Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คติความเชื่อกับงานศิลปะ

คติความเชื่อกับงานศิลปะ

Published by khansuwan.test, 2021-09-25 14:47:52

Description: คติความเชื่อกับงานศิลปะ

Search

Read the Text Version

47 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ประวตั ศิ าสตรแ์ ละพฒั นาการ ของผงั เมอื งเชยี งใหมใ่ นสมยั ลา้ นนา ทวศี กั ดิ ์เกยี รตวิ รี ะศกั ดิ ์

48 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื

49 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ประวตั ศิ าสตรแ์ ละพฒั นาการ ของผงั เมอื งเชยี งใหมใ่ นสมยั ลา้ นนา ทวศี กั ดิ ์เกยี รตวิ รี ะศกั ดิ ์ ก่อน พ.ศ. 18391 บนดินแดนล้านนามี ภูมปิ ญั ญาและเทคโนโลยกี ารวางผงั เมอื ง ความเจริญเติบโตของชุมชนและบ้านเมืองอยู่ 2 ก่อนท่จี ะสร้างเมอื งเชยี งใหม่นัน้ จงึ แบ่งได้เป็น 2 กลุม่ สาคญั คอื ในกลุม่ ของลมุ่ น้าปิงและวงั คอื แควน้ กลุ่มเช่นกันคอื เมอื งในกลุ่มแคว้นหรภิ ุญไชยท่มี ี หรภิ ุญไชยท่มี มี านานต่อเน่ืองมาจากสมยั ทวารวดี วฒั นธรรมทวารวดผี สมผสานจากดนิ แดนภาคกลาง ตอนปลาย ขณะท่ฟี ากตะวนั ออกเฉียงเหนือของ ผงั เมอื งทม่ี รี ูปร่างเอกลกั ษณ์คอื เมอื งรูปหอยสงั ข์ ลา้ นนาบนลุ่มน้ากกและโขงกม็ กี ารรวมตวั ของกลุ่ม คอื รปู วงรที ม่ี สี ่วนโคง้ ดา้ นหวั และทา้ ยไม่เท่ากนั ก่อ ชนพ้ืนเมืองข้ึนมาคือ แคว้นพะเยา และ แคว้น รูปจากการขุดคูน้าและนาดนิ มาสรา้ งกาแพงเมอื ง โยนก สืบต่อมาจนถึงสมัยพญามังรายได้เป็น โดยมวี ดั สาคญั ประจาเมอื งเป็นศูนยก์ ลาง ลกั ษณะ กษัตริย์มอี านาจปกครองในลุ่มน้ากกโดยมีเมือง เดียวกับเมืองทวารวดีในภาคกลาง โดยมีเมือง เชียงรายเป็นศูนย์กลาง เม่ือ พ.ศ. 1824 พญา รปู แบบน้ี 3 เมอื งสาคญั คอื เมอื งหรภิ ุญไชย ลาปาง มงั รายไดเ้ ขา้ ยดึ ครองแควน้ หรภิ ุญไชยไวไ้ ดใ้ นทส่ี ุด และแพร่ และอีกแบบหน่ึงคอื ผงั เมอื งท่มี รี ูปคล้าย ทาให้ดินแดนแคว้นทัง้ 2 อยู่ภายใต้อานาจของ สเ่ี หลย่ี มแต่มมุ ทงั้ 4 โคง้ มนและไมท่ ามุมฉาก ทพ่ี บ พญามงั รายเป็นจุดเรมิ่ ต้นกาเนิดของอาณาจกั ร ในเมอื งบรวิ าร ซ่งึ คล้ายกบั รูปแบบของเมอื งใน ลา้ นนา เป็นสาเหตุหน่ึงทจ่ี ะต้องมเี มอื งศูนยก์ ลาง วฒั นธรรมทวารวดี ทน่ี ่าจะได้รบั การถ่ายทอดองค์ การปกครองใหม่แทนท่ที งั้ 2 เมอื ง พญามงั รายจงึ ความรขู้ น้ึ มาส่ดู นิ แดนแถบน้ีทจ่ี ะต้องรวู้ ธิ กี ารก่อรปู มาสรา้ งเวยี งกุมกามเมอ่ื พ.ศ. 1829 และประทบั อยู่ เมอื งทซ่ี บั ซอ้ นอยบู่ า้ ง ท่ีเวียงกุมกามอยู่ระยะหน่ึง แต่ยังคงมีพระราช แนวคดิ ท่จี ะสร้างเมอื งศูนยก์ ลางแทนเวยี งกุมกาม ในทางตรงกันข้าม การวางผังเมืองของ จนในทส่ี ุดพระองคท์ รงโปรดใหส้ รา้ งเมอื งเชยี งใหม่ แควน้ โยนก จะพฒั นามาจากลกั ษณะเป็นรปู วงลอ้ ม ในตาแหน่งท่เี หมาะสมท่สี ุด เป็นชยั ภูมคิ วรสร้าง หลากหลายแบบ ตงั้ แต่ วงกลมเกอื บสมบูรณ์ วงรี ไชยนคร2 หรอื ไปจนถงึ วงลอ้ มรปู ทรงอสิ ระ (Free Form) ซง่ึ การก่อรปู ของเมอื งจะสมั พนั ธก์ บั ความเช่อื แบบพน้ื

50 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ภาพถ่ายทางอากาศเมืองหรภิ ุญไชย พ.ศ. 2510 รูปแบบเมอื งหอยสงั ข์ เป็นรูปวงรที ร่ี ศั มสี ่วนด้านบนและด้านล่างไม่ เท่ากนั โดยมพี ระธาตุหรภิ ุญไชยเป็นศนู ยก์ ลางเมอื ง ทม่ี า ภาพถ่ายทางอากาศเพ่อื การศกึ ษาวจิ ยั กรมแผนทท่ี หาร ภาพเจดยี ห์ รภิ ุญไชย ภาพจากคุณบญุ เสรมิ สาตราภยั ถน่ิ ดงั่ เดมิ ในการตงั้ ชุมชนของชาวลวั ะและชาวไท วงกลมเกอื บสมบรู ณ์ แต่ถ้าการวดั ระยะทผ่ี ดิ พลาด ท่มี ศี ูนยก์ ลางชุมชนเป็นข่วงและเป็นทต่ี งั้ ของหลกั หรอื มอี ุปสรรคทางภูมศิ าสตรก์ ดี ขวางหรอื บนทล่ี าด บา้ น เชน่ เสาสะดอื บา้ น เสาสะกา้ ง หรอื เสาใจบา้ น เอยี ง ยอ่ มทาใหเ้ ปลย่ี นจากรปู วงกลมมาเป็นรปู วงรี ซง่ึ เมอ่ื ขยายมาเป็นสดั สว่ นของเมอื งกย็ งั คงมี สะดอื หรอื วงลอ้ มรปู อสิ ระไป ซง่ึ เป็นภมู ปิ ญั ญาทส่ี งั่ สมกนั เมอื ง วธิ กี ารก่อรปู เมอื งจากศูนยก์ ลางของเสาสะดอื มาในพน้ื ทผ่ี นวกกบั ความเชอ่ื 3 บา้ นสะดอื เมอื ง จงึ ไมซ่ บั ซอ้ นเพยี งแต่สรา้ งการวดั เป็นรศั มอี อกรอบๆ ศูนยก์ ลางดงั กล่าว ถ้าการวดั ถา้ จากดั ช่วงศกึ ษาเฉพาะเมอื งทส่ี รา้ งขน้ึ ใน ละเอยี ดมกี ารวดั ออกไปทุกทศิ ทางสม่าเสมอหลาย สมัยของพญามงั รายนัน้ จะเห็นพัฒนาการของ แ น ว ก็ส าม า รถ ขุ ด คู เ ช่ือ มจุ ด บ น เ ส้น ร อ บ รูป เ ป็ น รูปร่างเมืองท่ีเปล่ียนไปท่ีชัดเจนเริ่มตัง้ แต่เมือง เชียงรายท่สี ร้างข้นึ ใน พ.ศ. 1805 จากบนั ทกึ ใน

51 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ภาพเมอื งรปู วงลอ้ มแบบต่างๆ จากซา้ ยไปขวา เวยี งเจด็ ลนิ เมอื งพะเยา และเมอื งฝาง ทเ่ี ช่อื มโยงกบั ความเช่อื ของคนพน้ื ถน่ิ ในดนิ แดนลา้ นนา ทม่ี า ภาพถ่ายทางอากาศเพอ่ื การศกึ ษาวจิ ยั กรมแผนทท่ี หาร ตานานพ้นื เมอื งเชยี งใหม่ คาดว่าเป็นเมอื งวงกลม หรภิ ุญไชยได้ จากการวเิ คราะห์พบว่าเวยี งกุมกาม ในรูปแบบใดแบบหน่ึงดังกล่าวมาแล้วข้างต้น น่าจะมีรูปแบบเมืองหอยสังข์ คล้ายกับเมือง เน่ืองจากระบุว่ามกี ารสรา้ งเมอื งล้อมดอยจอมทอง หรภิ ุญไชยชดั เจน มเี ส้นโคง้ ท่ไี ม่ใช้ศูนยก์ ลางของ ใหเ้ ป็นสะดอื เมอื ง ต่อมาเมอ่ื ขยายอานาจส่ลู ุ่มน้าปิง วงกลมเป็นจุดเรมิ่ ก่อรูป และมมี ุมของเมอื งชนกนั สรา้ งเมอื งฝางและเมอื งพรา้ วตามลาดบั รปู รา่ งของ เป็นมุมมนโค้งแบบหรภิ ุญไชยเกิดขน้ึ ไม่ได้สรา้ ง เ มื อ ง เ ป็ น รู ป ว ง รี แ ฝ ด ซ้ อ น กั น บ า ง ส่ ว น เป็นเมอื งวงรแี ฝดแบบเดยี วกบั เมอื งฝางและเมอื ง (Intersection) ซ่งึ เป็นพฒั นาการท่ตี ่างออกไปจาก พรา้ วทส่ี รา้ งมาก่อน การสรา้ งวงกลมวงเดยี ว จนเป็นเอกลกั ษณ์หน่ึง ของผังเมืองในดินแดนล้านนา ซ่ึงยังไม่ทราบ เม่ือพญามังรายพบท่ีตัง้ เมืองใหม่อัน วตั ถุประสงค์ของการวางผงั แบบอย่างแน่ชดั แต่ เหมาะสมใน พ.ศ. 1835 พระองคม์ พี ระราชประสงค์ วิเคราะห์ได้ถึงการกาหนดพ้ืนท่ีสาคญั บรเิ วณท่ี ให้สรา้ งเมอื งขนาดใหญ่ จงึ ใหม้ กี ารขุดคูเมอื งโดย วงกลมซ้อนกัน ซ่งึ อาจจะใช้เป็นศูนย์กลางเมอื ง ขณะก่อสรา้ งพระองคท์ รงเลง็ เหน็ ว่าจะเกนิ กาลงั เวยี งกุมกามสรา้ งขน้ึ หลงั จากพญามงั รายยดึ แควน้ ชาวเมอื งของพระองค์ พระองค์ทรงเชญิ พระสหาย ยกไพร่พลมาช่วยสรา้ ง คอื พญางาเมอื งแห่งแคว้น

52 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื พะเยาและพ่อขนุ รามคาแหงมหาราชแห่งอาณาจกั ร ภูมปิ ญั ญาการสร้างเมอื งของพญามงั รายทงั้ หมด สุโขทยั พญามงั รายกล่าวกบั พระสหายว่าจะสรา้ ง แต่จากประวตั ิศาสตรท์ ่พี ่อขุนรามคาแหงมหาราช เมืองให้ออกจากศูนย์กลางไปทัง้ 4 ทิศด้านละ เสด็จข้ึนมาช่วยสร้างเมือง จึงสันนิษฐานได้ว่า 1,000 วา แต่กษัตรยิ ท์ งั้ 2 พระองค์ทดั ทานไว้ว่า เชียงใหม่สร้างข้ึนในรูปแบบของเมืองของกลุ่ม เกนิ กาลงั การป้องกนั รกั ษาเมอื ง พญามงั รายจงึ มี วฒั นธรรมเขมรโดยผ่านทางอาณาจกั รสุโขทยั การ การลดขนาดลงมาเป็น 900 x 1000 วา แทน และ สรา้ งเมอื งให้ไดม้ ุมฉากเป็นเทคโนโลยที ่ตี ้องมกี าร ในเห ตุ กา รณ์ น้ีเ อ งพ ญางา เมือ งแล ะ พ่อ ขุน วดั ระยะและมุมอ้างองิ กบั ดวงอาทติ ย์เช่นเดยี วกบั รามคาแหงมหาราชทรงกล่าวถึงไชยมงคล 7 การสรา้ งปราสาทของเขมร และเกย่ี วโยงไปถงึ การ ประการของชยั ภูมเิ มอื งเชยี งใหม่ จงึ เป็นทก่ี ล่าวถงึ รบั องค์ความรู้จากอินเดียผ่านทางศาสนา ไม่ใช่ กนั มาจนปจั จบุ นั คอื ค ว า ม เ ช่ือ แ บ บ พ้ืน เ มือ ง ห รือ พุ ท ธ ศ า ส น า ท่ี พฒั นาการขน้ึ มาเองจากในพน้ื ท่ี และพบว่าชยั ภูมิ 1. มเี ก้งเผอื ก 2 ตวั เป็นแม่ลูกกนั มาอยู่ ของเมอื งเชยี งใหม่คล้ายกบั ของเมอื งสุโขทยั คอื มี อาศยั ในชยั ภมู แิ หง่ น้ี พ้ืนท่ีลาดเอียงจากต ะวันต กไปตะวันอ อ ก เชน่ เดยี วกนั แมน่ ้าขา่ ทไ่ี หลผ่านหน้าเมอื งเชยี งใหม่ 2. ชัยภูมิแห่งน้ีทาให้เก้งเผือกทัง้ 2 ตรงกับลาน้าพันเมอื งสุโขทยั หนองบวั ของเมอื ง สามารถต่อสกู้ บั ฝงู หมาปา่ ได้ เ ชีย ง ใ ห ม่ มีต า แ ห น่ ง เ ดีย ว กัน กับ บ า ร า ย ท า ง ทิศ ตะวนั ออกเฉียงเหนือของสุโขทยั แม่น้าปิงทอ่ี ยหู่ ่าง 3. มหี นูเผอื กกบั บรวิ าร 4 ตวั มาอย่อู าศยั จากแม่ข่าออกไปเหมือนกับแม่น้ ายมทางทิศ ในตน้ นิโครธเป็นชยั ภมู ทิ เ่ี ป็นมงคล ตะวนั ออกของเมอื งสุโขทยั จงึ อาจจะกล่าวได้ว่า เมอื งเชยี งใหม่ได้รบั แนวคดิ และวธิ กี ารสรา้ งเมอื ง 4. พน้ื ทล่ี าดเอยี งลงจากทศิ ตะวนั ตกไปทศิ แบบเดยี วกบั สโุ ขทยั ตะวนั ออก ถงึ แมเ้ มอื งเชยี งใหมจ่ ะเป็นรปู แบบเดยี วกบั 5. มลี าน้ามาจากดอยสุเทพช่อื แม่ข่าไหล เมอื งสุโขทยั แต่ด้วยพ้นื ฐานวฒั นธรรมท่แี ตกต่าง ขนานกบั แมน่ ้าปิงแลว้ ไหลไปออ้ มเมอื งเวยี งกุมกาม กนั ทาใหเ้ มอื งเชยี งใหมย่ งั คงมลี กั ษณะของผงั เมอื ง แ บ บล้าน นา ผ ส มผ ส า นกันอ ยู่คือ ยัง ค ง ใ ห้ 6. มหี นองน้าใหญ่ทางทศิ ตะวนั ออกเฉียง ความสาคญั ของศูนยก์ ลางเมอื งท่ขี ่วงเมอื งและเสา เหนอื ของทต่ี งั้ เมอื ง สะดือเมืองหรือเสาอินทขีล ไม่มีการสร้างวัด ศูนย์กลางเมอื งท่มี เี จดยี ์ขนาดใหญ่บรรจุพระธาตุ 7. มแี มน่ ้าปิงไหลผ่านทางทศิ ตะวนั ออก เมอื งเชยี งใหมส่ รา้ งเสรจ็ ใน พ.ศ. 1839 ผงั เมอื งมรี ูปร่างส่เี หล่ยี มผนื ผ้าท่มี าสดั ส่วนใกล้เคยี ง กับรูปส่เี หล่ียมจตั ุรสั แนวคูและกาแพงเมอื งเป็น เสน้ ตรง มเี สน้ ต่อเป็นมมุ ฉาก ไมม่ เี สน้ โคง้ แบบหอย สังข์หรือรูปวงกลม ซ่ึงแตกต่างอย่างส้ินเชิงกับ

53 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ภาพถ่ายทางอากาศเมอื งเชยี งใหม่ทางดา้ นบนเปรยี บเทยี บกบั เมอื งสโุ ขทยั ทางดา้ นลา่ งบนแนวความคดิ ชยั ภมู เิ ดยี วกนั ทม่ี า ภาพเมอื งเชยี งใหม่ภาพถ่ายทางอากาศเพอ่ื การศกึ ษากรมแผนทท่ี หาร ภาพเมอื งสโุ ขทยั จากโปรแกรม Google Earth วนั ท่ี 11 / 11 / 2556 ตามคติการสร้างเมืองในพุทธศาสนาแบบเมือง ต ามบันทึกท่ีกล่ า ว ว่าพ ญา มังราย ถูกฟ้ าผ่ า สุโขทยั หรอื ศาสนสถานของเมอื งแบบวฒั นธรรม สน้ิ พระชนมท์ ก่ี าดเชยี งใหมก่ ลางเวยี ง เขมร ถงึ แมจ้ ะมกี ารสรา้ งวดั สะดอื เมอื งพรอ้ มเจดยี ์ แต่ก็ไม่ได้สรา้ งให้เป็นจุดหมายเมอื ง (Landmark) เม่อื พุทธศาสนาเจรญิ รุ่งเรอื งในอาณาจกั ร ท่มี องเห็นเป็นสถาปตั ยกรรมขนาดใหญ่ท่ีสาคัญ ล้านนา พญากือนา พ.ศ. 1898–1928 กษัตริย์ จ า ก ต า แ ห น่ ง น้ี ท า ใ ห้ศู น ย์ก ล า ง ส า ค ัญ ข อ ง เ มือ ง ล้านนาทรงอญั เชิญพระบรมสารรี กิ ธาตุพร้อมกับ เชยี งใหม่ค่อนขา้ งไปทางทศิ เหนือรวมถงึ ท่ปี ระทบั พระสุมนเถระจากเมอื งสุโขทยั มาทเ่ี มอื งเชยี งใหม่ ข อ ง พ ญ า มัง ร า ย ก็ อ ยู่ ท า ง ทิศ เ ห นื อ ใ ก ล้ ป ร ะ ตู และสร้างวดั สวนดอกไม้บรเิ วณนอกกาแพงเมอื ง ชา้ งเผอื กทเ่ี ป็นความเช่อื ว่ากษตั รยิ จ์ ะเขา้ ออกเมอื ง ทางทิศตะวันตกเป็ นท่ีประดิษฐานพระบรม ผ่านประตูดา้ นทศิ เหนือ ตาแหน่งดงั กล่าวคลา้ ยกบั สารรี กิ ธาตุ วดั มอี าณาเขตวดั เป็นกาแพงดินและ ตาแหน่งท่สี นั นิษฐานว่าเป็นพระราชฐานของเมอื ง คูน้ารปู สเ่ี หลย่ี มจตั ุรสั มมี ุมฉาก ทาใหภ้ าพโดยรวม สุโขทัยมาก่อนเช่นกัน แต่ท่ีใจกลางของเมือง ของผงั เมอื งเชียงใหม่มลี ักษณะคล้ายกับมีเมือง เชยี งใหม่นัน้ กลายเป็นตลาดสาคญั ของเมอื งแทน บริวารรายรอบ เพราะถัดข้นึ ไปทางทิศตะวนั ตก เฉียงเหนือมเี วยี งเจด็ ลนิ ทน่ี ักวชิ าการสันนิษฐานว่า

54 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ภาพแสดงผงั เมอื งในช่วงเรม่ิ ตน้ ประกอบดว้ ย 1 เขตหอคา ศูนยก์ ลางของเมอื งเชยี งใหม่ในด้านความ ทป่ี ระทบั 2 วดั สะดอื เมอื งทต่ี งั้ เสาสะดอื เมอื ง 3 กาดกลาง เชอ่ื ไดเ้ ปลย่ี นไป เมอ่ื อาณาจกั รลา้ นนาเจรญิ รงุ่ เรอื ง เวียง ท่ีพญามงั รายส้ินพระชนม์ 4 กาดลีเชียงด้านทิศ ถึงขดี สุดและพุทธศาสนาเข้ามาลงรากฐานอย่าง ตะวนั ตกก่อนมกี ารสรา้ งวดั พระสงิ ห์ มัน่ คง มีการสร้างวัดข้ึนมามากมาย สมัยพญา ทม่ี า ภาพลายเสน้ โดยผเู้ ขยี นบนภาพถ่ายทางอากาศเพ่อื แสนเมอื งมาทรงโปรดใหส้ รา้ งเจดยี ห์ ลวง ภายหลงั การศกึ ษา กรมแผนทท่ี หาร จากทเ่ี สดจ็ ไปล้อมเมอื งสุโขทยั แต่มาสรา้ งเสรจ็ ใน สมยั พญาสามฝงั่ แกนช่วงหลัง พ.ศ. 1944 และ เป็นเมอื งเก่าของลวั ะ ทางทศิ เหนือประตูชา้ งเผอื ก ระหว่างการก่อสรา้ งไดเ้ จาะกาแพงเมอื งเพ่อื เขา้ มา มเี วยี งบวั ทไ่ี มม่ ปี ระวตั ชิ ดั เจนแต่พบแนวกาแพงดนิ ก่อสร้างเจดยี ์หลวง จึงเกิดประตูท่ี 5 บนกาแพง บางส่วน และทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มีเวียง เมอื งเชยี งใหมค่ อื ประตูสวนแห ซง่ึ เช่อื กนั ว่าคอื ช่อื กุมกามท่เี คยเป็นศูนย์กลางเก่ามาก่อนอาณาจกั ร เดิมของประตูสวนปรุงในปจั จุบัน ต่อมาพญา ล้านนา แต่เมืองทัง้ หมดเกิดข้ึนมาในช่วงเวลา ตโิ ลกราชทรงให้มกี ารบูรณะเจดยี ห์ ลวงให้มขี นาด แตกต่างกนั มาก จงึ ไมใ่ ช่เป็นวัตถุประสงค์ของการ ใหญ่ขน้ึ ใน พ.ศ. 2021 จนสามารถกล่าวไดว้ ่าเจดยี ์ สร้างให้มเี มอื งบรวิ ารล้อมรอบ 3 เมอื งตงั้ แต่แรก หลวงเป็น เจดยี ศ์ ูนยก์ ลางเมอื งเชยี งใหม่ ตามคติ สรา้ งเมอื งเชยี งใหม่ การสรา้ งเมอื งท่มี พี ระบรมธาตุเป็นศูนยก์ ลางเมอื ง เช่นเดียวกับเมืองสาคัญในภูมิภาคอ่ืนๆ หาก วิเ ค ร า ะ ห์ ถึ ง เ ห ตุ ก า ร ณ์ ท่ีเ กิ ด ข้ึน ใ น ส มัย พ ญ า ติโลกราชท่ีต้องทาสงครามกับอาณาจกั รอยุธยา บรเิ วณชายขอบอาณาจกั รทงั้ 2 ท่เี มอื งสุโขทยั และ พษิ ณุโลก สนั นษิ ฐานไดว้ ่าน่าจะเป็นสาเหตุสาคญั ท่ี พ ร ะ อ ง ค์ท ร ง บูร ณ ะ เ จ ดีย์ห ล ว ง ใ ห้มีฐ า น ะเ ป็ น ว ัด ศูนยก์ ลางของเมอื งเช่นเดยี วกบั วดั มหาธาตุเมอื ง สุโขทยั และวดั พระศรรี ตั นมหาธาตุเมอื งพษิ ณุโลก และยกฐานะของเมอื งเชยี งใหม่ให้เป็นศูนย์กลาง พระราชอานาจของพระองค์ เพ่ือแสดงสถานะ กษัต ริย์ท่ีเท่าเทียมกันกับสมเด็จพระบรม - ไตรโลกนาถของอาณาจกั รอยธุ ยา

55 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ภาพแสดงผงั เมอื งสมยั พญาตโิ ลกราชประกอบดว้ ย 1 หอคาทป่ี ระทบั 2 วดั สะดอื เมอื ง ทไ่ี มช่ ดั เจนว่ามกี ารยา้ ยเสาสะดอื เมอื งไปทว่ี ดั เจดยี ห์ ลวงหรอื ไม่ 3 วดั เจดยี ห์ ลวงทท่ี าหน้าทเ่ี ป็นวดั ศนู ยก์ ลางประจาเมอื ง 4 วดั พระสงิ หแ์ ทนทก่ี าดลเี ชยี ง เทยี บกบั ผงั เมอื งสโุ ขทยั ทางดา้ นขวา 5 วดั มหาธาตุศนู ยก์ ลางเมอื งสโุ ขทยั 6 เป็นพน้ื ทส่ี นั นษิ ฐานว่าเป็นเขตพระราชฐาน ทม่ี า ภาพลายเสน้ โดยผเู้ ขยี นบนภาพถ่ายทางอากาศเพ่อื การศกึ ษา กรมแผนทท่ี หาร ใ น ช่ ว ง เ ว ล า เ ดี ย ว กั น น้ี ท า ใ ห้ เ กิ ด ค ว า ม อนิ ทขลี 4 นนั้ กไ็ มม่ ขี อ้ เทจ็ จรงิ ยนื ยนั เช่นกนั แต่ไม่มี คิดเห็นของนักวิชาการว่า อาจจะมีการย้ายเสา การระบุชดั เจนว่ามกี ารย้ายมเี พยี งแต่การสรา้ งรูป ส ะ ดื อ เ มือ ง ม า ไ ว้ ท่ี วัด เ จ ดี ย์ ห ล ว ง แ ต่ ไ ม่ ยกั ษ์และฤๅษีเพมิ่ เตมิ อาจจะเป็นไปได้ว่าในสมยั ปรากฏการณ์บันทึกใดๆ ท่ีกล่าวถึงการย้ายเสา พระเจา้ กาวลิ ะมหี ออนิ ทขลี ทว่ี ดั เจดยี ห์ ลวงแลว้ สะดอื เมอื ง ซง่ึ ไม่ใช่เร่อื งแปลกท่จี ะไม่บนั ทกึ เพราะ เ ป็ น ช่ ว ง ท่ีศ า ส น า พุ ท ธ มีอิท ธิพ ล ใ น วัฒ น ธ ร ร ม เจดยี ์หลวงเป็นเจดยี ์ในรูปแบบของศิลปะ มากกว่าความเช่อื พ้นื เมอื งจงึ อาจจะละไว้ สาหรบั ลา้ นนา โดยมกี ารยกฐานรปู สเ่ี หลย่ี มสงู ขน้ึ ไปและมี ความเช่อื ท่วี ่ามกี ารย้ายมาในสมยั พระเจ้ากาวิละ ชา้ งปนู ปนั้ ประดบั โดยรอบ มบี นั ไดสท่ี ศิ แต่ชนั มาก ช่วงสมยั รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ เพราะได้กล่าวถงึ ว่า จนไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการสร้างให้ข้นึ ได้จริง พระเจ้ากาวลิ ะการสร้างรูปกุมภณั ฑ์หน้าวดั เจดีย์ ภายในฐานทาเป็นช่องอุโมงค์ท่เี ดนิ ข้นึ ไปบนลาน ห ล ว ง แ ล ะ รู ป สุ เ ท ว ร สี ท า ง ทิ ศ ต ะ ว ัน ต ก ข อ ง ห อ ชนั้ ประทกั ษิณดา้ นบนได้ องค์เจดยี ส์ รา้ งแบบเรอื น ธาตุส่ีเหล่ียมย่อเก็จ มีซุ้มทศิ 4 ด้านประดิษฐาน

56 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ภาพ เสาอนิ ทขลี ปจั จบุ นั ทว่ี ดั เจดยี ห์ ลวง เป็นเสาแปดเหลย่ี มทด่ี า้ นบนมพี ระพทุ ธรปู ยนื ปางราพงึ ในซมุ้ มณฑป แสดงถงึ การผสมผสานความเชอ่ื เดมิ กบั พุทธศาสนา ทม่ี า ภาพโดยผเู้ ขยี น พระพุทธรูปปูนปนั้ และมกี ารสนั นิษฐานว่าเป็นท่ี ช่วงเวลาใกล้เคยี งกนั ปจั จุบนั จงึ มคี วามเห็นท่ไี ม่ ประดษิ ฐานพระแกว้ มรกต ซง่ึ ทพ่ี ญาตโิ ลกราชทรง ตรงกนั คอื ฝ่ายหน่ึงเห็นสมควรอนุรกั ษ์คงสภาพ นามาไว้ท่ีเจดีย์หลวงประมาณ พ.ศ. 2025 ส่วน ปจั จุบนั ไว้ตามหลกั การอนุรกั ษ์ท่ยี อมรบั สากลและ ยอดเจดีย์เหลือเพยี งชนั้ บัวถลาแปดเหล่ียมแบบ ห่วงเรอ่ื งการรบั น้าหนักทอ่ี ฐิ เส่อื มสภาพ แต่อกี ฝา่ ย ล้านนาเน่ืองจากยอดหกั พงั ไป ซ่งึ เช่อื ว่าพงั ลงมา เหน็ สมควรต่อเตมิ ให้สมบูรณ์โดยอ้างองิ จากเจดยี ์ ตงั้ แต่ พ.ศ. 2088 ในสมยั พระนางจริ ะประภาเทวี วัดเชียงมนั่ เพ่ือรกั ษาศาสนสถานตามประเพณี ตามท่มี บี นั ทกึ ไว้ ซง่ึ นักวชิ าการสนั นิษฐานว่าส่วน ไทยและศรทั ธาของผู้นับถอื ศาสนาพุทธ ซง่ึ เร่อื งน้ี ยอดน่าจะคลา้ ยกบั เจดยี ว์ ดั เชยี งมนั่ หรอื เจดยี บ์ รรจุ น่าจะยงั คงต้องพจิ ารณาขอ้ มลู อยา่ งรอบคอบกนั ทงั้ พระอัฐิพญาติโลกราชท่ีวัดเจ็ดยอด ซ่ึงอยู่ใน 2 ฝา่ ยต่อไป

57 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ภาพเจดยี ห์ ลวงก่อนการบรู ณะ ทม่ี า ภาพจากคณุ บุญเสรมิ สาตราภยั

58 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ภาพเจดยี ห์ ลวงในสภาพปจั จบุ นั ทม่ี า ภาพโดยผเู้ ขยี น ภาพเจดยี ์วดั เชียงมนั่ ด้านซ้ายและเจดีย์ติโลกราชภาพกลางท่สี นั นิษฐานว่ายอดเจดยี ์หลวงภาพ ดา้ นขวาน่าจะมรี ปู แบบเดยี วกนั ทม่ี า ภาพเจดยี ว์ ดั เชยี งมนั่ และเจดยี ห์ ลวงโดยผเู้ ขยี น ภาพเจดยี ต์ โิ ลกราช ภาพจากคณุ บญุ เสรมิ สาตราภยั

59 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื กาแพงเมอื งเชยี งใหมเ่ มอ่ื แรกสรา้ งเป็นการ โบราณคดีสาคัญของผังเมืองเชียงใหม่มาจนถึง ขดุ คูน้าก่อคนั ดนิ ขน้ึ มา การก่อกาแพงอฐิ ไดเ้ กดิ ขน้ึ ปจั จุบัน แต่ประตูเมืองในสภาพปจั จุบันทัง้ หมด ในสมยั ของพญาเมอื งแกว้ ใน พ.ศ. 2060 รวมถงึ มี ไมใ่ ช่ประตูเดมิ เน่ืองจากมกี ารซ่อมใหมด่ ว้ ยการรอ้ื การสรา้ งประตูเมอื งก่ออิฐและป้อมก่ออฐิ ทงั้ 4 มุม ลงมาแล้วสร้างใหม่ และอยู่ในช่วงเวลาหลงั พ.ศ. เมอื งในคราวเดยี วกนั มกี ารซ่อมแซมกาแพงเมอื ง 24495 เป็นตน้ มา อกี ครงั้ หน่งึ สมยั พระเจา้ กาวลิ ะ จงึ ยงั คงหลกั ฐาน ภาพแนวกาแพงและคเู มอื งเชยี งใหม่กอ่ นการบรู ณะ ทม่ี า ภาพจากคณุ บุญเสรมิ สาตราภยั

60 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ภาพป้อมแจง่ ศรภี มู ภิ าพซา้ ยและแจง่ ก่เู รอื งภาพขวากอ่ นการบรู ณะ ทม่ี า ภาพจากคณุ บญุ เสรมิ สาตราภยั ภาพประตูชา้ งเผอื กระหวา่ งการบรู ณะใหม่ เชน่ เดยี วกบั ประตอู ่นื ๆทงั้ หมดไม่ใชร่ ปู แบบของเดมิ ทม่ี า ภาพจากคณุ บญุ เสรมิ สาตราภยั

61 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ภาพประตูเมอื งเชยี งใหม่จะเหน็ ไดว้ า่ มปี ระตู 2 ชนั้ อย่างชดั เจน โดยสนั นษิ ฐานรปู รา่ งน่าจะยน่ื ออกมาเป็นป้อม คลา้ ยกบั ประตเู มอื งทท่ี าจากคนั ดนิ แบบเกา่ ปจั จบุ นั ดไู ดท้ เ่ี มอื งสโุ ขทยั ทม่ี า ภาพจากคณุ บุญเสรมิ สาตราภยั ภาพประตเู มอื งสโุ ขทยั ทางทศิ ใตซ้ ง่ึ เป็นรปู แบบกาแพง ดนิ เช่นเดียวกบั เชียงใหม่ จึงมีการสร้างประตู 2 ชนั้ โดยยน่ื คนั ดนิ ออกมาบงั ทางเขา้ ระหว่างช่องประตูดา้ น ในกบั ชอ่ งประตดู า้ นนอกเป็นลบั แล ทาใหส้ นั นษิ ฐานว่า ประตูเมอื งเชยี งใหม่หลงั จากทม่ี กี ารก่อกาแพงอฐิ แลว้ ยงั คงมกี ารสรา้ งประตูเมอื ง 2 ชนั้ ตามแบบคนั ดนิ เดมิ ท่มี า ภาพถ่ายทางอากาศเพ่อื การศึกษา กรมแผนท่ี ทหาร

62 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ผัง เ มือ ง เ ชีย ง ใ ห ม่จึง เ ป็ น ตัว แ ท น ใ ห้เ ห็น ให้ผงั เมอื งเชยี งใหม่ยงั คงมคี ุณค่าอยู่สบื เน่ืองจาก พฒั นาการของผงั เมอื งโบราณในลา้ นนาอกี รปู แบบ อดตี มาส่ปู จั จบุ นั ดว้ ยภมู ปิ ญั ญาทเ่ี คยรงุ่ เรอื ง หน่ึงท่ีได้รับอิทธิพลของผังเมืองแบบเขมรผ่าน อาณาจกั รสุโขทยั แต่มพี ฒั นาการร่วมกบั คตคิ วาม เช่ือของผงั เมอื งแบบล้านนาท่ียงั คงยดึ เสาสะดือ เมอื งเป็นศูนยก์ ลาง และมาเปลย่ี นรูปแบบเมอื งทม่ี ี พระบรมธาตุเป็นศูนยก์ ลางในสมยั พญาติโลกราช จากการสรา้ งอานาจทท่ี ดั เทยี มกบั อาณาจกั รอยธุ ยา ทาให้คตคิ วามเช่อื เดมิ ของเสาสะดอื เมอื งถูกผนวก เข้ากับความเช่ือการสร้างเมืองท่ีรบั พุทธศาสนา แบบภาคกลางทม่ี สี บื ต่อมาตงั้ แต่สมยั ทวารวดี เป็น ทม่ี าของการรวมศูนยก์ ลางเมอื งตามความเช่อื ทงั้ 2 ไว้ ท่เี ดยี วกนั ของเมอื งเชยี งใหม่ ซ่งึ แตกต่างจาก เมอื งอ่นื ๆ ของอาณาจกั รล้านนา ด้วยสภาพการ เตบิ โตในปจั จุบนั เมอื งเชยี งใหมข่ ยายตวั ออกไปจน ไม่สามารถรกั ษาผงั เมอื งเดมิ ไดอ้ กี ต่อไป ดว้ ยการ คิดก าร ว า งผังแ บบ ต ะ วัน ต ก โด ยก าร ตัด ถ น นว ง แหวนลอ้ มรอบ 3 ชนั้ หรอื ปจั จุบนั การกาหนดผงั สี ท่ยี งั คงเลอื กใชเ้ ฉพาะบรเิ วณของเมอื งโบราณเป็น พ้ืนท่ีอนุรกั ษ์สีน้าตาล ซ่ึงดีข้นึ กว่าฉบบั เดิมท่ีได้ รวมแนวเขตกาแพงเมืองชัน้ นอกเข้าไป แต่มี จดุ อ่อนทโ่ี ดยไม่รวมบรบิ ทรอบๆ เช่นเดยี วกบั เวยี ง เจ็ดลิน เวียงกุมกาม หรือวัดสว นดอก จึงมี ความเหน็ ว่าการวางผงั เมอื งเชยี งใหม่ในแนวทาง รกั ษาภูมปิ ญั ญาผงั เมอื งของล้านนา ควรคานึงถึง พ้นื ท่รี อบๆ ผงั เมอื ง ให้มคี วามเช่อื มโยงกนั ทงั้ 4 พ้ืนท่ีเข้าด้วยกันอย่างเป็นองค์รวม เพ่ือส่งเสริม คณุ ค่าของภมู ทิ ศั น์ทางวฒั นธรรมระดบั เมอื ง ส่งผล

63 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ภาพผังเมืองรวมเชียงใหม่ฉบับ ประกาศใช้ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556 ท่ีเพิ่มเขตอนุรักษ์บริเวณ เก่ยี วขอ้ งกบั ผงั เมืองเชยี งใหม่แต่ยงั ถูกตัดขาดเป็น พน้ื เกาะแยกจากกนั ภาพล่างคอื ภาพถ่ายดาวเทยี ม เปรยี บเทยี บในพน้ื ทเ่ี ดยี วกนั ลกู ศรแสดงพน้ื ทท่ี งั้ 4 ทค่ี วรมกี ารกาหนดพน้ื ทใ่ี หเ้ ช่อื มต่อกนั ท่มี า แผนท่ีแนบท้ายกฎกระทรวง กรมโยธาธกิ าร และผงั เมอื ง ภาพลายเสน้ โดยผู้เขยี นบนภาพถ่ายดาวเทียมจาก โปรแกรม Google Earth วนั ท่ี 11 / 11 / 2556

64 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื บรรณานุกรม ทวศี กั ดิ ์เกยี รตวิ รี ะศกั ด.ิ ์ (2545). การศกึ ษาเปรยี บเทยี บแนวความคดิ ของการออกแบบผงั เมอื งเก่า : เมอื ง เชยี งใหมแ่ ละเมอื งสุโขทยั . เชยี งใหม่ : คณะสถาปตั ยกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่ __________. (2548). การศกึ ษาผงั เมอื งโบราณลา้ นนา : เวยี งกุมกาม อาเภอสารภี จงั หวดั เชยี งใหม่. วทิ ยานิพนธส์ าขาวชิ าประวตั ศิ าสตรส์ ถาปตั ยกรรม, บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. ทวิ วชิ ยั ขทั คะ. (2529).ฟ้ืนอดตี ประตเู มอื งเชยี งใหม่ทปี่ ระตูท่าแพเพอื่ อนุรกั ษ์ทางโบราณคดี, กาแพงเมอื ง เชยี งใหม,่ อนุสรณ์เนอื่ งในพธิ เี ปิดและฉลองประตทู ่าแพ. เชยี งใหม่ : ทพิ ยเ์ นตรการพมิ พ.์ พระพุทธพุกาม และ พระพุทธญาณเจา้ . (2519). ตานานมลู ศาสนา. แปลโดย สุด ศรสี มวงศ์ และ พรหม ขมาลา. กรุงเทพฯ : กรมศลิ ปากร. (จดั พมิ พใ์ นงานพระราชทานเพลงิ ศพ หม่อมหลวงเดช สนิท วงศ์ 17 ธนั วาคม 2518). พระรตั นปญั ญาเถระ. (2517). ตานานชนิ กาลมาลปี กรณ์. แปลโดย แสง มนวทิ ูร. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 4. กรงุ เทพฯ : กรมศิลปากร. (จดั พมิ พใ์ นงานพระราชทานเพลงิ ศพ ศาสตราจารย์ ร.ต.ท. แสง มนวทิ ูร 20 เมษายน 2517). สุรพล ดารหิ ก์ ุล. (2547). ประวตั ศิ าสตรแ์ ละศลิ ปะหรภิ ญุ ไชย. กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พเ์ มอื งโบราณ. __________. (2539). แผ่นดนิ ลา้ นนา. กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พเ์ มอื งโบราณ. อรุณรตั น์ วเิ ชยี รเขยี ว และ เดวทิ เค วยั อาจ, ผู้แปล. (2543). ตานานพ้นื เมอื งเชยี งใหม่. กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พต์ รสั วนิ .

65 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื 1 ปีพทุ ธศกั ราชใชอ้ า้ งองิ เปรยี บเทยี บจากหนงั สอื 2 เลม่ คอื สุรพล ดาหริกุล, แผ่นดินล้านนา, พิมพ์ครัง้ ท่ี 2 กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พเ์ มอื งโบราณ, 2545. อรุณรัตน์ วเิ ชยี รเขียว, เดวิด เค วยั อาจ แปล, ตานานพ้นื เมือง เชยี งใหม,่ เชยี งใหม:่ สานกั พมิ พต์ รสั วนิ 2543. 2 อรุณรตั น์ วเิ ชยี รเขยี ว, เดวดิ เค วยั อาจ แปล, ตานานพ้นื เมอื ง เชยี งใหม,่ (เชยี งใหม:่ สานกั พมิ พต์ รสั วนิ 2543) หน้า 42 3 ทวศี กั ดิ ์เกยี รตวิ รี ะศกั ด,ิ ์ รายงานวจิ ยั เรอ่ื ง การศกึ ษาเปรยี บเทยี บ แนวความคดิ ของการออกแบบวางผงั เมอื งเก่า เมอื งเชยี งใหม่และ เมืองสุโขทัย, เชียงใหม่ : คณะสถาปตั ยกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่ 2544 4 อรุณรตั น์ วเิ ชยี รเขยี ว, เดวดิ เค วยั อาจ แปล, ตานานพน้ื เมอื ง เชยี งใหม,่ (เชยี งใหม:่ สานกั พมิ พต์ รสั วนิ 2543) หน้า 42 5 ทวิ วชิ ยั ขทั คะ เรอ่ื ง ฟ้ืนอดตี ประตูเมอื งเชยี งใหมท่ ป่ี ระตูท่าแพเพอ่ื อนุรกั ษ์ทางโบราณคดี, กาแพงเมอื งเชยี งใหม่, อนุสรณ์เน่ืองในพธิ ี เปิดและฉลองประตูท่าแพ (เชยี งใหม่ : ทพิ ยเ์ นตรการพมิ พ์ 2529) หน้า 59



67 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ไมห้ มายเมอื งเชยี งใหม:่ คตคิ วามเชอ่ื เรอ่ื งตน้ ไมก้ บั การหมายถนิ่ ฐาน วรงค์ วงศล์ งั กา

68 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื

69 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ไมห้ มายเมอื งเชยี งใหม:่ คตคิ วามเชอ่ื เรอ่ื งตน้ ไมก้ บั การหมายถนิ่ ฐาน วรงค์ วงศล์ งั กา ต้นไมแ้ ละมลู เหตุ ประจาชุมชน ซ่งึ เป็นท่ีสถิตของอารกั ษ์ท่ีจะดูแล รกั ษาชุมชนนัน้ เป็นสง่ิ ปลูกสร้างท่เี รยี กว่าใจบ้าน แห่งการหมายเมอื ง ตามคติของไตล้ือ หรือ เสาสะก๊าน ตามคติของ ชาวลวั ะ มกั ถูกแทนดว้ ยเสา หรอื กอ้ นหนิ และจะไม่ เชยี งใหม่ เมอื งหลวงของอาณาจกั รลา้ นนา มกี ารยา้ ยใจบา้ นไปไหนจนกว่าใจบา้ นจะผุผงั ลงเอง ทม่ี อี ารยธรรมสบื เน่ืองมายาวนาน ตงั้ แต่เป็นสงั คม ตามเวลา ซง่ึ สง่ิ น้ถี อื ว่าเป็นหวั ใจของหม่บู า้ น และมี ลุ่มน้ากกซ่งึ ได้รบั แนวคดิ มาจากชาวไตตามท่สี ืบ อารกั ษ์สถติ อย่ใู นใจบา้ นนนั้ ใจบา้ น การตงั้ ใจบ้าน เช้อื สายมา ทงั้ ในเร่อื งคตคิ วามเช่อื พธิ กี รรม การ มกั มีก้อนอิฐ หรอื ฐานดินหรือต้นไม้ใหญ่ปลูกไว้ ดารงชวี ติ การตงั้ ถนิ่ ฐาน ในการตงั้ เมอื งใหม่ ตาม เพ่อื กาหนดท่ตี งั้ อย่างชดั เจน และหอเส้อื บ้านซ่ึง ความเช่อื ของสงั คมในลุ่มน้ากกตอนตน้ เป็นความ มกั จะอยใู่ กลต้ น้ ไมใ้ หญ่ ในบรเิ วณใจบา้ นและยดึ ถอื เช่อื แบบวญิ ญาณนิยม (Animism) เก่ยี วกบั ความ ว่าเป็นส่วนเดยี วกนั กบั หอเสอ้ื บา้ นดว้ ย การบูชาใจ เช่อื ในสงิ่ ท่มี อี ยู่ในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น มนุษย์ เมอื ง หรืออารักษ์เมือง ก็จะร่วมกันกับการบูชา สตั ว์ สถานท่ี ตน้ ไม้ หรอื สง่ิ ของต่างๆ ว่ามวี ญิ ญาณ ต้นไมใ้ หญ่ซง่ึ เป็นเสอ้ื เมอื งดว้ ย (สรสั วดี อ๋องสกุล, หรอื มผี ดู้ ูแล (มณั ฑนา กติ ตวิ รากุล, 2547) การนบั 2539) ถอื ผี วญิ าณ และอานาจเหนือธรรมชาตติ ่างๆ โดย ความเช่ือเร่ืองผีนั้นมีหลายระดับ ตัง้ แต่ระดับ ในหลกั ฐานท่ีเก่าแก่ท่ีสุด ท่ีกล่าวถึงการ ครอบครวั อนั ไดแ้ ก่วญิ ญาณบรรพบุรุษ และระดบั หมายเมอื งนนั้ ไดก้ ลา่ วถงึ การกาหนดเอาตน้ ยางใน หมู่บ้าน ไปจนถึงระดับเมือง ซ่ึงเก่ียวข้องกับ เมอื งเงนิ ยางเป็นศูนยก์ ลางเมอื งใหม่ ภายหลงั จาก วญิ ญาณแห่งธรรมชาติหรอื วิญญาณของบุคคลผู้ การล่มของเวยี งโยนกนาคพนั ธ์ จวบจนเม่อื มกี าร ประกอบความดี ท่ีจะช่วยปกปกั รกั ษาชุมชนหรอื สร้างเมอื งใหม่ท่สี าคญั ในสมยั พญามงั ราย ได้แก่ แหล่งท่อี ยู่ จงึ ต้องมกี ารปฏิบตั บิ ูชาวญิ ญาณ เซ่น เมอื งเชยี งราย เมอื งไชยปราการ เมอื งพร้าว เป็น สรวงเสมือนหน่ึงเป็นเทพประจาหมู่บ้าน ประจา ตน้ โดยพบวา่ ไดม้ กี ารกล่าวถงึ การกาหนดเสอ้ื เมอื ง เมอื ง หรอื เรยี กว่า เสอ้ื บา้ น, เส้อื เมอื ง (จูเหลยี ง และใจเมืองด้วยการหมายตาแหน่งบนยอดดอย เหวนิ , 1994) ส่วนการสรา้ งสงิ่ ทเ่ี ป็นขวญั (Spirit)

70 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื และการปลูกหรอื ยดึ ตาแหน่งต้นไมศ้ กั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ หรอื ปกั เสาสกั การะ เป็นเสอ้ื เมอื ง และใจเมอื ง (สรสั วดี อ๋องสกุล, 2539) ระดบั บ้านคอื ใจบ้าน ดงั เช่นใน หมู่บ้านไตล้อื ในสิบสองปนั นา หมู่บ้านไตเขนิ ใน เชียงตุง ส่วนระดับเมืองได้แก่ ต้นยางนา วัด จอมมน เมอื งเชียงตุง ต้นทอง (ต้นง้วิ : Bombax ceiba.) เมอื งเชยี งทอง (หลวงพระบาง) ซง่ึ ปจั จบุ นั ปรากฏเพยี งหลกั ฐานเป็นลวดลายกระจกสหี ลงั วดั เชยี งทอง เป็นตน้ รปู ท่ี 1 “ใจบา้ น” หรอื สถานทศ่ี กั ดสิ์ ทิ ธปิ์ ระจาหมู่บา้ นของ รปู ท่ี 2 ตน้ ยางนา วดั จอมมน เมอื งเชยี งตุง สหภาพพมา่ ชาวไทล้ือ ในเมืองฮาย สบิ สองปนั นา มณฑลยูนนาน ทม่ี า:http://image.ohozaa.com/i/426/dsc f0743_resize สาธารณรฐั ประชาชนจนี .jpg ทม่ี า: จู เหลยี งเหวนิ (1994) รูปท่ี 3 ลายประดบั ดอกดวง หรอื กระจกสรี ูปต้นทอง หลงั วิหารวัดเชียงทอง เมืองหลวงพระบาง สาธารณรัฐ ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว ทม่ี า: http://2.bp.blogspot.com/ZuP8fUn bJPM/UQ9F

71 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ความสมั พนั ธร์ ะหว่างต้นไม้ใหญ่ 800 เมตร เหนือระดบั น้าทะเลปานกลาง ร่วมกบั มี ขวญั กาลงั ใจ และนิเวศเมอื งเชียงใหม่ แหล่งน้าท่ีอุดมสมบูรณ์ จึงจดั ว่าพ้ืนท่ีช้ืนลุ่มต่า ชาวไตมคี วามเข้าใจระบบนิเวศเมอื งเป็น อยา่ งดี โดยเป็นองคค์ วามรใู้ นการใชป้ ระโยชน์จาก เช่นน้ีมคี วามอุดมสมบูรณ์สูงสุดในเขตภูมศิ าสตร์ ภูมปิ ระเทศและถนิ่ อาศยั ตามจารตี สบื ต่อกนั มาจน พฒั นากลายเป็นความรู้ชุดหน่ึงท่วี ่าด้วย “ชยั ภูม”ิ เดียวกัน พ้ืนท่ีดังกล่าวในธรรมชาติ จะมีความ คอื การดูลกั ษณะพน้ื ทอ่ี นั เหมาะสมในการตงั้ ชุมชน การเลอื กทาเลท่ตี งั้ เมอื งเชยี งใหม่ได้แสดงความรู้ หลากหลายของชนิดไมย้ นื ตน้ (ไซมอน การด์ เนอร์ ด้านนิเวศของชาวไตยวนอย่างเด่นชดั โดยเมอื ง เมอื งเชยี งใหม่ตงั้ อย่บู นภูมลิ กั ษณ์ (Landform) ท่ี และคณะ, 2549) ด้วยภูมปิ ระเทศทอ่ี ุดมสมบูรณ์ หนั หลงั ใหภ้ เู ขาอนั ไดแ้ ก่ดอยสุเทพดา้ นทศิ ตะวนั ตก หนั หน้าใหแ้ ม่น้าปิงทางด้านตะวนั ออก พ้นื ทร่ี าบน้ี ประกอบกบั มตี ้นไมใ้ หญ่หลายชนิดเป็นพชื ประจา มคี วามลาดเทจากตะวนั ตกไปทางตะวนั ออก จงึ มี น้าจากภูเขาไหลผ่านห้วยแก้วลงมาหล่อเล้ยี งตวั ถิ่น ในการตัง้ ชุมชนเมืองและพัฒนาสู่ความเป็น เมอื งอย่างสม่าเสมอ นอกจากน้ี ท่ตี งั้ โดยรอบยงั อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งน้าทงั้ ลาหว้ ยทไ่ี หลลงมา เ มือ ง มีค ว าม จ า เ ป็ น จ ะ ต้ อ ง มีต้ น ไ ม้ใ ห ญ่ ต า ม ค ติ จากดอยสุเทพ และลาน้าแม่ข่า หนองน้า ได้แก่ หนองบัว 7 กอ เชียงใหม่ในอดีตจงึ เป็นเมอื งน้า ความเช่อื เพ่อื เป็นเสอ้ื เมอื ง ต้นไมใ้ หญ่ท่สี มควรแก่ และได้รบั การวางตาแหน่งท่ตี งั้ ใหอ้ ย่ใู กล้ชดิ กบั ป่า ซ่ึงป่าและน้าเป็นแหล่งทรพั ยากรสาคัญในการ การคดั เลอื กไวเ้ พอ่ื หมายถนิ่ ฐาน แสดงถงึ ทต่ี งั้ เมอื ง ดารงชวี ิตของชุมชนในเวลานัน้ เชยี งใหม่จงึ เป็น จดั เป็น “วนานคร” หรอื เมอื งทเ่ี ป็นหน่ึงเดยี วกนั กบั ท่ตี งั้ ใจเมอื ง เป็นท่สี ถิตของเส้อื เมอื ง จงึ ควรเป็น ป่า (สรสั วดี อ๋องสกุล, 2539) ดงั เหน็ ไดช้ ดั จากท่ี เชยี งใหม่มตี ้นไมข้ นาดใหญ่ปรากฏในเมอื ง ทงั้ ท่มี ี ตน้ ไมป้ ระจาถนิ่ ทเ่ี ตบิ โตไดร้ วดเรว็ แขง็ แรงทนทาน อยู่เดิมและปลูกข้นึ ใหม่อยู่มากมาย และจากการ พจิ ารณาทางภูมศิ าสตร์พืชพรรณพบว่า พ้นื ท่ตี งั้ ต่อสภาพแวดลอ้ ม ไม่มสี ่วนท่กี ่อใหเ้ กดิ พษิ มเี รอื น เมอื งเชยี งใหม่เป็นป่าระดบั ต่า (Lowland Forest) ซง่ึ ป่าชนิดน้ีพบไดใ้ นพน้ื ทท่ี ่มี รี ะดบั ความสูงไม่เกนิ ยอดสูงเด่นซ่งึ พบว่ามตี ้นไม้หลายชนิดท่ที าหน้าท่ี ดงั กล่าวไดเ้ ป็นอยา่ งดี ตน้ ไมช้ นั้ เรอื นยอดทม่ี คี วาม สูงเด่นในพ้ืนท่ีลักษณะเช่นน้ีได้แก่ กางข้ีมอด (Acrocarpus fraxinifolius), ทองหลาง (Erythrina spp.), เลย่ี น (Toona spp.), ตะเคยี นทอง (Hopea odorata), ยาง (Dipterocarpusspp.), ปอ (Pterocym bium spp.) ลาพูป่า (Duabanga gran diflora), ไทร (Ficus spp.) ไมช้ นั้ กลางไดแ้ ก่ มะไฟ (Baccaurea ramiflora.), ดีหมี (Cleidion spiciflorum), พะวา (Garcinia spp.), ต้างหลวง (Trevesia palmate) ชนั้ ของไมพ้ ุม่ จะพบพชื จาพวก ปาล์ม (Palmeae) แ ล ะ จ า พ ว ก ขิง ข่ า (Zingiberaceae) เป็นส่วนใหญ่และไม่ค่อยพบพชื จาพวกหญา้ ในพน้ื ท่ี จนกว่าจะถกู รบกวน

72 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื รปู ที่ 4 ภาพถ่ายมุมสงู ในปี 1953 บนถนนสุเทพ มองไปยงั เชงิ ดอย สเุ ทพ จะเหน็ วดั พระสงิ หอ์ ย่กู ลาง ภาพดา้ นซา้ ยมอื ซง่ึ พน้ื ทด่ี งั กล่าว ในเวลานนั้ ยงั เตม็ ไปดว้ ยตน้ ไม้ ทม่ี า: http://library.cmu.ac.th/nti c/picturelanna/BS.jpg รูปท่ี 5 ภาพถ่ายมุมสูงบริเวณ ถนนราชดาเนินในเขตคูเมอื งจะ เห็นได้ว่ามีต้นไม้ใหญ่อยู่เป็ น จานวนมาก แสดงถึงความเป็น “วนานคร” ไดเ้ ป็นอยา่ งดี ทม่ี า: http://library.cmu.ac.th/nt ic/picturelanna/VC012s.jpg

73 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื จดุ เริ่มต้นของการสร้าง กาหนดไดว้ ่าเป็นศรเี มอื งก่อน โดยสาเหตุแห่งการ กาหนดจดุ นนั้ ใหเ้ ป็นศรเี มอื ง ไดก้ ลา่ ววา่ เมืองเชียงใหม่กบั ต้นไม้สาคญั “พระยาทัง้ สามก็มีฉันทวาทีทัดแม่นกัน เมืองเชียงใหม่ถูกวางผังตามแนวคิดใน แลว้ พระยาเมงรายจงึ ชวนพระยาทงั้ สองไป สู่ทภี่ ูมิ์ คมั ภรี ม์ หาทกั ษา ทค่ี ดิ ว่าเมอื งโบราณมรี ่างกาย ได้ ไชย เพอื่ จะแรกตงั้ ราชมณเฑยี ร ขณะนนั้ มหี นูเผอื ก กาหนดให้หวั เวยี งอย่ทู างทศิ เหนือ หวั เป็นอวยั วะ ตวั ใหญ่เทา่ ดมุ เกวยี นมบี รวิ าร ๔ ตวั แลน่ ออกจากที่ สาคญั ดงั นัน้ ภายในเวยี งเชียงใหม่นับตงั้ แต่กลาง ไชยภูมน์ิ ัน้ ไป หนบูรพ์ แล้วไปหนอาคเณย์ ไปลงรู เวยี งคอ่ นไปทางเหนือจงึ ถูกกาหนดใหเ้ ป็นทต่ี งั้ ของ แห่งหนงึ่ ภายใตต้ น้ ไมผ้ กเรอื ก คอื ไมน้ ิโครธ พระยา สถานท่สี าคญั เช่น หอคาท่เี วยี งแก้ว คุ้มเจา้ นาย ทัง้ สามเห็นนิมิตรอัศจรรย์ดังนั้น จึงเอาเครือ่ ง วดั เชยี งมนั่ ส่วนใจกลางเวยี งเป็นสะดอื เมอื ง เป็น สกั การ เข้าตอกดอกไม้ไปบูชาทไี่ มน้ ิโครธต้นนัน้ ท่ตี งั้ เสาอนิ ทขลิ ซ่งึ เป็นใจเมอื งหรอื เสาหลกั เมอื ง แลใหล้ อ้ มรกั ษาไอวด้ ว้ ยดจี งึ ปรากฎเปนไมเ้ ส้อื เมอื ง การสรา้ งวดั และสถานทส่ี าคญั ในเมอื งเชยี งใหม่ จงึ สบื มาต่อเท่าบดั น้ี พระยาทงั้ สามใหก้ วาดแผ้วทอี่ นั ถูกกาหนดให้สอดคล้องกับชยั ภูมิ และความเช่ือ จกั สรา้ งเวยี ง ขงึ เสน้ เชอื กระดบั ดกู ร็ วู้ ่าพ้นื แผ่นดนิ ที่ เรอ่ื งทศิ ทงั้ 4 และทศิ เฉียงอกี 4 เป็น 8 ทศิ (สรสั วดี นัน้ สูง เบ้อื งตวนั ตกเอียงไปทางตวนั ออก พระยา อ๋องสกุล, 2539) เมอ่ื ทศิ ทงั้ 8 มาบรรจบกนั เกดิ จดุ งาเมืองกับพระยาร่วงจึงกล่าวว่าเผือข้าได้เห็น ศูนย์กลางรวมกันเป็น 9 ถือเป็นเลขมงคล โดย ไชยภูมิ เมอื งน้ีเปนมงคล ๗ ประการ” ดว้ ยเหตุอนั ตาแหน่งต่างๆ ในทกั ษาเมอื ง ไดแ้ ก่ ถือเป็นมงคลปจั จยั ตามพงศาวดาร จงึ ได้กาหนด เอาต้นไม้ใหญ่หน่ึงต้นได้แก่ “ไม้ผกเรือก คือไม้ บรวิ ารเมอื ง – ประตสู วนดอก นิโครธ” ซ่ึงข้นึ อยู่ในบริเวณดังกล่าว ให้เป็น มลู เมอื ง – ประตทู า่ แพ เส้อื เมอื ง และระบุให้ตาแหน่งนัน้ เป็นศรเี มอื งตาม เกตุเมอื ง – เจดยี ส์ ะดอื เมอื ง คาภีร์มหาทักษาจากพงศาวดารท่ีกล่าวถึงต้น ศรเี มอื ง – แจง่ ศรภี มู ิ ผกเรอื ก (พจน, 2493) และตน้ นิโครธ (สนั สกฤต- กาลกณิ เี มอื ง – แจง่ กู่เฮอื ง Nigrodha) ซง่ึ ในการจาแนกทางพฤกษศาสตร์ เป็น เดชเมอื ง - ประตูชา้ งเผอื ก ต้นไมค้ นละชนิดกนั “ไมผ้ กเรอื ก คอื ไมน้ ิโครธ” ท่ี มนตรเี มอื ง – ประตเู ชยี งใหม่ เป็นไมเ้ ส้อื เมอื งเม่อื ครงั้ สรา้ งเมอื งเชยี งใหม่จงึ มี อายเุ มอื ง – แจง่ หวั ลนิ ความเป็นไปไดส้ องทางดว้ ยกนั คอื อุตสาหะเมอื ง – แจง่ ขะต๊า ในพงศาวดารโยนก (พระยาประชากจิ กร- จกั ร,์ 2515) มตี อนหน่ึงทก่ี ล่าวถงึ การกาหนดสรา้ ง เมืองเชียงใหม่ โดยการเริ่มขุดคูเมืองจากจุดท่ี

74 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื B A D C E รปู ท่ี 6 ลกั ษณะของตน้ กร่าง (Ficus benghalensis) 6A ภาพวาดทางพฤกษศาสตรแ์ สดงดอก ใบและผล ทม่ี า: http://www.mobot.org/mobot/Ficus_benghalensis.jpg 6B ลกั ษณะผลเมอ่ื สกุ ทม่ี า: http://2.bp.blogspot.com/a1lLhFdc6m0%285%29.jpg 6C ลกั ษณะใบออ่ น ทม่ี า: http:// us.123rf.com/400/yogeshsmore.jpg 6D การพฒั นาของรากเป็นลาตน้ ทม่ี า: http://www.redrif.com/images/ff/01%29.jpg 6E ลกั ษณะทรงพ่มุ ทม่ี า: http:// redrif.com/images/ff/01benghalensis_lo_5.jpg

75 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ทางแรก: คาว่า นิโครธ อาจหมายถึง Ficus lacor. ช่อื พอ้ ง Ficus infectoria. ทางพน้ื ถน่ิ ต้นอชั บาลนิโครธ (Ajapala Nigrodha) ตามภาษา ลา้ นนาใชย้ อดอ่อนและใบอ่อนของตน้ ไมช้ นิดน้ีซง่ึ มี สนั สกฤต ซ่งึ เป็นตน้ ไมใ้ นพุทธประวตั ิ ตามตานาน รสเปร้ียวและฝาดมาประกอบอาหาร (คณะ เล่าว่าหลังจากพระพุทธองค์ตรัสรู้ใต้ต้นพระศรี มนุษยศาสตรม์ หาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่, 2536) ต้น มหาโพธเิ ์ ป็นเวลา 7 วนั แล้ว พระองค์ทรงย้ายไป เลยี บหรอื ผกั เฮอื ด เป็นไมย้ นื ต้นขนาดใหญ่ ผลดั ใบ ประทบั ใต้ต้นนิโครธอีก 7 วนั ต้นไม้ชนิดน้ีมชี ่ือ สงู 8 - 15 เมตร จะทง้ิ ใบหมดในช่วงเดอื นธนั วาคม เรยี กในภาษาไทยว่า ต้นกร่าง หรอื บางครงั้ พบว่า - มกราคม แลผลิใบใหม่ ในเดือนกุมภาพันธ์ - เรียก ไทรนิโครธ ช่ือวิทยาศาสตร์คือ Ficus มนี าคม และในระยะเรมิ่ แรก จะมปี ลอกหุม้ ใบ และ benghalensis Linn. อย่ใู นวงศ์ MORACEAE (วงศ์ ค่อยหลุดร่วงออกเผยให้เห็นใบอ่อนซ่ึงมีสีชมพู ไทร) เป็นไมย้ นื ต้น สูง 10-30 เมตร ลาต้นตรงเป็น หรอื ชมพูอมเขยี ว แลดูสดใสแวววาวไปทงั้ ต้น ใบ พูพอน แตกกิ่งก้านแน่นทึบ เรอื นยอดแผ่กว้าง มี เป็นใบเด่ยี วออกแบบสลบั สเี ขยี ว รูปรี หรอื รปู ไข่ รากอากาศหอ้ ยลงมาตามกงิ่ ก้านและลาต้น ซ่งึ ราก ปนขอบขนาน ปลายใบมนทู่ ขอบใบเรยี ว ผวิ ใบมนั อากาศน้ีสามารถเจรญิ เติบโตเป็นลาต้นต่อไปได้ กวา้ ง 6 - 7 เซนตเิ มตร ยาว 7 - 18 เซนตเิ มตร มหี ู ทุกส่วนมนี ้ายางสีขาว ใบเป็นใบเด่ียวออกเวียน ใบขนาดเลก็ ดอกออกเป็นช่อ เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางของ สลบั รูปไข่หรอื รูปใบหอก มคี วามหนาคล้ายแผ่น ดอก 0.4 - 0.6 เซนตเิ มตร ก้านดอกสนั้ แทงออก หนงั ใบมขี นนุ่มทงั้ สองดา้ น กวา้ ง 7-14 เซนตเิ มตร จากซอกใบ ผลอ่อนสีเขียว และเม่ือแก่เต็มท่ี ปลายและโคนมน แขนงใบมรี ะหว่าง 4-6 คู่ กา้ นใบ เปลย่ี นเป็นสชี มพูแดงม่วง หรอื ดา (ไซมอน การด์ - อวบ ยาว 2-5 เซนตเิ มตร ดอก สนี วลออกเป็นช่อ เนอร์ และคณะ, 2549) ตามซอกใบบรเิ วณปลายกง่ิ ผล เป็นผลรวมรปู กลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 1 เซนตเิ มตร ผลจะตดิ ไมเ้ สื้อเมืองเชียงใหม่ แนบอยู่ กบั กงิ่ แต่ละผลจะมกี าบ 2-4 กาบ ผลสุกมี และความเป็นไปหลงั การตงั้ เมือง สแี ดง (เอ้อื มพร วสี มหมาย และปณิธาน แก้วดวง- เทยี น, 2547) เมอื งเชยี งใหม่ก่อตงั้ ประมาณ 146 ปี ล่วง เขา้ สู่กษตั รยิ ร์ ชั กาลท่ี 9 แห่งราชวงศ์มงั ราย ได้แก่ ทางทส่ี อง: ไมผ้ กเรอื ก ซง่ึ ตามพจนานุกรม สมยั ของพระเจา้ ตโิ ลกราช (พ.ศ.1985 – 2030) นนั้ ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถานให้ความหมายว่า คือ ต้น อาณาจักรล้านนากับอาณาจกั รอยุธยาได้ทาศึก ไทร อาจหมายถึง ต้นเลียบ ช่ือพ้ืนเมืองเรียก สงครามเพอ่ื แยง่ ชงิ เมอื งเชลยี ง กรุงศรอี ยุธยาไดส้ ่ง ผกั เฮอื ด เป็นต้นไมใ้ นวงศ์ MORACEAE ซง่ึ เป็น พระเถระมงั ลุงหลวง ชาวพุกาม มาเป็นอุปนกิ ขติ วงศ์ของไทรเช่นเดียวกัน มีช่ือวิทยาศาสตร์ว่า

76 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื B A D CE รปู ที่ 7 ลกั ษณะของตน้ เลยี บ (Ficus lacor.) 7A ภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ แสดงลกั ษณะดอก ใบ และผล 7B ผลของตน้ เลยี บเม่อื อย่บู นต้นจะมเี ขยี วอ่อน และสกุ เตม็ ทจ่ี ะมสี ี ม่วงหรอื ดาและรว่ งหลน่ โดยงา่ ย 7C ยอดอ่อนเป็นสชี มพหู รอื แดงเรยี บเกลย้ี ง มนั วาว 7D ลกั ษณะเปลอื กของลาตน้ มกั พบรากอากาศรดั พนั ลาตน้ เดมิ 7E ลกั ษณะทรงพุ่มเมอ่ื ทง้ิ ใบ

77 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื (สายลับ)หมายทาลายเมอื งเชียงใหม่ พระเถระ การปลูกตน้ เลยี บ จากป้ายขอ้ มลู กล่าวว่า ตาแหน่ง มงั ลุงหลวง ได้ออกอุบายลวงพระเจ้าติโลกราชว่า ท่ปี ลูกต้นเลียบเป็นตาแหน่งท่พี ญามงั รายได้เริ่ม ถ้าหากพระองค์มพี ระประสงคจ์ ะมพี ระบรมเดชานุ- สรา้ งนครเชยี งใหม่ (สงวน โชตสิ ขุ รตั น์, 2508) ภาพปราบไปทงั้ ชมพูทวปี พระองค์ควรตดั ต้นไม้ เสอ้ื เมอื ง ในตาแหน่งศรเี มอื งและสรา้ งพระราชฐาน ไมห้ มายเมืองใน บรเิ วณศรเี มอื งนัน้ เม่อื พระเจ้าติโลกราชทรงทา ยคุ ฟื้ นฟเู มืองเชียงใหม่ ตามคายุ ตดั ต้นไมน้ ิโครธ อนั เป็นไมศ้ รเี มอื งทง้ิ ก็ เกิดอาเพศเหตุอุบาทว์ต่างๆ นานากับเมือง ในสมยั พระเจา้ กาวลิ ะ (พ.ศ. 2285 - พ.ศ. เชยี งใหม่ นอกจากน้ีทางกรุงศรอี ยุธยาได้ส่งพวก 2358) ได้มีการขับไล่พม่าให้ส้ินไปจากล้านนา ผาสี (ชาวจนี อสิ ลาม) มาทาคุณไสยฝงั สง่ิ อปั มงคล หลงั จากท่เี ชยี งใหม่ตกอย่ภู ายใต้การปกครองของ ต่างๆ ภายในทักษาเมอื งเชียงใหม่ เม่ือพระเจ้า พม่าระหว่าง พ.ศ. 2101-2317 เป็นเวลาสองสรอ้ ย ตโิ ลกราชทรงทราบความจรงิ จงึ ทาการฆา่ พระเถระ กว่าปี เมอื งเชยี งใหมใ่ นเวลานนั้ สภาพเมอื งมคี วาม มงั ลุงหลวงและพวกผาสีท้ิง ด้วยความเช่ือท่ีว่า ย่าแย่เน่ืองจากบ้านเมืองมีศึกสงครามเป็นเวลา บา้ นเมอื งถูกกระทาคุณไสย ทาใหเ้ ป็นทส่ี รา้ งความ ยาวนาน และถูกปล่อยทง้ิ รา้ งเป็นบางช่วง พระเจา้ วติ กกงั วลในหม่ชู าวเมอื งและพระเจา้ ตโิ ลกราช จงึ กาวลิ ะมคี วามจาเป็นจะตอ้ งฟ้ืนฟูเมอื งเชยี งใหม่ให้ ได้รบั สงั่ ให้เหล่านักปราชญ์ราชบณั ฑติ พระเถระ มนั่ คงเข้มแขง็ โดยอาศัยนโยบาย “เก็บผกั ใส่ซ้า ชนั้ ผู้ใหญ่กระทาพธิ แี ก้ขดึ โดยการย้ายและสร้าง เก็บขา้ ใส่เมอื ง” โดยใช้วธิ กี วาดต้อนคนจากทาง ศูนย์กลางเมอื งมาท่ีใหม่คือ พระธาตุเจดีย์หลวง พ้นื ท่ตี อนบนได้แก่ เมอื งยอง เมอื งยู้ เมอื งหลวย โดยการเปล่ียนฐานะจากกู่ (สถูป) บรรจุอัฐิ เมอื งเชยี งตุง เมอื งเชยี งขาง และเมอื งอ่นื ๆ ในเขต พระเจา้ กอื นามาเป็นเจดยี บ์ รรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตุ ลุ่มน้าคง โดยกวาดต้อนกลุ่มคนเขา้ มาตงั้ ถนิ่ ฐานท่ี พรอ้ มทงั้ สถาปนาวดั เจดยี ห์ ลวงเป็นเกตุเมอื ง และ เมอื งลาพูน และยา้ ยเขา้ ส่เู มอื งเชยี งใหม่ตามลาดบั อญั เชิญพระแก้วมรกตมาประดษิ ฐานท่พี ระเจดยี ์ การกวาดต้อนดังกล่าวเป็นแบบ \"เทครัว\" ซ่ึง ทงั้ ใหห้ ม่นื ด้าพรา้ คต (สหี โคตเสนาบด)ี เสรมิ สรา้ ง ห ม า ย ถึ ง ก า ร ย ก ม า ทั้ง โ ค ร ง ส ร้ า ง ท า ง สั ง ค ม ความใหญ่โตและแขง็ แรงใหแ้ ก่องคพ์ ระเจดยี เ์ พ่อื ให้ ประกอบดว้ ย เจา้ เมอื ง บุตร ภรรยา พน่ี ้อง ขนุ นาง เป็นมง่ิ ขวญั เมอื ง พรอ้ มทงั้ สถาปนาวดั 8 วดั ซ้อน พระสงฆ์ ช่างฝีมือ ตลอดจนไพร่พลจานวนมาก ทกั ษาเมอื งเดมิ ทถ่ี ูกทาลายไป ปจั จบุ นั บรเิ วณแจ่ง โดยมผี คู้ นจากเมอื งยองซง่ึ เป็นชาวไทยลอ้ื ทอ่ี าศยั ท่ี ศรีภูมิ ทีกล่าวว่าเคยมีไม้เส้ือเมืองดังกล่าวตาม เมอื งยองเป็นประชากรส่วนใหญ่ (แสวง มาละแซม, พงศาวดารโยนก ได้มตี ้นโพธิข์ น้ึ อยู่ 2 ต้น และมี 2540) นอกจากน้ี ยงั มกี ารยา้ ยเสาอนิ ทขลิ จากวดั

78 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื A B รปู ท่ี 8 ตน้ ไม้ ณ แจ่งศรภี มู ใิ นปจั จบุ นั 8A ตน้ โพธิ์(Ficus religiosa) 2 ตน้ ขา้ งกาแพงเมอื งเดมิ 8B ป้ายแสดงขอ้ มลู เกย่ี วกบั จดุ เรม่ิ สรา้ งนครเชยี งใหม่ 8C ต้นกร่าง หรอื ต้นไทรนิโครธทป่ี ลกู ขา้ งงป้ายขอ้ มลู C ดา้ นหลงั คอื วดั ชยั ศรภี ูมิ

79 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื สะดอื เมอื ง ไปยงั วดั เจดยี ห์ ลวง การปลกู ตน้ ยางนา ในปีท่ยี ้ายจากเวยี งป่าซางมาอยู่ท่เี มอื งเชยี งใหม่ ในสมยั พระเจา้ กาวลิ ะในวดั เจดยี ห์ ลวงจงึ มมี ลู เหตุท่ี เป็นการถาวร เม่อื พ.ศ.2339 และ 2) ปลูกใหเ้ ป็น น่าสนใจตามขอ้ สนั นิษฐาน คอื 1) ปลูกใหเ้ ป็น “ไม้ “ของค่กู บั เสาอนิ ทขลิ ตามตานาน” ในปีทย่ี า้ ยเสาอนิ หมายเมอื ง” ในปีทย่ี า้ ยจากเวยี งปา่ ซางมาอย่เู มอื ง ทขลิ จากวดั สะดือเมอื งมาไว้ท่ีวัดเจดีย์หลวงเม่อื เชยี งใหมเ่ ป็นการถาวร เมอ่ื พ.ศ.๒๓๓๙ โดยใชต้ ้น พ.ศ. ๒๓๕๓ ตามคติความเช่อื ของ ใจเมอื ง และ ยางนา ซง่ึ เป็นต้นไมช้ นิดเดยี วกนั กบั ไมห้ มายเมอื ง เสอ้ื เมอื ง ซง่ึ เสาอนิ ทขลิ คอื ใจเมอื ง และมตี น้ ยางนา ในคตคิ วามเชอ่ื ของชาวไทลอ้ื ซง่ึ พบตน้ ยางนาไดท้ ่ี เป็นท่สี ถติ ของเสอ้ื เมอื ง การมอี นิ ทขลิ และต้นยาง วดั จอมมน เมอื งเชยี งตุง ซง่ึ ไทลอ้ื ถอื เป็นประชากร นาคู่กันน้ี พบมาตัง้ แต่ครัง้ ท่ีอินทขิลยังอยู่ท่ีวัด ส่วนใหญ่ท่ถี ูกกวาดต้อนเขา้ มาในช่วงพฒั นาเมอื ง สะดอื เมอื งเชยี งใหม่ โดยอา้ งจากตานานสุวรรณคา ตามป้ายประวตั ขิ องต้นยางนาเขยี นไว้ว่า “ต้นยาง แดง (มณั ฑนา กติ ตกวรากุล, 2547) ท่กี ล่าวถึง ต้นน้ี ปลูกสมยั พระเจา้ กาวลิ ะเจา้ ผู้ครองเชยี งใหม่ เมอื งเชียงใหม่ซ่งึ ก่อนเคยเป็นท่ตี งั้ เมอื งของลวั ะ องค์ท่ี 1 วงศ์ทิพยจักร (พ.ศ.232 4–2358)” ทงั้ หลาย มกี ารกล่าวถงึ อินทขลิ และต้นยางกลาง สนั นษิ ฐานวา่ ปลกู ขน้ึ เพ่อื จะใหเ้ ป็นไมห้ มายเมอื ง เมอื งนพบรุ กี บั ดว้ ยเชน่ กนั รปู ที่ 9 ภาพมุมสงู ของวดั เจดยี ห์ ลวง ถ่ายเม่อื ปี 2496 จะ รูปท่ี 10 ต้นยางนา ซ่ึงเป็นต้นไม้หมายเมือง เชยี งใหมใ่ นปจั จบุ นั ปลกู คกู่ บั วหิ ารอนิ ทขลิ เหน็ ภาพต้นยางนาสูงเด่นอยู่สองต้น ต้นยางนาทเ่ี ป็นไม้ ทม่ี า: http://www.bloggang.com/pic/12701299.jpg หมายเมอื งคอื ตน้ ดา้ นซา้ ย ทม่ี า: บุญเสรมิ ศาสตราภยั (2554 : 16)

80 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื B AC D รปู ที่ 11 ลกั ษณะของตน้ ยางนา 11A ภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ แสดงลกั ษณะดอก ใบ และผล 11B ใบของต้นยางนาจะหนาและแขง็ ปีกของผลเม่อื สุกแก่ พรอ้ มจะรว่ งลงมาจากตน้ จะเป็นสชี มพอู มแดง 11C ลกั ษณะดอก 11D ลกั ษณะทรงพมุ่

81 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ยางนา (Dipterocarpus alatus.) หรอื เรยี ก ในป่าธรรมชาตใิ นพ้นื ทเ่ี ชยี งใหม่ แต่พบมากในป่า ในภาษาถน่ิ ทางเหนือว่าต้นยาง เป็นต้นไมท้ ่จี ดั อยู่ ธรรมชาติแถวท่ีราบลุ่มภาคกลางตอนบน ตงั้ แต่ ในวงศ์ยาง (Dipterocarpaceae) เช่นเดียวกับ พษิ ณุโลก นครสวรรค์ อุตรดติ ถ์ ส่วนพชื วงศ์ยางท่ี ตะเคยี น เต็ง พลวง และเหยี ง เป็นไมย้ นื ต้นขนาด พ บ ม า ก ใ น พ้ืน ท่ีป่า ภ า ค เ ห นื อ คือ ย า ง ป า ย ใหญ่ ไม่ผลดั ใบ สูงถึง 40 เมตร ลาต้นเปลาตรง (Dipterocarpus costatus.) ซง่ึ มลี กั ษณะคลา้ ยกนั เปลอื กค่อนขา้ งเรยี บ สเี ทาปนขาว โคนต้นมกั เป็น และการกระจายตวั ของยางนาในภาคเหนือและใน พูพอน เรอื นยอดเป็นพุ่มกลม ทบึ ตามกงิ่ อ่อนและ พน้ื ทท่ี างตอนบนขน้ึ ไปจนถงึ เชยี งตุงมกั พบในเขต ยอดอ่อนมขี น และมรี อยแผลใบเหน็ ชดั ใบ เป็นใบ เมอื งหรอื ทต่ี งั้ ชุมชนเท่านนั้ เด่ยี ว ตดิ เรยี งเวยี นสลบั ทรงใบรูปไข่แกมรูปขอบ ขนาน กวา้ ง 8 – 15 เซนตเิ มตร ยาว 20 – 35 ไมห้ มายเมอื งกบั ประเพณีท่ีปรากฏ เซนตเิ มตร โคนใบมนกวา้ ง ปลายใบสอบทู่ เน้ือใบ หนา ใบอ่อนมีขนสีเทา ใบแก่เกล้ียงหรือเกือบ ประเพณีเข้าอินทขิล เกล้ยี ง ขอบใบเป็นคล่นื เลก็ น้อย ก้านใบยาว 3 - 4 และการบชู าต้นยางหลวง เซนติเมตร มีขนประปราย ดอก สีชมพู ออก รวมกนั เป็นช่อสนั้ ๆ ตามงา่ มใบตอนปลาย หน่ึงช่อ พธิ บี ชู าเสาอนิ ทขลิ จะอยชู่ ว่ งปลายเดอื น 8 มหี ลายดอก โคนกลบี ดอกเช่อื มตดิ กนั เป็นรูปถ้วย ต่อต้นเดือน 9 กระทาโดยการจุดธูปเทียนบูชา ส่วนปลายถ้วยแยกเป็น 5 แฉก ยาว 2 แฉก และ อินทขิลกับรูปกุมภัณฑ์ และฤาษี ทัง้ น้ีเพ่ือให้ สนั้ 3 แฉก มขี นสนั้ ๆ สนี ้าตาลปกคลุม กลบี ดอก มี บา้ นเมอื งอย่สู งบสุขร่มเยน็ ช่วงเวลาสาหรบั ทาพธิ ี 5 กลบี โคนกลบี ชดิ กนั ส่วนปลายจะบดิ เวยี น ผล บูชาเสาอินทขิล คือ การบูชาอินทขลิ จะกระทา เป็นผลชนดิ แหง้ รปู กระสวย มคี รบี ตามยาว 5 ครบี ร่วมกบั การบูชาต้นยางหลวงในวดั เจดยี ห์ ลวงดว้ ย มปี ีกยาว 2 ปีก ขนาด 10 – 12 เซนตเิ มตร เสน้ ปีก เช่นกนั โดยเคร่อื งบูชาต้นยางหลวงมี เทียน 2 คู่ ตามยาวมี 3 เสน้ พบขน้ึ เป็นกลุ่มตามทร่ี าบรมิ หว้ ย พลู 2 สวย ดอกไม้ 2 สวย หมาก 2 ขด 2 กอ้ ม ช่อ ในป่าพ้นื ล่างทวั่ ไป ทส่ี ูงจากระดบั น้าทะเล 50 – ขาว 4 ผนื หมอ้ ใหม่ 1 ใบ กลว้ ย 1 หวี ขา้ ว 4 ควกั 400 เมตร (ไซมอน การด์ เนอร์ และคณะ, 2549) แกงสม้ แกงหวานอย่างละ 4 ถ้วย โภชนะอาหาร ๗ ในด้านการใช้งาน ยางนาสามารถให้น้ามนั ยาง อยา่ ง ซง่ึ จะทารว่ มกนั กบั จะทารว่ มกบั พธิ ใี ส่ขนั ดอก (resins) น้ามนั ท่ไี ดจ้ ากต้นยางนาใชท้ าไม้ ยาเรอื บูชาเสาอินทขลิ ด้วย (พระธรรมดิลก, 2538) ทาเคร่อื งจกั สาน ทาไต้ ใช้ทาโครงสร้างภายใน น อ ก จ า ก น้ี ยัง พ บ ก า ร ถ ว า ย ไ ม้ ค้ า แ ก่ ต้ น ย า ง อาคาร เป็นทน่ี ่าสงั เกตว่า แทบจะไม่พบยางนาพบ เช่นเดยี วกบั ไมค้ า้ โพธดิ ์ ว้ ย

82 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื รูปที่ 12 การบูชาต้นยางหลวงในพิธี เขา้ อนิ ทขลิ ซง่ึ จะนาเคร่อื งบูชาวางไว้ รอบๆ โคนต้นยาง และพบการถวาย ผา้ สแี ละไมค้ ้าดว้ ย ทม่ี า: http://sv6.postjung.com/picpost/dat a/148/148184-6-8744.jpg รปู ที่ 13 การใส่ขนั ดอกในพธิ บี ูชาเสา อนิ ทขลิ ทม่ี า: http://sv6.postjung.com/picpost/data /148/148184-9-8565.jpg

83 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ความเช่ือเร่ืองขึด กบั ต้นไมส้ าคญั การดาเนิ นไปของเรื่องราวของเมืองเชียงใหม่ ต้นไม้กบั การหมายถ่ินฐาน ขดึ คอื ความเช่อื เก่ยี วกบั สง่ิ อปั มงคล เป็น ขอ้ ห้ามท่ใี ช้ควบคุมสงั คมล้านนามาตงั้ แต่โบราณ ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของพ้ืนท่ี และ ความเช่อื เร่อื งขดึ พดู ถงึ ความเป็นอปั มงคลในหลาย ความสามารถในการเลอื กทาเลทต่ี งั้ เมอื งเชยี งใหม่ มิติของการดารงชีวิตและพบว่ามีบางส่วน ได้ จงึ มคี วามหลากหลายทางชีวภาพของพืช (Plant กล่าวถงึ ขดึ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ตน้ ไมใ้ หญ่ดว้ ย เช่น biodiversity) ซ่ึงปรากฏให้เห็นเป็นช่ือชุมชน ทอ้ งถน่ิ ต่างๆ ทก่ี ่อตวั ขน้ึ หลงั จากตงั้ เมอื งเชยี งใหม่ “ตน้ ไมใ้ หญ่เป๋ นมงิ่ บา้ นหมายเมอื ง ป๊อยว่า เช่น บ้านสนั ป่าข่อย (ต้นข่อย: Streblus asper.), ตดั ป้าเสยี กข็ ดึ มกั ฉิบหาย” บ้านป่าตัน (เหนือ-บะตัน: พุดทรา: Zizyiphus mauritiana.), บา้ นหลงิ่ กอก(เหนอื -บะกอก: มะกอก หมายถงึ การไปตดั ต้นไมใ้ หญ่ทเ่ี ป็นไมม้ งิ่ : Spondias pinnata.), บา้ นดอนปิน (เหนือ-บะปิน: บา้ นหมายเมอื ง ถา้ ไปตดั ฟนั เสยี จะฉบิ หาย มะตูม: Aegle marmelos.), บา้ นดอนจนั่ (เหนือ-ป้ี จนั่ :กระพจ้ี นั่ : Milettia brandisiana.), บา้ นแม่เหยี ะ “ฮานสรี คอื ฮานไม้เส้อื บ้าน เส้อื เมอื ง ไม้ (เหนือ-ไม้เหียะ: ไผ่เฮียะ: Cephalostachyum อารกั ษ์ ไม้ต้ีคนยงั ้ฮ่ม ไม้มงิ่ เมืองอันเป็นสรีเมอื ง virgatum) เหล่าน้ีเป็นตน้ เป็นลกั ษณะการใชต้ น้ ไม้ ไมส้ รฝี งู น้จี อ้ื วา่ ฮานสร”ี เพ่อื “หมายถิน่ ” โดยมกั ตงั้ ช่อื ตามลกั ษณะนิเวศ ของพน้ื ทเ่ี ดมิ ซง่ึ มพี รรณไมบ้ างนิดขน้ึ อย่อู ย่างโดด หมายถึง การตดั ฟนั ต้นไม้ ตันไม้อนั เป็น เด่น นอกจากการใช้ต้นไม้เพ่ือหมายถิ่นแล้ว เส้อื บ้าน เส้อื เมอื ง ไมท้ ่มี เี ทวาดาคุมครอง ไมท้ ใ่ี ห้ สถานท่ีสาคัญในท้องท่ี ก็พบการใช้ช่ือต้นไม้ท่ี ร่มเงาแก่คน ตน้ ไมใ้ หญ่ทอ่ี ยคู่ ่เู มอื งมานาน อนั เป็น ขน้ึ อย่ใู นทแ่ี ห่งนัน้ เพ่อื การ “หมายท่”ี เช่นกนั เช่น สริ มิ คล ไมต้ ้นศรมี หาโพธิ ์ ไมใ้ นลกั ษณะดงั กล่าวมิ วดั ปา่ แดง (ตน้ แดง: Xylia xylocarpa) วดั ไผ่สบิ เอด็ ควรตดั โคน่ ฟนั กอซง่ึ เป็นช่อื เดมิ ของเวฬุกฏั ฐาราม หรอื วดั อุโมงค์ ตลาดตน้ ลาไย (ลาไย: Dimocarpus longan) ตลาด “ไมส้ รตี ้มี ตี ๋าอายเุ มอื ง ไปฟนั เสยี หนั้ แล” ตน้ พะยอม (พะยอม: Shorea roxburghii) เป็นตน้ หมายถงึ ไมศ้ รเี มอื ง หา้ มใหม้ คี นไปตดั ฟนั จะทาใหอ้ ายเุ มอื งเสอ่ื มไป จากความอุดมสมบูรณ์ และชัยภูมิท่ี “ไมใ้ หญ่กบ็ ด่ ปี ้า บ่ดมี า้ งเอาเป๋ นต้สี วน ต้นี า เหมาะสมดงั ท่กี ล่าวมา เมอื งเชยี งใหม่จงึ ถูกสรา้ ง ปลกู เฮอื นก๋วม” ขน้ึ ในทน่ี ้ี เพอ่ื ใหอ้ ยใู่ นบทบาทของเมอื งหลวงแห่ง หมายถงึ ต้นไมใ้ หญ่ไม่ควรตดั ฟนั ลง แล้ว ทาเป็นทน่ี า ทส่ี วน ปรอื ปลูกเรอื นครอ่ มตรงนนั้ ไมด่ ี (คมเนตร เชษฐพฒั นวนิช, 2540)

84 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื อาณาจกั รลา้ นนา จงึ เป็นเมอื งท่มี กี ารหลงั่ ไหลเข้า เม็กซโิ กตอนใต้ และบราซลิ ถูกนามาปลูกตลอด มา ทงั้ ผคู้ น การคา้ และวฒั นธรรม ผ่านยคุ สมยั และ แนวรมิ ถนนสายเชยี งใหม่ – สนั กาแพง และต้น กาลเวลา การผ่านเขา้ มาของสง่ิ ใหมน่ ้ียงั แสดงออก มะฮอกกานี (Swietenia macrophylla.) ซง่ึ กระจาย ในมติ ิของต้นไม้กบั การหมายถ่ินฐานด้วยเช่นกนั พนั ธุ์อยู่ในเขตอเมรกิ ากลาง อเมรกิ าใต้และรมิ ฝงั่ ในช่วงหน่ึงรอ้ ยปีท่ผี ่านมา มตี ้นไมต้ ่างถนิ่ (Exotic มหาสมทุ รแอตแลนตกิ ถูกนามาปลกู รมิ ถนนท่าแพ plant species) ซง่ึ ไมเ่ คยพบในระบบนิเวศเดมิ ถูก ทัง้ สองฝงั่ (ปจั จุบันไม่พบแนวต้นมะฮอกกานี นามาปลูกในเชงิ หมายถ่ินฐาน โดยใช้เป็นต้นไม้ ดงั กล่าวแลว้ ) การนาตน้ ไมต้ ่างถนิ่ เหล่าน้ีมาปลกู จะ “หมายทาง” เช่น ตน้ จามจรุ ี (Samania saman) ซง่ึ อยใู่ นช่วงทเ่ี ชยี งใหม่มชี าวตะวนั ตกโดยเฉพาะชาว เป็นตน้ ไมป้ ระจาถน่ิ ในเขต Neotropic ไดแ้ ก่ เปรู องั กฤษและคนในบงั คบั ไดแ้ ก่ พมา่ เงย้ี ว และมอญ รปู ที่ 14 แนวต้นฉาฉา รมิ ถนนสายเชยี งใหม่-สนั กาแพง รูปที่ 15 แนวต้นมะฮอกกานีหน้าวดั มหาวนั ริมถนน ทา่ แพ ในปี 2454 ในปี 2515 ทม่ี า: บุญเสรมิ ศาสตราภยั (2554 : 56) ทม่ี า: http://library.cmu.ac.th/ntic/picturelanna/ pictures/BS- CM-RD095b.jpg

85 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื เข้ามาทาธุรกิจเก่ียวกับไม้ซุงและไม้แปรรูปใน เดยี วกนั ทงั้ สน้ิ ความเช่อื ลกั ษณะดงั กล่าว ถือเป็น เชียงใหม่และพ้นื ท่ีภาคเหนือกนั อย่างแพร่หลาย พลงั จงู ใจใหช้ าวลา้ นนามองเหน็ คุณค่าของสงิ่ ต่างท่ี เป็นท่ีน่าสงั เกตว่าการใช้ต้นไม้เพ่ือแสดงถึงการ อยู่รอบข้าง จงึ ไม่ประพฤติหรอื ปฏิบตั ิการใดๆใน หมายสถานท่อี ่ืนๆ ท่นี อกเหนือจากการใช้หมาย ลกั ษณะเป็นการระรานและให้ร้าย หรอื แม้กระทงั่ เมอื งแลว้ นนั้ จะมกี ารเปลย่ี นแปลงเกดิ ขน้ึ กบั ความ ล่วงละเมิดความเป็นไปของธรรมชาติ ในทาง เป็นอยขู่ องต้นไมน้ ัน้ โดยง่าย เช่น ปจั จุบนั เราจะไม้ ตรงกนั ขา้ ม กลบั ยอมรบั สมยอม และใหก้ ารพทิ กั ษ์ พบตน้ ข่อยทเ่ี กดิ ขน้ึ เองตามธรรมชาตเิ ลยทบ่ี า้ นสนั รกั ษาและประนีประนอมกับธรรมชาติ (มณั ฑนา ปา่ ขอ่ ย ไมพ่ บตน้ บะปินทบ่ี า้ นดอนปิน ต้นมะกอกท่ี กติ ตวิ รากุล, 2547) ซง่ึ แสดงใหเ้ หน็ ในการปกปกั บา้ นหลง่ิ กอก หรอื ตน้ ป้ีจนั่ ทบ่ี า้ นดอนจนั่ รวมไปถงึ รกั ษาและหวงแหนต้นไมใ้ หญ่ท่ไี ด้ปลูกขน้ึ เอง แม้ การรอ้ื ถอนต้นมะฮอกกานีเพ่อื การฝงั เสาโทรศพั ท์ จะไมไ่ ดม้ แี นวคดิ ดา้ นวญิ ญาณนยิ มมาเก่ยี วขอ้ ง แต่ และการขยายถนนท่าแพ และการขุดย้ายต้น กพ็ งึ ใจทจ่ี ะพทิ กั ษ์รกั ษาไว้ นอกจากน้ีในการพทิ กั ษ์ พะยอมท่กี าดต้นพะยอมเพ่อื ขยายถนนสุเทพ การ รกั ษาต้นไม้ ยงั มกี ารเช่อื มโยงกนั ระหว่างแนวคดิ สูญหายไปของต้นไม้เหล่าน้ีเม่อื เปรียบเทียบกับ ธรรมชาตนิ ิยมและวิญญาณนิยมไว้ด้วยกนั ดงั จะ ตน้ ไมห้ มายเมอื งแลว้ ความแตกต่างทเ่ี หน็ ไดช้ ดั คอื เห็นได้จากประเพณีบวชต้นไม้ ซ่งึ เป็นการสร้าง ความเช่อื ทางดา้ นวญิ ญาณนิยม (Animism) เกย่ี ว ความมวี ญิ ญาณใหก้ บั ต้นไมแ้ ละพน้ื ทอ่ี นั เป็นทห่ี วง การมจี ติ วญิ ญาณภายในต้นไม้นัน้ ซ่งึ โดยพ้นื ฐาน แหน โดยประเพณีบวชต้นไม้ บวชป่า สืบชะตา ของชาวล้านนาเช่อื ว่าวญิ ญาณมผี ลในการบงั เกิด แม่น้าเป็นประเพณีท่เี พ่ิงประยุกต์ขน้ึ เม่อื ปี 2531 อุบตั กิ ารณ์ต่างๆในธรรมชาติ รวมถงึ กาหนดความ และสืบทอดแนวทางปฏบิ ตั ิกนั อย่างแพร่หลายใน อยู่รอดปลอดภัยในชีวิตด้วย ต้นไม้ท่ีปราศจาก ปจั จบุ นั ความเช่อื เร่อื งจติ วญิ ญาณภายในจงึ ตกอยู่ภายใต้ อ า น า จ ก า ร จัด ก า ร ข อ ง ม นุ ษ ย์ จึง เ กิด ก า ร เปลย่ี นแปลงไดง้ ่ายตามทก่ี ล่าวมา อยา่ งไรกด็ ี ชาว ล้ า น น า มี มุ ม ม อ ง ใ น ด้ า น ธ ร ร ม ช า ติ นิ ย ม (Naturalism)อย่างเด่นชดั และถือเป็นพ้ืนฐานใน การสร้างสรรค์วัฒนธรรมและคติธรรมต่างๆ ท่ี ตามมา โดยมองถงึ ธรรมชาติว่าเป็นแหล่งกาเนิด ทงั้ พืช สตั ว์ และมนุษย์ล้วนมเี น้ือแท้ท่ีแบ่งปนั มา จากธรรมชาตแิ ละอยู่ร่วมกนั ภายใต้กฎธรรมชาติ

86 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื รปู ที่ 16 แนวตน้ ยางนารมิ ถนนสายเชยี งใหม่ ลาพนู ผา้ สเี หลอื งคอื ผา้ จวี รทพี นั ไวเ้ พอ่ื เป็นสญั ลกั ษณ์หลงั จากพธิ บี วชตน้ ไม้ ทม่ี า: https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/p480x480/1002356_666243156720799_471112.jpg

87 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื บรรณานุกรม มณั ฑนา กติ ตกวรากุล. (2547). แนวคดิ ทางอภปิ รชั ญาและจรยิ ศาสตรใ์ นพธิ บี ูชาอินทขลิ จงั หวดั เชยี งใหม่ (วทิ ยานิพนธศ์ ลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ (สาขาวชิ าปรชั ญา), มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม)่ จู เหลยี งเหวนิ . (1994). ชนชาตไิ ต สถาปตั ยกรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีไตในสบิ สองพนั นา (งามพรรณ เวชชาชวี ะ, ผแู้ ปล). เชยี งใหม:่ สุรวิ งศบ์ คุ๊ เซนเตอร.์ สรสั วดี อ๋องสกุล. (2539). ประวตั ศิ าสตรล์ า้ นนา (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2). กรงุ เทพฯ: สานกั พมิ พอ์ มรนิ ทร.์ ไซมอน การด์ เนอร,์ พนิ ดา สทิ ธสิ ุนทร และวไิ ลวรรณ อนุสารสุนทร. (2549). ต้นไมเ้ มอื งเหนือ : ค่มู อื ศกึ ษา พรรณไมย้ นื ตน้ ในปา่ ภาคเหนอื ประเทศไทย (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 1). กรงุ เทพฯ: โครงการจดั พมิ พค์ บไฟ. พระยาประชากจิ กรจกั ร์ (แช่ม บุนนาค).(2515). พงศาวดารโยนก. (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 6). กรงุ เทพฯ: แพรพ่ ทิ ยา. เออ้ื มพร วสี มหมาย, ปณธิ าน แกว้ ดวงเทยี น. (2547). ไมป้ ่ายนื ต้นของไทย 1 . (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 1). กรุงเทพฯ: โรง พมิ พ์ เอช เอน็ กรปุ๊ . คณะมนุษยศาสตร.์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่ (2534) โครงการสารานุกรมวฒั นธรรมไทย (ภาคเหนือ). (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2). เชยี งใหม:่ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่ สงวน โชตสิ ขุ รตั น์. (2508). ตานานเมอื งเหนือ (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 3). กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร์ แสวง มาละแซม. (2540). คนยองยา้ ยแผน่ ดนิ : ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 1). กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พ์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ พระธรรมดลิ ก (จนั ทร์ กุสโล). (2538). วดั เจดยี ห์ ลวงวรวหิ าร : ธรรมะประจาใจ รายงานประจาปี (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 1).เชยี งใหม่ : กลางเวยี งการพมิ พ์ คมเนตร เชษฐพฒั นวนชิ (ผรู้ วบรวม). (2540). ขดึ : ขอ้ หา้ มในลา้ นนา (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 6). เชยี งใหม่ : สถาบนั วจิ ยั สงั คม มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่

88 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื อ้างอิงรปู ภาพ รปู ปก ทม่ี า: http://f.ptcdn.info/893 /005/000/1370443957-DSC0299014-o.jpg รปู ท่ี 1 ทม่ี า: จู เหลยี งเหวนิ . (1994). ชนชาตไิ ต สถาปตั ยกรรมและขนบธรรมเนียมประเพณไี ตใน สบิ สองพนั นา (น.11) รปู ท่ี 2 ทม่ี า: http://image.ohozaa.com/i/426/dscf0743_resize.jpg รูปท่ี 3 ท่ีมา:http://2.bp.blogspot.com/ZuP8fUnbJPM/UQ9SSFqef3I/AAAAAAAAARg/hRqoCsNesA/s16 00/IMG_5609.jpg รปู ท่ี 4 ทม่ี า: http://library.cmu.ac.th /ntic/picturelanna/pictures/BS-CM-VC001b.jpg รปู ท่ี 5 ทม่ี า: http://library.cmu.ac.th/ ntic/picturelanna/pictures/VC012s.jpg รปู ท่ี 6 รปู ท่ี 6A ทม่ี า: http://www.mobot.org/ mobot/Ficus_benghalensis.jpg รปู ท่ี 6B ทม่ี า: http://2.bp.blogspot. com/a1lLhFdc6m0%285%29.jpg รูปท่ี 6C ท่มี า: http://us.123rf.com/ 400wm/400/400/yogeshsmore/yogeshsmore1205/yogeshsmore12 0506456/13732213-ficus-benghalensis-banyan-tree-maharashtra-india.jpg รปู ท่ี 6D ทม่ี า: http://www.redrif.com/images/ff/01-12/25/the_great_ban yan_is_a_banyan_tree_(ficus_b enghalensis)_lo.jpg รปู ท่ี 6E ทม่ี า: http://www.redrif.com/images/ff/01-12/25/the_great _banyan_is_a_banyan_tree_(ficus_b enghalensis)_lo_5.jpg รปู ท่ี 7 รปู ท่ี 7A ทม่ี า: http://www.payer.de/ ayurveda/caraka010573.jpg รปู ท่ี 7B ทม่ี า: http://farm8.staticflickr .com/7226/7186582534_16da5236e6.jpg รปู ท่ี 7C ทม่ี า: http://dokmaidogma .files.wordpress.com/2012/02/ficus-infectoria-feb-2012-72.jpg รปู ท่ี 7Dทม่ี า: http://commons.wiki media.org/wiki/File:Ficus_lacor.jpg รปู ท่ี 7E ทม่ี า: http://preserve-new. harvard.edu:8883/photographs/images/158.jpg

89 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื รปู ท่ี 8 รปู ท่ี 8A ทม่ี า: ถ่ายดว้ ยตวั เอง รปู ท่ี 8B ทม่ี า: ถ่ายดว้ ยตวั เอง รปู ท่ี 8C ทม่ี า: ถ่ายดว้ ยตวั เอง รปู ท่ี 9 ทม่ี า: บุญเสรมิ ศาสตราภยั .(2554) เชยี งใหมใ่ นความทรงจา. (น.16.) รปู ท่ี 10 ทม่ี า: http://www.bloggang.com/data/m/moonfleet/picture/1270129922.jpg รปู ท่ี 11 รปู ท่ี 11A ท่มี า: http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSKRzysIYsdK271VmM90NDXhlhpuc-kA29j NDaM-usTncqY7zrAKA รปู ท่ี 11B ทม่ี า: http://www.vncreatu res.net/pictures/plant/3307s.jpg รปู ท่ี 11C ทม่ี า: http://www.kohchang-tourism.com /uploads/pics/Dipterocarpus-Alatus.jpg รูปท่ี 11D ท่ีมา: http://data.fao.org/ref/1c24f0f8-1938-4a4d-a202-e821af4 5e3bf/medium?authKey=d30 aeb0-ab2a-11e1-afa6-0800200c9a6&vers ion=1.0



91 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื สถาปตั ยกรรมพระธาตุเจดยี ห์ ลวง : ความเป็นมาสคู่ วามน่าจะเป็นไป รฏั ฐา ฤทธศิ ร

92 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื

93 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื สถาปตั ยกรรมพระธาตุเจดยี ห์ ลวง: ความเป็นมาสคู่ วามน่าจะเป็นไป The Architecture of Chedi Luan: Historical development and future รฏั ฐา ฤทธศิ ร บทนำ ความสาคญั ขององค์เจดยี ข์ นาดมหมึ ายอดหกั ท่ดี ู ราวกบั เป็นเพยี งกองอฐิ ศกั ดสิ ์ ทิ ธมิ ์ คี ่าเพยี งเพ่อื การ เร่อื งราวเก่ียวขององค์พระเจดีย์ท่ีตัง้ อยู่ กราบไหว้ เคารพบูชา ของประเทศท่นี ับตวั เองว่า เ กื อ บ จ ะ ศู น ย์ ก ล า ง พ้ื น ท่ี ใ น เ ข ต ก า แ พ ง เ มื อ ง เป็นศนู ยก์ ลางเมอื งพุทธศาสนา ยอ้ นไปราวสบิ กว่า เชยี งใหม่ ทม่ี กั เรยี กกนั ว่า “เขตคูเมอื ง” (เพราะ ปีก่อนคนเชยี งใหม่ยุคนัน้ ย่อมทนั กระแสต่อต้าน เหลอื อยู่แต่คูกบั แจ่ง) นัน้ กล่าวได้ว่าคนเชยี งใหม่ อาคารสูง กระเช้าดอยสุเทพ และรวมถึงกรณีต่อ หรือคนเมือง ต้องรู้จัก และเคยเย่ียมเยือน เติมองค์พระธาตุเจดยี ์หลวง ก่อนท่ยี ุคปจั จุบนั เรา พระอารามแหง่ น้ไี มน่ ้อยกว่าครงั้ หน่ึง ไมว่ ่าจะเฉียด ได้ลมื ๆ เร่อื งเหล่าน้ี พฒั นาเป็นเมอื งท่องเท่ยี วสู่ กรายจากกิจกรรมคล่นื มนุษย์ทุกวนั อาทติ ย์ หรอื แหล่งพกั อาศยั ชาวต่างชาติ คล่นื นกั ท่องเทย่ี วจาก ประเพณีเขา้ อนิ ทขลี ท่จี ดั ปีละหน่ึงอาทติ ย์ ท่กี ล่าว จนี แผน่ ดนิ ใหญ่ และยา่ นชอ็ ปป้ิงถนนนิมมานฯ ม า นั ย ย ะ ต้ อ ง ก า ร ส่ื อ ใ ห้ เ ห็ น นั ้น ล้ ว น ม อ ง ข้ า ม รปู ท่ี 1 พน้ื ทเ่ี ขตคเู มอื งเชยี งใหม่ และทต่ี งั้ ของวดั เจดยี ห์ ลวง

94 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ลองมองย้อนเวลากลบั ไปหาบรรยากาศ พระธาตุว่า “ราชกูฎ” หรอื “กุฎาราม” ซง่ึ สรา้ งบน เมอื งเชยี งใหมใ่ นอดตี ทบทวนสงิ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ ฉาย พน้ื ทเ่ี ดยี วกบั เจดยี ์ “โชตกิ าราม” สบื ตามประวตั ทิ ม่ี ี ใหเ้ หน็ ภาพสะทอ้ นความเปลย่ี นแปลงเร่อื งต่างๆ ท่ี ตานานกล่าวถงึ ในสมยั พระเจา้ อโศกมหราราชแห่ง มศี ูนยก์ ลางเป็นองคเ์ จดยี ห์ ลวงท่อี าจมบี างมุมมอง อนิ เดยี ผเู้ ล่อื มใสในพระพุทธศาสนาส่งสมณะฑตู มา ทอ่ี าจสะทอ้ นแนวคดิ และพฒั นาการย่านศูนยเ์ มอื ง ในบรเิ วณน้ีและได้นาพระเกศาธาตุมาบรรจุไว้ใน ในเน้อื หา ต่างจากการรบั รโู้ ดยทวั่ ไป เจดยี ท์ ช่ี าวลวั ะพน้ื ถน่ิ สรา้ งขน้ึ สงู 3 ศอก เริ่มจำกควำมเป็ นมำ รปู แบบทำงสถำปัตยกรรมครำแรก ตามตานานไม่มกี ารกล่าวถงึ รูปแบบเจดยี ์ ตามข้อมูลท่เี ช่อื กันได้ว่า พญามงั รายได้ สถาปนาเมอื งศูนย์กลางการปกครองท่ีควบรวม โชตกิ าราม เน่ืองจากตานานในภาคเหนือมกั กล่าว อานาจของเมอื งโยนก(เชยี งราย-เชียงแสน) และ ยอ้ นไปเพ่อื แสดงความสาคญั ของพน้ื ท่ี รปู แบบทาง หรภิ ุญไชย (ลาพูน-ลาปาง) เม่อื พุทธศกั ราช 1839 สถาปตั ยกรรมทม่ี กี ารกล่าวถงึ คอื เจดยี ส์ มยั พระเจา้ บนพ้ืนฐานกลุ่มวัฒนธรรมลุ่มน้ าตอนบนของ แสนเมอื งได้สร้างเป็นทรงปราสาท ส่วนฐานมปี ูน ประเทศไทย พะเยา-สุโขทยั ลุ่มน้ายม, เชยี งใหม่- ปนั้ สงิ ห์ และนาคประดบั ส่วนเรอื นธาตุประดษิ ฐาน ลาพูน ลุ่มน้าปิง บนการผสมผสานความเช่ือ พระพุทธรูปในซุ้มทงั้ ส่ดี ้าน ส่วนยอดฉัตรทองคา พุทธศาสนาท่สี บื มาจากละโว้ ทวารวดี กบั ความ ความสูงรวม 39 วา1 (เทยี บได้ประมาณ 50 - 60 เช่อื ทอ้ งถน่ิ ชาวลวั ะทน่ี บั ถอื ผี สบื เน่ืองเรอ่ื ยมาตาม เมตร โดยระยะ 1 วา สมัยล้านนาโบราณเทียบ เครอื ข่ายราชวงศ์มงั ราย สร้างความเจรญิ รุ่งเรอื ง ประมาณ 1.5 เมตร ซง่ึ นับไดว้ ่าเป็นเจดยี ท์ ่มี คี วาม เป็นเมอื งพุทธศาสนานา ล่วงมาถงึ กษตั รยิ อ์ งคท์ ่ี 7 สูงมาตัง้ แต่แรกตามตานาน) ซ่ึงการสร้างเจดีย์ พญาแสนเมอื งมา ทรงทราบข่าวว่าวิญญาณของ ขนาดใหญ่ น้ีนับเป็ นการยกย่อ งพระเกียรติ พญากอื นาพระราชบดิ าของพระองค์ ไดไ้ ปปรากฏ พญากอื นาผู้เป็นจุดเรมิ่ การนาพุทธนิกายใหม่มาสู่ แก่พ่อคา้ เพ่อื ให้มากราบทูลพระองค์ให้สรา้ งเจดยี ์ ใหญ่ไวก้ ลางเมอื งเพ่อื อุทศิ กุศลใหว้ ญิ ญาณของพระ 1 เจดยี ์สงู 39 วาประดับดว้ ยโขงประตูทั้ง 4 ด้าน มี พระพุทธรูปปูนปั้น ราชบดิ าไดข้ น้ึ สวรรค์ (สงวน โชตสิ ุขรตั น์, 2515) ประทับน่ังในโขงทั้ง 4 ด้าน มีรูปพญานาคป้ันเต็มตัว 8 ตัว ตัวละ 5 แต่พญาแสนเมอื งมาสรา้ งไม่แลว้ เสรจ็ ทรงสวรรคต หัว อยู่ใน 2 ข้างบันได รูปปั้นราชสีห์ 4 ตัว ต้ังอยู่ตรงสี่มุมของมหา ไปเสียก่อนพระนางติโลกจุฑาราชเทวีมเหสีของ เจดีย์ ปรากฏแกต่ าคนท้ังสี่ทศิ แปดทิศ ไกล และใกล้ 5 พัน 6 พันวาก็ พระองค์รบั อุปถัมภ์โครงการต่อจนแล้วเสร็จราว มองเห็นได้อย่างชัดเจน (สงวน โชติสุขรัตน์, 2515 : 145 - 146) พุทธศกั ราช 1954 เป็นเวลา 5 ปี ในรชั สมยั พญา สร้างสมัยพญาแสนเมืองมาระหว่าง พ.ศ.1928-44 สร้างถวาย สามฝงั่ แกน เอกสารตานานต่างๆ มกั เรียกองค์ พญากือนาให้มองเห็นในระยะ 2000 วา สร้างทับเจดีย์องค์เล็กชื่อ โชตอิ าราม สรา้ งไมเ่ สรจ็ พ.ศ.1950 พระนางติโลกจฑุ าราชเทวสี รา้ งตอ่ ใช้เวลา 5ปเี สร็จ พ.ศ.1954 (สงวน โชติสุขรัตน์, 2515 :145)

95 เมอื งเชยี งใหม่: ศลิ ปะ สถาปตั ยกรรมและความเชอ่ื ล้านนา ทัง้ ยังสะท้อนการผสมผสานความเช่ือ ส่วนฐาน เป็นส่เี หล่ยี มซ้อนกนั รบั ฐานช้าง วญิ ญาณบรรพบุรุษกบั พุทธศาสนาให้เป็นรากฐาน ล้อมท่โี ผล่จากส่วนฐานมาครง่ึ ตวั ท่พี บว่านิยมทา ความเจรญิ ของอาณาจกั รลา้ นนา กนั มาก่อนนนั้ ท่ี เจดยี ว์ ดั สวนดอก เจดยี ว์ ดั ปา่ แดง หลวง ในแต่ละดา้ นมบี นั ไดนาคหา้ เศยี รทงั้ สด่ี า้ นขน้ึ รปู แบบสถำปัตยกรรมครำวสมบรู ณ์ ส่เู รอื นธาตุ ในระยะเวลาล่วงมาไมน่ านกษตั รยิ อ์ งคท์ ่ี 9 ส่วนเรอื นธาตุ เป็นผงั ยอ่ เกจ็ ส่วนตวั อาคาร พญาติโลกราชทรงมดี ารทิ ่จี ะบูรณะองค์พระเจดีย์ และส่วนเสารบั ซุ้มพระ เกดิ เป็นพ้นื ท่สี ่วนระเบยี ง โดยการเสรมิ ให้มขี นาดใหญ่ข้นึ โดยโปรดให้หม่นื ทางเดิน(ลานประทักษิณ)โดยรอบ ประดิษฐาน ด้ามพร้าคต ทารูปปนั้ ช้างค้ารายล้อมรอบองค์ พระพุทธรปู ประทบั นงั่ ในซุม้ จระนาทงั้ สท่ี ศิ เจดยี ห์ ลวงนัน้ มี 28 เชอื ก ขดุ ทารากฐานเจดยี ใ์ หม่ ให้มนั่ คงกว่าเดมิ พร้อมทงั้ เปล่ยี นยอดใหม้ กี ระพุ่ม สว่ นยอด เป็นลกั ษณะคลา้ ยหลงั คาซอ้ นกนั เป็นยอดเดียว เม่อื พุทธศักราช 2021 องค์เจดีย์ 2 ชนั้ ผงั ย่อเก็จลกั ษณะคล้ายการซ้อนหลงั คาทรง กวา้ ง 35 วา สงู 45 วา2 (เทยี บความกวา้ งองคเ์ จดยี ์ มณฑปลาดเอยี งเข้าหาส่วนกลางท่มี กั เรยี กว่าบวั ประมาณ 50 - 60 เมตร สูงประมาณ 70 - 80 ถลา ส่วนสนั ทห่ี กั มุมเป็นนาคปูนปนั้ ปลายมว้ นทบั เมตร) สนั หลงั คา เหนือชุดหลงั คาเป็นชุดหน้ากระดานบวั คว่าในผงั แปดเหลย่ี มซอ้ นกนั สอง-สามชนั้ คลา้ ยกบั องค์เจดีย์ยงั คงเป็นทรงปราสาทเช่นเดิม ชุดมาลยั เถาของเจดยี ์ทรงระฆงั สุโขทยั ส่วนยอด เน่ืองจากว่าเดมิ องคก์ ม็ ขี นาดใหญ่อย่แู ลว้ และดว้ ย เหนือขน้ึ ไปเสยี หายหมดแลว้ ระยะเวลาราว 70 ปีก็ไม่น่าจะเสียหายได้มาก ประเด็นน่าจะเป็นการเสริมความศักดิส์ ิทธิ ์ และ ควำมคิดและควำมเช่ือในงำนสถำปัตยกรรม บรสิ ุทธทิ ์ างพุทธศาสนา ด้วยการประดษิ ฐานพระ จากลกั ษณะของการบูรณะครงั้ น้ีสะท้อน บรมสารรี กิ ธาตุ รวมทงั้ ประดษิ ฐานพระแก้วมรกตท่ี อญั เชญิ มาจากลาปางไวท้ จ่ี ระนาดา้ นทศิ ตะวนั ออก การปรบั ประยุกต์เชิงความหมายและสญั ลกั ษณ์ ด้วย พระแก้วมรกตจากลาปางไม่รู้ว่าสาคญั ยงั ไง ออกไปจากวตั ถุประสงคเ์ มอ่ื แรกสรา้ ง (กู่บรรพชน) เชค็ ตานานพระแก้วมรกตต่อ หรอื อาจเป็นการเอา โดยสะทอ้ นถงึ แนวความคดิ ทจ่ี ะสถาปนาความเป็น ของมงคลหวั เมอื งมาไวร้ วมกนั ) ศูนย์กลางเมืองพุทธ การขยายอาณาเขตความ ยิ่งใหญ่ของราชอาณาจักรท่ีเจริญรุ่งเรือง ด้วย 2 . . . มหาราชเจ้าตรัสให้หมื่นด้ามพร้าคตออกไปถ่ายอย่างโลหะ โ ค ร ง ก า ร บูร ณ ะ อ ง ค์เ จ ดีย์เ ดิม ใ ห้มีลัก ษ ณ ะ เ ป็ น ปราสาท และรัตนมาลีเจดีย์ ณ เมืองลังกาทวีป . . . ในปีจอ เอกศก มหาธาตุ (พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ) จุลศักราช 841 กอ่ อิฐฐานกว้าง 35 วา สูง 45 วา . . . (กรมศิลปากร, กลางเมอื ง (กรมศิลปากร, 2501) ท่เี ป็นศูนยร์ วม 2515 : 370-371) จติ ใจเช่นเดยี วกบั เมอื งพุทธท่มี คี วามเจรญิ อ่นื ลด


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook