Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรสังคมศึกษาฯ_2565

หลักสูตรสังคมศึกษาฯ_2565

Published by นายบุญส่ง ขนานแข็ง, 2022-04-10 14:36:34

Description: หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
เอกสารประกอบหลักสูตรสถานศึกษา ที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ด พุทธศักราช ๒๕๖๕
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)

Search

Read the Text Version

197 ความถนัด และคณุ ธรรม เป็นตน้ ๔. มตั ตัญญตุ า คือ ความรูจ้ กั ประมาณ คือ ความพอดี ๕. กาลัญญุตา คอื ความรจู้ ักกาล คือ รจู้ กั กาลเวลาอนั เหมาะสม ๖. ปรสิ ญั ญตุ า คอื ความรจู้ ักบรษิ ทั คอื รจู้ ักชุมชนและร้จู กั ที่ ประชมุ ๗. ปคุ คลญั ญุตา หรือ ปุคคลปโรปรญั ญตุ า คอื ความรจู้ กั บคุ คล คือความแตกต่างแหง่ บคุ คล (พ.ธ. หน้า ๒๔๔) สมั ปชัญญะ ความรู้ตวั ทวั่ พรอ้ ม ความรตู้ ระหนัก ความรชู้ ัดเขา้ ใจชดั ซึง่ ส่ิงนกึ ได้ มกั มาคกู่ ับสติ (พ.ศ. หน้า ๒๔๔) สาราณยี ธรรม ๖ ธรรมเป็นทีต่ ้งั แห่งความใหร้ ะลกึ ถึง ธรรมเปน็ เหตใุ หร้ ะลึกถึงกนั หลักการอยูร่ ว่ มกนั เรียกอีกอย่างวา่ “สาราณยี ธรรม” ๑. เมตตากายกรรม มีเมตตากายกรรมทั้งต่อหน้าและลบั หลงั ๒. เมตตาวจกี รรม มเี มตตาวจีกรรมทง้ั ตอ่ หน้าและลับหลงั ๓. เมตตา มโนกรรม มีเมตตามโนกรรมทัง้ ต่อหน้า และลับหลงั ๔. สาธารณโภคี แบ่งปนั สิ่งของท่ีได้มาไม่หวง แหน ใช้ผู้เดียว ๕. สีลสามัญญตา มคี วามประพฤติ รว่ มกนั ในขอ้ ทเี่ ป็นหลักการสำคัญท่จี ะนำไปสู่ความหลุดพน้ สิน้ ทกุ ข์หรือขจดั ปญั หา ๖.ทิฏฐสิ ามญั ญตา มคี วาม เห็นชอบดีงาม เช่นเดยี วกบั หมู่คณะ (พ.ธ. หน้า ๒๓๓-๒๓๕) สขุ ๒ ความสบาย ความสำราญ มี ๒ อยา่ ง ไดแ้ ก่ ๑. กายกิ สขุ สุขทางกาย ๒. เจตสกิ สุข สขุ ทางใจ อีกหมวดหนงึ่ มี ๒ คอื ๑. สามิสสขุ สขุ องิ อามสิ คือ อาศยั กามคุณ ๒. นิรามสิ สขุ สุขไมอ่ งิ อามสิ คอื อิงเนกขมั มะ (พ.ศ. หน้า ๓๔๓) ศรัทธา ความเชอ่ื ความเชอ่ื ถือ ความเชอื่ มัน่ ในสงิ่ ที่ดงี าม (พ.ศ. หน้า ๒๙๐) ศรทั ธา ๔ ความเชอ่ื ทปี่ ระกอบด้วยเหตุผล ๔ ประการคือ ๑. กมั มสัทธา (เช่ือกรรม เช่ือวา่ กรรมมอี ยจู่ ริง คอื เช่อื วา่ เม่อื ทำอะไรโดยมีเจตนา คอื จงใจทำทง้ั ทร่ี ู้ ยอ่ มเปน็ กรรม คอื เปน็ ความชวั่ ความดี มีขึ้น ในตน เปน็ เหตุ ปัจจยั ก่อใหเ้ กดิ ผลดผี ลรา้ ยสืบเน่อื งต่อไป การกระทำไม่ว่างเปล่า และเชือ่ วา่ ผลทต่ี อ้ งการจะสำเรจ็ ได้ดว้ ยการ กระทำ มใิ ชด่ ้วยออ้ นวอนหรอื นอนคอยโชค เป็นตน้ ๒. วิปากสทั ธา (เชอื่ วบิ าก เช่อื ผลของกรรม เชื่อว่าผลของ กรรมมีจรงิ คอื เชอ่ื ว่ากรรมทสี่ ำเรจ็ ตอ้ งมีผล และผลต้อง มีเหตุ ผลดีเกดิ จากกรรมดี และผลช่ัวเกิดจากกรรมชว่ั ๓. กมั มัสสกตาสัทธา (ความเช่ือทสี่ ัตว์มีกรรมเปน็ ของตน เชือ่ วา่ แต่ละคนเปน็ เจา้ ของจะต้องรบั ผิดชอบเสวย วบิ ากเปน็ ไปตามกรรมของตน ๔. ตถาคตโพธิสทั ธา (เชอ่ื ความตรสั รูข้ องพระพทุ ธเจ้า ม่นั ใจในองคพ์ ระตถาคตวา่ ทรงเปน็ พระสัมมาสัมพทุ ธะ ทรงพระคุณท้งั ๙ ประการ ตรัสธรรม บญั ญตั วิ นิ ยั ไวด้ ว้ ยดี ทรงเปน็ ผนู้ ำทางทแี่ สดง ให้เหน็ วา่ มนุษย์ คือเราทกุ คนนี้ หากฝกึ ตนดว้ ยดกี ็สามารถเข้าถงึ ภูมธิ รรมสูงสดุ บริสุทธ์ิหลดุ พน้ ไดด้ ังที่พระองค์ได้ ทรงบำเพญ็ ไว้ (พ.ธ. หนา้ ๑๖๔) สงเคราะห์ การช่วยเหลอื การเออ้ื เฟื้อเกื้อกลู (พ.ศ. หนา้ ๒๒๘) สงั คหวตั ถุ ๔ เรือ่ งสงเคราะหก์ นั คณุ ธรรมเปน็ เคร่ืองยึดเหนีย่ วใจของผ้อู ่นื ไว้ได้ หลักการสงเคราะห์ คอื ชว่ ยเหลอื กัน ยดึ เหน่ยี วใจกันไว้ และเป็นเคร่ืองเกาะกุมประสานโลก ได้แก่ สังคมแห่งหมู่สัตว์ไว้ ดจุ สลักเกาะยดึ รถทีก่ ำลงั แล่นไปให้คงเปน็ รถ และวิง่ แลน่ ไปไดม้ ี ๔ อย่างคอื ๑. ทาน การแบ่งปนั เอ้ือเฟือ้ เผ่ือแผก่ นั ๒. ปยิ วาจา พดู จา น่ารัก น่านยิ มนับถือ ๓. อัตถจรยิ า บำเพญ็ ประโยชน์ ๔.สมานตั ตนา ความมตี นเสมอ คอื ทำตัวใหเ้ ข้ากนั ได้ เช่น ไมถ่ อื ตัว รว่ มสขุ ร่วมทกุ ข์กัน เป็นตน้ (พ.ศ. หนา้ ๓๑๐) สมั มัตตะ ความเปน็ ถกู ภาวะทถ่ี ูก มี ๑๐ อยา่ ง ๘ ข้อตน้ ตรงกบั องคม์ รรคท้งั ๘ ขอ้ เพ่ิม ๒ ข้อทา้ ย คือ ๙. สัมมา ญาณ รชู้ อบไดแ้ กผ่ ลญาณ และปัจจเวกขณญาณ ๑๐. สัมมาวมิ ุตติ พ้นชอบได้แก่ อรหตั ตผลวิมตุ ติ; เรียกอกี อยา่ ง อเสขธรรม ๑๐ (พ.ศ. หน้า ๓๒๙)

198 สจุ ริต ๓ ความประพฤตดิ ี ประพฤติชอบตามคลองธรรม มี ๓ คอื ๑. กายสจุ ริต ประพฤตชิ อบทางกาย ๒. วจี สุจรติ ประพฤตชิ อบทางวาจา ๓. มโนสจุ ริต ประพฤตชิ อบทางใจ (พ.ศ. หนา้ ๓๔๕) หริ ิ ความละอายต่อการทำชั่ว (พ.ศ. หนา้ ๓๕๕) อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ทางแหง่ อกศุ ลกรรม ทางความชว่ั กรรมช่ัวอันเปน็ ทางนำไปสู่ความเสื่อม ความทุกข์ หรือทคุ ติ ๑. ปาณาตบิ าต การทำชวี ติ ใหต้ กล่วง ๒. อทินนาทาน การถือเอาของท่ีเขามไิ ดใ้ ห้ โดยอาการขโมย ลกั ทรพั ย์ ๓. กาเมสุมิจฉาจาร ความประพฤติผิดทางกาม ๔. มสุ าวาท การพูดเทจ็ ๕. ปิสุณวาจา วาจาส่อเสียด ๖. ผรุสวาจา วาจาหยาบ ๗. สัมผปั ปลาปะ พูดเพอ้ เจอ้ ๘. อภิชฌา เพ่งเล็งอยากได้ของเขา ๙. พยาบาท คิดรา้ ยผอู้ ่นื ๑๐. มิจฉาทฏิ ฐิ เหน็ ผดิ จากคลองธรรม (พ.ธ. หน้า ๒๗๙, ๓๐๙) อกุศลมลู ๓ รากเหง้าของอกศุ ล ตน้ ตอของความชัว่ มี ๓ คือ ๑. โลภะ (ความอยากได้) ๒. โทสะ (ความคดิ ประทษุ ร้าย) ๓. โมหะ (ความหลง) ๘ (พ.ธ. หนา้ ๘๙) อคติ ๔ ฐานะอันไมพ่ ึงถึง ทางความประพฤตทิ ี่ผดิ ความไม่เท่ียงธรรม ความลำเอยี ง มี ๔ อย่างคือ ๑. ฉนั ทาคติ (ลำเอยี งเพราะชอบ) ๒. โทสาคติ (ลำเอียงเพราะชงั ) ๓. โมหาคติ (ลำเอยี งเพราะหลง พลาดผิด เพราะเขลา) ๔. ภยาคติ (ลำเอยี งเพราะกลัว) (พ.ธ. หนา้ ๑๗๔) อนัตตา ไมใ่ ช่อัตตา ไมใ่ ชต่ วั ตน (พ.ศ. หน้า ๓๖๖) อบายมุข ชอ่ งทางของความเส่ือม เหตเุ ครอ่ื งฉิบหาย เหตยุ ่อยยบั แหง่ โภคทรพั ย์ ทางแหง่ ความพนิ าศ (พ.ศ. หนา้ ๓๗๗) อบายมุข ๔ ๑. อติ ถธี ุตตะ (เป็นนกั เลงหญงิ นักเทีย่ วผหู้ ญงิ ) ๒. สรุ าธตุ ตะ (เป็นนักเลงสุรา นักดมื่ ) ๓. อักขธุตตะ (เป็นนกั การพนัน) ๔. ปาปมติ ตะ (คบคนชั่ว) (พ.ศ. หนา้ ๓๗๗) อบายมุข ๖ ๑. ติดสรุ าและของมนึ เมา ๑.๑ ทรพั ยห์ มดไป ๆ เห็นชัด ๆ ๑.๒ กอ่ การทะเลาะววิ าท ๑.๓ เปน็ บ่อเกดิ แห่งโรค ๑.๔ เสียเกียรติ เสยี ชือ่ เสียง ๑.๕ ทำใหไ้ ม่รูอ้ าย ๑.๖ ทอนกำลงั ปัญญา ๒. ชอบเท่ยี ว กลางคนื มีโทษ ๖ อยา่ งคือ ๒.๑ ช่ือว่าไมร่ กั ษาตน ๒.๒ ชอ่ื ว่าไมร่ ักษาลกู เมยี ๒.๓ ชื่อว่าไม่รกั ษา ทรพั ย์สมบัติ ๒.๔ เปน็ ที่ระแวงสงสยั ๒.๕ เป็นเป้าใหเ้ ขาใสค่ วามหรอื ข่าวลือ ๒.๖ เปน็ ที่มาของเรือ่ งเดอื ดรอ้ น เป็นอันมาก ๓. ชอบเทย่ี วดกู ารละเล่น มโี ทษ โดยการงานเสอ่ื มเสยี เพราะมีใจกงั วลคอยคดิ จอ้ ง กับเสียเวลาเม่ือ ไปดสู งิ่ น้ัน ๆ ทั้ง ๖ กรณี คอื ๓.๑ รำท่ีไหนไปที่น่นั ๓.๒ – ๓.๓ ขับร้อง ดนตรี เสภา เพลงเถดิ เทงิ ที่ไหนไปที่ น่นั ๔. ตดิ การพนัน มีโทษ ๖ คอื ๔.๑ เมื่อชนะยอ่ มก่อเวร ๔.๒ เมื่อแพก้ ็เสยี ดายทรพั ยท์ ี่เสียไป ๔.๓ ทรพั ย์หมดไป ๆ เหน็ ชัด ๆ ๔.๔ เขา้ ที่ประชมุ เขาไมเ่ ชอื่ ถือถอ้ ยคำ ๔.๕ เปน็ ที่หม่นิ ประมาทของเพื่อนฝูง ๔.๖ ไมเ่ ปน็ ที่ พึงประสงคข์ องผู้ทีจ่ ะหาคู่ครองให้ลูกของเขา เพราะเหน็ ว่าจะเล้ยี งลกู เมยี ไมไ่ ด้ ๕. คบ คนช่วั มีโทษโดยนำใหก้ ลายเปน็ คนชวั่ อยา่ งทต่ี นคบท้ัง ๖ ประเภท คอื ได้เพ่อื นที่จะนำใหก้ ลายเปน็ ๕.๑ นักการพนนั ๕.๒ นักเลงหญงิ ๕.๓ นักเลงเหลา้ ๕.๔ นกั ลวงของปลอม ๕.๕ นักหลอกลวง ๕.๖ นกั เลงหวั ไม้ ๖. เกยี จคร้านการงาน มีโทษโดยทำให้ยกเหตตุ า่ ง ๆ เป็นขอ้ อา้ งผิดเพ้ยี น ไมท่ ำการงานโภคะใหมก่ ็ ไม่เกิด โภคะทมี่ อี ย่กู ็หมดส้นิ ไป คือ ให้อา้ งไปทง้ั ๖ กรณวี ่า ๖.๑ – ๖.๖ หนาวนกั รอ้ นนัก เย็นไปแล้ว ยงั เช้านกั หิวนกั อม่ิ นัก แลว้ ไม่ทำการงาน (พ.ธ. หน้า ๑๗๖ – ๑๗๘) อปริหานยิ ธรรม ๗ ธรรมอันไม่เปน็ ทีต่ งั้ แห่งความเสอ่ื ม เปน็ ไปเพือ่ ความเจรญิ ฝ่ายเดียวมี ๗ ประการ ได้แก่ ๑. หมน่ั ประชุมกันเนืองนติ ย์ ๒. พร้อมเพรียงกนั ประชุม พรอ้ มเพรียงกนั เลกิ ประชุม พรอ้ มเพรยี งกนั ทำกจิ กรรมทพ่ี งึ ทำ ๓. ไมบ่ ัญญตั ิสิ่งทมี่ ไิ ด้บญั ญัตไิ ว้ (อันขดั ตอ่ หลักการเดิม) ๔. ทา่ นเหล่าใดเป็นผใู้ หญ่ ควรเคารพนบั ถอื ทา่ น เหล่านัน้ ๕. บรรดากลุ สตรี กุลกมุ ารที ัง้ หลาย ใหอ้ ยดู่ โี ดยมถิ ูก ขม่ เหง หรือฉดุ ครา่ ขนื ใจ ๖. เคารพ

199 สักการบชู า เจดยี ห์ รอื อนสุ าวรยี ์ประจำชาติ ๗. จดั ใหค้ วามอารกั ขา คุ้มครอง ปอ้ งกนั อันชอบธรรมแกพ่ ระ อรหันต์ทงั้ หลาย (รวมถึงพระภิกษุ ผู้ปฏบิ ตั ดิ ี ปฏิบตั ชิ อบด้วย) (พ.ธ. หน้า ๒๔๖ – ๒๔๗) อธปิ ไตย ๓ ความเป็นใหญ่ มี ๓ อยา่ ง คือ ๑. อัตตาธิปไตย ความมตี นเปน็ ใหญ่ ถอื ตนเปน็ ใหญ่ กระทำการดว้ ยปรารภ ตนเป็นประมาณ ๒. โลกาธปิ ไตย ความมโี ลกเปน็ ใหญ่ ถอื โลกเป็นใหญ่ กระทำการดว้ ยปรารภนยิ มของโลกเป็น ประมาณ ๓. ธมั มาธิปไตย ความมธี รรมเปน็ ใหญ่ ถือธรรมเปน็ ใหญ,่ กระทำการดว้ ยปรารภความถูกตอ้ ง เป็นจรงิ สมควรตามธรรมเป็นประมาณ (พ.ธ. หน้า ๑๒๗-๑๒๘) อรยิ สัจ ๔ ความจริงอนั ประเสรฐิ ความจรงิ ของพระอริยะ ความจรงิ ทีท่ ำใหผ้ ู้เขา้ ถึงกลายเปน็ อรยิ ะมี ๔ คือ ๑. ทกุ ข์ (ความทกุ ข์ สภาพทีท่ นไดย้ าก สภาวะทบี่ ีบค้ัน ขดั แยง้ บกพร่อง ขาดแกน่ สารและความเทีย่ งแท้ ไมใ่ ห้ ความพึงพอใจแท้จรงิ ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับส่งิ อนั ไม่เป็นท่ีรัก การพลัดพรากจากส่งิ ทร่ี ัก ความปรารถนาไม่สมหวงั โดยยอ่ วา่ อุปาทานขันธ์ ๕ เปน็ ทกุ ข์ ๒. ทกุ ขสมุทยั (เหตเุ กิดแห่งทกุ ข์ สาเหตุให้ทกุ ข์เกิด ไดแ้ ก่ ตณั หา ๓ คือ กามตณั หา ภวตัณหา และ วภิ วตัณหา) กำจดั อวชิ ชา สำรอกตณั หา สิน้ แล้ว ไม่ถกู ยอ้ ม ไมต่ ดิ ขัด หลดุ พน้ สงบ ปลอดโปร่ง เป็นอสิ ระ คอื นพิ พาน) ๓. ทกุ ขนโิ รธ (ความดบั ทกุ ข์ ได้แก่ ภาวะทตี่ ัณหาดบั สนิ้ ไป ภาวะท่ีเขา้ ถงึ เม่ือกำจัดอวชิ ชา สำรอกตณั หาสน้ิ แล้ว ไม่ถกู ย้อม ไมต่ ิดข้อง หลดุ พน้ สงบ เปน็ อิสระ คอื นพิ พาน) ๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏปิ ทา (ปฏปิ ทาท่นี ำไปสู่ความดับแหง่ ทกุ ข์ ขอ้ ปฏิบัติให้ถงึ ความดับทุกข์ ไดแ้ ก่ อริย อฏั ฐังคิกมรรค หรอื เรยี กอีกอยา่ งหน่ึงว่า มัชฌมิ ปฏิปทา แปลว่า ทางสายกลาง มรรคมีองค์ ๘ น้ี สรปุ ลงใน ไตรสิกขา คอื ศีล สมาธิ ปัญญา) (พ.ธ. หน้า ๑๘๑) อรยิ อฏั ฐคิกมรรค ทางสายกลาง มรรคมอี งค์ ๘ (ศลี สมาธิ ปัญญา) (พ.ธ. หนา้ ๑๖๕) อญั ญาณเุ บกขา เป็นอุเบกขาฝา่ ยวบิ ตั ิ หมายถึง ความไมร่ ู้เรอื่ ง เฉยไม่รู้เร่ือง เฉยโง่ เฉยเมย (พ.ธ. หน้า ๑๒๖) อตั ตา ตัวตน อาตมนั ปถุ ชุ นยอ่ มยึดมนั่ มองเห็นขนั ธ์ ๕ อยา่ งใดอย่างหนง่ึ หรือทง้ั หมดเปน็ อัตตา หรือยึดถอื ว่ามีอตั ตา เนอื่ งดว้ ยขันธ์ (พ.ศ. หนา้ ๓๙๘) อตั ถะ เรือ่ งราว ความหมาย ความม่งุ หมาย ประโยชน์ มี ๒ ระดบั คอื ๑. ทฏิ ฐิธัมมกิ ตั ถะ ประโยชน์ในชีวติ นห้ี รอื ประโยชน์ในปัจจบุ ัน เป็นทม่ี ุง่ หมายกันในโลกน้ี ไดแ้ ก่ ลาภ ยศ สขุ สรรเสริญ รวมถงึ การแสวงหาสง่ิ เหลา่ น้ีมาโดย ทางทช่ี อบธรรม ๒. สมั ปรายกิ ัตถะ ประโยชน์เบอื้ งหนา้ หรอื ประโยชน์ทลี่ ้ำลกึ กวา่ ที่จะมองเหน็ กนั เฉพาะหน้า เปน็ จดุ หมายขน้ั สูงขึ้นไป เป็นหลักประกันชวี ิตเมือ่ ละจากโลกน้ไี ป ๓. ปรมตั ถะ ประโยชน์สูงสดุ หรอื ประโยชนท์ ่ี เปน็ สาระแท้จริงของชวี ิตเป็นจดุ หมายสูงสุดหรอื ทหี่ มายขนั้ สดุ ทา้ ย คอื พระนิพพาน อกี ประการหนึ่ง หมายถึง ๑. อัตตัตถะ ประโยชนต์ น ๒. ปรตั ถะ ประโยชนผ์ ้อู น่ื ๓. อุภยตั ถะ ประโยชนท์ งั้ สองฝา่ ย (พ.ธ. หน้า ๑๓๑ – ๑๓๒) อายตนะ ทีต่ อ่ เครือ่ งติดตอ่ แดนตอ่ ความรู้ เครอื่ งรู้ และสิ่งท่ถี ูกรู้ เช่น ตาเป็นเคร่ืองรู้ รูปเป็น ส่งิ ท่ีรู้ หูเป็นเครื่องรู้ เสยี งเป็นส่งที่รู้ เปน็ ตน้ จดั เปน็ ๒ ประเภท ได้แก่ ๑. อาตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ ๒. อายตนะภายนอก หมายถึง เครื่องตอ่ ภายนอก ส่งิ ท่ถี ูกรู้ มี ๖ คอื ๒.๑ รปู คือ รปู ๒.๒ สัททะ คอื เสยี ง ๒.๓ คันธะ คอื กลิน่ ๒.๔ รส คอื รส ๒.๕ โผฏฐัพพะ คือ สงิ่ ตอ้ งกาย ๒.๖ ธัมมะ หมายถงึ ธรรมารมย์ คอื อารมณท์ ี่เกดิ กบั ใจ หรือส่งิ ทีใ่ จรู้ อารมณ์ ๖ ก็เรียก (พ.ศ. หนา้ ๔๑๑)

