[91] เทคโนโลยี GIS เข้ามาใช้ในการปฏิบตั ิงานจะช่วยให้มีความรู้และเสริมสร้างทกั ษะในการประเมินสขุ ภาพ ของประชากรผา่ นฐานข้อมลู สารสนเทศทางอินเตอร์เนต็ เพ่ือวางแผน ประสานงาน และจดั บริการสขุ ภาพท่ี เหมาะสมกบั สภาพแวดล้อมท่ีแท้จริง (Riner, Cunningham, & Johnson, 2004) นอกจากนี ้มีการนา ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในงานด้านระบาดวิทยา เพื่ออธิบายขนาดของปัญหาสุขภาพ ระบปุ ัจจยั หรือตวั กาหนดสขุ ภาพ และสนบั สนุนการตดั สินใจ (Pan American Health Organization, 2000 อ้างใน Faruque et al., 2003) ตวั อย่างงานวิจัย ช่อย อฟั แซล และซีแอ็ดเลอร์ (Choi, Afzal, & Sattler, 2006) ทาการศึกษาเชิงสารวจเก่ียวกบั โครงการประเมินสุขภาพชุมชนโดยนา GIS มาใช้เป็ นเคร่ืองมือในการศึกษาและประเมินสุขภาพของ ประชาชนที่สมั ผสั กบั ส่ิงแวดล้อมท่ีคกุ คามสขุ ภาพ วตั ถปุ ระสงค์ของการศกึ ษาเพื่อประเมินสขุ ภาพอนามยั สิง่ แวดล้อมและสขุ ภาพ และแสดงแผนภาพด้านสิง่ แวดล้อม กลมุ่ ตวั อยา่ งคือ ประชาชนท่ีมีอายตุ งั้ แต่ 18 ปี ขึน้ ไปท่ีมารับบริการสุขภาพท่ีคลินิก หมู่บ้าน Washington ในมลั ติมอร์ รัฐแมรี่แลนด์ ถกู สุ่มอย่างง่าย จานวน 101 คน วิเคราะห์ข้อมลู โดยการแจกแจงความถ่ี คา่ ร้อยละ และการวิเคราะห์ GIS ผลการศกึ ษา พบวา่ ปัจจยั เส่ียงทางสิ่งแวดล้อมท่ีพบมากที่สดุ คือ บ้านเรือนที่เก่าแก่ปลกู สร้างก่อนปี ค.ศ. 1978 (93.1%) และการสบู บหุ รี่ในบ้าน (78.2%) กลมุ่ ตวั อย่างส่วนใหญ่มีปัญหาสขุ ภาพ ได้แก่ หอบหืด (54%) ซงึ่ อาการ ดงั กล่าวมักจะเกิดขึน้ จากการได้รับส่ิงกระตุ้นที่บ้าน เช่น ควันบุหร่ีภายในบริเวณบ้านจากสมาชิกใน ครอบครัวสบู บหุ รี่ แผนภาพจาก GIS ช่วยแสดงให้เห็นการกระจายของกลมุ่ ตวั อยา่ งที่สมั ผสั กบั มลพิษทาง ส่ิงแวดล้อมและความสมั พนั ธ์ของปัจจยั เสี่ยงทางสุขภาพ การศึกษาวิจยั นีไ้ ด้เสนอแนะว่า บุคลากรทาง สขุ ภาพสามารถนา GIS ไปประยกุ ตใ์ ช้ในการสารวจสขุ ภาพชมุ ชนโดยบรู ณาการทกั ษะการประเมินสขุ ภาพ ส่ิงแวดล้อมกับการปฏิบตั ิในชมุ ชน และการใช้ GIS ช่วยให้เข้าถึงข้อมลู ด้านส่ิงแวดล้อมกบั สุขภาพ และ เพิ่มความตระหนกั ตอ่ ปัจจยั เส่ียงด้านสิ่งแวดล้อมกบั ผลกระทบสขุ ภาพของกลมุ่ ตวั อยา่ ง และช่วยสนบั สนนุ การตดั สนิ ใจเพ่ือจดั สรรทรัพยากรในการป้ องกนั โรคในพืน้ ท่ีที่มีความเส่ียง ฟารูเคอร์ ลอฟตนั ดอ็ ดดาโต้และแมนกมั (Faruque, Lofton, Doddato, & Mangum, 2003) ได้ สารวจครัวเรือนของประชาชนที่อาศยั อยใู่ น Hinds County เมือง Mississippi ประเทศสหรัฐอเมริกา โดย ประยุกต์ใช้ GIS เพ่ือประเมินปัญหาสุขภาพอนามัยของประชาชนที่อาศยั อยู่ในพืน้ ท่ีที่กาหนด ได้แก่ Census block groups กลุ่มตวั อย่างถูกสุ่มอย่างง่ายจานวน 766 คน เคร่ืองมือท่ีใช้เป็ นแบบสารวจ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคดิ และการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[92] ครัวเรือนท่ีผ้วู ิจยั พฒั นาขึน้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถ่ี ค่าร้อยละ และ GIS mapping ผล การศกึ ษาพบว่า GIS แสดงให้เห็นแผนภาพความหนาแน่น การกระจายตวั ของกล่มุ ตวั อย่างจาแนกตาม ลักษณะประชากร รายได้เฉล่ียครอบครัว รายได้ต่อหัวของกลุ่มตัวอย่างท่ีอาศัยอยู่พืน้ ที่ต่างๆ กัน นอกจากนี ้ GIS mapping สามารถแสดงให้เห็นถึงสถานะสขุ ภาพและการมีหลกั ประกนั สขุ ภาพของกลมุ่ ตวั อยา่ งตามสภาพทางเศรษฐกิจที่แตกตา่ งกนั อไุ ร จเรประพาฬ (2551) ศึกษาการพฒั นาระบบสารสนเทศเพื่อการสร้างเสริมสขุ ภาพชุมชน มี วตั ถุประสงค์ เพ่ือพฒั นาระบบสารสนเทศศาสตร์ (GIS) ในการสร้างเสริมสขุ ภาพของประชาชนในชุมชน รูปแบบการวิจยั เป็ นการวิจยั เชิงปฏิบตั ิการแบบมีส่วนร่วม รวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการวิจยั เชิงคณุ ภาพและ เชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ เจ้าหน้าท่ีสาธารณสุข ผู้นาชุมชน ประชาชนในชุมชนบ้านศาลาบางปู อาจารย์ และนกั ศึกษาพยาบาลจากมหาวิทยาลยั วลยั ลกั ษณ์ เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู คือ แนวคาถามก่ึงโครงสร้ างเกี่ยวกับความต้องการข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เพื่อการสร้ างเสริม สุขภาพชุมชนของทีมสุขภาพ รวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสารวจข้อมูล GPS ภาคสนาม สัมภาษณ์ และ สนทนากลมุ่ ระยะดาเนินการ 6 เดือน วิเคราะห์ข้อมลู โดยใช้การวิเคราะห์เนือ้ หา การแจกแจงความถ่ี และ ร้อยละ ผลการศกึ ษา พบว่า ระบบสารสนเทศภมู ิศาสตร์ เพ่ือการสร้างเสริมสขุ ภาพชมุ ชนท่ีกลมุ่ เป้ าหมาย ต้องการเป็ นข้อมลู คณุ ลกั ษณะที่สมั พนั ธ์กับข้อมลู เชิงพืน้ ท่ี ประกอบด้วย (1) ข้อมลู ส่วนบุคคล ได้แก่ ช่ือ สกุล อายุ ศาสนา ระดบั การศึกษา อาชีพ ภาวะสุขภาพ ระดบั ความสุข และวิถีชีวิตทงั้ ด้านความรู้และ พฤติกรรมด้านการรับประทานอาหารและการออกกาลงั กาย รวมทงั้ วิถีการดแู ลสุขภาพโดยใช้ภูมิปัญญา ท้องถ่ิน (2) ข้อมลู ด้านความสมั พนั ธ์ในครอบครัว และ (3) ข้อมลู ทนุ ทางสขุ ภาพชมุ ชน ได้แก่ที่ตงั้ ของแหล่ง ประโยชน์ทางสขุ ภาพ เช่น แพทย์พืน้ บ้าน เครือข่ายกลมุ่ บคุ คล และองค์กรท่ีเอือ้ ตอ่ การสร้างเสริมสขุ ภาพ ชุมชน ทงั้ นีพ้ บว่า ผ้ทู ดลองใช้ระบบทกุ คนเห็นว่าระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ที่พฒั นาขึน้ มีความถูกต้อง ด้านการเข้าถึงกิจกรรมของผ้ใู ช้งาน ระบบมีข้อดีด้านการจดั รูปแบบ สีและลกั ษณะภายนอก และสามารถ ตอบสนองความต้องการของผ้ใู ช้งาน จากประสบการณ์ของผ้เู ขียน ในการเข้าร่วมโครงการสานพลงั “อาเภอสขุ ภาวะ” เชื่อมปฏิบตั กิ าร ด้วย “ระบบข้อมูลสขุ ภาพระดบั อาเภอ” (24DHIS) โดยความร่วมมือระหว่าง โครงการพฒั นาศกั ยภาพ เครือข่ายสขุ ภาพระดบั อาเภอ เพ่ือม่งุ ส่อู าเภอสร้างเสริมสุขภาพ มหาวิทยาลยั นเรศวร (24 DHS) และ โครงการพัฒนาระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ด้านสุขภาพ โดยชุมชนเป็ นฐานด้วยอุปกรณ์เคลื่อนท่ี กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคดิ และการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[93] อาเภอสารภี จงั หวดั เชียงใหม่ และใช้สารภีโมเดลเป็ นต้นแบบ การเก็บข้อมลู สขุ ภาพในพืน้ ท่ีโดยใช้อปุ กรณ์ พกพาเคล่ือนที่เป็นตวั บนั ทกึ ข้อมลู ครัวเรือน สมาชิกครัวเรือนรายบุคคล ลงพิกดั แผนที่ของครัวเรือน (GPS) และบนั ทึกภาพถ่าย ซ่ึงพบว่ามีปัญหาการใช้งานโปรแกรมในช่วงแรกๆ อีกทงั้ สัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ไม่ ครอบคลุมจึงเกิดความล่าช้าแต่อย่างไรก็ตามกระบวนการสามารถดาเนินการได้ตามเป้ าหมาย และคืน ข้อมลู สขุ ภาพ (ระบบ Saraphi Health) ให้กบั ชมุ ชน และผลการสงั เคราะห์ประสบการณ์พืน้ ท่ี โปรแกรม Saraphi Health (24DHIS) และโปรแกรม NU-HDC โดยคณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ได้ ข้อสรุปดงั นี ้(1) โดยภาพรวมทงั้ 24 อาเภอเก็บข้อมลู สขุ ภาพได้ร้อยละ 65.24 อาเภอที่เก็บข้อมลู ไมเ่ ป็ นไป ตามเป้ าประสงค์ทางทีม 24DHIS ได้ลงพืน้ ท่ีและให้ความช่วยเหลือ เพื่อท่ีจะกระต้นุ ให้ พืน้ ที่เก็บข้อมูล สขุ ภาพชมุ ชนได้ตามเป้ าประสงค์ร้ อยละ 60 และพัฒนางานด้านข้อมูลข่าวสาร นอกจากนี ้ พืน้ ท่ีจดั เก็บ ข้อมลู ไม่เพียงพอ (Server) 24 อาเภอ และระบบ Saraphi Health ไม่รองรับเทคโนโลยีของโทรศพั ท์บางรุ่น สญั ญาณของอินเตอร์เน็ตในพืน้ ที่ไม่ครอบคลุม จงึ ส่งผลตอ่ การใช้งานโปรแกรมสารภี ซึง่ ปัญหาดงั กล่าว ทางทีม DHIS คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร ได้ทาการแก้ไขปัญหาต่างๆและพัฒนา โปรแกรม 24DHS-NU-Datacenter โดยเช่ือมโยงระบบ HosXP, JHICS ท่ีทางพืน้ ที่มีอยู่ เข้ากบั โปรแกรม Saraphi Health เพ่ือเป็ นข้อมลู อีกชดุ (Data center) ในการตรวจสอบและลดภาระพืน้ ที่ในการจดั เก็บ ข้อมลู ที่ซา้ ซ้อน สาหรับข้อเสนอแนะในการดาเนินการด้านข้อมูลข่าวสารระดบั อาเภอ คือ ต้องมีการวิเคราะห์ สถานการณ์ปัญหาของระบบข้อมลู ขา่ วสารของหนว่ ยงาน แนวทางในการแก้ปัญหา เชน่ ความซา้ ซ้อนหรือ การจดั เก็บข้อมลู ที่ไม่จาเป็ น เป็ นต้น ดงั นนั้ มีความจาเป็ นท่ีจะต้องตงั้ คาถามให้ชดั เจนว่า เราต้องการอะไร ข้อมลู อะไรบ้างท่ีต้องการ เพื่อกาหนดความต้องการแล้วจึงมาหาวิธีการให้ได้มาซึง่ ข้อมลู ท่ีต้องการโดยการ ออกแบบระบบ ซงึ่ ระบบจะมีประสิทธิภาพก็ต้องอาศยั การจดั การที่ดี และมีอปุ กรณ์ที่ทนั สมยั รวมทงั้ มีคน (People ware) ที่มีคณุ ภาพด้วย (คณะทางานโครงการสานพลงั อาเภอสขุ ภาวะเช่ือมปฏิบตั ิการด้วยระบบ ข้อมลู สขุ ภาพระดบั อาเภอ, 2559) สรุปจากตวั อย่างการศึกษาวิจยั เกี่ยวกับระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ จะเห็นได้ว่า มีการนา ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) มาใช้เป็ นเครื่องมือ เพ่ือเก็บข้อมูลเชิงพืน้ ที่และพฒั นาฐานข้อมูล เพ่ือประกอบการตัดสินใจ ดังนัน้ พยาบาลอนามัยชุมชน ควรนาเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้แก่ การใช้ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[94] โปรแกรมและแอพลิเคชั่นบนโทรศพั ท์มือถือในการดูแลสุขภาพประชาชน เช่น การแจ้งเตือนข่าวสาร ทางด้านสขุ ภาพ แจ้งเตือนการตรวจตามนดั การให้ความรู้ด้านสขุ ภาพ เป็นต้น 3.5 การรวบรวมข้อมูล 3.5.1 แหล่งของข้อมูล การได้มาของข้อมลู ซึ่งแสดงถึงปัญหาสขุ ภาพของชมุ ชน หรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสขุ ภาพจาเป็ นต้อง อาศยั แหลง่ ของข้อมลู ดงั นี ้(บญุ ยง เก่ียวการค้า และกนษิ ฐา จารูญสวสั ด,ิ์ 2554) 1) แหลง่ ข้อมลู ปฐมภูมิ (Primary data) เป็ นแหล่งข้อมลู โดยตรงที่ผ้ศู กึ ษาข้อมลู เข้ามาทา การรวบรวมโดยวิธีการตา่ งๆ เช่น การสารวจ การสมั ภาษณ์ การตอบแบบสอบถาม คาบอกเล่าของผ้ใู ห้ ข้อมลู การสงั เกต การทดลอง การตรวจร่างกาย การเก็บสิ่งส่งตรวจทางห้องปฏิบตั ิการ เช่น เลือด ปัสสาวะ เป็นต้น แหลง่ ข้อมลู ปฐมภมู ิท่ีได้จากการสารวจ เชน่ ผ้นู าชมุ ชน แมบ่ ้าน พระ ครู เป็นต้น 2) แหลง่ ข้อมลู ทตุ ิยภมู ิ (Secondary data) เป็ นแหล่งข้อมูลท่ีได้รวบรวมหรือมีการบนั ทึก ข้อมูลไว้เบือ้ งต้น แหล่งของข้อมูลทุติยภูมิ เช่น ข้อมูลสถิติการเจ็บป่ วยจากเวชระเบียนของโรงพยาบาล รายงานประจาปี รายงานการเฝ้ าระวงั โรค ข้อมลู ทะเบียนราษฎร์ เชน่ การจดทะเบียนแจ้งเกิด การแจ้ งตาย การแจ้งย้าย การสมรส เป็ นต้น ข้อมูลด้านการอนามัยส่ิงแวดล้อมจากสานักงานสาธารณสุขจังหวัด สานกั งานสาธารณสขุ อาเภอ สานกั งานสถิตแิ หง่ ชาติ ข้อมลู ความจาเป็นพืน้ ฐานระดบั หมบู่ ้าน ในการศกึ ษาข้อมลู จากแหลง่ ข้อมลู ทตุ ิยภมู ิ ข้อมลู ที่มีอาจไม่เพียงพอตามที่ผ้ศู กึ ษาต้องการ ทงั้ หมดและอาจต้องรวบรวมข้อมลู เพิ่มเตมิ จากข้อมลู ปฐมภมู ิ การนาข้อมลู ทตุ ิยภมู ิมาใช้อ้างอิงจาเป็ นต้อง ตรวจสอบความนา่ เช่ือถือของข้อมลู แหลง่ ข้อมลู ระยะเวลาของข้อมลู ท่ีรวบรวมไว้ไมน่ านเกินไปด้วย 3.5.2 ลักษณะของข้อมูล ข้อมลู ชมุ ชนแบง่ ตามลกั ษณะของข้อมลู ดงั นี ้(ขนษิ ฐา นนั ทบตุ ร, 2546) 1) ข้อมลู เชิงปริมาณ เป็ นข้อมลู ที่แสดงเป็ นตวั เลข บอกเป็ นจานวนหรือความถ่ี เช่น อตั ราทารก ตาย อายุ นา้ หนกั ส่วนสงู รอบเอว รายได้ครอบครัวตอ่ เดือน จานวนบตุ ร เป็ นต้น ซึ่งข้อมูลเชิงปริมาณ สามารถนาไปวเิ คราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ 2) ข้อมลู เชิงคณุ ภาพ เป็ นข้อมลู จากการรับรู้ การสงั เกตของบคุ คลและมกั นาเสนอในภาพการ อธิบาย ตีความ ข้อมลู เชิงคณุ ภาพ เช่น ความคดิ เห็นของบคุ คลในชุมชนในเรื่องเกี่ยวกบั สุขภาพและการ ดแู ลสขุ ภาพ ความรู้สกึ ของผ้ปู ่ วยตา่ งๆ ข้อเสนอแนะเกี่ยวกบั การบริการสขุ ภาพ เชน่ โรงพยาบาล ชมุ ชน กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[95] 3.5.3 ข้อมูลท่สี าคัญในการรวบรวม/ประเมนิ ชุมชน ข้อมลู ที่ต้องการในการประเมนิ ชมุ ชนขนึ ้ อย่กู บั แนวคดิ ที่เลือกใช้ ข้อมลู สาคญั ท่ีต้องรวบรวมในการ ปะเมนิ ชมุ ชน ประกอบด้วย 1) ข้อมลู ทว่ั ไปของชมุ ชน ได้แก่ ท่ีตงั้ ของชมุ ชน อาณาเขตตดิ ตอ่ สภาพทางภมู ิศาสตร์ สภาพ พืน้ ท่ี สภาพอากาศ สิ่งก่อสร้างตา่ งๆ เช่น บ้านเรือน วดั โบสถ์ โรงพยาบาล โรงเรียน โรงงานอุตสาหกรรม ศาลเจ้า เป็นต้น 2) ข้อมลู ด้านประชากร ได้แก่ โครงสร้างประชากร ความหนาแนน่ ของประชากร วฒั นธรรม ความเช่ือ คา่ นยิ มของชมุ ชน การเคลื่อนย้ายที่อยอู่ าศยั การเพ่มิ ของประชากร กลมุ่ อายทุ ่ีมีจานวนมากขนึ ้ 3) ข้อมลู ทางด้านเศรษฐกิจและสงั คม ได้แก่ การมีท่ีดินทากินเป็ นของตนเอง การอาศยั หรือ การเช่าผู้อ่ืน ผลผลิตของชุมชน การรวมกลุ่มกิจกรรมเพ่ือเศรษฐกิจและสังคม อาชีพ รายได้เฉล่ียของ ครอบครัว ความพอเพียงของรายได้ ส่ิงอานวยความสะดวกด้านเทคโนโลยีต่างๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ เคร่ืองใช้ไฟฟ้ า โทรศพั ท์ เป็ นต้น ความเป็ นอยู่ การศกึ ษา การเมืองการปกครอง การปฏิบตั ิตามความเชื่อ ศาสนา วฒั นธรรม กิจกรรมสาคญั ๆ ตามประเพณีของชมุ ชน 4) ข้อมูลด้านสุขภาพ ได้แก่ จานวนผ้ปู ่ วยด้วยโรคต่างๆ รวมถึงข้อมูลการรับบริการด้าน สร้างเสริมสขุ ภาพ และการป้ องกนั โรค 5) ข้อมลู ด้านพฤติกรรมสขุ ภาพ ได้แก่ ข้อมลู เก่ียวกบั การปฏิบตั พิ ฤติกรรมส่งเสริมสขุ ภาพ พฤตกิ รรมเสี่ยงตอ่ สขุ ภาพ เชน่ การรับประทานอาหาร การออกกาลงั กาย การพกั ผ่อนนอนหลบั การคลาย ความเครียด การส่งเสริมสขุ ภาพจิต การสบู บหุ รี่ แอลกอฮอล์และสารเสพติด การใช้ถงุ ยางอนามยั การซือ้ บริการทางเพศ เป็นต้น 6) ข้อมูลด้านอนามยั สิ่งแวดล้อมของชุมชน ได้แก่ นา้ ด่ืม นา้ ใช้ แหล่งนา้ วิธีปรับปรุง คณุ ภาพนา้ ด่ืม นา้ ใช้ การมีส้วมท่ีถกู สขุ ลกั ษณะ ขยะมลู ฝอยและวิธีการกาจดั ขยะ การบาบดั นา้ ทิง้ แมลง และสตั ว์ท่ีเป็ นพาหะนาโรคและวิธีการกาจดั ฝ่ นุ ละออง หมอกควนั ในอากาศ กลิ่นเหม็น เสียงดงั สารพิษ ตกค้างจากการเกษตร มลพิษจากโรงงานอตุ สาหกรรม 7) ข้อมูลด้านบริการสุขภาพ ได้แก่ ระบบบริการสุขภาพทัง้ ภาครัฐและเอกชน เช่น โรงพยาบาล โรงพยาบาลสง่ เสริมสขุ ภาพตาบล ศนู ย์สขุ ภาพชมุ ชน คลินิก