1438 แนะนำบทบัญญัตติ ่ำงๆ ท่ีเก่ียวข้องกับผู้หญิงโดยเฉพำะ ] Thai – ไทย – [ تايلاندي ชัยค์ศอลหิ ์ บนิ เฟำซำน อัล-เฟำซำน แปลโดย ยซู ฟุ อบบู กั รฺ, อารีฟีน ยาชะรัด ตรวจทานโดย ซฟุ อมั อษุ มาน
1438 تنبيهات على أحكام تختص بالمؤمنات (باللغة التايلاندية) تأليف :الشيخ صالح بن فوزان الفوزان ترجمة :يوسف أبوبكر ،عارفين ياجاراد مراجعة :صافي عثمان
1 สำรบัญ คำนำ ........................................................................................................6 บทท่ี 1 บทบัญญัตทิ ่วั ไป......................................................................9 หนงึ่ สถานภาพของสตรีในยคุ ก่อนอสิ ลาม ............................. 9 สอง สถานภาพของสตรีในอิสลาม....................................... 11 สาม เป้ าหมายของศตั รูตอ่ สตรีมสุ ลมิ ................................... 15 สี่ การทางานนอกบ้านของผ้หู ญิง ........................................ 17 บทท่ี 2 บัญญัตวิ ่ำด้วยกำรดแู ลเรือนร่ำงของสตรี ........................18 หนง่ึ ดแู ลตวั เองตามฟิฏเราะฮฺ............................................. 18 สอง ข้อปฏิบตั เิ กี่ยวกบั เส้นผมและขน .................................. 19 บทท่ี 3 บัญญัตวิ ่ำด้วยเลือดประจำเดอื น เลือดเสีย และเลือด หลังคลอด..............................................................................................30 หนงึ่ เลือดประจาเดือน (หยั ฎ์)............................................. 30 สอง เลือดเสีย (อิสตหิ าเฎาะฮฺ) ............................................ 41 สาม เลือดหลงั คลอดบตุ ร (นิฟาส)....................................... 47 บทท่ี 4 บัญญัตวิ ่ำด้วยอำภรณ์และหญิ ำบ .....................................56 หนง่ึ คณุ สมบตั ขิ องอาภรณ์สาหรับสตรีผ้ศู รัทธา ................... 56 สอง นยิ ามของหิญาบ พร้อมหลกั ฐานและประโยชน์ ............. 58 บทท่ี 5 บัญญัตวิ ่ำด้วยกำรละหมำดของผู้หญิง.............................63
2 บทท่ี 6 บัญญัตวิ ่ำด้วยกำรจัดกำรศพของผู้หญงิ ..........................79 1. สตรีจะต้องอาบนา้ ศพให้กบั สตรี...................................... 79 2. สง่ เสริมให้หอ่ ศพสตรีด้วยผ้าสีขาวจานวน 5 ชิน้ ................ 80 3. การจดั ผมของศพผ้หู ญิง ................................................. 81 4. บทบญั ญตั เิ กี่ยวกบั การตดิ ตามไปสง่ ศพสตรี .................... 81 5. ห้ามสตรีมิให้ไปเยี่ยมหลมุ ฝังศพ...................................... 82 6. ห้ามไมใ่ ห้มีการร้องราพนั คร่าครวญ................................. 84 บทท่ี 7 บัญญัตวิ ่ำด้วยกำรถือศีลอดของผู้หญิง............................87 การถือศีลอดจาเป็นแกผ่ ้ใู ด? ............................................... 88 ข้อผอ่ นปรนตา่ งๆ ในการถือศลี อดของผ้หู ญิง ....................... 89 บทท่ี 8 บัญญัตวิ ่ำด้วยกำรประกอบพธิ ีหัจญ์และอุมเรำะฮฺของ ผู้หญงิ ....................................................................................................95 1. มะห์ร็อม........................................................................ 96 2. ได้รับอนญุ าตจากสามี .................................................... 98 3. การทาหจั ญ์และอมุ เราะฮฺแทนผ้ชู าย................................ 99 4. เลือดประจาเดือนและเลือดหลงั การคลอด ..................... 100 5. สิง่ ท่ีสตรีจะต้องปฏิบตั ขิ ณะเข้าพธิ ีหจั ญ์ ......................... 104 6. ชดุ ท่ีสวมใสใ่ นพิธีหจั ญ์และอมุ เราะฮฺ.............................. 105 7. อาภรณ์ที่อนโุ ลมให้สวมใส่............................................ 107 8. การกลา่ วตลั บยี ะฮฺ ....................................................... 108 9. หลกั ปฏิบตั ใิ นการเฏาะวาฟเวียนรอบบยั ตลุ ลอฮฺ............. 108 10. เดินเฏาะวาฟและสะแอโดยไมต่ ้องวงิ่ ........................... 110
3 11. พธิ ีกรรมหจั ญ์ท่ีผ้มู ีประจาเดือนปฏิบตั ไิ ด้และห้ามปฏิบตั ิ110 12. อนโุ ลมให้สตรีออกจากมซุ ดะลิฟะฮฺก่อน....................... 116 13. การตดั ผมของสตรี...................................................... 117 14. การเปลือ้ งอิห์รอมของสตรีท่ีมีประจาเดือน ................... 119 15. มีประจาเดอื นหลงั จากเฏาะวาฟอิฟาเฎาะฮฺ ................. 119 16. การเยือนมสั ญิดนะบะวีย์............................................ 121 บทท่ี 9 บัญญัตวิ ่ำด้วยกำรเป็ นสำมีภรรยำ และกำรสนิ้ สภำพ.123 สภาพของสตรีที่จะแตง่ งานด้วย ........................................ 130 วะลีย์ในการแตง่ งาน......................................................... 134 จาเป็นต้องมีวะลีย์หรือผ้ปู กครองของฝ่ ายหญิงในการแตง่ งาน และเหตผุ ลท่ีต้องมีผ้ปู กครอง ............................................ 134 การตีกลองเพื่อประกาศการแตง่ งาน.................................. 135 ภรรยาต้องเช่ือฟังสามีและไมอ่ นญุ าตให้ฝ่ าฝื น ................... 136 ส่งิ ที่สตรีต้องปฏิบตั เิ มื่อสิน้ สภาพจากการเป็ นภรรยา........... 144 อดิ ดะฮฺมี 4 ประเภท.......................................................... 144 ข้อห้ามสาหรับสตรีที่อยใู่ นอิดดะฮฺ ..................................... 146 บทท่ี 10 ว่ำด้วยกำรรักษำเกียรตแิ ละควำมบริสุทธ์ิของสตรี....154 1. การลดสายตาและรักษาอวยั วะเพศเชน่ เดยี วกบั ผ้ชู าย .... 154 2. การออกหา่ งจากการฟังเพลงและดนตรี ......................... 157 3. การไมอ่ นญุ าตให้เดนิ ทางโดยไมม่ ีมะห์ร็อม .................... 159 4. ห้ามชายหญิงอยกู่ นั ตามลาพงั ...................................... 162
4 เพิ่มเตมิ : ห้ามสตรีจบั มือกบั ผ้ชู ายท่ีไมใ่ ชม่ ะห์ร็อม.............. 168 บทสง่ ท้าย........................................................................ 171
5 หนังสือท่ีประมวลบทบัญญัติต่ำงๆ ในอิสลำมท่ีเก่ียวข้องกับ สตรีเป็ นกำรเฉพำะ รวบรวมประเด็นต่ ำงๆ โดยสังเขป ประกอบด้วยบทบัญญัติท่ัวไป บัญญัติเก่ียวกับกำรตกแต่ง เรือนร่ำงของสตรี บัญญัติเก่ียวกับเลือดประจำเดือน เลือด เสีย และเลือดหลังคลอด เสือ้ ผ้ำและหิญำบ กำรละหมำด กำรจัดกำรศพ กำรถือศีลอด กำรประกอบพิธีหัจญ์และอุม เรำะฮฺ กำรเป็ นสำมีภรรยำและกำรสิน้ สุดระหว่ำงกัน บัญญัติ ต่ำงๆ ท่ีจะปกป้ องรักษำเกียรติ ศักด์ิศรี และควำมบริสุทธ์ิ ของสตรี
6 คำนำ ด้วยพระนามของอลั ลอฮผฺ ู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ การสรรเสริญทงั้ มวลเป็ นสิทธิของอลั ลอฮฺ ผู้ทรงสร้างสรรพ สง่ิ แล้วชีน้ าทาง และทรงสร้างคคู่ รองท่ีมาจากผ้ชู ายและผ้หู ญิง มา จากนา้ อสจุ ิเม่ือมนั ถกู หลงั่ ออกมา ฉนั ขอปฏิญาณวา่ ไม่มีพระเจ้าที่ ถกู เคารพภักดีอย่างแท้จริง นอกจากอลั ลอฮฺเพียงองค์เดียวเท่านนั้ ไม่มีภาคีอนั ใดสาหรับพระองค์ สาหรับพระองค์เท่านนั้ ท่ีฉันมอบ การสรรเสริญทงั้ โลกนีแ้ ละโลกหน้า และฉนั ขอปฏิญาณว่ามหุ มั มดั เป็ นบ่าวและศาสนทูตของพระองค์ ผู้ซึ่งถูกนาพาขึน้ ไปสู่ฟากฟ้ า แล้วได้เห็นสัญญาณต่างๆ อันยิ่งใหญ่ของพระผู้อภิบาลของเขา ความจาเริญและความศานติจงมีแด่ท่าน วงศาคณาญาติ และ เหลา่ สาวกของทา่ นทกุ คน อนึ่ง เมื่อสถานภาพของสตรีมุสลิมในอิสลามนัน้ มีความ สูงส่ง และเธอก็มีภารกิจสาคัญหลายประการ และท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลยั ฮิวะสัลลัม ก็ได้มีคาชีแ้ นะต่างๆ แก่บรรดาสตรี เป็นการเฉพาะ ท่านได้สง่ั เสียให้ดแู ลพวกเธอในคฎุ บะฮฺของทา่ น ณ ท่งุ อะเราะฟาต ซึ่งเป็ นหลกั ฐานที่บ่งชีถ้ ึงความจาเป็ นท่ีต้องเอาใจ
7 ใสต่ อ่ พวกเธอในทกุ สมยั โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในยคุ ปัจจบุ นั ซึ่งสตรีผู้ ศรัทธาตกเป็ นเป้ าหมายเฉพาะในการรุกราน เพ่ือต้องการทาลาย เกียรติและศกั ดิ์ศรีของเธอ และดึงสถานภาพอนั สูงส่งของเธอให้ ต่าลง ดงั นนั้ จาเป็ นอย่างยิ่งท่ีให้เธอตระหนกั ตอ่ อนั ตราย และต้อง นาเสนอแนวทางรอดพ้นให้แกเ่ ธอ ข้าพเจ้าหวงั ว่าหนังสือเล่มนีจ้ ะเป็ นส่วนหนึ่งในภารกิจนี ้ ซ่ึงได้ประมวลบทบัญญัติต่างๆ ที่เก่ียวกับสตรีเป็ นการเฉพาะ ถึงแม้วา่ จะเป็ นการมีส่วนร่วมเพียงเล็กน้อย แต่มนั ก็เป็ นการท่มุ เท อย่างที่สุดเท่าท่ีได้แล้ว และข้าพเจ้าหวงั ว่าอลั ลอฮฺจะทรงทาให้มนั เกิดประโยชน์ตามปริมาณของมัน และเป็ นก้าวแรกของภารกิจ ดงั กล่าว โดยหวงั ว่าในอนาคตจะมีก้าวอื่นๆ ที่จะมาเติมเต็มให้มี ความครอบคลมุ และสมบรู ณ์มากยิ่งขนึ ้ และสิ่งท่ีข้ าพเจ้ าจะนาเสนอในช่วงเวลาอันรีบเร่งนี ้ ประกอบด้วย บทท่ี 1 บทบญั ญตั ทิ วั่ ไป บทที่ 2 บทบญั ญตั เิ กี่ยวกบั การตกแตง่ เรือนร่างของสตรี บทท่ี 3 บทบญั ญัติเก่ียวกับเลือดประจาเดือน เลือดเสีย และเลือดหลงั คลอด บทที่ 4 บทบญั ญตั เิ กี่ยวกบั เสือ้ ผ้าและหิญาบ บทท่ี 5 บทบญั ญตั เิ ก่ียวกบั การละหมาดของสตรี บทที่ 6 บทบญั ญตั เิ กี่ยวกบั การจดั การศพของสตรี
8 บทท่ี 7 บทบญั ญตั เิ ก่ียวกบั การถือศลี อดของสตรี บทท่ี 8 บทบัญญัติเก่ียวกับการประกอบพิธีหัจญ์และ อมุ เราะฮฺของสตรี บทที่ 9 บทบญั ญัติเกี่ยวกับการเป็ นสามีภรรยา และการ สิน้ สดุ ระหวา่ งกนั บทที่ 10 บทบัญ ญั ติต่างๆ ท่ีจะปกป้ องรักษาเกียรติ ศกั ดศิ์ รี และความบริสทุ ธ์ิของสตรี ผู้เขียน
9 บทท่ี 1 บทบัญญัตทิ ่วั ไป หน่ึง สถำนภำพของสตรีในยคุ ก่อนอิสลำม “ยุ ค ก่ อ น อิ ส ล า ม ” ห ม า ย ถึ ง ยุ ค ส มั ย อ น า รย ช น (ญาฮิลียะฮฺ) ซ่ึงเป็ นยุคการดาเนินชีวิตของชาวอาหรับเป็ นการ เฉพาะ และการใช้ชีวิตโดยทวั่ ไปของชนอื่นๆ โดยท่ีผ้คู นทงั้ หลายอยู่ ในยุคสมัยที่ขาดช่วงจากบรรดาศาสนทูต และอยู่ในยุคอวิชชา อลั ลอฮฺได้มองมายงั พวกเขา –ดงั ท่ีมีปรากฏในหะดีษ- แล้วทรงกริว้ โกรธพวกเขา ทงั้ ท่ีเป็ นชาวอาหรับและไม่ใช่ชาวอาหรับ นอกจาก ชาวคมั ภีร์ที่ยงั หลงเหลืออยู่ และในเวลานนั้ สตรีส่วนใหญ่จะอยใู่ น ภาวะลาบาก แร้นแค้น -โดยเฉพาะในสงั คมชาวอาหรับ- พวกเขา รังเกียจท่ีจะได้บตุ รสาว และบางคนจะฝังบุตรสาวทงั้ เป็ น หรือบาง คนจะทอดทิง้ ให้เธอใช้ชีวิตอย่างต่าต้อย ไร้เกียรติ ดงั ที่อลั ลอฮฺตรัส วา่ ﴾ ِمن٥م٩ِ َسَيآ َت َءَوى ََمرا ىىََ أي ِم ُكَن ُمٱوأل ََقن أو٥ل٨َ ببُُ ِِّّ ََششأَبِ َهِح ٓۦُد َأ ُهُي أمم بِِسٱ أۡ ُكُلنُه َۥ ىث ََ ََظىعل ُه َوو أجن ُهأَ ُهأمۥيَ ُمُد أسس َوُه ّدۥا ِ َوف ُهٱ َولُّ ََتكا ِظ ِيبمَأ ﴿ ِإَو َذا ُس ٓوءِ َما ]٥٩ -٥٨ :[النحل
10 ความว่า “และเมื่อคนหน่ึงในหมู่พวกเขาได้ รับแจ้ งข่าวว่าได้ ลูกผู้หญิง ใบหน้าของพวกเขากลายเป็ นหมองคลา้ และเศร้าสลด เขาจะหลบหน้าจากกล่มุ ชน อนั เนื่องจากความอบั อายที่เขาได้รับ การแจ้งข่าวร้ าย และครุ่นคิดว่าเขาจะเก็บลูกสาวไว้ด้วยความ อปั ยศหรือจะฝังเธอไว้ใต้ดนิ พึงรู้เถิดวา่ สงิ่ ที่พวกเขาตดั สนิ นนั้ มนั ชว่ั ร้ายยิ่ง” (อนั -นะห์ลฺ : 58-59) และพระองคต์ รัสอีกวา่ ]٨ : ﴾ [التكوير٨ ﴿ ِإَو َذا ٱلأ َم أو ُءۥ َد ُة ُسئِ َل أت ความวา่ “และเม่ือทารกหญิงที่ถกู ฝังทงั้ เป็ นถูกถาม ด้วยความผิด อนั ใดเลา่ เธอจงึ ถกู ฆา่ ” (อตั -ตกั วีร : 8-9) คาวา่ “อลั -เมาอดู ะฮฺ” หมายถึง เดก็ ผ้หู ญิงที่ถกู ฝังในดินทงั้ เป็ นจนกระทง่ั เสียชีวิต และเม่ือเธอรอดพ้นจากจากการฝัง และมี ชีวติ อยู่ เธอก็จะใช้ชีวติ อยา่ งไร้เกียรติ ไมม่ ีสิทธิ์ได้รับมรดกของญาติ ที่ใกล้ชิด ถึงแม้ว่าเขาจะมีทรัพย์สมบตั มิ ากมายเพียงใดก็ตาม และ ถึงแม้ว่าเธอจะทนทุกข์ทรมานอันเนื่องจากความยากจน เพราะ พวกเขาจะแบ่งมรดกให้ เฉพาะผู้ชายเท่านัน้ มิหนาซา้ เธอจะ กลายเป็ นมรดกเม่ือสามีได้เสียชีวิตลง เสมือนกับว่าเธอเป็ นดัง ทรัพย์สนิ ของสามี
11 สตรี จานวนมากตกอยู่ภายใต้ กรรมสิทธิ์ของสามีคนเดียว โดยท่ีพวกเขาสามารถมีภรรยาจานวนกี่คนก็ได้ ไมจ่ ากดั และไมไ่ ด้ เอาใจใส่ต่อความลาบากยากแค้ น ความคับอกคับใจ ความ ปวดร้าว และความอธรรมอนั จะเกิดขนึ ้ กบั บรรดาสตรีเพศ สอง สถำนภำพของสตรีในอิสลำม อิสลามได้ขจัดความอธรรมต่างๆ เหล่านัน้ ออกจากสตรี และคืนความเป็นมนษุ ย์แก่เธอ โดยท่ีอลั ลอฮฺตรัสได้วา่ ]١٣ :﴿ َ َٰٓي َأي َها ٱلنا ُس إِنا َخ َل أق َنى ُكم ِّمن َذ َكر َوأُن َ ىث ﴾ [الحجرات ความว่า “โอ้มวลมนุษยชาติทงั้ หลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้า จากเพศชายและเพศหญิง” (อลั -หญุ รุ อต : 13) ในโองการนี ้อลั ลอฮฺได้บอกว่าเธอให้มีความเท่าเทียมกับ บรุ ุษเพศในความเป็ นมนุษย์ เช่นเดียวกบั ท่ีเธอมีความเทา่ เทียมกัน ในการได้รับภาคผลบญุ หรือบทลงโทษตอ่ การประพฤติปฏิบตั ิ พระองคย์ งั ตรัสอีกวา่ ﴿ َم أن َع ِم َل َصىلِحا ِّمن َذ َكر أَ أو أُن َ ىث ٩٧ أَ أج َر ُهم بِأَ أح َس ِن َما ََكنُوا َي أع َم ُلو َن َو َلنَ أج ِز َين ُه أم َط ّيِ َبة َح َي ىوة َف َل ُن أحيِيَن ُهۥ َو ُه َو ُم أؤ ِمن ]٩٧ :﴾ [النحل ความว่า “ผู้ใดปฏิบัติความดี ไม่ว่าจะเป็ นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตาม ในขณะท่ีเขาเป็ นผ้ศู รัทธา ดงั นนั้ เราจะให้เขามีชีวิตที่ดี และแนน่ อน เราจะตอบแทนพวกเขาด้วยรางวลั ที่ดียิ่งสาหรับภาคผลของการที่ พวกเขาได้เคยปฏิบตั ไิ ว้” (อนั -นะห์ลฺ : 97)
12 และอลั ลอฮฺยงั ตรัสอีกวา่ ]٧٣ : ﴿ ِّّ ُل َع ِّذ َب ٱّل ُل ٱلأ ُم َنى ِف ِق َي َوٱلأ ُم َنىفِ َقى ِت َوٱلأ ُم أ ِشكِ َي َوٱلأ ُم أ ِش َكى ِت﴾ [الأحزاب ความว่า “เพ่ืออัลลอฮฺนัน้ จะทรงลงโทษบรรดามุนาฟิ กชายและ หญิง และจะทรงลงโทษบรรดาผู้ตัง้ ภาคีชายและหญิง” (อัล- อะห์ซาบ : 73) และอัลลอฮฺได้ห้ามเอาสตรีมาเป็ นส่วนหนึ่งของมรดกใน กรณีท่ีสามีได้เสียชีวิตลง อลั ลอฮฺตรัสวา่ َ َٰٓي َأي َها َ َ ]١٩ : [النساء ﴾ َك أرها ٱل ّنِ َسآ َء تَرِثُوا أن لَ ُك أم ََيِل ل َءا َم ُنوا ٱَّ ِلي َن ﴿ ความวา่ “โอ้บรรดาผ้ศู รัทธาทงั้ หลาย ไมเ่ ป็ นการอนุมตั ิแก่พวกเจ้า ในการท่ีจะเอาบรรดาสตรีมาเป็ นมรดกด้วยการบงั คบั ” (อนั -นิสาอ์ : 19) อิสลามได้ ประกันความเป็ นอิสรภาพของสตรี โดย กาหนดให้เธอมีสิทธิในมรดก โดยไม่ต้องตกเป็ นมรดกเสียเองเฉก เช่นในอดีต และได้ กาหนดให้ สตรีเป็ นผู้มีสิทธ์ิได้ รับมรดกใน ทรัพย์สินของญาตผิ ้ใู กล้ชิดของเธอด้วย พระองคไ์ ด้ตรัสวา่ ] ِّمما٧ب:لِل ّن﴾ِ َ[ساآل ِءن نَساِصءي٧أَتَ أوَر َكَك ُٱ َألث َوىنَ ِِ َِلاصي ِبنا َوٱم أۡأف َل ُرأق َور ُبضوا َن َو ٱ أل َوى ِِ َلا ِن تَ َر َك ِّمما نَ ِصيب َوٱ﴿ أۡ ّلِلَ أقل َّررِ ُب َجوا َنِل ِم أن ُه ِمما قَل
13 ความว่า “สาหรับผู้ชายนัน้ มีส่วนแบ่งจากสิ่งท่ีพ่อแม่และบรรดา ญาตใิ กล้ชิดได้ทิง้ ไว้ และสาหรับผ้หู ญิงนนั้ ก็มีสว่ นแบง่ จากส่ิงที่พ่อ แม่และบรรดาญาติใกล้ชิดได้ทิง้ ไว้ ซ่ึงสิ่งนนั้ จะมีจานวนน้อยหรือ มากก็ตาม เป็ นสว่ นแบง่ ท่ีถกู กาหนดอตั ราสว่ นไว้แล้ว” (อนั -นิสาอ์ : 7) และอลั ลอฮฺได้ตรัสวา่ َ َح ّ ِظ ٱ أۡ ُلنثَ َي أ ِين أ ُكن ن ِ َسآء َف أو َق َفإِن ِم أث ُل ِلِلذ َكر أو َ ىل ِد ُك أم ِ ٓف ﴿ ُيو ِصي ُك ُم ٱ ّلُل ]١١ : ٱثأنَ َت أ ِي فَ َل ُهن ثُلُ َثا َما تَ َر َك ِإَون ََكنَ أت َوى ِح َدة فَ َل َها ٱلنِّ أص ُف﴾ [النساء “อัลลอฮฺได้ทรงสั่งเสียพวกเจ้ าไว้ เก่ียวกับลูกๆ ของพวกเจ้าว่า สาหรับผ้ชู ายนนั้ มีสิทธ์ิได้รับเท่ากับส่วนแบง่ ของผ้หู ญิงสองคน แต่ หากลูกๆ เป็ นผู้หญิงสองคนขึน้ ไป พวกเธอก็จะได้รับสองในสาม จากส่ิงท่ีเขาได้ทิง้ ไว้ และถ้าลูกเป็ นผู้หญิงคนเดียว เธอก็จะได้รับ ครึ่งหนง่ึ ...” (อนั -นสิ าอ์ : 11) รวมถึงอายะฮฺอ่ืนๆ ที่กล่าวถึงบทบญั ญัติเก่ียวกับการให้ สตรีมีสิทธ์ิได้ รับมรดก ไม่ว่าจะเป็ นมารดา ลูกผู้หญิ ง พ่ีสาว น้องสาวและภรรยา ส่วนในด้านการเป็ นสามีภรรยานัน้ อัลลอฮฺได้จากัดให้ ผ้ชู ายมีภรรยาไมเ่ กิน 4 คน (ในเวลาเดียวกนั ) โดยมีเง่ือนไขให้ดารง
14 ไว้ซึ่งความยุติธรรมที่มีความสามารถระหว่างบรรดาภรรยา และ ทรงกาหนดให้อยรู่ ่วมกบั พวกเธอด้วยดี ดงั ท่ีพระองค์ตรัสวา่ ]١٩ : ﴿ َوَ َع ِِ ُشو ُهن بِٱلأ َم أع ُرو ِ نف﴾ [النساء ความว่า “และพวกเจ้าจงอยู่ร่วมกับพวกเธอด้วยดี” (อนั -นิสาอ์ : 19) และพระองคไ์ ด้ทรงกาหนดให้สินสอด (เศาะดาก) เป็ นสทิ ธิ ของผ้หู ญิง และได้สงั่ ใช้ให้มอบแก่เธออยา่ งครบถ้วนตามที่ได้ตกลง กนั ไว้ ยกเว้นในกรณีท่ีเธอจะสละสิทธิ์ด้วยความยินดี ซงึ่ พระองค์ได้ ตรัสไว้วา่ ﴿ َو َءاتُوا ٱل ّنِ َسآ َء َص ُد َقىتِ ِهن ِِ أنلَة فَإِن ِط أ َب َل ُك أم َعن ََ أشء ِّم أن ُه َن أفسا َفُُكُو ُه َهنِ ٓيا ]٤ : ﴾ [النساء٤ م ِر ٓيا ความวา่ “และจงให้แก่บรรดาสตรีซ่งึ สินสอดของพวกเธอด้วยความ เต็มใจ แต่ถ้าเธอเห็นชอบที่จะให้ส่ิงหน่ึงแก่พวกเจ้าจากสินสอดนนั้ แล้ว ก็จงบริโภคสิ่งนนั้ โดยสะดวกและสาราญใจ” (อนั -นสิ าอ์ : 4) อลั ลอฮฺได้บญั ญัติให้ภรรยาเป็ นผ้ดู แู ลบ้านของสามี เป็ นผู้ อบรมขัดเกลาบรรดาลูกๆ ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ วะสลั ลมั กลา่ ววา่ »« َوالْ َم ْرأَة َرا ِع َية ِفي َبيْ ِت َز ْو ِج َها َو َم ْسئولَة َع ْن َر ِعيَّ ِت َها
15 \"และสตรีนัน้ เป็ นผู้ดูแลภายในบ้านของสามี และเธอจะต้องถูก สอบสวนต่อผู้ท่ีอยู่ในการดูแลของเธอ” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ 5200 มสุ ลมิ 4701 อบู ดาวดู 2928 และอตั -ตริ มซิ ีย์ 1705) และพระองค์ได้ บัญญัติให้ สามีจ่ายค่าเลีย้ งดู และค่า เสือ้ ผ้าอาภรณ์แก่ภรรยาด้วยดี เหมาะสมตามจารีตประเพณี สำม เป้ ำหมำยของศัตรูต่อสตรีมุสลมิ เป้ าหมายของศตั รูและผ้ทู ่ีเห็นพ้องกบั พวกเขา คือต้องการ ท่ีจะให้สตรีสลดั เกียรติ ศกั ดศิ์ รี และภารกิจของเธอ แท้จริงศัตรูของอิสลาม – ทว่า ท่ีจริงทุกวันนีพ้ วกเขาคือ ศตั รูกับความเป็ นมนุษย์ด้วยซา้ ซึ่งประกอบด้วยบรรดาผู้ปฏิเสธ บรรดาผู้กลับกลอก และบรรดาผู้ท่ีหัวใจมีโรค- พวกเขามีความ เคียดแค้นท่ีเห็นสตรีมุสลิมดารงตนอยู่ในเกียรติและศกั ดิ์ศรี และ ได้รับการปกป้ องให้ปลอดภยั ในอิสลาม เพราะวา่ พวกเขาต้องการ ใช้สตรีเป็ นเครื่องมือในการทาลายอิสลาม และใช้พวกเธอเป็ นกับ ดกั เพ่ือล่อลวงผ้ทู ี่มีศรัทธาออ่ นและผ้ทู ่ีมีอารมณ์เบี่ยงเบน หลงั จาก ท่ีปล่อยให้ พวกเขาใช้ อารมณ์ปรารถนาให้ อ่ิมหนาสาราญจากตวั ของพวกเธอแล้ว ดงั ที่อลั ลอฮฺได้ตรัสไว้วา่ َ ]٢٧ : [النساء ﴾ ٢٧ َع ِظيما َم أي ًل تَ ِمي ُلوا أن ٱلش َه َوى ِت يَتبِ ُعو َن ٱَّ ِلي َن ﴿ َو ُي ِري ُد ความว่า “และบรรดาผ้ทู ่ีปฏิบตั ติ ามอารมณ์ใฝ่ ต่านนั้ ต้องการท่ีจะ ให้พวกเจ้าหนั เหจากแนวทางอนั เท่ียงตรงให้มาก” (อนั -นิสาอ์ : 27)
16 และมุสลิมบางคนท่ีหัวใจมีโรค เขาต้องการให้สตรีเป็ น สินค้าแก่บรรดาผ้ทู ่ีจมปลกั อย่ใู นอารมณ์ใฝ่ ต่า และในการล่อลวง ของชยั ฏอนมารร้าย เป็ นสนิ ค้าท่ีถกู นามาแสดงตอ่ หน้าสาธารณชน ซ่ึงพวกเขาจะเพลิดเพลินในความสวยงามจากเรือนร่างของเธอ หรือยงั เลยเถิดไปสสู่ ิง่ ที่เลวร้ายกวา่ นนั้ และด้วยเหตดุ งั กล่าว พวกเขาจึงยุยงให้สตรีออกจากบ้าน เพ่ือให้ไปร่วมทางานปะปนกบั ผ้ชู าย เป็ นพยาบาลคอยปรนนบิ ตั ิรับ ใช้พวกผ้ชู ายในโรงพยาบาล เป็ นพนกั งานบริการแขกบนเครื่องบิน เป็ นนกั ศกึ ษาหรือเป็ นอาจารย์ในชนั้ เรียนที่มีการปะปนระหวา่ งชาย และหญิง เป็ นนักแสดง นักร้ อง หรือเป็ นฝ่ ายประชาสัมพันธ์ ใน องค์กรต่างๆ โดยอวดโฉม ยั่วยวนด้วยกับนา้ เสียงและรูปร่าง หน้าตา ส่ือส่ิงพิมพ์ต่างๆ ได้เอารูปหญิงสาวที่ย่ัวยวน แต่งตวั โป๊ เปลือยมาขนึ ้ ปกเพ่ือเป็ นส่ือสาหรับการโฆษณาสินค้า นกั ธุรกิจและ พ่อค้าบางคน ได้ยึดเอาภาพเหล่านีเ้ พื่อมากระต้นุ สินค้าให้มียอด จาหนา่ ยเพิ่มขนึ ้ โดยที่เอารูปภาพตา่ งๆ มาวางโฆษณาไว้บนสินค้า และผลติ ภณั ฑ์ของพวกเขา และจากแนวทางท่ีผิดพลาดเหล่านี ้ทาให้สตรีละทิง้ หน้าที่ หลักภายในบ้านของเธอ ซ่ึงเป็ นเหตุให้สามีต้องไปเอาคนรับใช้ ตา่ งศาสนิกหรือตา่ งชาติมาเลีย้ งดบู ุตร (หมายถึงตามท่ีเป็ นความ
17 นยิ มของสงั คมในประเทศอาหรับสว่ นใหญ่ – บรรณาธิการ) และมา จดั ระเบียบดแู ลบ้านของพวกเขาแทน เป็ นสาเหตทุ ี่ทาให้เกิดความ วนุ่ วายเป็นอยา่ งมาก และทาให้เกิดความเลวร้ายหลายประการ ส่ี กำรทำงำนนอกบ้ำนของผู้หญงิ อนุญาตให้ ผู้หญิงทางานนอกบ้านได้ หากปฏิบัติตาม เงื่อนไขตอ่ ไปนี ้ 1. เธอมีความจาเป็ นต้องทางานดังกล่าว หรือสังคมมี ความจาเป็นต้องพงึ่ เธอ เนื่องจากหาผ้ชู ายทางานนนั้ ไมไ่ ด้ 2. งานนนั้ จะต้องเป็ นงานรอง หลงั จากท่ีเธอได้ปฏิบตั ิงาน หลกั ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว 3. งานนนั้ จะต้องอยใู่ นแวดวงของสตรี เชน่ การสอนผ้หู ญิง การรักษาหรือการปฐมพยาบาลผ้หู ญิงด้วยกนั โดยไม่ได้ปะปนกบั ผ้ชู าย 4. และเช่นเดียวกัน ไม่มีข้ อห้ ามอันใดที่เธอจะออกไป ศึกษาเล่าเรียน ทว่าเป็ นความจาเป็ นต่อสตรีท่ีจะต้ องเรียนรู้ เรื่องราวศาสนา และไม่มีข้อห้ามอันใดในการที่เธอจะไปสอนใน เร่ืองราวศาสนาซ่ึงมีความจาเป็ น โดยการเรียนการสอนนนั้ ต้องไม่ ปะปนกับผู้ชาย และไม่เป็ นไรท่ีเธอจะเข้าไปเรียนรู้ท่ีมัสยิดและ สถานที่อื่นๆ โดยที่เธอแตง่ กายมิดชิดและแยกจากผ้ชู าย ดงั เชน่ กุล สตรีในยคุ แรกของอิสลามได้ประพฤตเิ อาไว้ ซึ่งพวกเธอก็ทางาน ร่า เรียน และไปมสั ญิดเชน่ กนั
18 บทท่ี 2 บญั ญัตวิ ่ำด้วยกำรดแู ลเรือนร่ำงของสตรี หน่ึง ดูแลตัวเองตำมฟิ ฏเรำะฮฺ สตรีต้องดแู ลตวั เองตามกมลสนั ดานท่ีเรียกว่า ฟิ ฏเราะฮฺ ที่ เหมาะสมและเจาะจงเฉพาะกับเธอ อาทิเช่น การตดั และการดแู ล เลบ็ เพราะการตดั เล็บเป็นจริยวตั ร (แบบอยา่ งสนุ นะฮฺของทา่ นเราะ สลู ศ็อลลลั ลอฮุอะลยั ฮิวะสลั ลมั ) ตามมตเิ อกฉันท์ของบรรดาปวง ปราชญ์ ดงั ท่ีมีปรากฏอยใู่ นคาสอนของท่าน เพราะการตดั เล็บเป็ น การทาความสะอาดและตกแตง่ ให้สวยงาม ถ้าปลอ่ ยให้ เล็บยาวจะ ทาให้เกิดความภาพลกั ษณ์ท่ีไม่น่าดู เป็ นเหมือนสตั ว์เดรัจฉาน ทา ให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรก นา้ ไม่สามารถเข้าไปได้อย่างทว่ั ถึง สตรีบางคนไว้เล็บยาวเพราะเลียนแบบตา่ งศาสนิกและไมเ่ ข้าใจใน แบบอยา่ งของทา่ นเราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮวิ ะสลั ลมั ยงั มีสุนนะฮฺอ่ืนๆ ให้สตรีปฏิบตั ิด้วย เช่น การขจดั ขนรักแร้ ขนในที่ลบั ตามท่ีมีปรากฏในหะดีษของท่านเราะสูล ศ็อลลลั ลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม ซ่ึงถือว่าเป็ นการดูแลตนเองให้สวยงามอีกด้วย และทางที่ดีควรขจดั ขนดงั กลา่ วทกุ ๆ สปั ดาห์ หรือไมก่ ็อยา่ ปลอ่ ยให้ มนั ลว่ งเลยไปมากกวา่ ส่ีสิบวนั
19 สอง ข้อปฏิบัตเิ ก่ียวกับเส้นผมและขน ก. สตรีต้องไว้ผม และไม่อนุญำตให้โกนผม ยกเว้น กรณีท่มี ีควำมจำเป็ น ท่านชัยค์มุหัมมัด บิน อิบรอฮีม อาล อัช-ชัยค์ มุฟตีแห่ง ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย กล่าวว่าไม่อนุญาตให้โกนผมของ ผู้หญิง เพราะมีหะดีษจากอะลี ซ่ึงบันทึกโดยอิมามอัน-นะสาอีย์ (5064) และจากอุษมาน ซึ่งบันทึกโดย อัล-บัซซาร และจาก อกิ ริมะฮฺ ซง่ึ บนั ทกึ โดยอบิ นุ ญะรีรฺ พวกเขากลา่ ววา่ َن ََه رسول الله أَ ْن ََتْ ِل َق الْ َم ْرأَة َرأْ َس َها ความว่า “ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ห้ามไม่ให้ ผ้หู ญิงโกนศีรษะของเธอ” การห้ ามใดที่มี ปรากฏจากหะดีษ ของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม นัน้ ให้ถือว่าเป็ นข้อวินิจฉัยสั่งห้าม และไมอ่ นญุ าตให้ทา ตราบใดที่ยงั ไมม่ ีหลกั ฐานอ่ืนมาหกั ล้าง มุลลา อะลี กอรี ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัล-มิรกอต ชัรห์ อัล-มิชกาต ว่า “คาว่า “ห้ ามไม่ให้ ผู้หญิ งโกนศีรษะของเธอ” เน่ืองจากเส้นผมสาหรับผ้หู ญิงนนั้ เทียบได้เหมือนกับเคราสาหรับ ผ้ชู ายในด้านบคุ ลิกและความสวยงาม...” (มจั ญ์มูอฺ ฟะตาวา อชั - ชยั ค์ มหุ มั มดั บนิ อิบรอฮีม อาล อชั -ชยั ค์ : 2/49) ส่วนการตดั ผมออกให้สัน้ สามารถกระทาได้ หากมีความ จาเป็ น แต่ไม่ใช่เป็ นการประดบั ตกแต่ง เช่น ไม่สามารถท่ีจะดูแล รักษาได้ หรือยาวมากจนสร้างความยากลาบาก ดงั นนั้ การจะตดั
20 ออกบางส่วนถือว่าไม่เป็ นไร ดงั ท่ีภรรยาบางคนของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลยั ฮิวะสลั ลมั ได้ปฏิบตั ิหลังจากท่ีท่านได้เสียชีวิต เน่ืองจากพวกเธอไม่มีความจาเป็ นท่ีจะต้องประดบั ประดาโดยการ ไว้ผมยาวอีกตอ่ ไป แต่ถ้ าหากเป้ าหมายของการตัดผม สัน้ เพื่อเป็ นการ เลียนแบบผู้หญิงต่างศาสนิก หรือบรรดาผู้หญิงฟาสิกบกพร่อง ศีลธรรม หรือเพื่อเลียนแบบผ้ชู าย ก็ย่อมเป็ นสิ่งต้องห้าม (หะรอม) โดยไม่มีข้อสงสัยแต่ประการใด ด้วยเหตุผลของการห้ามไม่ให้ เลียนแบบตา่ งศาสนิกโดยภาพรวม และห้ามไม่ให้ผ้หู ญิงเลียนแบบ ผ้ชู าย และหากตงั้ ใจว่าทาเพ่ือเป็ นการประดบั ตกแต่ง ทศั นะเท่าท่ี เห็นมีนา้ หนกั กวา่ ก็คอื ไมเ่ ป็นท่ีอนญุ าต ท่านชยั ค์มหุ มั มดั อลั -อะมีน อชั -ชนั กีฏีย์ เราะหิมะฮลุ ลอฮฺ ได้กล่าวในหนงั สือของท่านว่า “แท้จริงการตดั ผมสนั้ จนกระทัง่ ถึง โคนผมนนั้ เป็ นประเพณีท่ีมีการปฏิบตั ิกนั อยา่ งแพร่หลายของพวก ฝร่ัง ซึ่งค้านกับแบบอย่างของสตรีมุสลิมและสตรีชาวอาหรับยุค ก่อนอิสลาม การกระทาดงั กลา่ วนีเ้ป็ นส่ิงที่เบี่ยงเบน ซง่ึ เป็ นปัญหา ที่แพร่ระบาดในวงกว้างต่อศาสนา ภาพลักษณ์ จรรยามารยาท และพฤตกิ รรมอ่ืนๆ” หลงั จากนนั้ ทา่ นได้ชีแ้ จงเกี่ยวกบั หะดษี ท่ีวา่ .َوََك َن أَ ْز َواج ال ّنَ ِ َِّب َصََّل اََُّلل َعلَيْ ِه َو َس ّلَ َم يَأْخ ْذ َن ِم ْن رءو ِس ِه َّن َح ََّت تَكو َن َ َكلْ َوفْ َر ِة
21 ความว่า “บรรดาภรรยาของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ วะสลั ลัมได้ตดั ผมของพวกเธอออกจนกระทั่งถึงบริเวณสองต่ิงหู” (บนั ทกึ โดยมสุ ลมิ : 726) พวกนางตดั ผมให้สัน้ หลังจากที่ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอ ฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั ได้เสียชีวิต เพราะวา่ พวกนางได้ตกแตง่ และดแู ล ตวั เองในขณะที่ท่านยงั มีชีวิตอยู่ และส่วนหน่ึงจากการตกแต่งท่ีมี เสนห่ ์สวยงามท่ีสดุ ของพวกนางก็คือเส้นผมของพวกนาง แต่หลงั จากท่ีท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว พวกนางมีบทบญั ญัติ เฉพาะซึ่งแตกต่างกับผู้หญิงทั่วไป น่ันคือพวกนางจะไม่สามารถ แตง่ งานได้อีกตอ่ ไป พวกนางเปรียบเสมือนผ้หู ญิงที่มีอิดดะฮฺซงึ่ ถูก กกั ไว้จนกระทงั่ เสียชีวิต เนื่องจากพวกนางเป็ นภรรยาของท่านนบี ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั ดงั ที่อลั ลอฮฺตรัสวา่ َأبَ ًدا أَ أز َوى َج ُهۥ َ َو َ ٓل َ إِن َب أع ِدهِ ٓۦ ِمن تَن ِك ُح ٓوا أن ِٱّلل َر ُسو َل تُ أؤ ُذوا أن لَ ُك أم ََك َن ﴿ َو َما ]٥٣ : ﴾ [الأحزاب٥٣ َذىلِ ُك أم ََك َن ِعن َد ٱّللِ َع ِظي ًما ความว่า “และไม่เป็ นการบงั ควรแก่พวกเจ้าท่ีจะก่อความราคาญ แก่ศาสนทูตของอลั ลอฮฺ และพวกเจ้าจะต้องไม่แตง่ งานกบั บรรดา ภรรยาของท่าน ภายหลังจากที่ท่านได้เสียชีวิตไปแล้วเป็ นอนั ขาด แท้จริง เร่ืองนีส้ าหรับอัลลอฮฺเป็ นเร่ืองที่ใหญ่หลวงนัก” (อัล-อะห์ ซาบ : 53) และการหมดหวงั ที่จะแต่งงานอีก อาจจะเป็ นสาเหตหุ นึ่ง ของการผอ่ นปรนให้งดจากการประดบั ประดาตกแตง่ ในบางเรื่องได้
22 ซ่ึงไม่เป็ นที่อนุญาตให้ทาหากเป็ นเพราะเหตุอื่นๆ นอกจากสาเหตุ ดงั กลา่ วเทา่ นนั้ (อฎั วาอ์ อลั -บะยาน : 5 / 598-601) ดงั นนั้ จาเป็นท่ีสตรีผ้ศู รัทธาจะต้องรักษา เอาใจใส่ดแู ลผม ของพวกเธอ และถกั เปี ย และไมอ่ นุญาตให้ม้วนทาทรงไว้บนศีรษะ หรือมมุ หนงึ่ มมุ ใดของท้ายทอย ชยั คลุ อิสลาม อิบนุ ตยั มียะฮฺ ได้กล่าวในหนงั สือของท่าน ว่า “เสมือนกับพวกโสเภณีบางคนที่ตงั้ ใจถักเปี ยผมของนางเป็ น สว่ นเดียว และปลอ่ ยไว้โชว์ให้เห็นระหวา่ งบา่ ทงั้ สอง\" (มจั ญ์มอู ฺฟะ ตาวา : 22/14) ท่านชยั ค์มหุ มั มัด บิน อิบรอฮีม อาล อชั -ชัยค์ กล่าวไว้ว่า “สาหรับสิ่งที่สตรีบางคนได้กระทาในยุคปัจจุบนั เช่น การแยกผม บนศีรษะไว้ด้านหนึ่ง และรวบไว้ท่ีท้ายทอยด้านหลงั หรือมดั เกลียว ไว้ข้างบน เหมือนกับท่ีพวกผ้หู ญิงฝรั่งทา ลักษณะเช่นนีถ้ ือว่าเป็ น สิ่งที่ไม่อนุญาตให้กระทา เน่ืองจากเป็ นการเลียนแบบสตรีต่างศา สนกิ ” เน่ืองจากมีรายงานจากอบู ฮรุ ็อยเราะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮุ –ในหะดีษบทหน่ีงที่มีความยาว- กลา่ ววา่ ทา่ นเราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮุ อะลยั ฮวิ ะสลั ลมั กลา่ ววา่ وَاِإ َق َّنْوتمِر َميَما َحئَِع َهلها َا ْمَلي ِتسو َي َاجرءدطو ِمسَك ْهأَن ْذَّنَنَما ِ َسِكيأَب َراْسِةْْ ِنَل َََمقك ِِةرَذايَاْْ َوْْل َك ِضْخَبذاوِ»ت َنابِلْ َهَماائِاللَنَّ ِةا َ َلس:َ يَ«َونِْدِصَسنْخا َلفْءا َنَِنَاك ِْمِ ْسلَ َْيَنّنا َةأَ ْهَتو ِل َلع َاالََ َِّنرِياَياِْرد لََنتْم ِرأَيَرم َحهِمَه َمياال
23 ความวา่ “ชาวนรกสองจาพวกท่ีฉนั ยงั ไม่เคยเห็นพวกเขา พวกหนึ่ง มีแส้คล้ายกบั หางววั คอยเฆี่ยนตี (ลงโทษ) มนุษย์ และอีกพวกหน่ึง คือสตรีท่ีสวมใส่เสือ้ ผ้าไม่มิดชิด เดินเอนไปเอนมา ศีรษะของพวก เธอเหมือนกับโหนกอูฐ พวกเธอจะไม่ได้เข้าสวนสวรรค์ และจะ ไม่ได้ดม (สัมผัส) กลิ่นไอของมัน ทัง้ ๆ ที่กลิ่นไอของมันจะดม (สมั ผสั ) ได้ในระยะทางเทา่ นนั้ เทา่ นี”้ (บนั ทกึ โดยมสุ ลมิ 5547) นักปราชญ์บางท่านได้ขยายความคาว่า “เอนไปเอนมา” คือ พวกเธอได้หวีผมในลกั ษณะเอน ซง่ึ เป็ นการหวีของหญิงโสเภณี และการหวีลักษณะเช่นน่ีเป็ นการกระทาของพวกผ้หู ญิงฝร่ัง และ ผ้หู ญิงมสุ ลิมท่ีดาเนินตามแนวทางของพวกเธอ (มจั ญ์มอู ฺ ฟะตาวา ของชยั ค์มุหมั มดั บิน อิบรอฮีม เล่มท่ี 2/47 และอลั -อีฎอห์ วะ อตั - ตบั ยีน ของหะห์มดู อตั -ตวุ ยั ญิรีย์ หน้าท่ี 85) ดงั ท่ีห้ามไมใ่ ห้สตรีโกนศีรษะหรือตดั ผมออกโดยไม่มีความ จาเป็ นแล้ว ก็ยงั มีบัญญัติห้ามไม่ให้เธอต่อผม หรือเอาผมอื่นมา เสริม ดังที่มีหลักฐานที่ปรากฏในตาราของอิมามอัล-บุคอรีย์ (5934) และมสุ ลิม (5530) »«لَ َعن رسول اََّّلل الْ َوا ِصلَ َة َوالْم ْس َت ْو ِصلَة ความว่า “ท่านเราะสูล ศ็อลลลั ลอฮุอะลยั ฮิวะสัลลัม ได้สาปแช่ง ผ้หู ญิงที่ตอ่ ผมให้ผ้อู ่ืน และผ้หู ญิงท่ีขอให้ผ้อู ื่นตอ่ ผมให้”
24 อนั เนื่องจากการกระทาดงั กล่าวนัน้ เป็ นการปลอมแปลง นอกจากนีก้ ารใช้ผมปลอมในปัจจบุ นั ก็เข้าขา่ ยการตอ่ ผมเชน่ กนั อัล-บุคอรีย์ มุสลิม และท่านอ่ืนๆ ได้ รายงานว่า “เมื่อ มอุ าวิยะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮุ ได้มายงั นครมะดีนะฮฺ ท่านได้เอาผม มากาหนง่ึ แล้วกลา่ วตกั เตือนวา่ ع ًراَس ِِمم ْعْن َتش ْعَر ِرسو َغَلْي ِراَّهََّال ِل ِإلَصََََّكل َناََّّزللو ًراَع»لَيْ ِه،ْ ك«ْم َماََيْ ِمَع ِلْن َان ْمِفَريأَةرََؤتْو َع ِسلِه ِ ْفمي ِم َرثْأْ َ ِلس َه َها َذ َاش: نِ َي َسقاوئِل،ََمواَسبََلّا َمل ความว่า \"บรรดาสตรีของพวกทา่ นเป็ นอะไรกนั ถึงได้เอาของพวกนี ้ มาใส่บนศีรษะของพวกนาง ฉันได้ยินท่านเราะสลู ศ็อลลลั ลอฮอุ ะ ลยั ฮิวะสลั ลมั กล่าววา่ “ไม่มีสตรีคนใดเอาผมของผ้อู ่ืนมาต่อกับผม ของนาง นอกจากนน่ั ถือว่าเป็ นการปลอมแปลง” (บนั ทึกโดยอัล- บคุ อรีย์ : 3468 , 5932 และมสุ ลมิ : 5543) และคาว่า “ผมปลอม” คือ ผมเทียมที่ถูกผลิตขึน้ มา ซ่ึง เหมือนกับผมจริง และการสวมใส่มนั นนั้ ถือว่าเป็ นการกระทาเชิง หลอกลวง ข. ไม่อนุญำตให้สตรีมุสลิมกำจัดขนควิ้ ไม่วา่ ทงั้ หมดหรือบางสว่ น และไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ ก็ตาม จะด้วยการโกน หรือการตดั หรือการใช้เครื่องมือ หรือการใช้นา้ ยา ขจัดทัง้ หมดหรือบางส่วน เพราะนั่นเข้าข่ายการถอนที่ท่านนบี ศ็อลลลั ลอฮุอะลยั ฮิวะสลั ลมั ได้ดอุ าอ์สาปแช่งผ้หู ญิงท่ีถอนขนคิว้
25 และผู้หญิงท่ีให้คนอื่นถอนขนคิว้ ให้ (บันทึกโดยอัน-นะสาอีย์ : 5111) โดยเข้าใจวา่ เป็นการเสริมสวย และนี่คือการเปล่ียนแปลงการสร้างสรรค์ของอัลลอฮฺ ซึ่ง ชัยฏอนมารร้ ายได้ สัญญาไว้ว่ามันจะสั่งให้ มนุษย์กระทาการ ดงั กลา่ ว ดงั ที่อลั ลอฮฺตรัสไว้วา่ ]١١٩ : ﴿ َوٓأَل ُم َرن ُه أم َف َل ُي َغ ِّّ ُين َخ أل َق ٱّللِ ﴾ [النساء ความว่า “และแนน่ อนยิ่ง ข้า (ชยั ฎอน) จะใช้พวกเขา แล้วแน่นอน พวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลงส่ิงท่ีอลั ลอฮฺทรงสร้าง” (อนั -นสิ าอ์ : 119) และในเศาะฮีหฺอัล-บุคอรีย์ มีรายงานจากอิบนุ มัสอูด เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮุ กลา่ ววา่ لِلْح ْس ِن َوالْمتَ َفلِّ َجا ِت َوالْم َتنَ ِّم َصا ِت الْ َوا ِش َما ِت َوالْم ْستَ ْو ِش َما ِت «لَ َع َن اََّّلل َوال َّنا ِم َصا ِت »َخلْ َق اََّّل ِل الْم َغ ِّي َرا ِت ความว่า “อัลลอฮฺได้สาปแช่งผู้หญิงที่สัก ผู้หญิงที่ให้ผู้อื่นสักให้ ผ้หู ญิงท่ีถอนขนคิว้ ผ้หู ญิงที่ให้ผ้อู ่ืนถอนขนคิว้ ให้ ผ้หู ญิงท่ีตกแต่ง ฟั นเพ่ือความสวยงาม ผู้ท่ีเปลี่ยนแปลงการสร้ างของอัลลอฮฺ” (บนั ทกึ โดยอลั -บคุ อรีย์ : 5931และมสุ ลมิ : 5538) หลงั จากนนั้ ทา่ นยงั ได้กลา่ ววา่ .َو َما ِل َل أَلْ َعن َم ْن لَ َع َن َرسول اََّّل ِل َصََّل اََّّلل َعلَيْ ِه َو َس ّلَ َم َوه َو ِفي ِكتَا ِب اََّّل ِل
26 “ฉันจะไม่สาปแช่งผู้ที่ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยสาปแช่งไว้ได้อย่างไร ทงั้ ๆ ท่ีมีนเป็ นส่ิงท่ีถกู บญั ญัติไว้ในอลั กุ รอาน?” ทา่ นหมายถึงคาตรัสของอลั ลอฮฺท่ีวา่ ]٧ :﴿ َو َمآ َءاتَىى ُك ُم ٱلر ُسو ُل فَ ُخ ُذو ُه َو َما َن َهىى ُك أم َع أن ُه َفٱن َت ُهوا ﴾ [الحشر ความว่า “และส่ิงใดที่เราะสูลได้นามายังพวกเจ้า ก็จงยึดเอาไว้ และสง่ิ ใดที่ทา่ นได้ห้ามพวกเจ้าไว้ ก็จงละเว้นเสีย” (อลั -หชั รฺ : 7) อิบนุ กะษีรฺ ได้กล่าวไว้ในหนังสือตฟั ซีรฺของท่าน (2/359) วา่ “สตรีจานวนมากในทกุ วนั นีไ้ ด้รับการทดสอบด้วยโรคร้ายเหลา่ นี ้ ซึ่งเป็ นบาปใหญ่ชนิดหนึ่ง จนกระท่ังการขจัดขนคิว้ ได้กลายเป็ น สิ่งจาเป็ นรายวนั และไม่อนุญาตให้ภรรยาเช่ือฟังสามีถ้าเขาสงั่ ให้ กระทาในเรื่องดงั กล่าว เพราะเขากาลงั สง่ั ให้ทาสิ่งท่ีถือวา่ เป็ นการ ฝ่ าฝื นหรือมะอฺศยิ ะฮฺนนั่ เอง” ค. ไม่อนุญำตให้สตรีมุสลิมผ่ำแยกฟันโดยกำรถูด้วย ตะไบเพ่ือกำรเสริมสวย แต่หากว่าในกรณี ที่ฟั นมีความผิดปกติ และมีความ จาเป็ นต้องขจัดส่ิงรบกวนให้หมดไป หรือเพ่ือแก้ไขให้ดีขึน้ ก็ไม่ เป็ นไร เพราะเป็ นการรักษาเยียวยา และขจดั ความราคาญให้หมด ไป และต้องให้แพทย์หญิงผ้มู ีความรู้เฉพาะทางเป็นผ้รู ักษา ง. ไม่อนุญำตให้สตรีสักบนร่ำงกำย หรือให้ผู้อ่ืนสักให้
27 การสัก คือ การใช้เข็มที่มีนา้ หมึกท่ิมแทงตามมือหรือ ใบหน้ า เพราะท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ สาปแชง่ ผ้หู ญิงที่เป็นช่างสกั และผ้หู ญิงที่ให้คนอ่ืนสกั ให้ การกระทา ดงั กล่าวถือว่าเป็ นบาปใหญ่ เพราะว่าท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสลั ลมั ได้สาปแช่งผ้ทู ่ีกระทาหรือผู้ท่ีให้คนอ่ืนกระทาให้ และการสาปแชง่ จะไมเ่ กิดขนึ ้ นอกจากในสิง่ ท่ีเป็นบาปใหญ่เทา่ นนั้ จ. บทบัญญัติหรือข้อชีข้ ำดเก่ียวกับกำรย้อมสีด้วยใบ เทียน กำรย้อมผม และกำรใช้เคร่ืองประดับท่ีเป็ นทองคำ 1. กำรย้อมด้วยใบเทยี น อมิ ามอนั -นะวะวีย์ กลา่ วไว้ในหนงั สือ อลั -มจั ญ์มอู ฺ (เล่ม1 หน้ า 324) “การย้ อมมือและเท้ าด้ วยใบเทียนสาหรับผู้หญิ งที่ แตง่ งานแล้ว เป็ นส่ิงที่ส่งเสริมให้กระทาอนั เน่ืองจากมีหะดีษตา่ งๆ ดังเป็ นท่ีรับรู้กัน...” ดังรายงานจากอบู ดาวูด (4164) และอัน- นะสาอีย์ (5095) ว่า “แท้จริงมีผู้หญิงคนหน่ึงได้ถามท่านหญิง อาอิชะฮฺ ถึงการย้อมเล็บด้วยใบเทียน เธอตอบว่า “ไมม่ ีปัญหาอะไร ทว่าฉนั ไมช่ อบมนั เพราะทา่ นเราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั ที่รักของฉนั ก็รังเกียจกล่ินของมนั ” และมีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮา เล่าว่า “มีผู้หญิงคนหน่ึงได้ยื่นมือมาจากหลังม่านเพ่ือส่งหนังสือ ให้แก่ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลมั แล้วท่านก็ไม่รับ และกลา่ วว่า “ฉันไมท่ ราบวา่ เป็ นมือของผ้ชู ายหรือมือของผ้หู ญิง?”
28 เธอกล่าวว่า “เป็ นมือของผ้หู ญิง” แล้วท่านก็กล่าวว่า “หากเธอเป็ น ผู้หญิง แน่นอนเธอย่อมย้อมเล็บของเธอด้วยใบเทียน” (บันทึก โดยอบู ดาวูด : 4166 และอัน-นะสาอีย์ : 5089) แต่การย้อมเล็บ จะต้องไมใ่ ช้วตั ถหุ รือสารที่ตดิ แข็งจนไมส่ ามารถทาความสะอาดได้ 2. กำรย้อมผมของสตรี หากกรณีเป็ นผมหงอก สามารถย้อมได้ทุกสีท่ีไม่ใช่สีดา เนื่องจากท่านเราะสูล ศ็อลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั มีคาสง่ั ห้ามมิ ให้ใช้สีดาในการย้อม อัน-นะวะวีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ (ริยาฎ อัศ-ศอลิฮีน : 626) บทว่าด้วยเร่ืองการห้ามผู้ชายและผ้หู ญิงไม่ให้ย้อมผมด้วยสี ดา และได้กล่าวไว้ในหนังสือมัจญ์มูอฺ (1/324) ว่า “ไม่มีความ แตกต่างระหว่างผ้ ูชายและผ้ ูหญิ งในการห้ ามมิให้ ย้ อมด้ วยสีดา และน่ีคอื ทศั นะของมซั ฮบั เรา..” ส่วนการย้อมผมสีดาของสตรีเพ่ือให้เปล่ียนเป็ นสีอื่นนัน้ ฉนั (ผ้เู ขียน)มีความเหน็ วา่ กรณีนีไ้ มเ่ ป็นท่ีอนญุ าต เพราะไมม่ ีความ จาเป็ นอันใดที่จะต้องกระทาอย่างนัน้ เพราะสีดาของผมนัน้ เป็ น ความสวยงาม อยู่แล้ ว ไม่ถื อว่าเป็ นส่ิงผิดปกติ จนต้ องไป เปล่ียนแปลงมนั และการกระทาเช่นนนั้ เป็ นการเลียนแบบผู้หญิง ตา่ งศาสนิก
29 3. อนุญำตให้สตรีใช้เคร่ืองประดับท่ีทำจำกทองคำ และเงนิ ตำมประเพณีท่ปี ฏิบัตกิ ัน และน่ีเป็ นมติเอกฉันท์ของปวงปราชญ์ แต่ไม่อนุญาตให้ เธอนาเอาเคร่ืองประดับออกมาเผยให้ เห็นแก่ผู้ชายที่สามารถ แตง่ งานกนั ได้ จาเป็ นท่ีจะต้องปกปิ ดโดยเฉพาะอย่างย่ิงเวลาออก จากบ้านและอย่ใู นท่ีท่ีอาจจะทาให้บุรุษหนั มามองเธอ เพราะนั่น เป็ นการยวั่ ยวน แท้จริงแล้วเธอถกู ห้ามไม่ให้ผ้ชู ายได้ยินเสียงของ กาไลหรือเคร่ืองประดบั ที่เธอใส่อยู่ที่เท้า ซึ่งมันอยู่ใต้เสือ้ ผ้า แล้ว นบั ประสาอะไรกบั การเปิดเผยเคร่ืองประดบั ที่อยนู่ อกเสือ้ ผ้าอีกเล่า อลั ลอฮฺตรัสวา่ ]٣١ : ﴿ َو َل يَ أۡ ِض أب َن بِأَ أر ُجلِ ِهن ِّ ُل أع َل َم َما ُُ أي ِف َي ِمن زِينَتِ ِهن ﴾ [النور ความว่า “และพวกเธออย่าได้กระทืบเท้าของพวกเธอ เพื่อให้รู้ถึง เครื่องประดบั ท่ีพวกเธอปกปิดไว้” (อนั -นรู ฺ : 31)
30 บทท่ี 3 บัญญัตวิ ่ำด้วยเลือดประจำเดอื น เลือดเสีย และเลือดหลังคลอด หน่ึง เลือดประจำเดือน (หัยฎ์) 1. คำนิยำมของเลือดประจำเดอื น (หยั ฎ์) ตามหลกั ภาษา หมายถึง การไหล ตามหลกั บทบัญญัติ หมายถึง เลือดท่ีออกมาจากมดลูก ของผ้หู ญิง ตามวนั เวลาซงึ่ เป็นที่รับรู้กนั ไมไ่ ด้เกิดมาจากสาเหตกุ าร เป็ นโรค หรือประสบอุบตั ิเหตุ แตเ่ ป็ นสิ่งที่อลั ลอฮฺทรงกาหนดให้แก่ บรรดาสตรีเพศ เพื่อไว้หล่อเลีย้ งทารกขณะที่อยู่ในครรภ์ แล้วจะ เปลี่ยนเป็ นนมเม่ือคลอดบุตร ดังนัน้ เมื่อสตรีไม่ได้ตงั้ ครรภ์หรือ ไมไ่ ด้ให้นมแกบ่ ตุ ร เลือดนีจ้ ะยงั คงอยโู่ ดยไมม่ ีสงิ่ ใดมาเปลี่ยนแปลง ซ่ึงมันจะไหลออกมาในช่วงวันเวลาที่รับรู้ และรู้จักกันในนาม ประจาเดือนหรือรอบเดือน 2. อำยุของผู้มีประจำเดอื น
31 สตรีที่มีประจาเดือนโดยทว่ั ไปอายนุ ้อยสดุ คือ 9 ปี จนไปถึง อายุ 50 ปี อลั ลอฮฺได้ตรัสวา่ ﴿ َوٱ َٰٓلـِي َيئِ أس َن ِم َن ٱ أل َم ِحي ِض ِمن نِّ َسآئِ ُك أم ِإ ِن ٱ أر َت أب ُت أم َف ِعد ُت ُهن َث َلى َث ُة َأ أش ُهر ]٤ : َوٱ َٰٓل ِـي لَ أم ََيِ أض َن ﴾ [الطلاق ความว่า “สว่ นบรรดาผ้หู ญิงในหมภู่ ริยาของพวกเจ้าที่หมดหวงั ใน การมีประจาเดอื น หากพวกเจ้ายงั สงสยั (ในเร่ืองอิดดะฮฺ) ดงั นนั้ พงึ รู้เถิดวา่ อิดดะฮฺของพวกนางคือสามเดอื น และบรรดาผ้หู ญิงท่ีไมม่ ี ประจาเดือนก็นบั อิดดะฮฺแบบนนั้ เชน่ เดียวกนั ” (อฏั -เฏาะลาก : 4) สตรีที่หมดหวงั ในการมีประจาเดอื น หมายถงึ ผ้หู ญิงท่ีมี อายปุ ระมาณ 50 ปี และผ้ทู ี่ยงั ไมม่ ีประจาเดอื น หมายถึง ผ้หู ญิงท่ี อายยุ งั ไมถ่ ึง 9 ปี 3. บทบัญ ญั ติและข้ อชี้ขำดเก่ียวกับผู้ท่ีมีเลือด ประจำเดือน 3.1 ไมอ่ นญุ าตให้มีเพศสมั พนั ธ์ทางอวยั วะเพศกบั ภรรยาที่ มีประจาเดอื น เน่ืองจากอลั ลอฮฺได้ตรัสไว้วา่ ٱلأ َم ِحي ِض َو َل َي َ أعط ُِهن أرٱلأَن َم َف ِإحِيَذا ِ َتض َط ُقهأ ألر َ ُنه ََوف أأ َأُتوذ ُهىن إِن ٱّل َل َُ ِيب ِف ٱل ّنِ َسآ َء َفٱ أع َتِلُوا ﴿ َويَ أ َسلُو َن َك ّل ُل أَ َم َر ُك ُم ٱ ِم أن َح أي ُث َت أق َر ُبو ُهن َحّ ىت ]٢٢٢ : ﴾ [اْلقرة٢٢٢ ٱلتوىبِ َي َو ُي ِحب ٱلأ ُم َت َط ِّه ِري َن
32 ความวา่ “และพวกเขาจะถามเจ้าเก่ียวกบั ประจาเดือน จงกลา่ วเถิด วา่ มนั เป็ นส่ิงโสโครก ดงั นนั้ พวกเจ้าจงงดจากการมีเพศสมั พนั ธ์กบั ภรรยาในขณะท่ีมีประจาเดือน และอย่าได้มีเพศสัมพันธ์กับพวก เธอจนกวา่ พวกเธอจะสะอาดเสียก่อน ครัน้ เมื่อพวกเธอได้ ทาความ สะอาดชาระร่างกายแล้ว ก็จงเข้าหาพวกเธอตามท่ีอลั ลอฮฺได้ทรงใช้ พวกเจ้า แท้จริง อลั ลอฮฺทรงรักบรรดาผ้ทู ่ีกลบั เนือ้ กลบั ตวั และทรง รักบรรดาผ้ทู ี่ทาความสะอาดทงั้ หลาย” (อลั -บะเกาะเราะฮฺ : 222) และข้อห้ามนีจ้ ะดาเนนิ ไปจนกระทง่ั เลือดประจาเดอื นหยดุ ไหล และเธออาบนา้ ชาระร่างกายตามบทบัญญัติ เนื่องจาก พระองค์อลั ลอฮฺตรัสไว้วา่ َ َف أأ ُتو ُهن َ ﴾ ّلُل ٱ ُك ُم َم َر أ َح أي ُث ِم أن َت َطه أر َن َفإِ َذا َي أط ُه أر َن َحّ ىت َت أق َر ُبو ُهن ل ﴿ َو ]٢٢٢ :[اْلقرة ความหมาย “และอย่าได้มีเพศสมั พนั ธ์กบั พวกเธอจนกวา่ พวกเธอ จะสะอาดเสียก่อน ครัน้ เมื่อพวกเธอได้ ทาความสะอาดชาระ ร่างกายแล้ว ก็จงเข้าหาพวกเธอตามที่อัลลอฮฺได้ทรงใช้พวกเจ้า” (อลั -บะเกาะเราะฮฺ : 222) และอนุญ าตแก่สามี ท่ีจะหาความสุขกับภรรยาท่ีมี ประจาเดือนได้ แต่ต้องไม่ถึงขัน้ การร่วมสังวาสทางอวัยวะเพศ เนื่องจากทา่ นเราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮวิ ะสลั ลมั ได้กลา่ ววา่
33 »«ا ْصنَعوا َّك ََ ْشء ِإ َّل ال َِّنََك َح ความว่า “ท่านทงั้ หลายจงทาทกุ อย่างได้ ยกเว้นการร่วมประเวณี” (บนั ทกึ โดยมสุ ลิม : 692) 3.2 ผู้หญิงที่มีประจาเดือน ไม่ต้องถือศีลอดและไม่ต้อง ละหมาด และหากปฏิบตั ิก็ถือวา่ เป็ นเร่ืองต้องห้าม และใช้ไมไ่ ด้ ดงั หลกั ฐานจากทา่ นนบี ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮวิ ะสลั ลมั ได้กลา่ ววา่ »«أَلَيْ َس إِ َذا َحا َض ْت لَ ْم ت َص ِّل َولَ ْم تَص ْم ความว่า “เมื่อสตรีมีประจาเดือน เธอไม่ละหมาดและไม่ถือศีลอด มิใชห่ รือ?” (บนั ทกึ โดยอลั -บคุ อรีย์ : 304และมสุ ลิม : 759) จากนนั้ เมื่อสะอาดจากประจาเดือนแล้ว เธอจะต้องถือศีล อดชดใช้ ส่วนละหมาด ไม่ต้ องชดใช้ ดังที่ท่านหญิ งอาอิชะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮา กลา่ ววา่ «ك َّنا ََ ِنيض لَََع َع ْه ِد َرسو ِل َو َسلَّ َم »َو َل ن ْؤ َمر بِ َق َضا ِء ال َّص َلا ِة ال َّص ْو ِم بِ َق َضا ِء ن ْؤ َمر َفكنا – َعلَيْ ِه اََّّلل َصََّل - اََّّل ِل ความวา่ “พวกเรามีประจาเดือนในสมยั ของทา่ นเราะสลู ศอ็ ลลลั ลอ ฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม เราถูกสั่งให้ถือศีลอดชดใช้ และไม่ถูกส่ังให้ ละหมาดชดใช้” (บนั ทกึ โดยอลั -บคุ อรีย์ : 321และมสุ ลมิ : 761) ส่วนความแตกตา่ งระหว่างการละหมาดและการถือศีลอด นนั้ – อลั ลอฮฺรู้ดีย่ิง - เพราะการละหมาดทาซา้ วนั ละหลายครัง้ จึง ไมต่ ้องชดใช้ เพราะเกิดความลาบาก ซงึ่ ตา่ งกบั การถือศลี อด
34 3.3 ห้ามไม่ให้สตรีที่มีประจาเดือนสัมผสั อลั กุรอานโดยท่ี ไมม่ ีสงิ่ กนั้ เน่ืองจากอลั ลอฮฺได้ตรัสไว้วา่ ]٧٩ : ﴾ [الواقعة٧٩ ﴿ ل َي َمس ُه ٓۥ إِل ٱلأ ُم َطه ُرو َن ความว่า “และจะไม่สัมผัสอัลกุรอาน นอกจากบรรดาผู้ที่สะอาด เทา่ นนั้ ” (อลั -วากิอะฮฺ : 79) และดังที่มีสาสน์จากท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ วะสลั ลมั ได้เขียนไปหาอมั ร์ บนิ หซั ม วา่ َّ الْق ْرآ َن « َل ِإل »َطا ِهر َي َم َّس “อยา่ ได้สมั ผสั อลั กรุ อาน นอกจากผ้ทู ี่สะอาดเทา่ นนั้ ” (บนั ทกึ โดยมา ลิก : 468 , อนั -นะสาอีย์ และทา่ นอื่นๆ) ซง่ึ เปรียบเสมือนหะดีษมตุ ะวาติร (บนั ทึกและรายงานโดย มหาชน) เนื่องจากผ้คู นจานวนมากได้ยอมรับ ชยั คุลอิสลาม อิบนุ ตยั มียะฮฺ กล่าวว่า “ทัศนะของบรรดา อิมามทงั้ ส่ีเห็นพ้องกนั ว่า ไม่อนญุ าตให้สมั ผสั อลั กรุ อานนอกจากผู้ ที่สะอาดบริสทุ ธ์ิเทา่ นนั้ ” สว่ นการอา่ นอลั กรุ อานของสตรีที่มีประจาเดือนโดยท่ีไม่ได้ สมั ผัสนนั้ เป็ นประเด็นที่บรรดานกั วิชาการมีทัศนะที่แตกต่างกัน และทางท่ีดี คือ เธอไม่ควรอ่านอัลกุรอานขณะท่ีมีประจาเดือน
35 นอกจากในกรณีท่ีมีความจาเป็ นเท่านนั้ เช่น เกรงว่าจะลืมส่วนท่ี เคยทอ่ งจาไปแล้ว (อลั ลอฮฺเป็นผ้ทู ่ีรู้ดยี ิง่ ) 3.3 ห้ ามสตรีที่มีประจาเดือนเดินเวียนรอบบัยตุลลอฮฺ (เฏาะวาฟ) ดงั ที่ทา่ นเราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั ได้กลา่ ว แกท่ า่ นหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮา ขณะท่ีนางมีประจาเดือน วา่ بِاْْ َليْ ِت َ أَ ْن ال ْحَا ُج ل »َت ْطه ِري َح ََّت َتطو ِِف َغ ْي َر َي ْف َعل َك َما «ا ْف َع ِل ความว่า “จงปฏิบตั ิเย่ียงผ้ทู ่ีทาหจั ญ์คนอื่นๆ เพียงแต่เธอจะต้องไม่ เฏาะวาฟจนกว่าเธอจะสะอาด” (บนั ทกึ โดย อลั -บคุ อรีย์ : 305 และ มสุ ลมิ : 2911) 3.4 ห้ ามสตรีที่มีประจาเดือนพานักในมัสยิด ดังท่ีท่าน เราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮวิ ะสลั ลมั กลา่ วไว้วา่ َو َل اَلْ َم ْس ِج َد َ « ِإِ ِّّن »ْلنب ل ِحَائِض أ ِح ُل ل ความวา่ “แท้จริง ฉันไมอ่ นญุ าตให้ผ้ทู ่ีมีประจาเดือนและผ้ทู ี่มีญนุ บุ (มีมูลเหตุท่ีต้องอาบนา้ ชาระร่างกาย)พานักในมัสยิด” (บันทึก โดยอบู ดาวดู : 232) และทา่ นยงั กลา่ วอีกวา่ َو َل َ الْ َم ْس ِج َد ل »جنب ل ِحَائِض يَ ِح ُل « ِإ ِّن
36 ความ ว่า “แท้ จริงมัสยิดนัน้ ไม่เป็ นท่ี อนุญ าตสาหรับ ผู้ที่ มี ประจาเดอื นและผ้ทู ี่มีญนุ บุ ” (บนั ทกึ โดยอบิ นุ มาญะฮฺ : 645) และอนุญ าตให้ ผ้ ูที่ มีประจาเดือนเดินผ่านมัสยิดได้ โดย ไม่ได้หยุดพานัก อันเนื่องจากมีหะดีษจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ วะสลั ลมั กลา่ ววา่ » «إِ َّن َحيْ َضتَ ِك لَيْ َس ْت بِيَ ِد ِك: قَا َل. إِِ ِّّن َحائِض: فقلْت،»«نَا ِو ِلي ِن اْ ْل ْم َر َة ِم ْن الْ َم ْس ِج ِد ความว่า “เธอจงเอาผ้าปูละหมาดจากมัสยิดมาให้ฉัน” แล้วฉันก็ ตอบว่า ฉันมีประจาเดือน ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ วะสลั ลัม เลยกล่าวว่า “แท้จริงประจาเดือนของเธอไม่ได้อยู่ท่ีมือ ของเธอสกั หนอ่ ย” (บนั ทกึ โดยมสุ ลิม : 678 , อบู ดาวดู : 261 , อนั - นะสาอีย์ : 328 , อิบนุ มาญ ะฮฺ : 632 และอัต-ติรมิซีย์ :134) (เจ้าของหนงั สือมนุ ตะกอ อลั -อคั บาร มจั ญ์ดดุ ดีน กล่าวว่า บนั ทึก โดยนกั บนั ทกึ ทงั้ เจ็ดยกเว้นอลั -บคุ อรีย์ : 1/140) และอนญุ าตแก่ผ้มู ีประจาเดือน สามารถอ่านถ้อยคาราลึก ตา่ งๆ ท่ีถูกบญั ญัติไว้ได้ เช่น การกล่าวคาว่า ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ อลั ลอฮฺอักบัร สุบหานัลลอฮฺ ตลอดจนคาวิงวอนตา่ งๆ และสามารถ อา่ นถ้อยคาราลึกในยามเช้า ยามเย็น ขณะเข้านอน และต่ืนนอน” และอนญุ าตให้อา่ นตาราทางวชิ าการ เชน่ ตฟั ซีรฺ หะดษี และฟิกฮฺ
37 เกร็ดควำมรู้ ข้อชีข้ ำดทำงบทบัญญัตขิ องกำรตกขำว และนำ้ คำวปลำ (ศุฟเรำะฮฺ และกุดเรำะฮ)ฺ ศุฟเรำะฮฺ คือ ส่ิงท่ีมีลักษณ ะคล้ ายกับนา้ หนองมีสี คอ่ นข้างเหลือง กุดเรำะฮฺ คอื สงิ่ ท่ีมีลกั ษณะคล้ายกบั สีของนา้ ขนุ่ สกปรก ดงั นนั้ เม่ือมีสิ่งใดจากทงั้ สองนีอ้ อกมาจากผ้หู ญิง ในช่วง เวลาของประจาเดือน ก็ให้ถือว่าเป็ นประจาเดือน ใช้บทบญั ญัติ และข้อชีข้ าดเดียวกบั การมีประจาเดือน และหากออกมาในเวลาที่ไม่มีประจาเดือน ก็ไม่นบั ว่าทัง้ สองอยา่ งนนั้ เป็ นประจาเดือน และถือว่าตวั ของเธอสะอาดอยู่ ดงั ท่ี มีหลกั ฐานจากอมุ มุ อะฎียะฮฺ กลา่ ววา่ »«ك َّنا ل َنع ُد الْك ْد َر َة َوال ُص ْف َر َة َب ْع َد ال ُط ْه ِر َشيْ ًئا ความวา่ “เราไมถ่ ือวา่ ศฟุ เราะฮฺและกดุ เราะฮฺหลงั จากท่ีสะอาดแล้ว (เลือดหยุดแล้ว) ว่าเป็ นประจาเดือนแต่อย่างใด” (บันทึกโดยอบู ดาวดู : 307) ในบันทึกของอัล-บุคอรีย์ไม่มีคาว่า “หลังจากที่สะอาด แล้ว” และคาพูดของอุมมุอะฏียะฮฺนนั้ มีสถานะเดียวกับคาพูด ของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม -ตามทัศนะของ
38 นกั วชิ าการหะดีษ- เพราะทา่ นเราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั ได้ให้การรับรองหรือยอมรับแล้ว และสิ่งที่สามารถเข้าใจได้จากหะดีษนีก้ ็คือ ศฟุ เราะฮฺและ กุดเราะฮฺที่ออกมาในช่วงประจาเดือนก็เป็ นประจาเดือน ซ่ึงใช้ บทบญั ญตั แิ ละข้อชีข้ าดเดียวกบั ประจาเดือน เกร็ดควำมรู้เพ่มิ เตมิ คำถำม รู้ได้อยา่ งไรวา่ ประจาเดือนหมดแล้ว? ค ำต อ บ รู้ได้ โด ย ก ารห ยุด ไห ล ข องเลื อ ด ซึ่งจ ะมี เคร่ืองหมายใดจากสองเครื่องหมายนี ้ หน่ึง มีนา้ สีขาวออกมา (ก็อศเศาะฮฺ บัยฎออ์) ซ่ึงมันจะ ออกมาหลงั จากประจาเดือน คล้ายกบั นา้ ของปนู พลาสเตอร์ และ บางทีก็อาจจะเป็นสีอื่น ทงั้ นี ้ขนึ ้ อยกู่ บั สภาพของผ้หู ญิงแตล่ ะคน สอง อวยั วะเพศแห้ง พิสูจน์ได้โดยการใช้ผ้าหรือสาลีสอด เข้าไปในอวยั วะเพศ จากนนั้ ดงึ ออกมา แล้วพบว่ามนั อย่ใู นสภาพท่ี แห้ง ไมม่ ีสิ่งใดตดิ มาเลย ไมว่ า่ จะเป็นเลือด ศฟุ เราะฮฺ หรือกดุ เราะฮฺ 4. ส่งิ ท่ตี ้องปฏบิ ัตหิ ลังจำกหมดประจำเดอื น
39 สิ่งท่ีสตรีต้องปฏิบัติหลังจากท่ีประจาเดือนหมด คือการ อาบนา้ ชาระให้ท่ัวทุกส่วนของร่างกาย โดยตัง้ เจตนาทาความ สะอาด เพราะทา่ นเราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮวิ ะสลั ลมั กลา่ ววา่ »«فَ ِإ َذا أَ ْقبَلَ ْت َحيْ َضت ِك فَ َد ِِع ال َّص َلا َة َوإِ َذا أَ ْدبَ َر ْت َفا ْغت ِس ِل و َص ِّل ความว่า “เม่ือมีประจาเดือนเธอจงหยุดละหมาด และเม่ือ ประจาเดือนหมด เธอก็จงอาบนา้ ชาระร่างกายแล้วจงละหมาด” (บนั ทกึ โดยอลั -บคุ อรีย์ : 331) วธิ ีกำรอำบนำ้ • ให้ตงั้ เจตนา(เนียต) ยกหะดษั หรือทาความสะอาด เพื่อ การละหมาดและอ่ืนๆ • จากนนั้ ให้กลา่ วคาวา่ \"บสิ มิลลาฮฺ\" • รดนา้ ให้ทว่ั ทงั้ ร่างกาย และให้นา้ เข้าถึงโคนผม • ในกรณีที่เป็ นผมเปี ย ไม่จาเป็ นต้องคลายออก เพียงแต่ ให้นา้ ทว่ั ถงึ • หากใช้นา้ ใบพุทรา สบูห่ รือแชมพูทาความสะอาดพร้อม กบั นา้ ได้ก็จะเป็นการดี • และควรใช้สาลีชุบเคร่ืองหอมมาสอดไว้ในช่องคลอด หลังจากการอาบนา้ เนื่องจากท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ วะสลั ลมั เคยสงั่ ใช้ให้อสั มาอ์ทาเชน่ นนั้ (บนั ทกึ โดยมสุ ลมิ ) ข้อควรระวัง!!
40 • หากเลือดประจาเดอื นหรือเลือดหลงั คลอดบตุ รหมดก่อน ดวงอาทิตย์ตกดิน จาเป็ นท่ีจะต้องละหมาดซุฮร์และอศั ร์(ละหมาด รวม)ของวนั นนั้ ด้วย • หากเลือดหมดก่อนแสงอรุณขึน้ ก็จาเป็ นที่จะต้ อง ละหมาดมฆั ริบและอิชาอ์ของคืนนนั้ เพราะเวลาของละหมาดที่สอง (อัศร์ หรือ อิชาอ์) คือเวลาของละหมาดท่ีหน่ึง (ซุฮร์ และ มฆั ริบ) ด้วย ในกรณีมีอปุ สรรคท่ีได้รับการผอ่ นปรน ชยั คลุ อิสลาม อิบนุ ตยั มียะฮฺ ได้กล่าวในหนงั สือของท่าน วา่ “เพราะเหตนุ ีป้ ราชญ์สว่ นมาก -เชน่ มาลิก อชั -ชาฟิ อีย์ อะห์มดั - มีความเห็นว่าเมื่อประจาเดือนหมดในช่วงสุดท้ายของกลางวนั เธอจะต้องละหมาดทัง้ ซุฮร์และอัศร์ และเมื่อเลือดหมดในช่วง สดุ ท้ายของกลางคืน เธอก็จะต้องละหมาดทงั้ มฆั ริบและอิชาอ์ ดงั ท่ี มีรายงานจากอับดุรเราะห์มาน บิน เอาฟฺ , อบู ฮุร็อยเราะฮฺ และ อิบนุ อับบาส เพราะช่วงเวลาดังกล่าวนัน้ เป็ นเวลาร่วมกันของ ละหมาดทงั้ สองในกรณีที่มีอปุ สรรค ดงั นนั้ เม่ือเลือดหมดในช่วงสดุ ท้ายของกลางวนั เวลาของ ละหมาดซุฮร์ก็ยงั เหลืออยู่ เธอจะต้องละหมาดซุฮร์ด้วยก่อนท่ีจะ ละหมาดอศั ร์ และหากเลือดหยดุ ในชว่ งสดุ ท้ายของกลางคืน เวลา ของละหมาดมฆั ริบก็เหลืออยใู่ นยามท่ีมีอปุ สรรค ดงั นนั้ เธอจะต้อง ละหมาดมัฆริบด้วยก่อนท่ีจะละหมาดอิชาอ์” (อัล-ฟะตาวา : 22/434)
41 ส่วนในกรณีที่เมื่อเข้าเวลาละหมาดแล้ว แต่เธอยังไม่ได้ ละหมาด หลงั จากนนั้ เธอมีประจาเดือนหรือมีเลือดหลงั คลอดบตุ ร ตามทศั นะที่มีนา้ หนกั มากกวา่ คือไมจ่ าเป็นต้องละหมาดชดใช้ ชยั คลุ อิสลาม อิบนุ ตยั มียะฮฺ ได้กล่าวในหนงั สือมจั ญ์มูอฺ อลั -ฟะตาวา (23/335) ในประเด็นนีว้ า่ “ส่ิงที่ปรากฏชดั เจนท่ีสดุ ใน หลักฐาน คือ ทัศนะของอบู หะนีฟะฮฺ และมาลิก ท่ีเห็นว่าเธอไม่ จาเป็ นต้องชดใช้ เพราะการชดใช้นัน้ เป็ นสิ่งที่จาเป็ นก็ต่อเมื่อมี คาสงั่ ใช้ และตรงจดุ นีไ้ ม่มีคาสง่ั ใดๆ ให้ละหมาดชดใช้ และเพราะ การล่าช้าของเธอได้รับการอนุโลม ดังนัน้ เธอจึงไม่ใช่ผู้ท่ีละเลย ส่วนผู้ที่นอนหลับหรือผู้ลืม -แม้ เขาไม่ใช่ผู้ที่ละเลย- แท้ จริง ละหมาดของเขาไม่ใช่การชดใช้ แต่น่ันคือเวลาละหมาดของเขา เมื่อต่ืนขนึ ้ มาหรือเม่ือนกึ ได้ก็ต้องละหมาดทนั ที” สอง เลือดเสีย (อิสตหิ ำเฎำะฮ)ฺ 1. บทบัญญัตหิ รือข้อชีข้ ำดเก่ียวกับเลือดเสีย เลือดเสีย คือ เลือดท่ีไหลออกมาโดยไม่มีกาหนดเวลาท่ี แนน่ อน ในลกั ษณะที่ออกบอ่ ยๆ จากเส้นเลือดหนง่ึ ซ่งึ เรียกวา่ “อลั - อาซิล” (เป็ นการเปรียบเปรยของท่านเราะสูล ศ็อลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิ วะสลั ลมั แปลว่า ก่อกวนหรือตาหนิ) และเลือดประเภทนีม้ ีความ คลมุ เครือ อนั เน่ืองจากมีความคล้ายคลงึ กบั เลือดประจาเดือน
42 ดงั นนั้ เมื่อเลือดไหลออกมาตลอดเวลาหรือเกินเวลาปกติ แล้ว จะถือว่าเลือดไหนเป็ นเลือดประจาเดือนและเลือดไหนเป็ น เลือดเสีย ซึ่งถ้ามีเลือดนีต้ ้องไม่งดเว้นจากการถือศีลอดและต้อง ละหมาดตามปกติด้วย เพราะผู้ท่ีมีเลือดเสียนนั้ มีหุก่มเหมือนกับ ผ้หู ญิงท่ีสะอาดจากรอบเดือน ดงั นนั้ ผ้ทู ่ีมีเลือดเสีย จะมี 3 ลกั ษณะด้วยกนั ลักษณะท่ีหน่ึง สตรีท่ีมีประจาเดือนสม่าเสมอก่อนท่ีจะมี เลือดเสีย เช่น ประจาเดือนมา 5 วนั หรือ 8 วนั เป็ นต้น ไม่ว่าจะมา ตอนต้นเดือนหรือกลางเดือน และเธอก็รู้ดีถึงจานวนวนั เวลาของ ประจาเดือนปกติที่มาเป็ นประจา เธอจะงดละหมาดและละเว้นการ ถือศีลอดตามจานวนวันและเวลาที่ประจาเดือนเคยมาเป็ นปกติ เพราะถือว่าวนั เวลาดงั กล่าวคือประจาเดือนของเธอ หลังจากนัน้ เธอก็จะต้องอาบนา้ ชาระล้างร่างกาย แล้วละหมาด ส่วนเลือดที่ยงั เหลืออยู่นนั้ ถือว่าเป็ นเลือดเสีย เน่ืองจากท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอ ฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลัม ได้กล่าวกบั อุมมุ หะบีบะฮฺ เราะฎิยลั ลอฮุอนั ฮา วา่ »«ا ْمك ِِث َق ْد َر َما َ َكنَ ْت ََتْ ِبس ِك َحيْ َضت ِك ث َّم ا ْغتَ ِس ِل و َص ِّل ความวา่ “จงงดละหมาดตามระยะเวลาที่เธอมีประจาเดือน จากนนั้ จงอาบนา้ ชาระร่างกายและจงละหมาด” (บนั ทกึ โดยมสุ ลมิ : 757) และท่าน ยังได้ กล่าวแก่ฟ าติมะฮฺ บิน ตุ อบี หุบัยช์ เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮา วา่
43 » َفإِ َذا أَ ْقبَلَ ْت َحيْ َضت ِك فَ َد ِِع ال َّص َلا َة، «إِ َّن َما َذلِ ِك ِع ْرق َولَيْ َس ِِبَيْض ความว่า “แท้จริงแล้ว อิสตหิ าเฎาะฮฺนนั้ เป็ นเลือดจากเส้นเลือดเส้น หนงึ่ เทา่ นนั้ ไมใ่ ช่เลือดประจาเดือนแตป่ ระการใด ดงั นนั้ (ยงั ไมต่ ้อง งดละหมาดถ้ ามีเลือดนี)้ จนเมื่อประจาเดือนมา เธอจึงงดการ ละหมาดได้” (บนั ทกึ โดยอลั -บคุ อรีย์ : 228 และมสุ ลมิ : 751) ลักษณะท่ีสอง สตรีท่ีมีประจาเดือนไม่แน่นอน แต่เลือด ของเธอสามารถแยกแยะได้ว่าเป็ นประจาเดือนหรือเลือดเสีย โดย เลือดประจาเดือนจะมีลักษณะเป็ นสีดา เหนียว หรือมีกลิ่น ส่วน เลือดอีกชนิดเป็ นสีแดง ไม่เหนียว และไม่มีกล่ิน ในสภาพเช่นนีใ้ ห้ ถือว่าเลือดที่มีลักษณ ะเป็ นประจาเดือน ให้ ถือว่าเป็ นเลือด ประจาเดือน เธอก็จะต้องงดการละหมาดและถือศลี อด สว่ นเลือดที่ ไม่มีลักษณะของเลือดประจาเดือน ก็ให้ถือว่าเป็ นเลือดเสีย เธอ จะต้ องชาระร่างกาย หลังจากหมดเลือดที่มีลักษณ ะของ ประจาเดือน จะต้องละหมาดและถือศีลอด เพราะถือว่าเธอสะอาด ดงั ท่ีท่านเราะสลู ศ็อลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั ได้กลา่ วแก่ฟาตมิ ะฮฺ บนิ ตุ อบี หบุ ยั ช์ เราะฎิยลั ลอฮอุ นั ฮา วา่ ا ْْل َخر ِال َّص َلاة فَأَ ْم ِس ِِك أَ ْس َود ال ْحَيْض َف َت َو َّض ِِئ َ َك َن َفإِ َذا ، َع ِن ي ْع َرف َدم َف ِإنَّه «إ َذا َ َك َن »َو َص ِّل ความวา่ “เลือดประจาเดือนนนั้ มีสีดาเป็นท่ีรับรู้กนั ดงั นนั้ เธอจงงด การละหมาด หากว่ามนั ไม่ใช่สีดา (ไม่ใชป่ ระจาเดือน) เธอก็จงเอา นา้ ละหมาดและละหมาดตามปกติ” (บนั ทึกโดยอบู ดาวูด : 286,
44 อัน-นะสาอีย์ : 215, อิบนุ หิบบาน : 1348 และอัล-หากิม : 620 เห็นวา่ เป็นหะดษี เศาะฮีหฺ) ในหะดีษบทนีเ้ป็นหลกั ฐานวา่ แท้จริงผ้ทู ่ีมีเลือดเสียจะต้อง พิจารณาลักษณะของเลือด แล้วแยกแยะระหว่างเลือดเสียกับ ประจาเดือน และเลือดอ่ืนๆ ลักษณะท่ีสำม สตรีท่ีมีประจาเดือนไม่แน่นอน และไม่ สามารถแยกแยะระหว่างเลือดประจาเดือนกับเลือดอื่นๆ ได้ ใน กรณี นีก้ ็ให้ เธองดละหมาดและศีลอด ตามเวลามากสุดของ ประจาเดือนปกติ คือ 6 หรือ 7 วัน เพราะจานวน 6 หรือ 7 วนั นัน้ นับว่ามากสุดแล้ วสาหรับเลือดประจาเดือนของผ้ ูหญิ งส่วนใหญ่ ดงั ท่ีท่านเราะสลู ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮิวะสลั ลมั ได้กลา่ วแก่หมั นะฮฺ บนิ ตุ ญะห์ชนิ วา่ َأيَّام ث َّم «فوإإِ َّنَذصاَماال ْهسفَ ِإتَينَّْنََقرأْْكَذلِِ َتضَكةفََ َميْص ِِنزَّئل َر َِثَككل َ ََاوضثًَاكا َِذلتَِو اِعَلك ْشَّشفَ ِايْريَْفط ََعان َِِنَلليْ َفلََكتَ ًةَم َاحأَ َّي ْوََ ِِتِأَي ْرض َب ًعِضسا ّتَالَةَونَِّ َِأع َيَّساْشام ِءرأ»َي ْوَن َسَليبْْلََع ًةَة ا ْغتَ ِس ِل َو َأيَّا َم َها َوصو ِِم “แท้ จริง ส่ิงนัน้ เป็ นการรบกวน ของชัยฏอนมารร้ าย จงนับ ประจาเดือน 6 หรือ 7 วนั จากนนั้ จงอาบนา้ ชาระร่างกาย ครัน้ เมื่อ สะอาดแล้ ว ก็จงละหมาด 24 หรือ 23 วัน จงถือศีลอดและจง ละหมาด แท้ จริงน่ันถือว่าใช้ได้ แล้วสาหรับเธอ และจงปฏิบัติ เหมือนกับบรรดาผู้ที่มีประจาเดือนทั่วไป” (บันทึกโดยอะห์มัด :
45 27463 , อบู ดาวูด : 278 , อัน-นะสาอีย์ : 354 , อิบนุ มาญะฮฺ : 622 และอตั -ตริ มซิ ีย์ : 128 กลา่ ววา่ เป็นหะดีษเศาะฮีหฺ) สรุป สตรีที่มีประจาเดือนสม่าเสมอตามวนั เวลาที่แน่นอน ก็ให้ถือปฏิบัติตามนัน้ ส่วนสตรีที่สามารถแยกแยะลักษณะของ เลือดประจาเดือนและเลือดอื่นได้ ก็ให้ยดึ เอาลกั ษณะของเลือดเป็ น หลัก สาหรับสตรีที่มีจานวนวนั ของประจาเดือนไม่ชัดเจนและไม่ สามารถแยกลกั ษณะเลือดระหว่างประจาเดือนกบั เลือดอื่นได้ ก็ให้ นับว่าประจาเดือนของเธอเป็ น 6 หรือ 7 วนั และนี่เป็ นการปฏิบัติ ตามหะดษี ทงั้ สามท่ีกลา่ วถงึ ผ้มู ีเลือดเสีย ชยั คลุ อิสลาม อิบนุ ตยั มียะฮฺ กล่าวว่า “เคร่ืองหมายหรือ สัญ ญ าณ ที่ถูกกล่าวถึงมี 6 ประการด้ วยกัน บางทีใช้ เลือด ประจาเดือน เพราะถือว่าเป็ นเครื่องหมายที่ชดั เจนมีนา้ หนักที่สุด เพราะเดิมทีมันเป็ นท่ีของประจาเดือนไม่ใช่เลือดอื่น และบางทีใช้ การแยกแยะ เพราะวา่ เลือดสีดา เหนียว และมีกลิ่นนา่ จะเป็ นเลือด ประจาเดือนมากกว่าเลือดสีแดง และบางครัง้ ยึดถือเอาส่วนมาก ของเลือดประจาเดือน เพราะหลกั การเดมิ ในทางฟิ กฮฺก็คือต้องเอา ส่ิงเล็กน้อยไปผนวกกับส่วนใหญ่ที่ครอบคลุมกว่า ทัง้ สามนีค้ ือ เค รื่ อ ง ห ม า ย ที่ มี ห ลัก ฐ า น รั บ รอ ง จ า ก สุน น ะ ฮฺ แ ล ะ ก า รอิ อฺ ติ บ า รฺ (ประเภทหนงึ่ ของการกิยาส) จากนนั้ ท่านก็ได้กล่าวถึงเคร่ืองหมาย อื่นๆ และได้กลา่ วในตอนท้ายวา่ แนวทางท่ีถกู ต้องที่สดุ คือ การยดึ
46 ถือเอาเคร่ืองหมายต่างๆ ตามท่ีมีปรากฏในแบบฉบับ (สุนนะฮฺ) และให้ยกเลกิ ส่ิงอ่ืนจากนนั้ ...” 2. ส่งิ ท่ผี ู้มีเลือดเสียต้องปฏบิ ัติ 2.1 จะต้องอาบนา้ ชาระล้างร่างกาย เมื่อสิน้ สุดเวลาของ การมีประจาเดอื น ดงั ท่ีมีการแจกแจงมาก่อนหน้านี ้ 2.2 ต้องชาระล้างอวยั วะเพศ เพื่อขจดั ส่ิงที่ออกมาทุกครัง้ ก่อนละหมาด และให้ใช้สาลีหรืออื่นๆ ซับที่ช่องคลอดเพื่อระงับ ไม่ให้เลือดไหลออกมา และไม่ให้ไหลย้อยในเวลาละหมาด จากนนั้ ให้อาบนา้ ละหมาดทกุ ครัง้ เมื่อเข้าเวลาละหมาด ดงั ที่ท่านเราะสูล ศอ็ ลลลั ลอฮอุ ะลยั ฮวิ ะสลั ลมั ได้กลา่ วถึงสตรีที่มีเลือดเสียคนหนงึ่ วา่ » ث َّم َت ْغتَ ِسل َوتَ َو َّضأ عند ِّك َص َلاة، «تَ َدع ال َّص َلا َة َأيَّا َم أَقْ َرائِ َها ความว่า “เธอจะงดการละหมาดในช่วงเวลาท่ีมีประจาเดือน หลงั จากนนั้ ให้ชาระร่างกายและอาบนา้ ละหมาดทุกครัง้ ก่อนที่จะ ละหมาด” (บันทึกโดยอบู ดาวูด : 297, อิบนุ มาญ ะฮฺ : 625 และอตั -ตริ มีซีย์ : 126 และกลา่ ววา่ เป็นหะดษี หะสนั ) และทา่ นยงั ได้กลา่ วอีกวา่ »«أَ ْن َعت لَ ِك الْك ْرس َف فَ ِإنَّه ي ْذ ِهب ال َّد َم ความว่า “ฉันแนะนาให้เธอใช้สาลี ซ่ึงมันจะทาให้เลือดหยุดได้” (บนั ทึกโดยอบู ดาวดู : 287 , อตั -ติรมิซีย์ : 128 และอิบนุ-มาญะฮฺ : 622)
47 และสามารถที่จะใช้ผ้าอนามยั ตามที่มีอย่ใู นยคุ ปัจจบุ นั นี ้ แทนได้ สำม เลือดหลังคลอดบุตร (นิฟำส) 3.1 นิยำม และระยะเวลำของเลือดหลังคลอด เลือดหลังคลอดบุตร คือ เลือดที่ออกมาจากมดลูก เน่ืองจากการคลอดบุตรและหลังจากการคลอด เป็ นเลือดที่ยัง ตกค้าง หรือเหลืออยใู่ นมดลูกตอนตงั้ ครรภ์ แล้วมนั ค่อยทยอยไหล ออกมาเม่ือคลอด ส่วนเลือดท่ีไหลออกมาก่อนคลอด ซึ่งมีสญั ญาณของการ คลอด ก็ถือว่าเป็ นเลือดจากการคลอดบุตร โดยที่บรรดานัก นิติศาสตร์อิสลามได้ระบุไว้ว่าประมาณสองถึงสามวนั ก่อนคลอด และโดยปกตเิ ลือดดงั กลา่ วจะไหลออกมาพร้อมกบั การคลอดบตุ ร การคลอดที่ถูกนับหรือเป็ นมาตรฐาน คือคลอดส่ิงท่ี ปรากฏเป็ นรูปร่างของมนุษย์ อย่างน้ อยสุดมีอายุ 81 วัน และ โดยมากหรือปกตแิ ล้วคือ 3 เดอื น ดงั นนั้ หากแท้งก่อนเวลาดงั กล่าว และมีเลือดออกมา ก็ไม่ ถือวา่ เป็ นเลือดจากการคลอด จะต้องละหมาดและถือศีลอดเพราะ เป็นเลือดเสีย ดงั นนั้ ให้ใช้บทบญั ญตั ิและข้อชีข้ าดเดยี วกบั ผ้มู ีเลือด เสีย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178