รายงานการประเมินโครงการโรงเรยี นวิถีพทุ ธ ของโรงเรียนบ้านหนองฆอ้ งนาสนี วล ปีการศึกษา 2563 นายสอนชยั พรมประเสริฐ ผู้อำนวยการโรงเรยี นบา้ นหนองฆอ้ งนาสนี วล วทิ ยฐานะ ผู้อำนวยการชำนาญการ โรงเรียนบ้านหนองฆอ้ งนาสนี วล ตำบล ขอนยูง อำเภอกดุ จบั สำนักงานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาอดุ รธานี เขต 4 สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
ก ชอ่ื เรอื่ ง บทคัดยอ่ ผศู้ ึกษา : รายงานการประเมินโครงการโรงเรียนวถิ พี ทุ ธโรงเรยี นบ้านหนองฆอ้ งนาสนี วล ปกี ารศึกษา อาเภอกดุ จับ จงั หวัดอุดรธานี ปีการศกึ ษา 2563 : นายสอนชัย พรมประเสรฐิ : 2563 การศึกษาครั้งนี้มวี ัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพ่ือประเมินบริบทของโครงการเกี่ยวกับความสอดคลอ้ งระหว่าง วัตถุประสงค์ของโครงการกับนโยบายของรัฐบาล นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ นโยบายของสานักงาน คณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน นโยบายของสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 4 นโยบายโรงเรียน และความต้องการและความจาเป็นของโรงเรียน 2) เพ่ือประเมินปัจจัยนาเข้าของโครงการ เกี่ยวกับความเหมาะสมเพียงพอของปัจจัยนาเข้าใน 4 ด้าน คือ บุคลากร งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ อาคาร สถานที่ และ การบริหารจดั การ 3) เพอ่ื ประเมนิ กระบวนการดาเนนิ งานตามโครงการในด้านการจดั การเรยี นรู้ด้าน บรรยากาศและปฏิสัมพันธ์ท่ีเป็นกัลยาณมิตร และ กิจกรรมพ้ืนฐานตามแนววิถีพุทธ 4) เพื่อประเมินผลผลิต ของโครงการเกี่ยวกับพฤติกรรมคุณธรรมจริยธรรมที่เกิดกับผู้เรียนจากการพัฒนาต ามหลักภาวนา 4 ในพัฒนาการ 4 ด้าน คือ พัฒนาการทางกาย ด้านพัฒนาการทางสังคม พัฒนาการทางจิต และพัฒนาการ ด้านปัญญา 5) เพื่อประเมินผลกระทบของโครงการโรงเรียนวิถีพุทธที่มีต่อบ้าน วัด โรงเรียนซ่ึงได้แก่ประโยชน์ และผลดีของการดาเนินการตามโครงการโรงเรียนวิถีพุทธท่ีมีต่อ บ้าน วัด โรงเรียน ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คร้ังน้ีเป็นผู้เก่ียวข้องกับการดาเนินงานโครงการโรงเรียนวิถีพุทธของโรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล ได้แก่ ผู้บริหาร ครู นักเรียน ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล ปีการศึกษา 2563 ปีการท่ีเข้าร่วม โครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ได้มาจากวิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จานวน 77 คน ประกอบด้วย 1) ผู้บริหาร จานวน 1 คน 2) ครูผู้รับผิดชอบโครงการจานวน 1 คน 3) ครูประจาช้ันประถมศึกษาปีที่ 1-6 จานวน 4 คน 4) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 จานวน 35 คน 5) ผู้ปกครองนักเรียน บุคคลในชุมชน จานวน 35 คน 6) พระวิทยากร จานวน 1 รูป สรปุ ผลการประเมนิ 1. ผลการประเมินด้านบริบท ของโครงการโรงเรียนวิถีพุทธโรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล อาเภอกุดจับ จงั หวัดอุดรธานี ปีการศกึ ษา 2563 ด้านบริบทโครงการโรงเรียนวิถีพุทธของโรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล บุคลากรภายในโรงเรียนมี ความคิดเห็นว่า โดยภาพรวมระดับความสอดคล้องอยู่ในระดับมาก ข้อท่ีมีค่า () สูงสุด คือข้อท่ี 4 ความ สอดคล้องของโครงการกับนโยบายของสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาอุดรธานี เขต4 มีคา่ () = 4.50 ข้อท่ีอยู่ ในระดับมากคือ ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 และ ข้อท่ี 5 ถึง ข้อท่ี 15 และ ข้อที่มีค่า ()ต่าสุด คือ ข้อท่ี 8 โครงการมคี วามเหมาะสมกับสภาพความต้องการ ความสนใจของนกั เรียน มคี ่า ()= 4.06
ข 2. ผลการประเมินปัจจัยนาเข้า ของโครงการโรงเรียนวิถีพุทธโรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล อาเภอกุดจบั จังหวดั อดุ รธานี ปีการศกึ ษา 2563 2.1 ปัจจัยนาเข้าด้านบุคลากรของโครงการโรงเรียนวิถีพุทธของโรงเรียนบ้านหนองฆ้อง นาสีนวล ตามความคดิ เห็นของบุคลากรภายในโรงเรียน ในภาพรวมมคี วามความเหมาะสม พอเพียงอยู่ในระดับ มาก ( = 4.0 ) เมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่าทุกข้อมีระดับของความเหมาะสม พอเพียงอยู่ในระดับ มาก โดยมี ข้อท่ี 8 ผู้บริหาร ครู นักเรียนมีอุดมการณ์ที่จะพัฒนาตนเองและดาเนินชีวิตท่ีดีงาม มีระดับของ ความเหมาะสม พอเพียงมากท่ีสุด ( = 4.44 ) และ ข้อที่ 7 มีบุคลากรจากหน่วยงานต้นสังกัดและ หนว่ ยงานอืน่ ทเี่ กยี่ วข้องรว่ มมือสนับสนุนมีระดบั ของความความเหมาะสม และพอเพียงน้อยที่สดุ ( = 3.69 ) อยู่ในระดับมาก 2.2 ปจั จัยนาเขา้ ด้านวัสดอุ ุปกรณ์ อาคารสถานท่ี ของโครงการโรงเรยี นวิถีพุทธของโรงเรยี น บา้ นหนองฆอ้ งนาสีนวลในปีการศึกษา 2563 ตามความคิดเหน็ ของบคุ ลากรภายในโรงเรียน ในภาพรวมมคี วาม เหมาะสมพอเพียงในระดับมาก( = 3.70) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าทุก ข้อมีระดับของมีความเหมาะสม พอเพียงในระดับมาก โดยมี ข้อท่ี 4 มีป้ายนิเทศ ป้ายคติธรรม หรือคาขวัญคุณธรรม จริยธรรม ข้อท่ี 5 จัดประดิษฐานพระพุทธรูปประจาโรงเรียนและประจาห้องเรียนเหมาะสม ข้อที่ 7 บริเวณโรงเรียนปราศจาก ส่ิงเสพติด อบายมุข สิ่งมอมเมาทุกชนิด ข้อท่ี 8 โรงเรียนมีแหล่งเรียนรู้ท่ีเอ้ือต่อการดาเนินการโครงการ โรงเรียนวถิ ีพุทธความเหมาะสมพอเพยี งในระดบั มาก และมีระดับของความเหมาะสมพอเพียงในระดับมากท่ีสุด ( = 3.81 ) อยู่ในระดับมาก ข้อที่ 1 ส่ือ วัสดุอุปกรณ์ เคร่ืองมือ เครื่องใช้มีเพียงพอและมีคุณภาพ และ ข้อท่ี 2 ความร่วมมือของครูและชุมชนในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนมรี ะดบั ของความเหมาะสม พอเพียงนอ้ ยท่ีสดุ ( = 3.50 ) อยู่ในระดบั มาก 2.3 ปัจจยั นาเข้าด้านงบประมาณตามความคิดเห็นของบุคลากรภายในโรงเรียน ในภาพรวมมี ความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( = 3.68 ) เม่ือพจิ ารณาเป็นรายข้อพบว่าข้อท่ีมีความเหมาะสมพอเพียงมาก ทส่ี ุด คือ ข้อท่ี 5 งบประมาณการจัดกจิ กรรมเขา้ คา่ ยธรรมะเพยี งพอและเหมาะสมสงู สุด ( = 3.94 ) สว่ นข้อ ที่มีความเหมาะสมพอเพียงน้อยที่สุดคือ ข้อท่ี 7 องค์การปกครองส่วนท้องถ่ินให้การสนับสนุนงบประมาณใน การจัดกจิ กรรมมีระดับของความเหมาะสมต่าสดุ ( =3.13) อยู่ในระดบั ปานกลาง 2.4 ปัจจัยนาเข้าด้านการบริหารจัดการตามโครงการโรงเรียนวิถีพุทธในปีการศึกษา 2563 ตามความคิดเห็นของบุคลากรภายในโรงเรียน ในภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ( = 4.21 ) เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าทุกข้อมีระดับของความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก โดยมี ข้อที่ 8 มีการนิเทศ กากับ ติดตามการดาเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธอย่างต่อเน่ืองมีความเหมาะสมมากที่สุด ( = 4.00 ) และ ข้อที่ 10 จัดระบบตรวจสอบประเมินผล และเปิดโอกาสให้มีการเสนอแนะอย่างเป็นกัลยาณมิตร เพ่ือการ พฒั นาอยา่ งตอ่ เน่ืองมรี ะดบั ของความเหมาะสมตา่ น้อยทีส่ ุด ( = 3.69) อยู่ในระดบั มาก
ค 3. ผลการประเมินกระบวนการของโครงการโรงเรียนวิถีพุทธโรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล อาเภอกดุ จบั จังหวัดอดุ รธานี ปีการศึกษา 2563 3.1 กระบวนการดาเนินงานของโครงการโรงเรียนวิถีพุทธด้านการจัดการเรียนรู้ ตามความ คดิ เห็นของผู้บริหาร ครูผู้รบั ผิดชอบโครงการ ครูผู้รบั ผิดชอบกิจกรรมย่อยในโครงการ พระวิทยากร และครู ประจาช้นั โรงเรยี นบา้ นหนองฆ้องนาสนี วลในภาพรวมมีคา่ เฉลี่ยอยูใ่ นระดับมาก ( = 3.87 ) เม่ือพิจารณาใน รายละเอียดพบว่าทุกข้อมีระดับของความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก โดยมี ข้อที่ 12 นิมนต์พระสงฆ์หรือเชิญ วิทยากรมาสอนพุทธศาสนานักเรียนสม่าเสมอมีระดับของความเหมาะสมมากท่ีสุด ( = 4.31 ) อยู่ในระดับ มากข้อท่ี 2 จัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการแสวงหาความรู้ และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองโดยอาศัยหลักธรรม เช่น อริยสัจ 4 และ ข้อท่ี 13 ใช้ส่ือการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมแก่นักเรียนอยู่เสมอมีระดับของ ความเหมาะสมนอ้ ยทสี่ ุด ( = 3.63 ) อยู่ในระดับมาก 3.2 กระบวนการดาเนินงานของโครงการโรงเรียนวิถีพุทธด้านบรรยากาศและปฏิสัมพันธ์ที่ เป็นกัลยาณมิตร จากความคิดเห็นของผู้บริหาร ครูผู้รับผิดชอบโครงการ ครูผู้รับผิดชอบกิจกรรมย่อยใน โครงการ พระวทิ ยากร และครปู ระจาช้ันโรงเรียนบา้ นหนองฆ้องนาสนี วลในภาพรวมมีค่าเฉลยี่ อยู่ในระดบั มาก ( = 3.94 ) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าทุก ข้อมีระดับของความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก โดยมี ข้อท่ี 2 ส่งเสริมให้ครแู ละนักเรยี นปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดีแกผ่ ู้อื่นมีระดบั ของความเหมาะสมมากที่สุด ( = 4.19) อยู่ในระดับมาก ข้อที่ 4 โรงเรียนมีการประสานงานและประชาสัมพันธ์ เชิญชวนขอความ ร่วมมือกับผู้ปกครอง ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน และหน่วยงานต้นสังกัดในการจัดกิจกรรมตามแนว วิถพี ทุ ธมีระดับของความเหมาะสมน้อยทสี่ ดุ ( = 3.63 ) อยู่ในระดับมาก 3.3 กระบวนการดาเนินงานของโครงการโรงเรียนวิถีพุทธด้านกิจกรรมพ้ืนฐานตามแนว วิถีพุทธของโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ในปีการศึกษา 2563 ตามความคิดเห็นของบุคลากรภายในโรงเรียน ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 3.95 ) และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อแล้วพบว่า ขอ้ ที่ 6 ส่งเสริมให้ทุกคนมี ส่วนร่วมและเห็นคุณค่าในการรักษาและสืบต่อพระพุทธศาสนา มีค่าเฉล่ียมากท่ีสุด ( = 4.06 ) อยู่ในระดับ มาก และ ข้อที่1 จัดกจิ กรรมเสริมเน้ือหาสาระตามหลักสูตรต่อเนื่องสม่าเสมอ มีคา่ เฉลี่ยน้อยที่สุด ( =3.81) อย่ใู นระดบั มาก 4. ผลการประเมินผลผลิต ของโครงการโรงเรียนวิถพี ุทธโรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล อาเภอกดุ จับ จงั หวดั อุดรธานี ปีการศึกษา 2563 4.1 ผลผลิตของโครงการโรงเรียนวิถีพุทธในปีการศึกษา 2563 ด้านพัฒนาการทางกายตาม ความคิดเห็นของบุคลากรภายในโรงเรียน ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 3.95 ) ยกเว้น ข้อที่ 2 มีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับปานกลาง และเม่ือพิจารณาเป็นรายข้อแล้วพบว่า ข้อท่ี 3 นักเรียนแต่งกายสะอาด เรียบร้อย ถูกต้องตามกาลเทศะมีค่าเฉล่ียมากท่ีสุด ( = 4.24 ) อยู่ในระดับมาก และ ข้อที่ 2 นักเรียนมีพฤติกรรมมุ่ง เป็นผ้ผู ลิตมากกว่าผู้บรโิ ภคมคี ่าเฉลยี่ น้อยทส่ี ดุ ( = 3.41 ) อยใู่ นระดับปานกลาง
ง 4.2 ผลผลิตจากการดาเนินงานตามโครงการโรงเรียนวิถีพุทธด้านพัฒนาการด้านสังคมใน ปีการศึกษา 2563 ตามความคิดเห็นของตามความคิดเห็นของบุคลากรในโรงเรียน ในภาพรวมอยู่ใน ระดับมาก ( = 3.88 ) และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อแล้วพบว่า ข้อที่ 1 นักเรียนมีหิริโอตตัปปะใน การปฏิบตั ิตน (ความละอายและเกรงกลวั บาป) มคี า่ เฉล่ยี มากทีส่ ดุ ( = 4.00 ) อยู่ในระดับมาก และ ข้อท่ี 4 นักเรียนปฏิบัติตามหลักไตรสิกขาในการดาเนินชีวิตประจาวันมีค่าเฉล่ียน้อยที่สุด ( = 3.76 ) อยู่ในระดับ มาก 4.3 ผลผลิตจากการดาเนินงานตามโครงการโรงเรียนวิถีพุทธในปีการศึกษา 2563 ด้านพัฒนาการด้านจิตใจ ตามความคิดเห็นของตามความคิดเห็นของบุคลากรในโรงเรียน และผู้ที่เกี่ยวข้อง ในภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก ( = 4.08 ) และเม่อื พจิ ารณาเปน็ รายขอ้ แล้วพบว่า ขอ้ ที่ 2 นักเรียนมีสขุ ภาพจิต ท่ีดี แจ่มใส ร่าเริง เบิกบาน มีความสุขในการเรียน มีค่าเฉลี่ยมากท่ีสุด ( = 4.32 ) อยู่ในระดับมาก และ ข้อท่ี 4 นักเรยี นทางานและเรียนรูอ้ ยา่ งตั้งใจ อดทน ขยันหมนั่ เพยี ร มีค่าเฉล่ียน้อยท่ีสดุ ( = 3.88 ) อยู่ใน ระดบั มาก 4.4 ผลผลิตจากการดาเนินงานตามโครงการโรงเรียนวิถีพุทธด้านพัฒนาการด้านปัญญาในปี การศึกษา 2563 ตามความคิดเห็นของบุคลากรในโรงเรียน และผู้ท่ีเกี่ยวข้อง ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 3.83 ) และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อแล้วพบว่า ข้อท่ี 2 นักเรียนเป็นคนใฝ่รู้ ใฝ่ศึกษาแสวงหาความจริง และสนใจศึกษาหาความรู้ตลอดชีวิตมีค่าเฉล่ียมากทีส่ ุด ( = 3.94 ) อยู่ในระดับมาก และ ข้อท่ี 8 นักเรยี นมี ความรู้ เข้าใจหลักธรรมสามารถเผยแพร่และนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้เหมาะสมมีค่าเฉลี่ย น้อยที่สุด ( = 3.68 ) อย่ใู นระดับมาก 5. ผลการประเมินผลกระทบที่เกิดจากโครงการของโครงการโรงเรียนวิถีพุทธโรงเรียนบ้านหนองฆ้อง นาสีนวล อาเภอกุดจบั จังหวดั อุดรธานี ปกี ารศกึ ษา 2563 5.1 ผลกระทบของโครงการโรงเรียนวิถีพุทธด้านผลกระทบต่อผู้ปกครอง ชุมชน (บ้าน) ในปีการศึกษา 2563 ตามความคิดเห็นของบุคลากรในโรงเรียนและผู้ท่ีเก่ียวข้อง ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 3.87 ) และเมื่อพจิ ารณาเป็นรายข้อแล้วพบวา่ ข้อท่ี 2 สมาชิกในครอบครัว ชมุ ชนมีความรกั หว่ งใยเอา ใจใส่บุตรหลานมากขึ้นมีค่าเฉล่ียมากท่ีสุด ( = 4.15 ) และ ข้อที่ 4 ชุมชนมีความสงบสุขเป็นสังคมคุณภาพ เออ้ื อาทรและสมานฉนั ท์ สามัคคใี นการพฒั นาชุมชนใหเ้ จรญิ มคี า่ เฉลี่ยน้อยที่สุด ( = 3.74 ) อยู่ในระดับมาก 5.2 ผลกระทบของโครงการโรงเรียนวิถีพุทธปีการศึกษา 2563 ด้านผลกระทบต่อ วัด ตามความคิดเห็นของบุคลากรในโรงเรียน และผู้ท่ีเก่ียวข้อง ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก( = 4.06 ) และ เมื่อพิจารณาแยกเป็นรายข้อแล้วพบว่า ข้อที่ 4 วัดได้รับความเชื่อถือศรัทธาจากชุมชนมากข้ึนมีค่าเฉลี่ยมาก ท่สี ุด ( = 4.23 ) และข้อที่ 1 วัดได้ศาสนทายาทและกาลังช่วยงานส่งเสริมพระพุทธศาสนามากข้ึนมีค่าเฉลี่ย น้อยท่สี ุด ( = 3.85 ) อยู่ในระดับมาก
จ 5.3 ผลกระทบของโครงการโรงเรียนวิถีพุทธด้านผลกระทบต่อโรงเรียนในปีการศึกษา 2563 ตามความคิดเห็นของบคุ ลากรในโรงเรียน และผู้ทเี่ กี่ยวข้อง ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก( = 3.98 ) และเมื่อ พิจารณาเป็นรายข้อแล้วพบว่า ข้อท่ี 6 ครูปรับปรุงพัฒนาการสอนสู่แนวการสอนแบบบูรณาการมีค่าเฉลี่ยมาก ที่สุด ( = 4.15 ) อยู่ในระดับมาก และ ข้อท่ี 4 นักเรียนมีการพัฒนาตนเองเป็นแบบอย่างท่ีดีแก่เพ่ือนๆและ คนในครอบครวั มีค่าเฉล่ียน้อยทีส่ ดุ ( = 3.50 ) อยใู่ นระดบั มาก อภปิ รายผล 1. ผลประเมินบริบทของโครงการเก่ียวกับความสอดคล้องระหว่างวัตถุประสงค์ของโครงการกับ นโยบายของรัฐบาล นโยบายกระทรวงศึกษาธิการ นโยบายของสานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน นโยบายของสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 4 นโยบายโรงเรียน หลักสูตรการเรียน การสอน ความต้องการและความจาเปน็ ของโรงเรียนมีความสอดคลอ้ งอยู่ในระดับมาก ท้ังนี้ อาจเนื่องจากการ วางแผนจัดทาโครงการโรงเรียนวิถีพุทธของโรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล ได้มีการศึกษากรอบนโยบายของ รัฐบาล นโยบายกระทรวงศึกษาธิการ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน สานักงานเขตพื้นท่ี การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 4 วิเคราะห์สภาพปัจจุบันและปัญหาของโรงเรียนท้ังภายนอกและภายใน ประเมินสถานภาพของโรงเรยี น เพ่ือหาความต้องการจาเป็น แล้วจัดวางทิศทางการพัฒนา กาหนดเป็นนโยบาย โรงเรียนในด้านการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียนท่ีชัดเจน แผนงาน โครงการ และรายละเอียดของโครงการ ตา่ ง ๆ เกดิ ขึ้นจากการรว่ มคดิ ร่วมทาของคณะกรรมการ ซึ่งกระบวนการดงั กล่าวสอดคลอ้ งกบั กระบวนการจัดทา แผนกลยุทธ์ของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ที่ว่าการจัดทาแผนกลยุทธ์ให้ประสบ ความสาเร็จอย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธผิ ล คือ การมีส่วนร่วมในการดาเนินการของผู้มีสว่ นเก่ียวขอ้ งใน การวิเคราะห์ สภาพแวดล้อม ประเมนิ และจัดวางทิศทางการจดั การศึกษาของโรงเรยี น 2. ผลการประเมินปัจจัยนาเข้าของโครงการ พบว่า มีความเหมาะสม/เพียงพอ อยู่ในระดับมาก ทกุ โครงการ มีรายการที่มีความเหมาะสม/เพียงพอในระดับมากที่สุด คือ ผู้บริหาร /ครู/นักเรียนมีอุดมการณ์ ท่ีจะพัฒนาตนเองและดาเนนิ ชีวติ ท่ีดีงาม ซ่ึงถือเป็นจุดแข็ง ของโครงการ ท้ังน้ีอาจเนื่องมาจากการที่ผู้บรหิ าร /ครู/นักเรียนมีอุดมการณ์ที่จะพัฒนาตนเองและดาเนินชีวิตท่ีดีงามเหมือนกัน เป็นการแสดงถึงความพร้อมใจ ความสามัคคมี งุ่ มัน่ ของบคุ ลากรและนกั เรยี นในการปฏบิ ตั ิตนตามกจิ กรรมในโครงการโรงเรยี นวถิ ีพุทธ ถ้ามีการ วางแผนทุกข้ันตอนอย่างชัดเจน มีการศึกษาและใช้ข้อมูลประกอบการวางแผนทุกโครงการ จัดงบประมาณให้ เหมาะสมและมีการบริหารจัดการโครงการที่ดี มีการตรวจสอบและประเมินการปฏิบัติท่ีชัดเจน เม่ือบุคลากรมี ความพร้อมที่จะปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกันแล้ว นับเป็นองค์ประกอบสาคัญท่ีทาให้ปัจจัยนาเข้าของโครงการมี ความเหมาะสม/เพียงพอในการดาเนนิ การตามโครงการมากข้นึ 3. ผลการประเมินกระบวนการดาเนินงานตามโครงการ พบว่า มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ท้ังน้ีอาจ เนอื่ งมาจากความชัดเจนของโครงการท่ีสามารถนาไปสกู่ ารปฏบิ ตั ิได้ทุกกิจกรรม จึงมีการดาเนนิ การตามแผนอย่าง ต่อเนื่อง ความสามารถในการบริหารโครงการการให้การนิเทศ ติดตาม ดูแล และให้ขวัญกาลังใจ ในการทางาน ทาให้เกิดความร่วมมือของคณะทางานแต่ละโครงการและผู้เกี่ยวข้อง การประเมินผลระหว่าง
ฉ ปฏิบัติงาน การหาจุดเด่น จุดด้อยของแต่ละกิจกรรม และนาผลการประเมินมาปรับปรุงการปฏิบัติงานทาให้ กระบวนการดาเนินงานมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ซ่ึงการนาผลการตรวจสอบ มาวิเคราะห์ พิจารณาหาต้นตอสาเหตุข้อบกพร่อง เป็นการแก้ไขป้องกันไม่ให้เกิดซ้าอีกและวางมาตรฐานใหม่ เปน็ สง่ิ สาคญั ในการบริหารโครงการ 4. ผลการประเมินผลผลิตของโครงการ 4.1 ด้านพัฒนาการทางกายของนักเรียน พบว่า นักเรียนแต่งกายสะอาด เรียบร้อย ถูกต้อง ตามกาลเทศะ ดูแลร่างกายและปฏิบัติตนให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ดารงชีวิตที่เป็นมิตรกับ ส่ิงแวดล้อมในธรรมชาติและไม่ทาลายสิ่งแวดล้อม อยู่ในระดับมาก ทั้งนี้ อาจเนื่องมาจากนักเรียนได้เข้าร่วม กจิ กรรมตามโครงการวถิ พี ุทธของโรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวลอย่างสมา่ เสมอและต่อเนื่อง อาทิ กิจกรรม เสริมเนื้อหาสาระตามหลักสูตร กิจกรรมสร้างเสริมคุณธรรมประจาวันและประจาสัปดาห์ กิจกรรมวัน สาคัญ และกิจกรรมพิเศษ ซึ่งมีลักษณะการจัดให้นักเรียนได้สวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมทุก วันศุกร์ เข้าค่ายคุณธรรม กิจกรรมวันสาคัญทางศาสนา ซ่งึ กจิ กรรมของโครงการต่าง ๆ ดงั กล่าว ล้วนเป็น กิจกรรมที่เสริมสร้างและพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม พัฒนานักเรียนให้รู้จักและเข้าใจตนเอง รักและเห็นคุณค่า ของตนเองและผู้อื่น ซึ่งสอดคล้องกับกรอบความคิดหลักในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของกรมวิชาการ (2544 : 71) ท่ีกล่าวว่า การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม จะต้องใช้หลาย ๆ วิธีในลักษณะสัมพันธ์กัน คอื จะต้องค่อย ๆ ปลูกฝังทง้ั ทางตรงและทางอ้อม ผา่ นกระบวนการทางาน กระบวนการเรียนการสอน และการหา คาตอบให้แก่ชีวิตในสถานการณ์ต่าง ๆ โดยเน้นกระบวนการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรมบนพื้นฐานที่ว่า หลักจริยธรรม สูงสุดมีหลากหลาย ดังน้ัน การคิดไตร่ตรองกับเหตุผลทางจริยธรรมแล้วนาไปขัดเกลาเจียนแต่งตนเองอย่าง ต่อเนอื่ งจะสามารถพฒั นาใหเ้ ป็นคนมีคุณธรรมทเี่ ข้าสคู่ วามจริงแท้อย่างชัดเจน 4.2 ด้านพัฒนาการทางสังคมของนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล พบว่า มคี วามพึงพอใจอยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนกั เรียนมีหริ ิ – โอตตัปปะในการปฏิบัติตน (ความละอาย และเกรงกลัวบาป) มีระดับการปฏิบัติมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ทั้งน้ี อาจเน่ืองมาจากโรงเรียนได้จัดกิจกรรมส่งเสริม คุณธรรมจริยธรรมนักเรียนอย่างต่อเน่ืองและสม่าเสมอ เช่น การจัดกิจกรรมอบรมคุณธรรมจริยธรรมนักเรียนทุก เช้า การจัดกิจกรรมอบรมคุณธรรมจริยธรรมนักเรียนทุกวันศุกร์ การส่งเสริมให้นักเรียนเรียนธรรมศึกษา นอกจากนีย้ งั ได้ย่องเชิดชูเกียรติของ ครู และนักเรียน ท้ังดา้ นวชิ าการ ด้านคุณธรรมจริยธรรมอย่างสมา่ เสมอ ต่อเนอ่ื ง 4.3 ด้านพฒั นาการทางจิตของนักเรียนโรงเรยี นบ้านหนองฆอ้ งนาสีนวล พบวา่ มีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนมีสุขภาพจิตที่ดี แจ่มใส ร่าเริง เบิกบานมีความสุขในการเรียนมี ค่าเฉลี่ยสูงท่ีสุด ทงั้ น้ี อาจเน่ืองมาจากโรงเรียนจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อมท่สี ่งเสริมการพฒั นา ศีล สมาธิ ปัญญา ครแู ละนกั เรียนในโรงเรยี นมปี ฏิสมั พันธท์ ี่เป็นกัลยาณมติ รต่อกนั 4.4 ด้านพฒั นาการดา้ นปัญญาของนกั เรยี นโรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสนี วล พบวา่ ทุกรายการ ค่าเฉลี่ยพัฒนาการด้านปัญญาอย่ใู นระดบั มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนเปน็ คนใฝร่ ู้ ใฝ่ศึกษาแสวงหาความ จริง และ สนใจศึกษาหาความรู้ตลอดชีวิตมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ท้ังน้ี อาจเนอ่ื งมาจากโรงเรียนได้จัดการเรียนรู้ให้ นกั เรยี นมีทักษะในการศกึ ษาค้นคว้าสามารถประยกุ ต์ใชห้ ลักธรรมแสวงหาความรคู้ วามจริง เพ่ือนามาวเิ คราะห์
ช และสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเองและกระบวนการกลุ่ม มีทักษะในการคิดอย่างมีเหตุผลด้วยวิธีการที่ถูกต้อง เข้าใจและรู้คุณค่าของการศึกษาความรู้ เพ่ือนามาสร้างสรรค์พัฒนางาน แก้ไขปัญหาชีวิตและการทางานด้วย สติปญั ญา เข้าใจหลกั ธรรมสามารถนาไปใชใ้ นชีวิตประจาวันไดเ้ หมาะสม อย่เู สมอ 5. ผลกระทบของโครงการ พบว่า มีผลกระทบต่อบ้าน วัด โรงเรียน และนักเรียน โดยได้รับรางวัล และการยกย่องเชิดชูเกียรติจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งด้านวิชาการและด้านคุณธรรมจริยธรรมจานวนหลาย รายการ ทั้งนี้ อาจเน่ืองมาจากผลการดาเนินงานในทุกกิจกรรมของโครงการย่อยทุกโครงการบรรลุผลสาเร็จ ตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการ ทาให้สามารถพัฒนานักเรียน ครู – อาจารย์ และโรงเรียนให้มี คณุ ธรรมจริยธรรม คณุ ภาพและมาตรฐานเป็นทีย่ อมรบั เชือ่ มนั่ และศรทั ธาเลอ่ื มใสของชมุ ชน 5.1 ผลกระทบต่อผู้ปกครอง ชุมชน ( บ้าน ) พบว่า บ้านและชุมชนมีสมาชิกท่ีเป็นคนดี ลด ละ เลิก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข สมาชิกในครอบครัว/ชุมชนมีความรัก ห่วงใยเอาใจใส่บุตรหลานมากขึ้น ผู้ปกครอง/ สมาชิกในชุมชน/ ผู้นาชมุ ชนมีการพัฒนาตนเองเป็นแบบอยา่ งที่ดแี ก่ครอบครวั และคนอ่นื ชมุ ชนมี ความสงบสขุ เปน็ สังคมคณุ ภาพ เอ้ืออาทรและสมานฉนั ท์ สามคั คีในการพัฒนาชุมชนใหเ้ จริญ 5.2 ผลกระทบต่อวัด พบว่า การดาเนินงานโครงการโรงเรียนวิถีพุทธมีผลกระทบต่อวัดใน ภาพรวมระดับมาก ได้แก่ วัดได้รับความเช่ือถือศรัทธาจากชุมชนมากข้ึน มีการร่วมมือจัดกิจกรรมระหว่างวัด ชุมชนและโรงเรยี นมากข้ึน วัดมีส่วนรว่ มในการส่งเสริม สนบั สนุนจดั การศึกษาใหแ้ กน่ ักเรียนวดั ไดศ้ าสนทายาท และกาลังช่วยงานส่งเสริมพระพทุ ธศาสนามากขึน้ 5.3 ผลกระทบต่อโรงเรียนพบว่า การดาเนินงานโครงการโรงเรียนวิถีพุทธมีผลกระทบต่อต่อ โรงเรียนในภาพรวมมีค่าเฉล่ียระดับมาก โดยเฉพาะโรงเรียนได้รับความไว้วางใจ เช่ือมั่นศรัทธา และได้รับ ความร่วมมือจากผู้มีส่วนเก่ียวข้องในการจัดการศึกษามากข้ึนมีค่าเฉล่ียสูงสุด ซึ่งอาจเกิดจากการที่โรงเรียนได้ ดาเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้แก่นักเรียนอย่างมีคุณภาพ นักเรียนได้รับการพัฒนาทั้งร่างกาย สติปัญญา ความรู้ คุณธรรมจริยธรรมและทักษะกระบวนการ ผู้บริหารมีความมุ่งม่ันในการพัฒนาการศึกษา โรงเรียนจัดกิจกรรมตามหลักสูตรและกิจกรรมในโครงการโรงเรียนวิถีพุทธอย่างต่อเน่ือง ครูและนักเรียนเป็น กัลยาณมติ รตอ่ กันเปน็ ท่เี ชอ่ื ถอื ไวว้ างใจของผู้ปกครองและชุมชน
ฎ กติ ติกรรมประกาศ รายงานผลประเมินโครงการการโรงเรียนวิถีพุทธ ของโรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล ปีการศึกษา 2563 สาเร็จได้ด้วยดีเพราะได้รบั ความอนุเคราะหแ์ ละการสนับสนุนจากบุคลากรที่เก่ียวข้องหลายฝ่าย โดยเฉพาะ ท่านดร.ปัญญารัฐฎน์ จันทร์กอง ผู้อานวยการสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 4 ท่ีให้โอกาสได้ประเมิน ขอขอบคุณศึกษานิเทศก์ชาญณรงค์ ราชบัวน้อย ผู้ดูแลโรงเรียนวิถีพุทธสานักงานเขตพ้ืนที่ การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 4 และผู้เช่ียวชาญ 5 ท่านประกอบด้วย ดร.รัตนาภรณ์ คามูล ตาแหน่ง ศึกษานิเทศก์สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 4 นางสาวดารุณี อัครเทพ ตาแหน่ง ผู้อานวยการโรงเรียนบ้านสร้างก่อ นายวิเชียร โทกุล ตาแหน่งผู้อานวยการโรงเรียนชุมชนบ้านทุ่งตาลเลียน นายประภาส สีหบุตร ผู้อานวยการโรงเรียนชุมชนบ้านขอนยูง นายกรกฎ ชัยวินิตย์ ผู้อานวยการโรงเรียน บา้ นหนองกงุ หนองเจรญิ ทีก่ รุณาให้ความอนเุ คราะห์ ดูแล เอาใจใส่ และให้คาแนะนาเปน็ อย่างดีในเรอื่ งคุณภาพ ของเครื่องมือทใี่ ชใ้ นการศกึ ษาและการจัดทารายงานการประเมนิ โครงการ คณะครูโรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล ทุกคนให้ความร่วมมือและให้กาลังใจในการประเมินโครงการ โรงเรียนวิถีพุทธ นักเรียนโรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล ปีการศึกษา 2563 ทุกคนสนใจ เอาใจใส่ ในการร่วม กิจกรรมการเรียนรู้ตลอดช่วงเวลาของการดาเนินโครงการทาให้การดาเนินงานตามโครงการเป็นไปโดยราบรื่น ได้รูปแบบการจัดพัฒนาโรงเรียนวิถีพุทธ สามารถนาพานักเรียนบรรลุตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ได้ นักเรียน เป็นคนดี คนเก่งและสามารถอยรู่ ว่ มกับผู้อน่ื ได้อย่างมีความสขุ ผูศ้ ึกษารสู้ ึกซาบซ้ึงในความกรุณาข้างต้นเป็นอยา่ งสงู และขอขอบคณุ ไว้ ณ โอกาสน้ี สอนชัย พรมประเสริฐ
ฏ คำนำ โครงการโรงเรียนวิถีพุทธจัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อนำหลักธรรมมาใช้ในระบบ การพัฒนาผู้เรียนโดยรวมของสถานศึกษา เป็นการเรียนการสอนในภาพรวมของหลกั สูตรสถานศึกษา และการจัดเป็นระบบวิถีชีวิตในสถานศึกษาของผู้เรียนส่วนใหญ่ โดยนำไปสู่จุดเน้นของการพัฒนา ให้ผู้เรียนสามารถ กิน อยู่ ดู ฟังเป็น คือใช้ปัญญาและเกิดประโยชน์แท้จริงต่อชีวิต และการจัด ดำเนินการของสถานศึกษาจะแสดงถึงการจัดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศ ที่เป็นกัลยาณมติ รเอ้ือใน การพัฒนาผู้เรียนอย่างรอบด้าน ด้วยวิถีวัฒนธรรมแสวงปัญญา โดยการพัฒนาผู้เรียนผ่านระบบ ไตรสิกขา ท่ีผู้เรียนได้ศึกษาปฏิบัติอบรม ท้ัง ศีล หรือพฤติกรรมหรือวินัยในการดำเนินชีวิตที่ดีงาม สำหรับตนและสังคม สมาธิ หรือด้านการพัฒนาจิตใจท่ีมีคุณภาพ มีสมรรถภาพ มีจิตใจที่ต้ังมั่น เข้มแข็งและสงบสุข และ ปัญญา ท่ีมีความรู้ที่ถูกต้องมีศักยภาพในการคิด การแก้ปัญหาท่ีเหมาะสม โดยมีครูและผู้บริหารสถานศึกษาเปน็ กัลยาณมิตรสำคัญ ที่รักและปรารถนาดี ท่ีจะพัฒนาผเู้ รียนอย่าง ดที ่ีสุดด้วยความเพียรพยายาม ระบบพัฒนาผู้เรียนด้วยไตรสิกขาโดยดำเนินโครงการอยา่ งเป็นระบบ นับตั้งแต่การศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการ การกำหนดจุดพัฒนา การวางแผน การปฏิบัติงานตามแผน การนิเทศติดตามผล และประเมินโครงการ เพื่อนำผลการประเมินโครงการ ไปใช้ในการพัฒนางานอย่างต่อเน่ือง และเป็นระบบ ผลการดำเนินงานช่วยให้โรงเรียนได้พัฒนา คณุ ธรรมจริยธรรมของนกั เรยี นส่งผลให้ผู้เรยี นมีคุณภาพตามจุดหมายของหลักสตู ร ขอขอบคุณท่านศน.ชาญณรงค์ ราชบัวน้อย ที่ให้คำปรึกษา แนะนำในการประเมินผล โครงการ คณะครู และคณะกรรมการสถานศึกษาโรงเรยี นบ้านหนองฆ้องนาสีนวล รวมทั้งผปู้ กครอง และชุมชนท่ีให้ความร่วมมือในการดำเนินโครงการโรงเรียนวิถีพุทธและประเมินผลโครงการโรงเรียน วิถีพุทธทำให้การดำเนินงานบรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนด ซึ่งประประโยชน์คือ ทำให้ทราบถึง สภาพความสอดคล้อง ความจำเป็นของการดำเนินงานโครงการโรงเรียนวิถีพุทธกับนโยบาย ระดับต่างๆ ตามโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ความเหมาะสมพอเพียงในด้านปัจจัยนำเข้า จุดเด่น จุดด้อย ของกระบวนการดำเนินงาน ผลสัมฤทธ์ิและผลกระทบของการดำเนินงานตามโครงการ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลสารสนเทศสำหรับปรับปรุงพัฒนาโครงการโรงเรียนวิถีพุทธใน โรงเรียน บ้านหนองฆอ้ งนาสนี วล และผเู้ กย่ี วข้อง สำหรับใช้ในการพัฒนางาน ใหม้ ีความก้าวหน้าตอ่ ไป นายสอนชยั พรมประเสริฐ ตำแหนง่ ผอู้ ำนวยการโรงเรียนบา้ นหนองฆ้องนาสนี วล
สารบัญ ฐ บทที่ หนา้ บทคัดย่อ ก กิตตกิ รรมประกาศ ฎ คานา ฏ สารบญั ฐ สารบญั ตาราง ฒ สารบญั ภาพ ด 1 บทนา 1 ความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหา 4 วตั ถปุ ระสงค์ของการประเมิน 4 ขอบเขตของการประเมิน 5 ระยะเวลาการประเมินโครงการ 5 ประโยชน์ที่คาดวา่ จะได้รบั 6 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ 7 7 2 เอกสารและงานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง 11 รายละเอยี ดโครงการวถิ ีพุทธ 11 โรงเรียนวถิ พี ุทธ 12 ความหมายของโรงเรยี นวิถีพุทธ 16 กรอบความคิดรูปแบบโรงเรยี นวถิ พี ทุ ธ 19 แนวทางการดาเนินงานโรงเรียนวิถีพทุ ธ 21 แนวทางการดาเนินงานในแต่ละขน้ั ตอนการบริหารจัดการโรงเรยี นวถิ ีพทุ ธ 22 การจดั วถิ พี ุทธสูว่ ิถกี ารเรียนรู้ 24 กิจกรรมเสนอแนะการพฒั นากจิ กรรมนักเรียนในโรงเรียนวถิ ีพทุ ธ 25 การจดั ลกั ษณะทางกายภาพโรงเรียนวถิ พี ุทธ 27 การพฒั นาบุคลากรและคุณลกั ษณะบคุ ลากรโรงเรียนวถิ พี ุทธ 28 การเก้ือกลู สัมพนั ธโ์ รงเรยี นวิถพี ทุ ธและชุมชน 29 การบรหิ ารโครงการโรงเรียนวิถพี ทุ ธ 29 แนวคิดเกีย่ วกับการประเมนิ 29 ความหมายของการประเมิน 31 ความหมายของการประเมนิ โครงการ 32 วัตถุประสงค์ของการประเมนิ โครงการ 33 ประเภทของการประเมนิ โครงการ 35 ขัน้ ตอนหรือกระบวนการประเมนิ โครงการ 36 ประโยชน์ของการประเมนิ โครงการ 42 รปู แบบการประเมินโครงการ การประเมนิ โครงการ (CIPP Model)
สารบญั (ตอ่ ) ฑ บทท่ี หนา้ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวข้อง 45 งานวจิ ยั ทีเ่ ก่ยี วข้อง 54 3 วิธดี าเนนิ การประเมินโครงการ 54 54 ประชากร 55 รปู แบบการประเมิน 57 เครือ่ งมือที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล 59 การสร้างและการหาคุณภาพเคร่ืองมือ 59 การเก็บรวบรวมข้อมลู 60 การวิเคราะห์ข้อมลู 62 สถิตทิ ใี่ ชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมูล 62 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู 62 สัญลกั ษณ์ท่ีใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล 81 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู 81 5 สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ 81 วัตถปุ ระสงค์ของการประเมิน 82 ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 83 รูปแบบการประเมิน 89 สรุปผลการประเมนิ 91 อภปิ รายผล 93 ข้อเสนอแนะ 96 บรรณานุกรม 96 ภาคผนวก 108 ภาคผนวก ก เครอื่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการประเมินโครงการ 113 ภาคผนวก ข โครงการโรงเรียนวิถีพทุ ธโรงเรยี นบ้านหนองฆ้องนาสีนวล 127 ภาคผนวก ค แบบสรุปผลการพจิ ารณาโดยผเู้ ชย่ี วชาญการหาคา่ IOC 134 ภาคผนวก ง ผู้เชี่ยวชาญท่ีใช้ในการตรวจสอบเคร่ืองมือการประเมินโครงการ 157 ภาคผนวก จ หลกั ฐานการเผยแพรผ่ ลงานทางวชิ าการ ประวตั ิผู้ประเมนิ
ฒ สารบญั ตาราง ตารางที่ หน้า 1 แสดงคา่ เฉลี่ย () และ ค่าเบยี่ งเบนมาตรฐาน () ของความคิดเหน็ ของบุคลากรใน 63 โรงเรยี นทม่ี ีต่อความสอดคลอ้ งระหว่างวัตถุประสงค์ของโครงการกบั นโยบายของรฐั บาล 65 นโยบายของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร นโยบายของสานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ 66 พืน้ ฐาน นโยบายของสานักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 4 67 นโยบายโรงเรยี น หลักสตู รการจัดการเรยี นการสอน ความตอ้ งการและความจาเปน็ 68 ของโรงเรียนด้านบริบท 70 2 แสดงค่าเฉลย่ี () และ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน () ของความคดิ เหน็ ของบุคลากร ใน 72 โรงเรียนท่ีมตี ่อปัจจยั เบื้องต้นของโครงการโรงเรียนวิถพี ุทธดา้ นบคุ ลากร 73 74 3 แสดงคา่ เฉลี่ย () และ ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน () ของความคดิ เห็นของบุคลากรใน 75 โรงเรียนทม่ี ตี อ่ ปัจจัยนาเข้าของโครงการโรงเรียนวถิ ีพุทธด้านวสั ดุ อุปกรณ์ อาคาร สถานที่ 4 แสดงแสดงคา่ เฉลย่ี () และ คา่ เบ่ยี งเบนมาตรฐาน () ของความคิดเหน็ ของ บคุ ลากรในโรงเรยี นท่ีมตี ่อปัจจยั นาเข้าของโครงการโรงเรียนวถิ พี ุทธดา้ นงบประมาณ 5 แสดงแสดงค่าเฉลย่ี () และ ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐาน () ของความคดิ เหน็ ของ บคุ ลากรในโรงเรียนท่ีมีตอ่ ปจั จยั นาเขา้ ของโครงการโรงเรยี นวิถีพุทธดา้ นการบรหิ าร จดั การ 6 แสดงแสดงคา่ เฉล่ีย () และ คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน () ของความคดิ เห็นของ บคุ ลากรในโรงเรียนที่มตี อ่ ประสทิ ธิภาพกระบวนการดาเนินงานของโครงการโรงเรียน วถิ ีพทุ ธด้านการจดั การเรยี นรู้ 7 แสดงแสดงคา่ เฉล่ีย () และ คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน () ของความคดิ เห็นของ บคุ ลากรในโรงเรียนท่ีมีต่อประสทิ ธภิ าพกระบวนการดาเนินงานของโครงการโรงเรียน วถิ ีพุทธ ดา้ นบรรยากาศและปฏิสมั พนั ธ์ทเ่ี ป็นกัลยาณมิตร 8 แสดงแสดงค่าเฉล่ีย () และ ค่าเบยี่ งเบนมาตรฐาน () ของความคดิ เห็นของ บคุ ลากรในโรงเรียนที่มตี ่อประสิทธิภาพของกระบวนการดาเนนิ งานของโครงการ โรงเรียนวิถพี ุทธดา้ นกิจกรรมพืน้ ฐานตามแนววิถีพุทธ 9 แสดงแสดงค่าเฉลีย่ () และ ค่าเบยี่ งเบนมาตรฐาน () ของความคิดเห็นของ บุคลากรในโรงเรยี นและผู้เก่ียวขอ้ งต่อผลผลิตของโครงการโรงเรียนวิถพี ทุ ธด้าน พัฒนาการทางกาย 10 แสดงแสดงค่าเฉลย่ี () และ คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน () ของความคดิ เหน็ ของบุคลากร ในโรงเรยี นทีม่ ีตอ่ ผลผลติ จากการดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนวถิ พี ทุ ธดา้ น พัฒนาการทางสงั คม
ณ สารบัญตาราง(ต่อ) หน้า ตารางท่ี 76 77 11 แสดงแสดงคา่ เฉลย่ี () และ คา่ เบีย่ งเบนมาตรฐาน () ของความคดิ เห็นของ 78 บคุ ลากรในโรงเรียนที่มีตอ่ ผลผลติ จากการดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรยี นวิถีพุทธดา้ น 79 พัฒนาการทางจิต 79 12 แสดงแสดงค่าเฉลีย่ () และ ค่าเบยี่ งเบนมาตรฐาน () ของความคิดเหน็ ของ บคุ ลากรในโรงเรียนที่มีผลผลติ จากการดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรยี นวิถีพุทธดา้ น พฒั นาการดา้ นปญั ญา 13 แสดงแสดงค่าเฉลย่ี () และ คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน () ของความคิดเหน็ ของ บคุ ลากรในโรงเรียนที่มีต่อผลกระทบจากการดาเนินงานโครงการโรงเรียน วิถีพทุ ธต่อผปู้ กครอง ชมุ ชน ( บ้าน ) 14 แสดงแสดงค่าเฉลี่ย () และ คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน () ของความคิดเห็นของ บุคลากรในโรงเรียนท่ีมีตอ่ ผลกระทบจากการดาเนนิ งานโครงการโรงเรียนวิถพี ทุ ธต่อวัด 15 แสดงแสดงค่าเฉลยี่ () และ คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน () ของความคิดเหน็ ของบุคลากร ในโรงเรียนท่มี ีต่อผลสมั ฤทธขิ์ องโครงการโรงเรียนวถิ พี ทุ ธด้านผลกระทบต่อโรงเรียน
ด สารบญั ภาพ หน้า 14 ภาพท่ี 18 1 สรปุ แนวคิดจากหนงั สือการพฒั นาท่ยี ั่งยืน โดย พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ โต) 44 2 ขนั้ ตอนการบริหารการจัดการโรงเรยี นวิถีพทุ ธ (กระทรวงศึกษาธิการ.2546 : 18) 3 ความสมั พันธข์ องการตัดสินใจ และประเภทของการประเมนิ แบบ CIPP Model
1 บทท่ี 1 บทนำ ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปญั หำ สภาพสังคมในโลกปัจจุบันเป็นโลกแห่งยุคของข้อมูลข่าวสารที่เรียกว่ายุคโลกาภิวัตน์ เป็นสังคมของการรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลง วัฒนธรรมขนบธรรมเนียม ประเพณี ค่านิยม การดารงชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไปในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นสังคม เศรษฐกิจ การเมือง โดยมีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว มนุษย์ ต้องเพ่ิมพูนศักยภาพของตนเองเพื่อให้ทันต่อ การเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งศักยภาพเป็นสิ่งท่ีจะบ่งบอกว่าบุคคลจะสามารถกระทาส่ิงต่าง ๆ ได้ดี เพียงใด การศกึ ษาเป็นกระบวนการสาคัญ ที่มงุ่ พัฒนาคนให้เปน็ มนุษย์มีคุณภาพ มีความสามารถ เต็มตามศักยภาพ มีพัฒนาการสมดุลท้ังทางด้านสติปัญญา จิตใจ ร่างกาย และสังคม เพ่ือเสริมสร้าง ในการพฒั นาความเจรญิ เติบโต ท้ังทางเศรษฐกจิ และสังคมของประเทศ (กรมวิชาการ. 2543 : 4) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 (2555 - 2559) ได้ทาการประเมิน สถานการณ์ภายในประเทศ พบว่า การเปล่ียนแปลงภายในประเทศสังคมไทยเผชิญวิกฤตความเส่ือม ถอยดา้ นคณุ ธรรม และจรยิ ธรรม จงึ ได้กาหนดยทุ ธศาสตร์การพัฒนาคน สู่สังคมแห่งการเรยี นรตู้ ลอด ชวี ิตอย่างย่ังยืน การพัฒนาคุณภาพคนไทยให้มีภูมิคุม้กันต่อการเปล่ียนแปลง ปลูกฝังการพร้อมรับฟัง ความคิดเห็นจากผู้อื่น และปลูกฝังจิตใจท่ีมีคุณธรรม ซื่อสัตย์ มีระเบียบวินัย เพื่อให้ประเทศไทย พร้อมรับการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่สาคัญทั้งภายนอกและภายในประเทศท่ีปรับเปล่ียนอย่าง รวดเร็วและซับซ้อนมากย่ิงขึน้ ซ่ึงแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของ กระทรวงศึกษาธิการใน การพัฒนาเยาวชนของชาติเข้าสู่โลกยุคศตวรรษท่ี 21 โดยมุ่งส่งเสริมให้ ผู้เรียนมีคุณธรรม รักความ เป็นไทย มีทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดสรา้ งสรรค์ มีทักษะด้าน เทคโนโลยี สามารถทางานร่วมกับผู้อื่น และสามารถอยู่รว่ มกบั ผู้อ่ืนในสงั คมโลกได้อย่างสันติ (กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2551) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ.2542 มาตรา 6 ได้กล่าวถึงความมุ่งหมายของ การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพ่ือพัฒนาคนไทย ให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ ท้ังทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรม และวัฒนธรรมในการดารงชีวติ สามารถอยู่รว่ มกับผู้อื่น ไดอ้ ยา่ งมีความสุข และมาตรา 7 กล่าวในกระบวนการเรียนรู้ต้องม่งุ ปลูกฝงั จิตสานึกทีถ่ ูกต้อง เกย่ี วกับ การเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข รู้จักรักษาและ ส่งเสริมสิทธิหน้าที่ เสรีภาพ ความเคารพกฎหมาย ความเสมอภาคและศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย รู้จักรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม และของประเทศชาติรวมท้ัง ส่งเสริมศาสนา ศิลปวัฒนธรรมของชาติ การกีฬา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และความรู้อัน เปน็ สากล ตลอดจนอนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม มีความสามารถในการประกอบอาชีพ รู้จักพึ่งตนเอง มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ใฝ่รู้และเรียนรู้ ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ.2542 ยังได้กล่าวถึง แนวทางการจัดการศึกษาไว้ในหมวด 4 มาตรา 23 ว่าการจัดการศึกษา ทั้งการศึกษาในระบบการศึกษานอกระบบ และการศึกษา
2 ตามอัธยาศัย ต้องเน้นความสาคัญทั้งความรู้คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และบูรณาการตาม ความเหมาะสมของแตล่ ะระดบั การศึกษา (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2546 : 7) ภายหลังการประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษา ได้ก่อให้เกิดกระแสการตื่นตัวคร้ังใหญ่ ของครูอาจารย์และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจดัการศึกษาทั้งหลาย โดยเฉพาะมาตรา 10 วรรคแรก ว่า “การจัดการศึกษาต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิ และโอกาสเสมอกัน ในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่น้อยกว่า สิบสองปีท่ีรัฐต้องจัดให้อย่างท่ัวถึง และมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย” แต่การจัด การศึกษาจะให้ท่ัวถึง และมีคุณภาพนั้น ต้องมีรูปแบบการจัดการศึกษาท่ีหลากหลาย มีความ สอดคล้องกับศักยภาพ ความต้องการ และความจาเป็นของผู้เรียนแต่ละคนด้วยความเสมอภาค เป็นธรรม และ นับแต่น้ีไป การศึกษาของประเทศจะต้องมีการปฏิรูป ปรับปรุงโฉมหน้าใหม่ไปสู่ “การจัดการศึกษาอบรมให้ เกิดความรู้คู่คุณธรรม” และการจัดการศึกษาให้มีคณุ ภาพสูงสุด เพื่อทาให้ เกิดการพัฒนาลักษณะของคน ไทยท่ีพึงปรารถนา คือ ดี เก่ง และมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ. 2542: 5) จากหลักการในการจดั การศึกษาของประเทศชาติจะเห็นได้วา่ มคี วามมุ่งหวังที่จะพัฒนาคน ให้มีคุณภาพชีวิต ซึ่งเป็นมิติ ขององค์รวมจากปัจจัยในทุกๆ ด้าน ท่ีจะได้รับการเอาใจใส่จากรัฐ คุณภาพชีวิตของคนได้ กลายเป็นหัวใจของทิศทางการเปล่ียนแปลงในด้านการพัฒนาด้วยมิติแห่ง คุณภาพชีวิตเท่าน้ัน ท่ีจะช่วยประคับ ประคองการพัฒนาให้เป็นไปอย่างมีดุลยภาพและยั่งยืน โดยแสดงออกดว้ ยผลสาเร็จจาก การพัฒนาคุณภาพของ “คน” ให้เป็นผู้สมบูรณ์พร้อมทั้งกาย ศีล จิต ปัญญา พรอ้ มทง้ั ความสามารถ ในการสรา้ งสรรค์สังคมคณุ ภาพ สังคมแห่งการเรียนรู้ จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ.2542 นาไปสู่การจัดการศึกษาท่ีให้สังคมไทย เป็นสังคมที่มีโอกาสใกล้ชิดกับสิ่งล้าค่าของสังคมมนุษยชาติซ่ึงก็คอื พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา มีรายละเอียดท่ีเป็นระบบการศึกษา ระบบการดาเนินชีวิตที่ชัดเจน ดีงาม ละเอียดลึกซึ้งในทุก ๆ ขนั้ ทุกระดับของการดาเนิน และในการประชุมเร่ืองหลักสูตรใหม่เด็กไทยพัฒนา หัวใจของการปฏิรูป การศึกษา เมื่อ 25 ธันวาคม 2545 ได้นาแนวคิดของศาสตราจารย์ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ที่เสนอให้ มีโรงเรียนนาร่องวิถีพุทธ ให้คุณครูเข้าสู่ห้องเรียนด้วยแบบอย่างของชาวพุทธ ใช้กระบวนการสอน แบบพุทธจากความคิดสาคัญน้ีเอง กระทรวงศึกษาธิการนาสู่การเสริมการจัด“โรงเรียนวิถีพุทธ” ขึ้น อันเป็นนวัตกรรมการจัดการศึกษา 1 ใน 5 ท่ีกระทรวงศึกษาธิการ กาลังเร่งดาเนินการซึ่ง “โรงเรียน วิถีพุทธ” นี้กระทรวงปรารถนาให้เป็นจุดสาคัญของการนาคุณค่ามหาศาลของพระพุทธธรรม มาสู่ สังคมไทย โดยผ่านการจัดสภาพ และการเรียนรู้ของโรงเรียนท่ีมีความชัดเจน เข้าร่วมดาเนินการด้วย จติ ใจท่ีพร้อมนาหลักธรรมมาปฏิบัตใิ นโรงเรียน เพอื่ ให้สมกับท่ีประเทศไทยมพี ุทธศาสนิกชนถึง 95 % (แนวทางการดาเนนิ งานโรงเรยี นวิถพี ทุ ธ. 2548 : บทนา) หลักพุทธธรรมท่ีนามาใช้ในการดาเนินโครงการโรงเรียนวถิ ีพุทธ คือ หลักไตรสิกขา ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นการฝึกอบรมท่ีครอบคลุมการดาเนินชีวิตทุกด้าน สู่การพัฒนาชีวิตท่ีสมบูรณ์ (ปซี ังข้าวน้อย. 2547 : 21) เมอื่ ฝึกปฏบิ ัติดว้ ยไตรสิกขาซ่ึงประกอบดว้ ย ศลี สมาธิ ปญั ญา แล้ว หลกั ท่ี ใช้วัดผล คือ ภาวนา 4 (กายภาวนา ศีลภาวนา จิตภาวนา และปัญญาภาวนา) เพื่อดูว่าด้านต่าง ๆ ไดร้ ับการพัฒนาครบถ้วนหรือไม่ ซึ่งแทจ้ ริงคือศีลน้ัน มี 2 ส่วนอยู่ในตัวดังนั้น เพ่ือให้ดู ชัดเจน จึงแยก ศีลภาวนาเป็น 2 ข้อ คือ กายภาวนา และศีลภาวนา ซ่ึงแสดงรายละเอียด ดังน้ี 1) กายภาวนา (ศีล) คือ มีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพในทางท่ีเกื้อกูล 2) ศีลภาวนา (ศีล) คือ มีพฤติกรรม
3 ทางสังคมที่พัฒนาแล้ว เป็นการพัฒนาด้านความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางสังคม ด้านเพ่ือนมนุษย์ 3) จิตภาวนา (สมาธิ) คือ การมีจิตใจท่ีฝึกอบรมดีแล้ว 4) ปัญญาภาวนา (ปัญญา) คือ รู้จักคิด รู้จัก พจิ ารณา รจู้ ักแกป้ ัญหา (พระพรหมคุณาภรณ์. 2544 : 373) สถานศึกษาตอ้ งดาเนินงาน ท่ีสง่ เสริมให้ ผู้เรยี น มีพฒั นาการด้านต่าง ๆ อย่างชัดเจน (กระทรวงศึกษาธิการ. 2548 : 4) จากนโยบายหลักของกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับโรงเรียนวิถีพุทธ โรงเรียนบ้านหนองฆ้อง นาสีนวล ได้เห็นความสาคัญของการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียน และได้ดาเนินการ กิจกรรมตามแนวทางวิถีพุทธ และปฏิบัติอย่างจริงจัง มีปรัชญาโรงเรียนท่ีเน้นทางด้านคุณธรรมคือ มีพรหมวิหาร 4 จึงได้สมัครเข้าร่วมโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ เพื่อสง่ เสริมและพัฒนานักเรียนทางด้าน คุณธรรมให้ยั่งยืนติดเป็นนิสัยของนักเรียน จึงได้ดาเนินการโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ตามกรอบ การดาเนินการโรงเรียนวิถีพุทธ โดยบูรณาการตามหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เพ่ือพัฒนา ผู้เรียน ให้ดาเนินชีวิตท่ีดีงาม และดารงชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข จัดทานโยบายของโรงเรียน ปรับแผนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับโรงเรียนวิถีพุทธ มีโครงการรองรับการดาเนินงาน และมีการ ประเมินผล เพื่อนาผลไปสู่การพัฒนาโรงเรียนวิถีพุทธได้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ การดาเนินการ โครงการโรงเรียนวิถีพุทธท่ีผ่านมา โรงเรียนได้มีการดาเนินงานตามข้ันตอน กรอบดาเนินการ มีการ จัดเก็บข้อมูลอยางเป็นระบบและต่อเนื่อง มีการประเมินผลเป็นระยะ ตามรูปแบบ ของการประเมิน โครงการ โดยมีการประเมินเป็นด้าน ๆ ดังนี้ประเมินด้านบริบทหรือสภาพแวดล้อม ของโครงการ (Context Evaluation) ประเมินด้านปัจจัยนาเข้าของโครงการ (input Evaluation) ประเมินด้าน กระบวนการดาเนินโครงการ (Process Evaluation) ประเมินด้านผลผลิตของโครงการ (Product Evaluation) ประเมินด้านผลกระทบของโครงการ (Impact Evaluation) และผู้เข้าร่วมโครงการ โดยพิจารณาถึงความพึงพอใจของผู้ท่ีเกี่ยวข้อง ซ่ึงการดาเนินงานในปีการศึกษา 2563 ได้เสร็จส้ินลง แล้ว ในการประเมินโครงการโรงเรียนวิถีพุทธของโรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล ได้ประเมินเพ่ื อ ความก้าวหน้าของโครงการ ผู้ดาเนินงานตามโครงการมีความประสงค์จะศึกษาผลของการดาเนินงาน ของโครงการ ว่าบรรลุผลมากน้อยเพียงใด ผลกระทบท่ีเกิดข้ึนว่ามีความพึงพอใจในระดับไหน จึงได้ ศึกษา และจัดทาการประเมินโครงการ เพื่อจะได้นาข้อมูลมาปรับปรุงและพัฒนางานให้มี ประสิทธิภาพอย่างต่อเนอ่ื งและยั่งยนื โรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล เปิดสอนมาตั้งแต่ช้ันปฐมวัยถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 ปัจจุบันมีนักเรียน 52 คน ผู้ปกครองนักเรียนส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม รับจ้างทั่วไป และไป ทางานต่างจงั หวัดนักเรียนส่วนใหญ่จึงถูกท้ิงให้อยูก่ ับปยู่ ่าตายายหรอื ญาติพ่นี ้อง ผู้ปกครองไม่มีเวลาท่ี จะอบรมส่ังสอนบุตรหลานและมิได้สนใจในเรื่องของการศึกษาเท่าที่ควร เพราะมีปัญหาในด้าน เศรษฐกิจ การแข่งกันทามาหากิน ทาให้ไม่ได้อบรมส่ังสอนลูก ส่งผลให้นักเรียนมีพฤติกรรมท่ีไม่ เหมาะสม การประพฤติตนไม่ถูกต้องตามระเบียบของโรงเรียน ไม่เคารพเชื่อฟังพ่อแม่ผู้ปกครอง รวมท้ังครูอาจารย์ เบอื่ หน่ายต่อการเรยี น พฤติกรรมเบี่ยงเบนและเสย่ี งต่อการติดยาเสพติด เสอ่ื มถอย ทางคุณธรรมและจริยธรรม จากนโยบายของรฐั บาล กระทรวงศึกษาธิการ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พื้นฐาน ปัญหา แนวคิดและผลของการศึกษาดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจและได้ให้ความสาคัญกับ การส่งเสริมและปลูกฝังการมีคุณธรรมจริยธรรมให้เกิดข้ึนกับนักเรียนโดยการจัดทาโครงการ โรงเรียน
4 วิถีพุทธเพื่อส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล ขึ้นและกาหนด เป็นโครงการไวใ้ นแผนปฏิบตั กิ ารประจาปีของโรงเรียนคือ โครงการโรงเรยี นวถิ พี ทุ ธ ต้งั แต่ปกี ารศึกษา 2563 ซ่งึ การดาเนนิ งานโครงการดังกล่าวได้สาเร็จลุล่วงแล้ว ผู้วจิ ัยในฐานะผู้อานวยการสถานศึกษา จึงทาการประเมนิ โครงการโรงเรียนวิถีพุทธของโรงเรยี นบา้ นหนองฆอ้ งนาสีนวล เพ่ือนาผลการดาเนิน โครงการไปใช้เป็นข้อมลู พ้ืนฐานในการปรบั ปรุงและพัฒนาโครงการใหม้ ีความสมบูรณย์ ่งิ ข้ึนต่อไป วัตถปุ ระสงคข์ องกำรประเมิน เพือ่ ประเมนิ โครงการโรงเรยี นวิถพี ุทธ โรงเรยี นบ้านหนองฆ้องนาสนี วล อาเภอกุดจบั จงั หวัดอดุ รธานี ปีการศึกษา 2563 ในประเด็นต่อไปน้ี 1. เพื่อประเมนิ บริบทของโครงการเกีย่ วกับความสอดคลอ้ งระหวา่ งวัตถปุ ระสงค์ของโครงการ กับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ นโยบายของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน นโยบายของสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 4 นโยบายโรงเรียน และ ความตอ้ งการจาเป็นของโรงเรียน 2. เพ่ือประเมินปัจจัยนาเข้าของโครงการเกี่ยวกับความเหมาะสม เพียงพอของกิจกรรมย่อย 4 กิจกรรม เกี่ยวกับ บุคลากร วิทยากร งบประมาณ การบริหารจัดการ ระยะเวลา สถานท่ี วัสดุ อุปกรณ์ ความรู้ความสามารถของคณะทางาน การสนับสนุนของฝ่ายบริหารโรงเรียน ผู้ปกครอง และบุคลากรในชมุ ชน 3. เพื่อประเมินกระบวนการดาเนินงานตามโครงการเกี่ยวกับความร่วมมือของคณะทางานและ ผูเ้ ก่ยี วข้อง ปฏิทินการปฏิบัติงาน บทบาทหน้าที่ ขนั้ ตอน จุดเด่น จุดด้อย การนเิ ทศติดตามผลและสิ่ง ทีต่ ้องแก้ไขในการดาเนินงาน 4. เพ่ือประเมินผลผลิตของโครงการเกี่ยวกับพฤติกรรมคุณธรรมจริยธรรมท่ีเกิดกับผู้เรียน จากการพัฒนาตามหลักภาวนา 4 5. เพือ่ ประเมินผลกระทบของโครงการโรงเรยี นวิถีพทุ ธท่ีมีต่อ บ้าน วดั โรงเรยี น ซ่ึงได้แก่ ประโยชนแ์ ละผลดขี องการดาเนนิ การตามโครงการโรงเรยี นวถิ ีพุทธที่มีต่อ บ้าน วดั โรงเรยี น ขอบเขตของกำรประเมนิ 1. รูปแบบกำรประเมนิ การศึกษาผลการประเมินโครงการโรงเรียนวิถีพุทธของโรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล ในคร้ังน้ี ผู้วิจัยได้กาหนดแนวทางการประเมินโดยใช้การประเมินรูปแบบซิปป์ (CIPP MODEL) ของ แดเนียลแอล สตัพเฟิลบีม (Stufflebeam) และการวิเคราะห์ระบบประยุกต์มาใช้ โดยใช้ รปู แบบซปิ ป์ประยุกต์ CIPPI Evolution โดยทาการประเมินโครงการรวม 5 ดา้ น ดังน้ี 1. แบบสอบถามความสอดคล้องระหว่างวัตถุประสงค์ของโครงการกับนโยบายของรัฐบาล นโยบายกระทรวงศึกษาธิการ นโยบายของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน นโยบายโรงเรยี น ความต้องการและความจาเปน็ ของโรงเรยี น หลกั สูตรการจัดการเรียนการสอน
5 2. แบบสอบถามเก่ียวกับปัจจัยนาเข้าของโครงการเกี่ยวกับความเหมาะสม เพียงพอของ ปัจจัยนาเข้าในกิจกรรมย่อย 4 กิจกรรม ในด้านบุคลากร งบประมาณ สถานท่ีวัสดุอุปกรณ์ และ การบรหิ ารจัดการ 3. แบบสอบถามเกี่ยวกับกระบวนการดาเนินงานตามโครงการด้านการจัดการเรียนรู้ด้าน บรรยากาศและปฏสิ ัมพนั ธ์ท่ีเป็นกัลยาณมติ ร และ กจิ กรรมพนื้ ฐานตามแนววถิ ีพทุ ธ 4. แบบประเมินผลผลิตของโครงการท่ีเกิดกับผู้เรียนจากการพัฒนาตามหลักภาวนา 4 ในพัฒนาการ 4 ด้าน คือ พัฒนาการทางกาย ด้านพัฒนาการทางสังคม พัฒนาการทางจิตและ พฒั นาการด้านปญั ญา 5. แบบสอบถามเก่ียวกับผลกระทบของโครงการต่อผู้ปกครอง ชุมชน วัด และโรงเรียน ไดแ้ ก่ ประโยชนแ์ ละผลดีของการดาเนินการตามโครงการโรงเรยี นวิถีพทุ ธทีม่ ตี อ่ บา้ น วดั โรงเรียน 2. ประชำกร ประชากรท่ีใช้ในการศึกษาคร้ังน้ีได้แก่ ผู้บริหาร ครู นักเรียน ผู้ปกครองนักเรียน โรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล ท่ีเข้าร่วมโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ได้มาจากวิธีการเลือกแบบ เฉพาะเจาะจง จานวน 77 คน ดังน้ี 2.1 ผูบ้ รหิ าร จานวน 1 คน 2.2 ครูผูร้ บั ผิดชอบโครงการ จานวน 1 คน 2.3 ครูประจาชนั้ ป.1-6 จานวน 4 คน 2.4 นกั เรยี นชนั้ ป.1-6 จานวน 35 คน 2.5 ผปู้ กครองนกั เรียน บุคคลในชุมชน จานวน 35 คน 2.6 พระวิทยากร จานวน 1 รปู ระยะเวลำกำรประเมนิ โครงกำร ปกี ารศึกษา 2563 ประโยชน์ท่คี ำดวำ่ จะได้รบั 1. ได้ข้อมูลท่ีเป็นองค์วามรู้เก่ียวกับกระบวนการ การพัฒนาโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ในโรงเรยี น 2. หน่วยงาน องค์กรที่เก่ียวข้องกับการดาเนินการ ตามโครงการโรงเรียนวิถีพุทธทุกระดับ สามารถนาข้อมูลและสารสนเทศที่ได้จากการประเมิน ไปใช้ในการวางแผน นโยบาย เพื่อพัฒนา การดาเนินการโครงการโรงเรียนวิถีพุทธได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อค้นพบท่ีได้จากการประเมิน สามารถนาไปประยุกตใ์ ช้กบั การดาเนนิ การโครงการอน่ื ๆ ได้ 3. โรงเรียนได้แนวทางในการจัดกิจกรรมส่งเสริมนักเรียน ให้มีคุณธรรม จริยธรรม และ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ เป็นคนดีคนเก่ง และอยูใ่ นสงั คมอยา่ งมีความสขุ 4. ครูมีความตระหนัก และสามารถจัดกิจกรรมสง่ เสริม และพัฒนาคณุ ภาพของผู้เรียนโดยใช้ กระบวนการโรงเรียนวิถีพทุ ธได้ 5. โรงเรียนเป็นท่ียอมรับของผู้ปกครอง และชมุ ชน
6 นิยำมศพั ท์เฉพำะ 1. การประเมินโครงการ หมายถึง ประเมินโครงการโรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล อาเภอกุดจบั จงั หวัดอดุ รธานี ประยกุ ต์ใชร้ ูปแบบการประเมินแบบซปิ ป์ (CIPP Model) 2. การประเมินบริบทของโครงการ หมายถึง การประเมินความสอดคล้องของวัตถุประสงค์ และเป้าหมายของโครงการโรงเรียนวิถีพุทธโรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล และแผนกลยุทธ์ของ โรงเรยี นบ้านหนองฆอ้ งนาสนี วล 3.การประเมินปัจจัยนาเข้าโครงการ หมายถึง ความพร้อมและความพอเพียงในด้าน โครงสรา้ งบริหารงานและหลกั สูตรสถานศกึ ษา บุคลากร วัสดอุ ปุ กรณ์ อาคารสถานท่ี งบประมาณ 4. การประเมินกระบวนการ หมายถึง การปฏิบัติ การดาเนินงานโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ดังนี้ การวางแผนการดาเนินงาน การดาเนินการพัฒนาตามหลักไตรสิกขา การนิเทศ ติดตาม กากับ การดาเนินงาน การปรับปรงุ และพัฒนา การประเมินผลและการเผยแพร่การดาเนินงานของโครงการ โรงเรียนวิถพี ุทธ ระหว่างการดาเนนิ โครงการ และหลงั เสร็จสน้ิ โครงการ 5. การประเมินผลผลิต หมายถึง 1) ความสาเร็จในการพัฒนาคุณลักษณะผู้เรียนด้านกาย (กายภาพ) ศีล (สังคม) จิต (จิตใจ อารมณ์)และปัญญา 2) ประเมินความสาเร็จต่อบวร 3) ประเมิน ความสาเร็จท่ีเกิดจากการเปล่ียนแปลงของบุคคลท้ังทางตรงและทางอ้อมกับผลผลิตของโครงการ โรงเรียนวิถีพุทธ โรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล ได้แก่ ชื่อเสียงของโรงเรียน การได้รับรางวัล การยกย่องชมเชยจากหน่วยงานต่าง ๆ ของครูนักเรียนท่ีส่งผลต่อ บ้าน วัด โรงเรียน เกิดข้ึนหลังจาก การดาเนินโครงการโรงเรียนวถิ ีพุทธ ประเมนิ ความสาเร็จหลงั เสรจ็ ส้นิ โครงการ 6. โรงเรียนวิถีพุทธ หมายถึงโรงเรียนระบบปกติท่ัวไปที่นาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา มาใช้ประยุกต์ใช้ในการบริหาร และพัฒนาผู้เรียนโดยรวมของสถานศึกษาโดยเน้นกรอบการพัฒนา ตามหลักไตรสิกขาอยา่ งบูรณาการ 7. ความพึงพอใจ หมายถึง ผลการรับรู้ของผู้เข้าร่วม ผู้เกี่ยวข้องซ่ึง ได้แก่ ผู้บริหาร ครู นักเรยี น ผู้ปกครองและชมุ ชน โรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสนี วล 8. โรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล หมายถึง โรงเรียนประถมขนาดเล็ก สานักงานเขตพื้นท่ี การศกึ ษาประถมศึกษาอดุ รธานี เขต 4 อาเภอกดุ จับ จงั หวัดอดุ รธานี 9. ครู หมายถึง ครูท่ีทาการสอนอยู่ในโรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล ประจาปีการศึกษา 2563 10. นกั เรยี น หมายถงึ นักเรยี นโรงเรียนบา้ นหนองฆ้องนาสีนวล ประจาปีการศกึ ษา 2563 11. ผู้ปกครอง หมายถึง ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสีนวล ประจาปี การศกึ ษา 2563 12. บ ว ร หมายถึง บ้าน วัด โรงเรียน มีส่วนร่วมทากิจกรรมสัมพันธ์กันตามแนวทาง โรงเรียนวิถพี ุทธ 13. บุคลากรโรงเรียน หมายถึง ผู้บริหาร ครูผู้รับผิดชอบโครงการโรงเรียนวิธีพุทธ ครู ผ้รู บั ผดิ ชอบกิจกรรมย่อยในโครงการ พระวิทยากรและครูประจาชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 1-6 14.ผู้ท่ีเกี่ยวข้อง หมายถึง ผู้ปกครองนักเรียน บุคคลในชุมชน และนักเรียนช้ัน ประถมศกึ ษาปที ่ี 1-6
7 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กี่ยวข้อง การศึกษาเพอ่ื ประเมินโครงการโรงเรยี นวถิ ีพุทธโรงเรียนบา้ นหนองฆอ้ งนาสีนวล อาเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา 2563 ครั้งนี้ผู้รายงานได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง ดังน้ี 1. รายละเอยี ดโครงการวิถีพุทธ 2. โรงเรียนวถิ พี ทุ ธ 2.1 ความหมายของโรงเรียนวิถพี ุทธ 2.2 กรอบความคดิ รปู แบบโรงเรยี นวิถพี ทุ ธ 2.3 แนวทางการดาเนนิ งานโรงเรยี นวิถีพทุ ธ 2.4 แนวทางการดาเนนิ งานในแตล่ ะขัน้ ตอนการบรหิ ารจดั การโรงเรยี นวถิ ีพุทธ 2.5 การจัดวถิ พี ุทธสวู่ ิถกี ารเรยี นรู้ 2.6 กจิ กรรมเสนอแนะการพฒั นา 2.7 การจัดลักษณะทางกายภาพโรงเรียนวิถีพทุ ธ 2.8 การพัฒนาบคุ ลากรและคณุ ลักษณะบุคลากรโรงเรียนวิถพี ุทธ 2.9 การเกือ้ กลู สัมพนั ธ์โรงเรยี นวิถีพทุ ธและชมุ ชน 2.10 การบริหารโครงการโรงเรียนวถิ ีพทุ ธ 3. แนวคิดเก่ียวกบั การประเมนิ 3.1 ความหมายของการประเมิน 3.2 ความหมายของการประเมินโครงการ 3.3 วตั ถปุ ระสงคข์ องการประเมินโครงการ 3.4 ประเภทของการประเมนิ โครงการ 3.5 ข้ันตอนหรอื กระบวนการประเมินโครงการ 3.6 ประโยชน์ของการประเมนิ โครงการ 3.7 รปู แบบการประเมินโครงการ 3.8 การประเมนิ โครงการ (CIPP Model) 4.งานวจิ ัยทเี่ กยี่ วขอ้ ง 1. รายละเอียดโครงการวิถพี ุทธ หลกั การและเหตุผล เนื่องจากศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจาชาติของเรา คนไทยส่วนใหญ่เกิน ร้อยละ 95 นับถือศาสนาพระพุทธศาสนา คาสอนขั้นพ้ืนฐานของพระพุทธศาสนาท่ีเรียกกันว่า “ศีลธรรม” เคยมีบทบาทสาคัญสร้างจารีตประเพณี หล่อหลอมสังคมเราให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขมาช้านาน แต่ปัจจุบันกระแสโลกาภิวัตน์ ทาให้คนเราหลงใหลไปตามกระแสวัตถุนิยม บริโภคนิยมจนเกินขอบเขต ทาใหเ้ กิดวกิ ฤตไิ ปท่วั โลก ทัง้ วิกฤติสังคม วกิ ฤติธรรมชาติ และมีแนวโน้มสงู ก่อนที่วิกฤตกิ ารณ์ต่างๆจะ แพร่ขยายเพิ่มขึ้น ถ้าไม่ร่วมกันสร้างกระแสธรรมาภิวัตน์ให้สังคมตระหนักถึงความสาคัญของศีลธรรม
8 ดังนั้นโรงเรียนได้ตระหนักถึงปัญหาด้านคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียน และเพื่อส่งเสริมให้นักเรียน เป็นคนดีมีศีลธรรม สามารถปฏิบัติตนเป็นพุทธศาสนิกชนท่ีดีจึงได้จัดทาโครงการโรงเรียนวิถีพุทธใน สถานศึกษาขึ้น วัตถุประสงค์ 1.เพ่อื ปลกู ฝังพฤติกรรมของนักเรียนให้มคี ุณธรรมจรยิ ธรรม ตามหลักภาวนา 4 ได้แก่ 1.1. กายภาวนา หมายถงึ การเจริญกาย, พฒั นากาย, การฝกึ อบรมกาย ให้รจู้ กั ตดิ ตอ่ เก่ียวขอ้ งกับสง่ิ ทั้งหลายภายนอกทางอินทรียท์ ั้งหา้ ดว้ ยดี และปฏิบัติต่อส่ิงเหลา่ นั้นในทางท่ีเป็นคณุ มใิ หเ้ กิดโทษ ให้กุศลธรรมงอกงาม ใหอ้ กศุ ลธรรมเส่อื มสญู , การพัฒนาความสมั พันธ์กับสิ่งแวดลอ้ ม ทางกายภาพ 1.2 ศีลภาวนา หมายถึง การเจริญศลี , พัฒนาความประพฤติ, การฝกึ อบรมศีล ให้ตงั้ อยใู่ น ระเบียบวินยั ไม่เบยี ดเบยี นหรอื ก่อความเดือดร้อนเสยี หาย อยู่ร่วมกับผอู้ ่ืนได้ด้วยดี เกื้อกูลแก่กนั 1.3 จิตภาวนา หมายถงึ การเจริญจติ , พัฒนาจติ , การฝึกอบรมจิตใจ ใหเ้ ข้มแขง็ ม่นั คงเจรญิ งอกงามด้วยคุณธรรมทัง้ หลาย เชน่ มเี มตตากรุณา ขยนั หมั่นเพียร อดทนมีสมาธิ และสดชน่ื เบกิ บาน เปน็ สุขผ่องใส เปน็ ตน้ ( cultivation of the heart; emotional development) 1.4. ปญั ญาภาวนา หมายถึง การเจริญปญั ญา, พัฒนาปญั ญา, การฝึกอบรมปัญญาให้ร้เู ข้าใจ สิ่งทง้ั หลายตามเปน็ จริง รเู้ ท่าทนั เหน็ โลกและชวี ิตตามสภาวะ สามารถทาจิตใจได้แก่ ศีล 5 ความเมตตา กรณุ า ความรบั ผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ความมีเหตุผล ความกตญั ญกู ตเวที ความมีวินัย ความเสยี สละ ความสามัคคี ความประหยดั การพง่ึ ตนเอง และความขยันหมนั่ เพียร 2.เพื่อให้บ้าน วัด โรงเรียน ได้รับผลดีหรือประโยชน์จากผลท่ีเกิดจากการดาเนินงานตาม โครงการโรงเรยี นวิถพี ทุ ธ เปา้ หมาย 1. นกั เรยี นมีคุณธรรมจรยิ ธรรม ตามหลักภาวนา 4 2. บา้ น วดั โรงเรยี น ไดร้ บั ผลดหี รอื ประโยชนจ์ ากผลทเี่ กิดจากการดาเนินงานตามโครงการ โรงเรียนวิถพี ุทธ ขน้ั ตอนการดาเนนิ งาน 1. ประชมุ ชี้แจงโครงการ 2. แตง่ ต้ังคณะกรรมการดาเนินโครงการวถิ ีพุทธ 3. ประชุมใหค้ วามรแู้ ละวธิ ีการดาเนนิ กิจกรรมโรงเรยี นวถิ ีพุทธ 4. กาหนดกลุม่ งานดาเนินกจิ กรรมโรงเรยี นวิถีพทุ ธ 5. กล่มุ งานประชมุ กลมุ่ วางแผนกาหนดการปฏบิ ัตงิ าน เพ่ือนาเสนอต่อทปี่ ระชุม 6. ประชมุ นาเสนอแผนการดาเนินการและพจิ ารณาอนุมัติ 7. ปฏิบัตงิ านตามแผนทไ่ี ด้รบั การอนมุ ตั ิ โดยดาเนินกจิ กรรม ดังน้ี
9 7.1 กิจกรรมเสริมเนอื้ หาสาระตามหลกั สูตร ไดแ้ ก่ 7.1.1 พิธีแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ 7.1.2 ประกวดมารยาทชาวพุทธ 7.1.3 กิจกรรมค่ายพทุ ธบตุ ร ( ตามสาระการเรียนรพู้ ระพุทธศาสนา ) 7.1.4 กจิ กรรมการบรหิ ารจิตเจริญปัญญา 7.1.5 เรยี นธรรมศึกษา สอบธรรมศึกษา ( นักธรรมตรี- นักธรรมโท ) โดยมีพระสงฆม์ าเปน็ พระวิทยากร 7.1.6 บรรพชาสามเณรฤดรู ้อน 7.2 กิจกรรมประจาวนั ประจาสปั ดาห์ ได้แก่ 7.2.1 กจิ กรรมหนา้ เสาธง เช่น - กิจกรรมทก่ี ระทาเพอ่ื ราลกึ ถึงชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์ (กอ่ นเคารพธงชาติ ) - กิจกรรมไหว้พระ สวดมนต์ แผ่เมตตา สมาทานศีล และสงบนิ่ง(ทาสมาธิ) - กิจกรรมพุทธศาสนสภุ าษติ วันละบท - กิจกรรมนอ้ งไหวพ้ ี่ ( ในแถวหนา้ เสาธง ) - กจิ กรรมเดนิ แถวเขา้ ห้องเรียนอย่างมีสติ เช่น เดนิ พร้อมทอ่ งคตธิ รรมเขา้ หอ้ งเรยี น 7.2.2 กิจกรรมทาความดีระหวา่ งวนั เชน่ - กิจกรรมเดนิ อย่างมีสติเขา้ โรงอาหาร - กิจกรรมกล่าวคาพิจารณาอาหารกอ่ นรับประทานอาหาร - กจิ กรรมรับระทานอาหารอยา่ งมสี ติ เช่น มีกตกิ าว่า ไม่ดัง ไมห่ ก ไมเ่ หลือ - กจิ กรรมขอบคณุ หลังรับประทานอาหาร - กิจกรรมนัง่ สมาธิ 1 นาที ก่อนเรยี น ( อาจใหน้ กั เรยี นทาพร้อมกันหนา้ ห้องเรียน) 7.2.3 กจิ กรรมก่อนเลกิ เรยี น - กิจกรรมไหว้พระสวดมนต์ - กิจกรรมราลึกพระคณุ ของผู้มีพระคุณ - กิจกรรมทอ่ งอาขยาน สูตรคูณ สรา้ งสมาธิ 7.2.4 กจิ กรรมประจาสัปดาห์ - กิจกรรมสวดมนตส์ รภญั ญะประจาสัปดาห์ - กิจกรรมทาบุญตักบาตรประจาสปั ดาห์ - อบรมคุณธรรมจรยิ ธรรมวันสดุ สัปดาห์
10 7.3 กิจกรรมเน่ืองในโอกาสวันสาคญั ทางศาสนา ดาเนินการจดั กิจกรรมดงั นี้ 7.3.1 กิจกรรมวนั วิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วนั มาฆบชู า วันเขา้ พรรษา สถานศกึ ษา ผ้ปู กครอง ชุมชน วัด รว่ มจดั กิจกรรมดงั น้ี - ทาบญุ ตักบาตร - ฟังพระเทศน์ - เวยี นเทียนท่ีวัดหรือสถานศึกษา - ทาสมาธิ - บาเพ็ญประโยชน์ 7.3.2 หล่อเทียนพรรษา โดยร่วมกบั ชุมชนในการหล่อเทียนและแห่เทยี นพรรษา 7.3.3 สถานศกึ ษาจดั บรรยากาศวนั สาคญั ทางศาสนาโดยประดบั ธงทิวสีเหลือง เชญิ ธงธรรมจกั ร ธงฉัพพรรณรงั สี และเปิดเพลงธรรมะทางวิทยุของสถานศกึ ษา ( เสยี งตามสาย ) 7.4 กิจกรรมพิเศษ 7.4.1 กจิ กรรมวันสาคญั ของชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์ (วนั ข้นึ ปใี หม่ วนั สงกรานต์ วนั พ่อ วนั แม่ ฯลฯ) 7.4.2 กิจกรรมส่งเสรมิ เด็กดี 7.4.3 กิจกรรมต้นไม้พูดได้ ป้ายคติธรรม 7.4.4 กิจกรรมนทิ รรศการทางศาสนา 7.4.5 บรรพชาสามเณรเฉลิมพระเกียรติ 7.4.6 เข้าคา่ ยธรรมะ 7.4.7 กิจกรรมปฏิสมั พนั ธ์ เชน่ ครทู กั ทายนักเรียนด้วยวาจาอ่อนหวาน และ สมั ผัสที่ประกอบดว้ ยเมตตา 7.4.8 กิจกรรมไขปญั หาธรรม 7.4.9 กจิ กรรมบนั ทึกความดี 8. ตดิ ตามกากับดูแลการปฏิบตั ิงานตามแผน 9. สรุปผลการดาเนินการและรายงานผล ทรพั ยากร 1.บคุ ลากร 1.1 ผบู้ รหิ าร จานวน 1 คน 1.2 ครูผ้รู บั ผดิ ชอบโครงการ จานวน 1 คน 1.3 ครูประจาชั้น ป.1-6 จานวน 4 คน 1.4 นักเรียนชนั้ ป.1-6 จานวน 35 คน 1.5 ผู้ปกครองนักเรยี น บุคคลในชมุ ชน จานวน 35 คน 1.6 พระวทิ ยากร จานวน 1 รูป 2.งบประมาณ - งบดาเนนิ การ จานวน 4,000 บาท
11 การติดตามประเมินผล วิธีการวดั และ เครอ่ื งมอื ในการวดั และ ตวั บ่งชี้สภาพความสาเรจ็ ประเมินผล ประเมินผล 1.นกั เรยี นมีคณุ ธรรมจริยธรรมตามหลกั ภาวนา 4 1.1 สงั เกต 1. แบบสอบถาม 1.2 ผลดหี รือประโยชน์ท่บี ้าน วดั โรงเรยี น ไดร้ ับ 2.1 สอบถาม 2. แบบสอบถาม จากการดาเนินงานตามโครงการโรงเรียนวถิ พี ุทธ ผลทค่ี าดว่าจะไดร้ ับ 1. นักเรียนมคี ณุ ธรรมจริยธรรมตามหลักภาวนา 4 ได้แก่ 1.1 ดา้ นกายภาวนา นักเรยี นรู้จักติดต่อเก่ยี วข้องกับส่ิงทัง้ หลายภายนอกทางอนิ ทรยี ์ ท้งั ห้าด้วยดี และปฏิบัติต่อส่งิ เหล่านั้นในทางทีเ่ ปน็ คณุ มิให้เกดิ โทษ ใหก้ ุศลธรรมงอกงาม ใหอ้ กุศลธรรม เส่ือมสญู การพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ 1.2 ด้านศีลภาวนา นกั เรียนต้ังอยใู่ นระเบียบวนิ ัยไมเ่ บยี ดเบียนหรือก่อความเดือดร้อน เสียหาย อยู่รว่ มกับผู้อื่นไดด้ ้วยดี เกอ้ื กูลแก่กนั 1.3 ด้านจิตภาวนา นักเรียนมีจิตใจเข้มแข็งมั่นคงเจริญงอกงามด้วยคุณธรรม ทัง้ หลาย เช่น มเี มตตากรุณา ขยนั หมั่นเพยี ร อดทน มีสมาธิ และสดชนื่ เบกิ บาน เปน็ สขุ ผ่องใส 1.4. ดา้ นปัญญาภาวนา นักเรยี นมปี ญั ญารูเ้ ข้าใจส่ิงทง้ั หลายตามความเป็นจรงิ รู้เทา่ ทันเห็นโลกและชีวติ ตามสภาวะ ประพฤติปฏิบัตติ ามหลักศีล 5 มคี วามเมตตากรุณา ความรบั ผิดชอบ ความซ่ือสัตย์ มเี หตผุ ล ความกตัญญูกตเวที ความมวี ินัย ความเสียสละ ความสามคั คี ความประหยัด รู้จักการพ่ึงตนเอง และมีความขยนั หม่ันเพยี ร 2. บา้ นวัด โรงเรยี นได้รับผลดีและประโยชนจ์ ากการดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรยี นวถิ พี ุทธ 2. โรงเรียนวถิ พี ุทธ 2.1 ความหมายของโรงเรียนวิถพี ุทธ นกั การศึกษาไดใ้ ห้ความหมายของโรงเรียนวิถีพุทธไว้ ดงั น้ี พระเทพโสภณ (2547) ได้ให้ความหมายของโรงเรียนวิถีพุทธไว้ว่า โรงเรียนวิถีพุทธ หมายถึง โรงเรียนที่จัดการศึกษาตามหลักไตรสิกขา เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วย ภาวนา 4 คอื การพฒั นาการทางกาย สังคม จิต และปัญญา กระทรวงศึกษาธิการ (2548 : 3) ได้ให้ความหมายโรงเรียนวิถีพุทธ คือ โรงเรียนระบบ ปกติทั่วไปที่นาหลักธรรมพระพุทธศาสนามาใช้หรือประยุกต์ใช้ในกรอบการพัฒนาตามหลักไตรสิกขา อย่างสมบูรณาการ ผู้เรียนได้พัฒนาการกิน อยู่ ดู ฟัง ให้เป็นโดยผ่านกระบวนการทางวัฒนธรรมแสวง ปัญญา และมวี ฒั นธรรมเมตตาเปน็ ฐานการดาเนนิ ชีวติ
12 มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั (2547 : 32) ใหค้ วามหมายโรงเรียนวถิ ีพุทธ คือ วิถีคือ มรรคหรือแนวทางวิถีพุทธ หมายถึง แนวทางการดาเนินชีวิตแบบชาวพุทธ หลักธรรม ท่เี ป็นเครอื่ งแสดงถงึ วถิ ีชวี ิตแบบชาวพทุ ธ คอื มรรคมอี งค์แปด ซึ่งสรุปลงในไตรสกิ ขาได้ ดังนี้ 1. สมั มาวาจา สมั มากัมมันตะ สัมมาอาชวี ะ เป็นอธิศีลสกิ ขา (ศีล) 2. สัมมาวายามะ สมั มาสติ สัมมาสมาธิ เป็นอธจิ ิตสิกขา (สมาธ)ิ 3. สมั มาทฏิ ฐิ สัมมาสังกัป ปะ เป็นอธปิ ัญญาสกิ ขา (ปัญญา) ดังนนั้ โรงเรียนวถิ พี ุทธ หมายถึง โรงเรยี นทจ่ี ดั การศกึ ษาตามหลักไตรสกิ ขาเพื่อพฒั นา ผูเ้ รยี นเป็นมนษุ ยท์ ่ีสมบูรณ์ด้วย ภาวนา 4 ไดร้ บั การพัฒนาทง้ั 4 ดา้ นไปพร้อม ๆ กัน ได้แก่ 1. พฒั นาทางกาย (กายภาวนา) 2. พัฒนาทางศีล (ศีลภาวนา) 3. พัฒนาการทางจติ (จิตภาวนา) จากการศึกษาสรุปไดว้ า่ โรงเรียนวิถพี ุทธ คอื โรงเรียนท่ัวไปท่ีจัดการศึกษาโดยนา หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา หลักไตรสกิ ขา อันไดแ้ ก่ ศลี สมาธิ ปญั ญา มาบูรณาการการเรยี น การสอน เพื่อพฒั นาผู้เรียนให้มวี ถิ ีชวี ติ ทด่ี งี าม ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม และอยู่ในสังคมได้อย่างมคี วามสขุ 2.2 กรอบความคดิ รูปแบบโรงเรยี นวถิ พี ุทธ โรงเรียนวถิ ีพุทธ โรงเรยี นวิถพี ทุ ธ หมายถงึ โรงเรียนระบบปกติท่ัวไปท่นี าหลักธรรมพระพทุ ธศาสนา มาใช้ หรอื ประยุกตใ์ ชใ้ นกรอบการพัฒนาตามหลักไตรสกิ ขาอยา่ งบรู ณาการ ผู้เรียนได้พัฒนาการกินอยู่ ดู ฟัง ให้เปน็ โดยผา่ นกระบวนการทางวัฒนธรรมแสวงปญั ญา และมวี ัฒนธรรมเมตตาเปน็ ฐาน การดาเนินชวี ติ ความสาคัญและความเป็นมา วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชาวไทยได้รับการกล่อมเกลาจากคาสอนของพระพุทธศาสนา ตั้งแต่ยุคแรกของประวัติศาสตร์ชาติไทย จนกล่าวได้ว่า วิถีพุทธ คือวิถีวัฒนธรรมของชาวไทยส่วนใหญ่ จนมีความเปน็ เอกลักษณ์ที่ทั่วโลกตระหนักและให้การยอมรบั พุทธธรรมหรอื พุทธศาสตร์เป็นองคค์ วามรู้ ที่มุ่งให้ผู้ศึกษาเข้าใจธรรมชาติของโลกและชีวิตที่แท้จริง และฝึกให้ผู้ศึกษาสามารถดาเนินชีวิตได้อย่าง ถูกต้องเหมาะสม ต้ังแต่ระดับการดาเนินชีวิตประจาวันของคนท่ัวไป คือ การกิน อยู่ ดู ฟัง จนถึงระดับ การดาเนินชีวติ ของนักบวชผู้ม่งุ มชี ีวติ ทบ่ี รสิ ุทธ์ิและในทุกระดับ ยงั สง่ ผลให้ผู้ศึกษาเอง มีความสขุ พร้อม ๆ กับช่วยให้คนรอบข้างและสังคมมีความสุขพร้อมกันไปด้วยอย่างชัดเจน พุทธธรรมมีกรอบการพัฒนา หลักเป็นระบบการศึกษา 3 ประการเรียกว่าไตรสิกขา คือ อธิสิลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ที่เรียกส้ันๆ ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ซ่ึงเป็นการฝึกหัดอบรม เพ่ือพัฒนากาย ความประพฤติ จิตใจ และ ปัญญา ไตรสิกขานี้เป็นการศึกษาที่ครอบคลุมการดาเนินชีวิตทุกด้านและทุกวัยอีกมีความง่าย ยาก ต้ังแต่เร่ืองเบื้องต้น ทั้งของเด็กและผู้ใหญ่จนถึงเรื่องที่ละเอียดซับซ้อนที่ยากจะหาองค์ความรู้อ่ืนใดมา เทียบได้การศึกษาของกุลบุตรกุลธิดา และผู้ใหญ่ทั้งหลายในอดีตอันยาวนานของไทย มีฐานจากการใช้ พุทธธรรมมาอบรม สงั่ สอน แต่อาจไม่มีระบบของการศกึ ษาบงั คบั อย่างในยุคปัจจุบัน แม้ในปัจจุบันจะมี การศึกษาภาคบังคับแก่คนส่วนใหญ่ แต่ก็มิได้นาเอาพุทธธรรมมาเป็นฐานของการศึกษา แต่นาระบบ ข อ งอ งค์ ค ว าม รู้ ต าม โล ก นิ ย ม โด ย มี ฐ า น จ าก ป ร ะ เท ศ ต ะ วั น ต ก ม า เป็ น แ ก น ใน ก า รจั ด ก า รศึ ก ษ า
13 ทาให้พุทธธรรมเองเร่ิมห่างเหินจากชีวิตของคนไทยยุคปัจจุบันมากข้ึน ซ่ึงเป็นที่น่าเสียดายในความล้า ค่าของพทุ ธธรรม และจากการท่ีเป็นฐานของวัฒนธรรมไทยมาแต่อดีตคุณค่าอนั อนนั ต์ขององค์ความรู้ใน พุทธธรรม และระบบไตรสิกขาที่ชัดเจนในการศึกษาพัฒนาผู้เรียนทุกวัยทางกระทรวงศึกษาธิการจึงมี แนวความคดิ ที่จะส่งเสริมใหส้ ถานศกึ ษา นาระบบของพุทธธรรมมาประยุกต์จดั ระบบการเรียนการสอน ในสถานศึกษาปัจจุบัน เพ่ือพัฒนาเยาวชนไทยให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ตามท่ี พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ กาหนด ที่มีคุณสมบัติของการเป็นคนท่ีดี เก่ง มีความสุข อย่างแท้จริง อันเป็นเป้าหมายแท้ของพุทธ ธรรมอยู่แล้วให้มีความชัดเจนขึ้น โดยผ่านการดาเนินงานของ “โรงเรียนวิถีพุทธ” อันจะเป็นตัวอย่างท่ี จะขยายผลส่กู ารพฒั นาโรงเรียนอืน่ ๆ ในวงกวา้ งต่อไป ลักษณะจุดเน้น โรงเรียนวิถีพทุ ธเป็นสถานศึกษาในระบบปกตทิ ่ีนาหลักพุทธธรรมหรือองค์ความรทู้ ่ีเป็นคา สอนในพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการจัดการศึกษาของสถานศึกษานั้น โดยมีจุดเน้นที่สาคัญ คือ การนาหลักธรรมมาใช้ในระบบการพฒั นาผเู้ รยี นโดยรวมของสถานศึกษา ซึ่งอาจเป็นการเรยี น การสอน ในภาพรวมของหลักสูตรสถานศึกษา หรือการจัดเป็นระบบวิถีชีวิตในสถานศึกษาของผู้เรียนส่วนใหญ่ โดยนาไปสู่จุดเน้นของการพัฒนาให้ผู้เรียนสามารถ กิน อยู่ ดู ฟังเป็น คือ ใช้ปัญญาและ เกิดประโยชน์ แท้จริงต่อชีวิต และการจัดดาเนินการของสถานศึกษาจะแสดงถึงการจัดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศ (ปรโตโฆสะ) ที่เป็นกัลยาณมิตรเอ้ือในการพัฒนาผู้เรียนอย่างรอบด้าน ด้วยวิถีวัฒนธรรมแสวงปัญญา ทั้งนี้การพัฒนาผู้เรียนดังกล่าวจัดผ่านระบบไตรสิกขา ที่ผู้เรียนได้ศึกษาปฏิบัติอบรม ท้ังศีล หรือ พฤติกรรมหรือวินัยในการดาเนินชีวิตท่ีดีงาม สาหรับตนเองและสังคม สมาธิหรือด้านการพัฒนาจิตใจท่ี มีคุณภาพ มีสมรรถภาพ มีจิตใจท่ีตั้งม่ัน เข้มแข็ง และสงบสุข และปัญญา ท่ีมีความรู้ท่ีถูกต้องมี ศักยภาพในการคิด การแก้ปัญหาที่เหมาะสม (โยนิโสมนสิการ) โดยมีครูและผู้บริหารสถานศึกษาเป็น กัลยาณมิตรสาคัญที่รักและปรารถนาดี ท่ีจะพัฒนาผู้เรียนอย่างดีท่ีสุดด้วยความเพียรพยายาม ระบบ พฒั นาผ้เู รยี นด้วยไตรสกิ ขา อาจแสดงแนวคดิ ดงั ภาพต่อไปน้ี
14 แผนภาพท่ี 1 สรุปแนวคดิ จากหนังสอื การพฒั นาท่ียั่งยนื โดย พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยตุ โต) สภาพของสถานศึกษา สถานศึกษาจัดสภาพในทุก ๆ ด้านเพ่ือสนับสนุนให้ผู้เรียน พัฒนาตามหลักพุทธธรรม อย่างบูรณาการ และส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนพัฒนาชีวิตให้สามารถ กิน อยู่ ดู ฟงั เปน็ วัฒนธรรมแสวง ปัญญา ทั้งนก้ี ารจัดสภาพจะส่งเสริมให้เกดิ ลกั ษณะของปญั ญาวุฒิธรรม 4 ประการ คอื 1. สัปปุริสสังเสวะ หมายถึง การอยู่ใกลค้ นดี ใกล้ผู้รู้ อยูในสิ่งแวดลอ้ มท่ีดี ครู อาจารยด์ ี มีข้อมูล มีสือ่ ทด่ี ี 2. สทั ธัมมัสสวนะ หมายถงึ เอาใจใสศ่ ึกษา โดยมีหลกั สูตร การเรยี นการสอนที่ดี 3. โยนิโสมนสิการ หมายถงึ มกี ระบวนการคิดวเิ คราะห์พจิ ารณาหาเหตผุ ลท่ดี แี ละถกู วิธี 4. ธัมมานุธัมมปฏติบหั มายถึง ความสามารถท่ีจะนำความรูไ้ ปใชใ้ นชีวิตได้ และดำเนนิ ชีวิตได้ถูกต้องตามธรรมปัญญาวุฒิธรรม 4 ประการน้ีจะส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาตามหลักไตรสิกขาได้ อย่างชัดเจนสาหรับแนวคิดเบ้ืองต้นของการจัดสภาพในสถานศึกษาท่ีเหมาะสมในด้านต่างๆ มีลักษณะ ดังต่อไปน้ี ด้านกายภาพ สถานศกึ ษาจะจดั อาคารสถานที่สภาพแวดล้อม ห้องเรียน และแหล่งเรยี นรู้ท่สี ่งเสริม การ พัฒนาศีล สมาธิและปัญญา เช่นมีศาลาพระพุทธรูปเดน่ เหมาะสมที่จะชวนให้ระลึกถึง พระรตั นตรัยอยู่ เสมอ มมี ุมหรอื ห้องใหศ้ กึ ษาพทุ ธธรรม บรหิ ารจิต เจริญภาวนาเหมาะสม หรือมากพอทจ่ี ะบริการผ้เู รียน หรอื การตกแต่งบริเวณใหเ้ ป็นธรรมชาติ หรอื ใกลช้ ิดธรรมชาติ ชวนมีใจสงบ และสง่ เสรมิ ปัญญา เช่น ร่ม รืน่ มีป้ายนเิ ทศ ป้ายคุณธรรม ดูแลเสียงต่าง ๆ มิให้อึกทึกถา้ เปิดเพลงกระจายเสยี งก็พิถพี ิถันเลือกเพลง ทส่ี ่งเสริมสมาธิ ประเทืองปญั ญา เป็นตน้
15 ด้านกจกรรมพนื้ ฐานวถชี ีวต สถานศึกษาจัดกิจกรรมวิถีชีวิต ประจำวัน ประจำสัปดาห์ หรือในโอกาสต่าง ๆ เป็นภาพรวมทั้งสถานศึกษาท่ีเป็นการปฏิบัติบูรณาการทั้ง ศีล สมาธิ และปัญญา โดยเน้นการมีวิถีชีวิต หรือวัฒนธรรมของการกิน อยู่ ดู ฟัง ด้วยสติสัมปชัญญะ เพ่ือเป็นไปตามคุณค่าแท้ของการ ดำเนินชีวิต โดยมกี จิ กรรมตัวอย่างดงั น้ี 1. มกี ิจกรรมสวดมนต์ไหว้พระ ก่อนเขา้ เรียน และก่อนเลิกเรียนประจำวัน (เพื่อใกล้ชดิ ศาสนา) 2. มีกิจกรรมรับศีลหรือทบทวนศีลทุกวัน อาจเป็นบทกลอนหรือบทเพลง เช่นเดียวก ับ กจิ กรรมแผ่เมตตา (เพื่อใหต้ ระหนกั ถงึ การอยู่รว่ มกันในสงั คมอยา่ งสนั ตสิ ขุ ) 3. มีกจิ กรรมทำสมาธิรปู แบบต่าง ๆ เชน่ นงั่ สมาธิ ท่องอาขยานเพ่ือสมาธิ สวดมนต์ สร้างสมาธิ หรือทำสมาธเิ คล่อื นไหวอืน่ ๆ เปน็ ประจำวนั หรอื กอ่ นเรยี น (เพอ่ื พัฒนาสมาธิ) 4. มีกิจกรรมพิจารณาอาหารก่อนรับประทานอาหารกลางวัน (เพ่ือให้กินเป็นกินอย่างมีสติ มปี ัญญารเู้ ข้าใจ) 5. มกี ิจกรรมอาสาตาวิเศษปฏิบัติวินยั หรือศีล (เพอ่ื ใหอ้ ยู่เปน็ อยู่อย่างสงบ) 6. มีกิจกรรมประเมนิ ผลการปฏิบัติธรรม (ศลี สมาธิ ปัญญา ประจำวนั เพอื่ ให้อยู่เปน็ ) 7. มีการสวดมนต์ ฟังธรรมประจำสัปดาห์ หรอื ในวนั พระ (เพือ่ พฒั นาศลี สมาธิ ปญั ญา) 8. มกี ิจกรรมบนั ทึกและยกย่องการปฏบิ ัติธรรม (เน้นยา้ และเสรมิ แรงการทำความด)ี 9.ทุกห้องเรียนมีการกำหนดข้อตกลงในการอยู่ร่วมกันโดยเข้าใจเหตุผลและประโยชน์ท่ีมีต่อ การอยูร่ ่วมกัน (พัฒนาศลี วนิ ัย ดว้ ยปัญญา ฯลฯ) ดา้ นการเรียนการสอน สถานศึกษามีการจัดหลักสูตรสถานศึกษา หรือจัดการเรียนการสอนที่บูรณาการพุทธธรรม เพ่ือพัฒนาผู้เรียนผ่านกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างชัดเจน เพื่อเป็นการพัฒนาผู้เรียนด้วย หลกั พทุ ธธรรมอย่างต่อเนอื่ งสมา่ เสมอ เชน่ - หลักสูตรสถานศึกษามีการกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์และผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ทสี่ ะท้อนการพฒั นาไตรสิกขาไปพร้อม ๆ กนั - การจัดหน่วยการเรียนรู้ทุกชั้นเรียนให้มีการบูรณาการพุทธธรรมในการเรียนรู้ และปฏิบัติ หรือการจัดการเรียนรู้แต่ละครั้ง นำพุทธธรรมมาเป็นฐานในการคิด หรือเป็นเกณฑ์การตรวจสอบ การเรยี นรู้ การปฏิบัตหิ รอื เช่ือมโยงการเรยี นรู้สู่หลักธรรมในการพฒั นาตนและผอู้ ่ืน - ประสานความร่วมมือกับวัด คณ ะสงฆ์ในการเรียนรู้ กลุ่มสาระหรือกิจกรรมอื่น ๆ เพอ่ื ส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรียนใกล้ชดิ กับพระพทุ ธศาสนาในบริบทต่าง ๆ ท้ั งนี้ ก ระบ วน การจัด ก ารเรียน รู้ค วรมี ลั ก ษ ณ ะ “ สอ น ให้ รู้ ท ำให้ ดู อ ยู่ให้ เห็ น ” โดยนักเรียนมีกระบวนการเรียนรู้การพัฒนาท้งั ด้านกาย (ภาวนา) ด้านความประพฤติ (ศีลภาวนา) ด้านจิตใจ (จิตตภาวนา) และด้านปัญญา (ปัญญาภาวนา) โดยมุ่งให้นักเรียนมีคุณลักษณะ “กนิ อยู่ ดู ฟัง” เพือ่ ให้เกิดประโยชน์ในการพฒั นาตนและสังคม โดยไมเ่ บยี ดเบียนผใู้ ด และเก้ือกูล
16 ในการพัฒนาวัฒนธรรมแสวงปัญญาและวัฒนธรรมเมตตา เช่น “การกิน อยู่เป็น” เพื่อยังประโยชน์ ในการดำรงชีวิตท่ีอยู่ได้เหมาะสมเป็นไปตามคุณ่ค่าแท้หรือ “การดู ฟังเป็น” เพ่ือเน้นประโยชน์ ในการเรียนรเู้ พิม่ พูนปัญญา ดา้ นบรรยากาศและปฏิสมั พนั ธ์ สถานศึกษาส่งเสริมบรรยากาศของการใฝ่เรียนรู้และพัฒนาไตรสิกขา หรือส่งเสริมการมี วัฒนธรรม แสวงปัญญา และมีปฏิสัมพันธ์ที่เป็นกัลยาณมิตรต่อกัน มีบรรยากาศของการเคารพ อ่อนน้อม ย้ิมแย้มแจ่มใส การมีความเมตตา กรณุ าต่อกัน ทั้งครูต่อนกั เรียน นักเรียนต่อครู นักเรยี นต่อ นกั เรียน และครูต่อครูด้วยกัน และสถานศึกษาส่งเสริมให้บุคลากรและนักเรียนปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ ดีแกผ่ อู้ นื่ เชน่ การลด ละ เลกิ อบายมุข การเสียสละ เปน็ ต้น ด้านการบรหิ ารจดั การ สถานศกึ ษาโดยบุคลากรในสถานศึกษา รว่ มกับผปู้ กครอง และชุมชน สร้างความตระหนกั และ ศรัทธารวมท้ังเสริมสร้างปัญญาเข้าใจในหลักการและวิธีดาเนินการโรงเรียนวิถีพุทธร่วมกัน ทั้งนี้ ผู้เก่ียวข้องทุกฝ่ายโดยเฉพาะอย่างย่ิงครู และผู้บริหารเพียรพยายามสนับสนุนโดยลักษณะต่าง ๆ การปฏิบัติตนเองที่จะสนับสนุน และเป็นตัวอย่างในการพัฒนาผู้เรียนตามวิถีชาวพุทธ สถานศึกษา วิเคราะห์จุดเน้น หรือรูปแบบรายละเอียดโรงเรียนวิถีพุทธตามความเหมาะสมกับบริบท ของสถานศึกษา ซึ่งแต่ละสถานศึกษาจะมีจุดเน้นและรายละเอียด รูปแบบที่แตกต่างกันได้ เช่น บางสถานศึกษาจะมีจุดเน้น ประยุกต์ไตรสิกขาในระดับชั้นเรยี น การจัดกระบวนการเรียนรู้รายวิชาบาง สถานศึกษาเน้นประยุกต์ในระดับกิจกรรมวิถีชีวิตประจาวัน ภาพรวม บางสถานศึกษาอาจทา ทัง้ ระบบทกุ สว่ นของการจัดการศึกษาก็เปน็ ไปได(้ กระทรวงศกึ ษาธิการ 2548 : 16 - 21) 2.3 แนวทางการดาเนินงานโรงเรยี นวิถีพทุ ธ ภาพงดงาม ภาพอันงดงามของโรงเรยี นวิถพี ุทธ เปน็ ภาพที่สะท้อนถึงการนาหลักธรรมพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างย่ิง หลักไตรสิกขามาใช้ในการพัฒนาผู้เรียน และแสดงถึงความพยายามนาหลักพุทธ ธรรมต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ในการบริหารและจัดการศึกษาอย่างชัดเจน โดยให้มีรูปแบบที่หลากหลาย ตามความเหมาะสมของสถานศึกษาที่จะพัฒนาผู้เรียนได้อย่างดีที่สุด พร้อมกับสร้างสรรค์ สภาพการ ดาเนินงานที่ผเู้ ก่ยี วข้องทกุ สว่ นมีความสุข ได้พฒั นาสู่ชีวิตและสงั คมท่ดี ีงามควบคูก่ ันไป เนน้ การกิน อยู่ ดู ฟัง ให้เป็น ซ่ึงจะทาให้ผู้เรียนและบุคลากรเป็นคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ ไดร้ บั การยกย่อง ชมเชยจากผไู้ ด้พบเหน็
17 สคู่ ณุ คา่ เมื่อโรงเรียนพัฒนาสู่วิถีพุทธและได้พัฒนาจนเป็นโรงเรียนวิถีพุทธท่ีชัดเจน จะสังเกตได้ถึง ความเปลยี่ นแปลงและประโยชนอ์ นั มากมายทเี่ กดิ ตามมา ทเ่ี ปี่ยมไปดว้ ยความงดงามและคุณค่า อาทิ 1. นักเรียนได้รับการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ต่างๆ อย่าง ชดั เจนพรอ้ มกับการพัฒนาปัญญาและด้านอื่นๆ การพัฒนาท่ีจะให้เป็นคนดีเก่ง และมีความสุข พร้อมๆ กันที่วา่ ยากจะไมย่ ากสาหรับโรงเรียนวิถีพุทธ 2. การพัฒนาผู้เรียนท่ีเกิดขึ้นชัดเจนจะเป็นที่ชื่นชอบและช่ืนชม ของผู้ปกครอง ครู อาจารย์ และชมุ ชนทไ่ี ดร้ บั ทราบ อีกการยอมรับและความร่วมมอื ชว่ ยเหลอื จะเกิดขน้ึ อยา่ งทวีคูณ 3. สภาพแวดล้อมและบรรยากาศปฏิสัมพันธ์ของโรงเรียนจะดีขึ้นมากที่เกื้อกูล การพัฒนา ผเู้ รียนรอบด้านทง้ั ศีล สมาธปิ ญั ญา ผู้คน้ ทเี่ กี่ยวข้องล้วนเปน็ กัลยาณมิตรแก่กันและกัน โดยเฉพาะอย่างย่ิงตอ่ นักเรียน 4. บุคลากรในโรงเรียนพัฒนาตนเองท้ังวีิธีการทางาน และวิถีชีวิตทาให้สภาพการทางาน มคี วามสขุ มคี ณุ ค่าเพิ่ม ชวี ิตสว่ นตัวพฒั นาสคู่ วามสะอาด สว่าง สงบชัดเจน เพราะความเปน็ วถิ พี ุทธ ช่วยกลอ่ มเกลา 5. โรงเรียน ครู ผู้บริหาร บุคลากร และนักเรียน เป็นแบบอย่างต่อสังคม อีกเป็นพลัง การพฒั นาสงั คมวงกวา้ งใหด้ งี ามย่ิง ๆ ขน้ึ ได้ วิถีปฏิบตั ิ แนวการดาเนินการและจังหวะก้าวการพัฒนาของโรงเรียนวิถีพุทธแตล่ ะแห่งจะมีความแตกต่าง กนั ได้ตามลักษณะเฉพาะของแตล่ ะสถานศึกษา อย่างไรก็ตามก้าวย่างท่ีชัดเจนจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้จาก ความพยายามในการพัฒนาผู้เรียนทั้งด้าน ศีล สมาธิ ปัญญา ควบคู่กัน ไปอย่างบูรณาการ บนวิถีการ ดาเนินชีวิตธรรมดาที่ส่งเสริมการพัฒนา “การกิน อยู่ ดู ฟัง ให้เป็น” คือ ดาเนินชีวิตได้อย่างรู้เท่าทัน และจัดการได้ท่ีจะก่อประโยชน์ต่อตนเอง ต่อผู้อ่ืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ให้มากท่ีสุด ข้อเสนอแนะแนวดาเนินการโรงเรียนวิถีพุทธในภาพเบื้องต้น ที่เสนอเป็นแนวคิดแนวทางซ่ึงโรงเรียน สามารถนาไปปรับใช้ได้ ตามความเหมาะสมตอ่ ไป ประกอบดว้ ยประเดน็ ดังนี้ 1. การบริหารจดั การโรงเรียนวถิ ีพุทธ 2. การจัดวิถีพุทธสวู่ ิถีการเรยี นรู้ 3. กจิ กรรมเสนอแนะการพัฒนา 4. การพัฒนาบคุ ลากรและคุณลักษณะบุคลากรทค่ี าดหวงั 5. การเก้อื กูลสมั พนั ธโ์ รงเรยี นวิถีพทุ ธและชมุ ชน การบริหารจัดการโรงเรยี นวถิ พี ทุ ธ จังหวะก้าวการพัฒนาสู่โรงเรียนวิถีพุทธที่ชัดเจนมีประสิทธิภาพ จาเป็นต้องพิจารณา องคป์ ระกอบและลาดับขั้นตอนที่เป็นระบบ และลาดับขั้นตอนขององค์ประกอบต่อไปนเี้ ปน็ ข้อเสนอเชิง ตัวอย่างหนึ่งท่ีโรงเรียนสามารถนาไปพิจารณาปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมซ่ึงประกอบด้วยข้ันตอน ดังต่อไปน้ี
18 1. ขั้นเตรียมการ : ทีจ่ ะใหก้ ารจดั โรงเรยี นวิถีพทุ ธดาเนนิ ไปโดยสะดวกดว้ ยศรทั ธาและฉันทะ 2. ข้ันดาเนินการจัดสภาพและองค์ประกอบ : ท่ีจะเป็นปัจจัยเป็นกิจกรรม เป็นเคร่ืองมือ สกู่ ารพัฒนาผู้เรยี นได้อยา่ งเหมาะสมสอดคล้องกบั ปญั ญาวฒุ ธิ รรม 3. ขั้นดาเนินการพัฒนาผู้เรียนและบุคลากรตามระบบไตรสิกขา : ซึ่งเป็นข้ันตอนที่เป็นหัวใจ ของการดาเนินการโรงเรยี นวิถพี ทุ ธซง่ึ ตอ้ งดาเนินการอยา่ งต่อเน่ือง 4. ข้ันดูแลสนับสนุนใกล้ชิด : ท่ีจะช่วยให้ดาเนินทุกส่วนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพด้วยท่าที ความเป็นกลั ยาณมิตร 5. ข้ันปรับปรุงพัฒนาต่อเนื่อง : ที่จะเน้นย้าการพัฒนาว่าต้องมีมากข้ึนๆ ด้วยหลักอิทธิบาท 4 และอุปัญญาตธรรม 6. ขัน้ ประเมินผล และเผยแพรผ่ ลดาเนินการ : ท่จี ะนาขอ้ มลู ผลการดาเนนิ งานสู่การเตรียมการ ที่จะดาเนินการในรอบต่อ ๆ ไป เช่น ในปีต่อ ๆ ไป หรือใช้โครงการต่อเนื่องอ่ืน และนาผลสรุปจัดทา รายงานผลการดาเนินงานแจ้งแกผ่ ูเ้ กย่ี วข้องให้ทราบ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2548 : 16 – 21) แผนภาพทีิ่ 2ิขนั้ ตอนการบรหารการจดั การโรงเรยี นวถีพุทธิ(กระทรวงศึกษาธกิ าร.2546 : 18)
19 2.4 แนวการดาเนินงานในแต่ละขั้นตอนการบรหิ ารจดั การโรงเรียนวถิ ีพทุ ธ โดยสังเขปมดี ังน้ี การเตรยี มการ เป็นข้ันตอนความพยายามท่ีจะเตรียมสิ่งท่ีจะทาให้การดาเนินการพัฒนาเป็นไปได้ โดยสะดวก ซ่ึงมีประเด็นสาคัญท่ีจะต้องคานึงถึงในการเตรียมการ เช่น การหาท่ีปรึกษา แหล่งศึกษา และเอกสารข้อมูลต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ปรึกษาที่เป็นกัลยาณมิตรในการพัฒนาวิถีพุทธน้ี ซึ่งอาจจะเป็นพระภิกษุหรือฆราวาส ท่ีเป็นผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีศรัทธาและความรู้ ในพทุ ธธรรม ถา้ เป็นฆราวาสควรเป็นแบบอย่างในสงั คมได้เช่น เปน็ ผทู้ ไ่ี ม่ข้องแวะอบายมขุ เป็นผู้ทรงศีล ปฏิบัติธรรม เปน็ ต้น ทป่ี รกึ ษาจะมีความจาเปน็ มาก โดยเฉพาะในระยะเรมิ่ ของการพัฒนา การเตรียมตัวบุคลากร คณะกรรมการสถานศึกษา นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน ให้มีความ ตระหนักในคุณประโยชน์ที่จะเกิดข้ึน ให้เกิดศรัทธา และฉันทะในการอยู่ร่วมกันพัฒนาโรงเรียน วิถีพุทธด้วยปัญญา รู้เข้าใจทิศทาง จากศรัทธาและฉันทะการพัฒนาร่วมกัน ความสาเร็จในการพัฒนา คาดหมายได้ว่าจะเกิดข้ึนไดไ้ ม่ยากสาหรบั วธิ กี ารเตรียมผ้ทู ี่เกยี่ วข้องน้ี สามารถดาเนนิ การไดห้ ลากหลาย ต้ังแต่วิธีท่ัวไป เช่น การประชุมชี้แจง การสัมมนาจนถึงการประชาสัมพันธ์ที่หลากหลาย การร่วมกัน ศึกษาดูงาน เปน็ ตน้ การกาหนดเป้าหมาย จุดเน้น หรือวิสัยทัศน์และแผนงาน ท่ีชัดเจน ทั้งระยะยาวในธรรมนูญ สถานศึกษาและแผนปฏิบัติการรายปีก็ตามท่ีผู้เก่ียวข้องเห็นพ้องกันจะเป็นหลักประกันความชัดเจนใน การดาเนินการพฒั นาโรงเรยี นวถิ ีพุทธไดอ้ ย่างดอี ันเปน็ ส่วนสาคญั ของการเตรียมการทดี่ ี การดาเนินการจัดสภาพและองค์ประกอบ เป็นการดาเนินการจัดปัจจัยต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องอันจะนาสู่การพัฒนาผู้เรียน ซึ่งประกอบ ไปด้วย สภาพทั้งกายภาพและองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องอันจะนาสู่การเป็นปัจจัยในการพัฒนา ผเู้ รยี นตามหลกั ปัญญาวุฒิธรรม 4 ประการ คือ 1. การอยู่ใกลค้ นดีใกลผ้ ู้รู้ มขี อ้ มลู มสี อื่ ท่ดี ี(สัปปรุ สิ สงั เสวะ) 2. เอาใจใสศ่ กึ ษา โดยมหี ลักสูตรการเรยี นการสอนทดี่ ี (สทั ธัมมัสสวนะ) 3. มีกระบวนการคิดวิเคราะห์พิจารณาหาเหตุผลที่ดีและถูกวิธีโดยมีสภาพบรรยากาศ ท่สี ่งเสรมิ (โยนโิ สมนสิการ) 4. ปฏิบตั ธิ รรมสมควรแก่ธรรม หรือนาความรไู้ ปใช้ในชวี ติ ได้เหมาะสม(ธมั มานุธัมมปฏปิ ตั ต)ิ สภาพและองค์ประกอบท่สี าคัญทีจ่ าเป็นต้องจัดสง่ เสรมิ ให้เกดิ วิถีพทุ ธตวั อย่าง เชน่ - หลักสูตรสถานศึกษา หน่วยการเรียน และแผนการจัดการเรียนรู้ ซ่ึงเป็นองค์ประกอบ สาคัญของการเรียนการสอนที่โรงเรียนวิถีพุทธควรคานึงถึงอย่างย่ิง แนวคิดหน่ึงของการจัด คือ การบูรณาการหลักธรรมทั้งท่ีเป็นความรู้(K) ศรัทธา ค่านิยม คุณธรรม (A) และการฝึกปฏิบัติหลักธรรม (P) ในการเรียนการสอนโดยอาจกาหนดในระดับจุดเน้นหลักสูตรสถานศึกษาท่ีแทรก ในองค์ประกอบ หลักสูตรสถานศึกษา หรือกาหนดระดับหน่วยการเรียนรู้ หรือแผนการจัดการเรียนรู้ ที่ครูจะนาสู่การ จดั การเรียนรู้ต่อไป
20 - การเตรียมกิจกรรมนักเรียน ท่ีโรงเรียนต้องคิดและกาหนดให้เหมาะสมกับผู้เรียน ของตนมากที่สุด ซ่ึงลักษณะกิจกรรมท่ีกาหนดทั้งท่ีเป็นกิจกรรมประจาวัน ประจาสัปดาห์ หรือประจา โอกาสต่าง ๆ และกิจกรรมวถิ ีชีวิต ซ่ึงถ้าโรงเรียนเลอื กกาหนดและเตรียมการไว้ล่วงหน้าจะช่วยส่งเสริม การเรยี นรู้ของผเู้ รยี น อีกสะทอ้ นให้เห็นถงึ คากลา่ วท่ีว่า “การศกึ ษาเรม่ิ ต้น เมื่อคน กิน อยู่ ดู ฟังเป็น” - การจัดสภาพกายภาพสถานศึกษาที่หมายถึง ครอบคลุมถึง อาคารสถานท่ี ห้องเรียน แหล่ง เรียนรู้สภาพแวดล้อม อาณาบริเวณของสถานศึกษาซึ่งสถานศึกษาจาเป็นต้องคานึงถึงการ จัดให้ เหมาะสมและมุ่งเน้น ท่ีจะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาไตรสิกขาให้มากท่ีสุดท้ังที่ผ่านระบบการเรียนรู้ตาม หลักสูตรสถานศึกษาและผ่านการเรียนรู้วิถีชีวิตจริงจาก“การกิน อยู่ดูฟัง”ในชีวิตประจาวัน การจัด บรรยากาศปฏิสัมพันธ์ โดยผ่านการเตรียมการการมอบหมายการรับผิดชอบของบุคลากรในการจัด กิจกรรมส่งเสริม หรือดูแลให้บรรยากาศปฏิสัมพันธ์ท่ีดีเป็นกัลยาณมิตรเกิดข้ึนอย่างจริงจังต่อเนื่องโดย จัดผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย อาทิการกระตุ้น ทุกคนทาตนเป็นตัวอย่างท่ีดีการยกย่องผู้ทาดีการปลูก ศรัทธาค่านิยมปฏบิ ัติดปี ฏิบัติชอบตอ่ ผู้อืน่ การดาเนนิ การพัฒนาตามระบบไตรสิกขา จุดเน้นการดาเนินการพัฒนา คือ นักเรียนของสถานศึกษาโดยเป็นการพัฒนาตามระบบ ไตรสิกขาที่เป็นลักษณะบูรณาการ ทั้งในกิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักสูตร และกิจกรรมวิถีชีวิต ต่าง ๆ ท่ีส่งเสริม “การกิน อยู่ ดู ฟังให้เป็น” เป้าหมายการพัฒนา จัดให้มีความชัดเจนท่ีพัฒนาทั้งองค์ รวมของชวี ติ ทีจ่ ะนาสูก่ ารพัฒนาชวี ติ ท่สี มบูรณใ์ นทส่ี ดุ นอกจากการพัฒนาผู้เรยี นอันเป็นภาระหลักแลว้ สถานศึกษาจาเปน็ ต้องไม่ละเลยการพัฒนา บุคลากรของตนเองท้ังหมดด้วย เพราะบุคลากรโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ครูและผู้บริหารจะเป็นปัจจัย สาคัญ ในการพัฒนาผู้เรียน ดังนั้น ยิ่งบุคลากร ได้รับการพัฒนาตามระบบไตรสิกขามากเท่าไหร่จะ ส่งผลดีต่อการช่วยให้นักเรียนได้รับพัฒนามากข้ึนเท่านั้น แนวทางการพัฒนาบุคลากรและลักษณะ บคุ ลากรท่เี หมาะสมในโรงเรียนวถิ ีพทุ ธจะได้นาเสนอในลาดับต่อไป การดาเนินการพัฒนาผู้เรียนและบุคลากรตามระบบไตรสิกขานี้จะดาเนินการได้ดีหาก ในขั้นตอนเตรียมการ ข้ันดาเนินการจัดสภาพองค์ประกอบ และขั้นดูแลสนับสนุนใกล้ชิดดาเนินการ ไดอ้ ยา่ งดี เพราะเหตุปจั จยั ทส่ี าคญั ในการดาเนนิ การพัฒนาผ้เู รียน การดูแลสนบั สนนุ ใกลช้ ดิ เป็นข้ันตอนสาคัญในการเป็นปัจจัยส่งเสริมให้การดาเนินการพัฒนาเป็นไปอย่างราบร่ืน มปี ระสิทธิภาพ ทั้งน้ีลักษณะของการดแู ลสนับสนุนที่เหมาะสมควรมีลกั ษณะของความเป็นกัลยาณมิตร ที่ปรารถนาดีตอ่ กัน ปรารถนาดีต่อการพฒั นาผู้เรียนหรอื ต่องาน กจิ กรรมทีส่ าคญั ของขั้นน้ีคือ การนิเทศ ติดตาม ที่จะดูแลการดาเนินงานให้เป็นไปตามแผนท่ีกาหนดไว้ การให้คาปรึกษา และช้ีแนะผู้ ปฏิบัติการให้การช่วยเหลือทางวิชาการ ฯลฯ การสนับสนุน ท้ังทรัพยากรข้อมูลและเคร่ืองมือต่าง ๆ ใน การช่วยดาเนินการให้เป็นไปได้อย่างราบรื่น การรวบรวมข้อมูลและการประเมินผลระหว่างดาเนินการ อนั จะเป็นฐานของการปรับปรุงตอ่ เน่ืองต่อไป หรือแม้เป็นข้อมูลในการพิจารณาจัดการดูแลสนับสนุนได้ อย่างเหมาะสม
21 การปรับปรุงและพัฒนาต่อเน่ือง เป็นขั้นตอนของระบบบริหารจัดการท่ีกาหนดเพ่ือเน้นย้า การพัฒนาที่ต้องดาเนินการอย่างต่อเน่ือง โดยนาข้อมูลในข้ันตอนต้น ๆ มาพิจารณาแล้วกาหนด ปรับปรุงหรือพัฒนางานที่กาลังดาเนินการอยู่ให้ดียิ่งข้ึน ท้ังนี้องค์ธรรมที่สนับสนุนการปรับปรุงและ พัฒนางานเป็นไปอย่างชัดเจนต่อเนื่อง คือ การมีอิทธิบาท 4 (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) และ อุปญั ญาตธรรม 2 (ความไมส่ ันโดษในกศุ ลธรรม และความไมร่ อในการพากเพยี ร) เปน็ ตน้ การประเมินผลและเผยแพรผ่ ลการดาเนนิ งาน เป็นข้ันตอนท่ีสะท้อนให้ทราบถึงผลการดาเนินงานในช่วงเวลาหน่ึง ๆ อาจเป็น 1 ปี หรือ 3 ปี หรือเมื่อเสร็จส้ินกิจกรรม เป็นต้น และในการประเมินจะเน้นข้อมูลที่เป็นเชิงประจักษ์ เชื่อถือได้ ให้ข้อมูลท่ีชัดเจน ท่ีสามารถนาสู่การเผยแพร่หรือรายงานผู้เก่ียวข้อง ให้ทราบผลการดาเนินงาน น้ัน ๆ และนาเป็นข้อมูลในการวางแผนดาเนินการอ่ืน ๆ ต่อไป และ ในระบบประกันคุณภาพ ข้ันตอนน้ีมี ความสาคัญไม่น้อยต่อการเสนอให้ผู้เก่ียวข้องยอมรับใน การดาเนินการและบริหารจัดการ (กระทรวงศึกษาธิการ.2548 : 27 – 37) 2.5 การจดั วิถพี ทุ ธสู่วิถกี ารเรยี นรู้ หลกั การจัดวถิ ีพุทธสู่วิถกี ารเรยี นรู้ 1. บูรณาการพุทธธรรม สู่การจัดการเรียนรู้และการปฏิบัติจริงที่สอดคล้องกับวัฒนธรรม และวถิ ชี วี ิตอย่างต่อเนื่องสม่าเสมอ เพอ่ื นาสู่การร้เู ข้าใจ ความจริง 2. จัดการเรียนรู้ให้เกดิ ข้ึนในทุกสถานการณ์ ทกุ สถานท่ี ทัง้ โดยทางตรงและทางอ้อม 3. ประสานความรว่ มมือ วดั คณะสงฆแ์ ละชมุ ชน ในการจดั การเรยี นรู้ หลกั ธรรมสาคัญสกู่ ารจัดการเรยี นรโู้ รงเรียนวิถพี ุทธ 1. ไตรสิกขา 2. กลยั าณมติ ตตา 3. ปรโตโฆสะ และโยนิโสมนสกิ าร หลักทาแนวการจัดการเรียนรู้โรงเรยี นวถิ พี ุทธประกอบดว้ ย 1. หลักสูตรสถานศกึ ษา 1.1 สอดแทรก เพมิ่ เตมิ พุทธธรรมในวิสยั ทัศน์ คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์นักเรยี น 1.2 เพม่ิ เตมิ คุณธรรมจรยิ ธรรม ในผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 1.3 ให้มกี ารบูรณาการพทุ ธธธรรมในการจดั หนว่ ยการเรียนรู้ทกุ กลุ่มสาระ 1.4 สอดแทรก ความรู้และการปฏบิ ตั จิ ริงทกุ กล่มุ สาระกจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รยี น และ สถานการณ์อนื่ ๆ นอกห้องเรยี น ไดแ้ ก่ บรู ณาการในการเรียนรบู้ รู ณาการในวิถีชีวติ และบูรณาการ ไตรสิกขาเขา้ ในชวี ิตประจาวนั ศึกษาเพมิ่ เตมิ ได้จากเอกสาร “การจัดการเรยี นรู้สารพระพทุ ธศาสนา” 2. ผู้สอน 2.1 เป็นตัวอยา่ งท่ดี ีในลกั ษณะ “สอนใหร้ ู้ ทาใหด้ ู อย่ใู ห้เห็น” อย่างสมา่ เสมอ 2.2 เปน็ กลั ยาณมิตรของผูเ้ รียนมีเมตตาธรรม ความออ่ นโยน อดทน อดกลน้ั และ สรา้ งเสรมิ กาลังใจแก่ผเู้ รียนอยเู่ สมอ
22 3. กระบวนการเรียนรู้ 3.1 พัฒนาผู้เรียนรอบด้าน สมดุล สมบูรณ์ท้ังกาย (กายภาวนา) ความประพฤติ (ศีลภาวนา) จิตใจ (จติ ภาวนา) ปญั ญา (ปัญญาภาวนา) 3.2 จดั โอกาสส่งเสริมให้ผเู้ รยี นได้เรียนรแู้ ละปฏบิ ตั ธิ รรมอยา่ งสอดคล้องกับวิถชี ีวติ (กิน อยู่ ดู ฟัง) 3.3 สร้างเสรมิ ใหเ้ กดิ วฒั นธรรมแสวงปัญญาและวัฒนธรรมเมตตา 3.4 เน้นใหเ้ กิดการเรียนรแู้ บบโยนิโสมนสกิ าร เข้าใจและคน้ พบคุณคา่ ของสรรพสงิ่ 2.6 กิจกรรมเสนอแนะและการพัฒนากจิ กรรมนักเรยี นในโรงเรยี นวถิ พี ทุ ธ หลักการ กระบวนการพัฒนาผเู้ รียนคอื การจัดกิจกรรมอย่างหลากหลาย ต่อเน่อื ง เป็นวิถชี ีวติ เพื่อให้ ผ้เู รยี นรูจ้ กั คดิ มกี ารฝกึ ปฏบิ ตั เิ สมอ ๆ ทั้งดา้ นความประพฤต(ิ ศลี ) จิตใจ (สมาธ)ิ และ ปญั ญา (ปญั ญา) เพื่อให้เกดิ การพฒั นาทั้ง 3 ด้าน ไปพร้อม ๆ กัน หลักคิด การศึกษาตามแนวพุทธปรัชญาการศึกษาของโรงเรียนวิถีพุทธ คือกระบวนการพัฒนา การ เรียนรู้ท้ังในด้านความประพฤติ(ศีล) จิตใจ (สมาธิ) และปัญญา (ปัญญา) เพ่ือความเจริญ งอกงามในทุก ข้ันตอนของชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกิน อยู่ ดู ฟัง ในชีวิตประจาวัน ท่ีมีสติสัมปชัญญะ คอยกากับ เพ่ือให้ผู้เรียนพัฒนาตนจนเป็นกาลังสาคัญในการพัฒนาสังคม และส่ิงแวดล้อมให้เจริญสืบต่อไป และ เนื่องจากพุทธศาสนามีหลักการพัฒนาว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพท่ีจะฝึกฝนและพัฒนาได้ประกอบกับ วเิ คราะหผ์ ูเ้ รยี นว่ามสี ตปิ ญั ญา อุปนสิ ัย ความพรอ้ มและภูมหิ ลงั ท่แี ตกต่างกนั การพัฒนาจึงเนน้ ที่ตวั ผู้เรยี นแต่ละคนเปน็ สาคญั หลกั ทา ในการจัดกิจกรรมของโรงเรียนวิถีพุทธน้ัน ครูและผู้บริหารสามารถจัดการพัฒนาได้ ตามหลักการหลักคิดข้างต้นโดยให้เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียน ในท่ีน้ีขอเสนอแนะการจัดกิจกรรม ไวเ้ ป็นแนวทาง 4 ลกั ษณะ 1. กิจกรรมเสรมิ เน้อื หาสาระตามหลักสูตร 2. กจิ กรรมประจาวัน สัปดาห์ 3. กิจกรรมเนอ่ื งในโอกาสวนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา 4. กจิ กรรมพิเศษอน่ื ๆ 1. กจิ กรรมเสรมิ เนอ้ื หาสาระตามหลกั สตู ร 1.1 พิธแี สดงตนเปน็ พุทธมามกะ 1.2 ประกวดมารยาทชาวพุทธ 1.3 กจิ กรรมค่ายพุทธบตุ ร 1.4 กจิ กรรมบรหิ ารจิต เจรญิ ปัญญา 1.5 เรยี นธรรมศกึ ษา สอบธรรมศึกษา 1.6 บรรพชาสามเณรฤดรู อ้ น ฯลฯ
23 2. กจิ กรรมประจาวนั สปั ดาห์ เช่น 1.1 กิจกรรมหน้าเสาธง 1.1.1 กิจกรรมทีก่ ระทาเพื่อราลกึ ถงึ ชาติศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ 1.1.2 กจิ กรรมไหว้พระสวดมนตแ์ ผ่เมตตาและสงบนงิ่ (สมาธ)ิ 1.1.3 กจิ กรรมพุทธศาสนสภุ าษติ วันละบท 1.1.4 กิจกรรมน้องไหว้พี่ (ในแถวหน้าเสาธง) 1.1.5 กจิ กรรมเดินแถวเข้าหอ้ งเรียนอย่างมีสติ เดนิ พรอ้ มท่องคติธรรม 1.2 กิจกรรมทาความดรี ะหว่างกัน 1.2.1 กจิ กรรมเดินอยา่ งมสี ตกิ ่อนเข้าโรงอาหาร 1.2.2 กจิ กรรมกลา่ วคาพจิ ารณาอาหารกอ่ นการรบั ประทานอาหาร 1.2.3 กิจกรรมรบั ประทานอาหารอยา่ งมีสตเิ ชน่ ไม่ดัง ไมห่ ก ไมเ่ หลือ 1.2.4 กจิ กรรมขอบคณุ หลงั รบั ประทานอาหาร 1.2.5 กจิ กรรมนั่งสมาธิ 1 นาทีก่อนเรยี น 1.3 กิจกรรมก่อนเลกิ เรยี น 1.3.1 กิจกรรมไหว้พระสวดมนต์ 1.3.2 กจิ กรรมราลกึ พระคณุ ของผูม้ พี ระคุณ 1.3.3 กจิ กรรมทอ่ งอาขยายสร้างสมาธิฯลฯ 1.4 กิจกรรมประจาสัปดาห์ 1.4.1 กจิ กรรมสวดมนต์ สรภญั ญะประจาสปั ดาห์ 1.4.2 กจิ กรรมทาบญุ ตักบาตรประจาสัปดาห์ ฯลฯ 3. กิจกรรมเน่ืองในโอกาสวันสาคัญทางพระพุทธศาสนาโรงเรียนวิถีพุทธควรจัด กิจกรรมในวันสาคัญทางพระพุทธศาสนา คือวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วนั เขา้ พรรษา ดงั น้ี 3.1 กิจกรรมวันมาฆบูชา วนั วิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา โรงเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน รว่ มกจิ กรรมดงั น้ี - ทาบุญตักบาตร บริเวณสนามของโรงเรียน - ฟังเทศน์ (โดยมีนักเรียนเปน็ ผดู้ าเนินพิธกี รรม) - เวยี นเทียนทวี่ ดั หรอื โรงเรียน 3.2 หล่อเทียนพรรษา และร่วมกับชุมชนในการหล่อเทียนพรรษาและแห่เทียน พรรษา 3.3 โรงเรียนจัดบรรยากาศวันสาคัญทางพระพุทธศาสนา โดยประดับธงทิว สีเหลอื ง เชญิ ธงธรรมจกั ร ธงฉัพพรรณรังสี และเปิดเพลงธรรมะทางวทิ ยุของโรงเรยี น (เสยี งตามสาย) 4. กิจกรรมพเิ ศษอืน่ ๆ 4.1 กิจกรรมไขปญั หาธรรม 4.2 กจิ กรรมวนั สาคญั ของชาติศาสนา และพระมหากษัตรยิ ์ 4.3 กิจกรรมการประเมนิ ผลการทาความดี
24 4.4 กิจกรรมยกย่องเชิดชเู กียรติผูท้ าความดี 4.5 กิจกรรมอาสาตาวเิ ศษ (มผี ู้สงั เกตพฤตกิ รรมของผปู้ ฏิบัติธรรม) 4.6 กิจกรรมบันทึกความดขี องผูป้ ฏบิ ตั ิธรรม 4.7 กิจกรรมต้นไมพ้ ดู ได้ (เนน้ คตธิ รรม) 4.8 กจิ กรรมจดั นิทรรศการผลงานทางพระพทุ ธศาสนา 4.9 กิจกรรมการกาหนดทักษะและความร้ทู างพระพุทธศาสนา 4.10 กจิ กรรมสมาทานศีลในวันพระ 4.11 กจิ กรรมสรา้ งสรรคส์ ังคม เชน่ ทาความสะอาดห้องน้า 4.12 กิจกรรมปฏิสัมพันธ์ เช่น ครูต้อนรับทักทายนักเรียนด้วยกิริยา วาจา อ่อนหวานและสัมผสั ทีป่ ระกอบดว้ ยเมตตา 4.13 กจิ กรรมต้นไมอ้ ธิษฐาน 4.14 กจิ กรรมอธษิ ฐานจิตกอ่ นเรียน 4.15 กิจกรรมอบรมธรรมะ 5 นาท(ี อาจจัดสัปดาหล์ ะ 1 ครัง้ ) 4.16 กจิ กรรมถอื ศีล นอนวัดปฏบิ ตั ธิ รรมชว่ งเขา้ พรรษา 2.7 การจัดลกั ษณะทางกายภาพโรงเรยี นวถิ พี ทุ ธ หลกั การ จากความสาคัญของสภาพแวดล้อมที่เอ้ือต่อการเรียนรู้ตามท่ีปรากฏในพระพุทธศาสนา และแนวทางในการจัดบรรยากาศสภาพแวดลอ้ มของสถานศึกษาท่กี ระทรวงศึกษาธกิ ารกาหนดสามารถ สรุปเปน็ หลักการในการจดั สภาพแวดล้อมทางกายภาพของโรงเรยี นวิถีพุทธได้ดงั นี้ 1. บรรยากาศ สงบเงียบ เรียบงา่ ย 2. ใกลช้ ดิ ธรรมชาตริ ่มรืน่ 3. ใกล้ชิดกบั ชุมชน 4. สะอาด มีระเบยี บ 5. ทนั สมยั มีการปรบั ปรงุ พฒั นาอยเู่ สมอ 6. เปน็ แหลง่ เรียนรูท้ ั้งดา้ นวชิ าการ วิชาชีพและคณุ ธรรม หลกั คดิ โรงเรียนหรือสถานศึกษาเป็นปัจจัยภายนอกท่ีสาคัญต่อการเรียนรู้ พระพุทธศาสนาทรงให้ ความสาคัญกับสถานท่ีที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้มาก เหตุการณ์ในพระพุทธศาสนาหลายตอน เนน้ ถึงความสาคญั ของสถานทแ่ี ละบรรยากาศ เชน่ 1. ทรงเจรญิ อานาปานสติกรรมฐานเมือ่ พระชนมายุ 7 พรรษา ใต้ตน้ หวา้ ในบรรยากาศ ทีเ่ งยี บสงบ 2. ทรงเลอื กสถานท่ที ใี่ กล้ชดิ ธรรมชาติและชมุ ชนสาหรบั บาเพญ็ เพยี ร 3. เม่อื ตรัสรแู้ ล้วทรงเปล่ียนสถานท่ีจากท่ีตรัสร้ไู ปประทบั ใต้ตน้ ไทรและต้นอื่น ๆ 4. ทรงกาหนดเรอื่ งความสะอาด ความมรี ะเบียบไว้ในพระวินัยปฎิ กว่า ดว้ ยเสนาสนวัตราและ เสนาสนะขันฐกะ
25 5. ทรงกาหนดความเหมาะสม สะดวกสบายของสภาพแวดลอ้ ม 7 ประการ คือ สปั ปายะ 7 แนวทางการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2559 – 2560 : โรงเรียน ในอุดมคติได้กาหนดให้มีบรรยากาศและส่ิงแวดล้อมท่ีเอ้ือต่อการเรียนรู้เพ่ือให้นักเรียนได้เรียน อย่างมีความสุข คือ มุ่งเน้นการเรียนรู้ตามธรรมชาติปลูกฝังเรื่องความสะอาด ความมีวินัยรวมท้ัง การจัดโรงเรียนให้มคี วามรม่ ร่ืน มีต้นไม้มีแหลง่ นา้ บ่อน้า ไร้ฝนุ่ ไร้มลภาวะ ปลอดภัยและไมม่ ีมมุ อับ หลักทา โรงเรียนวิถีพุทธ มีลักษณะทางกายภาพท่ีเป็นธรรมชาติ ร่มรื่น สวยงาม สะอาดเป็นระเบียบ ปลอดภยั ให้ความรูส้ ึกทผี่ ่อนคลาย สบายกาย สบายใจ มีศูนย์รวมศรัทธาของครู นักเรียน และบคุ ลากร ในชุมชน คือมีพระพุทธรูปท่ีเด่นชวนให้ระลึกถึงพระรัตนตรัยมีสวนพุทธธรรมประกอบด้วยต้นไม้สาคัญ ในพระพุทธศาสนา มีป้ายนิเทศ ป้ายคุณธรรม มีอาคารสถานท่ีที่สะอาด เป็นระเบียบและเพียงพอต่อ การใช้สอย มีแปลงเกษตร โรงฝึกงานที่เหมาะสมต่อการฝึกฝน คุณธรรมเพื่อประกอบสัมมาอาชีวะ มี หอ้ งจริยธรรม หอ้ งสมุดพระพุทธศาสนา ทุกห้องเรียนมี พระพทุ ธรปู เพ่ือให้นักเรยี นได้เห็นและระลึกถึง พระรัตนตรัยอยเู่ สมอ บรรยากาศในห้องเรียนมีความสงบ สะอาด ครูและนักเรียน มีความสารวมตนอยู่เสมอ สื่อ และอุปกรณ์การเรียนการสอนทันสมัยและครบครัน ท้ังส่ือที่เกิดจากภูมิปัญญาของครู นักเรียน และ ชุมชนตลอดจนส่ือเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข ปลูกฝังลักษณะใฝ่รู้ ใฝ่เรียน และความรู้ท่ีเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก โรงเรียนต้องมีความใกล้ชิดธรรมชาติ ชุมชน และ ภูมิปัญญาท้องถิ่นความสะอาด มีระเบียบเรียบร้อยของโรงเรียนวิถีพุทธ จะต้องเกิดจากความร่วมมือ รว่ มใจของนักเรียนทกุ คน โดยครูสร้างบรรยากาศของความรัก สามคั คี และความรบั ผิดชอบ 2.8 การพัฒนาบุคลากรและคณุ ลักษณะบคุ ลากรโรงเรยี นวถิ ีพุทธ หลักการ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และบุคลากรมีความสาคัญต่อการพัฒนาผู้เรียนในระบบ ไตรสิกขา ทั้งในฐานะเป็นผู้อบรมส่ังสอนผ่านจัดการเรียนรู้ และการเป็นแบบอย่างที่ดีในการปฏิบัติตน บุคลากรทุกคนพัฒนาตามหลักไตรสิกขา มีคุณลักษณะเป็นผู้มีความรู้พุทธธรรมเป็นอย่างดีปฏิบัติชอบ สามารถจัดการเรียนรูต้ ามวถิ ีพทุ ธ และเป็นกัลยาณมติ ร มีลกั ษณะของการเป็นผู้ท่ี“สอนให้รู้ ทาใหด้ ู อยู่ ให้เห็น” พรอ้ มท่ชี ่วยให้ผู้เรยี นพัฒนาไดเ้ ป็นอย่างดี หลักคิด การพัฒนาบุคลากรของโรงเรียนควรดาเนินการอย่างต่อเนื่อง มีรูปแบบวิธีการ หลากหลาย เหมาะสมกับลักษณะ และเง่ือนไขของโรงเรียน แนวทางสาคัญหนึ่งในการพัฒนาบุคลากรคือการปฏิบัติ ธรรมในวิถีชีวิตประจาวันทั้งนี้ผู้บริหารควรเป็นผู้นาในการพัฒนาตนเอง และการปฏิบัติตน เปน็ ตัวอยา่ ง
26 หลักทา แนวทางการจัดพฒั นาบุคลากร 1. วิเคราะห์สภาวธรรม และลักษณะของบคุ ลากร 2. คน้ หาบุคลากรแนวร่วมหรือแกนนา 3. วางแผนพัฒนาบุคลากร โดยการสร้างศรัทธา สร้างความเข้าใจด้วยวิธีที่เหมาะสม กับลกั ษณะบคุ ลากร 4. จัดกิจกรรมที่เป็นตัวอย่างสะท้อนให้เห็นความสาเร็จ ท้ังกิจกรรมรูปธรรม และ กิจกรรม พฒั นาจิต 5. การยกยอ่ ง ชมเชย แก่บคุ ลากรท่พี ัฒนาจนเปน็ แบบอยา่ งได้ ลกั ษณะแนวกิจกรรมพัฒนาบคุ ลากร เชน่ 1. การจัดอบรมใหญป่ ระจาปี 2. จดั การพัฒนาจติ เจริญปัญญายอ่ ยรายสปั ดาห์ 3. จดั กลุม่ สนทนาธรรม 4. จัดฟังเทศน์ ปฏิบตั ิธรรมในโอกาสวันสาคัญ 5. จดั ศึกษาดงู าน หรอื ปฏิบตั ิธรรมในสานกั ตา่ ง ๆ 6. ส่งเสริมการศึกษา ปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง โดยจัดห้องสมุดและสื่อต่าง ๆ ให้ยืมหรือ ใชศ้ กึ ษา จดั ห้องวิปสั สนา ฯลฯ 7. สง่ เสริมการถือศลี 5 เป็นวิถีชวี ติ 8. สง่ เสริมการประเมนิ ผลการปฏบิ ัติธรรม และการสอบอารมณ(์ วปิ สั สนา) คุณลกั ษณะสาคญั ของบคุ ลากรโรงเรยี นวถิ พี ุทธ ผูบ้ ริหารสถานศึกษา 1. ศรทั ธาในพระพุทธศาสนา 2. ละเลกิ อบายมขุ 3. ถอื ศีล 5 เปน็ นิจ 4. มอี ุดมการณท์ จี่ ะพฒั นาตนเองและดาเนนิ ชีวิตท่ดี ีงาม 5. เป็นผูน้ าและปฏิบัติเป็นแบบอย่างในการทาความดี ครูอาจารย์ และบุคลากร 1. ศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนา 2. ละเลิกอบายมุข 3. ถอื ศีล 5 เป็นนจิ 4. มอี ดุ มการณ์ท่จี ะพัฒนาตนเองและดาเนนิ ชีวติ ทด่ี งี าม 5. มคี วามเป็นกลั ยาณมิตรต่อศษิ ย์
27 2.9 การเกอ้ื กลู สัมพนั ธโ์ รงเรียนวิถีพทุ ธและชมุ ชน หลักการ โรงเรียนวิถีพุทธกับชุมชน ซึ่งประกอบด้วย บ้าน วัด และสถาบันอื่น ๆ ในชุมชนมีความเป็น กัลยาณมิตรต่อกัน เกื้อกูลร่วมมือกันและกันในการพัฒนานักเรียน และพัฒนาชุมชนสังคมในวิถีแห่ง พทุ ธธรรม เพื่อประโยชน์สขุ ร่วมกัน หลกั คิด โรงเรยี นวถิ ีพุทธเพียรพัฒนาตน มีผลการพฒั นานักเรยี นเปน็ ที่ยอมรับศรัทธาของชมุ ชน เปิด โอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาโรงเรียน จัดระดมสรรพกาลังลักษณะต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ในการพัฒนางานทุกด้านของโรงเรียน โดยเฉพาะอย่างย่ิงการพัฒนานักเรียนโรงเรียนวิถีพุทธ บริการ วชิ าการ อาคารสถานที่ร่วมมือสนับสนุนกับชุมชนในการพัฒนาภมู ธิ รรม ภมู ปิ ัญญา คุณธรรมจริยธรรม และกิจกรรมสัมมาอาชีวะต่าง ๆ เป็นต้น แก่ชุมชน สังคม ด้วยเมตตาธรรม และด้วยความเป็น กัลยาณมติ ร เพื่อให้เกดิ ความเจริญงอกงามและสันติสขุ หลักทา โรงเรยี นอาจพจิ ารณากาหนดและดาเนินงานตามวสิ ัยทัศน์ และแผนปฏิบัติการของ โรงเรียน ซึ่งบ่งชถ้ี ึงความเป็นวถิ ีพทุ ธอย่างเข้มแขง็ และต่อเนื่อง จนบงั เกิดผลท่ีชัดเจนทงั้ ในด้านการบริหารจัดการ ด้านคุณลักษณะทางกายภาพ ด้านบุคลิกภาพและคุณธรรมของครู อาจารย์ นักเรียนและบุคลากรของ โรงเรียนจนเป็นภาพที่เห็นได้ชัดเจน เช่น ผู้บริหารมีคุณธรรม มีการบริหารจัดการโดยใช้หลักเมตตา ธรรม ครมู ีความเป็นกัลยาณมิตร นักเรียนมกี ิริยาวาจาสภุ าพ มีน้าใจ มีคณุ ธรรม เป็นลกั ษณะเด่นท่ี บุคคลท่ัวไปเห็นไดช้ ัดเจนพรอ้ ม ๆ กันโรงเรยี นวิถีพุทธมีลกั ษณะเปิดกวา้ งสู่ชุมชนและสังคม พร้อมท่ีจะ รับฟงั ความคิดเหน็ เพื่อการปรบั ปรุงพัฒนาอยูเ่ สมอ และพร้อมให้ความร่วมมือในการพัฒนาชุมชน สังคม ดว้ ยความเกื้อกลู กันและกันอยา่ งตอ่ เนื่อง กจิ กรรมเสนอแนะเกือ้ กูลสมั พนั ธ์ 1. โรงเรียน บ้าน วัด ชุมนดาเนินกิจกรรมร่วมกัน ในวันสาคัญทางพระพุทธศาสนา และวัน ตามประเพณี เช่น กจิ กรรมหล่อเทียนพรรษา การทอดกฐิน ทอดผ้าปา่ กิจกรรมวนั พอ่ วันแม่ ฯลฯ 2. โรงเรียนนานักเรียนร่วมกิจกรรมของวัดและชุมชน เช่น กิจกรรมทาความสะอาดวัด ซง่ึ อาจจัดในชั่วโมงกิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน หรือกิจกรรมช่วยเหลือสังคมอนื่ ๆ นาอาหารไปเล้ียงคนชราท่ี บ้านพกั คนชรา หรอื บ้านเดก็ กาพรา้ ฯลฯ 3. โรงเรียนต้องเป็นโรงเรียนของชุมชนโดยเปิดโรงเรียนต้อนรับผู้ปกครอง และชุมชน ตลอดเวลา Open( House) เพ่ือเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองเสนอข้อคิดเห็นและมีส่วนร่วมในภารกิจต่างๆ เช่น ดูแลความสะอาดของโรงอาหาร ดาเนินการเชิญภูมิปัญญาทางพระพุทธศาสนา ภูมิปัญญาท้องถิ่น มาชว่ ยโรงเรียนในการจดั การเรียนรู้ เป็นตน้ 4. เปิดหอ้ งสมุดเพื่อให้ชุมชนใช้บริการได้ในวันหยดุ ทง้ั สนามกีฬา หอประชุม 5. เป็นศูนย์กลางของชุมชนในด้านวิชาการ วิชาชีพ เช่น จัดอบรมให้ความรู้แก่ ผู้ปกครองใน เรื่องอาชพี พิเศษต่าง ๆ จัดร้านค้าของโรงเรียนเพื่อให้ผู้ปกครองนาผลผลิตทางการเกษตรผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มาขาย โดยนกั เรียนเปน็ ผู้ดแู ลกจิ การ
28 6. ร่วมกับวัดในชุมชนจัดการเรียนธรรมศึกษา กิจกรรมทางดา้ นศาสนาตา่ ง ๆ ใน วันหยดุ จัด ทัศนศึกษาทางธรรม เปน็ ตน้ 7. จัดกิจกรรมเช่ือมความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน บ้าน วัด ชุมชน เช่น จัดการ แข่งขันกีฬา จัดกิจกรรมปจั ฉิมนิเทศ โดยเชิญผูป้ กครองมารว่ มนาอาหารมารับประทานร่วมกันจดั ค่ายครอบครัว 8. เสริมความเขม้ แขง็ ของระบบดูแลชว่ ยเหลือนักเรียน เชน่ การเยย่ี มบ้านนักเรียน ช่วยเหลือ นักเรียน แกไ้ ขปัญหาครอบครัว ฯลฯ 9. ประชาสัมพันธ์ผลงานของโรงเรียนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น จัดทาหนังสือพิมพ์ โรงเรียน วารสาร เผยแพรแ่ ก่ผู้ปกครอง ศษิ ยเ์ ก่า ชุมชน ฯลฯ 10. ยกย่องเชิดชูเกียรติของผู้กระทาความดี ท้ังครู อาจารย์ นักเรียน บุคลากรของโรงเรียน และบุคลากรในชุมชน เพ่ือให้เป็นตัวอย่างแก่บุคคลท่ัวไป เพื่อให้วิถีพุทธเป็นวิถีชีวิต ของคนทั้งชุมชน (กระทรวงศกึ ษาธิการ2548 : 41 - 47) 2.10 การบรหิ ารโครงการโรงเรยี นวถิ พี ทุ ธ โรงเรียนวิถีพุทธ ซ่ึงดาเนินการพัฒนาผู้เรียนโดยใช้หลักไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างบูรณาการผ่านการพัฒนา “กิน ดู อยู่ ฟัง เป็น” ดังนั้นการบริหารโครงการทั้งใน ระดับชาติ และระดบั โรงเรียนจะยดึ หลักการพฒั นาผเู้ รยี นดังกลา่ วขา้ งตน้ ทุกขน้ั ตอน การบรหิ ารโครงการระดับชาติ จะมกี ิจกรรมหลัก ได้แก่ 1. สร้างความเขา้ ใจแกผ่ ู้บริหารโรงเรียน และผู้รับผดิ ชอบโครงการ 2. ผลติ สอื่ เอกสาร วดี ีทศั น์เพอื่ เผยแพร่แนวคดิ และตัวอยา่ งการดาเนินงานโรงเรียนวถิ พี ุทธ 3. สร้างความเข้าใจแก่ครู ท้ังในการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการวิถีพุทธ และการจัด กิจกรรมเสริมลกั ษณะตา่ ง ๆ 4. นิเทศเยี่ยมเยียน ประเมนิ ผลการดาเนนิ งาน 5. สัมมนาเพื่อสะท้อนประสบการณ์ ผลการดาเนินรงเรียนวิถีพุทธา เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการปรับปรงุ การดาเนินงานใหด้ ยี ิง่ ขึน้ การบรหิ ารโครงการระดับโรงเรยี นจะมีกจิ กรรมหลัก ไดแ้ ก่ 1. ประชาสัมพนั ธ์สรา้ งความเขา้ ใจแก่ผ้เู กี่ยวข้องทกุ ฝ่าย เช่น ครแู ละบคุ ลากรทกุ คน 2. ผปู้ กครอง นกั เรียน องคก์ รสงฆ์ท่สี ถานศึกษาจะขอความอนเุ คราะห์ ฯลฯ 3. ปรับปรงุ การจัดการเรียนร้โู ดยสอดแทรกหลกั ธรรมในทกุ สาระการเรียนรู้ 4. ปรับปรุงการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับหลักการ โรงเรียนวถิ ีพุทธ 5. นเิ ทศ เยย่ี มเยยี น ชน่ื ชมใหก้ าลงั ใจแกผ่ ูป้ ฏบิ ตั ิงานและปรับปรงุ การดาเนินงานใหด้ ียง่ิ ขึ้น 6. ร่วมสัมมนาเพื่อรับฟังประสบการณ์การดาเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธของสถานศึกษาอื่น ๆ เพือ่ นามาปรับกิจกรรมการเรียนรู้ของสถานศึกษาตนเองต่อไป
29 3. แนวคดเก่ียวกบั การประเมน 3.1 ความหมายของการประเมน นกั การศกึ ษาได้ใหค้ วามหมายของการประเมินไว้ ดงั น้ี พิสณุ ฟองศรี (2550 :4) การประเมิน(Evaluation) หมายถึงกระบวนการตัดสินคุณค่า ของสิ่งหนง่ึ ส่ิงใด โดยการนาสารสนเทศหรอื ผลจากการวดั มาเปรยี บเทียบกบั เกณฑ์ทกี่ าหนดไว้ ชวลิต ชูกาแพง (2550 : 18) กล่าวว่า การประเมิน หมายถึง กระบวนการรวบรวม และเรยี บเรยี งสารสนเทศอยา่ งเป็นระบบสาหรับใชใ้ นการตัดสินใจเกยี่ วกบั ผู้เรียน สมคิด พรมจุ้ย (2550 : 37) ได้ให้ความหมายของการประเมินไว้ว่า เป็นกระบวนการ ท่ีก่อให้เกิดสารสนเทศเพ่ือช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพสูงและเป็นการตรวจสอบ ความก้าวหน้าของโครงการหรอื แผนงานตลอดจนการพิจารณาผลสมั ฤทธข์ิ องโครงการหรือแผนงาน น้นั ๆ ว่ามมี ากน้อยเพียงใด การประเมินผลเป็นกระบวนการบ่งชถ้ี ึงคณุ ค่าของ โครงการ แผนงาน เยาวดี รางชัยกุล วิบู ลย์ศรี (2551 : 23) ได้ให้ความห มายการป ระเมิน ห มายถึง กระบวนการตัดสินคณุ ค่าของสิ่งใดส่งิ หนึ่งอยา่ งมีเกณฑ์ สิริชัย กาญจนวาสี (2552 : 14) ได้ให้ความหมายการประเมินไว้ว่า การประเมินเป็น การบรรยายและตัดสินใจคุณค่าสะท้อนให้เห็นผลลัพธ์ ผลกระทบที่เกิดข้ึน เป็นการสืบสวนและ ตัดสินคุณคา่ ความถูกต้อง ซงึ่ เน้นเรือ่ งบรรยายสิง่ ที่ถูกประเมนิ เชาว์ อินใย (2553 : 4) ได้ให้ความหมายของการประเมิน หมายถึง กระบวนการ พิจารณาตัดสินคุณค่าของสิ่งใดส่ิงหน่ึงว่ามีความเหมาะสมหรือไม่เพียงใด โดยนาสารสนเทศหรือ ผลจากการวัดมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ท่ีกาหนดเพื่อช่วยในการตัดสินใจ ดีค่าผลการดาเนินการนั้นๆ ว่าบรรลุวัตถปุ ระสงคห์ รอื ไม่ ใช้เปน็ ส่วนหน่ึงของกระบวนการจดั การ จากการศึกษาสรุปได้ว่า การประเมิน หมายถึง การตัดสินคุณ ค่าโดยการรวบรวม ข้อมูลและสารสนเทศของโครงการอย่างเป็นระบบ และนาข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมวิเคราะห์ แล้วมาเทียบกับเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ ซึ่งผลการประเมินจะเป็นข้อสารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการ ตดั สินใจ 3.2 ความหมายของการประเมินโครงการ นักการศกึ ษาได้ให้ความหมายของการประเมนิ โครงการไว้ ดังน้ี พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้คาจากัดความของ “โครงการ” ว่าหมายถึง แผนหรือเค้าโครงทีก่ าหนดไว้ โครงการเป็นศัพท์ตรงกบั คาในภาษาองั กฤษวา่ “Project” ซ่ึง เป็นส่วนหน่ึงหรือระดับหนึ่งของแผนงาน (Plan) และในบางตาราถือว่ามีความหมาย เช่นเดียวกับคาว่า “Program” ซึ่งหมายถึงแผนงานที่มรี ายละเอียดในการปฏบิ ัติงานชดั เจน ฉะนั้นจึงอาจกล่าวโดยสรุปได้ ว่าโครงการคือ Project หรือ Program ในภาษาอังกฤษนั้นเองความหมายของโครงการและรายการ ปฏิบัติงาน ได้กล่าวไว้อย่างละเอียดแล้วในตอนท่ี 1 โดยคาว่า “การประเมิน” หรือ“การประเมินผล” รวมกับคาว่า “โครงการ” จึงเป็นคาศัพท์ทางวิชาการโดยเฉพาะว่า การประเมินโครงการ(Project or Program Evaluation) ซ่ึงมีความหมายดังต่อไปนี้
30 การประเมินโครงการ หมายถึง การตรวจสอบวัตถุประสงค์ของโครงการว่าเป็นไป ตามเปา้ หมายท่ีไดก้ าหนดไว้หรอื ไม่ และบรรลุถงึ เปา้ หมายน้ันด้วยมากนอ้ ยเพยี งใด การประเมินโครงการ เป็นกระบวนการในการพิจารณาวิเคราะห์ถึงคุณลักษณะ และ คุณภาพของโครงการ การประเมินโครงการ หมายถึง กระบวนการทางวิทยาศาสตร์หรือการใช้วิธีการวิจัยเพื่อ หาข้อมูลที่เป็นจริงและมีความเชื่อถือได้ของโครงการ แล้วพิจารณาตัดสินว่าโครงการน้ันบรรลุ ถงึ วตั ถุประสงค์หรอื ไม,และดว้ ยคณุ ภาพของความสาเรจ็ น้ันเป็นเช่นใด การประเมินโครงการ หมายถงึ การประมาณค่าการดาเนินงานของกจิ กรรมใด ๆ อย่างมรี ะบบ เพอ่ื ปรับปรุงการดาเนินงานนนั้ ท้ังในปจั จบุ นั และในอนาคต สุชาติ ประสิทธรัฐสินธุ (2541 : 2) ได้ให้ความหมายของการประเมินโครงการไว้ว่า กระบวนการในการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลของการดาเนินโครงการ และพิจารณาบ่งชี้ให้ ทราบถึงจุดเด่น จุดด้อยของโครงการนั้นอย่างมีระบบ แล้วตัดสินใจว่าจะปรับปรุงโครงการน้ันเพื่อ ดาเนนิ งานตอ่ ไป หรือยุติการดาเนนิ งานโครงการนั้น สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (2544 : 22)กล่าวว่าการประเมินโครงการหมายถึงกระบวนการ กอ่ ให้เกิดสารสนเทศในการปรับปรงุ โครงการและสารสนเทศในการตัดสนิ ผลสัมฤทธิ์ของโครงการ สมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ (2547 : 121) กล่าวว่า การประเมินโครงการเป็นกระบวนการ ศึกษาข้อมูลอย่างเป็นระบบตามสภาพท่ีเป็นจริงเพื่อนามาจัดเป็นสารสนเทศ ตัดสินคุณค่าและ ป ร ะ ก อ บ ก า รพิ จ า รณ าตั ด สิ น ว่ า ผ ล สั ม ฤ ท ธิ์ ข อ งโค ร งก าร ต ร งต า ม เป้ า ห ม าย ห รื อ ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ มาตรฐานท่ีกาหนดหรือไม่ มีคุณภาพหรือประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ซึ่งจะนาไปสู่การตัดสิน เลือกโครงการทีเ่ หมาะสมของผู้มีอานาจตัดสินใจตอ่ ไป รัตนะ บัวสนธ์ิ (2550 : 17) ได้ให้ความหมายของการประเมินโครงการว่า เป็นการใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรือการใช้เทคนิคการวิจัยทางสังคมศาสตร์ เพื่อหาข้อมูลที่เป็นจริง และเช่อื ถือได้เก่ยี วกับโครงการ เพอื่ ให้การตดั สนิ ใจวา่ โครงการดังกลา่ วดีหรือไม่ดีอย่างไร เชาว์ อินใย (2553 : 4) ได้ให้ความหมายของการประเมินโครงการ หมายถึง กระบวนการ พจิ ารณาตดั สนิ คุณค่าโดยการค้นควา้ เก็บรวบรวมขอ้ มูลตา่ งๆ จากชุดกจิ กรรมทจี่ ัดข้นึ ธีรศักด์ิ อุ่นอารมณ์เลิศ (2556 : 6) ได้อธิบายความหมายของการประเมินโครงการ หมายถึง กระบวนการตัดสินคุณค่าของกิจกรรมหรือผลท่ีเกิดข้ึนจากโครงการในด้านความสาเร็จ ความล้มเหลว จุดแข็ง จุดอ่อน ปัญหา อุปสรรค โดยมีกระบวนการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ นอกจากน้ีการประเมินโครงการยังมีประโยชน์ในการนาสารสนเทศไปสู่การปรบั ปรงุ การดาเนินกจิ กรรม โครงการใหด้ ยี ง่ิ ขนึ้ ต่อไป จากการศึกษาสรุปได้ว่า การประเมินโครงการ หมายถึง กระบวนการในการเก็บรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลของการดาเนินโครงการ เพ่ือนาเอาผลน้ันไปวิเคราะห์ว่าสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์และเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ ซ่งึ จะทาให้ทราบว่าการดาเนินงานตามโครงการน้ัน บรรลุผลสาเร็จ ตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายหรือไม่เพียงใด และมีข้อเสนอแนะ หรือปรับปรุง แกไ้ ขในส่วนใด โครงการนนั้ ควรจะดาเนินการตอ่ ไปหรือยตุ ิโครงการ
31 3.3 วัตถปุ ระสงคข์ องการประเมนิ โครงการ นกั การศึกษาได้ใหว้ ตั ถปุ ระสงคข์ องการประเมินโครงการไว้ดงั น้ี สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (2549: 92-93) กล่าวว่า การประเมินมีวัตถุประสงค์สาคัญ คือ เพ่ือช่วยปรับปรุงการบริหารหรือโครงการ ตลอดจนการดาเนินงานต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพอื่ ชว่ ยให้ผู้บรหิ ารตัดสินใจเกย่ี วกับโครงการ หรอื งานทีร่ ับผดิ ชอบอย่างถกู ตอ้ ง มปี ระสทิ ธภิ าพ สงู สุด สาหรบั วัตถปุ ระสงคเ์ ฉพาะการประเมินมีดงั นี้ 1. เพอื่ ช่วยปรบั ปรุงพัฒนางานหรอื โครงการต่าง ๆ 2. เพอ่ื ตดั สนิ ผลเกีย่ วกับระดบั ผลสัมฤทธ์ิของงานหรือโครงการตา่ ง ๆ 3. เพ่ือช่วยให้ผู้บรหิ ารตัดสินใจเก่ียวกับโครงการ หรอื อนาคตของโครงการได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม 4. เพื่อกระตนุ้ ทกุ ฝ่ายท่ีเกีย่ วขอ้ งใหป้ ฏิบตั หิ นา้ ที่ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ สมคดิ พรมจุ้ย (2550 : 37) กลา่ วว่า การประเมนิ เปน็ กิจกรรมทส่ี าคัญในวงจรการวางแผนและ บรหิ ารงานโครงการ เพราะการประเมินมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวางแผน การบรหิ ารโครงการ ซ่ึงสรุป ไดด้ ังน้ี 1. ช่วยให้ข้อมูลและสารสนเทศต่าง ๆ เพ่ือนาไปใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการวางแผน โครงการ ตรวจสอบความพร้อมของทรพั ยากรต่าง ๆ ทีจ่ าเปน็ ในการดาเนนิ โครงการตลอดจนตรวจสอบ ความเป็นไปไดใ้ นการจัดกิจกรรมต่าง ๆ 2. ชว่ ยทาให้การกาหนดวัตถปุ ระสงคข์ องโครงการมีความชัดเจน 3. ชว่ ยในการจัดหาข้อมลู เกี่ยวกับความกา้ วหน้าปัญหาและอุปสรรคของการดาเนนิ โครงการ 4. ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับความสาเร็จ และความล้มเหลวของโครงการเพ่ือนาไปใช้ในการ ตัดสินใจ และวินจิ ฉยั ว่าจะดาเนินโครงการในช่วงตอ่ ไปหรอื ไม่ 5. ช่วยให้ได้ข้อมูลท่ีบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของการดาเนินโครงการว่าเป็นอย่างไรคุ้มค่ากับ การลงทนุ หรอื ไม่ 6. เป็นแรงจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานโครงการ เพราะการประเมินโครงการด้วยตนเอง จะทาให้ผู้ ปฏิบัติได้ทราบผลการดาเนินงาน จุดเด่น จุดด้อย และนาข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุง และพัฒนา โรงเรยี นให้มีประสทิ ธิภาพมากยิ่งข้นึ จากการศึกษาสรุปได้ว่า วัตถุประสงค์ของการประเมินโครงการ เป็นการช่วยให้ข้อมูล สารสนเทศนาไปตัดสินใจเก่ียวกับการวางแผน การบริหาร การดาเนินงาน เพิ่มลดเทคนิคบางประการ การสร้างโครงการที่คล้ายกัน ช่วยปรับปรุงการบริหารงานหรือโครงการ การแบ่งทรัพยากร ตลอดจน การดาเนินงานต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพ่ือช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการหรอื งานท่ี รับผิดชอบอย่างถกู ต้อง มีประสิทธภิ าพสูงสุด
32 3.4 ประเภทของการประเมนโครงการ นกั การศึกษาไดแ้ บ่งประเภทของการประเมนิ โครงการไว้ดังน้ี สมหวัง พิ ธิยานุวัฒ น์ (2549 : 92 - 94) ได้แบ่งการประเมินออกได้ หลายประเภ ท แล้วแต่เกณฑ์ทใี่ ช้แบง่ ซึ่งมีดงั น้ี 1. แบ่งตามจุดมุ่งหมายของการประเมินแบ่งการประเมินออกเป็น 2 ประเภท คือ การประเมิน เพื่อปรับปรุงพัฒนา เรียกว่าการประเมินความก้าวหน้า (Formative Evaluation) เป็นการประเมิน ขณะท่ีโครงการหรือกิจกรรมนั้นกาลังดาเนินอยู่ ซ่ึงสามารถนาผลประเมินไปปรับปรุง การดาเนินงานให้ดีข้ึนอย่างทันท่วงทีและการประเมินเพ่ือตัดสินใจ (Summative Evaluation) เป็น การประเมินเพื่อบ่งช้ีระดับสัมฤทธ์ิผลของงานหรือโครงการ เป็นการประเมินหลังจากส้ินสุด โครงการ แลว้ 2. แบ่งตามหลักยึดในการประเมิน แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การประเมินที่ยึดเป้าหมาย ของโครงการหรืองานเป็นเกณฑ์ ซ่ึงเรียกว่า Goal – Based Evaluation การประเมินตาม แนวนี้ก็คือ นาผลการวัดมาเปรียบเทียบกับเป้าหมายเชิงปรมิ าณและเชิงคุณภาพของโครงการ ส่วนอีกประเภทหน่ึง เป็นการประเมินท่ีเป็นอิสระจากกลุ่มเป้าหมายของโครงการ Goal – Free Evaluation การประเมิน ตามแนวทางน้ีผู้ประเมินไม่จาเป็นต้องทราบเป้าหมายของโครงการเป็นการประเมนิ ผล ทั้งหมดท่ีเกดิ ขึ้น ทั้งผลโดยตรงและผลโดยอ้อมของโครงการตลอดจนการประเมินผลกระทบทั้งใน ทางบวกและทางลบ ของโครงการ 3. แบ่งตามลาดับเวลาท่ีประเมิน โดยแบ่งการประเมินออกเป็น 3 ระยะ การประเมิน ก่อนนา โครงการไปปฏิบัติ (Intrensic Evaluation) โดยเฉพาะการวิเคราะห์ความเหมาะสมของ แผนงาน โครงการก่อนเสนอเพ่ืออนุมัติให้ด้านเนินการ กระบวนการดังกล่าว เรียกว่า การวิเคราะห์ โครงการ (Project Appraisal or Analysis) ระยะที่ 2 คือ การประเมินขณะดาเนินงานหรือ โครงการ (On Going Evaluation) เพ่ือพิจารณาความก้าวหน้าของโครงการผลการประเมินใน ระยะน้ีจะเป็น ประโยชน์ต่อการปรบั ปรุงการดาเนินงาน และระยะสุดทา้ ย คือ การประเมินเม่ือเสร็จ สิ้นโครงการ (Pay – Off Evaluation) เป็นการประเมินผลลัพธ์ท่ีเกิดข้ึนท้ังหมด เม่ือสิ้นสุด โครงการและหลังจากสิ้นสุด โครงการไประยะหน่ึง กระบวนการประเมินหลังจากโครงการส้ินสุด ไประยะหนึ่ง กระบวนการประเมิน หลงัจากโครงการสิ้นสุดไประยะหนึ่ง เรียกว่า กระบวนการ ติดตามผล (Follow - Up Study หรือ Tracer Study) รัตนะ บัวสนธ์ (2550 : 27-28) กล่าวว่า การแบ่งประเภทของการประเมินโครงการ แบ่งได้ หลายประเภทขึ้นอยู่กับเกณฑท์ ใ่ี ช้ในการแบง่ ดงั น้ี 1. แบ่งตามวัตถุประสงค์การประเมินและช่วงเวลาของโครงการ หากแบ่งตามเกณฑ์ น้ี การประเมนิ มี 3 ประเภท ได้แก่ 1.1 ประเมินก่อนดาเนินโครงการหรือก่อนนา โครงการไปใช้(Pre – Evaluation Program or Ex – Ante Evaluation Program) 1.2 ป ร ะ เมิ น ข ณ ะ ด า เนิ น โค ร ง ก า ร (Formative, Process, On– Going or Monitoring Evaluation Program) 1.3 ประเมนิ ส้นิ สุดโครงการ (Post or Summative Evaluation Program)
33 2. แบ่งตามเป้าหมายท่ียึดถ้าแบ่งเช่นน้ีการประเมินก็จะประกอบด้วย 2 ประเภท ได้แก่ การประเมินท่ียึดเป้าหมายของโครงการเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบกับผลสาเร็จของโครงการท่ีเรียกว่า การ ประเมินที่อิงเป้าหมาย (Goal – Base Evaluation) และการประเมินท่ีไม่ยึดหรือเป็นอิสระจาก เป้าหมาย (Goal – Free Evaluation) โดยที่การประเมินจะพิจารณาจากผลทั้งหมดที่เกิดข้ึนจาก โครงการ แมว่ ่า ผลดังกล่าวน้ันจะเป็นหรอื ไมเ่ ป็นไปตามเป้าหมายของโครงการกต็ าม 3. แบ่งตามปรัชญาหรือความเช่ือพ้ืนฐาน การแบ่งเช่นนี้อาศัยพื้นฐานทางปรัชญาหรือ ความเชื่อเก่ียวกบั ความจริงของคณุ ค่าและวธิ ีการเข้าถงึ ความจรงิ ของคุณคา่ ในการประเมินได้แบ่งเป็น 2 ประเภทคือการประเมินตามวิธกี ารเชงิ ระบบ และแบบปรนัยนิยม การประเมนิ ตามวิธี เชงิ ธรรมชาติและ แบบอัตนัยนิยม จากการศึกษาสรุปได้ว่า ประเภทของการประเมินโครงการ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การประเมินความก้าวหน้า และการประเมินเพื่อตัดสินผล แบ่งตามช่วงเวลาของโครงการ แบ่งการ ประเมินออกเป็น 3 ประเภท คือ ประเมินกอ่ นการดาเนินโครงการ การประเมินผลขณะดาเนินโครงการ และการประเมินเม่ือสิ้นสุดโครงการ การประเมินโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ โรงเรียนบ้านหนองฆ้องนาสี นวล ได้ใช้การประเมินโครงการประเมินขณะดาเนินโครงการ (Formative, Process, On – Going or Monitoring Evaluation Program) และประเมินสิ้นสุดโครงการ (Post or Summative Evaluation Program) 3.5 ขั้นตอนหรือกระบวนการประเมนิ โครงการ นกั การศกึ ษาไดก้ ล่าวถึงขั้นตอนหรอื กระบวนการประเมินโครงการไว้ดังน้ี การประเมินผลโครงการเป็นกระบวนการท่ีต้องมีการดาเนินงานอย่างมีระบบ และขั้นตอนมีความ สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมของโครงการ ซึ่งกระบวนการดังกล่าว จะต้องมีความสอดคล้อง และมี ความสมเหตุสมผลกันและกัน เช่น การกาหนดวัตถุประสงค์ของการประเมินผล การวัดผล โครงการ การสรปุ ผลการประเมินผล เป็นต้น สุชาติประสิทธ์ิ รัฐสินธ์ุ (2536 : 13- 16) ได้เสนอข้ันตอนในกระบวนการของการประเมิน โครงการไว้ดังนี้ 1.การกาหนดวัตถุประสงค์ที่จะประเมิน ซ่ึงอาจจะไม่เหมอื นวตั ถปุ ระสงค์ของโครงการก็ได้ แต่ผู้ ประเมินจะเปลีย่ นแปลงเปา้ หมายของโครงการให้เป็นวัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม เปน็ ตน้ 2. การเลือกวัตถุประสงค์ท่ีต้องการจะวัด ซึ่งผู้ประเมินจะต้องคานึงถึง เพราะบางวัตถุประสงค์ อาจวัดไม่ได้ในชว่ งเวลาทที่ าการประเมิน 3. การเลือกอุปกรณ์ เคร่ืองมือ และกระบวนการ ให้เหมาะสมกับรายละเอียดของวตั ถปุ ระสงค์ ท่ีจะประเมิน 4. การเลอื กตัวอย่าง ต้องคานงึ ถึงกล่มุ ตัวอย่างที่สามารถเปน็ ตวั แทนของประชากรได้ดี 5. การกาหนดการวดั และตารางเวลาการสงั เกต ต้องเลอื กเวลาให้เหมาะสม ต้องวัดผลบ่อยแค่ ไหน เมือ่ ใดจงึ จะได้ขอ้ สรุปทถ่ี กู ต้อง 6. การเลือกเทคนิควิเคราะห์ ต้องหาเทคนคิ ท่เี หมาะสมกับสภาพความเปน็ จรงิ ของข้อมูล 7. การหาขอ้ สรปุ และขอ้ เสนอแนะ
34 สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (2544 : 65- 76) ได้เสนอข้ันตอนของกระบวนการประเมินโครงการไว้ใน ลักษณะเดียวกนั คอื 1. ทาการศึกษาและวิเคราะห์โครงการท่ีจะทาการประเมิน ซ่ึงมีความสาคัญมาก เพราะการได้ รู้จักโครงการที่จะประเมินโครงการเทา่ ไร กส็ ามารถเพิ่มโอกาสที่จะทาให้การประเมินตรงเป้าหมายมาก ยิ่งขึ้น ซ่ึงผู้ประเมนิ ควรจะได้ศึกษาโครงการในเรื่องตา่ ง ๆ ให้ละเอยี ด 2. กาหนดวตั ถุประสงคข์ องการประเมินโครงการ โดยมีลาดบั ขนั้ ตอน ซึ่งในการ ต้ังวตั ถปุ ระสงคข์ องการประเมนิ โครงการ มดี ังน้ี 2.1 ระบบุ คุ คลหรอื องคก์ รทเ่ี กยี่ วข้องกับโครงการ 2.2 ระบุเรื่องราวหรือข่าวสารท่ีบุคคลหรือองค์กรเหล่านั้นต้องการได้จากการประเมิน เพอื่ ประกอบการตัดสินใจเก่ียวกับโครงการในแงต่ ่าง ๆ 2.3 สรุปวตั ถปุ ระสงคข์ องการประเมนิ โครงการนั้น ๆ 3. ออกแบบการประเมินโครงการ ซ่ึงถือว่าเป็นข้ันตอนท่ีเป็นหัวใจสาคัญของการ ประเมิน โครงการ ซง่ึ จะตอ้ งสอดคล้องกับธรรมชาตขิ องโครงการทีจ่ ะทาการประเมนิ 4. สร้างเครื่องมอื เพอื่ ใชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบ แบบสอบถาม แบบสังเกต แบบสมั ภาษณ์ เปน็ ต้น 5. รวบรวมขอ้ มลู เพือ่ ใช้ในการประเมนิ 6. ทาการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการท่ีเหมาะสม ซึ่งส่วนมากจะเป็นการคานวณค่ามัชฌิม เลขคณติ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และเทคนิคการวิเคราะหเ์ น้ือเรอ่ื ง (Content Analysis) 7. วางแผนการเขียนสรุปการประเมินและนาเสนอผู้บริหาร หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ เยาวดีรางชัยกุล วิบูลย์ศรี(2546 : 279 - 288) ได้จาแนกข้ันตอนของการประเมิน โครงการ ออกเปน็ 6 ขนั้ ตอน ดังน้ี ข้ันตอนที่ 1 การศึกษาเอกสารที่เก่ียวข้องกับโครงการ ก่อนทาการประเมินโครงการผู้ประเมิน จะต้องศึกษาเอกสารท่ีเก่ียวข้องกับโครงการ เช่น โครงการท่ีเสนอขออนุมัติ ถ้าเป็น โครงการนาร่องก็ ควรศึกษาเอกสารรายงานความก้าวหน้าของโครงการ หรือถ้ามีรายงานผลการ ประเมินโครงการฉบับ สมบูรณ์ก็ควรนามาศึกษา จะทาให้ผู้ประเมินได้เข้าใจความเป็นมาของโครงการ สภาพแวดล้อม วัตถุประสงค์ ตลอดจนกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะทาให้ผู้ประเมินสามารถ กาหนดประเด็นการประเมินและ ตวั ชว้ี ดั ต่อไปได้ ข้ันตอนที่ 2 การกาหนดวัตถุประสงค์ของการประเมิน ในข้ันตอนน้ีผู้ประเมินจะต้อง ตอบคาถามให้ได้ว่าจะประเมินโครงการอะไร ประเมินทาไม เพ่ือใคร หรือใครเป็นผู้ใช้ผลการประเมิน ขอ้ มูล ทจ่ี ะตอบคาถามเหล่าน้ีไดม้ าจากการศึกษาเอกสารท่ีเกีย่ วข้องกับโครงการ สัมภาษณผ์ ู้รบั ผิดชอบ โครงการ ผ้สู นบั สนุนโครงการ ข้นั ตอนท่ี 3 การกาหนดขอบเขตของการประเมิน เป็นขั้นตอนที่สาคัญอีกข้ันตอน หนึ่งที่จะทา ให้การประเมินโครงการสามารถดาเนนิ การได้ และบรรลเุ ป้าหมายทต่ี ้องการ โดยพิจารณาจากพ้ืนทีท่ ่จี ะ ทาการประเมิน หนว่ ยงานทีต่ อ้ งการตดิ ตามบคุ คลที่ผปู้ ระเมนิ ต้องสมั ภาษณ์ เป็นต้น
35 ขั้นตอนท่ี 4 การพิจารณากาหนดตัวบ่งชี้และแหล่งข้อมูล การกาหนดตัวบ่งชี้ในการประเมิน สามารถกาหนดได้จากวัตถุประสงค์ของโครงการ หรือจากตัวแบบการประเมินเชิงทฤษฎี เช่น การ กาหนดตัวบง่ ช้จี ากรปู แบบการประเมนิ แบบ CIPP Model หรืออาจจะพิจารณาจากคาดหวงั ของผู้ใช้ผล การประเมินกไ็ ด้ ตวั บ่งชี้มีทั้งเชิงปริมาณและเชงิ คุณภาพ เช่น จานวนนักเรยี นท่ีผ่านเกณฑ์ ร้อยละของ นักศึกษาท่ีมีบุตร อัตราส่วนจานวนนักเรียนต่อครู เป็นต้น ส่วนในเชิงคุณภาพนั้น เช่น ความเหมาะสม ความสอดคลอ้ ง ประสิทธภิ าพในการทางาน เป็นต้น ขั้นตอนท่ี 5 การวิเคราะห์ข้อมูล ทาได้ท้ังเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ท้ังน้ีขึ้นอยู่กับข้อมูลท่ี ผู้ประเมินเก็บรวบรวมมา ตัวอย่างเช่น ข้อจานวนผู้เข้ารว่ มอบรม ใช้ค่ารอ้ ยละความคดิ เห็นตอ่ โครงการ ท่ีอยู่ในรูปมาตราส่วนประมาณค่า ใช้ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ข้อมูลท่ีเก็บ รวบรวมจาก เอกสาร การสัมภาษณ์ การสนทนากลมุ่ ฯลฯ ใชเ้ ทคนคิ การวิเคราะห์เนื้อหาข้นั ตอนที่ 6 การสรปุ ผลการ ประเมิน การสรุปผลการประเมินโครงการ ผู้ประเมิน ควรเน้นประเด็นที่สาคัญดังนี้ คือ ผลผลิตจาก โครงการ ปัญหาและข้อจากัดของการดาเนินโครงการ ข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงโครงการ นอกจากน้นั ควรสรปุ ผลโครงการไปในดา้ นอนื่ ๆ ด้วย เช่น 1) การยอมรบั ในคุณคา่ ของโครงการจากกลุ่มเปา้ หมาย 2) การขยายผลโครงการและความต้องการของโครงการทต่ี ่อเนื่อง 3) การกอ่ ให้เกิด “ส่งิ ใหม่” เชน่ เทคโนโลยีหรอื เอกสารทางวิชาการ 4) การเปลย่ี นแปลงสภาวะแวดลอ้ มทางกายภาพหรือทางสงั คม 5) การเรยี นรู้จากการปฏบิ ัตโิ ครงการที่ชว่ ยใหเ้ กดิ การพฒั นาทรพั ยากรบุคคล 6) การแพร่กระจายผลให้เปน็ สารสนเทศที่เป็นประโยชน์ตอ่ ผู้เกีย่ วข้องกับโครงการ 7) การพัฒนาศกั ยภาพหรอื ประสทิ ธภิ าพของโครงการในดา้ นอน่ื ๆ จากการศึกษาสรุปได้ว่า ขั้นตอนการประเมินหรือกระบวนการประเมินโครงการ ประกอบด้วย 1) การศึกษาเอกสารท่ีเกีย่ วขอ้ งกับโครงการ 2) การกาหนดวตั ถุประสงค์ของการ ประเมิน 3) การกาหนดขอบเขตของการประเมิน 4) การพิจารณ ากาหน ดตัวบ่งชี้และแหล่งข้อมูล 5) การวเิ คราะห์ขอ้ มลู 6) การสรปุ ผลการประเมิน 7) การหาขอ้ สรปุ และข้อเสนอแนะ 3.6ิประโยชนข์ องการประเมนโครงการ นักการศึกษา และนักประเมินได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับประโยชน์ของการประเมิน โครงการไว้หลายทา่ น ดังนี้ เยาวดี รางชัยกุลวิบูลย์ศรี (2551 : 93- 95) กล่าวถึงประโยชน์ของการประเมินโครงการ ไว้ดังน้ี 1. ช่วยให้เป็นที่ยอมรับและเป็นที่น่าเชื่อถือจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับโครงการเป็นการ รบั รองคณุ ภาพของโครงการ 2. ช่วยให้ผู้สนับสนุนด้านเงินทุนได้รับทราบปัญหาหรืออุปสรร ค ในการดาเนินงาน ของโครงการโดยอาศัยหลักฐานเชิงประจกั ษ์จากสภาพการณท์ เ่ี ป็นจรงิ 3. ชว่ ยใหข้ อ้ มูลซง่ึ เป็นสารสนเทศทม่ี ีคุณคา่ สาหรบั หน่วยงานทเี่ ก่ียวข้อง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172