ร้านขายยา การบริการสขุ ภาพ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคดิ และการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[96] แบบพืน้ บ้าน การแพทย์แผนไทย ภูมิปัญญาท้องถิ่น สมุนไพร การนวด ความพึงพอใจต่อการบริการ สขุ ภาพในชมุ ชน คณุ ภาพของการให้บริการสขุ ภาพ ความพอเพียงของสถานบริการสขุ ภาพ เป็นต้น การศกึ ษาและถอดบทเรียนชมุ ชนในโครงการพฒั นาตาบลสขุ ภาวะของขนิษฐา นนั ทบตุ รและดวง พร เฮงบณุ ยพนั ธ์ (2553) พบว่า การศกึ ษาข้อมลู และกระบวนการค้นหา รวบรวม สื่อสาร และนาใช้ข้อมลู ในการตดั สินใจตามประเดน็ ปัญหาสาคญั ของพืน้ ที่ อาศยั ข้อมลู ชดุ พืน้ ฐาน 7 ด้าน คือ (1) ข้อมลู ด้านทนุ ที่ แสดงถึงศกั ยภาพของตาบล (2) ข้อมลู ด้านการสื่อสาร (3) ข้อมลู ด้านการดแู ลสขุ ภาพ ปัญหาสขุ ภาพและ บริการ (4) ข้อมลู ด้านประชากร (5) ข้อมลู ด้านส่ิงแวดล้อม (6) ข้อมลู ด้านเศรฐษกิจชมุ ชน และ (7) ข้อมลู ด้านการเมืองการปกครอง ซ่งึ ข้อมลู ดงั กลา่ วจะแสดงให้เห็นโครงสร้างและศกั ยภาพของพืน้ ท่ีในด้านตา่ งๆ ดงั นนั้ หากพยาบาลอนามยั ชุมชนจะนาไปประยกุ ต์ใช้ ควรจดั เก็บข้อมูลให้ครอบคลมุ ข้อมลู ชดุ พืน้ ฐาน 7 ด้าน เพื่อนาข้อมูลไปใช้วางแผนจัดการปัญหาและสนับสนุนให้เกิดการตดั สินในการแก้ปัญหาบนพืน้ ฐานข้อมลู ที่แท้จริงในพืน้ ท่ี 3.5.4 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูลในชุมชนขึน้ อยู่กับวัตถุประสงค์ของการศึกษาข้อมูล ชนิดของข้อมูล ระยะเวลา งบประมาณ กาลงั คน การเก็บรวบรวมข้อมลู สามารถทาได้หลายวธิ ี ดงั นี ้ 1) การสารวจ (Surveys) เป็ นวิธีการรวบรวมข้อมูลจากคนในชุมชนโดยใช้ชดุ คาถามเพ่ือ ประเมินความต้องการทางสขุ ภาพของชมุ ชน (Allender & Spradley, 2005; Maurer & Smith, 2013) วตั ถปุ ระสงค์ของการสารวจ เพื่อรวบรวมข้อมลู ตา่ งๆ ของชมุ ชนเก่ียวกบั คณุ ลกั ษณะประชากร ปัญหาทาง สขุ ภาพ ความต้องการ รูปแบบการใช้บริการสขุ ภาพ สิ่งอานวยความสะดวก ความสนใจด้านสขุ ภาพของ สมาชกิ ในชมุ ชน 2) การสมั ภาษณ์เชิงลกึ (In-depth interview) เป็ นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลเพ่ือทาความ เข้าใจในรายละเอียดเรื่องราวส่ิงท่ีต้องการศกึ ษาหรือทาความเข้าใจในความหมายของปรากฏการณ์ที่เกิด จากการสงั เกต โดยใช้การบอกเล่าเรื่องราวด้วยภาษาถิ่นของชมุ ชนนนั้ ซ่ึงผู้ให้ข้อมลู มกั เป็ นบุคคลสาคญั (Key informants) ท่ีรู้เร่ืองราวเก่ียวกบั เรื่องนนั้ ๆ ในชมุ ชน หรือมีประสบการณ์มากพอสมควร หรือเป็ นผ้นู า ชมุ ชน เชน่ กานนั ผ้ใู หญ่บ้าน ผ้สู งู อายทุ ่ีรู้ประวตั ศิ าสตร์ของชมุ ชนเป็นอยา่ งดี ปราชญ์ชาวบ้าน เป็นต้น ข้อคาถามสว่ นใหญ่มกั เป็นคาถามท่ีเปิ ดกว้างให้ผ้ใู ห้ข้อมลู หลกั ได้แสดงออกซงึ่ ความคิดเห็น ความรู้สกึ การรับรู้ ได้อยา่ งอิสระ โดยเริ่มจากการสอบถามข้อมลู ทวั่ ๆ ไปก่อน พดู คยุ ตามธรรมชาติ เพื่อให้ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[97] เกิดความค้นุ เคยแล้วค่อยๆ ถามข้อมูลเฉพาะเจาะจงหรือเจาะลึกเฉพาะประเด็นท่ีต้องการศึกษาจนได้ ข้อมลู ที่กระจา่ ง ลกั ษณะของข้อมลู ที่ได้จะเป็ นข้อมลู เชิงคณุ ภาพ หรือข้อมลู ท่ีขยายรายละเอียดจากข้อมลู ท่ี ได้จากการสงั เกต เช่น การศกึ ษาชนกลมุ่ น้อยกบั การเข้าถึงบริการทางสขุ ภาพ พฤติกรรมสขุ ภาพของกล่มุ ผ้ดู ้อยโอกาส เป็ นต้น การสมั ภาษณ์เชิงลึกจะต้องเตรียมแนวคาถาม เพ่ือให้ได้ข้อมลู ตามวตั ถปุ ระสงค์ของ การศกึ ษา ระยะเวลาในสมั ภาษณ์ประมาณ 60-90 นาที (Maurer & Smith, 2013) 3) การสนทนากลมุ่ (Focus group discussion) เป็ นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมลู โดยใช้การ สมั ภาษณ์แบบเจาะจงประเด็น เป็ นการนง่ั สนทนากนั เป็ นกลมุ่ เล็กๆ ซ่ึงเป็ นผ้ใู ห้ข้อมูลหลกั มีวตั ถปุ ระสงค์ เพื่อทาความเข้าใจเกี่ยวกบั ความคดิ เห็น หรือประสบการณ์เฉพาะในเร่ืองใดเรื่องหนึ่งของผ้ใู ห้ข้อมูลหลกั สมาชิกในการสนทนากลุ่มจะประมาณ 5-15 คน (Maurer & Smith, 2013) ซึ่งแต่ละบุคคลจะมี คณุ ลกั ษณะที่ใกล้เคียงกัน (Homogeneous) เช่น อายุ เพศ อาชีพ บทบาท เป็ นต้น ผ้ศู กึ ษาเป็ นผ้ดู าเนิน การสนทนาต้องมีทกั ษะผ้นู า คอยจดุ ประเด็นในการสนทนา ส่งเสริมบรรยากาศของการแลกเปลี่ยนความ คิดเห็นต่อประเด็นการสนทนาให้กว้างขวางและลึกซึง้ ระยะเวลาการสนทนากล่มุ 1-3 ช่วั โมงและการ สนทนาอาจทาได้มากกวา่ 1 ครัง้ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชดั เจนของคนส่วนใหญ่ การสนทนากล่มุ จะต้องเตรียม แนวทางการสนทนากลมุ่ ทาความเข้าใจประเดน็ คาถามให้ชดั เจน เตรียมอปุ กรณ์ตา่ งๆ และสถานที่ที่จะใช้ ในการนง่ั สนทนากลมุ่ ให้ผ้เู ข้าร่วมสนทนารู้สกึ สบาย ไมม่ ีสง่ิ รบกวนจากภายนอก 4) การสงั เกต (Observation) การสังเกต หมายถึง วิธีการพืน้ ฐานในการเก็บข้อมูลที่อาศยั ประสาทสมั ผสั ของผู้สงั เกต โดยตรง เชน่ ตา หู จมกู มือ และร่างกายในการดู การฟัง การเคาะ และการคลา (Smith, & Maurer, 2013) การสงั เกต หมายถึง การเฝ้ าดสู ิ่งท่ีเกิดขนึ ้ หรือปรากฏขึน้ อยา่ งเอาใจใสแ่ ละกาหนดไว้อยา่ งมี ระเบียบวธิ ี เพื่อวิเคราะห์หรือหาความสมั พนั ธ์ของสิง่ ที่เกิดขนึ ้ นนั้ กบั สิง่ อื่น (สภุ างค์ จนั ทวานิช, 2551) รูปแบบการสงั เกต แบง่ เป็น 2 แบบ (สภุ างค์ จนั ทวานชิ , 2551) 1) การสงั เกตแบบไม่มีสว่ นร่วม (Non-participant observation) หรือการสงั เกตโดยตรง หมายถึง เป็ นการสงั เกตในลกั ษณะที่ผ้สู งั เกตเข้าไปสงั เกตโดยไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ กับ กลมุ่ ตวั อยา่ งท่ีต้องการศกึ ษา สงั เกตอย่หู ่างๆ มกั ใช้ในกรณีท่ีไม่ต้องการให้ผ้ถู กู สงั เกตรู้สกึ รบกวนจากตวั ผู้ สงั เกต เชน่ การสงั เกตวิธีการดแู ลรักษาผ้ปู ่ วย อยา่ งไรก็ตามหากผ้ถู กู สงั เกตรู้ตวั ว่ามีคนคอยสงั เกตอยู่ อาจ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[98] มีผลกระทบต่อพฤติกรรมให้ผิดปกติไป วิธีการสงั เกตแบบไม่มีส่วนร่วมผู้สงั เกตหรือผู้วิจยั ต้องคานึงถึง ปัญหาด้านจริยธรรมการวิจยั จริยธรรมของผ้วู ิจยั การไม่ลว่ งละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของกล่มุ ตวั อยา่ ง การ รักษาความลบั ที่เช่ือใจได้ และความรับผิดชอบ 2) การสงั เกตแบบมีส่วนร่วม (Participant observation) หมายถึง เป็ นการสังเกตใน ลกั ษณะท่ีผ้สู งั เกตเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงในกิจกรรมตา่ งๆ กับกล่มุ ตวั อย่างท่ีต้องการศกึ ษา ซ่ึงจะทาให้ เข้าใจปรากฏการณ์ท่ีต้องการศกึ ษาได้อยา่ งลกึ ซงึ ้ การเข้าไปมีสว่ นร่วมในกิจกรรมนนั้ อาจเข้าไปมีสว่ นร่วม แบบสมบรู ณ์ (Complete participant) โดยไมไ่ ด้เปิ ดเผยบทบาทตนเองในฐานะผ้วู ิจยั ให้กล่มุ ตวั อยา่ งหรือ บุคคลในกลุ่มกิจกรรมทราบ นอกจากนีผ้ ู้สังเกตหรือผู้วิจัยอาจเข้าไปมีส่วนร่วมเฉพาะเหตุการณ์หรือ กิจกรรมท่ีตนสนใจ ในฐานะเป็ นผ้สู งั เกต (Incomplete participant หรือ Participant as observer) ซ่ึงเป็ น ลกั ษณะการเข้าไปมีสว่ นร่วมโดยเปิดเผยให้กลมุ่ ตวั อยา่ งและบคุ คลในกล่มุ กิจกรรมได้รับทราบว่าตนเองคือ ผ้วู ิจัย ซึ่งผ้สู งั เกตหรือผู้วิจัยต้องมีการสร้างสมั พนั ธภาพท่ีดี กระทาตนให้เป็ นท่ียอมรับและไว้วางใจจาก บุคคลในกลุ่มกิจกรรมนัน้ ๆ เพื่อให้พฤติกรรมของกลุ่มตวั อย่างและการกระทากิจกรรมต่างๆ ของกลุ่ม เป็นไปในลกั ษณะตามธรรมชาติ ในการสงั เกตนนั้ ผู้สงั เกตควรต้องมีจุดม่งุ หมายชดั เจนว่าจะศกึ ษาอะไร ศึกษากับใครและ เลือกวิธีการสงั เกตท่ีเหมาะสม ลอฟแลนด์ ได้เสนอกรอบของการสงั เกตเพื่อให้ได้ข้อมูลครอบคลุมว่าควร สงั เกตส่งิ ตอ่ ไปนี ้(Lofland, 1971 อ้างใน สภุ างค์ จนั ทวานชิ , 2551) 1) สภาพสงั คม (Setting) หมายถงึ ภาพรวมทกุ แง่มมุ ท่ีผ้สู งั เกตหรือผ้วู ิจยั สามารถประเมิน มาได้ซ่งึ ได้แก่สถานที่และลกั ษณะทางกายภาพและสงั คมที่เก่ียวข้องกบั กิจกรรมและเหตกุ ารณ์ที่ผ้สู งั เกต หรือผ้วู ิจยั กาลงั สงั เกต บคุ คลตา่ งๆ ท่ีปรากฏอยใู่ นสถานท่ีนนั้ 2) การกระทา (Acts) หมายถึง การใช้ชีวิตประจาวนั การกระทาหรือพฤติกรรมตา่ งๆ ของ บคุ คลระหวา่ งกนั เช่น อาหารท่ีชอบบริโภค การออกกาลงั กายท่ีทาเป็ นประจา เสือ้ ผ้าท่ีสวมใส่ สถานที่อยู่ อาศยั เป็นต้น 3) แบบแผนการกระทา (Pattern of activities) หมายถึง การกระทาหรือพฤติกรรมท่ีเป็ น กระบวนการ มีขัน้ ตอน และมีลักษณะต่อเนื่องจนเป็ นแบบแผน เช่น วิธีการเพาะปลูก เลีย้ งสัตว์ ขนบธรรมเนียมประเพณีตา่ งๆ การประกอบพิธีกรรมของชมุ ชน การจดั งานประจาปี ของชมุ ชน เป็นต้น กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[99] 4) การมีสว่ นร่วมในกิจกรรมของชมุ ชน (Participation) หมายถึง เหตกุ ารณ์หรือกิจกรรมที่ เกิดขึน้ มีใครบ้างเป็ นผ้กู ระทาและมีส่วนร่วมอย่างไร กับใคร ในรูปแบบใด นอกจากนีต้ ้องสงั เกตด้วยวา่ มี ใครบ้างท่ีเป็นผ้เู ก่ียวข้องแตไ่ มอ่ ยใู่ นเหตกุ ารณ์ หรือกิจกรรมนนั้ ๆ 5) ความสมั พนั ธ์ (Relationship) หมายถึง ความสมั พนั ธ์ระหว่างบคุ คลในสังคมและ ระหว่างกล่มุ เป็ นความสัมพนั ธ์ที่ราบรื่นหรือความสมั พนั ธ์ที่ขดั แย้ง ความสมั พนั ธ์ที่สาคญั จะช่วยในการ วิเคราะห์โครงสร้ างทางสังคม คือ ความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ความสัมพันธ์ทางการเมือง และ ความสมั พนั ธ์ทางเศรษฐกิจและสงั คม ผ้สู งั เกตต้องสงั เกต การกระทาหรือการเข้าร่วมกิจกรรมหรือไม่เข้า ร่วมกิจกรรมนนั้ เป็ นการกระทาของใครกบั ใคร มีความเก่ียวข้องเชิงสัมพนั ธภาพอย่างไร มีบทบาทและ สถานภาพอยา่ งไร 6) ความหมาย (Meaning) หมายถึง การให้ความหมายแก่การกระทาหรือแบบแผน พฤติกรรมที่เกิดขึน้ ในฐานะที่ตนเองเป็ นส่วนหนึ่งของสังคมและวฒั นธรรมนนั้ การสังเกตความหมายผู้ สงั เกตต้องมองหาข้อมลู บคุ คลในเหตกุ ารณ์นนั้ มองตนเองอย่างไร ทาไมจึงกระทา ไมก่ ระทา ร่วมหรือไม่ ร่วมกิจกรรมนนั้ ๆ การสงั เกตความหมายอาจไม่ได้ข้อมลู ครบถ้วนทนั ทีหลงั การสงั เกตและจะไม่ได้ข้อสรุป จากการสงั เกตเพียงครัง้ เดียวแตจ่ ะได้จากการสงั เกตหลายๆ ครัง้ และการหาข้อมลู เพิ่มเตมิ จากวิธีการเก็บ ข้อมลู วธิ ีอื่นๆ ร่วมด้วย ผ้สู งั เกตจะต้องมีความสามารถในการใช้ประสาทสมั ผสั ในการรับรู้หรือสื่อความหมายจาก สิ่งที่สงั เกตได้ ผ้สู งั เกตควรมีความกระตือรือร้น สงั เกต ฟัง ซกั ถามอย่างไม่เป็ นทางการ คอยตงั้ คาถามใน ระหวา่ งการสงั เกต และจดบนั ทกึ ข้อมลู การบันทึก ควรบันทึกเหตุการณ์หลังจากการสังเกตเห็นโดยเร็วที่สุดทัง้ นีไ้ ม่ควรเกิน 24 ชวั่ โมง ในขณะสังเกต ควรบนั ทึกย่อๆ กันลืม แล้วมาขยายความเพิ่มเติมให้ชดั เจนในตอนหลงั และตงั้ ข้อสงั เกตกับประเด็นต่างๆ ท่ีค้นพบจากการสงั เกตในวนั นนั้ ๆ เพ่ือประโยชน์ในการเก็บข้อมลู ตอ่ การจด บนั ทึกแต่ละครัง้ จะไม่ได้ข้อมลู ครบถ้วน จึงต้องศึกษาเพ่ิมเติมให้ครบตามต้องการ และต้องไม่ด่วนสรุป จนกวา่ จะได้รายละเอียดรอบด้าน สภุ างค์ จนั ทวานิช (2551) ได้เสนอเทคนิคที่ใช้ในการสงั เกตว่ามี 4 แบบ คือ (1) สงั เกตและ จดบนั ทกึ ทกุ ส่งิ ทกุ อยา่ งที่มองเหน็ (2) ไมส่ งั เกตและไมจ่ ดบนั ทึกอะไรเลย รอให้มีเหตกุ ารณ์สะดดุ ใจเกิดขนึ ้ จงึ เร่ิมสงั เกตและจดบนั ทกึ (3) สงั เกตสิ่งที่ขดั แย้ง และ (4) สงั เกตส่งิ ที่ชมุ ชนมองเห็นวา่ เป็นปัญหาใหญ่ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[100] 5) การวิเคราะห์ข้อมลู เอกสาร (Secondary analysis) ข้อมลู เอกสารมกั จาแนกตามท่ีมาของ เอกสารซงึ่ แบง่ เป็ น เอกสารชนั้ ต้น และเอกสารชนั้ รอง เอกสารชนั้ ต้ น คือ เอกสารท่ีเป็ นข้อมลู หรือหลกั ฐาน โดยตรงถือเป็นต้นฉบบั เช่น จดหมายเหตุ บนั ทกึ สถิติ อตั ชีวประวตั ิ เป็ นต้น เอกสารชนั้ รอง คือ ข้อมลู หรือ หลกั ฐานที่ไม่ใชไ่ ด้มาโดยตรงจากเหตกุ ารณ์หรือสถานการณ์หน่งึ ๆ แตไ่ ด้มาจากแหล่งอ่ืนๆ มีผ้รู วบรวมไว้ แล้วนามาวเิ คราะห์ เสนอหรืออ้างอิง เชน่ งานวิจยั ตา่ งๆ (สภุ างค์ จนั ทวานิช, 2551) การใช้ข้อมลู เอกสารผู้ ศกึ ษาหรือผ้วู ิจยั ต้องตรวจสอบเอกสารนนั้ ก่อนว่าตรงกบั ความต้องการ แหล่งของข้อมูลและเป็ นเอกสารที่ แท้จริงก่อนนาไปใช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู 3.5.5 เคร่ืองมือท่ีใช้ในการรวบรวมข้อมูลชุมชน เคร่ื องมือท่ีถูกออกแบบสาหรับใช้ ในการรวบรวมข้ อมูลชุมชนนัน้ มีหลายรูบแบบ ได้ แก่ แบบสอบถาม แบบทดสอบ แบบสมั ภาษณ์ และแบบสงั เกต รายละเอียดแตล่ ะแบบดงั นี ้ 1) แบบสอบถาม (Questionnaire) แบบสอบถาม หมายถึง ชดุ ของคาถามหรือตารางคาถามที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู (ลดั ดาวัลย์ เพชรโรจน์ และอัจฉรา ชานิประศาสน์, 2547) ผ้ศู ึกษาจะสร้างแบบสอบถามขึน้ เองหรือจะใช้ แบบสอบถามที่เป็นมาตรฐานท่ีผ้อู ื่นสร้างไว้แล้ว ผ้ตู อบจะเป็นผ้กู รอกแบบสอบถามเอง แบบสอบถาม เป็ นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็น ทัศนคติ แบบสอบถามที่ดีต้องสามารถวดั ส่ิงที่ต้องการตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตงั้ ไว้ (Validity) และต้องมีความ สม่าเสมอในการวดั ไม่ว่าจะวดั ซา้ ก่ีครัง้ คาตอบจะได้ตามเดิม (Reliability) แบบสอบถามมีทงั้ ปลายเปิ ด และปลายปิด ดงั นี ้ (1) แบบสอบถามปลายเปิ ด (Open ended questionnaires) คือ แบบสอบถามที่มีข้อ คาถามที่เปิ ดโอกาสให้ผู้ตอบแสดงความคิดเห็น ความรู้สึกโดยอิสระ ไม่ได้กาหนดคาตอบท่ีแน่นอนให้ เลือกตอบ แบบสอบถามปลายเปิดนิยมใช้ในการศกึ ษาวจิ ยั เชิงคณุ ภาพ (2) แบบสอบถามปลายปิ ด (Close ended questionnaires) คือ แบบสอบถามท่ีมีข้อ คาถาม ซง่ึ กาหนดตวั เลือกไว้โดยผ้ตู อบสามารถเลือกตามความต้องการ เชน่ ข้อคาถามท่ีให้ตอบรับหรือปฏิเสธ เชน่ ตอบวา่ ใช่-ไมใ่ ช่ ถกู -ไมถ่ กู เหมาะสม-ไมเ่ หมาะสม เคย-ไมเ่ คย มี- ไมม่ ี เป็นต้น ตวั อยา่ งเชน่ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[101] ทา่ นออกกาลงั กาย 3 ครัง้ ตอ่ สปั ดาห์ ใชห่ รือไม่ ( ) ไมใ่ ช่ ( ) ใช่ ในรอบปี ท่ีผา่ นมามีสมาชิกในครอบครัวเจบ็ ป่ วย ไมส่ บาย หรือไม่ ( ) ไมม่ ี ( ) มี ข้อคาถามท่ีให้เลือกตอบ อาจเลือกตอบเพียงข้อเดียวหรือหลายข้อก็ได้ ตวั อยา่ งเชน่ เพศ ( ) ชาย ( ) หญิง การดแู ลรักษาเม่ือสมาชิกในครอบครัวเจ็บป่ วยเล็กน้อย (ตอบได้หลายข้อ) ( ) ซือ้ ยากินเอง ( ) ใช้ยาสมนุ ไพร ( ) รพ.