๑
๒ ภาษาองั กฤษเบอื้ งต้น (Basic English) ผ้แู ต่ง : คณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั บรรณาธิการ : นายธนู ศรที อง ผทู้ รงคณุ วฒุ ิตรวจสอบ : ผศ.ดร.สาราญ ขนั สาโรง ผ้ทู รงคณุ วฒุ ิรว่ มผลิต : รศ.ดร.กาญจนา วธั นสนุ ทร รศ.ชุษณะ รุ่งปัจฉิม ผศ.ศศธิ ร ชุตนิ นั ทกุล ดร.สงั วรณ์ งดั กระโทก : นายสมบูรณ์ เพง่ พศิ ศิลปะและรปู เล่ม ผ้อู อกแบบปก : นายพจิ ติ ร พรมลี พิสูจน์อกั ษร : นายสุชญา ศริ ธิ ญั ภร, พระสุทนิ เขมวโ์ ส พิมพค์ รงั้ ที่ 2 : ตุลาคม 2555 จานวนพมิ พ์ 2,000 เล่ม พิมพค์ รงั้ ที่ 3 : มนี าคม 2559 จานวนพมิ พ์ 2,000 เลม่ ลิขสิทธ์ิ ลขิ สทิ ธขิ์ องมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั หา้ มการลอกเลยี นไม่ว่าสว่ นใด ๆ ของหนงั สอื เลม่ น้ี นอกจากจะไดร้ บั อนุญาตเป็นลายลกั ษณ์อกั ษรเท่านนั้ ขอ้ มลู ทางบรรณานุกรมของสานักหอสมดุ แห่งชาติ ภาษาองั กฤษเบอ้ื งตน้ - พมิ พค์ รงั้ ท่ี 3.- พระนครศรอี ยุธยา : สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , 2559. 142 หน้า 1. ภาษาอังกฤษ-การใช้ภาษา. I. คณาจารย์มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั II. ช่ือเร่อื ง 428.24 ISBN 978-616-300-214-3 จดั พิมพโ์ ดย : สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั เลขท่ี 79 หมู่ 1 ตาบลลาไทร อาเภอวงั น้อย จงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา 13170 โทร. 035-248-000 (ต่อ 8773, 8770) โทรสาร 035-248-013 จดั จาหน่ายโดย : พมิ พท์ ่ี : โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั 11-17 ถนนมหาราช แขวงพระบรมมหาราชวงั เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 โทรศพั ท์ 02-623-5624, โทรสาร 02-623-5623
๓ คาปรารภ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย มีโครงการจดั ทาต้นฉบบั รายวชิ าในวชิ าแกน - ศาสนา และหมวดวชิ าศกึ ษาทวั่ ไป ปีงบประมาณ 2552 ซ่งึ มวี ตั ถุประสงค์ เพอ่ื พฒั นา หารายวชิ าในวชิ า แกนพระพุทธศาสนาและหมวดวชิ าศกึ ษาทวั่ ไป ทใ่ี ชส้ อนในมหาวทิ ยาลยั คณาจารยข์ องมหาวทิ ยาลยั ได้ เสนอผลงานทางวชิ าการ และเพอ่ื เผยแพรผ่ ลงานทางวชิ าการของคณาจารยข์ องมหาวทิ ยาลยั โครงการน้ีเกดิ ขน้ึ มาไดจ้ ากความร่วมมอื ร่วมใจกนั ของคณาจารยม์ หาวทิ ยาลยั จากทุกส่วนงาน ทงั้ สว่ นกลาง วทิ ยาเขต วทิ ยาลยั สงฆ์ หอ้ งเรยี น หน่วยวทิ ยบรกิ าร ร่วมกนั พฒั นาเอกสารประกอบการ สอนหรอื ตาราในวชิ าแกนพระพุทธศาสนาและหมวดวชิ าศกึ ษาทวั่ ไป ดว้ ยวริ ยิ ะอุตสาหะแรงกลา้ พฒั นา งานใหม้ เี น้อื หาสาระถกู ตอ้ งเพยี บพรอ้ มดว้ ยอรรถและพยญั ชนะเป็นทย่ี อมรบั ของสงั คม ตารารายวชิ า “ภาษาองั กฤษเบ้อื งต้น” เล่มน้ี มเี น้ือหาสาระแบ่งเป็น 6 บท มุ่งหมายให้ศกึ ษา เรยี นรู้เร่อื งความเป็นมาของภาษาองั กฤษโดยย่อ และการเรยี นภาษาองั กฤษในประเทศไทยโดยย่อ สว่ นของคาพดู ทงั้ 8 เรอ่ื ง อนั ไดแ้ ก่ คานาม คาสรรพนาม คาคณุ ศพั ท์ คากรยิ า คากรยิ าวเิ ศษณ์ คาบุรพ บท คาสนั ธาน คาอุทาน รวมถงึ คานาหน้านาม กาล ประโยค ฝึกทกั ษะการใชภ้ าษาองั กฤษ ดา้ นการฟัง การพดู การอ่านและการเขยี น เน้อื หาสาระปรากฏแจง้ แลว้ ในเล่มน้ี ขออนุโมทนาขอบคุณคณะกรรมการโครงการจดั ทาตน้ ฉบบั รายวชิ าในวชิ าแกนพระพุทธศาสนา และหมวดวชิ าศกึ ษาทวั่ ไป คณาจารยแ์ ละเจา้ หน้าทข่ี องมหาวทิ ยาลยั ทุกท่าน ทไ่ี ด้เสยี สละเวลาพฒั นา เน้ือหารายวชิ าเล่มน้ีใหเ้ กดิ มขี ้นึ อนั จะเป็นสมบตั ขิ องมหาวทิ ยาลยั ตลอดไป หวงั เป็นอย่างยงิ่ ว่า ตารา รายวชิ า ภาษาองั กฤษเบ้อื งต้น เล่มน้ี คงอานวยประโยชน์เชงิ วชิ าการดา้ นภาษาองั กฤษแก่คณาจารย์ นิสติ และผสู้ นใจสบื ไป (พระพรหมบณั ฑติ , ศ.ดร.) อธกิ ารบดมี หาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
๔ คานา หนังสอื เล่มน้ี ได้พฒั นาข้นึ ตามโครงการจดั ทาต้นฉบบั รายวชิ าในวชิ าแกนพระพุทธศาสนา และหมวดวชิ าศกึ ษาทวั่ ไป ปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ของกองวชิ าการ สานกั งานอธกิ ารบดี มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั โดยมวี ตั ถุประสงค์ ดงั น้ี (1) เพ่อื พฒั นาเน้ือหารายวชิ าในรายวชิ าแกน พระพุทธศาสนาและหมวดศกึ ษาทวั่ ไป หลกั สูตรพุทธศาสตรบณั ฑติ ให้เป็นท่ยี อมรบั และใชร้ ่วมกนั ได้ ทุกคณะ วทิ ยาเขต วทิ ยาลยั สงฆ์ หอ้ งเรยี น หน่วยวทิ ยบรกิ าร และสถาบนั สมทบ (2) เพอ่ื ใหค้ ณาจารย์ ของมหาวทิ ยาลยั ได้มแี นวทางการพฒั นาผลงานทางวชิ าการ (3) เพอ่ื ผลติ และเผยแพร่ผลงานทางวชิ า การของมหาวทิ ยาลยั แก่คณาจารย์ นิสติ นกั ศกึ ษาและบุคคลทวั่ ไป ภาษาอังกฤษเบ้ืองต้น เล่มน้ีเป็ นวิชาหน่ึงในหมวดวิชาศึกษาทัว่ ไป ท่ีกาหนดให้ศึกษา “กฎเกณฑ์” และการใช้ภาษาอังกฤษ เก่ียวกับคานาหน้านาม กาล การสร้างประโยค คาบุรพบท คาสนั ธาน และการฝึกฝนทกั ษะเบอ้ื งต้นในการฟัง พดู อ่านและเขยี นในลกั ษณะทส่ี มั พนั ธก์ นั เน้นดา้ น การอ่านและเข้าใจ ภาษาอังกฤษซ่ึงมรี ูปแบบและคาศพั ท์ต่าง ๆ” ซ่ึงมีรายละเอียดท่ีคณะผู้เขยี นได้ นาเสนอไวแ้ ลว้ ในบทต่าง ๆ คณะผเู้ ขยี นหวงั ว่า หนงั สอื เลม่ น้จี ะยงั ประโยชน์ต่าง ๆ ใหเ้ กดิ ขน้ึ กบั ผเู้ กย่ี วขอ้ งตามวตั ถุประสงค์ พอสมควร จงึ ขอขอบคุณทุกท่านท่ไี ด้มสี ่วนร่วมทาหนังสอื เล่มน้ีให้สาเร็จเป็นรูปเล่ม จึงขอขอบคุณ ผบู้ รหิ าร คณาจารย์ เจา้ หน้าทก่ี องวชิ าการ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั และคณะวทิ ยากร คอื รศ.ดร.ชุษณะ รุ่งปัจฉิม จากมหาวทิ ยาลยั แม่ฟ้าหลวง และ รศ.ดร.กาญจนา วธั นสุนทร, ดร.นลนิ ี ณ นคร, ผศ.ศศธิ ร ชุตนิ ันทกุล และ ดร.สงั วรณ์ งดั กระโทก จากมหาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช และ ผทู้ รงคุณวุฒติ รวจสอบ คอื ผศ.ดร.สาราญ ขนั สาโรง ทไ่ี ดม้ สี ่วนร่วมในการพฒั นาตาราเรยี นเล่มน้ีด้วย วริ ยิ ะ อุตสาหะ พฒั นางานดา้ นภาษาองั กฤษให้มเี น้ือหาถูกต้อง ใชภ้ าษาสละสลวย อ่านเขา้ ใจ ไดง้ ่าย บรรลุวตั ถปุ ระสงคต์ ามทต่ี งั้ ไวท้ กุ ประการ คณะกรรมการพฒั นาเน้อื หารายวชิ า ภาษาองั กฤษเบอ้ื งตน้ ตลุ าคม ๒๕๕๔
๕ คานาสานักพิมพ์ การสอ่ื สารปัจจุบนั ถอื ว่าเป็นสงิ่ จาเป็นและสาคญั สาหรบั การดารงชวี ติ ในปัจจุบนั การรแู้ ละเขา้ ใจ เกณฑก์ ารใชภ้ าษาองั กฤษ ในปัจจุบนั ถอื ว่าสาคญั มาก ผทู้ ร่ี แู้ ละพดู ภาษาองั กฤษไดด้ ี ย่อมไดเ้ ปรยี บคน อ่นื การเรยี นรู้ภาษาองั กฤษเรม่ิ ทต่ี วั เราเองโดยการค้นควา้ กระตอื รอื รน้ ทจ่ี ะเรยี นรู้ หมนั่ ฝึกฝนฟัง พดู อ่าน เขยี น ซ่งึ ปัจจุบนั แหล่งค้นคว้าหาความรู้มอี ยู่มากมายหลายแหล่ง เช่น ตาราเรยี นรายวชิ า “ภาษา องั กฤษเบอ้ื งต้น” แต่งโดยคณาจารย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ผทู้ ร่ี ปู้ ัญหาใกล้ชดิ กบั นิสติ จงึ ไดร้ วบรวมเน้ือหาสาระต่าง ๆ ร่วมกนั พฒั นาและแต่งตารารายวชิ า “ภาษาองั กฤษเบอ้ื งต้น” ขน้ึ เพอ่ื ใหเ้ ป็นอกี แหล่งหน่งึ ในการคน้ ควา้ เรยี นรขู้ องนสิ ติ นกั ศกึ ษา และประชาชนผสู้ นใจทวั่ ไป ตาราเรยี นรายวชิ า “ภาษาองั กฤษเบ้อื งต้น” เล่มน้ี เป็นวชิ าหน่ึงในหมวดวชิ าศกึ ษาทวั่ ไปของ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ภายในเล่มได้อธิบายถึงกฎเกณฑ์การใช้ภาษาองั กฤษ เกย่ี วกบั คานาหน้านาม กาล การสรา้ งประโยค คาบุรพบท คาสนั ธาน และการฝึกทกั ษะเบ้อื งตน้ ในการ ฟัง พดู อ่านและเขยี นโดยคณาจารยผ์ แู้ ต่งไดอ้ ธบิ ายรายละเอยี ด จงึ เหมาะกบั ผทู้ ต่ี อ้ งการคน้ ควา้ เรยี นรู้ โดยเฉพาะนิสติ นกั ศกึ ษา และประชาชนผสู้ นใจ สานักพมิ พข์ อขอบพระคุณคณะกรรมการบรหิ ารสานักพมิ พ์มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั โดยมพี ระพรหมบณั ฑติ ,ศ.ดร. อธกิ ารบดแี ละประธานกรรมการบรหิ ารสานักพมิ พ์ ท่เี มตตา มอบต้นฉบบั ตาราเรยี นรายวชิ า “ภาษาองั กฤษเบ้อื งตน้ ” ขอขอบคุณคณาจารย์ผู้แต่งทไ่ี ดเ้ สยี สละเวลา ร่วมกนั พฒั นาเน้ือหาตาราเรยี นรายวชิ าน้ีจนสาเรจ็ เป็นเล่มสมบูรณ์ และขอขอบคุณกองวชิ าการทช่ี ่วย เป็นแรงสนับสนุนงานต้นฉบบั และบุคลากร ให้สานักพมิ พ์จดั พมิ พ์ตาราเรยี นเล่มน้ีจนสาเรจ็ ลุล่วงไป ดว้ ยดี สานักพิมพ์มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หวงั เป็นอย่างยง่ิ ว่า ตาราเรียนวิชา “ภาษา องั กฤษเบอ้ื งตน้ ” น้ีจะเป็นแหล่งคน้ ควา้ ขอ้ มลู ใหเ้ กดิ ประโยชน์ทางการศกึ ษาเล่าเรยี นดา้ นภาษา ของนิสติ นกั ศกึ ษา และประชาชนสบื ไป สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั มนี าคม 2559
๖ คณะกรรมการโครงการจดั ทาต้นฉบบั รายวิชา ในวิชาแกนพระพทุ ธศาสนาและหมวดวิชาศึกษาทวั่ ไป มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ปี งบประมาณ 2552 คณะกรรมการดาเนิ นงาน คณะกรรมการพฒั นาเนื้อหารายวิชา ท่ีปรึกษา “ภาษาองั กฤษเบอื้ งต้น” พระธรรมโกศาจารย,์ ศ.ดร ท่ีปรกึ ษา ประธานกรรมการ Mr.Kevin O'Sheean พระศรคี มั ภรี ญาณ, รศ.ดร. Mr.Vince A.Patrick รองประธานกรรมการ ประธานกรรมการ พระมหาหรรษา ธมุมหาโส, ผศ.ดร. พระมหาบุญชชั รตนเมโฆ กรรมการ กรรมการ พระครูปรมิ านุรกั ษ์,ผศ.ดร. พระมหาสุรยิ า วรเมธ,ี ผศ.ดร. พระวชริ วชิ ญ์ ปญญาวชโิ ร พระมหาสทุ ศั น์ ตสิ สรวาที พระมหาศรที นต์ สมจาโร พระมหาเสาวนนั ท์ สุภาจาโร พระครสู งั ฆรกั ษ์กติ ตพิ งศ์ สริ วิ ฑฒโน พระมหาเดชา เตชสมทิ ธโิ ก พระมหาสทุ ติ ย์ อาภากโร พระมหาสมเกยี รติ กติ ตญิ าโณ ผศ.พเิ ศษ เยอ้ื ง ปัน้ เหน่งเพชร พระสทุ นิ เขมวโส พระทพิ ย์ สริ ธิ มฺโม ผศ.เฉลยี ว รอดเขยี ว พระฐติ ะวงษ์ อนุตตโร พระปลดั วรี ะชนม์ เขมวโี ร ดร.ภทั รพล ใจเยน็ พระมหาสนั ติ ธรี ภทั โท พระมหาวรี พงษ์ วรี วโ์ ส นายพบิ ูลยศ์ กั ดิ ์เมอื งโคตร พระมหาสาธติ สาธโิ ต ผศ.ดร.สรุ พล สุยะพรหม ผศ.ดร.โกนิฏฐ์ ศรที อง ผศ.ดร.สมศกั ดิ ์บญุ ปู่ ผศ.ปฐมพงศ์ ทนิ บรรเจดิ ฤทธิ์ นายมนั่ เสอ้ื สงู เนิน ผศ.เฉลยี ว รอดเขยี ว ผศ.ดร.สริ วิ ฒั น์ ศรเี ครอื ดง เลขานุการ ผศ.ดร.โกนิฏฐ์ ศรที อง ผศ.เวทย์ บรรณกรกลุ ผศ.สรุ พงษ์ คงสตั ย์ นายคาพนั ธ์ วงศเ์ สน่ห์ นายสุรวฒั น์ ทองเกลย้ี ง นายวสิ ทุ ธไิ ชย ไชยสทิ ธิ์ นายเกษม แสงนนท์ นายสนธญิ าณ รกั ษาภกั ดี คณะบรรณาธกิ าร นายธนาชยั บูรณะวฒั นากูล นายธนู ศรที อง เลขานุการ ผศ.ทนงค์ ลาประไพ นายสุชญา ศริ ธิ ญั ภร ผ้ทู รงคณุ วฒุ ิตรวจสอบ ผ้ชู ่วยเลขานุการ ผศ.ดร.สาราญ ขนั สาโรง พระมหาสุระศกั ดิ ์ธรี วโ์ ส พระมหานพดล เตชธมฺโม ผทู้ รงคณุ วฒุ ิร่วมผลิต นายสนิ ชยั วงษ์จานงค์ นายชานาญ เกดิ ช่อ รศ.ดร.กาญจนา วธั นสุนทร นายอกั ษราวชิ ญ์ โฉมศรี นายจริ ะศกั ดิ ์ธารสขุ กระจ่าง รศ.ชุษณะ รงุ่ ปัจฉิม นายวชิ ติ มงคลวรี ะขจร นายสมบูรณ์ เพง่ พศิ ดร.นลนิ ี ณ นคร นางสาววไิ ลวรรณ รงั สรอ้ ย ผศ.ศศธิ ร ชตุ นิ นั ทกุล ดร.สงั วรณ์ จดั กระโทก
๗ 1 สารบญั 2 5 คาปรารภ 6 คานา 7 คานาสานกั พมิ พ์ 9 คณะกรรมการดาเนินงานโครงการจดั ทาตน้ ฉบบั รายวชิ าในวชิ า 10 แกนพระพุทธศาสนาและหมวดวชิ าศกึ ษาทวั่ ไป ปีงบประมาณ 2552 11 บทที่ 1 บทนา (Introduction) 12 1.1 ประวตั คิ วามเป็นมาของภาษาองั กฤษโดยย่อ 16 1.2 ความเป็นมาเก่ยี วกบั การเรยี นภาษาองั กฤษในประเทศไทยโดยย่อ 18 1.3 ความสาคญั ของภาษาองั กฤษทม่ี ตี ่อสงั คมไทย 20 สรปุ ทา้ ยบท 25 กจิ กรรมทา้ ยบท 29 เอกสารอา้ งองิ ประจาบท 32 บทที่ 2 ส่วนของคาพดู (Parts of Speech) 34 2.1 คานาม (Noun) 34 2.2 คาสรรพนาม (Pronoun) 35 2.3 คาคุณศพั ท์ (Adjective) 39 2.4 คากรยิ า (Verb) 41 2.5 คากรยิ าวเิ ศษณ์ (Adverb) 2.6 คาบุรพบท (Preposition) 42 2.7 คาสนั ธาน (Conjunction) 42 2.8 คาอุทาน (Interjection) 42 สรุปทา้ ยบท 48 กจิ กรรมทา้ ยบท 55 เอกสารอา้ งองิ ประจาบท 61 บทท่ี 3 คานาหน้านาม (Article) 62 3.1 ความหมายของคานาหน้านาม 3.2 ชนิดของคานาหน้านาม 3.3 หลกั การใชค้ านาหน้านาม A, An 3.4 หลกั การใชค้ านาหน้านาม The 3.5 นามทห่ี า้ มใช้ A, An, The นาหน้า สรุปทา้ ยบท กจิ กรรมทา้ ยบท
๘ 65 67 เอกสารอา้ งองิ ประจาบท บทที่ 4 กาล (Tense) 68 68 4.1 ความหมายของกาล 69 4.2 ประเภทของกาล 69 4.3 โครงสรา้ งและหลกั การใชก้ าล 80 4.3.1 โครงสรา้ งและหลกั การใช้ Present Tense 86 4.3.2 โครงสรา้ งและหลกั การใช้ Past Tense 91 4.3.3 โครงสรา้ งและหลกั การใช้ Future Tense 92 สรุปทา้ ยบท 93 กจิ กรรมทา้ ยบท 95 เอกสารอา้ งองิ ประจาบท 96 บทที่ 5 ประโยค (Sentence) 97 97 5.1 ความหมายของประโยค 98 5.2 สว่ นประกอบของประโยค 105 5.3 ชนดิ ของประโยค 106 107 5.3.1 Simple Sentence 109 5.3.2 Compound Sentence 118 5.3.3 Complex Sentence 119 สรุปทา้ ยบท กจิ กรรมทา้ ยบท 120 เอกสารอา้ งองิ ประจาบท 124 บทท่ี 6 ฝึ กทกั ษะการใช้ภาษาองั กฤษ (The Four-skill Practice) 125 129 6.1 ทกั ษะการฟัง (Listening Skill) 136 6.2 ทกั ษะการพดู (Speaking Skill) 137 6.3 ทกั ษะการอา่ น (Reading Skill) 138 6.4 ทกั ษะการเขยี น (Writing Skill) 139 สรุปทา้ ยบท กจิ กรรมทา้ ยบท 143 เอกสารอา้ งองิ ประจาบท 149 บรรณานุกรม ภาคผนวก : ประมวลรายวิชาและแผนการสอน คณะกรรมการผพู้ ฒั นาเนื้อหารายวิชา “ภาษาองั กฤษเบอื้ งต้น”
๙ บทท่ี 1 บทนา (Introduction) พระมหาเสาวนันท์ สภุ าจาโร ผศ.สุรพงษ์ คงสตั ย์ วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นประจาบท เม่อื ไดศ้ กึ ษาเน้อื ในบทน้แี ลว้ นิสติ สามารถ 1. บอกความเป็นมาของภาษาองั กฤษได้ 2. บอกความเป็นมาเกย่ี วกบั การเรยี นภาษาองั กฤษในประเทศไทยได้ 3. บอกความสาคญั ของภาษาองั กฤษทม่ี ตี ่อสงั คมไทยได้ ขอบข่ายเนื้อหา • ประวตั คิ วามเป็นมาของภาษาองั กฤษโดยยอ่ • ความเป็นมาเกย่ี วกบั การเรยี นภาษาองั กฤษในประเทศไทยโดยย่อ • ความสาคญั ของภาษาองั กฤษทม่ี ตี ่อสงั คมไทย 1.1 ประวตั ิความเป็นมาของภาษาองั กฤษโดยยอ่ ภาษาองั กฤษจดั อยู่ในตระกูลภาษาอนิ โด-ยูโรเปียนเหมอื นภาษาอ่นื ๆ ในยุโรป มลี กั ษณเด่น กว่าภาษาอ่นื ๆ โดยได้รบั อิทธพิ ลทางภาษาจาก ทงั้ กลุ่มโรมานส์ และกลุ่มเยอรมนั นิกมาตลอดเวลา ตามประวตั ศิ าสตรอ์ นั ยาวนาน จนทาให้ภาษาองั กฤษมลี กั ษณะคาบเก่ยี วกบั ทงั้ สองกลุ่ม คาศพั ท์ส่วน หน่ึงจะค่อนไปทางภาษาเยอรมนั และอกี ส่วนจะไปทางภาษาลาตนิ และอกี หลายๆ ส่วนทค่ี วามหมาย เดยี วกนั แต่มคี าศพั ท์ทงั้ แบบเยอรมนั กบั แบบลาตนิ เร่อื งราวเรมิ่ เดมิ ทเี ม่อื หลายพนั ปีก่อน ชาวเคลท์ (Celts) เป็นชนพ้นื เมอื งดงั้ เดมิ ท่อี าศยั อยู่บนเกาะองั กฤษ และได้สร้างอาณาจกั รอยู่ทวั่ ไปบนแผ่นดนิ องั กฤษ จนมาถึงช่วงปีท่ี 55 ก่อนคริสตศกั ราช กองทพั โรมนั นาโดย จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) ไดร้ ุกรานเกาะองั กฤษ และไดเ้ รมิ่ เขา้ ปกครองเกาะองั กฤษอยา่ งเตม็ ท่ี โดยจกั รพรรดคิ ลอดอิ ุส (Claudius) ในปีครสิ ตศกั ราช 43 จากนนั้ มาชาวโรมนั ไดป้ กครองชาวเคลทอ์ ย่นู านเกอื บสร่ี อ้ ยปี จงึ ไดถ้ อนกาลงั กลบั อติ าลเี ม่อื ปีครสิ ตศกั ราช 436 เพ่อื กลบั ไปปกป้องอติ าลซี ่งึ กาลงั ถูกรุกรานอยู่ แต่ในช่วงทโ่ี รมนั ปกครอง เกาะองั กฤษ ภาษาองั กฤษแบง่ ออกเป็น 3 ยุค โดยสรปุ ดงั น้ี 1.1.1 ภาษาองั กฤษยุคเก่า (Old English) ปีครสิ ตศกั ราช 449-1066 หลงั จากชาวโรมนั กลบั ออกไปจากเกาะองั กฤษ ชาวเคลท์ (Celtis) กก็ ลบั มาปกครองตนเองอกี ครงั้ แต่กป็ กครองไดไ้ ม่นาน ใน ปีครสิ ตศกั ราช 449 ชนเผ่าในกลุ่มเยอรมนั ตะวนั ตกสามกลุ่ม คือ กลุ่มแองเกิล (Angles) กลุ่มแซกซัน (Saxon) และกลุ่มจูทส์ (Jutes) ซ่ึงเรยี ก รวมๆ ว่า แองกลอ-แซกซนั (Anglo-Saxon) กไ็ ดร้ ุกรานจากแถบตอนใตข้ องเดนมารก์ ในปัจจุบนั เขา้ ยดึ
๑๐ และปกครองเกาะองั กฤษอกี ครงั้ แต่การปกครองช่วงราว 200 ปีครงั้ น้ี ชาวแองกลอ-แซกชนั ไดข้ บั ไล่ และผลกั ดนั ชาวเคลท์ทเ่ี ป็นชนดงั้ เดมิ ของเกาะใหถ้ อยร่นไปอยู่แถบสกอ็ ตแลนด์ เวลส์ คอรน์ วอลล์ และ ไอร์แลนด์ พร้อมกบั ลบล้างภาษาเคลท์ติก (Celtics) ท่เี ป็นภาษาของชาวเคลท์จนเกือบ หมดไปจาก อังกฤษ (ปัจจุบนั คาในภาษา Celtics ท่ียงั คงหลงเหลืออยู่บ้าง จะเป็นช่ือสถานท่ีและช่ือ แม่น้า เช่น Avon, Devon, Dover, Kent, Thames เป็นตน้ ) ปีครสิ ตศกั ราช 850 เกาะองั กฤษถูก รุกรานอกี ครงั้ โดย ชาวนอรส์ (Norse) หรอื ทเ่ี รารู้จกั กนั ในช่อื ไวก้งิ (Viking) ไดร้ ุกรานจากแถบสแกนดเิ นเวยี และขน้ึ เกาะ ทางฝัง่ ตะวนั ออกเฉียงเหนอื ขององั กฤษ การรุกรานเป็นไปอย่างตอ่ เน่อื งและ ชาวนอรส์ สว่ นหน่งึ กไ็ ด้เขา้ มาตงั้ ถนิ่ ฐานอยู่บนเกาะองั กฤษมากขน้ึ เร่อื ย ๆ จนมาถงึ ปีครสิ ตศกั ราช อลั เฟรดมหาราช (กษตั รยิ ช์ าว Anglo ขององั กฤษ) จงึ ได้ทาสนธสิ ญั ญาแห่ง Wednmore เพ่อื ยุตกิ ารรุกรานของชาวนอร์ส นับแต่นัน้ ชาวนอรส์ กไ็ ดเ้ ขา้ มาอาศยั ร่วมกบั ชาวแองกลอ-แซกชนั ทอ่ี ยู่อย่างสนั ติ ภาษาท่ชี าวแองกลอ-แซกชนั ใชน้ นั้ เป็นภาษาในกลุ่มเยอรมนั นิก เหมอื นกบั ภาษาของชาวนอรส์ ทงั้ สองภาษาน้ีมคี วามคล้ายคลงึ กนั มาก ทาใหค้ นจากทงั้ สองกลุ่มสามารถพูดส่อื สารกนั รู้เร่อื ง ตรงน้ีทาใหค้ นทงั้ สองกลุ่มอยู่ร่วมในสงั คม เดียวกันได้และมีการแต่งงานข้ามกลุ่มกันจนใน ท่ีสุดก็กลายมาเป็นคนกลุ่มเดียวกันกล่าวโดยสรุป ภาษาองั กฤษยคุ เก่ากค็ อื ภาษาองั กฤษทม่ี าจาก การรวมกนั ของภาษาแองกลอ-แซกซนั และนอรส์ 1.1.2 ภาษาองั กฤษยคุ กลาง (Middle English) ปีครสิ ตศกั ราช 1066-1500 เรม่ิ ตงั้ แต่เกาะอังกฤษถูกชาวนอร์มนั บุกในปีครสิ ตศกั ราช 1066 กองทพั นอรม์ นั นาทพั โดยกษตั รยิ ว์ ลิ เลยี มผพู้ ชิ ติ ยุคแห่งแควน้ นอรม์ งั ดี ในชว่ งทน่ี อรม์ นั ปกครอง องั กฤษ สงิ่ หน่ึงทม่ี ากบั การเขา้ ปกครองของนอรม์ นั กค็ อื ภาษาแองกลอ-นอรม์ นั (Anglo-Norman) ซ่งึ เป็นภาษา ฝรงั่ เศสยุคเก่าปนกบั ภาษาเยอรมนั ยุคเก่า นอกจากน้ีแลว้ ยงั ไดน้ าภาษาฝรงั่ เศสและ ลาตนิ เขา้ มาใชอ้ กี ดว้ ย ทาใหอ้ งั กฤษในสมยั นนั้ มภี าษาทใ่ี ชก้ นั อย่สู ามภาษาคอื ฝรงั่ เศส, ลาตนิ , และองั กฤษ ซ่ึงมอี ทิ ธพิ ล อย่างมากต่อชาวแองกลอ-แซกชนั ทาให้เกิดคาศพั ท์หลาย ๆ คาท่มี คี วามหมาย เดยี วกนั ดงั ตาราง เปรยี บเทยี บขา้ งล่าง จาก Anglo-Saxon จาก Anglo-Norman COW Beef shut Close answer reply wish desire year annual smell odour โดยทวั่ ไปคาทม่ี าจากภาษาแองกลอ-แซกซนั มกั จะถูกใชใ้ นกลุ่มสามญั ชน แต่คาจากภาษา แอ งกลอ-นอรม์ นั จะใชใ้ นกลุ่มชนชนั้ ปกครองหรอื ใชใ้ นวทิ ยาการต่าง ๆ รวมทงั้ คาศพั ทท์ เ่ี กย่ี วกบั กฎหมาย หรอื การปกครองจะเป็นคาจากภาษาแองกลอ-นอรม์ นั เป็นสว่ นใหญ่ เช่น prince, duke, lord, lady, earl, County, palace เป็นต้น สรุปแล้วภาษาองั กฤษในยุคกลางก็คอื ภาษาท่ีผสมกันระหว่าง สองภาษา
๑๑ ดังกล่าวข้างต้น ในช่วงนับร้อยปี ท่ีนอร์มันปกครองภาษาอังกฤษเดิมเกือบสูญหายไปทัง้ หมด เพราะความสาคญั ในการใชล้ ดน้อยลงเร่อื ย ๆ จนภาษาองั กฤษเองกลายเป็นภาษาทใ่ี ชใ้ นกลุ่มคน ทไ่ี ม่มี การศกึ ษา คนทม่ี กี ารศกึ ษาจะพูดภาษาฝรงั่ เศสแทน สว่ นในดา้ นการศกึ ษาทวั่ ไปจะใชภ้ าษา ลาตนิ เป็น หลกั จนถงึ ปี ครสิ ตศกั ราช 1204 ทอ่ี งั กฤษเสยี แควน้ นอรม์ งั ดใี หก้ บั กษตั รยิ ฝ์ รงั่ เศส จุดน้ี ทาใหค้ นชนั้ สงู ชาวนอรม์ นั ในองั กฤษสว่ นหน่ึง เรม่ิ ตตี วั ออกห่างจากฝรัง่ เศส และหนั มาใหค้ วามสาคญั กบั ภาษาองั กฤษ เดมิ เพม่ิ มากขน้ึ และหนั มาใชภ้ าษาองั กฤษในการศกึ ษาแทนภาษาลาตนิ ในปี ครสิ ตศกั ราช 1348 จนมา ปีครสิ ตศกั ราช 1349-1350 เกดิ โรคระบาดในองั กฤษทาให้ผูค้ นลม้ ตาย กนั ถงึ หน่ึงในสามของประเทศ และช่วงน้ีทาให้ชนชนั้ แรงงานและพ่อค้าวานิชเร่ิมเข้ามามอี ิทธิพล ในการปกครองประเทศมากข้ึน (ชนชนั้ น้ีใชภ้ าษาองั กฤษเป็นหลกั ) ภาษาองั กฤษกลบั มา มคี วามสาคญั เพมิ่ มากขน้ึ เร่อื ย ๆ ในปีครสิ ต ศกั ราช 1362 ภาษาองั กฤษถูกนามาใช้แทนภาษาฝรงั่ เศสท่ใี ช้มาก่อนหน้านัน้ เช่น ในทางกฎหมาย ในรฐั สภา จนในทส่ี ุดแทบไมม่ กี ารแบ่งแยกดา้ นภาษาระหวา่ งชนชนั้ อกี เลย 1.1.3 ภาษาองั กฤษยคุ ใหม่ (Modern English) ระหว่างปีคริสตศักราช 1500-1800 เกิดการเปล่ียนแปลงด้านตัวภาษา ดงั จะเห็นได้ชดั คอื การเปล่ยี นการออกเสยี งสระและการเปล่ยี นแปลงด้านไวยากรณ์ ภาษาองั กฤษยุคใหม่น้ียงั แบ่งออก เป็นภาษาอังกฤษยุคใหม่ตอนต้น (ปีคริสตศกั ราช 1500-1800) และภาษาอังกฤษยุคใหม่ตอนปลาย (ปีครสิ ตศกั ราช 1800-ปัจจบุ นั ) อยา่ งไรกต็ าม มนี กั วชิ าการทางภาษาศาสตรไ์ ดก้ ลา่ วถงึ ความเป็นมาของ ภาษาองั กฤษต่างกนั บ้าง คล้ายกนั บ้างเป็นบางส่วน เช่น งานแปลจากบทความท่เี ป็นภาษาอังกฤษ ซ่งึ เขยี นลงในเวบ็ ไซด์ของ www. Voaspecialenglish. Com เขยี นโดย พอล ทอมสนั (Paul Thomson) มกี ารลงบทความน้ี 2 ครงั้ คอื วนั ท่ี 21 ธนั วาคม พุทธศกั ราช 2548 และ วนั ท่ี 28 ธนั วาคม พทุ ธศกั ราช 2548 โดยเน้อื หาของบทความมคี วามเกย่ี วเน่อื งกนั กบั หวั ขอ้ คาถามว่าภาษา องั กฤษมาจากไหน? ภาษา น้ีมีการเจริญเติบโตอย่างไร? ในโลกน้ีมีคนพยายามเรียนภาษาอังกฤษ มากกว่าภาษาอ่ืน ๆ ภาษาองั กฤษเป็นภาษาท่ใี ช้ในการทาขอ้ ตกลงทางการเมอื ง การกระทาธุรกจิ ระหว่างประเทศใช้เป็น ภาษาสากล มีข้อตกลงท่ีเป็ นสากลกล่าวว่าผู้ท่ีเป็ นนักบินต้องพูดภาษาอังกฤษ ในการส่ือสาร ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศและเป็นภาษาหลักท่ีสอนอยู่ในอเมริกาใต้และยุโรป รวมทงั้ ใน ประเทศฟิลปิ ปินสแ์ ละประเทศญ่ปี ุ่น เดก็ นักเรยี นเรมิ่ เรยี นภาษาองั กฤษตงั้ แต่อายุยงั น้อย ภาษาองั กฤษ ได้ถูกใช้เป็นภาษาทางการมากกว่า 75 ประเทศ รวมทงั้ ประเทศอังกฤษ แคนาดา สหรฐั อเมริกา ออสเตรเลีย และแอฟริกาใต้ และในประเทศต่าง ๆ ท่ีมีคนพูดหลายๆ ภาษาในประเทศ เดียวกนั ภาษาองั กฤษได้ถูกใช้เป็นภาษาทางการเพ่อื ช่วยเหลอื คนเหล่านัน้ ในการติดต่อส่ือสารซ่ึงกนั และกนั ซ่ึงประเทศอินเดียเป็นตัวอย่างท่ีดสี าหรบั เร่อื งน้ี ในประเทศอินเดียภาษาองั กฤษเป็นเร่อื ง ธรรมดา เพราะวา่ ภาษาทใ่ี ชพ้ ดู ในประเทศน้มี อี ย่างน้อยทส่ี ดุ 24 ภาษา ของประชากรทงั้ หมด1 1 พชั รี พลาวงศ,์ ประวตั ิภาษาองั กฤษ, พมิ พค์ รงั้ ท่ี 5. (กรงุ เทพมหานคร, สานักพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั รามคาแหง, 2534), หน้า 53-87.
๑๒ 1.2 ความเป็นมาเก่ียวกบั การเรยี นภาษาองั กฤษในประเทศไทยโดยยอ่ การเรียนรู้ภาษาองั กฤษของคนไทยในอดีตนัน้ เริ่มจากการเรียนรู้ภาษาองั กฤษเพ่อื ส่ือสาร การคา้ ขายกบั ชาวต่างชาตมิ าตงั้ แต่ครงั้ อดตี แต่ทป่ี รากฏค่อนขา้ งชดั เจนอาจกล่าวไดว้ ่าคนไทย เรม่ิ ให้ ความสาคญั และเรยี นรภู้ าษาองั กฤษตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2391 พอสรุปไดด้ งั น้ี โดยมกี ารจ้างนักสอนศาสนาคริสต์ให้สอนภาษาอังกฤษให้แก่พวกข้าราชบริวารและเด็ก ๆ ในหม่บู า้ นมอญไทย บางคลองหลวง สมยั รชั กาลท่ี 4 ได้มกี ารจ้างครูชาวต่างประเทศให้สอนภาษาองั กฤษแก่พระราชโอรสและพระ ราชธิดาโดยมวี ตั ถุประสงค์เพ่ือได้รบั ความรู้สมยั ใหม่ของชาวตะวนั ตก เพ่อื รู้เท่าทนั สถานการณ์ทาง การเมอื งในยุโรป และเพอ่ื ประโยชน์ในการรกั ษาเอกราชของชาตไิ ทย สมยั รชั กาลท่ี 5 ถือเป็นช่วงท่สี าคญั ท่สี ุดในด้านการเรยี นการสอนภาษาองั กฤษของชาวไทย กล่าวคอื ไดม้ พี ระราชโองการใหจ้ ดั ตงั้ โรงเรยี นสอนภาษาขน้ึ ภายในพระราชวงั อย่างเป็นทางการ มกี าร จา้ งชาวต่างชาตใิ หส้ อนภาษาแก่พระบรมวงศานุวงศ์และนักศกึ ษาในพระราชวัง เม่อื การเรยี น ภาษา ไดร้ บั ความสนใจมากยง่ิ ขน้ึ ทาใหม้ กี ารขยายการเรยี นภาษาเขา้ ไปในโรงเรยี น ในช่วงเวลาประมาณปี พ.ศ. 2424 ได้มีการจัดการสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนสวนกุหลาบ ต่อมาได้จัดให้มีหลักสูตร ภาษาองั กฤษโดยกระทรวงศกึ ษาธกิ ารซง่ึ เป็นหลกั สตู รภาคบงั คบั ของรฐั อย่างเป็นทางการ เม่อื การเรยี น การสอนภาษาองั กฤษขยายตวั ขน้ึ ทาให้ประชาชนทวั่ ไป รวมถงึ สถานศกึ ษาต่าง ๆ ในประเทศไทยให้ ความสาคญั กบั การเรยี นรภู้ าษาองั กฤษตงั้ แต่นนั้ เป็นตน้ มา สาหรับประสิทธิภาพการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยตัง้ แต่อดีตเป็นต้นมา ค่อนข้างประสบความสาเร็จน้อย ดงั เห็นได้จากขอ้ ความท่ปี รากฏในหนังสอื วธิ ีสอนภาษาองั กฤษซ่ึง เขยี นโดยสมุ ติ ร องั วฒั นกุล ซง่ึ สรุปไดว้ ่ามสี าเหตุหลกั 2 ประการ ดงั น้ี (1) ผเู้ รยี นไม่เหน็ ความจาเป็นหรอื ประโยชน์ของภาษาองั กฤษ (2) ขาดกาลงั ครทู งั้ ทางดา้ นปรมิ าณและคุณภาพ ดงั นัน้ การท่ีจะทาให้การเรียนภาษาองั กฤษประสบความสาเร็จควรมีการจดั กิจกรรมเสริม หลกั สูตรเพ่อื พฒั นาทกั ษะด้านต่าง ๆ แต่ทงั้ น้ีขน้ึ อยู่กบั ครูผูส้ อนซ่งึ เป็นผู้มบี ทบาทมากท่สี ุดในการจัด การเรยี นการสอน ถ้าครูรู้จกั เลอื กวธิ สี อนทส่ี อดคลอ้ งกบั จุดประสงค์ของวชิ า รูจ้ กั ค้นหาเทคนิคใหม่ ๆ มาใช้ในการเรยี นการสอนภาษาองั กฤษ กจ็ ะสามารถช่วยให้การเรยี นการสอนภาษาองั กฤษบรรลุผล และมปี ระสทิ ธภิ าพมากกวา่ ทเ่ี ป็นมาในอดตี และทเ่ี ป็นอย่ใู นปัจจบุ นั 2 1.3 ความสาคญั ของภาษาองั กฤษที่มีต่อสงั คมไทย ภาษาอังกฤษเป็นหน่ึงในภาษาสากลของโลก และเป็นภาษาท่ีมีประชากรโลกใช้กันอย่า ง แพร่หลายในยุคโลกาภวิ ตั น์ ถา้ มองยอ้ นหลงั ประมาณ 30-50 ปีทผ่ี ่านมา คนไทยพูดเหมอื นกนั ว่าเรยี น ภาษาองั กฤษทาไม? (Why do we learn English Language?) แต่ปัจจุบนั น้ี คนไทยทุกคนพูดอย่างท่ี 2 สุมิตรา องั วฒั นกุล, วิธีสอนภาษาองั กฤษ, พิมพ์ครงั้ ท่ี 4, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั , 2540), หน้า 12-17.
๑๓ เคยพดู หรอื คดิ อย่างในอดตี ไมไ่ ดแ้ ลว้ เพราะวา่ สอ่ื ตา่ ง ๆ ลว้ นมภี าษาองั กฤษควบคู่กบั ภาษาไทย แมแ้ ต่ การพูดของนักวิชาการเวลาบรรยายหรือการสนทนามักมีคาพูดท่ีเป็ นคาภาษาอังกฤษผสมกับคา ภาษาไทย ยง่ิ กว่านัน้ เดก็ วยั รุ่น หรอื คนเดนิ ถนน แม่ค้าขายขา้ วแกงตามแผงลอย ก็ต้องมคี วามรูเ้ ร่อื ง ภาษาองั กฤษหรอื ภาษาอ่นื ๆ ท่จี าเป็น เช่น ภาษาจีน ภาษาเยอรมนั ภาษาญ่ีปุ่น เป็นต้น อาจสรุป เหตผุ ลทท่ี าใหค้ นไทยตอ้ งเรยี นรภู้ าษาองั กฤษเน่อื งมาจาก (1) ความเจรญิ กา้ วหน้าทางดา้ นวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยสี มยั ใหม่ทไ่ี หลบา่ มาจากยุโรป เขา้ สู่ สงั คมไทยอย่างไม่มวี นั หมด (2) ภาษาองั กฤษเป็นภาษาสากลทม่ี กี ารเรยี นรอู้ ย่างแพร่หลายทส่ี ดุ (3) การตดิ ต่อคา้ ขายระหว่างประเทศกวา้ งขวางมากข้นึ จงึ ทาใหม้ ชี าวต่างชาตเิ ดนิ ทาง เข้ามา เมืองไทยเป็นจานวนมากยิ่งข้นึ เพ่อื ให้การติดต่อค้าขายประสบผลสาเร็จ คนไทยจึงต้องมี ความรู้ ภาษาองั กฤษอยใู่ นขนั้ ทส่ี อ่ื สารได้ (4) ปัจจุบนั ประเทศไทยกาลงั พฒั นาตวั เองไปสู่ประเทศอุตสาหกรรมจาเป็นต้องใชบ้ ุคลากรท่มี ี ความรคู้ วามสามารถทางภาษาองั กฤษ หรอื ภาษาอน่ื ๆ (5) ถ้าคนไทยไม่คดิ ทจ่ี ะขวนขวายหาความรู้ด้านภาษาองั กฤษและภาษาอ่นื ๆ เท่ากบั ว่า ปิด ตวั เอง และไม่ทนั ขา่ วสารของโลก (6) ถ้าคนไทยรู้ภาษาต่างประเทศอย่างแพร่หลายและอยู่ในขนั้ ท่ีใช้ได้อย่างจริงจังทนั ที ท่ี วทิ ยาการสมยั ใหม่เกดิ ขน้ึ ในโลกน้ี ไม่ว่าจะเจรญิ รุดหน้าไปมากแค่ไหน คนไทยกส็ ามารถเรยี นรู้ ไดท้ นั ต่อเหตุการณ์โลกและวทิ ยาการสมยั ใหมน่ นั้ ๆ โดยฉบั พลนั (7) นกั จติ วทิ ยาทางภาษาศาสตรส์ รุปว่า คนทร่ี มู้ ากกว่าหน่ึงภาษามโี อกาสไดพ้ ฒั นามนั สมองใน ส่วนท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั ภาษาได้มากกว่าคนท่รี ูภ้ าษาเดยี วและแน่นอนท่เี ราเหน็ กนั อย่างชดั เจน คอื คนเก่ง ภาษามโี อกาสหารายไดเ้ รว็ กว่าและมากกว่าคนทเ่ี กง่ ภาษาเดยี วคอื ภาษาแมข่ องตนเอง ดว้ ยเหตุผลดงั กล่าวขา้ งต้น จงึ อาจสรุปไดว้ ่าภาษาองั กฤษมคี วามสาคญั ต่อสงั คมไทยในแต่ละ ดา้ น ดงั น้ี 1. ดา้ นการดาเนินชวี ติ การทางานของมนุษย์ในแต่ละสงั คมหรอื พูดเขา้ ใจง่ายๆ ว่า เม่อื คนต่นื นอนข้นึ มาในแต่ละวนั แล้วมชี ีวติ อยู่กบั บุคคลอ่นื นัน่ เอง จงึ จาเป็นต้องมีการตดิ ต่อส่อื สาร พูดคุยกบั หลายๆ สงั คม แต่ถ้าเป็นคนไทยก็พูดภาษาไทย ถ้าเป็นคนต่างชาติก็ต้องพูดภาษาของคนนัน้ หรือ ภาษาองั กฤษซ่ึงถอื ว่า ปัจจุบนั เป็นภาษาสากล (Universal Language) แล้ว เพราะภาษาองั กฤษเป็น ภาษาท่ีถูกแพร่หลายกว่าทุกภาษาในโลกน้ี ดงั นัน้ ถ้าเรามีองค์ความรู้เร่อื งเก่ียวกบั ภาษาองั กฤษก็ สามารถสอ่ื สารกบั บุคคลนนั้ ไดเ้ ลย 2. ดา้ นเศรษฐกจิ และสงั คม การอย่รู วมกนั ของคนตงั้ แตส่ องคนขน้ึ ไปและมกี ารกาหนด ขอ้ ตกลง เบ้ืองต้นเก่ยี วกบั ขอ้ ปฏบิ ตั ิร่วมกนั เพ่อื นาไปสู่ความสงบสุขของสงั คม เม่อื เราอยู่ในสงั คม ต้องมกี าร ส่อื สารกบั คนในสงั คมและต่างสงั คม ถ้าเรามอี งคค์ วามรูเ้ ร่อื งภาษาองั กฤษจะทาให้เรา แสวงหารายได้ มากกว่าคนอ่นื ทร่ี ู้เพยี งภาษาเดียว อย่างน้อยก็เป็นความภาคภูมใิ จของตนเองประการ ท่หี น่ึงและการ ตดิ ตอ่ การงานกบั หน่วยงานอ่นื ๆ และในเชงิ ธรุ กจิ การคา้ ขาย
๑๔ 3. ด้านวชิ าการการศกึ ษาและการแสวงหาองคค์ วามรูเ้ ก่ียวกบั วชิ าหรอื ศาสตรส์ าขาต่าง ๆ ทม่ี ี อยู่ในโลกน้ี เช่น วิทยาศาสตร์ (Sciences) คณิตศาสตร์ (Mathematics) ภาษาอังกฤษ (English Language) ภาษาไทย (Thai Language) สงั คมศกึ ษา (Sociology) และประวตั ศิ าสตร์ (History) เป็นตน้ องคค์ วามรเู้ หล่าน้ีลว้ นอย่ใู นระบบเอกสารงานวิจยั ตารา หนงั สอื อนิ เตอรเ์ น็ต หรอื ในภาษา ทส่ี องทม่ี ใิ ช่ ภาษาไทย ดงั นัน้ จะเหน็ ได้ว่า การแสวงหาองค์ความรูใ้ นยุคน้ีจะต้องประกอบไปดว้ ย ความรูท้ างดา้ น ภาษา โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ภาษาองั กฤษซง่ึ มคี วามสาคญั และจาเป็นอย่างมากต่อการ ศกึ ษาของคนไทย สรปุ ท้ายบท ภาษาองั กฤษเป็นภาษาท่อี ยู่ในตระกูลอนิ โด-ยูโรเปียน มพี ฒั นาการทงั้ ทางด้านตวั อกั ขระ การ ออกเสยี ง คาศพั ท์ ไวยากรณ์ และการเขยี น ซง่ึ การพฒั นาการดงั กล่าวขน้ึ อย่กู บั ปัจจยั สาคญั ของแต่ละ ยุคสมยั ทงั้ ทางด้านการเมอื ง เศรษฐกจิ วฒั นธรรม และสงั คม เป็นต้น โดยภาษาองั กฤษ ได้ถูกแบ่ง ออกเป็น 3 ยุค กล่าวคอื ภาษาองั กฤษยุคเก่า (Old English) ปี ค.ศ. 449-1066 ภาษา องั กฤษยุคกลาง (Middle English) ค.ศ. 1066-1500 ภาษาองั กฤษยุคใหม่ (Modern English) ค.ศ. 1500-1800 การเรยี นรู้ภาษาองั กฤษของคนไทยเรม่ิ ตงั้ แต่การท่คี นไทยทาการค้าขายโดยมกี ารตดิ ต่อกบั ประเทศเพอ่ื นบา้ น แต่ทช่ี ดั เจนทส่ี ุดในแงข่ องการเรยี นรูภ้ าษาต่างประเทศเรมิ่ ตงั้ แต่รชั กาลท่ี 3 เป็นต้น มา ในสมยั รชั กาลท่ี 5 มีการจดั การเรียนการสอนในพระราชวงั และขยายออกสู่โรงเรียน โดยเร่มิ มี หลกั สตู รภาษาองั กฤษ และพฒั นาการมาจนถงึ ปัจจบุ นั ภาษาองั กฤษเป็นภาษาสากลทไ่ี ดย้ อมรบั กนั ทวั่ โลกและมกี ารใช้เพ่อื การตดิ ต่อสอ่ื สารกนั อย่าง แพรห่ ลาย ดงั นนั้ จงึ กล่าวไดว้ ่า ภาษาองั กฤษเป็นภาษาทม่ี คี วามสาคญั ต่อชาวโลกและประเทศไทย เป็น อย่างมาก เหน็ ไดจ้ ากวถิ ชี ีวติ ของคนไทยในยุคโลกาภวิ ตั น์ มคี วามจาเป็นตอ้ งเขา้ ไปเก่ยี วขอ้ ง กบั สงั คม โลกทงั้ ในดา้ นการดาเนนิ ชวี ติ ดา้ นสงั คม และดา้ นวชิ าการ
๑๕ คาถามท้ายบท 1. จงเขยี นประวตั คิ วามเป็นมาของภาษาองั กฤษในแต่ละยคุ ใหเ้ หน็ ชดั เจน 2. จงเขยี นความเกย่ี วขอ้ งของคนไทยทม่ี ตี อ่ การเรยี นรภู้ าษาองั กฤษว่าเรมิ่ ตงั้ แตส่ มยั ใดและมพี ฒั นาการ อยา่ งไร 3. จงเขยี นความสาคญั ของภาษาองั กฤษทม่ี ผี ลกระทบตอ่ คนไทย
๑๖ เอกสารอ้างอิงประจาบท กมล ชทู รพั ย,์ Progressive English Grammar. กรงุ เทพฯ : สมเจตน์การ พมิ พ์, 2533. จรรยา อนิ ออ๋ ง, Modern English Grammar Part 1. กรุงเทพฯ : ศูนยภ์ าษา, I.O.บ. กรุงเทพฯ 2544. เชาวน์ เชวงเดช. Opinion Basic English Grammar. กรุงเทพฯ : สานักพมิ พ์ สยามสปอร์ตซนิ ดเิ คท จากดั , 2537. พชั รี พลาวงศ,์ ประวตั ิภาษาองั กฤษ, กรงุ เทพฯ : สานักพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั รามคาแหง, 2534. มงคล กุลประเสรฐิ . An Applied English Grammar, กรุงเทพฯ: สานักพมิ พ์ไทยวฒั นาพานิช จากดั มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช สาขาวชิ าศลิ ปศาสตร,์ 2535. ลนิ ดา เจน. Prepositions. กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พ์ โอเอสพรน้ิ ตง้ิ เฮาส,์ 2533. วทิ ยา ศรเี ครอื วลั ย์, The Standard English Grammar. พมิ พ์ครงั้ ท่ี 16. กรุงเทพฯ: สานักพมิ พ์แพร่ วทิ ยา, 2532. สุมติ รา องั วฒั นกุล. วิธีสอนภาษาองั กฤษ, พมิ พค์ รงั้ ท่ี 4. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2540. อุดม วโรตมสิกขดิตถ์, และคณะ, Fundamental English ll, พิมพ์ครัง้ ท่ี 11. สานักพิมพ์ มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง, กรุงเทพฯ 2533. Betty Schramfer Azar. Understanding and Using English Grammar. Prentice Hall Regents Englewood liffs, New Jersey, America 07632 Second Edition. Preechar Svivalai. English Essentials, กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พโ์ อเดยี นสโตร,์ 2537.
๑๗ บทท่ี 2 ส่วนของคาพดู (Parts of Speech) พระมหาบญุ ชชั รตนเมโฆ ผศ. สุรพงษ์ คงสตั ย์ อาจารยธ์ นู ศรที อง วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นประจาบท เม่อื ไดศ้ กึ ษาเน้อื หาในบทน้ีแลว้ นสิ ติ สามารถ 1. บอกความหมายของสว่ นต่าง ๆ ของคาพดู แต่ละชนดิ ไดถ้ กู ตอ้ ง 2. อธบิ ายหลกั การใชพ้ รอ้ มยกตวั อย่างสว่ นต่าง ๆ ของคาพดู แตล่ ะชนิดไดถ้ กู ตอ้ ง 3. จาแนกสว่ นต่าง ๆ ของคาพดู แตล่ ะชนิดไดถ้ กู ตอ้ ง 4. วเิ คราะหส์ ว่ นต่าง ๆ ของคาพดู แต่ละชนิดทป่ี รากฏในรปู ประโยคไดถ้ ูกตอ้ ง ขอบข่ายเนื้อหา • คานาม (Noun) • คาสรรพนาม (Pronoun) • คาคณุ ศพั ท์ (Adjective) • คากรยิ า (Verb) • คากรยิ าวเิ ศษณ์ (Adverb) • คาบพุ บท (Preposition) • คาสนั ธาน (Conjunction) • คาอทุ าน (Interjection) ความนา เม่อื เราพูดหรือเขียน เราใช้คาในลักษณะต่างกนั หลายแบบ คาต่าง ๆ ในภาษาอังกฤษนัน้ สามารถแบ่งออกเป็นชนิดต่าง ๆ ไดต้ ามการทาหน้าทใ่ี นประโยค เราเรยี กว่า “Parts of speech” ซ่งึ มี ทงั้ หมด 8 ชนดิ ดว้ ยกนั คอื 1. คานาม (Noun) 2. คาสรรพนาม (Pronoun) 3. คาคุณศพั ท์ (Adjective) 4. คากรยิ า (Verb) 5. คากรยิ าวเิ ศษณ์ (Adverb) 6. คาบุพบท (Preposition) 7. คาสนั ธาน (Conjunction) 8. คาอุทาน (Interjection)3 ดงั มรี ายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี 2.1 คานาม (noun) 3 สาราญ คายงิ่ , Standard English Grammar. ฉบบั ปรบั ปรุง, (กรุงเทพมหานคร, หา้ งหุน้ ส่วนจากดั วเี จ พรน้ิ ตง้ิ , ม.ป.ป.), หน้า 37.
๑๘ คานาม คอื คาทใ่ี ชเ้ รยี กช่อื คน สตั ว์ สงิ่ ของ สถานท่ี ขอ้ คดิ เหน็ ความรสู้ กึ นกึ คดิ ต่าง ๆ มดี งั น้ี 2.1.1 วสิ ามานยนาม: PROPER NOUN ไดแ้ กค่ านามทเ่ี ป็นชอ่ื เฉพาะ เชน่ - Winai is the manager of our company. - Bangkok is the capital of Thailand. - Pepsi is a lovely dog. - I prefer to drive Isuzu to Toyota. 2.1.2 สามานยนาม: COMMON NOUN ไดแ้ ก่ คานามทใ่ี ชเ้ รยี กบุคคล สตั ว์ สง่ิ ของทวั่ ไป เชน่ boy, girl, cat, dog, chair, pen, lake, plant, river, village, king, etc. - Edgar was a wise king. - Human is the most intelligent animal. - Children are going to school. 2.1.3 สมุหนาม: COLLECTIVE NOUN ไดแ้ ก่ คานามท่ใี ช้เรยี กหน่วยรวมของสง่ิ ต่าง ๆ ในลกั ษณะท่ี เป็ นกลุ่ม พวก เช่น government, staff, family, Committee, cattle, police. Public people, jury, a group of students, a gang of thieves, a flock of sheep, a crowd of people, etc. - The people are fed up with politics. - The cattle are grazing in the field. - The police are searching for a gang of thieves. 2.1.4 นามผสม: COMPOUND NOUN ได้แก่ คานามท่ีเกิดจากการนาคานามตงั้ แต่สองตัวข้นึ ไปมา รวมกนั แลว้ ใชใ้ นฐานะเป็นคานาม เช่น swimming pool, playground, cowboy, countryman, doorman, schoolboy, looking glass, living room, salt water, Bangkok Bank, etc. - Children are running at the playground. - He used to be a cowboy. - She is making up her face in front of the looking glass. 2.1.5 กรนาม: AGENT NOUN ได้แก่ คานามท่ีมาจากการเติมปัจจยั หลงั (suffixes) ท่ีท้ายนาม หรือ กริยา แล้วนามาใช้ในฐานะเป็ นคานาม เช่น speaker, dealer, actor, actress, student, musician, educationist, historian, attendant, examinee, interviewee, visitor, etc. - She is one of the famous actresses. - Yesterday, there were ten attendants in my class. - To be a musician is not an easy job. 2.1.6 วตั ถุนาม: MATERIAL NOUN ไดแ้ ก่ คานามทเ่ี กย่ี วกบั มวลวตั ถุ wood, soil, gold, air, salt, tin, meat, water, oxygen, milk, cloth, etc. - This chair is made of wood. - A fog jumped into the water. - Milk is one of the nutrition.
๑๙ 2.1.7 อาการนาม: ABSTRACT NOUN ไดแ้ ก่ คานามทเ่ี ก่ยี วกบั คุณลกั ษณะ หรอื สภาวะของสง่ิ ต่าง ๆ เช่น สสาร ธาตุ โลหะ เป็ นต้น เช่น cleverness, beauty, darkness, honesty, softness, wisdom, sorrow, sickness, slavery, poverty, decision, laughter, inspection, etc. - Beauty can bring about the sorrow. - Poverty is the protagonist in the body of antagonist. - Wisdom is the sharpest weapon. 2.1.8 นามสมมูลย์: NOUN-EQUIVALENT ได้แก่ นามท่ีมีรูปมาจากคาหรอื ส่วนของประโยค ได้แก่ infinitive with to, gerund, รวมทงั้ adjective ท่ีนามาใช้อย่างคานามโดยมี the นาหน้า phrase, และ clause เช่น to exercise, walking, the poor, what to do, what the teacher is saying, etc. - To exercise is good for health. - She went to the department store for shopping. - The poor are everywhere in Thailand. - I don't know what to do. - What the teacher said may be right. หลกั การเปล่ียนคานามเอกพจน์เป็นพหพู จน์4 1) คานามลงทา้ ยดว้ ย -S, -SS, -sh, -ch, -X, Z ใหเ้ ตมิ -es - bus buses - watch watches - class classes - box boxes - dish dishes - buzz buzzes etc. 2) คานามลงทา้ ยดว้ ย -o ใหเ้ ตมิ -es บา้ ง (ในกรณีทห่ี น้า o เป็นพยญั ชนะ) ใหเ้ ตมิ -s บา้ ง (กรณีทห่ี น้า o เป็นทงั้ สระและพยญั ชนะ) และใหเ้ ตมิ -es หรอื -s กไ็ ด้ (ในกรณีทเ่ี ป็นคานามบางคา) - tomatoes, mangoes, heroes, Negroes, etc. - photos, dynamos, solos, ratios, studios, kilos, radios, provisos, bamboos, etc. - cargoes/cargos, calicoes/calicos, dominoes/dominos, grottoes/grottos, mottos/ mottoes, haloes/halos, lassoes/lassos, mosquitoes/mosquitos, volcanoes/ volcanos, etc. 3) คานามลงทา้ ยดว้ ย f หรอื fe ใหเ้ ปลย่ี น f หรอื fe เป็น ves (v - es) - leaf leaves - thief thieves - knife knives - wife wives etc. ยกเวน้ -Chief, roof, dwarf, proof, belief (ใหเ้ ตมิ s ไดท้ นั ท)ี 4 สาราญ คายงิ่ , Advanced English Grammar for High Lerner, ฉบบั ปรบั ปรุง, (กรุงเทพมหานคร หา้ ง หนุ้ ส่วนจากดั วเี จ พรน้ิ ตง้ิ , ม.ป.ป.), หน้า 31-39.
๒๐ 4) คานามลงทา้ ยดว้ ย -y และหน้า y เป็นพยญั ชนะใหเ้ ปลย่ี น y เป็น i แลว้ เตมิ -es - baby babies - lady ladies - city cities - army armies etc. 5) คานามผสม (Compound nouns) ทาเป็นรปู พหพู จน์ทค่ี าหลกั ตามกฎเกณฑ์ 1) - 4) ดงั กล่าวแลว้ - son-in-law sons-in-law - commander-in-chief commanders-in-chief - passer-by passers-by - maid-servant maid-servants - man-of-war men-of-war 6) คานามพเิ ศษ (Irregular nouns) ใหเ้ ปลย่ี นรปู เป็นพหพู จน์ - child children - louse lice - tooth teeth - ox oxen - mouse mice - goose geese - foot feet - man men - analysis analyses - basis bases - bacillus bacilli - datum data - dictum dicta - formula formulae - Syllabus syllabi - thesis theses; 7) คานามบางคามรี ปู เดยี ว เป็นไดท้ งั้ เอกพจน์และพหพู จน์ - fish, sheep, deer, salmon, swine, aircraft, means, series, hare, etc. 8) คานามบางคาใชเ้ ป็นพหพู จน์เท่านนั้ - trousers, scissors, spectacles, goods, gallows, alms, bellows, etc. 9) คานามบางคามรี ปู พหพู จน์แต่มคี วามหมายเป็นเอกพจน์ - news, physics, measles, innings, shambles, economics, mathematics, mumps, etc. 2.2 คาสรรพนาม (PRONOUN) สรรพนาม คอื คาทใ่ี ช้แทนคานามท่เี ป็นช่อื คน สตั ว์ ท่ี หรอื สง่ิ ของ เป็นต้น ทเ่ี คยกล่าวมาแลว้ โดยมวี ตั ถุประสงค์เพ่อื ไม่ให้เกดิ การใช้คานามนัน้ ซ้า ๆ และเพ่อื ทาให้ภาษาสละสลวยคาสรรพนาม สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 6 ชนดิ ดงั ตอ่ ไปน้ี
๒๑ 2.2.1 บุรษุ สรรพนาม (PERSONAL PRONOUN) บุรษุ สรรพนาม หมายถงึ คาทใ่ี ชแ้ ทนตวั ผพู้ ดู ผทู้ เ่ี ราพดู ดว้ ยหรอื คสู่ นทนา และผทู้ ค่ี ่สู นทนา พดู ถงึ แบ่งออกเป็น 3 บุรุษ คอื บุรุษท่ี 1 ไดแ้ ก่คาทผ่ี พู้ ูดใชแ้ ทนตวั เอง บุรุษท่ี 2 ไดแ้ ก่คาทใ่ี ชแ้ ทน ช่อื ผู้ท่ี ถูกพูดถงึ หรอื ผู้ฟัง และบุรุษท่ี 3 ไดแ้ ก่คาท่ใี ชแ้ ทนผู้ท่ถี ูกกล่าวถงึ หรอื พาดพงึ ถงึ ดงั ตารางท่ี จะแสดง ดงั ตอ่ ไปน้ี5 Subjective Objective Possessive Possessive Reflexive Pronoun Pronoun Pronoun Adjective Pronoun Pron. Sing Plu Sing Plu Sing Plu Sing Plu Sing Plu 1st | we me us My our mine ours myself Ourselves 2nd you you you you your your yours yours yourself Yourselves 3rd he they him them his their his theirs himself themselves she they her them her their hers theirs herself themselves it they it them it their its theirs itself themselves 2.2.2 DEFINITE PRONOUN นิยมสรรพนาม หมายถึง คาสรรพนามท่บี ่งถึงความหมายเฉพาะเจาะจงแน่นอนและชดั เจน ยงิ่ ขน้ึ ไดแ้ ก่ This, These / That, Those / One, Ones / Such, etc. - This is my friend. - These are lovely girls. - That is a wrong process. - Those are taxi-drivers. - Which book do you like? I like the grammatical one. - Who are the students of MCU? The ones who are monks. - She has failed again. Such is her luck. หมายเหตุ: - This is my pen. [definite pronoun] - This pen is mine. [definite adjective] 5 สาราญ คายง่ิ , Advanced English Grammar for High Lerner, ฉบบั ปรบั ปรงุ , หน้า 81.
๒๒ 2.2.3 INDEFINITE PRONOUN อนยิ มสรรพนาม หมายถงึ คาสรรพนามทบ่ี ่งถงึ ความหมายทวั่ ไปไมเ่ ฉพาะเจาะจง ไดแ้ ก่ some, some body, someone, any, anybody, anyone, all, none, no body, no one, one, few, a few, little, a little, many, much, several, the other, others, another, both, etc. - Somebody is calling you. - All of students spoke up at the meeting. - Everybody has gone home. - Did someone go to receive you at the airport? - No one would like to talk with him. หมายเหตุ:- All of MPs are in the house of parliament. [indefinite pronoun] - All MPs are in the house of parliament. [indefinite adjective] 2.2.4 INTERROGATIVE PRONOUN ปฤจฉาสรรพนาม หมายถึง คานามท่ใี ช้วางไว้ต้นคาในประโยคคาถาม ได้แก่ Who Whom, Whose, What, Which, etc. - Who is walking there? (ประธาน) - Who told you to come? (ประธาน) - Whom do you want to see? (กรรม) - Whose is that umbrella? (ความเป็นเจา้ ของ) - What happened to you? (ประธาน) - What do you mean? (กรรม) - What is floating in the river? (ประธาน) - Which is your dictionary? (ประธาน) หมายเหตุ:- Which is your dictionary? [interrogative pronoun] - Which dictionary is yours? [interrogative adjective] 2.2.5 RELATIVE PRONOUN ประพนั ธส์ รรพนาม หมายถงึ คาสรรพนามทท่ี าหน้าทห่ี ลกั ในการเชอ่ื มประโยค ไดแ้ ก่ Who Whom, Whose, Which, What, When, Where, That, etc. A) This is the girl. B) I like the girl. = This is the girl whom I like. - He is a professor who is well-known. - This is the boy whom all praise.
๒๓ - He is an old man whose son is a soldier. - She feeds the dog which is in the cage. - I do not know the time when she arrives. - That is the house where she lives. - I have everything that you have. 2.2.6 DISTRIBUTIVE PRONOUN สรรพนามแบง่ แยก หมายถงึ คาสรรพนามทบ่ี ง่ ถงึ ความแบง่ แยกอย่างใดอย่างหน่งึ ไดแ้ ก่ each, either, neither, etc. - Each of us gets good marks. - Either of them has committed suicide. - Neither of students is right. 2.3 คาคณุ ศพั ท์ (ADJECTIVE) คาคุณศพั ท์ คอื คาท่ที าหน้าท่ขี ยายคานามหรอื คาสรรพนาม แบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ ดงั น้ี 2.3.1 Descriptive Adjective คอื คาคุณศพั ท์ท่พี รรณนาถงึ คุณลกั ษณะของนาม เช่น สูง ดา ต่า ขาว เป็นตน้ beautiful, ugly, new, old, big, small, clean, good, bad, etc. - She is beautiful. - Daeng's room is dirty. - Tammy is a good tennis player. ขอ้ สงั เกต: การเรยี งลาดบั คาคณุ ศพั ทท์ ม่ี าร่วมในขอ้ ความหรอื ประโยคเดยี วกนั มหี ลกั การ คาขยาย คา จานวน จานวน ขนาด นาม นาหน้า นับ นับ สูง สี ที่มา วสั ดุ จดุ ประสงค์ หลกั นาม ลาดบั ท่ี ตามลาดบั ยาว blue American leather sport shoes red Thai silk business tie a small blue car the first two week the next three Thai boys
๒๔ 2.3.2 Demonstrative Adjective คอื คุณศพั ทช์ เ้ี ฉพาะไดแ้ ก่ This, That, These, Those This ใชข้ ยายคานามเอกพจน์ทอ่ี ยใู่ กล้ (น้)ี That ใชข้ ยายคานามเอกพจน์ทอ่ี ยไู่ กล (นนั้ ) These ใชข้ ยายคานามพหูพจน์ทอ่ี ยใู่ กล้ (เหล่าน้)ี Those ใชข้ ยายคานามพหูพจน์ทอ่ี ยไู่ กล (เหล่านนั้ ) This man has no money. That motorcycle is mine. These books are theirs. 2.3.3 Proper Adjective คอื คาคณุ ศพั ทท์ เ่ี กย่ี วกบั เชอ้ื ชาตเิ ป็นคาศพั ทท์ ม่ี รี ปู มาจากชอ่ื ของประเทศ เช่น Thailand Thai คนไทย Canada Canadian คนแคนาดา U.S.A American คนอเมรกิ นั China Chinese คนจนี Switzerland Swiss คนสวสิ 2.3.4 Numeral Adjectives คอื คุณศพั ท์ทเ่ี ป็นจานวนนบั ไดแ้ ก่ one, two, three, four five, six, seven, eight, nine, ten... คณุ ศพั ทบ์ อกจานวนลาดบั ท่ี ไดแ้ ก่ first, second, third, fourth. fifth, sixth, seventh, eighth, ninth, tenth.....และคุณศัพท์บอกจานวนมวลรวม ได้แก่ many, much double, few, a few, several, a little, little, all, some, etc. I have three dogs. That's his second wife. I will be away several weeks. 2.3.5 Possessive Adjective คอื คาคุณศัพท์ท่ีแสดงความเป็นเจ้าของ ได้แก่ my, her. his, its, your, our, their, etc. My book is on the table. I lost her coat. May I borrow your pen? 2.3.6 Quantitative Adjective คือคุณศัพท์ท่ีแสดงปรมิ าณบอกถงึ ความมากน้อยของสิ่งต่าง ๆ ได้แก่ some, much, little, enough, all, any, whole, etc. Give me some food. I do not have enough water.
๒๕ Do you have any money? 2.4 คากริยา (Verb) คากรยิ า คอื คาทแ่ี สดงการกระทา ในภาษาองั กฤษไดแ้ บง่ คากรยิ า (Verb) ออกเป็น 5 ชนิด ดงั น้ี 1. Finite verb คอื กรยิ าแท้ 2. Non-finite verb คอื กรยิ าไมแ่ ท้ 3. Transitive verb คอื กรยิ าทเ่ี รยี กหากรรม (สกรรมกรยิ า) 4. Intransitive verb คอื กรยิ าทไ่ี ม่เรยี กหากรรม (อกรรมกรยิ า) 5. Helping verb หรอื Auxiliary verb คอื กรยิ าช่วย 2.4.1 FINITE VERB Finite verb คือ กริยาแท้หรือกริยาหลัก ได้แก่ กริยาท่ีทาหน้าท่ีสาคญั เป็นกริยาจริง ๆ ใน ประโยคนัน้ ๆ และกรยิ าน้ีจะมกี ารเปลย่ี นแปลงไปตามกาลต่าง ๆ และตามประธานของกรยิ าตวั นัน้ ๆ ดว้ ย เพอ่ื ใหท้ งั้ ประธานและกรยิ ามคี วามสมั พนั ธก์ นั เช่น We study English language at school. - เราเรยี นภาษาองั กฤษทโ่ี รงเรยี น He teaches English - เขาสอนภาษาองั กฤษ He wrote a letter to John last week. - เขาเขยี นจดหมายถงึ จอหน์ เมอ่ื สปั ดาหท์ แ่ี ลว้ She likes Thailand - หล่อนรกั เมอื งไทย 2.4.2 NON-FINITE VERB Non-finite verb คือ กริยาไม่แท้ ไม่จริง อีกนัยหน่ึงคือไม่ใช่กริยาหลกั หรือกริยาสาคญั ของ ประโยค เพราะไม่ไดน้ ามาใชท้ าหน้าทอ่ี ย่างกริยาแท้ แต่ถูกนามาใชท้ าหน้าทอ่ี ย่างอ่นื เช่น ใชเ้ ป็น นาม บา้ ง ใชเ้ ป็นกรยิ าวเิ ศษบา้ งและใชท้ าหน้าทอ่ี น่ื ๆ ไดอ้ กี ในภาษาองั กฤษนนั้ ไดแ้ บง่ Non-finite verb หรอื กรยิ าไมแ่ ทอ้ อกเป็น 3 ชนิดคอื : 1) INFINITIVE คอื กรยิ าทม่ี ี to นาหน้า เช่น to sing การรอ้ งเพลง to do การทา to stand การยนื to speak การพดู to sleep การนอน to say การพดู to pay การจา่ ย to eat การกนิ and to read การอา่ น เป็นตน้
๒๖ ตวั อย่างประโยค : She wants to see her parents. - หล่อนตอ้ งการพบคณุ พอ่ คณุ แม่ He likes to pay for her. - เขาอยากจ่ายเพอ่ื หล่อน. I go to study English every day. - ฉนั ไปเรยี นภาษาองั กฤษทุก ๆ วนั หมายเหตุ - คาทข่ี ดี เสน้ ใตน้ นั้ คอื Infinitive ไดแ้ ก่ กรยิ าทม่ี ี to นาหน้านนั่ เอง 2) GERUND คอื กรยิ าทเ่ี ดมิ -ing หรอื กรยิ าลงทา้ ยดว้ ย -ing ทาหน้าทเ่ี ป็นนาม เช่น speaking การพดู going การไป taking การนาพา, การนาไป sitting การนงั่ sleeping การนอน seeing การเหน็ , การดู playing การเล่น writing การเขยี น crying การรอ้ งไห้ drinking การด่มื เชน่ I like speaking English. - ฉนั ชอบการพดู ภาษาองั กฤษ She likes playing tennis. – เธอชอบการเล่นเทนนิส 3) PARTICIPLE คือ กรยิ าท่ีเติม -ing หรือกริยาท่ีลงท้ายด้วย -ing ใช้ทาหน้าท่ีได้หลายอย่าง เช่น ใช้ขยายนามหรอื สรรพนามใช้เป็นภาคแสดงประธานของประโยคบ้างใชเ้ ป็นส่วนสมบูรณ์ของ ประโยค บา้ ง เช่น ใชข้ ยายนามหรอื สรรพนามใชเ้ ป็นภาคแสดงประธานของประโยคบา้ ง ใชเ้ ป็นส่วนสมบูรณ์ของ ประโยคบา้ ง เช่น interesting น่าสนใจ catching การจบั ตอ้ ง watching การมองดู boring น่าเบ่อื หน่าย waiting การรอคอย finishing การจบสน้ิ giving การให้ playingการเลน่ stopping การหยุด เชน่ The student sitting there is my student - นกั เรยี นทน่ี งั่ อย่ทู น่ี ่เี ป็นนกั เรยี นของผม He is a boring speaker - เขาเป็นนกั พดู ทน่ี ่าเบอ่ื
๒๗ I told him an interesting story. - ฉนั ไดเ้ ลา่ เร่อื งทน่ี ่าสนใจใหเ้ ขาฟัง She kept me waiting - หล่อนใหฉ้ นั คอย. ขอ้ สงั เกต : การทเ่ี ราจะสงั เกตว่า กรยิ าตวั ใดเป็นกรยิ าแทห้ รอื ไม่แท้ หรอื เป็นกรยิ าหลกั หรอื ไม่ใช่กรยิ าหลกั นัน้ ให้สงั เกตท่ีตาแหน่งการวางกรยิ าไว้ในประโยค ถ้ากรยิ าตวั ใดมคี วามสอดคล้องเชิงไวยากรณ์กบั ประธานของประโยคหรอื อยู่ใกล้ประธานของประโยค กรยิ าตวั นัน้ ก็เป็นกรยิ าแท้เป็นกรยิ าหลกั หรอื กรยิ าทส่ี าคญั ของประโยค สว่ นกรยิ าตวั อ่นื ตวั ตอ่ ไปนนั้ จะเป็นกรยิ าไมแ่ ท้ ดงั ตวั อย่าง เชน่ I like reading poetry. - ฉนั ชอบอา่ นวรรณคดี We want to develop our English. - พวกเราตอ้ งการพฒั นาภาษาองั กฤษของพวกเรา She goes to see her parents. - เธอไปพบพอ่ แมข่ องเธอ หมายเหตุ - คาทข่ี ดี เสน้ ใตค้ อื กรยิ าแท้ Finite verb หรอื กรยิ าสาคญั ของประโยค 2.4.3 TRANSITIVE VERB Transitive verb คอื สกรรมกรยิ า ได้แก่ กรยิ าท่มี กี รรมมารองรบั เพ่อื ให้ได้เน้ือความสมบูรณ์ เพราะถ้าไม่มกี รรมมาใส่หรอื มารบั แลว้ ความในประโยคนัน้ ก็ไม่สมบูรณ์ ดงั นัน้ จงึ ต้องมกี รรมมาด้วย เสมอ เช่น send, offer, play, study, etc. เช่น | write two books. - ฉนั เขยี นหนงั สอื สองเล่ม She sends a letter to him. - เธอสง่ จดหมายถงึ เขา He offers the foods to Buddhist monks. - เขาถวายอาหารแก่พระภกิ ษุ They are playing football now. - เขาทงั้ หลายกาลงั เลน่ ฟุตบอลในขณะน้ี We are studying English. - พวกเรากาลงั เรยี นภาษาองั กฤษ
๒๘ 2.4.4 INTRANSITIVE VERB Intransitive verb คือ อกรรมกริยา ได้แก่ กริยาท่ีไม่มีกรรมมารองรับ ซ่ึงเป็ นกริยาท่ีมี ความหมาย สมบูรณ์ในตวั อย่แู ลว้ เช่น run, dance, come, etc. เชน่ He died yesterday evening. - เขาไดต้ ายเมอ่ื วานตอนเยน็ She is sleeping. - เธอกาลงั นอน They will leave for Bangkok tomorrow night. - พวกเขาจะไปกรุงเทพในคนื พรงุ่ น้ี He always comes early and sits near the windows. - เขามาแต่เชา้ และนงั่ ใกลห้ น้าต่างเป็นประจา 2.4.5 HELPING VERB / AUXILIARY VERB Helping verb หรือ Auxiliary verb คือ กริยาช่วย หรือกริยานเคราะห์หรือบางแห่งเรียกว่า ANOMAIOUS VERB ทงั้ หมดน้ีล้วนแต่หมายถึงกริยาช่วยทงั้ ส้ิน การท่ีเรียกว่ากริยาช่วยหรือกริยา นุเคราะหน์ นั้ เพราะลาพงั ตวั เองนนั้ ยงั ไม่สมบูรณ์ตอ้ งไปทาหน้าทช่ี ่วยกรยิ าหลกั หรอื กรยิ าตวั อน่ื ใหเ้ ป็น ประโยคท่ีสมบูรณ์ขน้ึ นัน่ เอง เช่น ไปช่วยใหเ้ กดิ ประโยคปฏเิ สธ และประโยคคาถาม เป็นต้น ดงั นัน้ จงึ เรยี กวา่ Helping verb หรอื Auxiliary verb ในภาษาอังกฤษนัน้ Helping verb หรือ Auxiliary verb มีอยู่ 24 ตัว คือ is , am, are, was, were, have, has, had, do, does, did, shall, should, will, would, can, could, may, might, must, need, dare, ought to, และ used to 2.5 คากริยาวิเศษณ์ (adverb) คากรยิ าวเิ ศษณ์ คอื คาทท่ี าหน้าท่ขี ยายคาคุณศพั ท์ขยายคากรยิ าหรอื ขยายคากรยิ าวเิ ศษณ์ ดว้ ยกนั ซง่ึ แบ่งออกเป็นชนิดตา่ ง ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี 2.5.1 Adverbs of Frequency คอื ทบ่ี อกความถว่ี ่าทาสงิ่ น้สี ง่ิ นนั้ บอ่ ยหรอื ถม่ี ากน้อยแค่ไหน ไดแ้ ก่ always สม่าเสมอ เป็นประจา often บ่อย ๆ frequently บ่อย ถ่ี usually ตามปกติ Sometimes บางครงั้ บางคราว generally โดยทวั่ ๆ ไป Seldom ไมค่ อ่ ยจะ hardly แทบจะไม่ never ไม่เคยเลย
๒๙ การวางตาแหน่ง Adverbs of Frequency 1) ถา้ ประโยคนนั้ มี verb to be หรอื verb to have ใหว้ างไวห้ ลงั verb to be หรอื verb to have เช่น She is always late. – เธอมาสายเป็นประจา He has never traveled by train. – เขาไมเ่ คยเดนิ ทางโดยรถไฟ 2) วางไวห้ น้าคากรยิ าแท้ เชน่ Don often goes to the park. - ดอนไปทส่ี วนบ่อยมาก 2.5.2 Adverbs of Manner คอื adverb ทบ่ี อกอาการ ท่าทาง สถานะ หรอื คณุ ภาพ เช่น happily อย่างมคี วามสขุ quickly อย่างรวดเรว็ beautifully อย่างสวยงาม late ล่าชา้ well ดี carefully อยา่ งระมดั ระวงั fast เรว็ ตวั อยา่ งประโยค She walks slowly. – เธอเดนิ อยา่ งชา้ ๆ The children sing beautifully. - เดก็ รอ้ งเพลงอย่างไพเราะ It is important to write carefully. - มนั เป็นเรอ่ื งสาคญั ทจ่ี ะตอ้ งเขยี นดว้ ยความระมดั ระวงั 2.5.3 Adverbs of Time คอื adverb ทบ่ี อกเวลา ไดแ้ ก่ today วนั น้ี tonight คนื น้ี yesterday เม่อื วาน finally ในทส่ี ุด last ครงั้ สุดทา้ ย already เรยี บรอ้ ยแลว้ Soon ในเรว็ ๆ น้ี before กอ่ น still ยงั คง every week ทกุ ๆ สปั ดาห์ ตวั อย่างประโยค We'll soon be home. - เธอจะกลบั บา้ นเรว็ ๆ น้ี When did you last see your family? - คุณไดพ้ บครอบครวั ของคุณเป็นครงั้ สุดทา้ ยเม่อื ไหร่ 2.5.4 Adverbs of Place คอื adverb ทบ่ี อกสถานท่ี ไดแ้ ก่ Here ทน่ี ่ี around รอบ ๆ
๓๐ there ทน่ี นั่ somewhere ทไ่ี หนสกั แห่ง near ใกล้ ๆ ตวั อยา่ งประโยค We are playing here. - พวกเรากาลงั เลน่ ทน่ี ่ี The boy is sitting there. - เดก็ ผชู้ ายคนนนั้ กาลงั นงั่ อย่ทู น่ี นั่ 2.5.5 Adverbs of Degree คอื adverb ทบ่ี อกปรมิ าณจะวางไวห้ น้าคา adj., adv. หรอื กรยิ าทม่ี นั ขยาย ไดแ้ ก่ very มาก too มาก (เกนิ ไป) quite มาก(ทเ่ี ดยี ว) almost เกอื บจะ ตวั อย่างประโยค He is too big to run. – เขาตวั ใหญเ่ กนิ ทจ่ี ะวง่ิ ไหว The bag is very heavy. - กระเป๋ าใบน้หี นกั มาก I am almost finished. - ฉนั เกอื บจะทาเสรจ็ แลว้ ข้อสงั เกต 1. ในกรณีทป่ี ระโยคหน่ึงมคี ากรยิ าวเิ ศษณ์อยู่หลายชนิดใหเ้ รยี งลาดบั ดงั น้ี manner, place, time The kids go to bed early. – เดก็ ๆ เขา้ นอนแตห่ วั ค่า He works hard every week. – เขาทางานหนกั ทกุ สปั ดาห์ He sang beautifully at the concert last night. - เขารอ้ งเพลงอย่างไพเราะในงานแสดงดนตรเี มอ่ื คนื ข้อสงั เกต 2. คาทม่ี รี ปู เหมอื นกนั เป็นไดท้ งั้ คาคุณศพั ท์และคากรยิ าวเิ ศษณ์ ไดแ้ ก่ คาวา่ fast เรว็ hard ยาก แขง็ far ไกล pretty มาก ทเ่ี ดยี ว early เชา้ เรว็ แตเ่ ชา้ He runs fast. - เขาวง่ิ เรว็ He is a fast runner. - เขาเป็นนกั วง่ิ ทเ่ี รว็
๓๑ She works hard. – เธอทางานหนกั She is a hard worker. – เธอเป็นคนทางานหนกั ขอ้ สงั เกต 3. คากรยิ าวเิ ศษณ์ สว่ นใหญม่ าจากการเตมิ ly ทา้ ยคาคณุ ศพั ทโ์ ดยมหี ลกั การเตมิ ดงั น้ี 3.1 เตมิ ly หลงั คาคุณศพั ท์ เช่น beautiful beautifully อย่างสวยงาม quiet quietly อยา่ งเงยี บๆ wonderful wonderfully อย่างยอดเยย่ี ม 3.2 คาคุณศพั ทท์ ล่ี งทา้ ยดว้ ย e ใหต้ ดั e ออก แลว้ เตมิ ly true truly อย่างแทจ้ รงิ 3.3 คาคณุ ศพั ทท์ ล่ี งทา้ ยดว้ ย y ใหเ้ ปลย่ี น y เป็น i แลว้ เตมิ ly happy happily อย่างมคี วามสุข angry angrily อยา่ งฉุนเฉยี ว 3.4 คาคุณศพั ทท์ ล่ี งทา้ ยดว้ ย e ใหต้ ดั e ออก แลว้ เตมิ y simple simply งา่ ย ๆ ชดั เจน possible possibly เป็นไปได้ 3.5 คาทล่ี งทา้ ยดว้ ย ly อย่แู ลว้ และทาหน้าทเ่ี ป็นทงั้ คาคุณศพั ทแ์ ละคากรยิ าวเิ ศษณ์ ไดแ้ ก่ friendly เป็นมติ ร lovely น่ารกั lonely โดดเดย่ี ว ugly น่าเกลยี ด silly งเ่ี งา่ 2.6 คาบุรพบท (Preposition) คาบุรพบท คอื คาทใ่ี ชน้ าหน้าคานาม หรอื คาท่ใี ช้วางไว้หน้าคานามหรอื สรรพนาม เพ่อื แสดง ใหเ้ หน็ ว่า คานามนนั้ ๆ หรอื คานนั้ ๆ มคี วามสมั พนั ธห์ รอื เก่ยี วขอ้ งกนั กบั คาอ่นื ๆ อย่างไร อาจจะเป็น คาท่บี อกความสมั พนั ธ์ระหว่างคานามกบั นาม คากรยิ ากบั กรยิ า หรอื คากรยิ ากบั นามหรอื สรรพนาม เป็นตน้ ตวั อย่างประโยค She is knocking at the door now. - หล่อนกาลงั เคาะทป่ี ระตขู ณะน้ี He lives in Bangkok, Thailand. - เขาอาศยั อยใู่ นกรงุ เทพทป่ี ระเทศไทย P.M. Thongsai is running on the street. – พระมหาทองใสกาลงั วง่ิ ในถนน
๓๒ He has given some money to me. – เขาไดใ้ หเ้ งนิ ฉันบา้ งเลก็ น้อย คาบุรพบท (Preposition) ในภาษาองั กฤษมอี ยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ ดงั น้ี 2.6.1 Single Preposition คอื บุรพบททเ่ี ป็นคาเดยี วโดด ๆ ตวั อย่าง เชน่ At แปลวา่ ท่ี on แปลว่า บน in แปลว่า ใน to แปลวา่ ถงึ , สู่ for แปลวา่ สาหรบั with แปลวา่ กบั ดว้ ย, กบั of แปลวา่ ของ, ก็ off แปลวา่ ปิด, ขน้ึ ลง by แปลวา่ โดย, ดว้ ย under แปลวา่ ภายใต้ during แปลวา่ ระหวา่ ง before แปลว่า กอ่ น from แปลวา่ จาก below แปลวา่ ขา้ งล่าง, ต่ากว่า over แปลว่า มากไป หรอื เกนิ ไป above แปลวา่ เหนอื , บน, อย่ขู า้ งบน among แปลว่า ระหว่าง along แปลวา่ ตาม into แปลว่า ภายใน, อยใู่ น up แปลว่า ขน้ึ , เหนอื , ต่อ about แปลว่า ประมาณ, เก่ยี วกบั without แปลว่า ปราศจาก, ไมม่ ี between แปลว่า ระหวา่ ง after แปลว่า หลงั จาก near แปลว่า ใกล,้ อยดู่ ว้ ยกนั down แปลวา่ ลง, ขา้ งล่าง ตวั อยา่ งประโยคเช่น He sits under the tree until she arrives. - เขานงั่ ใตต้ น้ ไมจ้ นกระทงั่ หล่อนจะมาถงึ She is walking between building A and Building B. - หลอ่ นกาลงั เดนิ อยรู่ ะหวา่ งตกึ เอ และ ตกึ ปี They will wait for the monks at the temple. - พวกเขาจะรอคอยพระสงฆอ์ ยทู่ ว่ี ดั 2.6.2 A group of preposition คอื บุรพบททเ่ี ป็นกลุ่มคา ตวั อยา่ ง เช่น get up ต่นื ขน้ึ , ตน่ื นอน fall in love ตกหลุมรกั , หลงรกั save up เกบ็ หอมรอมรบิ take care of ดแู ลรบั ผดิ ชอบ see off ไปสง่ beware of ระวงั write down จด, บนั ทกึ give up ยกเลกิ afraid of กลวั give in ยอมแพ้ belong to เป็นของ ตวั อย่างประโยค I can see that you fall in love with someone.
๓๓ - ฉนั วา่ คุณตกหลมุ รกั ใครบางคนอยู่ She is afraid of tiger. - หลอ่ นกลวั เสอื They are looking for someone to help them. - พวกเขากาลงั หาคนมาชว่ ย Do you think that he will give up his smoking habit? - คณุ คดิ วา่ เขาจะเลกิ สบู บุหรไ่ี ดห้ รอื He woke up at nine o'clock in the morning. – เขาต่นื เวลาสามโมงเชา้ 2.7 คาสนั ธาน (CONJUNCTION) คาสนั ธาน คอื คาเชอ่ื มต่อหรอื คาทส่ี รา้ งความสมั พนั ธข์ องขอ้ ความทเ่ี กดิ จากการพดู เขยี นคาใน ภาษาองั กฤษหรอื ภาษาอน่ื ๆ และมหี ลกั การวางต่อเช่อื มคาในภาษาองั กฤษหรอื ภาษา ดงั น้ี คอื ระหวา่ ง คากบั คา กลุ่มคากบั กลุ่มคากรยิ ากบั กรยิ า ประโยคกบั ประโยคเพอ่ื ใหค้ าหรอื ประโยค นนั้ ๆ ต่อเช่ือมกนั ไดใ้ จความดแี ละมคี วามสมบูรณ์ในประโยคมากยงิ่ ขน้ึ กว่าเดมิ และทาใหเ้ กดิ ความ สวยงามทางภาษาและ มคี วามไพเราะดา้ นความหมายดว้ ย ตัวอย่าง Conjunction ได้แก่ but, and, or, nor, because, Only, yet, till, until till, until, still, though, through, if, so, too, after, since, for, before, when, while, than, however, nevertheless, both...and, not only...but also, either...or, neither...nor, also either or, neither...nor, as well as, as well as, as....as, so....as, so......that, lest, unless, no less than, although, etc. คาสนั ธาน ในภาษาองั กฤษสามารถจาแนกเป็นประเภทได้ ดงั น้ี 2.7.1 Coordinating Conjunctions (คาสนั ธานทเ่ี ช่อื มขอ้ ความทเ่ี ท่าเทยี มกนั ) and but or yet for nor so ดงั นนั้ และ แต่ หรอื แมก้ ระนนั้ เพราะว่า และ...ไม่ and = ใชเ้ ช่อื มขอ้ ความทค่ี ลอ้ ยตามกนั เชอ่ื มคาประเภทเดยี วกนั เชน่ กรยิ ากบั กรยิ า คานามกบั คานาม but = แต่ ใชเ้ ช่อื มขอ้ ความทข่ี ดั แยง้ กนั or= หรอื มฉิ ะนนั้ ใชเ้ ชอ่ื มขอ้ ความทใ่ี หเ้ ลอื กเอาอยา่ งใดอย่างหน่งึ yet= แมก้ ระนนั้ ใชเ้ ชอ่ื มขอ้ ความทข่ี ดั แยง้ กนั so = ดงั นนั้ ใชเ้ ชอ่ื มขอ้ ความทแ่ี สดงความเป็นเหตุเป็นผลกนั for = เพราะว่าใชเ้ ชอ่ื มขอ้ ความทแ่ี สดงความเป็นเหตุเป็นผลกนั nor = และ...ไม่ ใชเ้ ชอ่ื มขอ้ ความทค่ี ลอ้ ยตามกนั
๓๔ I love Pranee and Pongsee. - ฉนั รกั ปราณีและผอ่ งศรี This car is nice, but it is too expensive. - รถคนั น้สี วย แตแ่ พงไปหน่อย He seems happy with his work, yet he never smiles. - ดเู หมอื นว่าเขามคี วามสุขกบั งานแตก่ ไ็ มเ่ คยยม้ิ You can have a sandwich or fried rice for lunch. - คุณเลอื กเอาวา่ จะรบั ประทานแซนวสิ หรอื ขา้ วผดั สาหรบั อาหารกลางวนั I was not allowed to eat in the restaurant, for I was not wearing a jacket. - ฉนั ไมไ่ ดร้ บั อนุญาตใหเ้ ขา้ ไปรบั ประทานอาหารในรา้ นน้เี พราะฉนั ไม่ไดส้ วมเสอ้ื แจ๊คเกต - Somkiet is neither rich nor handsome. - สมเกยี รตไิ ม่รวยและไมห่ ลอ่ Direk hates traffic jams, so he decided not to study in Bangkok. - ดเิ รกเกลยี ดรถตดิ ดงั นนั้ เขาจงึ ตดั สนิ ใจไมเ่ รยี นทก่ี รุงเทพฯ 2.7.2 subordinating Conjunctions (คาสนั ธานทเ่ี ชอ่ื มอนุประโยคเขา้ ดว้ ยกนั ) after หลงั จาก if ถา้ until จนกระทงั่ although แมว้ ่า ถงึ แมว้ า่ in order that เพอ่ื วา่ when เมอ่ื as เน่อื งจาก once เม่อื ครงั้ ในอดตี whenever เม่อื ไหร่กต็ าม as if ราวกบั วา่ since เน่อื งจาก ตงั้ แต่ where ทซ่ี ง่ึ as long as ตราบเท่าท่ี so that เพอ่ื ทจ่ี ะ whereas ในขณะท่ี because เพราะวา่ than กว่า wherever ทไ่ี หนกต็ าม before กอ่ น though แมว้ า่ ถงึ แมว้ ่า while ทงั้ ๆ ท่ี even if แมว้ ่า till จนกระทงั่ even though ถงึ แมว้ ่า unless ถา้ 2.7.3 Correlative Conjunctions (คาสนั ธานควบ) เป็นคาสนั ธานทใ่ี ชค้ วบคกู่ นั both ... and ทงั้ ...และ not only ... but also ไม่เพยี งแต่...ยงั อกี ดว้ ย not ... but ไม.่ ..แต่, ไม่...ก็ either ... or neither ... nor ไมท่ งั้ ....และ whether ... or หรอื ไม่ as ... as เทา่ กบั
๓๕ She led the team not only in statistics but also by virtue of her enthusiasm. Polonius said, \"Neither a borrower nor a lender be.\" Whether you win this race or lose it doesn't matter as long as you do your best. 2.8 คาอทุ าน (Interjection) คาอุทาน คอื คาท่เี ปล่งออกมาลอย ๆ เพ่อื แสดงความรู้สกึ ของอารมณ์ของผูพ้ ูดอาจพล ไม่ได้ ตงั้ ใจหรอื ตงั้ ใจ เช่น Alas, Hurah, Ah, Oh ดงั นนั้ คาอุทานจงึ เป็นคาทแ่ี สดงความรสู้ ึก อารมณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในทนั ทที นั ใด หรอื อารมณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ อย่างฉบั พลนั ไม่มคี วามสมั พนั ธก์ บั คาอ่นื ๆ ในประโยค คาอทุ านมลี กั ษณะดงั น้ี 1. คาอุทานทแ่ี สดงถงึ ความดใี จ เชน่ Bravo!, Hurah! 2. คาอทุ านทแ่ี สดงถงึ ความเศรา้ ใจ เช่น So sad!, Alas! 3. คาอุทานทแ่ี สดงถงึ ความประหลาดใจหรอื แปลกใจ เช่น What!, Ha ! Oh!”6 ตวั อย่างการใชค้ าอทุ าน ( Interjection ) Alas! He is dead. - อนิจจา... เขาตายเสยี แลว้ Hurrah! We have won the game. - ไชโย... เราชนะแลว้ Ah! Have they gone? - ฮา... พวกเขาไปแลว้ หรอื ? Oh! I got such a fright. - โอ... ผมกลวั เหลอื เกนิ Hush! Don't make a noise. - เฮย้ ... อย่าสง่ เสยี งดงั สรปุ ท้ายบท ส่วนของคาพูด (Parts of Speech) หมายถงึ ชนิดของคา 8 ชนิด ประกอบดว้ ย คานาม (Noun) คาสรรพนาม (Pronoun) คาคณุ ศพั ท์ (Adjective) คากรยิ า (Verb) คากรยิ าวเิ ศษณ์ (Adverb) คาบรุ พบท (Preposition) คาสนั ธาน (Conjunction) และคาอุทาน (Interjection) ทาหน้าท่ี แตกต่างกนั ตามชนิดของ คานนั้ ๆ ซง่ึ ส่วนของคาพูดดงั กล่าวถอื ว่าเป็นส่วนทส่ี าคญั ตอ่ ผเู้ รยี นในการ พฒั นาทกั ษะการฟัง การพดู การอา่ น และการเขยี น 6 เอ้อื น เล่งเจรญิ , หลกั การแต่งภาษาองั กฤษ, พมิ พค์ รงั้ ท่ี 1, (กรุงเทพฯ: อกั ษรพทิ ยา, 2542), หน้า 52 – 53.
๓๖ กิจกรรมท้ายบท 1. Give the types and meanings of nouns of words below Words Types of Noun Meanings Brother Neighbor Village Family Sparrow Goodness fleet Bangkok Anger River 2. Fill in the blank with the correct verb 1. The teacher…....... the pupil. 2. The animals............. in the Zoo. 3. The member............ a fair game. 4. Nutda............. for the bag. 3. Point out the Prepositions and their objects in these sentences. 1. She was pleased with me. ………………………………………………………………………………………………………………… 2. They went to the cinema ………………………………………………………………………………………………………………… 3. Look at that tree ………………………………………………………………………………………………………………… 4. They walked across the street ………………………………………………………………………………………………………………… 5. She went to the town with me ………………………………………………………………………………………………………………… 4. Fill in the blanks with Prepositions 1. Walk .....the town 2. Come .......5 o'clock. 3. We ran .... ... the thief.
๓๗ 4. Babies live.... milk. 5. I have done this……...you. 6. She went .......me ........the shop 7. The legs... the cat are weak. 8. Is she fond…….fruit? 5. Fill in the blanks with suitable Adjectives Example: She is a............ girl. She is a good girl. 1. Be a…….Boy. 2. We need plenty of ........ .... air. do 3. She is a ................. girl. 4. The room is.... 5. The tiger is a ……..Animal. 6. I gave him a....... bicycle. 7. He ate a....... ....... mango 8. The........... leaves of the tree are ... 9. The ...........dog is ...... 10. An....woman is........ 6. Underline the correct pronoun in brackets 1. Let you and (I, me) be friends. 2. My friend told (I, me) that (he, him) would come but (he, him) did not. 3. What is the name of (he, him)? 4. (We, Us) decided to invite (they, them) to the party. 5. Go and see (he, him) and his friend. 6. Everybody went to the party except (she, her). 7. Help (1, me) carry (she, her), (she, him) has fainted. 7. Choose the correct answer. 1. He speaks..... good English that it is a pleasure to talk with. a. so b. such c. such as d. very 2. He is .... a good boy that everyone likes him. a. too b. so c. such d. very 3. ....that reason, I do not agree with you. a. because b. due to
๓๘ c. as d. for 4. He is tired .... hungry. a. so b. and c. but d. until 5. He is not only tired ....... also hungry. a. so b. and c. but d. until 8. Write given adverbs in comparative and superlative forms Positive Comparative Superlative Good, well Bad, badly Much, many Little, few far 9. Give interjection signifying the words/phrases/sentence below. Words Interjections Good, well Bad, badly She is a beauty girl. He is a tall man. Fat, Tiger
๓๙ เอกสารอ้างอิงประจาบท กมล ชทู รพั ย,์ Progressive English Grammar. กรงุ เทพฯ : สมเจตน์การพมิ พ,์ 2533. จรรยา อนิ อ๋อง, Modern English Grammar Part II. กรุงเทพฯ : ศูนยภ์ าษา I.O.U.d กรุงเทพฯ, 2544. เชาวน์ เชวงเดช. opinion Basic English Grammar. กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พ์ สยามสปอรต์ ซนิ ดเิ คท จากดั , 2537. มงคล กุลประเสรฐิ . An Applied English Grammar, กรุงเทพฯ: สานักพมิ พไ์ ทยวฒั นาพานิช จากดั , มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช สาขาวชิ าศลิ ปะศาสตร,์ 2535. วทิ ยา ศรเี ครอื วลั ย์, The Standard English Grammar. พมิ พ์ครงั้ ท่ี 16. กรุงเทพฯ : สานักพมิ พ์แพร่ วทิ ยา, 2532. สมุ ติ รา องั วฒั นกลุ . วิธีสอนภาษาองั กฤษ, พมิ พค์ รงั้ ท่ี 4. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2540. สาราญ คายงิ่ , Standard English Grammar. กรงุ เทพฯ : หา้ งหนุ้ สว่ นจากดั วเี จ พรน้ิ ตง้ิ , ม.ป.ป. __________, Advanced English Grammar for High Learner. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจากดั วเี จ พรน้ิ ตง้ิ , ม.ป.ป. อุดม วโรตมสิกขดิตถ์, และคณะ, Fundamental English ll, พิมพ์ครงั้ ท่ี 11. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง, 2533. Betty Schramfer Azar. Understanding and Using English Grammar. Prentice Hall Regents Englewood liffs, New Jersey, America 07632 Second Edition. Preechar Svivalai, English Essentials. กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พโ์ อเดยี นสโตร,์ 2537.
๔๐ บทที่ 3 คานาหน้านาม (Article) พระวชริ วชิ ญ์ ปญฺญาวชโิ ร ผศ.(พเิ ศษ) เยอ้ื ง ปัน้ เหน่งเพชร วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนประจาบท เมอ่ื ไดศ้ กึ ษาเน้อื หาในบทน้ีแลว้ นสิ ติ สามารถ 1. บอกความหมายของคานาหน้านามไดถ้ กู ตอ้ ง 2. จาแนกประเภทของคานาหน้านามไดถ้ กู ตอ้ ง 3. ใชค้ านาหน้านามไดถ้ ูกตอ้ งตามประเภทของนามและบรบิ ทของประโยคทใ่ี หม้ า ขอบข่ายเนื้อหา • ความหมายของคานาหน้านาม • ประเภทของคานาหน้านาม • การใชค้ านาหน้านาม A, An • การใชค้ านาหน้านาม The
๔๑ 3.1 ความหมายของคานาหน้านาม คานาหน้านาม หมายถงึ คาทใ่ี ชน้ าหน้าคานามในภาษาองั กฤษเวลาพูดหรอื เรยี ก ความชเ้ี ฉพาะ หรอื ใหม้ คี วามหมายทวั่ ๆ ไป 3.2 ชนิดของคานาหน้านาม คานาหน้านาม แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ไดแ้ ก่ 1) Indefinite Article เป็นคานาหน้าคานามท่ไี ม่เฉพาะเจาะจง ได้แก่ a, an ใช้นาหน้า นับได้ เอกพจน์เท่านนั้ ตวั อย่างคา a book, a chair, a boy, an ant, an egg, an apple etc. 2) Definite Article เป็นคานาหน้านามท่ีต้องการระบุแน่นอน ได้แก่ the ใช้นหน้า คานาม เอกพจน์และพหพู จน์ ตวั อย่างคา the cat, the table, the country etc. 3.3 หลกั การใช้คานาหน้านาม A, An 1) ใหใ้ ช้ aนาหน้านามทเ่ี ป็นเอกพจน์ นบั ได้ ขน้ึ ตน้ ดว้ ยพยญั ชนะ และนามนนั้ ตอ้ งมคี วามหมาย ทวั่ ๆ ไปดว้ ย ตวั อย่างคา a table, a week, a boy, a country, a pen, a dog, a key, a teacher, a student a rat etc. ตวั อยา่ งประโยค I bought a pen yesterday. เม่อื วานน้ีฉนั ซอ้ื ปากกาหน่งึ ดา้ ม There is a ring in her bag. มแี หวนวงหน่งึ อย่ใู นกระเป๋ าของเธอ 2) ใหใ้ ช้ นาหน้านามทข่ี น้ึ ตน้ ดว้ ยสระ แต่อ่านออกเสยี งเป็นพยญั ชนะ หรอื นามทข่ี น้ึ ตน้ ดว้ ย สระ แต่มี Adjective ขน้ึ ตน้ ดว้ ยพยญั ชนะมาประกอบอย่ขู า้ งหน้า ตวั อย่างคา a university, a blue eye, a European, a big umbrella, a uniform etc. ตวั ประโยค Susan has a big umbrella in her hand. ซซู านมรี ม่ คนั ใหญ่อย่ใู นมอื ของเธอ David is a European living in Thailand. เดวดิ เป็นชาวยุโรปทม่ี าอาศยั อย่ใู นประเทศไทย
๔๒ 3) ให้ใช้ an นาหน้านามทข่ี ้นึ ต้นดว้ ยสระหรอื คานามท่ขี ้นึ ต้นด้วยพยญั ชนะ แต่อ่านออกเสยี ง เป็นสระ และนามดงั กล่าวน้ตี อ้ งเป็นเอกพจน์ นบั ได้ มคี วามหมายทวั่ ๆ ไปดว้ ย7 ตวั อยา่ งคา an apple, an orange, an elephant, an umbrella, an hour, an ear, an egg etc. ตวั อยา่ งประโยค She ate an orange after her lunch. หลอ่ นทานสม้ หน่งึ ผลหลงั จากทานอาหารกลางวนั Pramote is an honourable guest in the party. ปราโมทยเ์ ป็นแขกผมู้ เี กยี รตใิ นงานเลย้ี ง 4) ใช้ a และ an นาหน้านามทก่ี ลา่ วถงึ เป็นครงั้ แรก และไมม่ คี วามหมายพเิ ศษหรอื เจาะจง Once upon a time, there was a king who had three princesses. กาลครงั้ หน่งึ มพี ระราชาพระองคห์ น่งึ ซง่ึ มพี ระธดิ า 3 พระองค์ She needs a pen. เธอตอ้ งการปากกา 1 ดา้ ม This is an interesting book. น่เี ป็นหนงั สอื ทน่ี ่าสนใจเลม่ หน่งึ 5) ใช้ a และ an เมอ่ื ใชค้ านามเอกพจน์นบั ได้ เป็นตวั แทนของกลมุ่ คน หรอื สงิ่ ของประเภทนนั้ ๆ A baby needs love and care. เดก็ ๆ ตอ้ งการความรกั ความเอาใจใส่ = Any baby needs love and care. = All babies need love and care. 6) ใหใ้ ช้ an นาหน้านามเอกพจน์ นบั ได้ มคี วามหมายทวั่ ไป และขน้ึ ตน้ ดว้ ยพยญั ชนะ แตม่ ี Adjective ท่ี ขน้ึ ตน้ ดว้ ยสระมาประกอบอยขู่ า้ งหน้า เช่น an important man an able man an interesting story an impolite dress เช่น He is an important man to visit me. เขาเป็นคนทส่ี าคญั ทไ่ี ดม้ าเยย่ี มผม An interesting story was told by my friend. เร่อื งทน่ี ่าสนใจเพอ่ื นฉนั เป็นคนเลา่ ใหฟ้ ัง 7 เชาวน์ เชวงเดช, ไวยากรณ์ภาษาองั กฤษพื้นฐาน (Basic English Grammar), (กรุงเทพ ฯ: บรษิ ัท เอดสิ นั เพรส โพรดกั ส์ จากดั , 2538), หน้า 234 - 235.
๔๓ 7) ใช้ a, an นาหน้านามทเ่ี ป็นตวั แทนของพวกหรอื ชนิดเดยี วกนั ได้ เชน่ A dog is a faithful animal. สนุ ขั เป็นสตั วท์ ก่ี ตญั ญรู คู้ ณุ A cow has four legs. ววั มี 4 ขา A country needs leaders. ประเทศตอ้ งการผนู้ า An old man always walks slowly. คนชรามกั เดนิ ชา้ 8) ใหใ้ ช้ a, an นาหน้านามทก่ี ลา่ วถงึ อาชพี หรอื สญั ชาติ เช่น My father works in a hospital. He is a doctor. คุณพอ่ ของฉนั ทางานทโ่ี รงพยาบาล. เขาเป็นหมอ. Somsri is an actress. You are a teacher. สมศรเี ป็นนกั แสดง. คณุ เป็นคร.ู I am a Thai. ฉนั เป็นคนไทย John is an American จอหน์ เป็นคนอเมรกิ นั 9) ใหใ้ ช้ a, an นาหน้านามทเ่ี ป็นสานวนเกย่ี วกบั ปรมิ าณ แปลวา่ หน่งึ หรอื จานวนมาก เช่น a couple of คหู่ น่งึ ของ alone dozen of โหลหน่งึ ของ a hundred of หน่งึ รอ้ ยของ a thousand of หน่งึ พนั ของ a lot of จานวนมากของ a great deal of จานวนมากของ a great number of จานวนมากของ a large number of จานวนมากของ a large amount of จานวนมากของ 10) ใชน้ าหน้า half เม่อื half นนั้ ตามหลงั เลขจานวนเตม็ 2 ½ miles = two and a half miles, or two miles and a half. แต่ ½ mile = half a mile นอกจากน้ยี งั ใชส้ านวน a half-noun เชน่ a half-share จ่ายเท่าๆ กนั 11) ในสานวนเกย่ี วกบั อตั รา a, an = per (ตอ่ หน่ึงหน่วย) 5 pounds a kilogram 5 ปอนดต์ ่อกโิ ลกรมั $ 1 a meter 1 ดอลลาร์ ตอ่ 1 เมตร 10 baht a dozen 10 บาทต่อ 1 โหล Fifty miles an hour 50 ไมลต์ อ่ 1 ชวั่ โมง twice a day 2 ครงั้ ต่อวนั
๔๔ 12) ใช้ a, an นาหน้านามทม่ี าเรยี งตามหลงั quite, hardly, scarcely, rather, เชน่ Montree is quite a fool. มนตรเี ป็นคนโงเ่ สยี จรงิ ๆ There is hardly a second to lose. อยา่ ใหพ้ ลาดทเ่ี ดยี วนะ There is scarcely a pinch left. แทบจะไม่มเี วลาเหลอื เลย He is rather a lazy man. เขาเป็นคนขเ้ี กยี จเอาแท้ ๆ 13) ใช้ a, an นาหน้านามทเ่ี ป็นสานวนในประโยคอทุ าน เชน่ What a pretty girl she is! หล่อนช่างสวยจรงิ ๆ What an opportunity he missed! เขาพลาดโอกาสอย่างน่าเสยี ดาย What a hot day it is! มนั เป็นวนั ทร่ี อ้ นเสยี จรงิ ๆ Such a long queue! ช่างเป็นแถวทย่ี าวอะไรอยา่ งน้ี8 14) ใช้ a, an ในสานวนต่อไปน้ี have a good time มคี วามสุข have a bad/busy/hard time มคี วามลาบาก have a hair cut ตดั ผม after a fashion (ทา) อยา่ งขอไปท่ี all of a sudden ทนั ทที นั ใด as a matter of fact that จากความจรงิ ทว่ี ่า be a pity น่าสงสาร be a question of ขอ้ สงสยั เกย่ี วกบั be a shame น่าละอาย have/take a bath อาบน้า take a trip เดนิ ทาง go for a walk/ride/drive ออกไปเดนิ /นงั่ รถขบั รถ เล่น make a mistake ทาผดิ 8 ศริ ลิ กั ษณ์ ล้มิ ภกั ดี, Handbook of English Grammar Usage, (ค่มู ือการใช้ไวยากรณ์องั กฤษ), พมิ พ์ ครงั้ ท่ี 2, (กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั สานกั พมิ พห์ น้าต่างสโู่ ลกกวา้ ง จากดั , 2542). หน้า 6.
๔๕ make a speech กลา่ วสุนทรพจน์ make a request ขอรอ้ ง. take a seat นงั ่ make a decision on ตดั สนิ ใจ make a fuss about โวยวายเร่อื ง make a wish อธษิ ฐาน be in a hurry/rush รบี เร่ง be in a good/bad mood อารมณ์ด/ี เสยี on an average โดยเฉลย่ี have an opportunity มโี อกาส with an eye to เพอ่ื ด,ู เพอ่ื ทศั นาจร 15) ใช้ a, an นาหน้านามทเ่ี ป็นสานวนเกย่ี วกบั ความไม่สบายเจบ็ ไข้ เช่น have a headache ปวดศรี ษะ have a pain ไดร้ บั ความเจบ็ ปวด have a cough มอี าการไอ have a cold เป็นหวดั have a toothache ปวดฟัน have an earache ปวดหู ยกเวน้ โรคบางชนดิ เช่น have rheumatism เป็นโรคปวดขอ้ have influenza เป็นไขห้ วดั 16) ใช้ a, an ในสานวนตอ่ ไปน้ี It's a shame น่าขายหน้า it's a pity that น่าเสยี ดาย น่าสงสาร in a hurry อยา่ งรบี รอ้ น all of a sudden ทนั ใดนนั้ in a position to อยใู่ นฐานะทจ่ี ะ take an interest in สนใจ keep a secret เกบ็ ไวเ้ ป็นความลบั take a picture ถา่ ยรูป take a trip เดนิ ทาง make a living หาเลย้ี งชพี make a mistake ทาผดิ take a look at มอง
๔๖ 3.4 หลกั การใช้คานาหน้านาม The The เป็น article ทม่ี ลี กั ษณะพเิ ศษคอื ถา้ ใชน้ าหน้านามใด จะทาใหน้ ามนนั้ มคี วามหมายเจาะจง ทนั ที การใช้ the มลี กั ษณะดงั น้ี9 1) ใหใ้ ช้ the นาหน้านามทม่ี บี ุรพบทวลี (Prepositional Phrase) มาขยายอย่ขู า้ งหลงั เช่น The man in this car is the Prime Minister. ผชู้ ายทอ่ี ย่ใู นรถยนตค์ นั น้เี ป็นนายกรฐั มนตรี ใช้ the นาหน้า man ได้เพราะมีบุรพบทวลีคือ in this car มาขยายอยู่ข้างหลงั เป็นการช้ีเฉพาะให้ เหน็ ชดั ลงไปว่า คนทเ่ี ป็นนายกรฐั มนตรนี นั้ ไมใ่ ช่ใครทไ่ี หน แตเ่ ป็นคนทอ่ี ยใู่ นรถคนั น้เี อง 2) ใหใ้ ช้ the นาหน้านามทม่ี อี นุประโยค (Subordinate Clause) มาขยายอย่ขู า้ งหลงั เช่น The pen which I bought for you is red. ปากกาทผ่ี มไดซ้ อ้ื ใหค้ ณุ เป็นปากกาสแี ดง ใช้ the นาหน้า pen ไดเ้ พราะมี which I bought for you ซง่ึ เป็นอนุประโยคมาขยายอย่หู ลงั The man whom you spoke to is my friend. ผชู้ ายทค่ี ุณพดู ถงึ นนั้ คอื เพอ่ื นของผม ใช้ the นาหน้า man ไดเ้ พราะมี whom you spoke to ซง่ึ เป็นอนุประโยคมาขยายอย่หู ลงั 3) คาคุณศพั ท์ขนั้ สูงสุด (superlative degree) เม่อื เวลานาไปใชป้ ระกอบหรอื ขยายนาม ต้องใช้ the นาหน้า เชน่ Surasak is the best boxer in Thailand. สรุ ศกั ดเิ ์ป็นนกั ชกทด่ี ที ส่ี ุดในประเทศไทย She is the most beautiful girl in the world. หล่อนเป็นผหู้ ญงิ ทส่ี วยทส่ี ดุ ในโลก 4) เลขนับจานวนทห่ี รอื ลาดบั ท่ี (ordinal number) เม่อื เวลานาไปใชป้ ระกอบนามหรอื ขยายนาม ต้องใช้ the นาหน้า เชน่ The first student is the head of the class. นกั ศกึ ษาคนทห่ี น่ึงเป็นหวั หน้าหอ้ งเรยี น Tom is the third son of his family. ทอมเป็นลูกชายคนท่ี 3 ของครอบครวั 5) คุณศพั ท์ (Adjective) ท่นี ามาใช้อย่างนาม ต้องใช้ the นาหน้าตลอดไป และให้ถอื ว่าเป็นพหูพจน์ ตลอดไปดว้ ย ดงั นนั้ กรยิ าจงึ ตอ้ งใชร้ ปู พหพู จน์ตาม เช่น The brave are to be admired. คนกลา้ หาญทงั้ หลายจะตอ้ งไดร้ บั การยกย่องสรรเสรญิ The rich are not always happy. 9 เชาวน์ เชวงเดช, ไวยากรณ์ภาษาองั กฤษพ้ืนฐาน (Basic English Grammar), หน้า 233.
๔๗ พวกคนร่ารวยทงั้ หลายไมไ่ ดม้ คี วามสุขเสมอไป The poor live in slums. คนจนอาศยั อย่ใู นสลมั 6) สานวนการเปรยี บเทยี บคุณศพั ท์ขนั้ กว่า (Comparative degree) ของการกระทา 2 อยา่ ง ทเ่ี ท่าเทยี ม กัน ต้องใช้ the นาหน้าคุณศัพท์ขนั้ กว่านัน้ ทุกครงั้ ไป และคุณศพั ท์ท่ีว่าน้ีต้องวางไว้ ต้นของแต่ละ ประโยคอกี ดว้ ย เช่น The hotter it is the better I like it. ยง่ิ รอ้ นผมยงิ่ ชอบ The more he learns, the more he knows. ยง่ิ เรยี นกย็ ง่ิ รู้ The farther she went, the lonelier she felt. เธอยง่ิ ไปไกลเท่าไร กย็ งิ่ รสู้ กึ วา้ เหวข่ น้ึ เท่านนั้ 7) คานามทเ่ี ป็นสานวนบอกขนั้ ตอนตอ้ งใช้ the นาหน้าตลอดไป เช่น The beginning เบอ้ื งตน้ ตอนตน้ The middle ทา่ มกลาง, ตอนกลาง The end ตอนจบ The beginning of English learning is to know how เบอ้ื งตน้ ของการเรยี นภาษาองั กฤษกค็ อื การรจู้ กั วธิ เี ขยี นตวั 8) คานามทเ่ี ป็นสานวนบอกลาดบั เวลาตอ่ เน่อื ง ตอ้ งใช้ the นาหน้าตลอดไป เชน่ The past อดตี The present ปัจจุบนั The future อนาคต The past is not important, but for the present I love indeed. อดตี นนั้ ไมส่ าคญั แต่ปัจจุบนั ฉนั รกั คณุ 9) คานามทเ่ี ป็นสานวนแบง่ ภาคเวลาของวนั ตอ้ งใช้ the นาหน้าตลอดไป เชน่ in the morning ในเวลาเชา้ in the afternoon ในเวลาบา่ ย in the evening ในเวลาเยน็ 10) ช่ือฤดูถ้านามาใช้ในความหมายท่ีเป็ น “ช่วงระยะเวลาในฤดูนั้น ๆ” ซ่ึง ในรูป “วลีบุรพบท” (Prepositional Phrase) ตอ้ งใช้ the นาหน้าตลอด เช่น in the winter ในฤดหู นาว in the autumn ในฤดใู บไมร้ ว่ ง in the summer ในฤดรู อ้ น in the spring ในฤดใู บไมผ้ ลิ
๔๘ I don't like to go to Chiang Mai in the winter. ฉนั ไม่ชอบไปเทย่ี วเชยี งใหม่ในฤดหู นาว 11) นามท่ีเป็นช่ือของการส่ือสารมวลชน (Mass media) และสถาบัน ซ่ึงชุมชนใช้ร่วมกัน ต้อง the นาหน้า เชน่ The radio วทิ ยุ The telephone โทรศพั ท์ The wireless เคร่อื งรบั สญั ญาณไรส้ าย The post-office ทท่ี าการไปรษณีย์ We heard this news on the radio. เราไดร้ บั ทราบขา่ วน้ีจากวทิ ยุ He is on the telephone when you come in. เขากาลงั โทรศพั ทอ์ ย่พู อดเี ม่อื คุณเขา้ มา Our school is not far from the post-office. โรงเรยี นของเราอยไู่ มไ่ กลจากทท่ี าการไปรษณีย์ 12) นามทเ่ี ป็นชอ่ื สว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายและของเคร่อื งแตง่ ตวั ตอ้ งใช้ the นาหน้า เชน่ The toes หวั แม่เทา้ The shoulders ไหล่ The head ศรี ษะ The neck คอ The arm แขน The cheek คาง The collar คอเสอ้ื I patted him on the shoulder. ฉนั ลบู ไหล่ของเขา She seized the child by the collar. เธอควา้ ทค่ี อเสอ้ื ของเดก็ 13) ใชน้ าหน้าวตั ถทุ ม่ี เี พยี งหน่งึ เดยี ว หรอื ถอื วา่ เป็นพเิ ศษ เชน่ The sun ดวงอาทติ ย์ The earth โลก The sky ทอ้ งฟ้า The stars กลุ่มดาว The universe จกั รวาล The equator เสน้ ศูนยส์ ตู ร The weather สภาพดนิ ฟ้า
๔๙ The North Pole ขวั้ โลกเหนือ The Year 1940 ปี ค.ศ. 1940 14) ใช้ the นาหน้านามท่เี ป็นช่อื ทิศ ในกรณีท่นี ามาใช้ หมายถงึ ภาค (Geographical Area) หรอื ส่วน ของประเทศ เช่น ภาคเหนอื ภาคใต้ ภาคตะวนั ออก ภาคตะวนั ตก ไมเ้ รยี ว ตวั ใหญ่ตลอดไปอกี ดว้ ย เชน่ the North ภาคเหนอื the East ภาคตะวนั ออก the South ภาคใต้ the West ภาคตะวนั ตก The North is colder than the South. ภาคเหนือหนาวกว่าภาคใต้ 15) ใช้ the นาหน้านามในการเลา่ เร่อื ง เมอ่ื กล่าวถงึ นามตวั นนั้ อกี เป็นครงั้ ท่ี 2 หรอื คนท่ี 2 ขน้ึ ไป เช่น She owns a dog and a cat in the house. The dog is white, and the cat is black. หล่อนมสี นุ ขั และแมวอย่ใู นบา้ น สนุ ขั สขี าว สว่ นแมวสดี า 16) ใช้ the นาหน้านามทเ่ี ป็นช่อื ของแม่น้า หมู่เกาะ คลอง คาบสมุทร มหาสมุทร ทะเล อ่าว ช่องแคบ กลมุ่ ทะเลสาบ ทะเลทราย เทอื กเขา ขวั้ โลก เสน้ ศูนยส์ ตู ร อุโมงค์ เชน่ The Chao Praya River แมน่ ้าเจา้ พระยา The Thames แม่น้าเทมส์ The Philippines หมเู่ กาะฟิลปิ ปินส์ The East Indies หม่เู กาะอนิ เดยี ตะวนั ออก The Suez Canal คลองสเุ อซ The Panama Canal คลองปานามา The Indo-China Peninsula คาบสมุทรอนิ โดจนี The Pacific Ocean มหาสมทุ รแปซฟิ ิก The Indian Ocean มหาสมุทรอนิ เดยี The Red sea ทะเลแดง The British Strait ช่องแคบองั กฤษ The Sahara Desert ทะเลทรายซาฮาร่า The Cape of Good Hope แหลมกู๊ดโฮฟ The Alps ภเู ขาแอลป์ ส์ The North Pole ขวั้ โลกเหนอื The South Pole ขวั้ โลกใต้ The Equator เสน้ ศูนยส์ ตู ร The Holland Tunnel อโุ มงคฮ์ อลแลนด์ 17) ใช้ the นาหน้าช่อื สถาบนั มหาวทิ ยาลยั โรงเรยี น พพิ ธิ ภณั ฑ์ หอ้ งสมดุ สโมสร เชน่
๕๐ The University of Virginia มหาวทิ ยาลยั เวอรจ์ เิ นียร์ The College of Holy Names วทิ ยาลยั ฮอลเิ นมส์ The National Museum พพิ ธิ ภณั ฑส์ ถานแห่งชาติ The Central Library หอ้ งสมดุ กลาง The British Museum พพิ ธิ ภณั ฑส์ ถานแห่งชาตอิ งั กฤษ The English Club สโมสรองั กฤษ The Temple of the Emerald Buddha วดั พระแกว้ 18) ใช้ the นาหน้าชอ่ื ตกึ อาคาร สถานท่ี สะพาน The Empire State Building ตกึ เอมไพรส์ เตต The White House ทาเนียบขาว The Washington Monument อนุสาวรยี ว์ อชงิ ตนั The Grand Palace พระบรมมหาราชวงั The Pinklao Bridge สะพานสมเดจ็ พระป่ินเกลา้ The Krungthon Bridge สะพานกรงุ ธนบุรี 19) ใช้ the นาหน้าชอ่ื รา้ นคา้ รา้ นอาหาร โรงแรม โรงหนงั ธนาคาร บรษิ ทั The J.C. Penny Company บรษิ ทั เจ ซี เพนน้ี The Bombay Restaurant ภตั ตาคารบอมเบย์ The Sheraton Hotel โรงแรมเชอราตนั The National Theater โรงภาพยนตรแ์ ห่งชาติ 20) ใช้ the นาหน้าชอ่ื เรอื หนงั สอื สาคญั หนงั สอื พมิ พ์ The Queen Elizabeth เร่อื งควนี อลซิ าเบธ The Bible คมั ภรี ไ์ บเบลิ The Dictionary ดกิ ชนั นาร่ี The Thai Rath หนงั สอื พมิ พไ์ ทยรฐั The Bangkok Post หนงั สอื พมิ พบ์ างกอกโพสต์ The Times นติ ยสารไทม์ The Journal of the American Medical Association วารสารสมาคมการแพทยอ์ เมรกิ นั 21) ใช้ the นาหน้านามท่ีเป็นช่ือตาแหน่งอันสาคญั หรือตาแหน่งท่ีพูดออกไปแล้วทุกคนรู้จกั ดีว่า หมายถงึ ใคร คนไหน เช่น The Prime Minister นายกรฐั มนตรี The President ประธานาธบิ ดี The Manager ผจู้ ดั การ The Principal อาจารยใ์ หญ่ ขอ้ ยกเวน้ : ถา้ ช่อื ตาแหน่งนนั้ มชี ่อื เจา้ ของผดู้ ารงตาแหน่งมาเรยี งอยขู่ า้ งหลงั ไมต่ อ้ งใช้ the นาหน้า เช่น
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128