วิธกี าร ข้อเดน่ ขอ้ ด้อย การสอบถาม ประหยดั ค่าใช้จา่ ย ไม่เหมาะสมกบั กล่มุ ผ้ใู ห้ขอ้ มูลที่มี ความรู้น้อย หรืออา่ นหนังสือไมอ่ อก ผูต้ อบมักใหค้ วามรว่ มมือ และยนิ ดี ใหข้ ้อมลู เนอ่ื งจากสามารถปกปดิ มักมีอตั ราการตอบกลบั ต่า สถานะได้ หากคาถามไม่ชัดเจน เขา้ ใจยาก ช่วยลดความลาเอยี งท่ีเกดิ จากการ ผู้ตอบอาจตอบผดิ ประเดน็ เลือกถามคาถามท่ีต่างกนั ในการ สัมภาษณ์ จากข้อเด่นและข้อดอ้ ยของเทคนคิ วิธกี ารเก็บรวบรวมข้อมูลตา่ ง ๆ ปัจจบุ ันนักวิจัย/นักพฒั นา หลักสูตรจึงอาจเลือกใช้วิธีผสม (mixed method) ดังนั้น ในระยะหลงั จึงมกั พบว่า งานวจิ ัยหรอื การ พฒั นาหลกั สูตรชนิ้ หนึ่ง ๆ อาจเลอื กใช้เทคนคิ วิธีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู มากกว่า 1 วิธี 5. การสนทนากลุม่ การสนทนากล่มุ เป็นเทคนิควิธกี ารรวบรวมข้อมูลวิธีหนึ่งซ่ึงเป็นการเก็บข้อมูลจากแหล่ง ปฐมภูมิ เป็นการรวบรวมข้อมูลจากการนั่งสนทนาของกลุ่มผู้ให้ข้อมูล (Key Informant) เป็นกลุ่ม โดยผู้เข้าร่วมการสนทนากลุ่มจะถูกคัดเลือกจากผู้ท่ีมีประสบการณ์ตรง หรือเป็นผู้สามารถให้ข้อมูลที่ ต้องการได้ ดังนั้น ผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่มจึงจะเป็นผู้ที่มีคุณลักษณะหลาย ๆ ประการท่ีคล้ายคลึงกัน (Homogeneity) โดยกลุ่มคนเหล่าน้ี จะถูกเชิญให้มาร่วมวงสนทนากันอย่างเป็นธรรมชาติ ใน บรรยากาศที่เหมาะสม โดยมีจานวนสมาชกิ อยูร่ ะหว่าง 8-10 คน (บางตาราระบจุ านวน 6-12 คน) องค์ประกอบของการสนทนากลุ่ม มดี งั นี้ 1) ประเดน็ ที่ตอ้ งการสนทนา ซง่ึ จะทาให้สามารถรับทราบความคดิ เห็นในแง่มุมต่าง ๆ 2) แนวคาถามทีจ่ ะต้องกาหนดไวล้ ่วงหนา้ และจะต้องมกี ารจัดเป็นหมวดหมู่ และลาดับ กอ่ นหลงั เพ่อื ป้องกันความสบั สนในการสนทนา 3) การคัดเลือกผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่ม โดยจะคัดเลือกผู้ท่ีมีประสบการณ์ตรง และมีภูมิ หลังคล้าย ๆ กันหรือใกลเ้ คียงกนั เพ่ือประโยชนใ์ นการแลกเปลี่ยนความคดิ เหน็ ระหวา่ งสมาชิกในกลุ่ม 4) บุคลากรท่จี ะดาเนินการสนทนากลมุ่ ประกอบด้วย พิธีกร ที่จะทาหน้าที่ถามคาถาม และนาการพูดคุย รวมทั้งควบคุมการ สนทนาใหเ้ ปน็ ไปตามวตั ถุประสงค์ กระตุ้นให้สมาชิกได้แสดงความคดิ เห็นอยา่ งท่วั ถงึ เท่าเทยี มกนั ผู้จดบันทึกการสนทนา ซึ่งจะจดทั้งคาพูด อากัปกริยา ท่าทาง อารมณ์ รวมทง้ั การบันทึกผงั การนงั่ ของสมาชิกผเู้ ขา้ ร่วมสนทนาด้วย 42
ผู้ช่วยดาเนินรายการ เป็นผู้คอยอานวยความสะดวกให้แก่กลุ่มผู้สนทนา ทุกด้าน อาทิ การบริการน้า อาหารว่าง รวมท้ังคอยควบคุมไม่ให้กลุ่มผู้สนทนาได้รับการรบกวนจาก ภายนอก 5) อุปกรณท์ ใี่ ช้ในการสนทนากลมุ่ ประกอบดว้ ย เครอื่ งบนั ทกึ เสียง โดยจะต้องเตรียมสารองแบตเตอรี่ให้เพียงพอ สถานที่สาหรับการสนทนา ซึ่งจะต้องเป็นสถานที่ท่ีสมาชิกรู้จัก มีความ สะดวกสบาย เงยี บสงบไมพ่ ลุกพล่านหรอื มเี สียงรบกวน ของที่ระลึก เพ่ือตอบแทนสมาชิกที่เข้าร่วมกลุ่มสนทนา ซึ่งจะแจกให้หลัง เสรจ็ การสนทนาแลว้ อาหารว่าง น้าด่ืมระหว่างการสนทนา รวมทั้งอุปกรณ์เสริมการพูดคุย อาทิ รูปภาพ เอกสาร หนังสอื ฯลฯ ระยะเวลาท่เี หมาะสม คอื ไมค่ วรเกนิ กว่า 2 ชว่ั โมงโดยประมาณ การดาเนนิ การสนทนากลุม่ 1) เชิญสมาชิกเข้าห้องท่ีจัดเตรียมไว้ หากเป็นห้องที่ใหญ่ และสมาชิกนั่งห่างกัน อาจ ต้องมีระบบเสียงเข้ามาช่วยใหก้ ารสนทนาเป็นไปอย่างราบรืน่ ชดั เจน 2) ควรมีป้ายชื่อ (อาจเป็นช่ือจรงิ หรือชื่อสมมุติก็ได้) สาหรับสมาชิกทุกคน โดยวางป้าย ช่ือไว้ด้านหน้าเพอื่ ให้สามารถเรยี กชือ่ กนั ได้ 3) เร่ิมต้นด้วยการแนะนาตนเองและทีมงาน โดยพิธีกรจะช้ีแจงวัตถุประสงค์การ สนทนา พรอ้ มท้งั แจง้ ด้วยว่าจะมีการบนั ทึกเสยี งไว้ด้วย 4) สร้างบรรยากาศ สร้างความคนุ้ เคย และเรม่ิ คาถามตามลาดับทเ่ี ตรยี มไว้ 5) เปิดโอกาสให้สมาชิกมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยพิธีกรต้องคอยกระตุ้นให้ สมาชิกได้แสดงความเห็นอย่างทว่ั ถึง รวมท้ังคอยจากัดเวลาสาหรับสมาชิกบางรายท่ีใช้เวลามากเกินไป ในการแสดงความคดิ เหน็ หรือคอบครอบงาความคิดผู้อื่น 6) เมื่อได้พูดคุยจนครบประเด็น และถึงเวลาท่ีต้องยุติ (ไม่ควรเกิน 2 ช่ัวโมง) พิธีกร กลา่ วยตุ ิการสนทนา กล่าวขอบคณุ และแจกของทร่ี ะลกึ แก่ผู้เข้ารว่ มสนทนากลุม่ 43
6. การทดสอบ การทดสอบ เป็นเทคนิควิธีการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งปฐมภูมิ ใชว้ ัดความสามารถด้าน สติปัญญาของกลุ่มตัวอย่างหรือผู้ถูกทดสอบ อาจจะใช้แบบทดสอบหรือข้อสอบท่ีมีอยู่แล้วหรือ สรา้ งใหม่เปน็ เครอ่ื งมือในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เช่น ขอ้ สอบแบบอตั นัย ขอ้ สอบแบบปรนยั เปน็ ต้น เครือ่ งมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล เคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นสิ่งท่ีช่วยให้นักวิจัยหรือนักพัฒนาหลักสูตรได้ข้อมูล ตรงกับส่ิงที่ต้องการศึกษาและข้อมูลมีความครบถ้วนถูกต้อง เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมี หลายชนิด แต่ละชนิดจะมีลักษณะและชื่อที่ใช้เรียกแตกต่างกันไป เช่น แบบสังเกต แบบสอบถาม แบบสมั ภาษณ์ แบบทดสอบ เป็นต้น ซ่ึงจะขอกล่าวถึงเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่สอดคล้อง กับวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่นาเสนอไปข้างต้น คือ แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม แบบ บนั ทกึ ประเด็นการสนทนา และแบบทดสอบ 1. แบบสงั เกต แบบสังเกต (Observation form) เป็นเครื่องมือการวิจัยประเภทหน่ึงท่ีถูกนามาใช้เพื่อ การเก็บรวบรวมข้อมลู ท่ีได้จากการใช้ประสาทสัมผัสทง้ั หา้ ไดแ้ ก่ หู ตา จมูก ลิ้น และกาย (การสมั ผัส ดว้ ยรา่ งกาย) ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลอย่างเป็นระบบ เพื่อนามาใชอ้ ธิบายเหตกุ ารณ์ พฤติกรรม หรือ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางสังคมที่เกิดขึ้นภายในหน่วยวิจัยท่ีกาลังศึกษา สาหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ หรือการวิจัยประเภทผสม (Mixed Method) โดยทั่วไป การสังเกตจะต้องดาเนินการในลักษณะที่ผู้ ถูกสังเกตไม่รู้ตัว เพื่อการหลีกเล่ียงการแสดงข้อมูลพฤติกรรม หรือปรากฏการณ์ท่ีไม่เป็นไปตามปกติ หรือเป็นธรรมชาติ ในการใช้เคร่ืองมือประเภทนี้ ผู้ท่ีทาหนา้ ท่ีสังเกตควรแสวงหาโอกาสท่ีเหมาะสมใน การเข้าไปสังเกตเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้ถูกต้องและใกล้เคียงสภาพธรรมชาติ หรือความเป็นปกติให้มาก ที่สดุ เคร่อื งมือทใี่ ชเ้ พ่ือการสงั เกต สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนดิ คือ 1) แบบสังเกตแบบไร้โครงสร้าง (Unstructured Observation Form) เป็นแบบ สังเกตที่ไม่มีโครงสร้างหรือรูปแบบแน่นอนตายตัว แต่มักข้ึนอยู่กับประสบการณ์และตัวผู้สังเกตเอง โดยอาจมลี ักษณะเปน็ หวั ขอ้ หรือประเด็นเพือ่ การสังเกตแบบง่าย ๆ 2) แบบสังเกตแบบมีโครงสร้าง (Structured Observation Form) เป็นแบบสังเกตท่ี มีโครงสร้างหรือรูปแบบแน่นอนตายตัว โดยอาจมีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) แบบมาตราประมาณคา่ (Rating Scale) หรือแบบคาถามปลายเปิด กไ็ ด้ ตามความเหมาะสม 44
ตัวอย่างแบบสังเกตแบบมีโครงสร้างประเภทตรวจสอบรายการ แบบสังเกตพฤติกรรมของผ้เู รยี นในการใชแ้ บบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขยี นคา (การทดลองขัน้ หนึ่งตอ่ หน่ึง) ตามโครงการพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคา สถาบนั กศน.ภาคเหนือ .............................................................. สถานศกึ ษา : กศน.อาเภอ........................................................... จงั หวัด..................................................... กศน.ตาบล/ศศช........................................................................................................................................... ผเู้ รยี นคนท่ี ...... : ชอ่ื -สกุล.......................................................................................................................... เร่อื งท่ี ………………………………………………………………………………………………………………………………………… สงั เกตพฤติกรรมการเรยี นรู้ : วันท่ี..............เดือน....................................................พ.ศ.............................. เรือ่ งที.่ ........... : .......................................................................................................................................... ที่ ประเด็นสังเกต ความถขี่ องพฤติกรรม บนั ทกึ ข้อสังเกต 1 ทาหน้าฉงนหรือสงสัยหรอื ขมวดควิ้ รอยขีดแสดง ความ จานวนครั้ง ถี่ 2 แสดงอาการเงียบผิดปกติ 3 มีข้อสงสัยและซกั ถาม 4 แสดงอาการเกาศีรษะ 5 มีความกระตอื รอื รน้ สนใจเนอ้ื หา 2. แบบสัมภาษณ์ แบบสัมภาษณ์ (Interview Form) เป็นเคร่ืองมือการวิจัยอีกประเภทหน่ึงที่ถูกนามาใช้ เพ่ือการเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีได้จากการสนทนา ซ่ึงอาจเป็นการถามและตอบกันโดยตรงแบบ เผชิญหน้า (face-to-face interview) หรือผ่านทางโทรศัพท์ (telephone interview) ก็ได้ ทั้งนี้ ผู้ ถามจะมีฐานะเปน็ ผูส้ ัมภาษณ์ (Interviewer) ส่วนผูต้ อบจะมฐี านะเป็นผถู้ ูกสมั ภาษณ์ (Interviewee) 45
แบบสัมภาษณ์ สามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็น 3 แบบ ไดแ้ ก่ 1) แบบสมั ภาษณ์ชนิดมีโครงสร้าง (Structured Interview) เป็นแบบสัมภาษณ์ใช้กับ การสัมภาษณ์ท่ีมีการกาหนดโครงสร้างของข้อคาถามต่าง ๆ ท่ีต้องการเก็บข้อมูลไว้ล่วงหน้าแล้ว โดย มักจะจัดพิมพ์ไว้เป็นแบบสัมภาษณ์ เพ่ือให้ผู้สัมภาษณ์ใช้ประกอบการซักถามผู้ถกู สัมภาษณ์ทุก ๆ คน ด้วยข้อคาถามชุดเดียวกันตามท่ีกาหนดไว้ในแบบสัมภาษณ์ โดยผู้สัมภาษณ์จะเป็นผู้ทาหน้าท่ีจด บันทึกคาตอบท้ังหมดของผู้ถูกสัมภาษณ์ลงในแบบสัมภาษณ์ด้วยตนเองหรืออาจใช้การอัดเทป ประกอบเม่ือยุติการสัมภาษณ์แล้ว ถ้าการจดบันทึกไม่ชัดเจนหรือบันทึกไม่ทันผู้สัมภาษณ์จะกลับมา เปิดเทปเพอื่ เพิ่มเติมให้ถูกต้อง 2) แบบสัมภาษณ์ชนิดไร้โครงสร้าง (Unstructured Interview) เป็นแบบสัมภาษณ์ที่ ใชก้ ับการสัมภาษณ์ท่ีไม่มีโครงสร้างหรอื ไม่มีการสรา้ งข้อคาถามที่ต้องการจะเก็บข้อมลู ไว้ก่อนหน้า แต่ อาจจัดทาไว้เพียงเป็นประเด็นหรือแนวข้อคาถามอย่างคร่าว ๆ ซ่ึงไม่มีรูปแบบท่ีแน่นอนไว้เพื่อให้ผู้ สัมภาษณ์ใช้เป็นแนวทางในการพูดคุยหรือซักถามกับผู้ถูกสัมภาษณ์ ด้วยเหตุน้ี ผู้ถูกสัมภาษณ์แต่ละ คนอาจจะได้รับข้อคาถามในลักษณะที่มีความยืดหยุ่นแตกต่างกัน แต่ทุกคาถามก็ยังคงจะต้องอยู่ ภายใตป้ ระเด็นเดียวกัน ซึง่ ผู้วิจยั ตอ้ งการเก็บข้อมูล ด้วยเหตุน้ี ผู้สัมภาษณ์จงึ จาเปน็ จะต้องมีความรู้ใน เรื่องที่กาลังทาวิจยั และความสามารถในการตั้งคาถามให้ตรงประเด็นท่ีผู้วิจัยต้องการเก็บข้อมูล และ ในทานองเดียวกับการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ผู้สัมภาษณ์จะเป็นผู้ทาหน้าที่จดบันทึกคาตอบ ทัง้ หมดของผถู้ กู สมั ภาษณล์ งในแบบสมั ภาษณ์ดว้ ยตนเองหรือใช้เคร่ืองบันทึกเสียงช่วย 3) แบบสัมภาษณ์ ชนิดกึ่งโครงสร้าง (Semi-structured Interview) เป็นแบบ สัมภาษณ์ที่ใช้กับการสัมภาษณ์ท่ีมีลักษณะการสัมภาษณ์ท่ีอยู่ระหว่างการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง กับการสัมภาษณ์แบบไร้โครงสร้าง ดังนั้น แบบสัมภาษณ์สาหรับการสัมภาษณ์แบบนี้ จึงมักไม่มี รูปแบบท่ีแน่นอน แต่จะมีลักษณะผสมผสานระหว่างโครงสร้างข้อคาถามและการกาหนดประเด็น คาถามไว้ล่วงหน้า โดยการสัมภาษณ์แบบก่ึงโครงสร้างน้ี นิยมใช้กับการวิจัยเชิงคุณภาพซึ่งต้องการ ความยืดหยุ่นของข้อประเด็นคาถามเพื่อการเก็บข้อมูล ในขณะที่ยังคงไว้ซึ่งเนื้อหาสาระท่ีครอบคลุม ประเดน็ ศกึ ษาอย่างครบถ้วน ส่วนประกอบของแบบสัมภาษณ์ โดยทั่วไป แบบสัมภาษณ์ สามารถแบ่งออกได้ เป็น 4 สว่ น ดงั ตอ่ ไปนี้ สว่ นนา เป็นขอ้ มลู เก่ียวกบั โครงการ/หลักสตู ร ไดแ้ ก่ ชือ่ โครงการ/ชือ่ หลกั สตู ร เป็นตน้ ส่วนผู้สัมภาษณ์ เป็นข้อมูลเก่ียวกับผู้สัมภาษณ์ และสภาพทั่วไปของการสัมภาษณ์ ไดแ้ ก่ ชอื่ สกลุ ของผู้สมั ภาษณ์ วัน/เวลา/สถานท่ี ทใี่ ชส้ มั ภาษณ์ 46
ส่วนผู้ถูกสัมภาษณ์ เป็นข้อมูลเก่ียวกับผู้ถูกสัมภาษณ์ เช่น ชื่อ สกุลของผู้ถูก สัมภาษณ์ (ในกรณีที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ยินยอม) หรือสถานของผู้ถูกสัมภาษณ์ เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพการสมรส ศาสนา อาชพี รายได้ และระยะเวลาในการทางาน เปน็ ต้น ส่วนคาถาม เป็นส่วนของข้อคาถาม (ในกรณีที่เป็นการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง) หรือประเด็นหรือแนวข้อคาถามอย่างคร่าว ๆ (ในกรณีที่เป็นการสมั ภาษณ์แบบไรโ้ ครงสร้าง) และเนื้อ ท่ีเพ่ือการจดบันทกึ ผลการสัมภาษณ์ ตวั อย่างแบบสมั ภาษณ์แบบมีโครงสร้าง แบบสมั ภาษณ์ (ส่วนนา) ชื่อโครงการวิจัย: การพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาขน้ั พ้นื ฐานนอกระบบของ กศน.ตาบล ทม่ี ี ประสทิ ธิภาพ โดยใช้ Mobile Learning (ส่วนผู้สัมภาษณ)์ ช่ือ-สกลุ ผู้สัมภาษณ์....................................................วนั /เดอื น/ปี ทส่ี ัมภาษณ์................................ เวลา: …………………………………………………………สถานที่:.................................................................. (ส่วนผ้ถู กู สัมภาษณ์) ผถู้ กู สมั ภาษณ์ :..........................................................สถานะ:.......................................................... ระดบั การศึกษา:...................................................อายงุ าน:.............................................................. (สว่ นคาถาม) คาถามในการสัมภาษณ์ (กรณที ี่เป็นการสัมภาษณแ์ บบมโี ครงสร้าง) 1. ท่านกาหนดนโยบายในการจัดการศึกษาข้ันพ้ืนฐานนอกระบบของ กศน.ตาบล โดยใช้ Mobile Learning อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ในการเตรยี มความพร้อมของบุคลากรในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานนอกระบบของ กศน.ตาบล โดยใช้ Mobile Learning ท่านดาเนินการอย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………… อน่ึง ในการพัฒนาแบบสัมภาษณ์ในปัจจุบัน ไม่นิยมการเว้นที่ว่างไว้เพื่อการจด บันทึกผลการสัมภาษณ์ แต่จะใช้เทปบันทึกเสียง หรือเคร่ืองบันทึก MP3 บันทึกการสัมภาษณ์แทน การจดบันทึก แล้วนาผลการบนั ทึกเสยี งมาทาการถอดเป็นข้อความอีกคร้ังหน่ึง ดังน้ัน แบบสัมภาษณ์ ในระยะหลังจึงมีลกั ษณะทสี่ ั้น ง่าย และบรรจุไวแ้ ตเ่ ฉพาะประเดน็ คาถามเทา่ น้ัน 47
3. แบบสอบถาม แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมอื ที่นยิ มนามาใช้เพ่ือการเก็บรวบรวมข้อมูล มากที่สุด แบบสอบถามจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับแบบทดสอบ แต่จะเป็นการใช้เพื่อตรวจสอบ ความคิด ความเห็น ข้อเท็จจริง หรือการปฏิบัติของผู้ตอบแบบสอบถาม ด้วยเหตุนี้ แบบสอบถามจึง เป็นคาถามท่ีไม่ต้องการคาตอบถูกหรือผิด แต่เป็นการมุ่งเน้นการวัดระดับความคิด ความเห็น ข้อเท็จจริง หรือการปฏิบัติ ซ่ึงอาจมีตั้งแต่ 2 ระดับ ไปจนถึงหลายระดับ อย่างไรก็ตาม เป็นท่ีน่า สังเกตว่า ระดับของการวัดในแบบสอบถามมักจะมีลักษะเป็นเลขคี่ เช่น 3 หรือ 5 หรือ 7 หรือ 9 ระดับ เป็นตน้ ในทานองเดียวกันแบบสอบถาม สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะตามประเภทของ คาถามทใี่ ช้ในแบบสอบถาม คอื 1) แบบสอบถามปลายเปิด (Open-ened Questionnaire) เป็นแบบสอบถามท่ีมี ลักษณะของการตั้งคาถาม โดยเปิดโอกาสให้ผู้ตอบแบบสอบถามได้แสดงความคิด ความเห็นได้อย่าง อสิ ระ เพื่อให้นกั วิจัย/นักพัฒนาหลักสูตรสามารถนาคาตอบซึ่งสะท้อนความคิด ความเห็น หรือทัศนะ ของผู้ตอบแบบสอบถาม ไปวิเคราะห์เนื้อหาสาระ (Context analysis) เพื่อสรุปเป็นผลการวิจัยหรือ เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร ข้อดีของการใช้แบบสอบถามปลายเปิด คือ การไม่ปิดก้ัน คาตอบ หรือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ตอบแบบสอบถามสามารถแสดงความคิดและความเห็นได้โดย อิสระ โดยปราศจากข้อจากัดหรือการช้ีนา อย่างไรก็ตาม ในบริบทแบบไทย ๆ ซึ่งไม่นิยมแสดงความ คิดเห็นอย่างเป็นทางการ ผู้วิจัยหรือนักพัฒนาหลักสตู รอาจไม่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลใด ๆ ได้โดย การใช้แบบสอบถามแบบปลายเปิด เนื่องจากผู้ตอบแบบสอบถามมักไม่นิยมตอบแบบสอบถาม ลักษณะนี้ แต่ในหลาย ๆ กรณี ผู้วิจัยหรือนักพัฒนาหลักสูตรอาจสามารถใช้แบบสอบถามปลายเปิด เพื่อทาการสารวจข้อมูลเบ้ืองต้น (pre-survey) แล้วจึงนามาวิเคราะห์ จัดหมวดหมู่ และพัฒนาเป็น แบบสอบถามปลายปิด เพอ่ื ใช้เกบ็ ขอ้ มลู จริงตอ่ ไป ซึง่ แม้วา่ การสารวจข้อมูลเบ้อื งต้นน้ี จะต้องใชเ้ วลา ไปบ้าง แต่ขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากการวิจยั หรือขอ้ มลู ที่จะนาไปพฒั นาหลกั สตู รจะมีคุณภาพมากยง่ิ ข้ึนดว้ ย ตวั อยา่ งแบบสอบถามปลายเปิด จงแสดงความคิดเหน็ ตามความรคู้ วามเขา้ ใจของทา่ น 1. ความรคู้ วามสามารถของตนเองในการประกอบอาชพี (นอกเหนือจากอาชีพการเกษตร) ได้แก่ ............................................................................................................................. ............................ 2. ทรพั ยากรของตนเองและของชมุ ชนทจี่ ะช่วยส่งเสริมเพิ่มผลผลติ ในการประกอบอาชีพ อะไรบ้าง ............................................................................................................................. ............................ 48
2) แบบสอบถามปลายปิด (Close-ened Questionnaire) เป็นแบบสอบถามที่มี ลักษณะของการคาถามท่ีผู้วิจัยหรือนักพัฒนาหลักสูตรได้จัดเตรียมคาตอบไว้ให้ผู้ตอบแบบสอบถาม เลือกตอบเรียบร้อยแล้ว ดังน้ัน ผู้ตอบแบบสอบถามจึงทาหน้าที่เพียงตัดสินว่า คาตอบหรอื ตัวเลือกใด น่าจะเหมาะสม ถูกต้อง หรือตรงกับข้อเท็จจริงมากที่สุด ดังน้ัน ผู้ตอบแบบสอบถามจึงมักเต็มใจตอบ คาถามในลักษณะน้ี อย่างไรก็ตาม การสร้างแบบสอบถามแบบปลายปิดจะมีข้อจากัดตรงท่ีต้องใช้ เวลาในการสร้างนานกว่า โดยเฉพาะเม่ือเทียบกับการสร้างแบบสอบถามแบบปลายเปิด เนื่องจาก นักวิจัยหรือนักพัฒนาหลักสูตรจะต้องใช้เวลาในการศึกษาค้นคว้า ทั้งประเด็นคาถามและคาตอบให้ ชัดเจน และตรงกับข้อเท็จจริงมากท่ีสุด และในบางกรณี การใช้แบบสอบถามปลายปิดก็เป็นการปิด ก้นั ความคิดและไม่เปิดโอกาสให้ผู้ตอบแบบสอบถามแสดงเหตุผลประกอบ ทาให้ข้อมูลที่เก็บรวบรวม ไดข้ าดความมีเหตมุ ีผลไป โดยทั่วไป แบบสอบถามปลายปิด สามารถออกแบบได้ 3 ประเภท ตามลักษณะ คาถามและคาตอบที่ใชใ้ นแบบสอบถาม ดงั น้ี (1) แบบสอบถามประเภทเลือกตอบ (Multiple Choices) เป็นการประยุกต์ข้อ คาถามชนิดท่ีมีคาตอบให้เลือกหลายคาตอบในลักษณะเดียวกับคาถามในข้อสอบแบบปรนัยหลาย ตัวเลือก โดยตัวเลือกอาจมีได้ตั้งแต่ 2 ตัวเลือก ไปจนถึงหลายตัวเลือกตามความจาเป็น ผู้ตอบ แบบสอบถามจงึ ทาหน้าที่เพียงการตัดสอบใจเลือกคาตอบที่เหมาะสมท่ีสุด ที่อาจมีเพียงตัวเลือกเดียว หรือหลายตวั เลอื กก็ได้ ตวั อย่างคาถามแบบมีคาตอบให้เลือกหลายคาตอบ คาช้ีแจง: โปรดทาเครอ่ื งหมาย ลงในช่อง หนา้ ตวั เลอื กทีต่ รงกับความเป็นจรงิ เก่ียวกับตัวท่าน การศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน ระดบั ประถมศึกษา มธั ยมศึกษาตอนตน้ มัธยมศึกษาตอนปลาย การศึกษาเพ่ือพฒั นาอาชพี หลกั สูตร.................................................................................................... การศึกษาเพอ่ื พฒั นาทักษะชวี ิต โครงการ............................................................................................. การศกึ ษาเพ่อื พฒั นาสงั คมชมุ ชน โครงการ........................................................................................... ผู้ให้ข้อมูล (นาย/ นาง/ นางสาว)............................................................................อาย.ุ .........................ปี เลขทบ่ี ตั รประชาชน - - - - อาชีพ ลูกจา้ ง รับราชการ คา้ ขาย เกษตรกร ทหาร ธรุ กิจส่วนตวั ว่างงาน อ่ืน ๆ ......................................................... การศกึ ษาระดับชัน้ ต่ากว่าประถมศกึ ษา ประถมศกึ ษา ม.ตน้ ม.ปลาย อนปุ รญิ ญา ปริญญาตรขี นึ้ ไป 49
(2) แบบสอบถามประเภทจัดลาดับ (Ranking) เป็นแบบสอบถามท่ีออกแบบข้อ คาถาม เพ่ือให้ผู้ตอบแบบสอบถามตัดสินใจจัดลาดับตัวเลือกต่าง ๆ ท่ีผู้วิจัยหรือนักพัฒนาหลักสูตร กาหนดไว้แล้ว ตามเกณฑ์ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เช่น ตามลาดับความต้องการ ความสาคัญ ขนาด หรือปริมาณ เป็นตน้ ด้วยการระบตุ วั เลขลงในชอ่ งวา่ งทีก่ าหนด ตัวอยา่ งแบบสอบถามประเภทจัดลาดบั กรณุ าใสห่ มายเลขเพอ่ื เรยี งลาดบั อาชีพทีท่ า่ นสนใจและต้องการฝกึ ทักษะ( 1=ต้องการมากทส่ี ุด และ9 ตอ้ งการ นอ้ ยท่ีสุด) หมวดเกษตรกรรม หมวดคหกรรม ............. เพาะเหด็ .............เบเกอร่ี .............เล้ียงสตั ว์ ระบุ....................... .............การทาอาหารว่าง .............แปรรูปผลติ ผลทางการเกษตร .............การทาขนมไทย .............การทาปยุ๋ หมกั .............การทาเครื่องดืม่ สมนุ ไพร .............อ่นื ๆ .................................. .............การตดั เยบ็ เสอ้ื ผา้ สตร/ี ชาย ............การตัดผมชาย .............การตดั ผม – เสรมิ สวย .............การเย็บปกั ถักร้อย .............การถักโครเชท์ .............อืน่ ๆ .................................. (3) แบบสอบถามประเภทมาตราประมาณค่า (Rating Scale) เป็นแบบสอบถามท่ี ออกแบบข้อคาถามเพื่อให้ผู้ตอบแบบสอบถามประเมินข้อคาถามออกมาเป็นมาตราส่วนตามระดับ ความคิดเห็น ระดับความต้องการหรือระดับการปฏิบัติ เป็นต้น โดยผู้วิจัยหรือนักพัฒนาหลักสูตรได้ กาหนดมาตรส่วนของคาตอบไวเ้ รียบร้อยแล้ว ซ่งึ มาตราส่วนท่กี าหนดโดยทั่วไปมักมีลักษณะเป็นเลขคี่ เพอ่ื ใหม้ คี ่ากลางจดุ สมดลุ 50
ตัวอยา่ งแบบสอบถามประเภทประมาณค่า คาชี้แจง โปรดทาเคร่ืองหมาย ในช่องท่ีตรงกับระดับความพงึ พอใจของทา่ น ที่ รายการ ระดับความพงึ พอใจ มาก มาก ปาน นอ้ ย น้อย ท่ีสดุ กลาง ที่สดุ 1 ด้านหลักสตู ร 1.1 ท่านมีส่วนร่วมในการเสนอปญั หาความ ตอ้ งการในการจดั กจิ กรรมครงั้ น้ี 1.2 ท่านมสี ว่ นร่วมในการวางแผนจัดกิจกรรมการ เรียนร้แู ละกาหนดหลักสตู ร 1.3 เน้ือหาหลักสตู รสอดคล้องกบั ปัญหาตรงกับ ความตอ้ งการของท่าน ปัจจุบันแบบสอบถามประเภทมาตราประมาณค่า ได้ถูกพัฒนาให้มีลักษณะของใน หลาย ๆ รูปแบบ เพ่ือให้เหมาะสมกบั การใช้งาน เช่น (Likert Rating Scale) มาตราประมาณค่าแบบ ออสกูด ฯลฯ แต่ลักษณะของมาตราประมาณค่าที่เรานิยมนามาใชใ้ หเ้ ก็บรวบรวมข้อมลู ของ กศน. คือ มาตราประมาณคา่ แบบลเิ คริ ท์ 4. แบบบนั ทึกประเดน็ การสนทนา แบบบันทึกประเด็นการสนทนา เป็นเครื่องมือท่ีนามาใช้เพ่ือการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้ จากการสนทนากล่มุ (Focus group) โดยจะต้องมกี ารกาหนดแนวคาถามเพอ่ื การสนทนา แนวคาถามเพื่อการสนทนาอาจมีลักษณะคล้ายคลึงกบั แบบสัมภาษณ์ กลา่ วคอื สามารถ แบ่งออกได้เป็น 3 แบบ คือ แนวคาถามเพ่ือการสนทนาแบบมีโครงสร้าง แนวคาถามเพื่อการสนทนา แบบก่ึงโครงสร้าง และแนวคาถามเพ่ือการสนทนาแบบไร้โครงสร้าง โดยแนวคาถามเพื่อการสนทนา จะเป็นแบบใด มักขึ้นกับผู้นาการสนทนาเป็นหลัก และด้วยการเอื้ออานวยของเทคโนโลยีในปัจจุบัน แนวคาถามเพ่ือการสนทนาท่ีใช้งานในปัจจุบันก็มักไม่นิยมเว้นท่ีไว้จดบันทึกผลการสนทนามากนัก หรือไม่มีเลย แตจ่ ะใชเ้ ครื่องบันทกึ เสยี งเปน็ เครอ่ื งมือในการจดบันทึกเปน็ หลัก 51
ตัวอยา่ งประเด็นคาถามในการสนทนากลุ่ม ประเด็นคาถามในการสนทนากลุม่ การวจิ ยั เรือ่ ง การพัฒนารปู แบบการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานนอกระบบของ กศน.ตาบล ทม่ี ปี ระสิทธิภาพ โดยใช้ Mobile Learning สถาบนั กศน.ภาคเหนือ ............................................................................................................................. ............................ ประเด็นคาถาม 1. ในการจัดการศึกษาขั้นพ้ืนฐานนอกระบบโดยใช้ Mobile Learning ท่านได้วิเคราะห์ผู้เรียน อยา่ งไร 2. การวิเคราะห์หลักสูตรรายวิชา (เนื้อหา: ง่าย/ ปานกลาง/ยาก) โดยใช้ Mobile Learning ท่านดาเนนิ การอย่างไร 3. การวิเคราะห์การจดั การเรียนรู้โดยใช้ Mobile Learning ท่านดาเนนิ การอยา่ งไร 3.1 เรียนรดู้ ว้ ยตนเอง 3.2 พบกลมุ่ 3.3 สอนเสรมิ / โครงงาน/ อ่นื ๆ 4. การจดั ทาแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่านดาเนินการอย่างไร 5. การออกแบบการจดั กระบวนการเรยี นรู้ (ออกแบบกจิ กรรม) 6. การกาหนดแนวทางการวดั ผลและประเมนิ ผลท่านดาเนินการอยา่ งไร 6.1 วิธีการวดั ผลและประเมนิ ผล 6.2 การสรา้ งเคร่ืองมอื วดั ผล (เช่น แบบทดสอบ ใบงาน ฯลฯ) 5. แบบทดสอบ แบบทดสอบ (Testing Items Form) เป็นเครอ่ื งมือท่ีใช้เพ่ือการวัดระดับสติปัญญาหรือ ความรู้ความสามารถทางสติปัญญา (Intellectual Ability) ของกลุ่มตัวอย่าง หรือผู้ถูกทดสอบ ท้ังที่ เกี่ยวกับความรู้ ความจา หรือความเข้าใจ ในลักษณะเดียวกับแบบทดสอบท่ีใช้วัดความรู้ ความจา หรือความเข้าใจของนักเรียน นักศกึ ษา ในการประยุกต์ใช้แบบทดสอบในลักษณะของเครอ่ื งมือทใ่ี ช้ใน การวิจัยน้ัน ข้อคาถามแต่ละข้อจะถูกเรียบเรียงขึ้นมาเป็นชุด โดยมีการตั้งเกณฑ์ หรือขอบเขตของ คาตอบท่ีถูกต้องเอาไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจน เพื่อให้สามารถตัดสินได้ว่า คาตอบท่ีกลุ่มตัวอย่างหรือผู้ ถูกทดสอบตอบน้นั ถูกหรือผดิ และผลของการวดั จะออกมาในรปู แบบของคา่ คะแนน แนวการสร้างแบบทดสอบที่นิยมใช้กันมากท่ีสุด สามารถแบ่งออกตามลักษณะของ จดุ ม่งุ หมายในการสรา้ งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 52
1) แบบทดสอบ ประเภทอัตนัย (Subjective Test Item) ในทานองเดียวกับ แบบทดสอบประเภทอัตนัยที่ใช้ประเมินความรู้ของผู้เรียน แบบทดสอบประเภทอัตนัยเพ่ือการวิจัย หรือการพัฒนาหลักสูตร เป็นแบบทดสอบท่ีมีลักษณะเป็นข้อคาถามชนิดที่ต้องการให้กลุ่มตัวอย่าง หรือผู้ถูกทดสอบเขียนคาตอบดว้ ยตนเอง แบบทดสอบประเภทอตั นัยเพื่อการเก็บขอ้ มูล สามารถแบ่ง ออกได้ 3 ชนิด คือ (1) แบบทดสอบประเภทอัตนัยชนิดไม่จากัดความยาวของคาตอบ (Essay- extended response) เป็นแบบทดสอบเพื่อการวิจัยหรือการพัฒนาหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้กลุ่ม ตวั อย่างหรือผถู้ ูกทดสอบสามารถเขยี นคาตอบได้อย่างอิสระตามความรูห้ รือความเขา้ ใจของตน โดยไม่ มกี ารกาหนดความยาวของคาตอบ ตวั อยา่ งคาถามในแบบทดสอบประเภทอัตนยั ชนิดไมจ่ ากัดความยาวของคาตอบ -ในฐานะผู้สอนท่ีรบั ผิดชอบการส่งเสรมิ การรหู้ นงั สือสาหรับกลมุ่ เปา้ หมายท่ีเปน็ ชนเผา่ ทา่ นได้ นาความรู้ ทักษะ และเทคนคิ การสอนภาษาไทยแบบแจกลูก-สะกดคาไปใช้อยา่ งไร จงอธิบาย (2) แบบทดสอบประเภทอตั นัยชนิดจากดั ความยาวของคาตอบ (Essay-restricted response) เป็นแบบทดสอบเพ่ือการวิจัยหรือการพัฒนาหลักสูตรที่กาหนดให้กลุ่มตัวอย่างหรือผู้ถูก ทดสอบจะต้องเขยี นคาตอบภายใต้เงอ่ื นไขบางอย่างทผ่ี ้วู จิ ยั หรอื นกั พฒั นาหลักสูตรกาหนดไว้ ตวั อย่างคาถามในแบบทดสอบประเภทอัตนัยชนิดจากดั ความยาวของคาตอบ -ในฐานะผูส้ อนท่รี บั ผดิ ชอบการส่งเสริมการร้หู นงั สอื สาหรับกลุม่ เปา้ หมายทเี่ ป็นชนเผา่ และท่าน ผา่ นการอบรมการสอนภาษาไทยแบบแจกลูก – สะกดคา ขอให้ท่านระบุประเดน็ สาคัญของการ สอนภาษาไทยแบบแจกลกู -สะกดคามาให้ครบถว้ น (3) แบบทดสอบประเภทอัตนัยชนิดตอบอย่างสั้นหรือแบบเติมคา (Shot answer or Complettion) เป็นแบบทดสอบเพื่อการวิจัยท่ีกาหนดให้กลุ่มตัวอย่างหรือผู้ถูกทดสอบจะต้อง เขียนคาตอบส้ัน ๆ เพียงประโยคเดียว หรือเติมคาลงในช่องว่างเพื่อให้ได้ใจความท่ีถูกต้อง สมบูรณ์ มากที่สุด ตวั อยา่ งคาถามในแบบทดสอบประเภทอตั นัยชนดิ ตอบอย่างสน้ั หรือแบบเติมคา -ตามนัยแหง่ มาตรา 15 การจัดการศึกษามีสามรปู แบบ คือ 1)...........................................2)...............................................และ3)............................................. 53
2) แบบทดสอบประเภทปรนัย (Objective Test Item) เป็นการประยุกตแ์ บบทดสอบ ประเภทปรนัยท่ีใช้ในการประเมินความรู้ของผู้เรียนมาใช้เพ่ือประเมินความรู้ ความเป็นปรนัยสาหรับ แบบทดสอบ หมายถึง การที่ผู้อ่านเข้าใจคาถามตรงกัน และผู้ให้คะแนนสามารถให้คะแนนได้ตรงกัน ดังนั้น แบบทดสอบประเภทปรนัย จึงมีลักษณะเป็นข้อคาถามท่ีกาหนดโครงสร้างท้ังในส่วนของข้อ คาถามและคาตอบไว้แล้ว เพื่อให้กลุ่มตัวอย่างหรือผู้ถูกทดสอบตัดสินใจเพียงเลือกคาตอบตาม โครงสร้างของข้อคาถามและคาตอบที่ผู้วิจัยหรือนักพัฒนาหลักสูตรกาหนดมาให้ แบบทดสอบแบบ ปรนัยเพอ่ื การเก็บขอ้ มูลสามารถแบ่งออกได้ 3 ชนดิ คอื (1) แบบทดสอบประเภทปรนัยชนิดถูก-ผิด (True-False Test Item) เป็น แบบทดสอบเพื่อการวิจัยหรือการพัฒนาหลักสูตรท่ีกาหนดให้กลุ่มตัวอย่างหรือผู้ถูกทดสอบทา เครื่องหมาย (ถูก) หรอื (ผิด) ตามความรหู้ รือความเข้าใจของกลมุ่ ตัวอยา่ งหรอื ผถู้ ูกทดสอบ ตวั อย่างคาถามในแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดถกู -ผดิ จงทาเคร่ืองหมาย หน้าข้อความทท่ี า่ นเห็นว่าถกู และ หน้าขอ้ ความที่ท่านเห็นวา่ ผดิ ......................1) คาทขี่ ีดเส้นใต้ นพรัตนส์ ะกดดว้ ยมาตราสะกด แม่กด ......................2) จาก อา่ นวา่ จอ-อา-จา-จา-กอ-จาก (2) แบบทดสอบประเภทปรนัยชนิดจับคู่ (Matching Test Item) เป็นแบบทดสอบ เพ่ือการวิจัยหรือการพัฒนาหลักสูตรที่กาหนดให้กลุ่มตัวอย่างหรือผู้ถูกทดสอ บทาการจับคู่ประเด็น คาตอบด้านซ้ายมือและด้านขวามือท่ีมีความเก่ียวข้องกัน ตามประเด็นเนื้อหาสาระเพ่ือเป็นการ ทดสอบความรูห้ รอื ความเขา้ ใจของกลมุ่ ตวั อย่างหรือผู้ถูกทดสอบ ตวั อยา่ งคาถามในแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดจับคู่ จงจบั คู่คาท่ีมคี วามเกย่ี วขอ้ งกัน โดยเขียนตวั อกั ษรของขอ้ ดา้ นขวามือใสใ่ นทีว่ า่ งหนา้ ข้อดา้ นซ้ายมือ ................................1) ครู กศน.ตาบล ก) จัดทาแผนปฏิบตั ิการประจาปี ................................2) ผเู้ รยี น ข) มีสว่ นร่วมในการออกแบบการเรียนรู้ ค) มสี ถานะเป็นนิติบุคคล 3) แบบทดสอบประเภทปรนัยชนิดหลายตวั เลือก (Multiple-Choise Test Item) เป็น แบบทดสอบเพื่อการวิจัยหรือการพัฒนาหลักสูตรท่ีกาหนดให้กลุ่มตัวอย่างหรือผู้ถูกทดสอ บเลือก คาตอบทีถ่ ูกต้องท่ีสุดเพยี งตวั เลือกเดียวหรือหลาย ๆ ตวั เลอื ก ตามประเด็นเนื้อหาสาระเพอื่ ใชท้ ดสอบ ความรู้หรอื ความเขา้ ใจของกลุ่มตวั อย่างหรือผูถ้ ูกทดสอบจากกลุ่มคาตอบหลาย ๆ คาตอบทผ่ี ู้วิจัยหรือ นักพัฒนาหลักสูตรได้กาหนดไว้ให้สาหรับคาถามแต่ละข้อ ซึ่งโดยทั่วไปคาถามแต่ละข้อ อาจจะมี คาตอบท่ีเป็นตัวเลือกประมาณ 4-5 ตัวเลอื ก 54
ตวั อย่างคาถามในแบบทดสอบแบบปรนัยชนดิ หลายตัวเลือก จงเลือกคาตอบที่ถูกต้องเพียงตัวเลอื กเดยี ว 1. ขอ้ ใดเขยี นผิด ก. สวดมนต์ ข. นิมนต์ ค. ทาวัตร์ ง. อาสนะ ดังน้ัน วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลและเคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจึงมีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต้องสอดคล้องกับวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น ถ้า วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นการสัมภาษณ์ผู้มาใช้บริการของ กศน.ตาบล ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวม ขอ้ มลู จากผู้ให้ข้อมูลท่ีอ่านออก เขียนได้ และอา่ นไม่ออก เขียนไมไ่ ด้ เครื่องมือท่ีเหมาะสมจงึ เป็นแบบ สมั ภาษณ์ความพึงพอใจการบริการของ กศน.ตาบล หากใช้สอบถามอาจประสบข้อจากัดในเร่ืองของ การอ่าน การเขียนของผูใ้ ช้บรกิ าร ในการพิจารณาเลือกใช้วิธีการและเคร่ืองมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล อาจพิจารณาได้ดัง ตัวอย่าง วธิ กี าร เคร่อื งมือ การนาเคร่อื งมอื ไปใช้ เก็บรวบรวมข้อมูล 1. การสงั เกต แบบสงั เกต ใชใ้ นการรวบรวมขอ้ มลู โดยสังเกตพฤติกรรมของ คนหรอื สตั ว์ แลว้ บนั ทกึ ในแบบสงั เกต ซงึ่ ควร กาหนดรายการทีจ่ ะสงั เกตเอาไว้ การสงั เกตจะ ได้ผลดี ถา้ ทาโดยผถู้ ูกสงั เกตไมร่ ู้ตวั จะไดข้ ้อมูล เชิงคุณภาพ แตส่ ามารถแปลงเป็นขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณได้ ในกรณีทเ่ี ป็นการสังเกตสภาพทาง ภูมศิ าสตร์ หรือโครงสร้างทางวัตถุ เช่น ศกึ ษา สภาพชุมชน การจดั รา้ นคา้ หรอื การจัดสานักงาน ผู้สังเกตจะบันทึกส่งิ ทีส่ งั เกตพบหรอื เหน็ ลงใน แบบสังเกต และมักมกี ารบนั ทกึ แผนท่ี หรอื แผนผงั ดว้ ย 2. การสัมภาษณ์ แบบสัมภาษณ์ ใชใ้ นการรวบรวมข้อมูล โดยการสนทนา สอบถาม ปากเปลา่ โดยมีการบันทึกข้อมลู ในแบบสัมภาษณ์ ซง่ึ ควรกาหนดประเดน็ การสมั ภาษณ์ไว้ล่วงหนา้ 55
วิธีการ เครือ่ งมอื การนาเคร่อื งมือไปใช้ เก็บรวบรวมข้อมูล 3. การสอบถาม แบบสอบถาม ข้อมูลท่ีได้เป็นท้งั ข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมลู เชงิ คุณภาพ 4. การสนทนากลุ่ม แบบบนั ทกึ ประเด็น ใชใ้ นการรวบรวมขอ้ มูลท่ีเป็นความคิดเห็น ความ (Focus Group) การสนทนา ตอ้ งการ สภาพปญั หา เป็นตน้ โดยใหผ้ ตู้ อบเขยี น หรือเลือกคาตอบ ซง่ึ คาตอบน้ีไมม่ ีถกู หรือผิด 5. การทดสอบ แบบทดสอบ อาจจะถามนักศกึ ษา ครู ผู้บริหาร ผู้นาชมุ ชน หรือคนในชุมชน ข้อมูลท่ีไดเ้ ป็นทัง้ ข้อมูลเชงิ ปรมิ าณและข้อมูลเชงิ คณุ ภาพ ใช้ในการรวบรวมความคิดเหน็ กลุ่มเล็ก (ไมเ่ กิน 15 คน) เก่ยี วกับเรอื่ งใดเร่ืองหนึง่ ซ่ึงควรกาหนด ประเดน็ การสนทนาไวล้ ่วงหนา้ เช่น การเชิญ นกั ศึกษาและครมู าสนทนาเกี่ยวกับปญั หาการใช้ ชุดวชิ าและหาแนวทางแก้ไข จะได้ข้อมูลเชิง คณุ ภาพ ใช้ในการรวบรวมขอ้ มลู ท่เี ปน็ การวดั ความสามารถด้านสตปิ ญั ญา อาจจะใช้ แบบทดสอบหรือข้อสอบทีม่ ีอยแู่ ล้วหรอื สรา้ งใหม่ โดยใหผ้ ู้ใหข้ อ้ มูลเขยี นคาตอบ จะได้ข้อมูลเชงิ ปริมาณ เช่น ข้อสอบแบบอตั นยั ข้อสอบแบบ ปรนยั เป็นตน้ นอกเหนือจากวิธีการเก็บรวบรวบข้อมูลที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ยังมีเทคนิควิธีการเกบ็ รวบรวม ขอ้ มูลทหี่ นว่ ยงาน/สถานศกึ ษา กศน.นิยมใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู ชุมชน คอื การจัดเวทปี ระชาคม ประชาคม คือ การรวมตัวของสมาชิกในชุมชนเพื่อร่วมกันทากิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชนด้วย ตนเอง เป็นเวทีของการพูดคุย แลกเปล่ียนถกแถลง (ไม่ใช่โต้เถียง) เก่ียวกับข้อมูล เช่น การแก้ไข ปัญหาในชุมชน การวางแผนพัฒนาชุมชน การกาหนดข้อตกลงร่วมกัน โดยกระบวนการมีส่วนร่วม ของประชาชนท่ีมีวัตถุประสงค์หรือสนใจในเร่ืองเดียวกัน เป็นการรวมตัวกันตามสถานการณ์หรือ สภาพปัญหาทเ่ี กิดขึน้ มี 2 ลกั ษณะ คอื 1) อย่างเป็นทางการ โดยการจดั เวทีหรือการจดั ประชมุ 2) อย่างไม่เปน็ ทางการ เช่น การสนทนากลุ่มเลก็ ในศาลาวัด การพบปะพูดคุยอาจเป็นครั้งคราว 56
วิธีการและเทคนคิ การจดั เวทปี ระชาคมหมู่บา้ น/ตาบล วงจรข้นั ตอนการดาเนินการ 1. ข้ันเตรียมการ วัตถุประสงค์ เพ่ือให้ผู้จัดและทีมงานดาเนินงานเวทีประชาคม เข้าใจถึงสภาพปัญหา ของหมู่บ้าน ตาบล ชุมชน ในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และความสัมพันธข์ องผู้คน ในชุมชน เพอื่ นาไปส่กู ารจัดเวทปี ระชาคม ระดบั หม่บู า้ น ตาบล โดยมีขัน้ ตอนดงั นี้ 1.1 ศึกษาข้อมูลชมุ ชน โดยการศึกษาข้อมูลท่ีเก่ียวข้องในชุมชน จากหน่วยงานต่าง ๆ หรือศึกษาข้อมูล ด้านลึกเพิ่มเติมจากชาวบ้าน กลุ่มผู้นาท่ีเป็นทางการและไม่เป็น โดยทางการ โดยการพูดคุย ร่วม กจิ กรรมข้อมลู อนื่ ๆ ท่จี ะเปน็ ประโยชน์ในการจดั เวทปี ระชาคม 1.2 การกาหนดทีมดาเนนิ งาน 1.2.1 ทีมดาเนินงาน ควรมีผู้นาชุมชนเข้าร่วมด้วย เรียนรู้เร่ืองประชาคมตั้งแต่ เริ่มแรกในอนาคต ในอนาคตผู้นาเหล่าน้ีอาจจะเป็นผู้จัดเวทีประชาคมได้เอง จานวนของทีม ดาเนินงาน จะมีจานวนมากน้อยกับขนาดของเวที (จานวนกลุ่มเป้าหมายท่ีเข้าร่วมเวที) อาจจะเร่ิม ตัง้ แต่ 30 คน หรอื มากกว่าน้ีแลว้ แต่ความเหมาะสม 1.2.2 ผู้ดาเนินการในการจดั เวที ควรประกอบดว้ ย 1) ผู้กระตุ้นนา ทาหน้าที่หลักในการดาเนินการตามประเด็นที่ได้เตรียมมา และปรบั ตามสถานการณ์ 57
2) ผู้สร้างบรรยากาศทาหน้าที่ช่วยและเก็บตกจากผู้กระตุ้นหลักของทีม หลงลืมหรือพลาด รวมทง้ั เป็นผู้สรา้ งบรรยากาศให้ตน่ื ตวั ไมน่ ่าเบ่อื 3) ผู้สังเกตการณ์ ทาหน้าที่สังเกตพฤติกรรมของผู้ร่วมเวที ให้ข้อเสนอแนะ เพอ่ื แก้ไขสถานการณ์ และสร้างสรรค์บรรยากาศ 4) ผู้อานวยความสะดวก ทาหน้าที่ในด้านการบริหารอุปกรณ์ ท่ีผู้เข้าร่วม เวทีตอ้ งการตามขนั้ ตอนของเทคนิคท่ใี ช้ 1.3 การกาหนดวตั ถุประสงค์ วัตถุประสงค์จะถูกกาหนดจากผลการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลชุมชน มาเป็น แนวทางในการกาหนด 1.4 การกาหนดกล่มุ เป้าหมาย โดยใช้ข้อมูล และผลวิเคราะห์ ซ่ึงจานวนกลุ่มเป้าหมายควรอยู่ระหว่าง 30–50 คน ผู้ท่ีเข้าร่วมเวทีควรประกอบด้วย กรรมการหมู่บ้าน ผู้แทนกลุ่มต่าง ๆ ผู้อาวุโส ผู้นาท้องถ่ิน ผู้นา ธรรมชาติ อาสาสมคั ร ผมู้ ีสว่ นไดส้ ่วนเสยี สมาชิก อบต. 1.5 ระยะเวลาในการจัดเวทปี ระชาคม พิจารณาตามความเหมาะสม อาจจะเป็นเพียง 1 วัน 2 วัน หรือ 3 วัน สุดแล้ว แลว้ แตป่ ระเด็นในการพดู คยุ เวลาในการประกอบอาชีพ 1.6 ประเดน็ เนื้อหาในการจดั เวทปี ระชาคมท่สี าคัญ ๆ คอื 1) การคน้ หาความคาดหวงั ของชมุ ชน 2) การเรียนรู้ชมุ ชนรว่ มกัน 3) การคน้ หาปัญหาของชมุ ชนและแนวโนม้ ของอนาคต 4) การค้นหาโอกาสทีเ่ อื้อต่อการพฒั นาชุมชน 5) การคน้ หาเพอ่ื นร่วมพัฒนาท้ังในและนอกชุมชน 6) การกาหนดเป้าหมายการพฒั นา 7) การวางแผน วางโครงการ และกจิ กรรม 8) การแบง่ งานเพอื่ การปฏบิ ัติ ให้เปน็ ตามเปา้ หมายการพัฒนาทก่ี าหนด สาหรับเทคนิคที่ใช้ในการจัดเวทีประชาคม ทีมงานต้องเลือกเทคนิคตามความเหมาะสม ของชมุ ชนน้ัน 58
2. ขนั้ ดาเนนิ การ กจิ กรรม วธิ กี าร/เทคนคิ สื่อ/อุปกรณ์ หมายเหตุ 1. สร้างความคุ้นเคย - ปรบั ใชต้ ามความ - สือ่ ทใ่ี ช้ในการประกอบ -อาจให้วาดแผนที่ 1.1 แนะนาตวั เหมาะสม เช่นเกมท่ี เกม เพลงอน่ื ๆ เท่าที่ ภาพรวมชุมชน ผู้เข้าร่วม เสริมสรา้ งความคนุ้ เคย จาเปน็ โดยปราชญ์ ประชมุ ต่างๆ เพลงการปรบมือ ชาวบ้านอาวโุ สเลา่ 1.2 ละลาย การพูดคยุ ฯลฯ - ปากกาเคมี ใหฟ้ ัง พฤติกรรม - บัตรคา - พูดคยุ - กระดาน/ฟลิปชาร์ท 2. แจง้ วตั ถปุ ระสงค์และ - เขียนใสบ่ ตั รคา - เทปกาว ข้อตกลงร่วมกันในการ - นาเสนอบัตรคาตดิ ประชมุ แผ่นกระดาษปรฟุ๊ /ฟลิป - ปากกาเคมี ชารท์ - บตั รคา 3. กาหนดความ - สรปุ รวมเปน็ ขอ้ ตกลง - กระดาษปรุ๊ฟ/ฟลปิ คาดหวงั ของท่ปี ระชมุ ชารท์ - แบง่ กลมุ่ ย่อยเพื่อระดม - เทปกาว 4. การใหก้ ารศึกษา สมอง หาความคาดหวัง ชมุ ชน ของกลุม่ โดยเขยี นลงใน - ปากกาเคมี บัตรคา - บตั รคา - สรุปผลรวมผลความคดิ - กระดาษปรุ๊ฟ/ฟลปิ ของกลุ่มยอ่ ยเปน็ ของที่ ชารท์ ประชมุ ใหญ่ -เทปกาว - สะท้อนภาพรวมของ -ผูอ้ าวุโส /ปราชญ์ ชมุ ชนในด้านตา่ งๆ เช่น ชาวบา้ น โครงสรา้ งพืน้ ฐาน กลุม่ องค์กร การประกอบ อาชพี ทรพั ยากร ประเพณี วัฒนธรรม ความผกู พันธ์ ของชมุ ชน 59
กจิ กรรม วธิ ีการ/เทคนิค สือ่ /อปุ กรณ์ หมายเหตุ สภาพปญั หา โดยใช้ -เพอื่ หาปัญหา ชมุ ชนทกุ แง่มุมทั้ง เทคนิคการกระตุ้นที่ ดา้ นศรษฐกจิ สังคม การเมือง เหมาะสม การปกครอง ศาสนา วฒั นธรรม 5. คน้ หาความปัญหา - ใช้ระดมสมอง - ปากกาเคมี รว่ มกนั - ใหม้ อี าสาสมัครรวบรวม - บัตรคา 6. ค้นหาความหวังและ โอกาส ความคดิ จากการระดม - กระดาษปรุ๊ฟ/ฟลปิ 7. คน้ หาสง่ิ ดีในชุมชน สมองเพ่ือสรปุ ต่อที่ ชาร์ท 8. ค้นหาเพื่อนร่วม พฒั นา ประชมุ ใหญ่ของเวที - เทปกาว - นาเสนอโดยจัดลาดับ ความสาคญั ของปัญหา - ผเู้ ข้าร่วมเวทีต้อง - ปากกาเคมี กาหนดปญั หา - บตั รคา - กระดาน/ฟลิปชาร์ท - เทปกาว - ใหผ้ ู้รว่ มประชมุ เสนอส่งิ - กระดาษปรุ๊ฟ/ฟลปิ ดีที่มีอยู่ในชมุ ชนวา่ มี ชารท์ อะไรบ้าง -ปากกาเคมี -เทปกาว - ช้ีแจง กระตนุ้ ให้ช่วย - ปากกาเคมี คน้ หา - กระดาษปรุ๊ฟ/ฟลปิ - สรปุ ประเด็นลงใน ชารท์ กระดาษปรฟุ๊ /ฟลปิ ชารท์ -เทปกาว 9. กาหนดเปา้ หมายการ - ผเู้ ขา้ รว่ มประชมุ ร่วม - ปากกาเคมี -สามารถกาหนด วิสัยทัศน์และ พัฒนา กาหนดเปา้ หมายการ - กระดาษปรุ๊ฟ/ฟลปิ ยทุ ธศาสตรก์ าร พัฒนาไดเ้ ลย พัฒนา โดยคานงึ ถึงปัจจัย ชาร์ท -ผู้ดาเนินการต้อง กระตุ้นเพือ่ ใหเ้ กดิ เชงิ บวก -เทปกาว 10.รว่ มกันวางแผน - ผู้เข้ารว่ มเวทรี ่วมกัน - บอรด์ ภาพรวมของ วางโครงการ กาหนดแผนโครงการ ชมุ ชนทง้ั หมด 60
กิจกรรม วิธีการ/เทคนิค สอื่ /อุปกรณ์ หมายเหตุ และกิจกรรม เขียนลงใน - ปากกาเคมี โอกาสดๆี ในการ แก้ปัญหา กระดาษปร๊ฟุ /ฟลปิ ชาร์ท - กระดาษปรุ๊ฟ/ฟลปิ จัดหมวดหมูโ่ ครงการ ชาร์ท กจิ กรรม ออกเปน็ 3 - เทปกาว ประเภท 1) ประเภทดาเนินการ เองได้ 2) ประเภทต้อง ดาเนินการรว่ มกับผู้อ่ืน 3) ประเภทรัฐเปน็ ผูด้ าเนนิ การให้ โดย ผดู้ าเนินการและผรู้ ว่ ม เวทีสรุปแผน โครงการ และกิจกรรมทีจ่ ะ ดาเนินการใหบ้ รรลผุ ล 10. เลือกกลมุ่ แกนเพ่ือ - เปิดโอกาสให้ท่ีประชุม - ปากกาเคมี รบั ผิดชอบดาเนินการ เลอื กกลุ่มแกนรับผดิ ชอบ - กระดาษปรุ๊ฟ/ฟลปิ ตามโครงการ ปฏิบตั กิ ารตามโครงการท่ี ชาร์ท กาหนด - เทปกาว 3. ข้นั การประเมินและตดิ ตามผล 3.1 ผู้ดาเนินการและผู้เข้าร่วมเวที ร่วมกันสรุปผลการจัดเวทีประชาคม และประเมิน จดุ เด่น จดุ ด้อย ข้อบกพร่อง ส่ิงที่ควรปรบั ปรงุ แก้ไขสาหรบั การจัดเวทีครัง้ ต่อไป ตลอดจนนาผลงานที่ ปรากฏในระหว่างการจัดเวทีประชาคม จัดเข้าแฟ้มข้อมูล และแสดงผลการดาเนินการเวทีประชาคม ให้ผู้เขา้ รว่ มประชาคมหรอื ผทู้ ส่ี นใจทราบ 3.2 เจ้าหน้าท่ี ผู้นาชมุ ชน ผู้นาท้องถิ่น และผเู้ กี่ยวข้อง ประสานทุกภาคส่วน องค์กรต่าง ๆ เพื่อสนับสนุน การปฏิบัตงิ านของกลุม่ แกนที่รับผิดชอบโครงการน้ัน ๆ และเพื่อเป็นการการให้กาลงั ใจ แกก่ ลมุ่ แกนดว้ ย พร้อมช่วยเหลือแกไ้ ขปญั หาอุปสรรคทเี่ กดิ ขึ้นระหว่างดาเนนิ การ 3.3 เจ้าหน้าท่ี ผู้นาท้องถ่ิน ผู้นาชุมชน ช่วยกันกระตุ้นให้เกิดการจัดเวทีประชาคมคร้ัง ตอ่ ๆ ไป 61
ส่งิ ที่ควรคานงึ ในการจัดเวทปี ระชาคม 1. ก่อนดาเนินการจัดเวทีประชาคม ในแต่ละกิจกรรม ผู้ดาเนินการและทีมงานจะต้อง ศึกษาชุมชนให้ชัดเจนทุกแง่มุม ซึ่งจะนาไปสู่การกาหนดประเด็นเน้ือหา วิธีการ และเทคนิคที่ใช้ให้ ถกู ตอ้ งเหมาะสม 2. การเลือกวิธกี าร และเทคนิคการจดั เวทปี ระชาคม สามารถปรับประยุกต์ใช้ใหเ้ หมาะสม กับความถนดั ความสามารถของผจู้ ดั และกลมุ่ เปา้ หมายได้ 3. กระบวนการจัดเวทีประชาคม ไม่ว่าจะดาเนินการในระดับใดจะต้องยึดข้ันตอนตาม กระบวนการพัฒนาชุมชน 5 ข้ันตอน คือ 1) การศึกษาชุมชน 2) ให้การศึกษาชุมชน 3) การวางแผน 4) การดาเนินการ และ 5) การตดิ ตามประเมินผล (โดยต้องยึดหลกั การมสี ว่ นร่วม) 4. ตอ้ งใช้ทีมงานหลายคนในการจัดเวทีประชาคม 5. ใช้ระยะเวลาในการดาเนินการนาน การวิเคราะหข์ ้อมูล จากการศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐานชุมชนด้านสังคมและวัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขในสังคม ด้วย เครื่องมือเก็บรวบรวบข้อมูลและเทคนิควิธีการต่าง ๆ แล้วทาการวิเคราะห์และนาเสนอข้อมูลแต่ละ ดา้ นในเชิงปริมาณและคุณภาพ สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลลงในตารางวิเคราะห์ขอ้ มูล สภาพปัญหา/ ความต้องการ สาเหตุ และแนวทางแก้ไข เพ่ือนาข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการจัดทาและพัฒนา หลักสูตรรายวิชาเลือกหรือหลักสูตรการศึกษาต่อเน่ืองในขั้นตอนต่อไป ซ่ึงจะขอใช้ตัวอย่างในการ นาเสนอการรวบรวมและวิเคราะห์ขอ้ มูลพ้ืนฐาน ดังนี้ 62
กรณตี วั อยา่ งการรวบรวมและวเิ คราะหข์ ้อมลู พนื้ ฐาน ต่อไปน้ีเป็นตัวอย่างของการเก็บรวบรวมข้อมูลของ กศน.ตาบลบ้านแลง โดยใช้ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างหลากหลาย ได้แก่ การจัดเวทีประชาคม การสนทนากลุ่ม การ สอบถาม การสัมภาษณ์ การทดสอบการร้หู นังสือ เป็นต้น โดยจัดเก็บข้อมูลจากหลายแหล่ง อาทิ ประชาชน นักศกึ ษา กศน. ผู้นาชมุ ชน หน่วยงานภาคีเครือขา่ ยทัง้ ภาครัฐและเอกชน ไดท้ งั้ ข้อมลู ท่ี เปน็ ข้อมลู ปฐมภมู ิ และขอ้ มูลทตุ ยิ ภมู ิ ตามขอ้ มูลท่ีจะนาเสนอตอ่ ไปนี้ ขอ้ มูลพ้ืนฐานของตาบลบ้านแลง 1. สภาพท่ัวไป 1.1 ทีต่ ง้ั องคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบลบา้ นแลง ต้งั อย่ทู างทศิ เหนอื ของอาเภอเมืองลาปาง ระยะทางห่างจากที่ว่าอาเภอเมืองลาปาง ประมาณ 33 กิโลเมตร ตามถนนทางหลวงสายลาปาง-งาว และถนนทางหลวงสายลาปาง-ก่ิวลม เลขที่ 294 หมู่ท่ี 2 บ้านสบมาย ตาบลบ้านแลง อาเภอเมือง จังหวัดลาปาง 1.2 เนื้อที่ พนื้ ท่ีของตาบลบา้ นแลงมปี ระมาณ 329,885 ตารางกโิ ลเมตรหรือประมาณ 206,178 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 28.52 ของพื้นท่ีท้ังอาเภอ (อาเภอเมืองลาปาง มีพื้นที่ 1,156,623 ตารางกโิ ลเมตร) แยกเป็นลกั ษณะดงั ตอ่ ไปนี้ 1. พื้นท่ีป่าสงวนแห่งชาติ(ป่าแม่ยางและป่าแม่อาง) ประมาณ 176,687 ไร่ คิด เป็นร้อยละ 86 ของจานวนพนื้ ท่ีท้งั ตาบล 2. พ้ืนท่ีสวนป่า ขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ประมาณ 20,522 ไร่ คิดเปน็ ร้อยละ 10 ของจานวนพ้นื ทีท่ ง้ั หมด 3. พ้ืนท่ีเพาะปลูกและการเกษตร ประมาณ 7,169 ไร่ คิดเปน็ ร้อยละ 3 ของพ้ืนทท่ี ้ัง ตาบล 4. พ้ืนที่ที่อยู่อาศัยและสาธารณะประโยชน์ ประมาณ 1,800 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 1 ของจานวนพ้ืนทีท่ งั้ ตาบล โดยตาบลบ้านแลงมีอาณาเขตติดตอ่ ดังต่อไปน้ี 63
ทิศเหนือ ติดต่อตาบลบ้านดง อาเภอแม่เมาะ ตาบลเมืองมาย (บ้านแม่เบินและบ้าน ไผง่ าม) ตาบลบ้านสา อาเภอแจ้หม่ รวมระยะทางทศิ เหนอื ประมาณ 14 กิโลเมตร ทิศตะวันออก ติดต่อตาบลบ้านดง อาเภอแม่เมาะจังหวัดลาปาง รวมระยะทางทิศ ตะวนั ออกประมาณ 17 กิโลเมตร ทิศใต้ ติดต่อตาบลบ้านเสด็จ (บ้านทรายมูล บ้านจาค่า) อาเภอเมืองลาปางรวม ระยะทางทิศใตป้ ระมาณ 9 กโิ ลเมตร ทิศตะวันตก ติดต่อตาบลบุญนาคพัฒนา (บ้านบุญนาค บ้านแลง) อาเภอเมือง จงั หวัดลาปาง รวมระยะทาง 9 กโิ ลเมตร 1.3 ภมู ิประเทศ ลักษณะภูมิประเทศตาบลบ้านแลง มีลักษณะเป็นท่ีราบสูง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่า สงวนแห่งชาติ ร้อยละ 86 และเขตป่าเศรษฐกิจขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ร้อยละ 10 และมีพืน้ ที่เหลอื ร้อยละ 3-4 เป็นพื้นท่ีการเกษตรและที่อย่อู าศัยมีแมน่ ้าลาห้วยที่สาคัญไหลผ่าน ได้แก่ แม่น้าวัง ลาห้วยแม่มาย ลาหว้ ยแมอ่ าง ลาห้วยแม่ปง ขอ้ มูลพน้ื ฐานประชากร สถาบันทางสังคม จานวนประชากร ช่ือหมู่บ้าน หมู่ ชาย หญงิ รวม ครัวเรือน ท่ี กลุ่มอาชีพ (กลุ่ม) ู้ผไ ่มรู้ห ันงสือ (คน) ูภมิปัญญาท้อง ิ่ถน ัวด โรงเรียน สถานีอนามัย อบต. บา้ นหัวทุ่ง 1 247 288 585 162 20 11 1111 บ้านสบมาย 2 478 500 978 315 1 กลุ่มทอผ้า 11 11 บา้ นศรีปรดี า 3 410 392 802 268 จกั สาน 11 บ้านแมอ่ าง 4 392 405 797 236 1 กลมุ่ ผา้ บูติก 1 บ้านคง 1 บา้ นแตะ 5 391 391 782 218 23 เครอื่ งใชใ้ น บ้านปจู่ ้อย การเกษตร 6 208 186 394 115 1 19 ไม้กวาดจาก ดอกหญา้ 7 162 127 289 70 18 64
จานวนประชากร สถาบันทางสงั คม ชื่อหมู่บ้าน หมู่ ชาย หญงิ รวม ครัวเรือน ท่ี กลุ่มอา ีชพ (กลุ่ม) ู้ผไม่รู้หนัง ืสอ (คน) ูภมิ ัปญญาท้อง ิ่ถน ัวด โรงเรียน สถานีอนามัย อบต. บา้ นแม่ฮาง 8 429 442 871 232 20 1 นา้ ล้อม บา้ นหาดเชี่ยว 9 305 334 689 164 1 17 การทาปลาสม้ 1 บ้านวังยาม 10 174 173 347 92 บา้ นหลวง 11 511 478 889 253 1 จักสาน 11 รวม 3,707 3,716 7,423 2,125 5 97 10 6 1 1 ลกั ษณะกลุ่มประชากรรายหมูบ่ ้าน ลกั ษณะกลุ่มประชากร รวม เพศ จานวน ร้อยละของประชากรทง้ั หมด 1. เดก็ เลก็ 0-5 ปี 2. คนชรา 60 ปีข้ึนไป ชาย หญิง (คน) 3. คนตกงาน 4. คนทางานในหม่บู า้ น 8 10 18 3.00 5. คนทางานตา่ งถน่ิ ช่ัวคราว 6. คนย้ายถิ่นเกิน 6 เดือน 36 53 89 14.83 7. เดก็ ในวัยเรยี น 8. คนอายุ 15 - 59 ปี 8 7 15 2.50 133 119 252 42.00 21 22 43 7.17 19 28 47 7.83 56 57 113 18.83 166 173 339 56.50 2. ลกั ษณะทางการเมอื งและการปกครอง ชมุ ชนตาบลบ้านแลงเป็นชมุ ชนขนาดกลาง มีลกั ษณะทางการเมอื งการปกครองท่ี คอ่ นขา้ งเข้มแข็ง มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มวี ิสัยทัศน์กว้างไกลในด้านการศึกษา จากการสังเกต และสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมายแบบไม่เป็นทางการพบว่า ผู้นาชุมชนส่วนใหญ่ให้ความสนใจการพัฒนา 65
หมู่บ้าน ตาบล เป็นอย่างมาก เห็นได้จากการประชุมหมู่บ้าน ตาบล หรือเข้าร่วมประชุมสภาองค์การ บริหารส่วนตาบล หรือแม้แต่การพบปะพูดคุยแบบไม่เป็นทางการ ทุกคนจะพูดคุยหารือแสดงความ คดิ เห็นกนั อยา่ งหลากหลายในเรอ่ื งท่ีเกี่ยวกับการพฒั นาชมุ ชนเสยี เป็นสว่ นใหญ่ เช่น การพัฒนาอาชีพ ของแต่ละหมู่บ้าน การพัฒนาโรงเรียน เข้าร่วมกิจกรรมโรงเรียน ให้การสนับสนุนกิจกรรมโรงเรียน การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน ได้แก่ สวนป่าชุมชน ซ่ึงค่อนข้างสมบูรณ์ด้วยไม้สาคัญ ทางเศรษฐกจิ เขื่อนกิว่ ลมซงึ่ เป็นสถานที่ทอ่ งเที่ยวท่ีนา่ สนใจ ทรัพยากรดินขาวซึ่งเปน็ แร่ธาตทุ สี่ าคัญท่ี มอี ยู่ในชุมชนค่อนข้างมากเหล่าน้ี เป็นต้น ซึ่งผู้นาชุมชนเล่าว่า ในการประชุมหมู่บ้าน ตาบล หรือการ จัดกิจกรรมชุมชนต่าง ๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่จะให้ความร่วมมือ มีส่วนร่วมทุกคร้ังเพราะทุกคนคิดว่า หม่บู ้านตาบลของตนเองเป็นเพียงตาบลเล็ก ๆ อยู่ไกลเมือง ประชาชนยังตอ้ งการพัฒนาหลายด้าน จึง ตอ้ งร่วมมือกันพัฒนาหมู่บ้านให้ทัดเทียมหมู่บ้านตาบลอื่น หากมีการประชุมหรือจัดกิจกรรมในชุมชน จึงมีประชาชนมาร่วมมือค่อนข้างมาก แสดงถึงความร่วมมือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชุมชน ผูน้ าชมุ ชนทตี่ อ้ งการการพัฒนาตนเองอยา่ งชัดเจน นอกจากนั้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นาชุมชนทุกหมู่บ้านตาบลจะให้ ความสาคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นแนวทางในการดาเนินงาน มีกฎเกณฑ์ ระเบียบ แบบแผน และหลักการในการปฏิบัติคอ่ นข้างชัดเจน เชน่ สรา้ งกฎเกณฑใ์ นการดูแลรกั ษาป่าต้นน้าลา ธาร กาหนดบทลงโทษทางสังคม จนสามารถลดจานวนการลกั ลอบตัดไมใ้ นสวนป่าชุมชนให้หมดไปได้ ในส่วนของการไปใช้สิทธิการเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งผู้แทนในระดับท้องถ่ิน หรือระดับชาติ อบต. และผู้นาชุมชนทุกหมู่บ้านจะให้ความสาคัญโดยการรณรงค์การไปใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยจัดให้มี การแข่งขันการใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชนในแต่ละหมู่บ้าน ทาให้ประชาชนในพ้ืนท่ีเกิดการตื่นตัว ออกไปใช้สิทธิกันค่อนขา้ งสูง เม่อื เปรียบเทียบกบั พืน้ ทต่ี าบลอ่นื จะเห็นได้ว่า องค์การบริหารส่วนตาบล ผู้นาชุมชนและประชาชนในพ้ืนที่ตาบลน้ี มีรูปแบบและภาพลักษณ์ของการเมืองการปกครองที่เข้มแข็ง ยึดหลักและการปกครองของระบอบ ประชาธิปไตยเป็นแนวทางในการดาเนินงาน การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชนเกือบ ทุกดา้ น มีกฎเกณฑ์ ระเบียบแบบแผน และหลกั การปฏิบตั งิ านคอ่ นข้างชดั เจน 3. ลกั ษณะทางสังคม ลกั ษณะทางสังคมของหมู่บ้านเปน็ สงั คมเกษตรกรรมที่มีการพง่ึ พาอาศัยกันในด้าน การผลิต เม่ือมีการปลูกข้าวหรือเกี่ยวข้าวจะมาช่วยเหลือกันในลักษณะการลงแขก ไม่เพียงแต่การ ช่วยเหลือกันในการประกอบอาชีพเท่าน้ัน งานในลักษณะอ่ืน ๆ เช่น ปลูกบ้าน สร้างวัด พัฒนา โรงเรียน กจ็ ะมาช่วยเหลือกนั ความสมั พันธ์ของคนในชมุ ชนนจี้ งึ เป็นไปแบบระบบเครอื ญาติ 66
นอกจากนั้นในแต่ละหมู่บ้านมีการรวมกลุ่มหรือจัดตั้งกลมุ่ ในการปฏิบัติงานพัฒนา และการประกอบอาชีพ ท้ังท่ีเป็นกลุ่มตามธรรมชาติหรือแบบไม่เป็นทางการ และกลุ่มแบบเป็น ทางการ เช่น กลุ่มเกษตรกร กลุ่มฌาปนกิจสงเคราะห์ กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มออมทรัพย์ กล่มุ อาชีพต่าง ๆ ได้แก่ กลุม่ ทาดอกไม้ประดิษฐ์ กลุม่ ปลูกถว่ั เหลือง กลมุ่ ไม้กวาด กลมุ่ เพาะเห็ด เปน็ ต้น จากการศึกษาและสังเกตสภาพแวดล้อมชมุ ชนพบว่า ส่วนใหญ่ในแต่ละหม่บู ้านมีวัด และสถานประกอบพิธีทางศาสนาเกือบทุกหมู่บ้าน เป็นวัดและสานักสงฆ์ 8 แห่ง โบสถ์คริสต์ 2 แห่ง กลุ่มผู้นาเล่าว่า ในอดีตประชาชนในแตล่ ะหมู่บ้าน จะร่วมแรงรว่ มใจกันสร้างวัดเป็นของหมู่บ้านของ ตนด้วย แรงศรัทธาในพระพุทธศาสนา เพราะวัดเป็นศูนย์รวมจิตใจของพวกเขา มีการจัดกิจกรรม ทางศาสนาร่วมกัน และใช้สถานท่ีน้ีจัดกิจกรรมประเพณีต่าง ๆ เช่น กิจกรรมตานก๋วยสลาก กิจกรรม วันสงกรานต์ รดน้าดาหัวผู้สูงอายุ นอกจากน้ันยังใช้เป็นสถานที่ประชุมหมู่บ้าน จัดกิจกรรมอบรม ฝึก อาชีพของกล่มุ ต่าง ๆ เปน็ ท่ีนัดหมายกนั สง่ เงนิ สัจจะกลุ่มออมทรัพย์ เป็นต้น นอกจากนั้น ในชุมชนน้ียังมีกลุ่มผู้สูงอายุที่มีภูมิปัญญาด้านการจักสานรวมตัวกัน จัดตั้งเป็นกลุ่มอาชีพจักสาน เพื่อใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ในการสร้างรายได้เสริมให้กับตัวเองและ ต้องการพัฒนาอาชีพจักสานให้เป็นแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาของชุมชนและเป็นแหล่งศึกษาดูงานอาชีพจัก สานของตาบล แต่ก็ยังมีผู้สูงอายุอีกจานวนไม่น้อย อยู่ในเกือบทุกครัวเรือนและบางครัวเรือนมีจานวน หลายคน ท่ีลูกหลานดูแลไม่ทั่วถึง ยังขาดความรักและการเอาใจใส่ของคนในครอบครัว ยังขาดความรู้ ความเข้าใจในการดูแลตนเอง มีปัญหาทั้งทางด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิต การรวมกลุ่มผู้สูงอายุ เพ่ือการดูแลสุขภาพร่วมกัน จึงเป็นเป้าหมายท่ีทุกหน่วยงานต้องร่วมมือกันเพื่อให้กลุ่มเป้าหมาย ผู้สูงอายุเหล่านี้ รวมถึงประชากรกลุ่มอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการเปล่ียนแปลงทางสังคม ได้รับ การสง่ เสริมสนับสนุนใหไ้ ดร้ ับการพัฒนาคุณภาพชวี ติ ที่ดีขนึ้ แสดงให้เห็นวา่ ประชาชนในชุมชนบา้ นแลงเปน็ ชุมชนที่มลี กั ษณะความสมั พันธ์ทาง สังคมที่แน่นแฟ้ม แบบระบบเครือญาติ ท่ีมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แบ่งปันกันท้ังทางด้านแรงงาน และผลประโยชน์ มแี หลง่ เรยี นรูภ้ ูมิปัญญาด้านจักสานจากการรวมกลุม่ ของผู้สูงอายุ มกี ารรวมกลมุ่ กัน ทั้งแบบตามธรรมชาติและแบบเป็นทางการ ในการปฏิบัติงานและการประกอบอาชีพ โดยมีสถาบัน ทางศาสนาเป็นศูนย์รวมแห่งการพัฒนาจิตใจ และพัฒนาสังคมด้านต่าง ๆ แต่อย่างไรก็ตามยังมีกลุ่ม ผู้สูงอายุที่ขาดความรู้ความเข้าใจในด้านการดูแลสุขภาพ และต้องการพัฒนาอาชีพ จักสานเพื่อ เปน็ รายได้เสรมิ รวมทัง้ อนุรักษภ์ มู ิปัญญาทอ้ งถิน่ ให้คงอยู่ต่อไป 4. ลักษณะทางการศึกษา ในด้านการศึกษาในพ้ืนท่ีตาบลบ้านแลง มีโรงเรียนทั้งหมด 5 แห่ง ประกอบด้วย โรงเรยี นประถมศึกษา 3 แห่ง ต้ังอยู่ในหมู่ที่ 1 หมู่ท่ี 3 และหมู่ที่ 4 โรงเรียนมัธยมขยายโอกาส 1 แห่ง 67
ต้งั อยู่ในหมู่ท่ี 2 และโรงเรยี นมธั ยมประจาตาบลอีก 1 แหง่ ต้ังอยู่ในหมู่ที่ 11 มศี ูนย์พัฒนาเดก็ เล็ก 6 แห่ง ใน 6 หมู่บ้าน ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี 1 แห่ง ศูนย์การเรียนชุมชนตาบล 1 แห่ง ต้ังอยู่ หม่ทู ่ี 1 ในเขตบริเวณทที่ าการองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลบ้านแลง จากการศึกษาพบว่า แมจ้ ะมีโรงเรียนกระจายอย่ใู นพื้นท่ีหมู่บ้านตาบลถึง 5 หมู่บ้าน แต่เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศของตาบลยังเป็นป่าและเป็นที่ราบสูง เขตติดต่อระหว่างหมู่บ้าน ห่างไกลกัน และในอดีตการคมนาคมไม่สะดวก ทาให้ประชาชนผู้อาศัยในหมู่บ้านที่ไม่มีโรงเรียน ขาด โอกาสในการศึกษา และด้วยฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวส่วนใหญ่ยากจน ต้องเป็นแรงงานใน ภาคการเกษตรของครอบครัว จึงไม่มีโอกาสเรียนต่อ บางรายจบการศกึ ษาระดับประถมศึกษามานาน แตข่ าดโอกาสในการเขยี นและการอ่านหนังสืออยา่ งต่อเนือ่ ง ทาให้ลืมหนงั สอื ชุมชนน้ีจงึ มีจานวนผู้ไม่ ร้หู นังสือค่อนข้างสูง จานวนผู้จบช้ันประถมศึกษาที่ได้เรียนต่อในระดับท่ีสูงข้ึนมีค่อนข้างน้อย ทา ให้มีจานวนผู้ขาดโอกาสทางการศึกษาในแต่ละหมู่บ้านเกือบทุกหมู่บ้าน ในปัจจุบันถนนเช่ือมต่อ ระหว่างหมู่บ้านเป็นถนนลาดยาง การคมนาคมสะดวกข้ึน เยาวชนทุกคนในทุกหมู่บ้านมีโอกาสได้ ศึกษาในระบบโรงเรียน ส่วนผู้พลาดโอกาสทางการศึกษาในอดีต ทั้งผู้ไม่รู้หนังสือและผู้ไม่ได้ศึกษาต่อ ในระดับมัธยม จะมีการส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมการศึกษาแต่ละระดับให้สอดคล้องกับความ ต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดยมีศูนย์การเรียนชุมชนเป็นศูนย์กลางในการบริการจัดการศึกษาใน ชุมชน ในการจัดกิจกรรมการศึกษาเพ่ือพัฒนาอาชีพ ประชาชนในตาบลและกลุ่มอาชีพที่ พอมีอยู่ในบางหมู่บ้านยังขาดโอกาสการพัฒนาในด้านน้ี เน่ืองจากตาบลนี้เป็นตาบลที่อยู่ห่างไกล ในอดีตการคมนาคม ไม่สะดวก ทาให้หน่วยงานภาครัฐท่ีเก่ียวข้องเข้าถึงชุมชนได้น้อย การฝึกอบรม ด้านอาชีพจึงมีน้อยและไม่ต่อเนื่อง เป็นเพียงการฝึกอบรมให้เรียนรู้เพ่ือลดรายจ่ายหรือบริโภค ไม่ สามารถเพิ่มรายได้เป็นกอบเป็นกาหรือจาหน่ายขายส่งได้ แต่ผู้นาเล่าว่าหลังจากที่มีองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นเกิดข้ึนแบบเป็นทางการมีครูประจาศูนย์การเรียนไปประจาอยู่ในพ้ืนท่ี ประชาชนได้รับรู้ ข้อมูลข่าวสารเก่ียวกับการศึกษาและให้ความสนใจเข้ามารับบริการ เสนอความต้องการทางด้าน พัฒนาอาชีพเพม่ิ ขึน้ และเริม่ มีกลุม่ อาชพี เพิ่มข้นึ มาเปน็ ลาดับ สรุปได้ว่าชุมชนตาบลบ้านแลงได้รับการบริการทางด้านการศึกษา ท้ังในระบบ โรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน ปัจจุบันเยาวชนส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาในระบบโรงเรียนทุกคน ส่วนผู้พลาดโอกาสทางการศึกษาในอดีต ท้ังผู้ไม่รู้หนังสือและผู้ไม่ได้ศึกษาต่อ ได้เข้ารับบริการ การศึกษาสายสามัญ ในศูนย์การเรียนชุมชนเพ่ิมข้ึนเป็นลาดับ สาหรับผู้ไม่รู้หนังสือและผู้จบระดับ ประถมศึกษา ครูศูนยก์ ารเรยี นชุมชนจะสง่ เสริมให้เข้ามารับบริการในศูนย์การเรียนชุมชนและจดั การ เรียนการสอนให้ในพ้ืนที่หมู่บ้านของกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม ส่วนการศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพ ประชาชนเริ่มให้ความสนใจเข้ารับบริการ เสนอความต้องการในการพัฒนาอาชีพจากศูนย์การเรียน 68
ชุมชนโดยการประสานงานของครูศูนย์การเรียนชุมชน การสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนตาบล และหน่วยงานเครอื ขา่ ยในพ้นื ท่ี 5. ลกั ษณะทางเศรษฐกิจของชมุ ชน จากการศึกษา พบว่า ประชาชนที่อาศัยในชุมชนตาบลบ้านแลงส่วนใหญ่ประกอบ อาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลัก ซ่ึงเป็นอาชีพดั้งเดิมของบรรพบุรุษสืบทอดต่อกันมาถึงลูกหลานใน ปจั จุบัน คือ การทานาปลกู ข้าว ทาไรอ่ ้อย สับปะรด ถั่วลิสง และขา้ วโพด ทาสวนมะม่วง ลาไย และ มะขาม สาหรับประชาชนที่อาศัยอยู่ในพ้ืนท่ีหมู่บ้านหาดเชี่ยว หมู่ที่ 9 ซ่ึงเป็นท่ีต้ังของเข่ือนก่ิวลม นอกเหนือจากอาชีพเกษตรกรรมดังกล่าวแล้ว จะมีรายได้จากการจับสัตว์น้าบริเวณเข่ือน เช่น ปลา กุ้ง และการทาแพและเรือหางยาวท่องเท่ียว รอบ ๆ บริเวณเขื่อน นอกจากนั้นจะมีประชาชนอีกกลุ่ม หนง่ึ ประกอบอาชีพค้าขายและรับจา้ งท่ัวไป รายได้โดยเฉลีย่ ของประชากรในตาบลประมาณ 15,000.- บาทต่อคนต่อปี กลุ่มผู้นาเล่าว่า ประชาชนสว่ นใหญ่มีปัญหาในเรอ่ื งของทด่ี ินทากิน เพราะพนื้ ที่สว่ น ใหญเ่ ปน็ ท่ีราบสงู มที ่ีราบลมุ่ น้อย ขาดแหล่งน้าในการทาเกษตร ถ้าคิดเฉล่ียพื้นท่ีทาการเกษตร มีเพียง รอ้ ยละ 3.5 ของพื้นท่ีตาบลทั้งหมด แม้ว่าพื้นที่ตาบลจะต้ังอยู่ใกล้เข่ือนกิ่วลม แต่ไม่ได้ต้ังอยู่ล่างเข่ือน จึงไม่สามารถนาน้าจากเขื่อนมาใช้ในการทาการเกษตรได้ ต้องอาศัยน้าฝนและแหล่งน้าผิวดินตาม ธรรมชาติ และปัจจุบันมีแม่น้าลาคลองหลายแห่งท่ีมีสภาพต้ืนเขิน มีวัชพืชปกคลุมบริเวณผิวน้าเป็น จานวนมาก ยิ่งก่อให้เกิดปัญหาการไร้ที่ทากินมากข้ึน ทาให้มีประชากรวัยแรงงานว่างงานจานวน ค่อนขา้ งมาก และพร้อมทจี่ ะเขา้ รับการฝึกฝนเรียนรู้เขา้ สกู่ ารพัฒนาอาชพี หากมีโอกาส จากการที่ประชาชนของตาบลทุกหมู่บ้านที่อาศัยอยู่ร่วมกันด้วยความสัมพันธ์อัน แน่นแฟ้นแบบระบบเครือญาติ จึงก่อให้เกิดกลุ่มทางเศรษฐกิจข้ึนอย่างหลากหลายท้ังแบบเป็น ทางการและไม่เป็นทางการ เช่น กลุ่มยุวเกษตร กลุ่มทาดอกไม้ประดิษฐ์ หมู่ที่ 1 กลุ่มผู้ผสมปุ๋ยเคมีไว้ ใช้ในไร่นา กลุ่มผู้ปลูกถั่วเหลืองในฤดูแล้ง หมู่ที่ 2 กลุ่มทอผ้า กลมุ่ สับปะรด กลุ่มยุวเกษตรและกลุ่ม เกษตรกรทานา กลุ่มผ้ใู ช้ปุ๋ยในนาข้าว หมู่ 3 กลุ่มจักสาน หมู่ท่ี 4 กลุ่มไม้กวาด หมู่ท่ี 6 กลุ่มไม้กวาด กลุ่มเพาะเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์ กลุ่มเพาะเห็ดหอม หมู่ท่ี 7 กลุ่มเลี้ยงปลาดุก กลุ่มสับปะรดหมู่ที่ 8 และกล่มุ ปุ๋ยชวี ภาพตาบลบ้านแลง เปน็ ต้น จากการสนทนากลุ่มแม่บ้านหมู่ที่ 2 พบว่า ในพื้นที่บ้าน หมู่ 2 มีกลุ่มอาชีพหลาย กลุ่ม ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอาชีพทางการเกษตร และมีการดาเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง มีกลุ่มอาชีพ อุตสาหกรรมในครัวเรือนเพียง 1 กลุ่ม คือ กลุ่มอาชีพทอผ้า มีการรวมตัวของแม่บ้านผู้มีทักษะฝีมือ การทอผ้าจากบรรพบุรุษ ร่วมกันจัดตั้งกลุ่มตั้งแต่ ปี 2549 โดยครู กศน.ตาบล เป็นผู้ประสานงานใช้ งบประมาณของ กศน.สนบั สนุนการฝกึ อบรมอาชีพทอผ้า เพื่อฝึกทกั ษะความชานาญโดยใช้ภมู ิปัญญา 69
ท้องถิ่นที่มีอยู่ต่อยอดความรู้ใหม่ เพ่ือการมีงานทาและเพ่ิมรายได้และรักษาไว้ซ่ึงภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ คงอยู่ตลอดไป ปัจจุบันมีสมาชิกลุ่มเพียง 10 คน ประธานกลุ่มเล่าว่า หลังจากการรวมกลุ่มและ ฝกึ อบรมการทอผ้าด้วยลายใหม่ ๆ เช่น ลายตัวอกั ษร ลายน้าไหล ฯลฯ มีการส่ังทอจากแหล่งต่าง ๆ เช่น โรงเรียน อบต. กลุ่มแม่บ้าน เพ่ือใช้ผ้าทอในการตัดเสื้อทีมขององค์กร ในการเผยแพร่อนุรักษ์ ประเพณีวัฒนธรรมท้องถ่ิน ต่อมากิจกรรมการทอผ้าส่งหน่วยงานต่าง ๆ เริ่มลดลงเน่ืองจาก จานวน การส่ังมากกว่าจานวนการผลิต เม่ือผลิตสินค้าไม่ทัน ลูกค้าต้องหาแหล่งผลิตอ่ืนแทน ขณะเดียวกัน ความตอ้ งการลวดลายใหม่ ๆ ก็เพ่ิมมากขน้ึ ทาให้ยอดขายผ้าทอของกลุ่มลดลงและมกี ารทอผ้าขาย เฉพาะเม่ือมีคนส่ังและทอไว้เพ่ือนาไปขายในงานแสดงสินค้าต่าง ๆ บ้าง และสมาชิกในกลุ่มได้ให้ ข้อมูลเพ่ิมเติมว่า ทุกคนยังคงรักในอาชีพการทอผ้าและอยากจะพัฒนาฝีมือการทอผ้าลายใหม่ ๆ ตามความต้องการของตลาด แต่ขาดโอกาสในการให้คาแนะนาสนับสนุนส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง และท่ี สาคัญอยากอนุรักษ์ภูมิปัญญาน้ีให้เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนแห่งน้ีสืบไป หากมีหน่วยงานใดให้การ สนับสนุนงบประมาณในการฝึกทักษะเพิ่มเติม จัดหาวิทยากรท่ีมีความรู้ในการพัฒนาทักษะการทอ ลายต่าง ๆ และให้ความรู้เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ การตลาด เพิ่มเติมสมาชิกกลุ่มก็พร้อมท่ีจะ พฒั นาอาชีพทอผ้านอี้ ย่างตอ่ เนื่องและมแี นวคิดทจ่ี ะถา่ ยทอดภูมปิ ัญญานใี้ หแ้ กล่ กู หลานต่อไป นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มจักสาน เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ หมู่ 3 จานวน 17 คน ท่ีมีพื้นฐานความรู้ ภูมิปัญญาด้านการจักสาน มีทรัพยากรไม้ไผ่เป็นทุนที่มีอยู่ในชุมชนอยู่แล้ว เป็นการรวมกลุ่มกัน เพ่ือจักสานผลิตภัณฑ์ของใช้ในชีวติ ประจาวนั และใชเ้ วลาว่างให้เกิดประโยชนเ์ ป็นการสร้างเสริม รายได้แก่ตนเองและครอบครัว โดยเร่ิมจากการขายในชุมชนและหมู่บ้านใกล้เคียง ได้แก่ ตะกร้า กล่องใส่ข้าว ภาชนะน่ึงข้าว ฝาชี กระจาด เป็นต้น เป็นแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาด้านการจักสานของ ชุมชน มีนักศกึ ษา กศน.ในตาบลเขา้ มาเรยี นรูเ้ พื่อทาโครงงาน ในรายวิชาทักษะการประกอบอาชีพ ซึ่ง ครู กศน. ได้ใช้กลุ่มจักสานน้ีเป็นแหล่งเรียนรู้ในการจัดการเรียนการสอนให้แก่นักศึกษา กศน. และ เป็นแหลง่ ศึกษาดูงานด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นของตาบลด้วย จากการสารวจความต้องการพัฒนาอาชีพ ของกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ในชุมชน ในเวทีประชาคมท่ีผ่านมา พบว่ากลุ่มจักสาน ต้องการเรียนรู้ การ พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์จักสานให้ทันสมัย เป็นท่ีต้องการของตลาดมากขึ้น เน่ืองจากมีรายการ สั่งซ้ือผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่าง ๆ มากขึ้น และต้องการท่ีจะเรียนรู้เพิ่มเติมเก่ียวกับการรักษาคุณภาพ ของผลิตภัณฑ์ให้มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น จึงเสนอความต้องการในการฝึกทักษะการแปรรูป ผลิตภัณฑ์จักสานเพื่อพัฒนาอาชีพของตนเอง และพัฒนาภูมิปัญญาท้องถ่ินในชุมชนให้เป็นแหล่ง เรยี นรู้ชุมชนทก่ี วา้ งขวางมากยิ่งข้นึ 70
6. ลักษณะทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จากการศึกษาข้อมูลพ้ืนท่ีและลักษณะสภาพทางภูมิศาสตร์ของท่ีตั้งชุมชนพบว่า พื้นที่ส่วน ใหญ่เป็นเขตป่าสงวน ถึง ร้อยละ 86 เป็นพื้นท่ีสวนป่า อ.อ.ป. ร้อยละ 10 และมีพื้นท่ีส่วนที่เหลือ รอ้ ยละ 3-4 เป็นพ้ืนที่การเกษตรและท่ีอยู่อาศัยจากการสนทนากลุ่มกับผู้นาชุมชน เล่าว่า ชุมชนส่วน ใหญ่ให้ความสาคัญในการการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้มากขึ้นเนื่องจากในอดีตพ้ืนท่ีป่าไม้ เคยเป็นป่าท่ีอุดมสมบูรณ์ด้วยไม้สาคัญทางเศรษฐกิจมากมายประชาชนส่วนใหญ่ใช้พื้นที่ป่าไม้เป็น แหล่งหาของป่า เช่น เห็ด หน่อไม้ ผักหวาน ฯลฯ เพ่ือการบริโภค และขายเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง เน่ืองจากรายได้หลักจากอาชีพเกษตรกร ซ่ึงมีพ้ืนท่ีทาการเกษตรเพียง ร้อยละ 3 ของพื้นท่ีท้ังหมด มีไม่เพียงพอในการเลี้ยงดูครอบครัว ทาให้ประชาชนในพื้นที่ต้องหารายได้ โดยการลักลอบตัดไม้ จากป่าไม้เป็นอีกอาชีพหน่ึง สภาพป่าไม้ทเ่ี คยอดุ มสมบูรณ์จงึ ถกู ทาลายไป จนทาให้ประชาชนในพ้ืนท่ี หลายหมู่บ้านได้รบั ผลกระทบจากน้าท่วม บ้านเรือน พ้ืนท่ีการเกษตร ตลอดจนชีวิตและทรัพย์สินของ พ่อแม่ ลูกหลานและญาติพ่ีน้องของตนเองต้องสูญเสียอย่างมากมายอันเนื่องมาจากการลักลอบตัดไม้ ของประชาชนทั้งในพื้นท่ีและนอกพื้นท่ี และจากการศึกษาสภาพป่าชุมชน พบว่า ปัจจุบันไม้ที่พบใน ป่าชุมชนส่วนใหญ่เป็นไม้ไผ่ ซ่ึงประชาชนยังใช้ประโยชน์จากไม้ไผ่ในการสร้างรายได้ เช่น การขุด หน่อไม้ขาย การใช้ไม้ไผ่เป็นวัตถุดิบในการจักสานเครื่องใช้ในครัวเรือนและจาหน่ายเป็นรายได้เสริม ของครอบครัวอีกทางหนึง่ จากผลกระทบดังกล่าวทาให้คนในชุมชนต่ืนตัว หาทางป้องกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว โดยการวางกฎกติกาของชุมชน ร่วมกันดูแลรักษาป่าไม้และเห็นพ้องต้องกันว่าควรมีการรณรงค์ให้ ประชาชนทุกคนในพื้นท่ีได้ตระหนักถึงปัญหาท่ีเกิดขึ้นและร่วมกันสอดส่องดูแลพ้ืนที่ป่าไม้มากข้ึน เพ่ืออนุรักษป์ ่าไม้ต้นน้าลาธารอันเป็นทรพั ยากรธรรมชาติ เพ่ือการดารงชีพของคนในชุมชนให้คงอยู่ ชวั่ ลกู หลานต่อไป จากตัวอย่างข้อมูลพื้นฐานของตาบลบ้านแลงท่ีจะนาเสนอข้างต้น ได้ทาการ วิเคราะห์และสรุปข้อมูลที่เป็นสภาพปัญหา/ความต้องการ สาเหตุ และแนวทางแก้ไข ตามตาราง วิเคราะหข์ อ้ มูลต่อไปน้ี 71
ตารางวเิ คราะหข์ ้อมูล ปัญหา/ความต้องการ สาเหตุ แนวทางแก้ไข ดา้ นการศึกษา - ในสมัยกอ่ นพนื้ ท่ีห่างไกล มี - จดั กจิ กรรมสง่ เสริมการร้หู นังสือให้ จานวนประชาชนผูไ้ มร่ ู้ การคมนาคมไม่สะดวก ครอบคลุมทกุ พื้นที่ เชน่ พฒั นา หนังสอื ค่อนขา้ งมากและ โรงเรียนมนี ้อย จงึ ทาให้ขาด หลกั สูตรสง่ เสริมการรู้หนังสอื ของ ประชาชนทจ่ี บ โอกาสทางการศึกษา สถานศึกษาใหส้ อดคลอ้ งกับสภาพ ประถมศกึ ษาเรยี นต่อ - สภาพทางเศรษฐกิจของ การรู้หนังสอื ของกลุม่ เปา้ หมาย ค่อนข้างน้อย (มาจาก ครอบครวั ทาให้ไม่มโี อกาส - กระตุน้ /ส่งเสริมสนับสนนุ และจดั ข้อมลู หน้า 68) เรียน และบางรายเคยเรียนมา การศึกษาขั้นพน้ื ฐานตามความ นานและไมม่ ีโอกาสได้อา่ น ต้องการในพื้นที่ โดยใช้ กศน.ตาบล เขียนหนงั สอื อยา่ งต่อเนอ่ื ง เป็นศนู ย์กลางการจัดการเรียนรู้อยา่ ง ทาให้ลืมหนงั สอื ได้ ตอ่ เนอ่ื งในแต่ละระดบั ด้านเศรษฐกจิ - การผลติ สนิ คา้ ไม่สอดคลอ้ ง - จัดกิจกรรมสง่ เสรมิ และพฒั นา กลมุ่ อาชีพท่มี ีปัญหา/ความ กบั ความต้องการของตลาด อาชพี อย่างต่อเนือ่ งเพื่อการมีรายได้ ต้องการในการพฒั นา - ขาดการสง่ เสรมิ สนบั สนุนการ และการมีงานทาโดยมีเนอื้ หาท่ี ทักษะฝีมือ และขาดความรู้ จัดกิจกรรมพฒั นาทักษะอาชีพ เกย่ี วข้องกบั การฝึกทักษะฝีมือให้ ในเรื่องการประชาสัมพนั ธ์ อยา่ งต่อเนอื่ ง ทันสมยั สอดคล้องกับความต้องการ การตลาด ไดแ้ ก่ กลุม่ ทอผา้ ของตลาด และการบริหารจัดการ บา้ นสบมาย (มาจากข้อมลู การตลาด หน้า 69 - 70) ด้านสิง่ แวดลอ้ ม การลักลอบตัดไม้ทาลายปา่ - พื้นท่ที าการเกษตรมนี ้อย - สง่ เสรมิ สนับสนุนการประกอบ อาชีพเสรมิ เพิ่มรายได้ ของประชาชน (มาจาก - รายไดจ้ ากอาชพี เกษตรไม่ - จัดกิจกรรมใหค้ วามรู้และอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ขอ้ มลู หน้า 71) เพยี งพอ ในชมุ ชน - ประชาชนยังขาดจิตสานกึ ใน การดูแลรกั ษาป่าไม้ 72
ปัญหา/ความต้องการ สาเหตุ แนวทางแก้ไข ดา้ นสงั คม วัฒนธรรม - ขาดการดูแลเอาใจใส่จากคน - สรา้ งความรูค้ วามเขา้ ใจแกช่ ุมชน 1) ผู้สงู อายุไม่ได้รับการ ในครอบครัว ครอบครัว กลมุ่ เป้าหมาย โดยการจัด ดแู ลดา้ นสขุ ภาพกายและ - ขาดความรูค้ วามเขา้ ใจในการ กจิ กรรมพฒั นาทักษะชวี ิต หรอื สุขภาพจิต (มาจากข้อมลู ดูแลดูแลสขุ ภาพตัวเอง พัฒนาสังคมและชมุ ชน ได้แก่ หนา้ 67) โครงการครอบครวั อบอุ่นการอบรม ให้ความรู้ดา้ นการดแู ลสุขภาพ ผู้สูงอายุ การสอนราไทเก๊กเพื่อ สุขภาพผสู้ งู วัย 2) ผสู้ งู อายุต้องการพัฒนา - เพ่ือรวมกลมุ่ ใช้เวลาวา่ งให้เกิด - สง่ เสริมการพฒั นาอาชีพหรือฝกึ อาชพี ด้านการจกั สานให้มี ประโยชนแ์ ละมีรายได้เสริม ทกั ษะอาชีพแกก่ ลุ่มผู้สูงอายตุ าม รูปแบบทีท่ นั สมัย ตรงตาม - มรี ายการสั่งซ้อื ผลิตภณั ฑใ์ น ความสนใจ ความต้องการของตลาด รูปแบบตา่ ง ๆ มากขึ้น และ (มาจากข้อมูลหนา้ 70) ต้องการท่ีจะเรียนร้เู พม่ิ เติม เก่ยี วกบั การรักษาคณุ ภาพของ ผลติ ภณั ฑ์ให้มีอายุการใชง้ าน ยาวนานขนึ้ - เพือ่ การอนรุ กั ษ์ภูมปิ ัญญา ท้องถน่ิ จากน้ันดาเนินการวิเคราะห์ความสอดคล้องของข้อมูลด้านต่าง ๆ เพื่อกาหนด หลักสูตรรายวิชาเลือกหรอื หลักสตู รการศึกษาต่อเนอ่ื งของสถานศึกษา โดยใช้แบบวิเคราะห์ความ สอดคล้องของขอ้ มูลต่าง ๆ เพ่ือกาหนดหลักสูตรรายวิชาเลือกหรือหลักสตู รการศกึ ษาตอ่ เน่ืองของ สถานศกึ ษา ตามตารางตอ่ ไปนี้ 73
แบบวเิ คราะหค์ วามสอดคล้องของข้อมลู ตา่ ง ๆ เพื่อกาหนดหลักสูตรรายวชิ าเลือกหรือหลกั สูตรการศึกษาต่อเนือ่ งของสถานศกึ ษา นโยบายรฐั บาล/ วสิ ัยทัศนข์ อง สภาพทาง สภาพข้อมลู สรุปความสอดคล้อง นโยบายสานกั งาน สานกั งาน กศน./ กายภาพ พื้นฐาน นามาสรู่ ายวิชา สานักงาน กศน. (ระบุเฉพาะสภาพ กศน. ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง) (ระบสุ ภาพขอ้ มูล 1. ช่ือหลกั สูตร จงั หวดั / แตล่ ะด้าน) หลักสตู รสง่ เสริมการรู้ นโยบายรฐั บาล สถานศึกษา/ หนงั สอื ไทย สาหรับ ยุทธศาสตร์ วิสัยทัศนข์ อง สภาพทางการ กลมุ่ เป้าหมายผอู้ า่ นไม่ จงั หวดั /อาเภอ ศกึ ษา ออก เขียนไม่ได้ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร จานวนประชาชนผู้ 2. ชอ่ื หลักสตู ร 6 ยุทธศาสตร์ ไมร่ ู้หนังสอื หลกั สตู รสง่ เสริมการรู้ ข้อ 1 พฒั นา คอ่ นขา้ งมากและ หนงั สือไทย สาหรับ หลักสตู ร กระบวนการ ประชาชนทจ่ี บ กลมุ่ เปา้ หมายผลู้ มื เรียนการสอน และการ ประถมศกึ ษาเรยี น หนังสือ วดั ประเมนิ ผล ต่อค่อนข้างน้อย ข้อ 3 ผลิตและ เน่อื งจาก พัฒนากาลงั คน รวมทง้ั - ในสมัยก่อนพ้นื ที่ งานวิจัยทีส่ อดคล้อง ห่างไกล มี กับความต้องการของ การคมนาคมไม่ การพัฒนาประเทศ สะดวก โรงเรยี นมี ข้อ 4 ขยายโอกาสใน นอ้ ย จึงทาให้ขาด การเข้าถึงบรกิ าร โอกาสทาง การศึกษาและเรยี นรู้ การศกึ ษา อย่างตอ่ เนอื่ ง - สภาพทาง เศรษฐกิจของ นโยบายสานกั งาน ครอบครัว ทาใหไ้ ม่ กศน. มโี อกาสเรียน และ ยุทธศาสตร์และ บางรายเคยเรยี นมา นานและไม่มโี อกาส จุดเน้นการ ไดอ้ า่ นบอ่ ยทาให้ ดาเนินงาน ลืมหนงั สือได้ สานักงาน กศน. 74
นโยบายรฐั บาล/ วสิ ัยทัศนข์ อง สภาพทาง สภาพข้อมลู สรุปความสอดคล้อง นโยบายสานักงาน สานักงาน กศน./ กายภาพ พนื้ ฐาน นามาสรู่ ายวิชา สานักงาน กศน. (ระบุเฉพาะสภาพ กศน. ท่ีเกย่ี วข้อง) (ระบุสภาพขอ้ มลู 3. ช่อื หลักสูตร จังหวดั / แต่ละดา้ น) การศึกษา ประจาปงี บประมาณ สถานศึกษา/ ตอ่ เน่ือง 2560 วิสยั ทัศน์ของ สภาพทาง -จุดเน้นการ จังหวดั /อาเภอ เศรษฐกจิ หลกั สตู รวชิ าชพี ระยะ ดาเนนิ งาน กศน. กลมุ่ อาชีพท่ีมี สัน้ หลกั สูตรการทอ ตามยทุ ธศาสตร์ วสิ ัยทศั น์ของ ปัญหา/ความ ผา้ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร จังหวัดลาปาง ตอ้ งการในการ 4. ชื่อหลักสูตร 6 ยทุ ธศาสตร์ “ลาปาง เมอื งน่า พฒั นาทกั ษะฝีมือ ขอ้ 1 (1.1) และ อยู่ นครแห่ง และขาดความรใู้ น รายวชิ าเลือก (1.3) ความสุข” เร่ืองการ รายวิชาการทอผา้ ขอ้ 3 (3.2) ประชาสมั พันธ์ ขอ้ 4 (4.3) และ การตลาด ได้แก่ 5. ชื่อหลักสตู ร (4.4) กลุ่มทอผา้ บา้ นสบ การศึกษา -ภารกิจตอ่ เนื่อง มาย เนอื่ งจาก ต่อเนอื่ ง ข้อ 1 ด้านการจัด - การผลติ สินค้าไม่ การศึกษาและการ สอดคล้องกบั ความ หลักสตู รการศกึ ษา เรียนรู้ ต้องการของตลาด เพอ่ื พฒั นาทกั ษะชวี ิต ข้อ 2 ด้านหลกั สูตร - ขาดการสง่ เสรมิ “การอบรมดา้ นการ ส่ือ รูปแบบการ สนับสนุนการจัด อนรุ ักษ์ เรียนรู้ การวดั และ กจิ กรรมพัฒนา ทรัพยากรธรรมชาติ ประเมินผล งาน ทักษะอาชพี อย่าง บรกิ ารทางวิชาการ ตอ่ เนอื่ ง สภาพทาง หมายเหตุ สิ่งแวดลอ้ ม รายละเอียด การลักลอบตดั ไม้ (รา่ ง) ยุทธศาสตร์ ทาลายปา่ ของ และจุดเนน้ การ ประชาชน ดาเนินงาน กศน. เน่ืองจาก ประจาปีงบประมาณ - ประชาชนยงั ขาด จติ สานึกในการดูแล 75
นโยบายรัฐบาล/ วิสัยทัศน์ของ สภาพทาง สภาพขอ้ มลู สรปุ ความสอดคล้อง นโยบายสานักงาน สานกั งาน กศน./ กายภาพ พนื้ ฐาน นามาสรู่ ายวิชา สานักงาน กศน. (ระบุเฉพาะสภาพ กศน. ทเี่ กีย่ วขอ้ ง) (ระบุสภาพขอ้ มลู และส่ิงแวดลอ้ มใน จังหวัด/ แตล่ ะดา้ น) ชมุ ชน” 2560 ดังภาคผนวก สถานศึกษา/ 6. ช่อื หลักสูตร วิสัยทัศนข์ อง จังหวดั /อาเภอ การศึกษา ต่อเนือ่ ง รกั ษาป่าไม้ หลกั สตู รการศกึ ษา เพือ่ พฒั นาทักษะชวี ติ สภาพทางสังคม/ “การอบรมดา้ นการ ดูแลสุขภาพของ วฒั นธรรม ผู้สงู อาย”ุ ผสู้ ูงอายไุ ม่ไดร้ ับ 7. ชอ่ื หลักสูตร การศึกษา การดูแลดา้ น ต่อเนื่อง สุขภาพกายและ หลกั สตู รวชิ าชพี ระยะ ส้ัน หลกั สตู รการจกั สุขภาพจิต สานผลติ ภัณฑจ์ ากไม้ ไผ่ เนื่องจาก 8. ชอื่ หลกั สตู ร - ขาดการดูแลเอา รายวิชาเลือก รายวชิ าการจักสาน ใจใสจ่ ากคนใน ผลิตภณั ฑ์จากไม้ไผ่ ครอบครวั - ขาดความรู้ความ เขา้ ใจในการดแู ล ดแู ลสขุ ภาพตวั เอง - ลักษณะภมู ิ สภาพทางสังคม/ ประเทศตาบลบ้าน วัฒนธรรม แลง มีลักษณะเปน็ ผูส้ ูงอายตุ ้องการ ที่ราบสูง พื้นท่ีส่วน พฒั นาอาชพี ด้าน ใหญเ่ ป็นปา่ สงวน การจกั สานใหม้ ี แหง่ ชาติ และเขต รูปแบบท่ที นั สมัย ป่าเศรษฐกิจของ ตรงตามความ องคก์ าร ต้องการของตลาด อุตสาหกรรมปา่ ไม้ เน่อื งจาก (อ.อ.ป.) มแี มน่ ้า - เพ่ือรวมกลมุ่ ใช้ ลาห้วยท่ีสาคญั เวลาวา่ งให้เกิด ไหลผ่าน ไดแ้ ก่ ประโยชนแ์ ละมี แม่นา้ วัง ลาห้วย รายได้เสรมิ 76
นโยบายรฐั บาล/ วิสยั ทศั น์ของ สภาพทาง สภาพขอ้ มลู สรปุ ความสอดคล้อง นโยบายสานักงาน สานกั งาน กศน./ กายภาพ พ้ืนฐาน นามาสรู่ ายวิชา สานกั งาน กศน. (ระบุเฉพาะสภาพ กศน. ที่เก่ียวข้อง) (ระบสุ ภาพข้อมูล จังหวดั / แตล่ ะด้าน) สถานศกึ ษา/ วิสัยทศั น์ของ จงั หวัด/อาเภอ แม่มาย ลาห้วยแม่ - มีรายการสง่ั ซือ้ อาง ลาห้วยแมป่ ง ผลติ ภณั ฑใ์ น - ลักษณะสภาพ รูปแบบต่าง ๆ มาก ทางภูมิศาสตรข์ อง ขึ้น และตอ้ งการท่ี ทต่ี ั้งชมุ ชนพบวา่ จะเรยี นรเู้ พิ่มเตมิ พื้นที่ในหลาย เกยี่ วกับการรกั ษา หมู่บา้ นยังเปน็ เขต คณุ ภาพของ ปา่ สงวน และพน้ื ที่ ผลติ ภณั ฑใ์ ห้มีอายุ เพาะปลกู ทางการ การใช้งานยาวนาน เกษตรน้อย คดิ ขึ้น เป็นรอ้ ยละ 3 ของ - เพอ่ื การอนรุ ักษ์ ทัง้ ตาบล ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิน่ - สภาพป่าชุมชน ในปจั จบุ ัน ไม้ทพ่ี บ ในปา่ ชมุ ชนส่วน ใหญ่เป็นไม้ไผ่ ซ่งึ ประชาชนยังใช้ ประโยชนจ์ ากไม้ ไผใ่ นการสรา้ ง รายได้ เช่น การ ขดุ หนอ่ ไมข้ าย การใชไ้ ม้ไผ่เป็น วตั ถุดิบในการจกั สานเครื่องใชใ้ น ครวั เรอื นและ จาหน่ายเป็น รายไดเ้ สริมของ ครอบครวั 77
จากการวิเคราะห์ความสอดคล้องของข้อมูลด้านต่าง ๆ เพ่ือกาหนดหลักสูตรรายวิชา เลือกหรือหลกั สูตรการศึกษาต่อเน่ืองของสถานศึกษา ก่อนการร่างหลักสูตร สงิ่ สาคัญอีกประการหนึ่ง คือการเขียนความเป็นมา หรือการเขียนข้อมูลพื้นฐานและเหตุผลความจาเป็นในการจัดหลักสูตร ซ่ึง นักพัฒนาหลักสูตรจะต้องเขียนเพื่อแสดงให้เห็นว่าจัดหลักสูตรนี้เพื่อแก้ปัญหาหรือสนองตอบความ ตอ้ งการหรอื ต้องการพฒั นาใคร ในเร่อื งใด การเขยี นความเป็นมา ในการเขียนความเป็นมาหรือหลักการเหตุผลของหลักสูตร ให้เขียนถึงความสาคัญและ ความจาเป็นในการจัดทาหรือพัฒนาหลักสตู รน้วี า่ มีความสาคัญและความจาเป็นอย่างไร โดยการเขียน อาจแบง่ เปน็ 3 ส่วน ดังน้ี ส่วนแรก: ให้เขียนถึงความสาคัญและความจาเป็นของเร่ืองตามหลักสูตรว่ามีความ สอดคล้องกับนโยบาย วิสัยทัศน์ของรัฐหรือของหน่วยงานในแต่ละระดับอย่างไร โดยพิจารณานา ข้อมูลท่ีได้รวบรวมไว้จากแบบวเิ คราะห์ความสอดคล้องของข้อมูลต่าง ๆ (หน้า 74 - 75) และ/หรือนา ขอ้ มูลสถานการณ์ สภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคมปัจจุบันท่เี ก่ียวข้องมาขยายความ เช่อื มโยงให้เห็น ถึงความสาคัญและความจาเป็นเก่ียวกับเร่อื งตามหลักสูตรให้มีความชัดเจน เห็นคุณค่าหรือประโยชน์ ทีจ่ ะเกิดขน้ึ แก่กลุ่มเป้าหมาย ชมุ ชนและสงั คมโดยรวม ส่วนที่สอง: เขียนให้เห็นถึงสภาพชุมชน สังคมของกลุ่มเป้าหมายว่าเป็นอย่างไร โดยนา ข้อมูลท่ีได้รวบรวมไว้จากแบบวิเคราะห์ความสอดคล้องของข้อมูลต่าง ๆ เลือกข้อมูลในด้านท่ี เก่ียวข้องนามาเขยี นรายละเอียดสภาพชมุ ชนว่ามีทรัพยากร ทุนทางสังคม ภูมิปัญญาที่เป็นความรู้เดิม อะไรบ้างที่จะเอื้อหรือสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาการเรียนรู้ได้ต่อเนื่อง มีสภาพปัญหาและความ ตอ้ งการพฒั นาในเร่ืองอะไรบ้าง ซ่ึงเนื้อหารายละเอยี ดนี้จะเป็นขอ้ มูลสาคญั ทจ่ี ะนาไปใช้ในการกาหนด เนอื้ หาในหลักสูตรได้ หากมีรายละเอียดของข้อมูลความต้องการการพัฒนามากเทา่ ใดก็จะไดข้ ้อมูลมา กาหนดเนื้อหาในหลักสูตรมากเท่านั้น ทั้งน้ีแสดงให้เห็นว่าหลักสูตรนี้สอดคล้องกับความต้องการของ กลมุ่ เปา้ หมายอยา่ งแทจ้ รงิ ส่วนที่สาม: เป็นข้อสรุปว่า สถานศึกษาได้จัดทาหลักสูตรนี้เพ่ือส่งเสริมให้เรียนรู้ หรือ สนองตอบนโยบาย และความต้องการของประชาชนกลมุ่ เปา้ หมายอยา่ งไร ตอ่ ไปนีเ้ ป็นตวั อย่างการเขียนความเปน็ มา หรือขอ้ มลู พื้นฐานและความจาเปน็ ในการ จัดหลักสูตรของหลักสูตรการศึกษาต่อเน่ือง หลักสูตรวิชาชีพระยะส้ัน หลักสูตรการจักสาน ผลิตภณั ฑจ์ ากไมไ้ ผ่ 78
ข้อมูลพืน้ ฐานและความจาเปน็ ในการจดั หลักสูตร นโยบายจุดเน้นการดาเนินงานสานักงาน กศน.ปีงบประมาณ 2560 ได้กาหนดภารกิจ ต่อเน่ืองด้านการจัดการศึกษาอาชีพเพื่อการมีงานทาท่ีสอดคล้องกับศักยภาพของผู้เรียนและ ศักยภาพของแต่ละพื้นท่ีโดยมีจุดเน้นการดาเนินงานการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ตอบสนองการ เปลี่ยนแปลงและความต้องการของประชาชน ชุมชน สังคมในรูปแบบที่หลากหลาย การส่งเสริม ใหป้ ระชาชนรจู้ ักใชป้ ระโยชน์ของทรัพยากรที่มีอยใู่ นชุมชนอย่างประหยัดและเพ่ิมคุณค่า สามารถ ประกอบอาชีพเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริมในครอบครัวได้ การประกอบอาชีพจักสาน ผลิตภัณฑ์ไม้ไผ่เป็นผลิตภัณฑ์หัตถกรรมที่พบได้ในแต่ละชุมชนของประเทศทั่วทุกภาค ส่วนใหญ่ จะเป็นเคร่ืองใช้ในครัวเรือนและเคร่ืองใช้รองรบั พืชผลทางการเกษตร เชน่ กระบุง กระด้ง ตะกร้า เข่ง เป็นต้น ซ่ึงเป็นสิ่งจาเป็นท่ีใช้ในชีวิตประจาวัน สามารถทาเองหรือหาซ้ือได้ในราคาไม่แพง สาหรับในแต่ละท้องถ่ินท่ีมีแหล่งวัตถุดิบในการจักสาน ส่วนใหญ่มักจะทากันในเวลาว่างหรือหลัง ฤดูเกบ็ เก่ยี ว สามารถสร้างงาน สร้างอาชพี ให้กับประชาชนในทอ้ งถนิ่ ไดอ้ ีกทางหนึง่ จากการศึกษาข้อมูลชุมชนตาบลบ้านแลงพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ การเกษตรเป็นอาชีพหลัก มีการรวมกลุ่มอาชีพท่ีหลากหลาย ทั้งที่เป็นกลุ่มตามธรรมชาติหรือ แบบไม่เป็นทางการและกลุ่มแบบเปน็ ทางการ เช่น กลมุ่ เกษตรกร กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มแม่บา้ น กลุ่ม ออมทรัพย์ กลุ่มอาชีพต่าง ๆ ได้แก่กลุ่มปลูกถ่ัวเหลือง กลุ่มไม้กวาด กลุ่มทอผา้ กลุ่มจักสาน เป็น ต้น จากข้อมูลการจัดเวทีประชาคมด้านสังคม พบว่าชุมชนมีภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านจักสานเป็น กลุ่มผู้สูงอายุท่ีมีการรวมตัวกันจัดตั้งเป็นกลุ่มอาชีพท่ีใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาของตนเองและ ทรัพยากรท่ีมีอยู่ในชุมชน คือ ไม้ไผ่ เพื่อใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ในการสร้างงานสร้างอาชีพ ให้แก่ตนเอง และต้องการอนุรักษ์ภูมิปัญญาด้านจักสานให้คงอยู่ แต่ในการดาเนินงานกลุ่มอาชีพ จักสานท่ีผ่านมา ยังประสบปัญหาในด้านการรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้มีอายุการใช้งานให้ ยาวนานข้ึนและรูปแบบผลิตภัณฑ์ไม่ทันสมัย ตามความต้องการของตลาด สมาชิกกลุ่มจึงมีความ ต้องการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ท่ีทันสมัย ให้มีคุณภาพ และมีความหลากหลายตรงกับความ ต้องการของตลาด เพื่อการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถ่ินด้านจักสานให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน สรา้ งงานสร้างรายไดใ้ ห้แกค่ นในชมุ ชนตอ่ ไป ดงั น้ัน สถานศึกษา/กศน.ตาบลบ้านแลงจึงได้จัดทาหลักสูตร “การจกั สานผลิตภัณฑ์จาก ไม้ไผ่” ขึ้นเพ่ือตอบสนองความต้องการเรียนรู้ของกลุ่มเป้าหมาย และส่งเสริมการเรียนรู้ให้แก่ ประชาชนได้ใช้ศักยภาพและทรัพยากรท่ีมีอยู่ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าในการสร้างรายได้และการมี งานทารวมถงึ การอนุรกั ษภ์ ูมปิ ัญญาทอ้ งถ่ินให้คงอยอู่ ยา่ งยงั่ ยนื 79
สาหรับการเขียนความเป็นมาของหลักสูตรรายวิชาเลือก หลักสูตรการศึกษานอก ระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 จะต้องพิจารณาเพิ่มเติมในส่วนของข้อมูลท่ี ได้จากการสารวจข้อมลู รายบุคคลของนักศึกษาที่ลงทะเบยี นเรยี นในภาคเรียนน้ัน วา่ มคี วามสนใจ และต้องการเรียนรู้ในเรื่องใด ด้วยเหตุผลใด เพ่ือนามาเป็นข้อมูลในการพิจารณากาหนดรายวิชา เลือกที่สอดคล้องกับสภาพ ปัญหา ความต้องการ ความสนใจของผู้เรียนรายบุคคลหรือรายกลุ่ม หรือรายชมุ ชน ตอ่ ไปน้เี ปน็ ตัวอย่างการเขียนความเปน็ มาของหลกั สูตรรายวิชาเลอื ก รายวชิ าการจัก สานผลิตภัณฑ์จากไมไ้ ผ่ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ทผี่ ้เู รียนมคี วามสนใจในเรอ่ื งเกย่ี วกับการจัก สานผลติ ภัณฑจ์ ากไมไ้ ผ่ ซง่ึ ชุมชนของผเู้ รยี นมที รพั ยากรไม้ไผ่ และภูมปิ ัญญาดา้ นการจักสาน 80
ความเปน็ มา นโยบายจุดเน้นการดาเนินงานสานักงาน กศน.ปีงบประมาณ 2560 ได้กาหนด ภารกิจต่อเน่ือง ด้านการจัดการศึกษาอาชีพเพ่ือการมีงานทาท่ีสอดคล้องกับศักยภาพของ ผู้เรียนและศักยภาพของแต่ละพื้นที่ โดยมีจุดเน้นการดาเนินงานการจัดกระบวนการเรียนรู้ท่ี ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงและความต้องการของประชาชน ชุมชน สังคมในรูปแบบท่ี หลากหลาย การส่งเสริมให้ประชาชนรู้จักใช้ประโยชน์ของทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนอย่าง ประหยัดและเพ่ิมคุณค่า สามารถประกอบอาชีพเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริมในครอบครัว ได้ การประกอบอาชีพจักสานผลิตภัณฑ์ไม้ไผ่ เป็นผลิตภัณฑ์หัตถกรรมที่พบได้ในแต่ละชุมชน ของประเทศท่ัวทุกภาค ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือนและเครื่องใช้รองรับพืชผลทาง การเกษตร เช่น กระบุง กระด้ง ตะกร้า เข่ง เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งจาเป็นท่ีใช้ในชีวิตประจาวัน สามารถทาเองหรือหาซื้อได้ในราคาไม่แพงสาหรับในแต่ละท้องถ่ินท่ีมีแหล่งวัตถุดิบในการจัก สาน ส่วนใหญ่มักจะทากันในเวลาว่างหรือหลังฤดูเก็บเกี่ยว สามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ ให้กบั ประชาชนในทอ้ งถ่ินไดอ้ กี ทางหน่ึง จากการศึกษาชุมชนและข้อมลู สภาพปัญหาความตอ้ งการการเรยี นร้ขู องผูเ้ รียนระดับ มัธยมศึกษาตอนปลายที่ลงทะเบียนเรยี นในภาคเรียนท่ี 2/2559 พบว่า คนในชุมชนส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพทางการเกษตรเปน็ อาชีพหลัก และมีรายได้เสริมจากการรับจ้าง การหาของป่า หัตถกรรมและอุตสาหกรรมในครัวเรือน เช่น การทาไม้กวาด การจักสาน เนื่องจากในป่า ชุมชน ส่วนใหญ่มีไม้ไผ่เป็นทรัพยากรที่ประชาชนยังใช้ประโยชน์ในการสร้างรายได้ เช่น การ ขดุ หน่อไม้ไปขาย การทาไม้กวาด การจักสาน เป็นต้น นอกจากน้ี การจักสานยังเป็นภูมิปญั ญา ท้องถ่ินของกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชนที่รวมกลุ่มกันจัดตั้งเป็นกลุ่มอาชีพจักสาน เพื่อสร้างรายได้ ให้แก่ตนเอง ทั้งยังเป็นแหล่งเรียนรูภ้ ูมิปัญญาท้องถ่ินดา้ นการจักสานของชุมชน และจากการ สรุปข้อมูลความต้องการการเรียนรู้รายบุคคล พบว่า ผู้เรียนมีความสนใจและต้องการเรียนรู้ การประกอบอาชีพจักสานเพ่ืออนุรักษ์ ต่อยอดองค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการจักสาน ของชุมชนและสร้างงาน สร้างอาชีพให้แก่ตนเอง โดยใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่ในชุมชนให้เกิด ประโยชน์ แตย่ งั ขาดความรพู้ ื้นฐาน และทกั ษะฝีมอื ดา้ นการจักสาน สถานศึกษา/กศน.ตาบลบ้านแลง จึงได้จัดทาหลักสูตรรายวิชาเลือก หลักสูตร การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 รายวิชา“การจักสาน ผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่” ข้ึน เพื่อตอบสนองความต้องการเรียนรู้ของผู้เรียนหรือกลุ่มสนใจได้ เรยี นรู้ สามารถนาไปใช้ประโยชนใ์ นการพฒั นาตนเอง การประกอบอาชีพหลกั และอาชีพเสริม เพื่อสรา้ งรายไดใ้ ห้แก่ตนเองและครอบครัว รวมท้ังการอนุรกั ษ์สืบทอดภูมิปัญญาในท้องถ่ินให้ คงอย่สู บื ไป 81
จะเห็นได้ว่า จากการวิเคราะห์ความสอดคล้องของข้อมูลพื้นฐานด้านต่าง ๆ เพื่อ กาหนดหลักสูตรรายวิชาเลือกหรือหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่องของสถานศึกษา ข้อมูลบางด้าน สามารถนามากาหนดหลักสูตรไดท้ ้ังหลักสตู รรายวิชาเลือกหรอื หลกั สูตรการศึกษาต่อเนื่อง ซึง่ การ จัดทาและพัฒนาหลักสูตรใด ต้องพิจารณาว่าจะพัฒนาหลักสูตรนั้น เพ่ือพัฒนากลุ่มเป้าหมายใด ถ้าเป็นการพัฒนากลุ่มเป้าหมายท่ีเป็นนักศึกษา กศน. หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ก็ต้องพัฒนาเป็นหลักสูตรรายวิชาเลือก แต่ถ้าเป็นการ พัฒนาหลักสตู ร เพื่อพัฒนากลุ่มเปา้ หมายประชาชน กต็ อ้ งพัฒนาเป็นหลักสตู รการศึกษาต่อเน่ือง ขอ้ สังเกตท่สี าคญั อกี ประการหน่งึ ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูลพื้นฐาน ส่วนใหญค่ รู กศน. มกั จะจดั เก็บข้อมูลเพ่ือนามาจดั ทาแผนปฏิบตั กิ ารประจาปีอย่แู ลว้ ดังนั้น ในการจดั ทา และพัฒนาหลักสตู ร จึงมใิ ช่เป็นการจดั เก็บรวบรวมข้อมูลใหม่ แต่หากเปน็ การนาขอ้ มูลท่ไี ด้ วเิ คราะห์แล้วจากแผนปฏิบัตกิ ารประจาปี มาจัดทาและพฒั นาหลักสตู รท่ีสอดคล้องกับบริบท และความตอ้ งการของกลุ่มเปา้ หมายและชุมชน เวน้ แตว่ ่า ขอ้ มูลทไ่ี ด้มานัน้ ไมส่ มบรู ณ์ ก็ สามารถเกบ็ รวบรวมข้อมลู เพม่ิ เตมิ หรือทบทวนขอ้ มลู ใหม่อกี ครงั้ ส า ห รั บ ก า ร น า ข้ อ มู ล แ ล ะ ร า ย ช่ื อ ห ลั ก สู ต ร ที่ ก า ห น ด ไว้ ใน แ บ บ วิ เค ร า ะ ห์ ค ว า ม สอดคล้องของข้อมูลพ้ืนฐานต่าง ๆ เพื่อกาหนดหลักสูตรรายวิชาเลือกหรือหลักสูตรการศึกษา ต่อเน่ืองของสถานศกึ ษา ไปจัดทารา่ งหลักสูตร จะกล่าวโดยละเอยี ดในตอนที่ 3 การร่างหลักสูตร ของคมู่ อื การพฒั นาหลกั สตู รฯ เลม่ นี้ 82
ตอนท่ี 3 การร่างหลกั สตู ร ในตอนที่ 3 การร่างหลักสูตรนี้ จะเป็นการดาเนินการจัดทาและพัฒนาหลักสูตร ตาม กระบวนการพัฒนาหลักสูตรในตอนที่ 1 หน้า 5 ขั้นท่ี 2 – 4 คือ กาหนดหลักการ/จุดมุ่งหมายของ หลักสูตร เลือกและจัดเน้ือหาประสบการณ์ในหลักสูตร กาหนดแนวทางการประเมินผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน/ประเมินหลักสูตร โดยนาผลการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานมาร่างหลักสูตรรายวิชาเลือก หรือหลักสูตรการศึกษาต่อเน่ือง ก่อนนาร่างหลักสูตรดังกล่าวไปเขียนหลักสูตรตามองค์ประกอบของ หลกั สตู รรายวิชาเลือกหรือหลกั สตู รการศกึ ษาตอ่ เนอื่ ง ต่อไป สาหรับการร่างหลักสูตรในตอนนี้ จะขอใช้ตัวอย่างจากการวิเคราะห์ความสอดคล้องของ ข้อมูลด้านต่าง ๆ เพ่ือกาหนดหลักสูตรรายวิชาเลือกหรือหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่องของ สถานศึกษา ในตอนท่ี 2 หน้า 72 - 73 เพื่อเป็นแนวทางในการร่างหลักสูตร โดยจะเลือกพัฒนา หลักสูตรรายวิชาเลือก รายวิชาการจักสานผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ และหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง หลักสูตรวชิ าชีพระยะสัน้ หลกั สตู รการจักสานผลิตภัณฑจ์ ากไม้ไผ่ ซึ่งจะเป็นการใช้ฐานข้อมลู เดียวกัน เพอ่ื พัฒนาหลกั สูตรรายวิชาเลอื ก สาหรับกลมุ่ เป้าหมายนักศกึ ษา กศน. หลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 และพัฒนาหลักสูตรการศึกษาต่อเน่ือง สาหรับ กลุ่มเปา้ หมายประชาชนทั่วไป โดยจะดาเนนิ การตามกระบวนการพัฒนาหลักสตู รขั้นตอนท่ี 2 – 4 คือ กาหนดหลักการ/จุดมุ่งหมายของหลักสูตร เลือกและจัดเน้ือหาประสบการณ์ในหลักสูตร กาหนด แนวทางการประเมินผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนและแนวทางการประเมินหลักสูตร ดังต่อไปน้ี
การกาหนดหลกั การและจดุ มุง่ หมายของหลกั สูตร หลักการ เป็นเป้าหมายปลายทางของหลักสูตรน้ัน จะบอกให้รู้ว่าหลักสูตรนั้น ๆ จัดขึ้นเพื่อ อะไร ซึง่ จะกาหนดไวใ้ นลกั ษณะเชงิ ปรชั ญาของหลกั สูตร จุดมุ่งหมาย แสดงความคาดหวังของหลักสูตรว่าผู้ท่ีเรียนจบหลักสูตรนี้แล้วจะมีคุณลักษณะ อย่างไร สาหรับหลักสูตรรายวิชาเลือก จะไม่กาหนดหลักการและจุดมุ่งหมาย เนื่องจากหลักสูตร รายวิชาเลือก เป็นส่วนหน่ึงของหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 ซง่ึ ได้กาหนดหลักการและจุดม่งุ หมายของหลักสูตรแกนกลางไวแ้ ล้ว ตอ่ ไปนเี้ ปน็ ตัวอย่างการกาหนดหลกั การและจุดมุ่งหมายของหลักสตู รการศกึ ษาต่อเนื่อง หลกั สตู ร วชิ าชพี ระยะส้นั หลกั สตู รการจักสานผลติ ภัณฑจ์ ากไม้ไผ่ 1. การกาหนดหลักการ พิจารณาว่า หลักสูตรน้ีจัดข้ึนเพื่ออะไร โดยการพิจารณาจากผล การวิเคราะห์ข้อมูลพ้ืนฐานในแต่ละด้านว่ามีท่ีมา เหตุผลความจาเป็นอย่างไรในการจัดทาและพัฒนา หลักสูตรนี้ สาหรับหลักสูตรการจักสานผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ ได้พิจารณาจากข้อมูลด้านสังคม/ วัฒนธรรมท่ีระบุว่า “ผู้สูงอายุต้องการพัฒนาอาชีพด้านการจักสานให้มีรูปแบบท่ีทันสมัย ตรงตาม ความต้องการของตลาด” นอกจากน้ีจะต้องพิจารณาปรัชญาการศึกษา จิตวิทยา และทฤษฎีการ เรียนรู้มาเป็นองค์ประกอบในการจัดหลักสูตร ซ่ึงจากการพิจารณาได้แนวทางในการกาหนดหลักการ ดังน้ี 1) จัดหลกั สูตรเพอ่ื ให้ผู้สงู อายุไดร้ วมกลุ่มใชเ้ วลาว่างให้เกดิ ประโยชน์และมรี ายไดเ้ สรมิ 2) จัดหลักสตู รเพอ่ื การอนุรักษภ์ มู ิปัญญาท้องถิ่น 3) การจดั หลกั สูตรวิชาชีพ ควรพจิ ารณาเลอื กใช้ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เน้นให้ผเู้ รียนเรียนรู้ จากการปฏิบัติจริง น่นั คอื ทฤษฎกี ารเรยี นร้ขู องจอห์น ดวิ อี้ (John Dewey) 4) การจัดหลักสูตรสาหรับผู้ใหญ่ควรมีความยืดหยุ่นทั้งเน้ือหาสาระ และเวลาในการ จดั การเรยี นรู้ เมื่อได้แนวทางในการกาหนดหลักการของหลักสูตร ดังนั้น หลักสูตรการศึกษาต่อเน่ือง หลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น หลักสูตรการจักสานผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ สามารถกาหนดหลักการของ หลักสูตรไดด้ งั น้ี 84
หลักการ 1. เปน็ หลักสตู รเพอ่ื ส่งเสรมิ ให้ผู้สูงอายไุ ด้รวมกลุม่ ใช้เวลาว่างใหเ้ กิดประโยชน์ 2. เปน็ หลักสตู รเพือ่ ส่งเสรมิ อาชีพท่ีสามารถสรา้ งรายไดไ้ ดจ้ รงิ 3. เปน็ หลกั สตู รที่ส่งเสริมการอนุรักษ์ภูมิปญั ญาด้านการจักสาน 4. เป็นหลกั สูตรท่ีสง่ เสริมใหผ้ เู้ รียนเรยี นรู้จากการลงมือปฏบิ ตั ิจริง 5. เปน็ หลักสูตรทม่ี ีโครงสร้างยดื หยุ่นทง้ั ดา้ นสาระ เวลา และการจัดการเรยี นรู้ 6. เป็นหลักสูตรท่สี ามารถนาความรู้และประสบการณ์ทไ่ี ดร้ ับไปประยกุ ต์ใช้ในการ ประกอบอาชีพ 2. การกาหนดจดุ มุ่งหมาย พจิ ารณาว่า ผู้ท่ีเรยี นจบหลักสูตรน้ีแล้วจะมีคุณลักษณะอย่างไร สาหรับหลักสูตรน้ีเป็นหลักสูตรวิชาชีพระยะส้ัน จะต้องพิจารณาถึงคุณลักษณะของผู้ที่จะประกอบ อาชีพนั้น ๆ และควรพิจารณาจากอัตลักษณ์ของสถานศึกษาควบคู่กันไปด้วย ซ่ึงจากการพิจารณาได้ แนวทางในการกาหนดจุดมุ่งหมาย ดังน้ี 1) ในการประกอบอาชีพใดก็ตาม สิ่งที่ต้องคานึงถึงก็คือ คุณลักษณะของผู้ที่จะ ประกอบอาชีพนั้น ๆ ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับอาชีพ ทักษะการประกอบอาชีพ การบริหาร จดั การในการประกอบอาชพี คณุ ธรรมในการประกอบอาชพี เป็นต้น 2) พิจารณาอัตลักษณ์ของสถานศึกษาในด้านท่เี กี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพ เช่น ใฝ่ เรียนร้คู ู่คุณธรรม เมื่อไดแ้ นวทางในการกาหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร ดงั นั้น หลักสูตรการศกึ ษาตอ่ เนื่อง หลักสูตรวิชาชีพระยะส้ัน หลักสูตรการจักสานผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ สามารถกาหนดจุดมุ่งหมายของ หลักสตู รได้ดงั นี้ จุดมุ่งหมาย หลกั สตู รนี้ใหค้ วามรู้และประสบการณเ์ พื่อใหผ้ จู้ บหลกั สูตรมคี ณุ ลักษณะดงั น้ี 1. มคี วามรู้ ความเข้าใจ และทักษะการประกอบอาชพี จักสานผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ 2. มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ และทกั ษะการบรหิ ารจัดการในอาชีพจกั สานผลติ ภัณฑ์จากไม้ไผ่ 3. มีคุณธรรมในการประกอบอาชีพ 4. มีเจตคติท่ีดีต่อการประกอบอาชพี จกั สานผลติ ภณั ฑ์จากไม้ไผ่ 5. มที กั ษะในการแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง 85
การเลือกและจดั เนอื้ หาประสบการณใ์ นหลักสตู ร ในขั้นตอนนจ้ี ะดาเนินการ ดงั นี้ 1. เลือกและจัดเนื้อหาและประสบการณ์ที่ช่วยเอ้ือให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะตามท่ีคาดหวังไว้ใน จุดมุ่งหมายของหลักสูตรหรือบรรลุจุดมุ่งหมายของหลักสูตร โดยเน้ือหาหลักสูตร ประกอบด้วย ขอบเขตเน้ือหาความรทู้ ี่จะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ประสบการณ์การเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะได้รับจากการได้ลง มือทาหรือปฏิบัติ และกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเป็นแนวทางหรือวิธีการท่ีจะช่วยให้ผู้เรียน เรียนรู้ เน้อื หาและประสบการณต์ า่ ง ๆ 2. จัดทาโครงสร้างหลกั สูตร ประกอบด้วยรายวิชา หรือหวั เรื่องของเน้ือหา และเวลาเรียน 3. จัดทาคาอธบิ ายของเน้ือหาของแตล่ ะรายวิชา หรอื แต่ละหัวเรือ่ ง สาหรับคู่มือฯ เล่มนี้ จะยกตัวอย่างการเลือกและจัดเน้ือหาประสบการณ์หลักสูตรของ หลักสูตรรายวิชาเลือก รายวิชาการจักสานผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ และหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง หลักสูตรวิชาชีพระยะส้ัน หลักสูตรการจักสานผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ โดยใช้แบบวิเคราะห์เน้ือหากับ ขอ้ มูลพน้ื ฐานดา้ นต่าง ๆ ดงั น้ี แบบวเิ คราะหเ์ น้อื หาหลกั สูตรกับข้อมลู พนื้ ฐานดา้ นต่าง ๆ ช่ือหลกั สตู ร การจักสานผลิตภัณฑจ์ ากไม้ไผ่ วสิ ัยทศั น์ของ เน้ือหา นโยบายรฐั บาล/ สานักงาน กศน./ สภาพทาง สภาพข้อมลู นโยบายสานักงาน สานกั งาน กศน. กายภาพ พ้นื ฐาน จังหวัด/สถานศกึ ษา/ กศน. วสิ ัยทศั นข์ องจังหวัด/ อาเภอ 1. หวั เร่อื งหลกั ระบเุ ฉพาะนโยบาย ระบุเฉพาะวิสัยทศั น์ที่ ระบุเฉพาะสภาพ ระบสุ ภาพข้อมลู 1.1 หัวเร่อื งยอ่ ย ทเ่ี กีย่ วขอ้ ง เก่ียวขอ้ ง สอดคล้อง ท่ีเกยี่ วขอ้ งกบั แต่ละด้านท่ี 1.2 หัวเรือ่ งยอ่ ย สอดคล้องกับเนื้อหา กับเนอื้ หา เนื้อหา เก่ยี วขอ้ ง 1.3 หวั เรอ่ื งย่อย สอดคลอ้ งกับ เนื้อหา 2. หวั เร่ืองหลัก ระบุเฉพาะนโยบาย ระบุเฉพาะวิสัยทัศน์ท่ี ระบุเฉพาะสภาพ ระบสุ ภาพขอ้ มลู 2.1 หัวเรอ่ื งย่อย ท่เี ก่ยี วขอ้ ง เก่ยี วขอ้ ง สอดคลอ้ ง ทเี่ กย่ี วขอ้ ง แต่ละด้านท่ี 2.2 หวั เร่ืองยอ่ ย สอดคลอ้ งกับเน้อื หา กบั เนื้อหา สอดคล้องกับ เกี่ยวขอ้ ง 2.3 หวั เรอ่ื งย่อย เนอ้ื หา สอดคล้องกบั เน้อื หา หมายเหตุ กาหนดเน้ือหาใหค้ รอบคลมุ สภาพ/ปญั หา ความต้องการทุก ๆ ดา้ น 86
ตัวอยา่ งการวเิ คราะห์เน้อื หาหลกั สตู รกบั ข้อมูลพนื้ ฐานด้านตา่ ง ๆ แบบวเิ คราะห์เนื้อหาหลกั สูตรกบั ขอ้ มูลพ้นื ฐานด้านต่าง ๆ ชื่อหลักสูตร การจักสานผลิตภัณฑ์จากไมไ้ ผ่ วสิ ยั ทศั นข์ อง เนอ้ื หา นโยบายรฐั บาล/ สานกั งาน กศน./ สภาพทาง สภาพข้อมลู นโยบายสานักงาน สานกั งาน กศน. กายภาพ พ้ืนฐาน (ระบุเพาะสภาพ (ระบสุ ภาพ กศน. จังหวัด/ ท่เี กยี่ วขอ้ ง) สถานศึกษา/ ข้อมลู แตล่ ะด้าน) วสิ ยั ทศั นข์ อง จังหวัด/อาเภอ 1. ช่องทางการตดั สนิ ใจ นโยบายรัฐบาล - - ลกั ษณะภมู ิ สภาพทางสังคม/ เลอื กประกอบอาชีพการจัก ยุทธศาสตร์ ประเทศตาบล วัฒนธรรม สานผลิตภณั ฑจ์ ากไม้ไผ่ กระทรวงศึกษาธกิ าร บ้านแลง มี ผ้สู งู อายุต้องการ วิเคราะหค์ วามเปน็ ไป 6 ยุทธศาสตร์ ลักษณะเปน็ ท่ี พฒั นาอาชพี ด้าน ได้จากข้อมลู ดังน้ี ข้อ 1 พฒั นา ราบสงู พื้นทสี่ ่วน การจกั สานใหม้ ี 1) ข้อมลู ตนเอง หลักสตู ร กระบวนการ ใหญ่เป็นปา่ สงวน รูปแบบท่ีทนั สมัย 2) ข้อมลู วิชาการ เรียนการสอน และ แห่งชาติ และเขต ตรงตามความ 3) ข้อมูลทางสงั คม การวัดประเมินผล ป่าเศรษฐกจิ ของ ตอ้ งการของ สิง่ แวดลอ้ ม ข้อ 3 ผลิตและ องค์การ ตลาด เน่ืองจาก พฒั นากาลงั คน อุตสาหกรรมปา่ - เพ่อื รวมกลุ่มใช้ รวมทงั้ งานวจิ ยั ที่ ไม้ (อ.อ.ป.) มี เวลาวา่ งใหเ้ กิด สอดคล้องกบั ความ แมน่ ้าลาหว้ ยที่ ประโยชน์และมี ตอ้ งการของการ สาคัญไหลผ่าน รายไดเ้ สรมิ พฒั นาประเทศ ไดแ้ ก่ แม่น้าวัง - มรี ายการสง่ั ซ้ือ ขอ้ 4 ขยายโอกาส ลาห้วยแมม่ าย ผลิตภณั ฑใ์ น ในการเข้าถงึ บริการ ลาหว้ ยแม่อาง ลา รปู แบบตา่ ง ๆ การศกึ ษาและเรยี นรู้ หว้ ยแมป่ ง มากขน้ึ และ อย่างตอ่ เนื่อง - ลกั ษณะสภาพ ต้องการทีจ่ ะ ทางภมู ศิ าสตร์ เรยี นรเู้ พ่มิ เตมิ นโยบายสานกั งาน ของทีต่ ้งั ชุมชน เกย่ี วกบั การรกั ษา กศน. พบว่า พ้ืนท่ีใน คุณภาพของ ยทุ ธศาสตรแ์ ละ หลายหมบู่ า้ นยงั ผลิตภณั ฑใ์ ห้มี เปน็ เขตปา่ สงวน อายกุ ารใช้งาน 87
วิสัยทัศนข์ อง เนื้อหา นโยบายรัฐบาล/ สานกั งาน กศน./ สภาพทาง สภาพขอ้ มลู นโยบายสานักงาน สานกั งาน กศน. กายภาพ พื้นฐาน 2. ความร้ทู ว่ั ไปเกี่ยวกับไม้ (ระบุเพาะสภาพ (ระบสุ ภาพ ไผ่ กศน. จังหวัด/ ท่เี กยี่ วขอ้ ง) 2.1 ชนิดของไม้ไผท่ ่ใี ชใ้ น สถานศึกษา/ ขอ้ มลู แตล่ ะดา้ น) การจักสาน วสิ ัยทศั น์ของ 2.2 ขอ้ สังเกตในการนาไม้ ไผ่มาทาเครอื่ งจกั สาน จงั หวดั /อาเภอ 3. ความรูท้ ัว่ ไปเก่ยี วกับ จุดเนน้ การ และพ้ืนท่ี ยาวนานข้นึ การจักสานไมไ้ ผ่ 3.1 ศัพทช์ า่ งสาน ดาเนนิ งาน เพาะปลกู - เพอื่ การอนุรกั ษ์ 3.2 ลายเครื่องสาน 3.3 อปุ กรณใ์ นการจักสาน สานักงาน กศน. ทางการเกษตร ภูมิปัญญาทอ้ งถน่ิ ไม้ไผ่ 4. การจักสานไม้ไผ่ ประจาปงี บประมาณ - นอ้ ย คดิ เปน็ รอ้ ย ผู้สูงอายุตอ้ งการ 4.1 การจกั ตอก 4.2 การสาน การเขา้ ขอบ 2560 ละ 3 ของทัง้ พัฒนาอาชพี ด้าน และการมัดขอบ 4.3 วิธกี ารสานลานลาย -จุดเน้นการ ตาบล การจักสานใหม้ ี ต่าง ๆ 1) ลายขดั ดาเนนิ งาน กศน. - สภาพปา่ ชมุ ชน รูปแบบท่ีทนั สมยั 2) ลายชะลอม 3) ลายวงพระจนั ทร์ (ลาย ตามยุทธศาสตร์ ในปัจจุบัน ไม้ที่ ตรงตามความ หวั สมุ่ ) 4) ลายเวยี นกน้ หอย กระทรวงศึกษาธิการ พบในป่าชุมชน ต้องการของ 5) ลายตาหล่วิ 6 ยทุ ธศาสตร์ ส่วนใหญ่เป็นไม้ ตลาด ข้อ 1 (1.1) และ - ไผ่ ซง่ึ ประชาชน - เพอื่ การอนุรกั ษ์ (1.3) ยังใชป้ ระโยชน์ ภมู ปิ ัญญาท้องถิ่น ขอ้ 3 (3.2) จากไมไ้ ผใ่ นการ ข้อ 4 (4.3) และ สร้างรายได้ เชน่ (4.4) การขุดหน่อไม้ -ภารกจิ ตอ่ เนื่อง ขาย การใช้ไมไ้ ผ่ ขอ้ 1 ดา้ นการจัด - เป็นวัตถุดิบใน - มรี ายการสัง่ ซอื้ การศกึ ษาและการ การจกั สาน ผลิตภณั ฑใ์ น เรยี นรู้ เครือ่ งใชใ้ น รูปแบบต่าง ๆ ขอ้ 2 ด้านหลกั สตู ร ครัวเรอื นและ มากขึน้ และ ส่อื รปู แบบการ จาหนา่ ยเป็น ต้องการทีจ่ ะ เรียนรู้ การวัดและ รายได้เสรมิ ของ เรียนรเู้ พ่มิ เติม ประเมนิ ผล งาน ครอบครวั เก่ยี วกบั การรกั ษา บรกิ ารทางวิชาการ คุณภาพของ ผลิตภณั ฑใ์ ห้มี อายุการใชง้ าน ยาวนานขึ้น 88
เนอื้ หา นโยบายรฐั บาล/ วิสัยทัศน์ของ สภาพทาง สภาพข้อมลู นโยบายสานกั งาน สานักงาน กศน./ กายภาพ พนื้ ฐาน 4.4 การขนึ้ รูปเครือ่ งสาน สานักงาน กศน. (ระบุเพาะสภาพ (ระบสุ ภาพ ประเภทต่าง ๆ กศน. ทเี่ กย่ี วขอ้ ง) 1) การสานตะกร้า จังหวัด/ ขอ้ มลู แตล่ ะดา้ น) 2) การสานชะลอม สถานศกึ ษา/ 3) การสานกระเปา๋ วสิ ัยทัศนข์ อง 4) การสานกลอ่ งกล่องใส่ จงั หวัด/อาเภอ กระดาษทิชชู่ 5) การสานถาดผลไม้ทรง - - เพอ่ื รวมกลมุ่ ใช้ สเ่ี หลยี่ ม ทรงกลม และทรงรี เวลาวา่ งใหเ้ กิด 4.5 การยอ้ มสีผลิตภัณฑ์ ประโยชน์และมี จากไมไ้ ผ่ รายไดเ้ สรมิ 4.4 เทคนคิ การเกบ็ รกั ษา ผลติ ภณั ฑ์ 5. การบรหิ ารจดั การใน การประกอบอาชีพ 5.1 การบริหารจดั การการ ผลิต 1) การสารวจแหลง่ เงนิ ทนุ และแหลง่ วัตถุดิบใน ทอ้ งถิ่น 2) การกาหนดมาตรฐาน ผลิตภณั ฑ์ และการควบคมุ คณุ ภาพผลผลติ 3) คุณธรรมในการ ประกอบอาชพี (ความ รับผิดชอบ ความซอ่ื สัตย์ สุจรติ ความขยนั อดทน ฯลฯ) 89
เน้อื หา นโยบายรฐั บาล/ วสิ ัยทศั น์ของ สภาพทาง สภาพข้อมลู นโยบายสานักงาน สานักงาน กศน./ กายภาพ พนื้ ฐาน 5.2 การบรหิ ารจดั การ สานักงาน กศน. (ระบุเพาะสภาพ (ระบสุ ภาพ การตลาด กศน. ทเี่ ก่ียวขอ้ ง) 5.2.1 การจัดการการตลาด จังหวดั / ขอ้ มลู แตล่ ะดา้ น) 1) หลกั การจัดการ สถานศกึ ษา/ การตลาด วิสัยทศั นข์ อง 2) ขอ้ มลู ทางการตลาด จงั หวัด/อาเภอ (วิธีการหาขอ้ มูล การเก็บ รวบรวมขอ้ มลู การ วิเคราะหข์ อ้ มูล และการนา ขอ้ มลู ไปใช้) 3) การวางแผนผลติ สนิ คา้ 4) ช่องทางการจาหนา่ ย 5) การขายและการสง่ เสรมิ การขาย 5.2.2 การทาบัญชี 1) ความหมายและ ประโยชนข์ องการทาบญั ชี 2) บัญชตี ้นทนุ ในการ ประกอบอาชพี 3) การคานวณตน้ ทุน-กาไร ในการผลติ -วธิ ีการคดิ กาไร-ขาดทนุ ใน การประกอบอาชพี -การกาหนดราคาขาย 5.3 ปญั หาอุปสรรคในการ ประกอบอาชพี 5.3.1 ปัญหาดา้ น กระบวนการผลติ 5.3.1 ปัญหาดา้ นการตลาด 90
เนอ้ื หา นโยบายรฐั บาล/ วสิ ยั ทศั น์ของ สภาพทาง สภาพข้อมลู นโยบายสานกั งาน สานกั งาน กศน./ กายภาพ พ้ืนฐาน 6. การจดั ทาโครงการ สานักงาน กศน. (ระบุเพาะสภาพ (ระบุสภาพ ประกอบอาชีพ กศน. ท่เี ก่ยี วขอ้ ง) 6.1 ความสาคญั ของ จังหวดั / ข้อมลู แตล่ ะดา้ น) โครงการประกอบอาชพี สถานศกึ ษา/ 6.2 ประโยชน์ของโครงการ วสิ ัยทัศน์ของ - เพอ่ื รวมกลมุ่ ใช้ ประกอบอาชพี จังหวัด/อาเภอ เวลาว่างใหเ้ กิด 6.3. องคป์ ระกอบของ ประโยชนแ์ ละมี โครงการประกอบอาชพี - รายไดเ้ สริม 6.4 การเขยี นโครงการ 6.5 การประเมินความ - เพ่ือรวมกลุ่มใช้ เหมาะสมและสอดคลอ้ ง เวลาว่างใหเ้ กิด ของโครงการ ประโยชนแ์ ละมี 7. การศึกษากรณตี ัวอย่าง รายไดเ้ สรมิ กรณีตวั อยา่ งผู้ ประกอบอาชีพจักสาน ผลิตภณั ฑ์จากไมไ้ ผ่ ใน ประเดน็ ดังนี้ 1) ชอ่ งทางการประกอบ อาชีพ 2) ทักษะการประกอบ อาชีพ 3) การบรหิ ารจดั การใน การประกอบอาชีพ 91
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198