Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความแตกต่างระหว่างอะฮฺลิซซุนนะฮฺและชีอะห์ : มุมมองนักวิชาการซุนนีย์ และชีอะห์ในโลกปัจจุบัน

ความแตกต่างระหว่างอะฮฺลิซซุนนะฮฺและชีอะห์ : มุมมองนักวิชาการซุนนีย์ และชีอะห์ในโลกปัจจุบัน

Published by Ismail Rao, 2021-09-17 00:30:29

Description: ความสัมพันธ์และความแตกต่างระหว่างอะฮฺลิซซุนนะฮฺและชีอะห์ : ศึกษาประวัติศาสตร์และมุมมองนักวิชาการซุนนีย์ และชีอะห์ในโลกปัจจุบัน

Search

Read the Text Version

รายงานวิจยั ฉบับสมบูรณ์ ความสัมพันธแ์ ละความแตกตา่ งระหว่างอะฮลฺ ิซ-ซุนนะฮฺและ ชีอะห์ : ศึกษาประวตั ิศาสตร์และมุมมองนักวชิ าการซนุ นีย์ และชอี ะหใ์ นโลกปัจจุบนั Relationships and differences between Ahlis - Sunnah and Shiah : study the history and views of scholars, Sunni and Shia in the present world ชดุ โครงการวจิ ยั World Conflict โดย อบั ดลุ ลาตีฟ การี และคณะ คณะอสิ ลามศกึ ษาและนติ ิศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ฟาฏอนี มถิ ุนายน 2561

สญั ญาเลขท่ี RDG5910041 รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบูรณ์ โครงการ “ความสมั พันธแ์ ละความแตกตา่ งระหวา่ งอะฮฺลซิ -ซนุ นะฮฺและชีอะห์ : ศกึ ษาประวตั ิศาสตรแ์ ละมุมมองนกั วชิ าการ ซนุ นยี แ์ ละชอี ะห์ในโลกปัจจบุ ัน” คณะผวู้ ิจัย สังกดั 1. ผศ.อับดลุ ลาตีฟ การี คณะอสิ ลามศึกษาฯ มหาวิทยาลัยฟาฏอนี 2. ผศ.ดร.อับดลุ ฮาลมิ ไซซิง คณะอิสลามศึกษาฯ มหาวทิ ยาลัยฟาฏอนี 3. อาจารยอ์ ษั ฏางค์ ขาวจันทร์ มหาวิทยาลยั อัลมศุ ฏอฟาสาขาประเทศไทย ชดุ โครงการ World Conflict สนับสนนุ โดยสานักงานกองทนุ สนับสนนุ การวิจยั (สกว.) (ความเห็นในรายงานน้ีเป็นของผู้วจิ ยั สกว.ไม่จาเป็นต้องเห็นดว้ ยเสมอไป)

รหัสโครงการ : RDG5910041 ช่อื โครงการ : ความสัมพันธ์และความแตกต่างระหว่างอะฮฺลิซ-ซุนนะฮฺและชีอะห์: ศึกษา ช่ือนกั วจิ ัย : ประวตั ศิ าสตร์และมุมมองนกั วิชาการซนุ นยี แ์ ละชีอะห์ในโลกปจั จบุ นั E-mail Address : ระยะเวลาโครงการ : ผศ.อบั ดุลลาตฟี การี คณะอสิ ลามศึกษาฯ มหาวิทยลัยฟาฏอนี ผศ.ดร.อับดุลฮาลมิ ไซซิง คณะอิสลามศึกษาฯ มหาวิทยลยั ฟาฏอนี อาจารย์ อษั ฏางค์ ขาวจันทร์ มหาวทิ ยาลัยอลั มุศฏอฟาสาขาประเทศไทย [email protected] 1 เมษายน 2559 – 31 มนี าคม 2560 บทคดั ยอ่ การวิจัยนี้มวี ตั ถุประสงค์เพอื่ ศึกษาประวัติความเป็นมา ประเภท และหลักความเชื่อของกลุ่มอะฮฺ ลสิ ซุนนะฮแฺ ละชอี ะห์ที่โดดเดน่ ในโลกปัจจบุ ัน เปรยี บเทียบความเหมอื นและความต่างระหว่างซุนนะฮฺและ ชีอะห์ และศึกษาความคิดเห็นของนักวิชาการซุนนีย์และชีอะห์ในโลกปัจจุบันเก่ียวกับความต่างระหว่าง อะฮลฺ ซิ -ซุนนะฮฺและชีอะห์ การศกึ ษาคร้ังนเ้ี ปน็ การวิจยั เอกสารทางประวัติศาสตร์ ชั้นปฐมภูมิและทุติยภูมิ จากนัน้ เก็บขอ้ มูลภาคสนามด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึก การสนทนากลุ่ม และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม กลมุ่ ตวั อยา่ งในการสัมภาษณ์เป็นนักวิชาการซุนนีย์และชีอะห์ จาก 4 ประเทศ ประกอบด้วยไทย อินโดนิ เซีย คูเวต และ กาตาร์ รวมทั้งสิน 26 ท่าน จากนั้นนาข้อมูลมาทาการวิเคราะห์โดยการเปรียบเทียบ เหตกุ ารณแ์ ละตคี วามสร้างขอ้ สรุปแบบอปุ นยั ผลการวิจัย พบว่า อะฮฺลิซ-ซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ คือกลุ่มมุสลิมส่วนใหญ่ที่ยึดถือแนวทางของ ท่านนบี บรรดาศอหาบะฮฺ และตาบีอีน ซ่ึงเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในยุคสมัยราชวงศ์อุมาวียะฮฺและอับ บาซียะฮฺ กลมุ่ อะฮฺลิซ-ซนุ นะฮฺ แบง่ เปน็ 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ กลุ่มที่เน้นหลักการศรัทธา(อากีดะฮฺ) กลุ่มที่ เน้นหลักการปฏิบัติ(ฟิกฮฺ) และกลุ่มท่ีเน้นหลักการรายงานหะดีษ(รุว้าต) ส่วนชีอะห์ คือกลุ่มที่สนับสนุน และเชื่อว่าอะลี บนิ อะบี ฏอลิบ และลกู หลานของท่านมีสทิ ธใิ นการเป็นผนู้ าสงู สุดแก่มุสลิม ซึ่งความเชื่อนี้ มีมาตั้งแต่สมยั ของท่านนบี(ซ.) แต่ชีอะห์ท่ีเป็นรูปธรรมที่มีแนวคิดและแนวปฏิบัติเฉพาะเกิดขึ้นหลังจากหุ เซน บิน อะลี ถูกสังหาร ส่วนประเภทของชีอะห์มีมากถึง 73 กลุ่มย่อย จาก 5 กลุ่มใหญ่ คือ อัล-กัยซานี ยะฮ อัซ-ซยั ดยี ะฮ อลั -อมิ ามยี ะฮ อัล-ฆอลยี ะฮ และอลั -อสิ มาอีลยี ะฮ ส่วนความแตกต่างระหว่างอะฮฺลิซ-ซุนนะฮฺกับชีอะห์ พบว่า หลักการศรัทธาของอะฮฺลิซ-ซุนนะฮฺ เรียกว่า“รูก่นอีหม่าน” มี 6 ประการ ส่วนชีอะห์เรียกว่า “อุศูลุ้ดดีน” มี 5 ประการ หลักศรัทธาสาคัญที่ แตกต่างคือ เร่ือง “ผู้นาสูงสุด”(อัลอีมามะฮฺ) หลักศรัทธาอ่ืนๆแตกต่างที่ช่ือเรียกและประเด็นปลีกย่อย เก่ียวกับหลักปฏิบัติ อะฮฺลิซ-ซุนนะฮฺเรียกว่า“รูก่นอิสลาม”มี 5 ประการ ส่วนชีอะห์ เรียกว่า“ฟุรูอุ้ดดีน” มี 10 ประการ หลักปฏิบัติที่เหมือนกันคือ ละหมาด ซะกาต ฮัจญ ซ่ึง 3 ข้อน้ีแตกต่างกันเฉพาะ ขอ้ ปลีกย่อย สว่ นหลักปฏบิ ัตทิ ่ีแตกตา่ งกนั คอื การกล่าวปฏญิ าณตน(ชะฮาดะฮฺ)ไม่นับเป็นหลักปฏิบัติหรือ รูก่นอิสลามของชีอะห์แต่นับเป็น“ฏอรูรีย้าต”คือความจาเป็นที่รับรู้กัน แต่คาสรรเสริญต่อ อะลี บิน อะ ก

บีฏอลิบ ไม่ใช่คาปฏิญาณเป็นเพียงคาเพ่ิมที่ถูกอนุญาตเท่าน้ัน นอกจากน้ีหลักปฏิบัติของชีอะห์ได้กาหนด เพิ่ม อัลคุมส์(บริจาคทรัพย์แก่ผู้นาสูงสุด) อัลญิฮาด(ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ) อัลอัมรุบิลมะอฺรู้ฟ (ใช้ทา ความดี) อันนะฮยุอะนิลมุนกั้ร(ห้ามทาความชั่ว) อัตตะวัลลาอฺ(รักและเชื่อฟังผู้นา) และอัตตะบั้รรออฺ(ไม่ เชื่อฟังตอ่ ผ้ปู ฏิเสธอหิ มา่ ม) คาสาคญั ความแตกต่าง อะฮลฺ ซิ -ซุนนะฮฺ ชอี ะห์ ข

Project Code : RDG5910041 Research Title : Relationships and differences between Ahlis - Sunnah and Shiah : study the history and views of scholars, Sunni and Shia in the present world Researcher : Abdullatif Kari College of Islamic Studies and Law Fatoni University Abdulhalim Saising College of Islamic Studies and Law Fatoni University Asdang kowchan Al-mustorFa University ,Thailand E-mail Address : [email protected] Duration : 1 April 2016 – 31 March 2017 Abstract This research aims to study the history, genres and beliefs of the Sunnah and Shia groups in the word to day world today. This studies by compare the similarities and differences between Sunnah and Shia and studies also by the opinions of Sunni and Shiah scholars in the modern world on the difference between Ahlul-Sunnah and Shia. This study is a historical document. The primary and secondary data are then collected by field interviews. And non-participant observation .The sample was interviewed by Sunni and Shia scholars from 4 countries, including Thailand, Indonesia, Kuwait and Qatar, as well as 26 persons. The data were then analyzed by comparison of events and interpretations. The result of the study is that the al-Sunnah Wal-jamaah is the most Muslims take the path of the Prophet and The Sohabah (disciples) and The Tabein (followers) alike were divided into 3 major categories: 1) The group focus of Faith principle (al- Qaeda) 2) Groups focused on principles of Islamic low 3) And the group emphasized the principle of Hadith report. The Shiah are the supporters and believe that Ali bin Abi toleb and his descendants have the right to be Muslim leaders. This belief comes from the time of the Prophet (S), but the concrete of Shiah, with specific ideas and practices, came into being after Husin ban Ali was killed. There were 73 subgroups of the 5 major groups: 1) al-Gaisaniyah 2) al-syidiyah 3) al-imamiyah 4) al-qaliyah 5)al-ismailiyah . The difference between Ahlli-Sunnah and Shiah is that the principle of the faith of Ahlli-Sunnah called the \"Rukon eman\" has six parts. And the Shia called the “Usolludin” are 5 reasons for this. The main difference in faith is the \"highest leader\" (al-iMamah). Other faiths differ in their names and finer points. There are 5 aspects of Islamic-Sunnah that are called \" rokon islam - Islamic holes\". And the shiah called “furu ud din” There are 10 reasons to use. The same practice is : 1) the prayer 2) the Zakat 3) the Hajj, which is 3 different ค

only the minutiae. And The difference in practice is that the vow is not considered as the practice of Islam or rokun Islam, but the shiah think it is a \" Dharu riyat \" that is necessary to know each other. And the word of praise to Ali bin abi Tholeb is not a vow, it is just an added word that is allowed. In addition, the practice of Shiah has been defined. Al-Qums (donate to the supreme leader), Al-Jihad (fight in the way of Allah), Al- Amru bil ma’ruf (to do good deeds), al-nah yu aniImunkar (do not do evil),al-tawal la (Love and obedience to the leader.), al-tabarra’ (Do not obey the imam.) Keyword : The difference , Ahlis- Sunnah , Shiah ง

กติ ตกิ รรมประกาศ การวิจัยในครั้งนี้สาเร็จลุล่วงได้ด้วยความโปรดปรานจากพระองค์อัลลอฮฺผู้ทรงเมตตากรุณาย่ิง นอกจากนั้นคือความช่วยเหลือจากผู้ทรงคุณวิฒิหลายท่านและหลายหน่วยงาน ผู้วิจัยต้องขอขอบคุณ ศาสตราจารย์ ดร.อิศรา ศานติศาสน์ ผู้อานวยการฝ่ายนโยบายชาติและความสัมพันธ์ข้ามชาติ (ฝ่าย 1) สานักงานกองทุนสนับสนุนการวจิ ยั (สกว.) ทไี่ ดส้ นับสนุนงบประมาณการวิจยั ในคร้ังนี้ ขอขอบคณุ คณะที่ปรึกษาประจาโครงการ รองศาสตราจารย์ ดร.ซาการียา หะมะ ที่ได้ให้แนวคิด คาช้ีแนะ และแนะนาเทคนคิ วธิ ีการต่าง ๆ ท่ีเป็นประโยชน์ตลอดเวลาในทาวิจัย ตลอดจนการลงพื้นที่เก็บ ข้อมลู วจิ ยั ด้วยกันกบั ทมี วิจยั ในตา่ งประเทศ ทาใหว้ จิ ัยในครง้ั สามารถดาเนินการจนเสร็จสมบรู ณ์ ขอขอบคุณผู้ให้ข้อมูลทุกท่าน นักวิชาการในประเทศไทย อินโดนีเซีย คูเวต และกาตาร์ ที่ได้ กรุณาให้ความร่วมมือในการใหข้ ้อมูลท่ีเป็นประโยชน์และมีส่วนสาคัญอย่างย่ิงท่ีทาให้งานวิจัยครั้งน้ีสาเร็จ ลลุ ่วงไปด้วยดี ผ้วู จิ ยั ตอ้ งขอขอบคุณเปน็ อยา่ งสงู สุดทา้ ย ขอขอบคุณคณะผู้บริหารมหาวทิ ยาลยั ฟาฎอนี ผู้บรหิ ารคณะอิสลามศึกษาและนิติศาสตร์ และบุคลากรท่ีเกี่ยวข้องกับการดาเนินการวิจัยในคร้ังน้ีที่ได้อานวยความสะดวก ให้คาปรึกษาและ คาแนะนาทเ่ี ป็นประโยชน์ต่อการดาเนินการวิจยั ในครั้งน้ี จนทาให้การศึกษาวจิ ัยในครง้ั สามารถดาเนินการ จนเสร็จสมบรู ณ์ คณะผวู้ ิจยั มิถุนายน 2561 จ

สารบญั หน้า บทคดั ยอ่ ก Abstract ค กิตติกรรมประกาศ จ สารบญั ฉ บทท่ี 1 บทนา 1 1.1 ความสาคญั และทีม่ าของปญั หา 1 1.2 วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย 6 1.3 วิธดี าเนนิ การวจิ ยั 6 กรอบแนวคิดในการวเิ คราะห์ 7 เครอื่ งมอื ท่ีใชใ้ นการวจิ ัย 8 ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง 8 บทท่ี 2 ประวัตคิ วามเปน็ มา ประเภท และความเชื่อกลุ่มซนุ นะฮฺ 11 2.1 นิยามและความหมายกลมุ่ ซนุ นะฮ์ 11 - อะฮลฺ สิ ซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ 11 - อสั -สลัฟ อัล-ศอลหิ 13 - อัล-ฟริ ๊อก อันนาญิยะฮฺ 14 - อะฮลฺ ุล-หะดีษ วสั ซุนนะฮฺ 15 - อะฮลฺ ลุ อะษรั 15 - อฏั -ฏออิฟะฮฺ อัล-มนั ศูเราะห์ 16 17 2.2 ประวัติความเป็นมาของกลุ่มซนุ นะฮ์ 22 2.3 ประเภทต่างๆของกลมุ่ ซุนนะฮ์ 25 2.4 กลุ่มซุนนะฮท์ ี่มีบทบาทโดดเด่นในยุคปจั จุบัน 26 28 กลุม่ วะฮาบยี ะฮฺ 29 กลุ่มอลั -สะละฟีย์ 30 กลุม่ อันศอรุส ซุนนะฮฺ 32 กลุ่มญะมาอะฮฺ ดะวะฮตฺ ับลีฆ กลมุ่ อลั -อิควาน อลั มุสลีมีน ฉ

สารบญั (ต่อ) หนา้ บทท่ี 3 ประวัตคิ วามเป็นมา ประเภท และความเชื่อกลุ่มชีอะห์ 35 3.1 ความหมายชีอะห์ ความหมาย“ชอี ะห์”ดา้ นภาษา 35 ความหมาย“ชอี ะห์”ทางดา้ นวชิ าการ 35 3.2 ประวัติความเป็นมาและจุดกาเนิดกลุ่มชอี ะห์ 36 ชีอะหเ์ กิดข้นึ ตัง้ แต่สมยั ทา่ นนบี 37 ชีอะห์เกิดข้ึนในวันประชุมใหญ่ อลั -ซะกฟี ะฮ์ 37 ชีอะห์เกิดขึ้นในวนั ท่ี อษุ มาน บนิ อัฟฟาน ถูกสังหาร 40 ชอี ะห์เกิดขน้ึ หลังสงครามอูฐ(ญะมัล้ ) 41 ชอี ะห์เกิดขน้ึ หลังจากสงครามศฟิ ฟนี 42 ชอี ะหเ์ กิดขึ้นหลังจากอิหม่ามหเุ ซนถกู สงั หาร 43 3.3 เหตุการณส์ าคัญทางประวัติศาสตรช์ อี ะห์ 43 3.4 ประเภทของชีอะหแ์ ละความเช่ือ 44 3.5 กลุม่ ชีอะห์ท่สี าคญั และมีบทบาทในโลกมุสลิม 49 ชอี ะห์อัล-สะบะอียะฮฺ 53 ชีอะห์อัล-กยั ซานียะฮฺ 53 ชอี ะหอ์ ัล-ซยั ดียะฮฺ ชอี ะหอ์ ลั -รอฟีเฏาะห์ 56 58 บทที่ 4 ความแตกต่างระหว่างซนุ นะฮแ์ ละชีอะห์ 61 4.1 ความแตกตา่ งระหว่างซนุ นะฮ์และชีอะหเ์ กย่ี วกับหลกั การศรัทธา หลกั การศรัทธา(รกุ น่ อิหมา่ น) 68 ความเช่อื เกี่ยวกบั อลั -อมิ ามะห์(ผนู้ าสงู สดุ ) 68 ความเชื่อเก่ยี วกับคัมภรี อ์ ลั -กุรอาน 68 ความเชอ่ื เกีย่ วกับหะดีษนบี 70 4.2 ความแตกต่างระหว่างซุนนะฮแ์ ละชอี ะห์เก่ียวกับหลักการปฏิบตั ิ 72 หลกั ปฏิบัติ(รกุ น่ อิสลาม) 73 การปฏญิ าณตน(ชะฮาดะฮฺ) 74 การละหมาด 5 เวลา 74 4.3 ประเดน็ สาคญั อนื่ ๆท่แี ตกต่างระหว่างซุนนะฮ์และชอี ะห์ 76 การแตง่ งานมุตอะฮ์ 77 การอาพรางตวั (อัตตะกยี ะฮฺ) 80 อะหล์ ุ้ลบัยตฺ(ครอบครัวทา่ นนบ)ี 80 82 ช 84

สารบญั (ต่อ) หน้า 86 เหตุการณ์ฆอดร้ิ คุม( ‫)غدير خم‬ บรรดาอัครสาวก(ศอหาบะฮ)ฺ ของทา่ นนบี 88 บทที่ 5 สรุปผลการวิจยั และข้อเสนอแนะ 91 5.1 สรุปผลและอภิปรายผลการวจิ ัย 91 ประวัตคิ วามเปน็ มาของกลุ่มซุนนะฮฺ 91 ประวตั ิความเปน็ มาของชอี ะห์ 97 ความเหมือนและความตา่ งระหวา่ งซุนนะฮฺและชอี ะห์ 100 5.2 ข้อเสนอแนะจากการวจิ ัย 103 ข้อเสนอแนะจากผใู้ หส้ ัมภาษณ์ 103 ข้อเสนอแนะจากผู้วจิ ัย 108 ขอ้ เสนอแนะในการทาวจิ ัยคร้ังต่อไป 110 บรรณานุกรม 111 ซ

1 บทท่ี 1 บทนำ 1.1 ควำมสำคญั และท่ีมำของปัญหำ ความเป็นเอกภาพและภารดรภาพเป็นสิ่งที่ทุกประชาชาติต้องการและปรารถนา เนื่องจาก ความเป็นเอกภาพและภารดรภาพหรือการเป็นพี่น้องกันถือเป็นกุญแจแห่งความสันติสุขและความสงบ อย่างแท้จริง ดังกล่าวนั้นศาสนาอิสลามจึงให้ฉายาแก่บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายว่าพวกคือพี่น้องกัน ดั่ง โองการ (‫ )إنما المؤمنون إخوة‬ความว่า“แท้จริงบรรดำผู้ศรัทธำนั้นคือพ่ีน้องกัน”(อัล-หุญุร้อต,49 :10) และมสุ ลิมทุกคนพวกเขาคือประชาชาติเดียวกันด่ังโองการ (‫ )وإن هذه أمتكم أمة واحدة‬ความว่า“และ แท้จริงประชำชำติอิสลำมคือประชำชำติเดียวกัน” (อัลมุอฺมินูน, 23 : 52) ทั้งสองโองการดังกล่าวมี วัตถุประสงค์เพ่ือให้มุสลิมทุกคนเกิดความรู้สึกว่าพวกเขาทุกคนคือพี่น้องกันและประชาชาติเดียวกัน พวกเขาควรรักใคร่กัน ให้อภัยกัน ไม่กล่าวร้ายและคิดร้ายต่อกัน พวกเขาไม่ควรแตกแยกกันจนทาให้ ภาพลกั ษณ์ของศาสนาอิสลามตอ้ งหมน่ หมองและดอ้ ยค่าลงเนื่องจากมุสลิมไม่ยอมเข้าใจกันหรือทะเลาะ กนั เอง เปน็ ตน้ ขณะเดียวกันในคัมภีร์อัล-กุรอานได้กาชับให้ผู้ศรัทธารักกันและห้ามขัดแย้งหรือแตกแยกกันด่ัง โองการ ความว่า “และพวกเจ้ำ(ผู้ศรัทธำ)จงยึดสำยเชือกของอัลลอฮฺโดยพร้อมเพรียงกันทั้งหมด และจงอยำ่ แตกแยกกนั ” (อาละอมิ รอน, 3 : 103) นอกจากน้ีอัล-กุรอานยังห้ามผู้ศรัทธาดูถูกหรือตาหนิกัน ด่ังโองการ ความว่า “ โอ้บรรดำผู้ ศรัทธำท้ังหลำย พวกเจ้ำกลุ่มหนึ่งจงอย่ำตำหนิและดูถูกอีกกลุ่มหนึ่ง(ที่เห็นต่ำง)เพรำะพวกเขำ อำจจะดกี ว่ำพวกเจ้ำก็เปน็ ได้”(อัล-ฮูญูร้อต , 49 : 11) เช่นเดียวกันนั้นคากล่าวหรือวจนะของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ได้เปรียบเทียบ บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายความว่า “แท้จริงผู้ศรัทธำคือเรือนร่ำงเดียวกัน พวกเขำเสมือนสิ่งก่อสร้ำงที่ หลอมรวมกันและยึดเหน่ียวกันเป็นหนึ่งเดียว”( มุสลิม ,เลขท่ีหะดีษ ,4691) ดังกล่าวน้ันจึงไม่ปรากฏ ให้เห็นว่ามุสลิมและผู้ศรัทธาในสมัยท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)เกิดความแตกแยกกัน นอกจากความเหน็ ต่างเล็กนอ้ ยท่ีไมน่ าไปสู่ความขดั แย้งและแตกแยกกนั เหมือนปจั จุบัน ความขัดแย้งและแตกแยกกันในหมู่มุสลิมยุคปัจจุบันเกิดขึ้นมากมายท้ังในประเทศและ ตา่ งประเทศ เริม่ ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ตาบล จังหวัด ประเทศ ตลอดจนระดับสากล หากติดตามข่าวโลก มุสลิมจะพบว่าความแตกแยกระหว่างมุสลิมระดับโลกได้เกิดข้ึนในหลายๆประเทศ โดยเฉพาะในโลก อาหรับที่ส่วนใหญ่เป็นประเทศมุสลิม เร่ิมต้ังแต่เหตุการณ์อาหรับสปริง และการประกาศตัด ความสัมพันธ์กนั สาหรับบางประเทศ ตลอดจนการแย่งชิงเพ่ือเป็นมหาอานาจระหว่างมุสลิมกันเอง และ ในบางพื้นที่หรือบางประเทศขัดแย้งกันในเร่ืองแนวคิดหรือนิกายที่แตกต่างกันจนนาไปสู่การแตกแยก ระหวา่ งมสุ ลิมด้วยกัน ซ่ึงทั้งหมดน้ันอาจเกิดจากปัญหาภายในของมุสลิมกันเอง หรืออาจเกิดจากปัจจัย

2 ภายนอกของผ้ทู ไ่ี ม่หวงั ดตี ่ออิสลามและมุสลิมก็เป็นได้ หากแต่ทั้งหมดนั้นเพราะความอ่อนแอของมุสลิม เองเปน็ สาคญั กอปรกบั การหนั หลังหรือไมเ่ อาใจใสต่ ่อหลัการอิสลามอยา่ งแทจ้ รงิ อย่างไรก็ตามจากการศึกษาประวัติการแตกแยกและความเห็นต่างของสังคมมุสลิม ตั้งแต่ยุค สมัยของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) พบว่า หลังจากท่านนบีเสียชีวิตลงความเห็นต่างครั้ง แรกเกิดข้ึนในหมู่อัครสาวกของท่าน คือ ประเด็นที่เก่ียวข้องกับผู้นาสูงสุดหรือท่ีเรียกกันว่าคอลีฟะฮฺ หรืออิหม่ามผู้ที่จะมาแทนท่ีท่านนบีหลังจากท่านได้เสียชีวิต ในขณะน้ันศอหาบะฮฺบางท่านเห็นว่าผู้นา สูงสุดควรเป็นชาวอันศ้อร1 และบางท่านเห็นว่าผู้นาสูงสุดควรเป็นชาวมุฮาญิรีน2 นอกจากน้ีมีกลุ่มหน่ึง เห็นว่าผู้นาสูงสุดควรเป็น อะลี บิน อะบีฏอลิบ(รอฏิยัลลอฮุ อันฮู) ผู้ที่ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ได้สงั่ เสยี ไว้ตามความเช่อื ของกลุ่มนี้ หากแต่หลังจากบรรดาผู้ศรัทธาส่วนใหญ่ได้เห็นชอบและ ให้สัตยาบันแก่ท่านอะบู บักร อัล-ศิดด้ีก(รอฏิยัลลอฮุ อันฮู) เป็นคอลีฟะฮฺแทนท่านนบี และปัญหา ดังกล่าวกจ็ บลง (อะบลุ หะซนั อัล อัชอะรีย์, 2000 ) จากน้ันสังคมมุสลิมก็อยู่กันอย่างสงบ กระท่ังความขัดแย้งที่เป็นต้นเหตุของความแตกแยก ระหว่างมุสลิมก็เกิดข้ึนอีกคร้ังหลังจากการเสียชีวิตของอุษมาน บิน อัฟฟาน(รอฏิยัลลอฮุ อันฮู) ที่ถูก สังหาร เพราะในหลักการอิสลามเม่ือผู้นาเสียชีวิตลงก็จาเป็นต้องแต่งตั้งผู้นาคนใหม่ข้ึนมาแทน ทาให้ มุสลิมส่วนใหญ่พร้อมที่จะสนับสนุนและให้สัตยาบันแก่ท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ(รอฏิยัลลอฮุ อันฮู)เป็น คอลีฟะฮฺคนต่อไป หากแต่มุสลิมอีกฝ่ายท่ีใกล้ชิดและเป็นญาติสนิทกับท่านอุษมาน บิน อัฟฟาน (รอฏิยลั ลอฮุ อนั ฮู) ไม่พรอ้ มท่จี ะใหส้ ัตยาบนั แกอ่ ะลี บิน อะบีฏอลิบ(รอฏิยัลลอฮุ อันฮู)จนกว่าจะสะสาง และจัดการมือสังหารท่านอุษมาน บิน อัฟฟาน(รอฏิยัลลอฮุ อันฮู) มาลงโทษเสียก่อน แต่สุดท้ายปัญหา ดังกล่าวไม่จบลงและลงเอยกันไม่ได้จนทาให้เกิดการแตกแยกระหว่างมุสลิมเป็นวงกว้างกระทั่งบาน ปลายถงึ ขน้ั เกิดการสงครามกันระหว่างมุสลิมท้ังสองฝ่าย แม้ต่างฝ่ายก็ไม่ประสงค์ท่ีจะให้เกิดการเข่นฆ่า กันเอง(ขอพระองคจ์ งเมตตา) ปมความขัดแย้งดังกล่าวเกิดขึ้นเรื่อยมาจนถึงสงครามศิฟฟีนระหว่างท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ กับท่านมุอาวียะฮฺ อิบนุ อะบี ศุฟยาน (รอฏิยัลลอฮุ อันฮู) กระท่ังเมื่อมีมุสลิมล้มตายเป็นจานวนมาก รวมท้ัง ท่านอัมม้าร บิน ยาซ้ิร ซึ่งเป็นหน่ึงในสาวก(ศอหาบะฮฺ)ผู้อาวุโสท่ีมุสลิมทั้งสองฝ่ายยังเคารพนับ ถือถูกสังหารและเสียชีวิตในสมรภูมิสงคราม ทั้งสองฝ่ายจึงประกาศยุติสงครามและหาวิธีการปรองดอง เมอ่ื เปน็ เช่นน้นั ทาใหบ้ างกลุ่มทส่ี นับสนุนทา่ นอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏิยัลลอฮุ อันฮู)เกิดความไม่พอใจ และในที่สุดก็ปลีกตัวออกจากท่านอะลี และวางแผนฆ่าท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏิยัลลอฮุ อันฮู)ใน เวลาตอ่ มา กลมุ่ ดังกลา่ วนนั้ ถกู เรียกวา่ กลมุ่ อลั -ฆอวาริจฺ(อะบี มันซรู้ อลั -บัฆดาดยี ์,1970) จากเหตุการณ์ดังกล่าวทาให้มุสลิมแตกออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ คือ หนึ่ง กลุ่มชีอะห์ อะลี คือ กลมุ่ ท่ีสนบั สนนุ ท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏิยัลลอฮุ อนั ฮู) กลุ่มท่ีสอง คือ กลุ่มชีอะห์มุอาวียะฮฺ คือ ผู้ ท่ีเห็นด้วยและสนับสนุน ท่านมุอาวียะฮฺ อิบนุ อะบี ศุฟยาน (รอฏิยัลลอฮุ อันฮู) และกลุ่มท่ีสาม คือ กลุม่ อลั -ฆอวาริจฺ เป็นกลุ่มท่ีไม่เห็นด้วยกับท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ(รอฏิยัลลอฮุ อันฮู)ที่ยอมเจรจากับ ฝ่ายมุอาวียะฮฺ อิบนุ อะบี ศุฟยาน (รอฏิยัลลอฮุ อันฮู) และหลังจากแยกออกจากท่าน อะลี กลุ่มนี้ก็ 1 คอื มสุ ลมิ ท่ีอาศยั อยใู่ นนครมะดนี ะฮฺ ทคี่ อยช่วยเหลอื ทา่ นนบี(ศอลลลั ลอฮุ อะลัยฮิ วะซลั ลัม)ในการเผยแพร่ศาสนา 2 คือมุสลิมที่อาศัยอยูใ่ นนครมกั กะฮฺ ทอ่ี พยพมานครมาดนี ะฮฺพรอ้ มกบั ทา่ นนบี(ศอลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิ วะซัลลัม)

3 วางแผนสังหารท่านอะลีและมุอาวียะฮฺ จนในสุดท่านอะลีก็ถูกสังหารในเดือนรอมฏอน แล้วบุตรชายคน โต คือ ทา่ นหะซัน บนิ อะลี ก็ดารงตาแหนง่ แทนทา่ นต่อไป เม่ือท่านหะซัน บุตรของอะลี ได้ดารงตาแหน่งผู้นาสูงสุด(คอลีฟะฮฺ)ได้สักระยะ ก็เห็นว่าสภาพ ของสงั คมมสุ ลิมกาลงั แตกแยก หะซนั จงึ ตดั สนิ ใจลงจากตาแหน่งพร้อมกับยกตาแหน่งคอลีฟะฮฺแก่ท่านมุ อาวียะฮฺ อิบนุ อะบี ศุฟยาน (รอฏิยัลลอฮุ อันฮู) เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ความแตกแยกระหว่างมุสลิม ในขณะน้ัน แม้มีผู้สนับสนุนท่านตาหนิก็ตาม และหลังจากนั้นสถานการณ์ก็สงบลง นอกจากผู้เห็นต่าง ไมก่ คี่ นที่หลบๆซ่อนๆอยู่และคอยหาโอกาสชักจูงผู้คนอยู่อย่างลับๆเสมือนองค์กรการเคลื่อนไหวใต้ดินท่ี บางชว่ งเวลาก็เขม้ แขง็ และบางชว่ งเวลาก็อ่อนแอ (มฮุ มั หมัด คอลดิ มสุ ลิฮ,0652) อย่างไรก็ความแตกต่างระหว่างชีอะห์และซุนนะฮฺในช่วงแรกเป็นเพียงความเห็นต่างเฉพาะ ประเด็นตัวผู้นาสูงสุด ซง่ึ ชีอะห์เช่ือว่าบุคคลท่ีจะเป็นผู้นาหรืออิหม่ามถูกบัญญัติไว้เรียบร้อยแล้วในอัล-กุ รอานและหะดีษ ในขณะที่อะฮลฺ ิสซุนนะฮฺเห็นว่าไม่มีบทบัญญัติที่ระบุตัวบุคคลมาเป็นผู้นาหรือคอลีฟะฮฺ หากแต่ต้องผ่านมติท่ีประชุมหรือ(มัจลิสชูรอ)จากคณะกรรมการชูรอที่ถูกแต่งตั้งข้ึนในยุคนนั้นๆ ส่วน ประเด็นสาคัญอื่นๆไม่ได้ขัดแย้งกันนอกจากประเด็นปลีกย่อยท่ีไม่ควรนามาขยายความให้เกิดปัญหา ระหว่างกัน เพราะจากการศึกษาความเชื่อและแนวคิดของชีอะห์ที่อาจแตกต่างกับอะฮฺลิสซุนนะฮฺ แต่ พวกเขาก็ไม่ได้ออกจากความเป็นมุสลิม มากไปกว่านั้นกลุ่มชีอะห์เองก็ยืนยันว่าพวกเขาคือมุสลิม นักวชิ าการทุกยุคทุกสมัยก็ไม่มีใครปฏิเสธว่าชีอะห์เป็นหนึ่งในพ่ีน้องมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลาม (มุหัม มัด สะลีม อัล-เอาวา,2006) นอกจากมุสลิมบางกลุ่มท่ีสุดโต่งที่คอยจับผิดและตัดสินอีกฝ่ายอย่างไม่เป็น ธรรม ท้ังๆที่บางคร้ังเป็นแค่ความเห็นส่วนตัวของชีอะห์บางคนท่ีสุดโต่ง แต่อีกกลุ่มก็ออกมาตัดสินแบบ เหมารวมว่าชีอะห์ทัง้ หมดทุกคนหลงผิดหรือตกศาสนา เป็นตน้ จากการศึกษาตาราทางประวัติศาสตร์ พบว่า นักปราชญ์อิสลามในอดีตหลายท่านที่พวกเขาถูก ยอมรบั ทั้งจากกลุม่ ซนุ นะฮฺและกลมุ่ ชอี ะห์ เช่น อิหม่ามญะฟัร อัลศอดิก (อิหม่ามคนท่ี 6 ของชีอะห์อีมา มยี ะฮ)ฺ ท่านเป็นนักนิติศาสตร์ (ฟุกอฮาอฺ) ท่เี ล่ืองลือในยุคน้ัน ทา่ นเป็นหน่ึงในคณาจารย์ของอิหม่ามอะบู หะนีฟะฮฺและอิหม่ามมาลิก บิน อะนัส ซึ่งท้ังสองท่านคือผู้ก่อต้ังแนวคิด(มุซฮับ) หะนะฟีย์ และมะลีกีย์ ซ่ึงเป็นสองในสี่มัซฮับที่รู้จักกันในมัซฮับอะฮฺลิสซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮ์ (อะบี มันซู้ร อัล-บัฆดาดีย์,1970 และ มันนาอฺ อลั -ก้อฏฏอน,1989) ดังกล่าวนั้นเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า กลุ่มแนวคิดชีอะห์ คือ หน่ึงในกลุ่มแนวคิดต่างๆ ของ มุสลิม ด่ังคายืนยันของชีอะห์อิมามิยะฮฺ(อายะตุลลอฮ อัล-ช้ีค มุหัมมัด วาอิส ,2005) ที่กล่าวว่า “อสิ ลามคือแนวทางทีม่ าจากท่านนบขี องเรามุหัมมดั (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) อันเป็นข้อตักเตือน และแนวทางแกป่ ระชาชาตทิ ั้งมวล และมุสลิมคือผู้ศรัทธาในแนวทางท่ีถูกนามาจากนบี(ศอลลัลลอฮุ อะ ลัยฮิ วะซัลลัม) ดังนั้นทุกคนที่กล่าวปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์อัลลอฮฺ และนบี มุหมั มดั เป็นศาสนทูตของพระองคแ์ ละยอมรับในบญั ญัติทีม่ าจากทา่ นนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ไม่ปฏิเสธต่อหลักศรัทธาสาคัญ 3 ประการ คือ เชื่อต่ออัลลอฮฺ เชื่อต่อรอสู้ล(ศาสนทูต) และเชื่อต่อวัน ปรโลก(วนั อาคีเราะห์) และไมป่ ฏิเสธหลักสาคัญดงั กลา่ ว และปฏบิ ัติตามข้อบัญญัติของอิสลาม เช่น การ ละหมาด การจ่ายซะกาต การถือศีลอด และการทาฮัจญ์ และยอมรับในบัญญัติห้ามของพระองค์ทั้ง จากอัลกุรอานและซุนนะฮฺ เช่น การผดิ ประเวณี การลักขโมย การดื่มเหลา้ การฆ่าส่ิงมีชีวิตโดยไร้เหตุผล และอน่ื ๆ ดงั น้ันผใู้ ดก็ตามทถี่ ือปฏบิ ตั ิขา้ งต้น กถ็ ือวา่ เขาผู้นั้นเปน็ มุสลิม”

4 ข้างต้นนั้น เป็นเร่ืองจาเป็นสาหรับนักวิชาการและนักวิจัยที่ต้องศึกษาความเหมือน ความต่าง และความสัมพันธ์ ระหว่างซุนนะฮฺกับชีอะห์ แต่ส่ิงท่ีนักวิชาการควรเข้าใจ คือ แนวทางทาความเข้าใจ ระหวา่ งซุนนะฮฺกบั ชอี ะห์จะไม่ประสบความสาเร็จนอกจากการศึกษาวิจัยและศึกษาหลักฐานท่ีมาของทั้ง สองแนวคิดอย่างเป็นธรรม ทั้งในแง่ของความเหมือนและความแตกต่างของท้ังสองแนวคิด และต้องทา ความเข้าใจถงึ สาเหตหุ รือเหตุผลของความแตกต่างและความสัมพันธ์ระหว่างสองแนวคิดอย่างรอบคอบ และเปน็ ธรรม ทงั้ น้เี พือ่ สนองบัญญัตขิ องพระผเู้ ป็นเจ้าแหง่ มนษุ ย์ชาติท่บี ัญญัตวิ ่า ความว่า “โอ้มนุษยชำติท้ังหลำย แท้จริงเรำได้สร้ำงพวกเจ้ำจำกเพศชำย และเพศ หญิง และเรำได้ให้พวกเจ้ำแยกเป็นหมู่ เป็นเผ่ำ และตระกูลต่ำงๆเพ่ือพวกเจ้ำจะได้ ทำควำมรจู้ กั กัน” (อลั ฮญู รอต 49 : 13) ดงั นัน้ การทาความรู้จักกนั และเข้าใจกันระหวา่ งสองเผ่า สองตระกูล หรือสองแนวคิดที่แตกต่าง กันถอื เป็นคาส่งั จากอลั ลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)ที่ผู้ศรัทธาทุกคนจะต้องทา และการรู้จักกันระหว่าง สองแนวคิดจะไม่ประสบความสาเร็จนอกจากด้วยการเข้าใจอีกฝ่ายหน่ึง และสามารถใช้ชีวิตได้กับอีก ฝ่ายหน่งึ ทม่ี ีแนวคิดหรอื ความเชอื่ ท่แี ตกตา่ งกนั เพราะการท่ีรจู้ ักแบบผิวเผิน และการกล่าวหากันแบบไร้ หลักฐานหรือพูดตามๆกัน ไม่ได้ส่งผลดีอะไรนอกจากความห่างเหิน ความชิงชัง จนบางครั้งอาจจะ ละเมิดเลยเถิดไปถึงการกล่าวหาให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นฝ่ายหลงผิด และฝ่ายท่ีตนเองเช่ือเป็นฝ่ายถูกต้อง โดยไมเ่ กรงอกเกรงใจอกี ฝ่ายหนงึ่ ซ่งึ ไม่เหมาะสมสาหรับพี่น้องมุสลิมด้วยกัน โดยเฉพาะนักวิชาการหรือ นักการศึกษาที่ต้องการค้นหาความจริง สิ่งที่จาเป็นอย่างยิ่งสาหรับนักการศึกษาทุกคน คือ การให้ความ เป็นธรรมและความยุตธิ รรมแกพ่ ี่น้องทุกคนทุกแนวคิดอยา่ งบริสทุ ธใิ์ จ อะฮ์หมัด กาม้าล อะบุลมะญัด (1988 ) ได้ให้ข้อคิดอย่างหนึ่งท่ีน่าคิดอย่างย่ิงว่า “กลุ่มชีอะห์ พยายามท่ีจะเรียนรู้และเข้าใจหลักความเชื่อของกลุ่มซุนนะฮฺ ในขณะท่ีชาวซุนนะฮฺส่วนมากไม่รู้จักและ ไม่ประสงค์จะเรียนรู้เพ่ือเข้าใจหลักความเช่ือของชาวชีอะห์ ไม่ต้องการรับฟังความคิดเห็นของ นักวิชาการชีอะห์ ชาวซุนนะฮฺรู้จักชีอะห์แค่กว้างๆว่า ชีอะห์ คือ ผู้ที่สนับสนุนและเอนเอียง หลงรัก หลงใหลท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏิยัลลอฮุ อันฮู)อย่างเลยเถิดเกินขอบเขต ชีอะห์คือพวกท่ีเช่ือว่า ท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ ควรได้รับสิทธิท่ีจะเป็นผู้นาสูงสุด (อีหม่าม) หรือคอลีฟะฮฺคนแรกหลังจาก ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)เสียชีวิตลง ไม่ใช่อะบูบักร และอุมัร และอุษมาน ชีอะห์ คือ ผู้ท่ี อุตริกรรมในศาสนา ขดั แย้งและไม่สอดคล้องกับอะฮฺลิสซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ จนบางคนก็ตัดสินและช้ี ขาดไปเลยวา่ ชอี ะห์ไม่ใช่มุสลิม และบางคร้ังคาตัดสินดังกล่าวอาจเป็นเพียงความเห็นของบางคนท่ีเหมา รวมอย่างไม่เป็นธรรม เพราะสิ่งท่ีกล่าวหาน้ันอาจไม่ปรากฏในตาราของชีอะห์หรือแหล่งอ้างอิงของ ชอี ะห์ท่ถี กู ยอมรับ(มอุ ตฺ ะบัร)โดยกลุ่มชีอะห์สว่ นใหญ่แต่อย่างใด” ดังน้ันนักปราชญ์มุสลิมได้กาหนดกฎเกณฑ์หรือกติกาสาคัญหลัก 2 ข้อ ที่ทุกคนโดยเฉพาะ นกั วิชาการตอ้ งเคารพและถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และดังกล่าวน้ันก็ถูกยอมรับโดยนักปราชญ์มุสลิมทั้ง อดีตและปจั จุบนั จึงขอให้นกั วิชาการ และนกั การศกึ ษาควรทราบและเคารพในกฎเกณฑ์และกติกา ดังนี้ คอื (มหุ ัมมดั สะลมี อลั -เอาวา,2006) กติกาข้อ 1 การตีความหรอื การขยายความจากตัวบทและคาพูดของใครคนใดคนหนึ่ง อาจไม่ใช่ เจตนารมณ์ของตัวบทท่ีกล่าวไว้เสมอไป กล่าวคือ นอกเหนือจากคาดารัสของอัลลอฮฺและวจนะของ

5 ทา่ นนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)3 ไม่อนุญาตให้ตีความตามความเข้าใจหรืออธิบายตามความเห็น ทตี่ นเองนึกคิด นอกจากตอ้ งวา่ กนั ตามตวั บทที่บุคคลน้ันๆ ได้กล่าวมาเท่าน้ัน เพราะการขยายความจาก คาพดู ของใครคนหนึง่ หรือกลุ่มใดกลุ่มหน่ึงตามความคิดเห็นของตนเองอาจจะไม่ใช่เจตนารมณ์ของผู้พูด เสมอไป เช่นเดียวกันน้ันการท่ีใครคนหน่ึงไปขยายความจากตัวบทหรือคาพูดของชีอะห์บางคนบางกลุ่ม ตามความคิดเห็นของตนเองโดยไม่ได้ถามเจ้าตัวก่อนอาจเป็นการอธิบายและขยายความไปเองเกินกว่า เจตนารมณข์ องผพู้ ดู กเ็ ป็นได้ กติกาข้อ 2 คือ สาหรับนักการศึกษาและนักวิจัยทุกคนจาเป็นต้องนาเสนอแนวคิดหรือความ เช่ือของกลุ่มไหนจากความเห็นหรือหลักฐานแหล่งอ้างอิงจากกลุ่มนั้นๆที่เขาได้เขียนที่ถูกถ่ายทอดจาก กลุ่มน้ันๆจริง ไม่สมควรอย่างยิ่งสาหรับนักการศึกษาหรือนักวิจัยจะนาเอาแนวคิด หลักความเช่ือของ กลุ่มหนึ่งจากความเห็นของอีกกลุ่มหน่ึงมาเป็นข้อมูล อย่างเช่น ไม่สมควรที่จะเรียนรู้รายวิชาอัลหะดีษ จากนักตัฟซี้ร(นักอรรถาธิบายอัล-กุรอาน) ไม่สมควรท่ีจะเรียนรู้หลักการอธิบายอัล-กุรอาน(ตัฟซ้ีร)จาก นักนิติศาสตร์(ฟิกฮฺ) หรือเรียนรู้นิติศาสตร์จากนักประวัติศาสตร์ เป็นต้น เช่นเดียวกันนั้นคือการเรียนรู้ เร่อื งราวและความเชือ่ ของชีอะหจ์ ากกลมุ่ ซนุ นะฮฺ หรอื เรียนรู้เร่อื งราวและความเชื่อของซุนนะฮฺจากกลุ่ม ชีอะห์โดยไมเ่ ปดิ โอกาสให้อกี ฝา่ ยไดอ้ ธบิ ายความจรงิ ตามท่คี วรจะเปน็ หน่ึงในกรณีตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่างซุนนะฮฺกับชีอะห์ท่ีหลายคนอาจจะยังไม่กระจ่างชัด เช่น กรณี คัมภีร์อัลกรุอาน ท่ีนักวิชาการซุนนะฮฺส่วนใหญ่มักจะกล่าวว่า ชีอะห์อิมามียะฮฺมีความเช่ือว่า อัล-กุรอานที่มีอยู่ทุกวันน้ียังไม่สมบรูณ์ และเป็นกุรอานที่ถูกบิดเบือน เนื่องจากในหนังสือของชีอะห์มี ระบุว่า ยังมีคัมภีร์อัล-กุรอานท่ีช่ือว่า “มัศฮัฟ อัล-ฟาฏิมะฮฺ” คือ คัมภีร์อัล-กุรอานฉบับท่านหญิงฟาฏิ มะฮฺ บุตรตรีของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ซ่ึงเป็นคัมภีร์อัล-กุรอานเฉพาะของชีอะห์ตาม ความเขา้ ใจของชาวซนุ นะฮฺสว่ นใหญ่ ในประเด็นนี้นักวิชาการชีอะห์ อับดุลฮาดี อับดุลฮาม้ีด ศอลิห(2016) และ ช้ีคซัยนุดดีน ซยั นอ้ ล (2560) กล่าววา่ “ไมต่ ้องสงสยั เลยว่า ส่ิงท่ีเพิ่มมาในมัศฮัฟ อัล-ฟาฏิมะฮฺ(คัมภีร์อัล-กุรอานฉบับ ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ) แท้จริงแล้วมันไม่ใช่คัมภีร์อัล-กุรอานแต่อย่างใด หากแต่มันเป็นแค่คาอธิบายหรือ ความหมายของอัล-กุรอานเท่านั้น และความเข้าใจผิดแบบน้ีไม่ได้เกิดขึ้นแค่คร้ังสองคร้ัง แต่มันเกิดขึ้น มาแลว้ หลายครั้งทชี่ าวซุนนะฮฺเข้าใจว่ามนั เปน็ อัล-กุรอาน และแทจ้ ริงทุกคาพูดและความเข้าใจดังกล่าว เป็นการกล่าวหาท่ีผิดเพ้ียน เพราะมัศฮัฟ อัล-ฟาฏิมะฮฺไม่ใช่อัล-กุรอานตามท่ีเข้าใจกัน หากแต่เป็น คาอธิบายจากญิบรีล (อะลัยอิสสลาม)และความหมายท่ีท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ได้บอก ไว้ เพราะชาวชีอะห์เชอ่ื ว่า นอกจากพระองคอ์ ลั ลอฮ(ฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา)ได้ประทานอัล-กุรอานมายัง ทา่ นนบมี หุ ัมมัด(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)แล้ว พระเจ้ายังประทานวิวรณ์ที่ไม่ใช่อัล-กุรอานมาด้วย ซ่ึงวิวรณ์ดังกล่าวคือความหมายอัล-กุรอานท่ีปรากฏอยู่ในมัศฮัฟ อัล-ฟาฏิมะฮฺ แต่มันไม่ใช่อัล-กุรอาน อยา่ งที่หลายคนเขา้ ใจ” 3 หมายถงึ หากเปน็ ดารสั ของอัลลอฮ(ฺ สบุ หานะฮู วะตะอาลา)และวจนะของทา่ นนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)อนุญาตให้ ตีความหรือทาความเข้าใจและวินิฉัยได้ แม้อาจจะเข้าใจเหมือนกันหรือต่างกันบ้าง ถือว่าให้อภัยกันได้ เพราะนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซลั ลัม)ไดก้ ล่าววา่ “ผใู้ ดท่วี นิ ิจฉัยได้ถูกต้องเขาจะไดส้ องผลบุญ ส่วนผูใ้ ดทว่ี ินจิ ฉัยไมถ่ กู ตอ้ ง(คอื วนิ จิ ฉัยผิด)เขาก็จะได้หนงึ่ ผลบญุ ”

6 ช้ีค อลั ศอด้กู จากหนังสือ อลั -เอียะตีกอด้าต (2005) หนึ่งในนักวิชาการชีอะห์ กล่าวว่า “พวก เราชีอะห์เชื่อและศรัทธาว่าแท้จริง อัล-กุรอาน ที่ถูกประทานมายังท่านนบีมุหัมมัด(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) น้ันคือ อัล-กุรอานที่เร่ิมต้นด้วย อัลฟาติหะฮฺ และจบด้วย อัลนาส ซ่ึงกุรอานน้ันก็คืออัล-กุ รอานทีอ่ ยู่ในมือของทุกคนทุกวันน้ี ไม่มีอัล-กุรอานอื่นนอกเหนือจากนั้น จานวนสูเราะห์ของอัล-กุรอาน นี้คือ 114 สูเราะห์ นอกจากพวกเราชาวชีอะห์แค่เช่ือว่า สูเราะห์อัฏูฎูฮา และสูเราะห์อะลัมนัชเราะห์ เป็นสูเราะห์เดียวกัน และสูเราะห์กุร็อยช์และอัลฟีล เป็นสูเราะห์เดียวกัน ดังนั้นใครก็ตามท่ีกล่าวหาว่า เรามอี ลั -กรุ อานมากกว่าน้นั คนน้นั คอื ผู้โกหก” นักวิชาการชีอะห์หลายท่านได้ยืนยันว่า อัล-กุรอานที่มีอยู่ในมือของมุสลิมทุกวันน้ีเป็นอัล-กุ รอานที่สมบรูณ์แบบอยู่แล้ว และความเป็นจริง คือ อัล-กุรอานท่ีมีอยู่ในมือของพ่ีน้องชีอะห์และเมื่อเรา เข้าไปในห้องสมุดของพวกเขาจะไม่พบอัล-กุรอานเล่มไหนนอกจากเล่มเดียวกันที่มุสลิมอ่านอยู่ใน ปัจจุบัน และในประเทศอิหร่านมีโรงพิมพ์อัล-กุรอานมาต้ังแต่ปี 1979 และได้พิมพ์อัล-กุรอานเป็น จานวนมาก แต่ก็ไม่เคยเห็นอัล-กุรอานผิดเพ้ียนไปจากเล่มที่ทุกคนอ่านอยู่ในปัจจุบันแต่อย่างใด (มุหัม มดั สะลมี อัล-เอาวา,2006) ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นส่วนหนึ่งในกรณีศึกษาท่ีชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ ความเหมือน และ ความแตกต่างระหว่างซุนนะฮฺกับชีอะห์เป็นเร่ืองจาเป็นสาหรับนักวิชาการ และนักวิจัยต้องศึกษาหา ความจรงิ แตส่ ่งิ ท่ีนกั วิชาการควรเข้าใจคือแนวทางทาความเข้าใจระหว่างซุนนะฮฺกับชีอะห์จะไม่ประสบ ความสาเร็จ นอกจากการทาวจิ ัยและศึกษาหลักฐานที่มาของทั้งสองแนวคิดอย่างเป็นธรรม ทั้งในแง่ของ ความเหมือนและความแตกต่างของท้ังสองแนวคิด และต้องทาความเข้าใจถึงสาเหตุหรือเหตุผลของ ความแตกต่างและความสัมพันธ์ระหว่างสองแนวคิดอย่างรอบคอบและเป็นธรรม หลังจากรู้ถึงเหตุผล หลกั หรือท่ีมาของความแตกต่างก็เป็นหนา้ ท่ขี องผูท้ เี่ ก่ียวขอ้ งทกุ ฝา่ ยทจี่ ะหาวธิ ีการปรองดองระหว่างสอง แนวคิดตอ่ ไป 1.2 วตั ถปุ ระสงค์ของกำรวิจัย 1. เพ่ือศกึ ษาประวตั ิความเปน็ มา ประเภท และหลกั ความเช่อื ของกลุ่มซุนนะฮฺและชีอะห์ที่โดด เด่นในโลกปัจจบุ นั 2. เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างเก่ียวกับหลักความเชื่อ และหลัก ปฏบิ ตั ิที่สาคัญระหวา่ งซนุ นะฮฺและชีอะห์ในโลกปัจจุบนั 3. เพอื่ ศึกษาความคิดเห็นและขอ้ เสนอแนะของนกั วชิ าการมุสลิมทั้งซุนนะฮฺและชีอะห์เก่ียวกับ ความเหมือนและความแตกตา่ งระหวา่ งซุนนะฮฺกบั ชีอะห์ในโลกปจั จบุ ัน 1.3 วธิ ีดำเนนิ กำรวจิ ัย (Research Methodology) ข้ันตอนในการดาเนนิ การวิจยั เร่ือง ความสัมพันธ์และความแตกตา่ งระหว่างอะฮฺลิสซุนนะฮฺ กับ ชีอะห์ : ศึกษาประวัติศาสตร์และมุมมองนักวิชาการมุสลิมในโลกปัจจุบัน ในครั้งน้ี คณะวิจัยได้ ดาเนนิ การดงั นี้

7 กรอบแนวคดิ ในกำรวเิ ครำะห์ (analytical framework) กรอบแนวคิดในการวิเคราะห์งานวิจัยคร้ังน้ี ผู้วิจัยจะทาการวิเคราะห์เน้ือหา การตีความ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ พิจารณาข้อมูลจากเอกสารหลักฐานชั้นต้น(ปฐมภูมิ)และหลักฐานช้ันรอง (ทุติยภูมิ) ท้ังหลักฐานจากกลุ่มซุนนะฮฺและหลักฐานจากกลุ่มชีอะห์อย่างเท่าเทียมกัน และเพื่อให้ได้ ข้อมูลถูกต้องแท้จริง ผู้วิจัยพยายามดูความหมายจากสานวน ทัศนคติ ความเชื่อของผู้เขียนและ วิเคราะห์สังคมในยุคสมัยนั้นๆ แล้วนาเสนอข้อมูลในลักษณะท่ีเป็นการตอบหรืออธิบาย ข้อสงสัยและ องค์ความรู้ใหม่ ความคิดใหม่ที่ได้จากการค้นคว้า แล้วนาข้อมูลท่ีผ่านการตีความมาวิเคราะห์ แยกแยะ ประเภทตามวัตถุประสงค์ท่ีวางไว้ โดยเรื่องเดียวกันหรือสัมพันธ์กันก็จะจัดไว้ด้วยกัน จากนั้นก็นาข้อมูล ทงั้ หมดมาอธิบายให้เหน็ ถงึ ความสมั พนั ธแ์ ละความแตกตา่ งระหวา่ งกัน ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลภาคสนาม ผู้วิจัยต้องการข้อมูลและความคิดเห็นจากนักวิชาการมุสลิม ท้ังจากกลุ่มซุนนะฮฺและชีอะห์ท่ีได้เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงทั้งในและต่างประเทศ แล้วทาการ สัมภาษณ์และจัดเวทีแลกเปล่ียนความคิดเห็น แล้วนาข้อมูลท่ีได้มาทาการวิเคราะห์โดยใช้วิธีการ วิเคราะห์ข้อมูลขั้นพ้ืนฐาน ด้วยวิธีการจาแนกประเภทของข้อมูล การเปรียบเทียบข้อมูล และการสร้าง ข้อสรุปแบบอุปนัย จากน้ันนาข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเอกสารและข้อมูลภาคสนามมาทาการแยกแยะ และวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ตอบวัตถุประสงค์ท่ีวางไว้ และตรวจสอบความครอบคลุมของข้อมูล แล้ว นาเสนอข้อมูลทงั้ หมดในรูปแบบรายงานการวจิ ยั เชงิ พรรณนา (Descriptive Research) ระเบียบวธิ วี จิ ยั การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research)รวบรวมข้อมูลจาก เอกสารทางประวัติศาสตร์ เอกสารท่ีเป็นหลักฐานช้ันต้น(ปฐมภูมิ) และหลักฐานชั้นรอง(ทุติยภูมิ) และ เก็บข้อมูลภาคสนามเพ่ิมเติมด้วยการสัมภาษณ์และสนทนากลุ่มนักวิชาการจากกลุ่มซุนนะฮฺและชีอะห์ ท้ังในและต่างประเทศ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ และความแตกต่างระหว่างมุสลิมซุนนะฮฺกับมุสลิมชีอะห์ ในมิติประวัติความเป็นมา ประเภท หลักความเช่ือ และหลักปฏิบัติของกลุ่มซุนนะฮฺและชีอะห์ในโลก ปัจจบุ นั ซง่ึ คณะวิจยั ไดด้ าเนินการในแตล่ ะขัน้ ตอนดังนี้ กำรวิจยั เอกสำร ข้ันตอนแรกเป็นการวิจัยเอกสารทางประวัติศาสตร์ จะศึกษาวิเคราะห์หนังสือ เอกสาร ทาง ประวตั ศิ าสตร์ ที่เป็นหลักฐานช้ันต้น (ปฐมภูมิ) และหลักฐานช้ันรอง (ทุติยภูมิ) และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง กับประวัติความเป็นมา ประเภทต่างๆของกลุ่มซุนนะฮฺและชีอะห์ หลักความเชื่อในแต่ละประเภทของ กลุ่มซุนนะฮฺและชีอะห์ในโลกปัจจุบัน จากงานเขียนของนักวิชาการท่ัวไป นักวิชาการซุนนะฮฺ และ นกั วิชาการชอี ะห์ กำรวจิ ัยภำคสนำม ส่วนการวิจัยภาคสนาม ผู้วิจัยต้องการข้อมูลและความคิดเห็นเพิ่มเติมจากนักวิชาการซุนนะฮฺ และชีอะห์ทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการสัมภาษณ์ สนทนากลุ่ม และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม เพ่ือให้ได้มาซึ่งข้อมูลเชิงลึกตามวัตถุประสงค์ที่ได้วางไว้ ซึ่งผู้วิจัยเลือกสัมภาษณ์นักวิชาการในประเทศ ไทย อินโดนิเซยี คเู วต และ กาตาร์

8 เครื่องมอื ท่ีใชใ้ นกำรวจิ ัย การวิจัยในคร้ังน้ีนอกจากศึกษาเอกสารทางประวัติศาสตร์ท้ังสองกลุ่มแล้ว ผู้วิจัยเก็บรวบรวม ข้อมูลภาคสนามโดยการใช้แบบสัมภาษณ์เจาะลึก( In depth Interview ) การสนทนากลุ่ม (Group discussion) และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม(non-participant observation) โดยมีรายละเอียดใน การสร้างเครือ่ งมือดังนี้ 1. ทบทวนเอกสารท่ีเก่ียวข้องกับหัวขอ้ วจิ ัย 2. นาข้อมลู ที่ไดม้ ารวบรวมเพื่อกาหนดขอบเขตเน้ือหา 3. ออกแบบเครื่องมือเพ่ือการสัมภาษณ์และสนทนากลมุ่ 4. นาแบบสัมภาษณ์ปรกึ ษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาประสิทธภิ าพของแบบสัมภาษณ์ 5. ปรบั ปรงุ แก้ไขแบบสมั ภาษณ์ที่แล้วลงพ้นื ที่เกบ็ ข้อมลู จรงิ กำรเกบ็ รวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมลู ในการศึกษาวิจัยครั้งน้ีผ้วู ิจัยไดด้ าเนินการดังต่อไปน้ี 1. ศึกษาเอกสารหลักฐานท่ีเก่ียวข้องกับประวัติความเป็นมา ประเภท หลักความเช่ือ และการปฏิบัติในแต่ละประเภทของกลุ่มชีอะห์ จากหนังสือ เอกสาร ทางประวัติศาสตร์ ที่เป็น หลักฐานชัน้ ตน้ (ปฐมภูมิ) และหลักฐานชน้ั รอง (ทุตยิ ภมู )ิ 2. วเิ คราะหแ์ ละรวบรวมข้อมูลจากเอกสารทเ่ี ก่ียวกบั ประวัติความเปน็ มา ประเภท หลักความเช่อื และการปฏบิ ตั ิของกลมุ่ ซุนนะฮฺและชีอะห์ 3. ประชุมเตรียมความพร้อมเพ่ือเก็บข้อมูลภาคสนาม 4. สรา้ งเครอ่ื งมือและพฒั นาเครือ่ งมือวจิ ัย 5. ลงพื้นทเ่ี กบ็ รวบรวมข้อมลู ภาคสนามตามที่กาหนด 6. รวบรวมข้อมลู และจาแนกแยกแยะตามหวั ข้อและวตั ถุประสงค์ 7. ทาการวิเคราะห์ข้อมลู และแปลผล 8. จดั ทารายงานวิจยั ฉบับรา่ งและนาเสนอผู้ทรงคณุ วุฒิ 9. ปรับปรงุ แก้ไขและจดั ทารายงานวิจยั ฉบับสมบรู ณ์ ประชำกรและกลุ่มตัวอยำ่ ง ประชากรและกลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในคร้ังนี้ ผู้วิจัยเลือกกลุ่ม ตัวอยา่ งท่ีเป็นนักวิชาการมุสลิมจากกลุ่มซุนนะฮฺและชีอะห์ ท้ังในประเทศไทยและต่างประเทศ ซง่ึ ผวู้ ิจยั เลือกกลุ่มตัวอยา่ งแบบเจาะจงดงั รายละเอยี ดต่อไปน้ี นักวิชำกำรซุนนะฮฺในประเทศไทย จานวน 9 ทา่ น ประกอบดว้ ย 1.ผศ.ดร.อับดุลเลาะ หนุม่ สุข ผู้อานวยการสถาบันวะสะฏียะฮฺเพื่อสันติภาพและ การพฒั นา สานกั จุฬาราชมนตรี 2.ดร.มูฮมั หมัดอิลยาส หญ้าปรงั รองผูอ้ านวยการสถาบันวะสะฏียะฮฺเพอื่ สันติภาพฯ 3.ดร.อาลี สาเมาะ ผู้อานวยการสถาบันวะสะฏียะฮฺวิทยาลัยอิสลาม ศึกษา มอ.ปัตตานี

9 4.ดร.อัสมัน แตอาลี กรรมการสถาบันวะสะฏยี ะฮฺวิทยาลัยอิสลามฯ 5.ผศ.ดร.เจ๊ะมะอูมา จะปะเกีย รองประธานท่ีปรึกษาสถาบนั วะสะฏียะฮฺฯ มหาวิทยาลยั ฟาฏอนี 6.ผศ.สุกรี หลงั ปูเต๊ะ กรรมการท่ีปรกึ ษาสถาบันวะสะฏียะฮฺฯ มหาวิทยาลยั ฟาฏอนี 7.ศ.ดร.อิมรอน มะลลู ีม อปุ นายกกรรมการสภามหาวิทยาลัยฟาฏอนี 8.เชคริฏอ อะหมัด สมะดี นักวชิ าการและผู้อานวยการสถานโี ทรทัศน์ไวท์ แชนแนล 9.อาจารยร์ ุสดี อสุ มาน ผู้เชี่ยวชาญประเด็นชีอะห์ สถาบันอัสลามจังหวัด ยะลา นักวชิ ำกำรชอี ะห์ในประเทศไทย จานวน 3 ทา่ น ประกอบดว้ ย 1.ผศ.มนสั เกียรตธิ ารยั อดตี หัวหนา้ ภาควิชาประวตั ศิ าสตร์คณะอกั ษร ศาสตร์มหาวิทยาลัยศิลปากร 2.ช้คี ซัยนุดดีน ซยั นอ้ ล อาจารย์อักษรศาสตร์ภาษาอาหรับมหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร วิทยาเขตพระราชวงั สนามจนั ทร์ 3.อุสต้าซมุฮัมหมดั อาแวซือแต ผูเ้ ชีย่ วชาญและนกั การศึกษาชีอะห์จงั หวัดปัตตานี นักวิชำกำรซนุ นะฮฺต่ำงประเทศ จานวน 9 ทา่ น ประกอบด้วย 1.ช้คี ศ.ดร.ยูซฟุ อัลกอรอฏอวีย์ 2.ศ.ดร.อาลี มะหย์ ดุ ดีน อลั กุรเราะห์ ประธานสมาพันธ์นักปราชญ์มุสลิมโลก 3.ดร.มุหมั มดั คอลีฟะห์ อะหม์ ัด หะซนั (กาตาร)์ เลขานุการสมาพันธ์นักปราชญ์มุสลิมโลก (กาตาร)์ ผู้อานวยการสถาบันวะสะฏียะห์ (กาตาร์) 4.ดร.มฏุ ลัก อัล-กอรอวยี ์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงศาสน 5. ดร.ฮามิด อะฮห์ มดั อลั คอลีฟะฮ์ สมบัติ (ประเทศคเู วต) ผู้เช่ียวชาญและนักวิจัยเก่ียวกับชีอะห์ 6. ดร.อับดุลมุฮซิน อลั -คอรอฟยี ์ กระทรวงวัฒนธรรมและศาสนาอิสลาม 7.ดร.ฮามิด ฟะฮม์ ีย์ ซัรกะชีย์ (ประเทศคูเวต) 8. ดร.มหุ มั มดั คอลิด มศุ ลิห ผู้อานวยการสถาบัน มะบัรเราะห์ อ้าล 9. ศ.อับดุซศอมัด บูชรู ยี ์ วัล-อศั หา้ บ (ประเทศคูเวต) รองอธิการบดี มหาวิทยาดารุสลาม ประเทศอนิ โดนีเซีย (UNIDA) ผู้เชี่ยวชาญและนักวิจัยเก่ียวกับชีอะห์ มหาวทิ ยาดารสุ ลาม ประเทศอินโดนเี ซีย ประธานสมาพันธ์นักวิชาการมุสลิม ชะวา ตะวันออก ประเทศอนิ โดนีเซีย (MUI)

10 นักวิชำกำรชีอะห์ตำ่ งประเทศ จานวน 5 ทา่ น ประกอบด้วย 1.ซัยยดิ มุหมั มัด บากร้ิ อลั ฮะบะชีย์ 2.ดร. มุหมั มดั บาบุ้ลอุลูม ป ร ะ ธ า น ก ร ร ม ก า ร ส ถ า บั น ก า ร ศึ ก ษ า 3.ช้ีค ดร.อะฮ์หมดั หเุ ซน มุหัมมัด อิสลามประเทศอนิ โดนีเซีย (YAPI) 4.ดร.อับดลุ ฮาดี อบั ดุลหะมดี้ ศอลิห ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ส ม า พั น ธ์ อ ะ ฮ์ ลุ้ ล บั ย ตฺ 5.ดร.อะฮห์ มัด ฮาญี อบั ดุลลอฮ์ ลารีย์ ประเทศอนิ โดนีเซยี (IJABI) นักปราชญ์ชีอะห์ อัล-อิสนาอะชารียะฮฺ ประเทศคูเวต อ ดี ต รั ฐ ม น ต รี ก ร ะ ท ร ว ง พั ฒ น า สั ง ค ม ประเทศคูเวต อดตี รองประธานสภา ประเทศคูเวต

11 บทที่ 2 ประวัตคิ วำมเป็นมำ ประเภท และควำมเช่ือกลุ่มซุนนะฮฺ กลุ่มซุนนะฮฺหรือบางคร้ังเรียกว่ามุสลิมนิกายสุนนีย์ฮฺ คือ มุสลิมส่วนใหญ่ของโลกรวมถึงมุสลิม สว่ นใหญ่ในประเทศไทย ซ่ึงตรงกันข้ามกับมุสลิมนิกายชีอะห์ ซึ่งถือเป็นนิกายรองลงมาจากนิกายสุนนีย์ ซง่ึ ท้งั สองนิกายนี้เม่อื ได้ศกึ ษาอยา่ งละเอียดก็จะพบว่ามีประวัติความเป็นมา และประเภทหรือกลุ่มต่างๆ มากมาย ในบทนีผ้ ูว้ จิ ัยจะนาเสนอความรเู้ บ้ืองต้นเกี่ยวกบั นิยาม ประวัติความเปน็ มา ประเภทต่างๆของ กลุ่มซุนนะฮฺ ตลอดจนแนวคิดและความเชื่อของกลุ่มซุนนะฮฺที่สาคัญในโลกปัจจุบัน ดังรายละเอียด ดงั ตอ่ ไปนี้ 2.1) นยิ ำมและควำมหมำยกลมุ่ ซนุ นะฮฺ ความหมาย “กลุ่มซุนนะฮฺ” หรือชื่อเต็มที่เรียกกันว่า“อะฮฺลิสซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ”จาก การศึกษาข้อมูลทางเอกสาร พบว่า นักประวัติศาสตร์อิสลามและชนรุ่นแรก คือยุค 300 ปีแรกแห่ง อสิ ลามทรี่ ู้จกั ในนาม(ชนชาวสลัฟ)พวกเขาไดเ้ รียกและต้ังฉายานามกลุ่มอะฮฺลิสซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺไว้ หลายช่อื ด้วยกัน (มันนาอฺ อัล-ก้อฏฏอน,1989 ศอลิห บิน อับดุรเราะห์มาน อัล-ดะค้ีล , มปป. และ ศอ ลหิ อลั -วร้ิ ดานีย,์ มปป.) คือ - อะฮฺลสิ ซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ - อัส-สลัฟ อัล-ศอลิห - อัล-ฟิรอ๊ ก อนั นาญิยะฮฺ - อะฮลฺ ลุ -หะดษี วสั ซนุ นะฮฺ - อะฮลฺ ุล อะษัร และ - อฏั -ฏออิฟะฮฺ อลั -มนั ศเู ราะห์ ในแต่ละฉายานามหรือช่ือเรียกข้างต้นมีรายละเอียดและท่ีมาท่ีแตกต่างกันตามความคิดเห็น ของนักวิชาการมุสลิมชนรุ่นแรกและนักประวัติศาสตร์อิสลามดังต่อไปนี้ (ศอลิห บิน อับดุรเราะห์มาน อลั -ดะคี้ล , มปป. และ ศอลหิ อัล-ว้ริ ดานยี ์,มปป.และ มันนาอฺ อัล-กอ้ ฏฏอน,1989) คอื อะฮลฺ ิสซนุ นะฮฺ วัล-ญะมำอะฮ(ฺ ‫)أهل السنة والجماعة‬ อะฮฺลิสซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ เป็นคา 3 คา ท่ีประกอบด้วย อะฮฺลุ (‫ )أهل‬แปลว่า กลุ่มหรือ พวก อสั ซุนนะฮฺ (‫ )السنة‬แปลว่า แนวทางหรือแบบอย่างท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) และ อัล-ญะมาอะฮ์ (‫ )الجماعة‬แปลว่า กลุ่มหรือองค์กร ดังนั้นชื่อน้ีอาจแปลได้ว่า กลุ่มที่ยึดถือและปฏิบัติ ตามแนวทางท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) และนักวิชาการมุสลิมส่วนใหญ่หรือเรียกว่าญุมฮู้ร อัล-อลุ ะมาอฺ (‫)جمهورالعلماء‬ เก่ียวกับความหมายคาว่า อะฮฺลิสซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ ในเชิงภาษาและเชิงวิชาการ นักวิชาการไดใ้ หค้ วามหมาย ดงั ตอ่ ไปน้ี(ศอลิห บิน อับดุรเราะห์มาน อัล-ดะค้ีล (มปป.) คือ

12 คาว่า อัสซุนนะฮฺ หรือ อัสสุนัน4 ในเชิงภาษา คือ แนวทางหรือแบบอย่าง และคาน้ีได้ถูกนิยาม ในเชงิ ศาสนา หมายถึง คากลา่ ว หรอื ทกุ การกระทาของทา่ นนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ท้ังที่เป็น บัญญัติใช้ หรือบัญญัติห้าม ตลอดจนการส่งเสริมของท่าน ท่ีไม่ใช่บทบัญญัติจากคัมภีร์อัล-กุรอาน แต่ เป็นบัญญัติจากอัสซุนนะฮฺ ดังนั้นเราสามารถกล่าวได้ว่า น่ีคือหลักฐานจากคัมภีร์ อัล-กุรอาน และน่ีคือ หลักฐานจากอสั ซนุ นะฮฺ หรอื อัล-กรุ อาน และ อลั -หะดีษ ส่วนความหมายของ “อัสซุนนะฮฺ” ในเชิงวิชาการ นักวิชาการได้อธิบายว่า คาว่า อัสซุนนะฮฺ เป็นคาท่ีถูกเรียกแทนที่ในทุกๆ คาพูด การกระทา และการยอมรับของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซลั ลัม) และผู้ใดก็ตามท่ียดึ มน่ั กบั อัสซุนนะฮฺดงั กล่าวน้ี ก็เรียกว่า อะฮฺลิสซุนนะฮฺ หรือ ชาวซุนนะฮฺ ซ่ึง เป็นการช่ืนชมพวกเขา เช่นเดียวกับการตั้งฉายาให้กับผู้ที่ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามซุนนะฮฺ ว่า อะฮฺลุล- บิดอะฮ์ ซึง่ เป็นการตาหนพิ วกเขาทไ่ี มป่ ฏบิ ตั ิตามอสั ซนุ นะฮฺ (อะบลิ ฟะร้อญ อับดุรเราะห์มาน อิบนุ อัล- เญาซีย์ ,1982 และ มันนาอฺ อัล-กอ้ ฏฏอน,1989) หากแต่คาวา่ อัสซุนนะฮฺ ในความหมายของนักวิชาการแขนงอื่นๆ พวกเขาได้นิยามความหมาย ของอสั ซนุ นะฮฺ ด้วยความหมายท่ีแตกตา่ งกนั (อะบิล ฟะรอ้ ญ อบั ดุรเราะห์มาน อิบนุ อัล-เญาซีย์ ,1982 มันนาอฺ อลั -กอ้ ฏฏอน,1989 และ ศอลิห บิน อบั ดุรเราะหม์ าน อัล-ดะคี้ล ,มปป.) อาทิ เช่น นักวิชาการหะดีษ ได้นิยามคาว่า อัสซุนนะฮฺ ในทัศนะของพวกเขาว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจาก ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ไม่ว่าจะเป็นคากล่าว การกระทา การรับรอง ตลอดจน คุณลักษณะท่าทางและมารยาทของท่าน หรือวิถีชีวิตของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ไม่ว่า จะเกดิ ข้นึ กอ่ นหรือหลังการแตง่ ตั้งเปน็ นบีของทา่ นกต็ าม” ในขณะที่นักวิชาการหลักพ้ืนฐานอิสลาม(อุศูลียูน) ได้จากัดคานิยาม คาว่า อัสซุนนะฮฺ คือ“ทุก ส่งิ ท่มี าจากท่านนบี(ศอลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิ วะซัลลมั ) รวมถงึ คากลา่ ว การกระทา การรับรอง” ส่วนนักนิติศาสตร์อิสลาม(ฟุกอฮาอฺ) พวกเขาได้ให้ความหมายของคานี้ว่า “อัสซุนนะฮฺ เป็นคา ตรงกันข้ามกับคาว่า “วาญิบ” ท่ีแปลว่าสิ่งที่จาเป็นต้องทาถ้าฝ่าฝืนเป็นบาป ดังน้ัน คาว่าซุนนะฮฺ ใน ทัศนะนกั นติ ิศาสตรอ์ ิสลาม คือสิ่งทีท่ าแลว้ ได้ผลบุญแต่หากไม่ทาก็ไม่เป็นบาปและไม่ต้องรับโทษ ซ่ึงเป็น ความหมายเดียวกนั กับคาว่า “มสุ ตะฮับ”หรอื ส่งเสรมิ ให้ทา ในทศั นะของพวกเขา จากความหมายทั้งหมดที่กล่าวมา สรุปได้ว่าความหมายของอัสซุนนะฮฺ สรุปเป็นข้อๆดังน้ี (มัน นาอฺ อลั -ก้อฏฏอน,1989 และ ศอลิห บิน อบั ดรุ เราะห์มาน อัล-ดะค้ีล,มปป.) 1. อัสซนุ นะฮฺ คือ ทุกส่ิงทุกอย่างทีม่ าจากท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลยั ฮิ วะซลั ลัม) 2. อัสซนุ นะฮฺ คือ หะดีษของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลยั ฮิ วะซัลลมั ) 3. อัสซนุ นะฮฺ คือ การศรัทธาตอ่ ทา่ น (ศอลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิ วะซัลลมั ) 4. อสั ซุนนะฮฺ คอื การยดึ มั่นกับอลั -กรุ อานและซุนนะฮฺและแนวทางของบรรดาสาวกของ ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ท้ังในเร่ืองการศรัทธา(อะกีดะฮฺ)และเรื่องการ ปฏิบตั ิ (อิบาดะฮฺ) 5. อสั ซุนนะฮฺ คือ สิง่ ทตี่ รงกนั ข้ามกบั บดิ อะฮ์ 4 อสั ซนุ นะฮ(ฺ ‫)السنة‬เป็นคาเอกพจน์ สว่ น อสั สุนนั (‫ )السنن‬เป็นคาพหูพจน์

13 ส่วนคาว่า “อัล-ญะมาอะฮฺ” เป็นช่ือที่ใช้เรียกของกลุ่ม พวก หรือประชาชาติ ท่ียึดม่ันกับ แนวทางเดียวกันและจุดประสงค์เดียวกัน และพวกเขาไม่แตกแยกกันในหลักศรัทธาและหลักปฏิบัติ ดังนั้น กลุ่มอะฮฺลิสซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ คือชื่อท่ีใช้เรียกชนรุ่นแรก(สะละฟุศ ศอลิห) เริ่มจากบรรดา อัครสาวก(ศอหาบะฮฺ) ของท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) และผู้ท่ีปฏิบัติตามพวกเขาเรื่อยมา จนถงึ วันสุดท้าย(กิยามะฮฺ) (มันนาอฺ อัล-ก้อฏฏอน,1989 และ ศอลิห บิน อับดุรเราะห์มาน อัล-ดะค้ีล , มปป ) นอกจากนมี้ ีทศั นะอืน่ ๆทใี่ ห้ความเห็นตอ่ ความหมายของคาว่า “อัล-ญะมาอะฮฺ” เช่น บางท่าน เห็นว่า อัล-ญะมาอะฮฺ คือ กลุ่มคนส่วนใหญ่ กล่าวคือ มุสลิมหมู่มาก หมายถึง เอาจานวนหรือปริมาณ เป็นที่ตัง้ ซง่ึ อัล-ญะมาอะฮฺ ในนิยามน้ีอาจไม่ถูกต้องเสมอไป เนื่องจากปริมาณและจานวนที่มากกว่าใช่ ว่าจะถูกต้องเสมอไป และนักวิชาการบางท่านเห็นว่า “อัล-ญะมาอะฮฺ” คือนักวิชาการหรือนักฟื้นฟู อิสลามท่ที างานดว้ ยความจรงิ จัง และผู้ท่ีปฏิบัตติ ามอัสซุนนะฮฺแม้เขาจะมีตัวคนเดียวก็ตาม และทัศนะน้ี มนี ักวิชาการหลายทา่ นทสี่ นับสนนุ สว่ นบางทา่ นเหน็ ว่าเป็นทศั นะทแ่ี คบเกินไป (ศอลิห บิน อับดุรเราะห์ มาน อัล-ดะค้ีล ,มปป ) อัส-สลัฟ อัล-ศอลิห ความหมายของ “อัส-สลัฟ” ในเชิงภาษา หมายถึง ชนรุ่นก่อน บุคคลแรกเร่ิม หรือคนในอดีต เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย หรือบรรพชนรุ่นแรก อะบี มันซู้ร อัล-บัฆดาดีย์(1970) กล่าวว่า “สลัฟ สาหรับ มนษุ ยค์ อื ปู่ ยา่ ตา ยาย หรือผู้ท่ีล่วงลับไปก่อนพวกเขา เพราะเหตุนี้บรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามอัครสาวกหรือ ศอหาบะฮฺของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) และชนรุ่นแรกที่ตามหลังพวกเขา คือ(อัล-ตาบิ อีน) ทไ่ี ดล้ ว่ งลบั ไป พวกเขาถกู เรียกว่า อสั -สลัฟ อลั -ศอลหิ อัส-สลัฟ อัล-ศอลิห คือ ผู้ท่ีมาก่อนพวกเรา และพวกเขาเป็นตัวอย่างแก่พวกเรา ดังนั้นมันไม่ แตกต่างกันระหว่างความหมายเชิงภาษาและความหมายเชิงวิชาการ เพียงแต่นักวิชาการมีความเห็น แตกต่างกันเล็กน้อยว่าผู้ที่เป็นชาว “สลัฟ” พวกเขาเป็นใคร ยุคสมัยไหน และคุณลักษณะเช่นไร นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นว่า ชาวสลัฟ คือ ศรัทธาชนที่อยู่ในช่วง 3 ศตวรรษแรกแห่งประวัติศาสตร์ อิสลาม ท่ีประกอบด้วยบรรดาอัครสาวก (ศอหาบะฮฺ) ท่ีศรัทธามั่นต่อท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) บรรดาผู้ปฏิบัติตามศอหาบะฮฺ เรียกว่า (อัล-ตาบิอีน)5 และผู้ปฏิบัติตามอัล-ตาบิอีน เรียกว่า (ตาเบ้ียะ อัล-ตาบิอีน)6 พวกเขาได้ถูกยืนยันว่าเป็นมนุษยชาติยุคสมัยที่ดีที่สุด ดั่งตัวบทหะดีษของท่าน นบี(ศอลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิ วะซลั ลมั ) ทีว่ า่ }‫ ثم الذين يلونهم ثم الذين يلونهم‬،‫{خير الناس قرني‬ ความว่า “มนุษย์ท่ีดีท่ีสุดคือผู้(ศรัทธำ)ท่ีอยู่ในสมัยของฉัน หลังจำกนั้น(ผู้ศรัทธำ) ในยคุ สมยั ถดั ไปจำกพวกเขำ และหลังจำกนั้น(ผู้ศรัทธำ)ในยุคสมัยถัดไปจำกพวก เขำ” (บุคอรีย์ ,เลขทหี่ ะดีษ, 2509, และมุสลิม,เลขทหี่ ะดีษ, 6635 ) 5 อลั -ตาบอิ นี คอื ผู้ศรทั ธาทมี่ ีชวี ิตอย่ใู นชว่ งบรรดาศอหาบะฮฺบางทา่ นและพวกเขากเ็ จรญิ รอยตามบรรดาศอหาบะฮฺเหลา่ นนั้ 6 ตาเบีย้ ะ อลั -ตาบอิ นี คอื ผูศ้ รัทธาทมี่ ีชวี ติ อยู่ในชว่ ง อลั -ตาบีอีน และพวกเขาก็เจรญิ รอยตามบรรดาอลั -ตาบอี ีนเหลา่ นน้ั

14 จากหะดีษข้างต้นนักวิชาการส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าพวกเขาคือผู้ศรัทธาในยุค 300 ปีแรกแห่ง ประวตั ิศาสตร์อิสลาม และผทู้ ม่ี าหลงั พวกเขาเหลา่ น้นั กเ็ รยี กวา่ ชาว “คอลัฟ” คือ ผู้ศรัทธาท่ีมาภายหลัง จากสามรอ้ ยปแี รกแห่งอิสลาม จากคานิยามข้างต้นปรากฏชัดว่า บรรดาผู้ศรัทธาท่ีประเสริฐที่สุด คือ บรรดาอัครสาวก(ศอ หาบะฮฺ)ของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) และพวกเขาทั้งหลาย คือ ชนชาวสลัฟที่ประเสริฐ ทสี่ ุด และผูท้ ี่ดีท่ีสุดหลังจากบรรดาศอหาบะฮฺ คือ ผู้ที่ปฏิบัติตามพวกเขา(อัล-ตาบิอีน) หลังจากนั้นก็คือ ตาเบี้ยะ อัล-ตาบิอีน และหลังจากพวกเขาเหล่านั้น คือ ผู้ศรัทธาทุกคนท่ีปฏิบัติตามพวกเขา ไม่ว่าผู้นั้น จะมีชีวิตอยู่ช่วงเวลาใด และ สถานท่ีใดก็ตาม (ศอลิห บิน อับดุรเราะห์มาน อัล-ดะค้ีล ,มปป และ ฆอ ลบิ บนิ อะลี อาวาญยี ์,1997) ดงั นั้น นักวชิ าการทกุ ทา่ นเห็นวา่ ชาวสลฟั ไมไ่ ด้เจาะจงเฉพาะบรรดาอคั รสาวก(ศอหาบะฮฺ)ของ ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)เพียงเท่าน้ัน และไม่ได้เจาะจงเวลาแค่ 300 ปีแรกแห่งอิสลาม หากแตช่ าวสลัฟ คอื ผูท้ ยี่ ดึ ม่นั และปฏิบตั ติ ามแบบอย่างของชนรุ่นแรกท่ียึดม่ันในอัล-กุรอาน และอัสซุน นะฮฺ และบรรดาอัครสาวก(ศอหาบะฮฺ)ของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) อย่างเคร่งครัดและ ถกู ต้อง แมพ้ วกเขาจะอยู่ในยุคสมัยใดกต็ ามพวกเขาก็ยงั คงเป็นชาวสลฟั เชน่ เดยี วกัน อลั -ฟริ ็อค อันนำญยิ ะห์ (กลุ่มผู้รอดพ้น) คาว่า อัล-ฟิร็อค เป็นคาพหูพจน์ จากเอกพจน์ของคาว่า “อัล-ฟิรเกาะห์” ในเชิงภาษาแปลว่า กลุ่มหรือพวก ส่วนคาว่า อันนาญิยะห์ แปลว่า ผู้ท่ีได้รับความปลอดภัย หมายถึง ปลอดภัยจากไฟนรก ดังนั้นช่ือน้ีเป็นการบอกถึงลักษณะกลุ่มดังกล่าวว่า พวกเขาคือกลุ่มที่รอดพ้นจากไฟนรก โดยชื่อน้ีไม่ได้ เกี่ยวข้องกับกาลเวลา สถานท่ี หรือกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง คานี้เป็นชื่อเรียกสาหรับผู้ท่ียึดม่ันกับความถูกต้อง ตามคาสอนของอัล-กุรอานและอัสซุนนะฮฺ แม้จะผ่านช่วงเวลาต่างๆนานนับร้อยปีและหลายศตวรรษก็ ตาม (ศอลหิ บิน อับดุรเราะห์มาน อลั -ดะค้ีล ,มปป และ ฆอลิบ บนิ อะลี อาวาญยี ์,1997 ) ลักษณะของกลุ่มท่ีรอดพ้นจากไฟนรกนักวิชาการมุสลิมได้วิเคราะห์จากคากล่าวของท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลยั ฮิ วะซลั ลัม) ทว่ี า่ : ‫ كلها في النار إلا واحدة وفي رواية‬،‫{ستفترق أمتي على ثلاث وسبعين فرقة‬ }‫ ما أنا عليه وأصحابي‬:‫فمن الناجية؟ قال‬: ‫قيل‬ ความว่า“ ประชำติของฉันจะแตกแยกออกเป็น 73 กลุ่ม ทุกกลุ่มจะต้องตกนรก นอกจำกกลุ่มเดียวเท่ำนั้น ทันใดก็มีผู้ถามขึ้นว่า แล้วกลุ่มใดคือผู้ปลอดภัย? ท่าน นะบีจึงตอบว่า “กลุ่มที่ดำเนินตำม(แบบอย่ำง)ของฉันและศอหำบะฮฺของฉัน” (อะบูดาวู้ด,เลขที่หะดษี ,6655, และ อลั ติรมีซยี ์, เลขทหี่ ะดษี ,0562) จากหะดีษดังกล่าวช้ีชัดว่าผู้ที่ยึดมั่นกับแบบอย่างของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) และเหล่าบรรดาสาวกของท่านในการดาเนินชีวิต แน่นอนพวกเขาคือผู้ที่ปลอดภัยและรอดพ้นจากไฟ นรก และสิ่งท่ีท่านนบ(ี ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) และบรรดาศอหาบะฮฺของท่านดาเนินอยู่ก็คือ วิถี แหง่ อัล-กุรอาน และอัสซนุ นะฮฺ

15 ฉายาน้ีได้ปรากฏในตัวบทหะดีษ อย่างชัดเจน ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ได้ กลา่ วถงึ การแตกแยกของประชาชาติของท่าน และได้ยืนยันว่าทุกกลุ่มหลงผิดนอกจากกลุ่มเดียวซ่ึงเป็น กลุ่มที่รอดพ้น (อันนะญิยะห์) กลุ่มดังกล่าวนั้น คือ บรรดาอัครสาวก (ศอหาบะฮฺ) ของท่าน และผู้ท่ียึด ม่ันกับแนวทางของพวกเขา และฉายานามดังกล่าวนี้จะไม่เกิดข้ึนนอกจากกับชนชาวสลัฟ และผู้ที่เดิน ตาม และปฏิบัติตามบรรดาศอหาบะฮฺอย่างถูกต้องและบริสุทธิ์ใจ อะฮลฺ ุล-หะดีษ วสั ซุนนะฮฺ คาว่า อะฮฺลุ แปลว่า กลุ่มคน ส่วน อัล-หะดีษ คือ ตัวบทหะดีษหรือคาพูดของท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ส่วน คาว่า ซุนนะฮฺ ดั่งท่ีได้อธิบายไปแล้วข้างต้น คือ แบบอย่างของ ท่านนบีในทุกมิติ คาพูด การกระทา การยอมรับ ตลอดจนมารยาทของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ดังนั้น อะฮฺลุล-หะดีษ วัสซุนนะฮฺ คือบรรดาผู้ศรัทธาที่ยึดมั่นตามตัวบทหะดีษและแบบอย่าง ของทา่ นนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) และช่ือน้ีมีนักวิชาการหลายท่านที่ต้ังฉายานามแก่ชาวสลัฟ ว่าพวกเขาคือชาวอัล-หะดีษ เช่น ซัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมิยะฮฺ และผู้ที่เห็นด้วยกับท่าน (มันนาอฺ อัล- กอ้ ฏฏอน,1989 และ ฆอลบิ บิน อะลี อาวาญีย,์ 1997) การท่ีนักวิชาการเรยี กชาว สลฟั ว่า ชาวหะดษี และในบางครง้ั เรียกว่า ชาวซุนนะฮฺ แท้จริงพวก เขาไมไ่ ด้ต้องการทจี่ ะแบ่งแยกสองฉายาออกจากนั หากแต่ท้ังสองฉายามีความหมายเดียวกันและเป็นส่ิง เดียวกัน เพราะอัสซุนนะฮฺ ก็คืออัล-หะดีษ และอัล-หะดีษ คืออัสซุนนะฮฺ ตามที่นักวิชาการใช้เรียก บรรดารผู้รู้ด้านหะดีษที่เป็นชนชาวสลัฟ (มันนาอฺ อัล-ก้อฏฏอน,1989 และ ฆอลิบ บิน อะลี อาวาญีย์ ,1997) อย่างไรก็ตามมีข้อสงั เกตวา่ ชอ่ื เรยี กทวี่ ่าชาวซนุ นะฮฺบางครง้ั มเี ปา้ หมายเพือ่ ให้เข้าใจตรงกันข้าม ว่าพวกเขาไม่ใช่ชาวบิดอะฮ์ ดงั นั้นนักวิชาการบางท่านจึงนิยามชาวซุนนะฮฺกับชาวหะดีษแตกต่างกัน แม้ บางครั้งอาจจะใช้แทนกันได้ เน่ืองจากนักวิชาการกลุ่มน้ีเห็นว่า อาจเป็นไปได้ท่ีคนหนึ่งเป็นชาวซุนนะฮฺ ในเชิงปฏิบัติแต่ไม่ได้เป็นชาวหะดีษ หมายถึงไม่ใช่เป็นนักรายงานหะดีษหรือผู้รู้ในรายวิชาหะดีษ ดังน้ัน คาว่า ชาวหะดีษ ย่อมเป็นฉายานามที่ทรงเกียรติสาหรับผู้ศรัทธาท่ีนาหลักวิชาการทางหะดีษนามา ปฏิบตั ิอย่างถูกต้องครบถว้ น สมกบั ชาวอัล-หะดีษทพี่ วกเขาถกู เรยี กขานกนั (ศอลหิ อัล-ว้ริ ดานยี ์,มปป.) อะฮลฺ ุล อะษรั อะฮฺลุล อะษัร เป็นฉายานามที่ใช้เรียกกลุ่มอะฮฺลิสซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ อีกช่ือหนึ่ง พวกเขา คือผู้ศรัทธาที่ยึดมั่นกับบทบัญญัติที่ถูกประทานมาจากอัล-กุรอาน และอัสซุนนะฮฺ อย่างเคร่งครัด ทั่งน้ี เพราะคาว่า อัล-อะษัร ในเชิงภาษา หมายถึง ข่าวคราวท่ีได้ผ่านมา ส่วนความหมายในเชิงวิชาการ หมายถึง บทบัญญัติที่ถูกถ่ายทอดมาหรือถูกประทานมาจากพระองค์อัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา) คืออัล-กุรอ่าน และบทบัญญัติท่ีถูกถ่ายทอดมาจากท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) คือ หะดีษ หรือ ซุนนะฮฺ เป็นที่ชัดเจนว่า อัล-อะษัรในท่ีน้ี ไม่ใช่เป็นหนึ่งในประเภทของหะดีษท่ีรู้จักกันในวงนักวิชาการ หะดีษ ที่ได้แบ่งหะดีษออกเป็นหลายประเภท หนึ่งในนั้นคือหะดีษ อัล-มะอฺษูร หรือว่า อัล-อะษัร นั้นก็ คือหะดีษทสี่ ิ้นสดุ สายรายงานแคส่ าวก(ศอหาบะฮฺ) แตไ่ มถ่ ึงท่านนบี(ศอลลลั ลอฮุ อะลัยฮิ วะซลั ลมั )

16 ดงั นนั้ ชาวอัล-อะษัร คือ อะฮฺลิสซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ ที่ยึดมั่นและเคร่งครัดกับการปฏิบัติตน ตามอลั -กรุ อาน และอัล-ซนุ นะฮฺของท่านนบี และหลักการที่ถูกต้องจากชาวสลัฟ ท้ังศอหาบะฮฺและตาบิ อีน เพราะการปฏิเสธหลักการทถี่ กู ตอ้ งจากชาวสลัฟนนั้ ถอื วา่ เปน็ คณุ ลักษณะของผู้ที่อุตริกรรมในศาสนา (ชาวบิดอะฮ์) ท่หี ลงผิด (ศอลหิ บิน อับดุรเราะหม์ าน อลั -ดะค้ีล , มปป.) อฏั -ฏออิฟะฮฺ อัล-มันศเู รำะห์ อัฏ-ฏออิฟะฮฺ หมายถึง กลุ่มคน หรือพวกพ้อง ส่วนอัล-มันศูเราะห์ หมายถึง ผู้ที่ได้รับการ ช่วยเหลือ ดังนั้นฉายานามนี้ใช้เรียกชนรุ่นแรก(ชาวสลัฟ) ส่วนท่ีมาของช่ือนี้นักวิชาการต้ังขึ้นด้วยการ วเิ คราะห์จากคากล่าวของทา่ นท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลยั ฮิ วะซัลลัม) ทีก่ ล่าวไวว้ ่า ‫َخ{ا ََلل َاف َهت َزمال} َطا ِئ َفة ِمن أ َّم ِتي َع َلى ال َح ِق َظا ِه ِري َن َل َعد ِو ِهم َقا ِه ِري َن َلا َيض ُّرهم َمن‬ ความว่า “กลุ่มหนึ่งจำกประชำชำติของฉัน พวกเขำจะดำรงอยู่บนควำมถูกต้อง และสจั ธรรมตลอดไป พวกเขำจะมีชัยเหนือศัตรูของพวกเขำ ไม่มีผู้ใดท่ีจะสำมำรถ ทำรำ้ ยพวกเขำได้ ”(อะฮ์หมดั , เลขทห่ี ะดษี , 00302) นักวิชาการได้ให้ความหมายกลุ่มนี้ว่า มุสลิมทุกคนที่ยึดม่ันกับอัล-กุรอาน และอัสซุนนะฮฺ และ ปฏิบัติตามแนวทางของสาวก (ศอหาบะฮฺ) ของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) และผู้ที่ หลีกเล่ียงส่ิงอุตริกรรม (บิดอะฮ์) ต่างๆ และออกห่างจากกลุ่มคนที่ทาอุตริกรรม (ชาวบิดอะฮ์) และพวก เขาคือชาวอลั -หะดษี ทย่ี ดึ มัน่ กบั อัล-หะดีษทง้ั คากลา่ วและการกระทา อีกท้งั ผ้ทู ่อี ดทนและต่อสู้ในหนทาง ของอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา) พวกเขาเหล่าน้ีคือ ฏออิฟะฮฺ อัล-มันศูเราะห์ (ฆอลิบ บิน อะลี อา วาญีย,์ 1997 และ มนั นาอฺ อลั -กอ้ ฏฏอน,1989 ) คอื กลุ่มผูท้ ่ไี ด้รบั ความช่วยเหลอื จากอัลลอฮฺ ส่วนคาว่า อัน-นัศร แปลว่า ความช่วยเหลือ ซึ่งหมายถึง ความช่วยเหลือจากพระองค์อัลลอฮฺ (สุบหานะฮู วะตะอาลา)ที่จะเคียงคู่กับผู้ศรัทธาที่ถูกต้องเสมอไปจนกว่าจะถึงวันสิ้นสุดของโลก และ ดังกล่าวถือเป็นข่าวดีสาหรับผู้ท่ีอยู่บนแนวทางท่ีเที่ยงตรงและถูกต้อง โดยเฉพาะในภาวะที่ศัตรูมี แผนการมากมายท่ีจ้องทาลายพวกเขาทั้งในอดีตและปัจจุบัน แต่ด้วยความเมตตาของอัลลอฮฺ(สุบหา นะฮู วะตะอาลา) พระองค์ได้นาพาพวกเขาให้รอดพ้นและปลอดภัยจากแผนการต่างๆของผู้ไม่หวังดี และให้ทางออกแก่พวกเขาเสมอมา เพราะอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)ได้สัญญาว่าจะดูแลศาสนา ของพระองค์และผู้ยึดม่ันในศาสนาจนถึงวันอวสานของโลก และเมื่อผู้ใดท่ีช่วยดูแลศาสนาของอัลลอฮฺ (สบุ หานะฮู วะตะอาลา) พระองคไ์ ดส้ ญั ญาวา่ จะให้ความชว่ ยเหลือแก่พวกเขา และพระองค์จะตอบแทน ความดแี กพ่ วกเขาทั้งในโลกนี้และโลกหนา้ (ฆอลบิ บนิ อะลี อาวาญยี ,์ 1997) นักวิชาการบางทา่ นเข้าใจว่า หะดีษน้ีช้ีให้เห็นวา่ อานาจสงู สุดจาเป็นต้องอยใู่ นมือของอะฮฺลิสซุน นะฮฺ วลั -ญะมาอะฮฺ เพราะการที่จะเป็นกลุ่มที่ได้รับความช่วยเหลือ (อัล-มันศูเราะห์) อาจไม่จาเป็นต้อง เป็นรฐั บาลหรอื มีอานาจเสมอไป เพราะอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)จะช่วยเหลือพวกเขาด้วยวิธีการ ต่างๆ ท่ีไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ อาจด้วยการเป็นรัฐบาลหรือด้วยวิธีอ่ืนก็ได้ ทั้งนี้ด้วยความเมตตาของอัลลอฮฺ (สุบหานะฮู วะตะอาลา) ซึ่งในบางครั้งรัฐบาลอาจอยู่ในมือของอะฮฺลิสซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ และ

17 บางคร้ังรัฐบาลอาจอยู่ในมือของชาวบิดอะฮ์ (ผู้หลงผิด) แต่กลุ่มอัล-มันศูเราะห์พวกเขาจะถูกช่วยเหลือ ด้วยคาสัญญาของอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)(ศอลิห บิน อับดุรเราะห์มาน อัล-ดะค้ีล , มปป. และ ฆอลบิ บิน อะลี อาวาญยี ,์ 1997 ) จากคานิยามท้ังหมดของอะฮฺลิสซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ ที่กล่าวมา สรุปได้ว่า จากตัวบทหะดีษ ของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ที่กล่าวถึงมุสลิมจะแตกแยกออกเป็น 73 กลุ่ม และมีกลุ่ม เดียวเท่าน้ันที่ปลอดภัยจากไฟนรก คือ กลุ่มอะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ และนักวิชาการได้ให้ ความเห็นพ้องกันว่า กลุ่มอะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ คือ กลุ่มนักวิชาการหรือนักปราชญ์มุสลิมที่ ศรัทธาและมีความเห็นเป็นอันหน่ึงอันเดียวเก่ียวหลักการศรัทธา (เตาฮีด) คือ การให้ความเป็นเอกภาพ ต่ออัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)ผู้ทรงสร้าง ศรัทธาในความยุติธรรมของพระองค์ ศรัทธาในวิทย ปญั ญาของพระองค์ ศรัทธาตอ่ พระนามและลกั ษณะของพระองค์ นอกจากนั้นศรัทธาต่อบรรดานบี และ บรรดาผนู้ าสงู สุด และศรทั ธาตอ่ หลักการพน้ื ฐานของศาสนาท้ังหมด กลุ่มอะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ พวกเขาอาจจะมีความเห็นแตกต่างกันบ้างในประเด็นปลีกย่อยที่เกี่ยวกับสิ่งที่อนุมัติ (หะลาล) และสิ่ง ต้องห้าม (หะรอม) แต่การเห็นต่างของพวกเขาไม่มีใครตัดสินและช้ีขาดว่า ใครหลงผิดหรือใครคือผู้ ปฏเิ สธ เป็นต้น (อะบี มนั ซู้ร อัล-บฆั ดาดยี ์,1970) นอกจากน้ี ศอลิห อัล-ว้ิรดานีย์ (มปป.) ได้ขยายความถึงกลุ่มผู้ท่ีรอดพ้นและปลอดภัย (อัล-ฟิร เกาะฮ์ อลั -นาญียะฮ)ฺ ว่า พวกเขาคือผูท้ ีศ่ รัทธาและเชือ่ ในความเป็นเอกะของอัลลอฮฺพระผู้ทรงสร้าง ผู้ท่ี ศรัทธาและยนื ยนั (อิษบ้าต)ความเป็นนิรนั ดรและดงั้ เดิมของอลั ลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา) และพวกเขา ศรัทธาว่าชาวสวรรค์จะได้มองเห็นพระองค์อัลลอฮฺในโลกหน้า(วันอาคีเราะห์) พวกเขาศรัทธาในคัมภีร์ ของพระองค์อัลลอฮฺ และศรัทธาต่อบรรดานบีของพระองค์อัลลอฮฺ พวกเขาจานนในส่ิงที่อัล-กุรอานได้ อนุมัติและห้ามอย่างบริสุทธิ์ใจ พร้อมกับยอมรับซุนนะฮฺของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ท่ี ถูกต้อง พวกเขาศรัทธาต่อวันฟ้ืนคืนชีพและการรวมตัวกันของมนุษย์ในวันหน้า และพวกเขาศรัทธาใน การสอบสวนของเทวะหรือ(มะลาอีกะฮฺ) ในหลุมฝังศพ (กุโบ้ร) และพวกเขาศรัทธาในสระน้า(ฮู้ฎ) ของ ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)พร้อมกับศรัทธาต่อการช่ังน้าหนักความดีความช่ัวของมนุษย์(มี ซาน)ในโลกหน้า(วนั กียามะฮ) ดังน้ันใครก็ตามที่เช่ือและศรัทธาทุกประการท่ีกล่าวมาข้างต้น โดยไม่ได้ปะปนกับความเช่ือที่ อุตริกรรมของพวกนอกรีด (ฆอวาริญ) หรือพวกเลยเถิด (อัล-รอฟีเฏาะห์) หรือพวกที่ใช้อารมณ์เป็นที่ต้ัง พวกเขาเหล่าน้ันถือว่าเป็นผู้ท่ีปลอดภัยจากไฟนรก และพวกเขาคือกลุ่มอะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ พวกเขาถอื วา่ เปน็ ประชาชาติส่วนใหญ่ของมุสลิมและอิสลาม พวกเขาคือผู้ท่ีเลื่อมใสในอิหม่ามหะนะฟีย์ อิหม่ามมาลกิ ยี ์ อหิ มา่ มชาฟีอีย์ และอิหม่ามฮัมบาลีย์ เป็นต้น (อะบี มันซู้ร อัล-บัฆดาดีย์,1970 และ ศอ ลหิ อลั -วิร้ ดานยี ์,มปป.) 2.2) ประวตั คิ วำมเป็นมำของกลุม่ ซุนนะฮฺ เก่ียวกับประวัติความเป็นมาของกลุ่ม ซุนนะฮฺ หรืออะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ นักประวัติศาสตร์ได้กล่าวคล้ายๆกันว่า บรรดามุสลิมในขณะท่ีท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนอยู่กันอย่างเป็นเอกภาพและเป็นหนึ่งเดียว กระทั่งท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ไดล้ ม้ ป่วยจนเสียชีวติ ในเวลาต่อมา

18 อะบี มันซู้ร อัล-บัฆดาดีย์(1970) ได้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของกลุ่ม อะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ ว่า ความเห็นต่างหรือความแตกแยกครั้งแรกท่ีเกิดข้ึนในประวัติศาสตร์อิสลาม คือ หลังจากที่ท่านนบีได้เสียชีวิต เนื่องจากมุสลิมกลุ่มหน่ึงเช่ือว่าท่านนบีต้องไม่เสียชีวิต ด่ังเช่นพระเยซู (นบีอีซา อะลัยฮิส-สลาม) ท่ีไม่เสียชีวิตแต่พระองค์อัลลอฮฺได้นาร่างของพระเยซูขึ้นไปยังฟากฟ้า และ ความเช่ืออย่างนั้นยังคงมีอยู่ในหมู่ศอหาบะฮฺในขณะนั้น จนกระทั่ง อะบู บักร อัล-ศิดดี้ก(รอฏิยัลลอฮุ อันฮ)ุ ได้ยกหลักฐานจากอัล-กุรอานที่พระองค์ทรงกล่าวว่า (‫ ) إنك ميت وإنهم ميتون‬ความว่า “แท้จริง เจ้ำ(โอ้มุหัมมัด) ต้องเสียชีวิตและพวกเขำทุกคนก็ต้องเสียชีวิต”(อัล-ซูมัร ,39 : 32) หลังจากนั้นอะบู บกั ร อลั -ศิดดก้ี (รอฏียัลลอฮุ อนั ฮ)ุ ก็ไดก้ ล่าวย้าตอ่ ไปอกี ว่า }‫{ومن كان يعبد محمدا فإن محمدا قد مات ومن كان يعبد الله فإن الله حي لا يموت‬ ความว่า“และใครกต็ ำมที่บชู ำและกรำบไหวม้ หุ ัมมัด แท้จริงมุหัมมัดได้เสียชีวิตแล้ว และใครกต็ ำมท่ีบูชำและกรำบไหวพ้ ระองค์อัลลอฮฺ(สุบหำนะฮู วะตะอำลำ) แท้จริง พระองค์มชี ีวิตอยแู่ ละจะไม่มีวันตำย ”(อิบนุ หะญัร อลั -อัสกอลานยี ์ ,1986) โองการจากคัมภีร์อัล-กุรอ่าน และคากล่าวของอะบู บักร อัล-ศิดด้ีก (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ท่ีได้ กล่าวแก่บรรดาศอหาบะฮฺในวนั นนั้ ทาให้ความขดั แยง้ ในครงั้ นนั้ คลคี่ ลายและจบไปดว้ ยดี ตอ่ มาความขดั แย้งครั้งที่ 0 ไดเ้ กดิ ขนึ้ อกี ครั้งเมอ่ื บรรดาศอหาบะฮฺมีความต่างเก่ียวกับสถานที่ฝัง ร่างอันบริสุทธ์ิของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ชาวมุฮาญีรีนท่ีมาจากมักกะฮฺส่วนใหญ่มี ความประสงค์ท่ีจะนาร่างของท่านนบีกลับไปฝังที่นครมักกะฮฺซึ่งเป็นบ้านเกิดหรือสถานท่ีประสูติของ ท่าน พวกเขาอ้างเหตุผลว่าท่านประสูติและถูกแต่งต้ังเป็นนบีของอัลลอฮฺท่ีนครมักกะฮฺ นอกจากน้ีมัก กะฮฺยังมีกะบะฮฺอันเป็นกิบลัต7ของมุสลิม อีกท้ังต้นตระกูลของท่านก็ถูกฝังอยู่ที่นครมักกะฮฺ กล่าวคือ สุสานหรือกโุ บร์ของนบอี ิสมาอลี (อะลัยฮิ อลั -สลาม)ก็ฝงั อยู่ทมี่ ักกะฮฺ ในขณะที่ชาวมะดีนะฮฺส่วนมากให้เหตุผลว่า ร่างของนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ควรฝัง ไว้ที่นครมะดีนะฮฺ เน่ืองจากมะดีนะฮฺเป็นสถานที่ที่ท่านได้อพยพมาอาศัยและพานักอยู่ พร้อมกับได้รับ การชว่ ยเหลือจากผ้คู นนครมะดนี ะฮฺ นอกจากน้ีมีมุสลิมอีกกลุ่มมีความคิดเห็นว่าควรนาร่างของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลมั )ไปฝงั ยงั กรุงเยรูซาเล็ม หรือ (บัยตุล มักดิส) เน่ืองจากบัยตุล มักดิส เป็นสถานท่ีของปู่ทวดของ ทา่ น คือ นบอี บิ รอฮมี (อะลยั ฮิ อลั -สลาม) ได้ถกู ฝงั ไว้ที่นนั่ (อะบี มันซู้ร อัล-บัฆดาดีย์,1970 และ ศอลิห อลั -วร้ิ ดานีย์,มปป.) ในท่ีสุดการขัดแย้งหรือความเห็นต่างในครั้งนั้นก็จบลงหลังจากท่ีท่าน อะบูบักร อัล-ศิดดี้ก (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ได้ชี้แจงและกล่าวว่า “แท้จริงบรรดานบีน้ันเม่ือเสียชีวิตที่ใด ร่างของพวกเขาก็ ย่อมต้องฝังไว้ที่น้ัน” หลังจากน้ันทุกคนก็ยอมรับและได้ทาการฝังร่างของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ในบ้านของท่านซึ่งเป็นสถานที่เสียชีวิตของท่าน คือ บ้านของท่านหญิงอาอีชะฮ์ (รอฏียัลลอฮุ อันฮา) ในขณะนั้น และปัจจุบัน คือมัสญิดอัลนะบะวีย์ แห่งนครมะดีนะฮฺ ประเทศซาอุดิอารเบีย (อะบี มันซ้รู อัล-บฆั ดาดีย์,1970 ) 7 กิบลัต คือ ทศิ ท่ตี ั้งของกะบะฮฺ ณ มสั ยดิ อลั หะรอม นครมกั กะฮฺ ที่มสุ ลมิ ต้องหนั หน้าไปขณะละหมาดหรือศาสนกจิ อนื่ ๆ

19 ความขดั แยง้ ตอ่ มาหลงั จากท่านนบเี สียชีวติ ลง หมมู่ สุ ลมิ ในยคุ นั้นก็เกดิ การขัดแย้งกันถึงบุคคลที่ จะขึ้นเป็นผู้นาสูงสุด หรือที่เรียกว่าคอลีฟะฮฺ หรืออิหม่าม ที่ต้องปฏิบัติหน้าท่ีแทนท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) และเก่ียวกับเร่ืองนี้ชาวมะดีนะฮฺ หรือ(ชาวอันซ้อร) เสนอให้สะอัด บิน อุบบาดะฮฺ อัล-คอสรอญีย์ เป็นผู้นาสูงสุด (คอลีฟะฮฺ) 8 และพวกเขาพร้อมทีจะให้คาสัตยาบันแก่เขา ในขณะที่ชาว มกั กะฮ(ฺ ชาวกุร็อยช์) พวกเขาเห็นวา่ ผู้นาสงู สดุ ควรต้องเป็นชาวกุร็อยช์ไม่ใช่ชาวอันซ้อร โดยอ้างถึงวจนะ ของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ท่ีกล่าวว่า “แท้จริงกำรผู้นำสูงสุดต้องเป็นชำวกุร็อยช์ เท่ำนั้น” และจากหะดิษดังกล่าวทาไห้ชาวมาดีนะฮฺยอมจานนและยอมให้สัตยาบันต่อท่านอะบู บักร อัศ-ศิดดีก้ ในฐานะชาวกุรอ็ ยชท์ ไ่ี ด้รบั การเชอ่ื ถือ เมอ่ื บรรดาศอหาบะฮทฺ ้ังชาวมุฮาญิรีนและอันซ้อรยอมรับกับหะดีษดังกล่าว จึงมีการประชุมกัน เพอื่ เลือกบุคคลทเี่ หมาะสมทีส่ ดุ เปน็ คอลีฟะฮฺ(ผ้นู าสงู สดุ ) หลังจากการประชุมบรรดามุสลิมได้เห็นชอบที่ จะแตง่ ตงั้ และใหส้ ัตยาบันแก่ อะบู บักร อัล-ศิดด้ีก เป็นคอลีฟะฮฺ หลังจากอะบู บักร อัล-ศิดดี้ก ขึ้นเป็น คอลีฟะฮฺ ก็เกิดความขัดแย้งอีกครั้งเม่ือมีมุสลิมกลุ่มหน่ึงไม่ประสงค์บริจาคทานที่จาเป็น(ซะกาต) จาก น้ันอะบู บักร อัล-ศิดด้ีก ก็ส่ังให้พวกเขาบริจาคหรือจ่ายทานที่จาเป็นดังกล่าว เมื่อพวกเขาปฏิเสธจึง จาต้องยกทัพไปปราบปรามกับผู้ที่ฝ่าฝืนและตกศาสนา (มุรตัด) ดังกล่าว และหลังจากนั้นเหตุการณ์ก็สู่ ภาวะปกติ ตลอดช่วงระยะเวลาในยุคของอะบูบักร อัล-ศิดดี้ก ยุคของอุมัร อัล-ค้อฏฏ้อบ และ 5 ปี ใน ยคุ ของอุษมาน บิน อัฟฟาน (อะบุล ฟาตฮิ ซะฮร์ อสตานยี ์ ,1975) หลังจาก อุษมาน บิน อัฟฟาน ข้ึนเป็นผู้นาสูงสุด (คอลีฟะฮฺ) ประมาณ 5 ปี ก็เกิดความวุ่นวาย ข้ึนในหมู่มุสลิมจนกระทั่งอุษมาน บิน อัฟฟาน ถูกสังหาร และการเสียชีวิตของ อุษมาน บิน อัฟฟาน ก็ กลายเป็นประเดน็ ความขัดแยง้ ทีย่ าวนานจนถึงปัจจุบัน จากการขัดแย้งในคร้ังน้ันก็ทาให้เกิดสงครามอูฐ (ญะมั้ล) และสงครามศิฟฟีน9 และจากเหตุการณ์สงครามศิฟฟีนก็ทาให้มุสลิมแตกออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ สามกลุ่ม คือ กลุ่มชีอะห์อะลี บิน อะบีฏอลิบ กลุ่มชีอะห์มุอาวียะฮฺ และกลุ่มอัล-ฆอวาริญ คือ กลุ่มที่ไม่ ยอมรับท้ังสองฝ่าย และหลังจากน้นั กเ็ กิดกลุ่มต่างๆ มากมายพร้อมๆกับความวุ่นวายภายในสังคมมุสลิม ในยคุ นน้ั ต่อมาจึงเกิดขึ้นกลุ่มท่ีเชื่อว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกลุ่มอะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ วัล ญะมาอะฮ์ คือ กลุ่มท่ี ช่ือว่า “อัล-บัสรียะอ์” ซึ่งเป็นกลุ่มของหะซัน อัล-บัสรี และหลังจากกลุ่ม อัลบัสรียะฮ์ ก็เกิดกลุ่มอื่นๆ ตามมาท้ัง หะนะฟียะอ์ มะลิกียะฮ์ ชาฟิอียะฮ์ ฮัมบะลียะฮ์ และอื่นๆ ซ่ึงกลุ่มแนวคิดดังกล่าวถือเป็น กลุม่ อะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ วลั ญะมาอะฮฺ (อะบี มนั ซู้ร อลั -บัฆดาดยี ์,1970 ) จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวมา มีนักวิชาการยุคหลัง เช่น ศอลิห อัล-วิรดานีย์ (มปป.) ได้อธิบายเพิ่มเติมเก่ียวประวัติความเป็นมาของกลุ่มซุนนะฮฺว่า ความขัดแย้งและความเห็นต่างที่เกิดขึ้น ในหมู่มุสลิมเริ่มต้นขณะที่ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ได้ล้มป่วยลง กล่าวคือ ก่อนที่ท่านจะ เสียชวี ติ ขณะท่ีท่านลม้ ปว่ ยอยู่ หมู่มสุ ลิมมีความเห็นต่างเกี่ยวกับการเตรียมกองกาลังทหารเพื่อรับมือกับ กองทัพโรมัน ซึ่งท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ได้แต่งตั้งให้ อุสามะฮ บิน ซัยดฺ เป็นแม่ทัพ ในขณะนัน้ อสุ ามะฮฺมอี ายแุ ค่ 18 ปี จงึ ทาให้มุสลิมหรือศอหาบะฮฺบางท่านไม่เห็นด้วย เนื่องจากอุสามะฮ 8 ความขดั แยง้ เกยี่ วกบั ผู้นาสูงสุด(อิหม่าม)ยังคงมีจนกระท้ังปัจจุบัน มุสลิมบางกลุ่ม เช่น กลุ่มชีอะห์ที่เช่ือว่าผู้นาสูงสุดต้องมา จากครอบครวั ของทา่ นนบี(ศอลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิ วะซลั ลมั )หรืออะฮ์ลุ้ลบัยตเท่านั้น และมุสลิมนอกรีด(อัล-ฆอวาริญ)พวกเขาเชื่อและกล่าว วา่ ผู้นาสงู สุด(อหิ มา่ ม)ไม่จาเป็นต้องเปน็ ชาวกรุ อ็ ยช์เสมอไป(อะบุล ฟาติฮ ซะฮ์รอสตานีย์ ,1975) 9 ศิฟฟีน เปน็ ชื่อหมูบ่ ้านหนึง่ ในอดตี ทส่ี รา้ งโดยโรมนั ตง้ั อย่ทู างตอนใต้ของแมน่ ้ายูเฟรตีสของประเทศอรี ักและทางตอนเหนือ ของประทศซีเรียปัจจุบัน

20 ยังเด็กอาจด้อยประสบการณ์ ซึ่งพวกเขาต้องการให้ผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่าเป็นผู้นาทัพ หากแต่ เมื่ออะบู บักร อัล-ศิดด้ีก เตือนทุกคนว่าการแต่งต้ังดังกล่าวนั้นเป็นคาสั่งของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะ ลัยฮิ วะซัลลัม)ทม่ี ุสลิมทุกคนต้องเชื่อฟัง สุดท้ายความเห็นต่างก็ยุติลง และทุกคนต่างยอมรับเพราะเป็น คาสงั่ และการตดั สนิ ของทา่ นนบ(ี ศอลลัลลอฮุ อะลยั ฮิ วะซลั ลัม) ความขัดแย้งต่อมาเกิดข้ึนเม่ือท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)เสียชีวิตลง เพราะมุสลิม บางคนรับไมไ่ ดว้ า่ ท่านนบีตอ้ งเสยี ชวี ติ จนกระทง่ั อะบู บักร อัล-ศิดดีก้ ไดอ้ ่านโองการอัล-กุรอาน และย้า กล่าวแก่มุสลิม “ ใครก็ตามที่กราบไหว้มุหัมมัด แท้จริงมุหัมมัดได้เสียชีวิตแล้ว และใครก็ตามท่ีกราบ ไหว้อัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา) พระเจ้าของมุหมั มัด แท้จรงิ พระองค์คงมีชีวิตและไม่มีวันตาย” ดังท่ี กล่าวมาแล้วขา้ งต้นวา่ จากน้ันควาเหน็ ต่างกจ็ บลง ต่อมาความขัดแยง้ ไดเ้ กดิ ขน้ึ อีกในกรณีร่างอันบริสุทธ์ ของท่านนนบีว่าควรฝังที่ใด ถัดมาก็เห็นต่างเร่ืองผู้ท่ีจะมาเป็นผู้นาสูงสุด (อิหม่ามหรือคอลีฟะฮฺ) และ ตามดว้ ยความขดั แย้งเกย่ี วกบั ผูไ้ มบ่ รจิ าคทานทจี่ าเปน็ (ซะกาต) ความเห็นต่างอีกครั้ง คือ ก่อนที่อะบูบักร อัล-ศิดดี้ก จะเสียชีวิตท่านได้เห็นชอบให้อุมัร อัล- ค้อฏฏ้อบเป็นผ้นู าสูงสุด (คอลีฟะฮ)ฺ แทนท่าน แม้มีบางคนในบรรดามุสลิม(หรือศอหาบะฮฺ)ท่ีไม่เห็นด้วย แตส่ ุดท้ายด้วยบารมีของอุมรั อลั -ค้อฏฏอ้ บ ทุกอย่างก็จบลงด้วยดี (อะบลุ ฟาตฮิ ซะฮ์รอสตานีย์ ,1975) ความขัดแย้งต่อมาเกิดขึ้นในช่วงก่อนท่ีอุมัร อัล-ค้อฏฏ้อบ จะเสียชีวิตได้มีการประชุมกันในหมู่ มุสลิมว่าผู้ใดที่สมควรเป็นผู้นาสูงสุด(คอลีฟะฮฺ)แทนท่าน สุดท้ายท่ีประชุมมีมติให้อุษมาน บิน อัฟฟาน และหลงั จาก 6 ปี ท่ีอุษมาน บิน อัฟฟาน เป็นคอลีฟะฮฺ ก็เกิดความวุ่นวายขึ้นในหมู่มุสลิม กระทั้งความ ขดั แยง้ ในครง้ั นนั้ ทาให้เกิดสงครามอูฐและสงครามศิฟฟีน และต่อมาก็แตกออกเป็นพวกฆอวาริญด่ังที่ได้ กล่าวมาแล้ว และจากความขัดแย้งดังกล่าวกลุ่มต่างๆ ก็เกิดขึ้นมากมายในหมู่มุสลิม ซ่ึงก่อนหน้านั้นไม่ เคยมกี ล่มุ ไหนท่แี ตกแยกออกจากกัน (อะบุล ฟาติฮ ชะฮฺรอสตานยี ์,1975) เมื่อความเห็นต่างและความขัดแย้งได้ขยายเป็นวงกว้างข้ึนในหมู่มุสลิม ก็เริ่มมีคาพูด คากล่าว และความเชื่อที่ผิดเพ้ียน มีการกล่าวอ้างและรายงานคาพูด(หะดีษ)ของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) แบบผิดๆ มีการบิดเบือนจากความจริงโดยเฉพาะการกล่าวอ้างคาพูดที่เอนเอียงไปสนับสนุน ความเชื่อท่ีตนเองศรัทธา ทั้งฝ่ายท่ีช่ืนชอบท่าน อะลี บิน อะบีฏอลิบ และฝ่ายมุอาวียะฮฺ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุมา) และจุดน้ีเองทาให้มีการอ้างถึงหะดีษต่างๆที่ผิดเพี้ยนและบิดเบือน มีการกุหะดีษปลอมข้ึนเพื่อ สนับสนุนแนวคิดของตนเอง เม่ือทุกกลุ่มต่างก็อ้างตัวบทหะดีษจึงทาให้ต้องมีกระบวนการตรวจสอบหะ ดษี ว่าบทใดถกู ต้องและบทใดท่ีเปน็ หะดษี ปลอม ต่อมาก็มีคาถามเกิดข้ึนมาว่าตกลง กลุ่มอะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ ท่ีแท้จริง คือใครและ กล่มุ ใด? ในขณะน้นั จึงเขา้ ใจกันวา่ ผู้ทีป่ ฏิบัตติ ามครอบครวั ของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) (อะฮ์ลุ้ลบัยต) พวกเขาก็ถูกเรียกว่ากลุ่มชีอะห์ ในขณะท่ีอีกกลุ่มหนึ่งที่ต่างกับพวกเขา คือกลุ่มซุนนะฮฺ นอกจากน้ียังมีอีกกลุ่มท่ีถอยออกจากทั้งสองฝ่ายไม่เอาชีอะห์และไม่เอาซุนนะฮฺ พวกเขาคือพวกฆอวา รญิ (ศอลหิ อลั -วิรดานยี ์,มปป.) ดังน้ัน กล่าวโดยสรุปได้ว่า การแตกแยกของมุสลิมในยุคแรกๆ แตกออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ประกอบด้วย

21 1) อะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ คือ กลุ่มที่อยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์มุสลิมพวกเขา ถือ เป็นคนสว่ นใหญ่ 2) กลุ่มชีอะห์ คือ กลุ่มท่ีเล่ือมใสและศรัทธาในครอบครัวของท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลมั ) หรอื ท่เี รยี กวา่ อะหล์ ุ้ลบยั ต และพวกเขาไม่ยอมรับการปกครองของราชวงศ์มอุ าวียะฮฺ 3) กลุ่มอลั -ฆอวาริญ คอื กลมุ่ ทไ่ี มย่ อมรับทั้งสองกลุ่มขา้ งต้น หลังจากสามกลุ่มแรกดังกล่าวก็เกิดอีกกลุ่มหนึ่งข้ึนมา คือ กลุ่มอัล-มุรญีอะฮฺ เป็นกลุ่มหนึ่งท่ี ต้องการออกห่างหรือปลีกตัวออกจากกลุ่มท้ัง 3 ท่ีขัดแย้งกัน ทั้งฝ่ายมุอาวียะฮฺที่ไม่ยอมรับชีอะห์ และฆอวาริญ ในขณะที่ฝ่ายชีอะห์ก็ไม่ยอมรับมุอาวียะฮฺและฆอวาริญ สุดท้ายกลุ่มฆอวาริญก็ไม่ยอมรับ ทงั้ สองฝ่าย ดังน้ัน กลมุ่ อลั -มรุ ญอี ะฮฺ จงึ หลีกตวั ออกห่างจากทั้งสาม และกลุ่มดังกล่าวน้ีส่วนหนึ่งมาจาก บรรดาสาวก(ศอหาบะฮฺ)ของทา่ นนบี และสว่ นหนงึ่ คอื ผูป้ ฏิบัติตามศอหาบะฮฺ หรือท่ีเรียกกันว่า “อัล-ตา บีอนี ” (ศอลหิ อัล-วิรดานยี ์, มปป.) หลังจากอัล-มุรญีอะฮ์ ก็เริ่มเกิดขึ้น กลุ่มต่างๆอีกมากมาย เช่น กลุ่มแนวคิดของ อะบุล หะซัน อัล-บัสรีย์ คือ กลุ่มท่ีขอหลีกห่างจากโลกการเมืองและขอมีชีวิตแบบสรรมถะ ไม่ให้ความสาคัญกับทาง โลกโดยเฉพาะการเมืองที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะน้ัน หลังจากกลุ่มของ อะบุล หะซัน อัล-บัสรีย์ ก็มีกลุ่ม อัล-มอุ ตฺ ะซลิ ะห์ เกิดข้ึนตามมาอีก โดยกลุ่มน้ีออกมาตัดสินและช้ีขาดว่าผู้ท่ีทาบาปใหญ่ท้ังหลายทั้งอะลี และมุอาวยี ะฮฺ พวกเขาเหลา่ นัน้ จะอยูใ่ นสถานที่ระหว่างสวรรค์และนรก และหลังจากน้ันไม่นานแนวคิด ของอหิ มา่ มหะนะฟียห์ รืออลั -อะฮนฺ าฟ ก็เกิดขน้ึ ทป่ี ระเทศอรี กั แนวคิดอิหม่ามมาลีกีย์ เกิดขึ้นที่นครมะดี นะฮฺ และเพ่ือเป็นการตอบโต้กลุ่มอัล-มุอฺตะซิละห์ ที่มักจะใช้เหตุผลและปัญญาเป็นหลัก ก็เกิดอีกกลุ่ม ตามมาคือ กลุ่มอนุรักษห์ ะดีษ ซ่งึ กลมุ่ เหล่านี้ถือว่าเป็นกลุ่มของอิหม่ามฮัมบะลีย์ ซ่ึงเกิดขึ้นท่ีอีรักเช่นกัน และในยุคเดียวกันก็เกิดแนวคิดอิหม่ามชะฟีอีย์ ในประเทศอีรักแต่ต่อมาย้ายไปยังอียิปต์ นอกจากน้ันยัง มกี ลมุ่ อซั -ซุฟญานียะฮฺ ในอีรัก และกลุม่ อลั -เอาซาอียะฮฺ ทเี่ มืองชามหรอื ซเี รยี ตามลาดับ (อะบุล ฟาติฮ ซะฮร์ อสตานีย์ ,1975 และ ศอลหิ อัล-วริ ดานยี ์,มปป. ) มีกลุ่มใหม่ๆเกิดข้ึนอีก เช่น กลุ่มอัล-ญะบะรียะฮฺ และกลุ่มอัล-กอดะรียะฮฺ ที่พวกเขามี ความเห็นต่างกับกลุ่มซุนนะฮฺในประเด็นที่เกี่ยวกับลักษณะของพระองค์อัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา) และตอ่ มากเ็ กิดกลมุ่ อลั -ชาอีเราะฮ ของ อะบุล หะซัน อัล-อัชอะรีย์ ที่พยายามจะประสานหลักฐานจาก ววิ รณ์กับสติปญั ญาเขา้ ด้วยกัน และหลังจากน้ันก็ยังมีอีกกลุ่มเกิดข้ึนมา คือ กลุ่มอัล-มาตูรีดียะฮฺ (อะบุล ฟาตฮิ ซะฮร์ อสตานีย์ ,1975) จากประวตั ิความเปน็ มาของกลุม่ ซุนนะฮฺท่ีไดก้ ล่าวมาทั้งหมด นักวิชาการได้สรุปว่า ในช่วงเวลา น้ันในดินแดนอิสลาม ชาวมุสลิมได้ยึดถือแนวคิด(มัสฮับ)ต่างๆ ของกลุ่มซุนนะฮฺ ดังน้ี (ศอลิห อัล-วิร ดานยี ์ ,มปป. และ ฆอลบิ บิน อะลี อาวาญยี ,์ 1997) คอื -มุสลิมที่อาศัยอยู่แถบ บุคอรอ คุรอซาน และเปอร์เซีย จะยึดม่ันหลักการศรัทธา (อะกีดะฮฺ) ตามแนวคิดของ อลั -มาตูรดี ยี ะฮฺ -ส่วนมุสลิมท่ีอาศัยอยู่แถวประเทศทางตะวันออก พวกเขาจะยึดแนวคิด (มัสฮับ) อัล-หะนะฟี ยะฮฺ ในด้านหลกั การปฏบิ ตั ิ (ฟกิ ฮ)ฺ และแนวคดิ (มัสฮับ) อลั -มาตรู ดี ียะฮใฺ นดา้ นหลกั การศรัทธา

22 -ในขณะท่ีมุสลิมท่ีอาศัยอยู่ในประเทศชามหรือซีเรีย และอิยิปต์ พวกเขาจะยึดถือแนวคิด (มัสฮับ) อัล-ชาฟียะฮฺในด้านหลักการปฏิบัติ (ฟิกฮฺ) และแนวคิด (มัสฮับ) อัล-อัชอารียะฮฺในด้าน หลักการศรทั ธา -มุสลิมที่อาศัยอยู่ในแถบประเทศโมรอกโค และสเปน พวกเขาจะยึดถือแนวดคิด (มัสฮับ) มะ ลกี ยี ะฮใฺ นด้านหลักการปฏิบตั ิ (ฟิกฮ)ฺ และแนวคิด (มัสฮบั ) อลั -อชั อารียะฮใฺ นด้านการศรัทธา ทีกล่าวมาท้ังหมดน้ันเป็นประวัติความเป็นมาของกลุ่มอะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮ์ ต้ังแต่ ศตวรรษที่ 1-4 แห่งฮิเราะห์ศักราช และหลังจากนั้นก็ยังมีกลุ่มต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนอีกมากมาย ในทุกๆ ศตวรรษ ทง้ั น้ีถือเป็นการฟ้นื ฟูแนวคิดของกลุ่มอะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮ์ ที่พระองค์อัลลอฮฺ(สุบหา นะฮู วะตะอาลา) ทรงสัญญาไว้ว่า จะคุ้มครองความถกู ต้องของศาสนาอิสลามจวบจนวันอวสาน เช่น ใน ศตวรรษที่ 8 เกิดขึ้นกลุ่มของอิบนุ ตัยมียะฮฺ และในศตวรรษที่ 10 ก็มีกลุ่มวะฮาบียะฮฺ ของชี้คมุหัมมัด บิน อับดุลวะฮฺฮ้าบ และหลังจากนั้นก็ยังคงเกิดขึ้นมาซ่ึงกลุ่มซุนนะฮฺต่างๆจนปัจจุบัน ซ่ึงผู้วิจัยจะ นาเสนอในตอนตอ่ ไป 2.3) ประเภทตำ่ งๆของกลุม่ ซนุ นะฮฺ จากความหมายและประวตั คิ วามเป็นมาของกลุ่มซนุ นะฮฺท่ีได้กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า กลุ่มซุนนะฮฺ เร่ิมจากกลุ่มของอัล-หะซัน อัล-บัสรีย์ ซึ่งเป็นตาบีอีน(คือยึคหลังศอหาบะฮฺ)ที่ขอหลีกห่าง และไมย่ ุ่งเก่ียวกับความขัดแย้งทางการเมืองในขณะน้ันและปลีกตัวไปใช้ชีวิตอย่างสรรมถะ จากน้ันมาก็ เริม่ เกดิ กล่มุ แนวคิดต่างๆท่ีถือเป็นกลุ่มซุนนะฮฺจนถึงปัจจุบัน นักประวัติศาสตร์ได้กล่าวถึงประเภทต่างๆ ของอะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ โดยรวมว่า อะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ มีท้ังหมด 8 ประเภท (อะบี มันซู้ร อัล-บฆั ดาดีย์,1970 และ อลั -ชคี้ มุหมั มัด อะลี อัล-ตัสคีรีย,์ 2003) ดงั ตอ่ ไปนี้ คือ 1) ผู้รู้หรือนักปราชญ์ด้านหลักการศรัทธา (เตาฮ้ีด) กล่าวคือ ผู้ท่ีศรัทธาในความเป็นเอกะของ พระองค์อัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)และเช่ือในการเป็นนบีของมุหัมมัด(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) เช่ือในคาสัญญาต่างๆของอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)เก่ียวกับโลกหน้า(วันอาคีเราะห์) เชื่อในผลบญุ และผลบาปท่ีจะเกิดขึ้น และเชื่อในข้อตัดสิน(อิญติฮาด)ของผู้นา พวกเขาเป็นผู้รู้ท่ีเกี่ยวกับ คุณลกั ษณะของอลั ลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา) พวกเขาประกอบด้วยนักตรรกวิทยา(มุตะกัลลีมีน)พวก เขาไม่ใช่กลุ่มท่ีกล่าวว่าอัลลอฮฺเหมือนกับสิ่งถูกสร้างท้ังหลายที่เรียกว่า(มัคลูค)และพวกเขาไม่ปฏิเสธใน คุณลักษณะอันประเสริฐของพระองค์อัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา) พวกเขาคือผู้ท่ีห่างไกลจากพวก อตุ รกิ รรม(ชาวบิดอะฮ์)และผู้หลงผิด เช่น พวกอัล-รอฟีเฏาะ อัล-ฆอวาริญ และญะฮ์มียะฮฺ ตลอดจนผู้ท่ี ใชอ้ ารมณ์มาปะปนกับหลกั การศาสนาทุกประเภท 0) นักนิติศาสตร์อิสลาม หรือเรียกว่า(ฟูกอฮาอฺ)ทั้งผู้ที่ใช้หลักการทางเหตุผล(อัล-เราะอฺยี)หรือ ผู้รู้ท่ีใช้ตัวบทหลักฐานจากหะดีษเป็นหลัก พวกเขาคือผู้ที่เช่ือและศรัทธาในหลักการพ้ืนฐานของศาสนา อิสลาม เชื่อในลักษณะของอัลลอฮ(ฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา) เชื่อในความเป็นนิรันดร์ของพระองค์อัลลอฮฺ (สุบหานะฮู วะตะอาลา) และพวกเขาไม่ใช่กลุ่มทผี่ ปู้ ฏิเสธการกาหนดสภาวการณ์หรอื (ตักด้ีร)ของอัลลอฮฺ (สุบหานะฮู วะตะอาลา) พวกเขายืนยัน(อิซบ้าต)และศรัทธาว่ามนุษย์โดยเฉพาะชาวสวรรค์จะสามารถ มองเห็นพระองค์อัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)ด้วยตาเปล่าในโลกหน้า(วันอาคีเราะห์) พวกเขาเชื่อว่า

23 มนุษย์จะต้องฟื้นคืนชีพอีกคร้ังในสุสาน(กุโบร์)และเช่ือในวันรวมตัวกันหลังวันตายหรือ(มัฮซัร)พวกเขา เช่ือในวันสอบสวนและคาถามต่างๆ ในสุสาน เช่ือเก่ียวกับสระน้าของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลมั ) และการขา้ มสะพาน(สรี ้อฏ)และการช่วยเหลือ(ชาฟาอะฮฺ)ของทา่ นนบี พวกเขาเช่ือในการอภัย โทษของอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)สาหรับผู้ที่ไม่ต้ังภาคีต่อพระองค์ นอกจากน้ันพวกเขาเชื่อใน ความเป็นนิรันดรของชาวสวรรค์และชาวนรก เชื่อในการเป็นผู้นาสูงสุด(คอลีฟะฮฺ)ของอบูบักร อุมัร อษุ มาน และอะลี และพวกเขาช่ืนชมสรรเสริญชนรุ่นแรก(ชาวสลัฟ) พวกเขาเหล่าน้ันได้แก่ กลุ่มแนวคิด อีหม่ามหะนะฟีย์ มะลีกีย์ ชาฟีอีย์ และฮัมบาลีย์ รวมถึงอิหม่ามอัล-เอาซาอีย์ อัซเซารีย์ และอัซศอฮีรีย์ ตลอดจนนกั นติ ศิ าสตร์อนื่ ๆทีเ่ ชอื่ ในหลกั ตรรกวทิ ยาทไ่ี มป่ ะปนกับอตุ ริกรรมและอารมณ์ใฝ่ต่า 3) นักรายงานหะดีษ หรือ(รุว้าต) กล่าวคือ ผู้รู้เก่ียวกับการรายงานหะดีษของท่านนบี (ศอลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิ วะซัลลัม) พวกเขาสามารถแยกแยะระหว่างหะดีษท่ีถูกต้องและหะดีษท่ีบกพร่อง ได้ พวกเขารอบรู้ถึงสาเหตุการบกพร่องของหะดษี นั้นๆ และพวกเขาไม่ยุ่งเก่ียวกับส่ิงอุตริกรรมต่างๆของ ผู้ท่ีลมุ่ หลงในอารมณใ์ ฝต่ ่าของตัวเอง 6) นักภาษาศาสตร์อาหรับ หรือ(อัล-นุห้าต) คือผู้ท่ีรอบรู้เก่ียวกับหลักภาษาอาหรับ หลักไว ยกรณ์ในภาษาอาหรับ(นะฮู – ศอรฟ)ฺ พวกเขาถกู ขนานนามวา่ ผนู้ าทางภาษาอาหรับ เช่น อัล-คอล้ีล อิบ นุอาลาอฺ ซีบาวัยฮ์ อัล- ฟัรเราะอฺ อัล-อัคฟัช อัล-อัสมูอีย์ เป็นต้น รวมถึงนักวิชาการด้านภาษาอาหรับ ทง้ั จากนครกูฟะฮ์(กูฟียีน)และนครบ้าสรา(บสั รยี ีน)พวกเขาคือผู้ที่ไม่ปะปนความรู้ด้วยความคิดอุตริกรรม ทไ่ี ม่เชือ่ ต่อการกาหนดสภาวการณ์ของอัลลอฮฺ(สบุ หานะฮู วะตะอาลา)คือพวก(กอดารียะฮฺ) พวกอัลรอฟี เฏาะ หรืออัล-ฆอวาริญ ตลอดจนแนวคิดตา่ งๆ ทใ่ี ช้อารมณม์ ากกวา่ ซุนนะฮฺ 6) นักอ่านอัล-กุรอาน หรือ(กุ้รรออฺ) กล่าวคือ ผู้ที่รอบรู้และมีองค์ความรู้ท่ีเก่ียวกับหลักการ อ่านอัล-กุรอาน วิธีการอ่านท่ีหลากหลายวิธี รวมถึงผู้ที่รอบรู้เกี่ยวกับการอรรถาธิบายอัล-กุรอาน หรือ (อลั -มุฟสั สริ นี ) ผู้ท่เี ขา้ ใจวธิ ีการอธิบายอัล-กุรอานด้วยอัส-ซุนนะฮฺ และพวกเขาจะไม่อธิบายอัล-กุรอาน ตามอารมณข์ องตนเอง 5) นักบวชมุสลิม (อัล-ศูฟีย์) คือ มุสลิมท่ีละทางโลกเป็นผู้ที่สมถะ สวมเส้ือขนสัตว์ ผู้ที่พึงพอใจ กับส่ิงที่ตนเองมีแม้เพียงเล็กน้อย พวกเขาเชื่อว่า หู ตา และหัวใจ จะถูกสอบถามต่อหน้าพระพักตร์ ของอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)ในโลกหน้า พวกเขามุ่งมั่นกับคาตอบที่จะถูกสอบถามในวันหน้า พวกเขาเตรียมตัวและจัดเตรียมเสบียงเพื่อวันโลกหน้าอย่างจริงจัง พวกเขาอยู่ในแนวทางของผู้ที่ยึดม่ัน ในบทบญั ญตั ิ (อะฮลฺ ุ้ลหะดีษ) พวกเขาไม่พูดเรื่องไร้สาระ ไม่ต้องการคาชื่นชมยืนยอจากผู้ใด พวกเขาไม่ รู้สึกอับอายกับส่ิงที่พวกเขาเป็นอยู่ หลักศาสนาของพวกเขาคือการเชื่อและศรัทธาในความเป็นเอกะ ของอัลลอฮ(ฺ สบุ หานะฮู วะตะอาลา) และปฏิเสธแนวคดิ ท่ีเช่อื วา่ อลั ลอฮฺเหมอื นสงิ่ ถูกสร้างทั่วไป (มัคลู้ก) แนวทางของพวกเขา คือ การมอบหมายแก่อัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)ในทุกการงานที่ทา และ พอใจในทุกอยา่ งทอ่ี ลั ลอฮ(ฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา)ทรงประทานให้ นอกจากน้ีพวกเขาพยายามหลีกเล่ียง และปฏิเสธทกุ ความสวยงามและความสรุ ่ยุ สรุ า่ ยทางโลก 7) นักต่อสู้ในหนทางศาสนา หรือที่เรียกว่า (มุญาฮิดีน) คือ ผู้ที่อยู่ในสมรภูมิรบหรือสงคราม ศาสนา พวกเขาคอยดูแลความทุกข์ยากลาบาก หรือความเจ็บปวดของมุสลิมทุกคนที่ถูกรังแกจากผู้ไม่ หวังดี พวกเขาคอยปกป้องและต่อสู้กับศัตรูอิสลาม พวกเขาคือผู้ดูแลความเจ็บปวดของมุสลิมจากการ

24 ถูกทาร้ายและรังแก พวกเขายอมทอดทิ้งบ้านเรือนและครอบครัวของตนเองเพ่ือดูแลทุกข์สุขของมุสลิม พวกเขาอยู่บนแนวทางของอะฮ์ลิลซุนนะฮฺ วัลญามะอะฮฺ พวกเขาเหล่าน้ันคือผู้ท่ีต่อสู่ในหนทางศาสนา เพอ่ื อลั ลอฮ(ฺ สบุ หานะฮู วะตะอาลา) 8) มุสลิมท่ัวไปท่ีอาศัยอยู่ในพ้ืนที่ต่างๆ หรือประเทศต่างๆ ท่ีมีเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของ ความเป็นอะฮล์ ลิ -ซุนนะฮฺ ซง่ึ ไม่ใชป่ ระเทศของผตู้ ่อต้านและอคติต่อกลุ่มซุนนะฮฺโดยตรง ไม่ใช่ประเทศท่ี อยู่ภายใต้การปกครองของผู้หลงผิดหรือตามอารมณ์ใฝ่ต่า พวกเขาคือบุคคลทั่วไปที่เชื่อและมั่นใจใน ความถกู ตอ้ งของอะฮล์ ิล-ซุนนะฮฺ ทั้งในเรื่องของความยุติธรรมของพระองค์อัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอา ลา) เชื่อในความเป็นเอกะของอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา) เช่ือในผลตอบแทนท้ังดีและร้าย จากอัลลอฮ(ฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา) พวกเขาคอยทบทวนเร่ืองศาสนาจากผู้รู้ในหมู่พวกเขา คอยติดตาม และคอยปฏิบตั ติ ามในส่ิงอนุมัติ(หะล้าล)และส่ิงต้องห้าม(หะรอม)จากผู้รู้ของพวกเขา และพวกเขาจะไม่ หลงเชือ่ แนวคิดอตุ ริกรรมจากผู้ทห่ี ลงผดิ ท้งั หมดทก่ี ลา่ วมาข้างตน้ นน้ั พวกเขาถูกเรียกว่า อะฮฺลิสซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ คือ ผู้ที่ธารงอยู่ ในหลักการศาสนาอันเท่ียงธรรม อยู่ในหนทางท่ีถูกต้อง และพวกเขาจะได้รับความช่วยเหลือจาก พระองคอ์ ัลลอฮ(ฺ สบุ หานะฮู วะตะอาลา) ในการแสวงหาความสาเรจ็ ในโลกนี้และโลกหน้า อย่างไรก็ตามหากพิจารณาจากประเภทต่างๆที่กล่าวมา แสดงให้เห็นว่ามุสลิมทุกกลุ่มท่ีไม่ ผิดเพ้ียนจนเกินไป ไม่มีแนวคิดอุตริกรรมและบิดเบือนบทบัญญัติอิสลาม พวกเขามีสิทธ์ิและมีโอกาสที่ จะเข้าอยู่ในกลุ่มอะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮ์ หากแต่ในแต่ละกลุ่มหรือแต่ละแนวคิดอาจมีจุดเด่นท่ี แตกต่างกัน แต่ก็ยังอยู่ในกรอบและเงื่อนไขของกลุ่มอะฮฺลิสซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ ดังน้ันจึงไม่เป็นข้อ สงสยั ว่าหากแบ่งประเภทหรือกล่มุ ตา่ งๆจากอดตี จนถึงปจั จุบันพบว่ามหี ลายกล่มุ ที่ถือว่าเป็นกลุ่มซุนนะฮฺ ซึ่งผู้วิจัยขอนาเสนอเพียงชื่อกลุ่ม สถานที่และช่วงเวลาที่เกิดขึ้นของกลุ่มต่างๆ ในรูปของตาราง (ศอลิห อัล-วิ้รดานีย์,มปป.) และจะกล่าวถึงรายละเอียดกลุ่มซุนนะฮฺท่ีมีบทบาทในโลกปัจจุบันตามลาดับ ดังตอ่ ไปน้ี ตำรำงท่ี 1 แสดงลำดับ ช่ือกลมุ่ เวลำ และสถำนท่เี กิดของกลุ่มซนุ นะฮฺ ลำดบั ท่ี ช่ือกลุม่ ช่วงเวลำทเี่ กิด สถำนที่เกดิ 1 อลั -บัสรียะฮฺ ศตวรรษที่ 1 บสั เราะฮ ( อรี ัก) 2 อะฮน์ าฟ หรอื หะนะฟยี ะฮฺ ศตวรรษท่ี 2 กูฟะฮฺ ( อรี ัก) 3 อัล-มาลีกียะฮฺ ศตวรรษท่ี 2 มะดนี ะฮฺ (ซาอฯุ ) 4 อลั -เอาซาอียะฮฺ ศตวรรษที่ 2 ชาม (ซเี รยี ) 5 อัซ-ชาฟีอียะฮฺ ศตวรรษท่ี 3 อรี ัก 6 อซั -ซฟู ยี ะฮฺ ศตวรรษที่ 3 อีรัก 7 อลั -ฮมั บะลีย์ ศตวรรษที่ 3 อีรัก 8 อซั -ศอฮีรยี ะฮฺ ศตวรรษท่ี 3 อีรกั 9 อลั -อะชาอีเราะห์ ศตวรรษที่ 4 อรี กั 10 อลั -มาตรู ีดียะฮฺ ศตวรรษท่ี 4 บุคอรอ คุรอซาน อีหรา่ น 11 อลั -ฮัสมียะฮฺ ศตวรรษที่ 5 สเปน อันดารลุส

25 12 อบิ นุ ตัยมียะฮฺ ศตวรรษท่ี 8 ชาม (ซีเรีย) อียปิ ต์ 13 อลั -อะชาฮาเราะห์ ศตวรรษท่ี 10 ซาอฯุ อินเดยี 14 อัล-วะฮาบียะฮฺ ศตวรรษท่ี 12 อินเดีย ตุรกี 15 ญะมาอะฮฺ ดะวะฮฺตบั ลีฆ ศตวรรษท่ี 14 ปากีสถาน อยี ิปต์ 16 อะฮล์ ุล หะดีษ ศตวรรษท่ี 14 อยี ปิ ต์ อยี ิปต์ 17 อลั -นูรซียะฮฺ ศตวรรษที่ 14 เลบานอน อยี ิปต์ 18 อลั ญะมาอะฮฺ อัลอิสลามมียะฮฺ ศตวรรษที่ 14 อยี ิปต์ อยี ปิ ต์ 19 ญมั อยี ะฮฺ อัซซรั อยี ะฮฺ ศตวรรษท่ี 14 เยเมน อา่ วอาหรับ 20 อลั -ศอรุซซนุ นะฮฺ ศตวรรษที่ 14 ชาม (ซีเรีย) ปากสี ถาน 21 อลั -อิควาน อลั มสุ ลีมนี ศตวรรษที่ 14 ซาอุฯ อยี ปิ ต์ เยเมน ปากสี ถาน 22 หัซบู อลั -ตะฮ์รี้ร ศตวรรษที่ 14 อฟั กานีสถาน 23 อลั -กอ็ ตบยี ูน ศตวรรษที่ 14 24 ญะมาอะฮฺ อลั -ตกั ฟรี้ ศตวรรษที่ 14 25 อลั -ญฮี าด ศตวรรษที่ 14 26 อัล-มกุ บาลียะฮฺ ศตวรรษที่ 14 27 ญาฮีมาน ศตวรรษท่ี 14 28 อลั -อัลบานยี ูน ศตวรรษท่ี 14 29 ชะรอี ะฮฺ มุหัมมดั ศตวรรษท่ี 14 30 อัล-ซาลาฟยี ูน ศตวรรษท่ี 14 31 ญุนดู อซั ศอหาบะฮฺ ศตวรรษที่ 14 32 ฏอลบี ัน ศตวรรษที่ 14 จากตารางข้างต้น พบวา่ กลุ่มซุนนะฮฺท้ังหมดที่ปรากฏในตารางยงั มีผ้เู ล่ือมใสและปฏิบัตตามอยู่ จนกระทั่งปัจจุบัน นอกจาก 4 กลุ่ม ท่ีไม่หลงเหลือผู้เล่ือมใสและผู้ปฏิบัติตาม คือ กลุ่มอัล-ก็อตบียูน กลมุ่ ญะมาอะฮฺ อัล-ตกั ฟ้รี กลมุ่ อลั -ญีฮาด และกลุ่มญุนดู อัซศอหาบะฮฺ ส่วนรายละเอียดในแต่ละกลุ่มท่ี กลา่ วมาขา้ งต้นผ้วู จิ ยั ขอนาเสนอเฉพาะกลมุ่ ท่มี ีบทบาทโดดเด่นในยุคปัจจบุ ันพอสังเขปดงั ต่อไปนี้ 2.4) กลมุ่ ซุนนะฮฺที่มีบทบำทโดดเด่นในยุคปัจจุบัน หากจะกล่าวถึงกลมุ่ ซุนนะฮฺท่ยี ังมบี ทบาทอยใู่ นโลกปจั จุบันตามตารางท่ีได้นาเสนอมาคงปฏิเสธ ไม่ได้ว่า กลุ่มแนวคิดหรือ(มัซฮับ)หะนะฟียะฮฺ มาลีกียะฮฺ ชาฟีอียะฮฺ และฮัมบาลีย์ ตลอดจนอัล-อะชาอี เราะห์และอัล-มาตูรีดีอียะฮฺ ท่ีเกิดขึ้นในช่วงที่ 3 และท่ี 4 แห่งศตวรรษแรกของประวัติศาสตร์อิสลาม ในปัจจุบันแนวคิดดังกล่าวก็ยังคงมีบทบาทและเป็นท่ีรู้จักกันของมุสลิมท่ัวโลกรวมถึงมุสลิมในประเทศ ไทย หากแต่กลุ่มแนวคิดดังกล่าวในความเห็นของผู้วิจัยเป็นเสมือนแนวคิดหรือ(มัซฮับ)ท่ีโดดเด่นเฉพาะ ด้าน เช่น แนวคิดหรือ(มัซฮับ) หะนะฟีย์ มาลีกีย์ ชาฟีอีย์ และฮัมบาลีย์ เป็นกลุ่มแนวคิดที่โดดเด่นใน ดา้ นหลกั การปฏบิ ัติ หรือ(ฟิกฮฺ) ซึ่งเป็นกลุ่มแนวคิดท่ีรู้จักกันของมุสลิมส่วนใหญ่ และมุสลิมในประเทศ ไทยจะยึดถือแนวคิดหรือมัซฮับชาฟีอีย์เป็นส่วนใหญ่ ส่วนกลุ่มอัล-อะชาอีเราะห์ และอัล-มาตูรีดียะฮฺ เป็นกลุ่มแนวคิดที่โดดเด่นทางด้านหลักการศรัทธา (อะกีดะฮฺ) ซึ่งมุสลิมในแต่ละภูมิภาคอาจจะยึดถือ แนวคดิ หนง่ึ ในด้านฟิกฮฺและอีกแนวคดิ หนึง่ ในดา้ นอะกีดะฮฺด่งั ที่ได้กล่าวมาข้างต้น

26 อย่างไรก็ตามหากพูดถึงกลุ่มซุนนะฮฺที่มีบทบาทในยุคปัจจุบัน ที่คุ้นเคยกันหรือได้รับข้อมูล ข่าวสารอย่างต่อเน่ืองในเวทีระดับโลกและได้พูดถึงบ่อยครั้งบนเวทีระดับประเทศของไทยในปัจจุบัน ได้แก่ กลุ่มอลั -วะฮาบียะฮฺ กลุ่มอัล-ซะละฟีย์ กลุ่มญะมาอะฮฺ ดะวะฮฺตับลีฆ และกลุ่มอัล-อิควาน อัลมุส ลีมีน กลุ่มดังกล่าวน้ีผู้วิจัยจะขอนาเสนอโดยภาพรวมเพื่อให้เห็นถึงประวัตความเป็นมา แนวคิด และ บทบาทในการฟ้นื ฟอู ัสซุนนะฮฺ ของแต่ละกลุม่ ดงั รายละเอยี ดต่อไปนี้ 2.4.1) กลุ่มวะฮำบียะฮฺ วะฮาบียะฮฺ คอื ช่อื ของขบวนการฟืน้ ฟอู สิ ลาม โดยการนาของเชคมุหัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮฺฮ้าบ มีชีวติ อย่ใู นช่วง(1115-1206 ฮ.ศ.) ตรงกับ (1703 - 1791 ค.ศ.) ที่เมืองนัจด์ ในประเทศซาอุดิอาระเบีย หากแต่กลุ่มน้ีไม่ใด้ต้ังชื่อและเรียกกลุ่มของตนว่า กลุ่มวะฮาบียะฮฺ แต่จะเรียกกลุ่มของตนว่ากลุ่ม \"สะ ลาฟียะฮฺ\" หรือ \"สะลาฟียูน\" (อับดุลเลาะ หน่มสุข, มปป. และ มานิอฺ บินฮามิด อัลญุฮานีย์ ,0667 ) แนวคิดวะฮาบียะฮฺ เกิดข้ึนต้นศตวรรษท่ี 12 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช ซึ่งในช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาท่ีมุสลิม ส่วนใหญ่ละทิ้งหลักการอิสลามและแนวทางของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)มุสลิมส่วนใหญ่ มวั แต่หลงใหลและคล่ังไคล้กับเร่ืองไสยศาสตร์ เวทมนต์คาถา และการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะ ตะอาลา)ในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการเคารพสักการะ และการขอความช่วยเหลือและขอ ความคมุ้ ครองจากสุสาน(กุโบร)์ และคนตายทีต่ นเองนับถือ คาว่า วะฮาบียะฮฺ มาจากช่ือของบิดาที่ชื่อว่า อับดุลวะฮฺฮ้าบ ซ่ึงเขา มีบุตร 2 คน คือ มุหัมมัด และ สุไลมาน หากแต่ มุหัมมัด มีความรู้แตกฉานจนได้รับฉายานามว่า“ชัยคุลอิสลาม”เป็นผู้ฟื้นฟู อิสลามและเผยแพรศ่ าสนาอสิ ลามทถี่ ูกต้อง และได้ทาการปฏิรปู สังคมมุสลิมท่ีย่ิงใหญ่ในแคว้นนัจด์ และ ต่อมาแนวคิดของเขาได้แผ่ขยายออกไปยังท่ัวทั้งคาบสมุทรอาหรับ และกลุ่มประเทศอิสลาม การ เผยแพร่อสิ ลามของชัยคฺมหุ มั มดั บนิ อบั ดลุ วะฮฺฮา้ บ เปน็ การเผยแพร่ในแนวสลัฟ โดยยึดแนวทางมัซฮับ ฮัมบาลีย์ทางด้านฟิกฮฺ และแนวทางอัล-กุรอานและซุนนะฮฺทางด้านอะกีดะฮฺ (ซุฟอัน อุษมาน และอุ ษมาน อิดริส.2547) ชัยคฺ มุหัมมัด บิน อับดุลวะฮฺฮ้าบ เป็นผู้ท่ีมีไหวพริบที่ชาญฉลาดมีความรู้แตกฉาน มีความ เช่ียวชาญ พูดจาฉะฉาน ด้วยความกล้าหาญมีความฉลาดและมีไหวพริบ ทาให้บรรดานักวิชาการและ ผู้นาในสานกั ต่างๆ ไมอ่ าจจะเอาชนะท่านได้ในทุกคร้ังท่ีมีการอภิปรายกัน ทาให้นักศึกษาและผู้แสวงหา ความรู้ตามแนวทางสลัฟให้การสนับสนุนท่าน จึงทาให้ช่ือเสียงของท่านขยายไปท่ัวคาบสมุทรอาหรับ และในโลกอิสลามในฐานะเป็นผู้ปฏิรูปและเรียกร้องเชิญชวนบรรดามุสลิมให้กลับมายึดมั่นในคาสอน ของอิสลามทถ่ี กู ต้องจากอลั -กรุ อาน และอลั -ซุนนะฮฺ(หะซนั นิอมฺ ะตลุ ลอฮ, 2008 ) การเผยแพร่อิสลาม ของชัยคฺมุหัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ ได้รับการช่วยเหลือและสนับสนุน จากราชสานกั ของราชวงศส์ ะอูด ทาใหเ้ ขามฐี านอานาจในการเผยแพร่แนวคิดสลัฟจนบรรลุผล และฐาน อานาจดงั กลา่ วทาใหเ้ ขามีทา่ ทีท่ีแข็งกรา้ วต่อกลมุ่ ตรงข้ามในสมัยน้ัน คือ กลุ่มซูฟีย์ กล่าวคือ กลุ่มที่นิยม ความล้ีลับและคล่ังไคล้ในวิชาตะเซาวุฟ (การฝึกจิตภายใน)และจากกลุ่มซูฟีย์ได้เกิดสิ่งอุตริทางศาสนา ใหม่ๆ ข้ึน เช่น การเคารพสักการะนักบุญ หลุมฝังศพ เป็นต้น และอีกกลุ่มคือกลุ่มมุตะกัลลิมีน ซ่ึงเป็น กลมุ่ นกั เทววิทยาทีเ่ นน้ การเอาเหตุผลทางปญั ญา และทางตรรกวิทยามาอธิบายหลักความเช่ือในอิสลาม จนทาใหเ้ กิดความคลาดเคลือ่ นและเบี่ยงเบนจากความถกู ต้อง (อบั ดุลเลาะ หนม่ สขุ , มปป. ) ทาให้ มุหัม มัด อบิ นุ อบั ดลุ วะฮาบ ได้คัดค้านทั้งสองกลุ่มนี้อย่างแข็งกร้าว และได้ใช้ฐานอานาจท่ีมีปราบปรามส่ิงท่ี เป็นอุตริทางศาสนาหรือบิดอะฮฺอย่างได้ผล และเขาทาลายความเช่ือของสองกลุ่มน้ีอย่างรุนแรง ทาให้

27 คนเหล่านน้ั ต้ังตนเปน็ ศัตรแู ละประกาศให้คนทั่วไปเช่ือว่าส่ิงท่ีเขา คือ มุหัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ สอน นั้นเปน็ ศาสนาใหม่ ไมใ่ ชอ่ ิสลาม และกลา่ วหาว่าเขาสร้างลทั ธใิ หม่ท่ีชือ่ วา่ พวกวะฮาบีย์ (ซุฟอัน อษุ มาน และอษุ มาน อิดริส.2547 และ อบั ดุลเลาะ หน่มสขุ , มปป.) จากข้อมูลข้างต้นจึงเป็นไปได้ที่คนส่วนใหญ่เห็นว่า กลุ่มวะฮาบียะฮฺเป็นแนวคิดหัวรุนแรง ทั้งน้ี เนื่องจากการปราบปรามของมุหัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ ต่อมุสลิมท่ีทาอุตริกรรม และต้ังภาคีในสมัย นั้น เช่น การขอพรจากสุสานคนตาย การขอพรจากต้นไม้ เป็นต้น พวกเขาถูกปราบปรามโดยมุหัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ พร้อมกับกองทัพทหารของราชวงศ์สะอูดที่ได้สัญญาไว้ว่าจะช่วยเหลือท่าน กอง กาลังทหารได้ตัดต้นไม้บูชาและทาลายสุสานท่ีพวกเขาบูชาอย่างราบคาบ และมีการปะทะกันจนมีผู้คน ลม้ ตายจานวนไม่นอ้ ย จากการปราบปรามดังกลา่ วจงึ ทาใหม้ ุหัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ ถูกตาหนิและไม่ พอใจอย่างมากจากคนส่วนใหญ่ในขณะนั้น จึงทาให้ผู้ไม่หวังดีฉวยโอกาสนาเอาข้อตาหนิดังกล่าวมา ประโคมข่าวใหเ้ หน็ วา่ การเผยแพร่ศาสนาของกลุ่มวะฮาบีย์โดยมุหัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ เป็นแนวคิด ท่ีรุนแรงและสุดโต่ง และในที่สุดก็ทาให้มุสลิมส่วนใหญ่ตลอดจนบุคคลท่ัวไปเข้าใจว่ากลุ่มวะฮาบีย์เป็น กลุ่มหัวรุนแรงและสุดโต่ง ท้ังๆที่การเผยแพร่อิสลามของมุหัมมัด อิบนุ อับดุลวะฮาบ ไม่ได้มีอะไร นอกเหนือจากการเรียกร้องมุสลิมกลับมาปฏิบัติตามคาสอนอัล-กุรอานและอัสซุนนะฮฺ ดั่งบรรชนรุ่น กอ่ นยุคสามรอ้ ยปแี รกของอสิ ลาม (อะบลุ ฟัฏล อัล-บัรกอี ีย์, 2013) หากแต่การกล่าวหาดังกล่าวทาให้มุสลิมส่วนใหญ่ไม่กล้าท่ีจะศึกษาและปฏิบัติตามอัล-กุรอาน และอัล-ซุนนะฮฺ เพราะกลัวว่าตัวเองจะเป็นวะฮาบีย์ ซ่ึงดังกล่าวน้ันถือเป็นอุบายของผู้ท่ีไม่หวังดีต่อ อิสลามท่ีมแี ผนการเพ่อื ให้มสุ ลมิ ออกห่างจากอัล-กุรอานและอลั -ซุนนะฮฺ ตามทพ่ี วกเขาตอ้ งการ แนวคดิ ท่สี ำคัญของกลมุ่ วะฮำบยี ะฮฺ สาหรบั แนวคดิ ทีส่ าคญั ของกลุ่มวะฮาบียะฮฺ ซง่ึ โดยสว่ นใหญ่จะยึดถือแนวคิดของอิบนุ ตัยมียะฮฺ อบิ นกุ ัยยิม และมุหัมมัด บิน อับดลุ วะฮาบ พวกเขามีแนวคิดท่ีสามารถสรุปได้ดังนี้ (ซุฟอัน อุษมาน และ อุษมาน อิดรสิ .2547 และ อบั ดลุ เลาะ หน่มสขุ , มปป.) คือ 1) ยึดแนวปฏิบัติของอิหม่าม อะห์มัด อิบนุ ฮัมบัล (มัซฮับฮัมบะลีย์) ในเรื่องปลีกย่อยต่างๆ สว่ นในเร่ืองหลกั การศรทั ธา (อะกีดะฮฺ) ไมย่ ึดแนวทางของอหิ ม่ามคนใดเปน็ เกณฑ์แนน่ อน 2) เรียกรอ้ งใหเ้ ปดิ ประตูการอจิ ติฮาด (หมายถึง การวิเคราะห์ และวินิจฉัยหลักฐานต่างๆ ทาง ศาสนาเพื่อใหไ้ ด้มาซ่ึงข้อบญั ญัติของปัญหาตา่ งๆ) หลงั จากท่ีได้ถูกปดิ มานานต้ังแต่กรุงแบกแดดแตกจาก การโจมตขี องพวกมองโกลในปี ฮ.ศ.656 (ค.ศ.1235) 3) ยนื ยนั ในความจาเปน็ ท่จี ะตอ้ งยึดถือต่อคัมภรี ์อัล-กุรอาน และซุนนะฮฺ หมายถงึ แบบฉบบั ของท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลยั ฮิ วะซัลลมั ) 4) ยึดมน่ั ในแนวทางของอะฮฺลสิ ซุนนะฮฺวลั ญะมาอะฮ์ 5) เรียกร้องส่หู ลกั การใหเ้ อกภาพต่อพระผเู้ ปน็ เจา้ (เตาฮีด) อันบริสุทธ์ติ ามแนวทางของอนุชน รุ่นแรกของอสิ ลาม 6) เน้นหลักการให้เอกภาพต่อพระองค์อัลลอฮฺ (สุบหานะฮู วะตะอาลา) ในพระนามและ คุณลักษณะของพระองค์ (เตาฮีดอสั มาอฺ วศั ศิฟ้าต) 7) ตอ่ ต้านสิ่งเหลวไหลและอุตรกิ รรมทางศาสนาซึ่งแพร่หลายในสังคมอนั เน่อื งจาก ความโงง่ ม งายของผูค้ น

28 8) คัดค้านกลุ่ม นักบวชท่ีละทางโลก (ฏอรีเกาะฮ์ซูฟีย์) และ กลุ่มมุตะกัลป์ลีมีน (คือกลุ่มใช้ หลกั การทางเหตุผลมากกว่าบทบญั ญัติ) และส่งิ อุตริกรรมทางศาสนาทีก่ ลุม่ เหล่านี้สรา้ งขน้ึ มา 9) ต่อต้านการตง้ั ภาคี (ชริ ิก) ตอ่ พระองค์อัลลอฮฺ (สุบหานะฮู วะตะอาลา) ในทกุ รูปแบบ 10) ต่อตา้ นการเชอ่ื ฟงั หรือปฏิบัติตามผู้ใดอย่างคนตาบอดหูหนวก (ตักล้ีด) และเรียกร้องสู่การ ใหค้ วามรู้การคน้ หาหลกั ฐาน ด้วยความประสงค์ของอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)เพียงระยะเวลาไม่ก่ีปีหลักการศรัทธา (อะกดี ะฮฺ) ที่ถกู ต้องก็ได้แพรก่ ระจายไปยงั หัวเมืองต่างๆ ของแคว้นนัจด์ และยังแพร่กระจายไปยังแคว้น ต่างๆ และประเทศใกล้เคียงอีกด้วย เช่น อัลอะห์ซาอ์, อุมาน, หิญาซ, เยเมน, ดินแดนทางตอนใต้ ของอิรัค และนอกคาบสมุทรอาหรับอันเป็นผลทาให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย และเกิดการ เปลี่ยนแปลงที่สาคัญ (มานิอฺ บินฮามิด อัลญุฮานีย์ ,0667 และ ซุฟอัน อุษมาน และอุษมาน อิดริส. 2547) อาทิ เช่น 1) เกิดความต่ืนตัวของมุสลิมในการพัฒนา และลุกขึ้นมาแสดงพลังหลังจากที่ตกอยู่ในความ อ่อนแอไรเ้ กียรตมิ าโดยตลอด 2 ) เรียกร้องให้บรรดานักวิชาการหวนกลับมายึดรากฐานของศาสนาอิสลามท่ีถูกต้องไม่ว่าจะ เปน็ ทางด้านการศรัทธา หรือหลักปฏบิ ัติ 3 ) ขจัดความเช่อื ถือและความคิดท่ีงมงายออกไปจากจิตใจของมสุ ลมิ 4) ปลุกเร้าให้มุสลิมมีความสนใจทางด้านการศึกษาเพื่อยกระดับฐานะให้ทัดเทียมกับ อารยประเทศ และ 5) ทาใหม้ ีนักปฏิรูปที่สาคัญเกิดข้ึนในโลกอิสลามเพื่อเรียกร้องบรรดามุสลิมให้มีความรัก ความ หวงแหนศาสนาอิสลามและมคี วามตระหนักวา่ มุสลิมเปน็ พนี่ อ้ งกนั อย่างไรก็ตามจากผลงานท่โี ดดเดน่ และบทบาทของกลุ่มวะฮาบียะฮฺ แนวคิดดังกล่าวได้กระจาย ออกไปยังทุกประเทศมุสลิมโดยเฉพาะโลกอาหรับ และอิธิพลของกลุ่มน้ียังทาให้เกิดกลุ่มอื่นๆตามมา เช่น กลุ่มอลั -สะละฟีย์และกลมุ่ อนั ศอรสุ ซนุ นะฮฺ ซึง่ ผูว้ จิ ยั จะนาเสนอพอสงั เขปดงั น้ี กลมุ่ อลั -สะละฟีย์ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มท่ีเกิดจากแนวคิดของกลุ่มวะฮาบีย์ กลุ่มน้ีกระจายอยู่ทั่วโลกด้วยช่ือเรียกท่ี แตกต่างกนั หากแต่กลุ่มนม้ี ชี อื่ เสยี งและขยายตัวเร็วในประเทศอียิปต์ช่วง 1572 แห่งคริสตศักราช กลุ่ม น้ีเป็นกลุ่มท่ียึดมั่นในแนวคิดของชนขาวสลัฟ คือชนรุ่นแรกที่เรียกพวกเขาว่า อะฮฺลิส-ซุนนะฮฺ วัลญะ มาอะฮฺ กลุ่มสะละฟยี ์ ยดึ ม่ันและเครง่ ครัดในความเช่ือของอสั ซุนนะฮฺ และหลีกเล่ียงจากการปฏิบัติตาม กลุ่มใดๆที่ใช้เหตุผลมากกว่าบทบัญญัตจากอัล-กุรอานและอัสซุนนะฮฺ กลุ่มน้ีจะไม่ยุ่งเก่ียวกับการเมือง หรือการขบวนการเคล่ือนไหวใดๆ พวกเขาเช่ือว่าการเมืองหรือการเคลื่อนไหวไม่ใช่แนวทางของชน ชาวสลัฟ ด้วยเหตุดังกล่าวกลุ่มน้ีจึงปฏิเสธกลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ เช่น กลุ่มญีฮาดีย์ กลุ่มตักฟีรีย์ กลุ่ม ซูฟีย์ เพราะสะละฟีย์ถอื ว่ากลมุ่ เหล่านี้เป็นกลุ่มที่ห่างไกลจากอะกีดะฮฺหรือหลักความเช่ือของสะลัฟ (ศอ ลิห อลั -ว้ริ ดานีย์,มปป.และ มานิอฺ บนิ ฮามดิ อลั ญฮุ านยี ์ ,0667 )

29 ส่วนแนวคิดสาคัญของกลุ่มสะละฟีย์ พวกเขามีความเชื่อและศรัทธา ดังต่อไปนี้ (ศอลิห อัล-วิ้ร ดานีย,์ มปป.และ มานิอฺ บนิ ฮามดิ อลั ญุฮานีย์ ,0667 ) คอื 1. ความเช่อื หรืออะกดี ะฮฺต่างๆท่ีขัดแย้งกับอลั -กรุ อานและอสั ซุนนะฮฺ ถือวา่ เป็นความเช่ือ ทผี่ ิดและจาเป็นจะต้องทาลาย 2. กลุ่มสะละฟีย์ เชื่อว่าทุกอย่างที่เพ่ิมเติมหรือบกพร่องในบทบัญญัติศาสนา ท้ังในด้าน หลักการศรัทธา (อะกีดะฮฺ) หลักการปฏิบัติ (อิบาดะฮ) และหลักคุณธรรมจริยธรรม (อฮิ ซาน) ท้งั ที่เปน็ ศาสนกิจหรือพิธีกรรมทางศาสนาถือเป็นอุตริกรรม (บิดอะฮฺ) ที่ต้อง ปฏเิ สธ 3. ทางนา(ฮดิ ายะฮฺ)ตอ้ งมาจากพระองค์อลั ลอฮฺ(สบุ หานะฮู วะตะอาลา)และท่านนบมี หุ ัม มัด(ศอลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิ วะซัลลมั ) เท่าน้นั 4. กลุม่ สะละฟยี ์ เชอื่ ว่าสงครามทางศาสนา(ญฮิ า้ ด)จะเกิดขนึ้ ได้ก็ตอ่ เมือ่ มีระบบการ ปกครองโดยรฐั อิสลาม (แบบคอลีฟะฮฺ)เทา่ น้ัน 5. กลมุ่ สะละฟยี ์ ยดึ มนั่ ในแนวทางของชนรุ่นแรก (ชาวสะลฟั ) ทง้ั ในดา้ นหลกั การศรัทธา (อะกีดะฮฺ) หลกั การปฏิบตั ิ (อิบาดะฮ) และหลักคุณธรรมจริยธรรม (อฮิ ซาน) 6. กล่มุ สะละฟยี ์ ใหค้ วามสาคัญกบั องคค์ วามรู้ทางศาสนา และตอ่ ต้านอุตริกรรมและ ความเชอื่ ต่างๆ ทห่ี ลงผิด กลมุ่ สะละฟีย์มีนักวิชาการที่โดดเด่นมากมายโดยเฉพาะที่อียิปต์ นักปราชณ์ของกลุ่มสะละฟีย์มี งานเขยี นมากมาย หากแตง่ านเขียนของพวกเขาจะไม่ให้ความสาคัญกับองค์ความรู้ท่ีเกี่ยวกับการดาเนิน ชีวิตประจาวัน แต่งานเขียนของกลุ่มสะละฟีย์ จะเน้นไปในทางธรรมหรือโลกหน้าเท่าน้ัน เช่น ชีวิตใน สุสาน (กุโบร์) ชีวิตในโลกหน้า (กียามะฮ) ความเชื่อต่อสรรค์และนรก และอันตรายของการต้ังภาคี (ชี ริก) อันตรายของการทาอุตริกรรมในศาสนา (บิดอะฮ์) อันตรายของไสยศาสตร์และเวทมนต์คาถา เป็น ตน้ (ศอลหิ อัล-วิร้ ดานีย์,มปป.และ มานอิ ฺ บนิ ฮามดิ อลั ญฮุ านีย์ ,0667) กลุ่มสะละฟีย์มีความสัมพันธ์อย่างแน้นแฟ้นกับกลุ่มวะฮาบีย์ พวกเขามีความเห็นพ้องกันใน ประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับหลักการศาสนา มีการช่วยเหลือกันและมีการช้ีแนะในการเผยแพร่แนวคิดให้แก่ กนั และผลของความเคร่งครดั ตามแนวคิดกลุม่ สะละฟยี ์ ทาให้เกิดกลุ่มทเี่ ลยเถิด เช่น กลุ่มตักฟี้ร ซึ่งเป็น กลุ่มท่ีชอบตัดสินกลุ่มอ่ืนๆว่าตกศาสนา (เป็นกาฟี้ร) กลุ่มสะละฟีย์เป็นกลุ่มที่ให้ความสาคัญกับเรื่อง หลักการศรัทธา (เตาฮีด) เป็นส่วนใหญ่ และกลุ่มน้ีจะมีผู้ท่ีเล่ือมใสส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเยาวชน ไม่มี ประสบการณช์ วี ิต ขาดความรอบคอบในการใช้ความคิด และบ่อยคร้ังท่ีพวกเขาปฏิบัติตนไร้มารยาทต่อ ผู้ท่คี ิดตา่ งอย่เู สมอ (ศอลหิ อัล-ว้ริ ดานีย์,มปป. และ มานอิ ฺ บนิ ฮามิด อัล-ญุฮานีย์ ,0667) กลมุ่ อนั ศอรุส ซนุ นะฮฺ อันศอรุส ซุนนะฮฺ แปลว่า กลุ่มพิทักษ์และช่วยเหลือซุนนะฮฺ กลุ่มน้ีเกิดขึ้นที่ประเทศอียิปต์ เชน่ กนั กลุ่มนี้ได้ก่อตัวขึ้นท่ีมหาวิทลัยอัล-อัซฮ้ารกรุงไคโร ในปี 1505 โดยเชคมุหัมมัด หามิด อัลฟะกีย์ และกล่มุ นเี้ ป็นแนวคิดที่สนบั สนุนแนวคิดวะฮาบีย์ กลุ่มนี้จะเผยแพร่แนวคิดตามมัสญิดต่างๆท่ีพวกเขามี โอกาสหรือเป็นเจ้าของ กลุ่มอันศอรุส ซุนนะฮฺ มักจะขัดแย้งและประกาศเป็นฝ่ายตรงข้ามกับกลุ่มซูฟีย์ และกลุ่มอื่นๆท่ีไม่เหมือนกับพวกเขา แนวคิดกลุ่มน้ีจะยืนหยัดและให้ความสาคัญกับแนวคิดกลุ่มวะฮา

30 บีย์ แนวคิดนี้เกิดขึ้นท่ีอียิปต์และขยายตัวไปยังประเทศใกล้เคียง เช่น ซูดาน อิลิตเตรีย เป็นต้น (ศอลิห อัล-ว้ริ ดานยี ์,มปป. และ ฆอลบิ บิน อะลี อาวาญยี ์,1997) แนวคดิ สำคัญของกลุม่ อนั ศอรสุ ซนุ นะฮฺ ส่วนความเชื่อและแนวคิดสาคัญของกลุ่มอันศอรุส ซุนนะฮฺ มีรายยละเอียดดังต่อไปน้ี (ศอลิห อลั -วริ้ ดานีย,์ มปป.และ ฆอลิบ บิน อะลี อาวาญีย์,1997) คือ 1) เนน้ การเผยแพร่หลักการศัทธา (เตาฮ้ีด) และความเป็นเอกภาพของพระองค์อัลลอฮฺ (สุบหา นะฮู วะตะอาลา) ผู้ทรงบริสทุ ธ์ิ 2) หา่ งไกลจากส่ิงอตุ รกิ รรม (บิดอะฮ์) และสิง่ แปลกปลอม (คอรอฟ้าต) ในศาสนาทุกประการ 3) พยายามเผยแพร่และส่งเสริมให้เกิดข้ึนซ่ึงสังคมมุสลิมตามบัญญัติอัล-กุรอานนและอัล-ซุน นะฮทฺ แี่ ทจ้ รงิ 4) เน้นการเผยแพร่อิสลามและฟื้นฟูศาสนาด้วยทางนาแห่งชนรุ่นแรก (ชาวสะลัฟ) และตาม วิถที างของบรรดานกั ปราชญ์ชาวซนุ นะฮฺ 5) ต่อต้านกลุ่มอ่ืนๆ ท่ีมีความเห็นแตกต่าง โดยเพาะกลุ่มซูฟีย์ และคอยตักเตือนประชาชน มุสลิมไม่ใหเ้ ขา้ ใกลก้ ล่มุ ซฟู ีย์ และ 6) พยายามส่งเสริมความเป็นเอกภาพของมุสลิมภายใต้ความเชื่อและหลักการของชนรุ่นแรก (สะลฟั ) โดยรวมแลว้ กลมุ่ นคี้ ลา้ ยกับกลมุ่ สะละฟีย์ เช่น ไม่ให้ความสาคัญกับชีวิตทางโลก ไม่เห็นด้วยกับ กลมุ่ เคลือ่ นไหวต่างๆ ทางการเมือง ส่วนผู้เลื่อมใสก็จะเป็นกลุ่มเยาวชนเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเยาวชน คนรุน่ ใหม่ทร่ี กั และเคร่งศาสนา แตไ่ มม่ ปี ระสบการณ์ กลุ่มน้ีให้ความสาคัญกับการเรียกร้องไปสู่หลักการ ศรัทธา (อะกีดะฮฺ) และเป็นกลุ่มที่มีความสัมพันธ์กับวะฮาบีย์ โดยเฉาะผู้ท่ีมีชื่อเสียงของวะฮาบีย์ใน ปจั จุบนั เช่น ชคี้ บินบา้ ซ ช้ีคฮซู ัยมีน และ ชี้คอลั บานี เป็นต้น (ศอลิห อลั -วิร้ ดานีย,์ มปป.) สาหรับกลุ่มอันศอรุส ซุนนะฮฺ มีวารสารท่ีช่ือว่าทางนาแห่งนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ต่อมาได้เปล่ยี นชอ่ื เปน็ วารสารเตาฮ้ีด และยังมีอยู่จนถึงปัจจุบัน เน้ือหาส่วนใหญ่จะโจมตีกลุ่มซูฟีย์ และ พวกเขามักจะกล่าวว่ากลุ่มซูฟีย์เป็นกลุ่มท่ีอุตริกรรมและกลุ่มท่ีหลงผิด กลุ่มน้ีค่อนข้างต่อต้านและมี ความคดิ เห็นทรี่ นุ แรงตอ่ กลุ่มอื่นๆ เช่น แนวคิดซิคคิวล่า และแนวคิดชีอะห์ เป็นต้น(ศอลิห อัล-ว้ิรดานีย์ ,มปป.และ ฆอลบิ บิน อะลี อาวาญีย์,1997 ) 2.4.2) กลมุ่ ญะมำอะฮฺ ดะวะฮตฺ บั ลีฆ จุดเร่ิมต้นญะมาอะฮฺ ดะวะฮฺตับลีฆ มาจาก เมาลานาอิสมาอีล ผู้เป็นพ่อของเมาลานา อิลยาส เขาพานักอยู่ที่นีศอมุดดีนอย่างสันโดษ อยู่ในบ้านบนกาแพงแดงใกล้กับมัสญิดบังเลอวาลี ได้ก่อตั้ง โรงเรียนสอนศาสนาทมี่ ัสญดิ บังเลอวาลขี นึ้ ได้นาชาวเมวตั มาเรียนศาสนา แล้วส่งกลับไปเมวัตเพ่ือให้คน เหล่านั้นกลับไปฟ้ืนฟูศาสนา เมาลานาอิลยาส ก็เห็นด้วยกับวิธีการของเมาลานาอิสมาอีล จึงสืบทอด เจตนารมณ์แล้วเดินทางไปเมวตั และไดส้ รา้ งโรงเรียนสอนศาสนาขึ้นในเมวัตหลายแห่ง แต่เมื่อเวลาผ่าน ไป เมาลานาอิลยาสยังไม่พอใจเท่าท่ีควร เพราะเป็นการยากที่จะให้ชาวชนบทมาเข้าเรียนในโรงเรียน สอนศาสนากนั ทุกคน และโรงเรียนสอนศาสนายงั ไม่เป็นอิสระต่อสภาพแวดล้อม หลังจากกลับจากฮัจญ์ ครง้ั ที่ 2 เมาลานาอลิ ยาสจงึ เริ่มงานตับลฆี โดยการปลุกเร้าให้ประชาชนรวมตัวกันเป็นกลุ่มๆ(ญะมาอะฮฺ)

31 และจัดกลุ่มออกเดินทางสู่ชนบทในชุมชนชาวเมวัต เชิญชวนให้ผู้คนปฏิบัตตามคาสอนพ้ืนฐานของ อสิ ลามคอื สอนให้ยึดม่ันกับคาปฏิญาณตนและให้ความสาคัญกับการละหมาดมัสยิด และเชิญชวนผู้คน ให้ทางานออกไปเชิญชวนพ่ีน้องให้มาปฏิบัตศาสนกิจที่มัสยิดให้มากๆ และน่ันคือจุดเริ่มต้นของญะ มาอะฮฺตบั ลีฆ(ชมรมตบั ลีฆแห่งประเทศไทย,0606) ผู้ก่อตั้งและผู้นากลุ่มดะวะฮฺตับลีฆท่ีสาคัญ คือ (มะสาการี อาแด,2543 และ อัลนัดวะฮฺ อัลอา ละมยี ฮ์ ลิชชะบา้ บ อลั อสิ ลามยี ์, 1982) เมาลานาอลิ ยาส อลั - กันดฮั ละวีย์ ซ่งึ เปน็ ผนู้ าสงู สุด(อาม้ีร)และ เป็นผกู้ ่อตัง้ กลมุ่ ญะมาอะฮฺ ดะวะฮตฺ บั ลฆี คนแรก ท่านเกิดเมื่อปี 1886 อยู่กับครอบครัวของนักวิชาการ ศาสนา เม่ือจบการศึกษาที่บ้าน เขาถูกส่งไปยังศูนย์การศึกษาท่ีมีช่ือเสียงของการเรียนรู้อิสลาม ดารุล อุลูม เดียวบัน ซึ่งเขาได้ศึกษากับปราชญ์(อุลามาอฺ)ที่มีช่ือเสียงหลายคน หลังจากจบการศึกษา เขาได้ สอนทโ่ี รงเรยี นสอนศาสนาหลายแหง่ กอ่ นกอ่ ตง้ั ญะมาอะฮฺดะวะฮฺตับลฆี เมาลานายูซุฟ - กันดัฮละวีย์ ผู้นาคนท่ีสอง เป็นบุตรเมาลานามูฮาหมัดอิลยาส บุตร มุหัมมัด อิสมาอีล ท่านเกิดในเมืองกันดัฮละห์ ในวันพุธท่ี 25 ญามาดุลอูลา ฮ.ศ.1335 ท่านเป็นผู้ทรงคุณวุฒิท่ี ยงิ่ ใหญแ่ ละสันโดษ เครง่ คัดเร่ืองศาสนาจบการท่องจาอลั -กรุ อานต้งั แต่อายุ 10 ปี และเรียนหะดีษทั้งหก (สุนันสิตตะห์) กล่าวคือ หนังสือบุคอรี มุสลิม อบูดาวูด อิบนุนมายะห์ นาซาอี และติรมีซี หลังจากน้ัน เรียนเพม่ิ อีก 8 ปี ในสถาบันศอฮรี อี ูลมู ณ ซาฮัรรอนบรุ ี เมาลานา อินอามุ้ล-หะซัน ผู้นาคนที่สาม เกิดในเมือง กันดัฮละวีย์ ประเทศอินเดีย ในวันที่ 18 คือ ญามาดุ้ลอูลา ปี 1335 ตรงกับ 02 กุมภาพันธ์ 1518 ไปรับการเรียนจากครูท่ีมีชื่อเสียง ฮาฟิซ มังตู จนจบท่องจากุรอาน และได้รับการศึกษาภาษาอาหรับจาก ไมซัน - มันชาป , และได้เรียนใน โรงเรียน มดั ดาระอซะ มาซาฮิ้ลอุลมู ซาฮารันปุรี เมาลานา ซาการียา กันดัฮละวีย์ (1858 -1580) เป็นนักวิชาการที่โดดเด่นในอินเดีย เขาเป็น หลานชายของเมาลานาอิลยาส กันดัฮละวยี ์ ผูจ้ ัดตัง้ ญะมาอะฮฺดะวะฮฺตับลีฆ ท่านสอนในโรงเรียนดารุ้ล อุลูม โรงเรียนเดียวบัน เขามีความคิดสาหรับการสนับสนุนการศึกษาวิชาการหะดีษ และเป็นผู้เขียน หนังสอื จานวน 18 เลม่ เมาลานาอุมัร ปาลันปรุ ี \"เสียงทองของงานดะวะฮฺตับลีฆ\" เป็นท่ีรู้จักกันดี ท่านได้ล่วงลับไปเมื่อ พธุ 01 พฤษภาคม 1557 เวลา 13:32 ใน นีศอมุดดีน, นวิ เดลี แนวคดิ กลมุ่ ญะมำอะฮฺ ดะวะฮตฺ ับลฆี ส่วนแนวคิดญะมาอะฮฺ ดะวะฮฺตับลีฆ แนวคิดสาคัญคือหลักหกประการหรือเรียกว่า (เออนัม ปรีซิก) หมายถึง หลัก 5 ประการ อีกท้ังยังมีกฎปฏิบัติท่ีทุกคนต้องยึดถือและปฏิบัติฝึกฝนตนเองให้อยู่ ในกฏระเบียบท่ีวางไว้ซ่ึงแนวคิดและกฎต่างๆมีรายละเอียดดังต่อไปน้ี (อัลนัดวะฮฺ อัลอาละมียฮ์ ลิชชะ บ้าบ อัลอิสลามยี ์, 1982) 1 ยากีน(เชอื่ มน่ั ) ในคาปฏญิ าณตน(กะลมี ะฮฺ ต๊อยยีบะฮ)ฺ 2 ละหมาดที่คอเชาะ และตะวาเฏาะอฺ หมายถึง ละหมาดท่ีมสี มาธแิ ละความนอบน้อม 3 อิลมู และซิกี้ หมายถงึ ความรู้และการราลึกถงึ อลั ลอฮฺ (สุบหานะฮู วะตะอาลา) 4 อกิ รอม มุสลมี ีน หมายถึง การใหเ้ กยี รตแิ ละชว่ ยเหลอื พ่นี ้องมุสลมิ 5 อคิ ลาส เนียต หมายถึงการบรสิ ทุ ธิ์ใจ และ 6 มญุ าฮาดะฮฺ ญาลนั อลั ลอฮฺ หมายถงึ เสยี สละในหนทางของอลั ลอฮฺ (สุบหานะฮู วะ ตะอาลา)

32 นอกจากนกี้ ฎข้อปฏบิ ัติในกล่มุ ดะวะฮฺตบั ลฆี หรือที่เรียกว่า (อุศู้ล) หมายถึง กฎข้อปฏิบัติ และ (อาดับ) หมายถึง วินัยของกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆ มีรายละเอียดดังต่อไปน้ี (ชมรมตับลีฆแห่งประเทศไทย, 0606) คอื ส่ีประการท่ีสง่ เสริมย่ิง คือ มากดว้ ยการชช้ี วน มากดว้ ยการเรยี นการสอน มากดว้ ยกบั การซิ กริ ฺและอิบาดะฮฺ (ปฏบิ ตั ิศาสนกิจ) และมากดว้ ยกบั การบริการ สี่ประการท่ีควรลดละ คอื ลดเวลากินและเวลาดม่ื ลดเวลานอน ลดการพูดจาในเรื่องของโลก และลดการออกจากมัสญิด ส่ีประการท่ีควรละเว้น คือ ละเว้นจากการหวังจากผู้อ่ืนนอกจากอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอา ลา) ละเวน้ จากการขอจากผู้อ่นื นอกจากอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา) ละเวน้ จากการสุรุ่ยสุร่าย และ และละเวน้ จากการใช้ของผู้อ่นื โดยมไิ ด้รับอนญุ าต สี่ประการท่ีห้ามเก่ียวข้อง คือ ห้ามเกี่ยวข้องเร่ืองข้อขัดแย้งทางศาสนา ห้ามเกี่ยวข้องเร่ือง การเมืองท้ังในและต่างประเทศ ห้ามเกี่ยวข้องเรื่องฐานะและตาแหน่ง และห้ามเกี่ยวข้องเรื่องการขอ บรจิ าคและการกระทาท่เี สียเกยี รติทางสงั คม 2.4.3) กลมุ่ อัล-อคิ วำน อัลมุสลมี ีน กลมุ่ อิควานอัล-มุสลิมีนเป็นกลุ่มเคล่ือนไหวแห่งศาสนาอิสลามที่ใหญ่ท่ีสุดในปัจจุบัน เป็นกลุ่ม ทเี่ รียกรอ้ งใหม้ สุ ลิมกลบั สู่อสิ ลามด้ังเดิมตามทป่ี รากฏอย่ใู นอัลกรุอานและซุนนะฮฺ เชิญชวนให้ปฏิบัติตาม กฎหมายอิสลามในแถบประเทศอาหรับและโลกมุสลิม (อัลนัดวะฮฺ อัลอาลามียะฮฺ ลิล ชะบ้าบ อัลอิสลา มีย,์ 1555 ) ประมาณ ปี ฮ.ศ.1367 ตรงกับเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1508 เพ่ือนสนิทของหะสัน อัล-บันนา จานวน 5 คน คือ ฮาฟิซ อับดุล หะมีด อะฮฺหมัด อัล-หะศอรีย์ ฟุอ้าด อิบรอฮีม อับดุรเราะห์มาน อัส บลุ ล้ อฮ อสิ มะอลี อส้ิ และ สากี อลั มัฆรบิ ยี ์ พวกเขาต่างให้สัตยาบัน และสาบานด้วยพระนามของอัลลอ ฮวฺ า่ ตราบท่ียังมีชีวติ อยูพ่ วกเขาจะเป็นพ่ีน้องกัน และจะไม่ยอมถอดถอนชีวิตเพ่ือการรับใช้อิสลามอย่าง เด็ดขาด สมาชิกของขบวนการคนหนึ่งกล่าวกับหะสัน อัล-บันนา ว่า พวกเขาจะต้ังชื่อกลุ่มของเราว่า อะไร หะสัน อัล-บันนา ก็ตอบว่า เราต้องหลีกเล่ียงการทางานแบบผักชีโรยหน้า กิจกรรมท่ีเราจะทา ต่อไปในวันข้างหน้ามันหนักหนาย่ิงนัก เราเปรียบเสมือนเป็นหินก้อนแรกท่ีเป็นรากฐานของสังคม ศีลธรรม และแนวความคิดของคนรุ่นต่อไป เราเป็นกลุ่มมุสลิมที่เป็นน้องกันท่ีมีเป้าหมายในการจัดตั้ง กลุ่มเพ่ือรับใช้มุสลิมและอิสลาม ด้วยเหตุน้ี พวกเราคือ อิควานุ้ลมุสลิมูน หมายถึง ภารดรภาพมุสลิม ( หะซัน นิมะตลุ ลอฮ, 2008) ส่วนบุคคลสาคัญในขบวนการอัล-อิควาน อัล-มุสลิมูน เร่ิมจากผู้ก่อตั้งแนวคิดน้ีคือ อิหม่าม หะซัน อัลบันนา (เกิด ฮ.ศ.1306 เสียชีวิต ฮ.ศ. 1358 ) ท่านเกิดที่เมืองเล็กๆ ในจังหวัดอัลบุฮัยเราะฮฺ ประเทศอียิปต์ และเติบโตในบรรยากาศแห่งศาสนาด้วยครอบครัวท่ีท้ิงเครื่องหมายชัดเจนในชีวิตของ ท่าน ท่านมีความสามารถสูงส่ง เฉลียวฉลาด ไหวพริบปฏิภาณดี เป็นครูที่พูดโน้มน้าวเก่ง เป็นนักพูด ฝีปากกลา้ เปน็ นักเขยี นทเ่ี ลอเลศิ มีความเป็นผู้นา เป็นนักวางกลยทุ ธ

33 ทา่ นหะซัน อัลหุฎ็อยบี (ฮ.ศ.1325-1353 / ค.ศ.1851-1573) ในปี ค.ศ.1562 ได้รับคัดเลือก เป็นผ้นู ากลุ่มอิควานมุสลิมูน (อัลมุรชิด) ท่านเป็นบุคคลหน่ึงในคณะผู้พิพากษาชื่อดังในสถาบันศาลแห่ง ราชอาณาจักรอียิปต์ ซัยยิด กุฏบฺ (ฮ.ศ.1306-1387 ) ท่านน้ีถือเป็น นักปราชญ์ท่านที่สองในกลุ่มอิควานมุสลิมูน นอกเหนือจาก เชคหะซัน อัลบันนา และเป็นบุคคลหน่ึงในบรรดานักปราชญ์ศาสนาอิสลามชื่อดังในยุค ปัจจุบัน ทา่ นถกู จาคุกในปี ค.ศ.1566 และอยู่ในคุกเป็นเวลา 12 ปี จนถกู ปล่อยในปี 1556 อุมัร อัตติลมิซานีย์ (ฮ.ศ.1526-1585) ได้รับเลือกเป็นผู้นาสูงสุดของกลุ่มอิควานมุสลิมูน (มุรชิดอาม) และในสมัยของท่าน แกนนากลุ่มอิควานมุสลิมูน ได้เรียกร้องให้คืนสิทธ์ิของกลุ่มและ ทรัพย์สนิ ทถ่ี กู ยดึ ไปในยุคนสั เศอร์ มุหมั มัดฮามดิ อบนุ นศั รฺ ไดร้ ับเลือกเป็นมุรชิดต่อจากท่านอุมัร อตั ตลิ มิซานยี ์ และไดด้ าเนนิ ตามนโยบายเดียวกนั และ มุสฏอฟา มัชฮูร เป็นแกนนากลุ่มพิเศษในขบวนการอิควานมุสลิมูนในยุคแรกๆ ท่านได้รับ การเลือกต้ังเป็นมุรชิดของอิควานมุสลิมูนต่อจากท่านมุหัมมัดฮามิด อบุนัศรฺ หลังจากท่ีเขาเสียชีวิตในปี ค.ศ.1555 (มานิอฺ บนิ ฮามดิ อัล-ญฮุ านยี ์, 0667 แปลโดย เชครฎิ อ อะหมัด สมะดี) แนวคดิ กลมุ่ อลั -อคิ วำน อัล-มสุ ลมิ ูน ส่วนแนวคิดของขบวนการอัล-อิควานอัล-มุสลิมูนนั้นกว้างและครอบคลุมทุกๆ ด้านไม่ละเลย ด้านใดด้านหนึ่งเพื่อความสมบูรณ์และครอบคลุมทุกด้านของศาสนาอิสลาม หะซัน อัล-บันนา ได้วาง แนวทางและหลักสูตรของขบวนการที่มีลักษณะพิเศษดังนี้ (หะซัน นิมะตุลลอฮ, 2008 และมานิอฺ บิน ฮามดิ อลั ญฮุ านยี ์, 0667 แปลโดย เชคริฎอ อะหมัด สมะดี ) 1. ขบวนการอคิ วานเรยี กรอ้ งส่อู สิ ลามบนพื้นฐาน อลั -กรุ อานและอัล-ซุนนะฮฺและชนร่นุ แรก 2. ขบวนการอิควานยืนหยัดบนแนวทางแห่งซุนนะฮฺท่ีแท้จริง โดยเฉพาะในด้านการศรัทธา(อะกี ดะฮฺ)และด้านการปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ (อีบาดะฮฺ) และมารยาท 3. ขบวนการอคิ วานเช่ือและให้ความสาคัญในคุณธรรมความดีท่ีต้องเกิดขึ้นในจิตใจ ความสานึกท่ี คอยควบคุมตนในการปฏิบัติตนท่ีดี (อามัลศอลิห) การมีมารยาทท่ีดี การรักกันเพ่ืออัลลอฮฺ(สุบ หานะฮู วะตะอาลา)และการเปน็ พน่ี อ้ งในอิสลามท่แี ท้จรงิ 4. ขบวนการอคิ วานมีความประสงค์ท่ีจะพฒั นาระบบการเมืองการปกครอง และต้องการที่เปล่ียน ทัศนะคติหรือมุมมองเกี่ยวกับการเมือง ทั้งนี้เพ่ือให้มุสลิมได้เป็นแบบฉบับการปกครองแก่ ประชาชาติอน่ื ๆ และตอ้ งการให้มสุ ลิมเปน็ สังคมท่มี เี กียรติและมศี ักดิศ์ รใี นสายตาชาวโลก 5. ขบวนการอิควานเน้นเร่ืองสุขภาพและพลานมัยท่ีสมบูรณ์ ท้ังน้ีมุสลิมท่ีมีสุขภาพแข็งแรงย่อม เป็นท่ีรัก และดีกว่ามุสลิมท่ีอ่อนแอ ในทัศนะของอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา) และ ขบวนการอิควานเช่ือว่าภารกิจอิสลามที่ย่ิงใหญ่จะไม่สามารถแบกรับได้หากไร้ซ่ึงพละกาลังท้ัง ร่างกายและจติ ใจ 6. ขบวนการอิควานเน้นเร่ืองการศึกษาหาความรู้ การเพ่ิมบัณฑิตมุสลิม ทั้งน้ีเน่ืองจากอิสลามจะ สูงสง่ ได้ด้วยความรู้และความศรัทธาด่งั ปรากฏในดารสั ของอลั ลอฮ(ฺ สุบหานะฮู วะตะอาลา) 7. ขบวนการอิควานเห็นว่าผู้ศรัทธาสมควรและเหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการในเรื่องทรัพย์สินและ เศรษฐกิจเพราะสมบัติที่ดีตอ้ งมาจากคนดี

34 8. ขบวนการอิควานให้ความสาคัญอย่างยิ่งในการเยียวยาสังคม และพยายามท่ีจะพัฒนาสังคมให้ รอดพน้ จากภยั พิบตั ิทง้ั ปวง นอกจากนหี้ ะซนั อลั -บันนา ไดก้ าหนดลักษณะพิเศษในการเผยแพร่ศาสนาของขบวนการอัล-อิ ควาน อลั -มสุ ลมิ นู ในการทางานอิสลามไว้ 7 ประการ (อลั นัดวะฮฺ อัลอาละมียฮ์ ลิชชะบ้าบ อัลอิสลามีย์ , 1982 ) ดงั นี้ คอื 1 ) การห่างไกลจากความขัดแย้งทางศาสนา 2 ) การหา่ งไกลจากผทู้ มี่ ีฐานะ มชี อ่ื เสียง หรือผูม้ ีระดับในรฐั บาล 3 ) การห่างไกลจาก องค์กร หรือพรรคการเมอื ง 4) การเอาใจใสใ่ นการเสรมิ สรา้ งการเคลื่อนไหวขององค์กรในการดาเนินไปทลี ะขัน้ ตอน 5) การใหค้ วามสาคญั ในดา้ นการปฎบิ ตั ิมากกวา่ การโฆษณาชวนเชอ่ื 6) การให้ความสาคญั ในการรบั สมาชกิ ท่เี ป็นวยั หนมุ่ สาว และ 7) การพยายามเชญิ ชวนเผยแพรต่ ามหมู่บ้านและในเมืองอยา่ งรวดเร็ว นอกจากนส้ี มาชิกของขบวนการอัล-อคิ วานอัล-มุสลมิ นู ทกุ คนจาเป็นจะต้องเข้าใจหลักสัตยาบัน 10 ประการ ท่ีถูกกาหนดโดยผู้ก่อต้ังกลุ่ม คือหะซัน อัล-บันนา (หะซัน นิมะตุลลอฮ, 2008 และ อัลนัด วะฮฺ อลั อาละมียฮ์ ลชิ ชะบา้ บ อัลอิสลามีย์, 1982 ) ดังนี้คือ 1 การเข้าใจ หมายถึง การเขา้ ใจอิสลามอยา่ งสมบรู ณต์ ามทเี่ ขาเข้าใจ ซึ่ง รู้จักกันในช่ีอว่า อัล-อุ ซลู อลั -อชิ รนี (หลกั พื้นฐาน 20 ประการ) 2 ความบรสิ ุทธใิ จ หมายถงึ คาพดู การกระทา การตอ่ สู้ ทุกอริ ิยบท ของเขาเพ่ืออัลลอฮฺ (สุบหา นะฮู วะตะอาลา) เพยี งพระองค์ เดียว 3 การปฎบิ ตั ิ หมายถงึ การพยายามปรบั ปรุงพัฒนาตนเอง ครอบครัว สงั คม และประเทศชาติ 4 การต่อสู้ในแนวทางของอัลลอฮฺ (สุบหานะฮู วะตะอาลา) 5 การเสียสละ หมายถึง การเสียสละตัวเอง ทรัพย์สิน เวลา เพื่อให้เป้าหมายของขบวนการ สาเร็จ 6 การเชอื่ ฟัง หมายถึง การเช่ือฟงั และปฎิบตั ิ ในยามทุกข์ยาก และในยามสุขสบาย 7 ความหนกั แนน่ มั่นคง หมายถงึ สมาชิกของขบวนการจะต้องปฎิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมาย แม้ว่า จะใชร้ ะยะทางทไ่ี กล และระยะเวลาทย่ี าวนาน 8 การเป็นเอกเทศ หมายถึง ความคิดของขบวนการต้อง ไม่ปะปนกับแนวคิดอ่ืนเพราะแนวคิด ของขบวนการสมบรู ณ์ถกู ตอ้ งตามระบบอสิ ลามแลว้ 9 ความเปน็ พ่ีน้อง หมายถึง สมาชิกของขบวนการต้องมีจิตใจที่รักใคร่ผูกพันกันด้วยสายใยแห่ง การศรทั ธา 10 การไว้วางใจ หมายถงึ สมาชกิ ตอ้ งไว้ใจผนู้ าในการบริหารอย่างบริสุทธใิ จ

35 บทที่ 3 ประวัตคิ วำมเปน็ มำ ประเภท และควำมเชื่อกลุ่มชีอะห์ ในบทนี้จะกล่าวถึงความหมายชีอะห์ ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของกลุ่มชีอะห์ ประเภทของ กลุ่มชีอะห์ และความเชื่อของกลุ่มชีอะห์ จากเอกสารหลักฐานชั้นปฐมภูมิและทุติยภูมิ ทั้งจาก นกั วิชาการซุนนะฮฺและชอี ะหต์ ามลาดับดังตอ่ ไปนี้ 3.1 ควำมหมำย“ชีอะห์” ด้วยความหมายของรากศัพทภ์ าษาอาหรับ จะนิยามท้ังด้านภาษาและด้านวิชาการ ผู้วิจัยจึงขอ นาเสนอความหมายทั้งด้านภาษาและด้านวิชาการจากนักวิชาการสายซุนนะฮฺและชีอะห์ที่มีความเห็น คลา้ ยกนั หรอื สัมพันธ์กนั จากน้ันจะนาเสนอเพ่ิมเติมในประเด็นทแ่ี ตกต่างกนั ดงั รายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี ควำมหมำย“ชีอะห์”ดำ้ นภำษำ คาว่า ชีอะห์ ในเชิงภาษามีหลายความหมาย บางคร้ังคาว่า “ชีอะห์”หมายถึง กลุ่ม หมู่คณะ หรือ พวกพ้อง และในบางคร้ัง “ชีอะห์” หมายถึง ช่วยเหลือ หรือสนับสนุน (ฆอลิบ บิน อะลี อาวาญีย์ ,1997 และ อัล-ซัยยดิ อบั ดลุ อลั -เราะซลุ้ อัล-มเู ซาวยี ์ , 0222 ) คาว่า “ชีอะห์”ท่ีปรากฏในคัมภีร์อัล-กุรอาน ที่หมายถึง กลุ่ม หมู่คณะ หรือ พวกพ้อง ดั่ง โองการ } ‫{ث َّم َل َنن ِز َع َّن ِمن ك ِل ِشي َعة َأ ُّيهم َأ َش ُّد َع َلى ال َّرح َم ِن ِع ِتيا‬ ความวา่ “แลว้ แน่นอนเรำจะแยกออกจำกทกุ ๆหมู่คณะ ผู้ใดในหมู่พวกเขำท่ดี ้ือรัน้ ทสี่ ุดตอ่ พระเจ้ำผทู้ รงปรำนี”(มรั ยมั 19:69) จากโองการเห็นว่าคาทข่ี ดี เส้นใต้ คอื (‫ )شيعة‬หมายถงึ กลุ่ม พวกพอ้ ง หรอื หมู่คณะ ส่วนคาว่า “ชีอะห์” ที่หมายถึง ผู้คอยช่วยเหลือและสนับสนุน ด่ังคากล่าวของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ต่อท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบว่า}‫{أنت وشيعتك في الجنة‬ความว่า “เจ้ำ(โอ้อะลี)และผู้ท่ีคอย ช่วยเหลือสนบั สนุมเจ้ำจะไดอ้ ยใู่ นสวนสวรรค์”(อลั -คอฏี้บ อัล-บฆั ดาดีย,์ 12/284) นอกจากนี้ อะบุล หะซัน อัล-อัชอะรีย์ (1969) ให้ความหมายชีอะห์ในเชิงภาษาว่า“ชีอะห์” หมายถึง ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือและสนันสนุนบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และผู้เป็นสาวกหรือผู้ติดตามบุคคล นั้นๆถือเป็นชีอะห์ของคนนั้นๆ ดังน้ันชีอะห์ในด้านภาษาจึงหมายถึง ทุกกลุ่มทุกองค์กรท่ีรวมตัวกันเพื่อ การงานใดกต็ ามพวกเขาจะถูกเรยี กว่า“ชีอะห์”เพราะพวกเขาคือผู้ที่คอยให้ความช่วยเหลือผู้ติดตามและ ผู้ให้การสนบั สนนุ อิฮซาน อีลาฮีย์ ศอฮ้ีร (1995) กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ใดท่ีประสงค์ช่วยเหลือใครคนหน่ึง ผู้น้ันคือ ชอี ะห์แก่คนนน้ั ๆ ดงั นน้ั ความหมายเดมิ ของชีอะห์ คอื การช่วยเหลือและการปฏิบัติตาม ซึ่งคานี้ถูกใช้ใน ยุคแรกๆ ต้ังแต่สมัยของท่านอะลี (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) สาหรับผู้ท่ีปล้ืมและหลงใหลท่านอะลี ก็เรียกว่า

36 ชีอะห์อะลี สว่ นอกี ฝา่ ยหน่งึ ทต่ี ิดตามหรอื เห็นด้วยกับท่านมุอาวียะฮฺ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ก็เรียกว่าชีอะห์ มอุ าวียะฮฺ สรุปคอื ชีอะห์คอื ช่วยเหลอื และปฏบิ ัตติ าม อิบนุ มันซูร อัล-บัฆดาดีย์ (1970) มีความเห็นใกล้เคียงกัน ว่า อัล-ชีอะห์ ในด้านภาษาแปลว่า กลุ่มทรี่ ว่ มกนั เพ่ือกระทาส่งิ ใดสิ่งหนึง่ ดังนนั้ ทุกกลุ่มท่รี ่วมกันกระทาส่ิงหนึง่ พวกเขาเรียกวา่ “ชอี ะห์” ควำมหมำย“ชอี ะห์”ทำงดำ้ นวิชำกำร ความหมาย“ชีอะห์”ในเชิงวิชาการ นักวิชาการซุนนะฮฺมีทัศนะว่า ความหมายของ“ชีอะห์”ใน เชงิ วชิ าการมคี วามแตกต่างกนั ของนักประวตั ศิ าสตร์สรปุ ได้ดงั น้ี (ฆอลบิ บิน อะลี อาวาญยี ์,1997) คือ 1. “ชีอะห์” หมายถึง ผู้ท่ีรักใคร่ท่านอะลี(รอฏียัลลอฮุ อันฮุ)และครอบครัวของท่านอะลี ซึ่ง ความหมายดังกลา่ วนี้เปน็ ความหมายทค่ี นุ้ เคยและรู้จักกันของคนสว่ นใหญ่จวบจนปจั จุบนั 2. “ชีอะห์” หมายถงึ กลุ่มคนทีใ่ ห้ความช่วยเหลือท่านอะลี และเชื่อว่าท่านคือผู้นาสูงสุด(อีหม่าม) ที่ถูกต้องตามตัวบทหลักฐาน ส่วนผู้ท่ีเป็นผู้นาก่อนหน้าท่านอะลี หมายถึงท่านอะบู บักร อัล- ศิ้ดด้ีก และท่าน อุมัร อัล-ค้อฏฏ้อบ และอุษมาน บิน อัฟฟาน พวกเขาเหล่าน้ันถือว่าเป็นผู้ท่ี ลดิ รอนสิทธิและอธรรมตอ่ ทา่ นอะลี (รอฏียัลลอฮุ อนั ฮ)ุ 3. “ชอี ะห์” หมายถึง กลมุ่ คนท่ียึดถือและศรัทธาวา่ ท่านอะลี (รอฏยี ัลลอฮุ อันฮุ) มีความประเสริฐ สดุ และเหนอื กว่าทา่ นอษุ มาน บิน อัฟฟาน(ขออลั ลอฮฺจงพอพระทยั ตอ่ ทา่ นทั้งสอง) 4. “ชีอะห์” หมายถึง ช่ือของกลุ่มหรือบุคคลที่มีความเชื่อว่าอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อนั ฮ)ุ มีความประเสริฐและเหนือกว่าบรรดาผู้นาท้ังสามท่านก่อนหน้า และเชื่อว่า อะห์ลุลบัยต เท่าน้นั ท่มี สี ิทธ์จิ ะเปน็ ผนู้ าสงู สุด (คอลีฟะฮ)ฺ สว่ นผู้นาคนอ่ืนๆทีไ่ มใ่ ชอ่ ะหล์ ลุ บยั ต ถือเปน็ โมฆะ สว่ นคาว่า“ชอี ะห์” ในด้านวิชาการ ในมุมองนักวิชาการชีอะห์ส่วนใหญ่จะมีใกล้เคียงท่ีกล่าวมา หากแต่ดเู หมือนนกั วชิ าการชอี ะห์จะเน้นการเปน็ ผ้นู าสงู สุดของท่านอะลีเป็นสาคัญ เชน่ อัล-ซัยยิด อับดุล อัล-เราะซุ้ล อัล-มูซาวีย์ (0222) ได้กล่าวถึงความหมายชีอะห์ในด้านวิชาการ ว่า “ชีอะห์ หมายถึง บุคคลท่ีปฏิบัติตามท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ(รอฏียัลลอฮุ อันฮุ)บุคคลท่ีให้ ความสาคัญต่ออะลี มากกว่าบรรดาศอหาบะฮฺหรือสาวกท่านอื่นๆและศรัทธาว่าท่านอะลี บิน อะ บีฏอลิบ คืออิหม่ามและเป็นผู้นาสูงสุดหลังจากท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ท้ังน้ีเน่ืองจาก เป็นการสัง่ เสยี ของนบแี ละเป็นความประสงค์ของพระเจ้า ผู้ทรงสูงส่ง” อลั -ชคี้ มหุ ัมมัด หุเซน อ้าล กาชิฟ (1952) ไดก้ ลา่ ววา่ “ชีอะห์ คือ ผู้ที่เป็นพวกพ้องของท่านอะ ลี บินอะบฏี อลบิ (รอฏียลั ลอฮุ อนั ฮ)ุ และใหค้ วามสาคัญต่อท่านอะลี มากกว่าอิหม่ามหรือผู้นาคนอื่นๆ ซึ่ง กลุ่มท่ีเชื่อดังกล่าว อาทิเช่น กลุ่ม อัล-อิมามียะห์ อัล-ญารูดียะห์ อัล-อิสมาอีลียะห์ อัล -วากีฟียะห์ - -อัล และ ฟัตฮียะห์ มุหัมมัด หุเซน อัล-ซีน (1938) ได้กล่าวถึงความหมายชีอะห์ ว่า “ผู้ที่เป็นพวกพ้องและ สนับสนุนท่านอะลี บินอะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ในการเป็นอิหม่ามหรือผู้นาสูงสุด และศรัทธาว่า แท้จริงผู้นาสูงสุดหรืออิหม่ามนั้นจะไม่หลุดออกไปจากลูกหลานของท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ หรือท่ี เรียกว่า “อะฮ์ลุ้ลบัยต”เท่านั้น และอิหม่ามทุกคนถือเป็นบริสุทธิ์จากความผิดทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นบาป เลก็ และบาปใหญก่ ต็ าม”

37 สว่ นความหมายที่นักวิชาการชีอะห์เห็นว่าครอบคลุมและถูกต้องท่ีสุดในทัศนะของพวกเขา คือ ความหมายที่กล่าวโดย อิบนุ ฮัซมิน (1982) ท่ีให้ความหมายชีอะห์ว่า “ใครก็ตามท่ีเห็นพ้องต้องกันว่า ท่านอะลี บิน อะบฏี อลิบ (รอฏยี ลั ลอฮุ อันฮุ) เป็นมนุษย์ท่ีดีท่ีสุดหลังจากท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) และเชื่อว่าท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบและลูกหลานของท่านเท่านั้นเป็นผู้ท่ีมีกรรมสิทธิ์ในการ เป็นผู้นาสูงสุดหรือคอลีฟะฮฺ บุคคลใดท่ีเช่ือดังกล่าว ผู้น้ันถือเป็นชีอะห์ และใครก็ตามที่ขัดแย้งและเห็น ตา่ งจากทไ่ี ด้กลา่ วมาพวกเขาเหลา่ นั้นถอื วา่ ไม่ใช่ชอี ะห”์ จากความหมายเชิงวิชาการที่กล่าวมาข้างต้น พบว่า นักวิชาการซุนนะฮฺจะเน้นให้ความหมาย โดยยึดจดุ เริ่มต้นหรือท่ีมาของชีอะห์เป็นสาคัญ ในขณะที่นักวิชาการสายชีอะห์จะเน้นถึงความประเสริฐ และความเหมาะสมของท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ ในมิติของการเป็นผู้นาสูงสุด (คอลีฟะฮฺ) ซ่ึงความเชื่อ ดังกล่าวย่อมเกี่ยวขอ้ งกบั ประวัติความเปน็ มาทจี่ ะกลา่ วและนาเสนอในตอนต่อไป 3.2 ประวตั ิควำมเปน็ มำและจดุ กำเนดิ กลุ่มชอี ะห์ จากการศึกษาประวัติความเป็นมาของกลุ่มชีอะห์ จากหนังสือทางประวัติศาสตร์ท้ังจาก แหล่งข้อมูลของชีอะห์และซุนนะฮฺ พบว่า จุดกาเนิดหรือจุดเริ่มต้นของกลุ่มชีอะห์มีความเห็นที่ หลากหลาย อาทิ เช่น ชีอะห์เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ชีอะห์เกิดข้ึนใน วันประชมุ ใหญ่ อัล-ซะกฟี ะฮ์ ชอี ะหเ์ กิดขึ้นในวันท่ีอุษมาน บิน อัฟฟาน ถูกสังหาร ชีอะห์ได้เกิดขึ้นในวัน สงครามอูฐ ชีอะห์เกิดขึ้นจากพวกคอวาริญในสงครามศิฟฟีน เป็นต้น (อัล-ซัยยิด อับดุล อัล-เราะซุ้ล อัล-มูซาวีย์,0222 ฆอลิบ บิน อะลี อาวาญีย์,1997 อัล-ช้ีค มุหัมมัด หุเซน อ้าล กาชิฟ ,1952 และ อะ บิล มันซู้ร อัล-บัฆดาดีย์ ,1970) ซ่ึงส่วนใหญ่ทั้งความเห็นของนักวิชาการชีอะห์และซุนนะฮฺไม่มีความ แตกต่างกันมาก หากแต่ในบางประเด็นมีการอธิบายที่แตกต่างกันบ้าง ซึ่งผู้วิจัยจะพยายามนาเสนอใน ประเด็นที่เหมอื นและตา่ งกันอย่างระมัดระวงั เพ่ือความเป็นธรรมและองคค์ วามรูใ้ หม่ตอ่ ไป ชอี ะหเ์ กิดขึน้ ต้งั แต่สมัยทำ่ นนบ(ี ศอลลัลลอฮุ อะลยั ฮิ วะซลั ลมั ) อัล-นูบัฆตีย์ และอัล-กุมมีย์ (1992) ได้กล่าวถึงท่ีมาของชีอะห์ว่า “ชีอะห์ได้เกิดข้ึนตั้งแต่สมัย ท่านนบมี หุ มั มัด (ศอลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิ วะซลั ลัม) และแทจ้ รงิ บรรดาพวกพ้องและสหายของท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ(รอฏียัลลอฮุ อนั ฮ)ุ เริม่ จากบรรดาอัครสาวกหรือศอหาบะฮฺของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)เช่น ซลั มานอัล-ฟารีซีย์,อัล-มิกด้าร,อะบูซ้ัร อัล-ฆ้อฟฟารีย์, อัมมารบินยาซิร,อะบูลัยลา,ชะบ้ีร ,อะบซู นี าร,อะบูอมุ เราะ,และ อะบูสะอี้ด อัล-คุดรีย์ พวกเขาเหล่านั้นคือศอหาบะฮฺของท่านนบีและพวก เขาถือว่าเปน็ พวกพ้องหรือชีอะห์ของท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) และพวกเขายืนหยัด พร้อมท่ีจะสนับสนุนการเป็นผู้นาสูงสุดของท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบในเหตุการณ์ วันประชุมใหญ่ อัล- ซากีฟะฮ์ ซงึ่ จะกลา่ วรายละเอยี ดต่อไป มุหัมมัด หุเซน อัล-มัซฟัร (1985 ) มีความเห็นเกี่ยวกับท่ีมาของชีอะห์ใคล้กันว่า แท้จริงการ เรียกร้องไปสู่ชีอะห์น้ันเริ่มต้ังแต่วันที่ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ได้เริ่มประกาศอิสลาม กลา่ วคอื หลังจากทีโ่ องการอัล-กรุ อานได้สงั่ ใหท้ ่านนบี(ศอลลลั ลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) เชิญชวนญาติสนิท ของท่านสู่อิสลาม ด่ังโองการ }‫ {وأنذر عشيرتك الأقربين‬ความว่า“เจ้ำจงตักเตือน(โอ้มุหัมมัด) ครอบครวั ของเจ้ำทใี่ กล้ชิด”(อัล-ชอู ะรออฺ 19:214)

38 เม่ือโองการนี้ถูกประทานมา ท่านบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ก็ได้รวบรวมบรรดาญาติ สนิทของท่าน คอื บะนฮี าชมิ หรอื ตระกลู ฮาชมิ และได้กล่าวกบั พวกเขาว่า ใครบ้างในหมู่พวกท่านที่เป็นพ่ี นอ้ งของฉัน ทายาทของฉนั ตระกูลของฉันและจะสืบทอดเจตนารมณ์ของฉันหลังจากฉันเสียชีวิต เม่ือไม่ มผี ้ใู ดตอบรบั นอกจากท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ ท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)จึงกล่าวแก่อะลี บนิ อะบีฏอลิบ ว่า “เขำผู้นี้ หมำยถึง(อะลี) คือพี่น้องของฉัน ทำยำทของฉัน ผู้ใกล้ชิดกับฉัน ผู้ที่ฉัน สั่งเสียให้เขำเป็นผู้แทนฉันหลังจำกท่ีฉันเสียชีวิต ดังน้ันพวกท่ำนจงเช่ือฟังและปฏิบัติตำมเขำ หมำยถึง(อะลี บนิ อะบีฏอลบิ )” (มหุ มั มดั หุเซน อลั -มซั ฟัร ,1985 ) จากเหตุการณ์ดังกล่าวทาให้นักวิชาการชีอะห์เช่ือว่าอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) คือผู้ท่ีถูกส่ังเสียจากท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)และเขาเป็นคนท่ีมีความประเสริฐท่ีสุดใน บรรดาศอหาบะฮฺของท่านนบี นอกจากน้ีความสัมพันธ์ท่ีมีลักษณะเฉพาะของท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ กบั ท่านนบ(ี ศอลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิ วะซัลลัม)ทาใหเ้ ขาเปน็ ทีร่ ักและนบั ถือในหมู่อัครสาวกของท่านนบี และ ผู้ท่ีรักอะลี บิน อะบีฏอลิบ พวกเขาคือชีอะห์ของอะลี และชีอะห์ต่ออะฮฺลุลบัยต ชาวชีอะห์เชื่อว่าท่าน นบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ได้กล่าวเรื่องน้ีหลายครั้ง เช่น เหตุการณ์ท่ีคร้ังหนึ่งท่านนบีได้กล่าว แกท่ ่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ ว่า “แท้จริงบุรุษคนนี้ หมำยถึง(อะลี) และชีอะห์หรือผู้สนับสนุนของเขำ พวกเขำคือผู้ท่ีได้รับควำมสำเร็จในวันกียำมะฮ” (มุหัมมัด หุเซน อัล-ซีน, 1983 ) และความเห็น ดังกล่าวยงั คงเป็นความเช่ือจนถงึ ปจั จุบัน เช่นเดียวกันกับนักวิชาการชีอะห์อีกท่าน คือ ญะฟัร อัล-ซุบฮานีย์ (2000) และอัล-นูบัคตีย์ และอัล-กุมมีย์(1992 ) มีความเห็นเหมือนกันว่า ชีอะห์ได้เกิดข้ึนเน่ืองจากคาส่ังเสียของท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ให้อะลี บิน อะบีฏอลิบ เป็นผู้นาแทนท่าน และผู้น้ันถือเป็นคอลีฟะฮฺ ของอัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา) ถูกส่งมาเพ่ือเป็นผู้นาหรืออิหม่ามแก่มวลมนุษยชาติ และดังกล่าว นน้ั มีตวั บทหลกั ฐานมากมาย ในหะดษี การส่ังเสยี ของทา่ นนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ถือเป็นการ สั่งเสียที่ชัดเจน และมุสลิมจาเป็นจะต้องยึดถือปฏิบัติในเร่ืองดังกล่าวว่าเป็นหลักศรัทธาที่มาจากฟ้า ชีอะห์ให้ความสาคัญเก่ียวกับผู้นาเป็นลาดับต้นๆ เพราะเร่ืองนี้เป็นเรื่องที่ถูกส่ังเสียมาโดยท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ชีอะห์เช่ือว่าการสั่งเสียให้เป็นผู้นาไม่มีในประวัติศาสตร์อ่ืนนอกจาก ประวตั ศิ าสตร์อิสลาม ดงั น้ันการส่ังเสยี เก่ียวกบั ตวั ตนของผู้นาจึงมีมาต้ังแต่สมัยท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะ ลยั ฮิ วะซลั ลัม) ดังนน้ั ท่มี าของชีอะห์ในทัศนะของญะฟัร อัล-ซุบฮานีย์ (2000) และอัล-นูบัคตีย์ และอัล-กุมมีย์ (1992) จึงเห็นว่า ชีอะห์ คือ มุสลิมยุคแรกที่มาจากชาวมุฮาญีรีนและชาวอันซ้อร10 กล่าวคือ จากเหล่า บรรดาสาวกของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)และคนท่ีปฏิบัติตามพวกเขาในแต่ละยุคสมัย และพวกเขาไม่เคยเห็นเป็นอย่างอ่ืนเกี่ยวกับตัวบุคลที่จะมาเป็นผู้นา ท้ังนี้เนื่องจากเป็นคาสั่งเสียท่ีถือ เป็นบัญญัติแห่งอิสลาม ด้วยเหตุดังกล่าวพวกเขาจึงเข้าใจว่าคาพูดของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)เก่ยี วกบั การเปน็ ผ้นู าถือเป็นบัญญตั ทิ ่ไี ม่สามารถหลกี เลย่ี งได้ นอกจากนี้นักวิชาการชีอะห์ให้เหตุผลอว่า ชีอะห์เริ่มต้ังแต่สมัยท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซลั ลัม) เพราะผู้ทคี่ อยช่วยเหลือท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) คือ ชีอะห์ยุคแรก และต่อมา 10 มุฮาญรี ีน คือผู้ท่ีอพยพมาจากนครมักกะฮ สว่ นอนั ซอ้ ร คอื ผทู้ ค่ี อยชว่ ยเหลือและตอ้ นรับ ณ นคร มาดีนะฮฺ

39 ก็กลายมาเป็นชีอะห์ท่ีช่วยเหลืออะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) โดยเฉพาะท่านนบีเองได้บอก ถึงคุณลักษณะของท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ(รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) และผู้ที่เช่ือฟังและช่วยเหลือท่านอะลี ว่าพวกเขาเหล่านนั้ คือผู้ท่ีได้รับความสาเร็จดังหลักฐานต่างๆ ดังต่อไปน้ี(ญะฟัรอัล-ซุบฮานีย์ ,2000 อัล- ซัยยิด อับดุล อัล-เราะซุ้ล อัล-มูซาวีย์,0222 อัล-ชี้ค มุหัมมัด หุเซน อ้าล กาชิฟ ,1952 มุหัมมัด หุเซน อลั -ซีน, 1983 และอัล-นบู คั ตีย์ และอลั -กมุ มีย์ , 1992 ) 1) รายงานจากอิบนุ มัรดาวัยฮ์ (อ้างใน ญะฟัรอัล-ซุบฮานีย์,2000) จากท่านหญิงอาอีชะฮ์ (รอฏียัลลอฮุ อันฮา) กล่าวว่า “ท่านหญิงอาอีชะฮ์ได้ถามท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ว่าโอ้ ท่านนบี ผ้ใู ดเปน็ มัคลู้คหรือบุคคลท่ีประเสริฐที่สุด ณ อัลลอฮฺ(สุบหานะฮู วะตะอาลา)ท่านนบีจึงตอบว่า โอ้ อาอีชะฮ์ เจ้ามไิ ดอ้ ่านดอกหรอื โองการท่ีว่า }‫{إ َّن ا َّل ِذين آمنوا َو َع ِملوا ال َّصاِل َحا ِت أول ِئ َك هم َخير ال َب ِرَّية‬ ความว่า “แท้จริงผู้ศรัทธำและผู้ปฏิบัติกำรงำนท่ีดี(อำมำลศอลิห)เขำคือผู้ท่ี ประเสรฐิ ทสี่ ุดบนหน้ำแผ่นดิน”(อลั -บยั ญินะฮฺ ,98 : 7) ในความเห็นของนักวิชาการชีอะห์ เขา้ ใจวา่ ผู้ศรัทธาและผู้ปฏิบัติการงานท่ีดี(อามาลศอลิห) ใน โองการดงั กล่าวน้ี คอื ท่านอะลี บิน อะบฏี อลบิ และพวกพอ้ งหรือชอี ะหข์ องเขา 2) รายงานจาก อิบนุ อาซากีร จากท่าน ญาบิร บิน อับดุลเลาะฮ (อ้างถึงใน ญะฟัรอัล-ซุบ ฮานีย์,2000 ) กล่าววา่ “พวกเราน่งั อยู่พรอ้ มกับทา่ นนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)จากนั้นท่าน นบี ก็หันไปยังท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) แล้วท่านนบีก็กล่าวว่า“ฉันขอสำบำนต่อพระ เจำ้ ทช่ี ีวิตของฉนั มอบให้พระองค์ แทจ้ ริงบุรุษคนน้ี(คืออะลีและชีอะห์ของเขำ)พวกเขำคือคนท่ีได้รับ ควำมสำเร็จในวันกิยำมะฮ (วันปรโลก) และหลังจากน้ันก็ถูกประทานโองการดังกล่าว คือ (อัล-บัยญิ นะฮ,ฺ 98 : 7) 3) รายงานจาก อบิ นุ อะดยี ์ และอิบนุ อะซากิร จาก อะบี ซะอ้ีด กล่าวว่า ท่านนบี (ศอลลัลลอ ฮุ อะลยั ฮิ วะซลั ลมั ) ไดว้ จนะไวว้ า่ “อะลคี ือผู้ทีป่ ระเสริฐทีส่ ดุ บนหนำ้ แผ่นดิน”(อ้างถึงใน ญะฟัรอัล-ซุบ ฮานีย์ ,2000 และอลั -นบู ัคตีย์ และอัล-กมุ มยี ์ , 1992 ) 4) รายงานจาก อิบนุ อะดีย์ จากอิบนุ อับบ้าส กล่าวว่า หลังจากที่โองการดังกล่าว คือ (สูเราะ อัล-บัยญินะฮฺ (98:7) ถูกประทานมา ท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ก็กล่าวแก่ท่านอะลี (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) ว่า“ โอ้อะลีเจ้ำและผู้ท่ีชีอะห์ของเจ้ำ จะเป็นผู้ท่ีอัลลอฮฺ(สุบหำนะฮู วะตะอำลำ) ทรงพอใจในวันปรโลก ”(อ้างถึงใน อัล-ซัยยิด อับดุล อัล-เราะซุ้ล อัล-มูซาวีย์,0222 และอัล-ชี้ค มุหัม มดั หเุ ซน อา้ ล กาชิฟ ,1952 ) 5) จาก อิบนุ มัรดาวัย จากท่านอะลี (รอฏียัลลอฮุ อันฮุ) (อ้างถึงใน ญะฟัรอัล-ซุบฮานีย์ ,2000 อัล-ซัยยิด อับดุล อัล-เราะซุ้ล อัล-มูซาวีย์,0222 อัล-ชี้ค มุหัมมัด หุเซน อ้าล กาชิฟ ,1952 และ อดัลำร-นัสูบขัคอตงอียัล์ แลลอะฮอฺทัลี่ว-่ำกุม“ม‫ีة‬ย‫ب ์ِرَّي‬,َ ‫ر ال‬1‫ي‬9‫ َخ‬92‫ )هم‬ไ‫ك‬ดَ ้ก‫ل ِئ‬ล‫أ่و‬าว‫ِت‬ว‫่ا‬า‫ح‬ทَ ‫่ل‬าِ‫ا‬น‫ َّص‬น‫ل‬บ‫ี ا‬ไ‫وا‬ด‫้ل‬ก‫ ِم‬ล‫่ َع‬า‫َو‬ว‫ا‬แ‫و‬ก‫่من‬ฉ‫ัآ‬น‫ن‬ว่า‫ا َّل ِ“ذي‬โอ‫َّ้ن‬อ‫”إ‬ะลดีเังจน้ำ้ันไดเจ้ย้ำินแหลระือผไู้ทม่่ี ชอี ะหห์ รอื สนบั นนุ เจ้ำ คอื ผู้ท่ีอยู่ในสญั ญำของอัลลอฮทฺ จี่ ะได้รับควำมประเสรฐิ ในวนั กียำมะฮ”

40 6) รายงานจากอิบนุ หะญัร จาก อุมมุ สะละมะฮ (ภรรยาของท่านนบี) กล่าวว่า คืนหน่ึงท่าน นบีอยู่กับเธอ จากน้ันท่านหญิงฟาฏิมะฮฺก็เดินเข้ามาและท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบก็เดินตามเธอมาด้วย เมอ่ื ท่านนบเี หน็ พวกเขา ท่านนบีก็กล่าวว่า“โอ้อะลี เจ้ำและสหำยของเจ้ำผู้เป็นชีอะห์ของเจ้ำจะได้อยู่ ในสวรรค์”( อลั -ซัยยดิ อบั ดลุ อัล-เราะซลุ้ อัล-มูซาวยี ์,0222 และ อลั -นูบคั ตยี ์ และอัล-กุมมยี ์ , 1992) 7) รายงานจาก อิบนุ อะซ้ีร กล่าวว่า ท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม)ได้กล่าวแก่ ท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ ว่า“โอ้อะลีแท้จริงเจ้ำจะยืนต่อหน้ำอัลลอฮฺเป็นคนแรก เจ้ำและชีอะห์ของ เจ้ำจะได้รับควำมพึงพอใจจำกอัลลอฮฺ ส่วนศัตรูของเจ้ำ คือผู้ที่อัลลอฮฺทรงโกรธกร้ิว”(อ้างถึงใน ญะฟัรอัล-ซบุ ฮานีย์ ,2000 อลั -ซัยยิด อับดุล อัล-เราะซุ้ล อัล-มูซาวีย์,0222 อัล-ชี้ค มุหัมมัด หุเซน อ้าล กาชฟิ ,1952 ) 8) รายงานจาก อัล-ซะมักซารีย์ ได้กล่าวว่าแท้จริงท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ได้ กล่าววา่ “โอ้อะลีเมื่อถึงวันกียำมะฮคือวันปรโลกอัลลอฮฺจะทรงพึงพอใจในตัวเจ้ำและชีอะห์ของเจ้ำ” (อ้างถึงใน ญะฟัรอัล-ซุบฮานีย์ ,2000 อัล-ซัยยิด อับดุล อัล-เราะซุ้ล อัล-มูซาวีย์,0222 อัล-ชี้ค มุหัมมัด หุเซน อา้ ล กาชฟิ ,1952 ) 9) รายงานจาก อะหมัด กล่าวว่าแท้จริงท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ได้กล่าวแก่ ท่านอะลีวา่ “โอ้อะลเี จ้ำจะพอใจหรือไม่หำกเจ้ำกับฉันจะอยู่ในสวรรค์ หะซันและหุเซนและลูกหลำน ของเจำ้ จะอยูเ่ บือ้ งหลังของเรำสองคน บรรดำภรรยำของเรำก็จะอยู่หลังลูกหลำนของเรำ และชีอะห์ ของเรำผชู้ ่วยเหลอื เรำจะอยดู่ ้ำนขวำและด้ำนซ้ำยของเรำ”( อัล-ชคี้ มหุ ัมมัด หเุ ซน อ้าล กาชิฟ ,1952 และอลั -นูบคั ตีย์ และอัล-กุมมีย์ , 1992) 10) รายงานจาก อิหมา่ มอัล-ฏอ้ บรอนีย์ ว่า แท้จริงท่านนบี (ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ได้ กล่าวแก่ท่านอะลี บิน อะบฏี อลิบ ว่า “สคี่ นแรกทจี่ ะได้เข้ำสวรรคค์ ือ ฉนั เจ้ำ (โอ้อะลี) หะซัน และ หุ เซน จำกนั้นลูกหลำนของเรำก็จะอย่ดู ้ำนหลงั ของเรำ ภรรยำของเรำก็จะอยู่ข้ำงหลังลูกหลำนของเรำ และชีอะห์ของเรำก็จะอยู่ด้ำนขำวและซ้ำยของเรำ”(อ้างถึงใน ญะฟัรอัล-ซุบฮานีย์ ,2000 และอัล- นบู คั ตยี ์ และอัล-กมุ มยี ์ , 1992) ทกี่ ลา่ วมาข้างต้นเป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า ชีอะห์ได้เกิดขึ้นต้ังแต่สมัยของท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) และในสมัยน้ันผู้ที่เป็นชีอะห์ก็ปรากฏอยู่แล้วในสมัยท่านนบี(ศอลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม) ไม่น้อยกว่า 62 ท่าน จากเหล่าบรรดาศอหาบะฮฺ เร่ิมต้ังแต่อับดุลเลาะ บิน อับบ้าส ตระกูล ของอับบ้าส ตระกูลของอะบีฏอลิบ ชาวบะนีฮาชิม และท่านอ่ืนๆ ท่ีรวมกันท้ังหมดกว่า 62 ท่าน ในยุค สมัยของท่านนบี(ศอลลลั ลอฮุ อะลยั ฮิ วะซัลลมั ) ดังน้ันทาให้ชีอะห์เข้าใจว่าอิสลามก็คือซีอะห์และซีอะห์ ก็คืออิสลาม แท้จริงซอี ะห์กับอสิ ลามเปน็ แคช่ ื่อเรียกทีต่ ่างกัน แต่มีความหมายเหมือนกันและเป็นศาสนา ท่มี าจากทา่ นนบเี หมอื นกนั (ญะฟัร อัล-ซุบฮานี , 2000 มุหัมมัด หุเซน อัล-ซีน ,1938 และ อับดุล อัล- เราะซลุ้ อลั -มซู าวีย์,0222) ชีอะหเ์ กดิ ขน้ึ ในวนั ประชุมใหญ่ อัล-ซะกีฟะฮ์ ดังกล่าวน้ีเป็นความเห็นของนักวิชาการชีอะห์ เช่น ซัยยิด อับดุล เราะซู้ล อัล-มูซะวีย์ (2000 ) และ หะซัน บิน มูซา อัล-นูบัฆตีย์ และสะอัด บิน อับดุลเลาะห์ อัล-กุมมีย์ (1992 ) ได้ระบุว่า ในบาง