Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สารนิพนธ์การบริหารงานวิชาการที่ส่งผลต่อทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 3

สารนิพนธ์การบริหารงานวิชาการที่ส่งผลต่อทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 3

Published by hamdeen69, 2020-05-11 11:45:50

Description: สารนิพนธ์การบริหารงานวิชาการที่ส่งผลต่อทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 3
Academic Administration Affecting the 21st Century Skills of Students in Schools
under the Jurisdiction of Narathiwat Primary
Educational Service Area Office III
ฮัมดีน กะสูเมาะ

Search

Read the Text Version

การบรหิ ารงานวิชาการทส่ี ่งผลต่อทกั ษะของผ้เู รียนในศตวรรษท่ี 21 ในสถานศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน สงั กัดสานักงานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 3 Academic Administration Affecting the 21st Century Skills of Students in Schools under the Jurisdiction of Narathiwat Primary Educational Service Area Office III ฮมั ดีน กะสูเมาะ Hamdeen Kasumoh สารนิพนธน์ ้ีเปน็ สว่ นหนงึ่ ของการศึกษาตามหลักสตู รปริญญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี A Minor Thesis Submitted in Partial Fulfillment of the Requirements for the Degree of Master of Education in Educational Administration Prince of Songkla University 2562 (1)

ชอ่ื สารนิพนธ์ การบรหิ ารงานวชิ าการท่สี ง่ ผลตอ่ ทักษะของผเู้ รียนในศตวรรษที่ 21 ในสถานศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน สงั กัดสานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษา ผ้เู ขียน ประถมศกึ ษานราธวิ าส เขต 3 สาขาวชิ า นายฮัมดนี กะสูเมาะ ปกี ารศกึ ษา การบริหารการศึกษา 2561 บทคัดย่อ การวจิ ยั ครงั้ นีม้ ีวัตถปุ ระสงค์ เพื่อศึกษา 1) ระดับการบรหิ ารวิชาการในสถานศกึ ษา ขน้ั พืน้ ฐาน สงั กดั สานกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษานราธวิ าส เขต 3 2) ระดบั ทกั ษะการ เรียนร้ใู นศตวรรษที่ 21 ในสถานศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน สงั กดั สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษาประถมศึกษา นราธวิ าส เขต 3 3) ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งการบรหิ ารงานวชิ าการกับทักษะของผเู้ รยี นในศตวรรษที่ 21 ในสถานศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศกึ ษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 3 4) ตัวแปรพยากรณข์ องการบริหารงานวิชาการที่สง่ ผลตอ่ ทักษะของผูเ้ รยี นในศตวรรษท่ี 21 ใน สถานศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน สงั กดั สานกั งานเขตพื้นท่ีการศกึ ษาประถมศึกษานราธวิ าส เขต 3 กลุ่มตัวอย่าง ท่ีใช้ในการวิจัยครงั้ น้ี ได้แก่ สถานศึกษาขั้นพนื้ ฐาน สงั กัดสานกั งานเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษา นราธวิ าส เขต 3 จานวน 46 โรง ผู้ตอบแบบสอบถามโรงเรยี นละ 4 คน ประกอบด้วย ผู้อานวยการ โรงเรียน หวั หนา้ ฝ่ายวิชาการ ครูผู้สอนชว่ งชัน้ ท่ี 1 และครูผู้สอนช่วงช้นั ที่ 2 รวมทง้ั ส้ิน 184 คน เครื่องมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ัยเปน็ แบบสอบถามมาตราสว่ นประมาณคา่ 5 ระดับ ของ Likert’s Scale มีค่า ความเชอ่ื มน่ั เท่ากบั .984 สถติ ิในการวิเคราะหข์ ้อมูล คือ คา่ ร้อยละ คา่ เฉลย่ี ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน ค่าสมั ประสิทธ์สิ หสัมพันธข์ องเพียร์สัน และวเิ คราะหก์ ารถดถอยพหคุ ณู แบบข้นั ตอน ผลการวิจยั สรุป ไดด้ งั น้ี 1. การบรหิ ารงานวชิ าการในสถานศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน สงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนที่ การศกึ ษาประถมศกึ ษานราธิวาส เขต 3 โดยภาพรวมและรายด้านอยใู่ นระดับมากท่ีสดุ 2. ทกั ษะของผูเ้ รียนในศตวรรษท่ี 21 ในสถานศึกษาข้ันพน้ื ฐาน สังกดั สานกั งานเขต พ้นื ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 3 โดยภาพรวมและรายด้านอยใู่ นระดบั มาก (3)

3. การบริหารงานวิชาการกับทกั ษะของผู้เรยี นในศตวรรษท่ี 21 ในสถานศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน สังกัดสานักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษานราธิวาส เขต 3 มีความสมั พนั ธ์ทางบวกอยู่ ในระดบั ปานกลาง อย่างมีนยั สาคัญทางสถิติทร่ี ะดับ .01 4. การบรหิ ารงานวชิ าการ มีตัวพยากรณ์ 1 ด้าน คอื ดา้ นการพัฒนาส่อื นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพ่อื การศึกษา (X4) ทสี่ ง่ ผลต่อทักษะของผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 สังกดั สานักงานเขต พืน้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษานราธวิ าส เขต 3 ค่าสัมประสทิ ธก์ิ ารพยากรณ์รอ้ ยละ 35.0 อยา่ งมี นยั สาคัญทางสถิตทิ ่รี ะดับ .01 สามารถสร้างสมการในรูปของคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐานได้ดงั นี้ สมการพยากรณใ์ นรปู แบบคะแนนดิบ ̂Y = 1.567 + .603(X4) สมการพยากรณ์ในรปู แบบคะแนนมาตรฐาน Ẑ = .592(X4) (4)

กติ ตกิ รรมประกาศ สารนพิ นธฉ์ บบั นส้ี ําเรจ็ ลุลว่ งอย่างสมบูรณเ์ ปน็ เพราะผวู้ จิ ัยได้ด้วยความเมตตาและ อนเุ คราะหอ์ ย่างย่ิงจากรองศาสตราจารย์ ดร.วฒุ ชิ ยั เนียมเทศ ประธานกรรมการสอบ และอาจารย์ ที่ปรึกษาสารนพิ นธ์ ซง่ึ ท่านได้ใหค้ าํ ปรึกษาแนะนาํ ในการปรับปรงุ แก้ไข ดูแลใหก้ ําลงั ใจ อ่านและ ตรวจสอบข้อบกพร่องตา่ ง ๆ ดว้ ยความเอาใจใสอ่ ยา่ งดีย่ิงเสมอมา ผ้วู ิจัยรู้สกึ ซาบซึง้ ในความกรุณา และขอขอบพระคุณเปน็ อยา่ งสงู มา ณ โอกาสน้ี ขอขอบพระคณุ ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ชวลิต เกิดทิพย์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นเิ ลาะ แวอุเซง็ กรรมการสอบสารนิพนธท์ ่ีใหป้ รึกษาช้ีแนะในการจัดทาํ สารนพิ นธ์เพ่อื ให้สาร นิพนธม์ คี วามสมบรู ณ์มากย่งิ ขึน้ ขอขอบพระคณุ ผู้บรหิ ารและครผู ู้สอนสถานศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พน้ื ฐาน ในโครงการ จดั การเรียนรดู้ ว้ ยวธิ ีการ Active Learning เพ่อื ยกระดบั คณุ ภาพการศกึ ษา สังกดั สาํ นักงานเขตพืน้ ท่ี การศึกษาประถมศกึ ษาจังหวัดนราธิวาส เขต 3 ที่ใหค้ วามรว่ มมอื ในการเกบ็ ข้อมูลเพื่อการวิจยั คร้ังน้ี ขอขอบพระคุณคณาจารย์ทุกทา่ นท่ปี ระสิทธิ์ประสาทวชิ าความรู้แกผ่ ู้วิจัย บิดา มารดา ผู้เปน็ ท่ีเคารพ ภรรยาและบตุ ร ผ้เู ปน็ แรงใจและสนับสนุน รวมท้ังญาติมิตรผองเพ่อื น และ ผู้เก่ียวข้องทกุ ท่านทไ่ี ดใ้ ห้ความช่วยเหลือในการเก็บรวบรวมข้อมลู และเปน็ กําลังใจใหต้ ลอดมาจน สาํ เรจ็ การศกึ ษา หากงานวิจยั ในคร้ังนีม้ ีประโยชนต์ ่อการศึกษา ผู้วจิ ยั ขอมอบความดนี ใ้ี หแ้ ก่ทุก ๆ ท่านท่ไี ด้กลา่ วมา ประโยชนแ์ ละคุณคา่ ทเ่ี กิดจากสารนิพนธฉ์ บับน้ี ผู้วจิ ยั ขอมอบคณุ งามความดี แด่บพุ การีและอาจารย์ทุกทา่ นท่ีประสิทธป์ิ ระสาทวชิ าความร้แู ละผมู้ พี ระคณุ ทุก ๆ ทา่ น ที่ทาํ ให้ผ้วู จิ ัย สามารถจัดทาํ สารนพิ นธ์ฉบับนีส้ ําเรจ็ ได้ด้วยดี ฮัมดีน กะสเู มาะ (5)

สารบญั บทคัดยอ่ ............................................................................................................................. หน้า กติ ติกรรมประกาศ.............................................................................................................. (3) สารบญั ............................................................................................................................... (5) รายการตาราง..................................................................................................................... (6) รายการภาพประกอบ......................................................................................................... (8) บทที่ 1 บทนา................................................................................................................. (10) 1 ความเปน็ มาของปญั หาและปญั หา..................................................................... 1 วัตถปุ ระสงค์....................................................................................................... 4 สมมตฐิ าน........................................................................................................... 4 ความสาคัญและประโยชน์ของการวิจัย............................................................... 4 ขอบเขตของการวิจัย.......................................................................................... 5 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ................................................................................................ 7 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กี่ยวข้อง.......................................................................... 11 ทกั ษะของผูเ้ รยี นในศตวรรษท่ี 21...................................................................... 11 11 ความหมายของทักษะของผู้เรยี นในศตวรรษท่ี 21......................................... 12 ความเป็นมาและความสาคญั ของทกั ษะของผเู้ รยี นในศตวรรษท่ี 21.............. 14 องค์ประกอบของทักษะของผเู้ รยี นในศตวรรษที่ 21....................................... 36 การบรหิ ารงานวชิ าการ....................................................................................... 36 ความหมายของการบริหารงานวชิ าการ.......................................................... 38 ความสาคัญของการบรหิ ารงานวิชาการ......................................................... 39 หลกั การบริหารงานวชิ าการ........................................................................... 42 ขอบข่ายของการบรหิ ารงานวชิ าการ.............................................................. 72 งานวจิ ยั ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง............................................................................................. 76 บทที่ 3 การดาเนนิ การวิจัย............................................................................................. 76 ประชากรและกล่มุ ตวั อยา่ ง................................................................................. 77 เครอ่ื งมอื ท่ใี ชใ้ นการวจิ ัย..................................................................................... 79 การสร้างเคร่อื งมอื และหาคณุ ภาพเครือ่ งมอื ....................................................... (6)

สารบญั (ตอ่ ) การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล.......................................................................................... 80 การวเิ คราะหข์ ้อมลู ............................................................................................... 81 สถติ ทิ ี่ใช้ในการวิจัย.............................................................................................. 82 บทท่ี 4 ผลการวิจัย.......................................................................................................... 87 ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล......................................................................................... 87 บทท่ี 5 สรปุ อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ................................................................... 108 สรปุ ผลการวิจัย................................................................................................... 111 อภิปรายผล......................................................................................................... 116 ข้อเสนอแนะ........................................................................................................ 120 บรรณานกุ รม...................................................................................................................... 122 ภาคผนวก........................................................................................................................... 128 ภาคผนวก ก หนังสอื ราชการ.............................................................................. 129 ภาคผนวก ข แบบสอบถามเพือ่ การวิจยั ............................................................. 133 ภาคผนวก ค คณุ ภาพเครือ่ งมือในการวิจยั ......................................................... 142 ภาคผนวก ง รายนามผ้เู ช่ยี วชาญตรวจสอบเครอ่ื งมือวิจยั ................................... 147 ประวัติผเู้ ขยี น..................................................................................................................... 149 (7)

รายการตาราง ตาราง หน้า 1 จำนวนประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำงสถำนศกึ ษำในสังกัดสำนักงำนเขตพื้นทีก่ ำรศกึ ษำ 77 89 ประถมศึกษำนรำธวิ ำส เขต 3 จำนวนตำมอำเภอ……………………....................……….. 90 2 จำนวนและรอ้ ยละของผู้ตอบแบบสอบถำมจำแนกตำมตำแหนง่ วุฒิกำรศกึ ษำ และ 91 92 ประสบกำรณใ์ นกำรทำงำน……………………………………………………………….............…. 94 3 ค่ำเฉลี่ย ค่ำเบ่ียงเบนมำตรฐำนและระดบั กำรบรหิ ำรงำนวิชำกำรในสถำนศกึ ษำขนั้ 95 96 พืน้ ฐำน สังกัดสำนกั งำนเขตพน้ื ท่กี ำรศึกษำประถมศึกษำนรำธิวำส เขต 3 โดย 97 ภำพรวมและรำยดำ้ น………………………………………………………………………………….… 98 4 คำ่ เฉลี่ย ค่ำเบี่ยงเบนมำตรฐำนและระดับกำรบรหิ ำรงำนวิชำกำรในสถำนศกึ ษำข้ัน พนื้ ฐำน สงั กดั สำนักงำนเขตพนื้ ที่กำรศกึ ษำประถมศึกษำนรำธิวำส เขต 3 ด้ำนกำร พัฒนำ หลักสูตรสถำนศกึ ษำโดยภำพรวมและรำยขอ้ ……………………......………........ 5 ค่ำเฉล่ีย ค่ำเบ่ียงเบนมำตรฐำนและระดบั กำรบรหิ ำรงำนวิชำกำรในสถำนศกึ ษำข้ัน พ้ืนฐำน สังกดั สำนักงำนเขตพนื้ ทกี่ ำรศกึ ษำประถมศกึ ษำนรำธิวำส เขต 3 ด้ำนกำร พัฒนำ กระบวนกำรเรยี นรู้โดยภำพรวมและรำยขอ้ …………………………………..…….. 6 ค่ำเฉลี่ย ค่ำเบี่ยงเบนมำตรฐำนและระดับกำรบรหิ ำรงำนวิชำกำรในสถำนศกึ ษำข้ัน พื้นฐำน สงั กัดสำนักงำนเขตพื้นท่กี ำรศึกษำประถมศกึ ษำนรำธวิ ำส เขต 3 ด้ำนกำร วัดผล ประเมนิ ผลและเทยี บโอนผลกำรเรียน โดยภำพรวมและรำยข้อ………………. 7 คำ่ เฉลี่ย ค่ำเบ่ยี งเบนมำตรฐำนและระดับกำรบริหำรงำนวชิ ำกำรในสถำนศกึ ษำขน้ั พน้ื ฐำน สังกดั สำนกั งำนเขตพ้นื ทก่ี ำรศกึ ษำประถมศึกษำนรำธิวำส เขต 3 ด้ำนกำร พฒั นำ สอื่ นวตั กรรมและเทคโนโลยีเพอื่ กำรศกึ ษำ โดยภำพรวมและรำยข้อ.......… 8 คำ่ เฉลย่ี ค่ำเบยี่ งเบนมำตรฐำนและระดับกำรบริหำรงำนวชิ ำกำรในสถำนศกึ ษำข้ัน พื้นฐำน สงั กดั สำนักงำนเขตพน้ื ที่กำรศกึ ษำประถมศกึ ษำนรำธิวำส เขต 3 ด้ำนกำร นิเทศภำยในโดยภำพรวมและรำยข้อ..................................................................... 9 คำ่ เฉลย่ี ค่ำเบย่ี งเบนมำตรฐำนและระดบั ทกั ษะของผ้เู รียนในศตวรรษที่ 21 ใน สถำนศกึ ษำขั้นพน้ื ฐำน สังกัดสำนกั งำนเขตพน้ื ท่ีกำรศึกษำประถมศึกษำนรำธิวำส เขต 3 โดยภำพรวมและรำยด้ำน………………………………………………………….......... 10 คำ่ เฉล่ีย ค่ำเบย่ี งเบนมำตรฐำนและระดบั ทักษะของผเู้ รียนในศตวรรษท่ี 21 ใน สถำนศกึ ษำขั้นพ้ืนฐำน สังกดั สำนักงำนเขตพนื้ ท่ีกำรศกึ ษำประถมศกึ ษำนรำธิวำส เขต 3 ทกั ษะกำรคดิ อย่ำงสรำ้ งสรรค์ โดยภำพรวมและรำยข้อ…………............….. (8)

รายการตาราง (ต่อ) ตาราง หน้า 11 ค่ำเฉลย่ี ค่ำเบ่ียงเบนมำตรฐำนและระดับทักษะของผูเ้ รียนในศตวรรษที่ 21 ใน 99 100 สถำนศกึ ษำขนั้ พืน้ ฐำน สงั กัดสำนกั งำนเขตพน้ื ท่ีกำรศกึ ษำประถมศึกษำนรำธิวำส 101 เขต 3 ทักษะกำรคดิ อยำ่ งมีวิจำรณำณและกำรแกป้ ัญหำโดยภำพรวมและรำยขอ้ ..... 102 12 ค่ำเฉลีย่ ค่ำเบยี่ งเบนมำตรฐำนและระดับทักษะของผเู้ รยี นในศตวรรษที่ 21 ใน 104 สถำนศึกษำขน้ั พน้ื ฐำนสังกัด สำนักงำนเขตพนื้ ทก่ี ำรศกึ ษำประถมศึกษำนรำธวิ ำส เขต 3 ทักษะด้ำนสำรสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี โดยภำพรวมและรำยขอ้ .............. 105 13 คำ่ เฉลี่ย ค่ำเบี่ยงเบนมำตรฐำนและระดบั ทักษะของผ้เู รียนในศตวรรษที่ 21ใน สถำนศกึ ษำขน้ั พ้ืนฐำน สงั กดั สำนกั งำนเขตพื้นทีก่ ำรศกึ ษำประถมศกึ ษำนรำธิวำส 106 เขต 3 ทกั ษะกำรส่ือสำร โดยภำพรวมและรำยขอ้ ………………………………………........ 14 ค่ำเฉลีย่ ค่ำเบี่ยงเบนมำตรฐำนและระดบั ทักษะของผูเ้ รียนในศตวรรษท่ี 21 ใน สถำนศึกษำขนั้ พื้นฐำนสงั กดั สำนกั งำนเขตพน้ื ที่กำรศึกษำประถมศึกษำนรำธิวำส เขต 3 ทกั ษะชีวิตและอำชพี โดยภำพรวมและรำยข้อ……………………………………..... 15 คำ่ สมั ประสิทธส์ิ หสมั พนั ธ์อย่ำงงำ่ ย (r) ระหว่ำง กำรบริหำรงำนวชิ ำกำรกับทักษะ ของผเู้ รียนในศตวรรษท่ี 21 ในสถำนศึกษำขน้ั พื้นฐำน สังกดั สำนกั งำนเขตพืน้ ที่ กำรศึกษำประถมศกึ ษำนรำธวิ ำส เขต 3…….……..................................................... 16 ค่ำสมั ประสิทธ์ิสหสัมพนั ธพ์ หคุ ณู (R) ค่ำสัมประสิทธกิ์ ำรพยำกรณ์ (R2) และกำร ทดสอบนยั สำคญั ของค่ำสัมประสิทธิ์สหสัมพันธด์ ้วยค่ำ F ของกำรบรหิ ำรงำน วิชำกำรกบั ทกั ษะของผเู้ รยี นในศตวรรษท่ี 21 ในสถำนศกึ ษำข้ันพืน้ ฐำน สังกัด สำนักงำนเขตพน้ื ทกี่ ำรศึกษำประถมศึกษำนรำธิวำส เขต 3.……………………………. 17 ผลกำรวเิ ครำะหก์ ำรหำคำ่ สัมประสทิ ธก์ิ ำรถดถอยของตวั พยำกรณ์ในรปู คะแนนดบิ (b) และในรูปคะแนนมำตรฐำน (β) เพอื่ สร้ำงสมกำรถดถอยกำรบรหิ ำรงำนวชิ ำกำร ทส่ี ัมพนั ธก์ ับทักษะของผูเ้ รยี นในศตวรรษท่ี 21 ในสถำนศึกษำขั้นพน้ื ฐำน สงั กัด สำนกั งำนเขตพนื้ ท่กี ำรศึกษำประถมศกึ ษำนรำธิวำส เขต 3 ค่ำควำมคลำดเคลื่อน (SE) และคำ่ คงที่ของสมกำรในรูปคะแนนดบิ (a) ………………………...................... (9)

รายการภาพประกอบ ภาพประกอบ หน้า 1 กรอบแนวคดิ ของการวจิ ยั .......................................................................................... 7 (10)

1 บทท่ี 1 บทนำ ควำมเปน็ มำของปัญหำและปญั หำ การพัฒนาประเทศส่คู วามสมดลุ และยงั่ ยืนจะตอ้ งใหค้ วามสาคัญกับการเสริมสร้าง ทนุ ของประเทศท่มี ีอยู่ให้เขม้ แขง็ และมีพลงั เพยี งพอทีจ่ ะขับเคล่ือนการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการ พัฒนาคนหรือทนุ มนษุ ยใ์ ห้เขม้ แขง็ พร้อมรบั การเปลี่ยนแปลงของโลกในยคุ ศตวรรษท่ี 21 แผนพัฒนา เศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาตฉิ บบั ที่ 12 พ.ศ. 2560 - 2564 มุง่ เน้นการพฒั นาใหค้ นไทยมคี วามรู้ท้ังใน เรอื่ งของการศึกษา การทางานและการดาเนนิ ชวี ติ เพอ่ื เป็นภูมคิ มุ้ กันสาคญั ในการดารงชีวิตและ ปรับตวั ให้ทนั กับการเปลย่ี นแปลงของโลกในศตวรรษท่ี 21 โดยมีแนวทางในการพัฒนาหลกั สูตรและ ปรับกระบวนการเรยี นการสอนทีเ่ ออ้ื ตอ่ การพฒั นาผ้เู รียนอย่างรอบด้านทเี่ ชือ่ มสังคมกบั ภมู สิ งั คม โดยบูรณาการการเรียนรู้ให้หลากหลายทั้งด้านวิชาการ ทกั ษะชวี ิต และนนั ทนาการทีค่ รอบคลมุ ทั้งศลิ ปะ ดนตรี กีฬา วัฒนธรรม ศาสนา ประชาธิปไตย ความเป็นไทย สง่ เสริมและสนบั สนนุ การวิจัย และพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรม สนับสนนุ การวิจยั พฒั นา การดัดแปลงและ ต่อยอดการพัฒนาเทคโนโลยีไปสู่ความเปน็ อจั ฉริยะ โดยใช้เทคโนโลยขี น้ั สูงและการผสมผสาน เทคโนโลยี ใหค้ วามสาคัญกบั การเรียนรู้ท้งั ในและนอกห้องเรียนสรา้ งนิสัยใฝร่ ู้ มที กั ษะในการคดิ วิเคราะห์ แก้ปญั หาเฉพาะหนา้ รับฟงั ความเหน็ ของผูอ้ ่นื ความคดิ สร้างสรรค์ ตลอดจนจัดกิจกรรม อาสาสมัครเพ่ือสาธารณะประโยชน์ รวมถงึ เสรมิ สรา้ งทกั ษะชวี ิตและพฤตกิ รรมสุขภาพท่ีเหมาะสม และถูกต้องให้แก่ผู้เรยี น โดยเฉพาะการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกบั ผอู้ น่ื สามารถจดั การควบคุม ดูแล อารมณ์ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม มคี วามรคู้ วามเข้าใจในหลกั โภชนาการ และการออกกาลงั กาย รวมถงึ การใชเ้ วลาอย่างสร้างสรรค์และมีคุณภาพ (สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกจิ และสังคม แห่งชาติ, 2560) นโยบายของกระทรวงศกึ ษาธกิ ารในการพฒั นาเยาวชนของชาตเิ ข้าสโู่ ลกยุคศตวรรษ ท่ี 21 โดยมุ่งสง่ เสริมใหผ้ ้เู รยี นมคี ุณธรรมรักความเป็นไทยมที กั ษะการคดิ วเิ คราะห์ คดิ สรา้ งสรรค์ มที กั ษะด้านเทคโนโลยี สามารถทางานรว่ มกบั ผู้อื่นและสามารถอยรู่ ่วมกับผอู้ น่ื ในสังคมโลกได้อย่าง สนั ติสขุ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2551) ทง้ั น้ี หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐานพุทธศกั ราช 2551 (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2551) ได้กาหนดจดุ มุ่งหมายของหลักสตู รข้อที่ 2 ไวว้ า่ เมอ่ื จบ การศกึ ษาระดับข้นั พนื้ ฐานผู้เรยี นจะตอ้ งมคี วามรู้อันเปน็ สากลและมีความสามารถในการสอ่ื สาร การคิด การแก้ปญั หาการใชเ้ ทคโนโลยแี ละการมที ักษะชีวิต รวมถึงยงั กาหนดสมรรถนะสาคัญของ 1

2 ผู้เรียนไว้วา่ หลกั สูตรจะตอ้ งมุง่ พัฒนาให้ผู้เรยี นมีความสามารถในการสอ่ื สาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ไขปญั หา ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิตและความสามารถในการใช้ เทคโนโลยี สอดคลอ้ งกับท่ีสานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน ได้กาหนดจุดเน้นการพฒั นา การศึกษาของนกั เรยี นระดบั ช้ันประถมศกึ ษา ไว้วา่ จะม่งุ เน้นการพัฒนาทกั ษะและความสามารถ ในการอ่านออกเขยี นไดแ้ ละคดิ เลขเปน็ ทกั ษะการคิดข้นั สงู ทกั ษะการสือ่ สารอย่างสร้างสรรค์และ ทกั ษะชวี ิต ทง้ั น้ี ทกั ษะท่ีจาเปน็ สาหรบั การดารงชวี ิตในศตวรรษที่ 21 นัน้ คอ่ นข้างแตกตา่ งจาก ศตวรรษที่ 20 เนือ่ งจากการอบุ ัติขนึ้ ของเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร (Information and Communication Technology) ทีก่ า้ วหนา้ อยา่ งรวดเรว็ กระแสการปรบั เปลี่ยนทางสังคมที่เกดิ ข้ึน ในศตวรรษที่ 21 สง่ ผลตอ่ วิถกี ารดารงชวี ิตของอย่างทว่ั ถงึ สถานศกึ ษาตอ้ งมีความต่ืนตัวและเตรียม ความพร้อมในการจดั การเรยี นรู้เพ่ือเตรยี มความพรอ้ มใหผ้ ู้เรยี นมีทกั ษะสาหรบั การออกไปดารงชีวติ ในโลกในศตวรรษท่ี 21 ที่เปลี่ยนไปจากศตวรรษที่ 20 และ 19 โดยทักษะของศตวรรษที่ 21 ท่ีสาคัญ ทีส่ ุด คอื ทกั ษะการเรยี นรู้ (Learning skill) สง่ ผลใหม้ ีการเปลยี่ นแปลงรูปแบบการจดั การศกึ ษา ตลอดจนการเตรียมความพรอ้ มด้านตา่ ง ๆ ทเ่ี ปน็ ปัจจัยสนบั สนุนท่ีจะทาให้เกิดการเรยี นรู้ดงั กลา่ ว (วโิ รจน์ สารรตั นะ, 2556) การจัดการศกึ ษาน้นั เป็นรากฐานท่ีสาคญั ในการสร้างสรรคค์ วามเจริญกา้ วหน้า การแกป้ ญั หา และการพฒั นาในดา้ นตา่ ง ๆ เพราะการศกึ ษามคี วามสาคัญโดยตรงกับการพฒั นา ทรพั ยากรมนษุ ย์ให้เป็นผู้ทร่ี ู้จักคิด รู้จักทา รู้จักแก้ปัญหา เพ่อื ชว่ ยพัฒนาฟ้ืนฟูศกั ยภาพของบคุ คล ใหส้ ามารถพงึ่ ตนเอง พฒั นาตนเอง พฒั นาชุมชน และพัฒนาสังคมได้ นอกจากนี้การศกึ ษายังเป็น เครือ่ งมือในการปลูกจิตสานกึ ของบุคคลให้เห็นคุณคา่ ของการอนรุ ักษธ์ รรมชาติและสิง่ แวดล้อม รวมทัง้ การเห็นคุณคา่ ของการอย่รู ่วมกนั อย่างสนั ตสิ ขุ การศึกษาจึงเป็นกระบวนการพัฒนาที่มสี าคัญ อยา่ งยง่ิ ในฐานะที่เป็นรากฐานของการพฒั นาด้านอ่นื ๆ (กรมวชิ าการ, 2544) การบรหิ ารและการจดั การศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐานในการปฏริ ูปการบริหารและ การจดั การศึกษาตามพระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้กระจายอานาจในการบริหาร สถานศึกษาออกเปน็ 4 งาน ได้แก่ การบริหารงานวิชาการ การบริหารงานงบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบรหิ ารงานทวั่ ไป ซงึ่ งานวิชาการเปน็ งานหลกั หรอื เป็นภารกิจหลกั ของ สถานศกึ ษา ทพี่ ระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเตมิ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ 2545 มุ่งให้กระจายอานาจในการบริหารจัดการไปใหส้ ถานศึกษามากทีส่ ุด สอดคล้องกบั ความ ตอ้ งการของผู้เรยี น สถานศกึ ษา ชุมชน ท้องถน่ิ และการมีสว่ นร่วมจากผมู้ สี ่วนไดส้ ่วนเสียทุกฝ่าย เพือ่ พัฒนาคณุ ภาพผเู้ รียนได้อยา่ งมีคณุ ภาพและมีประสิทธิภาพ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2546)

3 การทีจ่ ะทาให้ผู้เรียนมีคุณภาพได้นั้น การบรหิ ารงานวชิ าการดา้ นหลักสูตร สถานศกึ ษา การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การพฒั นาสอ่ื นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพ่อื การศกึ ษา และการนิเทศภายใน เหล่าน้ีล้วนเป็นขอบข่ายการบริหารงานวิชาการทคี่ วรไดร้ บั การพฒั นา ปรบั ปรุง สง่ เสรมิ และรว่ มมือกนั ทุกฝา่ ย ดงั นั้นการบรหิ ารงานวชิ าการมีความสมั พันธก์ ับคณุ ภาพของผเู้ รยี น โดยตรงทีจ่ ะดาเนนิ การเพอื่ พฒั นาการเรยี นการสอนให้มปี ระสิทธภิ าพและเกิดประโยชน์สูงสดุ กบั ผ้เู รียน ดังรายงานวิจยั ของสายทิพย์ ระดมกจิ (2540) ได้ศึกษาเรื่อง ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งการ บริหารงานวิชาการกับคุณภาพการศกึ ษาของโรงเรยี นคาทอลิค ในเขตสงั ฆทานมณฑลราชบรุ ตี าม ทศั นะของผบู้ ริหาร ผู้ชว่ ยฝ่ายวชิ าการ และครูผูส้ อน ผลการวจิ ยั พบว่า การบรหิ ารงานวชิ าการและ คณุ ภาพการศกึ ษาของโรงเรยี นคาทอลิคมคี วามสัมพนั ธก์ นั อยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิทีร่ ะดบั .01 โดยความสมั พันธอ์ ยู่ในระดบั สงู ไดแ้ ก่ ด้านการเรียนการสอน สาหรบั ประเทศไทย ในปี 2545 กระทรวงศึกษาธิการ (2545) ให้ความสาคัญในการ จัดการศกึ ษาเพอ่ื เตรยี มเยาวชนให้มีคณุ ภาพ โดยให้ผ้เู รียนมีทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ด้วยวธิ ีการปฏิรูปการศึกษา โดยการปรับหลักสูตร เอกสาร ตาราและกระบวนการจัดการเรยี นรู้ ทมี่ ุ่งเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ ศนู ย์กลาง ในปี 2551 กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้ปรับปรุงหลกั สตู ร การศกึ ษาขัน้ พื้นฐานด้วยการกาหนดให้การจัดการศึกษา เปน็ การจดั การศกึ ษาเพอ่ื สร้างผู้เรียนให้มี คณุ ภาพ และในปี 2555 กระทรวงศึกษาธิการ (2555) ไดก้ ล่าวถึง ทกั ษะการเรียนรูใ้ นศตวรรษท่ี 21 ไว้เปน็ ทักษะท่ีผเู้ รยี นตอ้ งเกิดในการจัดการศกึ ษาของชาติ เพื่อเตรยี มเยาวชนให้มีความพรอ้ มในการ ดารงชีวติ จากเหตุผลดังกล่าวขา้ งต้น สะทอ้ นใหเ้ หน็ ว่าการบรหิ ารงานวิชาการเปน็ เรื่องที่ สาคัญและจาเปน็ อย่างย่งิ ผบู้ รหิ ารตอ้ งให้ความสนใจและตระหนกั ถงึ หน้าทคี่ วามรับผดิ ชอบ ผู้วจิ ยั ในฐานะผศู้ กึ ษาและปฏบิ ัติงานในหน้าทคี่ รูผู้สอน ได้มองเห็นถึงความสาคญั ของงานวชิ าการ ซึง่ ถอื เป็นงานหลกั ของการบรหิ ารสถานศึกษาจงึ มคี วามสนใจ ที่จะศึกษาการบรหิ ารงานวิชาการของ สถานศึกษาทส่ี ่งผลทกั ษะของผู้เรยี นในศตวรรษท่ี 21 ในสถานศึกษาขนั้ พื้นฐาน สังกดั สานักงานเขต พ้นื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษานราธวิ าส เขต 3 เพ่อื นาผลของการวิจัยไป เป็นขอ้ มลู และแนวทาง ในการวางแผนพฒั นาการบริหารงานวชิ าการของสถานศกึ ษา สงั กัดสานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษา ประถมศึกษานราธิวาส เขต 3 หรือหนว่ ยงานที่เกย่ี วข้อง อนั จะสง่ ผลต่อคุณภาพการศึกษาของผู้เรยี น ใหส้ ูงขึน้ ซ่งึ จะนาไปสคู่ วามเจรญิ กา้ วหน้าของการจัดการศกึ ษาเพ่อื พฒั นาประเทศชาตติ ่อไป

4 วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพื่อศกึ ษาระดบั การบรหิ ารวิชาการ ในสถานศึกษาข้ันพ้นื ฐาน สังกดั สานกั งาน เขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 3 2. เพอื่ ศึกษาระดับทักษะของผเู้ รยี นในศตวรรษที่ 21 ในสถานศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน สังกดั สานักงานเขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 3 3. เพอื่ ศึกษาความสมั พนั ธ์ระหว่างการบริหารงานวิชาการกบั ทกั ษะของผูเ้ รยี น ในศตวรรษ ที่ 21 ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกดั สานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษา นราธิวาส เขต 3 4. เพอ่ื ศึกษาตวั แปรพยากรณ์ของการบรหิ ารงานวิชาการท่ีสง่ ผลต่อทักษะของ ผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 ในสถานศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน สังกัดสานักงานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษา นราธิวาส เขต 3 สมมติฐำนกำรวจิ ัย การวจิ ยั ครง้ั น้ีเป็นการวจิ ยั เรอื่ ง การบรหิ ารงานวชิ าการท่ีส่งผลต่อทกั ษะของผูเ้ รยี น ในศตวรรษที่ 21 ในสถานศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษานราธิวาส เขต 3 ซ่งึ มีสมมติฐาน ดังน้ี 1. การบรหิ ารงานวชิ าการมคี วามสมั พันธเ์ ชิงบวกกับทักษะของผเู้ รยี นในศตวรรษ ท่ี 21 ในสถานศกึ ษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษานราธวิ าส เขต 3 2. การบรหิ ารงานวิชาการอยา่ งนอ้ ยหน่ึงดา้ นที่เปน็ ตัวแปรพยากรณ์ทกั ษะของ ผเู้ รียนในศตวรรษท่ี 21 ในสถานศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน สังกดั สานกั งานเขตพื้นทีก่ ารศึกษาประถมศึกษา นราธิวาส เขต 3 ควำมสำคัญและประโยชน์ของกำรวิจยั ดำ้ นควำมรู้ 1. ทาให้ทราบระดับการบริหารวชิ าการในสถานศึกษาข้ันพนื้ ฐาน สังกัดสานักงาน เขตพนื้ ที่การศกึ ษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 3 2. ทาให้ทราบระดบั ทักษะของผูเ้ รียนในศตวรรษท่ี 21 ในสถานศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน สงั กัดสานักงานเขตพืน้ ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษานราธิวาส เขต 3

5 3. ทาให้ทราบความสมั พันธร์ ะหว่างการบรหิ ารงานวิชาการกับทกั ษะของผเู้ รยี น ในศตวรรษท่ี 21 ในสถานศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน สังกดั สานกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษานราธวิ าส เขต 3 4. ทาให้ทราบตัวแปรพยากรณท์ ่ีใช้ในการพยากรณท์ ักษะของผูเ้ รยี นในศตวรรษ ท่ี 21 ในสถานศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน สังกัดสานักงานเขตพ้นื ทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษานราธิวาส เขต 3 ดำ้ นกำรนำไปใช้ 1. เปน็ ขอ้ มูลพ้ืนฐานให้หนว่ ยงานระดับเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษา สามารถ นาไปใชใ้ นการกาหนดนโยบายการดาเนินงานเก่ียวกับการบรหิ ารงานวชิ าการเพือ่ ใหส้ ่งผลต่อทักษะ ของผูเ้ รียนในศตวรรษที่ 21 2. เปน็ ข้อมูลให้ผบู้ ริหาร ครูผู้สอน และชุมชนนาไปเป็นแนวทางในการบริหาร งานวิชาการใหม้ ีประสทิ ธภิ าพและประสทิ ธิผลสงู สุดตอ่ ผเู้ รียน ขอบเขตของกำรวจิ ัย 1. ขอบเขตด้ำนเนอ้ื หำ จากการศกึ ษาคน้ ควา้ เอกสารและงานวิจัยที่เกีย่ วขอ้ งกับการบริหารงานวิชาการ และทักษะในศตวรรษที่ 21 ผูว้ ิจัยได้สงั เคราะห์ขอบขา่ ยการบริหารงานวชิ าการตามนกั วชิ าการและ หน่วยงาน กระทรวงศกึ ษาธิการ (2550) สานกั งานปฏริ ปู การศึกษา (2545) กมล ศิริบรรณ (2539) กมล ภ่ปู ระเสรฐิ (2547) จันทรานี สงวนนาม (2545) ชุมศกั ดิ์ อินทรร์ กั ษ์ (2546) และปรยี าพร วงศ์ อนุตรโรจน์ (2553) ไดก้ าหนดไว้สรุปไดเ้ ปน็ 5 ดา้ นได้แก่ 1) ด้านการพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษา 2) ดา้ นการพฒั นากระบวนการเรยี นรู้ 3) ด้านการวดั ผล ประเมนิ ผล และเทยี บโอนผลการเรยี น 4) ดา้ น การพฒั นาสือ่ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพ่อื การศึกษา และ 5) ดา้ นการนเิ ทศภายใน และผู้วิจยั ได้ สังเคราะห์ทักษะของผ้เู รียนในศตวรรษท่ี 21 ของ The North Central Regional Laboratory and Metiri Group (2003) ภาคีเพ่อื ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ของอเมรกิ า (Partnership for 21 Century Skill, 2011) Kamisah Osman, Tuan Mastura Tuan Soh and Nurazidawati Mohamad Arsad (2012) หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) วิจารณ์ พานชิ (2555) และสรุ ยิ เดว ทรปิ าติ (2555) ได้แก่ 1) ทักษะ การคดิ อย่างสร้างสรรค์ 2) ทักษะการคิดอยา่ งมีวิจารณญาณและการแก้ปญั หา 3) ทกั ษะดา้ น สารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี 4) ทกั ษะการส่อื สาร 5) ทกั ษะชวี ติ และอาชพี

6 2. ขอบเขตด้ำนประชำกรและกล่มุ ตวั อย่ำง ประชากรทใ่ี ช้ในการวิจยั ครง้ั นี้ ไดแ้ ก่ สถานศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน ในโครงการจัดการ เรียนรู้ด้วยวิธกี าร Active Learning เพื่อยกระดับคณุ ภาพการศกึ ษา สังกดั สานักงานเขตพืน้ ที่ การศกึ ษาประถมศกึ ษานราธวิ าส เขต 3 จานวน 51 แหง่ กลุม่ ตวั อย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ สถานศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน ในโครงการจดั การ เรยี นรูด้ ้วยวิธกี าร Active Learning เพอ่ื ยกระดับคุณภาพการศกึ ษา สงั กดั สานักงานเขตพ้นื ที่ การศกึ ษาประถมศกึ ษานราธวิ าส เขต 3 จานวน 46 แหง่ ไดม้ าจากคานวณหาขนาดของกล่มุ ตัวอยา่ ง โดยใช้สูตร Yamane (1973 อ้างถึงใน ผ่องศรี วาณชิ ย์ศุภวงศ์, 2546 : 104) โดยมีผู้ให้ขอ้ มูล สถานศกึ ษาละ 4 คน คอื ผู้อานวยการสถานศึกษา หวั หนา้ ฝา่ ยวิชาการ ตัวแทนครูผสู้ อนช่วงชั้นที่ 1 และตัวแทนครผู ู้สอนชว่ งชั้นท่ี 2 รวมท้งั ส้นิ 184 คน 3. ตัวแปรทใี่ ชใ้ นกำรศกึ ษำ 3.1 ตวั แปรต้น คือ การบรหิ ารงานวชิ าการ ซง่ึ การศึกษาวิจยั ครง้ั นีผ้ ูว้ ิจยั ได้ สังเคราะหข์ อบข่ายการบรหิ ารงานวชิ าการตามที่หน่วยงานและนักวชิ าการ ประกอบด้วย องค์ประกอบสาคัญ 5 ด้าน ไดแ้ ก่ 1) ดา้ นการพัฒนาหลกั สูตรสถานศึกษา 2) ด้านการพฒั นากระบวนการเรียนรู้ 3) ด้านการวัดผล ประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียน 4) ดา้ นการพัฒนาสือ่ นวัตกรรมและเทคโนโลยเี พ่ือการศึกษา 5) ด้านการนเิ ทศภายใน 3.2 ตัวแปรตาม คอื ทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ซ่ึงไดจ้ ากการสังเคราะห์ เอกสารทางวชิ าการและงานวิจัยที่เกีย่ วขอ้ งกบั ทักษะของผ้เู รียนในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ 1) ทักษะการคิดอย่างสรา้ งสรรค์ 2) ทักษะการคิดอยา่ งมวี ิจารณญาณและการแกป้ ัญหา 3) ทักษะดา้ นสารสนเทศ สือ่ และเทคโนโลยี 4) ทกั ษะการส่อื สาร 5) ทกั ษะชีวิตและอาชีพ

7 ในการศกึ ษาวิจัยครัง้ นี้ ผู้วจิ ัยไดก้ าหนดขอบเขตของตวั แปรทใ่ี ชใ้ นการศึกษา ซง่ึ สามารถเขยี นได้เปน็ แผนภูมิท่ี 1 ดงั น้ี ตวั แปรต้น ตัวแปรตำม กำรบรหิ ำรงำนวชิ ำกำร ทกั ษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 1) ดา้ นการพัฒนาหลกั สตู รสถานศึกษา 1) ทักษะการคดิ อย่างสรา้ งสรรค์ 2) ด้านการพัฒนากระบวนการเรยี นรู้ 2) ทกั ษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและ 3) ด้านการวดั ผล ประเมินผลและเทียบ การแกป้ ัญหา โอนผลการเรียน 3) ทักษะด้านสารสนเทศ ส่อื และ 4) ดา้ นการพัฒนาสอื่ นวตั กรรมและ เทคโนโลยี เทคโนโลยีเพื่อการศกึ ษา 4) ทักษะการสอื่ สาร 5) ดา้ นการนิเทศภายใน 5) ทักษะชีวิตและอาชพี ภำพประกอบ 1 ขอบเขตของตัวแปรทีใ่ ชใ้ นการศึกษา นิยำมศัพท์เฉพำะ ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ผวู้ ิจัยได้กาหนดนิยามศพั ท์เฉพาะในการวจิ ัยไว้ ดงั นี้ 1. กำรบริหำรงำนวิชำกำร หมายถึง การดาเนินงานกจิ กรรมในโรงเรียนทีเ่ ก่ยี วข้อง กบั การปรบั ปรงุ พัฒนาการเรียนการสอน ซงึ่ ครอบคลุมงานด้านต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ด้านการพัฒนาหลักสูตร ดา้ นการพัฒนากระบวนการเรยี นการสอน ด้านการวัดผล ประเมนิ ผลและเทียบโอนผลการเรียน ดา้ นการพัฒนาสื่อ นวตั กรรม และเทคโนโลยเี พ่อื การศึกษา ด้านการนเิ ทศภายในสถานศึกษา 1.1 ดำ้ นกำรพฒั นำหลกั สูตรสถำนศึกษำ หมายถงึ กระบวนการปรับปรุง หลกั สูตรเดิมใหด้ ีขึน้ หรอื จัดทา หลักสูตรขน้ึ ใหมใ่ หเ้ หมาะสมและสอดคลอ้ งกับสภาพสังคมเพ่ือพฒั นา ผเู้ รยี น ประกอบด้วยการ วเิ คราะห์ขอ้ มูลด้านต่าง ๆ เพื่อการวางแผนการกาหนดจดุ มุง่ หมาย วิสยั ทัศน์ ภารกิจ เป้าหมายและ คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ของหลักสตู รแล้วการกาหนดโครงสร้าง เนอ้ื หาวชิ า กลุ่มสาระการเรียนรแู้ ละการนาหลกั สูตรไปใช้ การประเมินหลกั สตู ร การปรบั ปรุง หลกั สูตรตามลาดับ

8 1.2 ดำ้ นกำรพัฒนำกระบวนกำรเรียนรู้ หมายถงึ การวางแผน การจัดทา แผนการเรยี นรตู้ ามกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ทเ่ี น้นผู้เรยี นเป็นสาคญั การจดั กจิ กรรมการเรียน การสอน ทหี่ ลากหลายและปฏิบัติจริง เน้นกระบวนการคดิ การจัดครเู ข้าสอน การพฒั นาครูและนิเทศ ตดิ ตาม การสอนของครู 1.3 ด้ำนกำรวดั ผล ประเมนิ ผล และเทยี บโอนกำรผลกำรเรียน หมายถงึ การศึกษาระเบยี บ การวดั ผล ประเมินจากกระทรวงศกึ ษาธิการ การจดั ทาแผนการวดั ผล ประเมนิ ผล การกาหนดแนวปฏิบตั ิการวัดผลประเมินผลท่ีหลากหลายเนน้ ตามสภาพทีแ่ ท้จรงิ การพัฒนาเครอ่ื งมอื วัดผล ประเมนิ ผล การติดตามเอกสารการวัดผลประเมนิ ผลและการรายงานผล การเทียบโอนผลการ เรยี น 1.4 ด้ำนกำรพัฒนำสอื่ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพ่ือกำรศึกษำ หมายถงึ กระบวนการพฒั นา จดั หาและผลิตสื่อการเรียนร้ใู ห้มคี วามสอดคล้องกบั หลกั สตู ร วตั ถปุ ระสงคก์ าร เรียนรู้การออกแบบกิจกรรม การเรียนรู้ การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรยี น เน้อื หามีความถูกตอ้ งและ ทนั สมยั ไมก่ ระทบความมน่ั คงของชาติ ไม่ขดั ต่อศีลธรรม มกี ารใช้ภาษาท่ีถกู ต้อง รปู แบบการนาเสนอ ทเ่ี ขา้ ใจงา่ ยและน่าสนใจและตอ้ งมกี ารตดิ ตามประเมินผลการใช้สือ่ นวตั กรรมและเทคโนโลยเี พ่อื การศกึ ษาอย่างตอ่ เนื่อง 1.5 ดำ้ นกำรนิเทศภำยใน หมายถึง กระบวนการช้แี นะชว่ ยเหลือและรว่ มมือกนั ระหวา่ ง ผู้นเิ ทศกบั ผรู้ บั การนิเทศ เพื่อปรับปรงุ การเรียนการสอนให้มีคุณภาพใหม้ ีประสิทธภิ าพให้ บรรลุจุดม่งุ หมายท่ีกาหนดไวอ้ ย่างเป็นระบบประกอบดว้ ย การจดั ระบบการนเิ ทศ การแต่งต้ัง คณะกรรมการรับผดิ ชอบดาเนินการนิเทศ การใช้การนเิ ทศที่หลากหลายและมสี ่วนร่วม การติดตาม ประเมินผลการนิเทศ การประสานกบั เขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษาเพือ่ พฒั นาระบบการนิเทศภายใน 2. ทกั ษะของผเู้ รยี นในศตวรรษที่ 21 หมายถึง ความสามารถท่ีผู้เรียนพงึ มเี พอื่ เตรียมตวั สาหรบั การดารงชวี ิตอย่างมปี ระสิทธิภาพภายใต้ความท้าทายของสภาวะการเปลีย่ นแปลง อย่างรวดเรว็ ในศตวรรษที่ 21 2.1 ทกั ษะกำรคิดอยำ่ งสร้ำงสรรค์ หมายถงึ ความสามารถของผู้เรียนในการ ค้นหาแนวคิดหรือมุมมองใหม่ ๆ ทแ่ี ตกตา่ งไปจากความคิดเดิมและหาคาตอบในสถานการณ์ตา่ ง ๆ ไดอ้ ย่างรวดเรว็ และหลากหลาย สามารถอธิบายและประเมนิ แนวคิดของตน รวมถึงลงมอื ปฏิบัติตาม ความคดิ สร้างสรรคเ์ พอ่ื นาไปสู่ผลสาเรจ็ ท่ีเปน็ รปู ธรรม 2.2 ทักษะกำรคิดอย่ำงมวี จิ ำรณญำณและกำรแกป้ ญั หำ หมายถึง ความสามารถของผ้เู รยี นในการคิดอย่างมเี หตุผลไตร่ตรองอยา่ งรอบคอบมคี วามเข้าใจเกีย่ วกับ

9 สถานการณท์ ่ีเปน็ ปัญหาคลุมเครอื หรอื มคี วามขดั แย้งวเิ คราะหป์ ระเมินสรุปและการเลือกใชข้ อ้ มูลท่ีมี อยเู่ พอ่ื เป็นไปตามแนวทางในการสร้างทางเลอื กสาหรับการแกป้ ญั หารวมถึงการตดั สินใจลงข้อสรุป ในการแก้ปญั หาโดยคานงึ ถงึ ผลกระทบท่ีจะตามมาอย่างรอบคอบรอบด้านและสมเหตุสมผล 2.3 ทักษะด้ำนสำรสนเทศ สอื่ และเทคโนโลยี หมายถงึ ความสามารถของ ผเู้ รยี นในการกาหนดขอบเขต และการเข้าถงึ ขอ้ มลู ทีต่ อ้ งการ โดยใช้ส่อื และเทคโนโลยสี ารสนเทศได้ อย่างมีประสทิ ธิภาพและประสิทธผิ ล สามารถประเมินความน่าเช่ือถือของขอ้ มลู และแหล่งทม่ี าได้ จดั เก็บ จัดการ เช่ือมโยงและเลือกใชส้ ารสนเทศไดอ้ ยา่ งสร้างสรรค์ รวมถงึ สามารถใช้สารสนเทศ ส่ือ และเทคโนโลยีเพ่อื วตั ถปุ ระสงคต์ ่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมและถกู ตอ้ งตามหลักจริยธรรมและกฏหมาย 2.4 ทกั ษะกำรสือ่ สำร หมายถึง ความสามารถของผูเ้ รียนในการรบั ร้แู ละรบั ฟัง เร่ืองราวและความรูส้ ึก นกึ คิดของผ้อู ื่น และสามารถใช้คาภาษาหรอื ท่าทาง เพ่ือใหข้ ้อมูลยอ้ นกลับ และถา่ ยทอดมุมมอง ความคิด ความรคู้ วามเขา้ ใจและความรู้สกึ ของตนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม รวมถึง สามารถเลอื กใช้วิธีการส่ือสารและส่ือสารไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมทหี่ ลากหลาย รวมท้ังในสภาพแวดลอ้ มท่ีสือ่ สารกันด้วยหลายภาษา 2.5 ทกั ษะชวี ิตและอำชพี หมายถงึ ความสามารถของผู้เรียนในการปรับเปลย่ี น ความคิด ทัศนคติ หรือพฤตกิ รรมให้เหมาะสมกับสภาพแวดลอ้ ม และทางานได้อย่างหลากหลายตาม โอกาสและสถานการณ์ โดยมีความสามารถในการกาหนดเป้าหมายจดั ลาดบั ความสาคญั วางแผน และดาเนินการเพอ่ื ใหส้ าเรจ็ ได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ ยอมรับฟังความคดิ เห็นท่แี ตกตา่ ง สามารถจดั การ กับคาชมคาวจิ ารณ์ ขอ้ ผดิ พลาดหรือข้อขัดแยง้ ได้อย่างเหมาะสม รวมถงึ เคารพในความแตกตา่ ง ระหว่างบุคคลซ่งึ จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถดารงชวี ิตและทางานร่วมกบั ผอู้ ่นื ท่มี ีความแตกต่างกัน อยา่ งไรไดเ้ ป็นอย่างดี 3. ครูผู้สอน หมายถึง ผู้ปฏิบตั หิ นา้ ที่ด้านการสอนในสถานศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน สงั กดั สานักงานเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษานราธิวาส เขต 3 4. หวั หน้ำฝ่ำยวิชำกำร หมายถงึ ผู้ท่ไี ดร้ ับแตง่ ตั้งให้รับผดิ ชอบหัวหนา้ ฝ่าย บริหารงานวชิ าการของสถานศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษา นราธิวาส เขต 3

10 5. ผ้บู รหิ ำรสถำนศึกษำ หมายถึง ผู้อานวยการสถานศึกษาท่ีปฏิบัติหนา้ ท่ีใน สถานศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน สงั กัดสานักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษานราธวิ าส เขต 3 6. สถำนศึกษำขนั้ พน้ื ฐำน หมายถงึ โรงเรียนในโครงการจดั การเรียนรู้ด้วยวิธกี าร Active Learning เพ่อื ยกระดับคุณภาพการศึกษา สังกัดสานกั งานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศึกษา นราธิวาส เขต 3 7. สำนักงำนเขตพ้นื ที่กำรศึกษำประถมศกึ ษำนรำธวิ ำส เขต 3 หมายถึง หน่วยงานทางการศกึ ษาทีท่ าหน้าทก่ี ากับดแู ล สนับสนุนนส่งเสริมใหบ้ รกิ ารเก่ียวกบั การศึกษา ในระดับประถมศกึ ษา

11 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ กย่ี วขอ้ ง ในการศึกษาวจิ ัยคร้ังน้ผี ู้วจิ ยั ได้ศึกษาค้นควา้ เอกสารและงานวิจัยทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับการ บรหิ ารวิชาการและทักษะของผเู้ รยี นในศตวรรษท่ี 21 ซ่ึงในบทนี้จะนาเสนอสาระสาคญั เกย่ี วกับการ บริหารงานวิชาการ ทักษะของผเู้ รียนในศตวรรษที่ 21 และงานวจิ ยั ท่ีเกย่ี วข้อง ซึง่ มรี ายละเอียดดังนี้ เอกสารที่เกี่ยวกบั ทกั ษะของผเู้ รียนในศตวรรษท่ี 21 ความหมาย ทักษะของผเู้ รยี นในศตวรรษที่ 21 เปน็ วลคี ากลา่ วท่กี ลายเปน็ สว่ นสาคัญต่อการ วิเคราะหแ์ ละอภิปรายกันอย่างกวา้ งขวางของสังคมรอบดา้ น ซ่ึงไดถ้ กู กาหนดให้เป็นยุทธศาสตร์ท่ีมี ความสาคญั ท่ีนกั ศกึ ษาหลากหลายร่วมกนั วจิ ยั และไดใ้ หค้ วามหมายดงั น้ี Pearson Education (2009) ไดใ้ หค้ วามหมายของทักษะในศตวรรษที่ 21 ไว้ว่า ทักษะในศตวรรษท่ี 21 คือ ความสามารถพเิ ศษทเี่ ดก็ จะตอ้ งพัฒนาเพ่อื ให้สามารถเตรยี มตัวสาหรบั ความทา้ ทายในการทางานและการดารงชีวติ ในศตวรรษท่ี 21 (Twenty – first – century skill are the special abilities children need to develop so that they can be prepared for the challenges of work and life in the 21 century) ภาคีเพ่อื ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 (Partnership for 21 Century Skill, 2011) ไดใ้ หค้ วามหมายของทกั ษะในศตวรรษที่ 21 ไว้วา่ ทกั ษะในศตวรรษท่ี 21 คอื ทักษะท่ีสาคัญที่ผูเ้ รยี น พงึ มเี พ่อื ให้ประสบความสาเร็จในการเรยี น การทางานและการดารงชวี ติ (21 century skill are the skills students need to succeed in work, school and life) วิจารณ์ พานิช (2555) กล่าววา่ ทกั ษะในศตวรรษที่ 21 คอื ทกั ษะการดารงชีวติ ท่คี นในศตวรรษที่ 21 ทุกคนจะตอ้ งเรียนรตู้ ้งั แตช่ ้นั อนบุ าลไปจนถึงมหาวทิ ยาลยั และตลอดชีวิต เพื่อเผชญิ กับการเปลีย่ นแปลงที่รวดเร็ว รนุ แรง พลิกพนั และคาดไม่ถึงได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ จากแนวคิดดงั กล่าวข้างตน้ อาจสรปุ ได้ว่า ทกั ษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 หมายถึง ความสามารถท่ีผเู้ รียนพงึ มีเพ่อื เตรยี มตัวสาหรบั การดารงชวี ิตอย่างมีประสิทธภิ าพภายใต้ ความท้าทายของสภาวะการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วในศตวรรษที่ 21 11

12 ความเป็นมาและความสาคัญของทักษะของผเู้ รียนในศตวรรษท่ี 21 ทกั ษะของผเู้ รยี นในศตวรรษท่ี 21 ถูกผลกั ดันเขา้ สูร่ ะบบการศึกษาในหลายประเทศ ทั่วโลก ซ่ึงการศึกษาในศตวรรษท่ี 21 ต้องยดึ หลกั ผลลัพทท์ ง้ั ในแง่ของความรแู้ ละทักษะแห่งศตวรรษ ใหม่ เป็นผลลัพท์ที่ชาติ โรงเรียน ชุมชนและผู้ปกครองต่างเห็นคุณค่า ทักษะของผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 จะช่วยเตรยี มความพรอ้ มให้ผู้เรียนรจู้ กั คิด เรยี นรู้ ทางานแกป้ ญั หา ส่ือสารและรว่ มมือทางานได้ อย่างมปี ระสิทธิผลไปตลอดชีวิต จึงมนี ักวชิ าการได้กล่าวถงึ ทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ดังนี้ Chris Dede (2010 อ้างอิงใน วรพจน์ วงศก์ จิ รุ่งเรอื ง, 2554:118-120) กล่าววา่ ภาคีเพือ่ ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 (Partnership for 21st Century Skills) ได้นาเสนอกรอบแนวคิด เก่ียวกับทักษะของผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 ไว้ดงั น้ี 1. วชิ าแกน (Core subject) พระราชบญั ญัติพื้นฐานถว้ นหน้า ค.ศ.2001 ของ สหรัฐอเมริกาได้กาหนดวชิ าแกนไวด้ ังน้ี ภาษาอังกฤษ การอา่ น ศิลปะการใข้ภาษา คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ภาษาตา่ งประเทศ หน้าท่พี ลเมือง การปกครอง เศรษฐศาสตร์ ศิลปะ ประวัตศิ าสตร์ และภมู ิศาสตร์ 2. เน้อื หาสาหรบั ศตวรรษท่ี 21 เนอ้ื หาใหม่ ๆ ท่สี าคญั ต่อความจาเปน็ ในการทางาน และชุมชน แต่ไม่ได้เน้นในโรงเรยี นทุกวนั นี้ ไดแ้ ก่ จิตสานกึ ต่อโลก ความร้พู ื้นฐาน ด้านการเงิน เศรษฐกิจ ธรุ กจิ และการเปน็ ผปู้ ระกอบการ ความรู้พ้ืนฐานด้านพลเมืองและความตระหนกั ในสขุ ภาพ และสวัสดกิ าร 3. ทักษะการเรยี นร้แู ละการคดิ นอกจากเรียนรเู้ นื้อหาทางวิชาการแลว้ ผูเ้ รยี น จาเป็นต้องรจู้ กั วิธีการเรยี นรอู้ ย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิต รู้จกั ใช้ส่ิงที่เรียนอยา่ งมีประสทิ ธิผลและ สรา้ งสรรค์ ทกั ษะการเรยี นรู้และการคดิ ประกอบดว้ ย การคดิ เชงิ วพิ ากษ์และทกั ษะการแกป้ ญั หา ทกั ษะการสอ่ื สาร ทักษะการสรา้ งสรรค์และผลิตนวัฒกรรม ทักษะการทางานรว่ มกัน ทักษะการ เรยี นรตู้ ามบริบทและทักษะพ้ืนฐานดา้ นข้อมลู และสอ่ื 4. ความรพู้ ืน้ ฐาน ICT (ICT literacy) ด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร คือ ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี เพือ่ พฒั นาความรแู้ ละทักษะในศตวรรษที่ 21 ในบริบทของการ เรยี นรู้วชิ าแกน ผเู้ รยี นตอ้ งใช้เทคโนโลยีใหเ้ ปน็ เพอื่ เรียนรเู้ นอ้ื หาและทกั ษะ จะไดร้ ู้จักวธิ เี รยี นรู้ การ คดิ เชงิ วพิ ากษ์ การแกไ้ ขปญั หา การใช้ขอ้ มลู ขา่ วสาร การสือ่ สาร การผลิตนวตั กรรมและการร่วมมอื ทางาน 5. ทกั ษะชวี ิต ครูท่ีดยี ่อมรู้จักสอดแทรกทักษะชีวิตในบทเรยี น ความท้าทายใน ปจั จุบัน คอื การผสานทักษะทจ่ี าเป็นเหล่านี้อยู่ในโรงเรียนอยา่ งจงู ใจและรอบดา้ นทักษะชีวิต ได้แก่ ความเป็นผู้นา ความมีจริยธรรม การรูจ้ กั รับผิดชอบ ความสามารถในการปรับตวั การรู้จกั เพิ่มพูน

13 ประสิทธิผลของตัวเอง ความรบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเอง ทักษะในการเขา้ ถึงคน ความสามารถในการชนี้ า ตนเองและความรับผดิ ชอบต่อสงั คม 6. การประเมนิ ศตวรรษที่ 21 การประเมนิ ผลทแี่ ทจ้ รงิ เป็นพน้ื ฐานสาคญั สาหรับ การศึกษา ในศตวรรษที่ 21 การประเมินนต้ี อ้ งวัดผลลัพท์สาคัญหา้ ประการ ไดแ้ ก่ วชิ าแกน เน้อื หน้า สาหรบั ศตวรรษท่ี 21 ทักษะการเรยี นรู้ ความรู้พน้ื ฐานด้านไอซที ีและทักษะชีวิต การประเมินทักษะ ในศตวรรษที่ 21 ควรทาควบคู่ไปกับการประเมินวชิ าแกน เพราะการประเมนิ ทแ่ี ยกขาดกัน จะบ่นั ทอนเปา้ หมายของการหลอมรวมทักษะในศตวรรษท่ี 21 เข้ากับวิชาแกน เทคโนโลยีสมยั ใหม่ จะช่วย การประเมินมปี ระสทิ ธผล มคี วามย่ังยนื และเสียค่าใชจ้ ่ายน้อยลง แบบทดสอบมาตรฐานเพียงอยา่ ง เดยี วใชว้ ดั ทักษะและความรู้ท่ีเรียนได้ไม่กี่อยา่ ง การประเมนิ ตอ้ งผสมผสานใหส้ มดุลระหวา่ ง แบบบทดสอบมาตรฐานทมี่ ีคุณภาพกับการประเมินในชนั้ เรยี นอยา่ งมีประสทิ ธิผล จึงจะเกิดเปน็ เคร่อื งมืออันทรงพลงั สาหรบั ครแู ละผเู้ รยี นในการเรียนรู้เน้ือหาและทักษะท่จี าเป็นตอ่ ความสาเรจ็ เคน เคย์ (2010 อ้างอิงใน วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรอื ง, 2554) กล่าววา่ ความเป็นเลิศใน เนอื้ หาของวชิ าแกนไม่เพยี งพออกี ตอ่ ไปแลว้ ความสาเรจ็ ในโรงเรยี นไม่ได้รับประกนั ว่าจะมงี าน หรอื อาชพี ไปตลอดชีวติ ในยุคที่ความรแู้ ละข้อมูลข่าวสารเปล่ยี นแปลงตลอดเวลา ผเู้ รยี นตอ้ งมีทง้ั ความรู้ ในเนื้อหาและทกั ษะที่จะประยกุ ตใ์ ช้และปรับเปล่ียนความร้เู หลา่ นั้นให้เข้ากับเป้าหมายท่ียงั ประโยชน์ และสร้างสรรค์ รวมถงึ เพื่อการเรยี นรู้อยา่ งต่อเนื่องตามเน้อื หาและสถานการณ์ที่เปล่ียนแปลงไป คนท่ี มคี วามรูแ้ ละทักษะในการรับมอื กับการเปลีย่ นแปลงทเี่ กดิ ขึน้ อย่างตอ่ เนื่องและสามารถปรบั ตวั เขา้ กับ สถานการณใ์ หม่ ๆ ได้เท่านั้นทีจ่ ะประสบความสาเรจ็ ซึ่งทักษะในศตวรรษที่ 21 จะช่วยให้เราสามารถ เรียนรูแ้ ละปรบั ตวั ต่อการเปล่ยี นแปลงไดต้ ลอดเวลา ลินดา ดาร์ลิง - แฮมมอนด์ (2010 อ้างอิงใน วรพจน์ วงศก์ ิจรุ่งเรือง, 2554) กล่าว วา่ ผู้เรยี นในศตวรรษท่ี 21 จาเปน็ ต้องมีความเข้าใจแนวคดิ หลักในสาขาวิชาให้ลึกซ้ึงกว่า ท่ีเรียนอยู่ ในตอนนี้ ตอ้ งรจู้ กั ออกแบบ รจู้ ักประเมนิ และจดั การกับงานของตนเองได้ รู้จักตีกรอบ ตรวจสอบและ แก้ไขปัญหา โดยใชแ้ หล่งข้อมลู ตา่ ง ๆ และเคร่อื งมอื ดจิ ติ อล ผเู้ รยี นทกุ คนจาเปน็ ต้องพฒั นา ความสามารถด้านการรูค้ ดิ ทีซ่ บั ซ้อนมากขึน้ จงึ สามารถค้น วิเคราะหแ์ ละใชข้ อ้ มลู เพอ่ื วตั ถุประสงค์ ตา่ ง ๆ รวมท้งั พัฒนาผลิตภัณฑ์และแนวคิดใหม่ ๆ ตอ้ งส่ือสารเปน็ ทางานรว่ มกบั คนอืน่ ได้ จะได้ใช้ ประโยชน์จากความรู้และความชานาญของผู้อื่น ต้องมีทักษะในการส่อื สาร รวมถงึ การเขียนและการ พูดภาษาอ่ืน ๆ และร้จู กั ใชส้ ัญลักษณ์ทางคณติ ศาสตร์ จากแนวคดิ หลกั การของนักการศึกษา สรปุ ได้ว่า แนวคิดของการจัดการศึกษาูส่ การสรา้ งทักษะการเรยี นร้ใู นศตวรรษที่ 21 เปน็ แนวคิดที่มีความเป็นไปได้และเป็นส่ิงจาเปน็ ต่อการ สรา้ งองค์ความรู้ใหม่ ๆ ในการพัฒนาความรเู้ ยาวชนใหม่ ทักษะการเรียนรแู้ ละตอบสนองความตัอง

14 การของสังคมในยคุ ทเี่ ทคโนโลยีกา้ วหน้าและความหลากหลายของข้อมลู สารสนเทศูส่การพัฒนา เศรษฐกิจของชาตใิ ห้สูค่ วามเปน็ สากล มศี ักยภาพในการแข่งขันได้ องค์ประกอบของทักษะของผ้เู รยี นในศตวรรษที่ 21 ทักษะของผเู้ รยี นในศตวรรษที่ 21 เป็นทักษะทีจ่ าเป็นในปัจจุบนั เพ่ือรองรับการ เปลีย่ นแปลงท่ีเกดิ ข้ึนทางดา้ นสังคม เศรษฐกิจ และการเมอื งทเี่ ปลี่ยนแปลงไปอยา่ งรวดเรว็ รูปแบบ การศึกษาแบบดั้งเดิม ไม่เพยี งพออีกตอ่ ไปแล้ว ทกั ษะของผูเ้ รยี นในศตวรรษที่ 21 จงึ มนี กั การศกึ ษา และนักวชิ าการหลายคนไดก้ ล่าวถงึ องค์ประกอบของทกั ษะของผเู้ รยี นในศตวรรษที่ 21 ดงั นี้ The North Central Regional Laboratory and Metiri Group (2003) ไดร้ ่วมกนั นาเสนอกรอบทกั ษะในศตวรรษที่ 21 ภายใต้ชื่อ enGauge 21 Century Skill ไวว้ ่า ทกั ษะในศตวรรษท่ี 21 ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลกั ได้แก่ ความรูย้ ุคดจิ ิตอล ความคิดเชงิ สรา้ งสรรค์ การสื่อสารอย่างมปี ระสิทธิภาพและการเพิม่ ผลผลติ ระดบั สงู โดยมีรายละเอยี ดดังน้ี 1. ความรยู้ ุคดิจิตอล (Digital – age literacy) 1.1 ความรพู้ ื้นฐาน (Basic literacy) คือ ความสามารถในการใชภ้ าษาเพ่ือ สือ่ สารและความสามารถในการคดิ คานวณในระดบั ทีเ่ พียงพอต่อการดารงชีวิตและการทางาน 1.2 ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific literacy) คือ ความรแู้ ละความเขา้ ใจ ในการใช้หลักการทางวิทยาศาสตรเ์ พ่อื การตัดสินใจและมีสว่ นร่วมในด้านสงั คม วฒั นธรรมและ เศรษฐกิจ 1.3 ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ (Economic literacy) คือ ความสามารถในการ ระบปุ ญั หาทางเศรษฐกิจ กาหนดทางเลอื กโดยคานึงถึงค่าใช้จา่ ยและผลประโยชน์ 1.4 ความรดู้ า้ นทศั นศิลป์ (Visual literacy) คอื ความสามารถในการแปลความ ใช้เหน็ คุณค่า และสร้างส่อื ทัศนศิลป์ในการพัฒนาความคดิ การตัดสนิ ใจ การสือ่ สารและการเรียนรู้ 1.5 ความรดู้ ้านเทคโนโลยี (Technological literacy) คือ ความรู้เกี่ยวกบั เทคโนโลยวี ่าเทคโนโลยนี ้นั คืออะไรและจะใช้เทคโนโลยีนนั้ เพอื่ บรรลุเปา้ หมายที่ต้องการไดอ้ ย่างไร 1.6 ความรดู้ ้านสารสนเทศ (Information literacy) คอื มีความสามารถในการ กาหนดขอบเขตของข้อมลู ทีต่ อ้ งการ สามารถเขา้ ถึงขอ้ มูลที่ต้องการ ประเมินขอ้ มลู จากสอ่ื ต่าง ๆ สงั เคราะหแ์ ละเลอื กใชส้ ารสนเทศไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ 1.7 ความรดู้ ้านพหุวัฒนธรรม (Multicultural literacy) คอื ความสามารถในการ เขา้ ใจและเห็นคุณค่าของความคล้ายคลงึ กนั และความแตกต่างในประเพณี คา่ นยิ มและความเชือ่ ของ วัฒนธรรมของตนเองและผ้อู น่ื

15 1.8 ความตระหนกั ในโลก (Global awareness) คอื การรบั รู้และเข้าใจใน ความสัมพนั ธข์ องส่วนต่าง ๆ ในสังคมโลก 2. ความคดิ เชงิ สร้างสรรค์ (Inventive thinking) 2.1 ความสามารถในการปรบั ตัวและจัดการความซบั ซอ้ น (Adaptability and managing complexity) คอื ความสามารถในการปรับเปล่ยี นความคิด ทัศนคติ หรอื พฤติกรรมให้ เหมาะสมกับสภาพแวดลอ้ มในปัจจบุ นั และการเปล่ยี นแปลงในอนาคตและความสามารถในการทา ความเข้าใจและการจดั การกับเป้าหมายและงานท่ีหลากหลายโดยตระหนักในข้อจากดั ของเวลา ทรัพยากรและระบบ 2.2 การกาหนดตนเอง (Self-direction) คอื ความสามารถในการกาหนด เป้าหมายและวางแผนเพ่อื บรรลุเปา้ หมายที่ตงั้ ไว้ภายใต้กรอบเวลาและทรัพยากรที่มอี ยู่และสามารถ ประเมินคณุ ภาพของผลงานเกิดข้ึนได้ 2.3 ความสนใจใฝร่ ู้ (Curiosity) ความกระตือรือรน้ ทจ่ี ะเรียนรหู้ รอื มีประกายไฟ ของความสนใจซึ่งจะนาไปส่กู ารเสาะแสวงหาความร้ใู นเร่ืองนน้ั ๆ เพมิ่ เติม 2.4 ความคิดสรา้ งสรรค์ (Creativity) คือความสามารถในการสร้างสรรค์สง่ิ ใหม่ ๆ 2.5 ความกลา้ ที่จะเสยี่ ง (Risk taking) คอื มคี วามกลา้ ทีจ่ ะลองลงมอื ทาและยนิ ดี ทจ่ี ะยอมรับความผิดพลาด กล้าท่ีจะแสดงความคิดเหน็ ท่แี ตกต่างจากสงั คม และมีความพยายามทจ่ี ะ จดั การกบั ปญั หาทไี่ ม่มีทางออกที่ชดั เจน 2.6 ความคดิ ในระดบั สูงและความมเี หตุผล (Higher – order thinking and sound reasoning) คอื มีความคลอ่ งในการใชก้ ระบวนการคดิ เชงิ วเิ คราะห์ เปรียบเทียบ ตีความ สรปุ ประเมินคา่ สงั เคราะห์และประยุกตใ์ ช้ขอ้ มูลในการแกป้ ัญหา 3. การสอ่ื สารอย่างมีประสิทธภิ าพ (Effective communication) 3.1 ความร่วมมือและการทางานเปน็ ทมี (Teaming and collaboration) คือ ความสามารถในการรว่ มมือทางานกับผู้อ่นื เพ่ือแกป้ ัญหา สร้างสรรค์สงิ่ ใหม่ ๆ และเรยี นรรู้ ่วมกันจน เกิดความชานาญในเร่อื งนนั้ ๆ 3.2 ทกั ษะด้านมนุษยสัมพนั ธ์ (Interpersonal skill) คอื ความสามารถในการทา ความเข้าใจและจัดการอารมณ์ แรงจงู ใจ และพฤติกรรมของตนเองและผู้อื่นในสถานการณต์ า่ ง ๆ 3.3 ความรบั ผิดชอบในตนเอง (Personal responsibility) คือ มีความร้ใู นเรื่อง กฎหมายและจรยิ ธรรมในการใชเ้ ทคโนโลยี รวมถึง สามารถประยกุ ตค์ วามรเู้ พื่อให้เกิดความสมดลุ และคณุ ภาพชวี ิตในฐานะพลเมอื ง สมาชิกในครอบครวั และชุมชน ผูเ้ รยี นและพนักงาน

16 3.4 ความรับผิดชอบต่อสังคม (Social and civic responsibility) คือ ความสามารถในการจัดการเทคโนโลยีและควบคมุ การใช้ในทางท่ีสง่ เสริมและปกป้องสงั คม สงิ่ แวดลอ้ มและอุดมการณ์ประชาธิปไตย 3.5 การสือ่ สารระหว่างบคุ คล (Interactive communication) คอื ความสามารถในการสือ่ สารอย่างไดผ้ ลผ่านส่อื เครอื่ งมอื และกระบวนการต่าง ๆ 4. การเพิม่ ผลผลิตระดับสงู (High productivity) 4.1 ความสารถในการจดั ลาดบั ความสาคญั วางแผนและจัดการเพอื่ บรรลุ เปา้ หมาย (Prioritizing, planning and managing for results) คอื ความสามารถในการจัดการ เพือ่ ความสาเร็จของเปา้ หมายของโครงการหรือในการแกป้ ญั หา 4.2 ความสามารถในการใช้เครื่องมอื ท่มี ีอยู่อย่างมปี ระสิทธิภาพ (Effective use of real – world tools) คอื ความสามารถในการใช้เครื่องมือที่มีอย่ใู นปจั จบุ ันเพอื่ การสื่อสาร การ รว่ มมือ การแกป้ ัญหา และบรรลุเปา้ หมายของงาน 4.3 ความสามารถในการผลิตผลงานทีม่ ีคณุ ภาพสูง (Ability to produce relevant, High – quality products) คือ ความสามารถในการผลิตผลงานทางปัญญา สารสนเทศ หรอื ผลติ ภัณฑท์ เี่ ป็นวัตถุ ภาคีเพอื่ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ของอเมริกา (Partnership for 21 Century Skill, 2011) กลา่ ววา่ ผเู้ รียนในศตวรรษที่ 21 น้นั จาเปน็ ตอ้ งมีความรพู้ ้ืนฐานในสาระวชิ าหลักและ ทักษะทจี่ าเปน็ สาหรบั การก้าวสู่การศกึ ษาระดบั สูง การทางานและการดารงชวี ิตท่ีประสบความสาเร็จ ในอนาคต ซ่ึงทักษะท่ีจาเปน็ มี 3 องคป์ ระกอบใหญ่ ได้แก่ ทักษะด้านการเรียนรู้และนวตั กรรม ทกั ษะ ด้านสารสนเทศ สือ่ และเทคโนโลยีและทักษะชีวิตและอาชพี โดยมีรายละเอยี ดดังน้ี 1. ทกั ษะด้านการเรยี นรแู้ ละนวตั กรรม (Learning and innovation skills) ซึ่งเป็นสื่งท่ีจะแยกผู้เรยี นทม่ี ีความพรอ้ มสาหรบั ชีวติ และสภาพแวดลอ้ มการทางานทซ่ี บั ซอ้ นมากข้ึน ในศตวรรษท่ี 21 กบั ผู้ท่ไี มม่ คี วามพร้อมออกจากกัน โดยมุ่งเน้นไปทีค่ วามคดิ สรา้ งสรรค์ การคิดอยา่ ง มวี ิจารณญาณ การสื่อสารและการทางานร่วมกนั ซง่ึ เป็นส่ิงจาเปน็ ในการเตรียมความพร้อมสาหรับ ผู้เรียนในอนาคต ทกั ษะการเรียนรแู้ ละนวัตกรรมมีองคป์ ระกอบดังน้ี 1.1 ความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละนวตั กรรม (Creative and innovation) 1.1.1 การคดิ อยา่ งสร้างสรรค์ (Think creatively) 1) ใช้เทคนคิ การสร้างความคิดทหี่ ลากหลาย เช่น การระดมความคิด 2) สรา้ งมุมมองใหม่และคุ้มคา่ ทงั้ ที่เป็นการปรับปรุงเลก็ นอ้ ยจาก ของเดิมหรอื เปน็ การเปลี่ยนแปลงจากเดมิ โดยสน้ิ เชิง

17 3) ทาความเข้าใจ ปรับปรุง วเิ คราะห์ และประเมนิ แนวคิดของตน เพื่อพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรค์ 1.1.2 การทางานรว่ มกบั ผูอ้ นื่ อยา่ งสรา้ งสรรค์ (Work creatively with other) 1) พฒั นา ดาเนินการและส่อื สารแนวคดิ ใหมก่ ับผู้อ่นื อยา่ งมี ประสทิ ธิภาพ 2) เปิดใจรับและตอบสนองตอ่ การมมุ มองใหม่ ๆ ทม่ี ีความ หลากหลาย รวมกล่มุ เพอื่ ปอ้ นขอ้ มลู และข้อเสนอแนะในการทางาน 3) มีความคิดรเิ รมิ่ ทางานอย่างเฉลียวฉลาด และเข้าใจข้อจากัดทีจ่ ะ ใชแ้ นวคิดใหม่ในโลกแห่งความจริง 4) มองความล้มเหลวเป็นโอกาสในการเรยี นรู้ ทาความเข้าใจวา่ ความคิดสร้างสรรค์และนวตั กรรมเปน็ เรอื่ งระยะยาว ความสาเร็จและความผดิ พลาดย่อมเกิดขึน้ เป็น วงจรเสมอ 1.1.3 การใชน้ วตั กรรม (Implement innovation) 1) ลงมือปฏบิ ตั ติ ามความคดิ สร้างสรรค์เพ่อื นาไปสผู่ ลสาเร็จท่ีเปน็ รูปธรรม 1.2 การคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา (Critical thinking and problem solving) 1.2.1 การใช้เหตุผลอย่างมีประสทิ ธิภาพ (Reason effectively) 1) คิดอย่างเปน็ ระบบและเลือกใช้รปู แบบการใชเ้ หตุผลประเภท ต่าง ๆ เชน่ การอปุ นยั – การนริ นยั ได้อยา่ งเหมาะสมกบั สถานการณ์ 2) วเิ คราะห์ผลลพั ธ์ท่ีจะเกดิ ขึ้นจาการตัดสนิ ใจอย่ารอบด้าน 1.2.2 การตัดสนิ ใจ (Make judgments and decision) 1) วิเคราะห์และประเมินขอ้ มลู หลักฐาน การโตแ้ ย้ง การกลา่ วอ้าง และความเชอ่ื อย่างมปี ระสิทธภิ าพ 2) วิเคราะห์และประเมินทางเลือกดว้ ยมุมมองทน่ี ่าสนใจ 3) สงั เคราะหแ์ ละเช่อื มโยงข้อมลู กบั ข้อโต้แยง้ 4) ตีความหมายและสรปุ ขอ้ มูลโดยอาศยั การวเิ คราะห์ 5) ตอบสนองตอ่ กระบวนการและประสบการณก์ ารเรยี นรู้อยา่ งมี วิจารณญาณ

18 1.2.3 การแก้ปัญหา (Solve problem) 1) ฝึกแกป้ ัญหาท่ีไม่คุ้นเคยดว้ ยวธิ กี ารแกป้ ัญหาท่ีหลากหลาย 2) ต้ังคาถามสาคัญที่จะชว่ ยให้ความกระจ่างในมุมมองต่าง ๆ เพอื่ นาไปสูว่ ิธกี ารแกป้ ญั หาทด่ี กี ว่า 1.3 การส่อื สารและการร่วมมอื (Communication and collaboration) 1.3.1 การสอ่ื สารอยา่ งชัดเจน (Communicate clearly) 1) เรียบเรียงความคิดและมุมมองแล้วสื่อสารออกมโดยใช้ภาพูด ภาษาเขยี นและอวัจนภาษาไดอ้ ย่างหลากหลาย 2) ฟงั อย่างมปี ระสทิ ธิภาพเพ่ือตีความ 3) ใชก้ ารสอ่ื สารเพ่ือบรรลุวตั ถปุ ระสงคห์ ลายด้าน เชน่ แจ้งให้ทราบ บอกใหท้ า จงู ใจและชักชวน 4) สามารถเลือกใช้ประโยขน์จากส่อื และเทคโนโลยที หี่ ลากหลายได้ อย่างมปี ระสิทธิภาพ 5) สอื่ สารอยา่ งมีประสิทธภิ าพในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย รวมทงั้ ในสภาพแวดลอ้ มท่ีส่อื สารกนั ดว้ ยหลายภาษา 1.3.2 การร่วมมือกับผู้อื่น (Collaborate with others) 1) ทางานอย่างมีประสทิ ธิภาพและให้เกยี รตทิ มี งานทีม่ ีความ หลากหลาย 2) ยืดหย่นุ ปละประนปี ระนอมเพอื่ บรรลุเป้าหมายรว่ มกัน 3) รับผดิ ชอบรว่ มกันในงานท่ีตอ้ งทาเป็นทมี และเหน็ คณุ คา่ ของ บทบาทของผูร้ ว่ มทมี คนอน่ื ๆ 2. ทกั ษะด้านสารสนเทศ สอ่ื และเทคโนโลยี (Information media and technology skills) ประกอบดว้ ย 2.1 ความร้ดู า้ นสารสนเทศ (Information literacy) 2.1.1 เขา้ ถงึ และประเมนิ สารสนเทศ (Access and evaluate information) 1) เข้าถงึ สารสนเทศอย่างมปี ระสิทธภิ าพและมปี ระสิทธผิ ล 2) ประเมินสารสนเทศอย่างมวี ิจารณญาณและครบถ้วนรอบด้าน 2.1.2 ใชแ้ ละจัดการสารสนเทศ (Use and manage information) 1) ใช้สารสนเทศได้อยา่ งแมน่ ยาและสรา้ งสรรรคต์ ่อกรณหี รอื ปัญหาท่เี ผชิญ

19 2) จดั การเช่ือมโยงสารสนเทศจากแหล่งท่หี ลากหลายได้ 3) เข้าถึงและใชส้ ารสนเทศอยา่ งถูกตอ้ งตามหลักจรยิ ธรรมและ กฏหมาย 2.2 ความรู้ด้านส่อื (Media literacy) 2.2.1 วิเคราะห์ส่อื (Analyze media) 1) เข้าใจวัตถปุ ระสงคว์ า่ ทาไมจงึ มีการสรา้ งสอื่ นั้นและสรา้ งอย่างไร 2) ตรวจสอบวา่ แตล่ ะคนตีความสอื่ แตกตา่ งกนั อย่างไร นอกจากสื่อ ความจรงิ แล้ว สอ่ื น้ันยังเพ่มิ คุณค่าหรือความเห็นเข้าไปอย่างไรและสื่อนั้นมอี ิทธิพลตอ่ ความเชอ่ื และ พฤตกิ รรมอยา่ งไร 3) ทาความเขา้ ใจประเด็นเชิงจริยธรรมและกฏหมายที่เก่ียวขอ้ งกับ การเขา้ ถึงส่ือและการสอ่ื สาร 2.2.2 สร้างผลติ ภัณฑ์สอื่ ได้ (Create media products) 1) มีความเข้าใจและสามารถใช้เครอื่ งมอื ที่เหมาะสมดาเนนิ การสรา้ ง ส่อื ท่ีเหมาะสมกับการนาเสนอในหลากหลายวัตถุประสงค์ 2) มคี วามเข้าใจและสามารถนาเสนอในสภาพแวดลอ้ มที่แตกต่าง หลากหลายและตา่ งวัฒนธรรม 2.3 ความรดู้ า้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร (Information, communication and technology literacy) 2.3.1 สามารถประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยีอย่างมีประสทิ ธภิ าพ (Apply technology effectively) 1) ใชเ้ ทคโนโลยีเพือ่ วจิ ยั จัดระบบ ประเมนิ และส่อื สารสนเทศ 2) ใช้เทคโนโลยี เครื่องมอื สื่อสารและเครือข่ายทางสงั คมอยา่ ง ถูกต้องเหมาะสมเพ่อื เข้าถึง จดั การ บรู ณาการ ประเมนิ และสรา้ งสารสนเทศ เพ่ือทาหน้าทใี่ น เศรษฐกิจฐานความรู้ 3) ปฏบิ ัตติ ามคุณธรรมและกฏหมายทีเ่ กย่ี วข้องกับการเขา้ ถึงและใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศ 3. ทกั ษะชวี ติ และอาชพี (Life and career skills) ชวี ติ และสภาพแวดล้อมของการทางานในปจั จบุ ันต้องการมากกวา่ ทักษะการคิด และความรเู้ ชิงเน้อื หา ทา่ มกลางสภาพแวดล้อมในยุคทท่ี ว่ั โลกมีการแข่งขันด้านข้อมลู ขา่ วสารอย่าง มากมาย ผ้เู รียนต้องไดร้ ับการพัฒนาทกั ษะชวี ติ และการทางานทีเ่ ขม้ ขน้ เหมาะสม ซงึ่ ทักษะชวี ติ และอาชพี มอี งค์ประกอบดังน้ี

20 3.1 ความยืดหยุน่ และความสามารถในการปรับตัว (Flexibility and adaptability) 3.1.1 ปรับตวั ต่อการเปลย่ี นแปลง (Adapt to change) 1) ปรับตัวเข้ากบั ความแตกต่างของบทบาทและหน้าทท่ี หี่ ลากหลาย รวมถึงกาหนดการและบรบิ ททีเ่ ปล่ียนแปลงไปได้ 2) ทางานไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพในสภาพของความไม่ชัดเจนและมี การเปล่ียนแปลงตลอดเวลา 3.1.2 มคี วามยดื หยุ่น (Be flexible) 1) นาเอาผลลัพธท์ เ่ี กิดขน้ึ มาใช้ประโยชน์ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ 2) จัดการเชิงบวกกับคาชมคาวิจารณแ์ ละความผิดพลาด 3) ทาความเขา้ ใจต่อรองและสรา้ งสมดุลของมมุ มองและความเชื่อที่ แตกตา่ งกนั เพือ่ ทาใหง้ านสาเร็จโดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในสภาพแวดลอ้ มที่หลากหลายทางวฒั นธรรม 3.2 การรเิ ริ่มและกากับดูแลตนเอง (Initiative and self-direction) 3.2.1 จัดการเปา้ หมายและเวลา (Manage goals and time) 1) กาหนดเป้าหมายโดยมีท้งั เกณฑค์ วามสาเร็จท่ีจับตอ้ งไดแ้ ละจบั ต้องไมไ่ ด้ 2) สร้างสมดุลระหว่างกลยุทธซ์ ง่ึ เป็นเป้าหมายระยะสัน้ และ ยทุ ธศาสตรซ์ ่ึงเป็นเป้าหมายระยะยาว 3) ใช้เวลาอย่างคุม้ ค่าและจัดการภาระงานได้อย่างมีประสิทธภิ าพ 3.2.2 ทางานไดด้ ว้ ยตนเอง (Work independently) 1) กาหนดงาน กากบั ตดิ ตาม จัดลาดับ ความสาคัญและทางานให้ สาเร็จได้ดว้ ยตนเอง 3.2.3 ผเู้ รียนร้ไู ด้ดว้ ยตนเอง (Be self-directed learners) 1) เรยี นรทู้ ักษะในการทางานของตนเองและมองหาโอกาสที่จะเรยี นรู้ ส่ิงใหม่ ๆ เพอื่ ขยายความเช่ยี วชาญของตน 2) แสดงความริเรม่ิ ท่จี ะพฒั นาทกั ษะไปส่รู ะดบั มืออาชพี 3) แสดงความมุง่ มน่ั ในการเรียนรวู้ ่าเปน็ กระบวนการท่ตี ้องทา ตลอดชีวิต 4) ทบทวนและไตรต่ รองประสบการณ์ที่ผ่านมาเพ่ือคิดหาทางพฒั นา ในอนาคต

21 3.3 ทักษะทางสังคมและการเรยี นรขู้ า้ มวัฒนธรรม (Social and cross - cultural skills) 3.3.1 สรา้ งปฏิสมั พันธก์ บั ผู้อ่นื อย่างมปี ระสิทธภิ าพ (Interact effectively with others) 1) รู้วา่ เมื่อใดควรที่จะฟังและเมือ่ ใดควรทจ่ี ะพูด 2) แสดงพฤตกิ รรมอย่างมืออาชพี และน่านับถือ 3.3.2 ทางานในทมี ท่มี คี วามหลากหลายไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ (Work effectively in diverse teams) 1) เคารพความแตกต่างทางวฒั นธรรมและทางานรว่ มกับคนทมี่ ี พื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรมที่แตกตา่ งกันได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ 2) ตอบสนองความคิดเหน็ และค่านิยมที่แตกต่างกนั อย่างใจกวา้ ง 3) ใช้พลงั จากความแตกตา่ งทางสงั คมและวัฒนธรรมในการสร้าง แนวความคดิ ใหม่และเพ่มิ นวัตกรรมและคณุ ภาพของงาน 3.4 การสร้างผลผลติ และความรรู้ บั ผิดชอบ (Productivity and accountability) 3.4.1 การจัดการโครงการ (Manage projects) 1) กาหนดเป้าหมายและทาให้สาเร็จแม้ต้องเผชิญกบั อุปสรรคและ แรงกดดัน 2) จัดลาดบั ความสาคญั วางแผนและจัดการงานเพอ่ื ให้บรรลผุ ล ท่ตี ั้งใจ 3.4.2 การสร้างผลงาน (Produce result) แสดงความสามารถพิเศษในการสรา้ งผลงานที่มีคุณภาพสงู ซ่ึง ประกอบด้วย 1) ความสามารถในการทางานเชงิ บวกและมีจรยิ ธรรม 2) ความสามารถในการจัดการเวลาและโครงการอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ 3) ความสามารถในการทางานทีห่ ลากหลาย 4) การมีสว่ นร่วมอย่างเข้มแข็ง มีความนา่ เชอื่ ถอื และตรงต่อเวลา 5) ความสามารถในการนาเสนอตัวเองอย่างมอื อาชพี และมีมารยาท 6) ความสามารถในการทางานรว่ มกนั และให้ความรว่ มมือกับทีมงาน ได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ 7) เคารพและชน่ื ชมความหลากหลายของทีม

22 8) มคี วามรับผิดชอบต่อผลทเี่ กดิ ขน้ึ 3.5 ความเปน็ ผนู้ าและความรบั ผิดชอบ (Leadership and responsibility) 3.5.1 ชี้แนะและเปน็ ผู้นาแกค่ นอ่นื (Guide and lead others) 1) ใช้ทักษะดา้ นมนษุ ยสมั พันธ์และทักษะการแกป้ ญั หาในการชกั นา ผูอ้ นื่ ไปส่เู ปา้ หมาย 2) ใช้จดุ แข็งของผู้อ่ืนเพ่อื บรรลุเป้าหมายร่วมกัน 3) สรา้ งแรงบนั ดาลใจให้ผู้อ่นื ไดใ้ ช้ศักยภาพของตนเองอยา่ งสงู สดุ โดย การเป็นตัวอย่างและไมถ่ ือประโยชน์สว่ นตนเป็นท่ีต้งั 4) แสดงพฤตกิ รรมในการใชอ้ ิทธพิ ลและอานาจอย่างมีคณุ ธรรม จริยธรรม 3.5.2 มคี วามรับผดิ ชอบตอ่ ผู้อืน่ (Be responsible to others) 1) ดาเนินการอย่างมีความรับผดิ ชอบ โดยยึดประโยชน์ของส่วนรวม เป็นทต่ี ัง้ Kamisah Osman, Tuan Mastura Tuan Soh and Nurazidawati Mohamad Arsad (2012) ได้สรปุ องค์ประกอบหลักของทักษะในศตวรรษที่ 21 สาหรบั ผ้เู รยี นสายวิทยาศาสตร์ ชาวมาเลเซยี ไว้ 5 ประกอบดว้ ย ความร้ยู ุคดิจิตอล (Digital age literacy) การคดิ เชิงสร้างสรรค์ (Inventive thinking) การสอ่ื สารอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective communication) ความสามารถ ในการสร้างผลผลิต (High productivity) และคุณค่าทางจิตวญิ ญาณ (Spiritual value) หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) ไดก้ าหนดสมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียนไว้ 5 ประการ ไดแ้ ก่ 1. ความสามารถดา้ นการสอ่ื สาร เป็นความสามารถในการรับและสง่ สาร มวี ฒั นธรรมในการใชภ้ าษา ถา่ ยทอดความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความรสู้ กึ และทศั นะของตนเอง เพื่อแลกเปลีย่ นขอ้ มูลขา่ วสารและประสบการณอ์ ันเป็นประโยชน์ตอ่ การพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรอง เพ่อื ขจดั และลดปัญหาความขัดแย้งกันต่าง ๆ การเลอื กรบั ไมร่ บั ขอ้ มลู ข่าวสาร ด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลอื กใชว้ ิธกี ารสือ่ สารที่มีประสิทธิภาพโดย คานึงถึงผลกระทบท่ีมีต่อตนเองและสังคม 2. ความสามารถในการคิด เปน็ ความสามารมนการคดิ วเิ คราะห์ การคิดสงั เคราะห์ การคดิ อยา่ งสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีเป็นระบบ เพ่อื นาส่กู ารสรา้ งองคค์ วามร้หู รอื สารสนเทศ เพื่อการตดั สนิ ใจเกีย่ วกบั ตนเองและสงั คมได้อยา่ งเหมาะสม 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เปน็ ความสามารถในการแกป้ ัญหาและอุปสรรค ตา่ ง ๆ ทีเ่ ผชิญไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสมบนพนื้ ฐานของเหตผุ ล คุณธรรมและขอ้ มูลสารสนเทศ เข้าใจ

23 ความสมั พันธ์และการเปล่ียนแปลงของเหตุการ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรปู้ ระยุกตค์ วามรู้มาใช้ ในการป้องกนั และแก้ไขปญั หา และมกี ารตัดสินใจท่ีมีประสทิ ธิภาพ โดยคานึงถึงผลกระทบทีเ่ กิดขนึ้ ตอ่ นตนเอง สังคมและสง่ิ แวดล้อม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ เป็นความสามารถในการนากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดาเนนิ ชวี ิตประจาวัน การเรยี นรดู้ ้วยตนเอง การเรยี นรอู้ ย่างต่อเนื่อง การทางาน และการอยรู่ ว่ มกันในสังคมด้วยการสง่ เสรมิ ความสัมพันธอ์ นั ดรี ะหวา่ งบคุ คล การจดั การปญั หาและ ความขัดแย้ง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทนั กับการเปลีย่ นแปลงของสงั คมและสภาพแวดล้อม 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เปน็ ความสามารถในการเลอื กและใช้ เทคโนโลยตี ่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยีเพอ่ื การพฒั นาตนเองและสงั คมในดา้ นการ เรียนรู้ การสอื่ สาร การทางาน การแกป้ ญั หาอย่างสรา้ งสรรค์ ถกู ตอ้ งเหมาะสมและมคี ณุ ธรรม วิจารณ์ พานชิ (2555) ได้กลา่ วว่า มนุษยใ์ นศตวรรษที่ 21 ต้องเปน็ บคุ คลพร้อม เรียนรู้และเปน็ คนทางานท่ใี ชค้ วามรู้ และเป็นคนทางานที่ใช้ความรู้ การศึกษาในศตวรรษท่ี 21 ตอ้ ง เตรียมคนไปเผชิญกับการเปลี่ยนแปลท่ีรวดเร็จ รุนแรง พลิกผนั และคาดไม่ถงึ ซึง่ ทักษะการดารงชีวติ ทีค่ นในศตวรรษที่ 21 ทุกคนจะต้องเรียนรู้ ต้ังแตช่ น้ั อนุบาล ไปจนถึงมหาวิทยาลยั และตลอดชีวติ คือ 3R x 7C ดังน้ี 1. 3R ไดแ้ ก่ 1) อา่ นออก (Reading) 2) เขียนได้ (Writing) 3) คิดเลขเป็น (Arithmetic) 2. 7C ไดแ้ ก่ 1) ทกั ษะดา้ นการคิดอยา่ งมีวิจารณญาณและทกั ษะการแกไ้ ขปัญหา (Critical thinking and Problem solving) 2) ทักษะด้านการสร้างสรรคแ์ ละนวตั กรรม (Creativity and Innovation) 3) ทักษะความเข้าใจต่างวฒั นธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross-Cultural Understanding) 4) ทักษะดา้ นความร่วมมอื การทางานเปน็ ทีมและภาวะผนู้ า (Collaboration, Teamwork and Leadership) 5) ทกั ษะดา้ นการส่อื สาร สารสนเทศและรู้เท่าทันสอ่ื (Communications, Information and Media Literacy) 6) ทกั ษะดา้ นคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร (Computing and ICT literacy)

24 7) ทักษะอาชพี และทกั ษะการเรียนรู้ (Career and Learning skill) สรุ ิยเดว ทรปิ าติ (2555) กลา่ วถึงทักษะของผเู้ รียนในศตวรรษท่ี 21 ในรายการพอ่ แม่พันธ์ุใหมห่ ัวใจเกนิ รอ้ ยทางสถานวี ทิ ยุคลื่นสีขาวเพอ่ื เดก็ เยาวชนและครอบครวั ว่า “สิง่ ท่ีจาเปน็ สาหรบั เด็กในศตวรรษท่ี 21 จาเปน็ ตอ้ งมี 4 ต้อง ได้แก่ ต้องมที ักษะชวี ติ ต้องมที กั ษะในการเรียนให้ เท่าทัน ตอ้ งบริโภคสือ่ ให้เป็นและตอ้ งมจี ิตสานึกต่อโลก จากการศกึ ษาแนวคิดเก่ียวกบั ทกั ษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ข้างตน้ ผวู้ จิ ยั ได้ สังเคราะหอ์ งค์ประกอบทกั ษะของผูเ้ รียนในศตวรรษที่ 21 สามารถสรปุ เป็น 5 ดา้ น คือ 1) ทักษะการ คดิ อยา่ งสร้างสรรค์ 2) ทกั ษะการคิดอย่างมวี ิจารณญาณและการแก้ปัญหา 3) ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี 4) ทักษะการส่ือสาร 5) ทกั ษะชีวิตและอาชีพ มรี ายละเอยี ดดงั นี้ 1. ทักษะการคิดอยา่ งสร้างสรรค์ (Creative thinking skills) ทกั ษะดา้ นการสร้างสรรค์ (Creative thinking) มีสว่ นสนบั สนุนในการตัดสินใจ และแกป้ ัญหาในการค้นหาทางเลือกต่าง ๆ ทเ่ี กิดขึ้นในแตล่ ะทางเลือก ถงึ แม้ว่าจะยงั ไม่มีการตดั สนิ ใจ และแกป้ ญั หาก็ตาม นอกจากน้คี วามคดิ สร้างสรรค์ยังช่วยใหบ้ ุคคลสามารถนาประสบการณม์ าใช้ใน การปรับตัวใหเ้ ข้ากบั สถานการณ์ตา่ ง ๆ ทีเ่ กิดขนึ้ ในชีวิตประจาวันได้อยา่ งเหมาะสม (World Health Organization, 1994) ทัง้ นมี้ ีนกั การศกึ ษาได้กลา่ วถงึ ทกั ษะการคดิ อย่างสรา้ งสรรค์และนวตั กรรม อย่างหลากหลาย ดงั น้ี The North Central Regional Educational Laboratory and Metiri Group (2003) กลา่ วว่า ความคิดสรา้ งสรรค์ (Creativity) คือ ความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ Torrance (1962, อ้างอิงใน สุคนธ์ สนิ ธพานนท์ และคณะ, 2555:64) กล่าวว่า ความคดิ สร้างสรรค์เป็นความสามารถของบคุ คลในการคดิ ผลผลติ หรือสิ่งแปลกใหม่ ทไี่ มร่ ูจ้ กั มาก่อน ซึง่ สิ่งตา่ ง ๆ เหล่าน้ี อาจจะเกิดจากการรวบรวมองค์ความรู้ทไ่ี ด้จากประสบการณ์ รวบรวมความคดิ เป็นสมมุติฐาน ทาการทดสอบสมมุติฐานและรายงานผลทไ่ี ด้รบั จากการคน้ พบ สวุ ทิ ย์ มูลคา (2551) กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นกระบวนการทางปัญญา ท่สี ามารถขยายขอบเขตความคิดทมี่ ีอย่เู ดมิ สูค่ วามแปลกใหม่แตกตา่ งไปจากความคดิ เดมิ และเป็น ความคดิ ท่ีใช้ประโยชน์ได้อยา่ งเหมาะสม ประพันธศ์ ิริ สเุ สารจั (2551) กลา่ วว่า ความคิดสร้างสรรค์ หมายถงึ ความสามารถ ในการจนิ ตนาการและรวบรวมความรคู้ วามคดิ เดิมอยา่ งหลากหลายและรวดเร็วและสรา้ งเป็นองค์

25 ความร้คู วามคิดใหม่ของตนเองสามารถคิดนอกกรอบได้ มผี ลงานการคิดสามารถรเิ ริ่มและสร้างสรรค์ ผลงานหรือสง่ิ ใหม่ ๆ ที่เหมาะสมและใช้การได้ ภาคเี พื่อทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 (Partnership for 21st Century Skills, 2011) กลา่ ววา่ ความคิดสรา้ งสรรคแ์ ละนวฒั กรรม ประกอบด้วย 1. ใช้เทคนคิ การสร้างความคิดทหี่ ลากหลาย เชน่ การระดมความคิด 2. สรา้ งมมุ มองใหมแ่ ละคมุ้ ค่า ทั้งทเ่ี ป็นการปรบั ปรุงเลก็ น้อยจากของเดิมหรอื เป็น การเปลย่ี นแปงจากเดิมโดยสน้ิ เชงิ 3. ทาความเข้าใจ ปรบั ปรุง วเิ คราะหแ์ ละประเมินแนวคิดของตนเพ่อื พัฒนา ความคดิ สร้างสรรค์ 4. ลงมือปฏิบัติตามความคิดสรา้ งสรรค์เพ่ือนาไปสู่ผลสาเร็จที่เปน็ รูปธรรม ฆนัท ธาตทุ อง (2554) ได้สรุปขัน้ ตอนของการคดิ สร้างสรรค์ไว้ 3 ข้นั ตอน ดงั นี้ 1. กาหนดเป้าหมายการคดิ 2. คน้ หาแนวคดิ ใหม่ ซึ่งเปน็ ส่ิงใหม่ ใช้งานไดจ้ ริงและมีความเหมาะสม 3. ประเมนิ และเลอื กแนวคดิ จากแนวคดิ ข้างต้น สามารถสรุปไดว้ า่ ทกั ษะการคิดอยา่ งสร้างสรรค์ หมายถึง ความสามารถของผู้เรียนในการค้นหาแนวคิดหรือมมุ มองใหม่ ๆ ท่ีแตกต่างไปจากความคิดเดิมและหา คาตอบในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและหลากหลาย สามารถอธบิ ายและประเมินแนวคิดของ ตน รวมถงึ ลงมอื ปฏบิ ัตติ ามความคดิ สร้างสรรค์เพื่อนาไปสู่ผลสาเร็จที่เปน็ รูปธรรม 2. ทกั ษะการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณและการแก้ปญั หา (Critical thinking and problem solving skills) การคิดอยา่ งมีวิจารณญาณ เปน็ กระบวนการคดิ ทผี่ คู้ ิดจะต้องคดิ กว้าง คดิ ลึก คิดถกู ทาง คดิ ชัดเจน คิดถกู ต้องอย่างมเี หตุผล ซึ่งการคดิ อยา่ งมีวจิ ารณญาณมีความสมั พนั ธ์กบั การ คดิ แก้ปัญหา โดยการคิดอย่างมวี จิ ารณญาณเปน็ ทักษะสาคัญของการแก้ปัญหาและการแกป้ ญั หาสว่ น ใหญ่ ตอ้ งใช้การคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณ (ศิรกิ าญจน์ โกสุมภ์ และดารณี คาวัจนัง, 2546) ทั้งนี้ มีนักการศกึ ษาหลายท่านได้ใหค้ วามหมายของทักษะการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณและแก้ปญั หาไว้ ดงั นี้ หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พื้นฐานพทุ ธศกั ราช 2551 (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2551) กล่าววา่ ความสามารถในการแกป้ ัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ท่ีเผชิญไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง เหมาะสมบนพ้นื ฐานของเหตผุ ล คุณธรรมและข้อมลู สารสนเทศ เข้าใจ ความสมั พนั ธแ์ ละการเปลี่ยนแปลงของเหตกุ ารณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกตค์ วามรู้

26 นามาใชใ้ นการป้องกนั และแก้ไขปัญหาและมีการตดั สินใจทีม่ ีประสทิ ธภิ าพ โดยคานึงถึงผลกระทบที่ เกิดขึ้นตอ่ ตนเองสงั คมและสิ่งแวดล้อม ภาคีเพือ่ ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 (Partnership for 21st Century Skills, 2011) กลา่ วว่า การคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณและการแกป้ ญั หา (Critical thinking and problem solving) ประกอบด้วย 1. การใชเ้ หตผุ ลอย่างมปี ระสิทธิภาพ (Reason effectively) 1.1 คิดอย่างเป็นระบบและเลอื กใชร้ ปู แบบการใช้เหตผุ ลประเภทต่าง ๆ เช่น การอุปนัย-การนิรนัยไดอ้ ย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ 1.2 วิเคราะหผ์ ลลัพทท์ ่ีจะเกิดข้นึ จากการตัดสนิ ใจอย่างรอบด้าน 2. การตัดสนิ ใจ (Make judgments and decision) 2.1 วิเคราะหห์ แ์ ละประเมนิ ขอ้ มูลหลักฐาน การโต้แย้ง การกล่าวอ้างและความ เชื่ออย่างมปี ระสทิ ธิภาพ 2.2 วเิ คราะหแ์ ละประเมนิ ทางเลอื กด้วยมุมมองที่นา่ สนใจ 2.3 สังเคราะหแ์ ละเชอ่ื มโยงข้อมูลกับข้อโตแ้ ย้ง 2.4 ตีความและสรปุ ขอ้ มูลโดยอาศยั การวิเคราะห์ 2.5 ตอบสนองตอ่ กระบวนการและประสบการณก์ ารเรยี นรู้อยา่ งมีวจิ ารณญาณ 3. การแก้ปญั หา (Solving Problems) 3.1 ฝกึ แกป้ ญั หาท่ไี ม่คุ้นเคยดว้ ยวธิ กี ารแกป้ ัญหาท่ีหลากหลาย 3.2 ตัง้ คาถามสาคญั ที่จะชว่ ยให้ความกระจา่ งในมุมตา่ ง ๆ เพื่อนาไปสวู่ ิธีการ แก้ปญั หาที่ดกี ว่า สคุ นธ์ สินธพานนท์ และคณะ (2555) สรปุ ความหมายของการคดิ อย่างมี วิจารณญาณ ไว้วา่ การคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณ เป็นกระบวนการคิดทใี่ ช้เหตุผล โดยมกี ารศึกษา ข้อเทจ็ จรงิ หลกั ฐานและขอ้ มูลต่าง ๆ เพ่อื ประกอบการตดั สนิ ใจและนามาพจิ ารณาวเิ คราะหอ์ ย่าง สมเหตุสมผล กอ่ นการตดั สินใจและได้สรุปกระบวนการคดิ อยา่ งมีวจิ ารณญาณเพื่อแกไ้ ขปญั หาไว้ ดังน้ี 1. การทาความเข้าใจกบั /ปญั หาประเดน็ สาคญั /สถานการณท์ ี่พบ 2. รวมขอ้ มูลซงึ่ เป็นขอ้ มูลท่ีเกย่ี วข้องกบั การนามาเปน็ แนวทางการแกไ้ ขปญั หา 3. ขอ้ มูลพจิ ารณาข้อมูลเพือ่ หาทางเลือก หรอื คาตอบทถี่ ูกตอ้ งอยา่ งรอบคอบ ประเมนิ ทางเลือกตา่ ง ๆ หลาย ๆ ทาง 4. สรุปเพ่อื นาไปสูก่ ารตดั สินใจ

27 Dressel and Mayhew (1857, อ้างถึงใน ประพนั ธศ์ ิริ สุเสารัจ, 2551) ได้กล่าวว่า ความสามารถในการคิดอย่างมวี จิ ารณญาณ ประกอบด้วย 1. สามารถในการนิยามปญั หาเป็นความสามารถในการตระหนักถึงส่ิงทีเ่ ปน็ ปญั หา รับรู้ถงึ สภาพท่กี าลังเป็นปญั หามสี ิง่ ใดทีไ่ มส่ มบรู ณ์มสี ่งิ ใดไมถ่ กู ตอ้ งหรือขาดหายไปสามารถวิเคราะห์ ข้อความหรอื สถานการณต์ ่าง ๆ ทเ่ี ปน็ ปัญหาและบอกคุณลกั ษณะของปญั หาและระบุประเดน็ สาคัญ ของปญั หาระบอุ งค์ประกอบของปัญหาของสาเหตุหรือเร่ืองราวทเ่ี กดิ ขน้ึ ได้ 2. ความสามารถในการเลอื กข้อมูลหรอื รวบรวมขอ้ มลู ทเี่ กี่ยวขอ้ งเป็นความสามารถ ในการพจิ ารณาและเลอื กขอ้ มูล เพอ่ื นามาแก้ไขปัญหาไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง การพิจารณาความพอเพยี งท้ัง ปริมาณและคุณภาพของขอ้ มูลพจิ ารณาความนา่ เชอ่ื ถือของแหลง่ ข้อมูลความสามารถเปน็ สิ่งจาเปน็ สาหรบั การคิดในการใช้แกป้ ัญหาต่าง ๆ จะทาให้ความสามารถในการมองเหน็ วา่ อะไรคอื ปญั หาท่ี แท้จรงิ หรอื อะไรคือข้อเท็จจรงิ 3. ความสามารถในการระบขุ อ้ ตกลงเบอ้ื งต้นหรือจัดระบบขอ้ มลู เปน็ ความสามารถ ในการพจิ ารณาแยกแยะวา่ ข้อความใดเป็นไปตามข้อตกลงเบือ้ งต้นและขอ้ ความใดไม่เป็นไปตาม ขอ้ ตกลงเบอ้ื งตน้ ตามข้อความหรือสถานการณท์ ี่กาหนดให้ ข้อมูลใดเปน็ ข้อมลู จริง ข้อมูลใดเป็น ความคดิ เหน็ ข้อมลู ใดเกยี่ วขอ้ งกบั ปัญหาหรือเหตุการณ์ ข้อมูลใดไม่เกีย่ วข้อง ข้อมลู ใดน่าเช่ือถอื ความสามารถนม้ี คี วามสาคัญเพราะว่าทาให้เหน็ ความแตกตา่ งของข้อมูลเพื่อลงความเห็นว่าควร จะยอมรบั ขอ้ มูลทีไ่ ดม้ าหรอื ไม่ 4. ความสามารถในการกาหนดและตัง้ สมมตฐิ าน เปน็ ความสามารถในการกาหนด หรอื เลอื กสมมติฐาน จากข้อความหรอื สถานการณ์ให้ตรงกบั ปญั หาในขอ้ ความหรือสถานการณ์น้นั ประกอบดว้ ยการชแ้ี นะคาตอบของปญั หาการกาหนดสมมตฐิ านต่าง ๆ การเลอื กสมมตฐิ านท่ีเป็นไป ไดม้ ากที่สุด การตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างสมมติฐานกับขอ้ มูลและข้อตกลงเบื้องตน้ ความสามารถน้มี ีความสาคญั เพราะทาให้มีความรอบคอบและมีความพยายามในการคิดถึงความ เป็นไปได้ในการแกป้ ัญหาและความเปน็ ไปได้ของสมมตฐิ าน 5. ความสามารถในการลงสรปุ อยา่ งสมเหตุสมผล สามารถในการคิดพจิ ารณา ข้อความเก่ยี วกับเหตุผลโดยคานงึ ถึงขอ้ เทจ็ จริงท่เี ป็นสาเหตุ สามารถลงสรุปอยา่ งมเี หตุผลจากข้อมูลที่ เกย่ี วข้อง ได้แก่ การระบุเงือ่ นไขที่จาเป็นได้ การระบคุ วามเปน็ เหตุเป็นผล และสามารถตดั สินส่ิง ต่าง ๆ ได้อยา่ งเหมาะสมเพื่อนาไปสู่ข้อสรปุ และสามารถประเมินขอ้ สรุปได้วา่ เพยี งพอและมีคุณคา่ มีประโยชน์ตอ่ การนาไปปฏิบัติไดจ้ ริงมากนอ้ ยเพยี งใดจากหลักฐานหรือข้อมลู ทมี่ ีอยู่

28 จากแนวคดิ ขา้ งตน้ สามารถสรปุ ความหมายของทักษะการคดิ อย่างมีวิจารณญาณ และการแกป้ ญั หา ไดว้ ่า หมายถึง ความสามารถของผู้เรียนในการคดิ อยา่ งมเี หตผุ ลไตรต่ รองอย่าง รอบคอบมคี วามเข้าใจเกยี่ วกับสถานการณท์ เี่ ป็นปัญหาคลมุ เครือหรอื มีความขัดแย้งวิเคราะหป์ ระเมิน สรุปและการเลอื กใช้ข้อมูลทมี่ ีอยูเ่ พือ่ เป็นไปตามแนวทางในการสร้างทางเลอื กสาหรับการแก้ปญั หา รวมถึงการตดั สนิ ใจลงข้อสรุป ในการแก้ปัญหาโดยคานึงถงึ ผลกระทบท่จี ะตามมาอย่างรอบคอบรอบ ดา้ นและสมเหตุสมผล 3. ทักษะด้านสารสนเทศ สอ่ื และเทคโนโลยี (Information media and technology skills) สังคมของเราเปลย่ี นไปเปน็ สงั คมแหง่ การเรียนรู้ ซง่ึ สามารถเขา้ ถงึ ขอ้ มลู และความรู้ จานวนมากไดอ้ ย่างงา่ ยดาย ทักษะด้านสารสนเทศ ส่ือ และเทคโนโลยี โดยเฉพาะความสามารถใน การวเิ คราะหแ์ ละเช่อื มโยงขอ้ มูลเป็นสง่ิ ที่จาเป็นอย่างยง่ิ สาหรับผู้เรยี นในยุคใหม่ ท้ังนี้ ไดม้ ผี กู้ ล่าวถึง ทกั ษะด้านสารสนเทศ สอ่ื และเทคโนโลยี ไวอ้ ย่างหลากหลาย ดังนี้ กรมวิชาการ (2543 อ้างถึงใน กฤษณา ปัญญา, 2552) กล่าวถงึ ทกั ษะด้าน สารสนเทศ ส่อื และเทคโนโลยีไว้ ในแงข่ องการแสวงหาและการใช้ขอ้ มลู ซ่งึ หมายถงึ การใฝ่รู้ ใฝ่ศึกษา รับขอ้ มูลตา่ ง ๆ อยเู่ สมอรจู้ ักค้นหาข้อเท็จจริง ดว้ ยการใช้เหตุผล หรือดุลยพนิ ิจในการตัดสิน ความนา่ เชอ่ื ถอื ของขอ้ มูลขา่ วสารตลอดจนนาความรู้ ข้อมลู ข่าวสารตา่ ง ๆ ไปใชป้ ระโยชนแ์ ก่ตนเอง และส่วนรวม หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) กล่าวถึง ทักษะด้านสารสนเทศ สอื่ และเทคโนโลยใี นแงข่ องความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ซ่งึ เปน็ ความสามารถในการเลอื ก และใช้เทคโนโลยีดา้ นตา่ ง ๆ และมที ักษะกระบวนการทาง เทคโนโลยี เพอื่ การพฒั นาตนเองและสังคม ในดา้ นการเรยี นรู้ การสื่อสาร การทางาน การแกป้ ญั หา อย่างสรา้ งสรรค์ ถูกตอ้ งเหมาะสมและมีคณุ ธรรม ภาคีเพอื่ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 (Partnership for 21st Century Skills, 2011) กลา่ ววา่ ทกั ษะด้านสารสนเทศ สือ่ และเทคโนโลยี (Information media and technology skills) ประกอบดว้ ย 1 ความรู้ดา้ นสารสนเทศ (Information literacy) 1.1 เข้าถึงและประเมนิ สารสนเทศ (Access and evaluate information) 1) เข้าถงึ สารสนเทศอย่างมีประสทิ ธภิ าพและมปี ระสิทธิผล 2) ประเมนิ สารสนเทศอยา่ งมวี ิจารณญาณและครบถว้ นรอบด้าน 1.2 ใชแ้ ละจัดการสารสนเทศ (Use and manage information)

29 1) ใช้สารสนเทศได้อยา่ งแมน่ ยาและสรา้ งสรรรคต์ ่อกรณีหรอื ปญั หาทเ่ี ผชิญ 2) จัดการเชือ่ มโยงสารสนเทศจากแหล่งท่ีหลากหลายได้ 3) เขา้ ถงึ และใช้สารสนเทศอยา่ งถกู ตอ้ งตามหลกั จรยิ ธรรมและกฏหมาย 2 ความรู้ด้านสื่อ (Media literacy) 2.1 วิเคราะห์ส่ือ (Analyze media) 1) เขา้ ใจวตั ถุประสงคว์ า่ ทาไมจึงมกี ารสร้างส่อื นั้นและสรา้ งอยา่ งไร 2) ตรวจสอบวา่ แตล่ ะคนต้ความสอ่ื แตกตา่ งกันอย่างไร นอกจากส่อื ความจริง แลว้ สือ่ น้นั ยงั เพม่ิ คุณค่าหรอื ความเห็นเข้าไปอย่างไร และสอื่ นัน้ มีอิทธพิ ลตอ่ ความเชือ่ และพฤตกิ รรม อย่างไร 3) ทาความเข้าใจประเดน็ เชิงจรยิ ธรรมและกฏหมายท่เี กี่ยวขอ้ งกับการเขา้ ถงึ สอื่ และการสอ่ื สาร 2.2 สร้างผลิตภัณฑส์ ่อื ได้ (Create media products) 1) มคี วามเข้าใจและสามารถใช้เคร่ืองมอื ทเี่ หมาะสมดาเนินการสร้างสอ่ื ท่ีเหมาะสม กับการนาเสนอในหลากหลายวัตถุประสงค์ 2) มีความเข้าใจและสามารถนาเสนอในสภาพแวดล้อมท่ีแตกตา่ งหลากหลาย และต่างวฒั นธรรม 3 ความรดู้ ้านเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร (Information communication and technology literacy) 3.1 สามารถประยกุ ต์ใชเ้ ทคโนโลยีอย่างมีประสทิ ธภิ าพ (Apply technology effectively) 1) ใชเ้ ทคโนโลยีเพอ่ื วจิ ยั จดั ระบบ ประเมินและสื่อสารสนเทศ 2) ใชเ้ ทคโนโลยี เคร่ืองมอื สือ่ สารและเครือข่ายทางสังคมอย่างถูกตอ้ ง เหมาะสมเพือ่ เข้าถงึ จดั การ บูรณาการ ประเมินและสรา้ งสารสนเทศเพอ่ื ทาหนา้ ท่ีในเศรษฐกิจ ฐานความรู้ 3) ปฏบิ ตั ิตามคุณธรรมและกฏหมายทีเ่ ก่ียวข้องกับการเข้าถึงและใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศ พงษ์ ผาวิจิตร (2555) กลา่ วถึง ทักษะดา้ นสารสนเทศส่อื และเทคโนโลยี ในแงข่ อง ศกั ยภาพในการใชส้ ารสนเทศ โดยผทู้ ่ีศกั ยภาพในการใชส้ ารสนเทศจะต้องมีความสามารถ ดังนี้ 1. สามารถเลอื กใช้เคร่ืองมอื ทางเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สารเพอื่ การค้นหา ข้อมูลทีต่ อ้ งการ

30 2. สามารถใชเ้ ครื่องมอื ทเี่ ลือกเข้าถึงแหล่งขอ้ มลู ท่ีสอดคล้องในสง่ิ แวดลอ้ มดิจิตอล คอื การต้องรู้ว่าขอ้ มูลประเภทไหน ใช้โปรแกรมหรอื เคร่ืองมืออะไรในการเกบ็ ซ่ึงการค้นหาฐานขอ้ มูล ต้องมีศกั ยภาพในการค้นหาจากหลายแหลง่ 3. สามารถจดั การบรหิ ารจัดเกบ็ ข้อมูลและนากลับมาปรับปรุงแกไ้ ขใหม่ได้ 4. สามารถนาแหล่งข้อมลู หลากหลาย ๆ มารวมกันใชก้ บั หลากหลายซ้อื หรือ อปุ กรณเ์ พือ่ ทางานให้บรรลเุ ปา้ หมาย 5. สามารถประเมนิ และประมาณไดว้ า่ จะใชข้ ้อมูลเทา่ ใด จงึ จะสามารถตอบโจทยท์ ่ี ได้รับมอบหมาย 6. สามารถสรา้ ง ดัดแปลง ประยกุ ตช์ ดุ ขอ้ มูลที่มีอยู่หรือสามารถประดิษฐ์คิดคน้ ขึ้นมาใหม่ เพอื่ นาเสนอได้ 7. สื่อสารสารสนเทศเปน็ และรู้ว่าขอ้ มูลประเภทไหนเหมาะกบั กลุม่ เปา้ หมายใด The North Central Regional Educational Laboratory and Metiri Group (2003) กลา่ ววา่ ทักษะดา้ นสารสนเทศ สอื่ และเทคโนโลยใี นแงข่ องความรดู้ า้ นเทคโนโลยแี ละความรู้ ดา้ นสารสนเทศ โดยความรดู้ า้ นเทคโนโลยี (Technological literacy) คือ ความรู้เก่ียวกับเทคโนโลยี ว่า เทคโนโลยีน้นั คืออะไร และจะใช้เทคโนโลยนี ้ันเพือ่ บรรลเุ ป้าหมายทตี่ ้องการได้อย่างไร ส่วนความรู้ ด้านสารเทศ (Information literacy) คอื มีความสามารถในการกาหนดขอบเขตของข้อมูลทต่ี อ้ งการ สามารถในการเข้าถึงขอ้ มูลทตี่ ้องการ ประเมนิ จขอ้ มลู จากสอ่ื ต่าง ๆ สังเคราะห์และเลอื กใช้ สารสนเทศได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ จากแนวคดิ ข้างต้น สามารถสรุปความหมายของทักษะด้านสารสนเทศสอ่ื และ เทคโนโลยีได้วา่ หมายถงึ ความสามารถของผเู้ รียนในการกาหนดขอบเขต และการเข้าถงึ ขอ้ มลู ที่ ต้องการ โดยใช้สอ่ื และเทคโนโลยสี ารสนเทศได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพและประสิทธิผล สามารถประเมิน ความนา่ เช่ือถือของข้อมูล และแหลง่ ทม่ี าไดอ้ ยา่ งมีวจิ ารณญาณ จดั เก็บ จัดการ เช่อื มโยงและ เลือกใช้สารสนเทศไดอ้ ยา่ งสร้างสรรค์ รวมถึงสามารถใช้สารสนเทศ ส่อื และเทคโนโลยเี พอ่ื วตั ถุประสงค์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมและถูกตอ้ งตามหลักจรยิ ธรรมและกฏหมาย

31 4. ทกั ษะการส่ือสาร (Communication skills) โลกยคุ เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารก้าวหน้า การแลกเปล่ียนขอ้ มูล สารสนเทศเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไมจ่ ากดั และสถานที่ ทกั ษะการสอื่ สารเปน็ ทักษะทจี่ าเป็นอยา่ งย่ิง สาหรับผู้เรียนยุคใหม่ ท้ังน้มี ีนักวิชาการกลา่ วถงึ ทกั ษะการสอื่ สาร ดังน้ี กรมวชิ าการ (2543 อา้ งถึงใน กฤษณา ปัญญา, 2552) กล่าววา่ การสอ่ื สารและการ สร้างปฏสิ ัมพันธ์กบั ผ้อู ่ืนหมายถึงความสามารถในการถ่ายทอดความคดิ ความรสู้ กึ อารมณ์ และความ ตอ้ งการจากผสู้ ง่ สารไปยังผูร้ บั สาร โดยใชภ้ าษาถ้อยคา ภาษาทา่ ทาง เพือ่ ให้เกิดความเขา้ ใจซง่ึ กัน และกนั ในการตดิ ต่อส่ือสารสมั พนั ธ์กับผอู้ ืน่ อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐานพุทธศักราช 2551 (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2551) กล่าววา่ ความสามารถดา้ นการส่ือสารเปน็ ความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมใน การใชภ้ าษาถา่ ยทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรูส้ ึกและทัศนะของตนเอง เพอ่ื แลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสารและประสบการณอ์ นั เป็นประโยชน์ต่อการพฒั นาตนเองและสงั คม รวมทง้ั การเจรจา ตอ่ รอง เพ่ือขจัดและลดปญั หาความขดั แยง้ ต่าง ๆ การเลอื กรับหรอื ไมร่ ับข้อมลู ขา่ วสาร ด้วยหลัก เหตผุ ลและความถกู ต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธกี ารส่ือสารที่มีประสิทธภิ าพโดยคานงึ ถงึ ผลกระทบ ท่มี ีตอ่ ตนเองและสังคม กฤษณา ปัญญา (2552) กลา่ ววา่ การสรา้ งความสัมพันธภาพและการสอ่ื สาร หมายถงึ ความสามารถของบคุ คลในการรับฟังและรับรู้เร่อื งราว ความคิด หรอื วตั ถุประสงคข์ องผู้อื่น อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ อกี ทั้งยังสามารถใหข้ ้อมูลยอ้ นกลับ จากการฟงั ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ งเหมาะสมและ สามารถประเมินและเลือกวิธกี ารสอ่ื สาร ไมว่ ่าจะเปน็ คาพูด การเขียน หรอื การแสดงออกทา่ ทางทาง กรยิ า เพ่ือใช้ในการส่ือสารหรือสร้างปฏสิ ัมพนั ธอ์ นั ดีตอ่ ผอู้ น่ื ไดอ้ ย่างเหมาะสม ฆนทั ธาตุทอง (2554) กล่าววา่ ทักษะการสอ่ื สารเปน็ ทกั ษะการรบั สารท่แี สดงถึง ความคิดของผู้อ่ืน เข้ามาเพื่อรบั รู้ตีความแล้วจดจา และเมือ่ ตอ้ งการทจี่ ะระลึก เพ่ือนามาเรียบเรยี ง และถา่ ยทอดความคิดของตนให้แก่คนอืน่ โดยแปลงความคิดให้อยู่ในรปู แบบภาษาตา่ ง ๆ สานกั งานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ (2546) กล่าววา่ ทกั ษะการส่อื สาร ครอบคลุมถึงทักษะการฟงั ทักษะการพูดทกั ษะการอา่ นและทกั ษะการเขยี นทงั้ ภาษาไทยและ ภาษาตา่ งประเทศซ่ึงมีรายละเอียดดงั นี้ 1. ทกั ษะการฟงั หมายถึง ความสามารถในการจบั ประเดน็ ใจความหลกั จากสิง่ ท่ฟี ัง ไดอ้ ยา่ งถกู ต้องและครบถ้วน รวมถงึ การมมี ารยาทการฟังในโอกาสต่าง ๆ ได้ถูกต้องตามมารยาทของ สังคม ให้ความสาคัญในการรบั ฟังผอู้ ื่นและมใี จกวา้ งพอในการฟังผอู้ ่ืนดว้ ย 2. ทกั ษะการพดู หมายถึง ความสามารถในการส่ือสารดว้ ยการพูดทม่ี ีความชัดเจน สัน้ กระชบั ตรงประเดน็ ครบถ้วน มีความน่าดงึ ดดู หรอื น่าสนใจ พูดด้วยถ้อยคาสภุ าพ ใช้คาพดู ได้

32 เหมาะสมกับกาลเทศะ รวมถึงการมบี ุคลิกภาพในการพูดทีด่ ี สามารถใชเ้ สยี งและถอ้ ยคาในการพดู อยา่ งมน่ั ใจ 3. ทกั ษะการอา่ น หมายถึง ความสามารถในการรับสารดว้ ยการอ่านจากสือ่ ต่าง ๆ ได้โดยสามารถจับใจความได้รวดเรว็ ถกู ตอ้ ง ครบถว้ น และสามารถเลือกอ่านข้อมลู ทีม่ จี านวนมาก อย่างชาญฉลาด เพื่อใหบ้ รรลุวตั ถุประสงค์ของการอ่านได้ 4. ทักษะการเขียน หมายถงึ ความสามารถในการสอ่ื สารด้วยวธิ กี ารเขยี นได้อย่าง ถกู ต้องตามหลักเกณฑ์ มสี านวนภาษาถูกตอ้ ง มีเหตุผลและลาดบั ขน้ั ตอนในการนาเสนอทีส่ ร้างความ เขา้ ใจแก่ผู้อ่านได้อย่างชัดเจน ภาคเี พ่ือทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 (Partnership for 21st Century Skills, 2011) กลา่ วถึงทกั ษะการสอ่ื สารไว้ในแง่ของการส่ือสารอยา่ งชดั เจน และสรา้ งปฏิสัมพนั ธก์ ับผู้อืน่ อยา่ ง มีประสทิ ธภิ าพ ดังนี้ 1. การส่อื สารอยา่ งชัดเจน (Communicate clearly) 1.1 เรยี บเรยี งความคดิ และมมุ มองแลว้ ส่ือสารออกมโดยใชภ้ าพดู ภาษาเขยี น และอวจั นภาษาได้อยา่ งหลากหลาย 1.2 ฟังอย่างมีประสิทธภิ าพเพื่อตีความ 1.3 ใช้การส่ือสารเพอื่ บรรลวุ ตั ถุประสงคห์ ลายด้าน เชน่ แจ้งให้ทราบบอกให้ทา จูงใจและชักชวน 1.4 สามารถเลอื กใช้ประโยขนจ์ ากส่อื และเทคโนโลยที ี่หลากหลายได้อย่าง มีประสทิ ธภิ าพ 1.5 สือ่ สารอย่างมปี ระสทิ ธิภาพในสภาพแวดลอ้ มที่หลากหลาย รวมทง้ั ใน สภาพแวดล้อมที่สื่อสารกนั ด้วยหลายภาษา 2. การสรา้ งปฏิสัมพนั ธ์กับผู้อ่นื อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ (Interact effectively with others) 2.1 รู้ว่าเมือ่ ใดควรจะฟังและเมือ่ ใดควรพูด 2.2 แสดงพฤตกิ รรมอย่างมืออาชีพและน่านับถือ จากแนวคิดข้างต้น สามารถสรุปความหมายของทักษะการส่ือสาร หมายถึง ความสามารถของผู้เรยี นในการรับรแู้ ละรับฟงั เรื่องราวและความรสู้ ึก นกึ คดิ ของผูอ้ นื่ และสามารถใช้ คาภาษาหรอื ทา่ ทาง เพอ่ื ใหข้ อ้ มูลย้อนกลับและถา่ ยทอดมุมมอง ความคิด ความรู้ความเขา้ ใจและ ความรู้สึกของตนได้อย่างเหมาะสม รวมถงึ สามารถเลือกใช้วิธีการสือ่ สารและสือ่ สารไดอ้ ย่างมี ประสทิ ธิภาพในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย รวมท้งั ในสภาพแวดล้อมท่ีสอื่ สารกนั ดว้ ยหลายภาษา

33 5. ทกั ษะชวี ติ และอาชพี (Life and career skills) ทกั ษะชีวติ และอาชพี คือ ทกั ษะที่ชว่ ยให้บุคคลสามารถทางานและดารงชีวติ อยู่กบั สภาพแวดลอ้ ม และผอู้ ื่นท่มี ีความแตกต่างอย่างหลากหลายไดอ้ ยา่ งไม่ร้สู ึกเครยี ดหรือแปลกแยกและ ทางานสาเร็จได้ (วิจารณ์ พานิช, 2555) ซึ่งตอ่ ไปผเู้ รียนจะมโี อกาสในการทางานรว่ มกบั ผูอ้ ่ืนจาก หลากหลายเชอ้ื ชาติ ซึง่ คนเหลา่ นน้ั ตา่ งก็มภี ูมหิ ลงั ทีแ่ ตกตา่ งกันมากข้ึน ดังนนั้ ผ้เู รยี นจะต้องเปดิ ใจ กวา้ งยอมรับความแตกตา่ งทางความคดิ ของผรู้ ่วมงานใหไ้ ด้ การทางานจงึ จะประสบความสาเร็จ (Myunghee, K., et al., 2010) ท้ังนไี้ ดม้ ีผ้ใู ห้ความหมายทักษะชวี ติ และอาชีพในแง่มมุ ตา่ ง ๆ ดงั นี้ หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐานพุทธศักราช 2551 (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2551) กล่าวว่า ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิตเป็นความสามารถในการนากระบวนการตา่ ง ๆ ไปใชใ้ นการดาเนนิ ชวี ิตประจาวัน การเรยี นร้ดู ้วยตนเอง การเรยี นร้อู ยา่ งตอ่ เน่อื งการทางานและการ อยรู่ ่วมกันในสังคมดว้ ยการสรา้ งเสรมิ ความสมั พันธอ์ นั ดรี ะหวา่ งบุคคล การจดั การปญั หาและความ ขดั แยง้ ต่าง ๆ อยา่ งเหมาะสม การปรบั ตวั ให้ทันกบั การเปลี่ยนแปลงของสงั คมและสภาพแวดลอ้ ม และการรจู้ กั หลีกเลยี่ งพฤตกิ รรมไม่พึงประสงคท์ ี่ส่งผลกระทบตอ่ ตนเองและผู้อืน่ กรมวิชาการ (2543 อ้างถึงใน กฤษณา ปญั ญา, 2552) ทักษะการทางานเปน็ ทมี หมายถงึ การกระทากิจกรรมรว่ มกนั อยา่ งมีขั้นตอนในการดาเนินงานเปน็ ไปตามวตั ถุประสงคท์ ่ีต้ังไว้ โดยมีการกาหนดขอ้ ตกลงในการทางานการวางแผนการแกไ้ ขปญั หาในการทางานการเสนอผลงาน และการสรปุ ประเมนิ ผลงาน สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาติ (2546) กลา่ ววา่ ทักษะการทางาน รว่ มกบั ผูอ้ ื่น หมายถงึ ความสามารถในการทางานเปน็ กลุ่มได้เป็นอย่างดจี นสามารถทาให้งานบรรลุ เป้าหมายทก่ี าหนดไว้ กฤษณา ปญั ญา (2552) กล่าวว่า ทักษะชวี ิต หมายถงึ ความสามารถขนั้ พืน้ ฐานท่ใี ช้ ในการดารงชีวติ ประจาวันของบุคคล เปน็ ความสามารถทปี่ ระกอบไปด้วยความรู้ เจตคตแิ ละทกั ษะใน อันที่จะทาให้บุคคลมีความพร้อมที่จะเผชญิ หน้า รับมอื กับปญั หาทเ่ี กดิ ขึน้ ในสภาพสังคมปจั จุบันและ อนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ Pacific Policy Research Center (2010) กล่าวว่า ทกั ษะความร่วมมอื การทางานเป็นทมี และความเป็นผ้นู า หมายถงึ สามารถในการทางานได้เป็นอย่างดีกบั เพื่อนร่วมงาน ทม่ี ีทศั นคติแตกต่างกันและสามารถนาเสนอตวั เองอยา่ งมอื อาชีพ เคารพ และยอมรบั ความแตกต่าง ทางสังคมและวัฒนธรรม สามารถสรา้ งแรงบนั ดาลใจให้กับผู้อ่นื โดยการเป็นตวั อย่างท่ดี แี ละสามารถ ใช้ประโยชน์จากจดุ แขง็ ของผู้อน่ื เพือ่ ใหบ้ รรลเุ ป้าหมายร่วมกนั ภาคเี พ่ือทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 (Partnership for 21st Century Skills, 2011) กล่าวถงึ องคป์ ระกอบของทกั ษะชีวิตและอาชพี ดังนี้

34 1. การทางานร่วมกับผอู้ ่นื อยา่ งสรา้ งสรรค์ (Work creatively with other 1.1 พฒั นา ดาเนนิ การ และสือ่ สารแนวคิดใหม่กบั ผู้อืน่ อย่างมปี ระสิทธิภาพ 1.2 เปดิ ใจรับและตอบสนองตอ่ การมุมมองใหม่ ๆ ที่มคี วามหลากหลาย รวมกลมุ่ เพือ่ ปอ้ นข้อมลู และข้อเสนอแนะในการทางาน 1.3 มคี วามคดิ รเิ รมิ่ ทางานอยา่ งเฉลียวฉลาด และเขา้ ใจข้อจากัดท่ีจะใชแ้ นวคิด ใหมใ่ นโลกแหง่ ความจรงิ 1.4 มองความล้มเหลวเป็นโอกาสในการเรยี นรู้ ทาความเข้าใจว่าความคิด สร้างสรรค์และนวตั กรรมเป็นเรอ่ื งระยะยาว ความสาเรจ็ และความผิดพลาดยอ่ มเกิดขึ้นเปน็ วงจร เสมอ 2 การร่วมมือกบั ผู้อ่นื (Collaborate with others) 2.1 ทางานอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพและให้เกยี รติทีมงานทม่ี ีความหลาหลาย 2.2 ยดื หยุ่นปละประนีประนอมเพือ่ บรรลุเปา้ หมายร่วมกัน 2.3 รับผดิ ชอบร่วมกนั ในงานทีต่ ้องทาเปน็ ทีม และเหน็ คุณคา่ ของบทบาทของ ผรู้ ่วมทมี คนอน่ื ๆ 3. ความยืดหยุน่ และความสามารถในการปรับตวั (Flexibility and adaptability) 3.1 ปรบั ตัวเข้ากับความแตกต่างของบทบาทและหน้าทท่ี หี่ ลากหลายรวมถึง กาหนดการและบริบทที่เปล่ียนแปลงไปได้ 3.2 ทางานไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพในสภาพของความไมช่ ดั เจนและมีการ เปลยี่ นแปลงตลอดเวลา 3.3 นาเอาผลลพั ธ์ทีเ่ กดิ ขน้ึ มาใชป้ ระโยชนไ์ ด้อยา่ งมีประสิทธิภาพ 3.4 จัดการเชงิ บวกกับคาชมคาวิจารณ์และความผิดพลาด 3.5 ทาความเขา้ ใจต่อรองและสร้างสมดุลของมุมมองและความเชอ่ื ทีแ่ ตกต่างกัน เพื่อทาใหง้ านสาเรจ็ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในสภาพแวดลอ้ มทีห่ ลากหลายทางวฒั นธรรม 4 การริเร่ิมและกากบั ดแู ลตนเอง (Initiative and self-direction) 4.1 กาหนดเป้าหมายโดยมีทง้ั เกณฑ์ความสาเรจ็ ท่ีจับตอ้ งไดแ้ ละจับต้องไม่ได้ 4.2 สรา้ งสมดุลระหว่างกลยุทธ์ซ่ึงเป็นเปา้ หมายระยะสน้ั และยทุ ธศาสตรซ์ ง่ึ เป็น เป้าหมายระยะยาว 4.3 ใชเ้ วลาอย่างคมุ้ ค่าและจดั การภาระงานได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ 4.4 กาหนดงาน กากบั ติดตาม จัดลาดับ ความสาคัญและทางานใหส้ าเร็จไดด้ ว้ ย ตนเอง

35 4.5 เรียนรู้ทกั ษะในการทางานของตนเองและมองหาโอกาสท่ีจะเรียนรู้สง่ิ ใหม่ ๆ เพ่อื ขยายความเชยี่ วชาญของตน 4.6 แสดงความริเรม่ิ ท่ีจะพัฒนาทักษะไปส่รู ะดบั มอื อาชพี 4.7 แสดงความมุ่งมนั่ ในการเรยี นรู้ว่าเป็นกระบวนการทต่ี ้องทาตลอดชวี ิต 4.8 ทบทวนและไตร่ตรองประสบการณ์ทผี่ ่านมาเพ่ือคิดหาทางพัฒนาในอนาคต 5. ทกั ษะทางสงั คมและการเรียนรขู้ า้ มวฒั นธรรม (Social and cross - cultural skills) 5.1 ทางานในทมี ท่มี ีความหลากหลายได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ 5.2 เคารพความแตกต่างทางวฒั นธรรมและทางานร่วมกับคนที่มพี ื้นฐานทาง สังคมและวัฒนธรรมทแ่ี ตกตา่ งกันได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ 5.3 ตอบสนองความคิดเห็นและคา่ นยิ มที่แตกตา่ งกันอยา่ งใจกว้าง 5.4 ใชพ้ ลงั จากความแตกต่างทางสังคมและวัฒนธรรมในการสร้างแนวความคดิ ใหม่และเพิ่มนวตั กรรมและคุณภาพของงาน 6. การสร้างผลผลิตและความรูร้ ับผิดชอบ (Productivity and accountability) 6.1 การจัดการโครงการ (Manage projects) 1) กาหนดเป้าหมายและทาให้สาเร็จ แมต้ อ้ งเผชิญกบั อปุ สรรคและแรง กดดัน 2) จัดลาดับความสาคัญวางแผนและจดั การงาน เพอ่ื ให้บรรลุผลท่ตี ง้ั ใจ 6.2 การสรา้ งผลงาน (Produce result) แสดงความสามารถพิเศษในการสร้างผลงานทม่ี ีคุณภาพสูง ซ่ึงประกอบด้วย 1) ความสามารถในการทางานเชงิ บวกและมีจริยธรรม 2) ความสามารถในการจัดการเวลาและโครงการอยา่ งมีประสิทธิภาพ 3) ความสามารถในการทางานทหี่ ลากหลาย 4) การมีส่วนร่วมอยา่ งเข้มแข็ง มีความน่าเชอ่ื ถือและตรงต่อเวลา 5) ความสามารถในการนาเสนอตัวเองอย่างมอื อาชพี และมีมารยาท 6) ความสามารถในการทางานร่วมกันและใหค้ วามรว่ มมือกับทมี งานได้อยา่ ง มปี ระสิทธภิ าพ 7) เคารพและช่ืนชมความหลากหลายของทมี 8) มคี วามรับผิดชอบต่อผลทเ่ี กิดขนึ้ 7. ความเป็นผนู้ าและความรบั ผิดชอบ (Leadership and responsibility)

36 7.1 ใช้ทักษะดา้ นมนุษยสมั พนั ธแ์ ละทกั ษะการแกป้ ัญหาในการชกั นาผอู้ ่ืน ไปส่เู ป้าหมาย 7.2 ใชจ้ ุดแข็งของผ้อู ่ืน เพือ่ บรรลุเป้าหมายร่วมกนั 7.3 สร้างแรงบนั ดาลใจใหผ้ อู้ น่ื ได้ใช้ศกั ยภาพของตนเองอยา่ งสงู สดุ โดยการเปน็ ตัวอยา่ งและไมถ่ ือประโยชนส์ ว่ นตนเป็นทตี่ ง้ั 7.4 แสดงพฤติกรรมในการใชอ้ ิทธพิ ลและอานาจอย่างมคี ุณธรรมจริยธรรม 7.5 ดาเนินการอยา่ งมคี วามรบั ผิดชอบ โดยยึดประโยชน์ของส่วนรวมเปน็ ทตี่ ัง้ จากแนวคดิ ขา้ งต้นสามารถสรปุ ความหมายของทักษะชวี ิตและอาชีพ หมายถงึ ความสามารถของผเู้ รยี นในการปรับเปลยี่ นความคิด ทัศนคติ หรือพฤตกิ รรมใหเ้ หมาะสมกับ สภาพแวดล้อม และทางานได้อย่างหลากหลายตามโอกาสและสถานการณ์ โดยมีความสามารถในการ กาหนดเป้าหมายจัดลาดับความสาคญั วางแผนและดาเนนิ การเพือ่ ใหส้ าเร็จได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ยอมรบั ฟังความคิดเห็นทแ่ี ตกต่าง สามารถจัดการกับคาชมคาวจิ ารณ์ ขอ้ ผิดพลาดหรือขอ้ ขดั แยง้ ได้ อย่างเหมาะสม รวมถงึ เคารพในความแตกต่างระหว่างบคุ คลซ่ึงจะชว่ ยให้ผู้เรยี นสามารถดารงชีวิต และทางานร่วมกับผอู้ ่ืนท่ีมีความแตกต่างกนั อย่างไรไดเ้ ปน็ อย่างดี เอกสารที่เก่ยี วกับการบรหิ ารงานวชิ าการ ความหมาย ความหมาของการบริหารงานวิชาการ นักการศึกษาและผู้ท่ีเกยี่ วขอ้ งทางการศกึ ษา ได้ให้คานยิ ามเกีย่ วกับการบรหิ ารงานวชิ าการหลายทศั นะดังนี้ Miller (1965, อา้ งถงึ ใน รตั นา อรรคนิตย์, 2539) ได้อธบิ ายถงึ การบริหารงาน วิชาการ หมายถงึ งานวชิ าการเปน็ หัวใจของโรงเรยี นและท่ีสาคญั ท่ีสดุ คือการจดั โปรแกรมการสอน แผนการสอนการปฏิบัติตามโปรแกรมการวัดผลเพื่อติดตามการเรียนการสอนทั้งครแู ละผเู้ รียน นอกจากน้จี ะต้องจดั บริหารการสอนเพือ่ ให้การเรียนการสอนดาเนินไปดว้ ยดี วัฒนาพร ระงบั ทกุ ข์ (2545) ไดใ้ หค้ วามหมายวา่ การบริหารงานวชิ าการ หมายถงึ ภารกิจทีส่ าคญั ของสถานศกึ ษาทีจ่ ะช่วยให้การใช้หลกั สตู รสถานศึกษาประสบความสาเร็จตง้ั จุดมงุ่ หมายที่กาหนดไว้ กระทรวงศกึ ษาธิการ (2546ก.) ได้ให้ความหมายของการบริหารงานวชิ าการ เป็น การบรหิ ารที่สถานศกึ ษาดาเนินการไดโ้ ดยอิสระ สอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของชมุ ชน ท้องถ่นิ และ การมีสว่ นร่วมจากผู้ท่ีมีสว่ นได้สว่ นเสียทุกฝ่าย ในการบรหิ ารจัดการสามารถพัฒนาหลกั สตู รและ

37 กระบวนการเรยี นรู้ ตลอดจนการวัดผล ประเมินผล การพัฒนาคณุ ภาพผู้เรยี นได้อยา่ งมีคณุ ภาพและ ประสิทธภิ าพ เกรยี งศกั ด์ิ อจั กลบั (2546) กล่าวไวว้ า่ การบริหารงานวิชาการเปน็ การปฏบิ ัตงิ าน ร่วมกนั ของผู้บริหารกับครูผ้สู อนในโรงเรยี นโดยผ้บู ริหารจะต้องคอยกระตนุ้ และส่งเสรมิ ให้ครูร่วมมือ กนั ทกุ คนในการปฏบิ ตั ิกิจกรรมทุกชนดิ ในโรงเรยี นเกย่ี วกับการปรบั ปรงุ พัฒนาการเรียนการสอน เพือ่ ให้ผู้เรยี นได้รับประโยชน์สงู สุดและมปี ระสิทธิภาพ กมล ภู่ประเสริฐ (2547) ไดใ้ ห้ความหมายว่า การบริหารงานวชิ าการ หมายถงึ การบรหิ ารงานด้านการพฒั นาหลกั สตู รสถานศกึ ษาการจดั การเรยี นการสอนและการประเมินผลการ เรยี นการสอนเพ่อื พฒั นาคุณภาพการศึกษาอนั เป็นเปา้ หมายสงู สุดของภารกิจของสถานศกึ ษา เกรียงไกร ปรธิ รรมมงั (2551) ไดก้ ลา่ วว่าการบรหิ ารงานวิชาการ หมายถึง การดาเนินกจิ การหรอื การดาเนนิ งานทกุ อย่างทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั กิจกรรมที่สามารถทาให้ผู้เรยี นเกิด การเรียนรู้และพฒั นาในด้านต่างๆตามพันธกิจและเป้าหมายของโรงเรยี นทต่ี ง้ั ไวซ้ งึ่ เปน็ หน้าท่ที ี่ทกุ ฝ่าย ต้องเกีย่ วขอ้ งและปฏิบัตติ ามอย่างเคร่งครดั และใหค้ วามถือว่าการบริหารงานวชิ าการนีเ้ ป็นหัวใจ ของการบริหารโรงเรยี น ชมุ ศักดิ์ อินทรร์ ักษ์ (2551) ได้กล่าวว่าการบริหารงานวชิ าการ หมายถึง กระบวนการจดั กจิ กรรมในงานวชิ าการซ่ึงเป็นภารกิจหลกั ให้เกดิ การปรบั ปรุง พฒั นา และเป็น ประโยชนส์ ูงสุดแก่ผู้เรยี น หรอื ผู้รับบรกิ ารกระบวนการดงั กลา่ วนีไ้ ดแ้ กก่ ารวางแผนการจดั ระบบ โครงสรา้ งและการกาหนดบทบาทหน้าท่กี ารจัดดาเนนิ งานทางวิชาการการผลติ สอื่ และอุปกรณ์ ทางการศกึ ษาการวัดผลประเมินผลการจัดบรรยากาศเพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพทางวิชาการ การจัดแหล่งขอ้ มูลสาระสนเทศรวมท้ังการจัดสิ่งอานวยความสะดวกอ่ืนๆและการนิเทศภายใน เพ่อื ใหง้ านวชิ าการมีคณุ ภาพ สนั ติ บุญภริ มย์ (2552) การบริหารงานวชิ าการ หมายถงึ การบรหิ ารจัดการ กิจกรรมทุกชนิดทกุ ประเภทที่เกย่ี วข้องกับการเรยี นการสอนและการบริหารสิง่ แวดลอ้ มต่างๆ ท่ีมี อิทธิพลตอ่ การจัดการในการสอนเพ่อื ให้การเรยี นการสอนดาเนนิ ไปอยา่ งราบร่ืนเปรยี บเสมือนเสน้ เลอื ดใหญ่ไปรอเลย้ี งหัวใจการบริหารจึงเป็นกิจกรรมท่ีสาคญั ที่สดุ ของงานบริการวชิ าการที่สามารถ ทาใหง้ านวิชาการพลวัตอยู่ตลอดเวลาส่งผลต่อประสิทธภิ าพประสทิ ธผิ ลและคุณภาพการศึกษา อยา่ งตอ่ เนื่องตลอดไป ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553) ได้ให้ความหมายว่า การบรหิ ารงานวิชาการ หมายถงึ การบริหารสถานศึกษาโดยมกี ารจัดกจิ กรรมทุกสิ่งทกุ อย่างทเี่ กยี่ วขอ้ งกับการปรับปรุง พัฒนาการเรยี นการสอนให้ได้ผลดแี ละมปี ระสทิ ธิภาพให้เกิดประโยชนส์ งู สุดกับผเู้ รียน

38 กล่าวโดยสรุปไดว้ ่า การบรหิ ารงานวชิ าการ หมายถงึ การดาเนนิ งานกิจกรรมใน โรงเรียนท่ีเกีย่ วขอ้ งกับการปรับปรงุ พฒั นาการเรียนการสอน ซง่ึ ครอบคลุมงานด้านต่าง ๆ ไดแ้ ก่ การพฒั นาหลกั สตู ร การพฒั นากระบวนการเรียนการสอน การวัดผลและประเมนิ ผล การนิเทศ ภายในสถานศกึ ษา เพอ่ื ให้การดาเนินงานดา้ นวชิ าการมปี ระสิทธภิ าพและบรรลเุ ปา้ หมายของ สถานศึกษา ความสาคญั ของการบริหารงานวชิ าการ การบริหารงานวชิ าการถอื ว่าเปน็ งานหลักในการบรหิ ารจดั การสถานศกึ ษา โดยมาตรฐานและคณุ ภาพของสถานศึกษามกั ไดร้ ับการพิจารณาจากผลงานดา้ นการบรหิ ารงาน วิชาการเป็นลาดับต้น ดงั ทม่ี หี นว่ ยงานและนกั วิชาการศกึ ษาได้กลา่ วถงึ ความสาคัญของการ บริหารงานวิชาการ ดังน้ี เจริญ ภักดีวานิช (2544) กล่าววา่ งานวชิ าการเป็นหวั ใจสาคัญในการปฏริ ูป การศกึ ษาซ่งึ จะตอ้ งขบั เคลื่อนสู่สถานศึกษาอย่างทันที มีแนวทางในการนิเทศติดตาม ส่งเสริม สนับสนนุ ประสิทธิภาพในการทางาน ทัง้ ในด้านคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาระบบประกัน คณุ ภาพการ ปฏิรปู หลกั สูตร ปฏริ ปู การเรียนรู้ แหลง่ เรียนรทู้ ดี่ ี วทิ ยากรทอ้ งถน่ิ การสง่ เสรมิ การอ่าน การวิเคราะห์ และการสารวจช่วยเหลอื สถานศึกษาทีม่ ีปญั หาดา้ นขอ้ มูลสื่อสารและวัสดอุ ุปกรณต์ ่าง ๆ เพือ่ สรา้ งความเข้มแขง็ ของสถานศึกษาอย่าง กระทรวงศึกษาธิการ (2546ก.) ใหค้ วามสาคญั ของงานวิชาการว่า งานวิชาการเป็น งานหลกั หรอื เปน็ ภารกิจหลกั ของสถานศึกษาตามทีพ่ ระราชบัญญัติการศกึ ษาแหง่ ชาติ พทุ ธศักราช 2542 และแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2) พุทธศักราช 2545 มุ่งให้กระจายอานาจในการบริหารจัดการไป ให้สถานศกึ ษาใหม้ ากท่สี ุด เพือ่ ให้การบรหิ ารด้านวิชาการได้โดยอสิ ระ คลอ่ งตวั และสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของผู้เรียน สถานศกึ ษา ชมุ ชน และท้องถนิ่ ได้มาตรฐานและมีคุณภาพกบั ระบบประกนั คณุ ภาพการศึกษาเพื่อพฒั นาตนเองและการประเมนิ จากหน่วยงานภายนอก สันติ บุญภิรมย์ (2552) ไดก้ ล่าวว่า งานดา้ นวิชาการเปน็ งานหลักของสภานศึกษา สว่ นอื่น ๆ เปน็ งานท่สี นับสนุนงานวิชาการใหม้ ีคุณภาพ ดงั นัน้ งานวชิ าการ จงึ มิใช่เพยี งแตใ่ ห้ผู้เรยี น อ่านออกเขียนได้ ทาเลขเกง่ ขึ้น แต่หมายถงึ การดารงชวี ติ ในสงั คมรว่ มกับผู้อื่นอย่างมคี วามสขุ ปรยี าพร วงศอ์ นุตรโรจน์ (2553) ไดก้ ล่าววา่ การบรหิ ารงานวชิ าการถอื วา่ เป็นงาน หลักหรือเปน็ ภารกิจหลักของสถานศึกษา ไม่ว่าสถานศกึ ษาจะเปน็ การศกึ ษาประเภทใด มาตรฐาน และคณุ ภาพของสถานศกึ ษาจะพิจารณาได้จากผลงานด้านวิชาการ เน่ืองจากงานวชิ าการเก่ยี วข้อง โดยตรงกบั หลกั สตู ร การจัดโปรแกรมการศึกษาและการจัดการเรยี นการสอน ซึ่งเป็นหวั ใจหลักของ

39 สถานศึกษาและเกย่ี วข้องกบั ผ้บู ริหารสถานศกึ ษา บุคลากรทุกระดับของสถานศกึ ษา ซึง่ อาจจะ เกี่ยวข้องโดยตรงหรือทางอ้อมก็อย่ทู ลี่ กั ษณะของงานนั้น สามารถสรปุ ได้ว่า ความสาคัญของการบรหิ ารงานวิชาการเป็นงานทสี่ าคัญอยา่ งย่ิง จัดเปน็ งานหลักในการจัดการศกึ ษาของสถานศกึ ษาท่มี ีความสาคญั ตอ่ การพัฒนาผู้เรียน ทาให้ สถานศกึ ษามีความเขม้ แข็งในการบริหารจดั การสามารถพฒั นาหลกั สตู ร กระบวนการเรียนการสอน การวัดผลประเมินผล การพัฒนาผเู้ รยี นให้มีคณุ ภาพและประสิทธิภาพ หลกั การบริหารงานวิชาการ การบริหารงานวิชาการที่มปี ระสิทธภิ าพ จาเปน็ ต้องมหี ลกั ในการบริหารวชิ าการ ดงั ที่นกั การศกึ ษาเสนอหลักการบริหารงานวชิ าการไว้ ดังนี้ จนั ทรานี สงวนนาม (2545) กล่าววา่ การบริหารงานวชิ าการจะเปลย่ี นแปลงไปตาม สาระสาคัญของหลักสตู รและนโยบายการบริหารของหน่วยงานระดับกรม การดาเนนิ งานกจิ กรรม วชิ าการต้องอาศัยความร่วมมอื จากทกุ ฝ่าย ผบู้ ริหารฝา่ ยเดียวไมส่ ามารถช้ีนาได้ในทุกเร่ือง จึงจาเป็น ท่ีคณะครหู รอื แม้แตค่ ณะกรรมการสถานศกึ ษาข้นั พืน้ ฐานต้องเขา้ มามีสว่ นร่วมในการบรหิ ารงาน วชิ าการ นับตั้งแต่การแสดงความคดิ เห็น การวางแผน การตัดสินใจ การปฏิบัติ การติดตาม ตรวจสอบ และการประเมินผล ทั้งนี้ เพอ่ื ประสิทธิผลการบรหิ ารงานวชิ าการทง้ั ในเชิงคุณภาพ และปริมาณทมี่ ีต่อผู้เรยี นเปน็ สาคัญ ปองสนิ วเิ ศษศิริ (2546) ไดก้ ล่าววา่ การบรหิ ารงานวชิ าการมหี ลักการบรหิ าร ดงั นี้ 1. หลักการแห่งประสทิ ธิภาพ หมายถึง การได้มีผลผลิตเพมิ่ ข้ึน โดยไม่เพมิ่ การลงทนุ น่ันคอื ผู้เรยี นสามารถสาเร็จการศึกษาตามกาหนดของหลกั สตู ร โดยไมล่ าออกกลางคนั เรียนเกนิ เวลา และช้ากวา่ กาหนด 2. หลักแห่งประสทิ ธิผล หมายถงึ ผลผลิตไดต้ ามจุดมุง่ หมายทีว่ างไว้ คอื ผู้เรียน มีคณุ ภาพตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร มีความรู้ ความสามารถ ทักษะ คุณภาพ และการจัดการ ชุมศักดิ์ อนิ ทรร์ ักษ์ (2547) ไดก้ ล่าววา่ หลกั การบริหารงานวชิ าการ เปน็ แนวคดิ เพ่ือปฏิบัติไปส่คู วามสาเร็จในการบริหารงานวิชการ จาเปน็ ตอ้ งมหี ลักการที่สาคัญ ๆ ดงั น้ี 1. หลักการพฒั นาคุณภาพ (Quality management) เป็นการบริหารงานเพอื่ นาไปสคู่ วามเปน็ เลิศทางวชิ าการ องค์ประกอบของคณุ ภาพทเี่ ปน็ ตัวชว้ี ดั คอื ผลผลิตและกระบวนการ เปน็ ปจั จยั สาคญั ท่ีทาให้บุคลากรและผรู้ บั บรกิ ารได้รบั ความพึงพอใจ พัฒนาศกั ยภาพ เปน็ ท่ยี อมรบั ของสงั คมในระดับสากลมากขึน้ โดยอาศัยกระบวนการประกนั คุณภาพการศึกษา ไดแ้ ก่ การควบคุม คุณภาพ การตรวสอบคุณภาพ และการประกนั คุณภาพ

40 2. หลักการมีส่วนร่วม (Participation) การปรบั ปรงุ คณุ ภาพของกระบวนการ บริหาร ได้พฒั นามาอยา่ งตอ่ เน่อื ง สม่าเสมอตลอดเวลา โดยทกุ คนในหน่วยงานมสี ว่ นรว่ มเสนอแนะ ปรับปรงุ และพัฒนา หลักการมสี ่วนร่วมตอ้ งการให้ทุกคนได้ร่วมกนั ทางาน ซ่งึ ลกั ษณะของงานวชิ าการ ต้องอาศัยความรว่ มมือจากหลายฝ่าย อาจดาเนินงานในรูปของคณะกรรมการบริหารงานวิชาการ ซ่ึงจะมเี ปา้ หมายการทางานรว่ มกนั นาไปสูก่ ารพฒั นาคุณภาพไดม้ ากข้นึ การมสี ่วนรว่ มตอ้ งเรม่ิ จาก การร่วมคิด รว่ มทา และรว่ มประเมิน 3. หลกั การ 3 องคป์ ระกอบ ได้แก่ ประสิทธภิ าพ ประสิทธผิ ล และประหยัด 3.1 หลักประสทิ ธิภาพ (Efficiency) หมายถึง การปฏบิ ัติตามแผนทก่ี าหนดไว้ ใหเ้ ป็นไปตามข้นั ตอนและกระบวนการ มปี ญั หาและอุปสรรคอยา่ งไรในขณะการดาเนนิ งาน กส็ ามารถปรบั ปรุงแกไ้ ขได้ มปี ระสทิ ธิภาพ เน้นไปท่ีกระบวนการ (Process) ใช้กลยุทธ์และเทคนคิ วิธี ต่าง ๆ ที่ทาให้บรรลุวัตถปุ ระสงคไ์ ด้มากที่สดุ 3.2 หลักประสทิ ธิผล (Effectiveness) หมายถงึ การไดผ้ ลผลติ (Outputs) ตามวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้ ตรงตามจุดมุง่ หมายของหลักสูตร มีความรคู้ วามสามารถ มีทักษะ เพ่ิมข้ึน รวมท้งั การคานงึ ถงึ ผลประโยชนท์ ่ไี ดร้ ับ อย่างไรกต็ ามมักใชค้ าสองคาน้ีควบคู่กนั คือ มีประสทิ ธิภาพและมปี ระสทิ ธิผล 3.3 หลกั ประหยัด (Economy) หมายถงึ การใช้เวลานอ้ ย การลงทนุ นอ้ ย การ ใชก้ าลังหรอื แรงงานนอ้ ย โดยไม่ต้องเพิ่มทรพั ยากรทางการบริหาร แต่ได้ผลผลิตตามท่ีคาดหวงั ดงั นั้น การลงทนุ ในทางวชิ าการ จึงตอ้ งคานึงถึงความประหยัดด้วยเช่นเดียวกนั ผบู้ ริหารจะใชก้ ลวธิ อี ย่างไร ในการบรหิ าร เพื่อพฒั นาคุณภาพโดยอาศยั ความประหยัด บุคลากร งบประมาณ วัสดุ เทคโนโลยีและ การใช้เวลานอ้ ยอกี ด้วย 4. หลกั ธรรมาภบิ าล (Good governance) หมายถึง การกากับที่ดี การดูแลอย่างดี ประกอบดว้ ย 4 ประการ ดังน้ี 4.1 เปา้ หมาย ต้องสอดคลอ้ งต่อความต้องการหรอื ความจาเปน็ ของสงั คมหรือ ชมุ ชน สถานศกึ ษาต้องทาในสงิ่ ท่สี อดคลอ้ งกับประโยชนข์ องผเู้ รยี น ประโยชนข์ องสังคม และชุมชน 4.2 ความโปร่งใส (Transparency) การบริหารต้องโปรง่ ใส ตรวจสอบได้ อธบิ ายได้ ด้วยเหตุผลและมีความยตุ ธิ รรมแกท่ กุ ฝ่าย 4.3 ผรู้ ับผิดชอบ (Accountability) มผี ู้ท่ยี อมรบั ในผลของการกระทา และ พรอ้ มที่จะแก้ไขปัญหาให้จงได้ 4.4 กระบวนการบริหารตอ้ งมีประสทิ ธภิ าพ (Efficiency) และได้ประสทิ ธผิ ล (Effectiveness) หมายถึง มีการวางแผน มกี ารปฏบิ ัตติ ามแผน มกี ารติดต่อและประเมิน และมีการ ปรับปรงุ พฒั นา ผลที่ได้รบั คมุ้ ค่ากบั การลงทุน และทกุ ฝ่ายท่ีเกย่ี วขอ้ งมีความพงึ พอใจ

41 5. หลกั การเป็นวิชาการ (Academic) หมายถึง ลักษณะทค่ี รอบคลมุ เนอื้ หาสาระ ของวชิ าการ ไดแ้ ก่ หลักการพฒั นาหลกั สตู ร หลกั การเรยี นรู้ หลกั การสอน หลกั การวัดผลประเมนิ ผล หลกั การนเิ ทศการศึกษา และหลกั การวจิ ัย เปน็ ต้น หลักการตา่ ง ๆ เหลา่ น้ีเป็นองคป์ ระกอบสาคัญ กอ่ ให้เกิดลักษณะความเป็นวชิ าการทตี่ ้องอาศัยองค์ความรู้ เพอ่ื ทาให้เกิดการเปลย่ี นแปลง จากแนวคิดดังกล่าวอาจสรุปไดว้ า่ หลักการบรหิ ารงานวชิ าการต้องคานงึ ถงึ การพฒั นาสคู่ วามเปน็ เลิศ ทาใหด้ ีที่สุด นาไปสคู่ ุณภาพท่ีคาดหวงั และคานึงถงึ วตั ถปุ ระสงค์และเปา้ หมายของการศกึ ษาเป็นหลัก โดยให้บุคลากรทุกฝ่ายได้รบั ผิดชอบร่วมกัน ทาให้ผลผลติ มีคณุ ภาพ คานึงถงึ ประสิทธิภาพ ประสทิ ธิผลและความประหยัด การดาเนินงานวชิ าโดยอาศัยหลักการดังกลา่ ว ยอ่ มจะสามารถบรรลุ ความสาเรจ็ คือ ความเปน็ เลศิ ทางวชิ าการ (Academic excellence) ได้ดงั นี้ 5.1 การวางแผนงานวชิ าการท่ีสอดคล้องกับวตั ถุประสงค์หรอื นโยบายจะทาให้ งานวิชาการมีระบบ 5.2 การจัดโครงสร้างบริหารงานวิชาการ การกาหนดบทบาทหน้าทีข่ อง บุคลากร จะทาให้เกดิ ความชดั เจนในการปฏบิ ัติ 5.3 การกระจายอานาจและความรับผิดชอบให้ผู้ปฏิบัติ จะทาใหง้ านดาเนินไป อย่างมปี ระสิทธิภาพมากขึ้น 5.4 การมเี อกภาพในจดุ มุ่งหมาย จะทาใหก้ ารดาเนนิ การสอดคลอ้ งสัมพันธแ์ ละ เปน็ ไปในทิศทางเดยี วกนั 5.5 การมวี ินัยของบุคลากรทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั งานวชิ าการ จะสามารถทาใหง้ าน ดาเนนิ ไปไดด้ ว้ ยดี 5.6 บคุ ลากรทกุ คนต้องการขวญั และกาลังใจในการปฏบิ ัติงาน 5.7 การประสานงานความสามคั คีความมมี นุษยสัมพันธ์และความร่วมมอื ยอ่ มนามาซง่ึ ความสาเรจ็ ของหนว่ ยงาน 5.8 ความคิดรเิ รมิ่ สรา้ งสรรค์และการพฒั นางานเปน็ ส่งิ จาเปน็ สาหรับงาน วชิ าการ 5.9 การติดตามและประเมินผลเป็นสง่ิ ท่ีจาเปน็ ในการพัฒนางานวิชาการ 5.10 การบรหิ ารเปน็ ทง้ั ศาสตรแ์ ละศิลป์ ดงั นน้ั การบริหารงานวิชาการ จาเป็นต้องใช้ศาสตร์ ศิลป์ ทกั ษะ และเทคนคิ ในการบรหิ ารงาน ปรยี าพร วงศอ์ นตุ รโรจน์ (2553) ได้กล่าวว่า การบรหิ ารงานวชิ าการมีหลักการ บรหิ ารได้แก่