Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ebook - การจัดการเรียนรู้ภายใต้สถานการณ์โควิด-19

ebook - การจัดการเรียนรู้ภายใต้สถานการณ์โควิด-19

Published by i love love my book, 2021-06-03 08:06:42

Description: ebook - การจัดการเรียนรู้ภายใต้สถานการณ์โควิด-19

Search

Read the Text Version

๑๔๓ ตัวชวี้ ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางตอ้ งรู้และควรรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ชน้ั ที่ รหัสตวั ชี้วัด ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ม.4 1 ว 1.1 ม.4/1 สบื คน้ ข้อมูลและอธบิ ำย • บรเิ วณของโลกแต่ละบริเวณมีสภำพ  ควำมสมั พันธข์ องสภำพ ทำงภมู ิศำสตร์ที่แตกต่ำงกัน แบ่งออก ทำงภูมิศำสตร์บนโลกกบั ไดเ้ ปน็ หลำยเขตตำมสภำพภมู ิอำกำศ ควำมหลำกหลำยของไบโอม และปรมิ ำณนำ้ ฝน ทำใหม้ ีระบบนเิ วศ และยกตวั อย่ำงไบโอมชนิดต่ำง ๆ ทหี่ ลำกหลำย ซง่ึ ส่งผลใหเ้ กิด ควำมหลำกหลำยของไบโอม 2 ว 1.1 ม.4/2 สบื ค้นขอ้ มูล อภปิ รำยสำเหตุ • กำรเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศเกดิ ขึน้ ได้  และยกตวั อย่ำงกำรเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลำทั้งกำรเปลยี่ นแปลงทีเ่ กิดขน้ึ แทนทขี่ องระบบนเิ วศ เองตำมธรรมชำติและเกดิ จำกกำรกระทำ ของมนุษย์ • กำรเปลยี่ นแปลงแทนท่เี ป็นกำรเปล่ียนแปลง ของกลุ่มส่ิงมชี ีวติ ที่เกดิ ข้ึนชำ้ ๆ เป็นเวลำนำน ซง่ึ เป็นผลจำกปฏสิ มั พันธ์ ระหวำ่ งองค์ประกอบทำงกำยภำพและ ทำงชีวภำพ ส่งผลให้ระบบนิเวศ เปลย่ี นแปลงไปสูส่ มดลุ จนเกิดสงั คม สมบรู ณ์ได้ 3 ว 1.1 ม.4/3 สืบคน้ ขอ้ มลู อธิบำยและ • กำรเปลีย่ นแปลงขององค์ประกอบในระบบ  ยกตวั อยำ่ งเกยี่ วกับกำรเปลี่ยนแปลง นิเวศทั้งทำงกำยภำพและทำงชีวภำพ ขององค์ประกอบทำงกำยภำพ มผี ลต่อกำรเปล่ยี นแปลงขนำดของ และทำงชวี ภำพท่ีมผี ลต่อ ประชำกร กำรเปล่ียนแปลงขนำดของ ประชำกรส่งิ มีชีวิตในระบบนิเวศ 4 ว 1.1 ม.4/4 สืบค้นข้อมลู และอภิปรำยเกยี่ วกับ • มนุษย์ใช้ทรัพยำกรธรรมชำติโดยปรำศจำก  ปัญหำและผลกระทบท่ีมตี ่อ ควำมระมัดระวัง และมีกำรพัฒนำ ทรพั ยำกรธรรมชำติและ เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพ่ือช่วยอำนวย ส่งิ แวดล้อม พร้อมทั้งนำเสนอ ควำมสะดวกต่ำง ๆ แก่มนษุ ย์ ส่งผลต่อ แนวทำงในกำรอนรุ ักษ์ กำรเปลี่ยนแปลงทรัพยำกรธรรมชำติและ ทรัพยำกรธรรมชำติและกำรแก้ไข สง่ิ แวดล้อม ปญั หำสิง่ แวดล้อม • ปัญหำท่ีเกิดกับทรัพยำกรธรรมชำติและ สิ่งแวดล้อมบำงปัญหำส่งผลกระทบ ในระดับท้องถ่ิน บำงปัญหำก็ส่งผลกระทบ ในระดับประเทศ และบำงปัญหำ ส่งผลกระทบในระดับโลก สำหรบั กำรจัดกำรเรยี นรู้ ปกี ำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณแ์ พร่ระบำดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพ้ืนฐำน ร่วมกบั สถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี

๑๔๔ ชน้ั ท่ี รหสั ตัวช้ีวดั ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ม.4 • กำรลดปรมิ ำณกำรใชท้ รพั ยำกรธรรมชำติ กำรกำจดั ของเสียท่เี ป็นสำเหตขุ องปัญหำ ส่งิ แวดลอ้ ม และกำรวำงแผนจดั กำร ทรพั ยำกรธรรมชำติทดี่ ี เปน็ ตัวอยำ่ งของ แนวทำงในกำรอนรุ ักษ์ทรัพยำกรธรรมชำติ และกำรลดปญั หำส่ิงแวดล้อมทีเ่ กิดข้ึน เพือ่ ใหเ้ กิดกำรใช้ประโยชนท์ ย่ี ั่งยนื 5 ว 1.2 ม.4/1 อธบิ ำยโครงสร้ำงและสมบัติของ • เย่ือห้มุ เซลล์มโี ครงสร้ำงเปน็ เย่ือหุม้ สองชัน้  เย่อื หุ้มเซลล์ทส่ี ัมพันธก์ ับ ทีม่ ีลพิ ิดเป็นองคป์ ระกอบ และมโี ปรตีน กำรลำเลียงสำร และเปรียบเทยี บ แทรกอยู่ กำรลำเลียงสำรผำ่ นเยอื่ หุ้มเซลล์ • สำรท่ีละลำยได้ในลิพิดและสำรท่มี ขี นำด แบบตำ่ ง ๆ เล็กสำมำรถแพรผ่ ่ำนเยื่อหุ้มเซลล์ได้ โดยตรง สว่ นสำรขนำดเลก็ ที่มีประจุ ตอ้ งลำเลยี งผำ่ นโปรตนี ท่แี ทรกอยู่ที่ เยื่อห้มุ เซลล์ ซึง่ มี 2 แบบ คือ กำรแพร่ แบบฟำซลิ ิเทต และแอกทีฟทรำนสปอร์ต ในกรณสี ำรขนำดใหญ่ เชน่ โปรตีน จะลำเลยี งเขำ้ โดยกระบวนกำรเอนโดไซโทซสิ หรือลำเลียงออกโดยกระบวนกำร เอกโซไซโทซิส 6 ว 1.2 ม.4/2 อธิบำยกำรควบคุมดุลยภำพ • กำรรักษำดลุ ยภำพของนำ้ และสำรในเลอื ด   ของนำ้ และสำรในเลือด เกดิ จำกกำรทำงำนของไต ซึ่งเป็นอวัยวะ โดยกำรทำงำนของไต ในระบบขบั ถ่ำยท่ีมคี วำมสำคัญ ในกำรกำจดั ของเสียทีม่ ีไนโตรเจนเป็น องค์ประกอบ รวมทัง้ นำ้ และสำรทีม่ ี ปรมิ ำณเกนิ ควำมต้องกำรของรำ่ งกำย 7 ว 1.2 ม.4/3 อธิบำยกำรควบคุมดลุ ยภำพ • กำรรกั ษำดุลยภำพของกรด-เบสในเลือด  ของกรด-เบสของเลือด เกิดจำกกำรทำงำนของไตทท่ี ำหน้ำที่ขบั  โดยกำรทำงำนของไตและปอด หรอื ดูดกลบั ไฮโดรเจนไอออน ไฮโดรเจน คำรบ์ อเนตไอออน และแอมโมเนียม 8 ว 1.2 ม.4/4 อธิบำยกำรควบคมุ ดุลยภำพ ไอออน และกำรทำงำนของปอดท่ที ำ ของอณุ หภูมิภำยในร่ำงกำย หนำ้ ท่ีกำจัดคำร์บอนไดออกไซด์ โดยระบบหมุนเวยี นเลอื ด ผิวหนงั และกลำ้ มเนอื้ โครงรำ่ ง • กำรรกั ษำดลุ ยภำพของอณุ หภูมิภำยใน ร่ำงกำยเกิดจำกกำรทำงำนของระบบ หมนุ เวียนเลือดทีค่ วบคุมปรมิ ำณเลือดไปท่ี ผวิ หนงั กำรทำงำนของต่อมเหงือ่ และ กล้ำมเน้ือโครงร่ำง ซงึ่ สง่ ผลถงึ ปริมำณ ควำมร้อนที่ถกู เก็บหรอื ระบำยออกจำก ร่ำงกำย สำหรบั กำรจดั กำรเรียนรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณ์แพรร่ ะบำดของโรคติดเชอ้ื ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำขนั้ พื้นฐำน ร่วมกับ สถำบันสง่ เสริมกำรสอนวิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

๑๔๕ ชน้ั ท่ี รหสั ตวั ช้ีวดั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ม.4 9 ว 1.2 ม.4/5 อธบิ ำย และเขียนแผนผังเกี่ยวกบั • เมือ่ เชือ้ โรคหรือสงิ่ แปลกปลอมอน่ื เข้ำสู่  กำรตอบสนองของรำ่ งกำยแบบ เนอื้ เยือ่ ในร่ำงกำย ร่ำงกำยจะมกี ลไก ไม่จำเพำะและแบบจำเพำะต่อ ในกำรต่อตำ้ นหรือทำลำยสง่ิ แปลกปลอม สง่ิ แปลกปลอมของร่ำงกำย ทง้ั แบบไม่จำเพำะและแบบจำเพำะ • เซลลเ์ ม็ดเลือดขำวกลุ่มฟำโกไซตจ์ ะมีกลไก ในกำรต่อต้ำนหรือทำลำยสง่ิ แปลกปลอม แบบไมจ่ ำเพำะ • กลไกในกำรต่อตำ้ นหรือทำลำย สง่ิ แปลกปลอมแบบจำเพำะเปน็ กำรทำงำน ของเซลลเ์ ม็ดเลือดขำวลิมโฟไซตช์ นดิ บี และชนดิ ที ซึ่งเซลลเ์ มด็ เลอื ดขำวทง้ั สอง ชนิดจะมีตวั รบั แอนตเิ จน ทำให้เซลล์ ทง้ั สองสำมำรถตอบสนองแบบจำเพำะ ต่อแอนติเจนน้ัน ๆ ได้ • เซลล์บที ำหนำ้ ท่ีสร้ำงแอนตบิ อดี ซ่งึ ช่วย ในกำรจบั สิง่ แปลกปลอมต่ำง ๆ เพอ่ื ทำลำยต่อไปโดยระบบภมู ิค้มุ กัน เซลล์ทีทำหนำ้ ท่หี ลำกหลำย เชน่ กระต้นุ กำรทำงำนของเซลลบ์ แี ละเซลลท์ ีชนดิ อน่ื ทำลำยเซลล์ที่ติดไวรัสและเซลล์ทผี่ ิดปกติ อ่นื ๆ 10 ว 1.2 ม.4/6 สืบค้นข้อมูล อธิบำย และ • บำงกรณีร่ำงกำยอำจเกดิ ควำมผิดปกตขิ อง  ยกตวั อยำ่ งโรคหรืออำกำรทเี่ กิด ระบบภมู ิคมุ้ กนั เชน่ ภมู คิ ุ้มกันตอบสนอง จำกควำมผิดปกติของระบบ ต่อแอนตเิ จนบำงชนดิ อย่ำงรุนแรงมำก ภมู คิ ุม้ กัน เกนิ ไป หรือรำ่ งกำยมีปฏิกริ ิยำตอบสนอง ตอ่ แอนตเิ จนของตนเอง อำจทำให้ร่ำงกำย เกดิ อำกำรผดิ ปกตไิ ด้ 11 ว 1.2 ม.4/7 อธบิ ำยภำวะภมู ิคมุ้ กนั บกพร่อง • บคุ คลท่ีไดร้ ับเลือดหรือสำรคัดหล่ังทม่ี ีเชอ้ื  ทม่ี สี ำเหตมุ ำจำกกำรติดเช้ือ HIV HIV ซ่ึงสำมำรถทำลำยเซลล์ที ทำให้ ภมู คิ ุ้มกันบกพร่องและติดเชอ้ื ต่ำง ๆ ได้ ง่ำยขน้ึ 12 ว 1.2 ม.4/8 ทดสอบ และบอกชนิดของ • กระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสง  สำรอำหำรที่พืชสังเครำะห์ได้ เปน็ จดุ เร่มิ ต้นของกำรสรำ้ งน้ำตำลในพืช 13 ว 1.2 ม.4/9 สืบค้นข้อมลู อภปิ รำย และ พืชเปล่ยี นน้ำตำลไปเปน็ สำรอำหำรและ  ยกตวั อยำ่ งเกยี่ วกบั กำรใช้ สำรอืน่ ๆ เช่น คำรโ์ บไฮเดรต โปรตนี ประโยชน์จำกสำรตำ่ ง ๆ ท่ีพืช ไขมัน ทีจ่ ำเป็นต่อกำรดำรงชวี ิตของพชื บำงชนิดสรำ้ งข้ึน และสตั ว์ สำหรับกำรจัดกำรเรยี นรู้ ปีกำรศกึ ษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณแ์ พร่ระบำดของโรคติดเชอ้ื ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำข้ันพ้นื ฐำน ร่วมกบั สถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี

๑๔๖ ชนั้ ท่ี รหสั ตวั ชี้วัด ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ม.4 • มนษุ ย์สำมำรถนำสำรตำ่ ง ๆ ทีพ่ ืชบำงชนิด สร้ำงขนึ้ ไปใชป้ ระโยชน์ เชน่ ใช้เป็นยำหรอื สมนุ ไพรในกำรรักษำโรคบำงชนดิ ใช้ใน กำรไลแ่ มลง กำจัดศัตรูพชื และสตั ว์ ใชใ้ น กำรยบั ยั้งกำรเจริญเติบโตของแบคทเี รยี และใช้เปน็ วัตถุดิบในอุตสำหกรรม 14 ว 1.2 ม.4/10 ออกแบบกำรทดลอง ทดลอง • ปัจจยั ภำยนอกท่ีมีผลต่อกำรเจรญิ เตบิ โต  และอธบิ ำยเกยี่ วกับปจั จยั เชน่ แสง น้ำ ธำตุอำหำรคำร์บอนไดออกไซด์ ภำยนอกทมี่ ีผลต่อกำรเจริญเตบิ โต และออกซิเจน ปัจจัยภำยใน เช่น ฮอร์โมน ของพชื พชื ซ่ึงพืชมีกำรสงั เครำะหข์ น้ึ เพ่ือควบคุม 15 ว 1.2 ม.4/11 สบื ค้นขอ้ มลู เก่ยี วกับสำรควบคมุ กำรเจริญเติบโตในช่วงชวี ติ ตำ่ ง ๆ  กำรเจรญิ เตบิ โตของพชื ท่มี นษุ ย์ • มนษุ ย์มีกำรสังเครำะห์สำรควบคุม สังเครำะห์ข้นึ และยกตัวอยำ่ ง กำรเจริญเติบโตของพืชโดยเลยี นแบบ กำรนำมำประยกุ ต์ใชท้ ำงด้ำน ฮอร์โมนพชื เพอื่ นำมำใชค้ วบคมุ กำรเกษตรของพืช กำรเจริญเติบโตและเพิม่ ผลผลติ ของพืช 16 ว 1.2 ม.4/12 สงั เกต และอธบิ ำยกำรตอบสนอง • กำรตอบสนองต่อสง่ิ เร้ำของพืชแบง่ ตำม  ของพืชต่อส่ิงเรำ้ ในรปู แบบต่ำง ๆ ควำมสมั พันธ์กับทิศทำงของส่ิงเร้ำ ไดแ้ ก่ ท่มี ผี ลต่อกำรดำรงชวี ติ แบบที่มที ิศทำงสัมพนั ธก์ ับทศิ ทำงของ ส่ิงเร้ำ เช่น ดอกทำนตะวนั หันเขำ้ หำแสง ปลำยรำกเจรญิ เข้ำหำแรงโนม้ ถ่วงของโลก และแบบท่ีไม่มที ศิ ทำงสัมพันธ์กบั ทิศทำง ของส่งิ เรำ้ เชน่ กำรหบุ และบำนของดอก หรอื กำรหบุ และกำงของใบพืชบำงชนิด • กำรตอบสนองต่อสิ่งเร้ำของพืชบำงอย่ำง สง่ ผลตอ่ กำรเจรญิ เติบโต เชน่ กำรเจริญ ในทศิ ทำงเขำ้ หำหรือตรงข้ำมกบั แรง โนม้ ถ่วงของโลก กำรเจรญิ ในทิศทำงเขำ้ หำ หรอื ตรงขำ้ มกับแสง และกำรตอบสนองต่อ กำรสัมผสั สง่ิ เร้ำ 17 ว 1.3 ม.4/1 อธบิ ำยควำมสัมพันธ์ระหว่ำงยนี • ดเี อ็นเอ มโี ครงสร้ำงประกอบด้วย  กำรสังเครำะหโ์ ปรตนี และ นวิ คลีโอไทด์มำเรยี งต่อกัน โดยยีนเป็นชว่ ง ลกั ษณะทำงพนั ธุกรรม ของสำยดเี อ็นเอที่มลี ำดบั นวิ คลโี อไทด์ ท่ีกำหนดลักษณะของโปรตีนท่สี งั เครำะห์ขนึ้ ซง่ึ ส่งผลใหเ้ กดิ ลกั ษณะทำงพันธกุ รรมต่ำง ๆ สำหรบั กำรจัดกำรเรยี นรู้ ปกี ำรศึกษำ 2564 ภำยใตส้ ถำนกำรณแ์ พร่ระบำดของโรคติดเช้อื ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำขัน้ พ้ืนฐำน ร่วมกับ สถำบันสง่ เสริมกำรสอนวิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

๑๔๗ ช้ัน ที่ รหัสตัวชี้วดั ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ม.4 18 ว 1.3 ม.4/2 อธบิ ำยหลักกำรถำ่ ยทอดลกั ษณะ • ลักษณะบำงลกั ษณะมโี อกำสพบในเพศชำย  ทีถ่ ูกควบคุมด้วยยีนท่ีอย่บู น และเพศหญงิ ไมเ่ ท่ำกนั เชน่ ตำบอดสี โครโมโซมเพศและมลั ติเปิลแอลลลี ฮีโมฟเี ลีย ซ่งึ ควบคมุ โดยยนี บนโครโมโซมเพศ บำงลกั ษณะมีกำรควบคมุ โดยยีนแบบ มลั ตเิ ปิลแอลลีล เชน่ หม่เู ลือดระบบ ABO ซ่ึงกำรถำ่ ยทอดลักษณะทำงพันธกุ รรม ดงั กล่ำวจดั เปน็ สว่ นขยำยของพันธุศำสตร์ เมนเดล 19 ว 1.3 ม.4/3 อธบิ ำยผลท่ีเกิดจำกกำรเปลย่ี นแปลง • มวิ เทชันทเ่ี ปลย่ี นแปลงลำดับนวิ คลีโอไทด์  ลำดับนิวคลีโอไทด์ในดเี อน็ เอ หรอื เปล่ยี นแปลงโครงสรำ้ งหรอื จำนวน ตอ่ กำรแสดงลักษณะของส่ิงมีชีวติ โครโมโซมอำจสง่ ผลทำใหล้ กั ษณะของ 20 ว 1.3 ม.4/4 สบื คน้ ข้อมลู และยกตวั อยำ่ ง ส่ิงมชี ีวติ เปล่ียนแปลงไปจำกเดิม ซง่ึ อำจมี  กำรนำมวิ เทชันไปใชป้ ระโยชน์ ผลดีหรือผลเสีย • มนุษยใ์ ชห้ ลกั กำรของกำรเกิดมิวเทชนั ในกำรชกั นำให้ไดส้ ่ิงมชี ีวิตท่มี ีลักษณะ ท่ีแตกต่ำงจำกเดิม โดยกำรใช้รงั สีและ สำรเคมตี ่ำง ๆ 21 ว 1.3 ม.4/5 สืบค้นข้อมลู และอภิปรำยผล • มนษุ ยน์ ำควำมรเู้ ทคโนโลยที ำงดเี อ็นเอ  ของเทคโนโลยีทำงดเี อน็ เอทมี่ ีตอ่ มำประยกุ ต์ใช้ทำงดำ้ นกำรแพทย์ และ มนษุ ยแ์ ละสงิ่ แวดล้อม เภสชั กรรม เช่น กำรสร้ำงส่ิงมชี ีวติ ดดั แปร พันธุกรรม เพ่ือผลิตยำและวคั ซีน ด้ำนกำรเกษตร เช่น พชื ดัดแปรพันธกุ รรม ท่ีตำ้ นทำนโรคหรือแมลง สตั ว์ดดั แปร พันธุกรรมที่มลี ักษณะตำมที่ต้องกำร และ ด้ำนนติ ิวิทยำศำสตร์ เชน่ กำรตรวจลำยพมิ พ์ ดเี อ็นเอ เพ่ือหำควำมสมั พันธ์ทำงสำยเลือด หรือเพ่ือหำผู้กระทำผิด • กำรใช้เทคโนโลยที ำงดีเอน็ เอในด้ำนต่ำง ๆ ต้องคำนึงถึงควำมปลอดภยั ทำงชีวภำพ ชวี จรยิ ธรรม และผลกระทบทำงด้ำนสงั คม 22 ว 1.3 ม.4/6 สบื คน้ ข้อมูล อธิบำย และ • ส่ิงมชี ีวิตทีม่ อี ยู่ในปัจจุบันมีลกั ษณะ  ยกตวั อย่ำงควำมหลำกหลำย ทป่ี รำกฏให้เห็นแตกต่ำงกันซ่ึงเป็นผลมำจำก ของสิง่ มีชวี ติ ซึ่งเปน็ ผลมำจำก ควำมหลำกหลำยของลกั ษณะทำงพันธุกรรม วิวัฒนำกำร ซึ่งเกดิ จำกมิวเทชนั รว่ มกบั กำรคดั เลอื ก โดยธรรมชำติ สำหรบั กำรจัดกำรเรยี นรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณแ์ พร่ระบำดของโรคติดเช้อื ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำขน้ั พนื้ ฐำน ร่วมกับ สถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

๑๔๘ ชั้น ที่ รหัสตวั ช้ีวดั ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ม.4 • ผลจำกกระบวนกำรคดั เลือกโดยธรรมชำติ ทำใหส้ ่ิงมีชีวิตทีม่ ีลักษณะเหมำะสม ในกำรดำรงชวี ติ สำมำรถปรบั ตวั ใหอ้ ยูร่ อด ไดใ้ นสง่ิ แวดลอ้ มน้ัน ๆ • กระบวนกำรคดั เลือกโดยธรรมชำติ เปน็ หลกั กำรทีส่ ำคัญอย่ำงหนึ่งท่ีทำใหเ้ กดิ ววิ ัฒนำกำรของสิ่งมชี ีวิต สำหรับกำรจดั กำรเรยี นรู้ ปกี ำรศกึ ษำ 2564 ภำยใตส้ ถำนกำรณแ์ พร่ระบำดของโรคติดเชือ้ ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำขน้ั พ้ืนฐำน ร่วมกับ สถำบันสง่ เสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี

๑๔๙ ชน้ั ที่ รหัสตัวชี้วัด ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ม.5 23 ว 2.1 ม.5/1 ระบุว่ำสำรเปน็ ธำตุหรอื สำรประกอบ และอยู่ในรปู • สำรเคมีทุกชนดิ สำมำรถระบุไดว้ ำ่ เป็นธำตุ  24 ว 2.1 ม.5/2 อะตอม โมเลกลุ หรอื ไอออน จำกสูตรเคมี หรือสำรประกอบ และอยู่ในรูปของอะตอม 25 ว 2.1 ม.5/3 เปรียบเทยี บควำมเหมอื นและ ควำมแตกต่ำงของแบบจำลอง โมเลกุล หรอื ไอออนได้ โดยพิจำรณำจำก 26 ว 2.1 ม.5/4 อะตอมของโบร์กับแบบจำลอง อะตอมแบบกลมุ่ หมอก สตู รเคมี ระบุจำนวนโปรตอน นิวตรอน • แบบจำลองอะตอมใช้อธิบำยตำแหนง่  และอิเล็กตรอนของอะตอม และไอออนที่เกดิ จำกอะตอม ของโปรตอน นิวตรอน และอิเลก็ ตรอน เดียว ในอะตอม โดยโปรตอนและนิวตรอน เขียนสัญลกั ษณ์นวิ เคลียรข์ อง ธำตแุ ละระบุกำรเปน็ ไอโซโทป อยรู่ วมกันในนวิ เคลยี ส สว่ นอิเล็กตรอน เคล่อื นท่ีรอบนวิ เคลียส ซงึ่ ในแบบจำลอง อะตอมของโบร์ อิเลก็ ตรอนเคล่อื นทเี่ ป็นวง โดยแตล่ ะวงมรี ะยะห่ำงจำกนิวเคลียสและ มพี ลังงำนต่ำงกนั และอิเลก็ ตรอนวงนอกสดุ เรียกว่ำ เวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอน • แบบจำลองอะตอมแบบกลุม่ หมอก แสดง โอกำสที่จะพบอิเลก็ ตรอนรอบนิวเคลียส ในลักษณะกลุ่มหมอก เนอ่ื งจำก อิเลก็ ตรอนมีขนำดเลก็ และเคล่ือนที่ อยำ่ งรวดเร็วตลอดเวลำ จงึ ไม่สำมำรถระบุ ตำแหนง่ ทีแ่ นน่ อนได้ • อะตอมของธำตุเป็นกลำงทำงไฟฟ้ำ  มีจำนวนโปรตอนเท่ำกับจำนวนอิเล็กตรอน กำรระบชุ นิดของธำตุพจิ ำรณำจำกจำนวน โปรตอน • เมอ่ื อะตอมของธำตุมกี ำรให้หรือรบั อิเลก็ ตรอน ทำให้จำนวนโปรตอนและ อิเลก็ ตรอนไม่เท่ำกนั เกิดเป็นไอออน โดยไอออนท่ีมจี ำนวนอิเล็กตรอนน้อยกว่ำ จำนวนโปรตอน เรียกวำ่ ไอออนบวก ส่วนไอออนทมี่ จี ำนวนอิเลก็ ตรอนมำกกวำ่ โปรตอน เรียกว่ำ ไอออนลบ • สญั ลักษณ์นวิ เคลียร์ ประกอบด้วย  สญั ลักษณธ์ ำตุ เลขอะตอมและเลขมวล โดยเลขอะตอมเปน็ ตวั เลขทแ่ี สดงจำนวน โปรตอนในอะตอม เลขมวล เปน็ ตวั เลข ท่แี สดงผลรวมของจำนวนโปรตอนกบั นิวตรอนในอะตอม ธำตชุ นิดเดียวกัน แต่มีเลขมวลต่ำงกัน เรียกว่ำ ไอโซโทป สำหรบั กำรจัดกำรเรียนรู้ ปกี ำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณแ์ พรร่ ะบำดของโรคติดเช้อื ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำข้นั พืน้ ฐำน ร่วมกบั สถำบันสง่ เสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี

๑๕๐ ช้นั ท่ี รหัสตัวชี้วัด ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ม.5 27 ว 2.1 ม.5/5 ระบหุ ม่แู ละคำบของธำตุ และ • ธำตจุ ัดเปน็ หมวดหมู่ได้อยำ่ งเป็นระบบ  28 ว 2.1 ม.5/6 ระบวุ ่ำธำตุเป็นโลหะ อโลหะ โดยอำศยั ตำรำงธำตุ ซึ่งในปัจจุบนั จัดเรียง 29 ว 2.1 ม.5/7 30 ว 2.1 ม.5/8 กงึ่ โลหะ กลุม่ ธำตเุ รพรีเซนเททีฟ ตำมเลขอะตอมและควำมคล้ำยคลงึ 31 ว 2.1 ม.5/9 หรือกล่มุ ธำตุแทรนซชิ นั ของสมบัติ แบง่ ออกเป็นหมู่ ซึ่งเปน็ แถว 32 ว 2.1 ม.5/10 จำกตำรำงธำตุ ในแนวตั้ง และคำบซึง่ เป็นแถวในแนวนอน ทำใหธ้ ำตุที่มีสมบัติเป็นโลหะ อโลหะและ ก่ึงโลหะอยูเ่ ป็นกลุ่มบริเวณใกล้ ๆ กนั และ แบง่ ธำตุออกเปน็ กลุม่ ธำตเุ รพรเี ซนเททีฟ และกลมุ่ ธำตุแทรนซิชัน เปรียบเทยี บสมบัติกำรนำไฟฟ้ำ • ธำตุในกลุ่มโลหะ จะนำไฟฟ้ำไดด้ ี และมี  กำรใหแ้ ละรับอิเล็กตรอน แนวโน้มให้อิเล็กตรอน สว่ นธำตุในกลุ่ม ระหว่ำงธำตใุ นกลุ่มโลหะกับ อโลหะ จะไม่นำไฟฟำ้ และมแี นวโน้ม อโลหะ รับอเิ ลก็ ตรอน โดยธำตเุ รพรีเซนเททีฟ ในหมู่ IA - IIA และธำตุแทรนซชิ ันทุกธำตุ จัดเป็นธำตใุ นกลุ่มโลหะ ส่วนธำตุ เรพรเี ซนเททีฟในหมู่ IIIA - VIIA มีทง้ั ธำตุ ในกลมุ่ โลหะและอโลหะ สว่ นธำตุ เรพรเี ซนเททีฟในหมู่ VIIIA จดั เปน็ ธำตุ อโลหะทัง้ หมด สืบค้นขอ้ มูลและนำเสนอ • ธำตเุ รพรีเซนเททีฟและธำตุแทรนซิชนั  ตัวอย่ำงประโยชนแ์ ละอันตรำย นำมำใช้ประโยชนใ์ นชวี ิตประจำวันได้ ท่เี กดิ จำกธำตเุ รพรีเซนเททีฟ หลำกหลำยซ่งึ ธำตุบำงชนดิ มีสมบัติ และธำตแุ ทรนซชิ ัน ทเี่ ป็นอนั ตรำย จงึ ต้องคำนึงถึงกำรป้องกัน อนั ตรำยเพ่ือควำมปลอดภัยในกำรใช้ ประโยชน์ ระบุว่ำพันธะโคเวเลนต์ • พันธะโคเวเลนต์ เป็นกำรยดึ เหนีย่ วระหวำ่ ง  เป็นพันธะเด่ยี ว พนั ธะคู่ หรอื อะตอมดว้ ยกำรใช้เวเลนซอ์ เิ ล็กตรอนร่วมกัน พนั ธะสำม และระบจุ ำนวน เกิดเปน็ โมเลกลุ โดยกำรใชเ้ วเลนซ์อเิ ล็กตรอน ค่อู ิเลก็ ตรอนระหว่ำงอะตอม รว่ มกนั 1 คู่เรียกวำ่ พันธะเดยี่ ว เขียนแทน ครู่ ่วมพันธะ จำกสูตรโครงสรำ้ ง ดว้ ยเส้นพนั ธะ 1 เส้น ในโครงสร้ำงโมเลกุล ส่วนกำรใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนรว่ มกนั 2 คู่ และ 3 คู่ เรียกวำ่ พนั ธะคู่ และพันธะสำม เขยี นแทนดว้ ยเสน้ พันธะ 2 เส้น และ 3 เส้น ตำมลำดับ ระบสุ ภำพขว้ั ของสำรที่โมเลกุล • สำรทีม่ พี ันธะภำยในโมเลกลุ เป็นพันธะ  โคเวเลนตท์ ั้งหมดเรียกว่ำ สำรโคเวเลนต์ ประกอบดว้ ย 2 อะตอม โดยสำรโคเวเลนต์ท่ีประกอบด้วย 2 อะตอม  ของธำตุชนิดเดยี วกัน เปน็ สำรไมม่ ีขัว้ ระบุสำรท่ีเกดิ พนั ธะไฮโดรเจน สว่ นสำรโคเวเลนต์ ท่ปี ระกอบด้วย 2 อะตอม ไดจ้ ำกสูตรโครงสร้ำง สำหรบั กำรจัดกำรเรยี นรู้ ปกี ำรศกึ ษำ 2564 ภำยใตส้ ถำนกำรณแ์ พรร่ ะบำดของโรคติดเชอื้ ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำข้ันพืน้ ฐำน ร่วมกับ สถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี

๑๕๑ ชั้น ที่ รหสั ตวั ช้ีวัด ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ม.5 33 ว 2.1 ม.5/11 อธิบำยควำมสัมพันธ์ระหวำ่ ง • ของธำตตุ ่ำงชนิดกนั เป็นสำรมีขั้ว  จุดเดอื ดของสำรโคเวเลนตก์ ับ สำหรบั สำรโคเวเลนตท์ ี่ประกอบดว้ ย อะตอมมำกกว่ำ 2 อะตอม อำจเป็นสำร แรงดงึ ดดู ระหวำ่ งโมเลกลุ มีขวั้ หรือไม่มีขั้วขึ้นอยู่กับรปู ร่ำงของ ตำมสภำพขั้วหรือกำรเกิดพนั ธะ โมเลกลุ ซึง่ สภำพขวั้ ของสำรโคเวเลนต์ ไฮโดรเจน สง่ ผลต่อแรงดงึ ดูดระหวำ่ งโมเลกุลทที่ ำให้ จดุ หลอมเหลวและจุดเดือดของสำร โคเวเลนต์แตกตำ่ งกนั นอกจำกนสี้ ำร บำงชนดิ มีจุดเดอื ดสูงกวำ่ ปกติ เนื่องจำก มแี รงดึงดดู ระหว่ำงโมเลกุลสงู ท่ีเรยี กวำ่ พันธะไฮโดรเจนซ่งึ สำรเหลำ่ น้ีมีพนั ธะ N-H O-H หรอื F-H ภำยในโครงสร้ำงโมเลกลุ 34 ว 2.1 ม.5/12 เขยี นสตู รเคมีของไอออนและ • สำรประกอบไอออนกิ ส่วนใหญเ่ กดิ จำก  สำรประกอบไอออนิก กำรรวมตัวกันของไอออนบวกของธำตุ โลหะและไอออนลบของธำตุอโลหะ ในบำงกรณีไอออนอำจประกอบด้วย กลมุ่ ของอะตอม โดยเมื่อไอออนรวมตัวกัน เกิดเปน็ สำรประกอบไอออนกิ จะมีสดั ส่วน กำรรวมตวั เพ่ือทำใหป้ ระจุของ สำรประกอบเป็นกลำงทำงไฟฟำ้ โดยไอออนบวกและไอออนลบจะจัดเรยี งตวั สลบั ต่อเนือ่ งกนั ไปใน 3 มิติ เกิดเป็นผลกึ ของสำร ซ่งึ สตู รเคมขี องสำรประกอบไอออนิก ประกอบด้วย สญั ลกั ษณธ์ ำตทุ ่เี ปน็ ไอออนบวก ตำมดว้ ยสญั ลักษณ์ธำตทุ ่ีเป็นไอออนลบ โดยมี ตัวเลขท่ีแสดงจำนวนไอออนแตล่ ะชนดิ เป็นอัตรำสว่ นอยำ่ งต่ำ 35 ว 2.1 ม.5/13 ระบวุ ำ่ สำรเกดิ กำรละลำย • สำรจะละลำยน้ำได้เม่ือองค์ประกอบของ  แบบแตกตวั หรือไม่แตกตัว สำรสำมำรถเกดิ แรงดงึ ดดู กบั โมเลกุลของ พร้อมใหเ้ หตผุ ลและระบุว่ำ น้ำได้ โดยกำรละลำยของสำรในนำ้ เกดิ ได้ สำรละลำยทีไ่ ด้เปน็ สำรละลำย 2 ลกั ษณะ คอื กำรละลำยแบบแตกตวั อิเล็กโทรไลต์หรือนอนอเิ ล็กโทรไลต์ และกำรละลำยแบบไมแ่ ตกตัว กำรละลำย แบบแตกตัวเกดิ ข้ึนกบั สำรประกอบไอออนกิ และสำรโคเวเลนตบ์ ำงชนดิ ท่ีมสี มบตั เิ ปน็ กรดหรือเบส โดยเมื่อสำรเกดิ กำรละลำย แบบแตกตัวจะได้ไอออนทีส่ ำมำรถ เคลือ่ นท่ีได้ ทำให้ได้สำรละลำยทน่ี ำไฟฟ้ำ ซง่ึ เรียกวำ่ สำรละลำยอิเล็กโทรไลต์ กำรละลำยแบบไม่แตกตัวเกิดขน้ึ กับ สำหรับกำรจดั กำรเรยี นรู้ ปกี ำรศกึ ษำ 2564 ภำยใตส้ ถำนกำรณแ์ พรร่ ะบำดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขนั้ พืน้ ฐำน ร่วมกับ สถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

๑๕๒ ชนั้ ท่ี รหสั ตวั ช้ีวดั ตัวชี้วดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ม.5 สำรโคเวเลนตท์ มี่ ขี ั้วสงู สำมำรถดงึ ดดู กับ โมเลกลุ ของน้ำไดด้ ี โดยเม่ือเกิดกำรละลำย โมเลกุลของสำรจะไมแ่ ตกตวั เปน็ ไอออน และสำรละลำยท่ีได้จะไมน่ ำไฟฟำ้ ซ่ึง เรียกวำ่ สำรละลำยนอนอเิ ลก็ โทรไลต์ 36 ว 2.1 ม.5/14 ระบุสำรประกอบอินทรยี ์ • สำรประกอบอนิ ทรยี ท์ ี่มเี ฉพำะธำตุ  ประเภทไฮโดรคำรบ์ อนว่ำอ่มิ ตัว คำร์บอนและไฮโดรเจนเปน็ องคป์ ระกอบ หรือไม่อม่ิ ตัวจำกสตู รโครงสรำ้ ง เรยี กวำ่ สำรประกอบไฮโดรคำรบ์ อน โดยสำรประกอบไฮโดรคำร์บอนอิ่มตัว มีพนั ธะระหว่ำงคำรบ์ อนเป็นพนั ธะเดย่ี ว ทกุ พันธะในโครงสร้ำง สว่ นสำรประกอบ ไฮโดรคำรบ์ อนไมอ่ ิ่มตัวมีพนั ธะระหวำ่ ง คำร์บอนเปน็ พันธะคู่หรือพนั ธะสำม อยำ่ งน้อย 1 พนั ธะ ในโครงสร้ำง 37 ว 2.1 ม.5/15 สืบคน้ ขอ้ มูลและเปรยี บเทียบ • สำรทพี่ บในชวี ิตประจำวนั มีท้ังโมเลกุล  สมบัติทำงกำยภำพระหว่ำง ขนำดเล็กและขนำดใหญ่ พอลเิ มอร์ พอลเิ มอรแ์ ละมอนอเมอร์ เป็นสำรทีม่ โี มเลกุลขนำดใหญท่ เ่ี กดิ จำก ของพอลเิ มอร์ชนดิ นัน้ มอนอเมอร์หลำยโมเลกุลเชอื่ มตอ่ กนั ด้วยพันธะเคมี ทำให้สมบัติทำงกำยภำพ ของพอลิเมอรแ์ ตกตำ่ งจำกมอนอเมอร์ ทเี่ ปน็ สำรตงั้ ตน้ เชน่ สถำนะ จดุ หลอมเหลว กำรละลำย 38 ว 2.1 ม.5/16 ระบุสมบัติควำมเป็นกรด-เบส • สำรประกอบอินทรยี ท์ มี่ ีหมู่ -COOH  จำกโครงสร้ำงของสำรประกอบ สำมำรถแสดงสมบัติควำมเปน็ กรด อินทรีย์ ส่วนสำรประกอบอินทรีย์ท่มี ีหมู่ -NH2 สำมำรถแสดงสมบัติควำมเป็นเบส 39 ว 2.1 ม.5/17 อธบิ ำยสมบัติกำรละลำย • กำรละลำยของสำรพจิ ำรณำไดจ้ ำกควำมมี  ในตวั ทำละลำยชนดิ ตำ่ ง ๆ ขั้วของตวั ละลำยและตัวทำละลำย ของสำร โดยสำรสำมำรถละลำยได้ในตัวทำละลำย ทมี่ ขี วั้ ใกล้เคยี งกนั โดยสำรมีข้ัวละลำยใน ตวั ทำละลำยท่มี ีข้ัว ส่วนสำรไม่มขี ั้วละลำย ในตวั ทำละลำยที่ไม่มีขว้ั และสำรมีข้ัวไม่ ละลำยในตวั ทำละลำยทไี่ ม่มขี ้ัว 40 ว 2.1 ม.5/18 วเิ ครำะหแ์ ละอธบิ ำย • โครงสร้ำงของพอลิเมอร์อำจเป็นแบบเส้น  ควำมสัมพนั ธ์ระหว่ำงโครงสรำ้ ง แบบกิง่ หรือแบบร่ำงแห โดยพอลเิ มอร์ กบั สมบัติเทอรม์ อพลำสติกและ แบบเสน้ และแบบกง่ิ มสี มบัติเทอร์มอ เทอรม์ อเซตของพอลเิ มอร์ และ พลำสตกิ ส่วนพอลเิ มอร์ แบบรำ่ งแห กำรนำพอลเิ มอร์ไปใช้ประโยชน์ มสี มบัติเทอรม์ อเซต จึงมีกำรใช้ประโยชน์ ได้แตกต่ำงกัน สำหรับกำรจดั กำรเรยี นรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณแ์ พร่ระบำดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำข้ันพืน้ ฐำน ร่วมกบั สถำบันสง่ เสริมกำรสอนวิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

๑๕๓ ชัน้ ที่ รหสั ตวั ชี้วดั ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้  ม.5 41 ว 2.1 ม.5/19 สบื คน้ ขอ้ มูลและนำเสนอ • กำรใช้ผลิตภัณฑ์พอลเิ มอรใ์ นปริมำณมำก ผลกระทบของกำรใชผ้ ลติ ภัณฑ์ กอ่ ให้เกิดปญั หำที่ส่งผลกระทบต่อ พอลเิ มอร์ที่มตี ่อสิง่ มชี ีวติ และ ส่ิงมชี ีวติ และสง่ิ แวดลอ้ ม ดงั นั้นจงึ ควร สง่ิ แวดลอ้ ม พร้อมแนวทำง ตระหนกั ถึงกำรลดปริมำณกำรใช้ ป้องกันหรือแก้ไข กำรใช้ซำ้ และกำรนำกลับมำใชใ้ หม่ 42 ว 2.1 ม.5/20 ระบุสูตรเคมีของสำรต้งั ต้น • ปฏิกริ ิยำเคมีทำใหเ้ กดิ กำรเปล่ยี นแปลง  ผลติ ภณั ฑ์ และแปลควำมหมำย ของสำร โดยปฏิกิริยำเคมอี ำจให้พลังงำน ของสัญลกั ษณ์ในสมกำรเคมขี อง ควำมร้อน พลังงำนแสง หรือพลังงำนไฟฟ้ำ ปฏกิ ิริยำเคมี ทีส่ ำมำรถนำไปใช้ประโยชนใ์ นดำ้ นตำ่ ง ๆ ได้ • ปฏิกิรยิ ำเคมีแสดงไดด้ ้วยสมกำรเคมี ซึง่ มสี ตู รเคมีของสำรตง้ั ตน้ อยู่ทำงด้ำนซ้ำย ของลกู ศร และสูตรเคมีของผลติ ภณั ฑ์ อยู่ทำงด้ำนขวำ โดยจำนวนอะตอมรวม ของแต่ละธำตุทำงดำ้ นซำ้ ยและขวำเท่ำกนั นอกจำกนี้สมกำรเคมยี งั อำจแสดงปจั จยั อน่ื เชน่ สถำนะ พลังงำนที่เก่ยี วข้อง ตวั เรง่ ปฏกิ ิรยิ ำเคมที ี่ใช้ 43 ว 2.1 ม.5/21 ทดลองและอธิบำยผลของ • อตั รำกำรเกดิ ปฏิกริ ยิ ำเคมีข้ึนอยกู่ ับ  ควำมเขม้ ข้น พน้ื ทผี่ ิว อณุ หภมู ิ ควำมเขม้ ขน้ อุณหภูมิ พืน้ ท่ผี ิว หรอื ตัวเรง่ และตวั เร่งปฏกิ ริ ิยำ ทีม่ ผี ลต่อ ปฏกิ ิรยิ ำ อัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี • ควำมรูเ้ กี่ยวกบั ปัจจยั ท่มี ผี ลต่ออัตรำ 44 ว 2.1 ม.5/22 สืบคน้ ขอ้ มลู และอธิบำยปัจจัย กำรเกดิ ปฏกิ ิริยำเคมีสำมำรถนำไปใช้  ท่ีมผี ลตอ่ อตั รำกำรเกดิ ปฏิกิริยำ ประโยชน์ในชวี ติ ประจำวันและ เคมีที่ใช้ประโยชน์ในชีวติ ประจำวัน ในอุตสำหกรรม หรือในอตุ สำหกรรม 45 ว 2.1 ม.5/23 อธบิ ำยควำมหมำยของปฏกิ ริ ิยำ • ปฏกิ ริ ิยำเคมบี ำงประเภทเกดิ จำก  รดี อกซ์ กำรถ่ำยโอนอิเล็กตรอนของสำร ในปฏกิ ริ ยิ ำเคมี ซึง่ เรยี กวำ่ ปฏกิ ริ ิยำรดี อกซ์ 46 ว 2.1 ม.5/24 อธิบำยสมบัติของสำร • สำรท่ีสำมำรถแผ่รงั สีได้ เรยี กวำ่  กัมมันตรังสี และคำนวณคร่ึงชีวิต สำรกัมมนั ตรงั สี ซ่ึงมนี ิวเคลียสที่สลำยตัว และปรมิ ำณของสำรกมั มันตรังสี อยำ่ งต่อเน่ือง ระยะเวลำทส่ี ำรกมั มนั ตรังสี สลำยตวั จนเหลอื คร่ึงหน่ึงของปรมิ ำณเดมิ เรยี กวำ่ ครึ่งชีวติ โดยสำรกัมมนั ตรังสี แต่ละชนดิ มคี ่ำครึง่ ชีวติ แตกต่ำงกัน 47 ว 2.1 ม.5/25 สืบค้นขอ้ มูลและนำเสนอ • รงั สที ี่แผจ่ ำกสำรกัมมนั ตรังสมี ีหลำยชนิด  ตวั อย่ำงประโยชนข์ อง เชน่ แอลฟำ บีตำ แกมมำ ซ่ึงสำมำรถ สำรกมั มันตรังสีและกำรป้องกัน นำมำใชป้ ระโยชนไ์ ดแ้ ตกต่ำงกนั อันตรำยที่เกดิ จำกกมั มันตภำพรังสี กำรนำสำรกัมมนั ตรงั สแี ตล่ ะชนิดมำใช้ ตอ้ งคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต และ ส่ิงแวดลอ้ ม รวมท้ังมีกำรจดั กำร อย่ำงเหมำะสม สำหรบั กำรจัดกำรเรียนรู้ ปีกำรศกึ ษำ 2564 ภำยใตส้ ถำนกำรณแ์ พร่ระบำดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำขนั้ พนื้ ฐำน ร่วมกบั สถำบันสง่ เสริมกำรสอนวิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

๑๕๔ ชน้ั ท่ี รหสั ตวั ช้ีวดั ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ม.5 48 ว 2.2 ม.5/1 วเิ ครำะห์และแปลควำมหมำย • กำรเคลอ่ื นทีข่ องวตั ถุทีม่ กี ำรเปลี่ยนควำมเรว็  49 ว 2.2 ม.5/2 ขอ้ มูลควำมเร็วกบั เวลำของ 50 ว 2.2 ม.5/3 กำรเคลอ่ื นทขี่ องวตั ถุ เป็นกำรเคล่ือนทด่ี ว้ ยควำมเรง่ ควำมเร่ง 51 ว 2.2 ม.5/4 เพอ่ื อธิบำยควำมเร่งของวตั ถุ เปน็ อตั รำส่วนของควำมเรว็ ท่ีเปลย่ี นไป 52 ว 2.2 ม.5/5 ต่อเวลำและเป็นปริมำณเวกเตอร์ ในกรณี ทวี่ ัตถุทอ่ี ยนู่ ่ิงหรือเคล่อื นท่ีในแนวตรง ด้วยควำมเร็วคงตวั วัตถนุ ั้นมีควำมเร่ง เปน็ ศนู ย์ • วตั ถุมคี วำมเรว็ เพ่ิมขึน้ ถ้ำควำมเรว็ และ ควำมเร่งมที ิศเดยี วกนั และมีควำมเรว็ ลดลง ถ้ำควำมเร็วและควำมเร่งมที ศิ ตรงกันข้ำม สังเกตและอธิบำยกำรหำแรง • เมือ่ มีแรงหลำยแรงกระทำต่อวตั ถหุ นึ่ง  ลพั ธ์ท่เี กิดจำกแรงหลำยแรง ทอ่ี ยู่ในระนำบเดียวกันทก่ี ระทำ โดยแรงทกุ แรงอยใู่ นระนำบเดียวกัน ตอ่ วตั ถโุ ดยกำรเขียนแผนภำพ สำมำรถหำแรงลัพธ์ท่ีกระทำต่อวัตถนุ นั้ ได้ กำรรวมแบบเวกเตอร์ โดยรวมแบบเวกเตอร์ สงั เกต วเิ ครำะห์ และอธบิ ำย • เมอ่ื แรงลัพธม์ ีค่ำไม่เทำ่ กบั ศูนยก์ ระทำต่อ  ควำมสมั พนั ธร์ ะหวำ่ งควำมเร่ง วัตถุ จะทำใหว้ ัตถเุ คลือ่ นทีด่ ว้ ยควำมเรง่ ของวัตถุกบั แรงลัพธ์ทีก่ ระทำตอ่ มีทิศทำงเดียวกบั แรงลพั ธ์ โดยขนำดของ วัตถแุ ละมวลของวัตถุ ควำมเรง่ ขน้ึ กบั ขนำดของแรงลพั ธ์กระทำ ตอ่ วัตถุและมวลของวตั ถุ สงั เกตและอธิบำยแรงกิรยิ ำและ • แรงกระทำระหวำ่ งวตั ถุคู่หน่ึง ๆ เปน็ แรง  แรงปฏิกิริยำระหว่ำงวัตถุคหู่ น่ึง ๆ กิรยิ ำและแรงปฏกิ ิรยิ ำ แรงท้ังสองมีขนำด เท่ำกัน เกิดข้นึ พร้อมกนั กระทำกับวตั ถุ คนละก้อน แตม่ ีทศิ ทำงตรงข้ำม สังเกตและอธบิ ำยผลของ • วตั ถทุ เี่ คล่อื นท่ีดว้ ยควำมเร่งคงตัวหรือ  ควำมเรง่ ที่มีต่อกำรเคล่ือนที่ แบบตำ่ ง ๆ ของวัตถุ ได้แก่ ควำมเรง่ ไมค่ งตัว อำจเป็นกำรเคลื่อนท่ี กำรเคลื่อนทแ่ี นวตรง แนวตรง กำรเคล่อื นทีแ่ นวโคง้ หรือ กำรเคลือ่ นทีแ่ บบโพรเจกไทล์ กำรเคล่อื นท่ีแบบสน่ั กำรเคลื่อนที่แนวตรง กำรเคลอ่ื นที่แบบวงกลม และ ดว้ ยควำมเร่งคงตวั นำไปใชอ้ ธบิ ำยกำรตก กำรเคล่ือนทแ่ี บบสนั่ แบบเสรี กำรเคลอ่ื นท่ีแนวโค้งดว้ ยควำมเร่ง คงตวั นำไปใชอ้ ธบิ ำยกำรเคล่ือนที่แบบ โพรเจคไทล์ กำรเคลื่อนที่แนวโคง้ ดว้ ยควำมเรง่ มีทศิ ทำงต้ังฉำกกับควำมเร็วตลอดเวลำ นำไปใช้อธิบำยกำรเคล่ือนทีแ่ บบวงกลม กำรเคลือ่ นท่กี ลับไปกลบั มำด้วยควำมเร่ง มที ศิ ทำงเขำ้ สู่จดุ ทีแ่ รงลัพธเ์ ป็นศนู ย์ เรยี กจุดน้ีวำ่ ตำแหนง่ สมดุล ซ่ึงนำไปใช้ อธิบำยกำรเคลื่อนที่แบบส่นั สำหรับกำรจัดกำรเรยี นรู้ ปีกำรศกึ ษำ 2564 ภำยใตส้ ถำนกำรณ์แพรร่ ะบำดของโรคติดเชอ้ื ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำข้นั พนื้ ฐำน ร่วมกบั สถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี

๑๕๕ ช้นั ที่ รหสั ตัวช้ีวดั ตวั ช้ีวดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ม.5 53 ว 2.2 ม.5/6 สืบคน้ ข้อมูลและอธบิ ำย • ในบริเวณทม่ี สี นำมโนม้ ถว่ ง เมื่อมวี ัตถุที่มี  แรงโน้มถว่ งทเี่ กี่ยวกบั มวลจะมแี รงโน้มถว่ งซง่ึ เป็นแรงดึงดดู ของ กำรเคลื่อนทข่ี องวตั ถตุ ำ่ ง ๆ โลกกระทำต่อวัตถุ แรงนี้นำไปใชอ้ ธิบำย รอบโลก กำรเคลือ่ นทข่ี องวตั ถุตำ่ ง ๆ เช่น ดำวเทียม และดวงจันทรร์ อบโลก 54 ว 2.2 ม.5/7 สังเกตและอธบิ ำยกำรเกดิ • กระแสไฟฟ้ำทำให้เกดิ สนำมแมเ่ หลก็  สนำมแม่เหล็กเน่ืองจำก ในบริเวณรอบแนวกำรเคลอ่ื นท่ขี อง กระแสไฟฟ้ำ กระแสไฟฟำ้ หำทิศทำงของ สนำมแมเ่ หลก็ เน่ืองจำกกระแสไฟฟำ้ ไดจ้ ำกกฎมือขวำ 55 ว 2.2 ม.5/8 สงั เกตและอธบิ ำยแรงแม่เหล็ก • ในบริเวณทีม่ ีสนำมแมเ่ หล็ก เมอ่ื มีอนภุ ำค  ทีก่ ระทำต่ออนภุ ำคท่ีมปี ระจุไฟฟ้ำ ท่มี ีประจุไฟฟ้ำเคลือ่ นทีโ่ ดยไม่อยู่ในแนวเดยี ว ทเ่ี คลื่อนทใ่ี นสนำมแม่เหล็กและ กบั สนำมแม่เหล็ก หรือมีกระแสไฟฟำ้ แรงแมเ่ หล็กท่ีกระทำต่อลวด ผำ่ นลวดตัวนำ โดยกระแสไฟฟ้ำไม่อยู่ ตัวนำทีม่ กี ระแสไฟฟ้ำผำ่ น ในแนวเดยี วกบั สนำมแมเ่ หล็ก จะมีแรง ในสนำมแม่เหลก็ รวมทงั้ อธิบำย แมเ่ หลก็ กระทำ ซึ่งเปน็ พน้ื ฐำน หลักกำรทำงำนของมอเตอร์ ในกำรสรำ้ งมอเตอร์ 56 ว 2.2 ม.5/9 สงั เกตและอธิบำยกำรเกิด • เมื่อมีสนำมแม่เหล็กเปลยี่ นแปลงตัดขดลวด  อีเอ็มเอฟ รวมทั้งยกตวั อย่ำง ตัวนำ ทำให้เกดิ อเี อ็มเอฟ ซง่ึ เป็นพ้ืนฐำน กำรนำควำมรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ในกำรสรำ้ งเคร่ืองกำเนิดไฟฟ้ำ 57 ว 2.2 ม.5/10 สืบคน้ ข้อมลู และอธิบำยแรงเข้ม • ภำยในนวิ เคลียสมแี รงเข้มทเ่ี ป็นแรงยึดเหน่ียว  และแรงอ่อน ของอนุภำคในนวิ เคลยี ส และเป็นแรงหลัก ทใ่ี ช้อธิบำยเสถียรภำพของนิวเคลยี ส นอกจำกนีย้ ังมแี รงอ่อน ซึง่ เป็นแรงทใี่ ช้ อธบิ ำยกำรสลำยให้อนภุ ำคบีตำของ ธำตุกมั มันตรังสี 58 ว 2.3 ม.5/1 สืบคน้ ขอ้ มลู และอธิบำยพลงั งำน • พลงั งำนทปี่ ลดปล่อยออกมำจำกฟิชชัน  นวิ เคลียร์ ฟิชชนั และฟิวชนั และ หรือฟวิ ชัน เรยี กวำ่ พลังงำนนวิ เคลียร์ ควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ งมวลกบั โดยฟชิ ชนั เปน็ ปฏิกิริยำท่นี วิ เคลยี สท่มี ี พลังงำนทีป่ ลดปล่อยออกมำจำก มวลมำกแตกออกเปน็ นิวเคลยี สทีม่ ี ฟิชชนั และฟวิ ชนั มวลนอ้ ยกว่ำ ส่วนฟิวชันเปน็ ปฏิกริ ิยำ ท่ีนิวเคลียสทมี่ มี วลน้อยรวมตัวกนั เกิดเป็น นิวเคลยี สท่มี ีมวลมำกขึ้น พลงั งำนนวิ เคลียร์ ทป่ี ลดปลอ่ ยออกมำจำกฟชิ ชันและฟิวชัน มีคำ่ เปน็ ไปตำมควำมสมั พนั ธ์ระหวำ่ ง มวลกบั พลงั งำน สำหรบั กำรจดั กำรเรียนรู้ ปีกำรศกึ ษำ 2564 ภำยใตส้ ถำนกำรณแ์ พร่ระบำดของโรคติดเชอ้ื ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำข้ันพ้ืนฐำน ร่วมกบั สถำบันสง่ เสริมกำรสอนวิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

๑๕๖ ชั้น ท่ี รหสั ตวั ช้ีวัด ตัวชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ม.5 59 ว 2.3 ม.5/2 สืบคน้ ข้อมลู และอธิบำย • กำรนำพลงั งำนทดแทนมำใช้  60 ว 2.3 ม.5/3 61 ว 2.3 ม.5/4 กำรเปลย่ี นพลงั งำนทดแทน เปน็ กำรแกป้ ัญหำหรอื ตอบสนอง 62 ว 2.3 ม.5/5 เป็นพลงั งำนไฟฟ้ำ รวมทัง้ สบื ค้น ควำมต้องกำรด้ำนพลังงำน เช่น กำรเปลยี่ น และอภิปรำยเก่ยี วกบั เทคโนโลยี พลงั งำนนิวเคลียรเ์ ป็นพลงั งำนไฟฟ้ำ ทน่ี ำมำแกป้ ญั หำหรือตอบสนอง ในโรงไฟฟำ้ นิวเคลียร์ และกำรเปลยี่ น ควำมตอ้ งกำรทำงดำ้ นพลงั งำน พลงั งำนแสงอำทติ ย์เปน็ พลังงำนไฟฟำ้ โดยเนน้ ด้ำนประสทิ ธภิ ำพและ โดยเซลลส์ รุ ิยะ ควำมคุม้ ค่ำดำ้ นคำ่ ใชจ้ ำ่ ย • เทคโนโลยตี ำ่ ง ๆ ท่นี ำมำแก้ปัญหำหรือ ตอบสนองควำมต้องกำรทำงด้ำนพลังงำน เปน็ กำรนำควำมรู้ทกั ษะและกระบวนกำร ทำงวิทยำศำสตร์มำสร้ำงอุปกรณห์ รอื ผลติ ภัณฑต์ ่ำง ๆ ทชี่ ่วยใหก้ ำรใชพ้ ลงั งำน มีประสทิ ธภิ ำพยิ่งขึน้ สังเกต และอธบิ ำยกำรสะท้อน • เม่อื คลื่นเคลื่อนที่ไปพบสิ่งกีดขวำง จะเกิด  กำรหักเห กำรเลยี้ วเบน และ กำรสะท้อน เมื่อคล่นื เคล่ือนท่ีผ่ำนรอยต่อ กำรรวมคล่ืน ระหวำ่ งตัวกลำงทต่ี ่ำงกนั จะเกิดกำรหักเห เมอื่ คลื่นเคลอ่ื นท่ีไปพบขอบสิ่งกดี ขวำง จะเกดิ กำรเลีย้ วเบน เม่อื คลน่ื สองขบวน มำพบกันจะเกดิ กำรรวมคลนื่ เกดิ รูปร่ำง ของคลื่นรวม หลงั จำกคล่นื ทง้ั สอง เคลอื่ นท่ีผ่ำนพ้นกนั แลว้ จะแยกกัน โดยแตล่ ะคลน่ื ยังคงมีรูปร่ำงและทิศทำงเดมิ สังเกต และอธบิ ำยควำมถี่ • เม่ือกระตุน้ ใหว้ ตั ถสุ ั่นแลว้ หยดุ กระตุน้  ธรรมชำติ กำรส่ันพ้อง วตั ถจุ ะส่นั ดว้ ยควำมถี่ทเ่ี รียกว่ำ ควำมถ่ี และผลทีเ่ กิดขึน้ จำกกำรสนั่ พ้อง ธรรมชำติ ถ้ำมีแรงกระตนุ้ วัตถทุ ี่กำลังสน่ั ด้วยควำมถข่ี องกำรออกแรงตรงกบั ควำมถี่ ธรรมชำตขิ องวัตถุนน้ั จะทำใหว้ ัตถุสัน่ ด้วย แอมพลจิ ดู มำกขน้ึ เรยี กว่ำ กำรสน่ั พ้อง เชน่ กำรสนั่ พอ้ งของอำคำรสูง กำรส่นั พอ้ ง ของสะพำน กำรสนั่ พ้องของเสียง ในเคร่ืองดนตรปี ระเภทเป่ำ สงั เกต และอธิบำยกำรสะท้อน • เสยี งมีกำรสะท้อน กำรหักเห กำรเล้ียวเบน  กำรหกั เห กำรเลยี้ วเบน และ และกำรรวมคลืน่ เชน่ เดยี วกับคลน่ื อืน่ ๆ กำรรวมคลน่ื ของคลืน่ เสยี ง สำหรบั กำรจัดกำรเรียนรู้ ปีกำรศกึ ษำ 2564 ภำยใตส้ ถำนกำรณแ์ พรร่ ะบำดของโรคติดเชอ้ื ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำข้นั พ้ืนฐำน ร่วมกับ สถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี

๑๕๗ ชน้ั ที่ รหสั ตัวช้ีวัด ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ม.5 63 ว 2.3 ม.5/6 สืบคน้ ข้อมลู และอธบิ ำย • ควำมถขี่ องคลืน่ เสียงเปน็ ปรมิ ำณทใ่ี ชบ้ อก  64 ว 2.3 ม.5/7 ควำมสัมพันธร์ ะหว่ำงควำมเข้มเสียง เสยี งสงู เสียงต่ำ โดยควำมถ่ที ี่คนได้ยิน กบั ระดบั เสยี งและผลของควำมถี่ มคี ่ำอยู่ระหว่ำง 20 - 20,000 เฮิรตซ์ 65 ว 2.3 ม.5/8 กบั ระดบั เสยี งท่ีมีต่อกำรไดย้ ินเสียง ระดับเสยี งเป็นปริมำณทใี่ ช้บอกควำมดัง 66 ว 2.3 ม.5/9 ของเสยี งซึ่งข้ึนกบั ควำมเขม้ เสียง โดยควำมเข้มเสียงเปน็ พลังงำนเสยี งท่ีตก ต้งั ฉำกบนพ้นื ทห่ี นึ่งหน่วยในหนึ่งหนว่ ยเวลำ เสยี งที่มีควำมดังมำกเกนิ ไปเป็นอนั ตรำย ตอ่ หู สังเกต และอธิบำยกำรเกดิ เสียง • เม่ือเสียงจำกแหล่งกำเนิดเดินทำงไปกระทบ  สะทอ้ นกลับ บีต ดอปเพลอร์ และกำรสน่ั พ้องของเสียง วตั ถแุ ล้วสะท้อนกลับมำยังผู้ฟัง ถำ้ ผู้ฟัง ไดย้ นิ เสียงท่ีออกจำกแหล่งกำเนิดและ เสียงที่สะท้อนกลบั มำแยกจำกกนั เสียงที่ไดย้ ินนเ้ี ปน็ เสยี งสะท้อนกลับ • เมอื่ คลนื่ เสียงสองขบวนที่มีควำมถ่ี ใกล้เคยี งกันมำรวมกนั จะเกดิ บีต • เม่อื แหลง่ กำเนิดเสียงเคล่ือนที่ ผู้ฟงั เคลอ่ื นที่ หรอื ทั้งแหล่งกำเนดิ และผู้ฟังเคลือ่ นที่ ผ้ฟู ังจะได้ยนิ เสียงทม่ี ีควำมถี่เปล่ยี นไป เรียกว่ำ ปรำกฏกำรณด์ อปเพลอร์ • ถำ้ อำกำศในท่อถูกกระตุน้ ด้วยคลนื่ เสียง ทมี่ ีควำมถีเ่ ทำ่ กบั ควำมถีธ่ รรมชำติ ของอำกำศในทอ่ น้นั จะเกดิ กำรสั่นพอ้ ง ของเสยี ง สืบคน้ ขอ้ มลู และยกตัวอยำ่ ง • ควำมรูเ้ ก่ียวกบั เสียงนำไปใช้ประโยชน์  กำรนำควำมร้เู กี่ยวกบั เสียงไปใช้ ในด้ำนต่ำง ๆ เชน่ คลน่ื เหนือเสยี ง ประโยชน์ในชวี ิตประจำวนั หรอื อัลตรำซำวนด์ใชใ้ นทำงกำรแพทย์ บีตของเสียงในกำรปรับเทียบเสียงของ เครือ่ งดนตรี กำรสั่นพ้องของเสยี งใช้ ในกำรออกแบบเครื่องดนตรีและอธบิ ำย กำรเปลง่ เสียงของมนุษย์ สงั เกต และอธบิ ำยกำรมองเห็น • เมอ่ื แสงตกกระทบวัตถุ วตั ถจุ ะดดู กลืน  สีของวตั ถุ และควำมผดิ ปกติ ในกำรมองเห็นสี แสงสบี ำงสี โดยข้ึนกับสำรสบี นผิววัตถุ และสะท้อนแสงสีท่ีเหลือออกมำ ทำให้มองเห็นวตั ถเุ ปน็ สีต่ำง ๆ ข้ึนกบั แสงสีทสี่ ะท้อนออกมำ ควำมผิดปกติ ในกำรมองเห็นสีหรือกำรบอดสเี กดิ จำก ควำมบกพรอ่ งของเซลล์รูปกรวยบนจอตำ สำหรับกำรจัดกำรเรยี นรู้ ปกี ำรศกึ ษำ 2564 ภำยใตส้ ถำนกำรณ์แพร่ระบำดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขนั้ พืน้ ฐำน ร่วมกับ สถำบันสง่ เสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี

๑๕๘ ชั้น ท่ี รหสั ตวั ช้ีวัด ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ม.5 67 ว 2.3 ม.5/10 สังเกต และอธิบำยกำรทำงำน • แผน่ กรองแสงสียอมใหแ้ สงสีบำงสี  ของแผน่ กรองแสงสี กำรผสม แสงสี กำรผสมสำรสี และ ผำ่ นออกไปไดแ้ ละกั้นบำงแสงสี กำรนำไปใช้ประโยชน์ • กำรผสมแสงสีทำให้ไดแ้ สงสที ี่หลำกหลำย ในชีวติ ประจำวนั เปลีย่ นไปจำกเดิม ถ้ำนำแสงสีปฐมภมู ิ ในสัดสว่ นที่เหมำะสมมำผสมกนั จะได้ แสงขำว • กำรผสมสำรสีทำใหไ้ ด้สำรสที ี่หลำกหลำย เปล่ยี นไปจำกเดิม ถำ้ นำสำรสีปฐมภมู ิ ในปริมำณท่ีเทำ่ กันมำผสมกันจะได้ สำรสีผสมเป็นสีดำ • กำรผสมแสงสแี ละกำรผสมสำรสสี ำมำรถ นำไปใช้ประโยชนใ์ นด้ำนตำ่ ง ๆ เช่น ด้ำนศลิ ปะ ด้ำนกำรแสดง 68 ว 2.3 ม.5/11 สบื คน้ ขอ้ มูลและอธบิ ำย • คล่ืนแม่เหล็กไฟฟำ้ ประกอบด้วย  คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้ำ สว่ นประกอบคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟำ้ สนำมแม่เหลก็ และสนำมไฟฟ้ำ และหลักกำรทำงำนของอุปกรณ์ ทเี่ ปลีย่ นแปลงตลอดเวลำ โดยสนำมทงั้ สอง บำงชนดิ ท่ีอำศัยคล่นื แม่เหล็กไฟฟ้ำ มที ิศทำงตง้ั ฉำกกนั และตั้งฉำกกบั ทิศทำง กำรเคลื่อนท่ขี องคลนื่ • อปุ กรณ์บำงชนดิ ทำงำนโดยอำศัย คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้ำ เช่น เครอ่ื งควบคมุ ระยะไกล เครื่องถ่ำยภำพเอกซเรย์ คอมพวิ เตอร์ และเครื่องถำ่ ยภำพกำรส่นั พอ้ ง แม่เหล็ก 69 ว 2.3 ม.5/12 สืบคน้ ข้อมูลและอธิบำย • ในกำรส่อื สำรโดยอำศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟำ้  กำรส่อื สำร โดยอำศยั คลื่น แม่เหลก็ ไฟฟำ้ ในกำรส่งผำ่ น เพอื่ ส่งผ่ำนสำรสนเทศจำกที่หนงึ่ ไปอีก สำรสนเทศและเปรียบเทยี บ ท่หี นึง่ สำรสนเทศจะถกู แปลงให้อยู่ในรูป กำรส่อื สำรด้วยสญั ญำณแอนะล็อก สญั ญำณ สำหรบั สง่ ไปยงั ปลำยทำงซ่งึ จะมี กับสญั ญำณดจิ ิทัล กำรแปลงสัญญำณกลับมำเป็นสำรสนเทศ ที่เหมือนเดิม • สญั ญำณท่ใี ช้ในกำรส่อื สำรมีสองชนิด คือ แอนะล็อกและดิจิทัล กำรส่งผ่ำนสำรสนเทศ ดว้ ยสญั ญำณดิจิทลั สำมำรถสง่ ผ่ำนได้ โดยมีควำมผิดพลำดน้อยกว่ำสัญญำณ แอนะล็อก สำหรับกำรจดั กำรเรยี นรู้ ปกี ำรศึกษำ 2564 ภำยใตส้ ถำนกำรณแ์ พร่ระบำดของโรคติดเชือ้ ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำข้ันพื้นฐำน ร่วมกับ สถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี

๑๕๙ ช้นั ท่ี รหัสตัวชี้วัด ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ • ทฤษฎกี ำเนิดเอกภพที่ยอมรับในปัจจุบัน  ม.6 70 ว 3.1 ม.6/1 อธิบำยกำรกำเนดิ และ กำรเปลี่ยนแปลงพลงั งำน สสำร คอื ทฤษฎบี ิกแบง ระบุวำ่ เอกภพเร่ิมตน้ ขนำด อุณหภูมิของเอกภพ จำกบิกแบง ที่เอกภพมีขนำดเล็กมำก และ หลังเกิดบิกแบงในชว่ งเวลำต่ำง ๆ มอี ุณหภูมสิ ูงมำก ซงึ่ เปน็ จุดเร่ิมต้นของเวลำ ตำมววิ ัฒนำกำรของเอกภพ และวิวัฒนำกำรของเอกภพ โดยหลงั เกิด บิกแบง เอกภพเกดิ กำรขยำยตวั อยำ่ งรวดเรว็ มีอุณหภมู ิลดลง มสี สำรคงอยู่ในรปู อนุภำค และปฏยิ ำนภุ ำคหลำยชนดิ และมี วิวัฒนำกำรต่อเน่ืองจนถึงปจั จุบัน ซง่ึ มเี นบิวลำ กำแล็กซี ดำวฤกษ์ และ ระบบสรุ ิยะเป็นสมำชิกบำงสว่ นของเอกภพ 71 ว 3.1 ม.6/2 อธิบำยหลกั ฐำนท่ีสนบั สนุน • หลักฐำนสำคญั ทส่ี นับสนนุ ทฤษฎีบิกแบง  ทฤษฎบี ิกแบงจำกควำมสมั พันธ์ คือ กำรขยำยตวั ของเอกภพ ซ่งึ อธิบำย ระหวำ่ งควำมเร็วกับระยะทำง ดว้ ยกฎฮับเบลิ โดยใชค้ วำมสัมพันธ์ ของกำแลก็ ซี รวมท้งั ข้อมูล ระหว่ำงควำมเรว็ และระยะทำงของ กำรค้นพบไมโครเวฟพ้ืนหลัง กำแล็กซีท่เี คลื่อนที่ห่ำงออกจำกโลก จำกอวกำศ และหลักฐำนอีกประกำร คือ กำรคน้ พบ ไมโครเวฟพืน้ หลงั ทกี่ ระจำยตัว อยำ่ งสม่ำเสมอทุกทิศทำง และสอดคล้อง กับอุณหภูมเิ ฉลย่ี ของอวกำศ มคี ่ำประมำณ 2.73 เคลวิน 72 ว 3.1 ม.6/3 อธิบำยโครงสรำ้ งและ • กำแลกซี ประกอบด้วย ดำวฤกษ์  องค์ประกอบของกำแล็กซี จำนวนหลำยแสนลำ้ นดวง ซงึ่ อย่กู นั ทำงชำ้ งเผือก และระบุตำแหน่ง เป็นระบบของดำวฤกษ์ นอกจำกนี้ ของระบบสรุ ิยะ พร้อมอธิบำย ยังประกอบด้วยเทห์ฟำ้ อนื่ เช่น เนบิวลำ เชือ่ มโยงกับกำรสังเกตเหน็ และสสำรระหว่ำงดำว โดยองค์ประกอบ ทำงชำ้ งเผอื กของคนบนโลก ตำ่ ง ๆ ภำยในของกำแล็กซีอยู่รวมกัน ด้วยแรงโนม้ ถว่ ง • กำแล็กซีมีรูปร่ำงแตกต่ำงกัน โดยระบบสุริยะ อยู่ในกำแล็กซีทำงชำ้ งเผือกซ่ึงเป็น กำแล็กซีกงั หนั แบบมคี ำน มโี ครงสรำ้ ง คือ นิวเคลยี ส จำน และฮำโล ดำวฤกษ์ จำนวนมำกอยใู่ นบริเวณนวิ เคลยี สและจำน โดยมีระบบสรุ ยิ ะอยู่หำ่ งจำกจดุ ศนู ยก์ ลำง ของกำแล็กซีทำงช้ำงเผือก ประมำณ 30,000 ปแี สง ซึง่ ทำงช้ำงเผือก ทสี่ งั เกตเหน็ ในท้องฟำ้ เป็นบริเวณหน่ึง ของกำแล็กซีทำงช้ำงเผือกในมุมมอง ของคนบนโลก แถบฝ้ำสีขำวจำง ๆ ของทำงชำ้ งเผือก คือ ดำวฤกษ์ ที่อย่อู ย่ำง หนำแน่นในกำแลก็ ซที ำงช้ำงเผือก สำหรับกำรจัดกำรเรียนรู้ ปกี ำรศึกษำ 2564 ภำยใตส้ ถำนกำรณแ์ พรร่ ะบำดของโรคติดเชอ้ื ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขน้ั พื้นฐำน ร่วมกับ สถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี

๑๖๐ ช้ัน ท่ี รหัสตัวชี้วัด ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ม.6 73 ว 3.1 ม.6/4 อธบิ ำยกระบวนกำรเกิดดำวฤกษ์ • ดำวฤกษส์ ่วนใหญ่อยู่รวมกันเปน็ ระบบ   โดยแสดงกำรเปล่ียนแปลง ดำวฤกษ์ คือ ดำวฤกษท์ ี่อยูร่ วมกันตง้ั แต่ ควำมดัน อุณหภมู ิ ขนำด 2 ดวงข้ึนไป ดำวฤกษเ์ ปน็ ก้อนแก๊สรอ้ น จำกดำวฤกษ์ก่อนเกิดจนเป็น ขนำดใหญ่ เกิดจำกกำรยบุ ตวั ของกลมุ่ ดำวฤกษ์ สสำรในเนบิวลำภำยใตแ้ รงโน้มถว่ ง ทำให้บำงส่วนของเนบิวลำมีขนำดเลก็ ลง ควำมดนั และอณุ หภมู ิเพม่ิ ขน้ึ เกิดเปน็ ดำวฤกษ์ก่อนเกิด เมื่ออุณหภมู ิที่แกน่ สูงขนึ้ จนเกดิ ปฏิกิรยิ ำเทอร์มอนิวเคลียร์ ดำวฤกษ์ ก่อนเกิดจะกลำยเป็นดำวฤกษ์ ดำวฤกษ์อยู่ใน สภำพสมดลุ ระหว่ำงแรงดนั กับแรงโน้มถ่วง ซึง่ เรียกว่ำ สมดลุ อุทกสถิต จึงทำให้ดำวฤกษ์ มเี สถียรภำพและปลดปลอ่ ยพลังงำน เปน็ เวลำนำน ตลอดชว่ งชีวติ ของดำวฤกษ์ • ปฏกิ ิริยำเทอร์มอนวิ เคลยี ร์ เป็นปฏกิ ิริยำหลกั ของกระบวนกำรสร้ำงพลังงำนของดำวฤกษ์ ทแี่ กน่ ของดำวฤกษ์ ทำให้เกดิ กำรหลอม นิวเคลยี สของไฮโดรเจนเปน็ นิวเคลียส ฮเี ลยี มแลว้ ก่อให้เกิดพลงั งำนอยำ่ งต่อเน่ือง 74 ว 3.1 ม.6/5 ระบปุ ัจจัยทส่ี ่งผลต่อควำมส่องสว่ำง • ควำมสอ่ งสวำ่ งของดำวฤกษ์เปน็ พลังงำน  ของดำวฤกษ์ และอธบิ ำย จำกดำวฤกษท์ ่ปี ลดปล่อยออกมำในเวลำ ควำมสมั พนั ธ์ระหว่ำงควำมส่องสว่ำง 1 วนิ ำทตี อ่ หน่วยพ้นื ท่ี ณ ตำแหน่งของ กับโชตมิ ำตรของดำวฤกษ์ ผ้สู ังเกต แต่เน่อื งจำกตำของมนุษย์ ไม่ตอบสนองต่อกำรเปลีย่ นแปลง ควำมส่องสวำ่ งท่ีมีคำ่ น้อย ๆ จงึ กำหนด ค่ำกำรเปรียบเทยี บควำมส่องสว่ำงของ ดำวฤกษ์ดว้ ยค่ำโชติมำตร ซ่ึงเปน็ กำรแสดง ระดบั ควำมส่องสวำ่ งของดำวฤกษ์ ณ ตำแหนง่ ของผูส้ ังเกต 75 ว 3.1 ม.6/6 อธบิ ำยควำมสมั พันธร์ ะหว่ำง • สีของดำวฤกษส์ มั พันธ์กับอุณหภูมผิ ิว และ  สี อุณหภมู ผิ วิ และสเปกตรมั สเปกตรมั ของดำวฤกษ์ ซ่ึงนักดำรำศำสตร์ ของดำวฤกษ์ ใช้สเปกตรมั ในกำรจำแนกชนดิ ของดำวฤกษ์  76 ว 3.1 ม.6/7 อธบิ ำยลำดบั ววิ ฒั นำกำร • มวลของดำวฤกษ์ขนึ้ อยู่กบั มวลของ ทสี่ มั พันธก์ ับมวลต้ังตน้ และ ดำวฤกษ์กอ่ นเกดิ ดำวฤกษท์ ี่มีมวลมำก วิเครำะหก์ ำรเปลี่ยนแปลง จะผลิตและใช้พลังงำนมำก จึงมีอำยุส้นั กว่ำ สมบัติบำงประกำรของดำวฤกษ์ ดำวฤกษ์ที่มมี วลนอ้ ย • ดำวฤกษ์มกี ำรวิวัฒนำกำรที่แตกต่ำงกัน กำรววิ ฒั นำกำรและจุดจบของดำวฤกษ์ ขึ้นอยกู่ ับมวลตงั้ ตน้ ของดำวฤกษ์ สว่ นใหญ่ เทยี บกับจำนวนเทำ่ ของมวลดวงอำทติ ย์ สำหรบั กำรจดั กำรเรยี นรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใตส้ ถำนกำรณแ์ พร่ระบำดของโรคติดเชือ้ ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำข้ันพน้ื ฐำน ร่วมกบั สถำบันสง่ เสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี

๑๖๑ ชนั้ ที่ รหัสตวั ชี้วดั ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ม.6 77 ว 3.1 ม.6/8 อธิบำยกระบวนกำรเกดิ • ระบบสรุ ยิ ะเกิดจำกกำรรวมตัวกนั ของ  ระบบสรุ ยิ ะ และกำรแบ่งเขต กลมุ่ ฝุ่นและแกส๊ ท่ีเรยี กว่ำ เนบิวลำสรุ ยิ ะ บรวิ ำรของดวงอำทิตย์ และ โดยฝนุ่ และแกส๊ ประมำณร้อยละ 99.8 ลักษณะของดำวเครำะห์ ของมวล ได้รวมตัวเป็นดวงอำทติ ย์ ทีเ่ อื้อตอ่ กำรดำรงชีวิต ซง่ึ เปน็ ก้อนแกส๊ ร้อน หรือพลำสมำ สสำรส่วนทเ่ี หลือรวมตัวเปน็ ดำวเครำะห์ และบรวิ ำรอน่ื ๆ ของดวงอำทิตย์ ดงั น้นั จึงแบง่ เขตบรวิ ำรของดวงอำทิตย์ ตำมลกั ษณะกำรเกิดและองค์ประกอบ ได้แก่ ดำวเครำะหช์ น้ั ใน ดำวเครำะหน์ ้อย ดำวเครำะห์ช้นั นอก และดงดำวหำง • โลกเปน็ ดำวเครำะห์ในระบบสรุ ยิ ะ ท่ีมสี ิง่ มีชวี ติ เพรำะโคจรรอบดวงอำทติ ย์ ในระยะทำงท่เี หมำะสม อยูใ่ นเขตท่เี อือ้ ต่อ กำรมสี งิ่ มชี ีวิต มีอุณหภูมิเหมำะสมและ สำมำรถเกิดนำ้ ทีย่ ังคงสถำนะเป็นของเหลวได้ ปัจจุบันมีกำรคน้ พบดำวเครำะหท์ ีอ่ ยูน่ อก ระบบสุริยะจำนวนมำก และมีดำวเครำะห์ บำงดวงทอ่ี ยู่ในเขตท่ีเอื้อต่อกำรมีส่งิ มชี วี ติ คลำ้ ยโลก 78 ว 3.1 ม.6/9 อธิบำยโครงสรำ้ งของดวงอำทิตย์ • ดวงอำทิตย์มโี ครงสร้ำงภำยใน แบง่ เป็นแกน่  กำรเกดิ ลมสุริยะ พำยุสรุ ยิ ะ และ เขตกำรแผร่ งั สี และเขตกำรพำควำมรอ้ น สืบค้นขอ้ มลู วิเครำะห์ นำเสนอ และมชี น้ั บรรยำกำศอยู่เหนือเขตพำควำมร้อน ปรำกฏกำรณ์หรือเหตกุ ำรณ์ ซ่ึงแบง่ เปน็ 3 ชัน้ คอื ช้ันโฟโตสเฟียร์ ที่เกี่ยวขอ้ งกบั ผลของลมสรุ ิยะ ชัน้ โครโมสเฟยี ร์ และคอโรนำ และพำยสุ รุ ยิ ะที่มีต่อโลก รวมทัง้ ในชน้ั บรรยำกำศของดวงอำทิตย์ ประเทศไทย มีปรำกฏกำรณ์สำคัญ เช่น จุดมืด ดวงอำทติ ย์ กำรลกุ จำ้ ท่ีทำให้เกิดลมสรุ ยิ ะ และพำยสุ รุ ิยะ ซ่ึงส่งผลต่อโลก • ลมสุรยิ ะ เกดิ จำกกำรแพร่กระจำยของ อนภุ ำค จำกชนั้ คอโรนำออกสู่อวกำศ ตลอดเวลำ อนุภำคท่หี ลุดออกสอู่ วกำศ เปน็ อนุภำคท่ีมปี ระจุลมสรุ ิยะสง่ ผลทำให้ เกดิ หำงของดำวหำงที่เรอื งแสงและ ชี้ไปทำงทิศตรงกนั ข้ำมกับดวงอำทิตย์ และเกดิ ปรำกฏกำรณแ์ สงเหนือ แสงใต้ สำหรับกำรจดั กำรเรียนรู้ ปกี ำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณ์แพรร่ ะบำดของโรคติดเชอ้ื ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขัน้ พ้ืนฐำน ร่วมกบั สถำบันสง่ เสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี

๑๖๒ ชน้ั ท่ี รหสั ตวั ช้ีวดั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ม.6 • พำยสุ รุ ิยะ เกิดจำกกำรปลดปล่อยอนภุ ำค มีประจุพลังงำนสูงจำนวนมหำศำล มักเกดิ บอ่ ยครั้งในชว่ งท่ีมีกำรลุกจ้ำ และ ในช่วงทม่ี จี ุดมืดดวงอำทติ ยจ์ ำนวนมำก และในบำงคร้ังมีกำรพ่นก้อนมวลคอโรนำ พำยุสรุ ยิ ะอำจส่งผลตอ่ สนำมแมเ่ หล็กโลก จงึ อำจรบกวนระบบกำรส่งกระแสไฟฟ้ำ และกำรสื่อสำร รวมทง้ั อำจสง่ ผลต่อวงจร อเิ ลก็ ทรอนิกสข์ องดำวเทยี ม นอกจำกนัน้ มกั ทำใหเ้ กดิ ปรำกฏกำรณ์แสงเหนอื แสงใต้ ที่สังเกตไดช้ ดั เจน 79 ว 3.1 ม.6/10 สบื คน้ ข้อมลู อธิบำยกำรสำรวจ • มนุษยใ์ ชเ้ ทคโนโลยอี วกำศในกำรศกึ ษำ  อวกำศ โดยใชก้ ล้องโทรทรรศน์ เพอ่ื ขยำยขอบเขตควำมรูด้ ้ำน ในชว่ งควำมยำวคล่นื ตำ่ ง ๆ วิทยำศำสตร์ และในขณะเดยี วกันมนุษย์ ดำวเทียม ยำนอวกำศ สถำนี ได้นำเทคโนโลยอี วกำศมำใช้ประโยชน์ อวกำศ และนำเสนอแนวคิด ในด้ำนตำ่ ง ๆ เชน่ วัสดศุ ำสตร์ อำหำร กำรนำควำมรทู้ ำงด้ำน กำรแพทย์ เทคโนโลยอี วกำศมำประยุกต์ใช้ • นักวิทยำศำสตร์ไดส้ ร้ำงกล้องโทรทรรศน์ ในชีวติ ประจำวันหรือในอนำคต เพอื่ ศึกษำแหลง่ กำเนดิ ของรังสีหรือ อนภุ ำคในอวกำศในชว่ งควำมยำวคล่ืนตำ่ ง ๆ ได้แก่ คลน่ื วิทยุ ไมโครเวฟ อินฟรำเรด แสง อัลตรำไวโอเลต และรงั สีเอ็กซ์ • ยำนอวกำศ คอื ยำนพำหนะท่ีนำมนุษย์ หรืออุปกรณ์ทำงดำรำศำสตร์ขนึ้ ไปสู่ อวกำศ เพอ่ื สำรวจหรอื เดนิ ทำงไปยัง ดำวดวงอื่น สว่ นสถำนีอวกำศ คอื หอ้ งปฏิบัตกิ ำรลอยฟ้ำ ท่โี คจรรอบโลก ใช้ในกำรศึกษำวจิ ยั ทำงวิทยำศำสตร์ ในสำขำตำ่ ง ๆ ในสภำพไรน้ ำ้ หนกั • ดำวเทียม คอื อปุ กรณ์ทีใ่ ช้ในกำรสำรวจ วัตถทุ ้องฟ้ำ และนำมำประยุกต์ใช้ ในด้ำนต่ำง ๆ เชน่ กำรสอ่ื สำร โทรคมนำคม กำรระบุตำแหน่งบนโลก กำรสำรวจทรพั ยำกรธรรมชำติ อุตุนิยมวิทยำ โดยดำวเทยี มมีหลำย ประเภทสำมำรถแบ่งไดต้ ำมเกณฑว์ งโคจร และกำรใชง้ ำน สำหรับกำรจัดกำรเรียนรู้ ปีกำรศกึ ษำ 2564 ภำยใตส้ ถำนกำรณ์แพรร่ ะบำดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขน้ั พ้นื ฐำน ร่วมกับ สถำบันสง่ เสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี

๑๖๓ ชั้น ท่ี รหัสตัวชี้วัด ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ม.6 80 ว 3.2 ม.6/1 อธิบำยกำรแบ่งช้ันและสมบัติ • กำรศึกษำโครงสร้ำงโลกใชข้ ้อมูลหลำยด้ำน  ของโครงสร้ำงโลก พรอ้ ม เชน่ องคป์ ระกอบทำงเคมขี องหินและแร่ ยกตัวอยำ่ งขอ้ มลู ทสี่ นบั สนนุ องค์ประกอบทำงเคมีของอุกกำบำต ขอ้ มูลคลนื่ ไหวสะเทือนที่เคล่ือนท่ผี ่ำนโลก จงึ สำมำรถแบง่ ชน้ั โครงสร้ำงโลก ได้ 2 แบบ คอื โครงสรำ้ งโลกตำม องคป์ ระกอบทำงเคมี แบ่งได้เปน็ 3 ชน้ั ได้แก่ เปลือกโลก เน้ือโลก และแก่นโลก และโครงสร้ำงโลกตำมสมบตั ิเชิงกล แบง่ ได้เปน็ 5 ช้นั ได้แก่ ธรณีภำค ฐำนธรณีภำค มชั ฌิมภำค แก่นโลกชั้นนอก และแก่นโลกช้ันใน 81 ว 3.2 ม.6/2 อธิบำยหลกั ฐำนทำงธรณีวิทยำ • แผน่ ธรณตี ำ่ ง ๆ เปน็ ส่วนประกอบของ  ทส่ี นบั สนุนกำรเคล่อื นท่ขี อง ธรณีภำค กำรเปล่ียนแปลงขนำดและ แผน่ ธรณี ตำแหนง่ ตงั้ แต่อดตี จนถึงปัจจุบนั กำรเคล่ือนทข่ี องแผน่ ธรณดี ังกลำ่ ว อธิบำยไดต้ ำมทฤษฎีธรณแี ปรสัณฐำน ซ่งึ มรี ำกฐำนมำจำกทฤษฎีทวีปเลื่อน และทฤษฎีกำรแผ่ขยำยพืน้ สมุทร โดยมีหลกั ฐำนที่สนบั สนุน ได้แก่ รูปร่ำง ของขอบทวีปท่ีสำมำรถเชือ่ มตอ่ กนั ได้ ควำมคลำ้ ยคลงึ กนั ของกลุ่มหินและ แนวเทือกเขำ ซำกดกึ ดำบรรพ์ ร่องรอย กำรเคล่อื นที่ของตะกอนธำรน้ำแขง็ ภำวะแม่เหล็กโลกบรรพกำล อำยุหินของ พ้ืนมหำสมุทร รวมท้ังกำรค้นพบสันเขำ กลำงสมทุ ร และรอ่ งลึกก้นสมุทร 82 ว 3.2 ม.6/3 ระบสุ ำเหตุ และอธิบำยรูปแบบ • กำรพำควำมรอ้ นของแมกมำภำยในโลก  แนวรอยต่อของแผน่ ธรณี ทำใหเ้ กดิ กำรเคลื่อนที่ของแผ่นธรณี ที่สัมพนั ธก์ บั กำรเคล่ือนทีข่ อง ตำมทฤษฎธี รณแี ปรสณั ฐำน แผน่ ธรณี พร้อมยกตัวอย่ำง ซึ่งนกั วทิ ยำศำสตร์ได้สำรวจพบหลักฐำน หลกั ฐำนทำงธรณวี ทิ ยำที่พบ ทำงธรณวี ทิ ยำ ได้แก่ ธรณสี ัณฐำนและ ธรณีโครงสร้ำง ทบี่ ริเวณแนวรอยตอ่ ของ แผ่นธรณี เช่น รอ่ งลึกก้นสมุทร หมูเ่ กำะ ภูเขำไฟรูปโค้ง แนวภเู ขำไฟ แนวเทอื กเขำ หบุ เขำทรดุ และสันเขำกลำงสมทุ ร รอยเลือ่ น นอกจำกนีย้ ังพบกำรเกดิ ธรณีพิบัติภยั ท่บี รเิ วณแนวรอยต่อของแผน่ ธรณี เช่น แผ่นดนิ ไหว ภูเขำไฟระเบิด สึนำมิ สำหรับกำรจัดกำรเรยี นรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใตส้ ถำนกำรณแ์ พรร่ ะบำดของโรคติดเชอื้ ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขน้ั พน้ื ฐำน ร่วมกบั สถำบันสง่ เสริมกำรสอนวิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

๑๖๔ ชั้น ที่ รหัสตัวช้ีวดั ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ม.6 ซึง่ หลักฐำนดังกลำ่ วสมั พันธก์ ับรปู แบบ กำรเคลอ่ื นที่ของแผน่ ธรณี นกั วทิ ยำศำสตร์จึงสรุปได้ว่ำแนวรอยต่อ ของแผน่ ธรณีมี 3 รูปแบบ ได้แก่ แนวแผ่นธรณแี ยกตวั แนวแผน่ ธรณี เคลื่อนที่เข้ำหำกัน แนวแผน่ ธรณีเคลอื่ นท่ี ผำ่ นกนั ในแนวรำบ 83 ว 3.2 ม.6/4 อธิบำยสำเหตุ กระบวนกำรเกิด • ภูเขำไฟระเบิด เกิดจำกกำรแทรกดนั ของ  ภูเขำไฟระเบดิ รวมทั้งสบื ค้น แมกมำขนึ้ มำตำมสว่ นเปรำะบำง หรอื ขอ้ มลู พน้ื ที่เสย่ี งภยั ออกแบบ รอยแตกบนเปลอื กโลก มักพบหนำแน่น และนำเสนอแนวทำงกำรเฝ้ำระวัง บรเิ วณรอยตอ่ ระหว่ำงแผน่ ธรณี ทำให้ และกำรปฏิบตั ิตนใหป้ ลอดภัย บรเิ วณดงั กล่ำวเปน็ พ้ืนทเี่ ส่ียงภัย ผลจำกกำรระเบดิ ของภูเขำไฟมีทง้ั ประโยชน์ และโทษ จงึ ต้องศึกษำแนวทำงในกำรเฝ้ำระวงั และกำรปฏิบตั ิตนใหป้ ลอดภัย  84 ว 3.2 ม.6/5 อธบิ ำยสำเหตุ กระบวนกำรเกิด • แผน่ ดินไหวเกดิ จำกกำรปลดปล่อย ขนำดและควำมรนุ แรง และผล พลังงำนที่สะสมไวข้ องเปลือกโลกในรปู จำกแผ่นดินไหว รวมทงั้ สืบค้น ของคล่นื ไหวสะเทือน แผน่ ดินไหวมีขนำด ขอ้ มลู พนื้ ทเ่ี ส่ียงภัย ออกแบบ และควำมรุนแรงแตกตำ่ งกัน มกั เกิดข้นึ และนำเสนอแนวทำงกำรเฝ้ำระวงั บรเิ วณรอยต่อของแผน่ ธรณี และพนื้ ที่ และกำรปฏบิ ตั ิตนให้ปลอดภัย ภำยใตอ้ ิทธิพลของกำรเคล่ือนของแผน่ ธรณี ทำให้บรเิ วณดังกลำ่ วเป็นพื้นที่ เสี่ยงภยั แผน่ ดินไหว ซึ่งส่งผลให้ สงิ่ ก่อสรำ้ งเสียหำย เกิดอันตรำยตอ่ ชีวติ และทรัพย์สิน จึงตอ้ งศึกษำแนวทำง ในกำรเฝำ้ ระวงั และกำรปฏบิ ัติตน ให้ปลอดภัย 85 ว 3.2 ม.6/6 อธิบำยสำเหตุ กระบวนกำรเกิด • สึนำมิ คือ คล่ืนนำ้ ทเี่ กดิ จำกกำรแทนท่ี  และผลจำกสึนำมิ รวมทัง้ สืบค้น มวลน้ำในปริมำณมหำศำล ส่วนมำกจะเกิด ข้อมลู พ้ืนที่เส่ียงภยั ออกแบบ ในทะเลหรอื มหำสมทุ ร โดยคลน่ื มีลกั ษณะ และนำเสนอแนวทำงกำรเฝำ้ เฉพำะ คือ ควำมยำวคลื่นมำกและ ระวงั และกำรปฏิบัตติ นให้ เคลอ่ื นทดี่ ้วยควำมเร็วสูง เม่อื อยู่กลำง ปลอดภยั มหำสมทุ รจะมีควำมสงู คลนื่ น้อย และ อำจเพิ่มควำมสงู ขึ้นอย่ำงรวดเรว็ เมื่อคลน่ื เคล่อื นท่ีผำ่ นบรเิ วณน้ำต้ืน จึงทำให้พ้นื ที่ บรเิ วณชำยฝ่ังบำงบริเวณเปน็ พื้นทเ่ี ส่ยี ง ภยั สึนำมิ กอ่ ให้เกดิ อันตรำยแกม่ นุษย์ และสงิ่ ก่อสร้ำงในบรเิ วณชำยหำดนน้ั จงึ ตอ้ งศึกษำแนวทำงในกำรเฝ้ำระวงั และกำรปฏิบตั ติ นใหป้ ลอดภัย สำหรบั กำรจดั กำรเรยี นรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใตส้ ถำนกำรณ์แพร่ระบำดของโรคติดเชือ้ ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขน้ั พืน้ ฐำน ร่วมกับ สถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี

๑๖๕ ช้นั ท่ี รหสั ตวั ช้ีวัด ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ม.6 86 ว 3.2 ม.6/7 อธบิ ำยปัจจยั สำคญั ที่มผี ล • พน้ื ผวิ โลกแต่ละบริเวณไดร้ ับพลงั งำน  ต่อกำรไดร้ ับพลังงำนจำก จำกดวงอำทติ ย์ในปริมำณท่ีแตกตำ่ งกัน ดวงอำทิตย์แตกตำ่ งกนั ในแต่ละ เน่ืองจำกปัจจยั สำคัญหลำยประกำร เชน่ บรเิ วณของโลก สณั ฐำนและกำรเอียงของแกนโลก ลักษณะของพน้ื ผิว ละอองลอย และเมฆ ทำใหแ้ ต่ละบรเิ วณบนโลกมีอุณหภมู ิ ไมเ่ ทำ่ กัน ส่งผลให้มคี วำมกดอำกำศ แตกตำ่ งกัน และเกดิ กำรถ่ำยโอนพลงั งำน ระหวำ่ งกัน 87 ว 3.2 ม.6/8 อธบิ ำยกำรหมุนเวยี นของ • กำรหมนุ เวยี นของอำกำศเกดิ ขึ้นจำก  อำกำศ ทีเ่ ปน็ ผลมำจำก ควำมกดอำกำศที่แตกต่ำงกนั ระหว่ำงสอง ควำมแตกตำ่ งของควำมกดอำกำศ บรเิ วณ โดยอำกำศเคล่ือนที่จำกบริเวณที่มี ควำมกดอำกำศสูงไปยังบริเวณท่มี ี ควำมกดอำกำศต่ำ ซ่งึ จะเห็นได้ชัดเจน ในกำรเคลื่อนทีข่ องอำกำศในแนวรำบ และเม่ือพจิ ำรณำกำรเคล่อื นท่ีของอำกำศ ในแนวดิ่งจะพบว่ำอำกำศเหนือบริเวณ ควำมกดอำกำศต่ำจะมีกำรยกตัวขึน้ ขณะทอี่ ำกำศเหนอื บริเวณควำมกดอำกำศ สูงจะจมตัวลง โดยกำรเคลื่อนที่ของ อำกำศท้ังในแนวรำบและแนวดง่ิ นี้ ทำให้ เกิดเปน็ กำรหมุนเวยี นของอำกำศ 88 ว 3.2 ม.6/9 อธิบำยทศิ ทำงกำรเคลอ่ื นท่ี • กำรหมนรุ อบตวั เองของโลกทำใหเ้ กิด  ของอำกำศ ทเี่ ป็นผลมำจำก แรงคอริออลิส สง่ ผลให้ทศิ ทำงกำรเคลอื่ นที่ กำรหมนุ รอบตัวเองของโลก ของอำกำศเบนไป โดยอำกำศทีเ่ คลอื่ นท่ี ในบริเวณซีกโลกเหนอื จะเบนไปทำงขวำจำก ทิศทำงเดิม ส่วนบรเิ วณซกี โลกใต้จะเบนไป ทำงซำ้ ยจำกทศิ ทำงเดมิ 89 ว 3.2 ม.6/10 อธบิ ำยกำรหมนุ เวียนของ • โลกมีควำมกดอำกำศแตกต่ำงกนั ในแตล่ ะ  อำกำศตำมเขตละตจิ ูด บริเวณ รวมท้ังอิทธิพลจำกกำรหมนุ และผลที่มีต่อภมู อิ ำกำศ รอบตัวเองของโลก ทำให้อำกำศในแตล่ ะ ซีกโลกเกิดกำรหมนุ เวยี นของอำกำศ ตำมเขตละตจิ ดู แบ่งออกเป็น 3 แถบ โดยแตล่ ะแถบมีภมู ิอำกำศแตกต่ำงกนั ไดแ้ ก่ กำรหมุนเวยี นแถบข้ัวโลกมภี ูมิอำกำศ แบบหนำวเย็น กำรหมนุ เวียนแถบละตจิ ูด กลำงมีภูมิอำกำศแบบอบอุน่ และกำร หมุนเวยี นแถบเขตร้อนมภี มู ิอำกำศแบบ ร้อนชืน้ สำหรับกำรจัดกำรเรียนรู้ ปกี ำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณ์แพรร่ ะบำดของโรคติดเชอ้ื ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำข้ันพนื้ ฐำน ร่วมกับ สถำบันสง่ เสริมกำรสอนวิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

๑๖๖ ชัน้ ท่ี รหสั ตัวช้ีวดั ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ม.6 • นอกจำกนบี้ ริเวณรอยต่อของกำร หมนุ เวยี นอำกำศแต่ละแถบละติจดู จะมลี กั ษณะลมฟำ้ อำกำศที่แตกตำ่ งกัน เชน่ บรเิ วณใกลศ้ ูนยส์ ูตรมีปริมำณ หยำดนำ้ ฟำ้ เฉลย่ี สูงกวำ่ บริเวณอืน่ บริเวณละติจูด 30 องศำ มีอำกำศแหง้ แล้ง สว่ นบริเวณละตจิ ดู 60 องศำ อำกำศมี ควำมแปรปรวนสงู 90 ว 3.2 ม.6/11 อธบิ ำยปจั จัยทท่ี ำให้เกิด • กำรหมนุ เวยี นของกระแสนำ้ ผิวหนำ้  กำรหมุนเวียนของนำ้ ผิวนำ้ ในมหำสมทุ ร ได้รับอิทธพิ ลจำก ในมหำสมุทร และรปู แบบ กำรหมุนเวียนของอำกำศในแตล่ ะ กำรหมุนเวียนของน้ำผวิ หนำ้ แถบละติจดู เป็นปจั จยั หลักทำใหบ้ รเิ วณ ในมหำสมุทร ซกี โลกเหนือมีกำรหมนุ เวยี นของกระแสน้ำ ผิวหน้ำในทิศทำงตำมเข็มนำฬิกำ และ ทวนเขม็ นำฬิกำในซีกโลกใต้ ซึ่งกระแสนำ้ ผิวหนำ้ ในมหำสมุทรมที ้ังกระแสนำ้ อุ่น และกระแสนำ้ เย็น 91 ว 3.2 ม.6/12 อธิบำยผลของกำรหมุนเวียน • กำรหมนุ เวยี นอำกำศและน้ำในมหำสมทุ ร  ของอำกำศ และน้ำผิวหน้ำ ส่งผลตอ่ ภูมอิ ำกำศ ลมฟำ้ อำกำศ ส่ิงมีชีวติ ในมหำสมทุ รที่มีต่อลักษณะ และส่ิงแวดล้อม เชน่ กระแสนำ้ อนุ่ กัลฟส์ ตรีม ภมู อิ ำกำศ ลมฟ้ำอำกำศ ทีท่ ำใหบ้ ำงประเทศในทวปี ยโุ รปไมห่ นำวเย็น ส่ิงมีชวี ติ และสิ่งแวดลอ้ ม เกนิ ไป และเมื่อกำรหมุนเวยี นอำกำศและ น้ำในมหำสมทุ รแปรปรวน ทำให้เกิด ผลกระทบต่อสภำพลมฟำ้ อำกำศ เชน่ ปรำกฏกำรณเ์ อลนีโญและลำนีญำ ซึ่งเกิดจำกควำมแปรปรวนของลมค้ำและ สง่ ผลตอ่ ประเทศท่ีอยบู่ รเิ วณมหำสมทุ ร แปซฟิ ิก 92 ว 3.2 ม.6/13 อธบิ ำยปจั จัยทมี่ ีผลต่อ • โลกไดร้ ับพลงั งำนจำกดวงอำทิตย์ โดย  กำรเปลย่ี นแปลงภมู ิอำกำศของ ปริมำณพลงั งำนเฉลี่ยท่ีโลกได้รับเทำ่ กบั โลก พรอ้ มท้ังนำเสนอแนวทำง พลงั งำนเฉลย่ี ท่ีโลกปลดปล่อยกลบั สู่ ปฏิบตั เิ พือ่ ลดกิจกรรมของมนุษย์ อวกำศ ทำให้เกดิ สมดุลพลังงำนของโลก ทีส่ ่งผลตอ่ กำรเปลีย่ นแปลง สง่ ผลใหอ้ ณุ หภมู ิเฉลย่ี ของโลกในแตล่ ะปี ภมู ิอำกำศโลก คอ่ นข้ำงคงทีแ่ ละมีลักษณะภูมอิ ำกำศที่ไม่ เปลี่ยนแปลง หำกสมดุลพลังงำนของโลก เกิดกำรเปลีย่ นแปลงไปจะทำให้อณุ หภมู ิ เฉล่ยี ของโลกและภูมิอำกำศเกดิ กำรเปลย่ี นแปลงได้เนือ่ งจำกปจั จยั หลำย ประกำรทั้งปจั จยั ท่เี กดิ ขนึ้ ตำมธรรมชำติ และกำรกระทำของมนุษย์ เช่น แกส๊ เรือนกระจก ลักษณะผิวโลก และละอองลอย สำหรบั กำรจดั กำรเรยี นรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใตส้ ถำนกำรณ์แพรร่ ะบำดของโรคติดเชอ้ื ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพนื้ ฐำน ร่วมกับ สถำบันสง่ เสริมกำรสอนวิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

๑๖๗ ช้นั ที่ รหัสตัวช้ีวัด ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ม.6 • มนุษย์มสี ว่ นชว่ ยในกำรชะลอกำรเปลีย่ นแปลง ภมู อิ ำกำศโลกได้โดยกำรลดกิจกรรมทท่ี ำให้ เกิดกำรเปลย่ี นแปลงสมดลุ พลังงำน เชน่ ลดกำรปลดปลอ่ ยแกส๊ เรอื นกระจกและ ละอองลอย 93 ว 3.2 ม.6/14 แปลควำมหมำยสัญลกั ษณ์ • แผนท่ีอำกำศผวิ พื้นแสดงข้อมูล  ลมฟ้ำอำกำศที่สำคัญจำก กำรตรวจอำกำศ ในรูปแบบสัญลกั ษณ์ แผนท่ีอำกำศ และนำข้อมลู หรอื ตวั เลข เช่น บรเิ วณควำมกดอำกำศสงู สำรสนเทศต่ำง ๆ มำวำงแผน หย่อมควำมกดอำกำศต่ำ พำยุหมุนเขตร้อน กำรดำเนนิ ชีวิตให้สอดคลอ้ งกับ ร่องควำมกดอำกำศตำ่ กำรแปลควำมหมำย สภำพลมฟ้ำอำกำศ สัญลักษณล์ มฟ้ำอำกำศ ทำให้ทรำบ ลกั ษณะลมฟ้ำอำกำศ ณ บริเวณหนึง่ • กำรแปลควำมหมำยสญั ลักษณ์ทป่ี รำกฏ บนแผนท่ีอำกำศ รว่ มกับข้อมูลสำรสนเทศ ตำ่ ง ๆ เชน่ โปรแกรมประยุกต์เกย่ี วกบั กำรพยำกรณ์อำกำศ เรดำร์ตรวจอำกำศ ภำพถ่ำยดำวเทียม สำมำรถนำมำวำงแผน กำรดำเนนิ ชวี ิตใหส้ อดคล้องกับสภำพ ลมฟำ้ อำกำศ เชน่ กำรเลือกช่วงเวลำ ในกำรเพำะปลูกใหส้ อดคล้องกบั ฤดูกำล กำรเตรยี มพร้อมรับมือสภำพอำกำศ แปรปรวน ม.4 94 ว 4.1 ม.4/1 วเิ ครำะหแ์ นวคดิ หลักของ • ระบบทำงเทคโนโลยี เป็นกลมุ่ ของ  เทคโนโลยี ควำมสัมพนั ธ์กับ สว่ นต่ำง ๆ ต้ังแตส่ องส่วนข้ึนไปประกอบ ศำสตร์อ่นื โดยเฉพำะวิทยำศำสตร์ เข้ำดว้ ยกนั และทำงำนร่วมกนั เพื่อให้บรรลุ หรอื คณติ ศำสตร์ รวมทัง้ วตั ถุประสงค์ โดยในกำรทำงำนของระบบ ประเมนิ ผลกระทบทจี่ ะเกิดข้ึน ทำงเทคโนโลยีจะประกอบไปดว้ ย ตวั ปอ้ น ตอ่ มนุษย์ สังคม เศรษฐกิจ และ (input) กระบวนกำร (process) และ สงิ่ แวดล้อม เพื่อเปน็ แนวทำง ผลผลติ (output) ที่สัมพันธ์กัน ในกำรพัฒนำเทคโนโลยี นอกจำกน้ีระบบทำงเทคโนโลยอี ำจมี ข้อมลู ย้อนกลับ (feedback) เพือ่ ใช้ ปรับปรุงกำรทำงำนได้ตำมวตั ถุประสงค์ โดยระบบทำงเทคโนโลยีอำจมรี ะบบย่อย หลำยระบบ (sub-systems) ทีท่ ำงำน สมั พันธก์ นั อยู่ และหำกระบบย่อยใด ทำงำนผิดพลำดจะส่งผลต่อกำรทำงำน ของระบบอ่ืนด้วย • เทคโนโลยมี กี ำรเปล่ยี นแปลงตลอดเวลำ ตง้ั แต่อดีตจนถึงปจั จุบัน ซึง่ มีสำเหตหุ รือ ปจั จัยมำจำกหลำยด้ำน เช่น ปญั หำ ควำม ต้องกำร ควำมกำ้ วหนำ้ ของศำสตรต์ ำ่ ง ๆ เศรษฐกจิ สังคม วัฒนธรรม ส่งิ แวดล้อม สำหรับกำรจัดกำรเรียนรู้ ปกี ำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณ์แพร่ระบำดของโรคติดเชือ้ ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำขัน้ พืน้ ฐำน ร่วมกบั สถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

๑๖๘ ชัน้ ที่ รหสั ตัวชี้วดั ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ม.4 95 ว 4.1 ม.4/2 ระบปุ ญั หำหรอื ควำมต้องกำร • ปญั หำหรอื ควำมตอ้ งกำรท่ีมีผลกระทบต่อ  ท่ีมผี ลกระทบตอ่ สงั คม รวบรวม สงั คม เช่น ปญั หำดำ้ นกำรเกษตร อำหำร วิเครำะหข์ ้อมลู และแนวคิด พลังงำน กำรขนส่ง สขุ ภำพและกำรแพทย์ ทเ่ี กี่ยวข้องกบั ปัญหำทมี่ ี กำรบริกำร ซง่ึ แต่ละดำ้ นอำจมไี ด้ ควำมซับซ้อน เพื่อสังเครำะห์ หลำกหลำยปัญหำ วิธกี ำร เทคนิคในกำรแก้ปัญหำ • กำรวิเครำะหส์ ถำนกำรณป์ ญั หำโดยอำจใช้ โดยคำนงึ ถงึ ควำมถูกตอ้ ง เทคนคิ หรือวธิ กี ำรวิเครำะห์ที่หลำกหลำย ดำ้ นทรพั ยส์ ินทำงปญั ญำ ชว่ ยใหเ้ ขำ้ ใจเงอ่ื นไขและกรอบของปัญหำ ไดช้ ดั เจน จำกนนั้ ดำเนินกำรสบื ค้น รวบรวมข้อมลู ควำมรู้จำกศำสตรต์ ่ำง ๆ ทเ่ี กี่ยวข้อง เพ่ือนำไปส่กู ำรออกแบบ แนวทำงกำรแกป้ ญั หำ 96 ว 4.1 ม.4/3 ออกแบบวธิ ีกำรแก้ปญั หำ • กำรวิเครำะห์ เปรียบเทียบ และตดั สินใจ  โดยวิเครำะห์ เปรียบเทียบ และ เลือกข้อมลู ทจ่ี ำเป็น โดยคำนึงถึงทรัพย์สิน ตัดสินใจเลอื กขอ้ มูลทีจ่ ำเปน็ ทำงปัญญำ เงื่อนไขและทรัพยำกร เช่น ภำยใตเ้ งื่อนไขและทรัพยำกร งบประมำณ เวลำ ข้อมูลและสำรสนเทศ ทม่ี อี ยู่ นำเสนอแนวทำง วสั ดุ เครือ่ งมือและอุปกรณ์ ช่วยใหไ้ ด้ กำรแกป้ ัญหำใหผ้ ู้อ่ืนเข้ำใจ แนวทำงกำรแกป้ ญั หำทเี่ หมำะสม ด้วยเทคนคิ หรอื วธิ กี ำรที่ • กำรออกแบบแนวทำงกำรแก้ปญั หำ หลำกหลำย โดยใช้ซอฟต์แวร์ ทำไดห้ ลำกหลำยวธิ ี เชน่ กำรรำ่ งภำพ ชว่ ยในกำรออกแบบ วำงแผน กำรเขยี นแผนภำพ กำรเขยี นผงั งำน ขั้นตอนกำรทำงำนและ • ซอฟแวรช์ ่วยในกำรออกแบบและนำเสนอ ดำเนนิ กำรแกป้ ญั หำ มหี ลำกหลำยชนิดจึงตอ้ งเลือกใช้ให้เหมำะ กับงำน • กำรกำหนดข้นั ตอนและระยะเวลำ ในกำรทำงำนก่อนดำเนินกำรแก้ปัญหำ จะช่วยให้กำรทำงำนสำเร็จได้ตำมเป้ำหมำย และลดข้อผดิ พลำดของกำรทำงำนทอ่ี ำจ เกดิ ขนึ้ 97 ว 4.1 ม.4/4 ทดสอบ ประเมินผล วิเครำะห์ • กำรทดสอบและประเมนิ ผลเปน็ กำรตรวจสอบ  และใหเ้ หตผุ ลของปัญหำหรือ ชน้ิ งำนหรือวิธกี ำรวำ่ สำมำรถแก้ปัญหำได้ ขอ้ บกพร่องท่ีเกดิ ขึ้นภำยใต้ ตำมวตั ถุประสงคภ์ ำยใต้กรอบของปญั หำ กรอบเง่ือนไข หำแนวทำง เพ่อื หำข้อบกพร่อง และดำเนนิ กำรปรับปรงุ กำรปรับปรงุ แก้ไขและนำเสนอ โดยอำจทดสอบซ้ำเพ่ือให้สำมำรถแก้ไข ผลกำรแก้ปญั หำ พรอ้ มทงั้ เสนอ ปัญหำได้อยำ่ งมปี ระสทิ ธิภำพ แนวทำงกำรพัฒนำต่อยอด • กำรนำเสนอผลงำนเป็นกำรถ่ำยทอด แนวคดิ เพื่อใหผ้ อู้ ่ืนเขำ้ ใจเกยี่ วกบั กระบวนกำรทำงำนและช้นิ งำนหรือวิธีกำร ที่ได้ ซึ่งสำมำรถทำได้หลำยวิธี เชน่ กำรทำ แผน่ นำเสนอผลงำน กำรจัดนิทรรศกำร กำรนำเสนอผ่ำนส่ือออนไลน์ หรือกำร นำเสนอตอ่ ภำคธรุ กจิ เพื่อกำรพฒั นำ ต่อยอดสงู่ ำนอำชีพ สำหรับกำรจดั กำรเรียนรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใตส้ ถำนกำรณแ์ พรร่ ะบำดของโรคติดเชอื้ ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขนั้ พ้ืนฐำน ร่วมกบั สถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

๑๖๙ ช้ัน ที่ รหสั ตวั ชี้วดั ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ม.4 98 ว 4.1 ม.4/5 ใชค้ วำมรแู้ ละทักษะเกี่ยวกับ • วสั ดุแตล่ ะประเภทมีสมบตั แิ ตกตำ่ งกัน  วสั ดุ อปุ กรณ์ เคร่ืองมือ กลไก เชน่ ไมส้ ังเครำะห์ โลหะ จงึ ตอ้ งมีกำร ไฟฟ้ำและอิเล็กทรอนิกส์ วเิ ครำะหส์ มบัติ เพอื่ เลือกใช้ให้เหมำะสม และเทคโนโลยที ซ่ี บั ซ้อน กบั ลักษณะของงำน ในกำรแกป้ ัญหำหรอื พฒั นำงำน • กำรสรำ้ งชนิ้ งำนอำจใช้ควำมรู้ เรือ่ งกลไก ไดอ้ ยำ่ งถูกตอ้ ง เหมำะสมและ ไฟฟ้ำ อิเล็กทรอนิกส์ เชน่ LDR sensor ปลอดภัย เฟือง รอก คำน วงจรสำเร็จรปู • อุปกรณ์และเครือ่ งมอื ในกำรสรำ้ งชิน้ งำน หรอื พฒั นำวธิ กี ำรมหี ลำยประเภท ตอ้ งเลือกใช้ใหถ้ ูกต้อง เหมำะสม และ ปลอดภัย รวมท้งั รจู้ ักเก็บรักษำ ม.5 99 ว 4.1 ม.5/1 ประยกุ ตใ์ ช้ควำมรู้และทกั ษะ • กำรทำโครงงำน เปน็ กำรประยุกต์ใช้  จำกศำสตร์ตำ่ ง ๆ รวมท้งั ควำมรู้และทักษะจำกศำสตร์ตำ่ ง ๆ ทรัพยำกรในกำรทำโครงงำน รวมทง้ั ทรัพยำกรในกำรสร้ำงหรอื พฒั นำ เพื่อแกป้ ัญหำหรือพฒั นำงำน ชิ้นงำนหรอื วธิ กี ำร เพื่อแกป้ ญั หำหรอื อำนวยควำมสะดวกในกำรทำงำน • กำรทำโครงงำนกำรออกแบบและ เทคโนโลยีสำมำรถดำเนนิ กำรได้ โดยเร่มิ จำก กำรสำรวจ สถำนกำรณ์ ปัญหำทสี่ นใจ เพื่อกำหนดหวั ข้อโครงงำน แลว้ รวบรวมขอ้ มูลและแนวคิดท่เี ก่ียวข้อง กบั ปัญหำ ออกแบบแนวทำงกำรแก้ปัญหำ วำงแผน และดำเนนิ กำรแกป้ ัญหำ ทดสอบ ประเมนิ ผล ปรบั ปรงุ แกไ้ ขวิธีกำร แกป้ ัญหำหรือชิ้นงำน และนำเสนอวธิ ีกำร แกป้ ญั หำ ม.4 100 ว 4.2 ม.4/1 ประยกุ ต์ใช้แนวคิดเชงิ คำนวณ • กำรพฒั นำโครงงำน  ในกำรพัฒนำโครงงำนท่ีมี • กำรนำแนวคดิ เชิงคำนวณไปพัฒนำ กำรบูรณำกำรกบั วิชำอ่นื โครงงำนท่เี กี่ยวกับชีวติ ประจำวนั เชน่ อยำ่ งสร้ำงสรรคแ์ ละเชอ่ื มโยง กำรจัดกำรพลังงำน อำหำร กำรเกษตร กบั ชวี ติ จริง กำรตลำด กำรค้ำขำย กำรทำธรุ กรรม สขุ ภำพ และสิ่งแวดล้อม • ตัวอยำ่ งโครงงำน เช่น ระบบดูแลสขุ ภำพ ระบบอัตโนมัติควบคุมกำรปลูกพชื ระบบ จัดเส้นทำงกำรขนสง่ ผลผลติ ระบบ แนะนำกำรใช้งำนห้องสมดุ ท่ีมกี ำรโต้ตอบ กบั ผู้ใชแ้ ละเชือ่ มตอ่ กบั ฐำนข้อมลู สำหรับกำรจัดกำรเรยี นรู้ ปีกำรศกึ ษำ 2564 ภำยใตส้ ถำนกำรณ์แพรร่ ะบำดของโรคติดเช้อื ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำขั้นพ้นื ฐำน ร่วมกับ สถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

๑๗๐ ช้ัน ท่ี รหสั ตัวช้ีวดั ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ม.5 101 ว 4.2 ม.5/1 รวบรวม วเิ ครำะหข์ อ้ มูล • กำรนำควำมรูด้ ้ำนวิทยำกำรคอมพวิ เตอร์  และใชค้ วำมรู้ด้ำนวิทยำกำร ส่อื ดิจิทลั และเทคโนโลยสี ำรสนเทศ คอมพิวเตอร์ สื่อดิจทิ ลั มำใช้แกป้ ญั หำกบั ชวี ิตจริง เทคโนโลยีสำรสนเทศ • กำรเพิ่มมลู คำ่ ให้บริกำรหรอื ผลติ ภัณฑ์ ในกำรแกป้ ัญหำหรอื เพ่มิ มูลค่ำ • กำรเกบ็ ข้อมูลและกำรจดั เตรียมขอ้ มลู ใหก้ ับบรกิ ำรหรือผลิตภัณฑ์ท่ีใช้ ให้พร้อมกับกำรประมวลผล ในชีวิตจรงิ อย่ำงสรำ้ งสรรค์ • กำรวเิ ครำะห์ขอ้ มลู ทำงสถติ ิ • กำรประมวลผลข้อมูล และเครอื่ งมือ • กำรทำข้อมลู ใหเ้ ปน็ ภำพ (data visualization) เช่น bar chart, scatter, histogram • กำรเลือกใช้แหลง่ ข้อมลู เช่น data.or.th, wolfram alpha, OECD.org, ตลำด หลักทรัพย,์ world economic forum • คณุ ค่ำของข้อมลู และกรณีศกึ ษำ • กรณีศึกษำและวิธกี ำรแก้ปญั หำ • ตัวอยำ่ งปัญหำ เช่น - รูปแบบของบรรจุภณั ฑ์ทด่ี งึ ดูดควำม สนใจและตรงตำมควำมต้องกำรผู้ใช้ ในแต่ละประเภท - กำรกำหนดตำแหน่งป้ำยรถเมล์ เพ่ือลดเวลำเดินทำงและปัญหำกำรจรำจร - สำรวจควำมต้องกำรรับประทำนอำหำร ในชมุ ชน และเลือกขำยอำหำรที่จะได้ กำไรสูงสุด - ออกแบบรำยกำรอำหำร 7 วัน สำหรับผปู้ ่วยเบำหวำน ม.6 102 ว 4.2 ม.6/1 ใชเ้ ทคโนโลยีสำรสนเทศ • กำรนำเสนอและแบ่งปันข้อมูล เชน่  ในกำรนำเสนอและแบ่งปัน กำรเขียนบลอ็ ก อัปโหลดวิดีโอ ขอ้ มลู อยำ่ งปลอดภัย ภำพอินโฟกรำฟิก มจี รยิ ธรรม และวเิ ครำะห์ • กำรนำเสนอและแบ่งปนั ข้อมูลอยำ่ ง กำรเปลีย่ นแปลงเทคโนโลยี ปลอดภยั เชน่ ระมดั ระวงั ผลกระทบท่ี สำรสนเทศทม่ี ผี ลต่อกำรดำเนิน ตำมมำ เมื่อมีกำรแบ่งปันข้อมูลหรือ ชวี ิต อำชพี สงั คม และ เผยแพรข่ ้อมูล ไม่สรำ้ งควำมเดอื ดร้อนต่อ วัฒนธรรม ตนเองและผู้อน่ื • จริยธรรมในกำรใช้เทคโนโลยสี ำรสนเทศ • เทคโนโลยีเกดิ ใหม่ แนวโน้มในอนำคต กำรเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี สำหรับกำรจัดกำรเรยี นรู้ ปีกำรศกึ ษำ 2564 ภำยใตส้ ถำนกำรณ์แพรร่ ะบำดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำขนั้ พื้นฐำน ร่วมกับ สถำบันส่งเสริมกำรสอนวิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ชนั้ ท่ี รหัสตัวช้ีวัด ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๑๗๑ ม.6 ต้องรู้ ควรรู้ • นวตั กรรมหรือเทคโนโลยีดำ้ นตำ่ ง ๆ 85 18 ทเ่ี ก่ยี วข้องกบั ชีวติ ประจำวัน • อำชีพเกี่ยวกับเทคโนโลยีสำรสนเทศ • ผลกระทบของเทคโนโลยีสำรสนเทศ ต่อกำรดำเนนิ ชีวิต อำชพี สังคม และ วัฒนธรรม รวม 102 ตัวช้ีวดั หมายเหตุ: ตัวชี้วัด ว 3.1 ม.6/4 มีลักษณะเฉพำะคือเป็นทง้ั ตวั ช้วี ัดต้องรู้และควรรู้ รำยละเอียดดังน้ี ต้องรู้ : คำศัพทใ์ หม่ที่ตอ้ งทำควำมเขำ้ ใจร่วมกันประกอบกับเป็นกำรอธิบำยกระบวนกำรเกิดดำวฤกษ์ ดงั นัน้ ครแู ละนักเรยี นควรร่วมกันวิเครำะหแ์ ละอภปิ รำยกำรเปลีย่ นแปลงควำมดนั อุณหภูมิ ขนำด จำกดำวฤกษ์ก่อนเกิดจนเปน็ ดำวฤกษ์ ควรรู้ : เรื่องปฏิกิริยำเทอรม์ อนิวเคลียรเ์ ปน็ ควำมรพู้ น้ื ฐำนของวชิ ำฟิสกิ ส์ ดังน้นั นกั เรียนสำมำรถทบทวนควำมรู้จำกวิชำฟสิ ิกส์ได้ สำหรบั กำรจดั กำรเรยี นรู้ ปีกำรศกึ ษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณแ์ พรร่ ะบำดของโรคติดเชอื้ ไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19) โดย สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำขั้นพน้ื ฐำน ร่วมกับ สถำบันสง่ เสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี

172 สรุปตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลางต้องรู้และควรรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ ช้นั ตวั ช้วี ัดทั้งหมด ตอ้ งรู้ ควรรู้ หมายเหตุ ป.๑ 31 11 20 ป.๒ 34 11 23 ป.๓ 39 11 28 ป.๔ 38 14 24 ป.๕ 36 17 19 ป.๖ 39 24 15 ม.๑ 45 19 26 ม.๒ 45 28 17 ม.๓ 50 28 22 ม.๔ - ๖ 61 31 30 รวม 418 194 224 ข้อมูล สำระท่ี 1 – 4 ณ วนั ท่ี 15 สงิ หำคม 2559 และสำระที่ 5 ณ วันท่ี 19 พฤษภำคม 2564 สำหรับกำรจดั กำรเรียนรู้ ปกี ำรศกึ ษำ 2564 ภำยใตส้ ถำนกำรณแ์ พร่ระบำดของโรคติดเชอ้ื ไวรสั โคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19)

๑๗๓ ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรูแ้ กนกลางท่ตี ้องรู้และควรรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ชัน้ ที่ รหสั ตัวชี้วัด ตัวชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ป.1 1 ส ๑.๑ ป.๑/๑ บอกพทุ ธประวัติ หรือประวัติ  พุทธประวตั โิ ดยย่อ  ของศำสดำท่ีตนนับถือโดยสงั เขป  ประสูติ  ตรัสรู้  ปรินิพพำน 2 ส ๑.๑ ป.๑/๒ ช่ืนชมและบอกแบบอย่ำง  พทุ ธสำวก พุทธสำวิกำ  กำรดำเนนิ ชวี ิตและข้อคิด  สำมเณรบัณฑติ จำกประวตั สิ ำวก ชำดก/เร่ืองเลำ่  ศำสนิกชนตวั อย่ำง และศำสนิกชนตวั อย่ำง  พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยหู่ วั ตำมที่กำหนด ภูมิพลอดุลยเดช 3 ส ๑.๑ ป.๑/๓ บอกควำมหมำย ควำมสำคัญ  พระรัตนตรัย  และเคำรพพระรตั นตรยั  ศรัทธำพระพทุ ธ พระธรรม ปฏิบัติตำมหลกั ธรรมโอวำท ๓ พระสงฆ์ ในพระพุทธศำสนำหรอื หลักธรรม  โอวำท ๓ ของศำสนำที่ตนนับถือ  ไมท่ ำชว่ั ตำมทีก่ ำหนด  ทำควำมดี  ทำจติ ใหบ้ ริสทุ ธิ์ (บรหิ ำรจิตและเจริญปญั ญำ) 4 ส ๑.๑ ป.๑/๔ เห็นคุณค่ำและสวดมนต์  ฝกึ สวดมนต์และแผ่เมตตำ  แผ่เมตตำ มสี ติท่เี ป็นพ้ืนฐำน  ควำมหมำยและประโยชน์ของสติ ของสมำธิในพระพุทธศำสนำ  ฟงั เพลงและร้องเพลงอยำ่ งมีสติ หรือกำรพัฒนำจิต  เล่นและทำงำนอยำ่ งมีสติ ตำมแนวทำงของศำสนำ  ฝึกให้มีสติในกำรฟงั กำรอ่ำน ทต่ี นนับถือตำมท่กี ำหนด กำรคิด กำรถำมและกำรเขียน 5 ส ๑.๒ ป.๑/๑ บำเพญ็ ประโยชน์ต่อวดั  กำรบำเพ็ญประโยชนต์ ่อวัด  หรอื ศำสนสถำนของศำสนำ หรือศำสนสถำน ท่ีตนนับถือ  กำรพัฒนำทำควำมสะอำด  กำรบริจำค  กำรรว่ มกิจกรรมทำงศำสนำ 6 ส ๑.๒ ป.๑/๒ แสดงตนเปน็ พุทธมำมกะ  กำรแสดงตนเป็นพทุ ธมำมกะ  หรือแสดงตนเป็นศำสนิกชน ของศำสนำท่ตี นนับถือ 7 ส ๑.๒ ป.๑/๓ ปฏบิ ัตติ นในศำสนพิธี พิธีกรรม  กำรปฏิบัตติ นในวันสำคัญ  และวนั สำคัญทำงศำสนำ ทำงศำสนำ ตำมทก่ี ำหนดได้ถูกต้อง  เขำ้ ร่วมกิจกรรมในวนั สำคัญ  วันวิสำขบชู ำ  กำรบูชำพระรัตนตรัย สำหรับกำรจัดกำรเรียนรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณ์แพร่ระบำดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19)

๑๗๔ ชน้ั ที่ รหัสตัวชี้วัด ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้  ป.1 8 ส ๒.๑ ป.๑/๑ บอกประโยชน์และปฏิบัตติ น  กำรเปน็ สมำชิกท่ีดีของ  เป็นสมำชิกท่ดี ีของครอบครวั ครอบครวั และโรงเรียน เชน่ และโรงเรียน o กตญั ญูกตเวทแี ละเคำรพ รบั ฟงั คำส่ังสอนของพ่อ แม่ ญำตผิ ใู้ หญ่ ครู และผู้มพี ระคณุ o รจู้ ักกล่ำวคำขอบคุณ ขอโทษ กำรไหวผ้ ู้ใหญ่ o ปฏิบัตติ ำมข้อตกลง กตกิ ำ กฎ ระเบียบ ของครอบครัว และโรงเรยี น o มสี ่วนรว่ มในกิจกรรม ของครอบครัวและโรงเรียน o มีเหตุผลและยอมรบั ฟัง ควำมคิดเห็นของผู้อ่ืน o มรี ะเบยี บวนิ ัย มนี ำ้ ใจ  ประโยชน์ของกำรปฏิบัติตน เป็นสมำชิกท่ีดขี องครอบครวั และโรงเรียน 9 ส ๒.๑ ป.๑/๒ ยกตัวอยำ่ งควำมสำมำรถ  ลกั ษณะควำมสำมำรถ  และควำมดีของตนเอง ผู้อนื่ และบอกผลจำกกำรกระทำน้ัน และลกั ษณะควำมดขี องตนเอง 10 ส ๒.๒ ป.๑/๑ บอกโครงสรำ้ ง บทบำท และผอู้ น่ื เชน่ และหนำ้ ท่ีของสมำชิก ในครอบครวั และโรงเรยี น o ควำมกตัญญูกตเวที o ควำมมีระเบยี บวนิ ยั o ควำมรับผิดชอบ o ควำมขยนั อดทนอดกล้นั o กำรเอ้อื เฟื้อเผ่ือแผ่ และชว่ ยเหลือผู้อ่ืน o ควำมซ่ือสัตย์สุจริต o ควำมเมตตำกรุณำ  ผลของกำรกระทำควำมดี เชน่ ภำคภูมใิ จ มีควำมสุข ได้รับกำรชน่ื ชม ยกย่อง  โครงสร้ำงของครอบครัว และควำมสัมพันธ์ของบทบำท หน้ำท่ีของสมำชิกในครอบครวั  โครงสรำ้ งของโรงเรียน ควำมสมั พนั ธ์ของบทบำท หนำ้ ที่ของสมำชิกในโรงเรียน สำหรับกำรจดั กำรเรยี นรู้ ปีกำรศกึ ษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณ์แพร่ระบำดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19)

๑๗๕ ชัน้ ท่ี รหัสตัวช้ีวดั ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ป.1 11 ส ๒.๒ ป.๑/๒ ระบุบทบำท สิทธิ หนำ้ ท่ี  ควำมหมำยและควำมแตกต่ำง  ของอำนำจตำมบทบำท สิทธิ ของตนเองในครอบครวั หน้ำที่ในครอบครวั และโรงเรยี น และโรงเรยี น  กำรใชอ้ ำนำจในครอบครวั ตำมบทบำท สทิ ธิ หน้ำที่ 12 ส ๒.๒ ป.๑/๓ มสี ่วนรว่ มในกำรตัดสนิ ใจ  กิจกรรมตำมกระบวนกำร  และทำกจิ กรรมในครอบครัว และโรงเรยี นตำมกระบวนกำร ประชำธปิ ไตยในครอบครวั เช่น ประชำธปิ ไตย กำรแบ่งหน้ำท่ีควำมรบั ผดิ ชอบ ในครอบครวั กำรรับฟงั และ แสดงควำมคดิ เห็น  กจิ กรรมตำมกระบวนกำร ประชำธปิ ไตยในโรงเรียน เช่น เลือกหวั หน้ำหอ้ ง ประธำน ชมุ นมุ ประธำนนักเรียน 13 ส ๓.๑ ป.๑/๑ ระบสุ ินค้ำ และบรกิ ำรที่ใช้  สนิ คำ้ และบริกำรท่ีใช้อยู่ในชีวิต  ประโยชนใ์ นชีวิตประจำวนั ประจำวนั เชน่ ดนิ สอ ปำกกำ กระดำษ ยำสีฟัน  สนิ คำ้ และบริกำรทไี่ ด้มำจำก กำรใช้เงินซ้ือ เชน่ ซอ้ื อำหำร จำ่ ยค่ำบริกำรโทรศัพท์  วธิ กี ำรใชป้ ระโยชนจ์ ำกสินค้ำ และบริกำร ให้คุ้มค่ำ 14 ส ๓.๑ ป.๑/๒ ยกตัวอย่ำงกำรใชจ้ ำ่ ยเงิน  กำรใชจ้ ่ำยเงินในชีวิตประจำวัน  ในชีวิตประจำวนั ท่ีไม่เกินตวั เพ่ือซื้อสนิ ค้ำ และบริกำร และเห็นประโยชน์ของกำรออม  ประโยชน์ของกำรใชจ้ ่ำยเงิน ทไี่ ม่เกินตวั 15 ส ๓.๑ ป.๑/๓ ยกตัวอย่ำงกำรใช้ทรัพยำกร  โทษของกำรใชจ้ ำ่ ยเงนิ เกนิ ตวั ในชวี ิตประจำวันอยำ่ งประหยัด  ประโยชน์ของกำรออม  ทรัพยำกรท่ใี ช้ในชีวติ ประจำวนั  เช่น ดินสอ กระดำษ เส้ือผ้ำ อำหำร ไฟฟำ้ น้ำ  ทรัพยำกรที่เปน็ สมบัติสว่ นรวม เชน่ โตะ๊ เก้ำอี้นักเรยี น สำธำรณปู โภคตำ่ ง ๆ  วธิ กี ำรใช้ทรัพยำกร ทัง้ ของส่วนตัวและสว่ นรวม อย่ำงถูกต้องและประหยัด และคุ้มค่ำ สำหรับกำรจัดกำรเรยี นรู้ ปีกำรศกึ ษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณ์แพร่ระบำดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19)

๑๗๖ ชน้ั ท่ี รหัสตัวช้ีวัด ตัวชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ป.1 16 ส ๓.๒ ป.๑/๑ อธิบำยเหตผุ ลควำมจำเปน็  ควำมหมำย ประเภท และ  ทคี่ นต้องทำงำนอย่ำงสุจริต ควำมสำคัญของกำรทำงำน  ผลของกำรทำงำนประเภทตำ่ ง ๆ ท่มี ีต่อครอบครัว และสงั คม  กำรทำงำนอยำ่ งสุจริตทำให้ 17 ส ๔.๑ ป.๑/๑ บอกวนั เดือน ปี และ สงั คมสงบสขุ  ช่ือ วัน เดอื น ปี ตำมระบบ  กำรนับช่วงเวลำตำมปฏทิ ิน สรุ ิยคตทิ ป่ี รำกฏในปฏทิ ิน ทใ่ี ชใ้ นชวี ติ ประจำวัน  ช่วงเวลำทใ่ี ช้ในชวี ิตประจำวนั 18 ส ๔.๑ ป.๑/๒ เรียงลำดบั เหตุกำรณ์ เชน่ วันน้ี ตอนเชำ้ ตอนเยน็  ใช้คำบอกช่วงเวลำแสดงลำดับ  ในชีวิตประจำวนั ตำมวนั เวลำ เหตกุ ำรณ์ท่เี กิดข้ึนไดใ้ นชวี ิต ที่เกิดข้นึ ประจำวัน 19 ส ๔.๑ ป.๑/3 บอกประวัติควำมเปน็ มำ  วธิ ีกำรสบื ค้นประวัติควำมเปน็ มำ  ของตนเองและครอบครวั ของตนเองและครอบครวั โดยสอบถำมผเู้ กีย่ วขอ้ ง อยำ่ งงำ่ ย ๆ  กำรบอกเล่ำประวตั คิ วำมเป็นมำ 20 ส ๔.๒ ป.๑/๑ บอกควำมเปลย่ี นแปลง ของตนเองและครอบครัว  ควำมเปลี่ยนแปลงของสภำพ  ของสภำพแวดลอ้ ม สง่ิ ของ แวดล้อม สง่ิ ของ เคร่ืองใช้ เครื่องใช้ หรอื กำรดำเนนิ ชีวติ หรือกำรดำเนินชวี ิตของอดีต ของตนเองกับสมัยของพ่อแม่ กับปัจจุบันทเี่ ปน็ รูปธรรม ปยู่ ำ่ ตำยำย และใกลต้ ัวเด็ก เช่น เทคโนโลยีทำงกำรเกษตร วิวฒั นำกำร กำรคมนำคม กำรสอ่ื สำร ฯลฯ  สำเหตแุ ละผลของกำร เปลยี่ นแปลงของส่งิ ต่ำง ๆ ตำมกำลเวลำ 21 ส ๔.๒ ป.๑/๒ บอกเหตุกำรณท์ ่ีเกิดข้นึ ในอดีต  เหตุกำรณ์สำคัญท่ีเกิดขึน้  ทมี่ ีผลกระทบต่อตนเองในปัจจุบนั ในครอบครวั เช่น กำรย้ำยบ้ำน กำรยำ้ ยโรงเรียน กำรสญู เสีย บคุ คลในครอบครัว สำหรับกำรจดั กำรเรยี นรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณแ์ พร่ระบำดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19)

๑๗๗ ชน้ั ที่ รหัสตัวช้ีวดั ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ป.1 22 ส ๔.๓ ป.๑/๑ อธิบำยควำมหมำยและควำมสำคญั  ควำมหมำยและควำมสำคญั  ของสัญลกั ษณส์ ำคญั ของชำติไทย ของสญั ลกั ษณ์ ทส่ี ำคญั และปฏบิ ตั ิตนได้ถกู ต้อง ของชำติไทย ได้แก่ ชำติ ศำสนำ พระมหำกษตั ริย์ (ธงชำติ เพลงชำติ พระพุทธรูป พระบรมฉำยำลักษณ์ ภำษำไทย อักษรไทย)  กำรเคำรพธงชำติ กำรร้อง เพลงชำตแิ ละเพลงสรรเสรญิ พระบำรมี กำรเคำรพ พระบรมฉำยำลักษณ์ กำรเคำรพศำสนวัตถุ ศำสนสถำน  เอกลักษณอ์ ื่น ๆ เช่น ศำสนำ กำรแต่งกำย วฒั นธรรม ประเพณีไทย เงินตรำ แผนที่ ประเทศไทย อำหำรไทย (อำหำรไทยที่ต่ำงชำตยิ กย่อง เชน่ ตม้ ยำกุ้ง ผดั ไทย) 23 ส ๔.๓ ป.๑/๒ บอกสถำนท่ีสำคัญซึง่ เปน็  ตวั อย่ำงของแหล่งวฒั นธรรม  แหล่งวฒั นธรรมในชุมชน ในชมุ ชนท่ใี กล้ตัวนักเรยี น เช่น วดั ตลำด พพิ ิธภณั ฑ์ มสั ยดิ โบสถ์คริสต์ โบรำณสถำน โบรำณวัตถุ  คณุ ค่ำและควำมสำคญั ของแหล่งวัฒนธรรมในชุมชน ในด้ำนตำ่ ง ๆ เช่น เปน็ แหล่ง ท่องเทยี่ ว เปน็ แหลง่ เรียนรู้ 24 ส ๔.๓ ป.๑/๓ ระบสุ ่ิงที่ตนรักและภำคภมู ิใจ  ตวั อยำ่ งสิ่งท่เี ปน็ ควำมภำคภูมิใจ  ในท้องถิ่น ในท้องถ่ิน เช่น สิ่งของ สถำนท่ี ภำษำถ่นิ วัฒนธรรมประเพณี ทเี่ ปน็ ส่ิงที่ใกล้ตัวนักเรยี น และเปน็ รูปธรรมชดั เจน 25 ส 5.1 ป.1/1 จำแนกสิ่งแวดล้อมรอบตัว  สิ่งแวดล้อมที่เกิดข้นึ เอง  ท่เี กิดข้ึนเอง ตำมธรรมชำติ ตำมธรรมชำติ และทม่ี นุษย์ และที่มนษุ ย์สร้ำงขึน้ สรำ้ งขึ้นที่บ้ำนและท่โี รงเรยี น สำหรับกำรจดั กำรเรียนรู้ ปีกำรศกึ ษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณ์แพร่ระบำดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19)

๑๗๘ ชั้น ที่ รหสั ตัวช้ีวดั ตวั ช้ีวดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ป.1 26 ส 5.1 ป.1/2 ระบุควำมสัมพันธข์ องตำแหนง่  ควำมสมั พันธ์ของตำแหนง่  ระยะ ทิศของส่ิงต่ำง ๆ ระยะ ทิศของส่ิงต่ำง ๆ รอบตวั เช่น ท่ีอยู่อำศัยบำ้ นของเพื่อน บำ้ น ถนน ต้นไม้ ท่งุ นำ ไร่ สวน ทร่ี ำบ ภูเขำ แหล่งน้ำ  ทศิ หลกั (เหนือ ตะวันออกใต้ ตะวนั ตก) และท่ตี ง้ั ของสงิ่ ตำ่ ง ๆ รอบตัว 27 ส 5.1 ป.1/3 ใชแ้ ผนผงั แสดงตำแหนง่ ของ  แผนผงั แสดงตำแหนง่ ของ  สิ่งตำ่ ง ๆ ในห้องเรยี น สง่ิ ต่ำง ๆ ในห้องเรยี น 28 ส 5.1 ป.1/4 สงั เกตและบอกกำรเปลีย่ นแปลง  กำรเปลย่ี นแปลงของ  ของสภำพอำกำศในรอบวัน สภำพอำกำศในรอบวนั เช่น กลำงวนั กลำงคืน ควำมร้อน ของอำกำศ ฝน-เมฆ-ลม 29 ส 5.2 ป.1/1 บอกส่งิ แวดลอ้ มที่เกดิ  สิ่งแวดล้อมทำงกำยภำพท่มี ผี ล  ตำมธรรมชำตทิ ี่สง่ ผลตอ่ ต่อควำมเป็นอยู่ของมนุษย์ ควำมเป็นอยู่ของมนษุ ย์ เช่น ภมู ิอำกำศมผี ลตอ่ ลกั ษณะ ท่ีอยู่อำศยั และเครื่องแต่งกำย 30 ส 5.2 ป.1/2 สังเกตและเปรียบเทียบ  กำรเปลย่ี นแปลงของ  กำรเปล่ยี นแปลงของส่ิงแวดล้อม สิ่งแวดล้อมทีอ่ ยรู่ อบตัว เพ่อื กำรปฏบิ ัตติ นอยำ่ งเหมำะสม  อิทธพิ ลของสง่ิ แวดล้อม ทส่ี ง่ ผลต่อกำรปฏบิ ตั ติ น อย่ำงเหมำะสม 31 ส 5.2 ป.1/3 มีสว่ นร่วมในกำรดแู ลส่ิงแวดล้อม  กำรปฏบิ ตั ิตนในกำรรักษำ  ท่บี ้ำนและห้องเรียน สิ่งแวดล้อม ในบำ้ นและ หอ้ งเรียน รวม 31 ตัวช้ีวดั 11 20 สำหรับกำรจดั กำรเรยี นรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณแ์ พร่ระบำดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19)

๑๗๙ ชัน้ ที่ รหัสตัวชี้วดั ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ป.๒ 1 ส ๑.๑ ป.๒/๑ บอกควำมสำคัญของพระพุทธศำสนำ  พระพุทธศำสนำเป็นอกลักษณ์  หรอื ศำสนำที่ตนนับถือ ของชำติไทย 2 ส ๑.๑ ป.๒/๒ สรปุ พุทธประวตั ิ ต้ังแตป่ ระสตู ิ  สรปุ พทุ ธประวัติ  จนถึงกำรออกผนวช หรือประวัติ  ประสูติ ตรัสรู้ ปรนิ ิพพำน ศำสดำทต่ี นนับถือตำมท่ีกำหนด 3 ส ๑.๑ ป.๒/๓ ชนื่ ชมและบอกแบบอยำ่ ง  พุทธสำวก พุทธสำวิกำ  กำรดำเนินชีวติ และข้อคิด  สำมเณรรำหุล จำกประวตั สิ ำวก ชำดก เรื่องเล่ำ  ชำดก และศำสนิกชนตวั อย่ำง  วำนรินทชำดก ตำมที่กำหนด  ศำสนิกชนตัวอย่ำง  สมเดจ็ พระญำณสังวร สมเดจ็ พระสังฆรำช (เจริญ สุวฑฒฺ โน) 4 ส ๑.๑ ป.๒/๔ บอกควำมหมำย ควำมสำคัญ  โอวำท ๓  และเคำรพพระรตั นตรัย  ไม่ทำชัว่ ปฏิบตั ิตำมหลักธรรมโอวำท ๓ o เบญจศีล ในพระพุทธศำสนำ หรือหลักธรรม  ทำควำมดี ของศำสนำทต่ี นนับถอื ตำมทก่ี ำหนด o เบญจธรรม o กตญั ญูกตเวทตี ่อครู อำจำรย์ และโรงเรียน  ทำจติ ให้บริสุทธ์ิ (บริหำรจิต และเจริญปัญญำ) 5 ส ๑.๑ ป.๒/๕ ชน่ื ชมกำรทำควำมดีของตนเอง  ตวั อย่ำงกำรกระทำควำมดี  บุคคลในครอบครวั และในโรงเรยี น ของตนเองและบุคคล ตำมหลักศำสนำ ในครอบครัว และในโรงเรยี น (ตำมสำระในข้อ ๔) 6 ส ๑.๑ ป.๒/๖ เห็นคุณค่ำและสวดมนต์ แผเ่ มตตำ  ฝกึ สวดมนตไ์ หว้พระและแผ่  มสี ติทีเ่ ป็นพื้นฐำนของสมำธิ เมตตำ ในพระพุทธศำสนำหรอื กำรพัฒนำจติ  ควำมหมำยและประโยชน์ ตำมแนวทำงของศำสนำทต่ี นนบั ถือ ของสติและสมำธิ ตำมทก่ี ำหนด  ฝึกสมำธเิ บ้ืองตน้  ฝึกสติเบื้องตน้ ด้วยกิจกรรม กำรเคล่อื นไหวอยำ่ งมสี ติ  ฝึกให้มีสมำธใิ นกำรฟัง กำรอ่ำน กำรคดิ กำรถำม และกำรเขียน สำหรับกำรจดั กำรเรยี นรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณ์แพร่ระบำดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19)

๑๘๐ ชั้น ท่ี รหสั ตัวชี้วดั ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ป.2 7 ส ๑.๑ ป.๒/๗ บอกชื่อศำสนำ ศำสดำ  ช่ือศำสนำ ศำสดำ และคมั ภีร์  และควำมสำคัญของคัมภรี ์ ของศำสนำต่ำง ๆ ของศำสนำทตี่ นนบั ถือ  พระพุทธศำสนำ และศำสนำอื่น ๆ o ศำสดำ : พระพุทธเจ้ำ o คมั ภีร์ : พระไตรปฎิ ก  ศำสนำอิสลำม o ศำสดำ : มฮุ ัมมัด o คมั ภีร์ : อัลกรุ อำน  ครสิ ต์ศำสนำ o ศำสดำ : พระเยซู o คัมภรี ์ : ไบเบิล 8 ส ๑.๒ ป.๒/1 ปฏิบตั ติ นอยำ่ งเหมำะสม  กำรฝกึ ปฏบิ ัตมิ รรยำทชำวพุทธ  ต่อสำวกของศำสนำท่ีตนนบั ถือ ตำมทก่ี ำหนดไดถ้ ูกต้อง  กำรพนมมือ 9 ส ๑.๒ ป.๒/๒ ปฏิบตั ติ นในศำสนพิธี พิธีกรรม  กำรไหว้ และวนั สำคัญทำงศำสนำ ตำมที่กำหนดได้ถูกต้อง  กำรกรำบ 10 ส ๒.๑ ป.๒/๑ ปฏิบตั ิตนตำมข้อตกลง กติกำ  กำรนง่ั กฎ ระเบียบและหน้ำที่ ท่ีตอ้ งปฏิบตั ิในชวี ติ ประจำวัน  กำรยนื กำรเดนิ 11 ส ๒.๑ ป.๒/๒ ปฏบิ ตั ติ นตำมมำรยำทไทย  กำรเข้ำร่วมกิจกรรม  และพธิ ีกรรม ทีเ่ ก่ียวเนื่องกบั วนั สำคัญทำงพุทธศำสนำ o กำรทำบุญตักบำตร o ประวตั วิ นั อำสำฬหบชู ำ  ข้อตกลง กติกำ กฎระเบียบ  หนำ้ ที่ทตี่ อ้ งปฏิบัติในครอบครวั โรงเรียน สถำนที่สำธำรณะ เช่น โรงภำพยนตร์ โบรำณสถำน ฯลฯ  กริ ิยำมำรยำทไทยเก่ยี วกบั  กำรแสดงควำมเคำรพ กำรยืน กำรเดนิ กำรน่ัง กำรพูด กำรทักทำย กำรแตง่ กำย สำหรับกำรจดั กำรเรยี นรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณ์แพร่ระบำดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19)

๑๘๑ ชั้น ที่ รหัสตัวช้ีวัด ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ป.2 12 ส ๒.๑ ป.๒/๓ แสดงพฤตกิ รรมในกำรยอมรับ  กำรยอมรบั ควำมแตกตำ่ ง  ควำมคิด ควำมเชื่อ และกำรปฏิบัติ ของคนในสงั คม เร่อื งควำมคดิ ของบุคคลอนื่ ทแ่ี ตกตำ่ งกนั ควำมเชือ่ ควำมสำมำรถ และ โดยปรำศจำกอคติ กำรปฏิบตั ติ นของบุคคลอน่ื ทีแ่ ตกต่ำงกนั เช่น o บุคคลย่อมมคี วำมคิด ทม่ี ีเหตุผล o กำรปฏิบตั ิตนตำมพิธกี รรม ตำมควำมเชอื่ ของบุคคล o บคุ คลยอ่ มมคี วำมสำมำรถ แตกตำ่ งกัน o ไมพ่ ูดหรอื แสดงอำกำรดถู ูก รงั เกียจผอู้ ื่น ในเรื่องของ รูปรำ่ งหนำ้ ตำ สผี ม สผี ิว ท่แี ตกตำ่ งกัน 13 ส ๒.๑ ป.๒/๔ เคำรพในสิทธิ เสรภี ำพของตนเอง  สทิ ธแิ ละเสรภี ำพของตนเอง  และผู้อน่ื และผอู้ ่ืน เช่น o เสรีภำพในกำรแสดง ควำมคิดเหน็ o สิทธแิ ละเสรภี ำพในชวี ิต และรำ่ งกำย o สทิ ธิในทรพั ย์สิน 14 ส ๒.๒ ป.๒/๑ อธบิ ำยควำมสมั พันธ์ของตนเอง  ควำมสัมพนั ธ์ของตนเอง  และสมำชิกในครอบครวั ในฐำนะ และสมำชิกในครอบครวั เปน็ สว่ นหน่งึ ของชมุ ชน กบั ชมุ ชน เชน่ กำรชว่ ยเหลอื กิจกรรมของชมุ ชน 15 ส ๒.๒ ป.๒/๒ ระบุผ้มู ีบทบำท อำนำจ  ผู้มบี ทบำท อำนำจ  ในกำรตดั สนิ ใจในโรงเรียน ในกำรตดั สินใจในโรงเรียน และชมุ ชน และชมุ ชน เช่น ผู้บริหำร สถำนศึกษำ ผู้นำท้องถน่ิ กำนัน ผ้ใู หญ่บ้ำน 16 ส ๓.๑ ป.๒/๑ ระบุทรัพยำกรทนี่ ำมำผลิตสนิ ค้ำ  ทรัพยำกรทน่ี ำมำใชใ้ นกำรผลิต  และบริกำรท่ีใช้ในชวี ติ ประจำวัน สินคำ้ และบรกิ ำรท่ีใชใ้ นครอบครวั และโรงเรียน เช่น ดินสอ และ กระดำษที่ผลติ จำกไมร้ วมท้ัง เคร่ืองจกั รและแรงงำนกำรผลติ สำหรับกำรจัดกำรเรียนรู้ ปีกำรศกึ ษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณ์แพร่ระบำดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19)

๑๘๒ ช้นั ท่ี รหัสตัวชี้วดั ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ป.2 17 ส ๓.๑ ป.๒/๒ บอกทีม่ ำของรำยได้และรำยจำ่ ย  กำรประกอบอำชพี ของครอบครัว  ของตนเองและครอบครัว  รำยได้และรำยจำ่ ยในภำพรวม ของตนเองและครอบครัว  18 ส ๓.๑ ป.๒/๓ บนั ทกึ รำยรับ-รำยจำ่ ย ของตนเอง  วธิ กี ำรทำบัญชีรำยรับ-รำยจำ่ ย ของตนเองอย่ำงง่ำย ๆ 19 ส ๓.๑ ป.๒/๔ สรปุ ผลดีของกำรใชจ้ ำ่ ย  ผลดขี องกำรใชจ้ ่ำยที่เหมำะสม  ท่เี หมำะสมกับรำยได้ กบั รำยได้ และกำรออม  กำรออมและผลดีของกำรออม  20 ส ๓.๒ ป.๒/๑ อธบิ ำยกำรแลกเปลีย่ นสินคำ้  ควำมหมำยและควำมสำคัญ และบริกำรโดยวิธีตำ่ ง ๆ ของกำรแลกเปล่ียนสินค้ำ และบริกำร  ลกั ษณะของกำรแลกเปล่ียน สินค้ำและบริกำร โดยไมใ่ ชเ้ งนิ รวมทงั้ กำรแบง่ ปนั กำรชว่ ยเหลือ  21 ส ๓.๒ ป.๒/๒ บอกควำมสัมพันธ์ระหวำ่ ง  ควำมหมำยและบทบำท ผซู้ ือ้ และผู้ขำย ของผู้ซ้ือและผู้ขำย  ควำมสัมพันธร์ ะหว่ำงผ้ซู ื้อ 22 ส ๔.๑ ป.๒/๑ ใชค้ ำระบุเวลำทแี่ สดงเหตุกำรณ์ และผู้ขำยในกำรกำหนดรำคำ ในอดตี ปจั จบุ นั และอนำคต สินค้ำและบริกำร   คำท่ีแสดงช่วงเวลำในอดีต ปจั จบุ นั และอนำคต เชน่ วนั นี้ เม่ือวำนนี้ พรุ่งน้ี เดือนน้ี เดือนหน้ำ เดือนก่อน  วนั สำคัญทปี่ รำกฏในปฏิทินท่ี แสดงเหตุกำรณ์สำคัญในอดีต และปจั จบุ ัน  23 ส ๔.๑ ป.๒/๒ ลำดับเหตุกำรณท์ ่เี กิดขนึ้  วธิ กี ำรสบื ค้นเหตกุ ำรณ์ ในครอบครวั หรือในชีวติ ที่ผ่ำนมำแลว้ ท่ีเกิดขึ้นกบั ของตนเองโดยใชห้ ลักฐำน ตนเองและครอบครวั ท่ีเก่ียวข้อง โดยใช้หลักฐำนที่เกีย่ วข้อง เชน่ ภำพถำ่ ย สตู บิ ตั ร ทะเบยี นบ้ำน 24 ส ๔.๒ ป.๒/๑ สบื ค้นถึงกำรเปล่ยี นแปลง  ในวถิ ชี วี ิตประจำวันของคน  วิธีกำรสืบค้นข้อมลู อย่ำงงำ่ ย ๆ ในชมุ ชนของตนจำกอดีต เชน่ กำรสอบถำมพ่อแม่ ผูร้ ู้ ถงึ ปัจจุบัน ในชุมชน  วถิ ีชีวติ ของคนในชุมชน เช่น กำรประกอบอำชีพ กำรแต่งกำย กำรสื่อสำร ประเพณีในชุมชน จำกอดีตถึงปัจจบุ ัน  สำเหตุของกำรเปลี่ยนแปลงวิถี ชีวิตของคนในชมุ ชน สำหรับกำรจดั กำรเรียนรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณ์แพร่ระบำดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19)

๑๘๓ ชน้ั ที่ รหสั ตัวชี้วัด ตวั ช้ีวดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ป.2 25 ส ๔.๒ ป.๒/๒ อธบิ ำยผลกระทบของกำร  กำรเปลีย่ นแปลงของวถิ ชี วี ติ  เปลี่ยนแปลงที่มตี ่อวิถีชวี ติ ของคนในชุมชนทำงด้ำนต่ำง ๆ ของคนในชมุ ชน  ผลกระทบของกำรเปลี่ยนแปลง ที่มตี ่อวถิ ชี ีวติ ของคนในชุมชน 26 ส ๔.๓ ป.๒/๑ ระบุบุคคลที่ทำประโยชนต์ ่อท้องถ่นิ  บคุ คลในท้องถ่นิ ที่ทำคุณประโยชน์  หรอื ประเทศชำติ ต่อกำรสร้ำงสรรค์วฒั นธรรม และควำมม่นั คงของท้องถนิ่ และประเทศชำติในอดีต ทค่ี วรนำเป็นแบบอย่ำง  ผลงำนของบุคคลในท้องถิ่น ทน่ี ่ำภำคภูมิใจ 27 ส ๔.๓ ป.๒/๒ ยกตวั อย่ำงวัฒนธรรม ประเพณี  ตัวอย่ำงของวัฒนธรรม  และภูมปิ ญั ญำไทยทีภ่ ำคภูมใิ จ ประเพณไี ทย เช่น และควรอนุรักษ์ไว้ กำรทำควำมเคำรพ อำหำรไทย ภำษำไทย ประเพณีสงกรำนต์ ฯลฯ  คณุ คำ่ ของวัฒนธรรม และ ประเพณีไทย ท่ีมีต่อสังคมไทย  ภูมปิ ัญญำของคนไทยในท้องถ่ิน ของนักเรียน 28 ส 5.1 ป.2/1 ระบุส่ิงแวดลอ้ มทำงธรรมชำติ  สิ่งแวดล้อมทำงธรรมชำติ  และที่มนษุ ย์สร้ำงขึ้น ซง่ึ ปรำกฏ กบั ที่มนุษย์ สรำ้ งขึ้น ซ่งึ ปรำกฏ ระหว่ำงบ้ำนกับโรงเรยี น ระหว่ำงบ้ำนกับโรงเรยี น 29 ส 5.1 ป.2/2 ระบตุ ำแหนง่ และลกั ษณะ  ตำแหน่งและลักษณะ  ทำงกำยภำพ ของสง่ิ ต่ำง ๆ ทำงกำยภำพของสิ่งตำ่ ง ๆ ทป่ี รำกฏในแผนผงั แผนที่ ที่ปรำกฏในแผนท่ี แผนผงั รูปถ่ำย และลูกโลก รูปถำ่ ย และลูกโลก เชน่ ภูเขำ ที่รำบ แม่นำ้ ตน้ ไม้ ทะเล 30 ส 5.1 ป.2/3 สงั เกตและแสดงควำมสัมพนั ธ์  ควำมสมั พนั ธ์ระหว่ำงโลก  ระหวำ่ งโลก ดวงอำทติ ย์และ ดวงอำทิตย์และดวงจันทร์ ดวงจันทร์ที่ทำให้เกิด ที่ทำใหเ้ กิดปรำกฏกำรณ์ เช่น ปรำกฏกำรณ์ ข้ำงขน้ึ ข้ำงแรม ฤดูกำลต่ำง ๆ 31 ส 5.2 ป.2/1 อธิบำยควำมสำคัญของ  ควำมสำคญั ของสิง่ แวดลอ้ ม  สงิ่ แวดลอ้ มทำงธรรมชำติ ทำงธรรมชำติและส่งิ แวดล้อม และท่ีมนุษย์สรำ้ งขึน้ ทม่ี นษุ ย์สร้ำงขึน้ ในกำรดำเนนิ ชีวติ สำหรับกำรจดั กำรเรยี นรู้ ปีกำรศกึ ษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณ์แพร่ระบำดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19)

๑๘๔ ชั้น ท่ี รหัสตัวชี้วัด ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ป.2 32 ส 5.2 ป.2/2 จำแนกและใช้ทรัพยำกรธรรมชำติ  ประเภทของทรพั ยำกรธรรมชำติ  ท่ใี ช้แลว้ ไมห่ มดไป ทใ่ี ช้แลว้ หมดไป - ใช้แลว้ ไม่หมดไป เช่น อำกำศ และสรำ้ งทดแทนขึ้นใหม่ได้ แสงอำทติ ย์ อยำ่ งคุ้มคำ่ - ใช้แลว้ หมดไป เช่น แร่ ถ่ำนหนิ น้ำมัน กำ๊ ซธรรมชำติ - สรำ้ งทดแทนขึน้ ใหมไ่ ด้ เชน่ นำ้ ดิน ป่ำไม้ สัตวป์ ่ำ  กำรใชท้ รัพยำกรธรรมชำติ อยำ่ งคุ้มค่ำ 33 ส 5.2 ป.2/3 อธบิ ำยควำมสมั พันธร์ ะหว่ำง  ควำมสัมพนั ธร์ ะหว่ำงฤดูกำล  ฤดูกำล กับกำรดำเนนิ ชีวติ ของ กบั กำรดำเนินชวี ติ ของมนุษย์ มนษุ ย์ 34 ส 5.2 ป.2/4 มสี ่วนร่วมในกำรจัดกำร  ผลกระทบของกำรเปลีย่ นแปลง  สง่ิ แวดล้อม ในโรงเรียน สิง่ แวดล้อมทม่ี ีต่อโรงเรียน  กำรรักษำและฟ้ืนฟสู ง่ิ แวดล้อม ในโรงเรียน รวม 34 ตัวช้ีวดั 11 23 สำหรับกำรจัดกำรเรยี นรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณ์แพร่ระบำดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19)

๑๘๕ ชัน้ ที่ รหสั ตัวช้ีวัด ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ป.๓ 1 ส ๑.๑ ป.๓/๑ อธบิ ำยควำมสำคัญ  พระพุทธศำสนำมอี ิทธพิ ล  ของพระพทุ ธศำสนำ ต่อกำรสร้ำงสรรคผ์ ลงำน หรือศำสนำทต่ี นนับถือ ทำงวฒั นธรรมไทยอนั เกดิ จำก ในฐำนะท่เี ปน็ รำกฐำนสำคัญ ควำมศรทั ธำ เช่น วัด ภำพวำด ของวัฒนธรรมไทย พระพทุ ธรปู วรรณคดี 2 ส ๑.๑ ป.๓/๒ สรุปพุทธประวตั ิตั้งแต่ สถำปตั ยกรรมไทย  สรุปพุทธประวตั โิ ดยยอ่  กำรบำเพ็ญเพียร จนถึง (ทบทวน) ปรินิพพำน หรือประวัติ ของศำสดำท่ีตนนบั ถือ ตำมทกี่ ำหนด 3 ส ๑.๑ ป.๓/๓ ช่นื ชมและบอกแบบอย่ำง  ศำสนกิ ชนตัวอยำ่ ง  กำรดำเนินชวี ิตและข้อคิด  สมเด็จพระพุฒำจำรย์ จำกประวัติสำวก ชำดก เรื่องเล่ำ (โต พรฺ หฺมรส)ี และศำสนกิ ชนตวั อย่ำง ตำมท่ีกำหนด 4 ส ๑.๑ ป.๓/๔ บอกควำมหมำย ควำมสำคัญ  ควำมสำคัญของพระไตรปฎิ ก  ของพระไตรปิฎก หรือคมั ภรี ์ เชน่ เป็นแหล่งอ้ำงองิ ของศำสนำท่ีตนนับถือ ของหลักธรรมคำสอน 5 ส ๑.๑ ป.๓/๕ แสดงควำมเคำรพพระรัตนตรยั  หลักธรรมสำคัญ  และปฏบิ ตั ติ ำมหลักธรรมโอวำท ๓ o สติ-สัมปชญั ญะ ในพระพุทธศำสนำหรือหลักธรรม o สังคหวัตถุ ๔ ของศำสนำที่ตนนับถอื ตำมที่กำหนด  พทุ ธศำสนสภุ ำษติ  อตฺตำ หิ อตฺตโน นำโถ ตนแลเป็นท่พี ึง่ ของตน 6 ส ๑.๑ ป.๓/๖ เหน็ คุณค่ำและสวดมนต์ แผเ่ มตตำ  ฝึกสวดมนต์ ไหว้พระ  สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย มีสติทเี่ ป็นพ้ืนฐำนของสมำธิ ในพระพุทธศำสนำ หรือกำรพัฒนำจติ และแผเ่ มตตำ ตำมแนวทำงของศำสนำทตี่ นนบั ถอื  ควำมหมำยและประโยชน์ ของสติและสมำธิ ตำมทกี่ ำหนด  ประโยชน์ของกำรฝกึ สติ  ฝกึ สมำธเิ บื้องต้นด้วยกำรนับ ลมหำยใจ  ฝึกกำรยนื กำรเดิน กำรนัง่ และกำรนอนอยำ่ งมีสติ  ฝึกใหม้ ีสมำธใิ นกำรฟงั กำรอ่ำน กำรคดิ กำรถำม และกำรเขยี น สำหรับกำรจัดกำรเรียนรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณแ์ พร่ระบำดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19)

๑๘๖ ชั้น ท่ี รหัสตัวชี้วัด ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ป.3 7 ส ๑.๑ ป.๓/๗ บอกชื่อ ควำมสำคญั และปฏบิ ัตติ น  ชือ่ และควำมสำคญั ของศำสนวตั ถุ  ได้อย่ำงเหมำะสมตอ่ ศำสนวตั ถุ ศำสนสถำน และศำสนบคุ คล ในพระพทุ ธศำสนำ ศำสนำ ศำสนสถำน และศำสนบุคคล อสิ ลำม คริสตศ์ ำสนำ ของศำสนำอนื่ ๆ  กำรปฏบิ ัติตนท่ีเหมำะสม ตอ่ ศำสนวัตถุ ศำสนสถำน และศำสนบุคคลในศำสนำอ่นื ๆ  8 ส ๑.๒ ป.๓/๑ ปฏิบตั ติ นอยำ่ งเหมำะสมต่อสำวก  ฝึกปฏบิ ตั ิมรรยำทชำวพุทธ ศำสนสถำน ศำสนวัตถุของศำสนำ o กำรลุกขน้ึ ยนื รับ ท่ตี นนับถอื ตำมที่กำหนดได้ถูกต้อง o กำรต้อนรบั o กำรรับ ส่งส่ิงของแก่พระภิกษุ o มรรยำทในกำรสนทนำ o กำรสำรวมกริ ิยำมำรยำท o กำรแตง่ กำยที่เหมำะสม เมอื่ อยู่ในวดั และพุทธสถำน o กำรดูแลรักษำศำสนวตั ถุ และศำสนสถำน 9 ส ๑.๒ ป.๓/๒ เห็นคุณค่ำและปฏิบตั ิตน  ปฏิบตั ิตนในศำสนพิธี  ในศำสนพิธี พธิ กี รรม และวนั สำคญั o กำรอำรำธนำศลี  กำรปฏบิ ตั ิตนในวนั อำสำฬหบชู ำ ทำงศำสนำตำมท่ีกำหนด ไดถ้ ูกต้อง 10 ส ๑.๒ ป.๓/๓ แสดงตนเป็นพุทธมำมกะ  ควำมเป็นมำของกำรแสดงตน  เป็นพทุ ธมำมกะ หรอื แสดงตนเปน็ ศำสนิกชน ของศำสนำทตี่ นนบั ถอื 11 ส ๒.๑ ป.๓/๑ สรุปประโยชน์และปฏบิ ัติตน  ประเพณีและวัฒนธรรม  ในครอบครัว กำรกระทำ ตำมประเพณีและวฒั นธรรม กิจกรรมร่วมกนั ในครอบครัว ตำมศำสนำท่ีตนนบั ถือ ในครอบครัวและท้องถน่ิ  ประเพณีและวฒั นธรรม ในทอ้ งถิ่น 12 ส ๒.๑ ป.๓/๒ บอกพฤติกรรมกำรดำเนินชีวติ  พฤติกรรมของตนเองและเพ่ือน ๆ  ของตนเองและผ้อู น่ื ที่อยูใ่ นกระแส ในชวี ิตประจำวนั เช่น กำรทักทำย กำรทำควำมเคำรพ กำรปฏิบัติ วฒั นธรรมท่ีหลำกหลำย ตำมศำสนพิธี กำรรบั ประทำน อำหำร กำรใชภ้ ำษำ (ภำษำถ่นิ กับภำษำรำชกำรและภำษำอ่นื ๆ ฯลฯ)  สำเหตทุ ่ที ำให้พฤติกรรม กำรดำเนนิ ชวี ติ ในปจั จบุ นั ของนกั เรยี นและผู้อน่ื แตกตำ่ งกัน สำหรับกำรจดั กำรเรียนรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณ์แพร่ระบำดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19)

๑๘๗ ชน้ั ที่ รหสั ตัวช้ีวดั ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ป.3 13 ส ๒.๑ ป.๓/๓ อธบิ ำยควำมสำคัญ  วันหยุดรำชกำรทีส่ ำคญั เช่น  o วันหยุดเกย่ี วกับชำติ ของวนั หยุดรำชกำรทีส่ ำคัญ และพระมหำกษตั ริย์ เช่น วันจกั รี วนั รัฐธรรมนูญ วันฉตั รมงคล วนั เฉลิม พระชนมพรรษำ o วันหยดุ รำชกำรเกย่ี วกับ ศำสนำ เช่น วันมำฆบูชำ วันวสิ ำขบชู ำ วันอำสำฬหบชู ำ วนั เข้ำพรรษำ o วนั หยุดรำชกำรเกยี่ วกบั ประเพณีและวัฒนธรรมไทย เชน่ วันสงกรำนต์ วนั พืชมงคล  14 ส ๒.๑ ป.๓/๔ ยกตวั อย่ำงบุคคลซึ่งมีผลงำน  บคุ คลท่ีมีผลงำนเป็นประโยชน์ ทเี่ ปน็ ประโยชนแ์ ก่ชุมชน แก่ชุมชนและท้องถ่นิ ของตน และท้องถิ่นของตน  ลกั ษณะผลงำนท่เี ป็นประโยชน์ แกช่ ุมชนและท้องถิ่น 15 ส ๒.๒ ป.๓/๑ ระบบุ ทบำทหน้ำท่ขี องสมำชิก  บทบำทหนำ้ ทีข่ องสมำชิก  ของชุมชนในกำรมสี ว่ นรว่ ม ในชมุ ชน ในกจิ กรรมต่ำง ๆ ตำมกระบวนกำร  กำรมีสว่ นรว่ มในกจิ กรรมตำ่ ง ๆ ประชำธปิ ไตย ตำมกระบวนกำรประชำธิปไตย 16 ส ๒.๒ ป.๓/๒ วเิ ครำะหค์ วำมแตกตำ่ ง  กำรออกเสยี งโดยตรง  ของกระบวนกำรกำรตัดสนิ ใจ และกำรเลอื กตัวแทนออกเสยี ง ในชัน้ เรยี น โรงเรยี นและชุมชน  วิธกี ำรเลอื กตัวแทนอยำ่ งถกู ตอ้ ง โดยวิธกี ำรออกเสียงโดยตรงและ และเหมำะสม กำรเลอื กตัวแทนออกเสียง 17 ส ๒.๒ ป.๓/๓ ยกตวั อย่ำงกำรเปลี่ยนแปลง  กำรตัดสนิ ใจของบุคคล และ  ในช้นั เรียน โรงเรียนและชุมชน กลมุ่ ที่มผี ลต่อกำรเปล่ียนแปลง ทีเ่ ป็นผลจำกกำรตดั สินใจ ในชัน้ เรียน โรงเรียน และชุมชน ของบุคคลและกลุ่ม o กำรเปล่ยี นแปลงในชน้ั เรยี น เช่น กำรเลือกหวั หน้ำห้อง คณะกรรมกำรห้องเรยี น o กำรเปลี่ยนแปลงในโรงเรียน เช่น เลือกประธำนนักเรยี น คณะกรรมกำรนักเรียน o กำรเปลีย่ นแปลงในชุมชน เช่น กำรเลือกผใู้ หญบ่ ้ำน กำนัน สมำชิก อบต. อบจ. สำหรับกำรจดั กำรเรยี นรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณแ์ พร่ระบำดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19)

๑๘๘ ชน้ั ที่ รหสั ตัวช้ีวดั ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ป.3 18 ส ๓.๑ ป.๓/๑ จำแนกควำมต้องกำรและ  ควำมจำเป็นในกำรใช้สินค้ำและ  สินคำ้ ที่จำเป็นในกำรดำรงชวี ิต 19 ส ๓.๑ ป.๓/๒ บริกำรในกำรดำรงชีวติ  ที่เรียกวำ่ ปจั จยั ๔  20 ส ๓.๑ ป.๓/๓ วเิ ครำะหก์ ำรใช้จำ่ ยของตนเอง  21 ส ๓.๒ ป.๓/๑  สนิ คำ้ ที่เป็นควำมต้องกำร  22 ส ๓.๒ ป.๓/๒ อธบิ ำยไดว้ ำ่ ทรัพยำกร 23 ส ๓.๒ ป.๓/๓ ท่มี ีอยจู่ ำกดั มผี ลต่อกำรผลิต ของมนษุ ย์ อำจเป็นสนิ ค้ำ และบรโิ ภคสนิ คำ้ และบริกำร ท่จี ำเปน็ หรอื ไมจ่ ำเป็น บอกสนิ คำ้ และบริกำรท่รี ัฐจดั หำ และใหบ้ ริกำรแก่ประชำชน ตอ่ กำรดำรงชีวติ บอกควำมสำคัญของภำษี  หลักกำรเลือกสนิ คำ้ ทจี่ ำเปน็ และบทบำทของประชำชน ในกำรเสยี ภำษี  ใชบ้ ัญชีรับจำ่ ยวเิ ครำะห์  อธิบำยเหตุผลกำรแข่งขนั กำรใชจ้ ่ำยทจี่ ำเป็น ทำงกำรค้ำ ท่มี ผี ลทำใหร้ ำคำ สินคำ้ ลดลง และเหมำะสม  วำงแผนกำรใช้จำ่ ยเงิน ของตนเอง  วำงแผนกำรนำเงนิ ทเ่ี หลือจ่ำย มำใชอ้ ยำ่ งเหมำะสม  ควำมหมำยของกำรผลติ และกำรบรโิ ภค  ปญั หำพน้ื ฐำนทำงเศรษฐกิจ ทีเ่ กดิ จำกควำมหำยำก ของทรัพยำกรกับควำมตอ้ งกำร ของมนุษยท์ ี่มไี ม่จำกัด  สนิ ค้ำและบริกำรที่ภำครัฐ ทุกระดับจดั หำและให้บริกำร แกป่ ระชำชน เช่น ถนน โรงเรียน สวนสำธำรณะ กำรสำธำรณสุข กำรบรรเทำสำธำรณภยั  ควำมหมำยและควำมสำคัญ ของภำษีทีร่ ัฐนำมำสรำ้ ง ควำมเจริญและให้บรกิ ำร แกป่ ระชำชน  บทบำทหน้ำท่ีของประชำชน ในกำรเสยี ภำษี  ควำมสำคญั และผลกระทบ ของกำรแข่งขันทำงกำรค้ำ ทม่ี ผี ล ทำให้รำคำสินค้ำลดลง เช่น กจิ กรรมตลำดนดั นกั เรียน สำหรับกำรจัดกำรเรยี นรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณแ์ พร่ระบำดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19)

๑๘๙ ชน้ั ที่ รหัสตัวช้ีวดั ตวั ช้ีวดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ป.3 24 ส ๔.๑ ป.๓/๑ เทยี บศกั รำชท่ีสำคญั ตำมปฏทิ ิน  วธิ กี ำรเทยี บ พ.ศ. เป็น ค.ศ.  ทใ่ี ชใ้ นชีวติ ประจำวนั หรือ ค.ศ. เป็น พ.ศ.  ตวั อย่ำงกำรเทียบศักรำช ในเหตุกำรณ์ทเ่ี กีย่ วข้องกบั นักเรียน เช่น ปเี กิดของนักเรียน 25 ส ๔.๑ ป.๓/๒ แสดงลำดับเหตกุ ำรณ์สำคัญ  วิธกี ำรสืบคน้ เหตุกำรณ์สำคญั  ของโรงเรยี นและชมุ ชน ของโรงเรียน และชุมชน โดยระบหุ ลักฐำนและ โดยใช้หลกั ฐำนและแหลง่ แหลง่ ขอ้ มูลทเ่ี กี่ยวข้อง ขอ้ มูลท่ีเกยี่ วข้อง  ใช้เสน้ เวลำ (Time Line) ลำดับ เหตกุ ำรณ์ ท่เี กิดข้นึ ในโรงเรยี น และชมุ ชน 26 ส ๔.๒ ป.๓/๑ ระบุปัจจัยท่ีมอี ิทธิพล  ปัจจยั กำรตงั้ ถน่ิ ฐำนของชุมชน  ต่อกำรต้งั ถ่ินฐำน ซ่ึงข้นึ อย่กู ับปจั จยั ทำงภูมิศำสตร์ และพัฒนำกำรของชมุ ชน และปจั จยั ทำงสังคม เช่น ควำมเจรญิ ทำงเทคโนโลยี กำรคมนำคม ควำมปลอดภยั  ปจั จัยทมี่ ีอิทธิพลต่อพัฒนำกำร ของชุมชน ท้งั ปจั จยั ทำงภูมิศำสตร์ และปัจจยั ทำงสงั คม 27 ส ๔.๒ ป.๓/๒ สรปุ ลักษณะทสี่ ำคัญ  ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี  ของขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรม ชมุ ชนของตน และวัฒนธรรมของชุมชน ท่ีเกดิ จำกปัจจัยทำงภูมิศำสตร์ และปัจจัยทำงสังคม 28 ส ๔.๒ ป.๓/๓ เปรียบเทียบควำมเหมือน  ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี  และควำมต่ำงทำงวัฒนธรรม และวัฒนธรรมของชุมชน ของชุมชนตนเองกับชุมชน อน่ื ๆ ใกล้เคียงทมี่ คี วำมเหมอื น และควำมตำ่ งกับชุมชน ของตนเอง 29 ส ๔.๓ ป.๓/๑ ระบพุ ระนำมและพระรำชกรณยี กจิ  พระรำชประวัติพระรำชกรณยี กจิ  โดยสงั เขปของพระมหำกษัตริยไ์ ทย โดยสังเขปของพระบำทสมเด็จ ที่เป็นผู้สถำปนำอำณำจักรไทย พระพทุ ธยอดฟำ้ จุฬำโลก มหำรำช ผู้สถำปนำอำณำจักร รตั นโกสินทร์ 30 ส ๔.๓ ป.๓/๒ อธบิ ำยพระรำชประวตั ิ  พระรำชประวัติ และพระรำช  และพระรำชกรณยี กิจ กรณยี กิจของพระบำทสมเด็จ ของพระมหำกษัตริย์ พระเจ้ำอยู่หัวภูมิพลอดลุ ยเดช ในรัชกำลปัจจุบนั โดยสงั เขป และสมเดจ็ พระนำงเจ้ำสริ กิ ติ ์ิ พระบรมรำชินนี ำถ โดยสงั เขป สำหรับกำรจัดกำรเรียนรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณ์แพร่ระบำดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19)

๑๙๐ ช้นั ที่ รหัสตัวชี้วดั ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ป.3 31 ส ๔.๓ ป.๓/๓ เลำ่ วรี กรรมของบรรพบุรษุ ไทย  วีรกรรมของบรรพบุรษุ ไทย  ทม่ี สี ่วนปกป้องประเทศชำติ ทม่ี ีสว่ นปกป้องประเทศชำติ เชน่ ชำวบำ้ นบำงระจัน สมเดจ็ พระนเรศวรมหำรำช 32 ส 5.1 ป.3/1 สำรวจข้อมูลทำงภูมิศำสตร์  ข้อมลู ทำงภมู ิศำสตร์ในชุมชน  ในโรงเรยี นและชมุ ชน โดยใช้  แผนที่ แผนผัง และรปู ถำ่ ย แผนผัง แผนท่ี และรูปถำ่ ย  ควำมสัมพันธ์ของตำแหนง่ เพ่อื แสดงควำมสัมพนั ธข์ อง ระยะ ทิศทำง ตำแหนง่ ระยะ ทิศทำง 33 ส 5.1 ป.3/2 วำดแผนผงั เพื่อแสดงตำแหน่ง  ตำแหนง่ ทต่ี ้งั ของสถำนท่ีสำคญั  ทีต่ ง้ั ของสถำนทส่ี ำคัญในบรเิ วณ ในบรเิ วณโรงเรยี นและชุมชน โรงเรียนและชมุ ชน เช่น สถำนทร่ี ำชกำร ตลำด โรงพยำบำล ไปรษณยี ์ 34 ส 5.2 ป.3/1 เปรยี บเทียบกำรเปล่ียนแปลง  สง่ิ แวดล้อมของชุมชนในอดีต  สง่ิ แวดล้อมของชุมชนในอดตี กบั กับปจั จุบัน ปจั จุบนั - ส่งิ แวดลอ้ มทำงธรรมชำติ - สิง่ แวดล้อมท่ีมนุษยส์ ร้ำงข้ึน 35 ส 5.2 ป.3/2 อธิบำยกำรใช้ประโยชน์  กำรใช้ประโยชน์จำก  จำกส่ิงแวดลอ้ ม และ สงิ่ แวดลอ้ มในกำรดำเนนิ ชวี ติ ทรัพยำกรธรรมชำติในกำรสนอง ของมนษุ ย์ เชน่ กำรคมนำคม ควำมตอ้ งกำรพืน้ ฐำนของมนุษย์ บำ้ นเรอื น และกำรประกอบ และ กำรประกอบอำชีพ อำชพี ในชมุ ชน  กำรประกอบอำชพี ที่เป็น ผลมำจำกสิง่ แวดล้อม ทำงธรรมชำติในชุมชน 36 ส 5.2 ป.3/3 อธบิ ำยสำเหตทุ ่ีทำให้เกิดมลพิษ  ควำมหมำยและประเภทของ  โดยมนษุ ย์ มลพษิ โดยมนุษย์  สำเหตขุ องกำรเกดิ มลพิษ ที่เกดิ จำกกำรกระทำของมนษุ ย์ 37 ส 5.2 ป.3/4 อธิบำยควำมแตกตำ่ งของลักษณะ  ลักษณะของเมืองและชนบท  เมืองและชนบท เชน่ สิ่งปลกู สร้ำง กำรใช้ที่ดิน กำรประกอบอำชีพ 38 ส 5.2 ป.3/5 อธิบำยควำมสมั พันธ์ระหวำ่ ง  ภมู ปิ ระเทศ และภมู ิอำกำศ  ลกั ษณะทำงกำยภำพกบั ทม่ี ผี ลตอ่ กำรดำเนนิ ชีวิตของคน กำรดำเนนิ ชีวิตของคนในชุมชน ในชุมชน 39 ส 5.2 ป.3/6 มสี ่วนร่วมในกำรจัดกำร  ผลกระทบของกำรเปลย่ี นแปลง  สงิ่ แวดล้อมในชมุ ชน สง่ิ แวดลอ้ มท่มี ีตอ่ ชุมชน  กำรจดั กำรส่ิงแวดล้อมในชุมชน รวม ๓9 ตัวช้ีวดั 11 28 สำหรับกำรจดั กำรเรยี นรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณแ์ พร่ระบำดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19)

๑๙๑ ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางที่ต้องรู้และควรรู้ กลุ่มสาระการเรียนรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ชน้ั ที่ รหสั ตัวช้ีวัด ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ป.4 1 ส ๑.๑ ป.๔/๑ อธิบำยควำมสำคัญ  ควำมสำคญั ของพระพทุ ธศำสนำ  ของพระพทุ ธศำสนำ  พระพุทธศำสนำ ในฐำนะ หรอื ศำสนำทต่ี นนับถือ ทเ่ี ป็นเครื่องยึดเหน่ยี วจิตใจ ในฐำนะเป็นศนู ยร์ วมจิตใจ  เป็นศูนยร์ วมกำรทำควำมดี ของศำสนกิ ชน และพัฒนำจิตใจ เชน่ ฝึกสมำธิ สวดมนต์ ศึกษำหลักธรรม  เป็นทีป่ ระกอบศำสนพธิ ี (กำรทอดกฐิน กำรทอดผ้ำป่ำ กำรเวียนเทียน กำรทำบุญ)  เปน็ แหล่งทำกิจกรรม ทำงสังคม เช่น กำรจัด ประเพณีท้องถ่นิ กำรเผยแพร่ ข้อมูลข่ำวสำรชุมชน และกำร สง่ เสริมพฒั นำชุมชน 2 ส ๑.๑ ป.๔/๒ สรุปพทุ ธประวัติตั้งแต่บรรลุธรรม  สรปุ พุทธประวตั ิ (ทบทวน)  จนถึงประกำศธรรม หรือประวัติ  ตรสั รู้ ศำสดำท่ีตนนับถือตำมท่ีกำหนด  ประกำศธรรม ได้แก่ o แสดงโอวำทปำฏโิ มกข์ 3 ส ๑.๑ ป.๔/๓ เหน็ คณุ คำ่ และปฏบิ ตั ติ น  พุทธสำวก พทุ ธสำวิกำ  ตำมแบบอย่ำงกำรดำเนินชีวติ  พระอรุ ุเวลกสั สปะ และข้อคดิ จำกประวตั ิสำวก ชำดก  ชำดก เรอ่ื งเลำ่ และศำสนิกชนตัวอย่ำง  กฏุ ทิ สู กชำดก ตำมทก่ี ำหนด  ศำสนิกชนตวั อย่ำง  สมเด็จพระศรีนครินทรำ บรมรำชชนนี สำหรับกำรจดั กำรเรยี นรู้ ปีกำรศึกษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณ์แพร่ระบำดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19)

๑๙๒ ชั้น ท่ี รหสั ตัวช้ีวดั ตัวชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ตอ้ งรู้ ควรรู้ ป.4 4 ส ๑.๑ ป.๔/๔ แสดงควำมเคำรพพระรตั นตรัย  พระรัตนตรัย  ปฏบิ ตั ติ ำมไตรสิกขำและหลักธรรม o ศรัทธำ ๔ โอวำท ๓ ในพระพทุ ธศำสนำหรอื  พระพทุ ธ หลักธรรมของศำสนำทต่ี นนบั ถือ o พทุ ธคณุ ๓ ตำมทก่ี ำหนด  พระธรรม o หลกั กรรม  พระสงฆ์  ไตรสกิ ขำ  ศีล  โอวำท ๓  ไม่ทำช่ัว o ทจุ ริต ๓  ทำควำมดี o สจุ ริต ๓ o พรหมวิหำร ๔ o กตัญญูกตเวทีต่อ ประเทศชำติ o มงคล ๓๘ - เคำรพ - ถ่อมตน - ทำควำมดีให้พรอ้ มไว้ก่อน  ทำจิตใหบ้ ริสุทธิ์ (บริหำรจิต และเจริญปัญญำ)  พทุ ธศำสนสุภำษติ  สุขำ สงฺฆสฺส สำมคฺคี : ควำมพรอ้ มเพรยี งของหมู่ ใหเ้ กิดสขุ  โลโกปตฺถมภฺ ิกำ เมตฺตำ : เมตตำธรรม ค้ำจุนโลก 5 ส ๑.๑ ป.๔/๕ ชนื่ ชมกำรทำควำมดีของตนเอง  ตัวอย่ำงกำรกระทำควำมดี  บคุ คลในครอบครวั โรงเรียน ของตนเองและบคุ คล และชมุ ชนตำมหลกั ศำสนำ ในครอบครัว ในโรงเรียน พร้อมทั้งบอกแนวปฏบิ ตั ิ และในชุมชน ในกำรดำเนินชวี ิต สำหรับกำรจดั กำรเรียนรู้ ปีกำรศกึ ษำ 2564 ภำยใต้สถำนกำรณแ์ พร่ระบำดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (Covid-19)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook