คู่มือพัฒนาทักษะการเรียนรู้ เพ่อื เพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นส�ำหรับนกั ศึกษา หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดับการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 รายวิชา ทกั ษะการเรยี นรู้ (ทร 11001) ระดับประถมศึกษา สำ� นกั งานสง่ เสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั จังหวัดกาฬสินธุ์ สำ� นกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั สำ� นักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศกึ ษาธิการ
คำ� นำ� สำ� นกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ ในฐานะผรู้ บั ผดิ ชอบในการจดั การศกึ ษาใหก้ บั กลมุ่ เปา้ หมายประชาชน ทวั่ ไปทอ่ี ยนู่ อกระบบโรงเรยี น โดยใชห้ ลกั สตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ในการจัดการศึกษาให้กบั กลุ่มเปา้ หมายดงั กล่าว และเพอ่ื เปน็ การตอบสนองนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ในการยกระดับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผู้เรียน กศน. หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษา ขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ใหส้ งู ขนึ้ สำ� นกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ จงึ ไดจ้ ดั ทำ� คมู่ อื พฒั นาทกั ษะการเรยี น รู้ เพ่ือเพิ่มผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนส�ำหรับนักศึกษา หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ซง่ึ จะทำ� ใหผ้ เู้ รยี นเขา้ ถงึ สอื่ ไดส้ ะดวก รวดเรว็ อนั จะสง่ ผลใหผ้ เู้ รยี นมผี ลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น ดขี ้ึน คู่มือพัฒนาทักษะการเรียนรู้ เพ่ือเพ่ิมผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนส�ำหรับนักศึกษา หลักสูตรการศึกษา นอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 มีเอกสารสรุปเนื้อหาท่ีต้องรู้และแนวข้อสอบจาก การนำ� หนงั สอื เรียนของส�ำนกั งาน กศน. มาสรปุ เนอ้ื หา ประเดน็ สำ� คญั และจดั ท�ำแนวข้อสอบที่สอดคล้องตาม ผงั การออกขอ้ สอบในแตล่ ะรายวชิ าของสำ� นกั งาน กศน. สำ� หรบั คมู่ อื พฒั นาทกั ษะการเรยี นรู้ เพอ่ื เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียนส�ำหรับนักศึกษา หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ส�ำนักงาน กศน.จงั หวัดกาฬสนิ ธ์ุ ได้จดั ทำ� รายวิชาบงั คับ จ�ำนวน 42 รายวชิ า ทัง้ น้ี สำ� นักงาน กศน.จังหวดั กาฬสินธุ์ ไดเ้ ชญิ ผู้เช่ียวชาญด้านเน้ือหา นกั วชิ าการศกึ ษา ครูผสู้ อน และผูเ้ กีย่ วข้อง มาสรปุ คมู่ ือพฒั นาทกั ษะ การเรียนรู้ เพื่อเพ่ิมผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนส�ำหรับนักศึกษา หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษา ข้ันพนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ในรายวชิ าดังกลา่ ว ส�ำนักงาน กศน.จังหวัดกาฬสินธุ์ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้เรียน กศน. หลักสูตร การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ตามสมควร จึงขอขอบคุณผู้เช่ียวชาญ ด้านเนอ้ื หา นักวชิ าการศกึ ษา ครูผสู้ อน และผเู้ กีย่ วขอ้ งมา ณ โอกาสนี้ (นางสาวนพกนก บรุ ุษนันทน)์ ผู้อ�ำนวยการสำ� นักงาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธุ์ มิถุนายน 2560 2 ทักษะการเรียนรู้ ระดับประถมศกึ ษา : ทร 11001 สำ� นกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสินธุ์
สารบัญ หน้า 2 คาํ นํา 3 สารบัญ 5 คาํ แนะนาํ การใชค ่มู อื 6 บทท่ี 1 การเรียนรูดว ยตนเอง 9 เรื่องที่ 1 ความหมาย ความสําคญั และกระบวนการของการเรียนรดู วยตนเอง 11 เรอ่ื งท่ี 2 การกําหนดเปาหมายและการวางแผนการเรียนรดู ว ยตนเอง เรอ่ื งท่ี 3 ทกั ษะพน้ื ฐานทางการศกึ ษาหาความรู ทกั ษะการแกปญ หา 16 และเทคนคิ การเรยี นรดู ว ยตนเอง 18 เรื่องท่ี 4 ปจ จยั ท่ที ําใหการเรยี นรูดว ยตนเองประสบความสําเร็จ กิจกรรมทายบทที่ 1 21 21 บทที่ 2 การใชแ หลงเรียนรู 24 เรื่องท่ี 1 ความหมาย ความสําคัญของแหลง เรยี นรู 26 เรอ่ื งที่ 2 การเขาถึงและการเลือกใชแ หลงเรยี นรู 27 เรื่องที่ 3 บทบาทหนาทแ่ี ละการบริการของแหลง เรยี นรู 28 เรอ่ื งที่ 4 กฎ กตกิ า เงื่อนไขตาง ๆ ในการขอใชบรกิ ารแหลงเรียนรู 31 เรื่องท่ี 5 ทกั ษะการใชข อ มูลสารสนเทศจากหองสมุดประชาชน กิจกรรมทายบทท่ี 2 33 33 บทที่ 3 การจัดการความรู 34 เรอื่ งที่ 1 ความหมาย ความสําคญั และหลักการของการจัดการความรู 35 เรือ่ งที่ 2 กระบวนการจัดการความรู 37 เร่ืองที่ 3 กระบวนการจดั การความรดู วยตนเอง 39 เรื่องที่ 4 กระบวนการจัดการความรูดวยการปฏบิ ัติการกลุม 40 เรื่องที่ 5 การสรางองคความรู พัฒนา ตอ ยอดและเผยแพรองคค วามรู กจิ กรรมทายบทที่ 3 ทกั ษะการเรยี นรู้ ระดบั ประถมศึกษา : ทร 11001 3 สำ� นกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ
สารบัญ (ตอ่ ) หน้า 42 บทท่ี 4 การคดิ เปน 42 เรือ่ งที่ 1 ความเชื่อพืน้ ฐานทางการศกึ ษาผใู หญ/ การศกึ ษานอกระบบ 45 เรอ่ื งท่ี 2 ปรชั ญาการคิดเปน 47 เรอ่ื งท่ี 3 กระบวนการและขัน้ ตอนการแกปญ หาอยางคนคิดเปน 49 เรอ่ื งที่ 4 ฝกทกั ษะการคิดเปน 50 กจิ กรรมทายบทท่ี 4 52 บทท่ี 5 การวจิ ยั อยางงาย 52 เรอ่ื งที่ 1 ความหมายและประโยชนของการวิจยั อยางงาย 54 เร่ืองท่ี 2 กระบวนการและขนั้ ตอนของการวจิ ัยอยางงาย 56 เร่ืองที่ 3 การเขยี นโครงการวิจยั 57 กจิ กรรมทายบทท่ี 5 61 บทที่ 6 ทกั ษะการเรยี นรูและศกั ยภาพหลักของพน้ื ที่ในการพัฒนาอาชพี 61 เรอ่ื งท่ี 1 ความหมาย ความสําคญั ของศกั ยภาพหลักของพนื้ ทใ่ี นการพฒั นาอาชีพ 62 เร่ืองท่ี 2 การวเิ คราะหศ ักยภาพหลักของพ้นื ทใี่ นการพฒั นาอาชีพ 67 เรื่องท่ี 3 ตวั อยางอาชพี ทส่ี อดคลองกับศกั ยภาพของพ้ืนท่ี 74 กจิ กรรมทายบทที่ 6 75 แนวข้อสอบชุดท่ี 1 88 แนวขอ้ สอบชุดที่ 2 98 แนวขอ้ สอบชดุ ท่ี 3 111 แนวขอ้ สอบชุดท่ี 4 125 บรรณานกุ รม 126 คณะผูจัดทาํ เอกสารสรุปเน้อื หาทต่ี ้องรู้ ส�ำนักงาน กศน. 127 คณะผูจ ัดทํา แนวขอ้ สอบ สำ� นักงาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธุ์ 4 ทกั ษะการเรียนรู้ ระดบั ประถมศึกษา : ทร 11001 สำ� นกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ
ค�ำแนะนำ� การใช้คู่มือ คมู่ อื พฒั นาทกั ษะการเรยี นรู้ เพอื่ เพมิ่ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นสำ� หรบั นกั ศกึ ษา หลกั สตู รการศกึ ษา นอกระบบระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 เปน็ คมู่ อื ทจ่ี ดั ทำ� ขน้ึ สำ� หรบั ผเู้ รยี นทเ่ี ปน็ นกั ศกึ ษา การศึกษานอกระบบ ในการศกึ ษาคมู่ อื พฒั นาทกั ษะการเรยี นรู้ เพอื่ เพม่ิ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นสำ� หรบั นกั ศกึ ษาหลกั สตู ร การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 รายวิชา ทักษะการเรียนรู้ รหสั วิชา ทร 11001 ระดบั ประถมศึกษา ผเู้ รยี นควรปฏบิ ตั ดิ ังนี้ 1. ศกึ ษาโครงสรา้ งรายวชิ าใหเ้ ขา้ ใจในหวั ขอ้ สาระสำ� คญั ผลการเรยี นรทู้ คี่ าดหวงั และขอบขา่ ย เน้อื หา 2. ศึกษารายละเอียดเน้ือหาของแต่ละบทอย่างละเอียดจากหนังสือแบบเรียน สรุปเน้ือหาท่ี ต้องรู้ และท�ำแบบทดสอบแล้วตรวจสอบกับแนวค�ำตอบ ถ้าผู้เรียนตอบผิดควรกลับไปศึกษาและ ทำ� ความเข้าใจในเน้ือหานัน้ อีกครัง้ เพอื่ สรา้ งความเขา้ ใจก่อนที่จะศกึ ษาเรอื่ งต่อไป 3. ค่มู ือเล่มนม้ี เี น้ือหาประกอบด้วย 2 ส่วน คอื 1. สว่ นท่เี ปน็ สรปุ เนือ้ หาที่ต้องรู้ 1. การเรียนรดู้ ้วยตวั เอง 2. การใช้แหล่งเรียนรู้ 3. การจัดการความรู้ 4. การคิดเปน็ 5. การวจิ ัยอย่างง่าย 6. ทักษะการเรยี นรแู้ ละศักยภาพหลักของพน้ื ท่ีในการพฒั นาอาชีพ 2. แนวขอ้ สอบ ดังมรี ายละเอยี ดดังนี้ แนวข้อสอบ ชดุ ที่ 1 แนวขอ้ สอบ ชดุ ท่ี 2 แนวข้อสอบ ชดุ ที่ 3 แนวข้อสอบ ชุดท่ี 4 ทกั ษะการเรียนรู้ ระดบั ประถมศึกษา : ทร 11001 5 ส�ำนกั งาน กศน.จงั หวัดกาฬสินธ์ุ
1 บทที่ 1 การเรียนรูด วยตนเอง การเรียนรูเร่ืองราวตาง ๆ ไมใชเร่ืองที่ติดตัวมาแตเกิด แตการเรียนรูเรื่องราว หรือ ทกั ษะในเร่อื งนั้น ๆ มาจากการเรยี นรู หรอื การฝก ฝนทักษะและประสบการณทั้งส้ิน การเรียนรู จึงเปนกระบวนการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมจากเดิมไปสูพฤติกรรมใหม ซึ่งคนทุกคนสามารถ เรียนรู และพัฒนาตนเองได เรอื่ งที่ 1 ความหมาย ความสาํ คัญ และกระบวนการของการเรียนรูดวยตนเอง ความหมายของการเรียนรูด วยตนเอง การเรียนรูดวยตนเอง หมายถึง กระบวนการเรียนรู ที่ผูเรียนมีความคิดริเริ่มดวย ตนเอง เรียนรูในส่ิงท่ีตรงกับความตองการ ความสนใจ และความถนัดของตนเอง โดยมี เปาหมายการเรียนรู การแสวงหาและเขาถึงแหลงขอมูลในการเรียนรู มีวิธีการเรียนรู ทีเ่ หมาะสมและมกี ารประเมินผลการเรียนรขู องตนเอง ความสําคญั ของการเรียนรดู วยตนเอง สังคมปจจุบัน เปนสังคมท่ีตองมีความรู มีการเปล่ียนแปลงความรูอยางรวดเร็ว มีความรูใหมเกิดขึ้นทุกวัน การนําความรูไปปฏิบัติ ทําใหเกิดส่ิงใหม ๆ เปนนวัตกรรม สราง อาชีพทีห่ ลากหลาย การเรียนรดู ว ยตนเองจึงมคี วามสาํ คญั ทาํ ใหเ กิดสังคมแหง การเรียนรู ความสาํ คญั ของการเรยี นรูดวยตนเอง แบงเปน 2 สวน คือ 1. ความสาํ คัญตอตวั ผูเรยี น 1) ทาํ ใหคนมีการพัฒนาทางปญ ญา จากคนท่ีไมมคี วามรู มาเปนผรู ู และทาํ เปน 2) ทาํ ใหค นสามารถปรบั และประยุกตใชความรูไปสสู ถานการณใ หม ทําใหประสบ ความสาํ เร็จในการปฏิบัติงาน 3) ทําใหคนสามารถดาํ รงชวี ิตอยใู นสงั คมทมี่ ีการเปลี่ยนแปลงอยตู ลอดเวลา อยา งมีศกั ยภาพเปนผูแ กปญหาเปน และมคี วามสุข 6 ทักษะการเรียนรู้ ระดับประถมศึกษา : ทร 11001 ส�ำนักงาน กศน.จงั หวัดกาฬสนิ ธุ์