สต. ( ) รพ.ชมุ ชน ( ) รพ.ศนู ย์ ( ) คลนิ ิกเอกชน ( ) รพ.เอกชน ( ) อ่ืนๆ ระบ…ุ … ข้อคาถามแบบจดั ลาดบั ความสาคญั โดยให้ผ้ตู อบเรียงลาดบั ความสาคญั โดยอาจเรียง จากมากที่สดุ ถงึ น้อยที่สดุ หรือจากน้อยท่ีสดุ ไปถงึ มากท่ีสุด หรือเรียงอนั ดบั 1 2 3 ตวั อยา่ งเชน่ ทา่ นได้รับข้อมลู ข่าวสารเกี่ยวกบั สขุ ภาพจากชอ่ งทางใดจากมากไปน้อย (โปรดใส่ หมายเลขจาก 1-5) ( ) วิทยุ ( ) โทรทศั น์ ( ) หนงั สือพมิ พ์ ( ) แผน่ พบั / โปสเตอร์ ( ) ผ้นู าชมุ ชน/ กานนั / ผ้ใู หญ่บ้าน/ อบต. ข้อคาถามแบบมาตรประมาณค่า (Rating scale) เป็ นแบบสอบถามที่นิยมใช้กัน แพร่หลาย ลกั ษณะของแบบสอบถามมาตรประมาณค่าจะกาหนดคาตอบของคาถามแตล่ ะข้อสาหรับให้ ผู้ตอบเลือกตอบตามความคิดเห็น โดยลักษณะคาตอบท่ีให้เลือกตอบจะเป็ นข้อความที่เป็ นระดบั แต่ สามารถนามากาหนดให้คา่ เป็ นตวั เลขของแต่ละข้อความ เช่น มีตวั เลือก 4 ระดบั ได้แก่ มากท่ีสดุ มาก เล็กน้อย น้อยมาก ก็ให้คา่ ตวั เลข 4, 3, 2, 1 เรียงตามระดบั ของคาตอบ ตวั อยา่ งเชน่ ทา่ นมีความมน่ั ใจตอ่ บริการที่ได้รับจากโรงพยาบาลรัฐในระดบั ใด ( ) มากท่ีสดุ ( ) มาก ( ) เล็กน้อย ( ) น้อยมาก ข้อคาถามเป็ นมาตรวดั แบบลิเคริ ์ท (Likert scale) เป็ นแบบสอบถามที่ใช้วดั ความคิดเห็น และเจตคติของกลมุ่ ตวั อยา่ ง มาตรวดั แบบลิเคิร์ทเป็ นแบบมาตรวดั 5 ระดบั ตวั อย่าง เช่น กาหนดตวั เลือก ได้แก่ เห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็นด้วย ไมแ่ น่ใจ ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอยา่ งย่ิง หรือ ประจา บอ่ ยครัง้ บางครัง้ นานๆ ครัง้ น้อยครัง้ เป็นต้น การให้คะแนนของมาตรวดั จาก 1-5 โดยเรียงจากข้อคาถามเชิงลบมากท่ีสดุ ไป กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคดิ และการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[102] ยงั คาตอบเชงิ บวกมากที่สดุ กรณีเป็นคาถามเชิงลบ (negative) การให้คะแนนจะตรงกนั ข้ามกบั คาถามเชิง บวก ตวั อยา่ งเชน่ ข้อคาถาม มีระดบั ความคิดเห็น เชน่ เห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย ไม่ เหน็ ด้วยอยา่ งย่ิง การให้คะแนนข้อคาถามเชิงบวก จะให้ 5, 4, 3, 2, 1 คะแนน ตามลาดบั การให้คะแนนข้อคาถามเชงิ ลบ จะให้ 1, 2, 3, 4, 5 คะแนน ตามลาดบั ข้อคาถามที่เป็ นมาตรวดั แบบ Double anchored visual scale ลกั ษณะมาตรวดั แบบนี ้ หรือเรียกว่า Visual analog scale นิยมใช้วดั อารมณ์ (Mood) ความวิตกกงั วล คณุ ภาพการนอนหลบั การ ทาหน้าที่ของอวยั วะตา่ งๆ ในร่างกาย (Functional abilities) ความเจบ็ ปวด เป็นต้น ตวั อยา่ งเชน่ อาการปวดข้อเขา่ ไมป่ วด ปวดมากที่สดุ 2) แบบทดสอบ (Test) แบบทดสอบ เป็ นชดุ คาถามท่ีใช้วดั ความรู้ความสามารถของผ้เู รียนหรือผ้ตู อบแบบทดสอบ ได้แก่ แบบทดสอบด้านพทุ ธิพิสยั ด้านเจตคติ และด้านทกั ษะ หรือแบบทดสอบเพื่อวดั ความสามารถทาง สมอง พฒั นาการ เชน่ แบบทดสอบเชาว์ปัญญา แบบทดสอบความถนดั เป็นต้น 3) แบบสมั ภาษณ์ (Interview form) แบบสัมภาษณ์ หมายถึง เป็ นชุดของคาถามที่ใช้ถามและผู้สัมภาษณ์เป็ นผู้จดบันทึก คาตอบของการสมั ภาษณ์ แบบสมั ภาษณ์สามารถใช้ถามเป็ นรายบคุ คลหรือสมั ภาษณ์เป็ นกล่มุ ก็ได้ กรณีท่ี ผ้ถู กู สมั ภาษณ์มีข้อกาจดั ในการตอบแบบสอบถามด้วยตนเอง เช่น ผ้สู งู อายทุ ่ีมีปัญหาเรื่องสายตาและการ อา่ น หรือการสอบถามพฒั นาการเด็กแรกเกิดถึง 5 ปี ควรเลือกใช้แบบสมั ภาษณ์ในการเก็บรวบรวมข้อมลู ก่อนการสมั ภาษณ์นนั้ ผ้สู มั ภาษณ์ควรศกึ ษาข้อคาถามและทาความเข้าใจคาถาม ความหมายของคาแตล่ ะ คาและแปลความหมายให้เข้าใจตรงกนั เสียกอ่ น ประเภทของแบบสมั ภาษณ์ แบง่ ออกเป็น 4 ประเภท (1) แบบสมั ภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured interview) คือ แบบสมั ภาษณ์ซง่ึ มีการ เตรียมคาถามไว้ลว่ งหน้า ซึ่งมีลกั ษณะคล้ายแบบสอบถาม แตค่ าถามในการสมั ภาษณ์ ผ้สู มั ภาษณ์จะเป็ น ผ้ถู ามโดยผ้ถู กู ถามจะเป็นผ้ตู อบ แตแ่ บบสอบถาม ผ้ตู อบจะเป็ นทงั้ ผ้ถู ามและผ้ตู อบ (ลดั ดาวลั ย์ เพชรโรจน์ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[103] และอจั ฉรา ชานิประศาสน์, 2547) ใครเป็ นผ้สู มั ภาษณ์ก็จะใช้คาถามเดียวกัน มีการเรียงลาดบั เรื่องท่ีจะ ถามเป็ นขนั้ ตอนเหมือนกนั การสมั ภาษณ์แบบมีโครงสร้างเหมาะสาหรับเปรียบเทียบข้อมลู ระหว่างบคุ คล จานวนมาก (2) แบบสมั ภาษณ์แบบก่ึงโครงสร้าง (Semi-structures interview) คือ แบบสมั ภาษณ์ที่มี ส่วนท่ีตงั้ คาถามไว้แล้วและส่วนที่ไม่ได้ตงั้ คาถามไว้ ซึ่งผ้สู มั ภาษณ์/ผ้วู ิจยั มีอิสระในการถามอย่างเจาะลึก เพ่ือค้าหาคาตอบตามต้องการได้ (3) แบบสมั ภาษณ์แบบไมม่ ีโครงสร้าง (Unstructured interview) หรือแบบสมั ภาษณ์แบบ ไม่เป็ นทางการ คือ แบบสัมภาษณ์ท่ีมีลักษณะคาถามเป็ นคาถามปลายเปิ ด ซึ่งแตกต่างจากแบบมี โครงสร้างและแบบก่ึงโครงสร้าง คาถามเกิดขนึ ้ กะทนั หนั ตามธรรมชาตริ ะหว่างท่ีมีการสมั ภาษณ์ ไม่มีการ กาหนดประเด็นคาถามล่วงหน้า (ลดั ดาวัลย์ เพชรโรจน์ และอจั ฉรา ชานิประศาสน์, 2547) โดยแบบ สมั ภาษณ์แบบไมม่ ีโครงสร้างนิยมใช้ในการศกึ ษาวิจยั เชงิ ชาตพิ นั ธ์ุวรรณนา การวิจยั เชิงประวตั ศิ าสตร์ (4) แบบสัมภาษณ์กลุ่ม (Group interview) คือ แบบสัมภาษณ์ที่มีลกั ษณะคาถาม ปลายเปิดท่ีให้ผ้สู มั ภาษณ์/นกั วิจยั ศกึ ษาเฉพาะเจาะจงในประเดน็ ตา่ งๆ โดยให้กลมุ่ ที่ต้องการศกึ ษาร่วมกนั อธิบายหวั ข้อท่ีสนใจ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความคดิ เหน็ เป็นต้น 5) แบบสงั เกต (Observation form) แบบสังเกตเป็ นเครื่องมือวัดพฤติกรรมของบุคคล โดยผ่านการรับรู้ของผู้สงั เกตเป็ นหลัก พฤตกิ รรมท่ีสงั เกต เชน่ การพดู การซกั ถาม การฝึกปฏิบตั ิ ลกั ษณะทา่ ทาง เครื่องมือท่ีใช้ในการสงั เกต เช่น แบบตรวจสอบรายการ (Check list) เป็ นชดุ รายการสิ่งที่ ต้องการประเมิน เช่น พฤติกรรม หรือ การปฏิบตั ิ โดยแตล่ ะรายการจะถูกประเมินว่า มีหรือไม่มี ใช่หรือ ไมใ่ ช่ ปฏิบตั หิ รือไมป่ ฏิบตั ิ เป็นต้น ตวั อยา่ งแบบสงั เกตพฤตกิ รรม เชน่ โปรดทาเครื่องหมายถกู (√) ให้ตรงกบั ชอ่ งคาตอบเม่ือสงั เกตเห็นการปฏิบตั กิ ารพยาบาลของ พยาบาลที่ท่านได้รับ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคดิ และการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[104] รายการการปฏบิ ัตกิ ารพยาบาล ปฏิบัติ ไม่ปฏบิ ัติ ไม่มีเหตกุ ารณ์ พดู ให้กาลงั ใจผ้ปู ่ วย กระต้นุ ให้ผ้ปู ่ วยมีความมน่ั ใจในการ ฝึ กบริหารร่างกายด้วยตนเอง ให้คาแนะนาการดแู ลตนเองเกี่ยวกบั การรับประทานอาหาร แนะนาการมาตรวจตามนดั ตามแผนการรักษาพยาบาล แบบสงั เกตที่เป็ นแบบมาตรประมาณคา่ (Rating scale) เป็ นแบบสงั เกตท่ีใช้บนั ทกึ ระดบั ความมากน้อยหรือระดบั ความรุนแรงของปรากฏการณ์ท่ีสงั เกตหรือพฤตกิ รรมท่ีสงั เกต กาหนดระดบั ช่วง เป็นมาตรประมาณคา่ 3 ระดบั เชน่ มาก ปานกลาง น้อย หรือเป็นมาตรประมาณคา่ 5 ระดบั เชน่ มากที่สดุ มาก ปานกลาง น้อย น้อยท่ีสุด หรือมาตรประมาณคา่ มากกว่า 5 ระดบั ก็ได้ขึน้ อย่กู บั ความละเอียดของ ปรากฏการณ์ที่สงั เกต 3.6 ขัน้ ตอนการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ขนั้ ตอนการเก็บรวบรวมข้อมลู ชมุ ชน มีดงั นี ้(กองสนบั สนนุ สขุ ภาพภาคประชาชน, 2554) 1. กาหนดวตั ถปุ ระสงคก์ ารรวบรวมข้อมลู ให้ชดั เจน 2. สร้างเครื่องมือตามวตั ถปุ ระสงคท์ ี่วางไว้ 3. การเตรียมผ้เู ก็บข้อมลู เพื่อทาความเข้าใจเครื่องมือ วิธีการรวบรวมข้อมลู และวตั ถปุ ระสงค์ ของการรวบรวมข้อมลู 4. การเตรียมชมุ ชน การเตรียมชมุ ชน (Community preparation) หมายถึง การดาเนินการให้สภาพการณ์ของชมุ ชนมี ความพร้ อม เหมาะสมท่ีจะแก้ไขปัญหาของชุมชนและพร้ อมท่ีจะพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่องในอนาคต (อดิศร วงศ์คงเดช, 2539 อ้างในเพ็ญศรี เปล่ียนขา, 2542) ก่อนเร่ิมทาการประเมินภาวะสุขภาพชมุ ชน พยาบาลอนามัยชุมชนควรทาความรู้จักคุ้นเคยกับพืน้ ท่ีและคนในชุมชนโดยการสร้ างสัมพันธภาพ มี ปฏิสมั พนั ธ์ที่ดีกบั ชมุ ชน เพื่อให้เกิดความไว้วางใจ ยอมรับในตวั บคุ ลากรสขุ ภาพ และเพื่อให้ทกุ คนหรือทกุ ฝ่ ายที่เก่ียวข้องได้มีความพร้อม ความเข้าใจในวตั ถปุ ระสงค์ของการทางาน แผนงาน การดาเนินการตา่ งๆ ก่อนลงมือปฏิบตั งิ านจริง กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคดิ และการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[105] การเตรียมชุมชน มีดงั นี ้(เพญ็ ศรี เปลี่ยนขา, 2542) 1. การเตรียมตนเองหรือบคุ ลากรด้านสขุ ภาพ เพื่อให้มีความพร้อมที่จะทางานร่วมกบั ประชาชน 1.1 การเตรียมความรู้ความเข้าใจของตนเองเกี่ยวกบั ความหมายของชมุ ชน ขอบเขตของชมุ ชน และความสนใจร่วมของสมาชกิ ในชมุ ชนวา่ คืออะไร ระบกุ ลมุ่ เป้ าหมายท่ีศกึ ษาอยา่ งชดั เจน 1.2 ทบทวนทกั ษะด้านการส่ือสาร ทงั้ การฟัง การพดู การเขียน การอ่าน การประสานงาน เพื่อ สื่อสารให้มีความเข้าใจตรงกันระหว่างผู้ปฏิบตั ิงาน ทีมงาน และประชาชน และทักษะการเก็บรวบรวม ข้อมูล เช่น การสมั ภาษณ์ การสงั เกต การฟัง การสนทนากลุ่ม เพ่ือเป็ นประโยชน์ในการเก็บข้อมลู การ วนิ ิจฉยั ปัญหาและวางแผนจดั โครงการแก้ปัญหาสขุ ภาพอนามยั ของชมุ ชน 1.3 เตรียมและศึกษาการใช้เครื่องมือต่างๆ อย่างละเอียด เช่น แบบสอบถาม แบบสารวจ ซกั ซ้อมความเข้าใจทงั้ การศกึ ษาด้วยตนเองและการปรึกษาจากผ้ทู ี่มีประสบการณ์ 1.4 จดั เตรียมอุปกรณ์ เครื่องมือตา่ งๆ ให้อยใู่ นสภาพพร้อมใช้งาน เช่น แผนท่ีภาพถ่าย ตลบั เมตร เข็มทิศ กล้องถ่ายรูป ปากกา ดนิ สอ แบบสอบถาม เป็นต้น 2. การเตรียมประชาชน หรือองค์กรตา่ งๆ ในชมุ ชน การเตรียมประชาชนท่ีจะเข้าร่วมในการแก้ปัญหาสขุ ภาพอนามยั ด้วยตนเองนนั้ ประชาชนต้องเห็น ความสาคญั ของปัญหาและผลกระทบท่ีเกิดขนึ ้ ด้านสขุ ภาพหากไม่ได้รับการแก้ไขปัญหา จงึ จาเป็ นต้องทา ความเข้าใจกับประชาชน ชีแ้ จงให้ประชาชนเข้าใจถึงปัญหาต่างๆท่ีเกิดขึน้ กระตุ้นให้ชุมชนรับรู้และ ตระหนกั ในปัญหาของชุมชน ชีใ้ ห้เห็นประโยชน์ของความร่วมมือของประชาชนว่ามีประโยชน์อย่างไรตอ่ ชมุ ชนของตนเอง กระต้นุ ให้องค์กรชมุ ชน ผ้นู าชมุ ชนที่สาคญั ในหม่บู ้านให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา รวมถึงหน่วยบริการสขุ ภาพในชมุ ชน เช่น เจ้าหน้าที่ศนู ย์สขุ ภาพชุมชน/โรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตาบล ทีมสหวิชาชีพ เป็ นต้น ผู้นาและองค์กรท่ีสาคัญในหมู่บ้าน ได้แก่ กานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นาศาสนา คณะกรรมการสภาตาบล คณะกรรมการหมบู่ ้าน องคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่ิน (อบต./ เทศบาล) อาสาสมคั ร ประจาหมู่บ้าน เป็ นต้น การเตรียมผู้นาและองค์กรชุมชนโดยการจัดประชุมชีแ้ จงให้ทราบแผนงานและ นโยบายตา่ งๆท่ีเก่ียวข้องท่ีจะเป็นประโยชน์แก่สขุ ภาพของประชาชน หลงั จากนนั้ ทาการชีแ้ จงแก่ประชาชน เพ่ือถ่ายทอดนโยบายและแผนการดาเนนิ งานร่วมกนั กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[106] ดงั นนั้ การจดั เตรียมประชาชนในชมุ ชนเป็นส่ิงจาเป็น เพื่อให้ประชาชนทกุ คนในชมุ ชนเข้ามามีสว่ น ร่วมในการดาเนินการอย่างแท้จริง การดาเนินการพฒั นาชุมชนหากไม่ได้เตรียมประชาชนในชุมชนให้มี ความพร้อมที่จะร่วมกนั ทางานยอ่ มได้รับความร่วมมือน้อย หรือไมไ่ ด้รับความร่วมมือจากประชาชนเลย 3. การวางแผนเตรียมการดาเนินงาน (สมใจ วินจิ กลุ , 2552) เป็นการจดั เตรียมแผนงาน ศกึ ษาและ ทาความเข้าใจแผนงานอยา่ งละเอียดก่อนดาเนินการ กาหนดขนั้ ตอน กิจกรรมการดาเนินงาน แนวทางการ ประเมินผล และกาหนดบทบาทหน้าที่ผู้รับผิดชอบโดยให้ชุมชนมีส่วนร่วม เพ่ือให้การดาเนินการบรรลุ เป้ าหมายตามระยะที่กาหนด 3.7 การวเิ คราะห์ข้อมูลและการนาเสนอข้อมูล 3.7.1 การวเิ คราะห์ข้อมูลปัญหาสุขภาพอนามัย ขนิษฐา นนั ทบตุ ร (2551) ชีใ้ ห้เห็นการวิเคราะห์ปัญหาสขุ ภาพและความต้องการการดแู ลสขุ ภาพ ชมุ ชน เป็นกระบวนการท่ีเกิดขนึ ้ ตอ่ เน่ืองกบั กระบวนการประเมินชมุ ชน ซึ่งการวิเคราะห์ปัญหาสขุ ภาพหรือ ท่ีเกี่ยวข้องกับสขุ ภาพและความต้องการของประชาชนนนั้ อาศยั หลายขนั้ ตอน ได้แก่ การวิเคราะห์และจดั หมวดหมขู่ องข้อมลู ชมุ ชน การตีความข้อมลู และการระบปุ ัญหาสขุ ภาพและสาเหตุ และการสงั เคราะห์เพ่ือ บง่ บอกถงึ ความต้องการการดแู ลสขุ ภาพของประชาชนในชมุ ชน แนวทางการวเิ คราะห์จดั หมวดหมขู่ องข้อมลู ชมุ ชน ดงั นี ้(ขนิษฐา นนั ทบตุ ร, 2551: 183) 1) การแบง่ หมวดหมขู่ ้อมลู เป็ นการวางข้อมูลตามกลมุ่ ข้อมูลตามกรอบการศกึ ษาท่ีกาหนดไว้ เชน่ ข้อมูลประชากร ข้อมูลทุนทางสังคม ข้อมูลบริการสุขภาพในชุมชน ข้อมูลท่ีแสดงปัญหาสุขภาพของ ประชาชนในพืน้ ท่ี เป็นต้น 2) การแจงนบั ข้อมลู และการคานวณคา่ ทางสถิติที่กาหนด ข้อมลู เชิงปริมาณใช้การแจงนบั ความถ่ี ร้อยละ และการวิเคราะห์ตามแนวทางการวิเคราะห์ที่กาหนด เชน่ คา่ เฉล่ีย คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน เป็นต้น 3) การจดั เนือ้ หาของข้อมลู เป็นการจดั ข้อมลู เชงิ คณุ ภาพที่เป็นการหาประเดน็ สาคญั ของเรื่อง และ คาอธิบายเรื่องโดยละเอียดตามวตั ถปุ ระสงค์ ของการเก็บข้อมลู ชดุ นนั้ ๆ 4) การนาเสนอข้อมลู ซงึ่ เป็นไปตามลกั ษณะของข้อมลู เชน่ นาเสนอโดยตาราง แผนภาพ หรือการ บรรยายความเพ่ือเลา่ ความเชื่อมโยงระหวา่ งปัญหาสขุ ภาพและที่มาหรือเหตปุ ัจจยั กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[107] ตารางท่ี 2 แสดงตวั อยา่ งการแจงนบั ความถ่ีสถานภาพสมรส สถานภาพสมรส การแจงนับ ความถ่ี (จานวน) โสด ///// ///// ///// 15 คู่ ///// ///// 10 หม้าย //// 4 หยา่ /แยก / 1 รวม 30 30 3.7.2 การนาเสนอข้อมูลท่ีได้จากการรวบรวมข้อมูล ข้อมลู ดบิ ทงั้ หมดท่ีรวบรวมได้เมื่อผา่ นการตรวจสอบความสมบรู ณ์และความถกู ต้องของข้อมลู แล้ว จะถูกนาไปประมวลผลข้อมูล ซ่ึงสามารถประมวลได้โดยเคร่ืองคานวณธรรมดาหรือโดยใช้โปรแกรม สาเร็จรูปทางสถิติ หลงั จากนนั้ ผลที่ได้จะถกู นามาจดั แสดงให้อยใู่ นรูปแบบตา่ งๆ ตามวตั ถปุ ระสงค์ของการ นาเสนอข้อมลู เพ่ือนาเสนอข้อมลู ข้อเทจ็ จริงที่ได้จากการศกึ ษาและแปลความหมายข้อมลู จากผลท่ีได้รับ การนาเสนอข้อมลู ขนึ ้ อยกู่ บั ลกั ษณะของข้อมลู และวตั ถปุ ระสงค์ของการนาเสนอ การนาเสนอควร มีความเรียบง่ายตอ่ ความเข้าใจ ไม่ซบั ซ้อนท่ีทาให้ผ้อู ่านสบั สน และข้อมลู มีความครบถ้วน การนาเสนอมี รูปแบบตา่ งๆ ดงั นี ้(พลู สขุ หงิ คานนท์, 2554) 1) นาเสนอเป็นบทความ (Text presentation) เป็นการนาข้อมลู ท่ีได้วิเคราะห์ข้อมลู แล้วนามาเรียบเรียงเขียนเป็ นบทความหรือพรรณนา ข้อมลู เพ่ือให้เห็นรายละเอียดของข้อมลู ใช้ในกรณีท่ีจานวนข้อมูลที่นาเสนอมีน้อย ในการเขียนพรรณนา นนั้ จะนาข้อมูลตวั เลขแทรกลงไปในบทความ หากข้อมูลมีตวั เลขมากจะนาเสนอเฉพาะตวั เลขท่ีสาคญั เทา่ นนั้ เชน่ ผลการสารวจหม่บู ้าน พบว่า ประชาชนสว่ นใหญ่มีอาชีพทานา ร้อยละ 70 รองลงมาคือ อาชีพทา สวน ร้อยละ 15 และรับจ้างทว่ั ไป ร้อยละ 10 2) นาเสนอเป็นบทความกงึ่ ตาราง (Semi-tabular presentation) เป็นการนาเสนอข้อมลู ที่เป็ นบทความโดยนาตวั เลข คา่ สถิติตา่ งๆ มาจดั ให้เป็ นหมวดหมู่ เรียงเป็นแถว ลาดบั ความสาคญั จากมากไปหาน้อย ตวั อยา่ งเชน่ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[108] รายงานผู้ป่ วยในตามกลุ่มสาเหตุการป่ วย พบว่า อัตราป่ วยต่อประชากรแสนคน จาแนกจาก สาเหตกุ ารป่ วยที่สาคญั ปี พ.ศ.2558 ดงั นี ้ ความผิดปกตขิ องตอ่ มไร้ทอ่ โภชนาการและเมตะบอลิก 3,136.40 ตอ่ แสนประชากร โรคความดนั โลหติ สงู 1,882.32 ตอ่ แสนประชากร โรคเบาหวาน 1,233.46 ตอ่ แสนประชากร โรคโลหิตจางอื่นๆ 1,156.98 ตอ่ แสนประชากร โรคไตวาย 993.89 ตอ่ แสนประชากร 3) นาเสนอในรูปตาราง (Tabular presentation) เป็ นการนาเสนอข้อมูลเชิงปริมาณโดยจดั ใส่ในตาราง ซ่ึงจะช่วยให้เห็นข้อมลู ได้ง่าย ชดั เจน สะดวกตอ่ การอ่าน การวิเคราะห์ และเปรียบเทียบความแตกตา่ งของข้อมูลหรือหาความสมั พนั ธ์ ของข้อมลู การนาเสนอข้อมลู ในรูปตารางท่ีพบได้บอ่ ยได้แก่ ตาราง 1 ตวั แปร (One-variable table) ตาราง 2 ตวั แปร (Two-variable table) และตาราง 3 ตวั แปร (Three-variable table) ตาราง 1 ตวั แปร เชน่ นาเสนอจานวนและร้อยละผ้ปู ่ วยโรคเบาหวานจาแนกตามกลมุ่ อายุ ตาราง 2 ตวั แปร เชน่ นาเสนอจานวนและร้อยละผ้ปู ่ วยโรคเบาหวานจาแนกตามกลมุ่ อายแุ ละเพศ ตาราง 3 ตวั แปร เชน่ นาเสนอจานวนผ้ปู ่ วยโรคเบาหวานจาแนกตามกลมุ่ อายุ เพศ และเชือ้ ชาติ การนาเสนอข้อมลู ด้วยตาราง มีสว่ นประกอบของตารางสามารถสรุปได้ดงั นี ้ (1) หมายเลขตาราง (Table number) เป็นการระบใุ ห้ทราบวา่ ตารางที่นาเสนอเป็ นตาราง ที่เท่าไหร่ โดยจะเรียงหมายเลขตามลาดบั ตารางในกรณีที่นาเสนอตารางมากกว่า 1 ตารางขึน้ ไป เช่น ตารางที่ 1 ตารางท่ี 2 (2) ชื่อตาราง (Title) เป็ นสว่ นท่ีบอกให้ทราบว่าตารางนนั้ เป็ นตารางอะไร ได้มาจากท่ีใด ได้มาเมื่อไร และจาแนกรายละเอียดของตวั แปรวา่ เป็นอะไรบ้าง (3) ต้นขวั้ (Stub) ประกอบด้วยหวั ขวั้ (Stub head) ซ่ึงระบไุ ว้ท่ีคอลมั ภ์แรกบนสดุ และตวั ขวั้ (Stub entry) จะอยแู่ ถวถดั มาของคอลมั ภ์แรก (4) หวั เรื่อง (Caption) เป็ นรายละเอียดย่อยๆ เพื่อให้ผ้อู ่านเข้าใจความหมายของข้อมลู มากขนึ ้ และใช้ประกอบกบั ต้นขวั้ จงึ ได้ความสมบรู ณ์ (5) ตวั เร่ือง (Body) เป็นตวั เลขข้อมลู หรือคา่ สถิตทิ ี่ต้องการแสดง ซง่ึ จดั ใสอ่ ยใู่ นตาราง กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[109] (6) แหลง่ ที่มา จะวางไว้ใต้ตารางเพื่อบอกให้ทราบว่าข้อมลู ดงั กล่าวมาจากท่ีไหน ในกรณี ข้อมูลท่ีมาจากแหล่งปฐมภูมิจะไม่นิยมบอกแหล่งท่ีมาใต้ตาราง แตใ่ ช้วิธีเขียนพรรณนาว่าได้ทาการเก็บ รวบรวมข้อมลู มาจากท่ีใด โดยวธิ ีใด ถ้าเป็นตารางท่ีคดั ลอกมาให้ใสแ่ หลง่ ที่มาของข้อมลู ไว้ใต้ตารางด้วย หมายเลขตาราง ชื่อตาราง ตารางท่ี 3 แสดงจานวนและร้อยละของประชากร หมู่ 6 ชมุ ชนบ้านนา จาแนกตามเพศ หวั ขวั้ หวั เร่ือง เพศ จานวน ร้อยละ ชาย 174 47.9 ตวั เรื่อง ตวั ขวั้ 189 52.1 หญิง รวม 363 100.0 แหล่งท่มี า: ข้อมลู จากชมุ ชนบ้านนา หมู่ 6 พ.ศ.2556 แหลง่ ที่มา กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[110] ตวั อยา่ งการนาเสนอข้อมลู 2 ตวั แปร ตารางท่ี 4 แสดงตวั อยา่ งจานวนและร้อยละของประชากรชมุ ชนเหนือ จาแนกตามชว่ งอายแุ ละเพศ ช่วงอายุ (ปี ) เพศชาย ร้อยละ เพศหญิง ร้อยละ รวม ร้อยละ (คน) (คน) (คน) 0-4 15 4.8 10 3.3 25 8.1 5-9 17 5.5 5 1.6 22 7.2 10-14 16 5.2 18 5.9 34 11 15-19 10 3.2 13 4.2 23 7.5 20-24 8 2.6 12 3.9 20 6.5 25-29 5 1.6 6 1.9 11 3.5 30-34 7 2.3 8 2.6 15 4.9 35-39 14 4.5 11 3.5 25 8.0 40-44 8 2.6 11 3.5 19 6.2 45-49 12 3.9 13 4.2 25 8.0 50-54 11 3.5 11 3.5 22 7.2 55-59 5 1.6 8 2.6 13 4.2 60-64 7 2.3 6 1.9 13 4.2 65-69 6 1.9 8 2.6 14 4.5 70-74 2 0.6 6 1.9 8 2.6 75 ปี ขนึ ้ ไป 10 3.2 12 3.9 22 7.2 รวม 153 49.2 158 50.8 311 100 ท่มี า: ข้อมลู จากชมุ ชนเหนือ ณ เดอื นสิงหาคม 2558 4) นาเสนอด้วยกราฟ (Graphic presentation) เป็ นการแสดงข้อมลู ตอ่ เน่ืองของข้อมลู 2 ด้านทงั้ แกนตงั้ Y และแกนนอน X มีหลายรูปแบบดงั นี ้ (1) กราฟเส้น (Line graph) เป็ นการนาเสนอความสมั พนั ธ์ของข้อมลู เชิงปริมาณ 2 ตวั แปรโดยมีตวั แปรอิสระอยบู่ นแกน X และตวั แปรตามอยบู่ นแกน Y และกาหนดมาตราสว่ นที่ต้องการในแกน ทงั้ สอง และจดุ ตวั เลขท่ีเป็นข้อมลู ตามเส้นแกนทงั้ สอง กราฟรูปหนง่ึ อาจแสดงเพียงเส้นเดียวหรือหลายเส้น ก็ได้ การนาเสนอแบบกราฟเส้นใช้แสดงข้อมลู ที่เปลี่ยนแปลงปริมาณ ในเวลาที่ตา่ งๆ กนั หรือแนวโน้มของ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคดิ และการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[111] เหตุการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงกับเวลา เช่น อตั ราตายเฉพาะโรคในแต่ละปี โดยให้แกนตงั้ เป็ นอัตราตาย แกนนอนเป็นเวลา คอื ปี พ.ศ. ตา่ งๆ ที่ต้องการเปรียบเทียบ เป็นต้น (2) นาเสนอโดยแผนภมู ิแท่ง (Bar diagram) หรือฮีสโตแกรม (Histograms) เป็ นการ นาเสนอข้อมลู ท่ีวดั เป็ นกลมุ่ ๆ หรือมีระดบั การวดั นามมาตรา (Nominal scale) ท่ีแกน X โดยกราฟจะเป็ น แทง่ สี่เหล่ียมผืนผ้า อาจมีลกั ษณะแสดงในแนวตงั้ หรือแนวนอนก็ได้ แต่ละแท่งใช้แทนจานวนข้อมลู แตล่ ะ ประเภทของสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็ นข้อมูลไม่ต่อเนื่อง การนาเสนอต้องมีจุดเร่ิมต้นที่ศูนย์ เพื่อให้สามารถ เปรียบเทียบข้อมลู ได้อยา่ งถกู ต้อง (3) นาเสนอโดยแผนภูมิวงกลม (Circle diagram) หรือแผนภูมิกง (Pie diagram) เป็ น การนาเสนอข้อมูลชดุ เดียวกันท่ีมีส่วนย่อยหลายส่วนภายใต้พืน้ ที่วงกลมเดียวกัน ข้อมลู ต้องเป็ นร้อยละ หนง่ึ วงกลมแทนจานวนข้อมลู ทงั้ หมดที่คดิ เป็ นร้อยส่วน จานวนองศารอบศนู ย์กลางจะแทนสว่ นแตล่ ะส่วน ของข้อมูลชุดนนั้ โดยเทียบให้ 100 สว่ น เท่ากบั 360 องศา การวาดแบ่งวงกลมให้แบง่ วงกลมออกเป็ น สว่ นๆ ตามองศาท่ีคานวณได้ โดยเร่ิมต้นที่ตาแหน่ง 12 นาฬิกาแล้ววนไปตามเข็มนาฬิกาจากพืน้ ท่ีส่วน ใหญ่ท่ีสดุ ไปหาสว่ นท่ีเลก็ ท่ีสดุ ตามลาดบั (4) นาเสนอแบบปิ รามิดประชากร (Pyramid diagram) เป็ นการนาเสนอท่ีนิยมมากเพ่ือ ใช้เปรียบเทียบจานวนประชากรตามอายแุ ละเพศ ซงึ่ การคานวณและนาเสนอนนั้ อาจทาได้ทงั้ การคานวณ ร้อยละรวมของแตล่ ะเพศหรือร้อยละรวมของประชากรทงั้ หมดก็ได้ การกาหนดช่วงอายแุ ตล่ ะชว่ งให้เทา่ ๆ กนั เชน่ ฐานแรกของปิรามิค นยิ มเริ่มตงั้ แตอ่ ายุ 0-4 ปี อายุ 5-9 ปี อายุ 10-14 ปี ตามลาดบั เป็นต้น (5) นาเสนอแผนภูมิรูปภาพ (Pictogram) เป็ นการนาเสนอข้อมลู ด้วยรูปภาพ เช่น คน สตั ว์ ต้นไม้ เป็ นต้น รูปภาพแตล่ ะภาพจะแทนคา่ ตวั เลขหรือขนาดของข้อมูลท่ีกาหนด การนาเสนอแบบนี ้ เหมาะสาหรับใช้แสดงเพ่ือการเปรียบเทียบ (6) นาเสนอกราฟแนวโน้ม (Trend graph) เป็ นการนาเสนอข้อมูลด้วยกราฟท่ีใช้ พยากรณ์หรือบอกแนวโน้มของข้อมลู เชน่ กราฟสมการเส้นตรง เป็นต้น สรุป การประเมินภาวะสขุ ภาพชมุ ชนซึ่งเป็ นกระบวนการคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณ เพื่อค้นหาปัญหาของ ชุมชน มีการดาเนินการสาคญั 2 ส่วน ได้แก่ การเตรียมชุมชน และการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยผ้ศู ึกษา ชมุ ชนต้องทราบแหล่งของข้อมูล ข้อมูลลักษณะใดที่ต้องการในการประเมินภาวะสุขภาพชุมชน โดยใช้ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคดิ และการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[112] เคร่ืองมือตา่ งๆ เชน่ แบบสอบถาม แบบสมั ภาษณ์ หรือแบบสงั เกต ในรวบรวมข้อมลู แล้วนาส่กู ารวิเคราะห์ ข้อมลู และนาเสนอข้อมลู ข้อเทจ็ จริงในรูปแบบตา่ งๆ ให้เข้าใจง่ายและครบถ้วน หลงั จากนนั้ จะเข้าสขู่ นั้ ตอน การวินิจฉยั ปัญหาอนามยั ชมุ ชนซง่ึ จะได้กลา่ วถึงในบทถดั ไป คาถามท้ายบท 1. ผลสารวจชมุ ชน พบ หญิงวยั เจริญพนั ธ์ุเป็ นโรคมะเร็งเต้านมรายใหม่ จานวน 5 รายในรอบปี ท่ีผา่ นมา จานวนหญิงวยั เจริญพนั ธ์ุทงั้ หมด 2,000 คน จงคานวณหาอตั ราอบุ ตั กิ ารณ์ของโรคมะเร็งเต้านม 2. นายสงั ข์ อายุ 72 ปี อดีตเป็ นผ้ใู หญ่บ้าน ไม่มีโรคประจาตวั พอ่ แมเ่ สียชีวิตทงั้ คู่ มีพี่น้อง 6 คน โดย ตนเองเป็ นคนท่ี 4 พี่น้องแยกย้ายมีครอบครัวเป็ นของตนเอง ยกเว้นน้องชายคนที่ 5 ไมไ่ ด้แตง่ งาน อายุ 69 ปี มีปัญหาสขุ ภาพจิต อาศยั อย่กู บั นายสงั ข์ ภรรยานายสงั ข์อายุ 70 ปี เป็ นความดนั โลหิตสงู มีบตุ รด้วยกนั 2 คน คนโตโสดเป็ นผ้หู ญิง สขุ ภาพแข็งแรงดี อายุ 52 ปี อาศยั อยกู่ บั พอ่ แม่ ลกู คนท่ีสองเป็ นผ้ชู าย อายุ 50 ปี แตง่ งานมีลกู สาว 2 คน และแยกบ้านออกไป จงวาดผงั เครือญาตคิ รอบครัวนายสงั ข์ 3. ชมุ ชนแห่งหนึ่ง ตงั้ อย่หู ่างจากตวั อาเภอเมือง เป็ นระยะทาง 50 กิโลเมตร มีพืน้ ท่ีประมาณ 400 ไร่ จานวน 153 หลงั คาเรือน ประชากรรวม 500 คน ลกั ษณะภูมิประเทศ เป็ นที่ราบลมุ่ ตงั้ อย่บู นฝ่ังแม่นา้ มี แม่นา้ ไหลผ่านตลอดปี เหมาะแก่การทาการเกษตร หากท่านต้องการประเมินชุมชนเพ่ือค้นหาปัญหา สขุ ภาพอนามยั ของประชาชน จงประยกุ ตใ์ ช้เครื่องมือตา่ งๆ ในการประเมินชมุ ชนแหง่ นี ้ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[113] เอกสารอ้างองิ กรมการพฒั นาชมุ ชน กระทรวงมหาดไทย. (2559). รายงานคณุ ภาพชีวิตของคนไทย ปี 2559. กระทรวง มหาดไทย และองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น. กองสนบั สนนุ สขุ ภาพภาคประชาชน. (2554). แนวทางการประเมินผลและรวบรวมข้อมูลหมู่บ้านจดั การ สขุ ภาพปี 2554. นนทบุรี: กองสนบั สนนุ สขุ ภาพภาคประชาชน กรมสนบั สนุนบริการสขุ ภาพ กระทรวงสาธารณสขุ . โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์, คณิศร เตง็ รัง, ราตรี ป่ิ นแก้ว, และวรัญญา เพ็ชรคง. (2555). วิถีชุมชน เครื่องมือ 7 ช้ินทีท่ าใหง้ านชมุ ชนง่าย ไดผ้ ล และสนกุ (พมิ พ์ครัง้ ที่ 7). นนทบรุ ี: บริษทั หนงั สือดวี นั . ขนิษฐา นนั ทบตุ ร. (2546). กระบวนการพยาบาลชมุ ชน. ขอนแก่น: หจก.โรงพมิ พ์คลงั นานาวิทยา. ขนิษฐา นนั ทบตุ ร. (2551). ระบบการดูแลสขุ ภาพชมุ ชน: แนวคิด เครื่องมือ การออกแบบ. กรุงเทพฯ: อษุ า การพิมพ์. ขนิษฐา นนั ทบตุ ร และดวงพร เฮงบณุ ยพนั ธ์ (บรรณาธิการ). (2553). คู่มือการจดั เก็บข้อมูลชดุ พืน้ ฐาน 7 ดา้ นทีแ่ สดงถึงศกั ยภาพของตาบล. กรุงเทพฯ: บริษทั ทีควิ พี. คณะทางานโครงการสานพลัง อาเภอสุขภาวะเชื่อมปฏิบัติการด้วยระบบข้อมูลสุขภาพระดับอาเภอ. (2559). รายงานสรุปการสงั เคราะห์ประสบการณ์พืน้ ที่ โปรแกรม Saraphi Health (24DHIS) และโปรแกรม NU-HDC. (เอกสารอดั สาเนา) บญุ ยง เก่ียวการค้า และกนิษฐา จารูญสวสั ด.ิ์ (2554). การสารวจและวิเคราะห์ชมุ ชน. ใน เอกสารการสอน ชดุ วิชา การทางานชุมชนดา้ นสาธารณสขุ หน่วยที่ 9-15 (พิมพ์ครัง้ ที่ 11). นนทบรุ ี: สานกั พิมพ์ มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช. พรรณี ปานเทวญั . (2556). ความจาเป็นขนั้ พืน้ ฐานและสภาวะสขุ ภาพอนามยั ของประชาชนในเขตพืน้ ท่ี ตาบลหนองสาหร่าย อาเภอปากชอ่ ง จงั หวดั นครราชสีมา. วารสารพยาบาลทหารบก, 14(3), 196-202. ไพบลู ย์ โลส่ นุ ทร. (2555). ระบาดวิทยา. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . พลู สขุ หิงคานนท์. (2554). การพฒั นาอนามยั ชมุ ชน. ใน เอกสารการสอนชุดวิชา การพยาบาลชุมชนและ การรักษาพยาบาลเบื้องตน้ หน่วยที่ 8-15 (พิมพ์ครัง้ ท่ี 13). นนทบรุ ี: สานกั พิมพ์มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช. กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคดิ และการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[114] เพ็ญศรี เปลี่ยนขา. (2542). การสาธารณสขุ มูลฐาน. ราชบรุ ี: ธรรมรักษ์การพิมพ์. สมใจ วินิจกลุ . (2552). อนามยั ชุมชน กระบวนการวินิจฉยั และแก้ไขปัญหา (ปรับปรุงครัง้ ท่ี 2 พิมพ์ครัง้ ที่ 4). กรุงเทพฯ: บริษัท บพิธการพิมพ์. สายพิณ หัตถีรัตน์. (2545). คู่มือหมอครอบครัว: เครื่องมือในการดูแลผู้ป่ วยและครอบครัวอย่างง่าย. กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พ์หมอชาวบ้าน. สุภางค์ จนั ทวานิช. (2551). วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (พิมพ์ครัง้ ที่ 16). กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์แห่ง จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ลดั ดาวลั ย์ เพชรโรจน์ และอจั ฉรา ชานิประศาสน์. (2547). ระเบียบวิธีการวิจยั Research Methodology. กรุงเทพฯ: พมิ พ์ดีการพมิ พ์. อไุ ร จเรประพาฬ. (2551). การพฒั นาระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพ่ือการสร้างเสริมสขุ ภาพ. วารสารสภา การพยาบาล, 23(3), 49-60. Allender, J. A., & Spradley, B. W. (2005). Community health nursing: Promoting and protecting the public’s health (6th ed.). Philadelphia, PA: Lippincott Williams & Wilkins. Choi, M., Afzal, B., & Sattler, B. (2006). Geographic information systems: A new tool for environmental health assessments. Public Health Nursing, 23(5), 381-391. Clark, M. J. (2003). Community health nursing: Caring for populations (4th ed.). Upper Saddle River, New Jersey: Prentice Hall. Croner, C. M., Sperlin, J., & Broome, F. R. (1996). Geographic information systems (GIS): New perspectives in understanding human health and environmental relationships. Statistics in Medicine, 15(17-18), 1961-1977. Faruque, F. S., Lofton, S. P., Doddato, T. M., & Mangum, C. (2003). Utilizing geographic information systems in community assessment and nursing research. Journal of Community Health Nursing, 20(3), 179-191. Maurer, F. A., & Smith, C. M. (Eds.) (2013). Community/public health nursing practice: Health for families and populations (5th ed.). St. Louis, MO: Saunders. กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[115] McFarlane, J., & Gilroy, H. (2015). Epidemiology, demography, and community health. In E. T. Anderson, & J. McFarlane (Eds.), Community as partner: Theory and practice in nursing (7th ed., pp. 29-51). Philadelphia, PA: Wolters Kluwer. McGoldrick, M., Shellenberger, S., & Petry, S. S. (2008). Genograms assessment and intervention (3rd ed.). New York, NY: W.W.Norton. Messias, D. K. H., McKeown, R. E., & Adams, S. A. (2014). Epidemiological applications. In M. Stanhope, & J. Lancaster (Eds.), Foundations of nursing in the community: Community-oriented practice (4th ed., pp. 151-160). St. Louis, MO: Mosby. Riner, M. E., Cunningham, C., & Johnson, A. (2004). Public health education and practice using geographic information system technology. Public Health Nursing, 21(1), 57-65. Ruth, J., Eliason, K., & Schultz, P. R. (1992). Community assessment: A process of learning. Journal of Nursing Education, 31(4), 181-183. Shuster, G. F. (2014). Community assessment and evaluation. In M. Stanhope, & J. Lancaster (Eds.), Foundations of nursing in the community: Community-oriented practice (4th ed., pp. 210-230). St. Louis, MO: Mosby. Smith, C. M., & Maurer, F. A. (2013). Community assessment. In C. M. Smith, & F. A. Maurer (Eds.), Community health nursing: Theory and practice (2nd ed., pp. 340-380). Philadelphia, PA: W.B. Saunders. กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคดิ และการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[116] บทท่ี 4 การวินิจฉัยปัญหาอนามัยชุมชน แนวคดิ การวินิจฉัยปัญหาอนามยั ชมุ ชนเป็ นขนั้ ตอนการนาข้อมูลชมุ ชนซึ่งผ่านการวิเคราะห์จนสามารถ วินิจฉัยได้วา่ ชมุ ชนมีภาวะสุขภาพอย่างไร ปัญาสขุ ภาพท่ีกาลงั เผชิญอย่คู ืออะไร มีภาวะเสี่ยงตอ่ การเกิด ปัญหาสขุ ภาพอนามยั อยา่ งไร และนามากาหนดลาดบั ความสาคญั ของปัญหา วิเคราะห์สาเหตขุ องปัญหา โดยสร้างการรับรู้และเรียนรู้ในเวทีการประชมุ ประชาคมผา่ นช่องทางการสื่อสารในชมุ ชนซงึ่ เป็ นวิธีการและ กลไกการสร้างการส่วนร่วมของชุมชน เพื่อผลกั ดนั ให้ชมุ ชนเป็ นผ้กู าหนด ลาดบั ปัญหาและเลือกปัญหาท่ี ต้องการแก้ไขและพฒั นา วัตถุประสงค์ ภายหลงั ศกึ ษาบทนีแ้ ล้วผ้อู า่ นสามารถ 1. อธิบายแนวทางการกาหนดปัญหาสขุ ภาพอนามยั ที่สาคญั ได้ 2. อธิบายองค์ประกอบของการจดั ลาดบั ความสาคญั ของปัญหาได้ 3. คานวณคะแนนตามองค์ประกอบการจดั ลาดบั ความสาคญั ของปัญหาได้ 4. อธิบายวิธีการ เคร่ืองมือ กลไกท่ีชมุ ชนใช้ในการสร้างการมีสว่ นร่วมได้ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคดิ และการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[117] 4.1 การระบุปัญหาและความต้องการของชุมชน 4.1.1 ความหมายของปัญหาอนามัยชุมชน บุญยง เกี่ยวการค้า และกนิษฐา จารูญสวัสด์ิ (2554) ให้ความหมาย ปัญหาอนามัยชุมชน หมายถึง โรคหรือภาวะเสี่ยงอนั ก่อให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมา ส่งผลให้ประชาชนไม่สามารถมีชีวิตยืนยาวได้ เทา่ ท่ีควรจะเป็น หรือมีชีวิตอยแู่ ตล่ ดศกั ยภาพในการทางานลง ซง่ึ จาเป็นต้องทาการแก้ไข สมใจ วินิจกลุ (2552) ให้ความหมาย ปัญหาอนามยั ชมุ ชน หมายถึง ภาวะสขุ ภาพท่ีเบี่ยงเบนไป จากปกตใิ นชมุ ชนและหรือความวติ กกงั วลของชมุ ชนด้านสขุ ภาพ ซ่ึงลกั ษณะปัญหานนั้ มีส่ิงท่ีควรพิจารณา ร่วมด้วย ได้แก่ เป็นปัญหาอนามยั ของชมุ ชนเอง เป็ นปัญหาสาธารณสขุ ของเจ้าหน้าที่อนามยั และหรือเป็ น ปัญหาอนามยั ของชมุ ชนและเจ้าหน้าที่ร่วมกนั 4.1.2 การแบ่งปัญหาอนามัยชุมชน การแบง่ ปัญหาอนามยั ชมุ ชน แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ดงั นี ้(พลู ศกั ด์ิ พมุ่ วิเศษ, 2557) 1) ปัญหาความเจ็บป่ วยหรือโรคภัยไข้เจ็บ (Disease) เช่น ปัญหาโรคเบาหวาน ปัญหาโรคความ ดนั โลหติ สงู โรคหวั ใจและหลอดเลือด ปัญหาอบุ ตั เิ หตจุ ราจร เป็นต้น 2) ปัญหาสภาพการณ์ท่ีเป็นอปุ สรรคตอ่ การพฒั นาสขุ ภาพหรือทาให้เกิดโรคภยั ไข้เจ็บ (Condition) ได้แก่ ปัญหาการขาดแคนบคุ ลากรและอปุ กรณ์ทางการแพทย์ตา่ งๆ ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ขาดแคลนนา้ ดมื่ นา้ ใช้ที่สะอาดทาให้เกิดโรคอจุ จาระร่วง ปัญหาพฤติกรรมอนามยั เชน่ เกษตรกรไมส่ วมอปุ กรณ์ป้ องกนั ในการใช้สารเคมีปราบศตั รูพิษทาให้เกิดโรคผื่นคันและโรคทางเดินหายใจ ประชาชนไม่ใช้ส้วมท่ีถูก สขุ ลกั ษณะ ทาให้เกิดโรคพยาธิปากขอ เป็นต้น สรุปปัญหาสขุ ภาพอนามยั หมายถึง ปัญหาที่กระทบตอ่ สขุ ภาพของประชาชนสว่ นใหญ่ในชมุ ชน อาจเนื่องมาจากปัญหาเจบ็ ป่ วยจากโรคภยั ไข้เจ็บรวมถงึ ผลลพั ธ์ที่เกิดขนึ ้ จากโรคภยั ไข้เจ็บนนั้ และปัญหาท่ี มีสภาวะเส่ียงหรือปัจจยั เสี่ยงตา่ งๆ ที่มีผลกระทบตอ่ สขุ ภาพ ปัญหาสขุ ภาพสามารถแสดงออกทงั้ ทางตรง และทางอ้อม ได้แก่ สถานภาพด้านสงั คมประชากร ท่ีมีประชากรกล่มุ เสี่ยงตอ่ การเกิดโรค สถานภาพด้าน ส่ิงแวดล้อมที่เอือ้ ต่อการแพร่ระบาดของโรค การขาดแคลนทรัพยากรสาธารณสุขและการเข้าถึงหน่วย บริการสขุ ภาพ ความรู้ความเชื่อด้านสขุ ภาพอนามยั และการปฏิบตั ติ วั เม่ือเจบ็ ป่ วย กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[118] 4.1.3 การระบุปัญหาอนามัยชุมชน การกาหนดปัญหา หรือระบปุ ัญหาอนามยั ชมุ ชนนนั้ เป็นส่งิ สาคญั ท่ีจะทาให้ทราบถึงปัญหาสขุ ภาพ ของชมุ ชน วธิ ีการระบปุ ัญหาสขุ ภาพอนามยั ของชมุ ชน มีการดาเนินการ ดงั นี ้(พลู ศกั ดิ์ พมุ่ วิเศษ, 2557) 1) การเลือกส่ิงที่เป็ นปัญหา โดยการกาหนดหลกั เกณฑ์เพ่ือนาไปใช้ในการพิจารณาที่จะเลือก ปัญหา หลกั เกณฑ์นีไ้ ด้แก่ ส่ิงที่มีผลกระทบตอ่ คนสว่ นใหญ่ มีผลกระทบตอ่ ความเป็ นอย่ขู องชมุ ชนทงั้ ด้าน เศรษฐกิจและสังคม มีผลต่อด้านนโยบายท่ีกาหนดและทาให้นโยบายไม่บรรลุวัตถุประสงค์ หรือมี ผลกระทบตอ่ ความมนั่ คงของชาติ ทาให้เกิดความสญู เสียแก่สว่ นรวม 2) การกาหนดดชั นีชีว้ ดั หมายถึง ส่ิงที่สามารถนามาอ้างอิงหรือชีว้ ดั ว่าสิ่งนนั้ เป็ นปัญหาเกิดขึน้ แล้ว เช่น สถิติอตั ราการเกิดต่า เป็ นดัชนีชีว้ ดั ว่ามีการลดลงของประชากร ร้อยละของครัวเรือนท่ีมีและใช้ ส้วมท่ีถกู สขุ ลกั ษณะต่า เป็ นดชั นีชีว้ ดั ปัญหาการกาจดั ส่ิงปฏิกลู ร้อยละของประชาชนอายุ 18 ปี ขึน้ ไปท่ีมี การสบู บหุ ร่ีสงู เป็นดชั นีชีว้ ดั ปัญหาพฤตกิ รรมเส่ียงตอ่ สขุ ภาพ เป็นต้น นอกจากนีก้ ารกาหนดปัญหาสุขภาพ สามารถใช้ดชั นีอนามัยเป็ นเครื่ องบ่งชีถ้ ึงปัญหาสุขภาพ (รุจิรา ดวงสงค์, 2550) หรือหลกั การ 5 D โดยพิจารณาว่าปัญหาอนามยั ชมุ ชนนนั้ มีผลกระทบโดยตรงตอ่ ประชาชนเพียงใด ได้แก่ การเสียชีวิต (Death) ความพิการ (Disability) การเจ็บป่ วย (Disease) ความไม่ สขุ สบาย (Discomfort) ความไมพ่ งึ พอใจ (Dissatisfaction) 3) การเปรียบเทียบกับหลกั เกณฑ์ เมื่อได้ข้อมูลจากการค้นหาปัจจยั ท่ีเกี่ยวข้องต่อสุขภาพ หรือ ปัจจยั สาเหตุ เช่น ปัจจยั เสี่ยงท่ีมาจากพฤติกรรม พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม เป็ นต้น แล้วนาข้อมูลนนั้ มา วิเคราะห์เปรียบเทียบกบั เกณฑ์ท่ีกาหนดไว้เพ่ือตดั สินใจว่าส่ิงใดเป็ นปัญหาสขุ ภาพของชมุ ชน การกาหนด ปัญหาโดยการเปรียบเทียบกบั เกณฑ์มาตรฐาน เช่น เกณฑ์ความจาเป็ นพืน้ ฐาน (จปฐ.) เปรียบเทียบตาม เป้ าหมายกระทรวงสาธารณสขุ เป้ าหมายของแผนพฒั นาสขุ ภาพ เปรียบเทียบกบั ชมุ ชนใกล้เคียง เป็ นต้น เชน่ ชมุ ชนแหง่ หนง่ึ พบวา่ เดก็ อายตุ า่ กวา่ 5 ปี ได้รับการสร้างเสริมภมู ิค้มุ กนั โรคตามเกณฑ์ร้อยละ 70 (โรค โปลิโอ คอตีบ ไอกรน บาดทะยกั และหดั ) เมื่อเปรียบเทียบกบั มาตรฐาน ท่ีกาหนดให้เด็กอายตุ ่ากวา่ 5 ปี ได้รับการสร้างเสริมภมู คิ ้มุ กนั โรคร้อยละ 100 แสดงวา่ ชมุ ชนนีม้ ีปัญหาการสร้างเสริมภมู คิ ้มุ กนั โรคในเดก็ 4) การกาหนดสภาพและขอบเขตของปัญหา หมายถึง การอธิบายให้เห็นว่าสิ่งท่ีกาหนดนนั้ คือ ปัญหาที่แท้จริง เป็ นปัญหาประเภทใด เป็ นปัญหาโรคภัยไข้เจ็บ (Disease) หรือปัญหาสภาพการณ์ (Condition) เช่น ปัญหาขาดแคลนนา้ สะอาด เป็ นปัญหาสภาพการณ์ อธิบายสภาพและขอบเขตของ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[119] ปัญหาได้ว่า ชุมชนแห่งนีม้ ีนา้ สะอาดดื่ม ร้อยละ 40 ตามเป้ าหมายโครงการจดั หานา้ สะอาดกาหนดให้ ประชาชนมีนา้ สะอาดดื่มร้อยละ 90 ซึ่งต่ากว่าเป้ าหมายร้อยละ 50 แตเ่ นื่องจากชมุ ชนแห่งนีม้ ีปัญหาการ ขาดแคลนนา้ สะอาดมานานเกือบสิบปี ถ้าปลอ่ ยให้เป็นอยอู่ ยา่ งนีจ้ ะมีผลกระทบตอ่ การพฒั นาคณุ ภาพชีวิต ทาให้เกิดปัญหาสขุ ภาพอนามยั อาจเกิดโรคติดตอ่ ท่ีมีสาเหตจุ ากนา้ เช่น โรคบดิ โรคอจุ จาระร่วง ไทฟอยด์ เป็นต้น (พลู ศกั ดิ์ พมุ่ วิเศษ, 2557) 5) การค้นหาสาเหตขุ องปัญหา เม่ือคดั เลือกปัญหาได้แล้วโดยใช้หลกั เกณฑ์ ขนั้ ตอนท่ีสาคญั ตอ่ ไป คือ การค้นหาสาเหตทุ ี่แท้จริงของปัญหา (พลู ศกั ด์ิ พ่มุ วิเศษ, 2557) เป็ นการสืบค้นหาต้นตอท่ีแท้จริงของ ปัญหาท่ีเกิดขนึ ้ วา่ เกิดจากอะไร ซง่ึ จะเป็นขนั้ ตอนเดียวกบั การโยงใยหาสาเหตุ 4.2 การวินิจฉัยปัญหาและการจัดลาดบั ความสาคัญ 4.2.1 การกาหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลอนามัยชุมชน การวินิจฉัยปัญหาอนามยั ชมุ ชน คือ การประเมินเพ่ือที่จะทราบวา่ อะไรคือปัญหาอนามยั ที่สาคญั ของชุมชนท่ีจะทาการแก้ไขปัญหาและอะไรคือสาเหตขุ องปัญหานนั้ ๆ ในการกาหนดข้อวินิจฉัยทางการ พยาบาลอนามยั ชมุ ชน มีสว่ นประกอบท่ีสาคญั 3 สว่ น ดงั นี ้(Anderson & McFarlane, 2015: 229) 1) ส่วนที่กาหนดปัญหา ความต้องการ ความเข้มแข็ง หรือสภาพปัญหาของชมุ ชน ส่วนนีจ้ ะทาให้ เราทราบถึงเป้ าหมายของกิจกรรมการพยาบาล 2) สว่ นที่ระบสุ าเหตุ ปัจจยั ท่ีเกี่ยวข้องกบั ปัญหา หรือพยาธิสภาพของปัญหา ซงึ่ จะใช้เป็ นแนวทาง กาหนดกิจกรรมการพยาบาล 3) สว่ นท่ีเป็ นข้อมลู สนบั สนนุ เชน่ อาการและอาการแสดงซึง่ สนบั สนนุ สาเหตุ หรือสภาพปัญหาที่ ปรากฏ ซงึ่ จะใช้เป็นแนวทางในการประเมนิ ผลกิจกรรมการพยาบาลตอ่ ไป ตวั อย่างข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลอนามัยชุมชน ประชาชนอายุ 45-59 ปี ป่ วยด้วยโรคความดนั โลหิตสูง เนื่องจากพฤติกรรมการกินเค็ม และ ความเครียดจากการทางาน ข้อมูลสนับสนุน 1. ความชกุ ของโรคความดนั โลหิตสงู ของประชาชนอายุ 45-59 ปี ร้อยละ 20 2. ประชาชนอายุ 45-59 ปี ให้ข้อมลู วา่ ชอบรับประทานอาหารเคม็ ปลาร้า เตมิ นา้ ปลาเพ่ิมทกุ ครัง้ ในอาหารที่ปรุงเสร็จแล้ว กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[120] 3. ประชาชนในชมุ ชน ให้ข้อมลู วา่ เวลาทางานแล้วเครียดไมร่ ู้วา่ จะทาอยา่ งไร ทางานหนกั รายได้ไมเ่ พียงพอคา่ ใช้จ่ายก็ทาเลยทาให้เครียดเพ่มิ ขนึ ้ 4.2.2 การจัดลาดบั ความสาคัญของปัญหา การจดั ลาดบั ความสาคญั ของปัญหา (Priority setting) เป็ นกระบวนการตดั สินใจวา่ ปัญหาใดควร ได้รับการแก้ไขก่อนหลังตามลาดบั ซึ่งต้องอาศยั ทกั ษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ปัญหาที่จดั ลาดบั ความสาคญั ไว้แล้วจะสามารถนาไปกาหนดเป็ นแผนงานระดบั นโยบาย ระดบั กลวิธี และระดบั โครงการได้ (พลู ศกั ด์ิ พมุ่ วเิ ศษ, 2557) องค์ประกอบสาคญั ในการพิจารณาจดั ลาดบั ความสาคญั ของปัญหาของชมุ ชน มีดงั นี ้(บญุ ยง เกี่ยวการค้า และกนิษฐา จารูญสวสั ด,ิ์ 2554; พลู ศกั ดิ์ พมุ่ วิเศษ, 2557) 1) อตั ราอุบตั ิการณ์ของโรค (Incidence rate) หมายถึง จานวนผู้ป่ วยใหม่ท่ีอุบตั ิขึน้ ในช่วง ระยะเวลาท่ีทาการศกึ ษาต่อจานวนประชากรเส่ียงทงั้ หมดในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น อตั ราอบุ ตั ิการณ์โรค ความดนั โลหิตสงู มาก หมายถึง โรคนีย้ งั เป็นปัญหาสาธารณสขุ ของชมุ ชนอยู่ 2) อตั ราความชกุ ของโรค (Prevalence rate) หมายถึง จานวนผ้ปู ่ วยด้วยโรคท่ีกาหนดทงั้ ผ้ปู ่ วย ใหมแ่ ละผ้ปู ่ วยเก่าที่มีอยใู่ นชมุ ชนตอ่ จานวนประชากรทงั้ หมด ณ ระยะเวลาใดเวลาหนึ่งที่เข้าไปสารวจ หรือ ชว่ งระยะเวลาที่ยาวนานเป็ นเดือนเป็ นรอบปี (Period prevalence) ในช่วงเวลาเดียวกนั เช่น อตั ราความ ชกุ ของโรคความดนั โลหิตสงู ในชมุ ชนสงู แสดงวา่ ความดนั โลหิตสงู เป็นปัญหาด้านการรักษาของชมุ ชน 3) ความรุนแรงของโรค (Severity) หมายถึง ผลลพั ธ์ที่เกิดขนึ ้ จากการเป็ นโรคนนั้ ก่อให้เกิดความ พิการหรือสูญเสียสมรรถภาพการทางานของร่างกายหรือทาให้ เสียชีวิตมากขึน้ แสดงว่าโรคนนั้ มีความ รุนแรงมาก เชน่ โรคความดนั โลหติ สงู ถ้าขาดการดแู ลและไมค่ วบคมุ ความดนั โลหิตนานเกิน 10 ปี จะทาให้ เกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคหวั ใจและหลอดเลือด เกิดความพิการ และรุนแรงถึงขนั้ เสียชีวิตได้ หรือโรคพิษ สนุ ขั บ้ามีความรุนแรงของโรคทาให้เสียชีวติ เกือบร้อยละ 100 โรคโปลโิ อกอ่ ให้เกิดความพิการมาก เป็นต้น 4) โรคนนั้ มีแนวทางในการป้ องกนั และควบคมุ (Preventable) โรคใดที่เกิดขนึ ้ ในชมุ ชนเป็ นโรคท่ี สามารถป้ องกนั และควบคมุ ได้โดยง่าย จะได้รับการจดั ลาดบั ความสาคญั ไว้เป็ นอนั ดบั ต้นๆ เม่ือเทียบกบั ปัญหาอื่นๆ ซง่ึ ไมม่ ีแนวทางในการป้ องกนั และควบคมุ โรค หรือต้องสนิ ้ เปลืองงบประมาณในการจดั การที่สงู เช่น โรคคอตีบ มีมาตรการในดาเนินการป้ องกันโรคท่ีดีโดยการรณรงค์ฉีดวัคซีน หรือการปรับปรุง สภาพแวดล้อม นา้ ดื่มนา้ ใช้ หรือโรคเรือ้ รังซ่ึงสามารถป้ องกันได้โดยการปรับเปล่ียนพฤติกรรมชีวิตท่ี กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[121] เหมาะสม เชน่ ปรับพฤตกิ รรมการรับประทานอาหาร การมีกิจกรรมทางกาย เป็ นต้น ปัญหาดงั กล่าวอาจจะ ได้รับการจดั ลาดบั ความสาคญั ไว้สงู กวา่ โรคอ่ืนๆ ซง่ึ มีแนวทางในการป้ องกนั ยงั ไมค่ อ่ ยได้ผล 5) สามารถทาการรักษาให้หายได้ (Treatable) ปัญหาสขุ ภาพนนั้ มีแนวทางในการรักษาให้หายได้ และไมต่ ้องใช้ขนั้ ตอนหรือวิธีการที่ยงุ่ ยาก ใช้ระยะเวลารักษาสนั้ หรือไม่สิน้ เปลืองงบประมาณมาก เชน่ โรค พยาธิปากขอสามารถรักษาหายได้ด้วยยา หรือโรคความดนั โลหิตสูง เม่ือเป็ นแล้วต้องรักษาโดยการใช้ยา ลดความดนั ร่วมกบั ปรับเปล่ียนพฤตกิ รรมชีวิต เพื่อควบคมุ ระดบั ความดนั โลหิตให้อยตู่ ามเกณฑ์เป้ าหมาย ของการรักษา เป็นต้น 6) ผลกระทบที่เกิดขนึ ้ (Impact) ผลกระทบท่ีเกิดขึน้ กบั ตวั ผ้ปู ่ วย ครอบครัว และสงั คม เช่น การ สญู เสียทางเศรษฐกิจ ค่ารักษาพยาบาล การหยดุ งานทาให้ขาดรายได้ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ จากการมารับการ ตรวจรักษา เชน่ คา่ รถ คา่ อาหารและที่พกั หรือผลกระทบด้านจิตใจของผู้ป่ วยและครอบครัว ปัญหาใดที่มี ผลกระทบที่เกิดขึน้ กับผู้ป่ วย ครอบครัว และสังคมค่อนข้ างมากก็จะได้รับการพิจารณาจัดลาดับ ความสาคญั ไว้ลาดบั ต้นๆ 7) ความเป็ นไปได้ที่จะดาเนินการแก้ไขปัญหาในชมุ ชน (Feasibility) หมายถึง ทรัพยากรตา่ งๆที่มี อยู่มีความพร้อมและช่วยจดั การปัญหาที่เกิดขึน้ ให้หมดไปหรือบรรเทาลงมากน้อยแค่ไหน เช่น บุคลากร เงิน วสั ดอุ ปุ กรณ์ทางการแพทย์ตลอดจนเทคโนโลยีตา่ งๆ 8) ความตระหนกั ของชมุ ชน (Community concern) หมายถึง ปัญหานนั้ ได้รับความสนใจและ ความร่วมมือของชุมชนในการดาเนินการวางแผนและแก้ไขปัญหาสุขภาพอนามยั หรือไม่ หากชมุ ชนให้ ความสนใจหรือตระหนกั ในปัญหาที่เกิดขนึ ้ ชมุ ชนก็จะให้ความร่วมมือในทกุ ตอนของการดาเนนิ งาน สมาคมสาธารณสขุ อเมริกา (The American Public Health Association [APHA], 1961 อ้างใน Maurer & Smith, 2013: 435) กาหนดปัจจยั สาคญั 6 อยา่ งที่ต้องพิจารณาในการจดั ลาดบั ความสาคญั เพ่ือกาหนดความจาเป็นต้องการ (Health needs) ของประชาชนในระดบั ชมุ ชน ดงั นี ้ 1) ขนาดของความวิตกกงั วลของชมุ ชน (Degree of community concern) หรือความ ตระหนกั ของคนในชมุ ชนเก่ียวกบั ปัญหาสขุ ภาพและผลกระทบด้านสุขภาพ มีความวิตกกังวล สนใจหรือ ต้องการแก้ไขหรือไม่ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[122] 2) แหลง่ ทรัพยากรท่ีมีอยู่ (Existing resources) ทรัพยากรที่มีอย่สู ามารถใช้ดาเนินการแก้ไข ปัญหาหรือได้รับการสนบั สนนุ หรือไม่ เช่น บุคลากร งบประมาณ วสั ดแุ ละอปุ กรณ์ตา่ งๆ สิ่งอานวยความ สะดวก ระยะเวลา เป็นต้น 3) แนวทางการดาเนินการแก้ไขปัญหาเป็ นอย่างไร (Solubility of the problem) มีความ เป็ นไปได้ในการแก้ ปัญหาหรือไม่ 4) ความต้องการช่วยเหลือที่พิเศษ เช่น การวดั ความรู้ หรือการฝึ กอบรมตา่ งๆ ด้านการวดั และประเมินผล 5) ทรัพยากรต่างๆ เพ่ิมเติม และนโยบายที่เอือ้ ต่อการจัดการแก้ ไขปัญหา หรือการ ปรับเปลี่ยนพฤตกิ รรมสขุ ภาพของประชาชน 6) ความเป็นไปได้ของการวางแผนงานหรือโครงการในการแก้ไขปัญหาอยา่ งมีประสิทธิภาพ มากน้อยเพียงใด 4.2.3 การคิดคะแนนตามองค์ประกอบของการจัดลาดบั ปัญหา การจดั ลาดบั ความสาคญั ของปัญหาเป็ นการทางานร่วมกบั ชมุ ชนโดยให้ชุมชนเข้ามาเป็ น ห้นุ สว่ นและมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ปัญหา คดั เลือกปัญหาที่สาคญั สงู สดุ เพื่อร่วมกนั หาแนวทางในการ วางแผนแก้ไขปัญหาต่อไป (Shuster, 2014) การคิดคะแนนของแต่ละองค์ประกอบเพื่อการจดั ลาดบั ความสาคญั ของปัญหา ดงั นี ้ 1) พิจารณาตามหลกั เกณฑ์องค์ประกอบ ได้แก่ ขนาดของปัญหา ความรุนแรงของปัญหา ความยากง่ายในการแก้ปัญหา และความตระหนกั ในปัญหาของชมุ ชน (ภาควิชาบริหารสาธารณสขุ คณะ สาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล, 2539) หลกั เกณฑ์ในแตล่ ะองคป์ ระกอบ ดงั นี ้ (1) ขนาดของปัญหา (Size of problem) หมายถึง จานวนประชาชนท่ีประสบปัญหา หรือได้รับผลกระทบโดยตรงตอ่ ปัญหานนั้ ขนาดของปัญหาสามารถระบเุ ป็ นร้อยละ อตั ราอบุ ตั ิการณ์ อตั รา ความชกุ กรณีท่ีเป็ นโรคติดตอ่ เฉียบพลนั ขนาดของปัญหาจะพิจารณาจากอตั ราอบุ ตั ิการณ์ แต่กรณีเป็ น โรคเรือ้ รังนิยมใช้ขนาดของปัญหาจากอตั ราความชกุ ของโรค มีเกณฑ์การให้คะแนนขนาดของปัญหา ดงั นี ้ ไมม่ ีเลย ให้ 0 คะแนน จานวนผ้มู ีปัญหา ร้อยละ 1-25 ให้ 1 คะแนน จานวนผ้มู ีปัญหา ร้อยละ 26-50 ให้ 2 คะแนน กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[123] จานวนผ้มู ีปัญหา ร้อยละ 51-75 ให้ 3 คะแนน จานวนผ้มู ีปัญหา ร้อยละ 76-100 ให้ 4 คะแนน (2) ความรุนแรงของปัญหา (Severity of problem) หมายถึง โรคนนั้ จะก่อให้เกิด อนั ตรายถึงแก่เสียชีวิต พิการ หรือสูญเสียสมรรถภาพการทางานของร่างกาย เกิดความเจ็บป่ วยและมี ผลกระทบที่จะเกิดผลเสียแก่ครอบครัว ชุมชนในด้านเศรษฐกิจสงั คมและจิตใจ ความรุนแรงของปัญหา สามารถระบเุ ป็นร้อยละหรืออตั ราของประชาชนท่ีได้รับผลกระทบจากปัญหา มีเกณฑ์การให้คะแนน ดงั นี ้ ไมม่ ีความรุนแรงเลย ให้ 0 คะแนน มีบ้างเล็กน้อย ร้อยละ 1-25 ให้ 1 คะแนน มีร่องรอยความพกิ าร ร้อยละ 26-50 ให้ 2 คะแนน มีอตั ราตายสงู ร้อยละ 51-75 ให้ 3 คะแนน เสียชีวิตทกุ ราย ร้อยละ 76-100 ให้ 4 คะแนน หมายเหตุ เจ็บป่ วยเล็กน้อย หรือไม่สุขสบาย หมายถึง การเจ็บป่ วยนนั้ สามารถหายได้เอง มีความรุนแรง เลก็ น้อย ผ้มู ีปัญหาสามารถดาเนินชีวิตประจาวนั ได้ปกติ เจบ็ ป่ วยเรือ้ รัง หมายถึง การเจ็บป่ วยนนั้ มีความรุนแรงปานกลาง ถ้าได้รับการวินิจฉยั และได้รับการ รักษาที่ถูกต้อง โอกาสตายหรือพิการจะน้อย เป็ นโรคท่ีมีวิธีการรักษาให้หายได้ แต่บางรายอาจเป็ นโรค เรือ้ รัง เชน่ โรคเบาหวาน โรคความดนั โลหติ สงู โรคอจุ จาระร่วง โรควณั โรค เป็นต้น พิการ หมายถึง โรคหรือปัญหาท่ีผ้ปู ่ วยเป็ นอาจทาให้ถึงตายได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ตงั้ แต่เริ่มแรก หรือรักษาแล้วยงั คงมีความพิการ เช่น โรคหวั ใจและหลอดเลือด โรคโปลิโอ โรคไข้สมอง อกั เสบ เสียชีวิต หมายถึง มีความรุนแรงมากถึงตายเป็ นส่วนใหญ่ หรือตายทงั้ หมด ไมม่ ีวิธีการรักษา เช่น โรคพษิ สนุ ขั บ้า โรคมะเร็งตบั โรคมะเร็งปอด (3) ความยากง่ายในการแก้ปัญหาหรือความเป็ นไปได้ในการแก้ปัญหา (Ease of management of susceptibility to management) หมายถึง ความเป็ นไปได้ในการดาเนินการแก้ไขปัญหา ตา่ งๆ จะทาได้หรือไม่ขนึ ้ อยกู่ บั ปัจจยั ตอ่ ไปนี ้ (ขนิษฐา นนั ทบตุ ร, 2546; บญุ ยงค์ เกี่ยวการค้า และกนิษฐา จารูญสวสั ด,์ิ 2554) กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[124] ด้านเทคโนโลยี ความรู้วิชาการ ในการนามาใช้แก้ปัญหามีหรือไม่ มากน้อยเพียงใด เชน่ มียาที่ใช้รักษาโรค วคั ซีนป้ องกนั โรค ด้านบริหาร ได้แก่ ทรัพยากรตา่ งๆ เชน่ บคุ ลากร (Man) งบประมาณ (Money) วสั ดุ อปุ กรณ์ (Material) วิธีดาเนนิ การ (Management) เพียงพอตอ่ การดาเนนิ การแก้ไขปัญหามากน้อยเพียงใด รวมถงึ นโยบายสนบั สนนุ จากผ้บู ริหารวา่ สนบั สนนุ หรือไม่ ด้านระยะเวลา ระยะเวลาเพียงพอในการแก้ไขปัญหาท่ีจะประสบความสาเร็จหรือไม่ ด้านกฎหมาย วธิ ีการแก้ไขปัญหาขดั ตอ่ กฎหมายหรือไม่ ด้านศีลธรรม วิธีการแก้ไขปัญหาขัดกับศีลธรรม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี วฒั นธรรมหรือไม่ เกณฑ์การให้คะแนนความยากง่ายในการแก้ปัญหา ดงั นี ้ ไมม่ ีทางทาได้เลย ให้ 0 คะแนน ทาได้ยาก ให้ 1 คะแนน พอทาได้ ให้ 2 คะแนน ทาได้ง่าย ให้ 3 คะแนน ทาได้งา่ ยมาก ให้ 4 คะแนน (4) ความตระหนกั ในปัญหาของชุมชน (Community concern) หมายถึง จานวน ประชาชนในชุมชนที่ตระหนกั และเข้ าใจถึงความสาคญั ของปัญหานัน้ มีความตระหนักต่อปัญหาหรือ ต้องการการแก้ไขเพียงใดและความร่วมมือของประชาชน เกณฑ์การให้คะแนนความตระหนกั ในปัญหาของ ชมุ ชน ดงั นี ้ ไมม่ ีความตระหนกั เลย ให้ 0 คะแนน มีความตระหนกั ร้อยละ 1-25 ให้ 1 คะแนน มีความตระหนกั ร้อยละ 26-50 ให้ 2 คะแนน มีความตระหนกั ร้อยละ 51-75 ให้ 3 คะแนน มีความตระหนกั ร้อยละ 76-100 ให้ 4 คะแนน การรวมคะแนนในการจดั ลาดบั ความสาคญั ของปัญหา ดงั นี ้(ขนิษฐา นนั ทบตุ ร, 2546; บญุ ยงค์ เกี่ยวการค้า และกนิษฐา จารูญสวสั ด,ิ์ 2554) กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[125] 1) วิธีการบวก โดยการนาค่าคะแนนในแตล่ ะองค์ประกอบของปัญหามาบวกกนั ผลรวมที่ได้อาจ มองเห็นความแตกตา่ งของแตล่ ะปัญหาได้น้อย วิธีการบวกกนั จะชว่ ยลดปัญหาคา่ คะแนนในองค์ประกอบ ใดที่เป็น 0 2) วิธีการคูณ โดยการนาค่าคะแนนในแต่ละองค์ประกอบของปัญหามาคูณกัน ซ่ึงจะช่วยให้ มองเห็นข้อแตกต่างของคะแนนผลรวมท่ีชดั เจน แตก่ รณีที่องค์ประกอบใดมีคา่ คะแนน 0 ผลลพั ธ์ท่ีได้จาก การคณู จะเป็ น 0 ทงั้ หมด ซงึ่ ไมส่ ามารถนาไปเปรียบเทียบกบั ปัญหาอื่นๆ ได้เลย ดงั นนั้ บางแห่งนิยมใช้คา่ คะแนนอยรู่ ะหวา่ ง 1-5 แทน 0-4 (บญุ ยงค์ เกี่ยวการค้า และกนษิ ฐา จารูญสวสั ด,ิ์ 2554) ตารางท่ี 5 แสดงตวั อยา่ งการคดิ คะแนนเพ่ือจดั ลาดบั ความสาคญั ของปัญหา คะแนนองค์ประกอบ คะแนนรวม ปัญหา ขนาด ความ ความ ความ วิธี วธิ ี 1. เด็กก่อนวยั เรียนมีภาวะขาดสารอาหาร ร้อย ของ รุนแรง ยาก ตระ บวก คณู อันดบั 4 ปัญหา ง่าย หนัก 1 3 3 3 10 27 ละ 10 2. มารดาไมฝ่ ากครรภ์ ร้อยละ 39 2 2 2 178 5 3. ประชาชนมภี าวะโรคเบาหวาน ร้อยละ 35 2 3 3 2 10 36 3 4. ประชาชนมภี าวะความดนั โลหิตสงู ร้อยละ 3 3 3 3 12 81 1 60 5. เด็กอายุ 0-5 ปี ได้รับภมู คิ ้มุ กนั โรคไมค่ รบตาม 1 3 4 3 11 54 2 เกณฑ์ ร้อยละ 30 2. การระบุปัญหาสุขภาพอนามัยโดยใช้กระบวนการกลุ่ม (Nominal group process) กระบวนการกลุ่มนิยมใช้มากในการให้ชุมชนเป็ นผู้ตัดสินใจลาดบั ปัญหาตามความสาคัญก่อนหลัง (ขนิษฐา นนั ทบตุ ร, 2546; สมใจ วินิจกลุ , 2552) ซึ่งจะช่วยให้ทราบถึงการรับรู้ของชมุ ชนตอ่ ปัญหานนั้ ๆ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[126] กระบวนการกลมุ่ ดาเนินการโดยจดั ตงั้ คณะกรรมการท่ีมีความรู้ความเข้าใจปัญหาท่ีพบในชมุ ชน เช่น ผ้นู า ชมุ ชน ประชาชน เป็นต้น ให้คณะกรรมการเหล่านนั้ มาประชมุ แสดงความคดิ เห็นเกี่ยวกบั ปัญหาของชมุ ชน ร่วมอภิปรายเกี่ยวกบั ความสาคญั ของปัญหา ผลกระทบ ข้อดีข้อด้อยของแตล่ ะปัญหา ความร่วมมือของ ชมุ ชน และตดั สินใจว่าอะไรเป็ นปัญหาของชุมชน เม่ืออภิปรายร่วมกันแล้วจะให้สมาชิกทุกคนลงคะแนน เสียงซึ่งอาจทาโดยวิธีการยกมือนับจานวนสมาชิกที่ออกเสียง หรือลงบตั รคะแนน หลังจากนัน้ ให้รวม คะแนนของแตล่ ะปัญหาและแจ้งผลคะแนนแตล่ ะปัญหาตามลาดบั 4.3 แนวคิดการโยงใยสาเหตุ (Web of causation) 4.3.1 ความหมายของการโยงใยสาเหตุ ความหมายของการโยงใยสาเหตุ มีดงั นี ้ คลากส์ (Clark, 2003, 2008) ให้ความหมายการโยงใยสาเหตุ หมายถึง การระบปุ ัจจยั ตา่ งๆ ที่เป็ น สาเหตขุ องการเกิดโรคหรือปัญหาสขุ ภาพทงั้ สาเหตทุ างตรง และสาเหตทุ างอ้อมรวมถึงปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ ง ปัจจยั ตอ่ ภาวะสขุ ภาพ แมคมาฮอนและพิวจ์ (MacMahon & Pugh, 1970 อ้างใน McFarlane & Gilroy, 2015) อธิบาย แนวคิดของการโยงใยสาเหตุ ว่าปัญหาสุขภาพท่ีเกิดขึน้ ไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียวแต่เนื่องมาจากหลาย สาเหตแุ ละบางสาเหตมุ ีความเกี่ยวพนั กนั เป็ นลูกโซ่ (Chain of causation) และต่อเนื่องกันเป็ นตาข่าย เรียกวา่ Web of causation (McEwen & Pullis, 2009) ทาให้สง่ ผลกระทบตอ่ ปัญหาอ่ืนๆ ด้วย 4.3.2 วัตถุประสงค์ของการศกึ ษาโยงใยสาเหตุ วตั ถุประสงค์การศึกษาโยงใยสาเหตุ เพ่ือทาความเข้าใจสาเหตุของการเกิดโรคหรือปัจจัยที่มี อิทธิพลตอ่ ภาวะสขุ ภาพและการเจ็บป่ วยซ่ึงเก่ียวข้องกบั พหปุ ัจจยั (Clark, 2003, 2008) หรือกล่าวได้ว่า การศึกษาโยงใยสาเหตุ ทาให้มองเห็นว่าปัญหาสุขภาพแต่ละอย่างนนั้ มีความซบั ซ้อนจากความสมั พนั ธ์ ของปัจจยั ตา่ งๆ ร่วมกนั ประโยชน์ที่เกิดขึน้ คือ สามารถเป็ นแนวทางในการสร้างเสริมสขุ ภาพ ป้ องกนั โรค หรือลดปัจจยั เส่ียงตา่ งๆ และการรักษาโรค แนวคิดการโยงใยสาเหตุ สามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการค้นหาสาเหตุของปัญหารวมถึงสิ่งที่ คกุ คามตอ่ สขุ ภาพของประชาชนในชมุ ชน เชน่ โรคความดนั โลหิตสงู โรคไข้เลือดออก เป็ นต้น โดยผ้ศู กึ ษา ต้องทบทวนทาความเข้าใจธรรมชาติของการเกิดโรคหรือปัญหาสุขภาพอย่างละเอียด วิเคราะห์โยงใย สา เ ห ตุข อ ง ปั ญห า ท า ง ท ฤ ษ ฎี ก่ อ น โ ดย พิ จ าร ณ า คว า ม สัมพัน ธ์ เ ชิ ง เ ห ตุผ ล ร ะ ห ว่า ง ปั จ จัย ต่า ง ๆ แ ล ะ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคดิ และการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[127] ความสมั พนั ธ์เชงิ เหตผุ ลระหวา่ งปัจจยั กบั ปัญหา แล้วจงึ ดาเนินการวิเคราะห์ความสมั พนั ธ์ของสาเหตตุ า่ งๆ กับปัญหาจากข้อมูลท่ีมีอยู่ในชุมชน หรือหากข้อมลู ที่มียงั ไม่เพียงพออาจต้องจดั เก็บข้อมูลบางประเด็น เพ่ิมเตมิ เช่น ข้อมลู ด้านความรู้ (Knowledge) ทศั นคติ (Attitude) การปฏิบตั ติ วั (Practice) เป็ นต้น เพ่ือ สามารถตดั ปัจจยั ที่ไมเ่ ก่ียวข้องออก แล้วใช้ระบาดวิทยาเชิงวเิ คราะห์ เพื่อสรุปหาสาเหตทุ ่ีแท้จริงของปัญหา ชมุ ชน 4.4 ตัวย่างวิธีการ เคร่ืองมือ กลไกท่ชี ุมชนใช้การสร้างการมีส่วนร่วม การทางานเพื่อปรับปรุงและพฒั นาสขุ ภาวะของประชาชนในชุมชน ไม่ได้อย่ใู นความรับผิดชอบ ของบคุ คลใดบคุ คลหนึ่ง แต่หากเป็ นการร่วมคิดร่วมทาร่วมรับผิดชอบของคนหลายฝ่ าย ซึ่งองค์ประกอบ สาคญั ของการเสริมสร้ างชุมชนเข้มแข็ง คือ การสร้ างความเป็ นพลเมือง และการสร้ างภาวะผู้นาของ ประชาชนในพืน้ ท่ี อนั เป็ นผลลพั ธ์จากกระบวนการมีสว่ นร่วมและการเป็ นภาคีห้นุ ส่วนในกิจการของชมุ ชน โดยอาศยั กลไกและเงื่อนไขเพ่ือผลกั ดนั ให้ชุมชนเป็ นผ้กู าหนดและจดั ลาดบั ความสาคญั ของการพัฒนา (ขนษิ ฐา นนั ทบตุ ร, 2553) พยาบาลอนามยั ชมุ ชนจงึ เป็นบคุ คลหนง่ึ ของกลไกท่ีร่วมสร้างการมีส่วนร่วมและ ร่วมเสริมสร้างชมุ ชนเข้มแข็ง เช่น การส่งเสริมการรับรู้ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกิจกรรมตา่ งๆ ของชุมชน การใช้เวทีการประชุมชาวบ้าน ประชุมประชาคม การประชุมกรรมการหม่บู ้าน หรือการใช้ช่องทางการ ส่ือสารตา่ งๆในชมุ ชน เชน่ การประกาศทางหอกระจายขา่ วชมุ ชน การบอกเลา่ การแจ้งที่วดั เป็นต้น ตวั อย่างเครื่องมือท่ีใช้ประเมินชมุ ชนเพื่อค้นหาศกั ยภาพของชมุ ชน ของขนิษฐา นนั ทบตุ ร (2553) พบว่า การเรียนรู้ข้อมูลตาบล ท่ีประกอบด้วย ข้อมูลโครงสร้ างหลกั ข้อมูลชุดวิเคราะห์ ข้อมูลชุดจดั การ และข้อมลู ชดุ ผลลพั ธ์ สามารถช่วยค้นหาศกั ยภาพชุมชน โดยมีกลไกและกระบวนการสร้างการมีสว่ นร่วม ของทกุ คน/กล่มุ คน/เครือข่าย เช่น ประชาชน อบต. วดั โรงเรียน โรงพยาบาลส่งเสริมสขุ ภาพตาบล/ศนู ย์ สุขภาพชุมชน เป็ นต้น และอาศยั ช่องทางสื่อสารต่างๆ และการแลกเปล่ียนเรี ยนรู้ เช่น เวทีประชุมระดม สมอง เวทีประชาคม การรวมกลุ่มปฏิบตั ิการต่างๆ เป็ นต้น ซ่ึงเป็ นการทาให้เกิดกระบวนการรับรู้ข้อมูล สถานการณ์ปัญหาชมุ ชนและประเดน็ ปัญหาท่ีต้องการพฒั นา อย่างเป็ นระบบ เรียนรู้ทางออกและแนวทาง จดั การกบั สถานการณ์ปัญหาและปัจจยั ตา่ งๆ อนั ก่อให้เกิดการรับรู้ร่วมกนั ยอมรับข้อมลู กนั มากขนึ ้ และจะ นาไปสกู่ ารจดั การตนเอง ปรับปรุงให้เกิดการเปล่ียนแปลงวถิ ีการดาเนินชีวติ ไปในทางท่ีดขี นึ ้ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคดิ และการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[128] ภาพ 5 การโยงใยสาเหตขุ องโรคความดนั โลหติ สงู กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคดิ และการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[129] เวทีประชาคม หมายถึง การจดั ประชมุ ท่ีเป็ นการเปิ ดโอกาสให้ประชาชนหรือกลมุ่ คนเข้ามารวมกนั เพ่ือพดู คยุ ปรึกษาหารือ และแลกเปล่ียนความคดิ เห็นอยา่ งเท่าเทียมกนั เสมอภาค ในประเด็นใดประเด็น หน่ึง หรือหลายประเด็น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ปัญหานนั้ ๆให้ลุล่วงหรือพฒั นาประเด็นนนั้ ๆ ร่วมกัน (ขนิษฐา นนั ทบตุ ร, 2553) การปฏิบตั กิ ารในการเสริมสร้างชมุ ชนเข้มแข็ง มี 3 ขนั้ ตอน ดงั นี ้(ขนษิ ฐา นนั ทบตุ ร, 2553) 1. การรับรู้ เป็ นกระบวนการผลักดนั ให้เกิดการรับรู้ร่วมกันขององค์กรนาในตาบล เน้นการรับรู้ สถานการณ์ปัญหา ความจาเป็ นในการพัฒนางาน และศักยภาพของตาบล โดยอาศัยกระบวนการ แลกเปลี่ยนข้อมลู ความรู้ ขา่ วสารในตาบลอยา่ งเป็นระบบ โดยใช้ระบบการส่ือสารเป็ นเครื่องมือ สร้างส่ือที่ เหมาะสม และวิธีการหรือชอ่ งทางในการส่ือสารทกุ รูปแบบอยา่ งเป็นระบบ ตวั อย่าง วิธีการหรือช่องทางการสื่อสารในชุมชน ได้แก่ การประกาศทางหอกระจายข่าวประจา หมู่บ้าน การประชุมผู้นา การจดั ประชุมของ อบต. การจัดเวทีประชุมประจาเดือนของผู้ใหญ่บ้าน การ ประชมุ ของโรงพยาบาลสง่ เสริมสขุ ภาพตาบล การประชมุ อสม. การบอกเลา่ เม่ือพบปะกนั การแจ้งท่ีวดั ใน โอกาสมีงานบญุ ประเพณี สภากาแฟ การตดิ ป้ ายประกาศตามสถานที่พบปะกนั ของชาวบ้าน รายการวิทยุ ชมุ ชน จดหมายขา่ ว หนงั สือพิมพ์ เว็บไซด์ (Website) เป็นต้น (ขนิษฐา นนั ทบตุ ร, 2553) 2. การเรียนรู้ เป็นการสร้างบทเรียนหรือประสบการณ์ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ของผ้นู าและประชาชน ในตาบล ใน 2 ลกั ษณะ คือ (1) การเรียนรู้ผลกระทบจากสถานการณ์ปัญหาที่กระทบตอ่ ชีวิตความเป็ นอยู่ ของคนในตาบล และ (2) การเรียนรู้เพื่อหาทางออกและแนวทางการจดั การกบั สถานกาณ์และปัจจยั ตา่ งๆ ที่กระทบตอ่ สุขภาพ วิธีการส่งเสริมการเรียนรู้ ได้แก่ การจดั ประสบการณ์ในสถานการณ์จริง (เช่น การ ทางานร่วมกนั การศกึ ษาดงู าน) การเสริมพลงั ในการสรุปบทเรียน การถอดบทเรียนจากประสบการณ์ และ การจดั เวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์และการเรียนรู้บทเรียน เช่น สภากาแฟ เวทีประชาคม เวทีสภาผ้นู า การประชมุ กลมุ่ เวทีประชมุ วชิ าการ เป็นต้น 3. การจดั การให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เป็ นการจดั การองค์กรและการจดั การตนเองของประชาชน กลมุ่ ตา่ งๆ องคก์ รหลกั ในพืน้ ที่ เพ่ือให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตา่ งๆ ใน 3 ทิศทาง ได้แก่ (1) วิธีการทางานของ องค์กร (2) การปรับพฤติกรรมการทางานที่มีการเลือกใช้หรือพฒั นาเครื่องมือในการทางาน และ (3) การ จัดการความสัมพันธ์กับกลไกภาครัฐ เพื่อให้องค์กรสามารถทาหน้าที่หนุนเสริมองค์กรหลักในพืน้ ที่ให้ ปฏิบตั กิ ารได้ ลดความซ้อนของงาน กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[130] สรุป ขนั้ การวินิจฉัยปัญหาอนามยั ชมุ ชนทาให้ทราบว่าชมุ ชนมีภาวะสุขภาพเป็ นอย่างไร หลงั จากนนั้ นามาจดั ลาดบั ความสาคญั ของปัญหาตามหลกั เกณฑ์องค์ประกอบ และค้นหาสาเหตขุ องการเกิดปัญหา สขุ ภาพเพ่ือสรุปหาสาเหตทุ ี่แท้จริงของชมุ ชน การดาเนินการดงั กลา่ วอาศยั การมีส่วนร่วมของชมุ ชน ผ่าน กลไกของชมุ ชนโดยใช้เวทีการส่ือสารตา่ งๆ หรือการแลกเปล่ียนเรียนรู้ เพื่อนาไปส่กู ารรับรู้ร่วมกนั และการ ยอมรับ เพื่อมงุ่ แก้ไขปัญหาสขุ ภาพอนามยั ของชมุ ชนให้สอดคล้องกบั ปัญหาความต้องการของชมุ ชน ซึ่งจะ ได้กลา่ วถึงการวางแผนแก้ไขปัญหาอนามยั ชมุ ชนในบทถดั ไป คาถามท้ายบท 1. จากตารางปัญหาท่ีพบในชมุ ชน จงพจิ ารณาคะแนนในชอ่ งวา่ งท่ีกาหนดไว้ ปัญหา ขนาด ความ ความยาก ความ รุนแรง ง่ายในการ ตระหนัก แก้ปัญหา ของชุมชน คนวยั ทางานมีภาวะไขมนั ในเลือดสงู ร้อยละ 80 ….. …. 4 2 ประชาชนป่ วยด้วยโรคเบาหวาน ร้อยละ 30 ….. …. 3 3 หญิงวยั เจริญพนั ธ์ุป่ วยเป็นมะเร็งปากมดลกู ร้อยละ …. …. 3 2 20 2. จากตารางในข้อ 1 ทา่ นจะมีวิธีการใดท่ีจะส่ือสารกบั ประชาชนในชมุ ชนและเข้ามามีสว่ นร่วมในการรับรู้ และเข้าใจปัญหาสขุ ภาพของชมุ ชนร่วมกนั 3. จงฝึกเขียนโยงใยสาเหตขุ องปัญหาท่ีได้ในลาดบั ที่ 1 โดยชมุ ชนมีสว่ นร่วม กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[131] เอกสารอ้างองิ ขนิษฐา นนั ทบตุ ร. (2546). กระบวนการพยาบาลชมุ ชน. ขอนแกน่ : หจก.โรงพิมพ์คลงั นานาวทิ ยา. ขนิษฐา นนั ทบุตร. (2553). กรอบวิธีการศึกษาและถอดบทเรียนปฏิบตั ิการชุมชน (พิมพ์ครัง้ ที่ 2). สานกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การสร้าเสริมสขุ ภาพ (สสส.). บญุ ยง เก่ียวการค้า และกนษิ ฐา จารูญสวสั ด.์ิ (2554). การสารวจและวิเคราะห์ชมุ ชน. ใน เอกสารการสอน ชดุ วิชา การทางานชุมชนดา้ นสาธารณสขุ หน่วยที่ 9-15 (พิมพ์ครัง้ ที่ 11). นนทบรุ ี: สานกั พิมพ์ มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช. พลู ศกั ด์ิ พมุ่ วิเศษ. (2557). ระบบสาธารณสขุ และการวางแผนงานสาธารณสขุ . กรุงเทพฯ: บริษัท จรัลสนิท วงศก์ ารพมิ พ์. ภาควิชาบริหารสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล. (2539). การวางแผนงาน/ โครงการสาธารณสขุ . กรุงเทพฯ: ภาควิชาบริหารสาธารณสขุ . (เอกสารอดั สาเนา) รุจิรา ดวงสงค์. (2550). การจดั การทางสขุ ศึกษาและการส่งเสริมสขุ ภาพ: Health education and health promotion management. ขอนแก่น: ภาควิชาสุขศึกษา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น. สมใจ วินจิ กลุ . (2552). อนามยั ชมุ ชน กระบวนการวินิจฉยั และการแก้ปัญหา (ปรับปรุงครัง้ ที่ 2) (พิมพ์ครัง้ ท่ี 4). กรุงเทพฯ: บริษัท บพิธการพิมพ์. Anderson, E. T., & McFarlane, J. (2015). Community analysis and nursing diagnosis. In E. T. Anderson, & J. McFarlane, Community as partner: Theory and practice in nursing (7th ed.). Philadelphia, PA: Wolters Kluwer. Clark, M. J. (2003). Community health nursing: Caring for populations (4th ed.). Upper Saddle River, New Jersey: Prentice Hall. Clark, M. J. (2008). Community health nursing: Advocacy for population health (5th ed.). Upper Saddle River, New Jersey: Parson Education. Maurer, F. A., & Smith, C. M. (Eds.) (2013). Community/public health nursing practice: Health for families and populations (5th ed.). St. Louis, MO: Saunders. กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[132] McEwen, M., & Pullis, B. C. (2009). Community-based nursing: An introduction (3rd ed.). St. Louis, MO: Saunders Elsevier. McFarlane, J., & Gilroy, H. (2015). Epidemiology, demography, and community health. In E. T. Anderson, & J. McFarlane (Eds.), Community as partner: Theory and practice in nursing (7th ed., pp. 29-51). Philadelphia, PA: Wolters Kluwer. Shuster, G. F. (2014). Community assessment and evaluation. In M. Stanhope & J. Lancaster (Eds.), Foundations of nursing in the community: Community-oriented practice (4thed., pp.210-230). St. Louis, MO: Mosby. กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[133] บทท่ี 5 การวางแผนแก้ปัญหาอนามัยชุมชน แนวคิด การวางแผนแก้ปัญหาอนามยั ชมุ ชนเป็ นกระบวนการตดั สินใจท่ีจะกาหนดกิจกรรม วตั ถปุ ระสงค์ แนวทางการปฏิบตั ิไว้ล่วงหน้าท่ีจะให้บรรลุวตั ถปุ ระสงค์และเป้ าหมาย เพ่ือจะสามารถตอบสนองปัญหา และความต้องการด้านสุขภาพของประชาชนในชุมชน ทงั้ นีต้ ้องมีการกาหนดแผนเพ่ือให้การดาเนินการ เป็ นไปตามแผนอย่างมีประสิทธิภาพ การวางแผนชุมชนจะครอบคลุมทงั้ แผนปฏิบตั ิงานประจาในการ จดั บริการสุขภาพ และแผนงานย่อยเพ่ือการพัฒนาสุขภาพประชาชน อาศยั การมีส่วนร่วมชุมชนในการ จัดทาแผนพัฒนาสุขภาพ เพื่อจะทาให้ทุกคน/ฝ่ ายที่เก่ียวข้องมองเห็นปัญหาสุขภาพของชุมชน ลาดับ ความสาคญั ของการทางาน ทาให้การจดั กิจกรรมโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาสขุ ภาพอนามยั ดาเนินไปตาม ระยะเวลาที่กาหนดสอดคล้องกบั แผนงาน/โครงการ หรือแผนปฏิบตั กิ าร วัตถุประสงค์ ภายหลงั ศกึ ษาบทนีแ้ ล้วผ้อู า่ นสามารถ 1. อธิบายความหมายของแผน ความสาคญั ของการวางแผนอนามยั ชมุ ชนได้ 2. อธิบายโครงสร้างของแผน แผนงาน และโครงการได้ 3. อธิบายหลกั การวางแผนการปฏิบตั กิ ารในชมุ ชนได้ 4. อธิบายองค์ประกอบท่ีสาคญั ของการเขียนโครงการได้ 5. อธิบายคณุ ลกั ษณะของวตั ถปุ ระสงค์ที่ดีได้ 6. อธิบายลกั ษณะของโครงการที่ดใี นการแก้ปัญหาอนามยั ชมุ ชนได้ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[134] 5.1 ความหมายของการวางแผน นกั วิชาการให้ความหมายของการวางแผน (Planning) ไว้หลากหลาย สามารถสรุปความหมาย ของการวางแผนได้ดงั นี ้ ราชบณั ฑิตยสถาน (2538) ให้ความหมาย การวางแผน (Planning) คือ ส่ิงท่ีกาหนดถือเป็ นแนว ดาเนินการ สมคิด พรมจ้ยุ (2552) ได้สรุปความหมายของ การวางแผน คือ กระบวนการพิจารณาลว่ งหน้าใน อนาคตว่าจะทาอะไร อย่างไร ให้ใครทา ทาไมจึงทา ทาท่ีไหน และทาเม่ือใด เพ่ือให้บรรลุเป้ าหมายและ วตั ถปุ ระสงคท์ ี่วางไว้โดยอาศยั การดาเนินงานอยา่ งเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ แอลเล็นเดอร์และสแปดเรย์ (Allender & Spradley, 2005) ให้ความหมาย การวางแผน คือ กระบวนการตดั สินใจ คดิ อย่างมีเหตผุ ลท่ีใช้ในการออกแบบแผนงานอยา่ งเป็ นระบบ ตามขนั้ ตอน กาหนด รายละเอียดของวิธีการปฏิบตั ติ ่างๆ ระบเุ ป้ าหมายและวตั ถปุ ระสงค์เพื่อให้บรรลผุ ลสาเร็จเมื่อปฏิบตั ิตาม แผนที่กาหนดไว้ เชอร์เมอร์ฮอน (Schermerhorn, 2008) ให้ความหมาย การวางแผน คือ ขนั้ ตอนในการกาหนด วตั ถปุ ระสงค์ เป้ าหมายและพจิ ารณาถงึ สิ่งท่ีควรปฏิบตั เิ พื่อให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ที่กาหนดไว้ สรุปการวางแผนคือ กระบวนการคิดตดั สินใจที่เกี่ยวข้องกบั การกาหนดงานท่ีจะต้องทาในอนาคต โดยเลือกวิธีท่ีเหมาะสม การใช้ทรัพยากรท่ีมีอยใู่ ห้เกิดประโยชน์สงู สดุ และการกาหนดรายละเอียดกิจกรรม ตา่ งๆ แนวทางการปฏิบตั ิให้ชดั เจน เพื่อให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ ซึง่ หากเป็ นการวางแผนแก้ไขปัญหาอนามยั ชมุ ชนก็จะต้องอาศยั การวางแผนลว่ งหน้าอย่างรอบคอบและตดั สินใจเกี่ยวกับการกาหนดความต้องการ ข้ อวินิจฉัยทางการพยาบาลอนามัยชุมชน ระบุกลยุทธ์หรือแนวทางแก้ ไขปัญหาสุขภาพชุมชนท่ี เฉพาะเจาะจงเพ่ือสอดคล้องตามความต้องการด้านสขุ ภาพของผ้ใู ช้บริการ (Allender & Spradley, 2005) อาจกลา่ วได้วา่ การวางแผนจะเป็นการสร้างสะพานเพื่อเดนิ ไปถงึ สงิ่ ท่ีกาหนดหรือสิ่งท่ีต้องการ 5.2 ความสาคัญของการวางแผนอนามัยชุมชน การวางแผนอนามัยชุมชนมีความสาคัญต่อการดาเนินงานของบุคลากรในหน่วยงาน ซ่ึง ความสาคญั ของการวางแผนอนามยั ชมุ ชนสรุปได้ดงั นี ้(พลู สขุ หิงคานนท์, 2554) 1) ชว่ ยให้พยาบาลอนามยั ชมุ ชนระบเุ ป้ าหมาย ผลสาเร็จหรือผลงานที่ต้องการได้อยา่ งชดั เจนและ มีประสิทธิภาพ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคดิ และการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[135] 2) ชว่ ยให้สามารถกาหนดผ้รู ับผดิ ชอบ กิจกรรมตา่ งๆ ได้อยา่ งชดั เจน 3) ชว่ ยให้พยาบาลอนามยั ชมุ ชนและผ้ทู ่ีเก่ียวข้องตดิ ตามงานได้สะดวกตามแผนงานท่ีกาหนดไว้ 4) ช่วยให้เกิดการประสานงานการใช้ทรัพยากรท่ีมีอย่อู ย่างจากดั ระหวา่ งหนว่ ยงานได้ชดั เจน ทา ให้ทราบวา่ ใครทาอะไรอยู่ และสามารถชว่ ยเหลือเกือ้ กลู กนั ใช้ทรัพยากรร่วมกนั ได้ 5) ช่วยให้พยาบาลอนามยั ชุมชน ทีมสขุ ภาพและชุมชน ได้ร่วมตระหนกั ในการพฒั นาสุขภาพ อนามยั ของประชาชนในชมุ ชน โดยมีการคาดคะเนปัญหาท่ีอาจเกิดขนึ ้ ล่วงหน้าและหาวิธีการป้ องกนั หรือ แก้ไขกอ่ นที่ความเสียหายจะเกิดขนึ ้ 5.3 โครงสร้างของแผน แผนงาน และโครงการ การวางแผน เป็ นการจดั ระบบแผนงานเพื่ออานวยความสะดวกในการปฏิบตั ิงานของบคุ คลหรือ หน่วยงาน การวางแผนจึงเป็ นเครื่องมือท่ีมีความสาคญั มากที่จะช่วยให้การบริหารงานเป็ นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ (สมคิด พรมจ้ยุ , 2552) ในการวางแผนหนึ่งๆ จะแบง่ ออกเป็ นส่วนยอ่ ยๆ ของแผนตามลาดบั ชนั้ อาจมีแผนงานย่อย โครงการ และโครงการย่อยหลายโครงการ ซ่ึงทงั้ หมดมีโครงสร้างความสมั พนั ธ์ ตอ่ เน่ืองกนั ของแผน แผนงาน และโครงการ รายละเอียดมีดงั นี ้(สมคดิ พรมจ้ยุ , 2552) แผน (Plan) หมายถึงส่ิงท่ีกาหนดรายละเอียดตา่ งๆ ของการดาเนินงานในอนาคต เพื่อการบรรลุ วตั ถปุ ระสงค์และเป้ าหมายที่ต้องการโดยมีขอบเขตแบบกว้างๆ หรือเป็ นข้อความซง่ึ แสดงวิธีการท่ีตงั้ ใจจะ ใช้เพื่อให้บรรลุผลลพั ธ์ที่ต้องการ หรือเป็ นวิธีการให้บรรลุจดุ ม่งุ หมาย (Schermerhorn, 2008) แผนจะ ประกอบด้วยแผนยอ่ ยๆ ในระดบั รองลงมา เรียกวา่ แผนงาน (Program) แผนงาน (Program) หมายถึง โครงการท่ีเกี่ยวข้องและเอือ้ ตอ่ กนั ตงั้ แตส่ องโครงการขนึ ้ ไป มีการ ดาเนินงานท่ีมงุ่ บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์และเป้ าหมายท่ีต้องการอยา่ งเดียวกนั โครงการ (Project) คือ กิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายๆ กิจกรรมท่ีมีความสัมพนั ธ์และ เก่ียวข้องกนั แตล่ ะกิจกรรมมีเป้ าหมายเดยี วกนั มีกรอบระยะเวลาเริ่มต้นและสิน้ สดุ ของงานที่กาหนดอยา่ ง ชดั เจน โดยกาหนดขึน้ เฉพาะกิจซึ่งแตกต่างจากงานประจา โครงการจะประกอบด้วย งาน (Task) และ กิจกรรม (Activity) การวางแผนโดยทว่ั ไปมีการจดั ลาดบั ชนั้ ของแผน ประกอบด้วย แผน (Plan) แผนงาน (Program) โครงการ/งาน (Project/ Task) และกิจกรรม (Activity) ตามลาดบั ชนั้ (สมคิด พรมจ้ยุ , 2552) โครงสร้าง ความสมั พนั ธ์ตอ่ เนื่องกนั ระหวา่ งแผน แผนงาน และกิจกรรมหรืองาน แสดงดงั ภาพ 6 กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[136] แผน (Plan) แผนงาน (Program) โครงการ/งาน (Project/ Task) โครงการ/งาน (Project/ Task) กิจกรรม (Activity) กิจกรรม (Activity) กิจกรรม (Activity) ภาพ 6 โครงสร้างของแผน แผนงาน โครงการ และกิจกรรม 5.4 ประเภทแผนงาน การแบง่ แผนงานอาจกาหนดได้หลายประเภท ซง่ึ สามารถสรุปประเภทแผนงานได้ดงั นี ้ 5.4.1 แผนงานตามระยะเวลา แผนงานประเภทนีเ้ป็นการวางแผนงานตามระยะเวลาการปฏิบตั ิใน แผน มีดงั นี ้(Haimann, 1989 อ้างใน ทองหลอ่ เดชไทย และรุ่งศริ ิ เข้มตระกลู , 2557) 1) แผนระยะสนั้ (Short-range plan) แผนที่มีระยะเวลาสนั้ ๆ ไมเ่ กิน 1 ปี อาจทาในรูปของ แผนงานโครงการที่มีกิจกรรมไมซ่ บั ซ้อน โดยทวั่ ไปทกุ หนว่ ยงานนิยมใช้แผนประจาปี 2) แผนระยะกลาง (Intermediate-range plan) แผนท่ีมีกาหนดระยะเวลาให้แล้วเสร็จนาน ขนึ ้ โดยทวั่ ไปอยรู่ ะหวา่ ง 5-8 ปี สว่ นใหญ่จะเป็นแผนท่ีมีกิจกรรมตอ่ เนื่องกบั แผนระยะสนั้ 3) แผนระยะยาว (Long-range plan) แผนที่มีกาหนดระยะเวลานานเกิน 10 ปี เน่ืองจาก เป็ นแผนที่มุ่งหวังต่อเป้ าหมาย วตั ถุประสงค์ในระยะยาวมีขอบเขตครอบคลุมกว้าง มีกิจกรรมที่สาคญั หลายด้าน และใช้ทรัพยากรมาก แผนระยะยาวต้องสมั พนั ธ์กบั แผนระยะสนั้ และแผนระยะกลางด้วย 5.4.2 แผนงาน พิจารณาตามสถานท่ีหรือขอบเขตท่ีจะนาแผนไปดาเนนิ งาน ประกอบด้วย 1) แผนระดบั ชาติ เป็ นแผนที่อย่ใู นความรับผิดชอบของรัฐบาล เช่น แผนพฒั นาเศรษฐกิจ และสงั คมแหง่ ชาติ 2) แผนระดบั ภาค เป็ นแผนท่ีอย่ใู นความรับผิดชอบของศนู ย์พฒั นาภาค เช่น แผนพฒั นา เศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาตภิ าคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[137] 3) แผนระดบั จงั หวดั เป็นแผนท่ีอยใู่ นความรับผิดชอบของคณะกรรมการพฒั นาจงั หวดั เชน่ แผนของจงั หวดั 4) แผนระดบั อาเภอ เป็ นแผนท่ีอยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการพฒั นาอาเภอ (กพอ.) 5) แผนระดบั ตาบล เป็ นแผนที่อย่ใู นความรับผิดชอบของกรรมการสภาตาบล (กสต.) และ กรรมการพฒั นาหมบู่ ้าน (กพบ.) 5.4.3 แผนงาน พิจารณาตามระดบั หน้าท่ีภารกิจขององค์กร และอาศยั โครงสร้างและลกั ษณะการ ปกครองบงั คบั บญั ชาขององคก์ ร ได้แก่ 1) แผนแมบ่ ทหรือแผนงานหลกั (Master plan) เป็นแผนระดบั สงู สดุ ขององคก์ ร 2) แผนงานตามภารกิจแตล่ ะด้าน (Functional plan) เป็ นแผนของแตล่ ะสว่ นงานตา่ งๆ ของ องค์กร 3) แผนงบประมาณ (Budget plan) เป็ นแผนงานทางด้านการเงินที่จาเป็ นต้องใช้จา่ ยใน การบริหารและปฏิบตั งิ านขององค์กรทงั้ หมด 5.4.4 แผนงาน พิจารณาตามสายงาน ได้แก่ 1) แผนระดบั ชาติ ได้แก่ แผนพฒั นาสุขภาพแห่งชาติ เช่น แผนพฒั นาสุขภาพแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 12 (พ.ศ.2560-พ.ศ.2564) 2) แผนระดบั กระทรวง 3) แผนระดบั กรมหรือสานกั งานหรือองค์การ หมายถึง แผนยอ่ ยของแผนระดบั กระทรวง ในหนว่ ยงานราชการ 4) แผนระดบั กองหรือแผนระดบั ฝ่ าย ในหน่วยงานราชการหน่วยงานท่ีรองลงจากกรม คือ กอง ฝ่ ายหรือแผนก สาหรับหนว่ ยงานรัฐวสิ าหกิจหนว่ ยงานท่ีรองลงจากกรม คอื ฝ่ าย กอง แผน ตามลาดบั 5.5 หลักการวางแผนการปฏบิ ัตกิ ารในชุมชน หลกั การวางแผนการปฏิบตั กิ ารในชมุ ชนมีดงั นี ้(วสนั ต์ ศลิ ปะสวุ รรณ, 2545) 1. การกาหนดกระบวนการวางแผน (Plan the process) การทางานต้องมีการกาหนดแผนงานท่ี ถกู ต้อง เน่ืองจากโครงการจะประสบผลสาเร็จได้นนั้ จะต้องมีกระบวนการวางแผนท่ีดีก่อนลงมือวางแผน จริงๆ เช่น กาหนดกลุ่มคนใดบ้างที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผน มีข้อมูลอะไรบ้างท่ีจาเป็ นในการ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[138] วางแผน ความเสี่ยงในการดาเนินการมีหรือไม่ จะมีแรงต้านใดๆ อะไรบ้าง รวมถึงการกาหนดตารางในการ ปฏิบตั ติ ามแผนท่ีจะชว่ ยให้งานเป็นไปตามระยะเวลา 2. การวางแผนร่วมกับประชาชน เนื่องจากบุคคลหรือชุมชนได้รับผลกระทบทงั้ ทางตรงและ ทางอ้อมจากการนาแผนท่ีวางไว้ไปปฏิบตั ิการ ดงั นนั้ ประชาชนหรือบคุ คลในชุมชนต้องเข้ามามีส่วนร่วม ตงั้ แตร่ ะยะต้นๆ ของการวางแผน ซึง่ จะชว่ ยให้เข้าใจปัญหาตา่ งๆและความต้องการของชมุ ชนอย่างแท้จริง และเพื่อให้เกิดการพฒั นาความรู้สึกเป็ นเจ้าของและความภมู ิใจในแผนท่ีทาออกมา (วสนั ต์ ศลิ ปะสวุ รรณ, 2545; Anderson & McFarlane, 2015) นอกจากนี ้การวางแผนหากชมุ ชนเกิดความตระหนกั และได้รับ ความร่วมมือที่ดีก็จะช่วยให้แผนงานประสบความสาเร็จ (Allender & Spradley, 2005) ตวั อยา่ งวิธีการ เช่น การร่วมระดมสมอง ระดมภูมิปัญญาในชมุ ชนท่ีมีอยู่ หรือการทาประชาคมหม่บู ้าน และเลือกวิธีท่ีดี ท่ีสดุ ในการดาเนนิ งานตามแผน เป็นต้น 3. การวางแผนภายใต้ข้อมลู สารสนเทศท่ีดี (Information) ในการวางแผนงานนนั้ ผ้วู างแผนต้องมี ข้อมูลสารสนเทศท่ีดีหรือมีประโยชน์กล่าวคือ ข้อมูลทนั ตอ่ เหตกุ ารณ์ มีความเท่ียงตรง มีความกะทดั รัด จาเป็ นต่อการตัดสินใจ มีความเก่ียวข้องสัมพันธ์กับเรื่องท่ีต้องตัดสินใจ และข้อมูลมีความสมบูรณ์ ครอบคลมุ สาระหรือทกุ เร่ืองท่ีต้องใช้ในการตดั สินใจ (ขวญั ชยั วิศิษฐานนท์, 2557) เช่น ข้อมลู ปัญหาด้าน ประชากร ด้านสุขภาพอนามยั ด้านการบริการสุขภาพ ผลกระทบต่างๆ รวมถึงข้อมลู ทางสถิติที่เก่ียวข้อง ผลการดาเนินโครงการตา่ งๆท่ีได้ดาเนินการอย่หู รือลุล่วงไปแล้วว่ามีปัญหา ความล้มเหลวหรือผลสาเร็จ อะไรบ้างเพื่อนามาเป็นแนวทางป้ องกนั ปัญหาและบทเรียนในการวางแผนใหมต่ อ่ ไป 4. การวางแผนให้มีความตอ่ เนื่อง เพราะปัญหาอะไรก็ตามหลงั แก้ปัญหาได้แล้วปัญหานนั้ อาจจะ เกิดขนึ ้ อีกภายหลงั ดงั นนั้ ควรพิจารณาการวางแผนทงั้ ระยะสนั้ ระยะกลาง ระยะยาวเพ่ือความตอ่ เนื่อง 5. การวางแผนตามลาดบั ความสาคญั ปัญหาสขุ ภาพอนามยั มีหลากหลายและไมส่ ามารถแก้ไขได้ พร้อมกนั ในระยะเวลาเดียวกัน เน่ืองจากทรัพยากรตา่ งๆท่ีมีจากดั ฉะนนั้ จึงต้องเลือกพิจารณาจัดลาดบั ความสาคญั ของปัญหาและความต้องการที่ให้ชมุ ชนได้รับประโยชน์สงู สดุ 6. การวางแผนท่ีก่อให้เกิดผลที่ต้องการและผลกระทบ (Plan for outcomes and impacts) การ วางแผนใดๆควรม่งุ เน้นกล่มุ เป้ าหมายหรือชมุ ชนวา่ จะได้รับผลอะไรบ้างจากการดาเนินงานตามแผนที่วาง ไว้และผลกระทบที่จะเกิดขึน้ กบั ชมุ ชนในระยะยาว เช่น ผลที่เกิดขึน้ คือ สามารถลดอตั ราการเสียชีวิตของ ประชาชนด้วยโรคตา่ งๆ ผลกระทบที่เกิดขนึ ้ คือ ประชาชนมีสขุ ภาพที่ดีทาให้มีคณุ ภาพชีวติ กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคดิ และการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[139] 5.6 การวางแผนเพ่อื ดาเนินงานในชุมชน การวางแผนการปฏิบตั ิการในชมุ ชน เป็ นการวางแผนเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชนในชมุ ชน ซ่ึง แต่ละปัญหามีความสัมพนั ธ์เช่ือมโยงกับปัจจัยหลายด้านท่ีกระทบต่อสุขภาพของประชาชน พยาบาล อนามยั ชมุ ชนต้องวางแผนอยา่ งเป็ นระบบ ซง่ึ มีกระบวนการและขนั้ ตอนของการวางแผนเพ่ือดาเนินงานใน ชมุ ชน ดงั นี ้(พลู ศกั ดิ์ พมุ่ วิเศษ, 2557; McMahon et al., 1992) 1. การวิเคราะห์สถานการณ์ (Situation analysis) เริ่มจากการเก็บข้อมลู ชมุ ชนและหาข้อสรุปจาก รายงานต่างๆ ประมวลข้อมูล วิเคราะห์และแปลข้อมูลเพื่อนาไปใช้วิเคราะห์สถานการณ์ โดยพยาบาล อนามยั ชมุ ชนต้องอาศยั ข้อมลู ตา่ งๆ ในการพิจารณา ได้แก่ ข้อมลู พืน้ ฐานชมุ ชน ทรัพยากรที่มีอยู่ กิจกรรม บริการด้านสุขภาพและการสาธารณสุขท่ีมีในชุมชน เก็บข้อมูลเพ่ืออธิบายลกั ษณะของปัญหาในชุมชน ปัญหาเก่ียวกบั สขุ ภาพคนในชมุ ชน ปัจจยั เส่ียงด้านสขุ ภาพอาจระบไุ ด้จากข้อมลู สถิติชีพท่ีแสดงสาเหตกุ าร ตาย โรค และข้อมลู การเจ็บป่ วยท่ีได้จากสถิตกิ ารรับบริการการรักษาของคนในชมุ ชน เป็นต้น การวิเคราะห์ปัญหาและค้นหาสาเหตขุ องปัญหาอย่างละเอียด เพ่ืออธิบายว่าปัญหานนั้ มีสภาพ หรือลักษณะอย่างไร ปัญหานนั้ มีขนาด หรือมีขอบเขตแค่ไหน และการค้นหาปัจจัยสาเหตุเพื่อหาแนว ทางแก้ไข โดยการโยงใยสาเหตขุ องปัญหา (Web of causation) เช่น วิเคราะห์ทางวิทยาการทางระบาด โดยวิเคราะห์วา่ โรค/ปัญหานนั้ เกิดขึน้ มานานอย่างไร เกิดกบั ใครบ้าง อายุ กล่มุ เสี่ยงหรือไม่ ลกั ษณะการ กระจายของโรค สิ่งแวดล้อมที่สง่ เสริมการเจบ็ ป่ วย เชน่ นา้ เสีย การกาจดั สิ่งปฏิกลู สตั ว์นาโรค เป็นต้น 2. การเลือกปัญหาที่สาคญั (Recognizing problems) ในขนั้ ตอนนีจ้ ะต้องระบุได้ว่าปัญหามี อะไรบ้าง และการเลือกปัญหาท่ีสาคญั ในชุมชน เมื่อทาความเข้าใจวา่ ปัญหาคืออะไร ในการเลือกปัญหา ต้องเตรียมกาหนดเกณฑ์สาหรับการจดั ลาดบั ความสาคญั ของปัญหาซง่ึ ได้กลา่ วถงึ ไว้ในส่วนต้นๆ เนื่องจาก มีปัญหามากมายท่ีผ้บู ริหารต้องเก่ียวข้องหรือทาการแก้ไข การเลือกปัญหาท่ีสาคญั นนั้ ควรให้ชมุ ชนรู้สกึ ว่า ได้รับผลกระทบทงั้ ทางตรงและทางอ้อมจากปัญหานนั้ ๆ (McMahon et al., 1992) 3. การตงั้ วตั ถปุ ระสงค์ (Setting objectives) และเป้ าหมายในการแก้ปัญหา (Goal) ภายหลงั จาก จดั ลาดบั ความสาคญั ของปัญหาและเลือกปัญหาแล้ว พยาบาลอนามยั ชมุ ชนต้องตงั้ วตั ถปุ ระสงค์ท่ีสะท้อน ถึงปริมาณมากน้อยเท่าไรในการลดปัญหา หรือเพ่ิมประสิทธิผล วตั ถปุ ระสงค์ท่ีเขียนต้องชดั เจนสามารถที่ จะปฏิบัติได้จริง วัดผลได้ มีตัวชีว้ ัดชัดเจน การตัง้ เป้ าหมายในการแก้ ปัญหา ระบุให้ชัดเจนว่า เมื่อ ดาเนินการตามโครงการจะเกิดการเปล่ียนแปลงอะไรหรือบรรลผุ ลสาเร็จอะไรบ้างและมากน้อยเพียงใด กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคดิ และการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
[140] การระบุเป้ าหมายให้ระบุว่า ต้องการแก้ปัญหาอะไรจากปริมาณที่ปรากฏอยู่จนถึงปริมาณท่ี ต้องการ ควรกาหนดระยะเวลาที่ชดั เจน เชน่ ต้องการลดอตั ราการป่ วยของวยั ทางาน จากร้อยละ 40 ให้ เหลือร้อยละ 20 ภายในเวลา 1 ปี นอกจากนีค้ วรจะบอกด้วยวา่ กลุ่มเป้ าหมายของโครงการคือใคร หากมี หลายกลมุ่ ต้องระบชุ ดั เจนวา่ ใครคือกลมุ่ เป้ าหมายหลกั และกลมุ่ เป้ าหมายรอง 4. การทบทวนอปุ สรรคและข้อจากดั (Reviewing obstacles) ในขนั้ ตอนนีพ้ ยาบาลอนามยั ชมุ ชน ต้องคดิ ทบทวนเกี่ยวกบั อปุ สรรคท่ีขดั ขวางการบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์หรือมีข้อจากดั หรือไม่ อยา่ งไร วิเคราะห์ อปุ สรรคและข้อจากดั ทงั้ ท่ีสามารถขจดั ได้ สามารถลดได้ และไมส่ ามารถขจดั ได้หรือลดได้ (ทองหล่อ เดช ไทย และรุ่งศริ ิ เข้มตระกลู , 2557) อปุ สรรค เชน่ สภาพแวดล้อม ลกั ษณะภูมิประเทศ อากาศ การเดินทาง ข้อจากัด เช่น การขาดแคลนทรัพยากรตา่ งๆ ข้อจากัดทางขนบธรรมเนียม ทาให้การปฏิบตั ิพฤติกรรม สขุ ภาพไม่ได้การยอมรับจากคนในท้องถิ่น (McMahon et al., 1992) เม่ือวิเคราะห์อปุ สรรคและข้อจากดั ได้แล้วต้องหาข้อสรุปให้ได้วา่ จะสามารถขจดั หรือลดได้หรือไมอ่ ย่างไร ซ่งึ อาจจะต้องกลบั ไปทบทวนและ ปรับเปลี่ยนวตั ถปุ ระสงค์ตามความเหมาะสมตอ่ ไป 5. การกาหนดกิจกรรมหรือกลยทุ ธ์ (Scheduling the activities) เป็ นขนั้ ตอนที่ชมุ ชนต้องร่วมมือ กาหนดกิจกรรมหรือกลยทุ ธ์ เพ่ือบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ที่ได้ตงั้ ไว้โดยกาหนดวธิ ีการและหลกั การใช้ทรัพยากรให้ เกิดประโยชน์สงู สดุ (ทองหลอ่ เดชไทย และรุ่งศริ ิ เข้มตระกลู , 2557) กลวิธีทางสาธารณสขุ ในการแก้ปัญ หา (Public health strategies) เป็ นการกาหนดกลวิธีตา่ งๆท่ีจะนามาใช้แก้ปัญหาเพื่อม่งุ สู่การบรรลุ วตั ถปุ ระสงคแ์ ละเป้ าหมายที่ตงั้ ไว้ เนื่องจากปัญหาสขุ ภาพอนามยั มีสาเหตขุ องปัญหามากกวา่ หนึ่งสาเหตุ การวางแผนงานจงึ อาจประกอบด้วยแนวทางหรือกลวธิ ีมากกวา่ หนง่ึ กลวิธี แนวทางหรือกลวธิ ีในการแก้ไขปัญหาทางสาธารณสขุ แบง่ เป็ น 2 ประเภท ดงั นี ้(พลู ศกั ดิ์ พมุ่ วิเศษ (2557) 1) แนวทางหรือกลวิธีหลกั ซึง่ หมายถึงแนวทางหรือกลวิธีที่มีความสมั พนั ธ์โดยตรงตอ่ การแก้ไข สาเหตขุ องปัญหา เช่น การผลิตผงนา้ ตาลเกลือแร่และแจกจา่ ยให้ครอบครัวและชมุ ชนไว้ใช้ดื่มเพ่ือชดเชย การสญู เสียสารนา้ และเกลือแร่ สง่ ผลให้ลดการเสียชีวิตของเดก็ ด้วยโรคอจุ จาระร่วง 2) แนวทางหรือกลวิธีสนบั สนนุ ซง่ึ หมายถึง แนวปฏิบตั ิตา่ งๆ ที่ส่งผลหรือสนบั สนนุ ให้แนวทาง หรือกลวิธีดาเนินการไปได้ ลดข้อจากัดและอุปสรรคของกลวิธีหลัก เช่น การฝึ กอบรมแก่อาสาสมัคร กระบวนการพยาบาลอนามยั ชมุ ชน: แนวคิดและการปฏิบตั กิ ารพยาบาล
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217