มีอยู่ในช่วงเวลาน้ัน ๆ เข้าใจว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และสงิ่ แวดลอ้ มมคี วามเกยี่ วข้องสัมพนั ธ์กนั 2. ผลการเรยี นรู้ 1) อธิบายและสรปุ การการศึกษาพันธุศาสตร์ของเมนเดล ความน่าจะเป็นและกฎการแยก กฎแหง่ การรวมกลุ่มอยา่ งอิสระ และการผสมเพื่อทดสอบ รวมทัง้ ลกั ษณะทางพันธุกรรมที่นอกเหนือ กฎของเมนเดลได้ (ว 1.2 ม. 4/2) 2) ตง้ั คำถามที่อยู่บนพ้ืนฐานของความรู้และความเขา้ ใจทางวิทยาศาสตร์ หรือความสนใจ หรือ จากประเด็นทเ่ี กดิ ข้ึนในขณะน้นั ท่สี ามารถทำการสำรวจตรวจสอบหรือศึกษาคน้ คว้าได้อยา่ งครอบคลมุ และเช่ือถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) 3. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด - เมนเดลพบวา่ ลกั ษณะตา่ ง ๆ ทงั้ 7 ลกั ษณะมหี นว่ ยควบคุม เรียกวา่ ยีน (gene) โดยสามารถ แสดงออกเปน็ ลักษณะเด่น (dominant gene) หรือลักษณะด้อย (recessive gene) ได้ และสามารถ ถ่ายทอดจากร่นุ พอ่ แมไ่ ปสู่ร่นุ ลูกหลานได้ - เมนเดลใชก้ ฎของความน่าจะเปน็ (probability) ในการวิเคราะหข์ ้อมูลจากผลการทดลอง ทำให้สามารถอธิบายอตั ราสว่ นของลักษณะเด่นและลกั ษณะด้อยทเ่ี กดิ ขน้ึ ในร่นุ ลูกได้ 4. สาระการเรยี นรู้ ความรู้ - วิธีการค้นพบกฎการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม - กฎของความน่าจะเป็น ทักษะ/กระบวนการ 1) ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 2) ทักษะการคดิ 3) ทักษะการเรียนรู้ 4) ทกั ษะการแก้ปญั หา 5) ทกั ษะกระบวนการทำงานกล่มุ

5. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) สืบคน้ ข้อมูล วิเคราะห์ อภปิ ราย อธบิ าย และสรปุ ผลการทดลองของเมนเดล 2) อธิบายความหมายและยกตัวอย่างคำศัพท์ทีเก่ียวขอ้ งกับพันธุศาสตร์ 3) สบื คน้ ข้อมูล วิเคราะห์ และอภิปรายกฎของความน่าจะเปน็ 4) นำความรวู้ ิธกี ารค้นพบกฎการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรมของเมนเดลและกฎของ ความน่าจะเปน็ ไปอธิบายเก่ยี วกบั การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม 6. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 1) ใฝเ่ รียนรู้ 2) อยู่อย่างพอเพียง 3) มุ่งมน่ั ในการทำงาน 4) มีวนิ ัย 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1) ความสามารถในการสือ่ สาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา 8. กระบวนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ขน้ั นำเขา้ สูบ่ ทเรียน 1) ครทู บทวนความรทู้ ี่นกั เรยี นได้เรยี นร้มู าแลว้ โดยตง้ั ประเด็นคำถาม ดังน้ี - ลักษณะถั่วลนั เตาท่เี มนเดลนำมาศึกษามลี ักษณะใดบา้ ง (ความสูงของลำต้น รปู รา่ งของฝัก รปู ร่างของเมล็ด สีของเมล็ด ตำแหนง่ ของดอก สีของดอก และสีของฝัก) - เพราะเหตใุ ดเมนเดลจงึ เลือกศึกษาการถา่ ยทอดลักษณะพนั ธุกรรมของถวั่ ลันเตา (ถั่วลนั เตามี อายุส้นั จึงปรากฏผลการทดลองได้ในชว่ งเวลาสนั้ และโครงสรา้ งดอกทีส่ ามารถควบคุมการผสมได้) 2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายคำตอบ เพ่ือเชื่อมโยงไปสกู่ ารเรยี นรู้ เรอ่ื ง การศึกษาพนั ธศุ าสตร์ของ เมนเดล (2) และกฎของความนา่ จะเปน็ ขัน้ จดั การเรียนรู้ จัดกิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ซึ่งมขี ัน้ ตอนดงั นี้ 1) ครนู ำเสนอ PowerPoint ใหน้ กั เรยี นดูรูปการผสมพันธ์ุถ่ัวลนั เตา แลว้ ต้ังประเด็นคำถามให้ นักเรียนรว่ มกนั อภิปรายตามประเดน็ ต่อไปน้ี - รุ่น F1 ท่ีเกดิ จากพอ่ ฝักสเี ขียวและแม่ฝักสเี หลอื งจะไดฝ้ ักสีอะไร และถา้ สลบั ลกั ษณะสฝี ักของต้น พอ่ และตน้ แม่ ลกั ษณะรนุ่ ลูกทีเ่ กิดมาจะเปน็ อยา่ งไร - เพราะเหตุใดลักษณะฝักสีเหลืองจงึ ไมป่ รากฏในรุ่น F1 นักเรียนร่วมกนั สืบค้นและวเิ คราะหข์ ้อมลู โดยควรได้ข้อสรุปรว่ มกันว่า รุ่น F1 มีฝักสเี ขยี วเสมอ แม้ว่าจะสลับลกั ษณะของต้นพอ่ และตน้ แม่ก็ตาม ลักษณะฝกั สีเหลอื งจะไม่ปรากฎในรนุ่ F1 เพราะลักษณะ ฝกั สเี หลอื งเปน็ ลกั ษณะดอ้ ย แตถ่ ้าลักษณะฝกั สีเขยี วของพ่อและแม่ไมเ่ ปน็ พนั ธแ์ุ ท้ ลกู รุ่น F1 จะมีท้งั ลักษณะฝกั สีเขียวและฝักสีเหลือง 2) ครูนำเสนอ PowerPoint ให้นักเรยี นดูตารางแสดงผลการผสมพันธถุ์ ว่ั ลนั เตาพันธแ์ุ ท้ทีเ่ ปน็ รุ่น พอ่ แมล่ ักษณะต่าง ๆ ใหน้ ักเรียนร่วมกนั อภิปรายข้อมูลต่าง ๆ ทีอ่ ยใู่ นตาราง แล้วรว่ มตอบคำถามตอ่ ไปน้ี

- จากขอ้ มูลในตารางจะสรุปการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมของแต่ละลักษณะได้อยา่ งไร (ถ้าพ่อแม่เปน็ พนั ธุแ์ ท้ ลักษณะทีถ่ า่ ยทอดไปยังรุน่ F1 จะแสดงออกเฉพาะลกั ษณะของพ่อหรอื ของแม่ ส่วน ในรุน่ F2 จะแสดงออกท้ังลักษณะของพอ่ และแม่ ในอัตราสว่ น ลักษณะเดน่ : ลกั ษณะด้อย ประมาณ 3:1) 3) ครูอธิบายใหน้ ักเรยี นเข้าใจวา่ หน่วยท่ีควบคุมลักษณะเด่นและลักษณะดอ้ ยนน้ี เรยี กวา่ ยนี โดย เรยี กยนี ท่ีควบคุมลักษณะฝักสีเขียวว่ายนี เดน่ และเรียกยีนที่ควบคมุ ลกั ษณะฝกั สีเหลอื งว่ายีนด้อย แลว้ ครู ให้ขอ้ มลู เพ่มิ เตมิ เก่ียวกับการเขียนสัญลักษณแ์ ทนยีน วา่ นยิ มใช้ภาษาอังกฤษตวั พมิ พ์ใหญ่แทนยนี เดน่ และ ตัวพิมพเ์ ล็กแทนยนี ด้อย หรืออาจใช้สัญลักษณอ์ น่ื ๆ ไดอ้ ีก เชน่ การใช้เครื่องหมายบวกและเครื่องหมาย ลบ เปน็ ต้น 4) ครอู ธบิ ายคำต่าง ๆ ทจี่ ำเป็นต้องใชใ้ นวิชาพนั ธุศาสตร์ โดยให้นกั เรียนร่วมกนั อภปิ รายและสรปุ ความหมายของคำตอ่ ไปน้ี - ยนี เด่น (dominant gene) - ยนี ด้อย (recessive gene) - แอลลลี (allele) - โลคสั (locus) - ฮอมอโลกัสโครโมโซม (homologous chrosome) - จีโนไทป์ (genotype) - ฟโี นไทป์ (phenotype) - ฮอโมโลกัสจีโนไทป์ (homologous genotype) 5) ครูอธบิ ายใหน้ ักเรียนเข้าใจว่าเมนเดลใชก้ ฎของความนา่ จะเป็นในการวิเคราะห์ขอ้ มูลจากผล การทดลอง ทำใหร้ ู้อัตราส่วนของลักษณะเดน่ และลกั ษณะด้อยในรุ่น F2 ได้ 6) ครูอธบิ าย หลักการของความนา่ จะเปน็ ของเหตกุ ารณใ์ ดเหตกุ ารณ์หนึง่ ว่าจะเทา่ กับหนงึ่ สว่ น ของเหตุการณ์ทเ่ี กดิ ขึ้นทงั้ หมด โดยหลกั การกฎของความน่าจะเป็นมี 2 ข้อ คือ - เหตุการณ์ 2 เหตุการณท์ ่ีสามารถเกิดขนึ้ ไดพ้ ร้อมกนั โอกาสของการเกดิ เหตุการณ์ต่าง ๆ พรอ้ ม กันจะเท่ากบั ผลคูณของเหตกุ ารณท์ ่ีจะเกิดข้ึนแต่ละเหตุการณ์ เชน่ การโยนเหรยี ญ 2 อันพร้อมกนั เหรยี ญ แต่ละอนั มโี อกาสออกหวั เท่ากบั ½ และโอกาสออกก้อยเท่ากับ ½ ดงั นน้ั โอกาสของการออกหวั พร้อมกนั จึงเท่ากับ ½ × ½ = ¼ โอกาสของการออกกอ้ ยพรอ้ มกนั จะเท่ากับ ½ × ½ = ¼ และโอกาสของการออก หวั และออกก้อยจะเท่ากับ 2/4 หรอื ½ - เหตุการณ์ 2 เหตุการณท์ ่ีไม่สามารถเกดิ ข้ึนได้พร้อมกัน โอกาสของการเกดิ เหตุการณ์อยา่ งใด อย่างหน่ึงจะเทา่ กับ ผลบวกของโอกาสทีจ่ ะเกดิ แต่ละเหตุการณ์ เชน่ การโยนลูกเตา๋ 1 ครง้ั มโี อกาสออก แตม้ 1, 2, 3, 4, 5, 6 อย่างละ 1/6 ดงั นน้ั โอกาสโยนลกู เต๋า 1 ครัง้ แลว้ ออกเปน็ แต้มค่เู ทา่ กับ 1/6 + 1/6 + 1/6 = 3/6 หรอื ½ ซึ่งได้จากผลบวกของโอกาสที่จะเกดิ แตม้ เปน็ 2, 4 และ 6

กิจกรรมรวบยอด 1) ใหน้ กั เรียนทำแบบทดสอบ Check Point 2 เพื่อทบทวนความรูท้ ่นี กั เรียนไดร้ บั จากการเรียน โดยใหน้ กั เรียนตอบคำถามตอ่ ไปนี้ - ลักษณะทปี่ รากฏในรนุ่ F2 แตกตา่ งจากลักษณะท่ปี รากฏในรุ่น F1 อย่างไร - จากขอ้ มูลในตารางการผสมพันธถ์ุ ั่วลนั เตา 7 ลกั ษณะจะสรปุ การถา่ ยทอดลักษณะทาง พนั ธกุ รรมของแต่ละลกั ษณะได้อยา่ งไร 2) ให้นกั เรียนทำแบบทดสอบ Check Point 3 เพ่อื ทบทวนความรทู้ ี่นกั เรียนไดร้ ับจากการเรียน โดยให้นกั เรยี นตอบคำถามต่อไปน้ี - ถา้ G เป็นยนี ท่คี วบคุมลักษณะฝกั สีเขยี ว และ g เป็นยีนทคี่ วบคมุ ลักษณะฝกั สเี หลือง ถ้าถ่ัว ลนั เตารุ่น F1 มลี กั ษณะฝกั สเี ขียวทง้ั หมด แสดงวา่ ยีนชนดิ ใดเปน็ ยีนเด่น และยีนชนิดใดเป็นยนี ด้อย เพราะ อะไร - อธบิ ายความหมายของคำศัพทต์ ่อไปน้ี dominant gene, recessive gene และ phenotype genotype - ถ้าผสมถวั่ ลันเตาร่นุ F1 ทม่ี ีจโี นไทป์ Rr เขา้ ดว้ ยกัน โอกาสที่ยนี รุ่น F2 จะเข้าคู่กนั มีก่แี บบ อะไรบา้ ง 3) ครใู ห้นักเรียนสง่ สมดุ เพ่ือตรวจสอบการบันทึกความรู้ที่ได้จากการเรยี นและการตอบคำถาม Check Point 2 และ 3 หลังเลกิ เรยี น 9. สื่อและแหลง่ การเรียนรู้ สือ่ 1) PowerPoint ประกอบการเรียนรู้ เร่ือง การศึกษาพันธุศาสตร์ของเมนเดล (2) และกฎของ ความนา่ จะเป็น 2) หนงั สือเรียน รายวิชาเพมิ่ เตมิ ชวี วทิ ยา 2 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4-6 ของ สสวท แหลง่ การเรยี นรู้ 1) หนังสอื หรอื วารสารวิทยาศาสตร์ 2) สารานุกรมวิทยาศาสตร์ 3) อินเทอรเ์ นต็ google classroom

10. การวดั และประเมินผล เป้าหมาย หลักฐาน เครือ่ งมือวัด เกณฑก์ ารประเมิน - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ สาระสำคัญ - แบบทดสอบ (check อยา่ งถูกตอ้ ง point) - ทำแบบทดสอบ - วิธกี ารคน้ พบกฎการ - สมดุ - การถาม/ตอบ (check point) ไดอ้ ยา่ ง - แบบทดสอบ (check ถูกตอ้ ง ถา่ ยทอดลักษณะทาง point) -สามารถตอบคำถามได้ อยา่ งถูกต้อง พนั ธกุ รรม - ความตรงตอ่ เวลาและ - ทำแบบทดสอบ จำนวนครั้งทเี่ ข้าเรยี น (check point) ได้อย่าง - กฎของความน่าจะเปน็ ถกู ตอ้ ง ผลการเรียนรู้ - การเขา้ ช้นั เรียนสาย ไม่เกนิ 15 นาที และ - อธิบายและสรุปการ - สมุด จำนวนคร้ังท่เี ข้าเรยี น มากกวา่ 80% การศึกษาพันธุศาสตร์ - สามารถตอบคำถามได้ อยา่ งถูกตอ้ ง ของเมนเดล ความนา่ จะ เป็นและกฎการแยก กฎ แห่งการรวมกลุ่มอย่าง อิสระ และการผสมเพอื่ ทดสอบ รวมทง้ั ลกั ษณะ ทางพนั ธกุ รรมท่ี นอกเหนอื กฎของเมนเดล ได้ (ว 1.2 ม. 4/2) - ตัง้ คำถามทีอ่ ยูบ่ น พ้ืนฐานของความรแู้ ละ ความเข้าใจทาง วทิ ยาศาสตร์ หรือความ สนใจ หรือจากประเด็นท่ี เกิดข้ึนในขณะนนั้ ท่ี สามารถทำการสำรวจ ตรวจสอบหรอื ศกึ ษา คน้ คว้าได้อยา่ ง ครอบคลมุ และเชอื่ ถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) คุณลักษณะ - ใฝเ่ รียนรู้ - การเขา้ ชนั้ เรยี น - ม่งุ มัน่ ในการทำงาน - ความสนใจในการเรียน - การถาม/ตอบ

แผนการจัดการเรยี นรู้ รหสั วิชา ว31247 ชอ่ื รายวชิ า ชวี วทิ ยา 2 ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 4 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์ ภาคเรียนที่ 2 ช่อื หนว่ ยการเรียนรู้ พันธศุ าสตร์ แผนการเรียนรู้ท่ี 3 เรอ่ื ง กฎแหง่ การแยกและการรวมกลุม่ อย่างอิสระ เวลา 2 ช่วั โมง ผสู้ อน นางสาวศรีอดุ ร ล้านสาวงษ์ 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจกระบวนการและความสำคญั ของการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม วิวัฒนาการของสิง่ มชี ีวิต ความหลากหลายทางชวี ภาพ การใช้เทคโนโลยชี วี ภาพท่มี ผี ลกระทบต่อมนุษย์ และสิ่งแวดลอ้ ม มกี ระบวนการสบื เสาะหาความร้แู ละจติ วิทยาศาสตร์ สอื่ สารสิ่งท่เี รยี นรู้และนำความรู้ไป ใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวทิ ยาศาสตรใ์ นการสบื เสาะหาความรู้ การแกป้ ัญหา รูว้ ่าปรากฎการณท์ างธรรมชาติที่เกิดขึน้ ส่วนใหญม่ ีรปู แบบที่แน่นอน สามารถอธบิ ายและ ตรวจสอบไดภ้ ายใตข้ ้อมูลและเคร่อื งมือที่มอี ยู่ในช่วงเวลาน้นั ๆ เขา้ ใจวา่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และส่ิงแวดล้อมมคี วามเก่ยี วข้องสัมพันธก์ นั 2. ผลการเรยี นรู้ 1) อธบิ ายและสรุปการการศึกษาพนั ธุศาสตรข์ องเมนเดล ความนา่ จะเป็นและกฎการแยก กฎ แหง่ การรวมกลุ่มอย่างอิสระ และการผสมเพ่อื ทดสอบ รวมทั้งลักษณะทางพนั ธกุ รรมทนี่ อกเหนือกฎของ เมนเดลได้ (ว 1.2 ม. 4/2) 2) ต้งั คำถามท่ีอยบู่ นพนื้ ฐานของความรู้และความเข้าใจทางวทิ ยาศาสตร์ หรือความสนใจ หรือ จากประเด็นที่เกดิ ขนึ้ ในขณะน้ัน ท่ีสามารถทำการสำรวจตรวจสอบหรอื ศกึ ษาค้นคว้าได้อยา่ งครอบคลุม และเช่อื ถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) 3. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด เมนเดลต้ังกฏทางพันธศุ าสตร์ 2 ขอ้ คือ - กฎแหง่ การแยก มีใจความว่า ยนี ท่ีอยู่เป็นคจู่ ะแยกออกจากกันในระหว่างการสรา้ งเซลล์สืบพันธ์ุ โดยเซลลส์ บื พันธแ์ุ ต่ละเซลลจ์ ะไดร้ ับเพยี งแอลลีลใดแอลลีลหนึ่ง - กฎแห่งการรวมกลุ่มอย่างอิสระ มีใจความวา่ ยีนที่เป็นคูก่ ัน เมอื่ แยกออกจากกนั แล้ว จะจัดกลุ่ม อย่างอิสระกบั ยีนอ่นื ซึง่ แยกออกจากคเู่ ชน่ กนั เพอ่ื เขา้ ไปยังเซลล์สืบพนั ธ์ุ 4. สาระการเรยี นรู้ ความรู้ - กฎแห่งการแยก - กฎแห่งการรวมกลุ่มอยา่ งอสิ ระ ทักษะ/กระบวนการ 1) ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2) ทกั ษะการคดิ 3) ทกั ษะการเรยี นรู้ 4) ทักษะการแก้ปญั หา 5) ทกั ษะกระบวนการทำงานกลมุ่

5. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1) อธบิ ายและสรุปเก่ยี วกับกฎแห่งการแยกและการรวมกลุ่มอยา่ งอสิ ระ 2) นำกฎแห่งการแยกไปหาโอกาสในการเกิดจีโนไทป์และฟีโนไทปแ์ บบต่าง ๆ ในรุ่น F1 และ F2 ของการผสมพจิ ารณาลักษณะเดียว 3) นำกฎแห่งการรวมกลุ่มอย่างอิสระ ไปหาโอกาสในการเกิดเซลลส์ บื พันธ์ทุ ่มี ีกลุ่มของยีนต่างกัน และอตั ราสว่ นของจโี นไทป์และฟีโนไทปใ์ นรนุ่ F1 และ F2 ของการผสมพิจารณา 2 ลกั ษณะ 6. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1) ใฝ่เรียนรู้ 2) อยู่อยา่ งพอเพียง 3) มุ่งม่นั ในการทำงาน 4) มวี นิ ยั 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น 1) ความสามารถในการส่ือสาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา 8. กระบวนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1) ครตู งั้ คำถามถามนักเรียนว่า อตั ราสว่ น 3: 1 ในรุ่น F2 ในการทดลองของเมนเดลเกิดขนึ้ ได้ อย่างไร โดยใหน้ ักเรยี นดูผลการโยนเหรยี ญ นกั เรียนร่วมกันตอบถามตามความคดิ เห็นของแตล่ ะคน 2) ครสู รุปคำตอบให้นักเรียนเขา้ ใจว่า การโยนเหรียญ โอกาสทจ่ี ะเป็นไปไดม้ ี 3 แบบ คือ ออกหัว 2 เหรยี ญ ออกหัวและออกก้อย และออกกอ้ ยท้งั สองเหรยี ญ ในอตั ราส่วน 1:2:1 เพอ่ื เชื่อมโยงไปสกู่ าร เรยี นรู้ เรอ่ื งกฎแห่งการแยกและกฎแห่งการรวมกลุม่ อยา่ งอิสระ ขน้ั จดั การเรียนรู้ จดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซงึ่ มีขนั้ ตอนดงั น้ี 1) ครนู ำเสนอ PowerPoint เรอ่ื ง กฏแหง่ การแยก โดยให้นักเรียนดรู ูปการผสมพันธุถ์ วั่ ลันเตาฝกั สเี ขยี วกบั ฝักสีเหลือง และรปู การผสมถ่วั ลันเตาดอกสีมว่ งในรุ่น F1 ทม่ี จี โี นไทปเ์ ดียว คอื เฮเทอโรไซกสั เพ่อื เช่ือมโยงกฎความน่าจะเป็นกบั กฎการแยกของเมนเดล โดยต้ังประเดน็ คำถามใหน้ ักเรียนรว่ มกัน อภิปรายตามประเด็นต่อไปนี้ - ในการผสมโดยพจิ ารณาเพียง 1 ลักษณะ เพราะเหตใุ ดอัตราส่วนฟโี นไทปข์ องร่นุ F2 จงึ มี ลกั ษณะเดน่ ต่อลักษณะด้อย เทา่ กับ 3:1(ถ่วั ลันเตาฝกั สเี ขยี วมจี ีโนไทป์ Gg โดย G และ g มโี อกาสที่จะแยก ออกจากกันไปยังเซลลไ์ ข่และสเปิรม์ เทา่ ๆ กัน คือ ½ เมื่อเกิดการปฏิสนธิโอกาสท่ีสเปริ์มจะเขา้ รวมกบั เซลล์ไขไ่ ด้ 3 แบบ คือ GG Gg และ gg ในอัตราส่วน 1:2:1 โดยมีฟีโนไทป์ 2 แบบ คอื ฝกั สเี ขียวตอ่ ฝักสี เหลืองในอัตราส่วน 3:1)

2) ครูสรปุ ให้นกั เรยี นฟงั ว่ากฎแหง่ การแยก ซงึ่ เปน็ กฎขอ้ ท่ี 1 มใี จความสำคัญวา่ ยีนท่ีอยู่เป็นคจู่ ะ แยกออกจากกนั ระหว่างการสร้างเซลลส์ ืบพันธุ์ โดยเซลลส์ บื พนั ธ์แุ ต่ละเซลลจ์ ะไดร้ บั เพยี งแอลลลี ใดแอล ลลี หน่งึ ทำใหส้ ามารถทำนายลกั ษณะในรุ่น F1 ได้ เม่ือร้จู โี นไทป์ของรนุ่ พอ่ แม่ โดยครูอธบิ ายใหน้ ักเรยี น เขา้ ใจวา่ ในสมยั ก่อนยงั ไม่มีความรู้เกย่ี วกับการแบ่งเซลล์ ทำให้เมนเดลไม่รวู้ า่ ยนี ทเี่ ปน็ คู่กันจะแยกออก จากกันในระหวา่ งท่ีมีการสรา้ งเซลล์สืบพนั ธุ์ แต่เมนเดลนำหลกั คณติ ศาสตร์เร่ืองกฎความนา่ จะเปน็ มาใช้ วิเคราะห์ข้อมูล ทำให้ค้นพบกฎแหง่ การแยกได้ 3) ครูนำเสนอ PowerPoint เรือ่ ง กระบวนการแบง่ เซลล์แบบไมโอซิสในการสร้างเซลล์สืบพันธ์ุ โดยอธบิ ายให้นักเรียนเข้าใจว่าฮอมอโลกัสโครโมโซมจะแยกออกจากกนั ในระยะแอนนาเฟส I เช่นเดยี วกบั การแยกของคู่ยีน ทำให้ในเซลล์สืบพนั ธไ์ุ มป่ รากฎยนี ท่ีเปน็ แอลลลี กัน และไม่ม่ีฮอมอโลกสั โครโมโซม โดย ถ้ายีนอยใู่ นสภาพฮอมอไซกัสเมอื่ แบง่ เซลล์แล้วจะไดเ้ ซลล์สืบพันธทุ์ งั้ หมดเปน็ แบบเดยี วกัน แตถ่ า้ ยีนอยู่ใน สภาพทเี่ ปน็ เฮเทอโรไซกัส เม่ือแบ่งเซลล์แลว้ เซลลส์ ืบพนั ธ์ุจะมี 2 แบบ แต่ละแบบมีโอกาสเกิดเท่ากับ ½ 4) ครนู ำเสนอ PowerPoint เรื่อง การข่มไมส่ มบรู ณ์ โดยถามคำถามนักเรียนว่า ในการผสมพนั ธ์ุ ของพอ่ แมท่ ี่มลี กั ษณะแตกต่างกนั 2 ลกั ษณะพร้อมกนั การแยกคู่ของยนี ไปยงั เซลล์สืบพันธ์ุจะเหมอื นกบั การแยกคู่ของยีนท่ีพจิ ารณาลักษณะเดยี วหรอื ไม่ โดยครูยังไม่เฉลยคำตอบที่ถกู ต้อง 5) ครูอธิบายพรอ้ มยกตัวอยา่ งการผสมพจิ ารณาลกั ษณะเดียว (monohybrid cross) และการ ผสมพจิ ารณาสองลักษณะ (dihybrid cross) ให้นกั เรยี นฟัง แลว้ ให้นกั เรียนดรู ปู การผสมพจิ ารณาสอง ลกั ษณะ โดยนำพ่อพันธุ์ท่ีมีลักษณะเมล็ดกลมสีเหลืองผสมพันธุ์กบั แม่พนั ธ์ทุ ่ีมีลักษณะเมลด็ ขรขุ ระสีเขียว 6) ครูสรุปผลการทดลองของเมนเดลใหน้ ักเรยี นเหน็ ว่า รูปร่างของเมลด็ และสขี องเมล็ดมีการ ถ่ายทอดอยา่ งเป็นอสิ ระต่อกัน แล้วตัง้ คำถามถามนักเรียนดังน้ี - รนุ่ F1 มีโอกาสสร้างเซลลส์ ืบพนั ธ์ุไดก้ ี่แบบ อะไรบ้างและรปู แบบยีนในเซลลส์ ืบพันธ์เุ ป็นไปตาม กฎแหง่ การแยกหรือไม่ (รนุ่ F1 สร้างสเปิร์มและเซลล์ไข่ได้ 4 แบบ คอื RY Ry rY ry โดยยีนแตล่ ะคู่ของ RrYy จะแยกออกจากกนั ตามกฎการแยกของเมนเดล และไปเลือกจับกับยีนใดยีนหน่งึ ของยนี อีกคู่หนง่ึ อย่างอิสระ) - ร่นุ F2 มโี อกาสเกิดจโี นไทป์และฟีโนไทปก์ ี่แบบ อะไรบ้าง (รุ่น F2 มโี อกาสเกิดจโี นไทป์ได้ 9 แบบ คอื RRYY RRYy RRyy RrYy Rryy RrYY rrYY rrYy rryy และมีโอกาสเกิดฟีโนไทป์ 4 แบบ ได้แก่ เมล็ดกลมสเี หลือง เมลด็ กลมสีเขียว เมล็ดขรุขระสีเหลือง และเมลด็ ขรุขระสีเขยี ว ในอัตราสว่ น 9:3:3:1) 7) ครสู รปุ ให้นกั เรยี นเขา้ ใจว่า การแยกคู่ของยีนท้งั 2 คู่ไปยังเซลลส์ ืบพันธุ์และการรวมกนั อย่าง อสิ ระ ทำให้ค้นพบกฎแหง่ การรวมกลุม่ อยา่ งอสิ ระท่สี ามารถนำไปอธบิ ายการผสมท่ีพจิ ารณามากกว่า 1 ลกั ษณะได้ แล้วให้นักเรยี นรว่ มกันสรุปใจความของกฎการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมอกี ครงั้ หน่ึง โดย ครสู รุปให้นักเรียนฟังวา่ ความเป็นอิสระของแฟกเตอร์ของเมนเดลเกดิ ข้นึ จากการทแี่ ฟกเตอร์เหล่านั้นอยู่ บนฮอมอโลกสั โครโมโซมต่างคู่กนั

กิจกรรมรวบยอด 1) ใหน้ ักเรยี นทำแบบทดสอบ Check Point 4 เพ่อื ทบทวนความรู้ทน่ี ักเรยี นได้รบั จากการเรยี น โดยใหน้ ักเรียนตอบคำถามตอ่ ไปนี้ - รุ่น F1 มโี อกาสสร้างเซลล์สืบพนั ธไุ์ ดก้ ี่แบบ อะไรบ้างและรปู แบบยีนในเซลล์สบื พันธุเ์ ป็นไปตาม กฎแห่งการแยกหรือไม่ - รนุ่ F2 มโี อกาสเกิดจีโนไทป์และฟีโนไทปก์ ่ีแบบ อะไรบ้าง - รนุ่ F2 มีโอกาสเกดิ ฟโี นไทป์ทีม่ ลี ักษณะเหมอื นรุ่นพอ่ แม่เป็นเทา่ ใด 2) นักเรียนปฏบิ ตั ิกจิ กรรมที่ 15.1 การแก้โจทยป์ ัญหา เร่ืองพันธศุ าสตร์ของเมนเดล 3) ครูใหน้ ักเรียนส่งสมุด เพื่อตรวจสอบการบนั ทึกความร้ทู ี่ไดจ้ ากการเรียนและการตอบคำถาม Check Point 4 หลงั เลิกเรียน 9. สือ่ และแหล่งการเรยี นรู้ สอ่ื 1) PowerPoint ประกอบการเรยี นรู้ เรอ่ื ง กฎแห่งการแยกและการรวมกลมุ่ อย่างอสิ ระ 2) หนังสอื เรยี น รายวิชาเพิ่มเติม ชีววิทยา 2 ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 4-6 ของ สสวท

แหลง่ การเรียนรู้ 1) หนังสอื หรอื วารสารวทิ ยาศาสตร์ 2) สารานุกรมวทิ ยาศาสตร์ 3) อินเทอร์เนต็ google classroom 10. การวัดและประเมินผล เป้าหมาย หลกั ฐาน เคร่ืองมอื วดั เกณฑ์การประเมนิ - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ สาระสำคญั - แบบทดสอบ (check อยา่ งถูกต้อง point) - ทำแบบทดสอบ (check - กฎแหง่ การแยก - สมุด - การถาม/ตอบ point) ไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง - แบบทดสอบ (check -สามารถตอบคำถามได้ - กฎแห่งการรวมกล่มุ อยา่ ง point) อยา่ งถูกตอ้ ง - ทำแบบทดสอบ (check อิสระ - ความตรงตอ่ เวลาและ point) ไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง จำนวนคร้ังทเ่ี ข้าเรยี น ผลการเรยี นรู้ - สมุด - การเข้าชนั้ เรียนสาย - อธิบายและสรุปการ - การเขา้ ชั้นเรียน ไม่เกนิ 15 นาที และ การศกึ ษาพันธศุ าสตรข์ อง จำนวนครงั้ ท่ีเขา้ เรยี น เมนเดล ความนา่ จะเป็น มากกว่า 80% และกฎการแยก กฎแหง่ - สามารถตอบคำถามได้ การรวมกลมุ่ อย่างอิสระ อยา่ งถูกต้อง และการผสมเพ่ือทดสอบ รวมทงั้ ลกั ษณะทาง พันธกุ รรมท่ีนอกเหนอื กฎ ของเมนเดลได้ (ว 1.2 ม. 4/2) - ตง้ั คำถามที่อยู่บนพื้นฐาน ของความรแู้ ละความเข้าใจ ทางวิทยาศาสตร์ หรือ ความสนใจ หรอื จาก ประเด็นทเี่ กิดข้ึนใน ขณะนั้น ที่สามารถทำการ สำรวจตรวจสอบหรือ ศึกษาคน้ คว้าได้อยา่ ง ครอบคลมุ และเชอ่ื ถอื ได้ (ว 8.1 ม. 4/2) คุณลกั ษณะ - ใฝเ่ รียนรู้ - มงุ่ มั่นในการทำงาน - ความสนใจในการเรียน - การถาม/ตอบ

แผนการจัดการเรียนรู้ รหสั วิชา ว31247 ช่ือรายวชิ า ชวี วิทยา 2 ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 กล่มุ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ภาคเรียนที่ 2 ชอ่ื หน่วยการเรียนรู้ พนั ธศุ าสตร์ แผนการเรียนร้ทู ี่ 4 เรอื่ ง การผสมเพือ่ ทดสอบ การข่มไม่สมบูรณ์ และการขม่ ร่วมกัน เวลา 2 ชวั่ โมง ผสู้ อน นางสาวศรอี ุดร ลา้ นสาวงษ์ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสำคญั ของการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรม ววิ ัฒนาการของสิ่งมีชวี ติ ความหลากหลายทางชีวภาพ การใชเ้ ทคโนโลยชี ีวภาพทม่ี ผี ลกระทบต่อมนุษย์ และส่ิงแวดล้อม มกี ระบวนการสบื เสาะหาความรู้และจติ วทิ ยาศาสตร์ สือ่ สารส่งิ ที่เรียนรูแ้ ละนำความรู้ไป ใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจติ วิทยาศาสตรใ์ นการสบื เสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา รู้ว่าปรากฎการณท์ างธรรมชาตทิ ีเ่ กิดข้ึนส่วนใหญม่ ีรปู แบบที่แน่นอน สามารถอธบิ ายและ ตรวจสอบไดภ้ ายใตข้ ้อมูลและเครื่องมือท่ีมอี ยู่ในช่วงเวลานน้ั ๆ เข้าใจว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสง่ิ แวดล้อมมีความเก่ยี วข้องสมั พนั ธ์กัน 2. ผลการเรยี นรู้ 1) อธบิ ายและสรุปการการศึกษาพนั ธศุ าสตรข์ องเมนเดล ความนา่ จะเป็นและกฎการแยก กฎ แหง่ การรวมกลมุ่ อย่างอสิ ระ และการผสมเพือ่ ทดสอบ รวมท้ังลักษณะทางพันธกุ รรมทีน่ อกเหนือกฎของ เมนเดลได้ (ว 1.2 ม. 4/2) 2) ตัง้ คำถามท่ีอยบู่ นพ้นื ฐานของความรู้และความเขา้ ใจทางวทิ ยาศาสตร์ หรอื ความสนใจ หรอื จากประเดน็ ท่เี กดิ ขึ้นในขณะนัน้ ทส่ี ามารถทำการสำรวจตรวจสอบหรอื ศึกษาค้นควา้ ได้อยา่ งครอบคลุม และเชอ่ื ถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) 3. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด - การผสมเพอื่ ทดสอบ เป็นวธิ ีการที่ใช้ในการทดสอบหาจโี นไทป์ของสิง่ มีชีวติ ทส่ี งสยั - การข่มไมส่ มบรู ณ์และการข่มรว่ มกันเปน็ ลักษณะทางพันธุกรรมท่ีเป็นสว่ นขยายของเมนเดล โดยการขม่ ไมส่ มบูรณจ์ ะทำให้รุ่น F1 ทีเ่ กิดมามีลักษณะผสม คือ แสดงออกท้ังลักษณะเด่นและลักษณะ ดอ้ ย สว่ นการขม่ ร่วมกันจะทำใหร้ ุ่น F1 แสดงลักษณะเดน่ ได้เท่าๆ กัน 4. สาระการเรยี นรู้ ความรู้ - การผสมเพอื่ ทดสอบ - การขม่ ไม่สมบรู ณ์ - การข่มร่วมกัน ทกั ษะ/กระบวนการ 1) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2) ทกั ษะการคิด 3) ทักษะการเรียนรู้ 4) ทักษะการแก้ปัญหา 5) ทกั ษะกระบวนการทำงานกลุ่ม

5. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1) อธิบายหลกั การและความสำคัญของวิธีการผสมเพ่ือทดสอบได้ 2) สืบคน้ ข้อมลู อภิปราย และอธบิ ายการข่มไมส่ มบรู ณ์ และการข่มรว่ มกันได้ 3) นำความรู้ไปใช้ในการหาโอกาสเกิดลักษณะที่ถา่ ยทอดทางพันธุกรรมท่ีเปน็ ส่วนขยายของพันธุ ศาสตร์เมนเดล 6. คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1) ใฝเ่ รยี นรู้ 2) อยู่อย่างพอเพยี ง 3) มุ่งม่ันในการทำงาน 4) มวี นิ ยั 7. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น 1) ความสามารถในการส่ือสาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 8. กระบวนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ขน้ั นำเข้าสูบ่ ทเรยี น ครูและนักเรียนรว่ มกนั ทบทวนความร้เู กีย่ วกับกฏของเมนเดลทนี่ กั เรยี นได้เรยี นรู้มาแลว้ ข้ันจดั การเรยี นรู้ จดั กจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซงึ่ มีข้นั ตอนดงั นี้ 1) ครนู ำเสนอ PowerPoint เรือ่ ง การผสมเพ่อื ทดสอบ โดยใหน้ กั เรยี นดรู ูปกระตา่ ย แล้วครตู ้ัง คำถามถามนักเรียนว่ากระตา่ ยและหนูแกสบ้ีที่เห็นในรปู มจี ีโนไทป์อย่างไร ถ้า - กรณกี ระต่ายขนสดี ำและกระตา่ ยขนสขี าว โดยมลี กั ษณะสดี ำเป็นลักษณะเด่น นักเรยี นรว่ มกันตอบคำถาม โดยได้ข้อสรปุ วา่ ในกรณีของกระตา่ ย ถ้ากำหนด B เป็นแอลลลี ขนสี ดำ และ b แทนแอลลีลขนสขี าว กระตา่ ยขนสีขาวเป็นลกั ษณะด้อย จะแสดงลักษณะสีขาวเมอ่ื จีโนไทป์ bb สว่ นกระตา่ ยขนสีดำซ่ึงเปน็ ลกั ษณะเดน่ จะแสดงขนสดี ำได้แม้จะมแี อลลลี B เพยี งแอลลลี เดียว ดงั นน้ั จโี น ไทปข์ องกระต่ายขนสีดำ จะเป็นได้ 2 แบบ คือ BB หรือ Bb แสดงวา่ เป็นฮอโมไซกัสหรือเฮเทอโรไซกสั ก็ได้ 2) ครูอธิบายใหน้ ักเรียนฟังว่าการผสมเพื่อทดสอบ (testcross) เป็นวธิ ีการหนง่ึ ทใี่ ช้ในการทดสอบ หาจีโนไทปข์ องสงิ่ มีชวี ิตทีส่ งสัย โดยนำส่ิงมีชีวิตทีส่ งสัยไปทดสอบกับส่ิงมชี วี ติ ที่มีลักษณะดอ้ ย ถา้ ลูกทเี่ กดิ มามีลักษณะเดน่ ท้งั หมด แสดงวา่ จีโนไทปข์ องสิง่ มชี วี ิตที่สงสยั เป็นฮอโมไซกัส แต่ถ้าลกู ท่ีเกดิ มามีลักษณะ เด่น: ลักษณะด้อย เท่ากบั 1:1 แสดงวา่ ส่งิ มชี วี ติ ทส่ี งสัยมีจีโนไทป์เปน็ เฮเทอโรไซกสั พร้อมยกตวั อย่างการ ผสมเพอื่ หาจโี นไทปข์ องกระต่ายขนสดี ำ 3) ครอู ธิบายเพิ่มเติมเกยี่ วกับการผสมกลบั (backcross) วา่ ในสมัยของเมนเดลยังไม่มีการคน้ พบ การแบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ แตเ่ มนเดลรูไ้ ดว้ ่า ลกั ษณะสีของดอกในรุ่น F1 ที่เปน็ สีม่วงน้ันเปน็ พนั ธผ์ุ สม มีจี โนไทป์เปน็ เฮเทอโรไซกสั Pp และลักษณะของดอกในรุน่ F2 ท่ีเป็นสีมว่ งมีจีโนไทปเ์ ปน็ เฮเทอโรไซกัส Pp อยู่ 2/3 และเปน็ ฮอโมไซกสั PP อยู่ 1/3 ไดโ้ ดยการนำตน้ ทม่ี ดี อกสีมว่ งในรนุ่ F1 มาถา่ ย(ละออง)เรณูขา้ ม กับดอกสขี าวในรนุ่ P ถ้าลูกท่ีเกดิ มามีดอกสมี ่วงทงั้ หมด แสดงวา่ ดอกสมี ่วงในรุน่ F1 มจี โี นไทป์เปน็ PP แต่

ถา้ ลูกทีเ่ กดิ มามีดอกสีม่วง:สขี าว เทา่ กับ 1:1 แสดงวา่ ดอกสีมว่ งในรนุ่ F1 มีจโี นไทป์ Pp นักวิทยาศาสตร์ เรยี กการทดสอบของเมนเดลโดยการนำรนุ่ ลกู กลบั ไปผสมพันธ์ุกับรนุ่ พ่อแมว่ ่า การผสมกลบั 4) ครนู ำเสนอ PowerPoint เรื่อง การข่มไมส่ มบรู ณ์ โดยถามคำถามนักเรยี นวา่ เมื่อนำต้น บานเยน็ ดอกสีแดงผสมกบั ดอกสขี าว รุน่ F1 จะมลี ักษณะอยา่ งไร นกั เรียนร่วมกนั อภิปรายคำตอบ โดยได้ ข้อสรุปร่วมกันว่า การผสมพันธตุ์ ้นบานเยน็ ดอกสแี ดงซง่ึ เป็นลักษระเดน่ กบั ดอกสีขาวซง่ึ เป็นลักษณะด้อย ถา้ จีโนไทปข์ องพ่อแม่เปน็ ฮอมอไซกสั ทงั้ คู่ ลูกรนุ่ F1 จะมีดอกสแี ดงทง้ั หมด แตถ่ ้าพ่อและแม่เปน็ เฮเทอโร ไซกัสท้ังคู่ ลูกรนุ่ F1 จะมีดอกสีแดงต่อดอกสีขาวอัตราสว่ นเท่ากับ 1:1 5) ครูนำเสนอผลการทดลองของคารล์ คอรเ์ รนส์ ทพี่ บว่าเมื่อนำตน้ บานเยน็ ดอกสแี ดงและดอกสี ขาวผสมกันจะไดด้ อกสชี มพู ซ่ึงไม่เป็นไปตามกฎของเมนเดล แลว้ ถามนักเรยี นว่าเป็นเพราะเหตุใด พร้อม ทงั้ ร่วมกันสรุปการผสมพนั ธ์ุต้นบานเยน็ ดอกสีแดงกบั ดอกสีขาวทีเ่ ปน็ ไปตามกฎของเมนเดล และตามการ ทดลองของคาร์ล คอร์เรนส์รว่ มกนั 6) ครใู หน้ ักเรียนศึกษาข้อมลู เกยี่ วกบั การผสมพนั ธุ์ตน้ ลน้ิ มงั กรพนั ธ์ดุ อกสีแดงและดอกสีขาว ซง่ึ ได้รุ่น F1 ดอกสีชมพู และรุน่ F2 มีอตั ราส่วนดอกสแี ดง : ดอกสีชมพู : ดอกสีขาว เท่ากับ 1:2:1 แล้วสรุป ร่วมกนั ว่า ลักษณะสีของดอกลนิ้ มังกรถูกควบคุมด้วยยนี 2 แอลลีล โดยแอลลีลหนง่ึ ข่มแอลลีลทเี่ ปน็ คกู่ นั ไมส่ มบูรณ์ ทำใหล้ ูกมีฟีโนไทป์ไมเ่ หมือนพ่อแม่ เกดิ เปน็ ดอกสีชมพูข้ึน ซ่งึ เปน็ การขม่ ไม่สมบรู ณ์ แลว้ ถาม คำถามนักเรียนว่า - รุ่น F2 มีฟโี นไทปแ์ ละจโี นไทปเ์ ป็นอย่างไร ในอตั ราส่วนเท่าใด และแตกต่างจากผลการทดลอง ของเมนเดลอย่างไร (รนุ่ F2 มีอตั ราสว่ นของจโี นไทป์ RR:RR’:R’R’ เทา่ กบั 1:2:1 และมีอตั ราส่วนของฟโี นไทป์เป็น ดอกสแี ดง:ดอกสชี มพู:ดอกสขี าว เทา่ กับ 1:2:1 แตผ่ ลการทดลองของเมนเดลรุ่น F2 มี 2 ลักษณะ คอื ลกั ษณะเดน่ :ลกั ษณะด้อย เท่ากับ 3:1) 7) ครูนำเสนอ PowerPoint เรอื่ ง การข่มรว่ มกนั โดยถามคำถามนกั เรยี นวา่ หมเู่ ลือด ABO ของ คนถ่ายทอดมาได้อยา่ งไร นักเรียนรว่ มกันอภิปรายคำตอบ โดยครอู ธบิ ายเกี่ยวกบั หม่เู ลือดระบบ ABO ท่ี นักเรยี นไดเ้ รยี นรู้มาแลว้ โดยใหศ้ กึ ษาการถา่ ยทอดหมูเ่ ลอื ด AB ของลกู ที่เกดิ จากพ่อและแมท่ ี่มีหมู่เลือด A และ B ท่ีเป็นฮอมอไซกัสโดมิแนนท์ หรือเม่ือพ่อและแม่มหี มเู่ ลือด A และ B ทีเ่ ป็นเฮเทอโรไซกัส และการ ถา่ ยทอดสีขนในม้าทม่ี ีขนสโี รน ซึ่งนกั เรียนควรได้ข้อสรุปร่วมกนั วา่ แอลลีลของหมู่เลือดและสีขนของสตั ว์ บางชนิดเป็นแอลลีลที่แสดงลักษณะเดน่ ไดท้ ั้งคู่ จึงแสดงออกรว่ มกันได้ทั้ง 2 ลักษณะ

กิจกรรมรวบยอด 1) ใหน้ ักเรียนทำแบบทดสอบ Check Point 5 เพือ่ ทบทวนความรทู้ ่นี กั เรยี นได้รบั จากการเรยี น โดยให้นกั เรียนตอบคำถามตอ่ ไปนี้’ - ลูกท่ีเกดิ จากพ่อและแม่ท่ีมีผมหยกั ศกจะมีฟีโนไทป์และจโี นไทป์อย่างไร อัตราส่วนเท่าใด - ถา้ พอ่ ผมเหยียดตรงและแม่ผมหยิก ลูกท่ีเกิดมาจะมีฟโี นไทปเ์ ปน็ อยา่ งไร - เหตุใดการถา่ ยทอดลักษณะเส้นผมในคนจงึ เป็นการข่มไม่สมบูรณ์ 2) นักเรียนปฏิบัตกิ จิ กรรมท่ี 15.2 การแกโ้ จทย์ปัญหา เร่ืองการผสมพจิ ารณาหลายลกั ษณะ 3) ครูใหน้ กั เรยี นส่งสมดุ เพ่ือตรวจสอบการบนั ทึกความรู้ท่ีได้จากการเรียนและการตอบคำถาม Check Point 5 หลังเลกิ เรียน 9. สือ่ และแหล่งการเรียนรู้ สื่อ 1) PowerPoint ประกอบการเรยี นรู้ เรื่อง การผสมเพ่ือทดสอบ การข่มไม่สมบรู ณ์ และการขม่ ร่วมกัน 2) หนงั สอื เรยี น รายวิชาเพิ่มเติม ชีววทิ ยา 2 ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4-6 ของ สสวท แหล่งการเรียนรู้ 1) หนังสือหรอื วารสารวิทยาศาสตร์ 2) สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ 3) อินเทอร์เน็ต google classroom

10. การวัดและประเมินผล เปา้ หมาย หลกั ฐาน เครอ่ื งมอื วดั เกณฑก์ ารประเมนิ - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ สาระสำคัญ - แบบทดสอบ (check อย่างถูกตอ้ ง point) - ทำแบบทดสอบ - การผสมเพ่ือทดสอบ - สมดุ - การถาม/ตอบ (check point) ได้อย่าง - แบบทดสอบ (check ถูกตอ้ ง - การข่มไม่สมบูรณ์ point) -สามารถตอบคำถามได้ อยา่ งถกู ต้อง - การขม่ รว่ มกนั - ความตรงตอ่ เวลาและ - ทำแบบทดสอบ จำนวนคร้งั ทเี่ ข้าเรยี น (check point) ไดอ้ ยา่ ง ผลการเรียนรู้ ถกู ตอ้ ง - อธิบายและสรปุ การ - สมุด - การเขา้ ช้นั เรยี นสาย ไม่เกิน 15 นาที และ การศึกษาพนั ธุศาสตร์ จำนวนครงั้ ทีเ่ ข้าเรยี น มากกวา่ 80% ของเมนเดล ความนา่ จะ - สามารถตอบคำถามได้ อย่างถูกต้อง เปน็ และกฎการแยก กฎ แหง่ การรวมกลุ่มอย่าง อิสระ และการผสมเพอ่ื ทดสอบ รวมทงั้ ลักษณะ ทางพนั ธุกรรมท่ี นอกเหนือกฎของเมนเดล ได้ (ว 1.2 ม. 4/2) - ตงั้ คำถามทีอ่ ยบู่ น พ้นื ฐานของความรแู้ ละ ความเขา้ ใจทาง วทิ ยาศาสตร์ หรือความ สนใจ หรือจากประเดน็ ที่ เกดิ ขน้ึ ในขณะนั้น ท่ี สามารถทำการสำรวจ ตรวจสอบหรือศกึ ษา ค้นควา้ ได้อยา่ ง ครอบคลุมและเช่อื ถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) คณุ ลักษณะ - ใฝ่เรียนรู้ - การเข้าช้นั เรยี น - มุ่งมนั่ ในการทำงาน - ความสนใจในการเรยี น - การถาม/ตอบ

แผนการจัดการเรยี นรู้ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 รหสั วชิ า ว31247 ชือ่ รายวิชา ชีววิทยา 2 ภาคเรียนท่ี 2 กล่มุ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ช่ือหนว่ ยการเรียนรู้ พนั ธุศาสตร์ เวลา 2 ชว่ั โมง แผนการเรียนรูท้ ี่ 5 เรอ่ื ง มัลติเปลิ แอลลีลและพอลยิ ีน ผูส้ อน นางสาวศรอี ดุ ร ลา้ นสาวงษ์ 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม ววิ ัฒนาการของสิ่งมชี วี ิต ความหลากหลายทางชวี ภาพ การใชเ้ ทคโนโลยีชวี ภาพทม่ี ีผลกระทบต่อมนษุ ย์ และสิง่ แวดลอ้ ม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจติ วทิ ยาศาสตร์ สอ่ื สารสงิ่ ท่เี รียนรแู้ ละนำความรู้ไป ใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตรใ์ นการสบื เสาะหาความรู้ การแกป้ ัญหา รวู้ า่ ปรากฎการณ์ทางธรรมชาตทิ ีเ่ กดิ ขึ้นส่วนใหญม่ ีรูปแบบท่ีแน่นอน สามารถอธบิ ายและ ตรวจสอบไดภ้ ายใตข้ ้อมูลและเครอ่ื งมือท่ีมีอยู่ในช่วงเวลานั้น ๆ เขา้ ใจว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และส่ิงแวดลอ้ มมีความเกยี่ วข้องสัมพนั ธก์ นั 2. ผลการเรยี นรู้ 1) อธบิ ายและสรุปการการศึกษาพันธศุ าสตรข์ องเมนเดล ความน่าจะเปน็ และกฎการแยก กฎแหง่ การรวมกลมุ่ อยา่ งอสิ ระ และการผสมเพื่อทดสอบ รวมทั้งลักษณะทางพันธกุ รรมทีน่ อกเหนือกฎของเมน เดลได้ (ว 1.2 ม. 4/2) 2) ตงั้ คำถามท่ีอยู่บนพ้นื ฐานของความรู้และความเข้าใจทางวทิ ยาศาสตร์ หรอื ความสนใจ หรอื จากประเด็นทเี่ กิดขึน้ ในขณะนน้ั ทสี่ ามารถทำการสำรวจตรวจสอบหรือศึกษาค้นคว้าได้อย่างครอบคลุม และเชอื่ ถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) 3. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด - มัลตเิ ปิลแอลลลี คอื ยีนหรือแอลลีลท่มี ากกวา่ 2 ชนิดทีค่ วบคมุ ลกั ษณะใดลกั ษณะหนง่ึ ของ สงิ่ มีชีวิต - พอลยิ ีน คือ กลมุ่ ของยนี หลายค่ทู ่คี วบคุมลักษณะทางพนั ธกุ รรมลักษณะเดยี ว 4. สาระการเรียนรู้ ความรู้ - มัลติเปิลแอลลีล - พอลิยนี ทักษะ/กระบวนการ 1) ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 2) ทกั ษะการคิด 3) ทักษะการเรยี นรู้ 4) ทักษะการแก้ปญั หา 5) ทักษะกระบวนการทำงานกลมุ่

5. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1) สบื คน้ ข้อมูล และเปรยี บเทียบลักษศณะทางพันธุกรรมของมลั ติเปลิ แอลลีลและพอลยิ นี ได้ 2) นำความรู้ไปใชใ้ นการหาโอกาสเกดิ ลักษณะที่ถ่ายทอดทางพันธกุ รรมท่ีเปน็ ส่วนขยายของพันธุ ศาสตรเ์ มนเดล 6. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 1) ใฝ่เรียนรู้ 2) อยู่อยา่ งพอเพยี ง 3) มงุ่ มน่ั ในการทำงาน 4) มวี ินยั 7. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 8. กระบวนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนำเขา้ สู่บทเรยี น ครูทบทวนความหมายของแอลลีล และแอลลีลท่ีควบคมุ ลักษณะหมู่เลอื ด คือ IA IB และ i ท่ี นักเรียนได้เรียนรมู้ าแลว้ โดยต้ังคำถามถามนกั เรียนกวา่ ลักษณะทุกลกั ษณะของสิง่ มชี วี ติ มยี ีนท่ีควบคุม เพยี ง 2 แอลลลี เทา่ นนั้ หรือไม่ นกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายคำตอบ โดยครยู ังไมเ่ ฉลยคำตอบท่ถี กู ต้อง ข้ันจัดการเรียนรู้ จัดกจิ กรรมการเรยี นรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซ่ึงมขี น้ั ตอนดังน้ี 1) ครนู ำเสนอ PowerPoint เร่อื ง มลั ติเปิลแอลลลี แลว้ ใหน้ กั เรยี นสืบคน้ ข้อมูลการถา่ ยทอด ลักษณะทางพนั ธกุ รรมของหมู่เลอื ดระบบ ABO ว่าควบคมุ ด้วยแอลลลี ใดบ้าง ซ่ึงนกั เรียนควรได้ข้อสรปุ รว่ มกนั วา่ หมเู่ ลอื ด ABO ควบคมุ ด้วยแอลลลี 3 แอลลีล คือ IA IB และ i ซง่ึ อยู่ในโลคสั เดียวกนั บนฮอ โมโลกัสโครโมโซมคู่เดียวกนั แลว้ ตัง้ คำถามถามนักเรียนว่า - เมอ่ื แอลลลี ท่ีควบคุมหมู่เลือดมอี ย่ดู ว้ ยกัน 3 แอลลลี จะมีจีโนไทป์เกิดข้ึนได้กีแ่ บบ และมีฟโี นไทป์ ทแ่ี สดงออกอย่างไรบา้ ง (หม่เู ลอื ด A และ B มจี โี นไทป์ 2 แบบ คอื IAIA IAi และ IBIB IBi ตามลำดบั สว่ นหมู่ เลอื ด AB และ O มีจโี นไทป์แบบเดียว คือ IAIB และ ii ตามลำดบั ) 2) ครใู ห้นกั เรยี นศึกษาการตรวจสอบหมเู่ ลือด โดยอธิบายให้นกั เรยี นเข้าใจวา่ การศกึ ษาการ ถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมของหมู่เลือด สามารถใช้ตรวจสอบเพื่อยืนยนั เบอื้ งตน้ ได้วา่ บคุ คลนั้นมี ความสมั พนั ธเ์ ป็นพอ่ -ลกู หรือ แม่-ลูกกัน 3) ครนู ำเสนอ PowerPoint เร่อื ง พอลยิ ีน โดยถามคำถามนกั เรียนวา่ ลกั ษณะหนงึ่ ๆ ของ สงิ่ มชี ีวิตถกู ควบคุมด้วยยนี เพียงคู่เดยี วเสมอไปหรอื ไม่ และมลี กั ษณะทางพันธกุ รรมใดบ้างท่ถี กู ควบคมุ ด้วย ยนี หลายคู่ นักเรยี นรว่ มกันอภปิ รายคำตอบ โดยครูยงั ไมเ่ ฉลยคำตอบท่ีถูกต้อง 4) ครอู ธิบายใหน้ ักเรียนเข้าใจว่า ลักษณะทางพันธกุ รรมที่ศึกษาโดยเมนเดล เป็นลกั ษณะท่ี สามารถสงั เกตเห็นความแตกตา่ งได้ชัดเจน เชน่ ลักษณะดอกที่เปน็ สีม่วงหรอื สีขาว ซ่ึงควบคุมดว้ ยยีนเพยี ง 1 คู่ แต่ลักษระทางพนั ธุกรรมบางชนิดมยี นี ท่คี วบคุมมากกว่า 1 ตำแหนง่ ข้นึ ไป เรยี กว่าพอลิยนี ซง่ึ เปน็ กลุม่ ของยนี หลายคทู่ ่ีควบคุมลักษณะทางพนั ธกุ รรมลักษณะเดยี ว

5) ครูให้นักเรียนศกึ ษาข้อมูลเก่ียวกับการถ่ายทอดลกั ษณะสีของเมล็ดขา้ วสาลีที่เกิดจากการผสม ของพนั ธ์แุ ทเ้ มลด็ สีแดงเข้มกับเมลด็ สขี าว แล้วตงั้ คำถามถามนักเรยี นวา่ - ลักษณะสขี องเมลด็ ขา้ วสาลีถูกควบคุมดว้ ยยนี ก่คี ู่ มีลกั ษณะใดเป็นลักษณะเดน่ และลกั ษณะ ดอ้ ย - รุ่น F1 มีสอี ะไร - รนุ่ F1 เมอ่ื ผสมกนั เองจะได้รุ่น F2 ทม่ี สี ีของเมลด็ ขา้ วสาลีแตกต่างกนั อย่างไร นกั เรยี นควรได้ขอ้ สรปุ รว่ มกันวา่ สขี องเมลด็ ข้าวสาลถี ูกควบคุมด้วยยนี 3 คู่ โดยมีเมล็ดสีแดงเปน็ ลกั ษณะเดน่ เมล็ดสีขาวลักษณะเปน็ ด้อย รุ่น F1 มสี ชี มพู รนุ่ F2 มเี มลด็ สแี ตกตา่ งกนั 6) ครูใหน้ กั เรยี นสงั เกตจำนวนของยีนเดน่ จีโนไทป์ของแต่ละรุ่น และการแสดงออกของยนี แตล่ ะ คู่ ซงึ่ นกั เรยี นควรได้ข้อสรุปร่วมกันว่า รุ่น F1 มีเมล็ดสชี มพู เนือ่ งจากจโี นไทป์มีแอลลลี เด่นและแอลลี ลดอ้ ยจำนวนเทา่ กัน คือ 3 แอลลีล (R1r1R2r2R3r3) แตเ่ มื่อรุ่น F1 ผสมกันเองจะไดร้ ่นุ F2 ทม่ี ฟี โี นไทป์ แตกต่างกัน 7 กลุม่ ข้นึ อยู่กบั จำนวนของแอลลลี เด่น แล้วยกตัวอย่างลักษณะทางพนั ธกุ รรมอ่ืน ๆ ท่เี กิด จากพอลยิ นี เชน่ สขี นของสนุ ัข และสีตาของคน ทีท่ ำให้ฟีโนไทปแ์ ตกตา่ งกนั เล็กน้อยลดหลนั่ กนั ตาม จำนวนยนี เดน่ เป็นลกั ษณะทางพนั ธุกรรมทแ่ี ปรผันอยา่ งต่อเน่อื ง หรือลกั ษณะเชิงปริมาณ ส่วนลกั ษณะท่ี แตกต่างกันอย่างชดั เจน เชน่ การมลี กั ยมิ้ หรือไม่มีลกั ยิ้ม เป็นลักษณะทางพันธุกรรมทีแ่ ปรผันไมต่ ่อเน่ือง กจิ กรรมรวบยอด 1) นักเรยี นและครรู ่วมกนั อภิปราย โดยใชแ้ นวคำถามต่อไปน้ี - การควบคุมลกั ษณะทางพนั ธุกรรมโดยมัลติเปลิ แอลลลี แตกตา่ งจากการควบคมุ ลกั ษณะทาง พันธุกรรมดว้ ยพอลิยีนอย่างไร ลักษณะท่คี วบคุมด้วยมัลติเปิลแอลลลี ลกั ษณะทคี่ วบคุมด้วยพอลิยีน 1. ควบคมุ ดว้ ยยนี 1 คใู่ นบคุ คลหน่ึง 1. ควบคุมดว้ ยยีนหลายคู่ 2. ควบคมุ ด้วยยนี หลายแอลลีลในตำแหนง่ 2. ควบคมุ ดว้ ยยนี หลายตำแหน่งของฮอโมโลกัส เดยี วกนั บนฮอมอโลกสั โครโมโซม โครโมโซมตา่ งค่กู ัน 3. ลักษณะท่แี สดงออกมีความแตกต่างกันอย่าง 3. ลกั ษณะที่แสดงออกลดหลน่ั กัน เปน็ การแปร เดน่ ชัด เป็นการแปรผนั แบบไม่ตอ่ เน่ือง ผนั แบบต่อเน่ือง 4. สิง่ แวดล้อมมอี ธิ ิพลตอ่ การแสดงออกน้อยมาก 4. สง่ิ แวดลอ้ มมีผลต่อการแสดงออกของลักษณะ หรอื ไม่มเี ลย 5. เปน็ ลกั ษณะเชงิ ปรมิ าณ 5. เป็นลักษณะเชิงคุณภาพ 2) ครใู ห้นกั เรยี นส่งสมุด เพ่ือตรวจสอบการบนั ทึกความรู้ท่ีได้จากการเรียน 9. สือ่ และแหลง่ การเรยี นรู้ ส่ือ 1) PowerPoint ประกอบการเรยี นรู้ เรื่อง มัลตเิ ปลิ แอลลีลและพอลยิ ีน 2) หนังสือเรียน รายวชิ าเพ่มิ เตมิ ชวี วิทยา 2 ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 4-6 ของ สสวท แหล่งการเรยี นรู้ 1) หนงั สอื หรือวารสารวิทยาศาสตร์ 2) สารานุกรมวทิ ยาศาสตร์ 3) อนิ เทอร์เนต็ google classroom

10. การวัดและประเมินผล เป้าหมาย หลักฐาน เคร่อื งมือวดั เกณฑก์ ารประเมิน - การถาม/ตอบ สาระสำคัญ -สามารถตอบคำถามได้ - การถาม/ตอบ อยา่ งถูกต้อง - มัลติเปลิ แอลลีล - สมุด - สามารถตอบคำถาม - พอลยิ นี ได้อยา่ งถกู ต้อง ผลการเรยี นรู้ - อธบิ ายและสรุปการ - สมุด การศกึ ษาพันธศุ าสตร์ ของเมนเดล ความน่าจะ เป็นและกฎการแยก กฎ แหง่ การรวมกลมุ่ อย่าง อสิ ระ และการผสมเพอ่ื ทดสอบ รวมทั้งลักษณะ ทางพันธุกรรมท่ี นอกเหนือกฎของเมน เดลได้ (ว 1.2 ม. 4/2) - ต้งั คำถามทอ่ี ยู่บน พื้นฐานของความรูแ้ ละ ความเข้าใจทาง วทิ ยาศาสตร์ หรือความ สนใจ หรอื จากประเดน็ ที่เกดิ ขน้ึ ในขณะนน้ั ที่ สามารถทำการสำรวจ ตรวจสอบหรือศึกษา ค้นควา้ ได้อยา่ ง ครอบคลุมและเชื่อถือ ได้ (ว 8.1 ม. 4/2) คณุ ลักษณะ - การเขา้ ช้นั เรยี น - ความตรงตอ่ เวลาและ - การเข้าชั้นเรยี นสาย - ใฝ่เรียนรู้ จำนวนครั้งท่เี ขา้ เรียน ไม่เกิน 15 นาที และ จำนวนครัง้ ทีเ่ ขา้ เรียน มากกว่า 80% - มงุ่ ม่ันในการทำงาน - ความสนใจในการ - การถาม/ตอบ - สามารถตอบคำถาม เรียน ไดอ้ ย่างถกู ต้อง

แผนการจดั การเรียนรู้ รหัสวชิ า ว31247 ชือ่ รายวชิ า ชีววิทยา 2 ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ภาคเรียนที่ 2 ช่ือหนว่ ยการเรยี นรู้ พนั ธศุ าสตร์ แผนการเรียนรูท้ ่ี 6 เร่อื ง ยีนบนโครโมโซมเพศและยนี บนโครโมโซมเดยี วกนั เวลา 2 ชวั่ โมง ผสู้ อน นางสาวศรีอุดร ล้านสาวงษ์ 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสำคญั ของการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม ววิ ฒั นาการของสิ่งมีชีวติ ความหลากหลายทางชวี ภาพ การใช้เทคโนโลยชี วี ภาพทม่ี ผี ลกระทบต่อมนษุ ย์ และส่งิ แวดลอ้ ม มีกระบวนการสบื เสาะหาความร้แู ละจติ วิทยาศาสตร์ สือ่ สารสิง่ ที่เรียนร้แู ละนำความรู้ไป ใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และจติ วิทยาศาสตรใ์ นการสืบเสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา รู้วา่ ปรากฎการณ์ทางธรรมชาตทิ เ่ี กิดข้ึนส่วนใหญ่มรี ปู แบบท่ีแน่นอน สามารถอธิบายและ ตรวจสอบได้ภายใต้ข้อมูลและเครือ่ งมือที่มีอยู่ในชว่ งเวลานัน้ ๆ เข้าใจวา่ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และสงิ่ แวดล้อมมีความเก่ียวข้องสมั พนั ธก์ นั 2. ผลการเรียนรู้ 1) อธบิ ายและสรปุ การการศึกษาพนั ธศุ าสตรข์ องเมนเดล ความน่าจะเป็นและกฎการแยก กฎแหง่ การรวมกลุ่มอย่างอิสระ และการผสมเพ่ือทดสอบ รวมทั้งลักษณะทางพันธกุ รรมทนี่ อกเหนือกฎของเมน เดลได้ (ว 1.2 ม. 4/2) 2) ตั้งคำถามท่ีอยบู่ นพนื้ ฐานของความรู้และความเข้าใจทางวทิ ยาศาสตร์ หรือความสนใจ หรือ จากประเดน็ ที่เกิดขึ้นในขณะน้นั ทสี่ ามารถทำการสำรวจตรวจสอบหรือศึกษาคน้ ควา้ ได้อยา่ งครอบคลุม และเชอ่ื ถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) 3. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด - การถ่ายทอดยนี บนโครโมโซมเพศ เรยี กว่า ยีนท่ีเกยี่ วเนื่องกับเพศ ถ้ายนี มตี ำแหน่งบนโครโมโซม X เรียกว่ายีนทีเ่ ก่ียวเน่ืองกับ X (X-linked gene) ถา้ ยีนมีตำแหนง่ บนโครโมโซม Y เรยี กว่า ยีนทเ่ี ก่ียวเนอ่ื ง กับ Y (Y-linked gene) - ยนี บนโครโมโซมเดยี วกันจะถ่ายทอดไปด้วยกัน แตก่ ารเกิดครอสซิงโอเวอร์ (crossing over) ท่ี มีการแลกเปล่ยี นชิน้ สว่ นของโครมาทดิ จะทำใหย้ ีนบนโครโมโซมเดยี วกันท่ีเคยถา่ ยทอดไปดว้ ยกนั แยกออก จากกนั และเกดิ การรวมใหม่ของยนี (genetic recombination) ไปปรากฏในเซลล์สบื พันธ์ุเดียวกันได้ เม่ือ เกดิ การผสมพันธ์จุ งึ เกิดลักษณะที่มคี วามผนั แปร 4. สาระการเรียนรู้ ความรู้ - ยีนบนโครโมโซมเพศ - ยนี บนโครโมโซมเดยี วกนั

ทักษะ/กระบวนการ 1) ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 2) ทักษะการคิด 3) ทักษะการเรียนรู้ 4) ทกั ษะการแก้ปญั หา 5) ทักษะกระบวนการทำงานกลุม่ 5. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1) สืบคน้ ขอ้ มลู วิเคราะห์ อภปิ ราย และสรุปการถา่ ยทอดยนี บนโครโมโซมเพศและท่ีอยู่บน โครโมโซมเดยี วกัน 2) ยกตัวอย่างและเขียนจีโนไทป์ของยนี บนออโตโซมและยีนบนโครโมโซมเพศได้ 3) นำความรู้ไปใชใ้ นการหาโอกาสเกิดลกั ษณะที่ถ่ายทอดทางพันธกุ รรมท่ีเป็นส่วนขยายของพันธุ ศาสตร์เมนเดล 6. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ 1) ใฝ่เรยี นรู้ 2) อยู่อยา่ งพอเพยี ง 3) มงุ่ มนั่ ในการทำงาน 4) มวี นิ ัย 7. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น 1) ความสามารถในการสอ่ื สาร 2) ความสามารถในการคดิ 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 8. กระบวนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ขนั้ นำเข้าสูบ่ ทเรียน ครทู บทวนความร้เู ดิมของนักเรียนเกย่ี วกับโครโมโซมของมนษุ ย์ เก่ยี วกบั ออโตโซมและโครโมโซม เพศ โดยนกั เรียนควรไดข้ ้อสรุปรว่ มกนั วา่ โครโมโซมในเพศหญงิ เปน็ 44+XX สว่ นโครโมโซมในเพศชาย เป็น 44+XY ขน้ั จัดการเรยี นรู้ จดั กิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ซึง่ มขี ั้นตอนดงั น้ี 1) ครูนำเสนอ PowerPoint เรื่อง ยีนบนโครโมโซมเพศ แล้วอธิบายใหน้ กั เรียนเขา้ ใจว่าลกั ษณะ ทางพันธุกรรมของคนจะถูกควบคุมดว้ ยยีนที่มตี ำแหน่งอยู่บนออโตโซมและโครโมโซมเพศ โดยยีนที่อยบู่ น ออโตโซมส่วนใหญ่มีการถ่ายทอดยีนทีเ่ ปน็ ไปตามกฎของเมนเดล เช่น ลกั ษณะผวิ เผือก มะเร็งในเรตนิ า และธาลสั ซีเมยี แตม่ ีบางลกั ษณะที่ไมเ่ ป็นไปตามกฎของเมนเดล เชน่ หมู่เลอื ด ABO สผี วิ และสีตา 2) ครใู ห้นักเรียนศึกษาโครโมโซมของแมลงหว่ีจากการทดลองของ โทมัส ฮันท์ มอร์แกน แลว้ ตง้ั คำถามถามนักเรียนวา่ - แมลงหวเี่ พศเมียและเพศผ้มู ีโครโมโซมอย่างไร (แมลงหวเ่ี พศเมียและเพศผูม้ ีจำนวนโครโมโซม 8 แท่งเทา่ กนั ต่างกนั ท่ีโครโมโซมเพศ โดยเพศเมยี จะมีโครโมโซม 6+XX สว่ นเพศผู้มโี ครโมโซม 6+XY)

3) ครูให้นักเรยี นศึกษาการผสมพันธแุ์ มลงหวี่เพศเมียตาสีแดงกบั แมลงหวี่เพศผู้ตาสีขาวของมอร์ แกน โดยนกั เรยี นควรได้ขอ้ สรปุ ร่วมกันว่า - ในธรรมชาติแมลงหวเ่ี พศผูแ้ ละเพศเมยี จะมีตาสีแดง เม่อื ผสมแมลงหวหี่ ลายชวั่ รนุ่ จะพบแมลง หว่ีเพศผ้บู างตัวตาสขี าว - เม่อื ผสมแมลงหวเี่ พศเมียตาสแี ดงกับแมลงหวเ่ี พศผ้ตู าสีขาว ไดล้ ูกรุ่น F1 ทกุ ตัวมีตาสแี ดง - รนุ่ F2 เพศเมียทุกตวั มีตาสีแดง และเพศผตู้ าสแี ดง:เพศผู้ตาสีขาว เทา่ กับ 1:1 4) ครูใหน้ ักเรยี นศกึ ษาการผสมพนั ธ์แุ มลงหวี่ตามแนวคิดของมอรแ์ กน ซึง่ นกั เรียนควรสรุปได้ว่า ยนี ด้อยบนโครโมโซม X มโี อกาสแสดงออกได้ในเพศผมู้ ากกวา่ เพศเมีย เนื่องจากเพศผ้มู โี ครโมโซม X 1 แทง่ แมลงหวท่ี ่ีได้รับโครโมโซม X ซึง่ มยี นี ดอ้ ยมาจากแมจ่ ึงแสดงผลทนั ที ส่วนเพศเมียจะต้องไดร้ บั โครโมโซม X ทม่ี ยี นี ดอ้ ยมาจากพ่อและแมจ่ งึ จะแสดงลักษณะได้ 5) ครอู ธบิ ายเพิม่ เติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจว่า การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซมเพศ เรยี กวา่ ยนี ที่ เกยี่ วเนื่องกบั เพศ ถา้ ยีนมีตำแหนง่ บนโครโมโซม X เรยี กวา่ ยีนทีเ่ กีย่ วเนือ่ งกบั X (X-linked gene) ถ้ายีนมี ตำแหนง่ บนโครโมโซม Y เรยี กว่า ยีนท่ีเก่ียวเนอื่ งกบั Y (Y-linked gene) แล้วใหน้ ักเรียนศึกษาการ ถา่ ยทอดลักษณะตาบอดสี แล้วตง้ั คำถามดังน้ี - ชายคนท่ี 1 และคนที่ 4 ในรุ่นท่ี 3 ได้รับการถา่ ยทอดยนี ตาบอดสีมาได้อย่างไร (ชายคนที่ 1 ไดร้ บั ยนี ตาบอดสมี าจากแม่หมายเลข 1 รุ่นท่ี 2 และชายคนที่ 4 ได้รบั ยีนตาบอดสีมาจากแม่หมายเลข 2 รนุ่ ท่ี 2 ซ่ึงแมห่ มายเลข 1 และ 2 จะเปน็ พาหะ โดยได้รบั ยีนตาบอดสีมาจากพอ่ รุน่ ที่ 1) - ลักษณะตาบอดสีสว่ นใหญ่ปรากฎในเพศใด และลูกสาวจะมีโอกาสเป็นตาบอดสีได้เม่ือพ่อและ แม่มีจีโนไทป์อย่างไร (ลกั ษณะตาบอดสสี ว่ นใหญ่พบในเพศชาย ลูกสาวมีโอกาสตาบอดสไี ด้ เมอ่ื พ่อมีจโี น ไทป์ XcY และแม่มีจีโนไทป์เป็น XCXc หรือ XcXc) 6) ครูนำเสนอ PowerPoint เร่อื ง ยนี บนโครโมโซมเดียวกัน โดยต้งั คำถามถามนักเรยี นว่า ถา้ ยนี อยู่บนโครโมดซมเดียวกัน เมื่อมกี ารถ่ายทอดยนี ไปสู่เซลลส์ ืบพนั ธุ์ ยีนเหล่าน้ันจะถูกถ่ายทอดไปด้วยกัน หรอื ไม่ นักเรยี นร่วมกนั อภิปรายคำตอบ โดยควรไดข้ ้อสรปุ รว่ มกนั วา่ ยีนเหล่าน้จี ะถูกถ่ายทอดไปดว้ ยกัน ได้ แล้วครูให้ความร้เู กีย่ วกบั ลิงคเ์ กจ (linkage) ว่าการทย่ี ีน 2 โลคสั หรือมากกว่า 2 โลคัสมีการถา่ ยทอดไป ดว้ ยกนั พร้อม ๆ กนั ยนี เหลา่ นนั้ เรียกว่า ลิงคเ์ กจ 7) ครใู หน้ กั เรยี นสบื คน้ ข้อมลู และศึกษาการผสมพนั ธข์ุ องแมลงหวล่ี ักษณะตัวสนี ้ำตาลปีกตรงท่ี เป็นเฮเทอโรไซกสั กับลักษระตวั สนี ำ้ ตาลปกี โคง้ โดยร่วมกันอภปิ รายในประเด็นตอ่ ไปนี้ - แมลงหวตี่ วั สีนำ้ ตาลปกี ตรงในรนุ่ พอ่ แมท่ ่เี ปน็ เฮเทอโรไซกัสสร้างเซลลส์ ืบพนั ธไ์ุ ด้กช่ี นิด อะไรบ้าง - ร่นุ F1 มีอตั ราสว่ นของฟีโนไทป์เปน็ เท่าใด - การถา่ ยทอดยนี ที่ควบคมุ ลกั ษณะสีตัวและปกี ของแมลงหว่ีเป็นไปตามกฎแห่งการรวมกลุ่มอย่าง อสิ ระของเมนเดลหรอื ไม่ อยา่ งไร นักเรียนควรได้ขอ้ สรปุ รว่ มกนั ว่า เมอ่ื ผสมพนั ธ์แุ มลงหวีต่ ัวสีนำ้ ตาลปกี ตรงที่มีจีโนไทป์เปน็ เฮเทอ โรไซกสั ในรนุ่ พ่อแม่ จะสรา้ งเซลล์สืบพันธุไ์ ด้ 2 แบบ คือ BVg และ bvg เมื่อผสมกับแมลงหว่ตี ัวสีดำปกี โค้ง ซึง่ สรา้ งเซลล์สบื พนั ธไุ์ ด้แบบเดียว คือ bvg จะไดร้ ุ่น F1 ทม่ี ีฟโี นไทป์ 2 แบบ คือ ตวั สีน้ำตาลปีกตรงและตัว สีดำปีกโคง้ ในอตั ราส่วน 1:1 ซ่ึงไม่เป็นไปตามกฎการถ่ายทอดยนี ของเมนเดล ทีต่ อ้ งได้ฟีโนไทป์ 4 ลักษณะ อตั รสว่ นเป็น 9:3:3:1 แสดงวา่ ต้องมียนี ควบคมุ สีตัวและยีนควบคมุ ลกั ษณะปีกอยบู่ นโครโมโซมเดียวกัน เมอื่ มีการถา่ ยทอดแอลลีลของยีนท้ังสองที่อยู่บนโครโมโซมเดียวกันจะปรากฎในเซลลส์ บื พันธ์เุ ดียวกนั

8) ครใู ห้นกั เรยี นศึกษาการเกิดครอสซงิ โอเวอร์ ซึง่ นักเรียนควรสรปุ รว่ มกันได้วา่ ยีนบนโครโมโซม เดียวกันจะถ่ายทอดไปด้วยกัน แต่การเกิดครอสซิงโอเวอร์ (crossing over) ทมี่ ีการแลกเปลยี่ นชิน้ สว่ น ของโครมาทิดจะทำให้ยนี บนโครโมโซมเดียวกันที่เคยถ่ายทอดไปดว้ ยกันแยกออกจากกันและเกดิ การรวม ใหมข่ องยนี (genetic recombination) ไปปรากฏในเซลลส์ บื พนั ธ์เุ ดยี วกนั ได้ เม่ือเกิดการผสมพนั ธ์ุจงึ เกดิ ลักษณะที่มีความผนั แปร ซ่ึงมีความสำคญั ต่อวิวัฒนาการ กิจกรรมรวบยอด 1) นกั เรยี นและครรู ว่ มกนั อภิปราย โดยใช้แนวคำถามต่อไปน้ี - หญงิ คนหนง่ึ เป็นโรคตาบอดสี เม่อื แต่งงานกบั ชายตาปกติ ลกู ชายจะเป็นโรคตาบอดสหี รือไม่ และลูกสาวจะเปน็ โรคตาบอดสีหรอื เปน็ พาหะ (ลูกชายจะเป็นโรคตาบอดสี เพราะไดร้ บั ยีนทคี่ วบคุมโรคตา บอดสีมาจากแม่ ส่วนลกู สาวจะเป็นพาหะของโรค เพราะได้รบั ยีนตาบอดสมี าจากแม่และได้รับยนี ตาปกติ มาจากพอ่ ) 2) ครใู ห้นักเรียนสง่ สมดุ เพื่อตรวจสอบการบนั ทึกความรทู้ ่ีไดจ้ ากการเรยี น หลังเลิกเรยี น 9. สอ่ื และแหลง่ การเรียนรู้ สือ่ 1) PowerPoint ประกอบการเรยี นรู้ เรอื่ ง ยีนบนโครโมโซมเพศและยนี บนโครโมโซมเดียวกัน 2) หนังสือเรียน รายวิชาเพ่ิมเติม ชวี วิทยา 2 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4-6 ของ สสวท แหลง่ การเรยี นรู้ 1) หนงั สอื หรอื วารสารวทิ ยาศาสตร์ 2) สารานุกรมวิทยาศาสตร์ 3) อินเทอรเ์ น็ต google classroom

10. การวัดและประเมินผล เป้าหมาย หลกั ฐาน เครอื่ งมือวัด เกณฑ์การประเมิน - การถาม/ตอบ สาระสำคัญ -สามารถตอบคำถามได้ อย่างถูกต้อง - ยนี บนโครโมโซมเพศ - สมุด - ยีนบนโครโมโซม เดยี วกนั ผลการเรียนรู้ - อธิบายและสรปุ การ - สมดุ - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ อยา่ งถูกต้อง การศกึ ษาพนั ธศุ าสตร์ ของเมนเดล ความนา่ จะ เป็นและกฎการแยก กฎ แหง่ การรวมกลมุ่ อย่าง อิสระ และการผสมเพ่อื ทดสอบ รวมทั้งลักษณะ ทางพันธกุ รรมท่ี นอกเหนือกฎของเมน เดลได้ (ว 1.2 ม. 4/2) - ตั้งคำถามท่อี ย่บู น พืน้ ฐานของความรูแ้ ละ ความเขา้ ใจทาง วทิ ยาศาสตร์ หรอื ความ สนใจ หรือจากประเดน็ ท่ีเกดิ ขนึ้ ในขณะนน้ั ที่ สามารถทำการสำรวจ ตรวจสอบหรอื ศกึ ษา คน้ ควา้ ได้อย่าง ครอบคลุมและเช่ือถือ ได้ (ว 8.1 ม. 4/2) คณุ ลักษณะ - การเขา้ ชั้นเรยี น - ความตรงตอ่ เวลาและ - การเขา้ ชัน้ เรยี นสาย - ใฝเ่ รยี นรู้ จำนวนครั้งท่ีเข้าเรียน ไมเ่ กิน 15 นาที และ จำนวนครง้ั ทเี่ ขา้ เรียน มากกว่า 80% - มงุ่ มัน่ ในการทำงาน - ความสนใจในการ - การถาม/ตอบ - สามารถตอบคำถาม เรียน ได้อยา่ งถกู ต้อง

แผนการจัดการเรยี นรู้ รหัสวชิ า ว31247 ช่ือรายวชิ า ชวี วิทยา 2 ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 กล่มุ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ ภาคเรียนที่ 2 ช่อื หนว่ ยการเรียนรู้ พันธุศาสตร์ เวลา 2 ชั่วโมง แผนการเรียนรทู้ ่ี 7 เรื่อง ลักษณะท่อี ยภู่ ายใตอ้ ิทธพิ ลของเพศและลกั ษณะที่ปรากฏจำเพาะเพศ ผู้สอน นางสาวศรีอุดร ลา้ นสาวงษ์ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสำคญั ของการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม ววิ ัฒนาการของส่งิ มีชวี ิต ความหลากหลายทางชวี ภาพ การใช้เทคโนโลยชี ีวภาพที่มผี ลกระทบต่อมนุษย์ และส่ิงแวดลอ้ ม มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรู้และจติ วิทยาศาสตร์ สือ่ สารสงิ่ ทเ่ี รยี นร้แู ละนำความรู้ไป ใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และจติ วทิ ยาศาสตรใ์ นการสบื เสาะหาความรู้ การแกป้ ัญหา รวู้ ่าปรากฎการณท์ างธรรมชาติทีเ่ กดิ ขึ้นสว่ นใหญ่มีรปู แบบท่ีแน่นอน สามารถอธบิ ายและ ตรวจสอบไดภ้ ายใตข้ ้อมลู และเครื่องมือที่มีอยู่ในช่วงเวลาน้นั ๆ เขา้ ใจว่าวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิง่ แวดลอ้ มมคี วามเกย่ี วข้องสมั พนั ธก์ นั 2. ผลการเรียนรู้ 1) อธบิ ายและสรปุ การการศึกษาพันธศุ าสตรข์ องเมนเดล ความน่าจะเป็นและกฎการแยก กฎ แห่งการรวมกลุ่มอย่างอิสระ และการผสมเพื่อทดสอบ รวมทงั้ ลักษณะทางพนั ธกุ รรมทนี่ อกเหนือกฎของ เมนเดลได้ (ว 1.2 ม. 4/2) 2) ต้ังคำถามที่อยูบ่ นพน้ื ฐานของความรู้และความเขา้ ใจทางวทิ ยาศาสตร์ หรือความสนใจ หรอื จากประเดน็ ที่เกดิ ข้นึ ในขณะนั้น ท่ีสามารถทำการสำรวจตรวจสอบหรอื ศกึ ษาคน้ คว้าได้อยา่ งครอบคลมุ และเชื่อถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) 3. สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด - ลักษณะท่ีอยูภ่ ายใต้อิทธิพลของเพศ คือ ลกั ษณะท่คี วบคุมโดยยนี บนออโตโซม แต่การแสดง ลกั ษณะของแอลลลี ขึ้นอยู่กับเพศ - ลักษณะทป่ี รากฎจำเพาะเพศ คอื ลักษณะท่คี วบคุมโดยยีนบนออโตโซม แต่ถูกฮอร์โมนเพศให้ แสดงออกในเพศใดเพศหน่ึงเทา่ นั้น 4. สาระการเรียนรู้ ความรู้ - ลักษณะที่อย่ภู ายใต้อิทธิพลของเพศ - ลกั ษณะทีป่ รากฎจำเพาะเพศ ทักษะ/กระบวนการ 1) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2) ทักษะการคิด 3) ทักษะการเรียนรู้ 4) ทกั ษะการแก้ปัญหา 5) ทกั ษะกระบวนการทำงานกล่มุ

5. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1) สืบค้นข้อมูล อภปิ ราย อธิบายและเปรียบเทยี บการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมท่ีอย่ภู ายใต้ อทิ ธิพลของเพศ และลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมทีป่ รากฏจำเพาะเพศได้ 2) นำความรู้ไปใช้ในการหาโอกาสเกิดลักษณะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมท่ีเปน็ ส่วนขยายของพันธุ ศาสตรเ์ มนเดล 6. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 1) ใฝเ่ รียนรู้ 2) อยู่อย่างพอเพยี ง 3) ม่งุ มน่ั ในการทำงาน 4) มีวินยั 7. สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รียน 1) ความสามารถในการสอ่ื สาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 8. กระบวนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ขนั้ นำเขา้ สู่บทเรียน ครูและนกั เรยี นร่วมกนั ทบทวนความรเู้ ก่ียงกับ ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมท่ีควบคมุ ดว้ ยยีนบน โครโมโซมเพศที่นักเรยี นได้เรียนรู้มาแล้ว ขน้ั จดั การเรยี นรู้ จดั กิจกรรมการเรยี นรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซ่ึงมขี ั้นตอนดังน้ี 1) ครตู ัง้ คำถามถามนักเรยี นว่า - ลักษณะบางลักษณะในคนที่สัมพันธก์ ับเพศจำเป็นต้องถกู ควบคมุ ดว้ ยยนี ท่ีอยู่ที่โครโมโซมเพศ หรือไม่ (ลักษณะท่ีแตกต่างกันระหวา่ งเพศชายกับชเพศหญงิ ไมจ่ ำเป็นต้องควบคมุ ดว้ ยยนี บนโครโมโซม เพศเพียงอยา่ งเดยี ว ลกั ษณะบางอย่างถูกควบคมุ ดว้ ยยีนบนออโตโซมได้ แต่อยภู่ ายใตอ้ ิทธิพลของเพศ ทำ ใหล้ ักษณะดงั กล่าวน้ีพบไดใ้ นเพศหนึง่ มากกว่าอีกเพศหน่ึง) 2) ครูนำเสนอ PowerPoint เรอ่ื ง ลกั ษณะทีอ่ ยภู่ ายใต้อทิ ธิพลของเพศ โดยใหน้ กั เรยี นศึกษาจโี น ไทปแ์ ละฟีโนไทป์ของยนี ท่ีควบคมุ ลกั ษณะศีรษะลา้ นในเพศชายและเพศหญงิ โดยเน้นให้นักเรียนเห็นวา่ ลักษณะศรี ษะล้าน ควบคุมดว้ ยยนี เด่นบนออโตโซม แต่มีการแสดงออกสัมพันธก์ บั เพศ ซง่ึ ข้ึนอย่กู ับ อทิ ธพิ ลของฮอรโ์ มนเพศชาย ไม่เกี่ยวกบั การถา่ ยทอดยนี บนโครโมโซมเพศ 3) ครูนำเสนอ PowerPoint เรื่อง ลักษณะท่ีปรากฏจำเพาะเพศ โดยให้นักเรยี นศึกษาจีโนไทป์ และฟีโนไทป์ของไกเ่ พศผู้และเพศเมยี แลว้ รว่ มกันอภิปรายถึงลกั ษณะขนหางของไก่ทคี่ วบคุมด้วยยีนท่มี จี ี โนไทปแ์ บบเดยี วกนั แตแ่ สดงออกแตกต่างกนั ในเพศผแู้ ละเพศเมีย คอื จโี นไทป์ hh ทำให้เปน็ ขนแบบ เฮนในไกเ่ พศเมีย แตใ่ นไก่เพศผจู้ ะเปน็ ขนแบบคอ็ ก แล้วถามคำถามนักเรยี น ดงั นี้ - นักเรียนจะสรปุ ได้อยา่ งไรเก่ียวกับการแสดงออกของยีนทค่ี วบคมุ ลักษณะขนหางในไก่ (ลักษณะขนแบบค็อกในไกถ่ กู จำกดั ให้แสดงออกเฉพาะไก่เพศผู)้ - ในการผสมพันธไุ์ ก่เพศเมียขนแบบเฮนกับไกเ่ พศผู้ขนแบบค็อก ลูกไกท่ ง้ั เพศผแู้ ละเพศเมยี ท่เี กิด มามลี ักษณะขนแบบเฮนทุกตัว จงหาจโี นไทปข์ องพ่อแม่คู่น้ี (แมแ่ ละพ่อมจี ีโนไทป์ เปน็ HH และ hh ตามลำดับ)

กจิ กรรมรวบยอด 1) นักเรียนและครรู ่วมกันอภิปราย โดยใชแ้ นวคำถามต่อไปนี้ - ลักษณะที่อยู่ภายใต้อิทธพิ ลของเพศ คืออะไร ยกตวั อย่างประกอบ (ลักษณะที่ควบคุมโดยยีน บนออโตโซม แต่การแสดงลักษณะของแอลลีลขึน้ อยกู่ บั เพศ เชน่ ลักษณะศรี ษะล้านในเพศชายและเพศ หญิง) - ในการศกึ ษาการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของมนุษย์ทำไดย้ ากกวา่ ในพชื จงหาว่าเปน็ เพราะเหตุใด (เพราะมนษุ ยม์ ีช่วงชีวิตแต่ละชว่ งรุน่ ยาวนาน และจำนวนของลูกหลานทเี่ กิดขน้ึ มจี ำนวนไม่ มากพอ ทำให้การควบคุมการทดลองเปน็ ไปได้ยาก ทำใหก้ ารทำนายการเปลยี่ นแปลงของลกั ษณะต่างๆ ท่ี เกดิ ข้นึ ไดไ้ มด่ )ี 2) ใหน้ ักเรียนทำแบบทดสอบ Check Point 6 เพอ่ื ทบทวนความรทู้ ่นี กั เรยี นได้รับจากการเรียน โดยให้นกั เรยี นตอบคำถามต่อไปน้ี โรคกระดูกอ่อน - ถา้ แมเ่ ป็นโรคกระดกู อ่อน ลูกสาวและลูกชายจะมีโอกาสเป็นโรคกระดูกอ่อนหรือไม่ - ถา้ พ่อเปน็ โรคกระดูกออ่ น ลูกสาวและลกู ชายจะมโี อกาสเป็นโรคกระดูกอ่อนหรือไม่ - โรคกระดกู ออ่ นถกู ควบคมุ ด้วยยีนบนโครโมโซมใด 6) ครูใหน้ ักเรยี นส่งสมดุ เพ่ือตรวจสอบการบันทึกความรทู้ ี่ได้จากการเรียนและการตอบคำถาม Check Point 6 หลังเลกิ เรยี น 9. ส่อื และแหลง่ การเรียนรู้ ส่ือ 1) PowerPoint ประกอบการเรียนรู้ เรอื่ ง ลักษณะที่อยู่ภายใตอ้ ทิ ธิพลของเพศและลักษณะที่ ปรากฏจำเพาะเพศ 2) หนงั สอื เรยี น รายวิชาเพ่มิ เตมิ ชีววทิ ยา 2 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4-6 ของ สสวท แหลง่ การเรยี นรู้ 1) หนังสือหรือวารสารวิทยาศาสตร์ 2) สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ 3) อนิ เทอร์เน็ต google classroom

10. การวดั และประเมินผล เป้าหมาย หลักฐาน เครื่องมอื วดั เกณฑ์การประเมนิ - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ สาระสำคญั - แบบทดสอบ (check อย่างถกู ตอ้ ง point) - ทำแบบทดสอบ - ลักษณะท่อี ยภู่ ายใต้ - สมุด - การถาม/ตอบ (check point) ได้อย่าง - แบบทดสอบ (check ถกู ต้อง อทิ ธิพลของเพศ point) -สามารถตอบคำถามได้ อยา่ งถูกต้อง - ลกั ษณะทปี่ รากฎ - ความตรงตอ่ เวลาและ - ทำแบบทดสอบ จำนวนครั้งทเี่ ขา้ เรยี น (check point) ได้อย่าง จำเพาะเพศ ถูกตอ้ ง ผลการเรยี นรู้ - การเข้าชั้นเรียนสาย ไม่เกิน 15 นาที และ - อธบิ ายและสรปุ การ - สมดุ จำนวนครง้ั ทเ่ี ขา้ เรียน มากกว่า 80% การศกึ ษาพันธุศาสตร์ - สามารถตอบคำถามได้ อย่างถูกต้อง ของเมนเดล ความน่าจะ เปน็ และกฎการแยก กฎ แหง่ การรวมกลุม่ อยา่ ง อสิ ระ และการผสมเพ่อื ทดสอบ รวมท้ังลักษณะ ทางพนั ธุกรรมท่ี นอกเหนือกฎของเมนเดล ได้ (ว 1.2 ม. 4/2) -ต้ังคำถามที่อย่บู น พื้นฐานของความรแู้ ละ ความเข้าใจทาง วทิ ยาศาสตร์ หรือความ สนใจ หรอื จากประเดน็ ที่ เกดิ ข้นึ ในขณะนั้น ที่ สามารถทำการสำรวจ ตรวจสอบหรือศึกษา ค้นคว้าไดอ้ ยา่ ง ครอบคลุมและเชอื่ ถอื ได้ (ว 8.1 ม. 4/2) คุณลักษณะ - ใฝ่เรยี นรู้ - การเข้าชน้ั เรยี น - มงุ่ ม่นั ในการทำงาน - ความสนใจในการเรียน - การถาม/ตอบ

แผนการจดั การเรยี นรู้ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 4 รหสั วิชา ว31247 ชอ่ื รายวิชา ชีววทิ ยา 2 ภาคเรยี นที่ 2 กล่มุ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชือ่ หนว่ ยการเรยี นรู้ พันธศุ าสตร์ เวลา 2 ชวั่ โมง แผนการเรยี นรู้ท่ี 8 เรอ่ื ง การถ่ายทอดยนี และโครโมโซม ผู้สอน นางสาวศรอี ดุ ร ลา้ นสาวงษ์ 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจกระบวนการและความสำคัญของการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม วิวัฒนาการของส่ิงมีชีวติ ความหลากหลายทางชีวภาพ การใชเ้ ทคโนโลยชี ีวภาพท่มี ีผลกระทบต่อมนุษย์ และสงิ่ แวดลอ้ ม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรแู้ ละจิตวิทยาศาสตร์ สือ่ สารสิ่งทีเ่ รียนร้แู ละนำความรู้ไป ใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสบื เสาะหาความรู้ การแกป้ ัญหา ร้วู ่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทเี่ กดิ ขน้ึ สว่ นใหญ่มีรปู แบบท่ีแน่นอน สามารถอธิบายและ ตรวจสอบไดภ้ ายใตข้ ้อมลู และเครอื่ งมือที่มอี ยู่ในชว่ งเวลานัน้ ๆ เข้าใจว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และส่งิ แวดล้อมมคี วามเก่ียวข้องสมั พนั ธก์ ัน 2. ผลการเรยี นรู้ 1) อธิบายและสรุปการถ่ายทอดยีนและโครโมโซม การค้นพบสารพนั ธกุ รรม โครโมโซม องค์ประกอบทางเคมีของดเี อ็นเอ และโครงสรา้ งของดีเอ็นเอ สมบตั ิของสารพนั ธุกรรม รวมท้งั มวิ เทชนั ได้ (ว 1.2 ม. 6/2) 2) ตง้ั คำถามที่อยูบ่ นพื้นฐานของความรู้และความเข้าใจทางวทิ ยาศาสตร์ หรอื ความสนใจ หรือ จากประเด็นท่เี กดิ ข้ึนในขณะน้ัน ทีส่ ามารถทำการสำรวจตรวจสอบหรือศกึ ษาค้นคว้าได้อยา่ งครอบคลุม และเชอ่ื ถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) 3. สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด ยนี จากพ่อและแม่จะส่งผา่ นมายังลูกดว้ ยกระบวนการปฏสิ นธิ โดยโครโมโซมท่เี ปน็ ทอ่ี ยูข่ องยีนนน้ั จะมกี ารแบ่งเซลล์ 2 แบบ คือ การแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซิส และการแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ 4. สาระการเรียนรู้ ความรู้ การถ่ายทอดยนี และโครโมโซม ทักษะ/กระบวนการ 1) ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2) ทักษะการคดิ 3) ทักษะการเรยี นรู้ 4) ทกั ษะการแก้ปัญหา 5) ทักษะกระบวนการทำงานกลมุ่

5. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1) สบื ค้นข้อมลู อภิปราย และอธิบายการถ่ายทอดยนี และโครโมโซมได้ 2) อธิบายและสรุปได้วา่ ยีนอยูบ่ นโครโมโซม 6. คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 1) ใฝ่เรยี นรู้ 2) อยู่อยา่ งพอเพยี ง 3) มงุ่ มัน่ ในการทำงาน 4) มีวินยั 7. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1) ความสามารถในการสือ่ สาร 2) ความสามารถในการคดิ 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 8. กระบวนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ขัน้ นำเข้าส่บู ทเรยี น 1) ครูนำเสนอ PowerPoint ให้นักเรียนดูรปู โครโมโซม แล้วตัง้ คำถามถามนักเรียน ดังนี้ - ส่ิงมีชีวิตแตล่ ะชนดิ ท่มี ีลักษณะแตกต่างกัน จะมโี ครงสรา้ งและจำนวนโครโมโซมแตกต่างกัน หรือไม่ - ยีนและโครโมโซมเก่ียวข้องกันอยา่ งไร จงึ มบี ทบาทต่อการถา่ ยทอดลกั ษณะของสิง่ มีชีวติ ได้ และ ถา้ โครงสรา้ งของโครโมโซมเปลย่ี นแปลงไป จะมีผลต่อสง่ิ มชี ีวิตหรอื ไม่ อยา่ งไร 2) ครใู หน้ ักเรียนร่วมกนั อภิปรายคำตอบ โดยครูยังไม่เฉลยคำตอบท่ีถูกตอ้ ง แลว้ ช้แี จงให้นกั เรยี น ฟังวา่ ความคดิ ของนักเรยี นจะถกู ต้องหรอื ไม่ นกั เรียนสามารถเรียนรูไ้ ดจ้ ากเรอื่ งยนี และโครโมโซม ขน้ั จัดการเรียนรู้ จัดกจิ กรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ซง่ึ มีข้นั ตอนดงั น้ี 1) ครูนำเสนอ PowerPoint ให้นกั เรียนดรู ูปการปฏิสนธิระหว่างสเปิรม์ กับเซลลไ์ ข่ไดเ้ ป็นไซโกต แล้วเจรญิ ตอ่ ไปเป็นเอม็ บริโอ ครูอธบิ ายให้นักเรยี นเข้าใจวา่ นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศกึ ษาพบว่าเซลลซ์ ่งึ เป็นหนว่ ยพ้นื ฐานทสี่ ำคัญของสง่ิ มชี วี ติ ประกอบด้วยองคป์ ระกอบท่ีสำคัญ คือ นวิ เคลียส เมือ่ ใช้กล้อง จลุ ทรรศนส์ ่องดูภายในนิวเคลียสท่ยี ้อมสแี ลว้ จะเห็นโครงสร้างทีม่ ีลักษณะเป็นเสน้ ใยเล็ก ๆ ขดพนั กัน เรียกว่า โครโมโซม ซึ่งเป็นโครงสรา้ งท่ที ำหนา้ ทีถ่ า่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม เมื่อทำการศกึ ษาการ เปลี่ยนแปลงของโครโมโซมจะพบวา่ มีการแบ่งเซลล์ 2 แบบ คอื การแบ่งเซลล์แบบไมโทซสิ และการแบ่ง เซลล์แบบไมโอซิส ซงึ่ จะเหน็ โครโมโซมชัดเจนมากในระยะเมทาเฟส 2) ครนู ำเสนอ PowerPoint รปู การแบง่ เซลล์แบบไมโทซิส และรปู การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส แลว้ อธบิ ายให้นกั เรียนเข้าใจว่า การแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซิสเป็นการแบ่งเซลลเ์ ดิมออกเป็นเซลล์ใหม่ 2 เซลล์ โดยเซลล์ใหมท่ ี่ได้จะมีลักษณะทางพนั ธุกรรมเหมือนเดิมทุกประการ และมีจำนวนโครโมโซมเทา่ กับ เซลลเ์ ร่มิ ต้นที่เรียกว่า ดิพลอยด์ (diploid) สว่ นการแบง่ เซลล์แบบไมโอซิส เปน็ การแบ่งเซลลท์ ี่ทำให้ได้ เซลลใ์ หม่แตล่ ะเซลล์มีจำนวนโครโมโซมลดลงคร่ึงหนึง่ ของเซลลเ์ รมิ่ ตน้ เรียกวา่ แฮพพลอยด์ (haploid)

3) ครตู ง้ั คำถามถามนักเรียนว่า “นักเรยี นคิดวา่ มีหลักฐานอะไรทย่ี นื ยันได้วา่ ยีนอยู่บนโครโมโซม” นกั เรียนรว่ มกนั ตอบคำถาม โดยได้ข้อสรปุ รว่ มกนั วา่ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม 7 ลกั ษณะท่ี เมนเดลไดศ้ ึกษาไปนน้ั ทำใหร้ ู้วา่ ลักษณะดังกลา่ วนี้มยี ีนที่ควบคมุ ซง่ึ สามารถถ่ายทอดไปยงั รุ่นตอ่ ไปได้ และ จากความรู้เร่ืองการแบ่งเซลล์ทีไ่ ดศ้ ึกษามาแลว้ ทำให้ทราบวา่ ในการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสเพ่ือสร้างเซลล์ สืบพนั ธทุ์ ่ีไดเ้ ซลล์ไข่กับสเปริ ม์ น้ัน สารพันธุกรรมจากพอ่ และแมจ่ ะถ่ายทอดมายังลกู ได้จากการปฏสิ นธิ ระหวา่ งเซลลไ์ ข่กบั สเปิร์ม ซง่ึ สารพันธกุ รรมนั้นก็คือ ยนี บนโครโมโซมนนั่ เอง 4) ให้นกั เรียนศึกษาทฤษฎีโครโมโซมในการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของวอลเตอร์ซตั ตนั ใน หนังสือเรียน ซง่ึ ซัตตันได้นำเสนอไว้ จนได้ขอ้ สรปุ รว่ มกันวา่ ยนี อยบู่ นโครโมโซม กจิ กรรมรวบยอด 1) ใหน้ ักเรียนทำแบบทดสอบ Check Point 7 เพ่อื ทบทวนความรทู้ ่นี กั เรยี นไดร้ บั จากการเรียน โดยใหน้ กั เรียนตอบคำถามต่อไปน้ี - การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและแบบไมโอซสิ ระยะใดทท่ี ำใหม้ องเหน็ โครโมโซมชัดเจนที่สุด - หลักฐานอะไรบ้างท่ียืนยนั ว่ายีนอยบู่ นโครโมโซม (อธบิ ายโดยใช้ความรู้เกีย่ วกบั การถ่ายทอด ลกั ษณะทางพนั ธุกรรมของเมนเดล) - ยีน DNA โครโมโซม และลักษณะทางพันธุกรรมของสิง่ มชี วี ติ มคี วามเก่ยี วข้องกันอย่างไร 2) ครูให้นักเรียนส่งสมุด เพื่อตรวจสอบการบนั ทึกความร้ทู ่ีได้จากการเรียนและการตอบคำถาม Check Point 7 หลังเลกิ เรียน 9. สื่อและแหล่งการเรียนรู้ สื่อ 1) PowerPoint ประกอบการเรียนรู้ เรื่อง การถ่ายทอดยีนและโครโมโซม 2) หนงั สอื เรียน รายวชิ าเพิ่มเตมิ ชวี วิทยา 2 ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 4-6 ของ สสวท แหล่งการเรยี นรู้ 1) หนงั สอื หรอื วารสารวิทยาศาสตร์ 2) สารานุกรมวทิ ยาศาสตร์ 3) อนิ เทอรเ์ นต็ google classroom

10. การวัดและประเมนิ ผล เป้าหมาย หลกั ฐาน เครือ่ งมอื วัด เกณฑก์ ารประเมนิ สาระสำคัญ - การถา่ ยทอดยนี และ - สมุด - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ อย่างถูกต้อง โครโมโซม - แบบทดสอบ (check - ทำแบบทดสอบ point) (check point) ได้ อย่างถูกต้อง ผลการเรียนรู้ - อธบิ ายและสรปุ การ - สมุด - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ อย่างถูกต้อง ถ่ายทอดยีนและ - แบบทดสอบ (check - ทำแบบทดสอบ point) (check point) ได้ โครโมโซม การค้นพบ อย่างถูกต้อง สารพันธุกรรม โครโมโซมองค์ประกอบ ทางเคมีของดเี อ็นเอ และโครงสรา้ งของดเี อ็น เอ สมบตั ขิ องสาร พนั ธกุ รรม รวมท้ัง มวิ เทชันได้ (ว 1.2 ม. 6/2) - ตงั้ คำถามทอี่ ยูบ่ น พ้นื ฐานของความรแู้ ละ ความเขา้ ใจทาง วิทยาศาสตร์ หรือความ สนใจ หรอื จากประเดน็ ทเ่ี กดิ ขึน้ ในขณะน้นั ที่ สามารถทำการสำรวจ ตรวจสอบหรือศกึ ษา ค้นควา้ ได้อยา่ ง ครอบคลุมและเช่ือถือ ได้ (ว 8.1 ม. 4/2) คุณลกั ษณะ - ใฝ่เรยี นรู้ - การเข้าช้ันเรยี น - ความตรงต่อเวลาและ - การเขา้ ชนั้ เรยี นสาย จำนวนครั้งทเ่ี ข้าเรียน ไมเ่ กนิ 15 นาที และ จำนวนครั้งทเ่ี ขา้ เรยี น มากกวา่ 80% - มงุ่ มั่นในการทำงาน - ความสนใจในการ - การถาม/ตอบ - สามารถตอบคำถาม เรียน ได้อยา่ งถูกต้อง

แผนการจัดการเรยี นรู้ รหัสวิชา ว31247 ชอื่ รายวิชา ชีววิทยา 2 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ภาคเรยี นท่ี 2 ชือ่ หนว่ ยการเรียนรู้ พนั ธุศาสตร์ แผนการเรียนรทู้ ี่ 9 เรอ่ื ง การค้นพบสารพนั ธุกรรม เวลา 2 ชั่วโมง ผู้สอน นางสาวศรีอุดร ลา้ นสาวงษ์ 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสำคญั ของการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม ววิ ฒั นาการของสิ่งมชี ีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้เทคโนโลยีชวี ภาพทมี่ ผี ลกระทบต่อมนุษย์ และสงิ่ แวดลอ้ ม มีกระบวนการสบื เสาะหาความรู้และจิตวทิ ยาศาสตร์ ส่อื สารสิง่ ท่เี รยี นรแู้ ละนำความรู้ไป ใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจติ วทิ ยาศาสตรใ์ นการสบื เสาะหาความรู้ การแกป้ ัญหา รู้วา่ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตทิ ่ีเกดิ ข้นึ สว่ นใหญม่ ีรูปแบบท่ีแน่นอน สามารถอธบิ ายและ ตรวจสอบไดภ้ ายใตข้ ้อมูลและเคร่ืองมือที่มอี ยู่ในชว่ งเวลานั้น ๆ เขา้ ใจวา่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และส่งิ แวดลอ้ มมคี วามเกี่ยวข้องสมั พนั ธก์ ัน 2. ผลการเรียนรู้ 1) อธิบายและสรปุ การถา่ ยทอดยีนและโครโมโซม การคน้ พบสารพันธุกรรม โครโมโซม องคป์ ระกอบทางเคมีของดเี อ็นเอ และโครงสรา้ งของดเี อน็ เอ สมบัติของสารพันธุกรรม รวมทั้งมิวเทชันได้ (ว 1.2 ม. 6/2) 2) ต้งั คำถามท่ีอยูบ่ นพน้ื ฐานของความรู้และความเขา้ ใจทางวทิ ยาศาสตร์ หรอื ความสนใจ หรอื จากประเด็นที่เกิดขนึ้ ในขณะนนั้ ทส่ี ามารถทำการสำรวจตรวจสอบหรือศกึ ษาคน้ ควา้ ได้อยา่ งครอบคลุม และเช่ือถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) 3. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด นกั วทิ ยาศาสตรใ์ นสมยั ตา่ ง ๆ ได้ทำการศกึ ษาพบวา่ DNA เป็นสารพันธกุ รรมของสิง่ มีชวี ิตชนดิ ตา่ ง ๆ ท่ีสามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสลู่ ูกหลานได้ โดยเรยี ก DNA ส่วนท่ีควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม ว่า ยีน และพบว่า ไวรสั บางชนิดมี RNA เปน็ สารพนั ธุกรรม 4. สาระการเรยี นรู้ ความรู้ การคน้ พบสารพนั ธกุ รรม ทักษะ/กระบวนการ 1) ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 2) ทกั ษะการคิด 3) ทกั ษะการเรยี นรู้ 4) ทักษะการแก้ปัญหา 5) ทักษะกระบวนการทำงานกลุ่ม

5. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) สบื ค้นข้อมูล วเิ คราะห์ อภปิ ราย และสรุปผลการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ เพอ่ื นำไปสู่การ คน้ พบสารพนั ธุกรรม 2) อธิบายและสรปุ ไดว้ ่ายนี เป็นส่วนหน่ึงของ DNA ท่ีควบคุมลกั ษณะทางพันธุกรรมและ DNA อยู่ ทโี่ ครโมโซม 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1) ใฝเ่ รยี นรู้ 2) อยู่อยา่ งพอเพียง 3) มงุ่ มัน่ ในการทำงาน 4) มีวินัย 7. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน 1) ความสามารถในการส่ือสาร 2) ความสามารถในการคดิ 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 8. กระบวนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ข้ันนำเขา้ สู่บทเรยี น ครทู บทวนความรู้เดิมใหน้ ักเรยี นฟังวา่ ยีน คอื หน่วยทคี่ วบคุมลักษณะทางพนั ธุกรรม ซงึ่ สามารถถา่ ยทอดจากพอ่ แมไ่ ปส่ลู ูกหลานได้ โดยยีนเปน็ ส่วนหนง่ึ ของ DNA และ DNA อย่บู นโครโมโซม ซงึ่ DNA เป็นสารพันธกุ รรมทสี่ ามารถถา่ ยทอดลักษณะต่าง ๆ ไปสู่ลูกหลานได้ ขน้ั จดั การเรยี นรู้ จดั กจิ กรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ซงึ่ มีขัน้ ตอนดงั นี้ 1) ครูนำเสนอ PowerPoint ให้นักเรียนดรู ปู โครงสร้างของ DNA ทป่ี ระกอบไปด้วย น้ำตาลดอี อก ซไี รโบส ไนโตรจีนัสเบส และหมฟู่ อสเฟต ซึง่ นักเรยี นได้เรยี นรมู้ าแล้ว แล้วอธิบายใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจว่า การ คน้ พบโครงสรา้ งของ DNA นเี้ ปน็ ผลมาจากการศึกษาคน้ คว้าทดลองของนักวิทยาศาสตร์หลายรุ่นอยา่ ง ยาวนาน 2) ครนู ำเสนอ PowerPoint แสดงการศึกษาสารพันธกุ รรมของ เฟรดริช มิเชอร์ แล้วสรปุ ให้ นกั เรยี นฟงั ว่าจากการศกึ ษานี้พบว่า ในนิวเคลยี สมสี ารท่ีมีธาตไุ นโตรเจนและฟอสฟอรสั เปน็ องคป์ ระกอบ เรียกสารน้วี ่า นวิ คลอี นิ 3) ครนู ำเสนอ power Point แสดงการศึกษาสารพันธุกรรมของ โรเบิรต์ ฟอยล์เกน แล้วสรปุ ให้ นักเรียนฟงั ว่าจากการศกึ ษาเม่อื ย้อมโครโมโซมดว้ ยสีฟุคซินจะพบวา่ DNA อยู่บนโครโมโซม 4) ครูนำเสนอ power Point แสดงการศึกษาสารพนั ธุกรรมของ เฟรเดอรกิ กริฟฟิท แล้วสรุปให้ นกั เรยี นฟงั วา่ เมื่อนำแบคทเี รียสารพนั ธุ์ S ท่ีทำใหเ้ กดิ โรคปอดบวมไปทำให้ตายดว้ ยความร้อน แลว้ นำไป ใสใ่ นอาหารเลีย้ งเชื้อท่ีเลย้ี งแบคทีเรียสายพนั ธุ์ R ที่ไม่ทำให้เกิดโรคปอดบวม พบวา่ มสี ารบางอยา่ งจาก แบคทีเรยี สายพนั ธุ์ S ท่ีทำให้แบคทีเรยี สายพนั ธ์ุ R กลายเป็นสายพันธ์ุทที่ ำใหเ้ กิดโรคได้ และสามารถ ถา่ ยทอดลกั ษณะนี้ไปส่แู บคทีเรยี รนุ่ ต่อไปได้ 5) ครนู ำเสนอ power Point แสดงการศึกษาสารพันธกุ รรมของ แอเวอรแ่ี ละคณะ แลว้ สรุปให้ นกั เรียนฟงั ว่าจากการศึกษาจะเหน็ วา่ DNA เปน็ สารที่สามารถเปล่ยี นพันธกุ รรมของแบคทเี รยี สายพนั ธ์ุ R ใหเ้ ป็นแบคทเี รียสายพนั ธ์ุ S ได้ จึงสรุปไดว้ ่า DNA เป็นสารพันธุกรรม ไมใ่ ช่โปรตีนอยา่ งทน่ี ักวทิ ยาศาสตร์ ในรุ่นก่อน ๆ เคยเข้าใจ

กิจกรรมรวบยอด 1) ให้นกั เรยี นทำแบบทดสอบ Check Point 8 เพื่อทบทวนความรทู้ นี่ ักเรียนได้รับจากการเรยี น โดยให้นักเรยี นตอบคำถามต่อไปน้ี - เพราะเหตใุ ดเม่ือนำแบคทีเรียสายพนั ธ์ุ S ท่ที ำให้ตายด้วยความร้อนไปผสมกบั สายพันธุ์ R ที่มี ชีวิตจงึ ทำให้หนตู ายได้ - การศึกษาของกริฟฟิทสามารถอธิบายผลการทดลองท่เี กดิ ขึน้ ได้อยา่ งไร - เพราะเหตุใดการทดลองของเอเวอรจี งึ ใช้เอนไซม์ RNase DNase และ protease ใส่ลงไปรวม กบั สารสกัดจากแบคทีเรยี สายพนั ธ์ุ S - เพราะเหตุใดการศึกษาไวรัสของแบคทเี รยี จงึ สามารถสนับสนุนไดว้ า่ DNA คือสารพนั ธกุ รรม 2) ครใู ห้นกั เรยี นสง่ สมดุ เพื่อตรวจสอบการบนั ทึกความรูท้ ี่ได้จากการเรียนและการตอบคำถาม Check Point 8 หลงั เลกิ เรยี น 9. สือ่ และแหลง่ การเรียนรู้ ส่อื 1) PowerPoint ประกอบการเรียนรู้ เรือ่ ง การค้นพบสารพันธุกรรม 2) หนงั สือเรียน รายวชิ าเพิม่ เติม ชวี วิทยา 2 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4-6 ของ สสวท แหลง่ การเรยี นรู้ 1) หนงั สือหรือวารสารวทิ ยาศาสตร์ 2) สารานกุ รมวิทยาศาสตร์ 3) อนิ เทอรเ์ นต็ google classroom 10. การวดั และประเมนิ ผล เปา้ หมาย หลักฐาน เครือ่ งมอื วัด เกณฑ์การประเมนิ สาระสำคัญ - การค้นพบสาร - สมดุ - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ อยา่ งถูกต้อง พันธุกรรม - แบบทดสอบ (check - ทำแบบทดสอบ point) (check point) ได้ อย่างถูกต้อง ผลการเรียนรู้ - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ - อธิบายและสรุปการ - สมดุ อย่างถูกต้อง ถา่ ยทอดยนี และ - แบบทดสอบ (check - ทำแบบทดสอบ โครโมโซม การคน้ พบ point) (check point) ได้ สารพันธกุ รรม อยา่ งถูกต้อง โครโมโซมองค์ประกอบ ทางเคมีของดเี อ็นเอ และโครงสรา้ งของ ดีเอ็นเอ สมบัติของสาร พนั ธุกรรม รวมทง้ั

เป้าหมาย หลักฐาน เครอื่ งมอื วัด เกณฑก์ ารประเมนิ มิวเทชันได้ (ว 1.2 ม. 6/2) - ตั้งคำถามทอี่ ยบู่ น พน้ื ฐานของความรู้และ ความเขา้ ใจทาง วิทยาศาสตร์ หรือความ สนใจ หรอื จากประเด็น ท่ีเกิดขึน้ ในขณะนน้ั ท่ี สามารถทำการสำรวจ ตรวจสอบหรอื ศกึ ษา ค้นคว้าได้อย่าง ครอบคลุมและเชื่อถือ ได้ (ว 8.1 ม. 4/2) คุณลักษณะ - ใฝเ่ รยี นรู้ - การเขา้ ชน้ั เรยี น - ความตรงตอ่ เวลาและ - การเข้าชั้นเรียนสาย จำนวนครัง้ ทเี่ ขา้ เรียน ไม่เกนิ 15 นาที และ จำนวนครั้งทเ่ี ข้าเรียน มากกว่า 80% - มงุ่ มนั่ ในการทำงาน - ความสนใจในการ - การถาม/ตอบ - สามารถตอบคำถาม เรยี น ได้อย่างถูกตอ้ ง

แผนการจดั การเรียนรู้ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 รหสั วชิ า ว31247 ชอ่ื รายวชิ า ชวี วิทยา 2 ภาคเรยี นที่ 2 กลุม่ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชอ่ื หนว่ ยการเรียนรู้ ยีนและโครโมโซม เวลา 2 ชั่วโมง แผนการเรยี นรู้ท่ี 10 เรือ่ ง โครโมโซม ผู้สอน นางสาวศรอี ดุ ร ล้านสาวงษ์ 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจกระบวนการและความสำคญั ของการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม ววิ ัฒนาการของสิง่ มชี วี ิต ความหลากหลายทางชวี ภาพ การใชเ้ ทคโนโลยชี ีวภาพทม่ี ผี ลกระทบต่อมนุษย์ และสง่ิ แวดลอ้ ม มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรแู้ ละจิตวทิ ยาศาสตร์ ส่ือสารส่ิงท่ีเรยี นรแู้ ละนำความรู้ไป ใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสบื เสาะหาความรู้ การแก้ปัญหา ร้วู ่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาตทิ เ่ี กิดขึน้ ส่วนใหญ่มรี ูปแบบท่ีแน่นอน สามารถอธบิ ายและ ตรวจสอบได้ภายใต้ข้อมูลและเครือ่ งมือที่มอี ยู่ในชว่ งเวลาน้นั ๆ เขา้ ใจว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และส่ิงแวดล้อมมคี วามเก่ียวข้องสมั พนั ธก์ ัน 2. ผลการเรียนรู้ 1) อธิบายและสรุปการถ่ายทอดยนี และโครโมโซม การคน้ พบสารพนั ธกุ รรม โครโมโซม องค์ประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ และโครงสร้างของดเี อน็ เอ สมบตั ขิ องสารพันธุกรรม รวมทง้ั มวิ เทชันได้ (ว 1.2 ม. 6/2) 2) ตัง้ คำถามที่อยบู่ นพนื้ ฐานของความรู้และความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ หรือความสนใจ หรือ จากประเดน็ ทีเ่ กดิ ข้นึ ในขณะนั้น ทีส่ ามารถทำการสำรวจตรวจสอบหรอื ศกึ ษาค้นควา้ ได้อยา่ งครอบคลุม และเชอื่ ถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) 3. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด โครโซมอยูภ่ ายในนิวเคลยี ส มีลักษณะเป็นเส้นเล็กยาวขดพันกนั เรยี กว่า โครมาทนิ ซง่ึ ประกอบด้วย DNA และโปรตีน ชนิดฮิสโตนและนอนฮิสโตน 4. สาระการเรียนรู้ ความรู้ 1) รูปรา่ งลักษณะ และจำนวนโครโมโซม 2) ส่วนประกอบของโครโมโซม ทกั ษะ/กระบวนการ 1) ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2) ทักษะการคดิ 3) ทกั ษะการเรยี นรู้ 4) ทกั ษะการแก้ปัญหา 5) ทกั ษะกระบวนการทำงานกลุ่ม

5. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1) สืบค้นข้อมลู อภิปราย และอธิบายรูปรา่ ง ลักษณะโครโมโซมในเซลล์รา่ งกาย 2) สบื คน้ ข้อมูล อภิปราย และอธิบายส่วนประกอบของโครโมโซม 6. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 1) ใฝเ่ รยี นรู้ 2) อยู่อย่างพอเพียง 3) มุ่งม่ันในการทำงาน 4) มวี นิ ยั 7. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน 1) ความสามารถในการสอ่ื สาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 8. กระบวนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ขัน้ นำเขา้ สบู่ ทเรียน 1) ครทู บทวนความรูเ้ ดิมของนักเรยี นเกย่ี วกบั โครโมโซม โดยตั้งคำถามถามนกั เรียนดังน้ี - จากการศึกษาการแบ่งเซลล์ นกั เรียนจะเหน็ โครโมโซมชดั เจนในการแบง่ เซลล์ระยะใด (ระยะ เมทาเฟส) - โครโมโซมของสงิ่ มีชีวติ ตา่ ง ๆ น่าจะมีจำนวนเทา่ กนั หรไื ม่ (ไม่เท่ากนั ) 2) ใหน้ ักเรยี นร่วมกันอภปิ รายคำตอบของคำถามรว่ มกนั เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรยี นรูเ้ ร่ือง โครโมโซม ขั้นจัดการเรียนรู้ จัดกจิ กรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซงึ่ มีขน้ั ตอนดงั นี้ 1) ครูนำเสนอ PowerPoint ใหน้ กั เรยี นดรู ปู โครโมโซมแบบตา่ ง ๆ แล้วให้นกั เรยี นรว่ มกัน อภิปรายประเดน็ คำถามต่อไปนี้ - รปู ร่างลักษณะของโครโมโซมในภาพแตกตา่ งกนั หรือไม่ อย่างไร ใชอ้ ะไรเปน็ เกณฑ์ 2) นกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายคำตอบ โดยสรปุ รว่ มกันไดว้ ่า โครโมโซมมรี ูปรา่ งแตกตา่ งกนั และมี ขนาดแตกต่างกันดว้ ย แลว้ ครูอธิบายเพ่ิมเตมิ ใหน้ ักเรียนเขา้ ใจวา่ นกั เรยี นสามารถใชต้ ำแหน่งของเซนโทร เมยี ร์ในการแบ่งรูปร่างและลักษณะของโครโมโซมได้ โดยโครโมโซมบางแทง่ มีตำแหนง่ ของเซนโทรเมียร์ ไมไ่ ดอ้ ยตู่ รงกลางของโครโมโซม ทำให้แขนทัง้ 2 ข้างของโครโมโซมยาวไม่เทา่ กนั ถ้าตำแหน่งของเซนโทร เมยี ร์คอ่ นไปทางใดทางหนงึ่ จะทำให้แขนดา้ นหนึง่ ยาว และอกี ดา้ นหนง่ึ สนั้ ได้ แล้วสรุปให้นกั เรยี นเขา้ ใจว่า ส่วนใหญส่ ่งิ มีชีวิตแตล่ ะชนิดจะมีจำนวนโครโมโซมไม่เท่ากนั สิ่งมชี วี ติ แต่ละชนิดจะมจี ำนวนโครโมโซมท่ี แน่นอน และโครโมโซมแต่ละแทง่ จะมรี ปู รา่ ง และขนาดคงท่ี โดยในส่ิงมีชีวติ ชนิดหน่ึง ๆ อาจมีโครโมโซมท่ี มีรูปร่างแบบเดียวหรอื หลายแบบกไ็ ด้ 3) ใหน้ กั เรยี นตอบคำถามในประเดน็ ตอ่ ไปน้ี - นักเรยี นสามารถใช้จำนวนโครโมโซมระบชุ นิดของสิ่งมีชวี ิตไดห้ รือไม่ เพราะอะไร (ไมส่ ามารถ ระบุได้ เพราะส่งิ มีชีวติ บางชนดิ มจี ำนวนโครโมโซมเท่ากนั )

- จำนวนโครโมโซมมคี วามสัมพนั ธก์ ับระดับความซับซอ้ นของสิ่งมีชวี ิตหรือไม่ (ไมส่ มั พนั ธ์กัน เชน่ ไกม่ ีจำนวนโครโมโซม 78 โครโมโซม ซงึ่ มากกวา่ คน แตม่ ีโครงสรา้ งของอวัยวะต่าง ๆ ซับซอ้ นน้อยกวา่ คน) 4) ครนู ำเสนอ power Point แสดงส่วนประกอบของโครโมโซม แล้วอธบิ ายใหน้ กั เรียนเขา้ ใจว่า ในโครโมโซมนอกจากมี DNA แลว้ ยงั พบสารอนื่ อีก โดยโครโมโซมของยูคารโิ อตจะมลี ักษณะเปน็ แท่ง ประกอบด้วย DNA 1 ใน 3 ส่วนอกี 2 ใน 3 เปน็ โปรตนี ได้แก่โปรตีนฮิสโตนและโปรตนี นอนฮิสโตน สว่ น โครโมโซมของโพรคารโิ อตจะมลี กั ษณะเป็นวงแหวนขนาดเลก็ กิจกรรมรวบยอด นักเรียนและครรู ่วมกนั อภปิ ราย โดยใช้แนวคำถามต่อไปนี้ - โครโมโซมประกอบด้วยส่วนประกอบอะไรบ้าง (DNA และโปรตีนชนิดฮสิ โตนและนอนฮิสโตน) - สง่ิ มชี วี ิตแตล่ ะชนิดมจี ำนวนโครโมโซมคงทหี่ รอื ไม่ (คงที่) 9. สอ่ื และแหล่งการเรยี นรู้ สือ่ 1) PowerPoint ประกอบการเรยี นรู้ เร่ือง โครโมโซม 2) หนังสอื เรียน รายวชิ าเพ่ิมเติม ชวี วทิ ยา 2 ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 4-6 ของ สสวท แหลง่ การเรียนรู้ 1) หนงั สือหรอื วารสารวิทยาศาสตร์ 2) สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ 3) อนิ เทอร์เนต็ google classroom 10. การวดั และประเมนิ ผล เป้าหมาย หลกั ฐาน เคร่ืองมือวัด เกณฑ์การประเมิน สาระสำคัญ - รปู รา่ งลกั ษณะ และ - สมดุ - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ จำนวนโครโมโซม อยา่ งถูกต้อง -สว่ นประกอบของ โครโมโซม ผลการเรยี นรู้ - อธบิ ายและสรุปการ - สมุด - การถาม/ตอบ -สามารถตอบคำถามได้ ถ่ายทอดยนี และ อยา่ งถูกต้อง โครโมโซม การคน้ พบ สารพันธกุ รรม โครโมโซมองค์ประกอบ ทางเคมีของดีเอน็ เอ และโครงสร้างของดเี อ็น เอ สมบัติของสาร พนั ธุกรรม รวมท้ังมวิ เท ชนั ได้ (ว 1.2 ม. 6/2) - ตงั้ คำถามทอ่ี ยบู่ น พน้ื ฐานของความรูแ้ ละ

เป้าหมาย หลักฐาน เครอ่ื งมือวัด เกณฑก์ ารประเมนิ ความเข้าใจทาง วิทยาศาสตร์ หรือความ สนใจ หรือจากประเด็น ทเี่ กิดขน้ึ ในขณะนนั้ ที่ สามารถทำการสำรวจ ตรวจสอบหรอื ศึกษา คน้ ควา้ ได้อยา่ ง ครอบคลุมและเชื่อถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) คณุ ลักษณะ - ใฝ่เรียนรู้ - การเข้าชั้นเรียน - ความตรงตอ่ เวลาและ - การเขา้ ช้นั เรยี นสาย จำนวนครงั้ ทีเ่ ขา้ เรยี น ไม่เกิน 15 นาที และ จำนวนคร้ังทเ่ี ข้าเรียน มากกว่า 80% - มุ่งมัน่ ในการทำงาน - ความสนใจในการ - การถาม/ตอบ - สามารถตอบคำถาม เรยี น ได้อย่างถูกต้อง

แผนการจดั การเรียนรู้ รหัสวชิ า ว31247 ชอื่ รายวิชา ชีววิทยา 2 ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ภาคเรียนท่ี 2 ชื่อหนว่ ยการเรยี นรู้ ยนี และโครโมโซม แผนการเรยี นร้ทู ่ี 11 เรอ่ื ง องค์ประกอบของ DNA เวลา 2 ชั่วโมง ผสู้ อน นางสาวศรอี ุดร ล้านสาวงษ์ 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ววิ ัฒนาการของส่ิงมชี ีวิต ความหลากหลายทางชวี ภาพ การใชเ้ ทคโนโลยชี วี ภาพท่มี ีผลกระทบต่อมนุษย์ และสงิ่ แวดลอ้ ม มีกระบวนการสบื เสาะหาความร้แู ละจิตวทิ ยาศาสตร์ สื่อสารสง่ิ ทเี่ รยี นรู้และนำความรู้ไป ใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจติ วทิ ยาศาสตรใ์ นการสบื เสาะหาความรู้ การแกป้ ัญหา รู้วา่ ปรากฏการณท์ างธรรมชาตทิ ่ีเกดิ ขน้ึ สว่ นใหญ่มรี ปู แบบที่แนน่ อน สามารถอธิบายและ ตรวจสอบได้ภายใตข้ ้อมลู และเครือ่ งมือที่มอี ยู่ในชว่ งเวลานน้ั ๆ เข้าใจว่าวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสง่ิ แวดลอ้ มมคี วามเก่ยี วข้องสัมพนั ธก์ ัน 2. ผลการเรียนรู้ 1) อธิบายและสรุปการถ่ายทอดยีนและโครโมโซม การค้นพบสารพนั ธกุ รรม โครโมโซม องคป์ ระกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ และโครงสร้างของดีเอ็นเอ สมบตั ขิ องสารพนั ธุกรรม รวมทงั้ มิวเทชันได้ (ว 1.2 ม. 6/2) 2) ต้งั คำถามที่อยบู่ นพ้นื ฐานของความรู้และความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ หรอื ความสนใจ หรอื จากประเด็นที่เกิดขึน้ ในขณะนั้น ทีส่ ามารถทำการสำรวจตรวจสอบหรอื ศึกษาคน้ คว้าได้อย่างครอบคลมุ และเชอ่ื ถือได้ (ว 8.1 ม. 4/2) 3. สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด DNA ทำหนา้ ทเ่ี ป็นสารพนั ธกุ รรมของสงิ่ มชี วี ติ เป็นพอลเิ มอร์ชนดิ หนึง่ ท่ีประกอบดว้ ยมอนอเมอร์ ทเ่ี รียกว่า นวิ คลีโอไทด์ โดยแตล่ ะนวิ คลโี อไทดป์ ระกอบดว้ ยน้ำตาลดีออกซีไรโบส ไนโตรจีนสั เบส และหมู่ ฟอสเฟต นิวคลีโอไทด์แต่ละนิวคลโี อไทดจ์ ะเชื่อมต่อกันโดยการสรา้ งพันธะฟอสโฟไดเอสเตอรเ์ พื่อเกิดเปน็ สายพอลินิวคลีโอไทด์ 4. สาระการเรียนรู้ ความรู้ องคป์ ระกอบทางเคมีของ DNA ทักษะ/กระบวนการ 1) ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2) ทักษะการคิด 3) ทักษะการเรียนรู้ 4) ทักษะการแก้ปัญหา 5) ทักษะกระบวนการทำงานกลุ่ม

5. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1) สบื คน้ ข้อมูล อภิปราย และอธบิ ายถึงสว่ นประกอบของนวิ คลโี อไทดแ์ ละจำแนกชนดิ ของนิวคลี โอไทด์ได้ 2) อธบิ ายและสรปุ ได้ว่า DNA แตล่ ะโมเลกุลแตกตา่ งกนั ทีจ่ ำนวนและลำดับของนวิ คลโี อไทด์ 6. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 1) ใฝ่เรยี นรู้ 2) อยู่อยา่ งพอเพยี ง 3) มุง่ มนั่ ในการทำงาน 4) มีวินยั 7. สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น 1) ความสามารถในการส่ือสาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา 8. กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ข้ันนำเข้าสู่บทเรยี น 1) ครทู บทวนความรู้เดิมของนกั เรียนว่า ยนี เปน็ สว่ นหนึง่ ของ DNA และ DNA เป็นสารพันธุกรรม ทีอ่ ยใู่ นโครโมโซม เพ่อื เชื่อมโยงไปสู่การเรยี นรูเ้ รื่อง องค์ประกอบของ DNA ขัน้ จัดการเรยี นรู้ จดั กจิ กรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ซึ่งมขี ั้นตอนดังนี้ 1) ครนู ำเสนอ PowerPoint ใหน้ กั เรยี นดโู ครงสรา้ งของ DNA โดยอธิบายให้นักเรยี นเขา้ ใจว่า DNA เป็นกรดนิวคลิอิกชนดิ หนึ่ง ซง่ึ เป็นพอลิเมอร์ทปี่ ระกอบไปด้วยมอนอเมอรข์ นาดเล็กจำนวนมากท่ี เรียกวา่ นวิ คลโี อไทด์ ซ่งึ แต่ละนิวคลีโอไทดป์ ระกอบดว้ ยนำ้ ตาลดีออกซีไรโบส ไนโตรจีนัสเบส และหมู่ฟอสเฟต ซึ่งจะประกอบกัน โดยมีน้ำตาลเปน็ แกนหลัก มีไนโตรจีนสั เบสอยูท่ ี่คารบ์ อนตำแหน่งท่ี 1 และมหี มู่ ฟอสเฟตอยู่ท่ีคารบ์ อนตำแหน่งท่ี 5 โดยนิวคลีโอไทด์ใน DNA มี 4 ชนดิ ซงึ่ แตกต่างกนั ตามองคป์ ระกอบ ส่วนที่เปน็ เบส คือ อะดนี ีน (A) กวานีน (G) ไซโทซีน (C) และไทมนี (T) 2) ครนู ำเสนอ power point เพอ่ื ใหน้ ักเรยี นเปรียบเทยี บความแตกต่างระหว่างเบสพิวรีนและ เบสไพรมิ ิดนี โดยนักเรยี นควรได้ข้อสรุปร่วมกนั วา่ เบสพิวรีน มโี ครงสรา้ งประกอบด้วยวงแหวน 2 วง มี 2 ชนิด คอื อะดีนนี (A) และกวานีน (G) สว่ นเบสไพรมิ ิดีน โครงสรา้ งประกอบดว้ ยวงแหวน 1 วง มี 2 ชนิด คือ ไซโทซนี (C) และไทมีน (T) แลว้ ทบทวนโดยให้นักเรียนดรู ปู ไนโตรจีนัสเบสและรูปน้ำตาลดอี อกซีไร โบส ให้นกั เรยี นระบุรปู ทีเ่ ห็นว่าเปน็ เบสชนดิ ใดและเปน็ นำ้ ตาลเพนโทสชนิดใด 3) ครนู ำเสนอ power point ใหน้ ักเรยี นดรู ปู การเชื่อมต่อกนั ระหว่างนิวคลโี อไทด์แต่ละนวิ คลโี อ ไทด์ และรปู สายพอลนิ วิ คลีโอไทดท์ ีเ่ กดิ จากการเชอ่ื มต่อระหว่างนวิ คลโี อไทด์ โดยอธิบายใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจ วา่ นิวคลีโอไทด์แตล่ ะโมเลกุลจะมาเชอื่ มต่อกนั เป็นสายได้โดยจะสร้างพนั ธะฟอสโฟไดเอสเตอร์ ระหวา่ ง หมฟู่ อสเฟตซ่ึงอยทู่ ี่คาร์บอนตำแหน่งที่ 5 ของน้ำตาลในนวิ คลีโอไทดห์ นึ่งกับหมู่ไฮดรอกซิลของคารบ์ อน ตำแหน่งที่ 3 ของนำ้ ตาลในอีกนวิ คลีโอไทดห์ น่งึ โดยเมอ่ื หลาย ๆ นิวคลโี อไทด์มาเช่ือมต่อกันจงึ เกดิ เปน็ สายพอลินวิ คลีโอไทด์ได้ 4) ครูให้นกั เรียนสงั เกตปลายปลาย 5 และปลาย 3’ โดยอธิบายให้นกั เรยี นเข้าใจวา่ ขา้ งหนึ่งของ

นิวคลโี อไทดต์ รงคารบ์ อนตำแหน่งที่ 5 ของน้ำตาลดีออกซไี รโบสท่ียดึ กับหม่ฟู อสเฟต เรียกปลายข้างนว้ี ่า ปลาย 5’ และอีกปลายหน่ึงเป็นคารบ์ อนตำแหน่งที่ 3 ของน้ำตาลดีออกซีไรโบสของนิวคลีโอไทดท์ ่ีอยู่ ปลายสดุ ท่ียึดอยู่กบั หมู่ไฮดรอกซิล เรียกปลายด้านน้ีว่า ปลาย 3’ โดยสายพอลนิ ิวคลีโอไทด์ในสิ่งมีชีวิตท่มี ี จำนวนนวิ คลโี อไทดเ์ ท่ากัน อาจมีลำดบั ของนิวคลีโอไทดไ์ ม่เหมอื นกนั ได้ ทำให้สง่ิ มชี ีวิตมีลกั ษณะทแ่ี ตกต่าง กันออกไป 5) ใหน้ ักเรยี นศึกษาตารางการวิเคราะห์ปริมาณเบสในโมเลกุล DNA ในส่งิ มชี ีวิตของชาร์ลกาฟฟ์ แล้วใหน้ ักเรยี นรว่ มกันอภปิ รายคำถามตอ่ ไปนี้ - ปรมิ าณเบส 4 ชนิดใน DNA ของสิง่ มีชีวติ ต่าง ๆ สัมพนั ธก์ ันอยา่ งไร (เบส A มปี ริมาณใกลเ้ คียง กบั เบส T และเบส C มปี ริมาณใกลเ้ คียงกับเบส G น่นั คอื A:T มีคา่ ใกล้เคียง 1:1 และ C:G มีค่าใกลเ้ คียง 1:1) - อตั ราสว่ นของ A+T และ C+G ในโมเลกุลของ DNA ของส่งิ มชี วี ิตตา่ ง ๆ มีค่าใกลเ้ คยี งกัน หรอื ไม่ (อตั ราส่วนของ A+T และ C+G ในส่งิ มีชีวติ แตล่ ะชนิดมีค่าไม่ใกลเ้ คียงกนั ) - อัตราสว่ นของ A+G และ T+C ในโมเลกลุ ของ DNA ของส่งิ มชี วี ติ ต่าง ๆ มีคา่ ใกล้เคียงกัน หรือไม่ (อัตราส่วนของ A+G และ T+C ในสง่ิ มชี ีวติ แตล่ ะชนิดมีคา่ ใกล้เคียงกัน) 6) ครสู รปุ ใหน้ ักเรยี นเข้าใจว่า ผลการทดลองของชารก์ าฟฟ์ สามารถสรปุ ไดว้ า่ ใน DNA ของ ส่งิ มชี วี ติ ทกุ ชนดิ เบส A จะมีปริมาณใกล้เคียงกับเบส T และเบส C มปี รมิ าณใกล้เคียงกับเบส G และ ปริมาณของ A+T จะไมเ่ ทา่ กับปรมิ าณของ C+G กจิ กรรมรวบยอด นักเรยี นและครูรว่ มกนั อภิปราย โดยใช้แนวคำถามต่อไปนี้ - นิวคลโี อไทดแ์ ตล่ ะชนิดแตกตา่ งกนั อย่างไร (นวิ คลีโอไทด์แต่ละชนิดแตกต่างกนั ที่ชนดิ ของเบส โดยอาจเป็นเบสอะดีนีน ไทมีน ไซโทซนี หรอื กวานีนเป็นองค์ประกอบ) - แต่ละนิวคลีโอไทด์เช่ือมต่อกนั ได้อย่างไร (แต่ละนิวคลีโอไทด์เชอื่ มตอ่ กนั ด้วยหมู่ฟอสเฟต หมู่ ฟอสเฟตของนิวคลโี อไทดห์ นึง่ จะเชือ่ มต่อกับหม่ไู ฮดรอกซิลของนำ้ ตาลเพนโทสของอกี นิวคลโี อไทดห์ น่ึง) 9. สอื่ และแหล่งการเรยี นรู้ ส่อื 1) PowerPoint ประกอบการเรียนรู้ เรื่อง องค์ประกอบของ DNA 2) หนงั สอื เรยี น รายวชิ าเพมิ่ เติม ชีววิทยา 2 ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 ของ สสวท แหล่งการเรยี นรู้ 1) หนังสือหรือวารสารวทิ ยาศาสตร์ 2) สารานุกรมวทิ ยาศาสตร์ 3) อินเทอรเ์ นต็ google classroom