96 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ทอดศูนยอ์ านาจทางศาสนาจากเมอื งหรภิ ุญไชยทม่ี ี ทส่ี ุด โดยตงั้ ในพน้ื ทศ่ี ูนยก์ ลางเมอื งหลวง โดดเด่น ความสาคญั มาตงั้ แต่สมยั ก่อนพญามงั รายตราบจน เป็นศนู ยร์ วมจติ ใจหลกั ของอาณาจกั รลา้ นนา การรบั เอาศาสนาพุทธเถรวาทลงั กาวงศส์ องระรอก จากเมอื งพนั (มอญ)สถาปนาศาสนาพุทธสหี ลนิกาย ควำมเสียหำยผพุ งั ทิ้งรำ้ ง ท่วี ดั สวนดอกรูปแบบเจดยี ท์ รงระฆงั ฐานช้างล้อม ภายหลังจากการสร้างองค์เจดีย์เสร็จ จดั ผงั คลา้ ยวดั มหาธาตุสุโขทยั ตงั้ อย่กู ลางเวยี งสวน ดอก และจากเมืองสุโขทัยนิกายสีหลใหม่ท่ีวัด สมบูรณ์มกี ารสรา้ งเสรมิ อกี เลก็ น้อยสมยั พญายอด- ป่าแดงหลวงรูปแบบเจดีย์ทรงระฆงั ฐานช้างล้อม เชียงราย ปิดทองจระนาทัง้ ส่ี และพญา แก้ว ทัง้ น้ียังอาจหมายรวมได้ว่าเป็นการลดบทบาท พุทธศกั ราช 2046 (ประมาณ 20 ปี จากสรา้ งเสรจ็ ) ความสาคญั ของกลุ่มความเช่อื พ้นื ถิ่นดงั้ เดมิ เร่อื ง ก่อระเบยี งล้อมสามชนั้ และหุ้มองค์เจดยี ด์ ้วยทอง อนิ ทขลี หรอื สะดอื เมอื ง จงั โก ในรปู แบบสถาปตั ยกรรมคงเดมิ (สงวน โชติ สุขรตั น์, 2515 : 383) กระทงั่ พุทธศกั ราช 2088 ฉะนั้นการสร้างองค์พระเจดีย์หลวงท่ีมี สมยั พระนางเทวจี ริ ะประภา แผ่นดนิ ไหวยอดหกั รูปแบบสถาปตั ยกรรมแสดงออกถงึ ลกั ษณะท่ตี ่าง (พระยาประกจิ กรจกั ร, 2515 : 383) ไถลตวั ลงไป ไปจากรปู แบบทส่ี รา้ งกนั มาทงั้ ของตนเอง และกลุ่ม สรา้ งความเสยี หายอย่างมากกบั องค์เจดยี ท์ างทศิ วฒั นธรรมอ่นื เพ่อื แสดงความยงิ่ ใหญ่เช่นเดยี วกบั ใต้ (รวมระยะเวลาท่อี งค์เจดยี ม์ คี วามสมบูรณ์อยู่ วดั มหาธาตุศูนยก์ ลางแห่งเมอื งสุโขทยั และอยธุ ยา เพยี งระยะเวลาราว 60 ปี) ด้วยลกั ษณะการก่ออฐิ หรือความย่ิงใหญ่ของสถาปตั ยกรรมแบบเจดีย์ สูงข้นึ เป็นชนั้ ๆ เม่อื แผ่นดนิ ไหวระบบโครงสร้าง วหิ ารในท่งุ เจดยี แ์ หง่ เมอื งพกุ าม แสดงออกถงึ ความ การก่ออิฐแกนกลางทึบกับส่วนฐานอาคารท่ีแผ่ เป็นอสิ ระทางศิลปกรรม สถาปตั ยกรรมท่สี ะท้อน กวา้ งคงช่วยคงลกั ษณะส่วนด้านล่างของอาคารไว้ ค ว า ม เ จ ริ ญ ผ่ า น โ ค ร ง ก า ร ก่ อ ส ร้ า ง พุ ท ธ แต่ส่วนยอดทเ่ี ป็นทรงแหลมสงู จะไดร้ บั แรงสนั่ ไหว สถาปตั ยกรรมขนาดใหญ่ให้เทียบเคียงกันหรือ มากกว่าเช่นเดียวกับอาคารสูงท่ีต้องรองรบั การ เหนอื กวา่ วฒั นธรรมอ่นื ทก่ี ลา่ วมา จากทไ่ี ดก้ ล่าวมา เคล่อื นขยบั อาคารส่วนบนได้บ้าง แต่กรรมวธิ กี าร นั ย ย ะ ท่ี เ กิ ด จึง ส ะ ท้ อ น ผ่ า น ก า ร ก ล่ า ว ถึ ง ง า น ก่ออฐิ ทเ่ี รยี งแนวนอนมตี วั ประสานเพยี งปูนสอการ สถาปตั ยกรรมของพระเจดยี ์หลวงให้เป็นกระพุ่ม ขยบั ทเ่ี กนิ ขดี จากดั จงึ ทาใหส้ ่วนบนเคล่อื นออกจาก เ ดี ย ว อ า จ ห ม า ย ถึ ง ก า ร ห ล อ ม ร ว ม ค ว า ม เ ช่ื อ แกนรบั น้าหนักไถลพงั ลงไป และน่าจะสรา้ งรอยปริ หลากหลายใหบ้ รสิ ุทธเิ ์ ป็นหน่ึงเดยี ว ผ่านงานพุทธ แยกความเสียหายอ่ืนๆ ไว้ด้วยเช่นกัน ความ สถาปตั ยกรรมท่ีมีรูปแบบเฉพาะตวั และสูงใหญ่ เสยี หายทเ่ี กิดขน้ึ นัน้ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาใดของ ท่สี ุดในช่วงเวลาท่มี กี ารขยายตวั อย่างกว้างขวาง อาณาจกั รลา้ นนา (แม้กระทงั่ ปจั จุบนั ) เป็นเร่อื งท่ี ยากต่อการฟ้ืนฟูปฏสิ งั ขรณ์ตวั องค์เจดยี ์ และส่วน
97 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ยอด อนั เน่ืองมาจากระบบโครงสรา้ งท่ใี ชร้ ะบบงา่ ย ขณะเดยี วกนั ทาไมเจดยี ว์ หิ ารขนาดใหญ่ใน เมอ่ื สรา้ งแต่ยงุ่ ยากซบั ซอ้ นในการซ่อมแซม ลองคดิ อาณาจกั รพุกามท่อี ยู่ในพ้นื ท่ใี กล้เคยี งกนั กบั แนว วา่ หากตอ้ งเรยี งอฐิ ใหมเ่ ขา้ ไปบนส่วนทเ่ี สยี หายเดมิ แผ่นดนิ ไหวไมไ่ ดร้ บั ความเสยี หายเช่นเดยี วกบั องค์ ทร่ี ะดบั ของชนั้ อฐิ แต่ละชนั้ เคล่อื นตวั ห่างกนั และไม่ เจดยี ์หลวง เหตุผลมาจากลกั ษณะเฉพาะของ เรยี บเสมอกนั เช่นเดมิ เสยี ทงั้ เวลา กาลงั และทุน สถาปตั ยกรรมเจดยี ์วหิ ารแบบพุกามมพี ฒั นาการ ทรัพย์ ซ่ึงเป็นเร่ืองท่ียุ่งยากซ้อนเข้าไปอีกกับ ของระบบโครงสร้างท่ีราวกับออกแบบมาเพ่ือ สถานะของเมอื งเชยี งใหม่ในขณะนัน้ ท่อี ยู่ในช่วง รองรบั อาคารลกั ษณะน้ีโดยเฉพาะ คอื แกนกลาง ปลายการเมอื งภายในระส่าระสายก่อนทจ่ี ะถูกพม่า เป็นแท่งโครงสร้างก่ออิฐตันรบั ถึงโครงสร้างส่วน เขา้ ครอบครองในระยะเวลาอกี ไม่นาน ไดไ้ ม่คุม้ เสยี ยอดบนสุดทัง้ ยงั ใช้ประดิษฐานองค์พระพุทธรูป (ความจรงิ สร้างใหม่จะง่ายกว่า) องค์พระเจดีย์ท่ี ขนาดใหญ่ พ้นื ท่ีภายในเป็นโถงใหญ่เช่ือมถึงกัน สร้างเพ่ือเป็นศูนย์กลางการรวบรวมสรรพกาลัง ด้วยช่องทางเดินท่ีเป็นโครงสร้างสนั โค้ง (Arch) ความเช่ือลงไปในงานสถาปตั ยกรรมท่ีย่ิงใหญ่ แบบท่ไี ม่พบว่ามกี ารใช้ในระยะเวลาไล่เล่ยี กนั ใน ศูนยก์ ลางเมอื งจงึ คงสภาพความเสยี หาย ต่อเน่ือง วฒั นธรรมใกล้เคยี ง ซง่ึ ทาหน้าทเ่ี สมอื นส่วนค้ายนั มาจนถงึ ยคุ สมยั ปจั จบุ นั แกนโครงสรา้ งส่วนบนเข้าไว้กบั แนวกาแพงชนั้ ท่ี รปู ท่ี 2 เจดยี ห์ ลวงดา้ นทศิ ตะวนั ตกเฉยี งใตท้ เ่ี สยี หาย จากแผน่ ดนิ ไหว และยงั ไม่ไดร้ บั การบรู ณะ ทม่ี า : http://thaiarch.blogspot.com/2007/10/blog-post.html
98 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื สอง และสามท่ีความสูงลดลงมาตามลาดับเพ่ือ บันได ท่ีบ้างปูนก็กะเทาะหลุดร่อนไปตามเวลา กระจายการน้าหนักลงมายงั ฐานท่ีแผ่กว้างลงสู่ สภาพทพ่ี อเหน็ เคา้ รางลกั ษณะเดมิ กม็ ที ่ี เศยี รนาค พ้ืน ดิ น ค ล้ า ย โ ค ร ง ข่ า ย ใ ย แ ม ล ง มุ ม ท่ีถ่ า ย ท อ ด ด้านทิศเหนือ ส่วนฐานช้างล้อมท่ีก่อด้วยอิฐ น้าหนกั สองแกน คอื การถ่ายแรงดว้ ยค้ายนั เป็นรศั มี โดยรอบเสยี หายเกอื บทงั้ หมดคงเหลอื เพยี งเชอื ก โดยรอบแกนกลาง และผนงั หลายชนั้ คลา้ ยวงแหวน เดยี วดา้ นทศิ ใตส้ ว่ นงวงและใบหูเสยี หาย ส่วนเชอื ก รบั น้าหนักจากค้ายนั เป็นช่วงๆ ถ่ายลงส่พู น้ื ดนิ ซง่ึ อ่ืนๆ เหลือเพียงร่องรอยช่องส่ีเหล่ียม 5 ช่อง เชยี งใหม่ก็ได้รบั อิทธพิ ลโครงสรา้ งสนั โค้งมาแบบ สาหรบั ฝากโครงสรา้ งจากส่วนผนังซง่ึ น่าจะเป็นไม้ ผิวเผิน เช่นการเรียงสันอิฐซ้อนโค้งถ่ีๆ ท่ีซุ้ม ซุงสเ่ี หลย่ี ม 5 ลา ย่นื ออกมารบั น้าหนกั อฐิ ทก่ี ่อเป็น พระองคเ์ จดยี ห์ ลวง หรอื การใชอ้ ฐิ รปู คางหมทู าเป็น ส่วนลาตวั ชา้ ง องคป์ ระกอบทางสถาปตั ยกรรมส่วน ทพ่ี บทวั่ ไปในเจดยี ล์ า้ นนารว่ มสมยั กนั ฐานซ้อนชนั้ ทวั่ ไปอยู่ในลกั ษณะท่เี ห็นลกั ษณะได้ ชดั เจน องคพ์ ระธำตเุ จดียห์ ลวงในปัจจบุ นั ส่ ว น เ รือ น ธ า ตุ ซุ้ม ป ร ะ ดิษ ฐ า น แ ล ะ สภำพควำมเสียหำยและงำน พ ร ะ พุ ท ธ รู ป เ สี ย ห า ย โ ด ย เ ฉ พ า ะ ทิศ ใ ต้ แ ล ะ ทิ ศ สถำปัตยกรรมท่ีคงอย่กู ่อนกำรบรู ณะ ตะวันตกท่ีโครงสร้างถล่มลงมา ส่วนซุ้มทางทิศ ส่วนฐาน สภาพความเสียหายเกิดกับ ตะวันออกเสียหายจนเห็นลักษณะโครงสร้าง ลวดลายปูนปนั้ ต่างๆ และเศียรพญานาคทางข้นึ ระเบยี บวธิ กี ารก่ออฐิ แบบสนั โคง้ ท่อี ยู่ภายใน เศษ ซากอิฐส่วนยอดท่ไี ถลลงมากองทบั ถมอยู่บรเิ วณ รปู ท่ี 3 องคพ์ ระเจดยี ด์ า้ นทศิ ตะวนั ออก และทศิ เหนอื จากการสารวจ สภาพอาคารกอ่ นการบรู ณะ (ศวิ กรการชา่ ง, 2536 : 70, 72)
99 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ระเบยี งเรอื นธาตุ และฐานทางทศิ ใต้ ลวดลายปูน สภำพสถำปัตยกรรม ปนั้ ประดบั ซุม้ หลงเหลอื บา้ งบรเิ วณซุม้ และลายบวั คอเสอ้ื ของซมุ้ จระนาดา้ นทศิ เหนือ แผ่นทองจงั โกท่ี ภำยหลงั กำรบรู ณะ ปิดส่วนเรอื นธาตุเหลอื อย่เู พยี งบรเิ วณส่วนย่อของ เรอื นธาตุดา้ นทศิ ใต้ ด้วยงบประมาณ 35 ล้านบาทท่ีใช้เพ่ือ บูรณะองค์พระเจดยี ห์ ลวงเม่อื ปีพุทธศกั ราช 2537 ส่วนยอด หลงเหลอื ถงึ เพยี งเส้ยี วหน่ึงของ ( ร ว ม ร ะ ย ะ เ ว ล า ท่ีอ ง ค์ เ จ ดีย์ อ ยู่ ใ น ส ภ า พ ค ว า ม ชุดหลงั คาบัวถลา และมาลัยเถาซ้อนชนั้ ด้านทิศ เสียหายยาวนานกว่า 450 ปี ) กับรายงาน เหนอื ประกอบการบรู ณะองคเ์ จดยี ์ สรปุ การดาเนินการได้ เป็นการขุดค้น พบรายละเอยี ดทางสถาปตั ยกรรม จากลกั ษณะการตกแต่งลวดลายปูนปนั้ ท่ี เพมิ่ ว่า บนั ไดนาคทจ่ี รงิ แลว้ ไมม่ บี นั ได สงิ่ ทเ่ี หน็ กนั เหลอื อยู่นัน้ เป็นฝีมอื ช่างยุคทองสะทอ้ นว่าลกั ษณะ นนั้ มาสรา้ งทบั ในภายหลงั ขุดพบฐานเจดยี ท์ ก่ี ว้าง โดยรวมคือรูปแบบสถาปตั ยกรรมท่สี ร้างในสมยั กว่าเดมิ มรี ะเบยี งอกี ชนั้ ต่ากว่าระดบั พน้ื ดนิ อุโมงค์ พญาตโิ ลกราช ด้านข้างบันไดนาคท่ีเป็ นทางเดินข้ึนสู่ล าน รปู ท่ี 4 แสดงผงั อโุ มงคภ์ ายในองคพ์ ระเจดยี ห์ ลวงทไ่ี ดข้ อ้ มลู ภายหลงั การบรู ณะ (สรุ พล ดารหิ ก์ ลุ , 2539 : 138, 140)
100 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ประทักษิณส่วนเรือนธาตุได้ (คล้ายกับเจดีย์วัด มองในส่วนท่เี ป็นประโยชน์จากการบูรณะ เจ็ดยอด) ซ่งึ ส่วนอุโมงค์เป็นโครงสร้างก่ออิฐรูป แ น่ น อ น ว่ า อ ง ค์เ จ ดีย์ย่ อ ม ไ ด้รับ ก า ร เ ส ริม ค ว า ม สเ่ี หลย่ี มคางหมูเป็นสนั โค้งสูงประมาณ 2 เมตร ท่ี แขง็ แรง ต้นไม้ท่ขี ้นึ อยู่ตามส่วนต่างๆ ถูกร้อื ถอน น่าจะทาขน้ึ คราวขดุ ลอกฐานสมยั พญาตโิ ลกราชจน ออก เน่ืองจากเช่อื กนั ว่ารากไม้จะเพิ่มรอยแยกท่ี ดคู ลา้ ยเจดยี ว์ หิ ารแบบพุกาม แต่ถูกก่อปิดภายหลงั เสยี หายอยแู่ ลว้ รวมถงึ การป้องกนั น้า และความชน้ื เน่ืองจากมลี กั ษณะเป็นทางเดนิ ลกึ เข้าไปใต้เรอื น ทส่ี ามารถส่งผลเสยี หายต่อโครงสรา้ งส่วนในท่ดี แู ล ธาตุส่งผลต่อความไม่แขง็ แรง ซ่งึ เป็นเหตุผลหน่ึงท่ี ได้ยาก เน่ืองจากอาคารตัง้ อยู่กลางแจ้ง ข้อมูล ใช้รองรบั แนวคดิ ว่าเดิมบนั ไดนาคเป็นทางลาดไม่ ต่างๆ ท่ีได้มากข้ึนภายหลงั จากการร้ือเศษอิฐท่ี เป็นบนั ได (สุรพล ดารหิ ก์ ุล, 2539 : 133 - 137) และ เสยี หายออกทงั้ ชุดฐาน และองค์พระพุทธรปู ศลิ ปะ มีการก่อเสริมส่วนผนังเรือนธาตุด้านทิศใต้ย่ืน ล้านนาในซุ้มจระนาด้านทิศใต้ โครงสร้างอุโมงค์ ออกมามากกว่าดา้ นอ่นื (ศวิ กรการชา่ ง, 2536 : 77) ส่วนฐานท่ีใช้เดินข้ึนมายังส่วนลานประทักษิณ บรเิ วณเรือนธาตุ สะท้อนความซับซ้อนของการ ประเดน็ ท่ีเกิดขึ้น วางแผนในการก่อสรา้ ง ขอ้ มูลท่ไี ด้การขุดค้นทาง ภำยหลงั กำรบรู ณะ โบราณคดี ซ่ึงเป็นประโยชน์ในการศึกษาในชัน้ หลงั ๆ หากมขี อ้ มลู อะไรเพม่ิ เตมิ ตามเทคโนโลยที ่ี ก ร ะ บ ว น ก า ร ศึ ก ษ า เ พ่ื อ ใ ช้ เ ที ย บ เ คี ย ง พฒั นาไป กม็ บี นั ทกึ รายละเอยี ดไวด้ กี ว่าทบ่ี นั ทกึ ใน รปู แบบทางสถาปตั ยกรรมไดข้ อ้ สรุปดว้ ยการนาเอา เอกสาร ตานานต่างๆ ซง่ึ สามารถทราบได้ว่าส่วน รปู แบบเจดยี ว์ ดั เชยี งมนั่ เป็นแบบอยา่ งของลกั ษณะ ใดขององค์เจดยี ค์ อื ของเก่า และส่วนประกอบใดท่ี เจดีย์ทรงปราสาทท่ีมีฐานช้างล้อม เรือนธาตุ ทาขน้ึ ทาใหม่ ประดษิ ฐานซมุ้ พระพุทธรปู ส่วนยอดบวั ถลารบั องค์ ระฆงั รวมถงึ ลกั ษณะการบูรณะทม่ี พี น้ื ฐานดว้ ยหุม้ ส่วนผลกระทบจากการบูรณะท่ไี ด้รบั การ เสรมิ องค์เจดีย์ให้ดูสมบูรณ์มากกว่ารกั ษาสภาพ ต่อตา้ นมากคอื ตวั ชา้ งส่วนฐาน ซุม้ จระนาลวดลาย เดิมไว้เพ่ือ ให้อ งค์เจดีย์สะท้อ นเน้ือ หาทาง ปนู ปนั้ ในส่วนต่างๆ ท่สี รา้ งเสรมิ เขา้ มาซ่งึ คุณภาพ สถาปตั ยกรรมในตัวเองตามพัฒนาการทาง งานช่างฝีมือท่ีห่างกันมากกับลวดลายปูนปนั้ ยุค ประวัติศาสตร์ เช่นลักษณะทางโครงสร้างของ ทอง อฐิ กรผุ วิ ทด่ี ใู หม่เป็นพเิ ศษ รวมถงึ แนวคดิ ทจ่ี ะ อาคารขนาดใหญ่ในอดตี ความเสยี หายท่เี ป็นการ สรา้ งองคใ์ หส้ มบูรณ์ ความสงสยั ของรปู แบบบนั ได แสดงขอ้ จากดั ทางเทคโนโลยโี ครงสรา้ ง ความโดด นาคแบบทางลาดท่ีไม่สามารถใช้เดินข้ึนไปได้ เด่นของฝีมอื ช่างปนู ปนั้ ล้านนายุครุ่งเรอื ง ส่งผลให้ อุโมงค์ทใ่ี ชเ้ ดนิ ขน้ึ กป็ ิดเพราะอาจเกดิ อนั ตรายทาง องค์เจดีย์ดูแปลกตาเน่ืองจากว่าสิ่งท่เี ห็นนัน้ เป็น โครงสรา้ ง จงึ ไม่สามารถขน้ึ ไปสู่เรอื นธาตุได้ สรุป ของใหมท่ ห่ี มุ้ องคเ์ ดมิ อยู่ ลกั ษณะทเ่ี กดิ ขน้ึ โดยรวมจงึ เป็นสง่ิ ทแ่ี ปลกแยกทงั้
101 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื รปู ท่ี 5 องคเ์ จดยี ห์ ลวงภายหลงั จากการบรู ณะ แนวก่ออฐิ เสรมิ มสี เี ขม้ กวา่ สว่ นชา้ ง และลายปนู ปนั้ สขี าว ทม่ี า:https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphoto-ak-prn1/996540_484472604977557_1675345975_n.png http://4.bp.blogspot.com/LgrD5Y55fx0/UW7NHxyOSSI/AAAAAAAAD3I/p5qabEo45iw/s1600/WatChediLuang10.jpg วสั ดุ สี ลวดลายต่างๆ การอธบิ ายว่ามที ฤษฎซี ่อม องคเ์ จดียห์ ลวงกบั ควำมน่ำจะเป็นไป เสรมิ โดยแยกให้ต่างจากวสั ดุเดิมก็ควรเป็นส่วน สถานการณ์ปจั จุบัน เมืองเชียงใหม่มี เสรมิ โครงสร้างท่จี าเป็นมากกว่าลวดลาย การก่อ เสรมิ โครงสรา้ งและการปิดส่วนยอดทเ่ี สยี หายดูราว พฒั นาการสบื เน่ืองมาเกนิ 700 ปี ขน้ึ บ้าง ลงบ้าง กับแผลเป็นท่ีนูนบนองค์เจดีย์ แน่นอนว่าสาย ความเปลย่ี นแปลงทางด้านเทคโนโลยี วตั ถุ เจรญิ อนุรกั ษ์เข้มข้นโจมตี ฝ่ายลงมอื ก็ว่าทาดที ่สี ุดตาม ผ่านตาไปอย่างรวดเรว็ องค์เจดยี ห์ ลวงท่ผี ่านการ หลักวิชาการแล้ว สุดท้ายต้องมีการหาทางออก บูรณะครงั้ ใหญ่เม่อื กว่า 20 ปีก่อนกบั กจิ กรรมของ ร่วมกนั เสนอความคดิ เหน็ ข้อมูลท่รี บั รกู้ นั ไดท้ ุกๆ เมอื งท่เี กดิ ขน้ึ โดยรอบ อาคารโครงสร้างคอนกรตี ฝ่ายเป็นผลสรุปร่วมกันทงั้ ฝ่ายผู้รบั ผิดชอบ(กรม ใหม่ๆ เจรญิ เติบโตข้นึ สูงใหญ่ บดบงั เหล่าเจดยี ์ ศิลปากร วดั บรษิ ัทรบั เหมา) กบั ประชาชน และ น้อยใหญ่เพราะความต้องการพฒั นาเมอื ง และการ นักวิชาการ ถูกใจมากบ้างน้อยบ้าง แต่เป็นการ ข ย า ย ตัว เ ชิง ก า ย ภ า พ เ จ ดีย์ ห ล ว ง ง า น แก้ปญั หาเพ่ือหาทางออกร่วมกันท่ีได้ข้อสรุป สถาปตั ยกรรมขนาดใหญ่ทเ่ี คยโดดเด่นผ่านความ สดุ ทา้ ยว่าไมเ่ สรมิ ไมเ่ ตมิ อะไรอกี เสยี หายจนปจั จุบนั คงเหลอื ความสูงราว 40 เมตร (เทียบได้กับอาคาร 10-12 ชั้น) คุณค่าทาง
102 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื กายภาพคงไมอ่ ย่ทู เ่ี ป็นศูนยก์ ลางเมอื งเช่นการรบั รู้ สามารถเสริมองค์ให้เต็มได้ ต้องเจาะแกนยึด ของคนในอดตี กบั การเป็นสถานทท่ี ่องเทย่ี วเฉพาะ โครงสรา้ งอาคารส่วนเก่า และใหมเ่ ขา้ ดว้ ยกนั (การ นักท่องเท่ยี ว และผู้ทส่ี นใจ สงิ่ ท่เี หลอื อยู่คอื การท่ี สร้างอาคารเดียวแต่เป็นสองส่วนของคนละเวลา ช า ว เ ชีย ง ใ ห ม่ พ ย า ย า ม รัก ษ า คุ ณ ค่ า ท า ง เป็นเน้ือเดยี วกันยาก เสยี หายง่าย) ซ่งึ การทาใน สถาปตั ยกรรมขอ้ มลู ความรู้ การเรยี นรเู้ ชงิ อนุรกั ษ์ ปจั จุบนั จะมคี ่าใช้จ่ายสูงมาก อดตี ทผ่ี ่านมาจงึ เป็น ท่ตี ้องมสี ่วนร่วมกบั ประชาคม ไม่ใช่หน้าท่ขี องวดั การพอกเสรมิ ขนาดโดยหุ้มเจดยี ์องค์เดมิ ไว้ ซ่งึ ก็ หรือกรมศิลปากร จังหวัดท่ีมีคุณค่าในแหล่ง เป็นอีกวธิ กี ารหน่ึง แต่เร่อื งรูปแบบและสดั ส่วนท่ี ท่องเท่ยี วทางประวตั ิศาสตร์ ธรรมชาติ และความ ถูกต้องเป็นเร่อื งยากกว่าเน่ืองจากสดั ส่วนทางช่าง ทนั สมยั บนพน้ื ทท่ี บั ซอ้ นกนั ในหลากหลายช่วงเวลา โบราณทค่ี ดิ เร่อื งการกนิ อากาศ (คอื ยง่ิ สูงส่วนบน อ า จน า ไ ป สู่ ก า รเ ป็ น เ มือ ง ท่ อ ง เ ท่ีย ว ท่ีห ล ง ใ น รูป จะดูใหญ่กว่าความเป็ นจริงเร่ือยๆ เช่น พระ มากกว่าของจรงิ ของแท้ (เช่น วหิ ารวดั โลกโมฬี ประธานมณฑปวดั ศรชี ุม สุโขทยั ทม่ี พี ระเศยี ร และ ใหม่ ขม่ เจดยี เ์ ก่า, วหิ ารวดั สะดอื เมอื งดูแลหลวงพ่อ พระรศั มเี ปลวใหญ่กว่าสดั ส่วนพระพุทธรูปทวั่ ไป ขาว แต่ข่มเจดีย์ และย่นื ชดิ ถนน) แมก้ ระทงั่ องค์ เม่ือมองจากโถงทางเข้าย้อนข้ึนจะมีสัดส่วนท่ี เจดยี ห์ ลวงท่มี กั ถ่ายรูปด้านทศิ ตะวนั ออก ใต้ และ ถูกตอ้ งสวยงาม หากมองจากระยะไกลจะมสี ดั ส่วน ตะวนั ตก มากกวา่ ทศิ เหนือทเ่ี ป็นของเดมิ ทส่ี ุด อย่า พระเศยี รใหญ่กว่าความเป็นจรงิ ) จะกลายเป็นว่า ใหก้ ลายเป็นแห่งท่องเทย่ี วทางประวตั ศิ าสตร์ และ นอกจากดูไม่แท้ อาจดูไม่สวยในสายตาผู้รู้เขา้ ไป วฒั นธรรมทม่ี แี ต่ฉากถ่ายรปู หรอื กลางวนั เทย่ี ววดั อกี คนทวั่ ไปอาจช่วยให้เตมิ เต็มจนิ ตนาการได้ว่า กลางคืนเท่ียวบาร์ เพราะคุณค่ามนั จะเกิดข้นึ ได้ องค์พระเจดยี ์หลวงแท้จรงิ แล้วจะเป็นเช่นไร จน ต้องมีความสาคัญอยู่ในใจของคนอยู่อาศัยก่อน สร้างความตกตะลงึ ในความยง่ิ ใหญ่ โดยไม่สนว่า ไมใ่ ชน่ กั ทอ่ งเทย่ี ว องคจ์ รงิ แค่ไหน เพยี งสามารถใหเ้ หน็ และจบั ต้องได้ จริง เชิงท่องเท่ียวอาจย่ิงโด่งดังจนเป็นสถานท่ี ในทำงกลบั กนั ถ้ำมีกำรเสริม ท่องเท่ียวท่ีใครต้องมาถ่ายรูปเลยทีเดียว มา องคเ์ จดีย์ ได้อะไร เสียอะไร เชยี งใหมต่ อ้ งไปเจดยี ห์ ลวง ตอบสนองหลกั การเชงิ พุทธว่าการค้าจุนพระพุทธศาสนาย่อมมองว่าการ สาหรบั กลุ่มท่ีคิดจะเสรมิ ให้สมบูรณ์ จาก ละท้ิงโบราณสถานท่ีเส่ือมโทรมเป็ นเร่ืองไม่ ลกั ษณะท่ีเห็นปจั จุบนั หากเสรมิ คงไม่รู้สึกต่างไป เหมาะสมทากันมาตัง้ นานนม (ง่ายๆ ดูย่อหน้า มากสกั เท่าไหร่ (อยา่ งน้อยกร็ วู้ ่าของเดมิ อย่แู ค่ไหน แรกๆ เอา) และมนั เป็นคนละเร่อื งกบั การอนุรกั ษ์ท่ี มีทัง้ รูป ทัง้ แบบ) โครงสร้างโบราณไม่คิดเผ่ือ ต้องการเก็บความเป็นคุณลักษณะเฉพาะดงั้ เดิม แผ่นดนิ ไหวอยู่แลว้ หากเทคโนโลยใี นอนาคตอาจ หา้ มไปแตะต้อง ซ่งึ ทุกอยา่ งเป็นเร่อื งท่อี าจเกดิ ขน้ึ
103 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ได้ในอนาคตท่ตี ้องมเี หตุ และผลท่ตี ้องพงึ ระวงั ใน ประทานอภัยประทับยืนขนาดใหญ่ ท่ีพระราช การตดั สนิ ใจดาเนนิ การใดๆ อกี มารดาของพญาติโลกราชโปรดให้หล่อเป็นพระ ประธาน งำนสถำปัตยกรรมที่สำคญั อื่นๆ ในวดั เจดียห์ ลวง ส ถ า ปัต ย ก ร ร ม ใ น วัด เ จ ดีย์ห ล ว ง มี ความสาคญั ท่แี สดงพฒั นาการทางความเช่อื และ นอกเหนือจากองค์พระเจดีย์หลวงแล้ว วฒั นธรรมลา้ นนานบั ตงั้ แต่ความเช่อื ทอ้ งถน่ิ ดงั้ เดมิ ภายในวดั ยงั มโี บราณสถานอ่นื ๆ ท่ถี ูกสร้าง หรอื ผสมผสานเข้ากับพุทธศาสนาสร้างรูปแบบให้มี ย้ายมาในยุคหลังเพ่ือเสรมิ สร้าง และผสมผสาน เอกลกั ษณ์เป็นของตนเองแสดงความยงิ่ ใหญ่ของ ความเช่อื ระหว่างพุทธเจดยี ศ์ ูนยก์ ลางเมอื ง กบั เสา ทางวฒั นธรรมใหเ้ ทยี บเคยี งกบั กลุ่มต่างๆ โดยรอบ หลกั อนิ ทขลี ความเช่อื พน้ื ถน่ิ ดงั้ เดมิ ถงึ แมว้ ่าในปจั จุบนั องคพ์ ระเจดยี จ์ ะมคี วามเสยี หาย ก็ ย ัง ส า ม า ร ถ แ ส ด ง พ ล ัง ค ว า ม ยิ่ง ใ ห ญ่ แ ห่ ง ก า ร หออนิ ทขลิ เป็นท่ตี งั้ เสาอินทขลี เช่อื กนั ว่า สรา้ งสรรค์สถาปตั ยกรรมออกมาได้ สาระแห่งองค์ เป็นหลกั เมอื งเชยี งใหมเ่ ดมิ อยทู่ ว่ี ดั สะดอื เมอื ง พระ พระเจดยี ห์ ลวงอาจสมั ผสั ได้ง่ายด้วยขนาดท่ใี หญ่ เจ้ากาวิละเจ้าผู้ครองนครเชียใหม่ (พ.ศ.2324 - แต่คุณค่าภายในย่อมเป็นเร่อื งสาคญั ซง่ึ แน่นอนว่า 2358) โปรดให้ยา้ ยมาไวท้ ่วี ดั เจดยี ห์ ลวง ลกั ษณะ ความเคารพนับถือสักการะของชาวเชียงใหม่ เป็นเสาสรา้ งดว้ ยอฐิ ตดิ กระจกสปี ระดบั ลวดลายตงั้ เสรมิ สรา้ งคุณค่าท่มี ากไปกว่าขนาดขององค์เจดยี ์ ส่วนบนมพี ระพุทธรูปประทบั ยนื ตงั้ ในบุษบก ใน หากขาดจุดน้ีไปก็เป็นเพียงซากเจดีย์ขนาดใหญ่ อาคารจตั ุรมขุ หน้าวหิ ารหลวง มงี านสมโภชเรยี กว่า หลงั หน่งึ กเ็ พยี งเทา่ นนั้ เอง “เขา้ อนิ ทขลิ ” ในวนั แรม 12 ค่า เดอื น 8 เหนือ เสรจ็ วนั ขน้ึ 4 ค่า เดอื น 9 ต้นยางนา เป็นต้นไม้หมายเมอื งท่ปี ลูกคู่ กบั เสาอนิ ทขลี เพ่อื แสดงความรม่ เยน็ เจรญิ เตบิ โต และความอุดมสมบรู ณ์ของสงั คมเกษตรกรรม ศาลากุมภกัณฑ์ ความเช่ือเดิมท่ีปกปกั รกั ษาเสาอินทขีลเป็นศาลาคอนกรีตเสริมเหล็ก ครอบรปู ปนู ปนั้ ยกั ษห์ ลงั แรกอย่บู รเิ วณตน้ ยาง และ รวั้ หน้าวดั บรเิ วณทศิ เหนอื พระวหิ ารหลวง มกี ารบูรณะ ซ่อมแซมสมยั เจ้าแก้ว นว รัฐ เม่ือ พุทธศักราช 2471 เพ่ือ ประดษิ ฐานพระอฏั ฐารสพระพุทธรปู ปางห้ามญาติ
104 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื บรรณำนุกรม จริ ศกั ดิ ์เดชวงศญ์ า. (2541). พระเจดยี เ์ มอื งเชยี งใหม่. เชยี งใหม่ : สานกั พมิ พว์ รรณรกั ษ์. พระรตั นเถระปญั ญา. (2515). ชนิ กาลมาลปี กรณ์ (แสง มนวทิ รู , ผแู้ ปล). พมิ พค์ รงั้ ท่ี 3. กรุงเทพฯ : กรมศลิ ปากร. เพญ็ สุภา สุขตะ ใจอนิ ทร.์ (2554, 29 เมษายน). “ปรศิ นาโบราณคด”ี . มตชิ นสุดสปั ดาห์ ออนไลน์, ปีท่ี 31 ฉบบั ท่ี 1602, 7. ศวิ กรการช่าง. (2536). รายงานการบูรณปฏสิ งั ขรณ์พระเจดยี ์หลวง วดั เจดีย์หลวงวรวหิ าร จงั หวดั เชยี งใหม.่ กรงุ เทพฯ : สานกั งาน. สนั ติ เลก็ สุขมุ . (2538). ศลิ ปะภาคเหนอื : หรภิ ญุ ชยั -ลา้ นนา. กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พเ์ มอื งโบราณ. สงวน โชตสิ ุขรตั น์. (2508). ตานานเมอื งเหนอื . พมิ พค์ รงั้ ท่ี 3. กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร.์ สานักงานวดั เจดยี ห์ ลวง เชยี งใหม่. (2473). ตานานพระธาตุวดั เจดยี ห์ ลวง เชยี งใหม่. เชยี งใหม่ : โรง พมิ พศ์ รหี งส.์ สุรพล ดาริห์กุล. (2539). แผ่นดินล้านนา รวมบทความทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี สังคม และ วฒั นธรรมของลา้ นนา. กรงุ เทพฯ: เมอื งโบราณ. สุรพล ดารหิ ์กุล. (2531, มนี าคม - เมษายน). “ความรทู้ ่ไี ดจ้ ากการขุดคน้ ศกึ ษาพระเจดยี ์หลวงเมอื ง เชยี งใหม”่ . นติ ยสารศลิ ปากร, 32, 1. สุรสวสั ดิ ์สขุ สวสั ดิ ์ณ อยธุ ยา (2548). การบรู ณปฏสิ งั ขรณ์พระเจดยี ห์ ลวงครงั้ ล่าสุด : การคน้ หาแก่นสาร จากความไรแ้ ก่นสาร โบราณคดปี ระชาชน บทบาทการวจิ ยั ต่อทอ้ งถนิ่ ภาคเหนือ. กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พเ์ มอื งโบราณ. เสนอ นิลเดช. (2539). ศลิ ปะสถาปตั ยกรรมลา้ นนา. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : เมอื งโบราณ.
105 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื พลวตั ของเมอื งกบั การใชพ้ น้ื ท่ี ศนู ยก์ ลางเมอื งและทศิ ทางอนาคต ผศ. ดร.ระววิ รรณ โอฬารรตั น์มณี
106 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื
107 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื พลวตั ของเมอื งกบั การใชพ้ น้ื ท่ี ศนู ยก์ ลางเมอื งและทศิ ทางอนาคต ผศ. ดร.ระววิ รรณ โอฬารรตั น์มณี บทนำ ส ร้ า ง อ า ณ า จัก ร ห ริ ภุ ญ ชั ย โ ด ย ไ ด้ น า เ อ า ช่ า ง นักปราชญ์ ราชครู และพุทธศาสนาเข้ามาเผยแผ่ พลวตั เมืองเชียงใหม่ อย่างกว้างขวาง มีผลให้อาณาจักรหริภุญชัย กลายเป็นแหล่งอารยธรรมท่สี าคญั ของลุ่มน้าตอน คาวา่ “พลวตั ” นนั้ มคี วามหมายว่า มกี าลงั เหนือ ต่อมาภายหลงั พญามงั รายได้ขยายอทิ ธพิ ล เก่ียวข้องกับแรง หรือผลของแรง ตรงกับคา อาณาจกั รเชียงแสนในลุ่มน้ากกลงมายงั ลุ่มน้าปิง ภาษาองั กฤษว่า dynamic ซ่งึ หมายถงึ มพี ลงั และสร้างอาณาจกั รล้านนาโดยมเี มืองหลวง ช่ือ นพบุรศี รนี ครพงิ คเ์ ชยี งใหม่ เม่อื พ.ศ.1839 หรอื เคล่อื นไหว ไมห่ ยดุ น่ิง เปลย่ี นแปลงตลอดเวลา คา ราว 717 ปี ล่วงมาแล้ว ทาให้เมอื งเชยี งใหม่มี ว่า พลวตั เมือง จงึ หมายถงึ เมอื งทไ่ี มห่ ยดุ นิ่งอยู่ บทบาทสาคญั ในฐานะเมอื งหลวงของอาณาจกั รนับ แต่นั้นมา เราอาจกล่าวได้ว่า แอ่งวัฒนธรรม กบั ท่ี มคี วามสามารถเคล่อื นทไ่ี ปดว้ ยพลงั ในตวั เอง เชยี งใหม่น้ีรุ่งเรอื งมานานกว่า 1,300 ปีภายใตก้ าร ภายใตแ้ รงและกระแสทก่ี ระทาอยา่ งต่อเน่ือง ดงั นนั้ ปกครองของอาณาจกั รน้อยใหญ่หลายอาณาจกั ร เม่อื เราพดู ถงึ “พลวตั เมอื งเชยี งใหม่” จงึ มนี ยั ยะถงึ ก่อนท่ีจะมีอาณาจกั รล้านนาเกิดข้นึ (ศรศี ักร วัล เมอื งเชยี งใหมท่ ไ่ี ม่หยุดนิ่งทงั้ ยงั สามารถขบั เคล่อื น ลโิ ภดม, 2555) ไปดว้ ยพลงั ทงั้ จากภายในและภายนอก ตลอดระยะเวลา 717 ปี ของเมอื งเชยี งใหม่ เน้ือหาในบทท่ีผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า นบั จากวนั ก่อตงั้ อาณาจกั รลา้ นนามาจนปจั จุบนั ได้ พลวตั เมอื งเชยี งใหม่นัน้ มที ่มี าอนั ยาวนาน พ้นื ท่ี มคี วามเปลย่ี นแปลงทส่ี าคญั รวม 4 ช่วงเวลา ดงั น้ี แอ่งเชยี งใหม่ไดม้ กี ารตงั้ ถน่ิ ฐานมานานกว่า 2,000 พนั ปีตรงกบั สมยั ยุคเหลก็ ตอนปลาย แรกเรมิ่ เดมิ ที 1) ช่วงสรา้ งเมอื งเป็นปึกแผ่นภายใต้การ แอ่งทร่ี าบเชยี งใหม่เคยเป็นถนิ่ ฐานของพวกลวั ะซง่ึ ปกครองของราชวงศม์ งั รายเรอ่ื ยมาจนถงึ ยุครุง่ เรอื ง เป็นคนพน้ื เมอื งเดมิ ถน่ิ ฐานน้ียงั เคยเป็นดนิ แดนท่ี มงั่ คงั่ ทส่ี ดุ ทงั้ ทางการปกครอง สงั คมวฒั นธรรมและ ชนชาตมิ อญแผ่อทิ ธพิ ลมาถงึ แอ่งทร่ี าบเชยี งใหม่มี ความสาคญั มากขน้ึ ตามลาดบั เมอ่ื พระนางจามเทวี พระราชธดิ าพระเจ้ากรุงละโว้หรอื ลพบุรไี ด้เขา้ มา
108 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ศลิ ปะในสมยั พญาติโลกราช จนอาณาจกั รล้านนา แ ล ะ เ ร่ือ ง ร า ว ข อ ง อ า ณ า จัก ร เ ดิม ไ ป พ ร้ อ ม กั บ เสยี เอกราชแก่พม่า (พ.ศ.1839–2101) มรี ะยะเวลา ววิ ฒั นาการความเป็นเมอื งสมยั ใหม่ เน้ือหาส่วน รวม 262 ปี แรกสรุปความเร่ืองการเกิดเมืองในยุคแรกจาก แนวคดิ เร่อื งเวยี งและเมอื ง อนั เป็นแนวคดิ ร่วมของ 2) ช่วงล้านนาเป็นประเทศราชของพม่า เมอื งโบราณในสวุ รรณภมู ิ (พ.ศ.2101–2317) เป็นช่วงเส่อื มถอยและตกต่า ของอาณาจกั รเป็นระยะเวลากวา่ 216 ปี แนวคิดเรอื่ งเวียงและเมือง เมอื งเชยี งใหม่และเมอื งโบราณในอดตี ล้วน 3) ช่วงฟ้ืนเมอื ง ภายหลงั เม่อื พญากาวลิ ะ และพญาจา่ บา้ นไดก้ อบกูเ้ อกราชและฟ้ืนฟูเมอื งอกี ถูกออกแบบภายใต้แนวคดิ ความเป็นเวียง คาว่า ครงั้ ด้วยการเกณฑ์คนไทจากถิ่นฐานต่างๆ มาอยู่ เวยี ง หมายถงึ สถานทอ่ี ย่อู าศยั ของกษตั รยิ แ์ ละชน ในเมอื ง และฟ้ืนเมอื งขน้ึ อกี ครงั้ ภายใต้ราชวงศ์เจา้ ชนั้ ปกครองท่มี ปี ราการล้อมรอบ ในเวยี ง ประกอบ เจด็ ตน มผี ลใหล้ า้ นนามคี วามหลากหลายทางสงั คม ไปดว้ ย สถานทศ่ี กั ดสิ ์ ทิ ธคิ ์ ุม้ ครองเวยี ง หอแก้วหอ วฒั นธรรมไทเป็นอย่างมาก ต่อมาภายหลงั ล้านนา คาหรอื วงั ของกษตั รยิ ต์ ลอดจนคุม้ ของเจา้ นายฝ่าย สู ญ เ สีย อ า น า จ แ ก่ ส ย า ม แ ล ะ ก ล า ย เ ป็ น ม ณ ฑ ล ต่างๆ วดั หลวง ตลาดหลวง ข่วงหลวง โรงชา้ งโรง เทศาภบิ าลของสยาม (พ.ศ.2317–2435) ช่วงน้ีมี ม้าหลวง ไปจนถึงท่ีคุมขังนักโทษ รอบเวียงมี ระยะเวลา 118 ปี ปราการทงั้ ปราการธรรมชาติ เช่น แม่น้าลาคลอง และปราการทม่ี นุษยส์ รา้ งขน้ึ เช่น คนู ้า กาแพง ถดั 4) เมอื งเชยี งใหม่จนปจั จุบนั นบั จากเมอื ง จากปราการป้องกนั เวยี งเป็นชุมชนบ้านอนั เป็นท่ี เชยี งใหมถ่ กู ผนวกเป็นจงั หวดั หน่งึ ในภาคเหนือของ อยู่อาศัยของไพร่ฟ้ าข้าแผ่นดิน มีองค์ประกอบ ไทยจนปจั จุบนั (พ.ศ.2435–2556) มรี ะยะเวลา ชุมชนบ้าน กล่าวคือ มีวัด ตลาด ข่วง แหล่งน้า 121 ปี ถดั ไปเป็นไรน่ า ลอ้ มรอบดว้ ยปา่ เขา พลวตั เมอื งเชยี งใหม่ในช่วงต้นนนั้ คลา้ ยกนั พญามงั รายปฐมกษตั รยิ ล์ า้ นนาผู้สรา้ งเวยี ง กบั เมอื งหลวงในอาณาจกั รโบราณของสุวรรณภูมิ เชยี งใหม่นนั้ มเี ชอ้ื สายลวั ะผสมไทยวน ทาใหท้ รงมี อาทิ มอญ พม่า ละโว้ เชยี งแสน สุโขทยั อยุธยา ภูมปิ ญั ญาทงั้ ของลวั ะและไทมาแต่เดมิ ก่อนสร้าง ลา้ นชา้ ง อาณาจกั รเหล่าน้ีผ่านกระแสความผนั แปร เวียงเชียงใหม่ พญามงั รายได้สร้างเวียงมาแล้ว ทางการเมอื ง สงั คมและวฒั นธรรม มกี ารแลกรบั หลายแห่ง อาทิ เวยี งเชยี งแสน เวยี งกุมกาม ทงั้ ยงั วัฒนธรรมกับอาณาจักรข้างเคียง ตลอดจนรับ ได้รวบรวมเมอื งในแอ่งหุบเขาใกล้เคียงไว้หลาย อทิ ธพิ ลสาคญั ของจนี และอินเดยี จนถงึ จุดเปล่ยี น เมอื ง อาทิ แคว้นหรภิ ุญชยั เมอื งฝาง เมอื งพร้าว เม่อื อาณานิคมตะวนั ตกเขา้ มาเปล่ยี นเมอื งสู่ความ เป็นเมอื งสมยั ใหม่ โดยทเ่ี มอื งยงั คงมปี ระวตั ศิ าสตร์
109 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื เมอื งเชียงดาว เป็นต้น พระองค์ทรงมพี ระสหาย เชิงรูปธรรมและนามธรรม เพราะเป็นสิริมงคลท่ี จากสองอาณาจักรใหญ่ทางตอ นเหนือแล ะ สร้างเสริมความเจริญรุ่งเรือง อุดมสมบูรณ์และ ตอนกลางของสุวรรณภูมิ ได้แก่ อาณาจกั รพะเยา ความผาสุกแก่เมอื ง ประกำรที่สำม ทรงดาเนิน และสุโขทัย การตัง้ อาณาจักรล้านนาและเมือง เชียงใหม่จึงเกิดจากภูมิปญั ญา องค์ความรู้ กุศโลบายในการผูกมติ รและสรา้ งความสมั พนั ธอ์ นั ประสบการณ์และแนวคดิ ทส่ี งั่ สมมานานจากหลาย ดีกับอาณาจกั รเพ่ือนบ้านและเจ้าของวัฒนธรรม อาณาจกั ร เมอื ง ถนิ่ ฐานและชาตพิ นั ธุ์ เม่อื แรกตงั้ ดัง้ เดิม ทัง้ การขอคาปรึกษาจากพญาร่วงแห่ง เวยี ง พญามงั รายได้ใช้กุศโลบายในการสรา้ งบ้าน สโุ ขทยั และพญางาเมอื งแห่งพะเยา การน้อมนาเอา แปงเมอื งหลายประการ ประกำรแรก ทรงเลอื ก เสาอนิ ทขลิ เป็นหลกั เมอื งและมพี ธิ บี ูชาเสาอนิ ทขลิ แบบลวั ะเพ่อื แสดงความเคารพใหเ้ กยี รตบิ รรพบุรุษ ท่ตี งั้ ทเ่ี ป็นศูนยก์ ลางของอาณาจกั รทางตอนเหนือ ลวั ะและชนพ้นื เมอื งเดมิ ถอื เป็นกระบวนการสรา้ ง ทงั้ เชยี งแสน เชยี งตุง เชยี งรงุ่ ภกู ามยาว หรภิ ุญชยั พนั ธมติ รเพ่อื ใหเ้ กดิ การยอมรบั จากคนต่างกลุ่มอนั สุโขทยั ทาใหม้ โี อกาสผกู สมั พนั ธร์ ะหว่างอาณาจกั ร มาสู่ความมนั่ คงของอาณาจกั ร ประกำรที่ส่ี ทรง ต่างๆ ในอนาคตได้ ประกำรท่ีสอง ทรงสร้าง จดั วางพ้นื ท่เี วยี งและเมอื งตามคติผงั เมอื งโบราณ แนวคิดเก่ียวกับชัยมงคลทัง้ เจ็ดประการ มีการ โดยมีทกั ษาเมืองตามหลักโหราศาสตร์กากับไว้ บนั ทกึ ไว้เป็นลายลกั ษณ์อกั ษรในตานานพ้นื เมอื ง เพ่อื สร้างแนวคดิ เร่อื งพ้นื ท่ศี กั ดสิ ์ ทิ ธทิ ์ ่สี ่งเสรมิ บุญ เชยี งใหม่ สาหรบั มงคลถ้วนท่หี น่ึง สอง และสาม บารมแี ก่ผู้ปกครองและสรา้ งความมนั่ คงทางใจแก่ นัน้ เก่ยี วกบั สตั ว์มงคลท่มี กี ายสขี าว ได้แก่ กวาง ไพร่ฟ้ า ประกำรท่ีห้ำ ทรงออกแบบผังเมือง เผอื ก ฟานเผอื ก และหนูเผอื ก ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ความ สมบูรณ์ ร่มเยน็ ความโชคดมี ชี ยั ต่อศตั รู ส่วนชยั เชยี งใหมใ่ หม้ แี บบแผนเป็นรปู สเ่ี หลย่ี มแตกต่างจาก มงคลถ้วนส่ี หา้ หก เจด็ และแปดนัน้ เก่ยี วกบั ภูมิ อาณาจกั รอ่ืนทางเหนือ เช่น เชียงแสน เชียงรุ่ง ประเทศและแหล่งน้าตามธรรมชาตอิ นั เป็นคุณแก่ เชยี งตุง หรภิ ุญชยั ท่มี กั มสี ณั ฐานกลมหรอื รูปหอย เมอื ง ประกอบดว้ ย ความลาดชนั ของพน้ื ทจ่ี ากทาง สงั ข์ สณั ฐานเมอื งแบบส่เี หล่ยี มน้ีแสดงให้เห็นถึง ตะวนั ตกมาทางตะวนั ออก ความสมบูรณ์ของน้า เอกลักษณ์ของการรับเอาวัฒนธรรมมอญและ หว้ ยแก้วจากดอยสุเทพ การมนี ้าแมข่ ่าเป็นปราการ พราหมณ์เขา้ มาผสมผสานเพ่อื สรา้ งความแตกต่าง โอบเมอื ง การมหี นองบัวทางทศิ อีสานสาหรบั ใช้ จากอาณาจกั รทางเหนือท่อี ยู่โดยรอบ (อรุณรตั น์ เกบ็ น้าในเมอื ง และการมแี ม่น้าปิงทห่ี ล่อเลย้ี งเมอื ง วเิ ชยี รเขยี ว, 2539; อุษณยี ์ ธงไชย, 2539) แนวคดิ เก่ยี วกบั ชยั มงคลน้ีล้วนเป็นเกณฑข์ องการ เลือกท่ตี งั้ เมอื งท่ดี ตี ามหลกั ผงั เมอื งโบราณทงั้ ใน
110 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ภาพท่ี 1 ทศั นียภาพถนนราชดาเนินจากวดั พระสงิ หถ์ งึ แยกกลางเวยี ง แสดงรอ่ งรอยของพน้ื ทศ่ี นู ยก์ ลางเวยี ง ศนู ยก์ ลำงเมอื งเชียงใหม่ 1) ส่วนหวั เวยี ง ตงั้ อยบู่ รเิ วณมงคลตามหลกั ทกั ษา เมอื ง คอื อายุเมอื ง เดชเมอื ง ศรเี มอื ง ตามสณั ฐาน ในอดีตและปัจจบุ นั ร่างกายเปรยี บไดก้ บั หวั ตงั้ อย่ทู างทศิ เหนืออนั เป็น ทิ ศ ท่ี พ ร ะ ม ห า ก ษั ต ริ ย์ เ ส ด็ จ เ ข้ า เ วี ย ง ใ น พิ ธี พ้ืนท่ีศูนย์กลางเมืองเชียงใหม่มีปรากฏ ราชาภเิ ษก พน้ื ทน่ี ้ปี ระกอบดว้ ยวดั สาคญั เวยี งแกว้ ชดั เจนในทกั ษาเมอื งเชยี งใหม่ ตวั เวยี งเชยี งใหมถ่ ูก หอคา วงั คุ้ม คลงั โรงช้าง ม้า ราชรถหลวง และ จดั วางอยใู่ นกรอบสเ่ี หลย่ี มลอ้ มรอบดว้ ยกาแพงและ ข่วงหลวง 2) ส่วนกลางเวยี ง ตามทกั ษาเมอื งถอื คูเมอื งนัน้ ถอื เป็นศูนยก์ ลางในพ้นื ทข่ี นาดประมาณ เป็นบรวิ ารเมอื ง เกตุเมอื งและมลู เมอื ง เปรยี บเป็น กว่าสามตารางกโิ ลเมตร ภายในกรอบสเ่ี หลย่ี มของ ตาแหน่งสะดอื และทอ้ ง มพี ้นื ทห่ี ลกั คอื สะดอื เมอื ง เวยี งเชยี งใหมถ่ ูกกาหนดการใชท้ ด่ี นิ ไว้อยา่ งชดั เจน ข่วงเมอื งและตลาดใหญ่ 3) ส่วนท้ายเวยี งตงั้ อยู่ ศนู ยก์ ลางของเวยี ง คอื สะดอื เวยี ง เป็นทต่ี งั้ เสาอนิ บริเวณทกั ษาเมือง คือ มนตรเี มอื งและอุตสาหะ ทขลิ ถอื เป็นหลกั เมอื ง ตวั เวยี งเดมิ มที างเขา้ ออกอยู่ เมอื ง ตามสณั ฐานร่างกายเปรยี บได้กบั ขาและเท้า 5 ประตู ประกอบดว้ ย ประตูชา้ งเผอื ก ประตูท่าแพ อย่ทู างทศิ ใต้ซ่งึ เป็นทอ่ี ยู่อาศยั ของชนชนั้ ปกครอง ประตูเชยี งใหม่ ประตูสวนดอก และประตูแสนปรุง ตลอดจนผู้วางกุศโลบายปกป้องและคุ้มกันเมอื ง (สวนปรงุ ) นอกจากน้ียงั มสี ่วนตะวนั ตกเฉียงใต้ตามทกั ษาถือ เป็นกาลกณิ เี มอื ง ใชเ้ ป็นทต่ี งั้ ของเรอื นจา ไมใ่ หต้ งั้ หลกั การผงั เวยี งเชียงใหม่ตามคมั ภรี ์มหา ทกั ษามกี ารผูกดวงเวยี งและจดั วางส่วนประกอบ เวยี งอุปมาดงั รา่ งกายคน ดงั ภาพท่ี 2 ประกอบดว้ ย
111 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ภาพท่ี 2 แสดงหลกั การวางผงั เวยี งเชยี งใหมต่ ามทกั ษาเมอื ง (บน) และการสรา้ งปราการโอบลอ้ มเมอื ง (ลา่ ง)
112 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื บา้ นเรอื นและยงั มปี ระตูแสนปรุงอยู่ใกล้กนั ใช้เป็น แนวคดิ ของผงั เมอื งรวมเมอื งเชยี งใหม่ได้ ทางออกของศพ (ระวิวรรณ โอฬารรตั น์มณีและ กาหนดพน้ื ท่เี วยี งซ่งึ เป็นศูนยก์ ลางเมอื งเชยี งใหม่ เชาวลติ สยั เจรญิ , 2556) การจดั วางทกั ษาเมอื งน้ี ให้เป็นพ้ืนท่ีอนุรกั ษ์ พ้นื ท่อี ยู่อาศัยและพ้นื ท่ีเพ่ือ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ การกาหนดการใชท้ ด่ี นิ เชงิ กายภาพ การพาณิชย์ ซ่ึงเป็นกาหนดการใช้ท่ีดินอย่าง ตลอดจนเชิงหน้าท่ี ความสาคญั และความหมาย กวา้ งๆ แต่การเตบิ โตของเมอื งอย่างรวดเรว็ ภายใต้ ของแต่ละพน้ื ทไ่ี วอ้ ยา่ งครบถว้ น การกาหนดทงั้ มติ ิ ช่องโหว่ของกฎหมายผังเมืองและเทศบัญญัติ รปู ธรรมและนามธรรมสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ระบบความ ควบคุมการก่อสรา้ งไดส้ ่งผลให้เกดิ การใช้ทด่ี นิ ผดิ เช่อื และโลกทศั น์โบราณท่สี อดคล้องกบั หลกั ทาง ประเภท การพฒั นาไปตามกระบวนการเป็นเมอื ง ภูมศิ าสตรก์ ายภาพและภูมศิ าสตรว์ ฒั นธรรม เมอื ง ได้ก่อให้เกิดรูปแบบย่านใหม่ๆ ตามการใช้งานท่ี เชยี งใหม่นับจากอดตี มาจนปจั จุบนั ยงั คงดารงอยู่ เปล่ยี นไป ทงั้ ย่านราชการ การศกึ ษา การค้า การ ภายใต้ระบบความเช่ือดัง้ เดิมน้ีผสมผสานกับ ท่องเท่ียว แหล่งบันเทิง ผสมผสานไปกับย่าน ความคิดสมยั ใหม่ท่เี ข้าผสมกลมกลืนแต่ไม่ได้ลบ อนุ รักษ์ การพัฒนาเหล่าน้ี ไม่เพียงเปล่ียน เลอื นความเช่อื เดมิ ลงไป รปู ลกั ษณ์ทางกายภาพและลดทอนเน้ือเมอื งเก่าทม่ี ี เสน่หล์ งไป แต่ยงั เปลย่ี นคณุ ค่าและความหมายของ หลังการล่มสลายของอาณาจักรล้านนา พน้ื ทเ่ี มอื งเชยี งใหมท่ ม่ี ที กั ษาเมอื งกากบั มาแต่เดมิ ความเป็นพ้ืนท่ีศักดิส์ ิทธิข์ องเวียงเชียงใหม่ตาม อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ข อ ง ห ลัก ทัก ษ า เ มือ ง โ บ ร า ณ ไ ด้ เม่อื พิจารณาลักษณะความเป็นย่านของ เปลย่ี นไป ทงั้ จากผลของการพฒั นาสาธารณูปโภค เชยี งใหมใ่ นปจั จุบนั จะพบความหลากหลายไปตาม ของชาตติ ะวนั ตกในยุคสมั ปทานค้าไม้ การเขา้ มา พ้นื ท่ี บริเวณย่านกลางเวียงท่ีถือเป็นพ้ืนท่สี ะดือ ของย่านการค้าชาวจีนและอินเดียตามเส้นทาง เวยี ง ยงั คงหลงเหลอื รอ่ งรอยทางประวตั ศิ าสตรท์ งั้ การคา้ สายไหม และการพฒั นาเมอื งใหท้ นั สมยั ตาม วงั และคมุ้ ทอ่ี ยทู่ างเหนือและกลางเวยี ง ในเขตเวยี ง นโยบายการพัฒนาเมอื งหลกั ของภาคเหนือและ ยงั มวี ดั ทย่ี งั คงสภาพอยทู่ วั่ ไป ในขณะเดยี วกนั ไดม้ ี แนวคดิ ของผงั เมอื งสมยั ใหม่ ซ่งึ กากบั ควบคุมการ พ้นื ท่ที างสงั คมรูปแบบใหม่เกิดข้นึ เพ่อื ตอบสนอง ใช้ท่ดี นิ ในเมอื งโดยเฉพาะการใช้ประโยชน์ในเชิง วถิ ชี วี ติ เมอื งปจั จุบนั พ้นื ท่เี หล่าน้ีมปี รากฏในแบบ กายภาพและเศรษฐกจิ แนวทางการพฒั นาเมอื งใน ถาวร เช่น การพัฒนาย่านกลางเวียงเป็นพ้ืนท่ี ยคุ ต่างๆ ทก่ี ล่าวแลว้ น้ี แตกต่างจากแนวคดิ ดงั้ เดมิ ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ แ ส ด ง ถึ ง ก า ร ส ร้ า ง เ วี ย ง ข อ ง เม่อื สร้างเมืองท่ีเน้นการใช้ท่ดี ินในเชงิ การสงั คม พญามงั ราย การเปล่ียนหอแก้วหอคาเป็นศูนย์ วฒั นธรรมและการปกครอง ประวตั ศิ าสตรเ์ มอื งเชยี งใหมแ่ ละพพิ ธิ ภณั ฑพ์ น้ื ถน่ิ
113 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ภาพท่ี 3 ผงั สแี สดงการใชป้ ระโยชน์ทด่ี นิ (บน) และภาพถ่ายทางอากาศแสดงการใชท้ ด่ี นิ ในปจั จุบนั (ลา่ ง)
114 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื และสรา้ งอนุสาวรยี ส์ ามกษตั รยิ ไ์ วเ้ พ่อื ราลกึ ถงึ การ ท่องเท่ียวของเมืองข้ึนจานวนมาก เช่น ย่าน สรา้ งเมอื งและอาณาจกั ร ตลอดจนการรอ้ื ถอนพน้ื ท่ี ชา้ งเผอื ก ย่านข่วงสงิ ห์ ย่านท่าแพ ย่านกาดหลวง เรอื นจาใหก้ ลบั มาเป็นข่วงหลวงเวยี งแก้วเหมอื นใน ย่านไนท์บาซาร์ ท่ีมีแนวโน้มเช่ือมต่อแหล่ง อดตี เป็นตน้ ท่องเท่ยี วธรรมชาติทางเหนือ เช่น เส้นทางน้าตก และปางช้างสายแม่รมิ เส้นทางรถไฟและแหล่ง ในขณะเดียวกัน พ้ืนท่ีทางสงั คมแบบชัว่ ท่องเท่ยี วธรรมชาติและจบั จ่ายทางฝงั่ ตะวนั ออก ครงั้ ชวั่ คราวได้เกดิ ขน้ึ ในพ้นื ท่สี ามญั ทวั่ ไปในย่าน เช่น น้ าพุร้อน สันกาแพง บ่อสร้าง ส่วนการ ศูนยก์ ลางเมอื ง เช่น ถนน ทางเทา้ และลานจอดรถ ขยายตัวทางทิศใต้มีแนวโน้มขยบั ขยายไปตาม ในรูปแบบของการปิ ดถนนเป็ นถนนคนเดิน เส้นทางท่องเท่ยี วทงั้ ในเขตเมอื ง อาทิ ย่านประตู ตลอดจนลานกิจกรรม พ้ืนท่ีเหล่าน้ีกลายเป็น เชียงใหม่ ย่านวัวลาย ไปเช่ือมกับเส้นทาง เอกลกั ษณ์ของเมอื งเชยี งใหมใ่ นทศวรรษทผ่ี ่านมา ท่องเท่ียวนอกเมอื ง เช่น บ้านถวาย สันป่าตอง อาทิ ถนนคนเดินเมอื งเชยี งใหม่ท่มี อี ยู่หลายแห่ง ในขณะทก่ี ารขยายตวั ทางตะวนั ตก แมม้ ขี ดี จากดั ท่ี ทงั้ แบบดาเนินการประจาและทาเป็นวาระ เช่น มีดอยสุเทพเป็นปราการกัน้ ไว้ แต่การมีอยู่ของ ถนนราชดาเนิน ถนนววั ลาย ถนนนิมมานเหมนิ ทร์ แหลง่ ทอ่ งเทย่ี วในเขตใกลเ้ มอื ง อาทิ สวนสตั ว์ และ ส่วนรูปแบบลานกิจกรรมเมืองได้เกิดข้นึ บริเวณ มสี ถานท่ศี ักดิส์ ทิ ธิข์ องเมอื ง คอื วดั พระธาตุดอย พน้ื ทห่ี น้าเวยี งเดมิ อาทิ ขว่ งประตูท่าแพ ข่วงประตู สุเทพราชวรวิหาร ตลอดจนมหาวิทยาลัยและ ชา้ งเผอื ก ข่วงประตูเชยี งใหม่ ข่วงประตูสวนดอก สนามบนิ ได้ทาให้ด้านตะวนั ตกกลายเป็นแหล่ง ทัง้ ยังมีการใช้พ้ืนท่ีกิจกรรมทางน้ าตามหน้า ทอ่ งเทย่ี ว แหล่งศกึ ษา ย่านหอพกั ยา่ นจบั จ่ายและ เทศกาล เช่น คูเมอื ง และแม่น้าปิงในวนั สงกรานต์ บรโิ ภคทงั้ เวลากลางวนั และกลางคนื เพ่อื รองรบั และลอยกระทง พน้ื ทเ่ี หล่าน้ีมที งั้ ท่เี กดิ ในพน้ื ทเ่ี ดมิ กลมุ่ คนทห่ี ลากหลายเพศ วยั และอาชพี ร้อื ฟ้ืนพ้ืนท่ีรกร้าง ปรบั เปล่ียนรูปแบบและสร้าง พ้นื ท่ใี หม่ การปรบั ใช้พ้นื ท่สี ามญั อย่างอเนก- การเกิดย่านยงั เป็นผลมาจากการเกิดข้นึ ประสงคเ์ ป็นหน่ึงในพลวตั ของพน้ื ทศ่ี ูนยก์ ลางเมอื ง ของห้างสรรพสินค้า ณ จุดตัดการจราจรสาคัญ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ชดั เจนในทศวรรษทผ่ี ่านมา โดยเฉพาะจุดตดั ถนนวงแหวนกับถนนออกนอก เมอื งทงั้ 7 สายใน 4 ทศิ หลกั ของเมอื ง ทาใหพ้ น้ื ท่ี นอกจากน้ี พ้นื ท่ศี ูนยก์ ลางเมอื งเชยี งใหม่ จุดตดั และพ้นื ท่รี อบถนนวงแหวนเตบิ โตหนาแน่น ในปจั จุบนั ไม่ได้จากดั อยู่ในเขตเวยี งอกี ต่อไป แต่ ข้ึน น อ ก จ า ก น้ี ผ ล ข อ ง ก า ร ข ย า ย ตัว ข อ ง เป็ นไปตามการเติบโตของย่านและบริบทท่ี อสังหาริมทรัพย์ทัง้ ในรูปของบ้านจัดสรรและ เปล่ียนไป การขยับขยายทางทิศเหนือและ คอนโดมเิ นียมท่กี ระจายตวั ไปตามเส้นทางจราจร ต ะ วัน อ อ ก ข อ ง เ มือ ง ท า ใ ห้ เ กิด ย่ า น ก า ร ค้า แ ล ะ
115 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื สายหลกั รอบเมอื ง ทาใหเ้ กดิ ย่านชุมชนทม่ี กี จิ กรรม ปัญหำของเมืองเชียงใหม่ หลากหลายตามมารองรบั เน้ือเมอื งทเ่ี คยกระจาย ตวั กนั อย่างหลวมจงึ หนาแน่นขน้ึ จนประสานเป็น ด้ ว ย เ ห ตุ ท่ี ศู น ย์ ก ล า ง เ มือ ง เ ชี ย ง ใ ห ม่ มี เน้ือเดียวกันกับพ้ืนท่ีเมืองทาให้เมืองแผ่กว้าง บทบาททั้งทางกายภาพ เศรษฐกิจ สังคม ออกไปในแนวราบ มผี ลให้พ้นื ท่เี กษตรกรรมและ วฒั นธรรมและการปกครอง ทาใหก้ จิ การระดบั เมอื ง พน้ื ทส่ี เี ขยี วของเมอื งลดลงอยา่ งรวดเรว็ (Urban affairs) และกจิ กรรมในชวี ติ ประจาวนั ของ คนเมอื ง (Urban daily life activities) ของคนท่ี ปจั จุบัน เมืองเชียงใหม่เฉพาะในเขต อาศยั อยนู่ อกเมอื งเช่อื มโยงกนั อย่างแยกกนั ไม่ขาด เทศบาลมเี น้ือทป่ี ระมาณ 40 ตารางกโิ ลเมตร มี เพราะศูนยก์ ลางเมอื งเป็นแหล่งผลติ ส่วนพน้ื ทช่ี าน ประชากรประมาณ 150,000 คน ในขณะท่ที งั้ เมอื งและนอกเมืองเป็นแหล่งของปจั จยั การผลิต จงั หวดั เชียงใหม่มปี ระชากรประมาณ 1,500,000 และเป็นฐานการบรโิ ภค ความสมั พนั ธร์ ะหว่างเมอื ง คน ไม่รวมประชากรแฝงทงั้ นักท่องเท่ยี ว คนต่าง ชานเมอื งและนอกเมอื งจงึ ดาเนินไปอยู่ตลอดเวลา ถ่ิ น ท่ี ม า ท า ง า น แ ล ะ ม า ศึ ก ษ า ท่ี มี จ า น ว น ก ว่ า การพฒั นาสาธารณูปโภคโดยเฉพาะถนนวงแหวนมี 1,000,000 คน จะเหน็ ว่า ศูนยก์ ลางเมอื งเชยี งใหม่ ผลใหเ้ มอื งขยายตวั ออกไปตามรศั มแี ละเส้นรอบวง นัน้ มีขนาดเล็กเม่ือเทียบกับตัวจังหวัด รองรับ แหวน ทาให้พ้นื ท่ชี านเมอื งเดิมถูกกลืนเป็นส่วน ประชากรไดไ้ ม่มากนัก ทาใหเ้ กดิ การขยายตวั ของ หน่ึงของเมอื งและขอบเขตความเป็นเมอื งขยบั ไกล เมืองออกไปทุกทิศทางตามเส้นทางสญั จรขนส่ง ออกไป ระยะการเดนิ ทางจากนอกเมอื งส่ศู ูนยก์ ลาง สายหลกั และก่อให้เกิดแบบแผนการกระจายตัว เมอื งจงึ ไกลขน้ึ ก่อให้เกดิ ความส้นิ เปลอื งเวลาและ แบบไรท้ ศิ ทาง (Urban sprawl) จะเหน็ ไดว้ ่า จาก ค่าใชจ้ า่ ยในการเดนิ ทาง การเกดิ และเติบโตของย่านศูนยก์ ลางเมอื ง ทาให้ ศูนย์กลางเมอื งเชยี งใหม่ในปจั จุบนั ได้ขยายพ้นื ท่ี การเพม่ิ ขน้ึ ของประชากร การขยายตวั ของ ออกไปนอกกรอบถนนวงแหวนรอบในหรอื ถนน ภาคธุรกจิ อุตสาหกรรมและการท่องเท่ยี วในเมอื ง ซูเปอร์ไฮเวย์สายเชียงใหม่-ลาปาง และถนนอ้อม เชยี งใหม่นามาซ่งึ ปญั หาหลายประการ โดยเฉพาะ เมืองด้านใต้หรือถนนมหิดล และมีแนวโน้ม ปญั หาจราจร การขาดประสทิ ธภิ าพของระบบขนส่ง ขยายตัวแบบแพร่กระจายไปตามแนวแกนจาก มวลชนเมอื ง มลพษิ ทางอากาศ ขยะล้นเมอื ง น้า ศูนย์กลางออกสู่นอกเมอื ง ทาให้เกิดปญั หาเมอื ง เสีย น้าท่วม ขาดแคลนแรงงาน ขาดแคลนท่ีอยู่ เน่อื งจากการพฒั นาทค่ี วบคุมไดย้ ากขน้ึ อาศัยในเขตเมอื ง ตลอดจนการลดลงของพ้นื ท่ีสี เ ขีย ว ใ น เ ข ต เ มือ ง แ ล ะ ก า ร ห ม ด ไ ป ข อ ง พ้ื น ท่ี เกษตรกรรมในเขตชนบท ปญั หาเหล่าน้ีเกิดข้ึน ต่อเน่ืองและทวคี วามรนุ แรงมากขน้ึ ตามปจั จยั เรง่ ท่ี
116 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ภาพท่ี 4 แสดงพน้ื ทเ่ี มอื งและย่านต่างๆ ของเมอื งเชยี งใหม่ในปจั จบุ นั
117 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื กล่าวแล้ว ภายใต้กลไกการแก้ปญั หาท่มี ขี ดี จากดั กระตุ้นต่างๆ สามารถดารงอย่แู ละเคล่อื นท่ไี ปดว้ ย ทงั้ เชงิ โครงสรา้ ง แผน กาลงั คน และงบประมาณ พลงั ในตวั เอง เป็นเมอื งทม่ี พี ลวตั สูง ไม่เคยหยดุ นิ่ง ทาใหป้ ญั หาต่างๆ สะสมทวขี น้ึ ตามกาลเวลา ด้วย อยกู่ บั ท่ี กระบวนแก้ไขปญั หาท่วี นเวยี น ระบบการบรหิ าร แบบแยกส่วน การแทรกแซงทางการเมอื งและกลุ่ม ปจั จุบนั เมอื งเชยี งใหม่ยงั คงมศี กั ยภาพและ ผลประโยชน์ ทาให้การจดั การปญั หาเมอื งทาได้ โอกาสในการพฒั นาสูงในทุกด้านโดยเฉพาะด้าน ยาก จนอาจนาไปส่สู ภาวะเส่อื มสภาพเกนิ เยยี วยา การค้าการลงทุนและการท่องเท่ียว เชียงใหม่มี แต่หากมแี ผนรองรบั การพัฒนาท่ีเหมาะสมย่อม โครงสร้างพ้ืนฐานรองรบั การลงทุนทงั้ ด้านทาเล สามารถรักษาเอกลักษณ์ของตนเองและดารง ท่ีตัง้ เป็นศูนย์กลางการค้าภาคพ้ืนทวีปเอเชีย ศกั ยภาพและโอกาสทม่ี อี ยดู่ ว้ ยตนเองได้ ตะวนั ออกเฉียงใต้ มสี าธารณูปโภคขนั้ พน้ื ฐาน และ ปจั จัยเก้ือหนุ นจากภาคการศึกษา ทางการ ทิศทำงอนำคตและโอกำสของกำรพฒั นำ ท่องเท่ยี ว เชยี งใหม่ตดิ อนั ดบั 1 ใน 10 เมอื งน่า เมอื งเชยี งใหมม่ ปี ระวตั ศิ าสตรม์ าแลว้ ถงึ 717 เท่ยี วของโลกโดยหนังสอื Lonely Planet 2011 เพรำะมีบรรยำกำศของควำมเป็ นมิตร รื่นรมย์ ปี ผ่านมรสุมใหญ่มาหลายระลอก ทงั้ การถูกยึด และปลอดภัย โดยเฉพำะกำรท่องเท่ียวเชิ ง ครองและปล่อยท้งิ เป็นเมอื งรา้ ง กระแสอาณานิคม การเปลย่ี นแปลงจากเมอื งหลวงของอาณาจกั รหน่ึง อนุรกั ษ์และกำรผจญภยั และเคยได้รบั เลือกให้ สู่เมืองหลักของอีกประเทศหน่ึง แต่เชียงใหม่ก็ สามารถปรบั ตวั และฟ้ืนสภาพเมอื งกลบั มาสู่ความ เป็นเมืองน่าท่องเท่ียวอันดับ 2 ของโลกจาก รุ่งโรจน์และเกรยี งไกรได้หลายครงั้ หากมองเชิง นิตยสารTravel & Leisure ของสหรฐั อเมรกิ า ปจั จยั เราจะเหน็ ว่า เมอื งเชยี งใหม่มปี จั จยั เก้อื หนุน เชยี งใหม่จงึ มปี จั จยั ดงึ ดูดในตวั เองอยู่มาก ทาให้ หลายประการ ซ่ึงบรรพบุรุษผู้ก่อร่างสร้างเมือง ดารงพลวตั ในการดารงอยไู่ ดด้ ว้ ยตนเองสงู เรยี กปจั จยั เกอ้ื หนุนน้ีว่า ชยั มงคลเมอื ง หากมองใน เชิงกระบวนการจะเห็นว่า เมืองเชียงใหม่ผ่าน ทิศทางของการพัฒนาเมืองเชียงใหม่ใน กระบวนการสัง่ สมอารยธรรมเมืองมานานถึง 7 ปจั จุบนั ควรประสานและสร้างสมดุลระหว่างสอง ศตวรรษและหากนับย้อนไปก่อนตงั้ อาณาจกั รยง่ิ แนวคิด คือ การอนุรกั ษ์กับการพัฒนา ส่ิงท่ีควร ยาวนานกว่านนั้ หลายเท่าตวั เมอื งเชยี งใหมจ่ งึ เป็น อนุรกั ษ์ คอื ภูมปิ ญั ญา คุณค่าและความหมายของ เมอื งท่มี ตี ัวตนและอัตลกั ษณ์ของตนเอง แม้เม่อื เมอื งประวตั ิศาสตร์ทงั้ เชงิ รูปธรรมและนามธรรม ผ่านอุปสรรคก็ยงั สามารถปรบั เปล่ยี นไปตามแรง โดยควบคุมการใช้ประโยชน์เมอื งท่เี กนิ พอดี เกิน กาลงั ศักยภาพและขดั กับภาพลกั ษณ์ของเมอื ง สว่ นทค่ี วรพฒั นา คอื เสรมิ สรา้ งสาธารณูปโภคทไ่ี ม่ พอเพียง พัฒนาระบบจัดการทางกายภาพและ
118 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื สิง่ แวดล้อมของเมืองท่ีมปี ระสิทธิภาพ ตลอดจน เสริมสร้างโอกาสในการเข้าถึงและใช้พ้ืนท่ีใน ชีวิตประจาวันและพ้ืนท่ีรกร้างให้เกิดประโยชน์ อย่างอเนกประสงค์ การเพิ่มพ้ืนท่สี ีเขียวและภูมิ ทศั น์ธรรมชาติ ตลอดจนการเปิดโอกาสให้คนต่าง กลุ่มได้เข้าถึงเมืองได้อย่างเท่าเทียมและใช้ชีวิต เมอื งอยา่ งมคี วามสขุ แนวทางการอยู่ร่วมกันของคนในเมือง เชียงใหม่ต้องคานึงถึงประโยชน์ร่วมกัน สอด ประสานกนั รอมชอมกนั คานึงถึงรกั ษาพ้นื ท่แี ละ ตัวตนเดิม ยอมรับพ้ืนท่ีและตัวตนใหม่ท่ีเอ้ือ ประโยชน์ใหม่ท่ีไม่กระทบประโยชน์เดิม กลไก สาคญั คอื ข้อตกลงประชาคมและภาคีเครอื ข่าย ค ว า ม ร่ ว ม มือ จ า ก ก า ร มีส่ ว น ร่ ว ม ข อ ง ภ า ค ส่ ว น ภายใตเ้ ป้าหมายรว่ มกนั
119 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื บรรณำนุกรม ไกรศรี นิมมานเหมนิ ท์, อุดม รุ่งเรอื งศรี และอรุณรตั น์ วเิ ชยี รเขยี ว. (2531). พญามงั รายมหาราช. กรงุ เทพฯ : สภาสงั คมสงเคราะหแ์ หง่ ประเทศไทย. ระววิ รรณ โอฬารรตั น์มณี และ เชาวลติ สยั เจรญิ . (2556, กนั ยายน-ตุลาคม). 717 ปี เชยี งใหม่ : พฒั นาการจากเวยี งส่เู มอื ง. วารสารอาษา. ปี 2556, 19-24. ศรศี กั ร วลั ลโิ ภดม. (2555, ธนั วาคม). ภูมวิ ฒั นธรรมกบั การสรา้ งบา้ นแปงเมอื งในแอ่งเชยี งใหม่. เมอื ง โบราณ, 38(4), 15-24. สรสั วดี อ๋องสกุล. (2554). ประวตั ศิ าสตรล์ า้ นนา. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 8. กรงุ เทพฯ : อมั รนิ ทร.์ สุรพล ดารหิ ก์ ุล. (2551, ธนั วาคม). ดอยสุเทพกบั ผงั เมอื งเชยี งใหม่. วารสารวจิ ติ รศลิ ป์, ปีท่ี 1 ฉบบั ท่ี 2, 10-25. อรณุ รตั น์ วเิ ชยี รเขยี ว. (2539). แนวคดิ เกยี่ วกบั การตงั้ บา้ นเรอื นในเวยี งเชยี งใหม่ในสมยั โบราณ. เอกสาร สรุปการสมั มนาวชิ าการ เร่อื ง 700 ปีเชยี งใหม่ พฒั นาอย่างไรจงึ จะเกิดคุณค่า. เชยี งใหม่ : ภาควชิ าศลิ ปะไทย คณะวจิ ติ รศลิ ป์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่ อุษณีย์ ธงไชย. (2539). เชยี งใหม่: ศูนยก์ ลางทางศาสนาและการคา้ ในอดตี (พุทธศตวรรษที่ 20-22). เอกสารสรปุ การสมั มนาวชิ าการ เรอ่ื ง 700 ปีเชยี งใหม่ พฒั นาอยา่ งไรจงึ จะเกดิ คุณค่า. เชยี งใหม่ : ภาควชิ าศลิ ปะไทย คณะวจิ ติ รศลิ ป์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126