2 2. ความสําคญั ตอ สังคม สังคมปจจุบัน เปนสังคมที่มีการเปล่ียนแปลง มีความรูใหม ๆ ขอมูลขาวสาร มากมายเกดิ ขึน้ ตลอดเวลา ซ่ึงสง ผลตอการดาํ เนนิ ชีวิตของคนในสังคม สามารถแสวงหาความรู และนําความรูท่ไี ดไปปรบั ใชใ หเ กดิ ประโยชนและอยูรอดในสังคมได ถาคนเราสามารถเรียนรูได ดว ยตนเอง ก็จะเกิดสังคมแหงการเรียนรูตลอดชีวิต เปนสังคมท่ีมีการพัฒนาใหเจริญกาวหนา ตอไป ลักษณะและองคป ระกอบการเรียนรูดวยตนเอง การเรียนรูดวยตนเอง จะชวยใหผูเรียนประสบผลสําเร็จ ผูเรียนจะตองมีการ แลกเปลี่ยนประสบการณ สรา งความรรู วมกนั นําเสนอความรู และนําไปประยุกตใช หรือลงมือ ปฏบิ ตั ิ ลักษณะชองการเรยี นรดู วยตนเอง การเรยี นรูดวยตนเอง จําแนกออกเปน 2 ลักษณะสาํ คญั ดงั น้ี 1. ลักษณะที่เปนลักษณะสวนบุคคลของผูเรียน ในการเรียนรูดวยตนเอง จัดเปน องคประกอบภายใน ที่จะทําใหผูเรียนมีแรงจูงใจอยากเรียนตอ โดยผูเรียนที่มีคุณลักษณะใน การเรียนรดู วยตนเอง จะมคี วามรับผิดชอบตอความคดิ และการกระทาํ เกี่ยวกับการเรยี น และมี การจดั สภาพการเรียนรทู ี่สง เสริมกัน 2. ลักษณะที่เปนการจัดการเรียนรูใหผูเรียนไดเรียนดวยตนเอง ประกอบดวย ข้ันตอนการวางแผนการเรียน การปฏิบัติตามแผน และการประเมินผลการเรียนจัดเปน องคประกอบภายนอกที่สงผลตอการเรียนดวยตนเองของผูเรียน ซ่ึงการจัดการเรียนรูแบบน้ี จะไดป ระโยชนจากการเรยี นมากทีส่ ดุ องคป ระกอบของการเรียนรูด ว ยตนเอง องคประกอบการเรียนรูดว ยตนเอง มดี งั นี้ 1. การวิเคราะหความตองการของตนเอง เร่ิมจากใหผูเรียนแตละคนบอกความ ตองการและความสนใจในการเรียนกับเพื่อนอีกคน ซ่ึงทําหนาที่เปนท่ีปรึกษา แนะนํา และ เพื่อนอกี คนทําหนา ทีจ่ ดบันทึก และใหก ระทําเชน นีห้ มนุ เวียนทั้ง 3 คน แสดงบทบาทครบท้ัง 3 ดาน คือ ผูเสนอความตองการ ผูใหคําปรึกษา และผูคอยจดบันทึกการสังเกตการณ เพอ่ื ประโยชนในการเรยี นรวมกนั และชวยเหลือซึ่งกันและกัน ทกั ษะการเรยี นรู้ ระดับประถมศกึ ษา : ทร 11001 7 ส�ำนกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ
3 2. การกําหนดจุดมุงหมาย โดยเริ่มจากบทบาทของผูเรียนเปนสําคัญ ผูเรียนควร ศึกษาจุดมุงหมายของวิชา แลวเขียนจุดมุงหมายในการเรียนของตนใหชัดเจน เนนพฤติกรรม ท่คี าดหวงั วดั ได มีความแตกตา งของจดุ มงุ หมายในแตละระดบั 3. การวางแผนการเรียน ใหผูเรียนกําหนดแนวทางการเรียน ตามวัตถุประสงค ทร่ี ะบุไวจัดเนอ้ื หาใหเหมาะสมกับสภาพความตอ งการ และความสนใจของตนมากที่สุด 4. การแสวงหาแหลงวิทยาการ ทัง้ ท่ีเปน วสั ดแุ ละบุคคล - แหลงวิทยาการที่เปนประโยชนในการศึกษาคนควา เชน หองสมุด พพิ ธิ ภัณฑ ฯลฯ - ทักษะตาง ๆ ที่มีสวนในการแสวงหาแหลงวิทยาการไดอยางสะดวก รวดเร็ว เชน ทักษะการตัง้ คาํ ถาม ทักษะการอาน ฯลฯ 5. การประเมินผล ควรประเมินผลการเรียนรูดวยตนเอง ตามท่ีกําหนด จุดมุงหมายของการเรียนไว และใหสอดคลองกับวัตถุประสงคเกี่ยวกับความรู ความเขาใจ ทักษะ ทัศนคติ คา นยิ ม 8 ทกั ษะการเรียนรู้ ระดับประถมศกึ ษา : ทร 11001 สำ� นกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธุ์
4 เรือ่ งท่ี 2 การกาํ หนดเปา หมายและการวางแผนการเรียนรดู วยตนเอง การกาํ หนดเปา หมายหรือจดุ มุงหมายการเรยี นรู เปา หมายของชีวิต คือ การคิดถึงภาพของตัวในอนาคตในหลาย ๆ ดาน ไปพรอม ๆ กัน ท้งั เปาหมายทจี่ บั ตอ งไดแ ละจบั ตองไมได การวางเปาหมายชวี ติ ทําใหม ที ิศทางในการคิดอยางมี จดุ มุงหมาย ไมเสียเวลา มีแผนที่จะเดนิ ทางไปสคู วามสําเร็จทตี่ องการในอนาคต ความหมายของการกาํ หนดเปาหมายการเรยี นรู การกําหนดเปาหมายการเรียนรู คือ การกําหนดจุดหมายปลายทางของผูเรียนวา ตองบรรลุถึงจุดหมายอะไรบาง ภายหลังการเรียนรูดวยตนเอง ซ่ึงสามารถกําหนดได ท้ังดาน ทักษะทางปญญา เชน ความรู ความจํา ความเขาใจ การนําไปใช เปนตน ทางพฤติกรรม อารมณและความรูสึก เชน เจตคติ คานิยม คุณธรรม จริยธรรม เปนตน และดานทักษะ ความสามารถ เชน การปฏบิ ัติ การแสดงออก เปนตน ประโยชนข องการกําหนดเปา หมายการเรียนรู เม่ือผูเ รียนมีจุดมุงหมายปลายทางการเรยี นรูของตนเอง จะสามารถวางแผนการเรียนรู และกําหนดแผนการเรียนรู ใหสอดคลองกับเปาหมายท่ีตองการ ผูเรียนสามารถเลือกวิธีการ เรียนรู ชอ งทางหรือแหลง เรยี นรูแ ละส่ือท่ีเหมาะสม ทําใหสามารถดําเนินกิจกรรมการเรียนรูได อยา งมปี ระสทิ ธิภาพ หลกั การในการกําหนดเปา หมายการเรียนรู มดี ังน้ี 1. ระบุส่ิงท่ีเราตอ งการใหเ กิด ตอ งการใหเปน ใหชัดเจน 2. ตองสามารถระบุ และวัดผลลพั ธไดอยางชัดเจน 3. ตองมคี วามมงุ มัน่ และลงมือปฏบิ ัติจริง 4. ตอ งสมเหตสุ มผล และเปนสงิ่ ทม่ี โี อกาสเปน ไปได 5. มรี ะยะเวลาเปน กรอบกําหนดสิ่งทต่ี องทําใหส ําเรจ็ ทกั ษะการเรยี นรู้ ระดับประถมศกึ ษา : ทร 11001 9 ส�ำนกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสินธุ์
5 การวางแผนการเรียนรูด วยตนเอง การเรยี นรูด วยตนเอง เปนคุณลักษณะท่ีสําคัญ ชวยใหผูเรียนมีความตั้งใจ มีแรงจูงใจ สูง มีความคดิ รเิ ร่มิ สรา งสรรค สามารถทํางานรว มกับผูอ่ืนได นําประโยชนของการเรียนรูไปใช ใหเ กดิ ประโยชนตอ การดาํ เนนิ ชีวติ ความหมายของการวางแผนการเรียนรู การวางแผนการเรียนรู คอื การกาํ หนดแนวทางการเรียนรูของตนเองขึ้นมา เพ่ือให บรรลุจุดมุงหมายท่ีกําหนดไว โดยตองกําหนดเวลาเรียนรูของตนเอง วากิจกรรมมีอะไรบาง และจะส้นิ สดุ เมือ่ ใด และมกี ารวางแผนการเรียนรู ดังนี้ 1. เนอื้ หาการเรยี นรมู อี ะไรบา ง 2. ผลการเรียนรทู ่ีคาดหวัง ท่ีเกิดจากการเรียนรู 3. กจิ กรรมการเรยี นร/ู เรียนรูดว ยวธิ กี ารใด 4. สอ่ื และแหลงเรยี นรูอ ยูทไ่ี หนบา ง 5. การวดั ประเมนิ ผล/มวี ธิ ีวดั ประเมินผลการเรยี นรู อยางไร ประโยชนของการวางแผนการเรียนรดู ว ยตนเอง 1. ชว ยใหผูเรียนสามารถระบเุ ปาหมาย หรือผลงานการเรยี นรไู ดอ ยางชดั เจน 2. ชว ยในการกาํ หนดและระบุกิจกรรม หรืองานท่ีผูเ รียนทาํ ไดอยา งชดั เจน 3. ชว ยใหก ารเรียนรูเปนไปอยางมีประสิทธภิ าพ ตามกรอบทกี่ าํ หนดไว หลกั การวางแผนการเรยี นรูด วยตนเอง 1. การวางแผนการเรยี นรูของผเู รียน ควรเริ่มตนจากการกาํ หนดจุดมุง หมายใน การเรียนรูด วยตนเอง 2. ผูเรียนเปนผกู าํ หนดการวางแผนการเรียนของตนเอง 3. ผเู รียนเปน ผูจดั การเนือ้ หาใหเ หมาะสมกบั ความตอ งการ และความสนใจของ ตนเอง 4. ผเู รียนเปน ผูระบวุ ธิ กี ารเรียนรู เพื่อใหเ หมาะสมกับตนเองมากท่ีสดุ 5. ผูเ รียนกําหนดและแสวงหาแหลงเรยี นรูดวยตนเอง 10 ทกั ษะการเรียนรู้ ระดับประถมศกึ ษา : ทร 11001 ส�ำนักงาน กศน.จงั หวัดกาฬสนิ ธ์ุ
6 กระบวนการวางแผนการเรยี นรดู ว ยตนเอง 1. วิเคราะหและกําหนดความตองการหรือความสนใจในการเรียนรูของตนเอง 2. กาํ หนดจุดมงุ หมายในการเรยี นรู หรือสิ่งท่ตี องการใหเกดิ กับตนเองภายหลังการ เรยี นรู 3. วางแผนการเรียนรู โดยผูเรียนกําหนดแนวทางการเรียนของตนเอง เร่ืองเวลา เรียน เน้ือหา กิจกรรมการเรียนรูในแตละชว ง ตัง้ แตเรม่ิ ตนจนส้ินสดุ 4. เลือกรปู แบบกิจกรรมการเรยี นรู แหลงเรียนรู และสื่อการเรยี นรู 5. ในกรณีบางเร่ืองไมส ามารถเรยี นรูไดดวยตนเองท้งั หมด ตองมผี ูชว ยเหลอื ซงึ่ อาจเปน ครู เพือ่ นท่พี บกลุมรวมกัน ฯลฯ ผูเ รยี นจะตอ งกาํ หนดบทบาทของผูชวยเหลือการ เรียนรใู หชดั เจน 6. กําหนดวิธกี ารตรวจสอบตนเอง วธิ กี ารประเมินผลการเรยี นของตนเอง รว มกบั ครู เชน การทดสอบ การสงั เกต การสอบถาม เรอื่ งท่ี 3 ทักษะพื้นฐานทางการศึกษาหาความรู ทกั ษะการแกป ญหา และเทคนคิ การเรียนรดู ว ยตนเอง ทกั ษะพน้ื ฐานทางการศกึ ษาหาความรู การเรียนรูดวยตนเอง จะตองมีทักษะที่สําคัญหลาย ๆ ดาน เพ่ือใหเกิดความรู ความเขาใจมากที่สดุ ทกั ษะทีส่ ําคญั และจาํ เปน ตอการเรียนรู ไดแก ทักษะการอา น การอาน คือ การรับรูความหมาย จากถอยคําที่อานในหนังสือ หรือสิ่งพิมพตาง ๆ การอาน มีหลายประเภท เชน 1. การอานสํารวจ เปนการอานอยางรวดเร็ว เพื่อรูลักษณะโครงสรางของ ขอเขยี น สาํ นวนภาษา เนื้อเรือ่ งโดยสงั เขป 2. การอานขาม เปนการอานอยางรวดเร็ว โดยเลือกอานขอความเฉพาะบาง ตอนทตี่ รงกบั ความตอ งการ เชน การอานคาํ นาํ สาระสังเขป บทสรปุ 3. การอา นผาน เปน การอา นแบบกวาดสายตาอยางรวดเรว็ ไปยังขอ เขียนที่เปน เปา หมาย เชน คําสําคญั ตวั อักษร หรอื สัญลกั ษณ แลว อา นรายละเอยี ดเฉพาะทีต่ องการ ทักษะการเรียนรู้ ระดับประถมศึกษา : ทร 11001 11 สำ� นกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ
7 4. การอานจับประเดน็ เปนการอานทําความเขาใจสาระสําคัญ โดยตองสังเกต คาํ หรอื ประโยคสาํ คญั และยอสรุปบันทกึ ประโยคสาํ คัญไว 5. การอานสรุปความ เปนการอานตีความหมายส่ิงท่ีอาน ใหเขาใจชัดเจน แยกสว นประเดน็ หลัก ประเด็นรอง ท่ีสําคัญหรอื ไมสาํ คญั ได 6. การอา นวเิ คราะหความหมายขอ ความ หลักการอา นทีด่ ี มดี งั น้ี 1. ตง้ั จุดหมายในการอานแตละครั้งใหชัดเจน 2. อา นหน่ึงรอบ แลว สรุปโดยไมเปดหนงั สือ 3. ควรมีการบันทึกสาระสําคัญ ทําสัญลักษณ หรือทําเปน Mind Mapping จะทาํ ใหเขาใจงา ยขน้ึ 4. มีสมาธิ ใชสติอยูกับหนังสือ ไมรับรูจากส่ือตาง ๆ เชน ปดทีวี คอมพิวเตอร อินเทอรเ น็ต เปน ตน ทักษะการฟง การฟง คือ การรับรูความหมายจากเสียงที่ไดยิน เปนการรับรูขอมูล โดยใช ประสาทสัมผัสทางหู การฟงเพ่ือใหเกิดการเรียนรูส่ิงตาง ๆ จําเปนตองใชความคิดพิจารณา ไตรต รอง และเอาใจใสเปนพิเศษ จึงจะชว ยใหการฟง มีประสทิ ธภิ าพ หลกั การฟง ทดี่ ี มดี งั นี้ 1. ฟง อยางมีจดุ มงุ หมาย ผฟู งทดี่ ีควรต้ังจดุ มุง หมายในการฟง 2. มีความพรอ มในการฟง ไดแก 1) ความพรอ มทางกาย คือ มสี ขุ ภาพสมบูรณ แขง็ แรงไมเ จบ็ ปวย 2) ความพรอมทางใจ คือ มีสมาธิ จดจอในการฟง ไมใ จลอย วติ กกังวล 3) ความพรอมทางสติปญ ญา คอื เตรียมตัวใฝห าความรเู ปน พืน้ ฐาน 3. ฟงอยางกระตอื รอื รน คอื สนใจและเลง็ เหน็ ประโยชนจ ากการฟงอยา งแทจริง ไมใ ชจ าํ ใจฟง หรอื ถกู บังคบั ใหฟ ง 4. ฟงอยางไมมีอคติ เพราะความลําเอียง ทําใหแปลเจตนาในการฟงผิด ความหมาย หรอื คลาดเคล่อื นจากท่เี ปนจริงได 12 ทักษะการเรยี นรู้ ระดับประถมศกึ ษา : ทร 11001 สำ� นกั งาน กศน.จงั หวัดกาฬสินธุ์
8 ทกั ษะการสังเกต การสงั เกต คือ การดูสิง่ ทีเ่ กิดขน้ึ เก่ยี วกับพฤติกรรม หรอื ปรากฏการณต า ง ๆ ท่เี กิดข้ึน โดยใชป ระสาทสัมผสั คอื ตาดู หูฟง กายสัมผสั วธิ กี ารสังเกต แบงออกเปน 2 แบบ คือ 1. การสังเกตทางตรง เปนการสังเกตโดยผูถูกสังเกตไดสัมผัสกับบุคคล หรือ เหตกุ ารณน ัน้ โดยตรง 2. การสังเกตทางออม เปนการสังเกต ที่ผูสังเกตไมไดเฝาดูพฤติกรรม หรือ เหตุการณน ้ันดว ยตนเอง แตอาศัยถามจากผูอ นื่ ที่ไดสงั เกตมา หลักการสงั เกตท่ดี ี มดี งั นี้ 1. กําหนดจุดมุงหมายของการสังเกตใหชัดเจน วาตองการสังเกตอะไร สังเกต ใคร สังเกตอยางไร 2. วางแผนข้ันตอนการสังเกตใหเปนระบบ และเตรียมสถานการณไวลวงหนา ใหเรียบรอย เตรียมอุปกรณ เคร่ืองมือ เคร่ืองใชตาง ๆ ที่จําเปนใหพรอม เชน ปากกา ดินสอ กลอ งถายรูป เปน ตน 3. ศึกษาและกาํ หนดชว งเวลา ที่จะสงั เกตใหเหมาะสม 4. สงั เกตทีละเรอ่ื ง ทีละประเดน็ จะไดไมสับสน และไมค วรรีบรอน 5. ควรบนั ทึกขอ มลู จากการสังเกตใหเ ร็วทีส่ ดุ เพราะปลอยไวน านอาจลืมได 6. ตรวจสอบความถกู ตอง ความนา เชือ่ ถือของขอ มลู ทส่ี ังเกตได ทกั ษะการจํา การจํา คือ ความสามารถของสมองในการเก็บขอมูล และเรียกขอมูลออกมาใช ซ่งึ อาจเปนระยะสั้น ๆ หรือยาวนานตลอดชวี ติ ก็ได การจาํ เปน ความสามารถเฉพาะตัวที่ตอ งการการฝกฝน เชน การโยงส่ิงท่ีตอ งจาํ ไป หาส่งิ ที่จํางา ยและตดิ ตากวา การแตงประโยคเดด็ ชวยจํา การจําขอ ความเปนภาพ เปนตน ทักษะการจดบนั ทกึ การบันทกึ คือ การเขยี นขอความที่ไดร ับรไู วเปนลายลกั ษณอกั ษร เพราะถา ใชก าร จาํ อยางเดียวผูเ รียนอาจรับเนื้อหาไดไ มครบถวนสมบูรณ การจดบันทกึ จงึ จาํ เปน มากสาํ หรับการ เรียนรู ทักษะการเรียนรู้ ระดบั ประถมศกึ ษา : ทร 11001 13 สำ� นักงาน กศน.จังหวดั กาฬสินธ์ุ
9 การจดบันทึกท่ีดี ควรจดสั้น ๆ เฉพาะสวนท่ีสําคัญ เปนวลี คําสัญลักษณ หรือ ตัวยอ จดเปนหวั ขอโดยใชห มายเลข หรอื สัญลกั ษณนาํ หนา และจดเฉพาะคําสําคญั ทกั ษะการแกป ญ หา ทักษะการแกปญหา เปนความสามารถในการจัดการกับปญหา ที่เกิดข้ึนในชีวิตได อยางมีระบบไมเกิดความเครียดทางกาย และจิตใจ จนอาจลุกลามเปนปญหาใหญโตเกิน แกปญ หา ขนั้ ตอนการแกปญหา แบงเปน 7 ข้นั ตอน ดังน้ี 1. ทําความเขา ใจสถานการณท่เี ปน ปญหา โดยรวบรวมขอมูลท่เี กีย่ วของ และทาํ ความเขาใจกับเหตกุ ารณ สถานการณนน้ั 2. กําหนดปญหาใหถูกตองและชัดเจน อาจใชวิธีการเลาเร่ือง หรือการเขียน บรรยายสภาพปญหา ดวยถอยคําสน้ั ๆ และระบุเปาหมาย ท่ีตองการใหเกิดภายหลัง จากที่ได แกไ ขปญ หาน้นั แลว 3. วิเคราะหส าเหตุสําคัญ อาจจะใชวิธีการตา ง ๆ ประกอบดวย การตรวจหาสาเหตุ การเลอื กสาเหตทุ ่ีสําคญั ทีน่ ํามาสปู ญ หาน้ัน และการระบุสาเหตแุ ทจ ริงของปญ หา 4. หาวิธีการแกปญหาใหไดมากที่สุด จากน้ันจึงวิเคราะหความเปนไปได และลด จํานวนวิธีการแกไขปญ หาจนคาดวา จะเหลอื วธิ ีท่เี กิดประสิทธผิ ลมากทส่ี ุด 5. เลือกวิธีการแกไขปญหาที่ดีที่สุด โดยการเปรียบเทียบทางเลือกของการแกไข ปญหาท้งั หมด แลวประเมินและเลอื กทางเลือกทดี่ ีท่ีสดุ 6. การวางแผนการปฏบิ ตั ิ เปนการกําหนดไววาจะตองทําอะไรบาง แตละข้ันตอน มกี ระบวนการเพื่อแกป ญหานั้นอยา งไร 7. ติดตามประเมินผล เปนการตรวจสอบความคืบหนาของการแกปญหา อยางสม่ําเสมอเพ่ือท่ีจะไดทราบวา มีปญหาและอุปสรรคใดบางท่ีแกไขไปแลว หรือยังคงอยู และควรปรบั วิธีการแกป ญ หา หรอื ไม อยา งไร 14 ทกั ษะการเรียนรู้ ระดบั ประถมศึกษา : ทร 11001 สำ� นักงาน กศน.จงั หวดั กาฬสินธ์ุ
10 เทคนคิ ในการเรยี นรูด วยตนเอง เทคนิคที่นยิ มใชในการเรียนรูดว ยตนเอง เชน 1. การบันทึกการเรียนรู คือ บันทึกที่ผูเรียนจัดทําขึ้นเพ่ือใชบันทึกขอมูล ความคิด เรอ่ื งราวตา ง ๆ ทไ่ี ดเรียนรู เพ่ือเปนแนวทางในการศึกษาเพิ่มเติมใหกวางไกลออกไป หรือการ นาํ ไปประยุกตใชใ นชวี ิตประจําวัน 2. การทํารายงาน เปนการนําขอมูลความรูท่ีไดไปศึกษาคนความาวิเคราะห สงั เคราะหใหถูกตอง และเรียบเรียงอยางมีแบบแผน ความยาวของรายงานข้ึนอยูกับขอบเขต ของหวั ขอรายงาน 3. ทําสัญญาการเรียนรู เปนการทําขอตกลงที่ผูเรียนไดทําไวกับครู วาเขาตอง ปฏิบัติอยางไรบางในการเรียนรูของตนเอง เพ่ือใหบรรลุเปาหมายการเรียนรูที่กําหนดไว สําหรบั ครู สัญญาการเรียนรู มไี วเ พ่ือตดิ ตาม ตรวจสอบความกา วหนา การเรยี นของผูเรียน 4. สรางหองสมุดของตนเอง เปนการรวบรวมรายชื่อ ขอมูลแหลงความรูตาง ๆ ทค่ี ิดวาจะเปนประโยชนตรงกบั ความสนใจ เพ่อื ใชศึกษาคนควา ตอ ไป 5. หาแหลงความรใู นชุมชน ไวเปนแหลงคนควาหาความรูท่ีตองการ แหลงความรู ในชุมชนมีหลายประเภท อาจเปนผูรู ผูชํานาญในอาชีพตาง ๆ หองสมุดประชาชน หองสมุด โรงเรียน ศนู ยการเรียนชุมชน เปน ตน 6. หาเพือ่ นรวมเรยี น หรือคูหเู รียนรู ซงึ่ ควรเปนผทู มี่ คี วามสนใจ ทีจ่ ะเรียนรูในเรื่อง เดียวกันหรอื คลา ยกนั และตอ งสามารถติดตอแลกเปลีย่ นเรียนรูรวมกัน ประสานงานกันไดดวย วิธกี ารตา ง ๆ ไดอ ยางสะดวก รวดเร็ว 7. เรียนรูจากการฝกฝนและปฏิบัติจริง ซ่ึงจะกอใหเกิดความรูและประสบการณ ทักษะความชํานาญท่ีเปนประโยชน โดยเฉพาะในรายวิชา หรือเรื่องท่ีผูเรียนมีจุดมุงหมายให ตนเองทําได ปฏบิ ัติได ทักษะการเรยี นรู้ ระดับประถมศึกษา : ทร 11001 15 สำ� นักงาน กศน.จังหวดั กาฬสินธุ์
11 เร่ืองที่ 4 ปจ จยั ท่ีทาํ ใหก ารเรยี นรดู วยตนเองประสบความสําเรจ็ ปจ จัยท่เี กีย่ วของกับการเรียนรดู วยตนเอง ทีม่ สี วนทาํ ใหก ารเรียนรูด วยตนเอง ประสบ ความสําเร็จ คอื ปจ จัยภายในตัวผูเรยี น และปจจัยภายนอก ปจจยั ภายในตวั ผเู รยี น ปจ จัยภายในตวั ผเู รียน ไดแก 1. แรงจูงใจในตัวผูเรยี น เปน การเรยี นรตู ามความสนใจ ความพอใจของตนเอง 2. การรับรูความสามารถของตนเอง มีผลตอความมั่นใจในตนเองวาสามารถ เรยี นรไู ด 3. ความพรอมในการเรียนรูดวยตนเอง คนที่มีความพรอมในการเรียนรูจะมี คุณลักษณะ 8 ประการ คอื 1) เปด โอกาส และแสวงหาโอกาสในการเรยี นรู 2) มีทศั นคติท่ดี ีตอ ตนเอง มคี วามเช่อื ม่ันวาตนเองเปน ผูท ีม่ ีศักยภาพ คือ เปนคน มองวา ตนเองแสวงหาได เรยี นรไู ดและแกปญ หาได 3) มีความคดิ ริเริ่ม และเรียนรูไดดว ยตนเอง 4) มีวินัยในตนเอง มีความรับผิดชอบตอตนเอง รับผิดชอบตอการเรียนรูของ ตนเอง 5) รกั การเรยี น สนใจ ใฝร ู ใฝเ รียนตอ ส่ิงที่อยูรอบตวั เสมอ คือ สนใจ ใหความใส ใจกบั เร่ืองใหม ๆ เรื่องทต่ี นยงั ไมร ู หรอื รูนอย เปน ตน 6) มีความคิดเชิงบวก คิดริเร่ิมสรางสรรค คือ คิดวาสิ่งท่ีตนเองทําเปนเร่ืองท่ีดี เปน ส่งิ ทมี่ ปี ระโยชนตอ ตนเองและสังคม 7) สามารถใชท กั ษะการศกึ ษาหาความรู ไดอยา งดี เชน ทกั ษะการอาน ทักษะการ เรยี น ทักษะการจดบนั ทกึ เปน ตน 8) สามารถใชทักษะการแกปญหาไดอยางดี เชน เม่ือเจอปญหาจะไมทอใจ สามารถวิเคราะหปญหา สาเหตุของปญหา แสวงหาวิธีการ และดําเนินการแกปญหาไดอยาง เปน ระบบ 16 ทกั ษะการเรียนรู้ ระดบั ประถมศกึ ษา : ทร 11001 สำ� นักงาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธุ์
12 4. มีเจตคติที่ดีตอการเรียนรูดวยตนเอง คือ เห็นวาการเรียนรูตลอดชีวิตเปนสิ่ง สาํ คัญการเรยี นรูทาํ ใหเ กิดการพัฒนาปญ ญา และนาํ ไปสกู ารพฒั นางาน พฒั นาคุณภาพชีวติ ปจ จยั ภายนอก 1. บรรยากาศแวดลอมตัวผูเรียน จะตองเปนบรรยากาศท่ีเอื้ออํานวยตอการสราง ความคิดรเิ รม่ิ สรา งสรรค และการเรียนรู 1) ตัวบุคคล เชน ครูผูสอน เพ่ือน ครอบครัว ท่ีมีสวนชวยใหแรงจูงใจและการ สนบั สนุนดานตาง ๆ 2) ดานสังคม ส่ิงแวดลอม เชน กลุม องคกรชุมชน นโยบาย หรือโครงการพัฒนา ตาง ๆ 2. การมีแหลงเรียนรูท ่ีหลากหลาย มคี วามพรอมและสะดวกสาํ หรบั การเรยี นรู 3. การมีเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย และมีจํานวนเพียงพอ สามารถเขาถึงและ ใชไดสะดวกและรวดเรว็ อยางไรก็ตาม ความสําเร็จของการเรียนรูดวยตนเองนั้น อยูท่ีตัวผูเรียนที่ตองมีวินัย ความมงุ มน่ั และนสิ ัยใฝเรียน ใฝรู ทักษะการเรยี นรู้ ระดับประถมศกึ ษา : ทร 11001 17 ส�ำนกั งาน กศน.จังหวดั กาฬสินธ์ุ
13 กจิ กรรมทา ยบทท่ี 1 กจิ กรรมท่ี 1 1. ใหผเู รยี นอธบิ ายความหมายของคําวา “การเรยี นรดู วยตนเอง” …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ใหผ ูเรยี นอธิบายความสาํ คัญและความจาํ เปน ของการเรียนรูด ว ยตนเอง …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ใหผ ูเรยี นบอกลกั ษณะการเรยี นรูดว ยตนเอง …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 18 ทกั ษะการเรียนรู้ ระดับประถมศึกษา : ทร 11001 สำ� นกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสินธ์ุ
14 4. ใหผเู รียนอธิบายองคประกอบของการเรียนรูดวยตนเอง อยางนอย 3 ขอ …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… กจิ กรรมท่ี 2 ใหผเู รยี นยกตัวอยางการกําหนดเปาหมาย และการวางแผนการเรียนรดู วยตนเอง มา 1 รายวชิ า …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… กจิ กรรมที่ 3 ใหผ เู รียนเลอื กใชทักษะพ้นื ฐานที่ถนดั และดีท่ีสุดสําหรบั ตนเองในการเรียนรดู วยตนเอง พรอ มยกตัวอยาง …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… ทกั ษะการเรียนรู้ ระดบั ประถมศึกษา : ทร 11001 19 สำ� นักงาน กศน.จังหวดั กาฬสินธุ์
15 กิจกรรมที่ 4 ใหผเู รียนบอกปจ จัยทท่ี ําใหการเรยี นรูดวยตนเองประสบความสาํ เร็จ และยกตัวอยางประกอบ …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 20 ทักษะการเรยี นรู้ ระดับประถมศึกษา : ทร 11001 สำ� นักงาน กศน.จงั หวดั กาฬสินธ์ุ
16 บทที่ 2 การใชแ หลงเรียนรู ปจ จุบนั มีความรูใหมเกิดข้ึนตลอดเวลา มนุษยจึงจําเปนตองเรียนรูสิ่งใหม ๆ ท่ีเกิดขึ้น เพ่อื ใหสามารถปรบั ตัว และดํารงชีวิตไดอยางมีความสุข โดยเฉพาะการเรียนรูจากสิ่งแวดลอม ในชมุ ชน จะเปนแหลงใหความรู และประสบการณทเี่ ออ้ื ตอ การเรียนรู เรื่องท่ี 1 ความหมาย ความสาํ คัญของแหลง เรียนรู ความหมายของแหลง เรยี นรู แหลงเรียนรู หมายถึง สถานท่ี แหลงขาวสารขอมูล สารสนเทศ แหลงความรูทาง วทิ ยาการ ภมู ปิ ญ ญาชาวบาน และประสบการณ ที่สนบั สนุนสง เสริม ใหผูเรยี นเกดิ การเรียนรู ความสาํ คญั ของแหลง เรียนรู แหลง เรยี นรูมคี วามสาํ คัญ ดงั ตอ ไปนี้ 1. เปน แหลง ท่มี สี าระเนื้อหา ที่เปน ขอมูลความรู ใหมนุษยเกิดโลกทัศนท่ีกวางไกล กวาเดิม 2. เปนสื่อการเรียนรูสมัยใหม ท่ีใหท้ังสาระ ความรู กอใหเกิดทักษะ และชวยให เกดิ การเรียนรไู ดเร็วและมากยิ่งขน้ึ 3. เปนแหลงชวยเสริมการเรียนรูของการศึกษาประเภทตาง ๆ ทั้งการศึกษา ในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศยั 4. เปน แหลง การเรยี นรตู ลอดชวี ติ ทบ่ี คุ คลทุกเพศ ทุกวัย ทกุ ระดับความรู สามารถ เรียนรไู ดด ว ยตนเองตลอดเวลา ทักษะการเรยี นรู้ ระดับประถมศึกษา : ทร 11001 21 สำ� นักงาน กศน.จังหวัดกาฬสินธุ์
17 5. เปนแหลงที่มนุษยสามารถเขาไปปฏิสัมพันธ ในการหาความรูจากแหลงกําเนิด หรือแหลงตนตอของความรู เชน โบราณสถาน โบราณวัตถุ พันธุไม พันธุสัตว สภาพชีวิตความ เปนอยูต ามธรรมชาติ ของสัตว เปน ตน 6. เปนแหลงท่ีมนุษยสามารถเขาไปปฏิสัมพันธ ใหเกิดประสบการณตรง หรือลง มือปฏบิ ตั ไิ ดจรงิ เชน การประดิษฐเครื่องใชตาง ๆ การซอมเคร่ืองยนต เปนตน ชวยกระตุนให เกดิ การสนใจ ความใฝร ู 7. เปนแหลงท่ีมนุษยสามารถเขาไปปฏิสัมพันธ ใหเกิดความรูเก่ียวกับวิทยาการ ใหม ๆ ท่ไี ดรับการคิดคนข้ึน และยังไมมีของจริงใหเห็น เชน การดูภาพยนตร วีดิทัศน หรือสื่อ อื่น ๆ ในเรอื่ งเกีย่ วกับการประดิษฐค ิดคนสิง่ ตาง ๆ ข้ึนมาใหม 8. เปน แหลง สงเสรมิ ความสัมพันธอ ันดี ระหวางคนในทองถ่ินกับผูศึกษา ในการทํา กิจกรรมรว มกัน ชว ยสรางความรูส ึกวา เปนสวนหนึ่งของการมสี วนรวม เกิดความตระหนัก และ เหน็ คุณคา ของแหลงเรียนรู 9. เปนสิ่งที่ชวยเปล่ียนทัศนคติ คานิยม ใหเกิดการยอมรับสิ่งใหม แนวความคิดใหม เกดิ จินตนาการ และความคดิ สรา งสรรคก บั ผูเรียน 10. เปนการประหยดั เงนิ ของผูเรยี น หากใชแ หลงเรยี นรูของชุมชนใหเกิดประโยชน สูงสดุ ประเภทของแหลง เรียนรู 1. ประเภทของแหลงเรยี นรู แบงตามลักษณะกายภาพและวัตถุประสงค เปน 5 กลมุ ดงั น้ี 1) กลุมบริการขอมูล ไดแก หองสมุด อุทยานวิทยาศาสตร ศูนยวิทยาศาสตรเพื่อ การศกึ ษา ศูนยก ารเรียน สถานประกอบการ 2) กลุมงานศลิ ปวัฒนธรรม ประวตั ิศาสตร ไดแก พพิ ิธภัณฑ อุทยานประวัติศาสตร อนุสรณสถาน อนสุ าวรยี ศูนยว ฒั นธรรม หอศิลป ศาสนสถาน 3) กลุมขอมูลทองถิ่น ไดแก ภูมิปญญา ปราชญชาวบาน ส่ือพ้ืนบาน แหลง ทอ งเทย่ี ว 4) กลุมสื่อ ไดแก วิทยุ วิทยุชุมชน หอกระจายขาว โทรทัศ น เคเบิลทีวี สอ่ื อเิ ล็กทรอนิกสอ ินเทอรเน็ต หนังสอื อิเล็กทรอนกิ ส (e-book) 22 ทกั ษะการเรยี นรู้ ระดับประถมศึกษา : ทร 11001 สำ� นักงาน กศน.จังหวดั กาฬสนิ ธุ์
18 5) กลุมสันทนาการ ไดแก ศูนยกีฬา สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร ศนู ยน นั ทนาการ 2. ประเภทของแหลง เรยี นรู จําแนกตามลักษณะ มี 6 ประเภท ดังนี้ 1) แหลงเรียนรูประเภทบุคคล หมายถึง บุคคลท่ีมีความรู ความสามารถ ในดาน ตาง ๆ ท่ีสามารถถายทอดความรู ท่ีตนมีอยูใหผูสนใจ หรือผูตองการเรียนรู ไดแก บุคคลที่มี ทักษะ ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพตาง ๆ รวมท้ังผูอาวุโส ที่มีประสบการณ พัฒนาเปน ภมู ิปญญาทองถิ่น ปราชญชาวบา น ภมู ิปญญาชาวบา น และภมู ิปญญาไทย 2) แหลงเรียนรูประเภทธรรมชาติ หมายถึง สิ่งตาง ๆ ท่ีเกิดข้ึนตามธรรมชาติ และ ใหป ระโยชนตอ มนุษย เชน ดิน น้ํา อากาศ พืช สัตว ปาไม แรธ าตุ เปนตน แหลงเรียนรูประเภท น้ี เชน อุทยาน วนอุทยาน เขตรักษาพันธุสัตวปา สวนพฤกษศาสตร ศูนยศึกษาธรรมชาติ เปนตน 3) แหลง เรยี นรปู ระเภทวตั ถแุ ละสถานท่ี หมายถึง อาคาร ส่ิงกอสราง วัสดุอุปกรณ และ สิ่งตาง ๆ เชน หองสมุด ศาสนสถาน ศูนยการเรียน พิพิธภัณฑ สถานประกอบการ ตลาด นิทรรศการ สถานที่ทางประวัติศาสตร เปน ตน 4) แหลงเรียนรูประเภทส่ือ หมายถึง ส่ิงท่ีติดตอใหถึงกัน หรือชักนําใหรูจักกัน ทําหนาที่เปนส่ือกลางในการถายทอดเนื้อหา ความรู ทักษะและเจตคติ ไปสูทุกพ้ืนที่ของโลก อยางท่วั ถงึ และตอ เนื่อง ทงั้ สือ่ ส่ิงพิมพ และส่ืออิเลก็ ทรอนกิ ส ทม่ี ที ้ังภาพและเสียง 5) แหลงเรียนรูประเภทเทคนิค ส่ิงประดิษฐคิดคน หมายถึง ส่ิงท่ีแสดงถึง ความกาวหนาทางเทคโนโลยี และนวัตกรรมดานตาง ๆ ซ่ึงเปนสิ่งประดิษฐคิดคน หรือทําการ พัฒนาปรับปรุง ชวยใหมนุษยเรียนรูถึงความกาวหนา เกิดจินตนาการ แรงบันดาลใจในการ สรา งสรรคทัง้ ความคิด และสิ่งประดษิ ฐตา ง ๆ 6) แหลงเรยี นรูประเภทกจิ กรรม หมายถึง การปฏิบัติการดานวัฒนธรรม ประเพณี ตา ง ๆ การปฏบิ ัตงิ านของหนว ยราชการ ตลอดจนความเคล่ือนไหว เพ่อื แกป ญ หา และปรับปรุง พัฒนาสภาพตาง ๆ ในทอ งถิ่น การเขาไปมีสวนรวมในกิจกรรมตาง ๆ เหลานี้ จะทําใหเกิดการ เรียนรูที่เปนรูปธรรม เชน ประเพณีงานทอดกฐิน งานบุญ การรณรงคปองกันยาเสพติด การสงเสริมการเลือกต้งั ตามระบอบประชาธิปไตย การรณรงคความปลอดภัยของเด็กและสตรี ในทองถ่ิน เปน ตน ทกั ษะการเรียนรู้ ระดบั ประถมศึกษา : ทร 11001 23 สำ� นกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธ์ุ
19 เรือ่ งที่ 2 การเขาถงึ และการเลือกใชแ หลงเรยี นรู การเขาถงึ และการเลอื กใชแ หลงเรยี นรู แหลงเรียนรูรอบตัวเรามีหลากหลายประเภท การท่ีจะเขาถึงแหลงเรียนรูตามที่ ตอ งการ และนําความรูไปปฏิบัติ เพื่อประโยชนของตนเอง ครอบครัว และชุมชน ผูเรียนตอง ทราบความตองการของตนเองกอน เปน อนั ดับแรก 1. เลือกใชแหลงเรียนรูท่ีอยูใกลบาน และชุมชนกอน เพ่ือประหยัดคาใชจายและ เวลาที่ใช ในการเดินทาง นอกจากนี้ แหลงเรียนรูในชุมชนใหความรูเก่ียวของกับวิถีชีวิต มากกวา แหลง เรยี นรทู ั่วไป 2. ควรศกึ ษาการดาํ เนนิ งานของแหลงเรียนรนู ัน้ ๆ ดังนี้ 1) องคความรทู ่มี ใี นแหลง เรียนรูนัน้ คอื อะไร 2) กลุมเปา หมายของแหลงเรียนรู คอื ใคร 3) รปู แบบ เทคนิค วธิ ีการในการจดั การเรียนรู มีวิธีการอยางไร 4) แหลงเรียนรูน้ัน ดําเนินการโดยมวี ัตถุประสงค เพื่ออะไร 5) อนื่ ๆ เชน คา ใชจ าย คาธรรมเนียมการใชแหลงเรยี นรู กฎเกณฑ ระเบยี บ ในการใชแหลง เรียนรู เปน ตน 3. ควรศกึ ษาขอ ดี ขอ เสยี ขอ จาํ กดั ของแหลงเรียนรูประเภทตาง ๆ 4. ควรวางแผนการเรียนรู หรอื วางแผนการใชแหลง เรียนรู ดังนี้ 1) วางแผนการเดินทาง กรณแี หลง เรยี นรอู ยูไ กล 2) วางแผนเตรียมการ เรื่องวัสดุ เครื่องมือ อุปกรณการเรียนรู เชน ดินสอ ปากกา กลองถายรูป เทปบนั ทึกเสยี ง เปนตน 5. ควรพัฒนาทกั ษะในการใชสื่อการเรยี นรปู ระเภทตาง ๆ เนื่องจากปจจุบัน มีการ ใชสื่อท่ีหลากหลายขึ้น นอกจากครูผูสอนและหนังสือแลว ยังมีส่ือประเภทอ่ืน ๆ อีก เชน ส่อื อเิ ลก็ ทรอนิกส คอมพิวเตอร อนิ เทอรเน็ต 6. ควรเรียนรแู บบบรู ณาการความรทู ี่เก่ียวของตาง ๆ เขากับความรูท่ีไดจากแหลง เรียนรู 24 ทกั ษะการเรยี นรู้ ระดับประถมศึกษา : ทร 11001 สำ� นักงาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธุ์
20 7. ควรจดบนั ทึก เกบ็ รวบรวมขอ มลู สือ่ การเรียนรู แลวนํามาจัดหมวดหมูอยางเปน ระบบ 8. ควรสรุปองคความรู ที่ไดจากการเรียนรูในแหลงเรียนรู และประเมินตนเองวา ตรงกับวัตถปุ ระสงคท ี่ต้ังไวหรือไม ประโยชนของแหลง เรยี นรู การเรียนการสอนโดยใชแ หลงเรียนรู มีประโยชนหลายดา น ดงั น้ี 1. เปนแหลงรวมขององคความรูอันหลากหลาย พรอมจะใหผูเรียนเขาไปศึกษา คนควา ดว ยกระบวนการจัดการเรียนรู ท่ีแตกตางกันของแตละบุคคล และเปนการสงเสริมการ เรียนรตู ลอดชีวิต 2. เปน แหลงเช่อื มโยงใหส ถานศกึ ษา และชมุ ชนมีความสมั พันธและใกลชดิ กัน ทําใหคนในชมุ ชนมีสว นรวมจัดการศกึ ษาแกบุตรหลานของตน 3. เปนแหลงเรียนรูท่ีทําใหผูเรียนเกิดการเรียนรูอยางมีความสุข เกิดความ สนกุ สนาน และมคี วามสนใจท่ีจะเรยี น ไมเ กดิ ความเบื่อหนา ย 4. ทาํ ใหผูเ รียนเกดิ การเรียนรจู ากการไดคิด ไดปฏิบัติ และสรางความรูดวยตนเอง ขณะเดยี วกัน ก็สามารถเขา รว มกิจกรรมและทํางานรว มกับผอู ืน่ ได 5. ทําใหผ ูเรยี นไดร บั การปลูกฝงใหร ู และรกั ทองถ่นิ ของตนเอง มองเห็นคุณคาและ ตระหนักถึงปญหาในชุมชนของตน พรอมที่จะเปนสมาชิกที่ดีของชุมชนทั้งในปจจุบันและ อนาคต ทักษะการเรียนรู้ ระดบั ประถมศึกษา : ทร 11001 25 ส�ำนักงาน กศน.จงั หวัดกาฬสินธุ์
21 เร่ืองที่ 3 บทบาทหนาทแ่ี ละการบรกิ ารของแหลง เรียนรู บทบาทและหนาท่ขี องหองสมุด หอ งสมุดประชาชน มีบทบาทหนา ทแี่ ละบรกิ าร ดงั นี้ 1. บทบาทและหนา ทที่ างการศึกษา หองสมุดประชาชนเปน แหลงใหก ารศกึ ษานอก ระบบโรงเรยี น มหี นา ท่ใี หการศึกษาแกประชาชนทว่ั ไป ทกุ ระดบั การศกึ ษา 2. บทบาทและหนาที่ทางวัฒนธรรม หองสมุดประชาชนเปนแหลงสะสมมรดกทาง ปญ ญาของมนุษย ถา ยทอดเปน วัฒนธรรมทองถิ่นทีห่ องสมุดตัง้ อยู 3. บทบาทและหนาที่ทางสังคม หองสมุดประชาชนเปนสถาบันสังคม ไดรับเงิน อุดหนนุ จากรฐั บาลและทอ งถิน่ มาดําเนนิ กจิ กรรม จงึ มหี นาท่ีแสวงหาขาวสารขอมูล ที่มีประโยชน มาบริการประชาชน 4. สวนการใหบริการ หองสมุดประชาชนใหบริการภายในหองสมุดและภายนอก หอ งสมดุ บริการท่ีสําคัญมี ดังน้ี 1) บริการอา น เปนบริการ เพ่ือใหผูใชไดคนควา หาความรูภายในหองสมุด จาก วัสดหุ อ งสมดุ ทุกชนิด ตามความตอ งการ และความสนใจของแตละคน โดยการอา น ดู และฟง 2) บรกิ ารยืม – คืน คือ การอนุญาตใหผูใช ที่เปนสมาชิกของหองสมุด ยืมวัสดุ ออกจากหองสมุดได ตามระเบียบการใหบรกิ ารยืม - คืน ทห่ี องสมดุ ไดกําหนดไว 3) บริการหนังสอื อา งองิ 4) บริการเอกสารสนเทศ หรือบริการตอบคําถามและชวยคนควา มีทั้งบริการ ตอบคาํ ถาม ทัว่ ๆ ไป และคาํ ถามวิชาการทต่ี อ งใชเ วลาคนควา 5) บริการใหข อ มูลเก่ยี วกับเอกสารการวิจัย หรือบรรณานุกรม ประกอบหลักสูตร การศึกษาพ้ืนฐานและการศึกษาอ่ืน ๆ 6) บรกิ ารสอนการใชหองสมุด ฝกปฏิบัติงานเก่ียวกับการใชหองสมุดแกนักเรียน นักศกึ ษาและผูส นใจทัว่ ไป 7) บริการสืบคนสารนิเทศ คือ การสืบคนขอ มูล ขาวสาร ขอเท็จจริงตาง ๆ อยาง ละเอยี ดลึกซ้ึง โดยมุงเนนใหผูใชไดรับสารนิเทศอยางสะดวก ถูกตอง รวดเร็ว ตามความตองการ โดยการสืบคนขอ มลู ภายในหองสมุด หรือสบื คน ขอมลู แบบออนไลน 26 ทกั ษะการเรยี นรู้ ระดบั ประถมศึกษา : ทร 11001 ส�ำนักงาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธ์ุ
22 8) บริการหองสมุดเคลื่อนท่ี (Mobile Library Service) คือ การจัดทําหองสมุด เคลอื่ นทไ่ี ปใหบรกิ ารตามสถานทีต่ า ง ๆ หรือทองถ่ินหางไกล ท่ีประชาชนมาใชหองสมุดไมสะดวก เปนการใหบรกิ ารภายนอกหองสมดุ เรื่องท่ี 4 กฎ กตกิ า เง่ือนไขตาง ๆ ในการขอใชบริการแหลงเรยี นรู แหลงเรียนรูตาง ๆ ไมวาจะเปนศูนยการเรียนรูชุมชน หรือหองสมุด เปนหนวยงาน บริการท่ีเก่ียวของกับผูใชจํานวนมาก ดังน้ัน เพื่อใหเกิดความเปนธรรมแกผูรับบริการ แหลง เรียนรูจึงตองมีระเบียบ เพ่ือใหทุกคนปฏิบัติ อันจะทําใหเกิดความเสมอภาค ในขณะเดียวกัน ผูรับบริการก็จะตองมีมารยาทใหเกียรติแกสถานที่ดวย มารยาทในการใชแหลงเรียนรู จึงเปน ส่ิงจําเปน ที่จะตองไดรับความรวมมือจากผูเขาใชบริการ เพ่ือใหบรรยากาศในแหลงเรียนรูมี ความเรียบรอย นา เขาใชบรกิ าร ระเบยี บและมารยาทการใชแหลง เรยี นรู หมายถงึ ขอ บังคบั ใหปฏบิ ตั ิ หรือขอ พึงปฏิบัติ ซึ่งเกิดจากจิตสํานึกท่ีดี ในการปฏิบัติตนของผูใชบริการ เพื่อความสงบ เรียบรอย เมื่อเขาใช บรกิ าร กฎ กตกิ า การเขาใชบ ริการหองสมุด มีขอควรปฏบิ ตั ิ ดังน้ี 1. สมคั รเปนสมาชิกหองสมุดประชาชน โดยไมเสียคาใชจาย และนําบัตรประจําตัวไป ดวยทกุ ครั้ง 2. แตง กายสุภาพเรียบรอย 3. ไมค วรคยุ หรือสง เสียงดงั ในหอ งสมดุ 4. ใชหองสมุดเพื่อการศึกษา คนควาอยางแทจริง หามใชเพื่อการอื่น เชน รบั ประทานอาหาร นอนหลับ หรอื ทํากิจกรรมกลุมโดยไมไ ดร ับอนุญาต เปน ตน 5. ไมค วรนาํ กระเปา หรอื สมั ภาระเขา ไปในหอ งสมดุ 6. กอนนําหนังสือออกจากหองสมุด ตองใหเจาหนาที่ตรวจหลักฐานการยืมกอน ทุกครัง้ 7. หนังสอื ทอี่ า น หรอื ใชแลว ใหน ําไปเกบ็ บนชั้นพกั หนงั สอื ท่เี ตรยี มไวให 8. เมอ่ื ลุกจากทนี่ ง่ั อานหนงั สือ ควรเล่ือนเกา อเี้ ก็บใหเรยี บรอย ทกั ษะการเรยี นรู้ ระดับประถมศึกษา : ทร 11001 27 สำ� นกั งาน กศน.จงั หวัดกาฬสินธ์ุ
23 เรื่องที่ 5 ทักษะการใชข อ มูลสารสนเทศจากหอ งสมดุ ประชาชน หองสมุดเปนแหลงรวบรวมความรู ทุกประเภท ทุกแขนง เปน ขุมทรพั ยแ หงความรู ที่มี คณุ คามหาศาล ผทู ี่ใชหอ งสมุดเปนประจาํ จะเปน คนทีม่ ีความรอบรู ในเรื่องตาง ๆ ท่ีลึกซ้ึงและ กวางไกลทันเหตุการณ หองสมดุ ยังชว ยปลกู ฝง นสิ ัยรักการอาน เกิดทักษะในการแสวงหาความรู ดว ยตนเอง ทาํ ใหเ ปน บุคคลแหง การเรยี นรู อยา งไรก็ตาม แมว า จะใชหอ งสมุดเปน ประจาํ มีการสืบคนขอมูลตาง ๆ อยูเสมอ ก็จะ ไมไดประโยชนอยางเต็มที่ หากผูสืบคนไมมีระบบจัดเก็บขอมูล ไมมีการนําขอมูลเหลานั้นมา นาํ เสนอในรปู แบบ ทเี่ รยี กกันวา รายงาน การเตรยี มตัวกอ นไปหองสมดุ กอ นไปใชบริการหอ งสมุด ควรเตรยี มตวั ดังน้ี 1. วางแผนการใชเวลาของตนเอง 2. เตรียมปากกา สมดุ จดขอ มูล 3. เตรยี มประเดน็ ความรทู ่ตี องการ 4. เตรียมบตั รประชาชน บตั รสมาชิกหอ งสมุดไปดวย การเรยี นรใู นหอ งสมดุ การเรยี นรใู นหองสมุด ควรปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี 1. ปฏิบตั ติ นตามระเบยี บของหองสมดุ และมีมารยาทในการใชหอ งสมดุ 2. เลือกหนังสือที่ตองการ หากไมทราบวาอยูท่ีใด ใหถามบรรณารักษ หรือ เจาหนาทีห่ อ งสมุด 3. จดบนั ทกึ ความรทู ี่ได 4. จดช่ือหนังสือ ช่ือผูแตงหนังสือ ป พ.ศ. ที่พิมพ สถานที่พิมพ จํานวนหนา เลขหนาท่ีอา น เพ่อื ใชอ า งอิงความรู 28 ทักษะการเรยี นรู้ ระดบั ประถมศกึ ษา : ทร 11001 ส�ำนกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ
24 วิธกี ารสบื คน ขอ มูลสารสนเทศจากหอ งสมดุ การเขา ถงึ ขอมูลรวมของส่ือตาง ๆ ท่ีใหบ ริการในหองสมุด สามารถสืบคนได 2 วิธี คือ การสบื คน ดว ยคอมพวิ เตอร การสบื คน ดว ยตบู ัตรรายการ 1. การสืบคนดวยคอมพิวเตอร หองสมุดประชาชนจัดเครื่องคอมพิวเตอรไวบริการ สืบคนส่ือทต่ี องการและสนใจ โดยใชโปรแกรมบริการงานหองสมุด หรือ PLS (Public Library Service) ที่สามารถคนหาไดจากชื่อหนังสือ/ส่ือ ช่ือผูแตงหรือผูจัดทํา และหัวเรื่อง หรือคํา สําคัญ ทเ่ี ปน สาระหลกั ของส่อื การเตรยี มตวั กอ นการคน หา 1. ผูคนตองทราบวาตนเอง ตองการคนหาขอมูลเกี่ยวกับเรื่องใด และตองมี ขอมูลประกอบในการคนหา เชน ช่ือผูแตง ช่ือส่ิงพิมพ หากไมรูชื่อผูแตง ช่ือส่ิงพิมพ ควรกาํ หนดคาํ คน หรอื หัวเรื่องท่จี ะใชคนหา เปนตน 2. ตองรจู กั วิธกี ารใชฐ านขอมูล หรอื เครอ่ื งมือที่ใชคนหา และรูจักวิธีการจัดการ ผลลพั ธ เชน การบนั ทกึ การส่งั พิมพ การสง ขอมลู ทาง E-mail การจดั การรายการบรรณานกุ รม เปน ตน 3. ตองรูจักวิธีการใชหองสมุดและการหาหนังสือบนชั้น ผูคนตองรูวิธีการใช หองสมุด 4. เรียนรู กฎ กติกา มารยาทในการใชแหลงสารสนเทศ ฐานขอมูล หรือ เคร่อื งมือคน หา เนื่องจากปจ จบุ นั มีผูใชบรกิ ารบางสวน ยงั ใชห องสมุดไมเ ปน ไมรจู กั ระเบยี บฯ วิธกี ารสืบคน ขอ มูลโดยท่ัวไป เปน การคน หาสารสนเทศอยา งงา ย ๆ ไมซับซอน โดยใชค ําโดด ๆ หรือผสมเพียง 1 คาํ สบื คนขอมลู โดยสว นใหญการคน หาแบบงา ยจะมที างเลือกในการคนหา ไดแ ก 1. ชื่อผูแตง เปนการคนหาโดยใชชื่อของบุคคล กลุมบุคคล หรือช่ือหนวยงาน/ องคก รที่เปน ผแู ตง หรือเขียนหนงั สอื บทความ งานวิจัย วิทยานพิ นธ หรือทรัพยากรสารสนเทศ นนั้ ๆ ซึ่งมีหลกั การคน หางาย ๆ ดงั นี้ ช่ือผแู ตง คนไทย เปน การคนหาชือ่ บุคคล ใหตัดคํานําหนาช่ือออก หรือหาก เปนบุคคลท่ีมีบรรดาศักด์ิหรือฐานันดรศักดิ์ ใหคนดวยช่ือ และตอทายดวยบรรดาศักด์ิหรือ ฐานนั ดรศกั ดิ์ เชน ทกั ษะการเรยี นรู้ ระดับประถมศกึ ษา : ทร 11001 29 ส�ำนักงาน กศน.จงั หวัดกาฬสินธ์ุ
ชื่อออก) 25 - นางสาวอษุ า เทยี นทอง ช่ือทใ่ี ชคน อุษา เทยี นทอง (ใหต ัดคํานําหนา - ม.ร.ว. คกึ ฤทธิ์ ปราโมช ชือ่ ทีใ่ ชค น คกึ ฤทธิ์ ปราโมช, ม.ร.ว. (ใหเอาบรรดาศกั ด์ิ หรือฐานันดรศกั ดิ์ มาตอ ทา ยชอ่ื ) ผูแ ตง ที่เปนหนวยงาน/องคก ร ใหค นหาตามชอ่ื หนวยงาน หรือชื่อองคกรนั้น เชน การคนหาชื่อหนวยงาน ท่ีมีท้ังหนวยงานใหญและหนวยงานยอย ใหคนหาโดยใชช่ือ หนวยงานใหญก อน แลว ตามดว ยชอ่ื หนว ยงานยอย ถาเปน ชอื่ ยอ เม่ือคน หาใหใ ชช ่ือเต็ม เชน - สาํ นกั วิทยบรกิ าร มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน ชอ่ื ท่ีใชคน คือ มหาวิทยาลัยขอนแกน. สาํ นกั วิทยบริการ - ททท. ชื่อทใ่ี ชคน คอื การทอ งเท่ียวแหง ประเทศไทย 2. ชื่อเร่ือง เปนการคนหาขอมูล ดวยช่ือเร่ือง เชน ชื่อหนังสือ นวนิยาย ชื่อ งานวิจยั การคนโดยใชช่ือเร่ืองน้ี เปนการคนหาแบบเจาะจง ดังนั้น ผูคนตองรูจักช่ือเรื่อง เชน เรื่อง การดูแลสขุ ภาพผสู ูงอายุ อนิ เทอรเ น็ตสําหรับผเู ริม่ ตน เปนตน 3. คําสําคัญ เปนการคนหาดวยคํา หรือวลีที่กําหนดขึ้นมา เพ่ือใชแทนเร่ืองท่ี ตองการคนหา โดยทั่วไปคําสําคัญจะมีลักษณะ ส้ัน กะทัดรัด ไดใจความ มีความหมาย เปนคาํ นามหรอื เปน ศัพทเ ฉพาะในแตล ะสาขาวชิ า เชน หนังสือ เรื่อง สมุนไพรในอุทยานแหงชาติภาคใต คําสําคัญที่ใชคน ไดแก “สมนุ ไพร”หรือ “อุทยานแหงชาติ” หรือ “ภาคใต” 2. การสืบคนดวยตูบัตรรายการ โดยหองสมุดประชาชนจัดทําบัตรรายการของสื่อ ความรูทกุ ประเภท ทกุ ชนิด ลงในบัตรรายการใสไวในลิ้นชักของตูบัตรรายการ โดยจัดแยกเปน หมวดหมูไว ระบบหมวดหมูที่ใชกันมาก คือ ระบบทศนิยม ดิวอ้ี ซ่ึงมีการจัดหมวดหมูหนังสือ ดงั น้ี 000 เบด็ เตล็ดหรือความรทู ่ัวไป 100 ปรัชญา 200 ศาสนา 300 สงั คมศาสตร 400 ภาษาศาสตร 500 วิทยาศาสตร 30 ทกั ษะการเรยี นรู้ ระดับประถมศึกษา : ทร 11001 ส�ำนักงาน กศน.จงั หวัดกาฬสนิ ธ์ุ
26 600 วิทยาศาสตรประยุกตและเทคโนโลยี 700 ศลิ ปกรรมและการบันเทิง 800 วรรณคดี 900 ประวัตศิ าสตรแ ละภมู ศิ าสตร กิจกรรมทา ยบทท่ี 2 1. ใหผเู รียนสาํ รวจ และศึกษาแหลง เรียนรูท ่มี ใี นชุมชน (ตําบล/อาํ เภอ) ของผเู รยี น แลวสรุปความรูท่ไี ดจากแหลงเรยี นรนู ้นั ๆ ที่ ช่อื แหลงเรยี นรู ประเภทแหลงเรียนรู ความรูที่ไดจ ากแหลง เรียนรู 1 2 3 4 ทกั ษะการเรยี นรู้ ระดับประถมศกึ ษา : ทร 11001 31 ส�ำนกั งาน กศน.จงั หวัดกาฬสนิ ธุ์
27 2. ใหผเู รียนบอกกฎ กติกาการใชห องสมดุ ประชาชน และแหลงเรียนรูอนื่ ๆ อยางนอ ย 4 ขอ ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... 3. ใหผเู รยี นบอกประเภทของแหลงเรยี นรู และขอแตกตางของแหลงเรียนรูแ ตล ะประเภท ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... 4. ใหผ เู รยี นยกตวั อยาง ประเภทของแหลง เรียนรทู เี่ กีย่ วขอ งกับอาชพี ในชมุ ชนของตน ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... 32 ทักษะการเรียนรู้ ระดับประถมศกึ ษา : ทร 11001 สำ� นักงาน กศน.จงั หวัดกาฬสินธ์ุ
28 บทที่ 3 การจัดการความรู ในปจจุบันและอนาคต โลกปรับตัว เขาสูการเปนสังคมแหงการเรียนรู ซึ่งความรู กลายเปนปจจัยสําคัญ ในการพัฒนาคน ทําใหคนสามารถ แสวงหาความรู พัฒนาและสราง องคความรูอยางตอเน่ือง เพื่อนําพาตนเอง สูความสําเร็จ การจัดการความรู จึงมีลักษณะ กจิ กรรมเปน วงจรเรยี นรู ตอ เน่ืองสม่ําเสมอ เปา หมายการจัดการความรูคือ การพัฒนางาน และ พัฒนาคน เรอ่ื งที่ 1 ความหมาย ความสาํ คัญ และหลักการของการจัดการความรู ความหมายของการจดั การความรู การจัดการความรู (Knowledge Management) หมายถึง การจัดการกับความรู ประสบการณ ท่มี อี ยูใ นตวั คน และนาํ ความรูมาแบงปน ใหเกิดประโยชนตอตนเองและองคกร ดว ยการผสมผสานความสามารถของคนเขาดวยกันอยางเหมาะสม มีเปาหมายเพ่ือการพัฒนา งาน พัฒนาคน และพฒั นาองคกรใหเปน องคก รแหงการเรยี นรู ความสําคัญของการจดั การความรู การจดั การความรทู ่มี ีอยูในตวั บุคคล โดยเฉพาะบคุ คลที่มีประสบการณในการปฏิบัติงาน จนประสบผลสําเร็จ กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู ระหวางคนกับคน หรือกลุมกับกลุม จะกอใหเกิดการยกระดับความรู ท่ีสงผลตอเปาหมายของการทํางาน น่ันคือ เกิดการพัฒนา ประสิทธิภาพของงาน คนเกิดการพัฒนาและสงผลตอเน่ืองไปถึงองคกร เปนองคกรแหงการ เรยี นรู ทกั ษะการเรียนรู้ ระดบั ประถมศกึ ษา : ทร 11001 33 สำ� นักงาน กศน.จงั หวัดกาฬสนิ ธ์ุ
29 หลกั การของการจดั การความรู การจดั การความรเู พอ่ื ใหบรรลุเปาหมายเรื่องใดเรอ่ื งหนงึ่ มีหลักการสาํ คัญ 4 ประการ คือ 1. ใหค นหลากหลาย ท้ังดานทักษะ วธิ ีคิด มาทาํ งานรว มกันอยา งสรางสรรค 2. รวมกันพัฒนาวิธกี ารทาํ งานรปู แบบใหม ๆ 3. ทดลองและเรียนรู เพื่อใหไ ดวิธีการทํางานแบบใหม 4. นาํ เขา ความรจู ากภายนอกอยางเหมาะสม โดยผนวกกบั ความรูเดิม เปนความรู ใหมท่ตี นเองตอ งการ เร่ืองท่ี 2 กระบวนการจดั การความรู กระบวนการจัดการความรู เปนกระบวนการแบบหน่ึง ที่จะชวยใหองคกรเขาใจถึง ขั้นตอนทที่ าํ ใหการจดั การความรู หรอื พฒั นาการของความรู ที่จะเกิดข้นึ ภายในองคกร รูปแบบการจดั การความรู การจัดการความรมู ี 2 รปู แบบ คอื รูปแบบปลาทู และรปู แบบปลาตะเพยี น 1. รูปแบบปลาทู (โมเดลปลาท)ู ประกอบดวย การจัดการความรู 3 สวน คือ สวน หวั เปนการกําหนดเปาหมายที่ชัดเจน สวนตัว เปนการแลกเปลี่ยนเรียนรู และสวนหาง เปน ความรูท่ไี ดจ ากการแลกเปล่ียนเรยี นรู 2. รูปแบบปลาตะเพยี น (โมเดลปลาตะเพยี น) เปนการจัดการความรูของกลุมหรือ องคกร ปลาตัวใหญ เสมือนวิสัยทัศน พันธกิจขององคกร ปลาตัวเล็กทั้งหลาย เสมือน เปาหมายของการจัดการความรู ทม่ี งุ ตอบสนองเปา หมายใหญข ององคก ร ซ่งึ มีทศิ ทางเดียวกัน กระบวนการจดั การความรดู ว ยการปฏบิ ตั ิการกลมุ กระบวนการจดั การความรใู นองคกร มี 7 ขน้ั ตอน ดงั นี้ 1. การบงชค้ี วามรู เปน การพจิ ารณาวา เปา หมายการทาํ งานคอื อะไร 2. การสรา งและแสวงหาความรู เปนการจัดบรรยากาศ และวัฒนธรรมเพ่ือเอื้อให แลกเปล่ียนเรียนรซู ง่ึ กนั และกัน 34 ทักษะการเรียนรู้ ระดบั ประถมศึกษา : ทร 11001 สำ� นกั งาน กศน.จังหวดั กาฬสนิ ธุ์
30 3. การจัดความรูใหเ ปน ระบบ เปนการจัดทําสารบัญ และจัดเก็บความรู เพ่ือให นาํ มาใช ไดง าย และรวดเร็ว 4. การประมวลและกล่นั กรองความรู เปน การปรับปรงุ ความรู ใหอานแลวเขาใจ งา ย 5. การเขาถึงความรู เปนการเผยแพรความรู เพ่ือใหผูอื่นเขามาใชงานไดงาย สะดวก เชน เว็บบอรด จัดบอรด เปนตน 6. การแบงปนแลกเปล่ียนความรู หากเปนความรูเดนชัด อาจทําเปนเอกสาร สาํ หรบั ความรูท ่ีฝง ลกึ อาจทาํ ในลกั ษณะเปน ชมุ ชนแหง การเรยี นรู 7. การเรียนรู การเรียนรูของบุคคลทําใหเกิดความรูใหม ๆ ซึ่งจะไปเพิ่มองค ความรขู ององคก รใหม ากข้ึนเรื่อย ๆ เปน วงจรแหงการเรยี นรู เรือ่ งที่ 3 กระบวนการจดั การความรดู ว ยตนเอง ทกั ษะในการจัดการความรดู ว ยตนเอง การเรียนรูเพ่ือใหเกิดการจัดการความรูดวยตนเอง ตองเริ่มจากการคิด แลวลงมือ ปฏิบัติ การปฏิบัติจะทําใหจดจําไดแมนยํากวา และมีการบันทึกความรูระหวางปฏิบัติไวใช ทบทวน หรือใหผูอ่ืนนําไปปฏิบัติตามได ขั้นสุดทาย ใหยอนกลับไปทบทวนกระบวนเรียนรู เพ่ือตรวจหาจุดบกพรองและปรบั ปรงุ พฒั นาจุดบกพรอ งน้ันใหได ทกั ษะในการจัดการความรดู ว ยตนเอง สามารถฝกได ดังนี้ 1. ฝกสงั เกต เพ่อื เขาใจเหตุการณ 2. ฝก ตง้ั คําถาม ดวยคําถามวา ทําไม อยา งไร เพื่อหาคาํ ตอบเอง หรือใหผอู ่ืนตอบ จะทําใหไดขยายความคิด ความรู ใหล กึ และกวา งขึ้น 3. ฝกแสวงหาคําตอบ และรแู หลง ขอ มูลที่จะคนควา 4. ฝกบนั ทกึ เพ่ือการเขา ใจของตนเอง และใหผูอ่ืนเรียนรูได ท้ังที่บันทึกเปนภาพ จดบันทกึ หรอื บนั ทึกแบบอืน่ ๆ 5. ฝกการเขียน เพ่ือเปน งานเขียน (เอกสาร) สําหรับใหผูอ่ืนศึกษา กระจายไปใน วงกวาง ทกั ษะการเรียนรู้ ระดับประถมศึกษา : ทร 11001 35 สำ� นกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสินธ์ุ
31 ตัวอยา งการจดั การความรดู วยตนเองของพอจนั ทรท ี ประทมุ ภา กระบวนการ คําอธบิ าย ตวั อยางการปฏบิ ตั ิ 1. ความรูหลกั ที่ เปน การกําหนดความรูหลกั พอ จนั ทรที ประทุมภา มปี ญ หาการทาํ เกษตร จาํ เปนตองาน/ เปน การคนหาความรู เพอ่ื เชิงเด่ียว จงึ คดิ หาทางทาํ เกษตรแนวอ่ืน แลว หา กิจกรรม แกป ญ หาและพัฒนาตนเอง ความรหู ลัก เรอ่ื ง การทาํ เกษตรผสมผสาน 2. เสาะแสวงหา เปนการเสาะแสวงหาความรู พอจนั ทรท ี ประทมุ ภา ไปแสวงหาความรจู าก เฉพาะ จากผูม ปี ระสบการณ พอ ผาย สรอ ยสระกลาง ปราชญช าวบา น ความรู โดยแลกเปลย่ี นเรียนรู เรื่อง การทําเกษตรผสมผสาน เชือ่ มโยงกบั ประสบการณเดมิ ของตน เพ่อื ใหเกดิ ความรู ใหม 3. ประยกุ ตใช นาํ ความรูท ี่เสาะแสวงมา เม่อื พอ จันทรที ประทมุ ภา เขา ใจหลักการ ความรู ประยกุ ตใ ชใหเหมาะสม จัดการพ้นื ท่เี พ่ือทําเกษตรผสมผสานแลวจึง วางแผนจดั การในพื้นท่ขี องตน 4. การแลกเปล่ียน แลกเปล่ยี นความรูกับบุคคล พอ จันทรท ี ประทุมภา แลกเปล่ยี นความรูกับ ความรู อนื่ ท่ีสนใจ เกษตรกรคนอ่ืน ๆ ทีส่ นใจเรอ่ื งน้ี และเปน วทิ ยากรใหความรกู ับผทู ่ีสนใจ 5. พฒั นาความรู วธิ ีการตอยอดพัฒนาความรู พอจนั ทรท ี ประทมุ ภา เปนผมู ีความรเู รอ่ื ง มี 2 รูปแบบ เกษตรผสมผสานจากการปฏบิ ัตแิ ละแลกเปลีย่ น 1) การศกึ ษาดวยตนเอง ความรอู ยางตอ เนอ่ื ง ทาํ ใหมคี วามรเู พม่ิ มากขน้ึ จากเอกสาร หรอื สอ่ื ตา ง ๆ เรือ่ ย ๆ จนเปนปราชญช าวบานแหง เมอื งโคราช 2) การแลกเปลย่ี นเรยี นรู ระหวา งคนหนงึ่ ไปอกี คน หนึง่ เพื่อเตมิ เตม็ ความรูเ ดิม 36 ทักษะการเรียนรู้ ระดับประถมศกึ ษา : ทร 11001 สำ� นักงาน กศน.จงั หวัดกาฬสนิ ธุ์
32 เร่ืองที่ 4 กระบวนการจดั การความรูดวยการปฏบิ ตั กิ ารกลมุ ในชุมชนมีปญหาซับซอน ท่ีคนในชุมชนตองรวมกันแกไข การจัดการความรูจึงเปน เรื่องท่ีทุกคนตองใหความรวมมือ และใหขอเสนอแนะเชิงสรางสรรค การรวมกลุม เพอ่ื แกปญหาหรือรวมมือกันพัฒนาโดยแลกเปลี่ยนเรียนรูรวมกัน เรียกวา “ชุมชนนักปฏิบัติ” (Community of Practice : CoPs) หรืออาจจะเรียกวา “ชุมชนแหง การเรียนรู” หรือ “ชุมชน ปฏบิ ัติการ” รปู แบบของ CoPs ทใี่ ชในการจัดการความรู กระบวนการจัดการความรูโดยใชกระบวนการกลุม เปนกระบวนการท่ีคนในกลุม เรียนรูจากประสบการณการทํางานรวมกัน เมื่อบุคคลท่ีประสบความสําเร็จนําความรูมา แลกเปล่ียนกัน ทาํ ใหค นท่ีไมร แู ละคนที่รูบา งไดเพ่มิ พนู ความรู และนาํ ความรไู ปปฏิบตั ไิ ด การดึงความรูที่ฝงลึกอยูในตัวบุคคลออกมา แลวสกัดเปนขุมความรู จําเปนตองมีคน กลาง ท่สี งเสรมิ ใหเกิดกระบวนการแลกเปลย่ี นเรียนรู 4 คน ไดแก 1. คุณเอือ้ (เออื้ ระบบ) เปน ผูนําระดบั สูงขององคกร มีหนาที่ ทําใหการจัดการความรู เปนวิถีเดียวกับการปฏิบัติงานตามปกติขององคกร และเปดโอกาสใหทุกคนขององคกร นาํ วิธกี ารทํางานของตน มาแบงปนและแลกเปล่ียนกับเพ่ือนรวมงาน ประการสุดทาย คุณเอื้อ ตอ งหากศุ โลบายทจี่ ะทาํ ใหว ิธกี ารนน้ั ถูกนําไปใชกนั มากขึ้น 2. คุณอาํ นวย (ผูอาํ นวยความสะดวก) เปน ผูกระตุน ใหเกดิ การแลกเปลยี่ นเรียนรู และ อาํ นวยความสะดวกตอการแลกเปล่ียนเรยี นรู โดยเฉพาะตอ งทําหนา ทีเ่ ช่ือมโยงคนสองประเภท เขาหากัน คือ คนท่ีมีความรู ประสบการณ และคนที่ตองการเรียนรูและใชความรูเหลานั้น รวมทงั้ ตดิ ตามประเมนิ ผล ความเปลีย่ นแปลงทต่ี องการ 3. คุณกิจ (ผูปฏิบัติงาน) ซ่ึงเปนผูจัดการความรูตัวจริง เน่ืองจากเปนผูกําหนด เปาหมาย คน หา แลกเปลีย่ นเรยี นรูภ ายในกลมุ และพรอ มจะดดู ซบั ความรูจากภายนอกมาปรับ ใช ใหบรรลุเปาหมายทตี่ ง้ั ไว และหมนุ เวยี น ตอ ยอดความรอู ยางตอ เน่อื งไมมีที่สน้ิ สดุ 4. คุณลิขิต (ผูจดบันทึก) ทําหนาท่ีบันทึก และจัดเก็บความรูใหเปนคลังความรูของ องคกร ทกั ษะการเรียนรู้ ระดบั ประถมศึกษา : ทร 11001 37 สำ� นกั งาน กศน.จังหวดั กาฬสินธุ์
33 การทํา CoPs เพอ่ื จัดการความรู ชุมชนนักปฏิบัติ เกิดจากกลุมคนท่ีมีเครือขายสัมพันธท่ีไมเปนทางการ ซ่ึงจะเอ้ือตอ การเรยี นรูและสรางความรูใหม ๆ โดยเนน เรียนรูรวมกันจากประสบการณการทํางานเปนหลัก เพ่ือนํามาใชพัฒนางาน การปฏิสัมพันธกันระหวางบุคคล ทําใหเกิดการถายทอด แลกเปลี่ยน ความรูฝ งลึก สรา งความรู ความเขาใจไดมากกวาการอา นหนงั สอื หรือการฝกอบรม 1. บนั ทกึ การเลา เรื่อง การถอดความรูฝงลึก ดวยกิจกรรมเร่ืองเลาเราพลัง การเลาเรื่อง เปนเทคนิค ของการใช เร่อื งเลาในกลุมเพ่ือน แบงปนความรู หรือสรางแรงบันดาลใจ ในการพัฒนาการ ปฏิบัติงาน โดยใชภาษางาย ๆ ในชีวิตประจําวัน เลาเฉพาะเหตุการณ บรรยากาศ ตัวละคร ท่ีเก่ียวของกับผูเลา ในขณะท่ีเกิดเหตุการณตามจริง เลาใหเห็นบุคคล พฤติกรรม การปฏิบัติ การคิด ความสัมพนั ธ ขอ สําคัญ ผูเลา ตองไมตคี วามระหวา งเลา ไมใ สค วามคิดของผูเลาระหวาง เลา เร่ืองเม่ือเลา จบแลว ผูฟงสามารถซักถามผูเลาได 2. บนั ทกึ ขมุ ความรู เปน การเกบ็ ความรู ท่ไี ดจากการฟง เรือ่ งเลา แลว นาํ มาเรยี บเรียง จากบนั ทึกของ ผฟู ง หลาย ๆ คน และตรวจสอบใหส อดคลองกัน การบันทึกขุมความรู ควรบันทึกเปนประโยค ทข่ี ้นึ ตนดว ยกรยิ า เปน วิธกี ารปฏิบตั ิ เปนขอความทอี่ า นแลว เขา ใจงา ย 3. บนั ทึกแกนความรู ขุมความรทู ไ่ี ดจ ากเรอื่ งเลา นาํ มาจดั กลมุ ประเภทเดียวกันไวดวยกันแลวต้ังช่ือ ใหม ใหค รอบคลมุ ขุมความรูนั้น 38 ทักษะการเรียนรู้ ระดบั ประถมศกึ ษา : ทร 11001 ส�ำนกั งาน กศน.จังหวดั กาฬสนิ ธ์ุ
34 เรอ่ื งที่ 5 การสรางองคค วามรู พฒั นา ตอ ยอดและเผยแพรองคค วามรู ในการพัฒนาความรู ยกระดับความรู เพื่อใหเกิดการตอยอดความรูนั้น ความรูจะ เปล่ียนสถานภาพสลบั กนั ไปตลอดเวลา บางคร้งั ความรูทช่ี ดั แจง ซ่ึงอยูในกระดาษ หรือส่ืออ่ืน ๆ ก็แปรสภาพเปนความรูท่ีฝงลึกที่อยูในตัวบุคคล และบางคร้ังความรูท่ีฝงลึกอยูในตัวบุคคล ก็แปรสภาพเปนความรูชัดแจง คอื มกี ารถายทอดความรูออกมา และถูกบันทึกเปนลายลักษณ อักษร เพือ่ ใหค นอ่นื ไดศ กึ ษา การสรางองคค วามรูเพอ่ื พฒั นาตอ ยอดและยกระดับความรู การดําเนินการจดั การความรู ประกอบดวย 6 ขั้นตอน ดังน้ี 1. กําหนดความรูห ลกั ท่จี ําเปน 2. เสาะหาความรทู ีต่ อ งการ 3. ปรับปรุง ดัดแปลงใหเหมาะกับงานของตนเอง 4. ประยุกตใชความรู 5. แลกเปลี่ยนเรียนรู และสกัดขุมความรอู อกมาบันทกึ ไว 6. การบันทกึ ขมุ ความรู และแกนความรู เพือ่ ใชป ระโยชน การจดั ทาํ สารสนเทศองคค วามรู สารสนเทศองคความรู เปนการรวบรวมขอมูลที่เปนประโยชนตอการพัฒนางาน พัฒนาคน เพ่ือแบงปน แลกเปลย่ี นเรียนรู และนํามาใชประโยชน ดว ยวธิ กี ารตาง ๆ ดังนี้ 1. บนั ทกึ เรอ่ื งเลา เปนเอกสารรวมเร่อื งเลา ท่บี อกวธิ ีการทํางานใหป ระสบ ความสาํ เรจ็ 2. บันทกึ การถอดบทเรยี น หรือการถอดองคค วามรู เปนการดงึ ความรูฝ ง ลกึ ของ ผปู ฏบิ ัตดิ วยเทคนิค การสนทนากลมุ การทาํ Mind Mapping ฯลฯ แลว บนั ทึกไวเปนเอกสาร 3. วีซดี เี ร่ืองสน้ั เปน การใชเคร่อื งอิเลก็ ทรอนกิ สบ ันทึกเรือ่ งสัน้ ไวบนแผนวีซดี ี 4. คูมือการปฏิบัติงาน เปนเอกสารที่แสดงวิธีการทํางานใหเห็นชัดเจน และมี ตวั อยา งประกอบ อานแลว ปฏิบตั ิได 5. อินเทอรเนต็ เปนสารสนเทศเพื่อการสือ่ สารผา นเว็บไซตตา ง ๆ โดยการบันทึก ความรู ในรปู แบบของเวบ็ เพ็จ เวบ็ บอรด ฯลฯ สามารถเขา ถึงขอ มลู ไดส ะดวก รวดเร็ว ทกั ษะการเรียนรู้ ระดับประถมศึกษา : ทร 11001 39 ส�ำนักงาน กศน.จงั หวดั กาฬสินธุ์
35 กจิ กรรมทายบทที่ 3 1. ใหผเู รียนบอกความหมาย ความสําคัญของการจัดการความรู …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ใหผ ูเรยี นบอกหลกั การของการจดั การความรู วา มีอะไรบาง …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ใหผเู รยี นบอกวิธีการ การจดั การความรู และนําความรไู ปใชใ นชีวิตประจาํ วัน …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 40 ทักษะการเรียนรู้ ระดบั ประถมศึกษา : ทร 11001 ส�ำนกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธ์ุ
36 4. ใหผเู รียน วเิ คราะหปญหาของตนเอง และเขยี นแผนการพัฒนาตนเอง ดังน้ี 1) ปญหาของผเู รยี น คอื อะไร ทาํ ไมถึงเกิดปญ หาน้ัน …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 2) ความรูหลักทจี่ าํ เปน ของผูเรียน คืออะไร ใชแ กป ญหาของผเู รยี นไดอยางไร …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 3) ผเู รยี นมีวธิ ีเสาะแสวงหาความรู ดวยการแลกเปลย่ี นเรียนรจู ากผอู ืน่ ทไี่ หน อยางไร …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 4) ผูเ รยี นนําความรทู ่ีไดรบั ไปแกป ญหา หรอื ประยกุ ตใ ชอ ยางไร …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… ทักษะการเรยี นรู้ ระดบั ประถมศึกษา : ทร 11001 41 สำ� นักงาน กศน.จงั หวดั กาฬสินธ์ุ
37 บทท่ี 4 การคิดเปน โลกปจจุบนั เปน โลกแหงการเปล่ียนแปลงอยางรวดเร็วในทุก ๆ ดาน ทั้งเรื่องขาวสาร ขอ มูล ความรู การเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา ธรรมชาติ และส่ิงแวดลอม ซึ่งการเปล่ียนแปลง อยางรวดเร็วเชนน้ี ถาไมสามารถปรับตัวใหทันเหตุการณ ไมเปล่ียนแปลง ก็จะเกิดปญหา ขึ้นกบั ตนเอง ครอบครัว สังคมและชมุ ชน วิธีการหน่ึงที่จะชวยใหชีวิตอยูอยางมีความสุขได คือ “การคดิ เปน” การคดิ เปน เปนการใชทักษะการคิดที่ใชขอมูลอยางนอย 3 ดาน มาสัมพันธเช่ือมโยง กัน เพือ่ การตดั สินใจสูการกระทาํ โดยปกติแลวการกระทาํ ของคนน้ัน เกิดมาจากการคิด ถาคิด ดีก็ทําดี การคิดที่มีขอมูลประกอบการตัดสินใจ จะทําใหการคิดนั้นมีความรอบคอบ มีเหตุผล มคี วามพอประมาณ ไมโ ลภ ไมเบยี ดเบยี นผูอ่นื การคิดดีนําไปสูการปฏิบัติท่ีดี ถาในสังคมผูคน ปฏิบตั ดิ ีตอกัน สังคมก็อยรู ว มกันอยางมีความสขุ เร่ืองท่ี 1 ความเช่ือพื้นฐานทางการศกึ ษาผูใหญ/การศึกษานอกระบบ ความเชื่อพน้ื ฐานทางการศึกษาผใู หญ/ การศกึ ษานอกระบบ เช่ือวาคนมีความแตกตาง กันอยางหลากหลาย ทั้งรูปลักษณะภายนอก ภูมิหลัง พ้ืนฐานทางครอบครัว ฯลฯ ความตอ งการของคนจึงไมเทาเทยี มกนั ไมเหมอื นกนั แตสิ่งหนึ่งทีท่ ุกคนตอ งการคือ “ความสุข” ความสุขของแตละคนจะเกิดข้ึนไดตอเมื่อมนุษยกับสภาวะแวดลอมท่ีเปนวิถีชีวิตของตน สามารถปรับเขา หากันไดอ ยางกลมกลนื จนเกิดความพอดีและพึงพอใจ ความสุขของแตละคน จึงไมจําเปนตองเหมือนกัน เม่ือมนุษยตองการความสุข เปนเปาหมายสูงสุดของชีวิต การคิด ตัดสินใจเลือกกระทําหรือไมกระทําใด ๆ ลวนตองใชเหตุผล หรือขอมูลมาประกอบการคิด อยางนอย 3 ดาน คือ ขอ มลู เกี่ยวกับตนเอง ขอ มลู เก่ยี วกบั สงั คม และขอ มลู ทางวชิ าการ ทฤษฎีการเรยี นรูส าํ หรบั ผใู หญ ทฤษฎีการเรยี นรูสําหรบั ผูใ หญน้นั กลา วไดวา เร่ิมมีการศึกษาคนควา และพัฒนาการ มาจาก แนวความคิดของเดิม ของธอรนไดค (Edward L. Thorndike. 1982) จากการเขียน เกี่ยวกับ \"การเรียนรูของผูใหญ\" ซึ่งมิไดทําการศึกษาเกี่ยวกับการเรียนรูของผูใหญโดยตรง 42 ทกั ษะการเรยี นรู้ ระดบั ประถมศึกษา : ทร 11001 ส�ำนักงาน กศน.จังหวัดกาฬสินธุ์
38 แตศ ึกษาถึงความสามารถในการเรยี นรู โดยเนน ใหเห็นวา ผใู หญน ัน้ สามารถเรียนรไู ด ซ่ึงเปนสิ่ง ท่ีมีความสําคัญมาก จากสงครามโลกครั้งที่สอง มีนักการศึกษาผูใหญจํานวนมาก ไดศึกษา คนควา จนไดพ ยานหลักฐานทางวิทยาศาสตรเพิ่มขึ้นอีกวา ผูใหญสามารถเรียนรูได รวมทั้งได พบวา กระบวนการเก่ียวกับดานความสนใจและความสามารถนั้น แตกตางออกไปจากการ เรียนรขู องเดก็ เปนอนั มาก นอกจากวิธีการทางวิทยาศาสตรแลว ยังมีแนวความคิดทางดานที่เปนศิลป ในการ เรียนรู ซ่ึงเปนการคนหาวิธีการในการรับความรูใหม ๆ และการวิเคราะหถึงความสําคัญของ ประสบการณ ซง่ึ สง่ิ เหลานจ้ี ะเกีย่ วขอ งกบั วา “ผใู หญเรยี นรอู ยางไร” (How Adult Learn) ลนิ เดอรแ มน (Edward C. Linderman) ไดเ ขียนหนงั สือชอ่ื “ความหมายของการศกึ ษาผูใหญ” แนวความคิดของลินเดอรแมนนั้น ไดรับอิทธิพลคอนขางมาก จากนักปรัชญาการศึกษาผูท่ีมี ช่ือเสียง คือ จอหน ดิวอ้ี (John Dewey) โดยไดเนนเกี่ยวกับการเรียนรูของผูใหญวา ควรเรมิ่ ตนจากสถานการณต า ง ๆ (Situations) มากกวาเรม่ิ จากเนอื้ หาวิชา ซ่ึงวิธีการเรียนการ สอนโดยทว่ั ๆ ไป มกั จะเรม่ิ ตน จากครูและเนื้อหาวิชาเปนอันดับแรก และมองดูผูเรียนเปนสวน ที่สอง ในการเรียนแบบเดิม ผูเรียนจะตองปรับตัวเองใหเขากับหลักสูตร แตในการศึกษา ผใู หญนนั้ หลักสตู รควรจะไดสรางขน้ึ มาจากความสนใจ และความตองการของผูเรียนเปนหลัก สําคัญ ผูเรียนจะพบวา ตัวเองมีสถานการณเฉพาะเกี่ยวกับหนาที่ การงาน งานอดิเรก หรือ สันทนาการ ชีวิตครอบครัว ชีวิตในชุมชน สถานการณตาง ๆ นี้ จะชวยใหผูเรียนไดปรับตัว และการศึกษาผใู หญค วรเรมิ่ จากจุดนี้ สวนดานตําราและผูสอนนั้น ถือวามีหนาท่ีและบทบาท รองลงไป แหลงความรทู มี่ ีคุณคาสงู สดุ ในการศกึ ษาผูใหญ คือประสบการณของผูเรียนเอง และ มีขอคิด ท่ีสําคัญวา “หากการศึกษา คือชีวิตแลว ชีวิตก็คือ การศึกษา” (If Education is Life, then Life is Education) สรุปไดวา ประสบการณน้ัน คือตําราที่มีชีวิตจิตใจ สําหรับ นกั ศึกษาผใู หญ จากแนวความคิดของลินเดอรแมน ทําใหไดขอสันนิษฐานท่ีสําคัญ ๆ และเปน กุญแจสําคัญ สําหรับการเรียนรูของผูใหญ รวมท้ังการวิจัยในระยะตอ ๆ มา ทําใหโนลส (M.S.Knowles.1954) ไดพ ยายามสรปุ เปนพืน้ ฐานของทฤษฎีการเรียนรูสําหรับผูใหญสมัยใหม ซ่งึ มสี าระสําคญั ดังตอไปน้ี ทกั ษะการเรียนรู้ ระดบั ประถมศกึ ษา : ทร 11001 43 ส�ำนักงาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธ์ุ
39 1. ความตอ งการและความสนใจ ผูใหญจ ะถกู ชักจูงใหเกดิ การเรยี นรูไดดี ถาตรงกับ ความตองการ และความสนใจ ในประสบการณทผ่ี า นมา เขาจะเกิดความพึงพอใจ เพราะฉะนั้น ควรเรมิ่ ตนในสิ่งเหลานี้อยา งเหมาะสม โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมทั้งหลาย ท่ีตองการใหผูใหญ เกิดการเรียนรู 2. สถานการณท ีเ่ กี่ยวของกบั ชวี ติ ผูใหญ การเรียนรูของผูใหญจะไดผลดี ถาหาก ถือเอาตัวผูใหญเปนศูนยกลางในการเรียนการสอน ดังนั้น การจัดหนวยการเรียนที่เหมาะสม เพื่อการเรียนรูของผูใหญ ควรจะยึดถือสถานการณทั้งหลาย ที่เก่ียวของกับชีวิตผูใหญเปน หลกั สาํ คัญ มิใชต วั เนื้อหาวชิ าทั้งหลาย 3. การวเิ คราะหป ระสบการณ เน่ืองจากประสบการณ เปนแหลงการเรียนรู ที่มี คุณคามากทส่ี ุดสาํ หรับผูใหญ ดังนั้น วิธีการหลักสําหรับการศึกษาผูใหญก็คือ การวิเคราะหถึง ประสบการณของผูใหญ แตละคนอยางละเอียด วามีสวนไหนของประสบการณ ที่จะนํามาใช ในการเรยี นการสอนไดบาง แลวจึงหาทางนาํ มาใชใ หเกดิ ประโยชนต อ ไป 4. ผูใหญต องการเปน ผูนาํ ตนเอง ความตองการท่อี ยูใ นสว นลกึ ของผใู หญ คือ การมีความรูสึกตองการท่ีจะสามารถนําตนเองได เพราะฉะน้ัน บทบาทของครูจึงควรอยูใน กระบวนการสบื หา หรือคน หาคําตอบรวมกบั ผูเรียน มากกวาการทําหนาที่สงผาน หรือเปนส่ือ สาํ หรบั ความรู แลวทําหนา ทปี่ ระเมนิ ผลวา เขาคลอยตามหรอื ไมเพียงใด 5. ความแตกตางระหวา งบุคคล ความแตกตางระหวางบุคคลจะเพิ่มมากข้ึนเร่ือย ๆ ในแตละบุคคล เมื่อมีอายุเพ่ิมมากขึ้น เพราะฉะน้ัน การสอนผูใหญจะตองเตรียมการดานน้ี อยางดพี อ เชน รปู แบบของการเรียนการสอน เวลาท่ีใชส อน สถานทส่ี อน เปนตน 44 ทกั ษะการเรยี นรู้ ระดับประถมศึกษา : ทร 11001 สำ� นักงาน กศน.จังหวัดกาฬสินธ์ุ
40 เร่อื งท่ี 2 ปรัชญาการคดิ เปน ดร.โกวิท วรพิพฒั น อดตี ปลัดกระทรวงศึกษาธกิ าร และเคยเปนอธิบดีกรมการศึกษา นอกโรงเรียน ไดอธิบายถึง คุณลักษณะที่พึงประสงคของคน ในการดํารงชีวิตอยูในสังคม ที่มี การเปลี่ยนแปลงอยางรวดเร็ว รุนแรง และซับซอน ไววา “คิดเปน” มาจากความเชื่อพ้ืนฐาน เบื้องตนท่ีวา คนมีความแตกตางกันเปนธรรมดา แตทุกคนมีความตองการสูงสุดเหมือนกัน คือ ความสุขในชวี ิต คนจะมคี วามสุขในชวี ติ ได ตองมีการปรับตัวเอง และสังคมสิ่งแวดลอม ใหเขา หากันอยา งกลมกลนื จนเกิดความพอดี นําไปสูความพอใจ และมีความสุข คนท่ีจะทําไดเชนนี้ ตอ งรจู กั คดิ รจู ักใชสติปญญา รูจักตัวเอง และธรรมชาติสังคมส่ิงแวดลอมเปนอยางดี สามารถ แสวงหาขอ มลู ทเ่ี ก่ียวของอยา งหลากหลายและพอเพียง นํามาพิจารณาขอดี ขอเสียของแตละ เร่ือง เพ่อื นาํ มาใชเ ปน ขอมูลในการตัดสินใจ อาจกลาวไดวา “คดิ เปน ” เปนแนวคิดที่สอดคลอง กบั ยุทธศาสตร ทส่ี อนใหบุคคลสามารถพนทุกข และพบความสุขไดดวยการคนหาสาเหตุของ ปญหา สาเหตขุ องทุกข ซ่งึ สง ผลใหบคุ คลผูน ้ัน สามารถอยใู นสงั คมไดอยา งมีความสุข คนคดิ เปน เม่อื ไดน ําทางเลือกที่ไดคิดวิเคราะหไวอยางดีท่ีสุดไปปฏิบัติแลว หากยังไม พอใจ ไมม คี วามสุข กย็ ังมีสติ ไมเ ดือดรอน กระวนกระวาย ไมตโี พยตพี าย แตจะพยายามศึกษา ปญหา ทบทวนใหม ศึกษาขอมูลเพ่ิมเติม ใหละเอียดลึกซ้ึงมากข้ึน กลับเขาสูกระบวนการคิด ใหม เพอ่ื เลอื กทางปฏิบัติใหม จนกวา จะพอใจ โดยมีแผนภูมปิ ระกอบการคิด ดังนี้ ขอมูลจาก http://www. http://folkmelody.blogspot.com/2012/11/blog-post_23 ทกั ษะการเรยี นรู้ ระดับประถมศกึ ษา : ทร 11001 45 สำ� นกั งาน กศน.จังหวดั กาฬสนิ ธุ์
41 การคิดแบบคิดเปน เปนการใชขอมูลประกอบการคิดอยางรอบดาน นํามาสูการ ตดั สนิ ใจเลอื กที่จะเชอื่ เลอื กทีจ่ ะกระทํา โดยสามารถอธิบายเหตุผลของตนเองได ซ่ึงความคิด ของแตล ะคน ไมจําเปนตอ งเหมือนกันเสมอไป การจัดการศึกษานอกระบบ จึงตองสงเสริมให ผเู รียนคดิ และตดั สินใจดวยตนเองที่สาํ คัญ คือ การยอมรบั และเคารพการตดั สนิ ใจในเรื่องน้ัน ๆ ซ่ึงเปน รากฐานของประชาธิปไตยในระดับ พนื้ ฐานดวย ขอมูลท่นี ํามาใชป ระกอบการคดิ การคดิ เพ่ือแกปญหาตาง ๆ นั้น จําเปนตองใชขอมูลมาประกอบการคิด อยางนอย 3 ประการไดแ ก 1. ขอมูลเก่ียวกับตนเอง หมายถึง การรูจักตนเองอยางถองแท เท่ียงธรรม โดยพจิ ารณา ความพรอมดา นการเงิน สขุ ภาพอนามัย ความรู อายุ และวัย รวมท้ังการมีเพ่ือน ฝูงและอ่นื ๆ 2. ขอมูลเก่ียวกับสังคม หมายถึง สังคมและส่ิงแวดลอม หมายถึง คนอื่น นอกเหนอื จากเราและครอบครัว จะเรียกวา บุคคลที่ 3 กไ็ ด คือ ดวู า สงั คมเขาคดิ อยา งไรกับการ ตัดสินใจของเราเขาเดือดรอนไหม เขารังเกียจไหม เขาช่ืนชมดวยไหม เขามีใจปนใหเราไหม รวมตลอดถึงเศรษฐกิจและสังคมน้ัน ๆ เหมาะกับเร่ืองที่เราตัดสินใจหรือไม รวมท้ัง ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี คุณธรรม และคานิยมของสงั คม 3. ขอมูลเกี่ยวกับวิชาการ หมายถึง ความรูทางวิชาการ เปนความรูทาง วิทยาศาสตร หรอื ความรูวิชาการ ในเรอ่ื งทเี่ ราจะตองใชป ระกอบการตัดสนิ ใจ ขอมลู ทั้ง 3 ประการน้ี ตองใชประกอบกัน จึงจะชวยใหเกิดการวิเคราะหพิจารณาที่ดี ที่ถูกตองมากกวาการใชขอมูลเพียงดานใดดานหน่ึงเทาน้ัน ซึ่งปกติมักจะตัดสินใจกัน ดวย ขอมูลดานเดียว ซ่ึงอาจมีการพิจารณาวา เหมาะสมกับตนเองแลว เหมาะสมกับคนสวนใหญ แลว หรือเหมาะสมตามตํารา หรือจากคําแนะนําทางวิชาการแลว อาจเปนเหตุใหตัดสินใจ ผิดพลาดได 46 ทักษะการเรียนรู้ ระดับประถมศกึ ษา : ทร 11001 สำ� นักงาน กศน.จงั หวัดกาฬสนิ ธ์ุ
42 เรอ่ื งที่ 3 กระบวนการและขน้ั ตอนการแกป ญ หาอยา งคนคดิ เปน การแกไขปญหาของคนคิดเปนน้ัน มีกระบวนการคิดเพื่อแกปญหาตามข้ันตอน ดงั ตอ ไปน้ี 1. สาํ รวจปญ หา 2. หาสาเหตขุ องปญหา 3. วเิ คราะหหาวิธีแกไขปญหา 4. ตัดสนิ ใจเลือกวธิ ีแกปญหา 5. ลงมือปฏิบตั เิ พอื่ แกปญ หา 6. การประเมินผลการแกปญหา กระบวนการแกปญหาของคนคิดเปน ทักษะการเรยี นรู้ ระดับประถมศึกษา : ทร 11001 47 สำ� นกั งาน กศน.จงั หวัดกาฬสนิ ธ์ุ
43 จากแผนภูมิจะเห็นไดวา กระบวนการ และขั้นตอนการแกปญ หาอยา งคนคิดเปน จะเร่ิมตน ดว ยการรจู กั ปญ หาท่ีแทจริง จากน้ัน จึงเนนการวิเคราะหหาสาเหตุของปญหา จาก ขอมูลที่หลากหลายอยางนอย 3 ดาน คือ ตนเอง สังคมส่ิงแวดลอม และวิชาการ แลวจึง วิเคราะหทางเลอื ก ในการแกปญ หา กอนลงมือปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติแลวพอใจก็มีความสุข ถายัง ไมพอใจก็ตองกลับไปเร่ิมตน ตามข้ันตอนแรกกอน จนกวาจะพอใจกับการตัดสินใจแกปญหา ของตนเอง 48 ทักษะการเรียนรู้ ระดับประถมศกึ ษา : ทร 11001 ส�ำนกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ
44 เรอื่ งท่ี 4 ฝก ทกั ษะการคดิ เปน “คดิ เปน” เรือ่ งน้ี นอกจากจะตองทาํ ความเขา ใจกบั หลกั การและแนวคิดแลว การเปน ผูที่มีทักษะการคิดเปนไดน้ัน ตองฝกฝนกระบวนการคิดและฝกปฏิบัติ โดยใชเหตุการณจริงใน ชวี ิตประจําวัน รวมทงั้ มกี ารแลกเปล่ียนความคิด วิธีการพูดคุย ถกเถียงกับเพื่อนฝูง ญาติมิตรดวย การมีประสบการณในการแกไขปญหาตาง ๆ แลวเกิดความพอใจและมีความสุข นั่นเทากับวา ไดเร่ิมตนเปนคนคิดเปนแลว เพื่อใหเกิดผลดีแกตนเอง ผูฝกปฏิบัติควรหมั่นฝกปฏิบัติตาม กระบวนการอยา งตอ เนอ่ื ง เพ่ือเพิ่มพูนทกั ษะใหม ากย่งิ ขน้ึ จงึ จะแกไขปญหาตาง ๆ ไดดี ไมเกิด ขอ ผดิ พลาดบอย และสามารถคิดไดร วดเรว็ ยง่ิ ข้นึ โดยสรุปคือ การสอนแบบคิดเปน ไมมีการสอนแบบสําเร็จรูปวา อะไรถูก อะไรผิด ขึ้นอยูกับบริบทและส่ิงแวดลอม แตละคนจะมีบริบทไมเหมือนกัน แตเมื่อนํามาถกเถียงกัน นาํ มาอภปิ รายกัน จะเกดิ ความรูแตกฉานยง่ิ ข้ึน คนท่คี ิดเปน จะเปน ผทู ีร่ จู กั ปรบั ตนเอง และสภาพแวดลอ มใหเ ขากันไดอยางดี เปนคน ท่ีอยู ในสังคมไดอ ยา งมคี วามสุข และมสี มรรถภาพของการเปนคนคดิ เปน ดงั น้ี 1. สามารถเผชิญปญหาและแกป ญ หาในชวี ิตประจําวันไดอยา งมรี ะบบ 2. สามารถแสวงหาและใชขอมลู หลาย ๆ ดา นในการคิดแกไขปญ หา 3. รูจักช่ังนํ้าหนัก คุณคา และตัดสินใจหาทางเลือก ใหสอดคลองกับคานิยม ความสามารถและสถานการณ หรือเง่ือนไขสวนตัว และระดับความเปนไปไดของทางเลือก ตา ง ๆ ทักษะการเรียนรู้ ระดบั ประถมศกึ ษา : ทร 11001 49 สำ� นักงาน กศน.จังหวดั กาฬสินธ์ุ
45 กิจกรรมทายบทที่ 4 1. ใหผ เู รยี นนําความรคู วามเขา ใจเกยี่ วกับกระบวนการแกป ญหาของคนคดิ เปน มาฝกแกปญหา ในกรณดี งั ตอ ไปนี้ นายสมหวงั ประกอบอาชีพทํานาขาว มีรายไดหลักจากการขายขาวในแตละป เพียง พอทจ่ี ะนํามาเปนคาใชจายในครอบครวั แตในปนีเ้ กดิ ปญหานา้ํ แลง และมีแมลงมารบกวนมาก ซง่ึ คาดการณแ ลววาจะทําใหรายไดตองลดลงจํานวนมาก ถาผูเรียนเปนนายสมหวัง จะมีวิธีคิด แกไขปญหาในเร่ืองน้ีอยางไร โดยใหแสดงขอมูลทั้ง 3 ดาน และทางเลือกในการตัดสินใจ แกป ญหา พรอ มระบเุ หตผุ ลประกอบ ขอมลู เกี่ยวกับตนเอง ขอมูลดานสิ่งแวดลอ ม ขอ มูลดานวชิ าการ ............................................ ............................................... ................................................... ............................................ ............................................... ................................................... ............................................ ............................................... ................................................... ............................................ ............................................... ................................................... ............................................ ............................................... ................................................... ............................................ ............................................... ................................................... ............................................ ............................................... ................................................... ............................................ ............................................... ................................................... ............................................ ............................................... ................................................... ทางเลอื กในการตัดสนิ ใจแกปญหาและเหตุผลประกอบ ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... 50 ทกั ษะการเรียนรู้ ระดบั ประถมศกึ ษา : ทร 11001 สำ� นักงาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธุ์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128