200 อายตนะภายใน เครือ่ งตอ่ ภายใน เครื่องรบั รู้ มี ๖ คือ ๑. จกั ขุ คอื ตา ๒. โสตะ คอื หู ๓. ฆานะ คือ จมูก ๔. ชิวหา คือ ลน้ิ ๕. กาย คือ กาย ๖. มโน คือ อนิ ทรีย์ ๖ ก็เรียก (พ.ศ.หนา้ ๔๑๑) อรยิ วฑั ฒิ ๕ ความเจรญิ อย่างประเสริฐ หลักความเจริญของอารยชน มี ๕ คือ ๑. ศรัทธา ความเชอื่ ความม่ันใจในพระ รัตนตรัย ในหลกั แหง่ ความจรงิ ความดีอันมีเหตผุ ล ๒.ศีลความประพฤติดี มวี นิ ัย เลี้ยงชีพสจุ รติ ๓. สุตะ การ เล่าเรียน สดับฟงั ศกึ ษาหาความรู้ ๔. จาคะ การเผอื่ แผ่เสยี สละ เออื้ เฟื้อ มนี ำ้ ใจชว่ ยเหลอื ใจกวา้ ง พร้อมที่ จะรับฟงั และรว่ มมือ ไมค่ บั แคบ เอาแตต่ วั ๕. ปญั ญา ความรอบรู้ รคู้ ดิ รพู้ ิจารณา เขา้ ใจเหตผุ ล รจู้ กั โลกและ ชวี ิตตามความเปน็ จรงิ (พ.ธ. หนา้ ๒๑๓) อิทธิบาท ๔ คุณเคร่อื งให้ถงึ ความสำเร็จ คุณธรรมทนี่ ำไปสคู่ วามสำเร็จแห่งผลทม่ี ุง่ หมาย มี ๔ ประการ คอื ๑. ฉนั ทะ ความพอใจ คือ ความตอ้ งการทจี่ ะทำใฝ่ใจรกั จะทำสิ่งนน้ั อยเู่ สมอแลว้ ปรารถนาจะทำ ใหไ้ ดผ้ ลดียิ่ง ๆ ข้ึนไป ๒. วริ ิยะ ความเพยี ร คอื ขยนั หมัน่ ประกอบสิง่ นน้ั ดว้ ยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระไม่ทอ้ ถอย ๓. จติ ตะ ความคดิ คือ ตง้ั จิตรับรู้ในสิ่งท่ที ำและทำส่ิงนนั้ ด้วยความคดิ เอาจติ ฝกั ใฝไ่ มป่ ลอ่ ยใจใหฟ้ งุ้ ซ่านเลือ่ น ลอย ๔. วมิ ังสา ความไตรต่ รอง หรอื ทดลอง คอื หมน่ั ใช้ปัญญาพจิ ารณา ใคร่ครวญ ตรวจตราหาเหตผุ ล และ ตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในสิ่งทที่ ำน้นั มกี ารวางแผน วดั ผลคดิ ค้นวิธีแก้ไขปรับปรงุ ตวั อยา่ งเชน่ ผ้ทู ำงานทว่ั ๆ ไป อาจจำสั้น ๆ ว่า รักงาน ส้งู าน ใสใ่ จงาน และทำงานดว้ ยปัญญา เปน็ ต้น (พ.ธ. หน้า ๑๘๖-๑๘๗) อุบาสกธรรม ๗ ธรรมทเี่ ป็นไปเพอื่ ความเจริญของอบุ าสก ๑. ไม่ขาดการเยี่ยมเยือนพบปะพระภิกษุ ๒. ไม่ ละเลยการฟังธรรม ๓. ศึกษาในอธศิ ลี ๔. มคี วามเลื่อมใสอยา่ งมากในพระภิกษทุ กุ ระดับ ๕. ไม่ฟงั ธรรม ด้วยต้งั ใจจะคอยเพง่ โทษติเตียน ๖. ไมแ่ สวงหาบญุ นอกหลกั คำสอนในพระพทุ ธศาสนา ๗. กระทำการสนบั สนนุ คอื ขวนขวายในการอุปถัมภ์บำรงุ พระพุทธศาสนา (พ.ธ. หนา้ ๒๑๙ – ๒๒๐) อบุ าสกธรรม ๕ สมบตั ขิ องอุบาสก ๕ คือ ๑. มศี รัทธรา ๒. มีศีลบรสิ ทุ ธิ์ ๓. ไม่ถอื มงคลตนื่ ข่าว เชือ่ กรรม ไมเ่ ชื่อมงคล คอื มงุ่ หวงั ผลจากการกระทำ และการงานมใิ ชจ่ ากโชคลาภ และสง่ิ ทต่ี ่นื กนั วา่ ขลงั ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ ๔. ไมแ่ สวงหาเขต บญุ นอกหลกั พระพทุ ธศาสนา ๕. ขวนขวายในการอุปถัมภ์บำรุงพระพทุ ธศาสนา (พ.ศ. หน้า ๓๐๐) อบุ าสกธรรม ๗ ผใู้ กลช้ ิดพระศาสนาอยา่ งแท้จรงิ ควรตั้งตนอย่ใู นธรรมทเ่ี ป็นไปเพอื่ ความเจรญิ ของอบุ าสก มี ๗ ประการ ได้แก่ ๑. ไม่ขาดการเยี่ยมเยอื นพบปะพระภกิ ษุ ๒. ไมล่ ะเลยการฟังธรรม ๓. ศึกษาในอธิศลี คือ ฝกึ อบรมตนให้กา้ วหนา้ ในการปฏิบัตริ ักษาศลี ขน้ั สงู ขึ้นไป ๔. พรงั่ พรอ้ มดว้ ยความเลอ่ื มใส ในพระภิกษุทง้ั หลาย ทั้งทเี่ ปน็ เถระ นวกะ และปนู กลาง ๕. ฟงั ธรรมโดยความต้ังใจ มใิ ช่ มาจบั ผดิ ๖. ไม่แสวงหาทกั ขไิ ณยภายนอก หลกั คำสอนน้ี คอื ไม่แสวงหาเขตบุญนอกหลักพระพุทธศาสนา ๗. กระทำความสนับสนนุ ในพระพทุ ธศาสนาน้ี คือ เอาใจใสท่ ำนบุ ำรุงและชว่ ยกจิ กรรม (ธรรมนญู ชีวติ , หน้า ๗๐ – ๗๐) อเุ บกขา มี ๒ ความหมายคอื ๑. ความวางใจเปน็ กลาง ไมเ่ องเอียงดว้ ยชอบหรือชัง ความวางใจเฉยได้ ไม่ยินดียนิ รา้ ย เม่ือใช้ปัญญาพจิ ารณาเห็นผลอันเกดิ ข้นึ โดยสมควรแก่เหตแุ ละรวู้ า่ พึงปฏบิ ตั ติ ่อไปตามธรรม หรอื ตามควรแก่ เหตนุ ั้น ๒. ความรูส้ กึ เฉย ๆ ไมส่ ขุ ไมท่ กุ ข์ เรยี กเต็มวา่ อุเบกขาเวทนา (อทุกขมสุข) (พ.ศ. หน้า ๔๒๖ – ๔๒๗) อุปาทาน ๔ ความยดึ มนั่ ความถอื มน่ั ด้วยอำนาจกิเลส ความยึดตดิ อันเนือ่ งมาแตต่ ณั หา ผกู พันเอาตวั ตนเป็นที่ตัง้ ๑. กา มุปาทาน ความยดึ มั่นในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐพั พะทีน่ ่าใคร่ นา่ พอใจ ๒. ทฏิ ฐปุ าทาน

201 ความยดึ มน่ั ในทฏิ ฐิหรอื ทฤษฎี คอื ความเหน็ ลทั ธิ หรอื หลกั คำสอนตา่ ง ๆ ๓. สีลัพพตุปาทาน ความยดึ มน่ั ในศลี และพรต คือ หลักความประพฤติ ขอ้ ปฏบิ ัติ แบบแผน ระเบยี บวิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธพิ ธิ ีตา่ ง ๆ กนั ไปอยา่ งงมงายหรือโดยนยิ มวา่ ขลัง วา่ ศักดิส์ ทิ ธ์ิ มิได้เป็นไปดว้ ยความรู้ ความเขา้ ใจตามหลกั ความสัมพนั ธแ์ หง่ เหตแุ ละผล ๔. อัตตาวาทปุ าทาน ความยดึ มน่ั ในวาทะว่าตวั ตน คอื ความถอื หรอื สำคญั หมาย อย่ใู นภายในวา่ มีตัวตน ทจี่ ะได้ จะมี จะเปน็ จะสญู สลาย ถกู บีบคนั้ ทำลายหรอื เป็นเจ้าของ เปน็ นายบังคับ บญั ชาสงิ่ ตา่ ง ๆ ได้ไม่มองเห็นสภาวะของส่งิ ทัง้ ปวง อนั รวมทง้ั ตัวตนว่าเป็นแต่เพยี งส่งิ ท่ปี ระชุมประกอบกนั เข้า เป็นไปตามเหตุปจั จยั ทง้ั หลายท่ีมาสัมพนั ธ์กนั ล้วน ๆ (พ.ธ. หนา้ ๑๘๗) อุปนสิ ัย ๔ ธรรมท่พี งึ่ พงิ หรอื ธรรมชว่ ยอดุ หนนุ ๑. สงฺขาเยกํ ปฏิเสวติ พิจารณาแล้วจึงใชส้ อยปจั จัย ๔ คอื จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ คลิ านเภสชั เป็นตน้ ท่จี ำเป็นจะต้องเก่ยี วข้องและมปี ระโยชน์ ๒. สงขฺ าเยกํ อธิวาเสติ พจิ ารณาแลว้ อดกล้ันได้แก่ อนิฏฐารมณ์ ต่าง ๆ มีหนาวร้อน และทุกขเวทนา เป็นต้น ๓. สงขฺ าเยกํ ปริวชเฺ ชติ พิจารณาส่ิงทีเ่ ป็นโทษ ก่ออันตรายแกร่ า่ งกาย และจติ ใจแลว้ หลกี เวน้ ๔. สงฺขาเยกํ ปฏิวิโนเทติ พิจารณาส่ิงท่เี ปน็ โทษ กอ่ อนั ตรายเกดิ ขึ้นแล้ว เชน่ อกุศลวติ ก มกี ามวติ ก พยาบาทวติ ก และวหิ งิ สาวิตก และความช่วั ร้ายท้ังหลายแลว้ พจิ ารณาแกไ้ ข บำบดั หรือขจดั ให้สน้ิ ไป (พ.ธ. หนา้ ๑๗๙) โอตตัปปะ ความเกรงกลัวตอ่ ความชวั่ (พ.ศ. หนา้ ๔๓๙) โอวาท คำกลา่ วสอน คำแนะนำ คำตกั เตอื น โอวาทของพระพทุ ธเจ้า ๓ คือ ๑. เวน้ จากทจุ รติ คอื ประพฤตชิ ั่วดว้ ยกาย วาจา ใจ (ไมท่ ำชว่ั ทง้ั ปวง) ๒.ประกอบสจุ รติ คอื ประพฤตชิ อบด้วยกาย วาจา ใจ (ทำแต่ความดี) ๓. ทำใจของ ตนใหห้ มดจดจากเครอื่ งเศร้าหมอง โลภ โกรธ หลง เป็นต้น (ทำจติ ของตนให้สะอาดบรสิ ุทธ)์ิ (พ.ศ. หน้า ๔๔๐) สงั คมศาสตร์ การศึกษาความสัมพันธ์ของมนษุ ย์ โดยใชก้ ระบวนการวทิ ยาศาสตร์ สงั คมศึกษา การเรยี นร้เู พอ่ื พัฒนาตนให้อยรู่ ว่ มในสงั คมได้อยา่ งมคี ณุ ภาพ คุณธรรม(virtue) และจรยิ ธรรรม(moral or morality or ethics) คณุ ธรรม หมายถงึ สภาพคุณงามความดี จรยิ ธรรมมคี วามหมายเช่นเดยี วกับศลี ธรรม หมายถึง ธรรมทีเ่ ป็นขอ้ ประพฤติกรรมปฏบิ ัตคิ วามประพฤติหรือ หนา้ ทีท่ ่ีชอบ ท่คี วรปฏิบตั ิในการครองชีวติ ดังนนั้ คณุ ธรรมจริยธรรม จึงหมายถงึ สภาพคุณงามความดที ่ีประพฤติ ปฏิบตั หิ รือหน้าทีท่ ่คี วรปฏิบัติในการครองชีวติ หรอื คณุ ธรรมตามกรอบจริยธรรม สว่ นศลี ธรรมและจรยิ ธรรม มี ความหมายใกล้เคียงกนั คุณธรรมจะมีความหมายทเ่ี นน้ สภาพ ลักษณะ หรือคุณสมบตั ทิ ีแ่ สดงออกถึงความดงี าม ส่วนจรยิ ธรรม มีความหมายเน้นท่ี ความประพฤติหรือการปฏิบัติที่ดีงาม เป็นที่ยอมรบั ของสังคม นกั วิชาการมกั ใช้ คำทั้งสองคำน้ีในความหมายนยั เดียวกนั และมกั ใชค้ ำสองคำดงั กลา่ วควบคู่กนั ไป เปน็ คำวา่ คุณธรรมจรยิ ธรรม ซึ่งรวมความหมายของคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม น่ันคือมีความหมายเน้นท้งั สภาพ ลกั ษณะหรือคุณสมบตั ิ และความ ประพฤติอันดงี าม เป็นทยี่ อมรับของสงั คม (โครงการเรง่ สรา้ งคณุ ลกั ษณะทดี่ ีของเดก็ และเยาวชนไทย ศนู ยค์ ณุ ธรรม หน้า ๑๑ -๑๒) การเมือง ความร้เู ก่ียวกบั ความสมั พนั ธร์ ะหว่างอำนาจในการจัดระเบียบสังคมเพ่ือประโยชนแ์ ละความสงบสุขของสงั คม มคี วามสมั พันธต์ อ่ กันโดยรวมทง้ั หมดในสว่ นหนึง่ ของชีวิตในพืน้ ท่หี นงึ่ ท่ีเกยี่ วขอ้ งกับอำนาจ อำนาจชอบธรรม หรอื อิทธิพล และมีความสามารถในการดำเนินการได้ ข้อมูล ส่งิ ทีไ่ ดร้ ับรู้และยังไมม่ กี ารจดั ประมวลให้เป็นระบบ เมือ่ จัดระบบแล้วเรียกวา่ สารสนเทศ ค่านิยม การกำหนดคุณคา่ และพฒั นาจนเปน็ บคุ ลิกภาพประจำตัว

202 คุณคา่ ลกั ษณะที่พงึ ประสงค์ เชน่ ความดี ความงาม ความดเี ปน็ คุณค่าของจรยิ ธรรม ความงามเปน็ คุณค่าทาง สุนทรียศาสตร์ ส่งิ ที่ตอบสนองความตอ้ งการไดเ้ ป็นสง่ิ ท่ีมีคณุ ค่า คณุ คา่ เป็นสิ่งเปลีย่ นแปลงได้ คณุ คา่ เปล่ยี นไปได้ ตามเวลา และคณุ ค่ามกั เปลย่ี นแปลงไปตามวิวัฒนาการของความเจรญิ บทบาท การกระทำทสี่ งั คมคาดหวงั ตามสถานภาพท่บี ุคคลครองอยู่ หนา้ ที่ เป็นความรบั ผิดชอบทางศีลธรรมของปจั เจกชนซงึ่ สงั คมยอมรับ สถานภาพ ตำแหนง่ ท่แี ตล่ ะคนครองอย่ใู นสถานทหี่ นงึ่ ในชว่ งเวลาหนงึ่ บรรทัดฐาน ขอ้ ตกลงของสังคมทก่ี ำหนดใหส้ มาชกิ ประพฤติ ปฏบิ ัติ บางทเี รียกปทัสถาน สามารถใช้บรรทัดฐานของสังคม (social norms) เปน็ มาตรฐานความประพฤติในทางจรยิ ธรรมได้ ซ่งึ แยกออกเป็น ก. วิถีประชา (folkways) ได้แก่ แบบแผนพฤตกิ รรมในชีวติ ประจำวันท่ีสังคมยอมรับ และได้ประพฤติ ปฏบิ ัตสิ บื ตอ่ กนั มา มกั เกยี่ วขอ้ งกับเรอื่ งการดำเนินชวี ิต และในสว่ นทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั จริยธรรมจะไม่มกี ฎเกณฑ์ เครง่ ครัดแน่นอนตายตวั ข. กฎศีลธรรมหรือจารตี (mores) เปน็ มาตรฐานความประพฤติของสงั คมทม่ี ีการกำหนดเกี่ยวกบั จรยิ ธรรม ที่เขม้ ขึน้ ในกรณมี ผี ู้ฝ่าฝืนอาจมกี ารลงโทษ แมว้ า่ ในบางครั้งจะไม่มกี ารเขียนไวเ้ ปน็ ลายลกั ษณ์อักษรกต็ าม เชน่ การลวนลามสตรีในชนบท ตอ้ งลงโทษดว้ ยการเสยี ผี ค. กฎหมาย (law) เป็นมาตรฐานความประพฤตทิ ร่ี ัฐกำหนดให้สมาชกิ ของรัฐพึงปฏิบัตหิ รอื ละเวน้ การ ปฏิบัติ และกำหนดวธิ ีการปฏิบตั กิ ารลงโทษสำหรบั ผูฝ้ ่าฝืน สทิ ธิ ข้อเรียกรอ้ งของปัจเจกชนซงึ่ สังคมยอมรับ สิทธทิ างศีลธรรม เป็นข้อเรยี กร้องทางศีลธรรมของปจั เจกชนซงึ่ สังคมยอมรบั ประเพณี เปน็ ความประพฤตขิ องคนหมหู่ น่งึ อย่ใู นที่แห่งหน่งึ ถอื เป็นแบบแผนกนั มาอยา่ งเดียวกันและสืบกนั มานาน ประเพณี คือ กจิ กรรมทมี่ ีรูปแบบของชุมชนหรือสงั คมหนง่ึ ทจ่ี ดั ขึน้ มาดว้ ยจดุ ประสงคใ์ ด จดุ ประสงค์หนงึ่ และ กำหนดการจดั กจิ กรรมในช่วงเวลาแน่นอนสม่ำเสมอ กจิ กรรทเ่ี ป็นประเพณีอาจมองไดอ้ กี ประการหนงึ่ ว่าเปน็ แบบ แผนการปฏิบัติของกลุ่มเฉพาะหรอื ทางศาสนา ปฏิญญาสากลว่าดว้ ยสทิ ธมิ นุษยชน (Universal Declaration of Human Rights sinv UDHR) คอื การประกาศเจตนารมณ์ ในการรว่ มมอื ระหวา่ งประเทศท่ีมคี วามสำคัญในการวางกรอบเบอ้ื งต้นเกยี่ วกบั สทิ ธิ มนษุ ยชนและเป็นเอกสารหลกั ดา้ นสิทธมิ นุษยชนฉบับแรก ซ่งึ ท่ีประชุมสมชั ชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ให้การ รับรองตามข้อมตทิ ี่ ๒๑๗ A (III) เมือ่ วันที่ ๑๐ ธนั วาคม ๒๔๙๑ โดยประเทศไทยออกเสยี งสนันสนนุ วฒั นธรรม และภูมิปญั ญาไทย เป็นการศกึ ษา วเิ คราะหเ์ กย่ี วกบั วฒั นธรรมและภูมปิ ัญญาในเรือ่ งเก่ยี วกับความเปน็ มา ปัจจยั พ้นื ฐานและผลกระทบจากภายนอกทีม่ อี ทิ ธพิ ลต่อการสรา้ งสรรคว์ ฒั นธรรมไทย วัฒนธรรมทอ้ งถิ่น ภูมิ ปัญญาไทย รวมทงั้ วัฒนธรรมและภูมปิ ัญญาของมนุษยชาตโิ ลก ความสำคัญ และผลกระทบท่มี อี ทิ ธิพลตอ่ การ ดำเนนิ ชวี ติ ของคนไทยและมนุษยชาติ ตัง้ แตอ่ ดตี ถงึ ปัจจบุ ัน สมั มาชีพ การประกอบอาชีพสุจริตและเหมาะสมในสังคม ประสทิ ธภิ าพ ความสามารถในการทำงานจนสำเรจ็ หรอื ผลการกระทำทไ่ี ดผ้ ลออกมาดีกวา่ เดิม รวมท้ัง การใช้ทรพั ยากรตา่ งๆ อย่างคมุ้ คา่ โดยไมใ่ ห้เกิดความสูญเปล่าหรอื ความสญู เสยี ทรพั ยาการตา่ งๆ พิจารณาได้ จากเวลา แรงงาน วัตถดุ บิ เครอื่ งจักร ปรมิ าณและคณุ ภาพ ฯลฯ ประสทิ ธิผล ระดบั ความสำเร็จของวตั ถปุ ระสงค์ หรือ ผลสำเร็จของงาน

203 สนิ คา้ หมายความวา่ สิง่ ของทสี่ ามารถซ้อื ขาย แลกเปลี่ยน หรือโอนกันได้ ไมว่ ่าจะเกดิ โดยธรรมชาติหรือเป็นผลติ ผลทาง การเกษตร รวมตลอดถงึ ผลิตภณั ฑ์ทางหตั ถกรรมและอุตสาหกรรม ภูมิปัญญา สว่ นหน่ึงของประเพณี หรอื เป็นกจิ กรรมเฉพาะตวั กไ็ ด้ เชน่ พธิ ถี วายสังฆทาน พิธีบวชนาค พธิ บี วชลกู แกว้ พิธีขอฝน พิธีไหวค้ รู พิธีแต่งงาน มนุษยชาติ การเกิดเปน็ มนุษย์มาจาก มนุษย์ = ผมู้ จี ติ ใจสงู กับชาติ = เกดิ โดยปกตหิ มายถงึ มนุษย์ ท่วั ๆ ไป มรรยาท พฤตกิ รรมทส่ี งั คมกำหนดวา่ ควรประพฤตเิ ปน็ วัฒนธรรม วดั จากความเหมาะสมและ ไม่เหมาะสม ระบบ การนำส่วนตา่ ง ๆ มาปรบั เรยี งต่อใหท้ ำงานประสานตอ่ เน่ืองกันจนดูเป็นสงิ่ เดยี วกนั กระบวนการ กรรมวธิ ีหรือลำดับการกระทำซึ่งดำเนนิ การต่อเนือ่ งกันไปจนสำเร็จลง ณ ระดับหนึง่ วเิ คราะห์ การแยกแยะใหเ้ ห็นคณุ ลกั ษณะของแตล่ ะองค์ประกอบ เศรษฐกจิ ความรูเ้ กี่ยวกบั การกิน การอยู่ของมนษุ ย์ในสังคม ว่าด้วยทรัพยากรทีม่ จี ำกดั การผลติ การกระจายผลผลติ และการบรโิ ภค สหกรณ์ แปลว่าการทำงานร่วมกัน การทำงานรว่ มกนั น้ีลกึ ซง้ึ มาก เพราะว่าตอ้ งรว่ มมอื กันในทกุ ดา้ น ท้ังในดา้ นงานท่ที ำ ดว้ ยรา่ งกาย ทง้ั ในด้านงานทท่ี ำดว้ ยสมอง และงานการทีท่ ำด้วยใจ ทกุ อยา่ งน้ขี าดไมไ่ ดต้ ้องพรอ้ ม (พระราชดำรัส พระราชทานแกผ่ ู้นำสหกรณ์การเกษตร สหกรณน์ คิ มและสหกรณ์ประมงทั่วประเทศ ณ ศาลาดุสิตดาลัย ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๖) ทรพั ย์สินทางปัญญา หมายถงึ ผลงานอนั เกดิ จากการประดษิ ฐ์คดิ ค้น หรือสรา้ งสรรคข์ องมนษุ ย์ ซ่ึงเนน้ ทผ่ี ลผลิตของ สติปญั ญาและความชำนาญ โดยไม่คำนงึ ถงึ ชนดิ ของการสรา้ งสรรค์หรอื วธิ ใี นการแสดงออก ทรพั ย์สินทางปัญญา อาจเป็นสงิ่ ทจ่ี บั ต้องได้ เชน่ สนิ คา้ ตา่ ง ๆ หรือ เป็นส่ิงทีจ่ บั ต้องไมไ่ ด้ เชน่ บรกิ าร แนวความคดิ กรรมวิธแี ละ ทฤษฎีต่าง ๆ เป็นต้น ทรัพย์สินทางปัญญามี ๒ ประเภท ทรัพยส์ ินทางอตุ สาหกรรม (Industrial property) และลิขสทิ ธ์ิ (Copyright) ๑. ทรพั ยส์ นิ ทางอตุ สาหกรรม มสี ทิ ธบิ ตั ร แบบผังภูมิของวงจรรวม เครอื่ งหมายการคา้ ความลบั ทางการคา้ ชือ่ ทางการคา้ สิ่งบ่งชี้ทางภมู ิศาสตร์ สงิ่ บ่งชที้ างภมู ศิ าสตร์ หมายความวา่ ชื่อ สัญลกั ษณ์ หรือสิ่งอื่นใดทใ่ี ชเ้ รยี กหรือใช้แทนแหล่ง ภูมิศาสตร์ และทสี ามารถบ่งบอกวา่ สินค้าทเี่ กดิ จากแหล่งภูมิศาสตรน์ นั้ เป็น สินค้าทมี่ ีคุณภาพ ช่ือเสยี ง หรอื คณุ ลกั ษณะเฉพาะของแหล่งภมู ศิ าสตรด์ งั กล่าว ๒. ลิขสทิ ธิ์ คือ งานหรอื ความคดิ สรา้ งสรรค์ในสาขาวรรณกรรม ศลิ ปกรรม ดนตรีกรรม งานภาพยนตร์ หรอื งานอ่นื ใดในแผนกวรณคดี หรอื แผนกศลิ ปะ แผนกวทิ ยาศาสตร์ ลิขสิทธิ์ยังรวมทงั้ สทิ ธิ ข้างเคียง (Neighbouring Right) เหตุ ภาวะเง่อื นไขทจี่ ำเป็นทีท่ ำใหส้ ่ิงหนึง่ เกดิ ขึ้นตามมา เรยี กวา่ ผล เหตกุ ารณ์ ปรากฏการณท์ ีเ่ กดิ ขึ้น อำนาจ ความสามารถในการบบี บงั คบั ให้สงิ่ หนงึ่ (คนหนึง่ ...) กระทำตามทปี่ รารถนา อิทธิพล อำนาจบงั คบั ท่กี อ่ ใหเ้ กิดความสำเรจ็ ในสงิ่ ใดส่ิงหนงึ่ เอกลกั ษณ์ ลักษณะทีม่ คี วามเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีทใี่ ดเหมือน ตำนาน เปน็ เรื่องเลา่ ต่อกันมาและถกู บันทึกขน้ึ ภายหลัง

204 พงศาวดาร คอื การบนั ทึกเหตกุ ารณท์ ี่เกิดขน้ึ ตามลำดับเวลา ซ่งึ ส่วนใหญจ่ ะเป็นเรื่องราวท่ีกบั พระมหากษตั ริย์ และราช สำนัก อดตี คอื เวลาทีล่ ว่ งมาแล้ว ความสำคญั ของอดีต คือ อดตี จะครอบงำความคดิ และความรูข้ องเราอยา่ งกวา้ งขวางลกึ ซึ้ง อดีตทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั กลมุ่ คน/ความสำคญั ทมี่ ตี ่อเหตกุ ารณ์และกลุม่ คนจะถกู นำมาเชอื่ มโยงเข้าด้วยกนั นกั ประวัตศิ าสตร์ เป็นผบู้ นั ทกึ เหตกุ ารณท์ ีเ่ กดิ ข้ึน ผูส้ รา้ งประวตั ศิ าสตร์ขนึ้ จากหลกั ฐานประเภทต่าง ๆ ตาม จุดม่งุ หมายและวธิ กี ารคดิ ซึ่งงานเขียนอาจนำไปสกู่ ารเปน็ วชิ าประวตั ิศาสตร์ไดใ้ นทส่ี ดุ ความมุง่ หมายในการเขยี นประวตั ิศาสตร์ - นกั ประวัติศาสตรร์ นุ่ เก่า มุ่งสกู่ ารรวมชาต/ิ รบั ใชก้ ารเมือง - นักประวัตศิ าสตร์รนุ่ ใหม่ มุง่ ท่จี ะหาความจรงิ (truth) จากอดตี และตคี วามโดยปราศจากอคติ (bias) หลกั ฐานประเภท ต่าง ๆ จะให้ขอ้ เทจ็ จริงบางประการ ซึง่ จะนำไปสคู่ วามจริงในท่ีสุดโดยมวี ธิ กี ารแบง่ ประเภทของ หลกั ฐานหลายแบบ เชน่ หลกั ฐานสมยั กอ่ นประวตั ิศาสตร์และหลกั ฐานสมยั ประวตั ิศาสตร์แบบหนง่ึ หลกั ฐาน ประเภทลายลักษณอ์ ักษรและหลักฐานทีไ่ มใ่ ช่ลายลักษณ์แบบหน่ึง หรือหลกั ฐานชั้นต้นและหลักฐานชนั้ รอง (หรือ หลกั ฐานชัน้ ท่ีหนง่ึ ชน้ั ท่ีสอง ช้ันท่สี าม) อีกแบบหน่ึง หลักฐานที่จะถกู ประเมินวา่ น่าเชอื่ ถอื ท่สี ดุ คอื หลกั ฐานทเี่ กดิ รว่ มสมยั หรอื เกิดโดยผทู้ ่ีรู้เห็นเหตกุ ารณ์นนั้ ๆ แต่กระนัน้ นกั ประวัตศิ าสตรก์ จ็ ะตอ้ งวิเคราะหท์ งั้ ภายในและภายนอกก่อนด้วยเชน่ กนั เนอื่ งจากผู้ทอี่ ยรู่ ว่ มสมัยก็ย่อมมจี ดุ ม่งุ หมายส่วนตัวในการบันทกึ ซึง่ อาจทำ ใหเ้ ลือกบนั ทกึ เฉพาะเรือ่ งบางเรือ่ งเท่านน้ั อคติ คอื ความลำเอยี ง ไม่ตรงตามความเปน็ จรงิ เปน็ ธรรมชาติของมนษุ ย์ทุกคน ซ่งึ ผู้ทเี่ ป็นนกั ประวัติศาสตรจ์ ะตอ้ ง ตระหนักและควบคมุ ให้ได้ ความเป็นกลาง คอื การมองดว้ ยปราศจากความรสู้ กึ อคตจิ ะเกดิ ขึ้นไดห้ ากเขา้ ใจธรรมชาติของหลกั ฐานแต่ละประเภท เข้าใจปรชั ญาและวิธกี ารทางประวตั ศิ าสตร์ เขา้ ใจจุดมงุ่ หมายของผ้เู รียน ผูบ้ ันทกึ ประวตั ศิ าสตร์ (น่ันคอื เขา้ ใจวา่ บนั ทึกเพ่ืออะไร เพราะเหตใุ ด) ความจริงแท้ (real truth) คอื ความจริงท่ีคงอยแู่ นน่ อนนริ นั ดร์ เป็นจุดหมายสูงสุดท่นี กั ประวตั ศิ าสตร์ ม่งุ แสวงหาซ่ึงจะต้องอาศยั ความเขา้ ใจและความจรงิ ท่อี ยู่เบอ้ื งหลงั การเกิดพฤตกิ รรมและเหตกุ ารณต์ ่าง ๆ (ท่ี มนษุ ยเ์ ป็นผสู้ ร้าง) ซึ่งการแสวงหาความจริงแท้ ตอ้ งอาศัยความสมบรู ณข์ องหลักฐานและกระบวนการทาง ประวัติศาสตร์ทล่ี ะเอยี ด ถถ่ี ว้ น กนิ เวลายาวนาน แต่น้คี ือ ภาระหน้าท่ีของนกั ประวตั ศิ าสตร์ ผู้สอนวชิ าประวตั ิศาสตร์ คอื ผ้นู ำความรทู้ างประวัติศาสตรม์ าพัฒนาใหผ้ ู้เรียนเกิดความรู้ เจตคตแิ ละทักษะในการใช้ กระบวนการวิทยาศาสตรใ์ นการแสวงหาความจรงิ และความจริงแทจ้ ะตอ้ งศกึ ษาผลงานของนกั ประวตั ิศาสตร์ และเลอื กเนื้อหาประวัติศาสตรท์ ี่เหมาะสมกบั วัยของผู้เรียน โดยต้องเป็นไปตามจุดประสงคข์ องหลกั สตู รและ สอดคลอ้ งธรรมชาติของประวตั ิศาสตร์ เวลาและยคุ สมยั ทางประวัติศาสตร์ เป็นการศกึ ษาเร่อื งการนับเวลา และการแบ่งชว่ งเวลาตามระบบตา่ ง ๆ ท้งั แบบ ไทย สากล ศกั ราชทสี่ ำคญั ๆ ในภมู ภิ าคตา่ ง ๆ ของโลก และการแบ่งยุคสมยั ทางประวัติศาสตร์ ทั้งน้เี พ่อื ให้ ผู้เรียนมีทักษะพืน้ ฐานสำหรบั การศกึ ษาหลักฐานทางประวัตศิ าสตร์ สามารถเขา้ เหตุการณ์ทางประวตั ศิ าสตรท์ ี่ สัมพันธ์กบั อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ตระหนักถงึ ความสำคญั ในความต่อเน่ืองของเวลา อิทธพิ ลและความสำคญั ของเวลาท่มี ีต่อวถิ กี ารดำเนนิ ชีวิตของมนุษย์

205 วธิ กี ารทางประวัติศาสตร์ หมายถงึ กระบวนการในการแสวงหาข้อเท็จจรงิ ทางประวตั ศิ าสตร์ ซึง่ เกดิ จากวิธวี ิจยั เอกสารและ หลักฐานประกอบอืน่ ๆ เพ่ือให้ไดม้ าซ่งึ องคค์ วามรใู้ หม่ทางประวตั ิศาสตรบ์ นพ้นื ฐานของความเป็นเหตุเปน็ ผล และ การวเิ คราะหเ์ หตุการณ์ตา่ ง ๆ อยา่ งเป็นระบบ ประกอบดว้ ยข้นั ตอนตอ่ ไปน้ี หนง่ึ การกำหนดเปา้ หมายหรือประเดน็ คำถามท่ีตอ้ งการศกึ ษา แสวงหาคำตอบด้วยเหตุ และผล (ศกึ ษาอะไร ชว่ งเวลาไหน สมยั ใด และเพราะเหตใุ ด) สอง การคน้ หาและรวบรวมหลกั ฐานประเภทตา่ ง ๆ ทง้ั ท่ีเป็นลายลกั ษณ์อักษร และไมเ่ ปน็ ลายลกั ษณ์อักษร ซ่ึง ได้แก่ วตั ถโุ บราณ รอ่ งรอยถิน่ ทอี่ ยอู่ าศัยหรอื การดำเนินชีวิต สาม การวิเคราะห์หลกั ฐาน (การตรวจสอบ การประเมนิ ความนา่ เชอื่ ถือ การประเมนิ คุณค่าของหลกั ฐาน) การ ตีความหลกั ฐานอย่างเปน็ เหตเุ ป็นผล มคี วามเปน็ กลาง และปราศจากอคติ สี่ การสรปุ ขอ้ เท็จจรงิ เพ่อื ตอบคำถาม ด้วยการเลือกสรรข้อเทจ็ จริงจากหลกั ฐานอย่างเครง่ ครัดโดยไม่ใช้ค่านิยม ของตนเองไปตดั สนิ พฤติกรรมของคนในอดตี โดยพยายามเขา้ ใจความคดิ ของคนในยุคนั้นหรือนำตวั เข้าไปอยู่ใน ยุคสมยั ที่ตนศกึ ษา หา้ การนำเสนอเรอื่ งท่ีศกึ ษาและอธบิ ายไดอ้ ยา่ งสมเหตุสมผล โดยใช้ภาษาทีเ่ ข้าใจงา่ ย มคี วามตอ่ เนื่อง น่าสนใจ ตลอดจนมกี ารอ้างอิงข้อเท็จจริง เพ่ือให้ไดง้ านทางประวตั ศิ าสตรท์ มี่ คี ณุ ค่าและมีความหมาย พัฒนาการของมนษุ ยชาติจากอดตี ถึงปัจจบุ นั เป็นการศกึ ษาเรอ่ื งราวของสังคม มนุษย์ในบรบิ ทของเวลาและสถานที่ โดยทวั่ ไปจะแยกเรือ่ งศกึ ษาออกเปน็ ด้านต่าง ๆ ได้แก่ การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี และความสัมพันธ์ระหวา่ งประเทศ โดยกำหนดขอบเขตการศกึ ษาในกลุ่มสังคม มนุษย์กลมุ่ ใดกลุม่ หนง่ึ เชน่ ในท้องถิ่น/ประเทศ/ภมู ภิ าค/โลก โดยมุ่งศึกษาวา่ สังคมนัน้ ๆ ได้เปลยี่ นแปลงหรือพัฒนาตามลำดับเวลาได้ อย่างไร เพราะเหตใุ ด จึงเกดิ ความเปลีย่ นแปลงมีปจั จัยใดบา้ ง ท้งั ทางดา้ นภูมศิ าสตร์และปจั จยั แวดล้อมทางสงั คม ทมี่ ผี ลต่อพฒั นาการหรอื การสร้างสรรคว์ ัฒนธรรม และผลกระทบของการสรา้ งสรรค์ของมนษุ ยใ์ นด้านต่าง ๆ เป็นอย่างไร ทง้ั นี้เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจอดตี ของสังคมมนุษย์ในมิตขิ องเวลาและความตอ่ เนอ่ื ง ภมู ิศาสตร์ เปน็ คำท่ีมาจากภาษากรกี (Geography) หมายถงึ การพรรณนาลกั ษณะของโลกเปน็ ศาสตรท์ างพื้นที่ เป็น ความรทู้ ว่ี า่ ดว้ ยปฏสิ ัมพนั ธข์ องสิง่ ต่าง ๆ ในขอบเขตหนึง่ ลกั ษณะทางกายภาพ ของภมู ิศาสตร์ หมายถงึ ลักษณะทมี่ องเหน็ เป็นรปู รา่ ง รูปทรง โดยสามารถมองเห็นและ วเิ คราะห์ไปถงึ กระบวนการเปลยี่ นแปลงต่าง ๆ ท่ีเกิดขน้ึ ในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ซ่งึ เกยี่ วข้องกบั ลักษณะของธรณี สณั ฐานวทิ ยาภมู อิ ากาศวิทยา ภมู ศิ าสตรด์ นิ ชีวภมู ิศาสตร์พืช ภมู ิศาสตรส์ ตั ว์ ภมู ศิ าสตรส์ ่งิ แวดลอ้ มต่าง ๆ เปน็ ต้น ปฏสิ ัมพนั ธ์ระหว่างกนั หมายถงึ วิธีการศึกษา หรือวธิ กี ารวิเคราะห์ พจิ ารณาสำหรบั ศาสตรท์ างภมู ศิ าสตรไ์ ด้ใช้ สำหรบั การศกึ ษาพจิ ารณา คดิ วิเคราะห์ สังเคราะห์ถึงสิง่ ต่าง ๆ ทีม่ ีผลตอ่ กันระหว่างสิ่งแวดล้อมกับมนุษย์ (Environment) ทางกายภาพ ดว้ ยวธิ กี ารศกึ ษา พจิ ารณาถึง ความแตกตา่ ง ความเหมอื นระหว่างพ้ืนที่หนึง่ ๆ กบั อีกพื้นที่หนง่ึ หรอื ระหว่างภูมภิ าคหนง่ึ กบั ภูมิภาคหน่ึง โดย พยายามอธิบายถงึ ความแตกต่าง ความเหมอื น รปู แบบของภูมิภาค และพยายามขีดเส้นสมมตุ ิ แบ่งภูมภิ าคเพ่อื พิจารณาวเิ คราะห์ ดูสมั พันธภาพของภมู ิภาคเหลา่ นั้นว่าเปน็ อย่างไร ภูมศิ าสตร์ คอื ภาพปฏสิ ัมพนั ธ์ของธรรมชาติ มนษุ ย์ และวัฒนธรรม รปู แบบตา่ ง ๆ ถ้าพิจารณาเฉพาะปัจจัยทางธรรมชาติ จะเปน็ ภูมศิ าสตร์กายภาพ (Physical Geography)

206 ถา้ พิจารณาเฉพาะปัจจยั ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับมนุษย์ เช่น ประชากร วิถชี วี ติ ศาสนา ความเช่ือ การเดินทาง การอพยพ จะเป็นภมู ศิ าสตรม์ นุษย์ (Human Geography) ถา้ พจิ ารณาเฉพาะปจั จัยท่ีเป็นส่ิงท่มี นษุ ยส์ รา้ งขึ้น เช่น การตั้งถิน่ ฐาน การคมนามคม การคา้ การเมือง จะเปน็ ภูมิศาสตร์วฒั นธรรม (Cultural Geography) ภมู อิ ากาศ คอื ภาพปฏิสัมพันธ์ขององคป์ ระกอบอตุ นุ ิยมวิทยา รูปแบบตา่ ง ๆ เช่น ภูมอิ ากาศ แบบรอ้ นชน้ื ภูมอิ ากาศ แบบอบอนุ่ ชน้ื ภูมอิ ากาศแบบรอ้ นแหง้ แล้ง ฯลฯ ภูมปิ ระเทศ คือ ภาพปฏิสัมพนั ธ์ขององคป์ ระกอบแผ่นดิน เช่น หิน ดิน ความตา่ งระดับ ทำใหเ้ กิดภาพลกั ษณะ รปู แบบต่าง ๆ เชน่ พืน้ ทแี่ บบภูเขา พ้นื ที่ระบบลาด เชงิ เขา พนื้ ทร่ี าบ พน้ื ทีล่ มุ่ ฯลฯ ภมู ิพฤกษ์ คือ ภาพปฏสิ ัมพนั ธข์ องพชื พรรณ อากาศ ภมู ปิ ระเทศ ดนิ สัตว์ปา่ ในรปู แบบต่าง ๆ เช่น ป่าดบิ ป่าเต็งรัง ปา่ เบญจพรรณ ป่าทุ่งหญ้า ฯลฯ ภมู ิธรณี คอื ภาพปฏสิ ัมพันธข์ องแร่ หิน โครงสร้างทางธรณี ทำใหเ้ กิดรปู แบบทางธรณชี นิดตา่ ง ๆ เช่น ภูเขาแบบทบ ตวั ภูเขาแบบยกตัว ทร่ี าบนำ้ ทว่ มถงึ ชายฝง่ั แบบยุบตวั ฯลฯ ภมู ิปฐพี คือ ภาพปฏสิ ัมพันธข์ องแร่ หนิ ภูมปิ ระเทศลกั ษณะอากาศ พชื พรรณ ทำให้เกดิ ดินรูปแบบ ตา่ ง ๆ เชน่ แดนดินดำ มอดินแดง ดินทรายจดั ดนิ กรด ดนิ เค็ม ดินพรุ ฯลฯ ภมู ิอทุ ก คือ ภาพปฏิสัมพันธ์ของแผน่ ดนิ ภูมปิ ระเทศ ภูมอิ ากาศ ภูมิธรณี พชื พรรณ ทำใหเ้ กิดรปู แบบแหลง่ น้ำชนดิ ตา่ ง ๆ เชน่ แม่นำ้ ลำคลอง หว้ ย หนอง บึง ทะเล ทะเลสาบ มหาสมุทร นำ้ ใตด้ ิน นำ้ บาดาล ฯลฯ ภมู ดิ ารา คอื ภาพปฏสิ มั พนั ธข์ องดวงดาว กลมุ่ ดาว เวลา การเคลอื่ นการโคจรของ ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ทำใหเ้ กิดรปู แบบปรากฏการณต์ า่ ง ๆ เช่น การเกดิ กลางวนั กลางคืน ข้างขึน้ -ขา้ งแรม สรุ ิยปุ ราคา ตะวันอ้อมเหนอื ตะวนั ออ้ มใต้ ฯลฯ ภัยพิบัติ เหตุการณท์ ก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ความเสียหายและสญู เสยี อย่างรุนแรง เกดิ ข้นึ จากภัยธรรมชาติและกระทำของมนษุ ย์ จน ชุมชนหรอื สงั คมที่เผชญิ ปญั หาไมอ่ าจรับมอื เชน่ ดนิ ถลม่ สึนามิ ไฟป่า ฯลฯ แหลง่ ภมู ศิ าสตร์ หมายความวา่ พน้ื ที่ของประเทศ เขต ภูมิภาคและทอ้ งถ่ิน และให้หมายความรวมถงึ ทะเล ทะเลสาบ แมน่ ้ำ ลำนำ้ เกาะ ภูเขา หรอื พ้ืนท่ีอนื่ ทำนองเดยี วกนั ด้วย เทคนิคทางภมู ศิ าสตร์ หมายถึง แผนที่ แผนภูมิ แผนภาพ และกราฟ ภายถ่ายทางอากาศ และภาพถ่ายจากดาวเทยี ม เทคโนโลยีภมู สิ ารสนเทศ สือ่ ทีส่ ามารถคน้ ข้อมลู ทางภูมศิ าสตร์ได้ มิตทิ างพ้นื ที่ หมายถึง การวิเคราะห์ พจิ ารณาในเร่อื งขององค์ประกอบทางภูมศิ าสตร์ที่เก่ียวขอ้ งกับเวลา สถานท่ี ปจั จัยแวดล้อม และการกระจายของพ้นื ทใ่ี นรปู แบบตา่ ง ๆ ทั้งความกวา้ ง ยาว สงู ตามขอบเขตทีก่ ำหนด หรอื สมมุติพ้ืนทขี่ ึ้นมาพิจารณา การศึกษารูปแบบทางพื้นที่ หมายถึง การศกึ ษาเรือ่ งราวเกย่ี วกับพ้ืนทีห่ รือมติ ิทางพ้นื ทข่ี อง สงั คมมนุษย์ ที่ต้ังถิ่น ฐานอยู่ มกี ารใชแ้ ละกำหนดหน่วยเชิงพนื้ ท่ี ทช่ี ดั เจน มกี ารอาศยั เสน้ ท่เี ราสมมุตขิ ึน้ อาศยั หน่วยตา่ ง ๆ ขน้ึ มา กำหนดขอบเขต ซึ่งมีองคป์ ระกอบลกั ษณะทางกายภาพ ทางเศรษฐกิจ สงั คม วัฒนธรรม การเมือง และลกั ษณะ ทางพฒั นาการของมนษุ ยท์ ่ีเด่นชัด สอดคล้องกนั เป็นพ้นื ฐานในการศึกษา แสวงหาข้อมลู ภูมิศาสตรก์ ายภาพ หมายถึง ศาสตรท์ ี่ศกึ ษาเรือ่ งเกี่ยวกบั ระบบธรรมชาติ ถงึ ความเปน็ มา ความเปล่ียนแปลง และ พัฒนาการไปตามยคุ สมยั โดยมีขอบเขตที่กลา่ วถึง ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ ลกั ษณะภูมิอากาศ ภูมิปฐพี (ดนิ ) ภูมิอากาศ (ลมฟ้าอากาศ บรรยากาศ) และภูมิพฤกษ์ (พืชพรรณ ป่าไม้ ธรรมชาต)ิ รวมทัง้

207 ทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ มตามธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาตทิ ่มี ผี ลต่อชีวติ และความเป็นอยู่ ของมนษุ ย์ สิ่งแวดล้อม สง่ิ ท่อี ยู่รอบ ๆ ส่งิ ใดส่งิ หนงึ่ และมอี ทิ ธิพลตอ่ ส่งิ นั้น อาทิ อากาศ นำ้ ดนิ ต้นไม้ สตั ว์ ซง่ึ สามารถถกู ทำลาย ได้โดยการขาดความระมดั ระวงั ส่ิงแวดล้อมทางภายภาพ หมายถงึ ทุกส่ิงทกุ อยา่ ง ยกเว้นตวั มนษุ ย์และผลงาน และมนุษย์ สงิ่ แวดลอ้ มทางกายภาพ ไดแ้ ก่ ภูมอิ ากาศ ดิน พชื พรรณ สัตวป์ า่ ธรณสี ณั ฐาน (ภเู ขาและ ที่ราบ) บรรยากาศ มหาสมทุ ร แรธ่ าตุ และน้ำ อนรุ กั ษ์ การรกั ษา จดั การ ดูแลทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละวฒั นธรรม หรือการรักษาปอ้ งกนั บางสง่ิ ไมใ่ ห้ เปลย่ี นแปลง สญู หายหรือถกู ทำลาย ภมู ิศาสตร์มนุษย์ และสง่ิ แวดล้อม หมายถึง ศาสตรท์ ่ีศกึ ษาเรือ่ งราวเก่ยี วกับมนษุ ย์ วิถีชวี ติ และ ความเปน็ อยู่ กจิ กรรมทางเศรษฐกิจและสังคม สงิ่ แวดล้อมดา้ นสงั คมทง้ั ในเมืองและท้องถ่นิ การเปลีย่ นแปลงทางสิง่ แวดลอ้ ม สาเหตแุ ละผลกระทบท่มี ตี ่อมนุษย์ ปญั หาและแนวทางแกป้ ัญหาทางสงั คม กรอบทางพ้ืนท่ี (Spatial Framework) หมายถึง การวางขอ้ กำหนดหรอื ขอบเขตของพ้ืนที่ในการศึกษาเร่ืองใด เร่ืองหน่งึ หรอื แบบรปู แบบกระจายของส่ิงต่าง ๆ บนผิวโลกสว่ นใดสว่ นหน่ึง เพื่อให้เราเข้าใจลักษณะ โลกของมนษุ ยด์ ีข้นึ เช่น การกำหนดใหม้ นุษย์ และวัฒนธรรมของมนุษย์ดขี นึ้ เช่น การกำหนดใหม้ นุษยแ์ ละวฒั นธรรม ของมนษุ ยก์ รอบพน้ื ที่ของโลกที่มีลกั ษณะเป็นภมู ิภาค ประเทศ จังหวัด เมอื ง ชมุ ชน ทอ้ งถ่ิน ฯลฯ สำหรับการวเิ คราะห์ หรอื ศกึ ษาองคป์ ระกอบใดองค์ประกอบหน่งึ เฉพาะเรอ่ื ง รปู แบบทางพ้ืนท่ี (Spatial Form) หมายถึง ข้อเท็จจรงิ เคร่อื งมอื หรอื วธิ กี าร โดยเฉพาะกลุ่มของขอ้ มลู ท่ไี ดม้ า เปน็ ตน้ ว่า ความสมั พนั ธท์ างพนื้ ท่แี บบรปู แบบของการกระจาย การกระทำระหว่างกนั เครื่องมอื ทใี่ ช้ ไดแ้ ก่ แผนที่ ภาพถ่าย ฯลฯ พน้ื ท่หี รือระวางที่(Space) หมายถงึ ขอบเขตทางพน้ื ทใ่ี นการวิเคราะหท์ างภูมิศาสตร์ เป็นการศึกษาพ้นื ท่ใี นมิตติ า่ ง ๆ ตามระวางที่ (Spatiak study) ที่กำหนดขึน้ มีขอบเขตชดั เจน อาจจะมีการกำหนดเปน็ เขตบริเวณ สถานที่ นำมิติ ของความกวา้ ง ความลกึ ความสงู ความยาว รวมทัง้ มติ ทิ างเวลา ในเขตพน้ื ท่ีตา่ ง ๆ ตามที่เรากำหนด ขอบเขต ระหว่างท่ี ดว้ ยเครอ่ื งมือ เส้นสมมติและเทคนิคทางภูมิศาสตรต์ า่ ง ๆ เชน่ แผนท่ี ภาพถ่าย ฯลฯ อาจจะจำแนก เปน็ เขต ภูมิภาค ประเทศ จงั หวดั เมือง ชุมชน ทอ้ งถิน่ ฯลฯ ทเ่ี ฉพาะเจาะจงไป มกี ารพิจารณา วเิ คราะห์ถงึ การ กระจายและสัมพันธภาพของมนษุ ยบ์ นผวิ โลก และลกั ษณะทางพน้ื ทขี่ องการตัง้ ถิ่นฐานของมนษุ ย์ และการทใี่ ช้ ประโยชน์จากพ้ืนโลก สมั พนั ธจ์ ากถิ่นฐานของมนษุ ย์ และการทใี่ ชป้ ระโยชน์จากพนื้ โลก สมั พนั ธภาพระหวา่ ง สังคมมนุษย์กบั สิง่ แวดลอ้ มทางกายภาพ ซ่ึงถือว่าเปน็ ส่วนหน่งึ ในการศึกษาความแตกตา่ งเชงิ พืน้ ท่ี (Area difference) มติ สิ ัมพันธเ์ ชงิ ทำเลท่ีตัง้ หมายถึง การศึกษาความแตกตา่ งหรือความเหมือนกันของสงั คมมนุษยใ์ นแตล่ ะสถานท่ี ใน ฐานะทค่ี วามแตกตา่ งและเหมอื นกนั นั้นอาจมคี วามเกีย่ วเน่ืองกบั ความแตกต่างและความเหมอื นกนั ในสิง่ แวดล้อม ทางกายภาพ ทางเศรษฐกจิ ทางสังคม ทางวฒั นธรรม ทางการเมอื ง และการศกึ ษาภูมทิ ศั น์ทแ่ี ตกตา่ งกันในเร่ือง องค์ประกอบ ปจั จยั ตลอดจนแบบรปู การกระจายของมนุษย์บนพน้ื โลก และการทมี่ นุษย์ใช้ประโยชน์จากพน้ื โลก เหตุไรมนุษยจ์ งึ ใชป้ ระโยชน์จากพ้ืนโลก แตกตา่ งกนั ในสถานทีต่ ่างกัน และในเวลาทต่ี ่างกนั มีผลกระทบอย่างไร ภาวะประชากร รายละเอยี ดข้อเทจ็ จรงิ เกยี่ วกบั ประชากรในเร่อื งสำคญั 3 ดา้ น คอื ขนาดประชากร การกระจายตัวเชิงพ้ืนท่ี และองค์ประกอบของประชากร

208 ขนาดของประชากร จำนวนประชากรท้งั หมดของเขตพ้นื ที่หน่งึ พื้นที่ ณ เวลาท่กี ลา่ วถงึ การกระจายตวั เชิงพน้ื ท่ี การท่ีประชากรกระจายตัวกันอยใู่ นสว่ นต่างๆ ของพ้นื ทห่ี น่งึ พ้ืนที่ ณ เวลาทีก่ ลา่ วถึง องค์ประกอบของประชากร ลักษณะต่าง ๆ ทีม่ สี ่วนผลักดนั ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดหรอื จำนวนประชากร องคป์ ระกอบของประชากรเป็นดชั นีอย่างหน่ึงที่ช้ใี ห้เหน็ ถงึ คณุ ภาพของประชากร องคป์ ระกอบประชากรทีส่ ำคญั ไดแ้ ก่ เพศ อายุ การศกึ ษา อาชพี การสมรส การเปลย่ี นแปลงประชากร องค์ประกอบสำคญั ทท่ี ำให้เกิดกรเปลย่ี นแปลงประชากร คือ การเกดิ การตาย และการ ยา้ ยถ่ิน

209 คณะกรรมการจดั ทำหลกั สตู ร กลุม่ สาระการเรยี นรูส้ ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เอกสารประกอบหลกั สตู รสถานศกึ ษา ทีจ่ ดั การเรยี นการสอนนกั เรยี นทม่ี ีความบกพรอ่ งทางการได้ยิน โรงเรยี นโสตศึกษาจังหวดั รอ้ ยเอ็ด พุทธศักราช ๒๕๖๕ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) คณะกรรมการท่ปี รึกษา ดร.สถาพร มงคลสวัสดิ์ ประธานคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพน้ื ฐาน คณะทำงาน ผู้อำนวยการโรงเรียนโสตศึกษาจงั หวดั ร้อยเอด็ ๑. นายวชั รพล มนตรภี กั ดี รองผู้อำนวยการโรงเรยี นโสตศึกษาจังหวดั ร้อยเอด็ ๒. นายพรหมณฐั กญั จน์ ผิวใบคำ ครู วิทยฐานะครชู ำนาญการพิเศษ ๓. นายสมจิตร สดุ าปัน ครู วทิ ยฐานะครชู ำนาญการพเิ ศษ ๔. นายนริ นั ดร์ ลำพาย ครู วทิ ยฐานะครูชำนาญการ ๕. นายบุญส่ง ขนานแข็ง ครู วทิ ยฐานะครชู ำนาญการ ๖. นางประภาภรณ์ วิยะทา ครู วิทยฐานะครูชำนาญการ ๗. นางสาวจิรวดี แสงรัตนวงศ์ ครู ๘. นางสาวอรพรรณ วรรณสงิ ห์ ครู ๙. นายวัชรพงษ์ ธงชยั

๓๐๕

หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม เอกสารประกอบหลกั สตู รสถานศึกษา ที่จดั การเรยี นการสอนนักเรียนท่มี คี วามบกพร่องทางการไดย้ นิ โรงเรียนโสตศกึ ษาจงั หวัดร้อยเอ็ด พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๕ ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook