Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 1 ระบบนิเวศเเก้ไข

หน่วยที่ 1 ระบบนิเวศเเก้ไข

Published by Jiab Chanchira, 2018-10-25 03:27:35

Description: หน่วยที่ 1 ระบบนิเวศเเก้ไข

Keywords: แผนการจัดการเรียนรู้ ระบบนิเวศ

Search

Read the Text Version

แผนการจัดการเรยี นรู้ ชอื่ หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 เรื่อง ระบบนเิ วศรายวชิ าชีวทิ ยา 6 รหสั วชิ า ว 33206ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31

แผนการจัดการเรียนรู้ ช่ือหน่วยการเรียนรูท้ ่ี 1 เรอื่ ง ระบบนเิ วศ แผนการสอนท่ี 1เรือ่ ง ระบบนิเวศในธรรมชาติ รายวิชาชีววิทยา 6 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 รหัสวิชา ว 33206 ครผู ้สู อน นางสาวจันจริ า ธนันชยั ตาแหน่ง พนกั งานราชการ เวลาทใ่ี ช้ 2 ช่วั โมง ตวั ช้ีวัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวดั และ กจิ กรรมการเรยี นรู้ สอ่ื /แหล่งเรยี นรู้ผลการเรียนรู้ ชนิ้ งาน ประเมนิ ผล ใบงาน ผำ่ นระดบั กระบวนการจัดการเรียนรู้ 1. ใบงำน1. สำรวจตรวจสอบ ระบบนิเวศ ควำม ควำมหลำก คะแนนร้อยละ ครดู ำเนนิ กำรทดสอบก่อนเรียน โดยให้นกั เรียนทำ ควำมหลำกหลำย หลำยของ 60 ข้ึนไป ของระบบนเิ วศสบื คน้ ขอ้ มลู อภิปรำย หลำกหลำยของระบบ ระบบนิเวศ แบบทดสอบก่อนเรยี นเพ่ือตรวจสอบควำมพร้อมและพื้นฐำนของ 2. หนังสือเรียน นักเรียน ชีววิทยำเล่ม 6และสรุปเก่ยี วกบั ระบบ นเิ วศ กำรถ่ำยทอด ขน้ั นาเขา้ สูบ่ ทเรียน ข อ ง ส ถ ำ บั น ส่งเสริมกำรสอนนิเวศ ควำม พลังงำนและกำร 1) ครูสนทนำกับนกั เรยี นโดยส่มุ นกั เรียน 23 คน และ วิทยำศำสตร์และ ใหน้ ักเรียนตอบคำถำมต่อไปนี้ เทคโนโลยีหลำกหลำยของระบบ เปลีย่ นแปลงแทนท่ีของ 3. อินเทอรเ์ น็ต – สภำพภูมปิ ระเทศ สภำพภูมอิ ำกำศ แลนิเวศ กำรถำ่ ยทอด สิ่งมีชวี ติ ในระบบนิเวศ ปริมำณฝน ในท้องถิน่ ทเี่ รำอำศยั อยู่มีลักษณะอยำ่ งไรพลังงำนและกำร – สภำพภมู ิประเทศ สภำพภูมิอำกำศ และ ปรมิ ำณฝนของประเทศไทยแตกต่ำงจำกประเทศอื่น ๆ ของโลกเปลยี่ นแปลงแทนท่ี หรือไม่ของสิ่งมชี ีวติ ในระบบ 2) นกั เรียนร่วมกนั ตอบคำถำมและแสดงควำม คิดเหน็ เกีย่ วกับคำตอบของคำถำม เพื่อเชื่อมโยงไปส่กู ำรนเิ วศ เรียนรู้เรอ่ื ง ระบบนเิ วศในธรรมชำติ2. สำรวจระบบนเิ วศเขียนแผนผงั กำรถ่ำยทอดพลงั งำนในระบบนิเวศ ในท้องถน่ิ

ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวดั และ กจิ กรรมการเรยี นรู้ สอ่ื /แหล่งเรยี นรู้ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล ขัน้ จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ จดั กิจกรรมกำรเรียนรูโ้ ดยใชก้ ระบวนกำรสบื เสำะหำ ควำมรู้ ซึ่งมขี ้นั ตอนดังน้ี 1) ขน้ั สร้างความสนใจ (1) ครนู ำรปู ถ่ำย หรอื วดี ิทัศน์ หรอื CD–Rom ท่ี เกยี่ วกับระบบนิเวศธรรมชำติของไทยและของโลกมำให้นกั เรียนดู และรว่ มกันอภปิ รำยถงึ ลักษณะของระบบนิเวศ นัน้ ๆ โดยครูใช้คำถำมกระตุ้นดงั น้ี – ระบบนเิ วศแต่ละแหลง่ มคี วำมแตกต่ำงกนั หรอื ไม่ ลักษณะใด – ระบบนเิ วศแตล่ ะแหลง่ ประกอบด้วยสิง่ มีชีวิต และสง่ิ ไมม่ ชี วี ิตอะไรบ้ำง – ใหน้ กั เรียนยกตวั อย่ำงระบบนิเวศตำ่ ง ๆ ของ โลกทรี่ จู้ กั หรือทีเ่ คยเหน็ จำกสอื่ สิ่งพิมพ์ต่ำง ๆ (2) นักเรยี นรว่ มกันอภปิ รำยหำคำตอบเกย่ี วกับ คำถำมตำมควำมคิดเห็นของแตล่ ะคน 2) ขัน้ สารวจและค้นหา (1) ให้นักเรียนศึกษำระบบนิเวศในธรรมชำตจิ ำกใบ ควำมรู้หรือในหนงั สือเรียน โดยครู ชว่ ยอธบิ ำยใหน้ ักเรยี นเขำ้ ใจว่ำควำมหลำกหลำยของสภำพภมู ิ ประเทศ สภำพภูมิอำกำศ และปัจจัยต่ำง ๆ

ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กิจกรรมการเรยี นรู้ ส่อื /แหลง่ เรียนรู้ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล ทาใหโ้ ลกมีระบบนิเวศแตกต่ำงกัน ระบบนเิ วศแตล่ ะแหลง่ จะมี ลักษณะเฉพำะ ประกอบดว้ ยสิ่งมีชีวติ และส่งิ ไม่มชี วี ิตทม่ี คี วำมสมั พันธก์ ัน โลกจงึ มีระบบนเิ วศที่ หลำกหลำยรวมกนั เปน็ ระบบนเิ วศขนำด ใหญท่ เี่ รียกวำ่ ชีวภำคหรือโลกของสิ่งมีชวี ติ (2) แบ่งนกั เรียนกลุ่มละ 5-6 คน ปฏิบตั ิกิจกรรม สืบคน้ ขอ้ มลู ระบบนิเวศธรรมชำตขิ องโลก ตำมข้นั ตอนทำง วทิ ยำศำสตร์ โดยใช้ทักษะกำรสังเกต ดังนี้ – สบื คน้ ข้อมูลเกีย่ วกบั ระบบนิเวศท่กี ระจำยอยใู่ นภูมิภำคต่ำง ๆ ของโลก โดยค้นคว้ำ ในประเด็นต่ำง ๆ ต่อไปน้ี – ปรมิ ำณนำ้ ฝนเฉลีย่ ทั้งปี อุณหภมู ิต่ำสุด สูงสดุ และลักษณะเด่น ของระบบ นเิ วศ – ชนดิ ของสิง่ มีชวี ติ ในระบบนิเวศ – นำข้อมูลที่ไดม้ ำอภิปรำยรว่ มกันแล้วนำเสนอผลกำรปฏบิ ัติ กิจกรรม (3) นักเรยี นและครูรว่ มกนั ตรวจสอบควำมถูกตอ้ งของ ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ำกกจิ กรรม 3) ขัน้ อธบิ ำยและลงข้อสรปุ (1) นกั เรยี นแต่ละกล่มุ สง่ ตัวแทนกลมุ่ นำเสนอผลกำร ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมหน้ำชัน้ เรียน

ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กิจกรรมการเรียนรู้ ส่อื /แหล่งเรียนรู้ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล (2) นักเรียนและครรู ่วมกันอภิปรำยและหำข้อสรปุ จำกกำรปฏิบตั ิ กิจกรรม โดยใช้แนวคำถำมต่อไปนี้ – ระบบนิเวศในแตล่ ะภมู ิภำคต่ำง ๆ ของโลก มีลักษณะและ องคป์ ระกอบในระบบนเิ วศเหมือนกันหรือไม่ (ระบบนิเวศในแตล่ ะ ภูมภิ ำคของโลกมลี ักษณะและองค์ประกอบแตกตำ่ งกัน) – สำเหตุทีท่ ำให้ระบบนิเวศแตล่ ะภมู ิภำคของโลกมลี กั ษณะและ องค์ประกอบ แตกต่ำงกนั คืออะไร (ตำแหน่งท่ีต้งั บนโลก สภำพภมู ิอำกำศ และ สภำพภมู ิประเทศ) – ลักษณะของสิ่งมชี ีวติ ท่ีพบในระบบนิเวศทะเลทรำย แตกตำ่ งจำก สงิ่ มชี ีวิตทีพ่ บ ในระบบนเิ วศปำ่ ดิบช้ืน หรือไม่ ลกั ษณะใด (แตกต่ำงกนั คือ ระบบ นิเวศทะเลทรำย เป็นบรเิ วณที่มอี ุณหภมู ิอยรู่ ะหว่ำง 0–50 องศำ เซลเซียส มฝี นตกเพียงเล็กน้อย มคี วำมช้ืนไมเ่ พยี งพอต่อกำร เจรญิ เติบโตของพชื พืชและสัตวท์ พ่ี บจึงมีขนำดเล็กและทนต่อ สภำพแหง้ แล้งไดด้ ี เช่น ตน้ กระบองเพชร กิ้งก่ำ และหนู ส่วน ระบบนเิ วศป่ำดิบช้นื เป็นบริเวณทมี่ ฝี นตกหนัก และควำมช้ืนสูง พืชและสัตวท์ ่พี บจงึ มีหลำยชนิด เชน่ ปำลม์ กล้วยไม้ เฟนิ ลงิ และ นกชนดิ ตำ่ ง ๆ) (3) นกั เรียนและครูร่วมกันสรปุ ผลจำกกำรปฏบิ ตั ิ กจิ กรรม โดยให้ได้ข้อสรุปว่ำ ระบบนเิ วศบำงแห่งมีปรมิ ำณนำ้ ฝน เฉลยี่ ต่อปี และอุณหภมู เิ ฉลีย่ ไม่เหมำะสมตอ่ กำรดำรงชวี ติ ของ

ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อ/แหลง่ เรียนรู้ผลการเรียนรู้ ชิ้นงาน ประเมนิ ผล สงิ่ มชี ีวิต ทำให้พบพชื และสัตวจ์ ำนวนนอ้ ย แต่ระบบนเิ วศท่ีมี ปริมำณนำ้ ฝนเฉล่ียต่อปี และมีอณุ หภมู เิ ฉลย่ี เหมำะสมต่อกำร ดำรงชวี ติ ของ สิง่ มชี วี ิต จะพบพชื และสตั วจ์ ำนวนมำกหลำกหลำย ชนิดพันธุ์ 4) ขั้นขยำยควำมรู้ (1) แบง่ นกั เรยี นเปน็ กลุม่ สืบคน้ ข้อมูลเกยี่ วกับระบบ นิเวศในธรรมชำติจำกหนังสอื วำรสำร สำรำนุกรมวิทยำศำสตร์ สำรำนกุ รมสำหรับเยำวชน และอนิ เทอร์เนต็ รวมท้ังนำข้อมูลที่ คน้ ควำ้ ได้มำจดั ทำเป็นรำยงำน หรือจัดป้ำยนิเทศใหเ้ พ่ือน ๆ ได้ ทรำบเพ่ือแลกเปล่ยี นเรียนรู้กัน (2) นักเรียนคน้ ควำ้ บทควำมหรอื คำศัพท์ภำษำอังกฤษ เกี่ยวกับระบบนเิ วศในธรรมชำตจิ ำกหนงั สือเรยี นภำษำอังกฤษหรือ อนิ เทอรเ์ น็ต และนำเสนอให้เพอ่ื นในห้องฟงั พร้อมทั้งรวบรวม คำศัพทแ์ ละคำแปลลงสมุดสง่ ครู 5) ขน้ั ประเมนิ (1) ครูให้นกั เรียนแต่ละคนพจิ ำรณำว่ำจำกหัวข้อทเี่ รยี น มำและกำรปฏบิ ตั ิกจิ กรรม มีจุด ใดบ้ำงทย่ี ังไม่เขำ้ ใจหรือยังมขี ้อสงสัย ถ้ำมี ครชู ่วยอธิบำยเพ่ิมเตมิ ใหน้ ักเรยี นเข้ำใจ (2) นักเรียนรว่ มกันประเมนิ กำรปฏิบัติกจิ กรรมกลุ่มวำ่ มี ปญั หำหรอื อุปสรรคใด และได้มี กำรแก้ไขอย่ำงไรบำ้ ง

ตวั ช้ีวัด/ ความรู้ ภาระงาน/ การวัดและ กิจกรรมการเรยี นรู้ สอ่ื /แหล่งเรียนรู้ผลการเรยี นรู้ ชิ้นงาน ประเมินผล (3) นักเรยี นและครูรว่ มกันแสดงควำมคิดเหน็ เกี่ยวกับประโยชนท์ ี่ ได้รับจำกกำรปฏบิ ตั ิ กจิ กรรม และกำรนำควำมรูท้ ี่ไดไ้ ปใช้ประโยชน์ (4) ครูทดสอบควำมเข้ำใจของนักเรียนโดยกำรใหต้ อบคำถำม เชน่ – ส่ิงมชี ีวติ ทอี่ ำศยั อยู่ในระบบนิเวศที่แตกต่ำงกันจะมลี กั ษณะที่ แตกตำ่ งกนั หรือไม่ – เพรำะเหตุใดระบบนเิ วศแต่ละแห่งบนโลกจงึ มีควำมแตกตำ่ งกนั ขัน้ สรุป ครแู ละนักเรียนรว่ มกนั สรปุ เก่ียวกับระบบนเิ วศในธรรมชำติ โดย ร่วมกนั เขยี นเป็นแผนท่ีควำมคดิ หรือผงั มโนทัศน์

ใบงาน ความสัมพันธ์ระหวา่ งสิ่งมชี วี ติ ในระบบนเิ วศคาช้แี จง : ใหน้ ักเรยี นสบื ค้นขอ้ มูลควำมสัมพันธร์ ะหวำ่ งส่งิ มชี ีวติ ในระบบนเิ วศ และสรุปลงในใบงำนนี้ความสัมพนั ธ์ ความหมาย ตวั อย่างส่งิ มีชีวติแบบพ่ึงพาแบบได้ประโยชน์ รว่ มกนัแบบองิ อาศยัแบบล่าเหยอ่ืแบบปรสิตแบบแขง่ ขันแบบเป็นกลาง

แบบฝกึ หัด ระบบนเิ วศคาชแ้ี จง : แบบฝึกหัดนี้มที ัง้ หมด 10 ขอ้ ใหน้ กั เรยี นเตมิ คำตอบใหถ้ ูกตอ้ ง1. ใหบ้ อกองค์ประกอบทำงกำยภำพของระบบนิเวศสระบวั หลังบำ้ นอยำ่ งน้อย 3 ชนิด ตอบ ............................................................................................................................. ..........................................................2. ใหบ้ อกองค์ประกอบทำงชีวภำพของระบบนเิ วศรอบตน้ มะม่วงท่ีปลูกหน้ำบำ้ นมำอยำ่ งน้อย 3 ชนิด ตอบ .......................................................................................................................................................................................3. ใหบ้ อกควำมสมั พันธ์ระหวำ่ ง วัว หญ้ำ และพ้ืนดิน บริเวณทอ้ งทุ่งหญ้ำแห่งหนึ่ง ตอบ ............................................................................................................................. .......................................................... ............................................................................................................................. ..........................................................4. ใหบ้ อกควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ ง กบ แมลง และใบบวั บรเิ วณหนองน้ำแห่งหน่งึ ตอบ ............................................................................................................................. .......................................................... ............................................................................................................................. ..........................................................5. ใหบ้ อกควำมสมั พนั ธร์ ะหว่ำง เสือ กวำง ต้นไม้ ลำธำร และปลำ ในป่ำแห่งหนงึ่ ตอบ ............................................................................................................................. .......................................................... ......................................................................................................................................... ..............................................6. ให้บอกควำมสมั พันธ์ระหวำ่ งกลมุ่ ส่ิงมชี ีวติ แหล่งทอี่ ยู่ และสิ่งแวดล้อมของระบบนเิ วศสวนมะมว่ ง ตอบ ............................................................................................................................. .......................................................... .......................................................................................................................................................................................7. ใหย้ กตวั อยำ่ งผยู้ อ่ ยสลำยมำ 3 ชนิด ตอบ ............................................................................................................................. .........................................................8. ใหย้ กตัวอย่ำงผู้บรโิ ภคพืช ผู้บริโภคสัตว์ และผ้บู รโิ ภคทัง้ พชื และสัตวม์ ำประเภทละ 1 ชนิด ตอบ ............................................................................................................................. .......................................................... ............................................................................................................................. ...........................................................9. เสอื กับสิงโตมคี วำมสัมพันธ์กันแบบใด ตอบ ............................................................................................................................. ..........................................................10. ไลเคนส์และนกเอ้ียงกับควำย มคี วำมสัมพนั ธ์เหมอื นหรอื ตำ่ งกันอย่ำงไร ตอบ ............................................................................................................................. ...................................................... ............................................................................................................................. .....................................................

แผนการจัดการเรยี นรู้ ช่ือหน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 1 เร่ือง ระบบนิเวศ แผนการสอนท่ี 2 เรื่อง ระบบนิเวศบนดนิ และแหล่งนา้ รายวิชาชีววิทยา 6 ชนั มธั ยมศึกษาปที ่ี 6 รหสั วิชา ว 33206 ครูผูส้ อน นางสาวจันจิรา ธนนั ชัย ต้าแหน่ง พนักงานราชการ เวลาทใ่ี ช้ 2 ช่ัวโมง ตัวชวี ดั / ความรู้ ภาระงาน/ชนิ งาน การวดั และ กจิ กรรมการเรยี นรู้ สอ่ื /แหลง่ เรียนรู้ผลการเรียนรู้ ประเมนิ ผล 1. ใบงำน1. สำรวจตรวจสอบ ระบบนเิ วศ ควำม ใบงาน ผ่ำนระดบั กระบวนการจัดการเรยี นรู้ ระบบนิเวศบนดิน และแหลง่ นำสบื คน้ ข้อมลู อภปิ รำย หลำกหลำยของระบบ ระบบนิเวศบนดินและ คะแนนร้อย 1) ครูนำรปู ถำ่ ย วีดทิ ัศน์ หรอื CD–Rom ท่ี 2. ห นั ง สื อ เ รี ย น ชีววิทยำเล่ม 6 ของและสรุปเกีย่ วกับระบบ นเิ วศ กำรถำ่ ยทอด แหล่งนำ ละ 60 ขึน เกยี่ วกับแหลง่ ท่องเที่ยวตำมธรรมชำตทิ ่เี ป็นภเู ขำ ทงุ่ หญ้ำ สถำบันส่งเสริมกำร สอนวิทยำศำสตร์นเิ วศ ควำม พลังงำนและกำร ไป ปำ่ ไม้ และแหล่งนำต่ำง ๆ มำให้นกั เรยี นดู และร่วมกนั และเทคโนโลยี 3. อินเทอรเ์ น็ตหลำกหลำยของระบบ เปลี่ยนแปลงแทนท่ีของ อภิปรำยถึงสภำพภูมิประเทศ และลกั ษณะเฉพำะของนเิ วศ กำรถำ่ ยทอด ส่ิงมชี ีวิตในระบบนิเวศ สิง่ มชี วี ติ ทีอ่ ำศัยอยูใ่ นระบบนเิ วศนนั ๆ โดยครูใชค้ ำถำมพลังงำนและกำร กระตุ้นดังนีเปล่ียนแปลงแทนท่ี – นักเรียนสังเกตเหน็ สภำพภูมปิ ระเทศ และของสง่ิ มชี ีวติ ในระบบ ลกั ษณะเฉพำะของสิ่งมชี ีวิตในแตล่ ะระบบนเิ วศนเิ วศ อะไรบำ้ ง2. สำรวจระบบนิเวศ – นักเรียนคิดว่ำระบบนเิ วศแตล่ ะแห่งมีควำมเขยี นแผนผงั กำร หลำกหลำยของพืชและสตั ว์อะไรบ้ำงถ่ำยทอดพลังงำนใน – นกั เรียนเคยสำรวจสภำพแวดลอ้ มของระบบระบบนเิ วศ ในท้องถ่ิน นิเวศบนดนิ และระบบนิเวศแหลง่ นำเหล่ำนนั หรือไม่ อย่ำงไร 2) นักเรยี นร่วมกันตอบคำถำมและแสดงควำม

ตวั ชีวัด/ ความรู้ ภาระงาน/ชนิ งาน การวัดและ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อ/แหลง่ เรียนรู้ผลการเรยี นรู้ ประเมินผล คดิ เห็นเกี่ยวกับคำตอบของคำถำม เพื่อเช่อื มโยง ไปสู่กำรเรียนรู้เร่ือง ระบบนเิ วศบนดินและแหลง่ นำ ขนั จดั กิจกรรมกำรเรียนรู้ จัดกจิ กรรมกำรเรียนรโู้ ดยใชก้ ระบวนกำรสืบ เสำะหำควำมรู้ ซึง่ มีขนั ตอนดังนี 1) ขนั สรำ้ งควำมสนใจ (1) ครูตังประเดน็ คำถำม และสุ่มนักเรยี น 2–3 คน ใหน้ กั เรียนตอบคำถำม โดยครใู ชค้ ำถำมกระต้นุ ดังนี – ในสภำพธรรมชำติเรำจะพบระบบนเิ วศ อะไรบ้ำง – ให้นักเรียนยกตวั อย่ำงระบบนิเวศบน ดินและระบบนิเวศแหลง่ นำที่ร้จู ัก หรือทเี่ คยเหน็ จำกส่ือ สง่ิ พิมพ์ตำ่ ง ๆ (2) นักเรียนร่วมกันอภปิ รำยหำคำตอบเกี่ยวกบั คำถำมตำมควำมคดิ เหน็ ของแต่ละคน 2) ขนั สำรวจและคน้ หำ (1) ให้นักเรยี นศกึ ษำระบบนเิ วศบนดินจำกใบ ควำมรหู้ รอื ในหนังสือเรยี น โดยครูช่วย อธบิ ำยให้นกั เรียนเขำ้ ใจวำ่ ระบบนิเวศบนดนิ เป็นระบบ นิเวศธรรมชำติท่ีมีส่วนประกอบและ

ตวั ชีวดั / ความรู้ ภาระงาน/ชนิ งาน การวัดและ กจิ กรรมการเรยี นรู้ สอื่ /แหล่งเรียนรู้ผลการเรียนรู้ ประเมนิ ผล กระบวนกำรต่ำง ๆ เกดิ ขึนบนพนื ดิน ระบบนเิ วศบนดนิ แต่ ละแห่งจะมลี กั ษณะแตกต่ำงกันไปตำม สภำพแวดล้อม สว่ นระบบนิเวศแหลง่ นำเปน็ ระบบนิเวศท่ีประกอบดว้ ย กระบวนกำรทำงำนและส่วนตำ่ งๆ ที่เกิดขนึ ในแหลง่ นำ ธรรมชำติ (2) แบ่งนักเรียนกลุ่มละ 56 คน ปฏิบัติ กจิ กรรม สำรวจระบบนิเวศในท้องถน่ิ ตำมขันตอนทำง วิทยำศำสตร์ โดยใชท้ กั ษะกำรสงั เกต ดังนี – แบง่ นักเรยี นออกเป็นกลุ่ม ใหแ้ ตล่ ะกล่มุ ร่วมกันอภิปรำย ในประเดน็ ต่อไปนี – ในท้องถ่นิ ของเรำมีระบบนิเวศอะไรบำ้ ง – ระบบนิเวศแต่ละระบบมีควำมสำคญั อยำ่ งไร – นกั เรยี นสนใจที่จะศึกษำระบบนเิ วศใด เพรำะอะไร – แต่ละกลมุ่ เลือกสำรวจและศึกษำระบบนเิ วศธรรมชำตใิ น ทอ้ งถน่ิ ระบบใดระบบ หน่งึ เชน่ ชำยทะเล ปำ่ ชำยเลน นำข้ำว สระนำจดื หรอื ชมุ ชนรอบ ๆ บรเิ วณท่ีสำรวจ – กำหนดบริเวณท่จี ะสำรวจให้มขี นำด 30 × 30 เมตร คำดคะเนจำนวนรอ้ ยละและ จำแนกสิ่งปกคลุมดนิ หรือพืชเด่นทพี่ บในบริเวณที่สำรวจ

ตวั ชีวดั / ความรู้ ภาระงาน/ชนิ งาน การวัดและ กจิ กรรมการเรยี นรู้ สือ่ /แหลง่ เรยี นรู้ผลการเรียนรู้ ประเมนิ ผล ลงไปใหถ้ ึงระดับท่ีตอ้ งกำรจะวดั อณุ หภูมิ อำ่ นอณุ หภูมจิ ำก เทอร์มอมเิ ตอร์ในขวดเก็บตัวอยำ่ งนำ บันทึกผล – วัดค่ำควำมเปน็ กรด–เบสของนำ (คำ่ pH) ทบี่ รเิ วณผิวนำ และทร่ี ะดบั นำลึกจำกผวิ นำ 20 เซนติเมตร โดยใชแ้ ท่งแกว้ คนจุ่มนำ แลว้ นำมำแตะบนกระดำษยูนิเวอรซ์ ลั อนิ ดเิ คเตอร์ อำ่ นคำ่ โดยเทียบสีของกระดำษกบั สมี ำตรฐำนท่ขี ำ้ งกล่อง แล้วบนั ทกึ ผล – วัดกำรสอ่ งผำ่ นของแสงลงสู่แหล่งนำ โดยใชเ้ ซคดิ สิ กผ์ ูก ตดิ กบั เชือก ซ่งึ ทำเคร่อื งหมำยบอกระยะควำมยำวไวแ้ ลว้ หย่อนลงในแหล่งนำจนถึงจุดทีเ่ รม่ิ มองไมเ่ หน็ เซคิดิสก์ อำ่ น ค่ำควำมลึกจำกเคร่ืองหมำยบนเส้นเชอื ก แล้วปล่อยเส้น เชอื กลงไปอีกเล็กนอ้ ย จำกนันยกขึนช้ำ ๆ จนเรม่ิ มองเหน็ แผน่ เซคดิ ิสก์ อำ่ นค่ำควำมลึกจำกเครื่องหมำยบนเสน้ เชอื ก อกี ครังหนึ่ง นำค่ำที่อ่ำนไดท้ ัง 2 ครังมำหำคำ่ เฉล่ยี ผลท่ไี ด้ เป็นคำ่ กำรส่องผำ่ นของแสงในแหลง่ นำนัน – สำรวจสง่ิ มชี วี ิตที่พบบรเิ วณผวิ นำทงั ชนดิ จำนวน ลกั ษณะ และกำรกระจำยของส่ิงมชี วี ติ – ตกั นำบรเิ วณผวิ นำหลำย ๆ จดุ และทีร่ ะดับลึกจำกผิวนำ ประมำณ 20 เซนตเิ มตร เทลงในภำชนะใส สังเกตลกั ษณะ ชนดิ และจำนวนของส่ิงมีชีวติ ในนำ โดยใชแ้ วน่ ขยำยสงั เกต แลว้ บนั ทึกผลท่ีสงั เกตได้

ตวั ชีวดั / ความรู้ ภาระงาน/ชนิ งาน การวัดและ กจิ กรรมการเรียนรู้ สื่อ/แหล่งเรยี นรู้ผลการเรียนรู้ ประเมนิ ผล – สำรวจสภำพแวดล้อมทวั่ ๆ ไปรอบบริเวณนนั รวบรวม ขอ้ มูลเกยี่ วกบั องค์ประกอบ ทำงกำยภำพและองคป์ ระกอบทำงชีวภำพ แลว้ อธบิ ำย ควำมสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่ำง ๆ ในระบบนเิ วศ * ระบบนเิ วศแหลง่ นำ – สงั เกตสภำพแวดล้อมโดยท่ัวไปของแหลง่ นำ เช่น สขี อง นำ ควำมเรว็ ของกระแสนำ ร่มเงำ สภำพของแหล่งนำ ส่งิ ปนเปอ้ื นท่ีพบ แลว้ บนั ทึกผล – วดั อุณหภูมนิ ำทุกช่วงควำมลกึ 1 เมตร โดยใช้ขวดเกบ็ ตวั อย่ำงนำหย่อน– ใชส้ วิงลำกไปตำมผวิ นำ แลว้ นำมำเทลง ในภำชนะใสศกึ ษำชนิดและ ลักษณะของส่งิ มชี วี ิตท่ีพบดว้ ยตำเปล่ำดว้ ยแว่นขยำย รวมทงั กล้องจลุ ทรรศน์ แลว้ บนั ทกึ ผลทสี่ ังเกตได้ * ระบบนเิ วศบนบก – สงั เกตสี กล่นิ ควำมชนื และลกั ษณะเนือดนิ ในบริเวณท่ี สำรวจ วดั อณุ หภูมิของดนิ โดยเสยี บเทอรม์ อมเิ ตอร์ลึกลงไปในดิน ประมำณ 5 เซนตเิ มตร และท่ีระดับควำมลึก 20 เซนตเิ มตร โดยขุดหลุมกว้ำงประมำณ 20 เซนตเิ มตร ลกึ ประมำณ 25 เซนตเิ มตร เสยี บเทอร์มอมเิ ตอร์ลงไปในดนิ ใน แนวตังฉำกที่ระดบั ลึก 20 เซนติเมตร อำ่ นคำ่ และบันทึกผล

ตวั ชีวดั / ความรู้ ภาระงาน/ชนิ งาน การวัดและ กจิ กรรมการเรียนรู้ สื่อ/แหลง่ เรยี นรู้ผลการเรียนรู้ ประเมนิ ผล – วดั ค่ำควำมเป็นกรด–เบสของดิน (ค่ำ pH) โดยนำ ตัวอย่ำงดินชันบน (ท่ี ระดบั ควำมลึก 0–25 เซนติเมตร) และดนิ ชันล่ำง (ทรี่ ะดับ ควำมลกึ 25–30 เซนติเมตร) อย่ำงละ 50 กรมั ใสล่ งใน ภำชนะแต่ละใบ เตมิ นำ 50 ลกู บำศกเ์ ซนติเมตร ใช้แท่ง แก้วคนใหเ้ ข้ำกนั ตังทิงไวส้ ักครู่ แลว้ ใชแ้ ท่งแก้วจมุ่ ส่วนที่ เปน็ ของเหลวมำแตะลงบนกระดำษยนู ิเวอรซ์ ลั อินดิเคเตอร์ เทียบสกี ับสมี ำตรฐำนที่ขำ้ งกล่อง แล้วบนั ทึกผล – วัดควำมชืนของดินชนั บนและดนิ ชันลำ่ ง โดยตักดินมำ จำนวนหนงึ่ วดั มวล ของดนิ และบันทึกไว้ แลว้ นำดนิ ไปอบหรือตำกจนแห้ง วัด มวลอกี ครงั หนึ่ง มวลที่หำยไปของดนิ คอื ปริมำณนำหรือ ควำมชนื ในดนิ – สังเกตชนดิ และลกั ษณะของสงิ่ มชี ีวติ ท่พี บในบริเวณนัน ทงั สัตว์ และพืช ระบชุ นิดของสง่ิ มีชีวติ เด่นทพี่ บในพนื ที่ บันทึกผล – วัดควำมสงู ของตน้ ไม้ใหญ่ที่เป็นพชื เด่นที่พบในบริเวณท่ี สำรวจ บันทกึ ผล – วัดควำมหนำแนน่ ของเรือนยอดไม้ในบริเวณท่สี ำรวจ นำ ผลท่ไี ด้มำคำนวณหำคำ่ ร้อยละของควำมหนำแนน่ ของเรือน ยอด บันทกึ ผล

ตวั ชีวดั / ความรู้ ภาระงาน/ชนิ งาน การวัดและ กิจกรรมการเรยี นรู้ สื่อ/แหลง่ เรยี นรู้ผลการเรียนรู้ ประเมนิ ผล – นับจำนวนประชำกรสงิ่ มีชีวิตในพนื ที่ 1 ตำรำงเมตร จำกนนั คำนวณหำ พนื ทท่ี งั หมดของระบบนเิ วศนัน บันทกึ ผล หมำยเหตุ วธิ ีกำรใชข้ วดเกบ็ ตวั อย่ำงนำ กำรใชข้ วดเก็บตวั อยำ่ งนำเพือ่ วดั อณุ หภูมิของนำทำได้โดยใส่เทอร์มอมิเตอร์ลงในขวดเก็บ ตัวอย่ำงนำขนำด 1 ลิตร ปิดฝำขวดดว้ ยจุกก๊อกทีผ่ ูกเชือก ติดกบั เชอื กทผี่ กู ท่คี อขวด โดยมเี ชือกอีกเส้นโยงเพ่ือกระตุก เปิดจกุ ก๊อก ถ่วงนำหนกั ที่กน้ ขวดเก็บตวั อยำ่ งนำเพ่ือให้ขวด จมนำ เม่อื หย่อนขวดถึงระดับควำมลึกทีต่ ้องกำรวดั อณุ หภมู ิ กระตกุ เชือกท่ผี ูกติดจกุ กอ๊ กใหเ้ ปิดออกเม่ือนำเต็ม ขวดแลว้ ดึงขนึ มำอ่ำนอณุ หภูมิจำกเทอรม์ อมเิ ตอร์ในขวด เกบ็ ตัวอย่ำงนำวิธีกำรวดั ควำมสงู ของต้นไมใ้ หญ่ กำรวดั ควำมสูงของตน้ ไม้ใหญ่ทเี่ ปน็ พืชเดน่ ท่ีพบใน บรเิ วณที่สำรวจทำ ไดโ้ ดยวิธีกำรเทียบ สัดส่วนกับดำ้ นของ สำมเหลี่ยมมุมฉำก ทก่ี ำง 45 –45 – 90 ซึ่งจะมีดำ้ น 2 ดำ้ นท่เี ท่ำกนั โดยนำ

ตวั ชีวดั / ความรู้ ภาระงาน/ชนิ งาน การวัดและ กจิ กรรมการเรยี นรู้ สือ่ /แหล่งเรียนรู้ผลการเรียนรู้ ประเมนิ ผล กระดำษแข็งตัดเป็นรปู สเี่ หลยี่ มจตั รุ ัส ลำกเส้นทแยงมุมและ วำดเปน็ รูปสำมเหลย่ี มมมุ ฉำกดังรปู ติดเข็มหมุดที่มุม A, B และ C แขวนต้มุ นำหนักให้ห้อยลงมำจำกจุด A และถือ กระดำษโดยให้ตุ้มนำหนักสมั ผสั กบั จดุ C เดินไปยงั ต้นไม้ จนกระทง่ั ยอดของต้นไม้อยู่ในแนวเส้นตรง AB วัดระยะ จำกผูส้ ังเกตถึงต้นไม้ ซ่ึงจะเท่ำกับควำมสงู ของต้นไมจ้ ำก X ถึง Y แลว้ บวกกบั ควำมสงู ของผสู้ ังเกตท่ีระดบั สำยตำ จะได้ ควำมสงู ของต้นไมท้ งั หมด วธิ กี ำรวดั ควำมหนำแน่นของเรอื นยอดไมแ้ ละกำร คำนวณหำคำ่ ร้อยละของควำมหนำแน่นของเรือนยอดไม้ กำรวัดควำมหนำแนน่ ของเรอื นยอดไม้ในบรเิ วณทสี่ ำรวจ ทำได้โดยหำจุดศูนย์กลำงและ แนวเส้นทแยงมมุ ของรูป สี่เหล่ียมท่ีกำหนดไว้เปน็ ขอบเขตของบรเิ วณที่จะสำรวจ จำกนนั กำ้ วเท้ำ 1 กำ้ ว จำกจุด ศูนยก์ ลำงตำมแนวเสน้ ทแยงมมุ ไปยงั มมุ หนึ่งของรปู สีเ่ หล่ียม ถอื เดนซิโอมเิ ตอร์ไวเ้ หนือศรี ษะในแนวด่งิ จดั แหวนโลหะไว้ ใต้เดนซโิ อมิเตอร์ โดยให้อยู่บริเวณกำกบำทพอดี แล้วมอง ผ่ำนช่องวำ่ งไปยงั เรือนยอดของตน้ ไม้ สงั เกตและบนั ทึกผล

ตวั ชีวดั / ความรู้ ภาระงาน/ชนิ งาน การวัดและ กิจกรรมการเรียนรู้ ส่อื /แหล่งเรียนรู้ผลการเรียนรู้ ประเมนิ ผล วำ่ พบส่วนที่เปน็ สเี ขยี วหรือไม่ จำกนันกำ้ วเท้ำต่อไปยงั มุม ของพนื ท่ที ีส่ ำรวจและบันทึกผลในแตล่ ะก้ำวท่ีเดนิ จนครบ ทัง 4 มมุ นำผลท่ีไดม้ ำคำนวณหำค่ำร้อยละของควำม หนำแน่นของเรือนยอด จำกสตู ร ร้อยละควำมหนำแนน่ ของเรือนยอด = จำนวนจดุ ท่มี องเห็นสว่ นท่ีเป็นสีเขียว × 100 จำนวนจุดสำรวจทงั หมด วิธกี ำรคำนวณหำจำนวนประชำกร หำควำมหนำแน่นของประชำกรส่ิงมชี ีวติ ที่พบ โดยสำมำรถ หำจำนวนประชำกรสงิ่ มีชวี ิตทงั หมดในพืนที่ที่สำรวจได้ จำกสตู ร ควำมหนำแน่นของประชำกร = จำนวนประชำกรทังหมด พืนทท่ี ังหมดของระบบนเิ วศ (3) นักเรียนและครรู ว่ มกนั ตรวจสอบควำมถกู ตอ้ งของ ข้อมูลที่ไดจ้ ำกกิจกรรม 3) ขนั อธบิ ำยและลงข้อสรปุ (1) นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มสง่ ตวั แทนกลมุ่ นำเสนอผลกำรปฏิบตั ิกจิ กรรมหน้ำชันเรียน (2) นักเรยี นและครูรว่ มกันอภิปรำยและ หำข้อสรุปจำกกำรปฏิบตั กิ จิ กรรม โดยใชแ้ นว คำถำมต่อไปนี

ตวั ชีวดั / ความรู้ ภาระงาน/ชนิ งาน การวัดและ กจิ กรรมการเรยี นรู้ ส่ือ/แหลง่ เรยี นรู้ผลการเรียนรู้ ประเมนิ ผล – ในระบบนิเวศที่ศกึ ษำพบสิ่งมชี ีวิตชนดิ ใดบำ้ ง อำศัยอยูท่ ่ี บรเิ วณใด (สิ่งมีชวี ิตทพ่ี บขึนอยู่กับระบบนิเวศที่ศึกษำ เช่น กำรสำรวจระบบนเิ วศแหล่งนำจะพบ จอก แหน และบวั ลอยอย่ทู ผี่ ิวนำ พบลูกอ๊อดวำ่ ยนำเปน็ กลุ่ม ๆ อยู่ใกล้กล่มุ จอก และพบปลำว่ำยไปมำในนำ) – สภำพของดนิ และแสงในบริเวณทม่ี เี รอื นยอดตน้ ไม้แนน่ ทบึ แตกต่ำงจำกบริเวณทีม่ เี รือนยอดต้นไม้ไม่แนน่ ทึบใน ลกั ษณะใด (บริเวณที่มีควำมหนำแน่นของเรอื นยอดต้นไม้ มำกจะมปี รมิ ำณแสงน้อย ดินมคี วำมชนื มำก ส่วนบรเิ วณท่ี มีเรอื นยอดต้นไม้ไมแ่ นน่ ทบึ จะมีปริมำณแสงมำก ดินอำจ แห้งเน่ืองจำกไดร้ ับควำมร้อนจำกแสงอำทติ ยโ์ ดยตรง) – องค์ประกอบทำงกำยภำพและชีวภำพในระบบนิเวศที่ ศกึ ษำมคี วำมสมั พันธ์กันในลักษณะใด (ระบบนิเวศที่ศึกษำ เช่น ระบบนเิ วศแหล่งนำ องค์ประกอบทำงกำยภำพมี ควำมสมั พนั ธ์กับองคป์ ระกอบทำงชวี ภำพ เชน่ บริเวณท่ีผิว นำมแี สงแดด ส่องถึงจะพบจอกและแหนเจริญเติบโตได้ดี เพรำะจอกและแหนใช้แสงแดดในกระบวนกำรสังเครำะห์ ดว้ ยแสง) (3) นกั เรียนและครูรว่ มกันสรุปผลจำกกำรปฏิบัติกจิ กรรม โดยใหไ้ ด้ข้อสรปุ ว่ำ ในแตล่ ะท้องถ่นิ จะมรี ะบบนิเวศท่ี หลำกหลำยทงั ระบบนิเวศบนบก และระบบนเิ วศแหล่งนำ โดยแตล่ ะระบบนิเวศจะประกอบไปดว้ ยองค์ประกอบที่มี

ตวั ชีวดั / ความรู้ ภาระงาน/ชนิ งาน การวัดและ กจิ กรรมการเรยี นรู้ สอื่ /แหลง่ เรียนรู้ผลการเรียนรู้ ประเมนิ ผล ชีวติ และองคป์ ระกอบท่ีไม่มีชวี ติ ทมี่ ีควำมเกีย่ วข้องสัมพนั ธ์ กนั อยู่ภำยในระบบนิเวศนนั 4) ขนั ขยำยควำมรู้ (1) แบ่งนกั เรียนเปน็ กลุ่ม สืบคน้ ข้อมลู เก่ยี วกับ ระบบนิเวศบนดินและแหลง่ นำจำกหนงั สอื วำรสำร สำรำนกุ รมวิทยำศำสตร์ สำรำนกุ รมสำหรบั เยำวชน และ อนิ เทอร์เน็ต รวมทงั นำขอ้ มูลท่ีคน้ ควำ้ ไดม้ ำจดั ทำเป็น รำยงำน หรือจดั ป้ำยนิเทศใหเ้ พื่อน ๆ ไดท้ รำบเพ่อื แลกเปลี่ยนเรยี นรู้กนั (2) นักเรียนค้นคว้ำบทควำมหรอื คำศพั ท์ ภำษำองั กฤษเกย่ี วกบั ระบบนเิ วศบนดินและแหล่งนำใน ธรรมชำติจำกหนังสอื เรียนภำษำอังกฤษหรืออนิ เทอร์เนต็ และนำเสนอให้เพื่อนในห้องฟัง พร้อมทังรวบรวมคำศพั ท์ และคำแปลลงสมุดสง่ ครู 5) ขนั ประเมิน (1) ครใู ห้นักเรียนแต่ละคนพิจำรณำวำ่ จำกหวั ข้อท่ี เรียนมำและกำรปฏบิ ตั กิ จิ กรรม มีจดุ ใดบำ้ งทย่ี งั ไม่เขำ้ ใจหรือยังมขี ้อสงสยั ถ้ำมี ครชู ่วยอธิบำย เพิ่มเติมให้นกั เรียนเขำ้ ใจ(2) นกั เรยี นรว่ มกันประเมนิ กำร ปฏบิ ตั ิกจิ กรรมกลุ่มว่ำมปี ญั หำหรอื อุปสรรคใด และไดม้ ี กำรแก้ไขอยำ่ งไรบ้ำง

ตวั ชีวดั / ความรู้ ภาระงาน/ชนิ งาน การวัดและ กจิ กรรมการเรียนรู้ ส่ือ/แหลง่ เรียนรู้ผลการเรียนรู้ ประเมนิ ผล (3) นกั เรียนและครูรว่ มกันแสดงควำมคิดเหน็ เก่ยี วกบั ประโยชน์ที่ไดร้ บั จำกกำรปฏิบัติ กจิ กรรม และกำรนำควำมรทู้ ี่ไดไ้ ปใชป้ ระโยชน์ (4) ครทู ดสอบควำมเขำ้ ใจของนักเรียนโดยกำรให้ ตอบคำถำม เช่น – ระบบนิเวศบนดินแตล่ ะประเภทมลี ักษณะภูมิประเทศ และลักษณะภมู ิอำกำศ แตกต่ำงกันหรือไม่ ลกั ษณะใด – เพรำะเหตุใดควำมหลำกหลำยของ ส่ิงมีชวี ติ ทพ่ี บในระบบนเิ วศบนดนิ แต่ละประเภทจึงมีควำม แตกตำ่ งกนั – สภำพทั่วไปของระบบนเิ วศแหลง่ นำเป็นอย่ำงไร – ส่งิ มีชีวติ ในแตล่ ะแหล่งท่ีอยู่มีควำมสมั พันธก์ ับ สภำพแวดล้อมในลักษณะใด ข้นั สรุป ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันสรปุ เกีย่ วกับระบบนิเวศบน ดนิ และแหลง่ นำ โดยรว่ มกันเขยี นเป็นแผนผังควำมคิดหรือ ผังมโนทัศน์

แผนผังความคิด เรื่อง ระบบนเิ วศบนดนิ และแหล่งนา้

แผนการจัดการเรยี นรู้ ชอื่ หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 เร่ือง ระบบนิเวศ แผนการสอนท่ี 3 เรื่อง ไบโอม รายวชิ าชีววิทยา 6 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 รหสั วิชา ว 33206 ครผู สู้ อน นางสาวจนั จิรา ธนันชัย ตาแหนง่ พนกั งานราชการ เวลาทใ่ี ช้ 2 ชั่วโมง ตวั ชีว้ ัด/ ความรู้ ภาระงาน/ช้ินงาน การวัดและ กจิ กรรมการเรียนรู้ สอ่ื /แหลง่ เรียนรู้ผลการเรยี นรู้ ประเมนิ ผล 1. ภำพทะเลทรำย1. สำรวจตรวจสอบ ระบบนเิ วศ ควำม 1. ภำพทะเลทรำย ผำ่ นระดับ กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ ภำพเขตขั้วโลก ภำพป่ำชำยเลนสืบค้นขอ้ มูล อภปิ รำย หลำกหลำยของ ภำพเขตขว้ั โลก คะแนนร้อย ขัน้ สร้ำงควำมสนใจ 2. ใบกจิ กรรมที่ เรื่อง ชนิดของไบและสรปุ เกยี่ วกบั ระบบ ระบบนิเวศ กำร ภำพปำ่ ชำยเลน ละ 60 ขึ้นไป 1. แจ้งสำระสำคัญของเนื้อเร่ือง จดุ เนน้ กำรพัฒนำคุณภำพ โอม 3. หนังสอื เรยี นนิเวศ ควำม ถำ่ ยทอดพลงั งำน 2. ใบควำมรทู้ ี่ 1.1 ผเู้ รยี น ชวี วทิ ยำเลม่ 6 ของ สถำบนั สง่ เสริมกำรหลำกหลำยของระบบ และกำรเปลยี่ นแปลง เร่อื ง ชนิดของไบโอม 2. ครนู ำทะเลทรำย ภำพเขตขวั้ โลกเหนอื ภำพแนวปะกำรัง ให้ สอนวิทยำศำสตร์ และเทคโนโลยีนเิ วศ กำรถ่ำยทอด แทนทข่ี องสง่ิ มชี ีวติ 3. ใบกจิ กรรมท่ี 1.1 นักเรียนศกึ ษำและให้นกั เรียนรว่ มกนั อภิปรำย โดยครใู ช้คำถำม 4. อินเทอร์เน็ตพลงั งำนและกำร ในระบบนิเวศ เรอ่ื ง ชนิดของไบโอม ดังนี้เปลยี่ นแปลงแทนที่ 4. ใบงำนท่ี 1.1 - ภำพทน่ี กั เรยี นเห็นอยู่ในเขตภูศำสตรใ์ ดของโลก พบได้ท่ีของส่งิ มีชีวติ ในระบบ เรื่อง ลักษณะของไบ ใดบ้ำงนิเวศ โอมชนิดตำ่ งๆ - ลักษณะใดที่บง่ บอกลักษณะ เฉพำะของเขตภูมิศำสตร์น้ัน2. สำรวจระบบนเิ วศ 3. ครแู ละนักเรียนร่วมกนั สรุปเก่ยี วกบั เกีย่ วกับไบโอมว่ำมีทั้งไบเขียนแผนผังกำร โอมบนบกและไบโอมในนำ้ถำ่ ยทอดพลังงำนใน ขัน้ สำรวจและคน้ หำระบบนิเวศ ในท้องถน่ิ 4. แบ่งกลุ่มนักเรียนกลุ่มละ 4- 5 คน ศกึ ษำใบควำมรู้ท่ี 1 เรื่อง ชนดิ ของไบโอม 5. ตวั แทนนกั เรียนแต่ละกลุม่ ออกมำน ำเสนอหน้ำชน้ั เรยี น กล่มุ ละ 1 ไบโอม โดยเน้นถงึ ปัจจยั ทำง

ตวั ช้วี ดั / ความรู้ ภาระงาน/ช้นิ งาน การวัดและ กจิ กรรมการเรยี นรู้ สอ่ื /แหล่งเรยี นรู้ผลการเรียนรู้ ประเมินผล กำยภำพ และปัจจัยทำงชวี ภำพของแตล่ ะไบโอม 6. ให้นกั เรยี นทำใบกจิ กรรมท่ี 1 เร่อื ง ชนดิ ของไบโอม โดยกำร หมุนเวียนกันจนครบทุกกล่มุ แตล่ ะกลุม่ จะต้องทำใบงำนท่ี 1 ใหค้ รบท้ัง 6 ใบงำนย่อย ขั้นอธิบำยและลงขอ้ สรุป 7. ครอู ธบิ ำยปัจจัยทำงกำยภำพและปัจจัยทำงชีวภำพของแต่ ละไบโอมเพิ่มเติมให้กบั นักเรยี นโดย กำรดภู ำพไบโอมแต่ละชนิด และภำพแผนที่ไบโอมตำ่ งๆ ของ ประเทศในกลุ่มอำเซยี นประกอบกำรอธิบำย 8. นกั เรียนตอบคำถำมในใบงำนท่ี 1 เรื่อง ลกั ษณะของไบโอม ชนดิ ต่ำงๆ 9. นักเรยี นรว่ มกับครอู ภิปรำยผลจำกกำรตอบใบงำนที่ 1 เฉพำะข้อท่ีไมเ่ ข้ำใจ ขน้ั ขยำยควำมรู้ นกั เรียนและครูรว่ มกันสรุปดังน้ี 10. ปจั จยั ทำงกำยภำพท่เี ป็นตัวกำหนดชนิดของไบโอม 11. ครูแนะนำให้นักเรยี นบอกคนในครอบครัวของตนเองให้ ชว่ ยกันดูแลรักษำสง่ิ แวดลอ้ มซ่งึ เปน็ ปจั จยั ทำงกำยภำพและปัจจยั ทำงชีวภำพของระบบนิเวศให้อยู่ ในสมดุลตลอดไป ขน้ั ประเมนิ

ตวั ชวี้ ัด/ ความรู้ ภาระงาน/ช้นิ งาน การวดั และ กจิ กรรมการเรียนรู้ ส่อื /แหล่งเรียนรู้ผลการเรยี นรู้ ประเมนิ ผล 12. นักเรียนแต่ละคนศึกษำค้นควำ้ ไบโอมทน่ี ักเรียนสนใจคนละ 1 ไบโอม จำกอนิ เทอรเ์ น็ตแล้ว สรุปสำระสำคัญของไบโอมนั้นตำมประเดน็ ศึกษำท่ีครูกำหนดให้ นอกเวลำเรยี นแล้วนำมำสง่ ในชวั่ โมงต่อไป 13. นกั เรียนนำผลงำนทีไ่ ปศึกษำค้นคว้ำของเพือ่ นมำอ่ำน และ ประเมินให้เพอื่ น 14. ครูสุ่มผลงำนจำกกำรประเมนิ ของนกั เรยี นแล้วใหน้ ักเรียนท่ี เปน็ เจำ้ ของผลงำนนำเสนอและร่วมอภิปรำยผลงำนนั้น 15. นกั เรยี นทำแบบทดสอบหลงั เรียน

ใบกจิ กรรม เร่ือง ชนิดของไบโอมจดุ ประสงค์ 1. อธบิ ำยปจั จยั กำยภำพทีเ่ ปน็ ตวั ก ำหนดชนิดของไบโอม 2. เปรยี บเทียบและอธบิ ำยลกั ษณะของไบโอมชนดิ ต่ำงๆ 3. เปรยี บเทียบสภำพทำงกำยภำพของไบโอมชนดิ ตำ่ งๆคำช้ีแจง นกั เรยี นแต่ละกลุ่มศึกษำภำพ สบื คน้ ข้อมูลจำกหนังสือเรียน และร่วมกนอภปิ รำยและตอบคำถำมต่อไปนี้1. ภำพทศ่ี ึกษำเปน็ ไบโอมประเภทใด2. องคป์ ระกอบทำงกำยภำพ ได้แกอ่ ะไรบำ้ ง3. องคป์ ระกอบทำงชวี ภำพ ไดแ้ ก่อะไรบ้ำง

1. ภำพท่ีศึกษำเป็นไบโอมประเภทใด2. องค์ประกอบทำงกำยภำพ ได้แก่อะไรบำ้ ง3. องค์ประกอบทำงชวี ภำพ ไดแ้ กอ่ ะไรบ้ำง

1. ภำพที่ศกึ ษำเป็นไบโอมประเภทใด2. องค์ประกอบทำงกำยภำพ ได้แก่อะไรบำ้ ง3. องค์ประกอบทำงชีวภำพ ไดแ้ กอ่ ะไรบ้ำง

1. ภำพท่ีศึกษำเป็นไบโอมประเภทใด2. องค์ประกอบทำงกำยภำพ ได้แก่อะไรบำ้ ง3. องค์ประกอบทำงชวี ภำพ ไดแ้ กอ่ ะไรบ้ำง

1. ภำพท่ีศึกษำเป็นไบโอมประเภทใด2. องค์ประกอบทำงกำยภำพ ได้แก่อะไรบำ้ ง3. องค์ประกอบทำงชวี ภำพ ไดแ้ กอ่ ะไรบ้ำง

1. ภำพท่ีศึกษำเป็นไบโอมประเภทใด2. องค์ประกอบทำงกำยภำพ ได้แก่อะไรบำ้ ง3. องค์ประกอบทำงชวี ภำพ ไดแ้ กอ่ ะไรบ้ำง

แผนการจัดการเรียนรู้ ช่อื หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 เรอ่ื ง ระบบนเิ วศ แผนการสอนที่ 4 เรอื่ ง ระบบนเิ วศในโรงเรยี น รายวิชาชีววิทยา 6 ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 รหสั วิชา ว 33206 ครผู ูส้ อน นางสาวจนั จริ า ธนันชยั ตาแหนง่ พนกั งานราชการ เวลาท่ีใช้ 2 ชั่วโมง ตวั ชวี้ ดั / ความรู้ ภาระงาน/ช้ินงาน การวดั และ กิจกรรมการเรยี นรู้ สอ่ื /แหลง่ เรียนรู้ ผลการเรยี นรู้ ประเมนิ ผล1. สำรวจตรวจสอบ สืบค้นข้อมูล อภิปรำยและสรุป ระบบนเิ วศ ควำม 1. กิจกรรม กำรสำรวจ ผำ่ นระดับ กจิ กรรมการเรียนการสอน 1. กจิ กรรม กำรเกี่ยวกบั ระบบนเิ วศ ควำมหลำกหลำยของระบบนิเวศ หลำกหลำยของระบบ สภำพทำงกำยภำพ คะแนนร้อย 1. ครูนำเข้ำสบู่ ทเรยี นโดยถำมควำมรเู้ ดมิ ของ สำรวจสภำพทำงกำรถ่ำยทอดพลงั งำนและกำรเปลี่ยนแปลงแทนท่ีของ นิเวศ กำรถำ่ ยทอด และชีวภำพของระบบ ละ 60 ขึ้น นักเรยี นถึงสิ่งมีชวี ติ และสงิ่ ไม่มชี ีวติ วำ่ ไดแ้ ก่สิ่งใดบ้ำง กำยภำพและสงิ่ มีชีวิตในระบบนิเวศ2. สำรวจระบบนิเวศ เขยี น พลงั งำนและกำร นเิ วศบริเวณโรงเรียน ไป 2. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั แสดงควำมคิดเห็น ชีวภำพของระบบแผนผังกำรถ่ำยทอดพลงั งำนในระบบนเิ วศ ในท้องถ่นิ เปลย่ี นแปลงแทนที่ของ เกยี่ วกบั ส่ิงมชี วี ิตที่อำศยั อย่รู ่วมกันเพื่อนำเขำ้ สู่บทเรยี น นิเวศบริเวณ สงิ่ มชี วี ิตในระบบนิเวศ จำกนั้นครใู หน้ ักเรยี นตอบคำถำมเพ่อื เป็นกำรกระต้นุ ควำม โรงเรยี น สนใจของนักเรียน ดังนี้ แหล่งทอ่ี ยใู่ นบรเิ วณโรงเรยี น 2. หนงั สือเรยี น ประกอบดว้ ยกลุ่มสง่ิ มชี วี ติ ใดบา้ ง และมคี วามสมั พนั ธก์ นั ชีววิทยำเลม่ 6 ของ อยา่ งไร สถำบันสง่ เสริมกำร 3. ขน้ั สอน กำรสำรวจระบบนิเวศในบรเิ วณโรงเรียน เป็น กิจกรรมที่ตอ้ งนำนกั เรียนไปปฏิบตั ิ นอกหอ้ งเรียน ต้องใช้ เวลำในกำรทำกจิ กรรมมำกและครตู อ้ งดูแลนกั เรียนใหท้ ำ กิจกรรมได้ ถกู ต้องครบถ้วนตรงตำมเวลำท่กี ำหนดไว้ คำนึงถึงควำมปลอดภยั ของนักเรยี น จึงต้องเตรียมกำรอย่ำง ละเอยี ดรอบคอบ ดงั น้ี

ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ชิ้นงาน การวัดและ กจิ กรรมการเรียนรู้ สื่อ/แหล่งเรยี นรู้ผลการเรียนรู้ ประเมนิ ผล 1. ครอู อกสำรวจสภำพแวดล้อมในบริเวณ สอนวิทยำศำสตร์ โรงเรยี นล่วงหน้ำเพอื่ กำหนดบรเิ วณท่ีนักเรียนจะสำรวจ และเทคโนโลยี ควรเป็นบรเิ วณที่มีสภำพแวดล้อมตำมธรรมชำติทีม่ ี 6. อินเทอร์เน็ต ควำมหมำยทงั้ ทำงกำยภำพและชวี ภำพ 2. ครูเตรียมอปุ กรณ์สำหรบั ใช้ในกำรสำรวจให้ ครบ ทงั้ กำรสำรวจระบบนิเวศบนบกและในนำ้ 3. ครคู วรอธบิ ำยใหน้ กั เรยี นเขำ้ ใจถงึ กำรทำงำน ร่วมกนั เปน็ กลุ่ม โดยให้เข้ำใจถงึ บทบำทและหน้ำท่ขี อง ตนเอง จำกน้ันให้นกั เรยี นแบ่งกลุ่ม แต่ละกลมุ่ ไม่ควรเกิน กลมุ่ ละ 4-5 คน นกั เรยี นแตล่ ะคนในกลมุ่ จะตอ้ งได้รับ มอบหมำยหนำ้ ที่อย่ำงชัดเจน 3. ใหน้ ักเรยี นศกึ ษำวธิ ีทำกจิ กรรมที่ 1.1 เรือ่ งกำร สำรวจสภำพทำงกำยภำพและชวี ภำพของระบบนิเวศ บริเวณโรงเรียน ในชดุ กิจกรรม 4. ใหน้ กั เรียนตอบคำถำมก่อนทำกิจกรรม โดยครู ใชค้ ำถำมดังน้ี - วัตถปุ ระสงค์ของกำรศึกษำคืออะไร - นักเรียนคำดว่ำจะพบสงิ่ ใดบ้ำงบรเิ วณโรงเรียนที่ ไปสำรวจ และจะมีปรมิ ำณมำกนอ้ ยเพียงใด - นักเรยี นคดิ วำ่ สภำพแวดล้อมทำงกำยภำพทจ่ี ะ พบสิง่ มชี ีวติ อำศัยอยู่ควรมีลักษณะใด จำกนน้ั ให้นกั เรยี นตอบคำถำม ในชุดกจิ กรรม

ตวั ช้วี ดั / ความรู้ ภาระงาน/ช้นิ งาน การวัดและ กิจกรรมการเรียนรู้ สือ่ /แหล่งเรียนรู้ผลการเรียนรู้ ประเมนิ ผล 5. ให้นักเรยี นแบ่งกลุม่ กล่มุ ละ 4-5 คน ทำ กจิ กรรมในชดุ กิจกรรม แลว้ บันทึกผลลงในตำรำง สภำพแวดลอ้ มทำงกำยภำพและชีวภำพบรเิ วณโรงเรยี นใน ขณะท่นี ักเรยี นทำกิจกรรมให้ครูประเมนิ ผลโดยใช้เกณฑ์ กำรให้คะแนนกำรประเมนิ ตำมสภำพจริงแบบมำตร ประมำณค่ำของ พฤติกรรมทักษะกำรแสวงหำข้อมูล 6. ให้นกั เรยี นสรุปผลกำรสำรวจระบบนิเวศใน บริเวณโรงเรยี นหน้ำชั้นเรียน โดยให้แต่ละกลุ่มออกมำ สรุปผล กล่มุ ละ 3-5 นำที 7. ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกลุ่มดูผลกำรสำรวจ กลมุ่ ใดบ้ำงที่มีสภำพแวดลอ้ มทำงกำยภำพ และสภำพแวดลอ้ ม ทำงชีวภำพที่เหมือนกนั หรือแตกต่ำงกัน อยำ่ งไร 8. ให้นักเรียนรว่ มกันแปลควำมหมำยข้อมลู ท่ีได้ จำกกำรสำรวจและสรปุ ควำมสัมพนั ธร์ ะหวำ่ ง สภำพแวดลอ้ มทำงกำยภำพและชวี ภำพที่มีต่อสิ่งมีชวี ิตใน ระบบนเิ วศ 9. ใหน้ ักเรยี นตอบคำถำมหลงั ทำกิจกรรม โดยครู ใชค้ ำถำม ดังนี้ - สิง่ ทพ่ี บในบรเิ วณที่ไปสำรวจตรงตำมท่ี คำดคะเนหรอื ไม่ เพียงใด

ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ชิ้นงาน การวัดและ กิจกรรมการเรียนรู้ ส่อื /แหล่งเรยี นรู้ผลการเรียนรู้ ประเมนิ ผล - ชนดิ และปรมิ ำณของสง่ิ มชี ีวติ ท่พี บมำกท่สี ุดและน้อยท่ีสดุ ได้แกส่ งิ่ มชี วี ติ ชนดิ ใด เพรำะเหตใุ ดจงึ เปน็ เช่นนน้ั - สิ่งมีชวี ิตต่ำงๆ ท่อี ำศยั อยู่ร่วมกันในแต่ ละบรเิ วณมคี วำมสัมพนั ธ์กันอยำ่ งไร - มีปัจจัยสำคญั อะไรบ้ำงทีช่ ว่ ยให้ สงิ่ มีชวี ติ ดำรงชวี ิตอย่ไู ดใ้ นระบบนเิ วศ - ถ้ำสภำพแวดลอ้ มทำงกำยภำพของ แหล่งทอ่ี ยเู่ ปลย่ี นแปลงไป จะเกดิ ผลกระทบอยำ่ งไรใน ระบบนิเวศจำกน้ันถำมคำถำมพฒั นำกระบวนกำรคิด - ประชำกร มีควำมสำคัญอย่ำงไร - กลุม่ สง่ิ มีชีวิตมีควำมแตกตำ่ งกับประชำกรอย่ำงไร - แหล่งทีอ่ ยทู่ ่ีมีสภำพแตกตำ่ งกัน มีผลตอ่ กลุ่มสง่ิ มชี วี ติ ใน บรเิ วณน้ันหรือไม่ อย่ำงไร - ปจั จัยใดบ้ำง ท่เี ปน็ ตัวกำหนดแหล่งท่ีอยู่ของกลมุ่ ส่ิงมชี ีวิต - ถำ้ ไม่มีแหล่งทอ่ี ยจู่ ะสง่ ผลต่อกลุม่ ส่ิงมีชีวติ อย่ำงไรบ้ำง

กิจกรรมท่ี 1.1 การสารวจสภาพทางกายภาพและชีวภาพของระบบนิเวศ บริเวณโรงเรียนจุดประสงค์การเรยี นรู้ วันที่ ….…./………/……..นกั เรยี นสำมำรถ1. ตงั้ สมมตุ ิฐำนจำกปญั หำที่กำหนดให้ได้2. สำรวจสภำพทำงกำยภำพและชวี ภำพตำมบรเิ วณทก่ี ำหนดได้3. บอกควำมหมำยของระบบนิเวศได้4. ยกตวั อยำ่ งระบบนเิ วศบนบกและระบบนิเวศในนำ้ บรเิ วณโรงเรียนได้วสั ดอุ ุปกรณ์ 1. เทอร์มอมิเตอร์ 2. กระดำษลติ มัสหรือกระดำษพเี อช (pH paper) 3. ตลับเมตรหรอื ไม้เมตร 4. แวน่ ขยำย 5. ขวดเก็บตัวอยำ่ งสิง่ มีชวี ิตวธิ ที า 1. ให้นกั เรียนศึกษำระบบนิเวศตำมบริเวณท่ีกำหนดให้ เชน่ สนำมหญำ้ ใต้ต้นไม้ สระนำ้ เปน็ ตน้ 2. สำรวจลักษณะสภำพทำงกำยภำพดังน้ี 2.1 ปริมำณแสงสวำ่ งในบรเิ วณนั้น 2.2 สภำพสี กลนิ่ ของดนิ หรือน้ำ 2.3 วดั อุณหภูมทิ ี่พื้นผวิ ดินหรอื นำ้ และระดับตำ่ กว่ำพน้ื ผิวของบรเิ วณที่ศกึ ษำลึกลงไป ประมำณ 20-25เซนติเมตร 2.4 วดั ควำมเปน็ กรด-เบสของบรเิ วณทีศ่ ึกษำด้วยกระดำษลติ มสั หรือกระดำษพีเอช(pH paper) ถำ้ เปน็ ระบบนเิ วศบนดนิ ให้ละลำยดินเล็กน้อยในน้ำกล่ัน แล้วจึงวัดค่ำควำมเป็นกรด-เบสด้วยกระดำษลิตมัส 3. สำรวจลักษณะสภำพทำงชีวภำพโดยระบุช่อื กลุ่มส่ิงมีชวี ติ จำนวน และลกั ษณะโครงสร้ำงภำยนอกของสิ่งมชี ีวติ ในระบบนเิ วศนน้ั

สมาชิกในกลุ่ม 1..................................................................................................................... 2..................................................................................................................... 3..................................................................................................................... 4.................................................................................................................... 5..................................................................................................................... 6.....................................................................................................................1.วัตถปุ ระสงค์ของกำรศึกษำคืออะไร…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………2. นักเรยี นคำดคะเนว่ำจะพบส่ิงใดบ้ำงบรเิ วณโรงเรยี นที่ไปสำรวจ และจะมีปรมิ ำณมำกน้อยเพยี งใด……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………3. นกั เรยี นคดิ วำ่ สภำพแวดล้อมทำงกำยภำพท่จี ะพบสง่ิ มชี ีวิตอำศัยอยูค่ วรมีลกั ษณะใด………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ตาราง สภำพแวดลอ้ มทำงกำยภำพและชวี ภำพบรเิ วณโรงเรียนแหล่งที่ สภำพแวดล้อมทำงกำยภำพ สภำพแวดล้อมทำงชวี ภำพศกึ ษำในบรเิ วณ แสงสว่ำง สี-กล่ิน อณุ หภูมิ ค่ำpH ชือ่ สิ่งมีชวี ติ จำนวน ลกั ษณะของสิ่งมชี วี ติ

1. สิ่งที่พบในบริเวณทีไ่ ปสำรวจตรงตำมที่คำดคะเนหรือไม่ เพียงใด…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ชนิดและปริมำณของสง่ิ มีชวี ิตทีพ่ บมำกทีส่ ดุ และน้อยทส่ี ดุ ได้แกส่ ่ิงมีชวี ติ ชนิดใด เพรำะเหตใุ ดจงึ เป็นเชน่ นนั้…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. สิง่ มชี วี ติ ต่ำงๆ ทอ่ี ำศยั อย่รู ว่ มกนั ในแต่ละบริเวณมีควำมสัมพันธ์กันอยำ่ งไร…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. มปี ัจจัยสำคัญอะไรบ้ำงที่ช่วยใหส้ งิ่ มีชวี ิตดำรงชวี ติ อยไู่ ด้ในระบบนิเวศ…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 5. ถำ้ สภำพแวดล้อมทำงกำยภำพของแหล่งที่อยูเ่ ปลย่ี นแปลงไปจะเกิดผลกระทบอย่ำงไร ในระบบ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

1. วตั ถุประสงคข์ องกำรศึกษำคืออะไร (เพื่อสารวจสภาพทางกายและชีวภาพของระบบนเิ วศในโรงเรียน)2. นกั เรยี นคำดคะเนวำ่ จะพบส่งิ ใดบ้ำงบรเิ วณโรงเรียนท่ีไปสำรวจ และจะมปี รมิ ำณมำกน้อยเพยี งใด (ตัวอยา่ ง บรเิ วณสระน้าที่ไปสารวจจะพบลกู อ๊อด ลกู นา้ ปลาหางนกยูงจานวนมาก สาหร่ายหางกระรอก จอก แหนปรมิ าณมากบริเวณสนามหญา้ ท่ีไปสารวจจะพบหญ้าแพรก หญา้ แห้วหมู ตน้ เข็มปรมิ าณมาก แมลงหวี่ แมลงปอจานวนมาก)3. นักเรยี นคิดว่ำสภำพแวดล้อมทำงกำยภำพทีจ่ ะพบสิง่ มชี วี ิตอำศยั อยู่ควรมีลกั ษณะใด(มแี สงสว่างส่องถึง มคี วามช้ืนอณุ หภมู พิ อเหมาะ)ตาราง สภำพแวดลอ้ มทำงกำยภำพและชีวภำพบรเิ วณโรงเรยี นแหล่งท่ี สภำพแวดลอ้ มทำงกำยภำพ สภำพแวดล้อมทำงชีวภำพศกึ ษำในบรเิ วณ แสงสว่ำง สี-กล่ิน อณุ หภมู ิ คำ่ pH ชือ่ ส่งิ มชี ีวิต จำนวน ลกั ษณะของสง่ิ มีชวี ิต(บรเิ วณบ่อ แสงส่องถงึ นำ้ มสี ีใส 30 C กลำง สตั ว์นำ้ ทว่ั บริเวณ ไม่มีกลิ่น ลกู อ๊อด มำก ตัวกลมๆ สดี ำมีหำง มีขำหน้ำ 2 บ่อ ขำ กบ 6 ตวั ลำตัวล่นื ไมม่ ีเกล็ดมี 4 ขำ สี แมลงปอ 3 ตวั คล้ำๆ มีเขำ มีปีกบินได้ ลำตัวมีสว่ นหวั อก ท้อง พืช บัว มำก ใบสีเขียวกลมๆ สำหรำ่ ย มำก ใบสเี ขยี วเล็กๆ )

3. ส่ิงท่ีพบในบริเวณท่ไี ปสำรวจตรงตำมท่ีคำดคะเนหรือไม่ เพียงใด(บริเวณท่ไี ปสารวจพบส่ิงต่างๆ ตามทคี่ าดคะเนไว้ เชน่ สตั ว์น้าเล็กๆ ) 4. ชนิดและปรมิ ำณของส่ิงมีชีวติ ทพ่ี บมำกที่สดุ และน้อยที่สดุ ไดแ้ ก่สิ่งมีชวี ิตชนดิ ใด เพรำะเหตใุ ดจงึ เปน็ เชน่ นั้น(จะพบลูกอ๊อด ลูกน้า ในปริมาณที่มาก พบกบในปริมาณทน่ี ้อยกว่า) 3. สิง่ มชี วี ิตตำ่ งๆ ทีอ่ ำศยั อยรู่ ว่ มกนั ในแต่ละบริเวณมคี วำมสัมพันธ์กนั อย่ำงไร(สตั วไ์ ด้รบั อาหารและแกส๊ ออกซิเจนท่ีเกิดจากการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงของพืช ส่วนพืชจะใช้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากสัตวใ์ นการสงั เคราะหด์ ้วยแสง) 4. มีปจั จัยสำคัญอะไรบ้ำงท่ชี ว่ ยให้ส่ิงมีชวี ติ ดำรงชวี ิตอยู่ได้ในระบบนิเวศ (แกส๊ แสงสวา่ ง อุณหภูมิ ค่า pH) 1. ถ้ำสภำพแวดลอ้ มทำงกำยภำพของแหล่งที่อยู่เปลี่ยนแปลงไปจะเกดิ ผลกระทบอย่ำงไร ในระบบนิเวศ (ส่งิ มีชวี ิต บางชนิดที่ไมส่ ามารถปรบั ตัวใหอ้ ยู่รอดไดก้ ็จะสูญหายหรือตายไป)

แผนการจัดการเรียนรู้ ชื่อหน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 1 เร่อื ง ระบบนเิ วศ แผนการสอนที่ 5 เรอ่ื ง ความสัมพันธร์ ะหวา่ งส่ิงมีชวี ติ ในระบบนิเวศ รายวิชาชีววิทยา 6 ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 6 รหัสวิชา ว 33206 ครูผู้สอน นางสาวจันจริ า ธนันชัย ตาแหนง่ พนักงานราชการ เวลาทีใ่ ช้ 2 ช่ัวโมง ตัวชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ชน้ิ งาน การวดั และ กิจกรรมการเรียนรู้ สอ่ื /แหลง่ เรียนรู้ผลการเรยี นรู้ ประเมินผล 1. ใบงำน เรื่อง ผ่ำนระดบั กจิ กรรมการเรียนการสอน 1. ใบงำน เร่ือง1. สำรวจตรวจสอบ 1. ระบบนิเวศในธรรมชำติ ควำมสัมพนั ธ์ระหว่ำง คะแนนร้อย ขัน้ นาเขา้ ส่บู ทเรยี น ควำมสมั พนั ธ์ ส่ิงมชี วี ติ ในระบบนเิ วศ ละ 60 ข้ึน 1. ครูสนทนำซกั ถำมกับนักเรียนเกยี่ วกับสภำวะแวดล้อม ระหวำ่ งสง่ิ มชี ีวติ ในสบื คน้ ข้อมลู อภิปรำย จะมีควำมสมดลุ ได้ก็ ไป ทำงกำยภำพในระบบนิเวศ โดยใช้คำถำม เชน่ ระบบนิเวศ 2. หนงั สือชีววิทยำและสรปุ เก่ียวกบั ระบบ ต่อเมื่อมสี ภำพแวดล้อม - สภำวะแวดลอ้ มทำงกำยภำพในระบบนเิ วศมอี ะไรบ้ำง 3. อินเทอรเ์ น็ต (อุณหภูมิ แสง ควำมเป็นกรด-เบส)นิเวศ ควำม ตำ่ งๆ ท่เี อื้ออำนวย - สภำวะแวดล้อมทำงกำยภำพในระบบนเิ วศมีหลำกหลำยของระบบ ตอ่ กำรดำรงชวี ติ ของ ควำมสำคญั ต่อสง่ิ มีชีวติ อย่ำงไร (ชนิด ปรมิ ำณกำรกระจำย พนั ธุ์ และกำรดำรงชวี ติ )นิเวศ กำรถำ่ ยทอด ส่งิ มชี วี ิตชนดิ ตำ่ งๆ ใน - ถ้ำเกดิ ปรำกฏกำรณ์ท่แี สงจำกดวงอำทิตย์ไมส่ ำมำรถพลงั งำนและกำร ระบบนิเวศ จนทำใหเ้ กิด สอ่ งมำโลกได้ 3 วนั สภำวะแวดล้อมในระบบนิเวศจะเปน็ อยำ่ งไร (สง่ ผลกระทบต่อกำรดำรงชีวิตของส่ิงมีชวี ิต)เปลี่ยนแปลงแทนท่ี ควำมหลำกหลำยของ ขั้นสอน 2. ครแู บง่ นักเรยี นเป็นกลุ่ม กลมุ่ ละ 3-4 คน แลว้ ให้ของสงิ่ มีชวี ิตในระบบ ระบบนเิ วศบนโลก นักเรยี นศึกษำและสำรวจองค์ประกอบทำงกำยภำพใน ระบบนิเวศ เช่น แสงสว่ำง อุณหภมู ิ ควำมช้ืน ควำมเปน็นิเวศ 2. ระบบนเิ วศในโลกที่มี2. สำรวจระบบนิเวศ ควำมหลำกหลำยมีกำรเขยี นแผนผงั กำร เปล่ยี นแปลงตำ่ งๆ เกดิถำ่ ยทอดพลังงำนใน ขึ้นอยตู่ ลอดเวลำ ไม่ว่ำจะระบบนเิ วศ ในท้องถิ่น เปน็ กำรเปลี่ยนแปลงทีเ่ กิด จำกมนษุ ยเ์ ปน็ ผู้กระทำ กำรเปล่ียนแปลงเหลำ่ นี้

ตวั ชีว้ ัด/ ความรู้ ภาระงาน/ช้นิ งาน การวัดและ กจิ กรรมการเรยี นรู้ ส่อื /แหลง่ เรยี นรู้ผลการเรียนรู้ ประเมินผล อำจสง่ ผลทำใหร้ ะบบนเิ วศ เสียสมดุลได้ กรด-เบสของดินและนำ้ ตำมวธิ ีกำรใน ใบงำนท่ี 2.1 เรอ่ื ง 3. เมอ่ื ระบบนิเวศเสีย สมดุล จะเกดิ กำร สำรวจสภำพแวดลอ้ มทำงกำยภำพของระบบนิเวศ เปลี่ยนแปลงแทนท่ีเกดิ ขน้ึ ในระบบนเิ วศนน้ั กำร 3. ครพู ฒั นำทักษะกำรคิดวิเครำะหเ์ ขียนสื่อควำมของ เปล่ยี นแปลงสภำพทำง ธรรมชำติของระบบนิเวศ นักเรยี น ตำมกจิ กรรมในใบงำนท่ี 2.2 เรอ่ื ง สภำวะ ยอ่ มส่งผลทำให้เกดิ กำร เปลย่ี นแปลงแทนที่ของ แวดลอ้ มทช่ี ่ืนชอบ สิ่งมีชวี ิตในระบบนิเวศน้นั ด้วย 1. ครสู นทนำซักถำมนกั เรียน แล้วรว่ มกันแสดงควำม คดิ เหน็ เรอ่ื ง สภำวะแวดล้อมในระบบนิเวศ โดยใชค้ ำถำม เชน่ - องค์ประกอบของระบบนเิ วศมีอะไรบ้ำง (สิง่ มีชีวิต สภำวะแวดล้อมหรือแหล่งที่อยู่) - กำรสำรวจสภำวะแวดล้อมพบกลุม่ ของสิ่งมชี ีวติ อะไรบ้ำง (ตน้ ไม้ ตน้ หญำ้ มด แมลงตำ่ งๆ) - ส่ิงมีชีวิตท่ีพบมีควำมสัมพนั ธก์ นั หรือไม่ อย่ำงไร (มี ควำมสมั พันธก์ นั เช่น โซ่อำหำร สำยใยอำหำร) 2. นักเรียนทำใบงำนท่ี 2.3 เรอื่ ง สำยใยอำหำร เพ่ือฝึก วิเครำะห์ และเขียนสอื่ ควำม โดยเขยี นแผนภำพแสดง สำยใยอำหำร และโซ่อำหำร 3. นกั เรียนดูภำพควำมสมั พนั ธร์ ะหวำ่ งสง่ิ มีชวี ติ กบั ส่งิ มีชวี ติ 6 รปู เชน่ 1) ผีเส้อื กบั ดอกไม้ 4) ฉลำมกบั เหำฉลำม 2) ไลเคน 5) งูกนิ กบ 3) กล้วยไม้บนตน้ ไม้ 6) มดกับผึ้ง

ตวั ช้ีวัด/ ความรู้ ภาระงาน/ช้นิ งาน การวัดและ กจิ กรรมการเรียนรู้ สื่อ/แหล่งเรียนรู้ผลการเรยี นรู้ ประเมนิ ผล แล้วครถู ำมคำถำม ดงั น้ี - ส่ิงมชี ีวติ กบั สง่ิ มชี วี ิตในแตล่ ะภำพมีควำมสมั พนั ธก์ นั หรือไม่ อยำ่ งไร (สมั พันธ์กัน เช่น ผีเส้อื กับดอกไม้ ตำ่ งฝ่ำย ตำ่ งได้ประโยชน์ ผีเสอื้ ได้อำหำร ดอกไมไ้ ดผ้ สมเกสร) แลว้ ให้นักเรยี นบนั ทึกข้อมูลลงในใบงำนท่ี 2.4 เร่อื ง ควำมสมั พนั ธ์ระหวำ่ งสง่ิ มีชีวิตในระบบนิเวศ ข้นั สรุป 4. ครูให้นกั เรียนแตล่ ะกล่มุ ทำใบงำนที่ 2.5 เร่ือง สำรวจ ควำมสมั พนั ธ์ของสิ่งมีชีวิตกับสงิ่ มชี วี ติ ในชุมชน เป็น กำรบ้ำน แล้วนำมำสง่ ครูในกำรเรยี นคร้งั ตอ่ ไป

ใบงาน ความสัมพันธ์ระหวา่ งสิ่งมชี วี ติ ในระบบนเิ วศคาช้แี จง : ใหน้ ักเรยี นสบื ค้นขอ้ มูลควำมสัมพันธร์ ะหวำ่ งส่งิ มชี ีวติ ในระบบนเิ วศ และสรุปลงในใบงำนนี้ความสัมพนั ธ์ ความหมาย ตวั อย่างส่งิ มีชีวติแบบพ่ึงพาแบบได้ประโยชน์ รว่ มกนัแบบองิ อาศยัแบบล่าเหยอ่ืแบบปรสิตแบบแขง่ ขันแบบเป็นกลาง

แผนการจัดการเรียนรู้ ชอ่ื หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 เรื่อง ระบบนเิ วศ แผนการสอนท่ี 6 เร่ือง การถ่ายทอดพลังงาน รายวชิ าชีววิทยา 6 ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 รหัสวิชา ว 33206 ครผู สู้ อน นางสาวจันจิรา ธนันชยั ตาแหนง่ พนักงานราชการ เวลาท่ีใช้ 2 ชัว่ โมง ตวั ชว้ี ัด/ ความรู้ ภาระงาน/ชน้ิ งาน การวัดและ กจิ กรรมการเรียนรู้ สอ่ื /แหล่งเรียนรู้ผลการเรยี นรู้ ประเมนิ ผล1. สำรวจตรวจสอบ ในระบบนิเวศจะมกี ำร 1.ใบงำนที่ 1 เร่ือง กำร ผำ่ นระดบั กิจกรรมกำรเรยี นกำรสอน 1.ใบงำนที่ 1 เร่ืองสืบคน้ ข้อมูล อภปิ รำย ถ่ำยทอดพลังงำนจำก ถ่ำยทอดพลังงำน คะแนนร้อย ขันนำ : ขนั สงั เกตและขนั ปัญหำ กำรถ่ำยทอดและสรปุ เก่ียวกับระบบ สิง่ มีชวี ติ ชนดิ หนง่ึ ไปยัง ละ 60 ขึน 1. ครใู หน้ กั เรยี นออกไปสำรวจสภำพแวดล้อม พลังงำนนเิ วศ ควำม สิ่งมชี ีวติ อีกชนดิ หน่ึง ไป บรเิ วณสวนหยอ่ ม และสงั เกตสิง่ มีชีวติ ชนิด 2. หนังสือเรยี นหลำกหลำยของระบบ เรมิ่ ตน้ จำกผู้ผลติ ไดร้ บั ต่ำงๆท่ีอำศยั อยบู่ ริเวณนนั และตงั คำถำมให้นักเรียนได้มี ชีววทิ ยำเล่ม 6 ของนิเวศ กำรถำ่ ยทอด พลงั งำนจำก โอกำสทบทวนควำมรูเ้ ดมิ เกย่ี วกบั ห่วงโซ่อำหำร สำยใย สถำบนั สง่ เสรมิ กำรพลงั งำนและกำร แสงอำทติ ย์ มีนำและ อำหำร และควำมหมำยของผู้ผลติ ผู้บริโภค ผู้ยอ่ ยสลำย สอนวทิ ยำศำสตร์เปลย่ี นแปลงแทนท่ี คำร์บอนไดออกไซคเ์ ป็น อินทรยี สำร ตำมท่ีเคยเรียนมำในระดบั มธั ยมศกึ ษำตอนตน้ และเทคโนโลยีของสิ่งมีชีวิตในระบบ วตั ถุดิบ ซ่ึงจำก 2. นักเรียนทกุ คนศกึ ษำเรื่องกำรถ่ำยทอดพลังงำน 3. อินเทอรเ์ นต็นิเวศ กระบวนกำรสงั เครำะห์ ในระบบนเิ วศ เกี่ยวกบั กำรถ่ำยทอดพลงั งำนในรปู ของห่วง2. สำรวจระบบนเิ วศ ดว้ ยแสง พลงั งำนจำกดวง โซอ่ ำหำร สำยใยอำหำร แบบแผนของกำรถ่ำยทอดเขยี นแผนผงั กำร อำทิตย์เปล่ยี นไปอยู่ในรูป พลังงำนในรปู พีระมดิ ควำมสำคญั และผลกระทบของกำรถ่ำยทอดพลงั งำนใน ของสำรอำหำร ถ่ำยทอดสำรพิษในระบบนิเวศระบบนเิ วศ ในท้องถนิ่ และถำ่ ยทอดไปยงั ขันสอน ผู้บรโิ ภค 3. เลขำนุกำรกลมุ่ ออกมำรบั ใบงำนที่ 4 เรอ่ื ง กำรถ่ำยทอดพลังงำน กลุ่มละ 1 ใบ หัวหนำ้ กลมุ่ นำ

ตวั ชี้วัด/ ความรู้ ภาระงาน/ชิ้นงาน การวัดและ กิจกรรมการเรียนรู้ ส่อื /แหลง่ เรียนรู้ผลการเรียนรู้ ประเมนิ ผล อภิปรำยและดำเนินกำรระดมพลังงำนสมองเพ่อื ทำ กิจกรรมตำมใบงำน 4. สมำชิกทกุ คนในกลมุ่ ลงมือปฏิบัตกิ จิ กรรมตำม ใบงำน มีกำรพดู คุยเพื่อแลกเปลย่ี นควำมคดิ เหน็ กนั ภำยใน กล่มุ ขณะท่นี ักเรียนปฏิบตั ิกิจกรรมกลมุ่ ครูผ้สู อนตอ้ งคอย สังเกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลมุ่ ของนักเรยี น โดยบันทกึ กำรสงั เกตลงในแบบสงั เกตพฤติกรรมกำรทำงำนกลมุ่ ของ นกั เรียน ขันสรปุ 5. ตัวแทนของแต่ละกลุ่ม นำเสนอผลกำร ปฏบิ ตั งิ ำนตำมใบงำนหน้ำชนั เรยี น เป็นกำรแลกเปลีย่ น ควำมคดิ เห็นกนั และเปิดโอกำสใหส้ มำชิกกลุ่มอนื่ ๆได้ ซักถำมดว้ ย 6. เม่ือแต่ละกลุ่มได้รับขอเสนอแนะหรอื แกไ้ ข เพ่มิ เติมจนตอบคำถำมตำมใบงำนมีควำมสมบรู ณแ์ ล้ว สมำชกิ ทุกคนในกลุ่มทำใบงำนที่ 4 ลงสมุดจดบนั ทึกของ นักเรยี น 7. เลขำนกุ ำรกลุ่มเก็บใบงำนที่ 4 ของกล่มุ และสมดุ จดบนั ทึกของนักเรยี นแตล่ ะคนส่งครูผสู้ อน ครู

ตวั ช้ีวัด/ ความรู้ ภาระงาน/ชิ้นงาน การวัดและ กจิ กรรมการเรยี นรู้ ส่ือ/แหล่งเรยี นรู้ผลการเรยี นรู้ ประเมินผล ตรวจให้คะแนนสมุดจดบันทึกของนักเรยี นแตล่ ะคนลงใบ แบบตรวจผลงำนของนักเรียนเป็นรำย บุคคล ส่วนใบงำนของกล่มุ ให้คะแนนรวมไปในแบบสงั เกต พฤติกรรมกำรทำงำนกลุ่มของนักเรยี น 8. นกั เรียนสรุปควำมรทู้ ไ่ี ดร้ ับในวนั นีเป็น แผนผงั ควำมคิดลงในสมดุ บนั ทึก

ใบงานท่ี 1 เรื่องการถา่ ยทอดพลังงานคำชแี จง จงตอบคำถำมหรอื เติมช่องว่ำงดว้ ยคำหรือข้อควำมสนั ๆ ตำมควำมคิดเห็นของนกั เรียน1. กำรถ่ำยทอดพลงั งำนโดยกำรกินกันเปน็ ทอดๆเปน็ แนวเดยี ว เรยี กว่ำ……………………………….แตถ่ ้ำกำรกนิ นันมีควำมซับซอ้ นโยงไปมำ จะเรียกวำ่ ……………………………………………….คำชแี จง ศึกษำหว่ งโซอ่ ำหำรตอ่ ไปนีแล้วตอบคำถำมขอ้ 2 – 6(ก) หญำ้ กระตำ่ ย สุนัขจงิ จอก(ข) ขำ้ วโพด ตั๊กแตน แมงมุม นกกนิ แมลง เหย่ยี ว2. จำกหว่ งโซ่ (ก) และ (ข) ผผู้ ลติ คอื ……………………………………………………….ตำมลำดับ3. ผู้บริโภคลำดับที่ 2 ในหว่ งโซ่ (ก) และ (ข) คือ …………….……………………………..ตำมลำดับ4. เหย่ียวเปน็ ผูบ้ ริโภคลำดับที่ ………………………………………………………………………………………………………..………………………...5. ผูบ้ ริโภคลำดบั สงู สดุ ในห่วงโซอ่ ำหำร (ข) คอื ………………………………………………………………………………….…………………………6. ถ้ำฉดี ยำฆำ่ แมลงในระบบนเิ วศแห่งนี ส่งิ มีชวี ติ ใดในห่วงโซอ่ ำหำร(ก) และ (ข) จะมียำฆ่ำแมลงสะสมในเนอื เยอื่ มำกท่สี ดุ ……………………………………………………………………………………………………………………………………7. พรี ะมิดนเิ วศแบ่งออกเป็น…………แบบ คือ…………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………8. จงนำตัวอย่ำงสัตว์ทีก่ ำหนดให้นเี ขยี นเป็นหว่ งโซอ่ ำหำรทถี่ ูกต้อง นกยำง ปลำ สำหรำ่ ย คน.................................................................................…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………9. จงบอกชือ่ สิ่งมชี วี ติ ที่เป็นผบู้ รโิ ภคลำดบั ท่ี 1 มำ 5 ชนิด …………………………………………………………………….…………………….10. สำรพษิ ตกค้ำงท่ีเปน็ โลหะหนัก ไดแ้ ก่…………………………………………………………………………………………………………………...และสำรตกค้ำงจำกกำรเกษตรได้แก่ ………………………………………………………………………………………………………………….11. จงเขยี นห่วงโซ่อำหำร 2 ห่วงโซ่ โดยใหม้ ผี ู้บริโภคหว่ งโซ่ละ 3 ลำดับ และให้หว่ งโซห่ นงึ่ เป็นห่วงโซใ่ นระบบนิเวศบนบก และอกี หน่ึงหว่ งโซ่เปน็ ระบบนิเวศนำเค็ม………………………………………………………………………………………………..…………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………12. จงเขียนสำยใยอำหำรของระบบนิเวศทงุ่ หญ้ำ โดยกำหนดใหม้ ีห่วงโซ่อำหำร 3 ห่วงโซ่……………………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

13. ในสระนำแห่งหนึง่ พบสิ่งชชี วี ิตอยู่ 4 ชนดิ คอื A B C และ D เมื่อนับจำนวนประชำกรของสงิ่ มชี วี ติ ทงั 4 ชนิด แล้วนำมำ เขยี นพีระมิดได้ดงั รูป A จำกรปู นักเรยี นคิดวำ่ เปน็ พรี ะมิดแบบใด เพรำะ B เหตใุ ด และส่งิ มชี วี ติ ใดในรปู หมำยถึงผผู้ ลติ และ C ผูบ้ ริโภคลำดบั ที่ 2 ตำมลำดับ จงให้เหตผุ ล D ประกอบด้วย พร้อมทังบอกด้วยวำ่ ส่ิงมชี วี ติ C A B C D และ E ควรเป็นสงิ่ มีชีวิตใดบ้ำง………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook