หนังสอื เรยี นสาระทักษะการดาํ เนินชีวติ รายวิชา สุขศึกษา พลศึกษา ( ทช11002 ) ระดบั ประถมศกึ ษา หลักสตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 สาํ นกั งานสง เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร กระทรวงศึกษาธกิ าร หา มจาํ หนาย หนงั สอื เรียนเลมนี้จดั พมิ พด วยเงินงบประมาณแผนดินเพื่อการศกึ ษาตลอดชีวิตสาํ หรบั ประชาชน ลขิ สิทธเ์ิ ปน ของ สาํ นักงาน กศน. สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เอกสารทางวิชาการลําดับที่ 16/2554
2 หนงั สอื เรียนสาระทกั ษะการดําเนนิ ชวี ติ รายวิชา สุขศึกษา พลศึกษา ( ทช 11002 ) ระดับประถมศึกษา ลขิ สิทธ์ิเปน ของ สาํ นกั งาน กศน. สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เอกสารทางวิชาการลาํ ดบั ท่ี 16/2554
3 คาํ นาํ สํานักงานสงเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ไดดําเนินการจัดทํา หนังสือเรียน ชุดใหมนีข้ ึ้น เพื่อสําหรับใชในการเรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ที่มีวัตถุประสงคในการพัฒนาผูเรียนใหมีคุณธรรม จริยธรรม มีสติปญญาและศักยภาพในการประกอบอาชีพ การศึกษาตอ และสามารถดํารงชีวิตอยูใ น ครอบครัว ชุมชน สังคมไดอยางมีความสุข โดยผูเรียนสามารถนําหนังสือเรียนไปใช ดวยวิธีการศึกษา คนควาดวยตนเอง ปฏิบัติกิจกรรมรวมท้ังแบบฝกหัดเพื่อทดสอบความรูความเขาใจในสาระเนื้อหา โดยเมื่อศึกษาแลวยังไมเขาใจ สามารถกลับไปศึกษาใหมได ผูเ รียนอาจจะสามารถเพ่ิมพูนความรูหลังจาก ศึกษาหนังสือเรียนน้ี โดยนําความรูไปแลกเปล่ียนกับเพื่อนในชั้นเรียน ศึกษาจากภูมิปญญาทองถ่ิน จากแหลง เรยี นรูแ ละจากส่อื อน่ื ๆ ในการดําเนินการจัดทําหนังสือเรียนตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษา ขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ไดรับความรวมมือที่ดีจากผูทรงคุณวุฒิและผูเกี่ยวของหลายทานที่คนควา และเรียบเรียงเนื้อหาสาระจากสื่อตางๆ เพ่ือใหไดสื่อท่ีสอดคลองกับหลักสูตร และเปนประโยชน ตอผูเ รียนทีอ่ ยูนอกระบบอยางแทจริง สํานักงานสงเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ขอขอบคุณคณะท่ีปรึกษา คณะผูเรียบเรียง ตลอดจนคณะผูจัดทําทุกทานที่ไดใหความรวมมือดวยดี ไว ณ โอกาสน้ี สํานักงานสงเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย หวังวาหนังสือเรียน ชุดนีจ้ ะเปนประโยชนในการจัดการเรียนการสอนตามสมควร หากมีขอเสนอแนะประการใด สํานักงาน สงเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ขอนอมรับไวดวยความขอบคุณยิ่ง สํานกั งาน กศน.
4 สารบญั หนา 8 บทท่ี 1 รา งกายของเรา 9 เรื่องท่ี 1 วัฎจกั รชีวิตของมนุษย เรื่องท่ี 2 โครงสราง หนาที่และการทํางานของอวัยวะภายนอก ภายใน ที่สําคัญ 11 ของรางกาย เร่ืองที่ 3 การดูแลรักษาปองกนั ความผิดปกตขิ องอวัยวะสําคัญของรางกาย 17 อวยั วะภายนอกและภายใน 22 23 บทท่ี 2 พฒั นาการทางเพศของวัยรุน การคุมกาํ เนิดและโรคติดตอทางเพศสมั พนั ธ 25 เร่ืองท่ี 1 พัฒนาการทางเพศของวัยรุน 26 เร่ืองท่ี 2 การดแู ลสุขภาพเบ้ืองตนในวัยรนุ 30 เร่ืองที่ 3 การคุมกําเนิด 33 เร่ืองท่ี 4 วธิ ีการสรางสมั พนั ธภาพทดี่ ีระหวา งคนในครอบครัว 36 เร่ืองที่ 5 การสือ่ สารเรือ่ งเพศในครอบครัว 46 เรื่องท่ี 6 ปญหาที่เกี่ยวของกับพัฒนาการทางเพศของวัยรุน 51 เร่ืองท่ี 7 ทักษะการจัดการกับปญหา อารมณ และความตองการทางเพศของวัยรุน 54 เร่ืองที่ 8 หลากหลายความเชื่อทีผ่ ดิ ในเรอ่ื งเพศ 60 เร่ืองที่ 9 กฎหมายที่เกี่ยวของกับการลวงละเมิดทางเพศ 65 เร่ืองที่ 10 โรคติดตอทางเพศสัมพันธ 66 72 บทท่ี 3 การดูแลสุขภาพ 74 เรอ่ื งที่ 1 ความหมาย ความสําคัญและคุณคาของอาหาร และโภชนาการ 75 เรอื่ งที่ 2 การเลือกบริโภคอาหารตามหลักโภชนาการ 77 เร่ืองท่ี 3 วิธีการถนอมอาหารเพื่อคงคุณคาของสารอาหาร 79 เรื่องท่ี 4 ความสําคัญของการมีสุขภาพดี 80 เร่ืองที่ 5 หลกั การดแู ลสุขภาพเบือ้ งตน 81 เร่ืองท่ี 6 ปฏิบัติตนตามหลักสุขอนามัยสวนบุคคล 82 เรื่องท่ี 7 คุณคาและประโยชนของการออกกําลังกาย 86 เรื่องที่ 8 หลักการและวิธอี อกกาํ ลังกายเพือ่ สุขภาพ 87 เร่ืองท่ี 9 การปฏิบตั ติ นในการออกกําลังกายรูปแบบตาง ๆ เรื่องที่ 10 ความหมาย ความสําคัญของกิจกรรมนันทนาการ เรือ่ งท่ี 11 ประเภทและรูปแบบของกิจกรรมนันทนาการ
บทท่ี 4โรคติดตอ 5 เร่ืองท่ี 1 โรคตบั อกั เสบจากเชื้อไวรสั เร่ืองท่ี 2 โรคไขเ ลอื ดออก 89 เร่ืองท่ี 3 โรคไขห วัดธรรมดา 90 เรื่องที่ 4 โรคเอดส 91 เรื่องที่ 5 โรคฉ่หี นู 92 เรื่องท่ี 6 โรคมือเทาเปอย 93 เร่ืองที่ 7 โรคตาแดง 95 เร่ืองท่ี 8 โรคไขห วัดนก 97 98 บทท่ี 5 ยาสามัญประจําบาน 99 เรื่องท่ี 1 หลักการและวิธีการใชยาสามญั ประจําบาน 101 เร่ืองที่ 2 อนั ตรายจากการใชยา และความเชื่อทผ่ี ิดเก่ยี วกับยา 102 107 บทท่ี 6 สารเสพตดิ อันตราย 111 เรอื่ งท่ี 1 ความหมาย ประเภท และลักษณะของสารเสพติด 112 เรือ่ งที่ 2 อันตรายจากสารเสพติด 114 116 บทท่ี 7 ความปลอดภัยในชีวติ และทรพั ยส ิน 117 เรอื่ งท่ี 1 อนั ตรายทอี่ าจเกิดในชวี ิตประจาํ วนั 119 เรือ่ งท่ี 2 อันตรายที่เกิดข้ึนในบาน 119 เรอ่ื งที่ 3 อันตรายที่เกิดขึ้นจากการเดินทาง 121 เรือ่ งที่ 4 อันตรายจากภัยธรรมชาติ 124 125 บทท่ี 8 ทกั ษะชีวติ เพอื่ การคดิ 126 เรือ่ งท่ี 1 ความหมาย ความสําคัญของทักษะชีวิต 10 ประการ เร่ืองท่ี 2 ทกั ษะชีวิตทจี่ ําเปน
6 คาํ แนะนาํ การใชห นังสอื เรยี น หนังสือเรียนสาระทกั ษะการดาํ เนนิ ชวี ิต รายวิชา สุขศึกษา พลศึกษา ระดับประถมศึกษา รหัส ทช 11002 เปนหนังสือเรียนทีจ่ ัดทําขึน้ สําหรับผูเ รียนทีเ่ ปนนักศึกษานอกระบบ ในการศึกษาหนังสือเรียน สาระทกั ษะการดาํ เนนิ ชีวติ รายวชิ าสขุ ศกึ ษา พลศกึ ษา ผูเ รียนควรปฏบิ ตั ดิ ังน้ี 1. ศึกษาโครงสรางรายวิชาใหเขาใจในหัวขอและสาระสําคัญ ผลการเรียนรูท ี่คาดหวัง และ ขอบขายเนื้อหาของรายวิชานั้น ๆ โดยละเอียด 2. ศึกษารายละเอียดเนือ้ หาของแตละบทอยางละเอียด และทํากิจกรรมตามทีก่ ําหนด แลว ตรวจสอบกับแนวตอบกิจกรรมตามที่กําหนด ถาผูเ รียนตอบผิดควรกลับไปศึกษาและทําความเขาใจใน เนื้อหาน้ันใหมใหเ ขาใจ กอ นท่จี ะศกึ ษาเร่อื งตอ ๆ ไป 3. ปฏิบัติกิจกรรมทายเรือ่ งของแตละเรือ่ ง เพือ่ เปนการสรุปความรู ความเขาใจของเนือ้ หาใน เรอ่ื งน้นั ๆ อีกครั้ง และการปฏิบัติกิจกรรมของแตละเนื้อหา แตละเรือ่ ง ผูเ รียนสามารถนําไปตรวจสอบ กับครแู ละเพอื่ น ๆ ที่รวมเรียนในรายวชิ าและระดับเดียวกนั ได 4. หนงั สอื เรยี นเลม น้ีมี 8 บท บทที่ 1 รางกายของเรา บทที่ 2 พัฒนาการทางเพศของวัยรุน การคุมกําเนิดและโรคติดตอทางเพศสัมพันธ บทที่ 3 การดูแลสุขภาพ บทท่ี 4โรคตดิ ตอ บทที่ 5 ยาสามัญประจําบาน บทที่ 6 สารเสพตดิ อนั ตราย บทที่ 7 ความปลอดภัยในชวี ิตและทรัพยส ิน บทที่ 8 ทักษะชีวติ เพือ่ การคิด
7 โครงสรางหลกั สตู รรายวชิ าสาระทักษะการดําเนินชวี ิต ระดบั ประถมศึกษา สุขศกึ ษา พลศึกษา (ทช11002) สาระสําคัญ เปนสาระที่เกี่ยวของกับธรรมชาติการเจริญเติบโต และพัฒนาการของมนุษย เมือ่ มนุษยมีการ พัฒนาการดานสรีระ เจริญเติบโต แลวมนุษยตองดูแลและสรางเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่ดีของตนเอง และครอบครัว ปฏิบัติตนจนเกิดเปนนิสัย รูจักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสีย่ งตอสุขภาพ ตลอดจนสงเสริม สุขภาพพลานามัย ของตนเองและครอบครัว ผลการเรยี นรทู ีค่ าดหวงั 1. อธิบายธรรมชาติการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษยได 2. บอกหลักการดูแลและสรางเสริมสุขภาพที่ดีของตนเองและครอบครัว 3. ปฏิบัตติ นในการดแู ลและสรา งเสริมพฤตกิ รรมสขุ ภาพพลานามัยจนเปนกิจนิสยั 4. ปอ งกนั และหลีกเล่ยี งพฤตกิ รรมเสี่ยงตอสุขภาพและความปลอดภัยดวยกระบวนการทักษะชีวิต ขอบขา ยเนอ้ื หาวชิ า บทที่ 1 รางกายของเรา บทที่ 2 พัฒนาการทางเพศของวัยรุน การคุมกําเนิดและโรคติดตอทางเพศสัมพันธ บทที่ 3 การดแู ลสุขภาพ บทที่ 4โรคตดิ ตอ บทที่ 5 ยาสามัญประจําบาน บทที่ 6 สารเสพตดิ อนั ตราย บทที่ 7 ความปลอดภัยในชวี ิตและทรพั ยสิน บทที่ 8 ทักษะชวี ติ เพื่อการคิด
8 บทท่ี 1 รางกายของเรา สาระสําคัญ รางกายของมนุษยประกอบดวยอวัยวะตางๆ ทั้งภายใน และภายนอกทีท่ ําหนาที่ตางๆ ตาม ความสําคัญของโครงสรางรางกายมนุษย รวมถึงการปองกันดูแลรักษาไมใหเกิดอาการผิดปกติ เพือ่ ให รางกายไดมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงตามวัฏจักรชีวิตของมนุษยและมสี ุขภาพกายทสี่ มบรู ณต ามวยั ผลการเรียนรทู ่คี าดหวงั 1. อธิบายการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการตามวัยของรางกายได 2. อธิบายโครงสรางและการทํางานของอวัยวะภายใน และภายนอกได 3. อธิบายวิธีการดูแลรักษาปองกันความผิดปกติของอวัยวะทีส่ ําคัญของรางกาย ทัง้ ภายใน และภายนอกได ขอบขา ยเนอื้ หา เรื่องท่ี 1 วฏั จักรชีวติ ของมนษุ ย เรือ่ งที่ 2 โครงสราง หนาที่และการทํางานของอวัยวะภายนอก ภายใน ที่สําคัญของรางกาย เรื่องท่ี 3 การดูแลรกั ษาปองกนั ความผดิ ปกติของอวัยวะสําคัญของรางกาย อวัยวะ
9 บทท่ี 1 รางกายของเรา เรอื่ งท่ี 1 วัฎจกั รชีวติ ของมนุษย ธรรมชาติของชวี ติ มนษุ ย ธรรมชาติของมนุษยประกอบไปดวยการเกิด แก เจ็บ ตาย ซึ่งเปนธรรมดาของชีวิตที่ ทกุ คนหลกี ไมพน ดังน้นั ควรเรยี นรูและปฏิบัติตนดวยความไมป ระมาท 1. การเกิด ทุกคนเกิดมาจากพอซึ่งเปนเพศชาย และแมซึ่งเปนเพศหญิงโดยธรรมชาติได กําหนดใหเพศหญิงเปนคนอุมทองตามปกติประมาณ 9 เดือน จะคลอดจากครรภมารดา เจริญเติบโตเปน ทารก แลวพัฒนาการเปนวัยเด็ก วัยรุน วัยผูใ หญ วัยชรา ตามลําดับ รางกายของคนเราก็จะคอยๆ เปลี่ยนไปตามวัย 2. การแก เมือ่ อายุมากขึน้ รางกายจะมีการเปลีย่ นแปลงที่เห็นไดชัด เชน เมือ่ อยูในชวงชรา รา งกายจะเสือ่ มสภาพลง ผิวหนังเหย่ี วยน การเคล่ือนไหวชา ลง คนสว นใหญเรียกวา “คนแก” 3. การเจบ็ การเจ็บปวยของมนุษยสวนใหญเกิดจากการขาดดูแลรักษาสุขภาพทีถ่ ูกตองและ สม่ําเสมอ คนสวนใหญมักเคยเจ็บปวย บางคนเจ็บปวยเล็กๆ นอยๆ หรือมาก จนตองรับการรักษาจาก แพทย ถาไมด ูแลรักษาสุขภาพตนเอง รา งกายยอ มออนแอและมโี อกาสจะรับเชื้อโรคเขาสูรางกายไดงาย กวาบุคลที่รักษาสุขภาพสม่ําเสมอ 4. การตาย ความตายเปนสิ่งที่ทุกคนหนีไมพน เกิดแลวตองตายดวยกันทุกคน แตการตายนั้น ตอง ถึงวัยที่รางกายเสือ่ มสภาพไปตามธรรมชาติ เมื่ออยูใ นวัยหนุมสาวจึงควรดูแลรักษาสุขภาพและ ดํารงชีวิตดวยความไมประมาท การเจริญเติบโตและพัฒนาการตามวัย การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย จะเริม่ ตั้งแตเกิด ซึง่ แบงไดเปน 5 ชวงวัย โดยแตละวัยจะมีลักษณะและพัฒนาการเฉพาะของวัย
10 การเจริญเติบโต (Growth) หมายถึง การเปลีย่ นแปลงในขนาดรูปราง สัดสวน ตลอดจนกระดกู กลา มเนอื้ และอวัยวะทุกสวนของรางกายตามลําดับขั้น พัฒนาการ (Development) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของมนุษยทุกสวนทีต่ อเนื่องกัน ตั้งแตแรกเกิดจนตลอดชีวิต ซึ่งเปนกระบวนการเปลีย่ นแปลงทัง้ รางกายและจิตใจผสมผสานกันไปเปน ขั้นๆ จากระยะหน่งึ ไปสอู กี ระยะหน่ึง ทาํ ใหเกิดการเจริญกา วหนาเปนลาํ ดับ ซ่ึงแบงเปน 5 ชว งวัย ดังน้ี 1. วยั ทารก (Infancy) ต้ังแตเกดิ – 2 ป เด็กในวัยนีจ้ ะมีพัฒนาการทางดานรางกายทีร่ วดเร็วมากในขวบปแรกเปน 2 เทาจาก แรกเกิด ปถัดมาพัฒนาการจะเพิม่ ขึน้ เพียง 30 % จากนั้นจะเจริญเติบโตขึน้ ตามลําดับ ตามแผนของการ พัฒนา วัยทารกจะสามารถรับรูสงิ่ ตา งๆ ไดในระดับเบือ้ งตน เชน รูจ ักสํารวจ คนหา ทําความเขาใจ และ ปรับตัวใหเขากับสภาพแวดลอมรอบๆ ตัว รูจักใชอวัยวะสัมผัสสิง่ ตางๆ วัยนีต้ องอาศัยการเลีย้ งดูเอาใจ ใสมากทสี่ ุด 2. วัยเด็ก (Childhood) ตั้งแต 3-12 ป การเจริญเติบโตในวัยนีส้ วนใหญเปนเรือ่ งของกระดูกกลามเนื้อ และการประสานกับ ระบบตางๆ ในรางกาย ความแตกตางระหวางบุคคลและเพศตรงกันขาม จะปรากฏชัดเจน โดยวัยเด็ก แบง ออกเปน 3 ชว ง ดงั นี้ 2.1 วัยเด็กตอนตน (3-5 ป) รูจ ักใชภาษา หัดพูด กินขาว ลางมือ รูจ ักสังเกต อยากรู อยากทดลอง และเลน 2.2 วยั เดก็ ตอนกลาง (6-9 ป) เริ่มไปโรงเรียนตองปรับตัวเขากับคนแปลกหนา และทํา ความเขาใจกับระเบียบของโรงเรียน รูจักเลือกตัดสินใจ รับผิดชอบการทํางานของตนเองได 2.3 วัยเด็กตอนปลาย (10-12 ป) เพศชาย-หญิง จะแสดงความแตกตางชัดเจนในดาน พฤติกรรมและความสนใจ เด็กหญิงจะโตกวาเด็กชาย มีทักษะการใชภ าษาทีด่ ขี นึ้ ทําตามคําสั่งได เรียนรู บทบาทที่เหมาะสมกับเพศของตน และจะเลนเฉพาะกลุมที่เพศเดียวกัน 3. วยั รนุ (Adolescence) อายรุ ะหวา ง 13-20 ป วัยนีเ้ ปนชวงหัวเลี้ยวหัวตอของชีวิต เนือ่ งจากเปนวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางรางกาย จติ ใจและตอ งปรับตัวเขากับสิ่งใหมๆ ทีเ่ กิดขึน้ รวมทัง้ ปรับตัวใหเขากับสังคม บางครัง้ ทําใหเกิดปญหา ตางๆ ขึ้น โดยเฉพาะปญหาทางเพศ เริ่มใหความสนใจกับเพศตรงกันขาม เริม่ มองอนาคต คิดถึงการมี อาชีพของตน คิดถึงครอบครัว อยากรู อยากเห็น อยากแสดงความสามารถ บางครัง้ แสดงออกในทางท่ี ไมถ ูกตอง จงึ ทาํ ใหเกดิ ปญ หาขน้ึ ผปู กครองหรอื ผใู หญ ควรใหแ นะนาํ ทเ่ี หมาะสม
11 4. วัยผใู หญ (Adulthood) อายุระหวา ง 21-60 ป วัยนี้รางกายเจริญเติบโตเต็มที่แลว มีรูปรางสมสวน รางกายแข็งแรง แตเนือ่ งจากความ เจรญิ เตบิ โตและพฒั นาการทางกาย และใจของแตละคนตางกัน เชนคนที่เปนลูกคนโต ตองดูแลนองๆ ก็ อาจจะเปนผูใหญเร็วกวานองคนเล็ก หรือคนที่กําพราพอแม ก็ยอมเปนผูใ หญเร็วกวาคนทีม่ ีพอแมอยู ใกลชิด สรุปไดวาวัยนี้ เปนวัยทีม่ ีความเจริญดานตางๆ ทั้งดานความสนใจ ทัศนคติ และคานิยม โดยเฉพาะเรื่องอาชีพ การเลือกคูครอง และการมีชีวิตครอบครัว เปนวัยที่มีพละกําลัง มีความสามารถใน การทํางานมากที่สุด เพราะเปนวัยที่ตองรับผิดชอบในหนาที่ เพื่อครอบครัวและประเทศชาติ 5. วยั ชรา (Old Age) อายุ 60 ปขนึ้ ไป วัยนี้เปนวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางดานรางกาย จิตใจ อารมณ รวมทัง้ สมองในทาง เลือ่ มลง จึงประสบปญหาสุขภาพมากกวาวัยอืน่ มีอาการหลงลืม มักจะจําเรือ่ งราวในอดีต เหมาะทีจ่ ะ เปนทีป่ รึกษาใหคําแนะนําแกผูอื่น เพราะเปนผูท ีป่ ระสบการณมากอน วัยนีม้ ักมีอารมณคอนขางเครียด โกรธ และนอยใจงา ย เรื่องท่ี 2 โครงสราง หนาท่ีและการทาํ งานของอวยั วะภายนอก ภายใน ทีส่ ําคัญของรางกาย อวยั วะและระบบตา งๆ ในรา งกาย อวัยวะภายนอกและอวัยวะภายใน อวัยวะภายนอก เปนอวัยวะที่มองเห็นได เชน ตา หู จมูก ปากและผิวหนัง อวัยวะ เหลานี้มีหนาที่การทํางานตางกัน อวยั วะภายใน เปนอวัยวะที่อยูในรางกายทีม่ ีความสําคัญมาก เพราะเปนสวนหนึง่ ของ ระบบตางๆ ภายในรางกาย โดยอวัยวะภายนอกและอวัยวะภายในมีการทํางานทีส่ ัมพันธกัน หากสวน ใดสว นหน่ึงบกพรอ ง หรือไดรบั อันตรายกอ็ าจมีผลกระทบตอสวนอน่ื ได 1. อวยั วะภายนอก มดี งั น้ี 1.1 ตา เปนอวยั วะทีท่ าํ ใหม องเห็นสงิ่ ตา งๆ และชวยใหเกดิ การเรียนรู เพราะถาไม มีดวงตา สมองจะไมสามารถรับรูแ ละจดจําสิง่ ทีอ่ ยูร อบตัว นอกจากนัน้ ตายังแสดงออกถึงอารมณ ความรสู กึ ตางๆ เชน ดใี จ เสียใจ ตกใจ
12 สว นประกอบของตา ท่สี ําคัญมีดังนี้ (1) คิ้ว เปนสวนประกอบทีอ่ ยูเหนือหนังตาบน ทําหนาที่ปองกันอันตราย ไมใหเกิดกับดวงตา โดยปองกันสิ่งสกปรก เหงือ่ น้าํ และสิง่ แปลกปลอมที่อาจไหลหรือตกมาจาก หนา ผาก หรือศีรษะ เขา สูดวงตาได (2) หนังตา และเปลือกตา ทําหนาที่เปดปดตา เพือ่ รับแสง และปองกัน อนั ตรายทอ่ี าจเกดิ ขน้ึ แกต า และกระจกตา โดยอตั โนมัตเิ มื่อมสี ิ่งอันตรายเขามาใกลต า (3) ขนตา เปนสวนประกอบทีอ่ ยูห นังตาบน หนังตาลาง ทําหนาที่ปองกัน อันตราย เชนฝุน ละออง ไมใหทําอันตรายแกต า (4) ตอ มน้าํ ตา เปนสวนประกอบของตาที่อยูในเบาตา ทางดานหางคิ้วบริเวณ หนงั ตาบน ทําหนาที่ซับน้ําตา มาชวยใหตาชุมชื้น และขับสิ่งสกปรกออกมากับน้ําตา 1.2 หู เปนอวัยวะรับสัมผัสทีท่ ําใหไดยินเสียงตางๆ เชน เสียงเพลง เสียงพูดคุย การไดยนิ เสียง ทาํ ใหเ กดิ การสือ่ สารระหวางกัน ถา หผู ดิ ปกติไมไดยินเสียงใดเลย สมองไมสามารถแปล ความไดวาเสียงตางๆ เปนอยางไร สว นประกอบของหู สวนประกอบของหูแบงเปน 3 สว น คือ หูช้นั นอก หูชัน้ กลาง หชู ้นั ใน (1) หูช้นั นอกประกอบดว ยสว นตา งๆ ดงั น้ี • ใบหู ทําหนาทีร่ ับเสยี งสะทอนเขา สูรหู ู • รูหู ทําหนาที่เปนทางผานของเสียง ใหเขาไปสูส วนตางๆ ของรูหู ภายในรูหูจะมีตอมน้าํ มัน ทําหนาทีผ่ ลิตไขมันทําใหหูชุม ชืน้ และดักจับฝุน ละออง และสิง่ แปลกปลอม ที่เขามาภายในรูหู และเกิดเปนขีห้ ู นอกจากนัน้ ภายในรูหูยังมีเยื่อแกวหู ซึ่งเปนเยือ่ แผนกลมบางๆ กั้น อยรู ะหวางหชู ั้นนอก กับหูชั้นกลาง ทาํ หนาทถี่ ายทอดเสียงผานหชู ัน้ กลาง (2) หูช้ันกลาง มีลักษณะเปนโพรง ประกอบดวยสวนตางๆ ไดแก กระดูก รูปคอน กระดูกรูปทั่ง และกระดูรูปโกลน เปนกระดูกชิ้นนอกติดอยูก ับหูชั้นใน กระดูกทัง้ 3 ช้ิน ดังกลาว ทาํ หนา ทีร่ ับคลน่ื เสยี งตอ จากเย่ือแกว หู (3) หูช้ันใน มีลักษณะเปนรูปหอยโขง เปนสวนทีอ่ ยูดานในสุด ทําหนาที่ ขับคลื่นเสียงโดยผานประสาทรับเสียงสงตอไปยังสมอง และสมองก็แปลผลทําใหรูว าเสียงทีไ่ ดยินคือ เสยี งอะไร
13 1.3 จมูก เปนอวัยวะรับสัมผัส ทําหนาทีห่ ายใจเอาอากาศเขาและออกจากรางกาย และมีหนาทีร่ ับกลิ่นตางๆ ถาจมูกไมสามารถทําหนาที่ไดตามปกติ จะไมไดกลิ่นอะไรเลย หรือทําให ระบบการหายใจและการออกเสียงผิดปกติ สวนประกอบของจมูก จมูกเปนอวัยวะภายนอกทีอ่ ยูบ นใบหนา ชวยเสริมใหใบหนาสวยงาม จมูก แบง ออกเปน 3 สว น ดงั น้ี (1) สันจมูก เปนสวนทีม่ องเห็นจากภายนอก เปนกระดูกออน ทําหนาที่ ปองกนั อนั ตรายใหก บั อวัยวะภายในจมกู (2) รูจมูก รูจมูกมี 2 ขาง ทําหนาที่เปนทางผานของอากาศ ทีห่ ายใจเขาออก ภายในรจู มกู มขี นจมกู และเยอื่ จมูก ทําหนาที่กรองฝนุ และเชอื้ โรคไมใหเ ขาสหู ลอดลมและปอด (3) ไซนัส เปนโพรงอากาศครอบจมูกในกะโหลกศีรษะ จํานวน 4 คู ทํา หนาที่พัดอากาศเขาสูปอด และปรับลมหายใจใหมีอุณหภูมิและความชื้นพอเหมาะ 1.4 ปากและฟน เปนอวัยวะสําคัญของรางกายที่ใชในการพูด ออกเสียง และ รับประทานอาหาร โดยฟนของคนเราจะมี 2 ชุด คอื ฟนน้ํานมและฟนแท (1) ฟนน้ํานม เปนฟนชุดแรก มีทัง้ หมด 20 ซี่ เปนฟนบน 10 ซี่ ฟนลาง 10 ซ่ี ฟนน้าํ นมเริม่ งอกเมื่ออายุประมาณ 6-8 เดือน จะงอกครบเมือ่ อายุ 2 ขวบ ถึง 2 ขวบครึง่ และจะคอยๆ หลุดไปเมื่ออายุประมาณ 6 ขวบ (2) ฟนแท เปนฟนชุดทีส่ อง ทีเ่ กิดขึน้ มาแทนฟนน้าํ นมทีห่ ลุดไป ฟนแทมี 32 ซี่ ฟน บน 16 ซ่ี ฟน ลา ง 16 ซ่ี ฟนแทจะครบเมอ่ื อายุประมาณ 21- 25 ป ถาฟนแทผุหรือหลุดไป จะไม มฟี นงอกขนึ้ มาอกี หนา ทีข่ องฟน ฟน มีหนาที่ในการเคี้ยวอาหาร เชน ฉีก กัด บดอาหารใหละเอียด ฟนจึงมี หนา ทแ่ี ละรปู รา งตา งกันไป ไดแก ฟน หนา มีลักษณะคลายลม่ิ ใชกัดตดั ฟน เข้ียว มีลักษณะปลายแหลม ใชฉีกอาหาร และฟนกราม มีลักษณะแบน กวาง ตรงกลางมีรองใชบดอาหาร 1.5 ผิวหนัง เปนอวัยวะรับสัมผัส ทําใหรูสึก รอน หนาว เจ็บปวด เพราะภายใต ผิวหนังเปนที่รวมของเซลลประสาทรับความรูส ึก นอกจากนัน้ ผิวหนังยังทําหนาทีป่ กคลุมรางกาย และ ชวยปองกันอวัยวะภายในไมใหไดรับอันตราย และยังชวยระบายความรอนภายในรางกายทางรูเหงือ่ ตามผวิ หนงั อกี ดว ย
14 สว นประกอบของผวิ หนงั แบง ออกเปน 2 ชน้ั ดงั น้ี (1) ชั้นหนังกําพรา เปนชั้นบนสุด เปนชั้นที่จะหลุดเปนขี้ไคล แลวมีการ สรา งข้ึนมาทดแทนขนึ้ เรื่อยๆ และเปน ผิวหนังชนั้ ทีบ่ งบอกความแตกตา งของสผี ิวในแตละคน (2) ชน้ั หนงั แท เปน ผิวหนงั ทห่ี นากวาชน้ั หนงั กาํ พรา เปน แหลงรวมของตอม เหงื่อ ตอมไขมัน และเซลลประสาทรับความรูสึกตางๆ 2. อวัยวะภายใน อวัยวะภายในเปนอวัยวะทีอ่ ยูใ ตผิวหนัง ซึง่ เราไมสามารถมองเห็น อวัยวะภายใน เหลานี้มีมากมายและทํางานประสานสัมพันธกันเปนระบบ 2.1 ปอด ปอดเปนอวยั วะภายในอยา งหนง่ึ อยใู นระบบหายใจ ปอดมี 2 ขา ง ตง้ั อยู บริเวณทรวงอกทั้งทางดานซายและดานขวา จากตนคอลงไปจนถึงอก ปอดมีลักษณะนิ่มและหยุน เหมอื นฟองนํา้ ขยายใหญเทากบั ซีโ่ ครงเวลาทีข่ ยายตวั เต็มท่ี มีเย่อื บางๆ หุม เรียกวา เย่ือหมุ ปอด ปอด ประกอบดวยถุงลมเล็กๆ จํานวนมากมาย เวลาหายใจเขาถุงลมจะพองออกและเวลาหายใจออกถุงลมจะ แฟบ ถงุ ลมนป้ี ระสานตดิ กนั ดวยเยอ่ื ประสานละเอยี ดเตม็ ไปดว ยเสนเลือดฝอยมากมาย เลอื ดดาํ จะไหล ผา นเสนเลอื ดฝอยเหลา น้นั แลวคายคารบอนไดออกไซดออก และรับเอาออกซเิ จนจากอากาศที่เรา หายใจเขาไปในถุงลมไปใชในกระบวนการเคมีในการสันดาปอาหารของรางกาย กระบวนการที่เลือด คายคารบ อนไดออกไซด และรบั ออกซเิ จนขณะทีอ่ ยูในปอดน้ี เรยี กวา การฟอกเลือด หนาที่ของปอด ปอดจะทําหนาที่สูบและระบายอากาศ ฟอกเลือดเสียใหเปนเลือดดี การหายใจ มอี ยู 2 ระยะ คือ หายใจเขาและหายใจออก หายใจเขา คือ การสูดอากาศเขาไปในปอดหรือถุงลมปอด เกดิ ขึน้ ดว ยการหดตวั ของกลามเน้อื กะบังลม ซง่ึ ก้นั อยรู ะหวางชอ งอกกบั ชองทอง เมอื่ กลามเนือ้ กะบงั ลมหดตัวจะทําใหชองอกมีปริมาตรมากขึ้น อากาศจะวิ่งเขาไปในปอด เรียกวาหายใจเขา เมื่อหายใจเขา สุดแลว กลามเนอื้ กะบงั ลมจะคลายตวั ลง กลา มเนื้อทองจะดันเอากลา มเนือ้ กะบังลมขน้ึ ทาํ ใหช องอก แคบลง อากาศจะถูกบีบออกจากปอด เรียกวา หายใจออก ปกติผูใหญหายใจประมาณ 18-22 คร้ังตอ นาที ผทู ่มี ีอายนุ อยการหายใจจะเร็วขึ้นตามอายุ 2.2 หัวใจ เปนอวยั วะทปี่ ระกอบดว ย กลามเนื้อ ภายในเปนโพรง รูปรางเหมือนดอกบัวตูม มี ขนาดราวๆ กําปนของเจาของ รอบๆ หัวใจมีเยื่อบางๆ หุม อยูเ รยี กวา เย่ือหมุ หัวใจ ซ่ึงมีอยู 2 ชนั้ ระหวา งเยอื่ หุมทัง้ สองช้ันจะมชี อ ง ซ่ึงมนี ํ้าใสสีเหลอื งออนหลออยูตลอดเวลา
15 เพื่อมใิ หเ ย่ือทั้งสองชนั้ เสยี ดสกี ัน และทาํ ใหห วั ใจเตนไดสะดวกไมแ หง ตดิ กับเยอื่ หมุ หัวใจ หวั ใจตง้ั อยู ระหวางปอดทั้งสองขาง แตคอนไปทางซายและอยูหลังกระดูกซี่โครงกับกระดูกอก โดยปลายแหลมชี้ เฉียงลงทางลาง และชี้ไปทางซาย ภายในหัวใจจะมีโพรง ซึ่งภายในโพรงนี้จะมีผนังกั้นแยกออกเปน หอ งๆ รวม 4 หอ ง คือ หองบน 2 หอง และหองลาง 2 หอง สาํ หรับหองบนจะมีขนาดเล็กกวาหอ งลา ง หนา ท่ีของหัวใจ หวั ใจมีจังหวะการบีบตวั หรือที่เราเรยี กวาการเตน ของหวั ใจ เพ่ือสูบฉีดเลือด แดงไปหลอเลี้ยงรางกายตามสวนตางๆ ของรางกาย ขณะที่คลายตัวหัวใจหองบนขวาจะรับเลือดดํามา จากทั่วรางกาย และจะถกู บบี ผานล้ินท่ีกัน้ อยูลงไปทางหองลา งขวา ซง่ึ จะถูกฉดี ไปยังปอดเพ่ือคาย คารบ อนไดออกไซดแ ละรบั ออกซเิ จนใหมก ลายเปน เลอื ดแดง ไหลกลับเขามายังหัวใจหองบนซายและ ถูกบบี ผานล้ินทีก่ น้ั อยูไ ปทางหอ งลา งซาย จากนน้ั กจ็ ะถกู ฉดี ออกไปเลย้ี งทวั่ รา งกาย ถาเราใชน ิ้วแตะ บริเวณเสน เลอื ดใหญ เชน ขอมอื หรือขอพับตา งๆ เราจะรูสึกไดถงึ จังหวะการบีบตัวของหวั ใจ ซึ่งเรา เรยี กวา ชีพจร หวั ใจเปน อวัยวะที่สําคัญท่สี ุด เพราะเปนอวยั วะทีบ่ อกไดวาคนนั้นยังมีชวี ิตอยูได หรอื ไม ถา หากหัวใจหยดุ เตนกห็ มายถงึ วา คนคนนน้ั เสยี ชวี ติ แลว การเตน ของหวั ใจน้ัน ในคนปกติ หวั ใจจะเตน ประมาณ 70-80 ครั้งตอนาที หัวใจตองทาํ งานหนักตลอดชวี ิต ทง้ั เวลาหลบั และต่ืน เวลาท่ีหวั ใจจะไดพกั ผอน บางก็คือตอนที่เรานอนหลับ หัวใจจะเตนชาลง เราจึงตองระมัดระวังรักษาหัวใจใหแข็งแรงอยูเสมอ โดยอยา ใหห วั ใจตองทาํ งานหนกั มากจนเกนิ ไป 2.3 กระเพาะอาหาร มรี ูปรา งเหมือนนํ้าเตา คลายกระเพาะหมู มีความจุประมาณ 1 ลติ ร อยูต อ หลอดอาหารและอยูในชองทองคอนไปทางดา นซา ย หนาที่สําคัญของกระเพาะอาหาร คือ มีหนาที่ในการยอยอาหารที่มีขนาดเล็ก ลง และละลายใหเปนสารอาหาร แลวสงอาหารทีย่ อยแลวไปยังลําไสเล็ก แลวลําไสเล็กจะดูดซึมไปใช ประโยชนแกรางกายตอไป สวนทีไ่ มเปนประโยชนที่เรียกวากากอาหารจะถูกสงตอไปยังลําไสใหญ เพือ่ ขับถายออกจากรางกายเปนอุจจาระตอไป สิง่ ทีช่ วยใหกระเพาะยอยอาหารก็คือ น้าํ ยอยซึง่ มีสภาพ เปนกรด น้ํายอยในกระเพาะจะมีเปนจํานวนมากเมื่อถึงเวลารับประทานอาหาร ถาไมรับประทานอาหาร ใหตรงเวลาน้าํ ยอยจะกัดเนือ้ เยื่อในบริเวณกระเพาะไดเชนกัน อาจจะทําใหเกิดเปนแผลในกระเพาะ อาหารได วิธีทีจ่ ะชวยปองกันไดก็คือ ดืม่ น้ําสะอาดใหมากๆ และรับประทานอาหารใหตรงเวลา งด รับประทานอาหารที่มีรสจัด
16 2.4 ลําไสเล็ก มีลักษณะเปนทอกลวงยาวประมาณ 6 เมตร ขดอยูใ นชองทอง ตอนบน ปลายบนเชื่อมกับกระเพาะอาหาร สวนปลายลางตอกับลําไสใหญ หนาทีส่ ําคัญของลําไสเล็ก คือ ยอยอาหารตอจากกระเพาะอาหาร จนอาหารมี ขนาดเล็กพอท่จี ะดดู ซมึ เขาสกู ระแสเลือด เพื่อนําไปเลี้ยงสว นตางๆ ของรางกาย 2.5 ลําไสใหญ เปนอวัยวะทีอ่ ยูใ นระบบทางเดินอาหาร ลําไสใหญของคนมีความ ยาวประมาณ 1.5 เมตร เสนผานศูนยกลางประมาณ 6 เซนตเิ มตร แบง ออกเปน 3สว น คือ (1) กระเปาะลําไสใหญ เปน ลําไสใ หญส ว นแรก ตอ จากลําไสเล็ก ทําหนาทีร่ ับ กากอาหารจากลําไสเล็ก (2) โคลอน (Colon) เปนลําไสใหญสวนที่ยาวทีส่ ุดประกอบดวยลําไสใหญ ขวา ลําไสใหญกลาง และลําไสใหญซาย มีหนาที่ดูดซึมนํ้าและพวกวิตามินบี12 ทีแ่ บคทีเ่ รียในลําไส ใหญส รา งขึ้น และขบั กากอาหารเขา สูลาํ ไสใ หญส ว นตอไป (3) ไสตรง เมื่อกากอาหารเขาสูไ สตรงจะทําใหเกิดความรูส ึกอยากถายขึ้น เพราะความดนั ในไสต รงเพิม่ ขนึ้ เปน ผลทาํ ใหก ลา มเนือ้ หรู ูดที่ทวารหนักดานใน ซึ่งจะทําใหเกิดการถาย อุจจาระออกทางทวารหนักตอไป หนาที่ของลาํ ไสใ หญ (1) ชว ยยอ ยอาหารเพยี งเลก็ นอย (2) ถายระบายกากอาหาร ออกจากรางกาย (3) ดูดซึมนา้ํ และสารอิเลค็ โตรลยั ต เชน โซเดยี ม และเกลอื แรอ ่ืน ๆ จาก อาหารที่ถูกยอยแลว ทีเหลืออยูในกากอาหาร รวมทั้งวิตามินบางอยางที่สรางจากแบคทีเรีย ซ่ึงอาศัยอยู ในลาํ ไสใหญ ไดแ ก วิตามินบรี วม วิตามินเค ดวยเหตุนี้จึงเปนชอ งทางสําหรับใหน ้าํ อาหารและยาแก ผูปวยทางทวารหนักได (4) ทําหนาที่เก็บอุจจาระไวจนกวาจะถึงเวลาอันสมควรที่จะถายออกนอก รางกาย 1.5 ไต เปนอวัยวะสวนหนึ่งในระบบขับถาย จะขับถายของเสียจากรางกายออกมา เปนน้าํ ปสสาวะ ไตของคนเรามี 2 ขาง มีรูปรางคลายเมล็ดถัว่ แดง ยาวประมาณ 12 เซนติเมตร อยูติด ผนงั ชอ งทองดานหลงั ตาํ่ กวากระดกู ซ่ีโครงเล็กนอ ย หนาทีส่ ําคัญของไต คือ กรองของเสียออกจากเลือดแดง แลวขับของเสียออก นอกรางกายในรูปของปสสาวะ
17 เร่ืองที่ 3 การดูแลรักษาปองกัน ความผดิ ปกตขิ องอวัยวะสาํ คัญของรา งกาย อวัยวะภายนอก และภายใน การดูแลรักษาปองกัน ความผิดปกติของอวัยวะสําคัญของรางกาย อวัยวะภายนอกและภายในมี ความสําคัญของรางกาย จําเปนตองดูแลรักษาใหสามารถทํางานไดตามปกติ เพราะถาอวัยวะสวนใด สวนหนึ่งเกิดความบกพรองหรือเกิดความผิดปกติ ระบบการทํางานนัน้ ก็จะบกพรองก็จะบกพรองหรือ ผดิ ปกติดว ย มีวิธีการงาย ๆ ในการดูแลรกั ษาอวัยวะตา ง ๆ ดงั นี้ 1. การดแู ลรกั ษาตา ตามีความสําคญั ทําใหม องเห็นสงิ่ ตางๆ จึงควรดแู ลรักษาตาใหด ดี วยวิธี ดงั ตอ ไปน้ี 1. ไมควรใชสายตาจองหรือเพงส่ิงตางๆ มากเกินไป ควรพักสายตาโดยการหลับตา หรือ มองออกไปยงั ทีก่ วางๆ หรือพืน้ ทส่ี เี ขยี ว 2. ขณะอานหรือเขียนหนังสือ ควรใหแสงสวางอยางเพียงพอ และควรวางหนังสือใหหาง จากตาประมาณ 1 ฟุต 3. ไมค วรอา นหนงั สอื ขณะอยบู นยานพาหนะ เชน รถ หรือรถไฟที่กําลังแลน 4. ดโู ทรทศั นใ หห า งจากจอภาพไมน อยกวา 3 เทา ของขนาดจอภาพ 5. เมอื่ มีฝนุ ละอองเขา ตา ไมควรขย้ีตา ควรใชว ิธลี มื ตาในน้าํ สะอาด หรอื ลางดวยนา้ํ ยาลา งตา 6. ไมค วรใชผาเชด็ หนา รวมกับผูอืน่ เพราะอาจตดิ โรคตาแดงจากผอู ืน่ ได 7. หลกี เลย่ี งการมองบรเิ วณทแี่ สงจา หรอื หลีกเลย่ี งสถานทที่ ม่ี ฝี นุ ละอองฟงุ กระจาย 8. อยาใชยาลางตาเม่ือไมมีความจําเปน เพราะตามธรรมชาตินํ้าในเปลือกตาทําหนาท่ีลาง ตาดีท่ีสดุ 9. บริหารเปลือกตาบนและเปลือกตาทุกวันดวยการใชน้ิวช้ีรูดกดไปบนเปลือกตาจากค้ิว ไปทางหางตา 2. การดแู ลรกั ษาหู หูมีความสําคัญตอการไดยิน ถาหูผิดปกติจนไมสามารถไดยินเสียงตางๆ การทํา กิจกรรมในชีวิตประจําวัน กไ็ มราบร่ืนเกิดอุปสรรค ดงั นนั้ จงึ ควรดแู ลรกั ษาหูใหท าํ หนาทใ่ี หดีอยูเสมอ 1. หลีกเลีย่ งแหลงที่มีเสียงดังอึกทึก ถาหลีกเลีย่ งไมไดควรปองกันตนเอง โดยหา อุปกรณมาอดุ หู หรือครอบหู เพื่อปองกันไมใ หแ กวหูฉกี ขาด 2. ไมค วรแคะหูดวยวัสดใุ ดๆ เพราะอาจทาํ ใหห ูอกั เสบเกดิ การตดิ เช้ือ 3. เมื่อมีแมลงเขาหู ใหใชน้ํามันมะกอก หรือน้าํ มันพาราฟลหยอดหู ทิง้ ไวสักครูแ มลง จะตาย แลว จงึ เอียงหใู หแมลงไหลออกมา
18 4. ขณะวายน้าํ หรืออาบน้ํา พยายามอยาใหน้ําเขาหู ถามีน้าํ เขาหูใหเอียงหูใหน้ํา ออกมาเอง 5. เมื่อเปนหวัดไมควรสัง่ น้าํ มูกแรงๆ เพราะเชือ้ โรคอาจผานเขาไปในรูหู เกิดอักเสบ ติดเชือ้ กลายเปน หูนํ้าหนวก และเมอื่ มีสง่ิ ผดิ ปกตเิ กดิ ขน้ึ กับหู ควรปรึกษาแพทย 3. การดูแลรักษาจมกู จมูกเปนอวัยวะรับสัมผัสที่มีความสําคัญ ทําใหไดกลิน่ และหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์ เขาสปู อด ควรดแู ลรักษาจมูกใหท าํ หนา ทไี่ ดต ามปกตดิ ว ยวธิ ีดงั นี้ 1. หลกี เลี่ยงบรเิ วณที่มฝี นุ ละอองฟุงกระจาย 2. ไมค วรแคะจมกู ดว ยวสั ดแุ ขง็ เพราะอาจทาํ ใหจ มกู อกั เสบ 3. ไมค วรส่งั นาํ้ มูกแรงๆ ถาเปนหวัดเรื้อรงั ไมควรปลอยทงิ้ ไว ควรปรกึ ษาแพทย 4. ถามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับจมูก ควรปรึกษาแพทย 4. การดูแลรักษาปากและฟน 1. ควรแปรงฟน ใหถ กู วิธหี ลงั อาหารทกุ มอ้ื หรอื ควรแปรงฟน อยางนอ ยวนั ละ 2 คร้ัง 2. ไมควรกัดหรอื ฉีกของแขง็ ดว ยฟน และควรพบทันตแพทยเ พ่ือตรวจฟน ทุก 6 เดอื น 3. ออกกําลังเหงือกดวยการถู นวดเหงือก ตอนเชา และกลางคืนกอนนอน โดยการอม เกลอื หรอื เกลอื ปน ผสมสารสมปน ประมาณ 5 นาที แลว นวดเหงอื ก 4. รับประทานผัก ผลไมสดมากๆ และหลีกเลีย่ งรับประทานลูกอม ช็อคโกแลตและ ขนมหวานๆ 5. การดแู ลรักษาผวิ หนงั 1. อาบน้ําอยางนอยวันละ 2 คร้งั หลังจากอาบนาํ้ เสร็จ ควรเช็ดตวั ใหแ หง 2. สวมเสื้อผาท่ีสะอาด ไมเปยกชื้น และไมรัดรปู จนเกนิ ไป 3. รับประทานอาหารทีม่ ีประโยชนและดืม่ น้าํ มากๆ ออกกําลังกายอยางสม่าํ เสมอ หลีกเลี่ยงแสงแดดจา และระมัดระวงั ในการใชเ ครื่องสาํ อาง 4. เม่อื ผิวหนงั ผดิ ปกติ ควรปรกึ ษาแพทย 6. การดแู ลรกั ษาปอด มขี อควรปฏบิ ัติดงั น้ี 1. ควรอยูใ นสถานทีท่ ี่มีอากาศบริสุทธิ์ถายเทไดเสมอ หลีกเลีย่ งอยูใ นสถานทีท่ ีม่ ีฝูง ชนแออดั
19 2. ควรหายใจทางจมูก เพราะในจมูกมีขนจมูกและเยื่อเสมหะซึง่ จะชวยกรองฝุน ละออง และเชื้อโรคไมใหเขาไปในปอด หลีกเลี่ยงการหายใจทางปาก 3. ไมควรนอนคว่ํานานๆ จะทําใหปอดถูกกดทับทํางานไมสะดวก 4. ไมควรสบู บุหร่ี เพราะจะสง ผลใหเปน อนั ตรายตอ ปอด 5. ควรนง่ั หรอื ยนื ตัวตรง ไมควรสวมเสือ้ ผาทีร่ ัดแนน เพราะจะทําใหปอดขยายตัวไม สะดวก 6. ควรรกั ษารา งกายใหอบอนุ เพอื่ ปอ งกันการเปนหวดั 7. ควรบริหารปอด ดวยการหายใจยาวๆ วันละ 5-6 ครัง้ ทุกวัน ทําใหปอดขยายตัวได เตม็ ท่ี 8. ควรระวังการกระทบกระเทือนอยางรุนแรงจากภายนอก เชน หนาอก แผนหลัง เพราะจะกระทบกระเทือนไปถึงปอดดวย 9. ควรพักผอนใหเต็มที่ การออกกําลังกายหรือการเลนใดๆ อยาใหเกินกําลังหรือ เหนอ่ื ยเกนิ ไป เพราะจะทาํ ใหป อดตอ งทาํ งานหนกั จนเกนิ ไป 10. ควรตรวจสขุ ภาพ หรือเอ็กซเรยปอดอยางนอยปละ 1 ครงั้ 7. การดูแลรกั ษาหัวใจ มีวิธีการปฏิบตั ดิ ังนี้ 1. ควรออกกําลังกายสม่าํ เสมอ เหมาะสมกับสภาพรางกาย และวัย ไมหักโหมเกินไป เพราะจะทําใหหัวใจตองทํางานมาก อาจเปนอันตรายได 2. ไมด่ืมนาํ้ ชา กาแฟ สูบบหุ ร่ี ด่มื สรุ าหรือเคร่ืองดืม่ ทีม่ สี ารกระตุน เพราะมีสารกระตุน ทําใหหัวใจทํางานหนกั จนอาจเปน อนั ตรายแกก ลา มเนอ้ื หวั ใจได 3. ไมรับประทานยา ที่จะกระตุนในการทํางานของหัวใจโดยไมปรึกษาแพทย 4. การนอนคว่ํา เปนเวลานานๆ จะสงผลทําใหหัวใจถูกกดทับทํางานไมสะดวก 5. ไมค วรนอนในสถานท่ีอากาศถา ยเทไมสะดวก หรอื สวมเสอื้ ผาท่ีรดั รปู จนเกินไป จะ ทําใหระบบการทํางานของหัวใจไมสะดวก 6. ระมัดระวังไมใหหนาอกไดรับความกระทบกระเทือน เพราะอาจเปนอันตรายกับ หวั ใจได 7. ไมควรวิตกกังวล กลัว ตกใจ เสียใจมากเกินไป เพราะจะสงผลตอการทํางานของ หวั ใจ 8. ไมควรรับประทานอาหารที่มีไขมันและน้ําตาลมากเกินไป เพราะจะทําใหเกิดไขมัน เกาะภายในเสนเลอื ดและกลามเนือ้ หัวใจ ทาํ ใหหัวใจตองทาํ งานหนักขน้ึ จะเปนอนั ตรายได 9. เมื่อเกิดอาการผิดปกติของหัวใจ ควรปรึกษาแพทย
20 8. การดูแลรกั ษากระเพาะอาหารและลําไส ควรปฏบิ ัตดิ ังนี้ 1. ควรรับประทานอาหาร ที่มีประโยชน ไมแข็ง ไมเหนียว หรือยอยยาก หรือมีรสจัด เกินไป เพราะทําใหกระเพาะอาหารทํางานหนักหรือทําใหเกิดเปนแผลได 2. ควรใหรางกายอบอุน ในเวลานอนตองสวมเส้อื ผา หรือหมผาเสมอ เพ่ือมิใหทองรับ ความเย็นจนเกินไป จนอาจเกิดอาการปวดทอง 3. ควรควบคุมอารมณ เพราะความเครียด ความวิตกกังวล ก็ทําใหกระเพาะอาหาร หลั่งน้ํายอยออกมามาก 4. เคย้ี วอาหาร ใหละเอยี ดกอ นกลืน และไมร ีบรับประทาน เพราะจะทําใหอาหารยอย ยาก 5. ไมควรสวมเสือ้ ผาคับหรือรัดเข็มขัดแนนเกินไป จะทําใหกระเพาะอาหารทํางาน ไมส ะดวก 6. ไมควรรับประทานจุบจิบ เพราะจะทําใหกระเพาะอาหารตองทํางานอยูเสมอไมมี เวลาพกั 7. ควรรับประทานอาหารใหเปนเวลา ไมปลอยใหหิวมาก หรือรับประทานอาหาร มากเกินไป จะทําใหกระเพาะอาหารตองทํางานหนัก หรือเกิดอาการอาหารไมยอย แนนทองได 8. ไมรับประทานของหมักดอง จะทําใหเกิดอาการทองเสียหรือทอ งรว งได 9. ปฏิบัติตนตามหลักสุขนิสัยที่ดี โดยรักษาความสะอาดมือ ภาชนะและอาหรที่ รบั ประทานเพอ่ื ปอ งกนั เชอ้ื โรคจะเปน อนั ตรายตอ กระเพาะอาหารได 10. ควรรับวัคซีนปองกันโรค เมือ่ เกิดโรคติดตอระบาดในชุมชน เชน อหิวาตกโรค บิด พยาธิตางๆ ทองรว ง 9. การดแู ลรักษาไต ควรปฏิบตั ดิ ังนี้ 1. ควรรับประทานอาหาร น้ํา เกลือแร ใหเหมาะสมตามสภาวะของรางกาย 2. ควรหลีกเลีย่ งการใชยาหรือรับประทาน ยาที่มีผลเสียตอไต เชน ยาซัลฟา ยาแก ปวด และแกอ กั เสบตอ เนอ่ื งเปน เวลานาน 3. ไมค วรกลน้ั ปส สาวะเอาไวน านๆหรือสวนปส สาวะ 4. ผูท ีม่ ีอาการของโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ควรรักษาเพราะจะสงผล กระทบตอการทํางานของไต 5. เมื่อเกิดอาการผิดปกติที่สงสัยวาจะเปนโรคไต เชน เทา ตัว หรือหนาบวม ปสสาวะเปนสคี ล้ําเหมอื นสนี ้ําลา งเนอ้ื หรอื ปส สาวะบอ ยผิดปกติ ควรปรกึ ษาแพทย 6. ควรตรวจสุขภาพ ตรวจปสสาวะ อยางนอยประจําปละ 1-2 คร้ัง
21 กิจกรรมทายบท 1. ใหผูเรียนแบงกลุม ศึกษาพัฒนาการของมนุษยตามวัยตางๆ แลวใหแตละกลุม อภิปราย นาํ เสนอผลงานแตละกลุม 2. ใหผเู รยี นเปรียบเทยี บความแตกตางทีเ่ กดิ ขนึ้ ในแตล ะวัย และชวยกันสรุปผล 3. ใหผูเ รียนบอกความแตกตางของการดูแลรักษาอวัยวะภายในและภายนอกพรอม อภปิ รายวิธีการปอ งกันและดแู ลรกั ษา
22 บทท่ี 2 พฒั นาการทางเพศของวยั รุน การคมุ กําเนิดและโรคตดิ ตอ ทางเพศสมั พันธ สาระสําคัญ มีความรูค วามเขาใจเกีย่ วกับปญหาและการพัฒนาทางเพศของวัยรุน ในเรือ่ งตางๆ ทัง้ เพศชาย และเพศหญงิ ทม่ี ีปญ หาที่แตกตา งกนั ออกไปตลอดจนเรยี นรูในเรื่องของกฎหมายท่ีเกี่ยวของกับการลวง ละเมิดทางเพศ และมีความรูใ นการดูแลรักษาสุขภาพของตนเองใหพนจากโรคติดตอในเวลามี เพศสัมพนั ธ ผลการเรียนรทู ่คี าดหวงั 1. เรียนรูเ ก่ียวกับการพัฒนาการทางเพศ และการดแู ลสุขภาพของวยั รนุ 2. เรียนรเู ก่ียวกบั การปองกนั ปญ หาทจ่ี ะเกิดจากสาเหตุตางๆ ของวัยรุน 3. เรียนรูในเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวของกับการลวงละเมิดทางเพศ 4. เรยี นรูในเรื่องของโรคตดิ ตอตา งๆ ที่เกิดจากการมเี พศสัมพันธ ขอบขา ยเนอื้ หา เร่อื งที่ 1 พัฒนาการทางเพศของวัยรุน เรื่องท่ี 2 การดแู ลสุขภาพเบ้อื งตนในวัยรนุ เร่อื งท่ี 3 การคุมกําเนิด เรือ่ งท่ี 4 วิธีการสรางสัมพันธภาพที่ดีระหวางคนในครอบครัว เรอ่ื งที่ 5 การสื่อสารเรื่องเพศในครอบครัว เรอ่ื งที่ 6 ปญหาที่เกี่ยวของกับพัฒนาการทางเพศของวัยรุน เรื่องที่ 7 ทกั ษะการจัดการกับปญหา อารมณ และความตองการทางเพศของวัยรุน เรือ่ งที่ 8 หลากหลายความเชอื่ ที่ผดิ ในเรอ่ื งเพศ เรื่องที่ 9 กฎหมายที่เกี่ยวกับการลวงละเมิดทางเพศ เร่อื งที่ 10 โรคติดตอทางเพศสัมพันธ
23 บทท่ี 2 พัฒนาการทางเพศของวัยรุน การคมุ กําเนดิ และโรคตดิ ตอ ทางเพศสมั พันธ เร่ืองท่ี 1 พฒั นาการทางเพศของวัยรุน วัยรนุ ชวงอายุระหวาง 8 - 18 ป เปนวัยท่ีรางกายเปล่ียนจากเด็กไปเปน ผูใหญ เรยี กวา วยั รุนหรือวัยเจรญิ พนั ธุ มีการเปลีย่ นแปลงเกิดขึ้นหลายอยางทง้ั ทางรางกายและจิตใจ โดยมีฮอรโมน เปน ตัวกระตุน การทจ่ี ะบอกใหแ นชัดลงไปวา เดก็ ชายและเด็กหญิงเขา สวู ยั รนุ เมอ่ื ใดนน้ั เปนเรือ่ ง คอนขางยาก เพราะเด็กทั้งสองเพศนอกจากจะแตกเนื้อหนุมสาวไมพรอมกันแลว คนแตละคนในเพศ เดยี วกันก็ยังแตกเนอ้ื หนุมสาวไมพ รอ มกันอีกดวย แตพอจะกลา วโดยท่วั ไปไดวา เดก็ หญิงจะเขา สวู ัยรุน ในอายรุ ะหวา ง 13 - 15 ป และเดก็ ชายจะเรม่ิ เมื่ออายุ 15 ป โดยเด็กหญิงจะมีอตั ราการเจรญิ เติบโต ทางดานรางกายในชวงนี้เร็วกวาเด็กชายประมาณ 1 - 2 ป แตทั้งน้ีขึน้ อยูกบั ลกั ษณะหรือแบบแผนการ เจริญเตบิ โตของแตล ะคน ฮอรโ มนเพศ หญิงและชายเมื่อเขาสูชวงวัยรุน ตอมไฮโปเตลามัส (Hypothalamus) ซึง่ เปน ตอมเลก็ ๆ ในสมอง เร่ิมสง สัญญาณผานตอมใตสมองพิทอู ิตารี (Pituitary gland หรอื Master gland) ซง่ึ เปน ตอ มไรท อ ทส่ี าํ คัญท่สี ุดของรางกาย เพราะมหี นา ท่ีผลติ ฮอรโมนท่แี ตกตางกนั เพอ่ื ไปกระตุนและ ควบคุมการทํางานของอวยั วะตา งๆ รวมถึงอวัยวะทเี่ กย่ี วกับเพศ คอื รงั ไขสําหรบั ผูหญงิ ในการผลติ ฮอรโ มนเพศ เอสโทรเจน (Estrogen) และลูกอณั ฑะสําหรับผชู ายผลิตฮอรโ มนเพศ เทสทอสเทอโรน (Testosterone) ฮอรโ มนเอสโทรเจน และฮอรโมนเทสทอสเทอโรน ซง่ึ เปนฮอรโมนเพศนี้ ทําให รางกายวัยรุนเจริญเตบิ โตอยา งรวดเรว็ มีไขมนั และกลา มเนือ้ เพ่มิ ขึ้น ตัวสงู ขึน้ มขี นข้ึนบรเิ วณอวยั วะ เพศ รกั แร และสว นตา งๆ ของรางกาย มีกลนิ่ ตัว มีสิว ผูห ญิงจะมสี ะโพกผาย ตน ขา หนา อกและกน ใหญ ขึ้น และมีประจําเดือน สว นผชู าย เสียงจะแตกหาว ฝนเปยก และท้ังหญงิ ชายจะเรม่ิ มคี วามรูสึกตองการ ทางเพศ หรือมอี ารมณเ พศ นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางรางกายแลว วัยรุนหญิงชายยังมีการเปลี่ยนแปลงทางดานจิตใจ อารมณและความรูสึก โดยเริ่มมีความสนใจ หรือความรูสึกพึงพอใจเปนพิเศษตอบางคนที่อาจเปนทั้ง เพศเดยี วกนั และตา งเพศ วัยรุน เปนวยั ท่รี างกายมคี วามพรอ มในการผลิตเซลลเ พศเพื่อการสบื พนั ธุ คนทว่ั ไปจึงตัดสินการ เขาสูว ัยรุน โดยพิจารณาจากการมีประจําเดือนครั้งแรก (เด็กหญิงราว 13 ป) และการหลั่งน้าํ อสุจิครั้ง แรก (เด็กชายอายุประมาณ 11 ป) แตปรากฏการณทั้งสองไมคอยแนนอนนัก เชน การหลัง่ น้ําอสุจิอาจ
24 เกิดชากวาการเปลี่ยนแปลงทางรางกายดานอื่นๆ สําหรับการมาของประจําเดือนครัง้ แรกของเด็กหญิงก็ เชน กัน การสุกของไข (ไขตก) ในบางคนอาจไมมีความสัมพันธกับการมีประจําเดือนเสมอไป และการ ตกไขฟองแรกๆ อาจไมทําใหเกิดประจําเดือนก็เปนได รวมทั้งการมีประจําเดือนครั้งแรกอาจเกิดขึน้ กอ นหรือหลังการเปล่ียนแปลงของรางกายสวนอืน่ ๆ เมือ่ เขา สูวัยรนุ แลว ไดเ ปน เวลานาน การมปี ระจําเดอื นครั้งแรก ขณะแรกคลอดรังไขข องเด็กหญิงจะมไี ขทีย่ ังไมเ จริญอยแู ลว หลายพันใบ เม่ือนับจากชวงวัยรนุ เปนตนไป ทุกๆ 28 วนั จะมไี ข 1 ใบที่เจริญเตม็ ทแี่ ลวหลดุ ออกมาเขาสทู อนําไข เรยี กวา การตกไข ขณะเดยี วกัน เย่ือบุโพรงมดลูกจะมีหลอดเลอื ดงอกมาหลอ เลยี้ งมากมาย เพือ่ เตรยี มรบั ไขท่ีผสมกบั อสจุ ิ หากไมไ ดรบั การผสม เยื่อบุโพรงมดลูกจะลอกหลดุ ออกมาเปนเศษเนอื้ เยอ่ื และเลือดไหลออกมาทาง ชอ งคลอด เรยี กวา ประจาํ เดือน อายขุ องเด็กหญงิ ท่ปี ระจําเดือนมาครงั้ แรกยอ มแตกตา งกนั สว นมากจะ มอี ายุ 12-13 ป แตบางคนอาจเริ่มตั้งแตอายุ 10 ป บางคนก็ลาชาไปถึง 16 ป ซึง่ ยังไมนบั วาเปนเรอ่ื ง ผดิ ปกติ การฝนเปยก การหลง่ั นํ้าอสจุ ินนั้ จะเร่ิมเกิดข้ึนในชว งอายปุ ระมาณ 11 ป แตก็อาจเกดิ ขนึ้ เร็วหรือชากวา น้ีดังท่ี กลา วมาแลวขางตน ข้นึ อยกู ับแตล ะคน การฝนเปยกเปน ลักษณะทางธรรมชาติของเด็กผูช ายท่ี แตกเนื้อหนุม เมอ่ื รางกายผลิตนาํ้ อสจุ ิและเก็บสะสมไว เม่ือมปี ริมาณมากเกินไป รางกายจะขับออกมา ตามกลไกธรรมชาติ มกั เกดิ ข้ึนในชว งท่ีกาํ ลังฝน โดยอาจนึกถงึ สิง่ ที่กระตุนอารมณท างเพศ เมอ่ื ตื่น ขึ้นมาก็พบวามีของเหลวเปยกชื้นตรงเปากางเกงนอน หรือเปอนบนที่นอน จึงเรียกวา “ฝน เปย ก” หรอื อีกกรณีการเลน ตอสูก ับเพอ่ื นๆ อาจปลุกเรา และกระตุนองคชาตได จะทําใหนํ้าอสุจเิ ลด็ ลอดออกมาตาม ธรรมชาติ ท่ีเรยี กวา “การหลง่ั อยางไมรูตัว” ท้งั นี้ เด็กชายแตละคนอาจมีความถี่ในการฝน เปยกแตกตา ง กัน ต้งั แตไมเคยฝน เปยกเลยจนกระท่งั สัปดาหละหลายๆ คร้ัง จงึ ไมควรถือเรอื่ งนีเ้ ปนเรื่องความผิดปกติ ทางเพศของวัยรุนชาย น้ําอสุจิเปนของเหลวสีขาวขุน ประกอบ ดวยตัวอสุจิและสารคัดหลั่งจากตอม ลูกหมากและตอมพักตวั อสจุ ิ ซง่ึ จะถกู ขับออกมาพรอมกันผานทางทอ นาํ อสุจิ ในนํ้าอสุจิเพียงหยดเดียว จะมสี เปร มหรอื ตวั อสจุ ิประมาณ 1,500 ตวั ขณะทีผ่ ชู ายถงึ จดุ สุดยอด จะหลั่งน้ําอสุจิออกมาประมาณ 1 ชอนชา ซ่ึงมอี สุจิอยถู งึ 300 ลา นตวั และเช้ืออสจุ ิเพียงหนงึ่ ตัวก็สามารถเขาไปผสมกับไขไดเมื่อมี เพศสัมพันธแบบสอดใส วยั รุนชายจะมอี สุจิทส่ี มบรู ณเมื่ออายรุ าว 13 - 14 ป การจดั การอารมณเพศ หรือการชวยตัวเอง วัยรุนหญิงชายตางก็เริ่มมีความรูสึกหรืออารมณทางเพศเพิ่มมากขึ้นตามลําดับ (วยั รุนเปนวัยท่ีมี ความรูสึกทางเพศสูงสุด) การชวยตวั เอง เปน วธิ กี ารจัดการเพ่อื ผอ นคลายอารมณเพศ ซึง่ เปน เร่อื งปกติ
25 ธรรมดาของทั้งหญิงและชาย โดยการลูบคลําอวัยวะเพศของตนเองจนถึงจุดสุดยอด แตละคนอาจมี วิธีการแตกตางกันไป การตง้ั ครรภ เกิดขึ้นจากการมีเพศสัมพันธระหวางชายและหญิง เมื่อมีการหลั่งนํ้าอสุจิในชองคลอด ตวั อสุจิ จะวายเขา ไปในมดลูกจนถงึ ทอนาํ ไข และพบไขข องฝายหญงิ พอดี กจ็ ะเกิดการผสมระหวา งอสจุ ิกับไข หรือท่ีเรียกวา “การปฏิสนธิ” แตถาไมม ีไข อสจุ จิ ะตายไปเองภายในเวลา 2 - 3 วนั เรื่องท่ี 2 การดูแลสุขภาพเบ้ืองตน ในวัยรนุ วธิ ีการดูแลผวิ หนา ใหสะอาดเพ่อื ลดการมีสิว การลางหนาดวยน้ําสะอาดเพียงอยางเดียว และซับหนาใหแหงอยางเบามือ เปนการถนอมผิวที่ ไดผลดี เปนวธิ ที ีแ่ พทยผ ิวหนังแนะนาํ ใหใช เพื่อลดการระคายเคือง แตการลางหนาดวยสบหู รือครมี ลาง หนา บอยครงั้ ซ่งึ จะไปชะลางไขมันที่ผวิ สรางขน้ึ ตามธรรมชาติ เมอื่ ผวิ แหงตึง กจ็ ะกระตุนใหต อมไขมัน ยิ่งทํางานมากขึ้น การทาํ ความสะอาดอวัยวะเพศหญิง ใหลางจากดานหนาไปดานหลังดวยสบูและน้ําสะอาด ไมจําเปนตองใชสเปรยหรือน้าํ ยาลางทํา ความสะอาดชองคลอดอีก เนือ่ งจากชองคลอดมีระบบทําความสะอาดตามธรรมชาติอยูแ ลว บางคนใช แลวอาจเกิดอาการระคายเคืองจากสารเคมีเหลานัน้ เพราะผิวบริเวณนัน้ บอบบางมาก ระหวางมี ประจาํ เดือน ควรเปลี่ยนผาอนามัยทุก 2 - 3 ช่ัวโมงเพื่อปอ งกันกล่ิน การทําความสะอาดอวัยวะเพศชาย ทบ่ี ริเวณใตหนังหุมปลายของผูชายจะมเี มือกขาวเหลอื งขุนๆ เรียกวา ‘ข้ีเปย ก’ ซึ่งทําใหม ีกลิ่น การลางทําความสะอาดอวัยวะเพศชายจึงตองดึงหนังหุมปลายอวัยวะเพศขึ้น เพื่อทําความสะอาดบริเวณ สว นหวั ของอวยั วะเพศ (ถา หนังหุม ปลายตงึ เกนิ ไป ใหค อยๆ ดึงขนึ้ ทลี ะนอยในระหวา งอาบนํ้าโดยใช สบชู ว ย)
26 อาการผดิ ปกติบริเวณอวัยวะเพศ เชน คนั ในชองคลอด ตกขาวมากจนผดิ สังเกต อวยั วะเพศมกี ลิ่นเหมน็ มาก มีสผี ดิ ไปจากเดิม หรือเวลาปสสาวะแลวรูสึกเจ็บเหมือนปสสาวะไมสุด สามารถขอคําปรึกษาจากหนวยงานที่ใหบริการ ดานสขุ ภาพวัยรุน หรือคลิกเขาไปท่ีคลนิ กิ สขุ ภาพ www.teenpath.net กล่นิ ตัว เมือ่ เขา สูวยั รนุ ตอมไขมันจะผลิตความมันออกมาตามรูขุมขนเพิ่มขึ้น ตอ มเหงื่อกเ็ ชนกันผลติ เหงื่อออกมามากโดยเฉพาะเวลาวิ่งเลน เดินเร็วในอากาศรอน เหงอ่ื ออกมาจากรเู ปดของตอ มเหงื่อซงึ่ อยู ไมหางจากรูเปดขุมขนมากนัก เมื่อทั้งความมันและน้าํ เหงื่อไหลซมึ ออกมาจากรูเปดบนผิวพรรณสัก ระยะเวลาหนง่ึ และมีสภาพแวดลอ มทีอ่ บั ชื้นนานพอเหมาะ บรรดาเช้อื จลุ ินทรยี ต างๆ ท่อี าศัยอยูตาม ธรรมชาตบิ นผิวพรรณเรากจ็ ะพากนั เจริญเติบโตแพรพันธุอ อกมาจาํ นวนมาก พรอมทง้ั สง กลิ่นเหม็นอับ ออกมาเปนกลิ่นตัวแรงๆ นอกจากนน้ั อาหารประเภท เครื่องเทศ กระเทยี ม ทุเรยี น ซ่ึงเปน อาหารทีม่ ีกลน่ิ แรง อาจระเหย ออกมาจากลมหายใจ ขับถายออกมาทางตอมเหงื่อ ตอมไขมัน ตอมกลิ่น หรือเปน บอเกิดในการสรา ง สารประกอบมีกลิ่นไดแลว จึงปลดปลอยออกมาทางชองระบายของรางกายไดอีกทอดหนึ่ง รวมทั้ง รองเทา หุมสน รองเทาผา ใบ ลว นเปน บอ เกดิ ของกลน่ิ เหม็นอบั ไดเ ชนกนั วิธีการทําความสะอาดดวยการอาบน้ํา ฟอกสบูทกุ คร้ังทีม่ เี หง่ือออกมาก โดยเฉพาะผทู ่ีมผี วิ มนั ตองหม่ันสระผม ถูรกั แรซ ึ่งเปนจุดอับทมี่ กั สง กลน่ิ รุนแรงเสมอดวยสารสมเปนวธิ พี ื้นบานที่ไดผลดี เรอื่ งท่ี 3 การคมุ กาํ เนดิ การแสวงหาขอมูลเกี่ยวกับวิธีการคุมกําเนิด ถือเปนการแสดงความรับผิดชอบทั้งตอตัวเอง และคนทเ่ี รามคี วามสัมพันธด วย มคี นจํานวนมากยงั เชื่อวาเรือ่ งเพศเปน เรื่องนา อาย ทําใหไ มก ลาหา ความรูในเรื่องนี้อยางเปดเผย จึงสงผลใหขาดความรู หรือมีความเชือ่ ทผ่ี ิดๆ จนสง ผลตอสขุ ภาพทาง เพศ ทั้งที่การมีขอมูลถูกตอง รอบดานและเพียงพอในเรื่องเพศจะชวยใหทุกคนมีทางเลือกที่เหมาะสม ท่สี ุดกับเงือ่ นไขของตนเองเมื่อตองตัดสนิ ใจในเรอื่ งเพศ เชน การส่ือสารกบั คู/คนรอบขาง การมี เพศสัมพันธท ป่ี ลอดภัย ฯลฯ
27 วธิ ีการคมุ กําเนดิ แบบตางๆ ถงุ ยางอนามยั • มีหลายขนาด ควรเลือกขนาดที่เหมาะสมกับอวัยวะเพศ ควรดวู ันผลติ หรอื วนั หมดอายกุ อ น การใช • ใชสวมเมื่ออวัยวะเพศแข็งตัว โดยใหบีบปลายถุงยางอนามัยเพื่อไลลมขณะสวม เริ่มสวมจาก ตรงปลายอวยั วะเพศรดู เขา หาตวั แลว รูดใหส ดุ โคนอวยั วะเพศ • เม่ือเสรจ็ กจิ ใหถ อดถุงยางอนามัยขณะทอ่ี วัยวะเพศยังแข็งตวั โดยจบั ทข่ี อบถุงยางและคอ ยๆ รดู ออก หากปลอ ยใหอ วยั วะเพศออ นตวั ในชองคลอดอาจทาํ ใหถ งุ ยางอนามยั หลดุ ได • ในขณะนี้ ถุงยางอนามยั เปนวิธีคุมกาํ เนิดแบบช่วั คราวทม่ี ปี ระสิทธภิ าพในการคมุ กาํ เนดิ และ สามารถปองกันการติดเช้ือเอชไอวี รวมทงั้ โรคตดิ ตอทางเพศสมั พนั ธอ ่ืนๆ เชน เริม หดู หงอน ไก หนองใน ซฟิ ล สิ แผลรมิ ออ น ไปพรอมกนั ได ยาเมด็ คมุ กาํ เนดิ ทัว่ ไป • ยาคุมกําเนิดชนิดเม็ดมี 2 แบบคือ แบบ 21 เม็ด และแบบ 28 เม็ด ซ่ึงมปี ระสทิ ธภิ าพไม แตกตา งกนั • ยาคุมชนิด 28 เมด็ เมด็ ยาท่ีเพิ่มขึ้นมา 7 เมด็ เปน วิตามินท่ีชวยใหกินยาตอเนือ่ งโดยไมลืม • วธิ กี ารกินยาคมุ แผงแรก ใหเริม่ กนิ เมด็ แรกภายใน 5 วันแรกของการมีประจําเดือน แลว กนิ ตดิ ตอกนั ทกุ วนั วันละ 1 เมด็ จนหมดแผง • สําหรับยาคุม 21 เมด็ เมื่อกนิ หมดแผง ใหเวนไป 7 วันแลวจึงเรม่ิ แผงใหม สวนยาคุม 28 เมด็ ใหก นิ แผงใหมติดตอไปไดเลย • ออกฤทธ์ิคุมกาํ เนิดโดย 1) ยับย้งั ไมใหมีการเจริญเติบโตของไข และปอ งกันไขตก 2) ทําให เยื่อบุโพรงมดลูกบางลงไมเหมาะแกการฝงตัวของตัวออน 3) ทาํ ใหมูกท่ปี ากมดลูกเหนียวขน ไมเหมาะแกการใหอสุจิเคลื่อนผานเขาไปในโพรงมดลูก 4) เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวของ ทอ นาํ ไข ทาํ ใหไ ขทผ่ี สมแลวเดินทางไปถงึ มดลกู เร็วเกนิ ไปจนไมสามารถฝงตวั ได • ถา ลมื กิน 1 วัน ใหกนิ 2 เมด็ ในวนั ถดั ไป • ถาลืมกิน 2 วนั ใหก นิ 2 เม็ดในวันท่ีสาม และอกี 2 เมด็ ในวันท่ี 4 • ถาลืมกิน 3 วนั ขน้ึ ไป ควรหยุดกนิ ยาคมุ แผงนัน้ ไปเลย และใชวิธคี ุมกาํ เนดิ ชนิดอื่นไปกอน เชน ใชถ ุงยาง แลวจึงเริ่มกินแผงใหมในการมีประจาํ เดือนรอบถดั ไป
28 • หากเร่มิ กินเปน คร้งั แรก ตอ งกนิ ไป 14 วนั แลว จงึ จะมผี ลตอการปองกันการตง้ั ครรภ หากมี เพศสัมพันธในชวงเวลาดังกลาว ควรใชถุงยางอนามัยควบคูไปดวย • แมผูหญงิ จะเปน คนกินยาคมุ แตผ ชู ายควรมสี ว นรวมในการชว ยเตือนใหก ินยาตอ เนือ่ ง ยาเมด็ คมุ กาํ เนิดแบบฉกุ เฉนิ • ตอ งกิน 2 เมด็ จึงมีประสิทธิภาพในการคุมกําเนิด • เมด็ แรก กนิ ทนั ทหี รือภายใน 72 ชั่วโมง (สามวัน) หลังการมีเพศสัมพันธ ประสทิ ธภิ าพจะ ขนึ้ กับเวลาทก่ี ินภายหลังการมีเพศสัมพันธ หากกินไดเร็วเทาไร ความสามารถในการ ปองกันการต้ังครรภก ็จะสูงขึ้นเทานัน้ เมด็ ทสี่ อง กินหางจากเม็ดแรก 12 ช่ัวโมง • หากกินถูกวธิ ี มีประสทิ ธภิ าพปอ งกนั การต้ังครรภ 75% • การกนิ ยาคมุ ฉกุ เฉินมีประสิทธภิ าพต่ํากวาวธิ คี มุ กําเนดิ แบบปกตทิ ่ัวๆ ไป ดงั นั้น ควรใชใน กรณฉี กุ เฉินเทาน้ัน ไมควรใชเ ปนวิธกี ารคมุ กาํ เนิดประจํา การนับระยะปลอดภยั หรือนับหนา 7 หลัง 7 เปน วิธคี ุมกําเนดิ แบบธรรมชาติ วิธนี ใี้ ชไ ดผลเฉพาะผูหญิงท่มี รี อบเดือนมาสม่าํ เสมอเทา น้ัน ซึง่ ไมเหมาะกับวัยรุน ซงึ่ รางกายยงั อยูในชว งฮอรโ มนเพศปรับตัว อาจมีรอบเดือนไมสม่ําเสมอ การนับหนาเจด็ หลังเจ็ด ใหใ ช “วนั แรก” ของการมีประจําเดอื น นบั เปนวนั ที่ 1 หนา เจ็ดคอื นบั ยอ นขน้ึ ไปใหค รบเจด็ วัน สว นหลงั เจด็ ใหนบั ตอจากวันแรกทม่ี ปี ระจาํ เดือนไปใหค รบ 7 วนั ดงั ตวั อยาง
29 12 3 4 5 6 7 89 10 11 12 13 14 21 ระยะหนา เจด็ วนั แรกของ ระยะหลงั เจ็ด การมปี ระจําเดือน 15 16 17 18 19 20 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 การหลง่ั ขา งนอก การหลงั่ ขา งนอก เปนวธิ กี ารคมุ กาํ เนิดแบบธรรมชาติ ไดผลไมแนนอน เพราะขณะทสี่ อดใส ฝายชายจะมีน้ําคัดหลั่งจํานวนหน่งึ ออกมากอ น ซ่ึงจะมอี สจุ ิปะปนอยดู วย ตัวอสจุ ิน้นั สามารถวายไป ผสมกบั ไข การตัง้ ครรภจึงเกดิ ข้นึ ไดกอนผูชายจะหลั่งน้ําอสุจภิ ายนอกเสียอีก นอกจากน้นั การหลัง่ ภายนอกยงั เปน วธิ ีการทข่ี ึ้นอยูก ับฝายชาย โดยทฝ่ี า ยหญงิ ไมสามารถ ควบคุมไดเลย
30 o การกนิ ยาคมุ กาํ เนดิ ชนดิ เม็ด ยาคมุ กําเนดิ แบบฉุกเฉนิ การนับวัน และการหล่ังขา ง นอก ลวนเปนวิธีคมุ กาํ เนิดท่ีไมส ามารถปอ งกันการติดเช้ือเอชไอวี และเชื้อ โรคติดตอทางเพศสัมพันธ o ถงุ ยางอนามยั เปนวธิ ีเดียวที่ชวยปองกนั การต้ังครรภ ปองกันการติดเชื้อเอชไอวี และเชื้อโรคติดตอทางเพศสัมพันธ เรอื่ งท่ี 4 วิธกี ารสรา งสมั พันธภาพที่ดรี ะหวางคนในครอบครัว ครอบครัว หมายถึง กลุม คนตั้งแต 2 คนขึน้ ไปมาเกีย่ วพันกัน และสืบสายเลือด ไดแก พอ แม ลูก และอาจมีญาติ หรือไมใชญาติมาอาศัยอยูด วยกัน ซึง่ ถือเปนสมาชิกครอบครัว เชนกัน มีความรัก มี ความผกู พันซ่งึ กันและกัน ครอบครัวมีหนาที่หลอหลอม ขัดเกลาสมาชิกในครอบครัว ใหเปนคนดี รูระเบียบและกฎเกณฑ ของสังคม อีกทัง้ ยังสรางความเปนตัวตนของทุกคน เชน ลักษณะนิสัย ความคิด ความเชื่อ ความสนใจ เปนตน การสรางสัมพนั ธภาพในครอบครัว ความขัดแยงระหวางพอแมและลูกเปนเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอ เพราะความแตกตางของวัยและ ประสบการณ ความหว งใยของพอ แมท ี่ปรากฏผา นการวากลาว ตกั เตือน หามปราม ใหความรสู กึ ไม ไวใ จและกงั วลเกินความจาํ เปนตอลกู โดยเฉพาะลกู ท่อี ยูใ นวัยรุน เปล่ยี นพฤติกรรม เน่อื งจากพอแมใชประสบการณของตนมาคาดเดาถึงผลที่อาจเกิดขึ้นเมื่อ เห็นการกระทําของลูก การตําหนิจึงมักมาพรอมกับทาทีขุนเคือง โมโห บน ทําใหดูเหมือนวาพอแม ชอบใชอ ารมณ ไมใชเหตุผล ไมคอยยอมรบั ส่ิงทเ่ี ปน อยขู องลกู วยั รุน ความตองการของตัวเองเปนที่ตั้ง ไมพยายามเขา ใจอกี ฝายหนึง่ วาตองการอะไร ยอมทาํ ให เกิดความขัดแยงกัน การหาทางออกจึงตองเริ่มจากตัวเองกอนในการเปดใจมองหาความหมายที่อีกฝาย พยายามสื่อสารผานการกระทําซึ่งเราอาจไมชอบใจ การเขาใจความหมายที่แทจริงจะชวยใหเกิดการ ส่ือสารระหวางกัน ไมติดกบั อารมณและทาทีของกันและกัน การเรียนรูถึงความแตกตางของวัยและประสบการณของทั้งสองฝาย จะชวยสรางความเขาใจ ลดขอ ขัดแยง และส่ือสารกนั ไดม ากข้นึ
31 ปจ จยั ที่ชวยสงเสรมิ ใหม สี มั พนั ธภาพทีด่ ีตอกนั ไดแ ก • การชมเชยหรือชื่นชมอยางเหมาะสม • การติเพ่ือกอ • การแกไขความขัดแยงในเชิงสรางสรรค การชมเชยหรือช่ืนชม คนสวนใหญไ มวา จะอยูในครอบครวั หรอื อยใู นสงั คมภายนอกครอบครวั มักจะไมค อยชื่นชม หรือชมเชยกัน พอแมสวนใหญเ ชื่อวา ถาชมลกู บอยๆ เด็กจะเหลิง อาจกลายเปนคนไมดีได ทําใหพ อแม ไมช มเมอื่ ลูกกระทําส่ิงทด่ี ีหรือมีพฤติกรรมในลักษณะทเ่ี ปน สิง่ ทพ่ี อแมตองการ จงึ ทําใหเ ด็กขาด กาํ ลังใจ ขาดนํา้ หลอ เลยี้ งจิตใจ คนเราโดยทั่วไปตองการคําชมเชย โดยการชมเชยที่จะสรางเสริมสัมพันธภาพใหดีควรมี ลักษณะดงั นี้ • ชมพฤติกรรมท่ีเพง่ิ เกดิ ขน้ึ ใหมๆ • การชมควรเนนทีพ่ ฤติกรรมทที่ าํ ไดดี และชมทลี ะ 1 พฤติกรรม • บอกความรสู ึกของเราตอพฤติกรรมน้นั อยา งจรงิ ใจ • ชมเฉพาะสิ่งที่ควรชม • ไมชมมากเกินกวาความเปนจริง ตัวอยา ง เชน ลกู บอกกบั แมว า “วันนี้ แมทํากับขาวอรอยมาก ทาํ ใหกินไดมาก ลูกรูสึกมีความสุข ภูมใิ จท่มี ี แมทํากับขาวอรอย” แมบ อกกับลกู วา “วนั น้ี แมร ูสกึ ภมู ใิ จท่ีลกู ชวยลางชามในตอนเย็นไดส ะอาดเรียบรอ ยดีมาก โดยท่ีแมไมตองเรยี กใหทาํ ”
32 การตเิ พ่อื กอ คนสว นใหญ ไมช อบฟง คาํ ติ การติติงทไี่ มเหมาะสม มักจะทําใหเ กิดผลเสียหายตามมา เชน เกิด การทะเลาะกันได แตการติในเชิงสรางสรรคก็มีประโยชน และสามารถเสริมสรา งสมั พนั ธภาพที่ดไี ด โดยมลี กั ษณะดงั น้ี • ตอ งแนใจวา เขาสนใจท่ีจะรับฟง คําติ และพรอมทจ่ี ะรับฟง • เร่ืองทจี่ ะติ ตองเปนเรอื่ งที่เพ่ิงเกดิ ขน้ึ ไมใชเ กิดขึ้นเมือ่ นานมาแลว • ส่ิงทจ่ี ะติ ตอ งเปน ส่ิงที่เปล่ียนแปลงได • พูดถงึ พฤติกรรมทต่ี ิใหช ัดเจน เปน รปู ธรรม • บอกทางแกไ ขไวดว ย เชน ควรทําอยา งไรใหดขี ้ึน • รักษาหนาของผูรบั คาํ ตเิ สมอ เชน ไมส มควรติตอหนาคนอื่น • เลอื กเวลาและจังหวะท่ีเหมาะสม เชน ผรู ับคาํ ติมีอารมณสงบหรอื แจมใส ไมตใิ นชวงท่ีมี อารมณโกรธ ตัวอยางเชน หากพอหรือแมตอ งการติลูกวยั รุน ในเร่ืองการคยุ โทรศัพทนาน ควรเลือกเวลาที่ลูก มีอารมณสงบ พรอ มที่จะรับฟง และพูดตใิ นเชิงสรา งสรรควา “วันนี้ลูกคยุ โทรศัพทก ับเพ่อื นมานาน 2 ช่ัวโมงแลว แมค ิดวาลูกควรหยุดคุยโทรศัพทไดแ ลว และหันมาทําการบาน อานหนังสือ แลว เขา นอน จะดกี วา ไหม” การแกไ ขความขดั แยง ในเชิงสรา งสรรค หนทางในการแกไขปญหา เมื่อเกิดความขัดแยงในครอบครัวคือ การสื่อสารที่ดี ซ่ึงตองอาศยั ทักษะและความสามารถ ดังตอไปนี้ • แสดงความปรารถนาอยางแนว แนที่จะรวมกันรักษาความสัมพนั ธทด่ี ตี อ กนั ไว • มุงมั่นเชิงสรางสรรค เปนไปในทางการปรึกษากัน • ใหค วามสาํ คัญ และต้งั ใจฟงความคดิ เห็นของอีกฝายหน่งึ • แสดงความคิดเห็นของเราใหชัดเจนและสื่อสารใหอีกฝายหนึ่งไดรับทราบ • ไมถอื วา การยอมรับความคิดเหน็ ของผูอนื่ เปน เรื่องแพห รือเปน เรอื่ งที่เสียหาย • ยอมรับฟงความคิดเห็นของกันและกัน
33 • หลกี เลยี่ งการใชอ ารมณ ขู คุกคาม ดื้อร้ัน • ชวยกันเลือกหาทางออกที่ยอมรับไดทั้ง 2 ฝาย ตัวอยางการแกไขความขัดแยงระหวางคูสมรส • คสู มรสทง้ั 2 คนจะตอ งเปด ใจรบั ฟง กนั กอ นโดยการพูดทีละคน และรบั ฟง กนั โดยพดู ให จบประโยคหรือจบประเด็นทีละคน และรับฟง ใหเขาใจวา อีกคนตั้งใจจะส่อื อะไรใหท ราบ • ถาฝา ยหนง่ึ พดู แทรกในขณะที่อีกคนพดู ไมจ บประเด็น กจ็ ะทาํ ใหส ่ือสารกันไมได • ถา คนหนึ่งหรอื ท้ัง 2 คน โกรธ โมโห ขมขู ก็จะยิ่งทําใหไมสามารถแกไขความขัดแยงได ตองหลกี เล่ยี งการใชอ ารมณ พยายามพดู คุยกนั ดว ยอารมณท่ีสงบ และตั้งใจฟงความคิดเห็น ของอีกฝายหนึ่ง • ทายทีส่ ดุ ชว ยกนั เลอื กหรือตัดสนิ ใจมองหาทางออกที่ทั้งคยู อมรบั ได เร่อื งที่ 5 การสื่อสารเร่ืองเพศในครอบครัว พอ แมทมี่ ลี กู กาํ ลังเปนวัยรนุ ลวนพบปญ หาเดยี วกนั คือ “พดู กับลูกไมคอยจะรเู รื่อง คุยกนั ได แปบ ๆ ก็ขัดคอกนั ทะเลาะกนั แลว” ชวงเวลาแหงการเช่ือฟง ไมว า พอแมพ ูดอะไร ลกู ก็ เออ ออ หอหมก ไปดว ยไดห มดไปแลว เม่ือลูกยา งเขาสวู ัยท่ีกําลังจะเร่มิ เปนหนมุ เปน สาว และยิ่งยากมากขึน้ เมอ่ื หวั ขอ ของการพูดคยุ เกีย่ วกบั ความประพฤตทิ ีพ่ อแมเปนหวง เพราะลูกกําลังจะเปนหนมุ เปน สาวนเ่ี อง เพราะไมเคยมีใครสอนเราซึง่ เปนพอ แมมากอนวาตอ งคุยกับลูกยงั ไง ดงั นัน้ เมื่อเกิดความไม สบายใจ กังวลใจกับพฤติกรรมของลกู เราจงึ มักเลือกวธิ เี ดียวกับท่พี อ แมป ฏบิ ตั กิ บั เราเมื่อเราเปน เดก็ คอื เงยี บ บน หรือดา วา ซึ่งวิธีการเหลา นั้นเปน การสรางกาํ แพงระหวา งเรากับลกู ใหยิ่งสูงข้ึน และยากตอ การปนปายขาม โดยเฉพาะเมื่อเปนเรื่องเพศ ซึ่งเปนเรื่องที่หลายครอบครัวไมเคยเอยปากสนทนาเมื่ออยู ดว ยกนั พรอ มหนา
34 ลองเร่ิมตนจากการตอบคาํ ถามตัวเองกอน การกอบกชู ว งเวลาดๆี ที่เคยมีเมื่อตอนลูกยงั เปน เดก็ เลก็ ๆ ใหกลับมาแมล ูกจะเขาสูว ยั รุน แลว เปนเรอื่ งทีท่ ําได แตตองอาศัยการฝกฝน ทําบอยๆ และแมจ ะยากเพียงใด ก็เปน เร่ืองท่พี อแมควรตอง เรียนรู ตองฝก การพูดคยุ กบั ลูกดว ยทา ทีทแี่ สดงใหลูกเหน็ ถงึ ความรกั ความหว งใย และสรา งความ ไววางใจ เพราะผลดีจะตกอยูทลี่ ูกของเรา เม่ือความสัมพนั ธใ นครอบครวั ดขี ึ้น กอนจะเริม่ ตนคยุ กับลูก ลองทบทวน ถามตวั เองในใจวา • มีเรื่องอะไรบางที่เราพูดไดอยางสบายใจ • มีเร่ืองอะไรท่ีเหน็ ๆ อยตู ําตา แตไ มเ คยพดู เลย • มีเรื่องอะไรที่เปนความลับสุดยอดของครอบครัว ซึ่งตองปดไว ไมสามารถเปดเผยไดจริงๆ เพราะจะสงผลกระทบถึงสมาชิกในครอบครวั • มีความลับอะไรในครอบครัวที่เกี่ยวของกับเรื่องศาสนา • มศี ีลธรรม จริยธรรมขอไหนบางท่ีเราไดแตพ ูด แตทาํ ตามไมได การตอบคําถามเหลานี้ คือการเริ่มตนที่จะทําการสํารวจและทําความเขาใจกับกฏ กติกาความคิด ความเชื่อของครอบครัวเราที่มีตอเรื่องตางๆ ทําใหเรารูวาทําไมเราถึงคดิ และประพฤตเิ ชนนัน้ และจะ ชวยเตือนเราวามีหลายเรื่องอาจไมสอดคลองกับครอบครัวของเราหรือกับของคนอื่น เราจึงควรเปดใจ กวา งข้นึ ซึ่งการเปดใจยอมรับประสบการณใหมๆ คือจุดเรม่ิ ตน ของการส่ือสารท่ีไดผล
35 ส่ิงท่ีตองระวงั เม่อื สอ่ื สารเร่ืองเพศกับลูก ไมค วรหลกี เลี่ยง บา ยเบีย่ ง ลองพยายามทําสง่ิ นี้ หรือ เปลีย่ นเร่อื งคยุ - ตั้งใจฟงคําถามลูก และฉวยโอกาสพูดคุยโดยยกตัวอยางจาก สถานการณตา งๆ ในขณะน้ัน เชน ระหวางดูโฆษณา ละครทีวี เดนิ เลน ในหา ง นงั่ รถ ฯลฯ - ใหค ําตอบสัน้ ๆ ถายงั ไมสะดวกใจจะคยุ เชน อยใู นทีส่ าธารณะ หรืออยใู นชวงเวลาที่ยังไมเหมาะสมวา “เดย๋ี วเราคอยคยุ เร่ืองน้ีกัน ที่บา น” หรือ “รอใหแ ม/พอ วางกอ นนะ เด๋ียวจะคยุ ใหฟ ง” ไมควรไลใหไปถามพอ - บอกลูกไปตรงๆ วา “ไมรู แตจะลองไปหาคําตอบให” หรอื ชวน หรือ ถามแมแทน ลูกใหชวยกันหาคาํ ตอบวา เพราะอะไร - หากคณุ ลําบากใจ อายท่ีจะพูด กค็ วรใหลกู รับรูวา “แมก ระดาก ปาก ยงั ไมกลาพูด ขอเวลาหนอ ย แลว จะตอบ” ไมค วรหวั เราะ ลอ เลยี น หรือ การหัวเราะหรือลอเลียนคําถามของเด็กในเรื่องเพศ จะทําใหลูกเกิด แสดงใหลูกเห็นวาคําถามของ ความสับสน และกังวลใจ สงผลใหใ นอนาคตเมื่อลกู เกดิ ปญหาใน ลกู เปน เร่ืองตลก เรื่องเพศ ลูกจะไมสามารถตัดสินใจไดวาควรทําอยางไร ส่งิ ทค่ี วรทํา คือ การสนับสนุน หรือแสดงออกท้ังนํ้าเสยี ง กรยิ า วาจา ในทางท่ีทําใหล กู รวู าเมือ่ ไหรท ่มี คี ําถามในเร่ืองเพศ ใหมาปรึกษาหรือ ถามกับพอแมไดเสมอ
36 ส่ิงท่ีตองระวัง ลองพยายามทาํ สิ่งนี้ ไมควรใชนาํ้ เสียงตาํ หนิ หาม เปดใจรบั ฟง แสดงใหล กู เหน็ วา พอแมมคี วามสนใจเร่ืองตา งๆ ท่ี ปรามเมื่อไดยินคําถามที่แสดง เก่ยี วของกบั เรือ่ งเพศ และเห็นวา เปน เรื่องธรรมชาติ ไมใชเรื่อง ความอยากรูอยากเห็นในเรื่อง ผิดปกติ เพศของลูก ไมค วรใชค ําเรียกอวยั วะตางๆ ใชคาํ เรียกอวัยวะตา งๆ ท่เี กยี่ วของกับเร่ืองเพศท่ถี กู ตองตามความเปน ดว ยน้าํ เสยี งดถู กู ติเตียน จริง ไมควรใหล กู ฟง ขอ มูลตางๆ การพูดคยุ เรื่องเพศกบั ลูก ตองเลอื กใชค าํ ศพั ทท ่สี อดคลอ งกับวยั ของ มากมายในคราวเดียว ลกู ไมใ ชศัพทท่ียากเกนิ กวาลกู จะเขา ใจ เชน การตอบคําถามวา เดก็ เกดิ มาจากไหน กบั เดก็ วยั 5 ป ตองใชการอธิบายที่ตา งจากการ ตอบคําถามแกเดก็ วยั 8 ป และ 11 ป เรอื่ งที่ 6 ปญ หาทเ่ี กย่ี วขอ งกับพฒั นาการทางเพศของวัยรุน เม่อื รางกายเจริญเตบิ โตเขา สูวัยรนุ หญิงและชายมีการเปลี่ยนแปลงหลายดานทั้งทางรางกาย จิตใจ สังคม และพัฒนาการทางเพศ ซึ่งเปนพัฒนาการตามธรรมชาติของมนุษย การเปลี่ยนแปลงที่ สาํ คัญคือในผชู ายมกี ารฝนเปยก และในผหู ญงิ มปี ระจําเดอื น ซง่ึ หมายถึงภาวะท่ีนําไปสูการตงั้ ครรภได พัฒนาการทางรางกายนี้มีความจําเปนทีแ่ ตละบุคคลตองดูแลสุขอนามัยสวนบุคคล และเขาใจกลไกการ สืบพันธุข องรางกายเพอื่ ทจ่ี ะดาํ รงอยูไดอยา งมสี ขุ ภาวะที่ดี ประจาํ เดือน การตั้งครรภ และการแทง ผูหญิงมปี ระจําเดือนไดอยา งไร การมีประจาํ เดอื น หรอื ระดู (Menstruation) เปนกระบวนการทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในสตรี โดยรงั ไขจะผลิตไขข ้นึ มาทุกเดือน เมื่อไขสกุ รา งกายเตรยี มพรอม เพื่อรองรับไขท อ่ี าจถูกผสมโดยเชือ้ อสจุ ขิ องฝายชาย โดยผนังมดลูกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ถา ไมมีการผสมระหวางไขและเช้ืออสุจขิ อง ฝายชาย ผนังมดลกู จะลอกหลดุ ออกมาเปนเลือด ท่เี รยี กวา “ประจําเดือน” กระบวนการทง้ั หมดกนิ เวลา
37 ประมาณ 28 วนั หรือคลาดเคลอ่ื นมากหรือนอยกวา 7 วัน และมักจะมีคร้งั ละ 3-7 วนั จํานวนเลอื ดท่ี ออกมาในแตละเดือนประมาณ 30–80 มิลลลิ ิตร เม่ือรา งกายของผูห ญงิ เริ่มมกี ารเปล่ยี นแปลงจากเดก็ หญิงเขาสวู ยั สาว นอกเหนือจากการ เปลี่ยนแปลงทางสรีระภายนอกแลว การเปลี่ยนแปลงทส่ี ําคญั อกี อยางหนงึ่ คือ การมีประจาํ เดอื นนน่ั เอง เด็กผหู ญิงจะเร่ิมมีประจาํ เดือนคร้ังแรกในอายุราว 11–15 ป การมปี ระจาํ เดอื นครั้งแรกจะชาหรอื เร็ว ขนึ้ กับพัฒนาการของสมอง กรรมพันธุ และสุขภาพกายและใจของคน ๆ น้ัน ในชว งปแรก ๆ ที่มี ประจําเดือนใหม ๆ และในวัยใกลหมดประจําเดือน รอบเดือนมักจะไมสม่ําเสมอและบางเดือนอาจไมมี การตกไข และโดยเฉลย่ี แลว วยั หมดประจาํ เดือนจะเกิดข้ึนเมื่อมีอายุประมาณ 45–50 ปซึง่ เปนเวลาทีร่ งั ไขหยุดสรางไขออกมา วงจรการเกิดประจาํ เดอื น • การตกไข ชวงประมาณกึ่งกลางของรอบเดือน ตอมใตส มองจะหลง่ั ฮอรโ มนออกมาตวั หน่ึง ซง่ึ มีผล ทําใหรังไขปลดปลอยไขออกมาเพื่อรอการผสม • หลังจากตกไข หลงั จากไขต ก กจ็ ะเคล่อื นไปตามทอนาํ ไขไ ปสมู ดลกู ขณะเดียวกนั รังไขกเ็ รมิ่ ผลิตฮอรโมน เพือ่ ทาํ ใหผนังมดลูกเริ่มสรางตัวใหห นาขึ้น ขณะเดียวกันกม็ เี ลือดมาหลอเลยี้ งมดลูกมากขึน้ และพรอ ม ที่จะรองรับไขท อ่ี าจถูกผสม • ระหวา งมปี ระจาํ เดือน เมอ่ื ไขเดนิ ทางมาถึงมดลกู และไมไดร บั การผสม ซึง่ อาจเปนเพราะไมไ ดมเี พศสัมพันธ หรือมี เพศสมั พนั ธโ ดยมกี ารปอ งกันการตง้ั ครรภ ระดบั ฮอรโมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนจะลดลง อยา งรวดเร็ว ทาํ ใหผ นังมดลูกหลดุ ลอกออกกลายเปนประจาํ เดือน โดยปกติผหู ญิงจะมีประจําเดือนอยู ในชว ง 3-5 วนั • หลงั จากหมดประจําเดือน หลงั จากหมดประจาํ เดือน ฮอรโมนจากตอมใตส มองในกระแสเลอื ด กเ็ ร่ิมกระตุนใหไขในรังไข เจริญขึน้ ขณะเดียวกนั ฮอรโมนจากรงั ไขก็เรมิ่ กระตุนการสรางตวั ของผนังมดลูก
38 ลกั ษณะของประจําเดือนทปี่ กติ ลักษณะของประจําเดือนปกติคือเลือดที่ออกจากชองคลอดอยางสม่ําเสมอ ทุก 28 วนั ± 7 วนั ประจําเดือนที่ออกมา ประกอบดวยน้ําเมือกจากปากมดลูก น้ําชองคลอด น้ําเมือกและชิ้นสวนของเยื่อบุ มดลูก และเลอื ด ซง่ึ สวนประกอบเหลา น้เี หน็ ไมช ัดเจนเพราะสีของเลอื ด ประจําเดือนท่ีปกตมิ ีสคี ลาํ้ ไม มเี ลอื ดกอน ไมมกี ลิ่น จนกระทัง่ มแี บคทีเรียและมกี ารสัมผัสอากาศภายนอกชอ งคลอด จงึ ทําใหมีกล่ิน เกิดขึ้น ปกติจะมาประมาณ 3-7 วัน หากผดิ ไปจากนีอ้ าจถือวาผดิ ปกติ ปญหาและอาการที่มกั เกิดขน้ึ ในชวงมปี ระจาํ เดอื น กอ นหนาที่จะมีประจาํ เดอื น ในชวงระหวางที่มีการตกของไข สวนมากผูหญิงจะมีอาการที่บงบอกลวงหนากอน บางคนอาจ มีอาการปวดถวงบริเวณทองนอย หรือปวดหลัง อาจปวดมากหรือนอยแตกตางกันไป อาจมีอาการรวม ของทองเสีย และรูสึกคลื่นไส มีบางรายอาจปวดศีรษะเพิ่มเขามาอกี อยา งหนงึ่ ในชว งแรก กอ น ประจําเดือนมา มักมีอาการตกขาว และมีอาการเจ็บคัดเตานมรวมดวยก็ได ในระหวางนี้ ผูหญิงหลายราย จะมีความรูสึกไมสบายใจ ซมึ เศรา หรอื หงุดหงิด รําคาญใจไดงาย ซง่ึ ถอื เปน เรือ่ งปกติธรรมดา และ อาการอยางนี้จะหายไปไดเองเมื่อประจําเดือนออกมาแลว ตามสถิติพบวา อาการปวดจะรุนแรงมากขึ้น ใสชวงอายุ 18–24 ปแลว ก็จะทเุ ลาลง อาการปวดประจําเดือนจะหายไปไดภายหลงั หญิงน้นั ต้ังครรภและ คลอดบุตร ซึ่งเชื่อวาเปนเพราะปากมดลูกที่ถางขยาย มีผลใหเกิดการทําลายปลายประสาทที่อยูบริเวณ ดงั กลาว วิธีการบําบัดอาการอาการปวดทองปวดเกร็ง สามารถทําไดดวยวิธีงาย ๆ คือการประคบบริเวณ หนาทองดวยการใชกระเปาน้ํารอน และนอนพักเพื่อทุเลาอาการ หรืออาจรับประทานยาระงับปวดชนิด ธรรมดา หรือใหยาชวยคลายการหดเกร็งของกลามเนื้อมดลูก นอกจากนี้ควรออกกําลังอยางสม่ําเสมอ จะชว ยปอ งกนั มิใหปญ หาการปวดทองประจาํ เดือนรนุ แรงไดด ว ย อาการปวดประจําเดือนอีกประเภทหนึ่งท่ีอาจไมป กติท่ีผูหญงิ ควรระวัง สวนใหญอาการจะ เกิดขึ้นภายหลังจากหญิงนั้นมีประจําเดือนเปนเวลานานหลายป เชน อาการของโรคภายในชองเชิงกราน ซึ่งเกิดจากภาวะการติดเชื้อในอุงเชิงกรานชนิดเรื้อรงั ทาํ ใหม ีผงั ผืดยึดอวัยวะในชอ งเชิงกรานไวดว ยกนั หรอื ภาวะเยือ่ บุผนังโพรงมดลูกเจรญิ ผดิ ทีใ่ นอุงเชิงกราน หรือเพราะมีเนือ้ งอกของกลา มเนื้อผนงั มดลกู นอกจากนีก้ ารใสหว งคุมกาํ เนดิ ก็เปนสาเหตุท่ีพบบอ ย ในภาวะเหลานี้จะมอี าการปวดประจําเดือน แตกตา งกันไป เชน ยงั คงปวดทอ งแมป ระจาํ เดือนหยดุ ไปแลว หลายวนั หรือมอี าการปวดทวขี น้ึ อยา ง มากในแตละวงจรรอบประจําเดือนตามกาลเวลาที่ผานไป หรือบางครั้งอาจรูสึกหรือคลํากอนที่ ทองนอ ยไดเอง หากมีอาการเหลา นี้ควรรีบปรกึ ษาแพทยเพื่อการวินิจฉยั ทีถ่ ูกตอ ง
39 ประจาํ เดือนไมมา ตามปกติ ประจําเดือนจะมาครั้งแรกเมื่ออายุระหวาง 11–15 ป ชาหรือเร็วแตกตางกันไปบาง หากประจําเดือนไมมาเมื่อถึงเวลา หรือวัยที่ควรจะตองมี ถือวามีความผิดปกติ สาเหตุทปี่ ระจาํ เดือนไมม า เกิดข้นึ ไดดงั น้คี ือ 1. ไมม ีมดลกู 2. ไมมีรังไข 3. ไมมีชองคลอดโดยกําเนิด 4. มีรังไขแตเกิดความผิดปกติของรังไข 5. เยอ่ื พรหมจารไี มเปด 6. เกิดความผิดปกติของชองคลอด 7. เกิดความผิดปกติของมดลูก บางรายอาจมีประจําเดือนขาดหายไป ก็ควรตองพิจารณาสาเหตุความผิดปกติที่เกิดขึ้น หากเกิด ขาดหายไปโดยไมทราบสาเหตุ ควรรีบปรึกษาแพทยทันที สาเหตุของประจําเดือนขาดหายไปอาจเกิด จากสาเหตุเชน 1. เกิดการตัง้ ครรภ 2. ใชยาคุมกําเนิด เชน ยาฉดี คมุ กําเนดิ 3. หลังการคลอดบุตรหรือกาํ ลงั ใหน ้ํานมบตุ รอยู 4. เกิดอาการเครียดทางจิตใจมาก 5. ไดรบั การผา ตดั เอามดลูกออก หรือรงั ไขออกทง้ั สองขา งแลว ทัศนคตแิ ละความเชื่อเกยี่ วกับประจําเดอื น ประสบการณของผูหญงิ เกีย่ วกบั ประจําเดือน มิใชเพียงเปนแคส วนหนึ่งของชวี ิต ทเี่ ปนเรื่อง ของธรรมชาติ หากแตยังสะทอนใหเห็นถึงอิทธิพลความเชื่อ ศาสนาและวัฒนธรรมในสังคมที่มา กาํ หนดวิธกี ารปฏิบัติตอภาวะการมปี ระจาํ เดอื นของผหู ญิง อนั สะทอ นใหเห็นถงึ ความคิดและทศั นคติ ของสังคมทมี่ ีตอผูหญงิ และโดยมากมักเปนทัศนะในดานลบมากกวาดานบวก ดังเชน การหามผูหญิง เขาสูพิธกี รรมทางศาสนา หรือหามหญงิ สงั สรรคก ับผูอนื่ หากหญงิ นั้นอยใู นชว งมีประจาํ เดือน เปนตน นอกจากนี้ อิทธิพลความเชื่อบางอยางมีผลตอการปฏิบัติตัวในระหวางมีประจําเดือนของผูหญิง เชน ความเชื่อในการงดเวนการออกกําลังกาย การอาบน้ําหรือสระผม หรือไมมีเพศสัมพันธระหวางนี้
40 ขอเทจ็ จรงิ ในเรื่องเหลา นี้ไมป รากฏชัด บางเรื่องกพ็ อสามารถหาเหตผุ ลได และบางเร่ืองก็ไมมีเหตผุ ลท่ี ชัดเจน ดังเชน การหามการมีเพศสัมพันธขณะมีประจําเดือน ซึ่งในทางการแพทยไมม ีขอหา มใดๆ แต ไมเปน ทน่ี ยิ ม ก็เพราะเลือดประจาํ เดือนจะออกมาเลอะเทอะ และท่ีสําคัญกค็ อื โอกาสจะมกี ารอักเสบตดิ เชือ้ ไดง ายขึ้น เพราะปากมดลูกเปดออกเล็กนอย และในมดลูกจะมแี ผลเนอ่ื งจากมีการลอกหลุดของเยือ่ บมุ ดลกู การตง้ั ครรภ การตั้งครรภเกิดจากการปฏสิ นธิ หรือการผสมของไข กับตวั อสจุ ขิ องฝา ยชาย ในชว งกึ่งกลาง ของรอบประจาํ เดือน ซ่งึ เปน ระยะที่ฝา ยหญงิ มไี ขสุก เมอ่ื ไขแ ละอสุจผิ สมกนั แลว ไขทีไ่ ดร ับการผสม จะเดนิ ทางมาฝงตวั บนเยือ่ มดลกู ซงึ่ หนาขึน้ แลวแบงตัวออกเร่ือยๆ กลายเปน เด็กตัวเลก็ ๆ จนอายุครบ 9 เดอื นจงึ คลอดออกมา ขณะที่ตงั้ ครรภแม และลูกมีการเชื่อมโยงกันของเลือดผานทางรก เมือ่ เรมิ่ ต้ังครรภผ หู ญงิ จะมีอาการตางๆ ท่ีสังเกตไดด งั น้ี • ประจําเดือนขาด ประจําเดือนที่เคยมีมาสม่ําเสมอทุกเดือน จะหายไปไมมาอีกเลยตลอดระยะเวลา ตัง้ ครรภ ประมาณ 38-40 สปั ดาห • อาการคลืน่ ไส อาเจียน วงิ เวยี นศรี ษะ มักจะมีอาการในสามเดือนแรก อาการเหลานี้มักเปนในตอนเชา ซึ่งเราเรียกวาแพทอง นน่ั เอง • เตานมคัด หวั นมและอวัยวะเพศจะมสี คี ลาํ้ ลง มักพบในครรภแ รก บางครั้งอาจมนี ้าํ นมเหลือง ออกมาเมื่อบบี หวั นม • เดก็ ดิ้น ในครรภแ รก จะรสู กี วา เดก็ เริ่มด้ินเมื่ออายุครรภป ระมาณ 20 สปั ดาห สว นในครรภ หลงั จะเรม่ิ ดิ้นเม่ืออายคุ รรภประมาณ 16 สัปดาห ถาเดก็ ท่ีเคยด้ินอยูแลวด้ินนอยลง ตองรีบ ไปพบแพทย • ปสสาวะบอย เนื่องจากมดลูกโตขึ้น และไปกดทับกระเพาะปสสาวะ แตถาปสสาวะบอยขึ้น มีอาการ แสบขดั หรือปสสาวะขุน ตองรีบไปพบแพทย • มีอารมณหงุดหงิด
41 การตรวจการตง้ั ครรภ หากผหู ญิงเราไมแ นใจวาต้ังครรภหรือไม สามารถตรวจสอบไดที่คลินิก สถานพยาบาลทั้งของ รฐั และเอกชน หรือสามารถซ้ือชุดตรวจการต้ังครรภไ ดต ามรา นขายยาทั่วไป ซึง่ เปน การตรวจหา ฮอรโมนในปสสาวะ เปนวธิ ีท่งี า ย สะดวก และประหยดั ซง่ึ ผลการตรวจจะคอ นขางแมนยําสาํ หรบั ผหู ญงิ ที่อายคุ รรภประมาณ 27 วนั หลงั ปฏสิ นธิ ขอ ควรปฏบิ ัติกอนการทดสอบการตงั้ ครรภเ อง เพื่อเพมิ่ ประสิทธภิ าพการตัง้ ครรภ คอื 1. งดนา้ํ หรอื เครื่องด่มื ใดๆ ต้ังแตส องทมุ และถา ยปส สาวะใหห มดกอ นเขา นอนของคืนกอนที่จะ เก็บปสสาวะ 2. เกบ็ ปส สาวะ ครง้ั แรกทถี่ ายปสสาวะเม่ือตื่นนอนในตอนเชา ลงในภาชนะท่ีสะอาด 3. ไมควรรับประทานยาใดๆ ทั้งสิ้นใน 48 ชั่วโมงกอนเก็บปสสาวะ 4. ในกรณีที่ยังไมทดสอบทันที ควรเก็บปสสาวะใสชองเก็บอาหารปกติของตูเย็น เพราะฮอรโมน ที่ขบั ออกมาในปส สาวะของผหู ญงิ ตง้ั ครรภ จะเส่ือมสลายในอุณหภมู ิหอง อะไรคือทอ งนอกมดลูก ทองนอกมดลกู คือ การฝงตวั นอกโพรงมดลูกของไขท่ีถกู ผสมซ่ึงจะเจรญิ ตอไปเปนรกและ ทารก แตตําแหนง ท่ไี ขฝง ตวั กลับอยูผดิ ท่ี ตําแหนงที่เกิดขึ้นบอ ยคอื ในทอนาํ ไข แตอ าจมบี างรายเกิดขน้ึ ทค่ี อมดลูก ชองทอ ง รงั ไขแ ละตําแหนง อน่ื ๆ ไดด ว ย สาเหตุสําคญั ของการเกิดทองนอกมดลูกคือ กลไก การนาํ ไขเสียไป โดยรทู อ นาํ ไขผดิ ปกติ ทําใหไขท ี่ผสมแลว ไมส ามารถเคลือ่ นผานไปไดสะดวก มักมี สาเหตุมาจากการอกั เสบตดิ เช้อื เช้ือทีส่ าํ คัญคอื หนองใน ซงี่ กอใหเกดิ ความผดิ ปกติของเยอื่ บุผนังทอนาํ ไขโดยตรง นอกจากนี้การอักเสบหรอื พยาธิสภาพเร้ือรงั ของชองเชงิ กราน กท็ าํ ใหเกดิ พงั ผืดทีย่ ึดทอ นํา ไข มใิ หเ คลอ่ื นไหวไดสะดวก ทําใหการเคล่อื นยา ยไขท ผี่ สมใหเดนิ ทางสูม ดลกู ไมไดต ามกําหนด อาการทเี่ กิดขน้ึ คือประจําเดือนจะขาดไปชวงหนง่ึ แตมักไมม ีอาการแพทองเดนชดั เมื่อภาวะ วิกฤตดังกลา วเกิดข้นึ ก็จะทาํ ใหมีอาการปวดทองเฉียบพลนั ที่ทอ งนอยขางใดขางหนง่ึ อยูตลอดเวลา แลว รสู กึ หนา มดื ใจสั่น หรือเปน ลม อาจมเี ลือดออกทางชองคลอดกระปรบิ กระปรอยรวมดว ยหรือไมม ี ก็ได ในบางราย เลือดที่ตกในชองทองมีจํานวนมาก ก็จะไประคายกะบังลมที่กั้นระหวางชองปอดและ ชองทอง ทําใหมีอาการเจ็บปวดที่หัวไหลขางขวาได ผูปวยจะซีดมาก กระสับกระสาย เหงื่อออก สติสัมปชัญญะเลือนราง มีอาการรุนแรงเฉียบพลัน ถึงขั้นช็อกได หากนําสงโรงพยาบาลไมทัน อาจ อันตรายถึงชีวิตได เพราะรางกายขาดเลือด
42 ในสตรีทที่ าํ หมันแลว ก็อาจเกิดอุบตั ิเหตขุ องการตง้ั ครรภนอกมดลกู ไดแ มว า โอกาสเสี่ยงมนี อ ย มาก สาเหตุเกิดจากทอนาํ ไขทถ่ี กู ผกู ตดั ออกไปแลวบางสวนจากการผาตดั กลับเชอื่ มกันไดใหม หรือมีรู เปดถงึ กันไดใ หม เปนเหตใุ หตง้ั ครรภไ ด ตามสถติ ิพบวา เกิดขึ้นนอยกวา 1 ใน 1,000 ราย และในจาํ นวน นเ้ี ปนการทองนอกมดลกู สว นหนึ่ง หากเปรียบเทียบอัตราสวนกับการตั้งครรภปกติแลว พบวา เปอรเ ซน็ ตก ารตัง้ ครรภนอกมดลูกเกิดข้นึ สูงในหญิงทท่ี องภายหลังการทาํ หมนั แลว การระมดั ระวังมใิ หเ กดิ การอักเสบในชองเชงิ กราน และมใิ หเกดิ โรคติดตอทางเพศสมั พันธ จึง เปน การปองกนั มิใหเกิดการทองนอกมดลูกได หากรูส ึกมีผิดขาวผิดปกติ หรอื ปส สาวะแสบขดั อยานิ่ง นอนใจ ควรไปใหแพทยต รวจเพ่ือการรักษาในระยะแรกเริ่ม เพราะอาการโรคติดตอทางเพศสัมพันธที่ สําคัญโดยเฉพาะหนองในในผหู ญิงนนั้ จะไมม ีอาการเดนชัดเทา อาการในเพศชาย
43 อาการปกติระหวา งต้ังครรภ การดูแล การปอ งกนั และขอปฏบิ ตั ิในการบรรเทาอาการ อาการ การดูแล /ลดอาการ/ปองกนั คลนื่ ไส กนิ อาหารครงั้ ละนอย แตบ อยคร้งั หลกี เลยี่ งอาหาร มนั ๆ พักผอ นใหเ พยี งพอ ทาํ จติ ใจใหส ดช่ืน บวม ยกขาใหสูงระหวางวัน เวลานอนใหต ะแคงซา ย เลอื กรองเทา ไมรัดรูปและไมสงู ตะครวิ ท่เี ทา เวลาเปน ใหน อนหงายเหยยี ดเทา ตรง และเหยยี ด ปลายหัวแมเทาขึ้น หมน่ั นวดท่ีนอ ง และระวงั อยาใหเ ทา เยน็ จัด ออ นเพลีย เหน่ือยงาย หนามืด เปน อยาเปลีย่ นอิรยิ าบถโดยกระทันหนั ลม เวียนศีรษะ เบ่ืออาหาร พักผอ นใหเพยี งพอ ปวดแสบบรเิ วณลน้ิ ป ไมท านอาหารใหอ่ิมเกินไป แตท านใหบอยครัง้ ขน้ึ ปวดหลงั นอนในทา ศีรษะสงู ทองผกู ดืม่ นมและนา้ํ มากๆ ไมควรด่ืมนํา้ อดั ลม ตกขาว ทํางาน ออกกําลังกายเบาๆ นง่ั หลงั ตรง และยนื ตวั ตรง นอนตะแคงโดยกอดหมอนขาง ดื่มนา้ํ มากๆ อยา งนอ ยวนละ 10 แกว ออกกําลังกายเบาๆ ถา ยอจุ จาระใหเ ปนเวลา รบั ประทานผกั ผลไม และอาหารท่ีมีเสน ใยเพิม่ ขึ้น • ในชวงตั้งทองอาจมีอาการตกขาวมากกวาปกติ มีสี ขาวปนเทาหรอื เหลืองออน แตไมม ีกลนิ่ และไมค ัน ซึ่งเปนเรื่องปกติ ใหดูแลความสะอาดโดยการลางดวย น้าํ สบูออ น ๆ ท่ีอวัยวะเพศภายนอกก็เพียงพอ ไม จําเปนตองใชน้าํ ยาฆาเชอื้ โรค
44 การแทง การแทง หมายถงึ การสนิ้ สดุ ของการตัง้ ครรภในระยะกอ นทีเ่ ดก็ จะเตบิ โตพอที่จะมีชีวิตรอดได โดยมอี ายคุ รรภนอ ยกวา 28 สปั ดาห และ/หรือ นาํ้ หนกั เด็กนอ ยกวา 1,000 กรมั ชนดิ ของการแทง การแทงแบงออกไดเปน 2 ชนดิ คือ 1. แทง ทเ่ี กดิ ข้ึนเอง คือ การแทง บตุ รที่เกิดขน้ึ โดยไมมีการใชยา เครอ่ื งมือ หรือวิธกี ารใดๆท้งั สนิ้ 2. แทงท่ีเกิดจากการกระทํา แบงออกไดเ ปน ๒ ชนดิ คือ 2.1 การทําแทงเพ่ือการรักษา 2.2 การทําแทงที่ผิดกฎหมาย สาเหตุของการแทงที่เกดิ ข้ึนเอง ความผิดปกตขิ องตัวออ น ซึง่ อาจเกิดจากความผิดปกติของตัวออนเอง ซึ่งพบบอยถึงรอยละ 60 ความผิดปกติในตัวมารดา ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติของมดลูก การอักเสบ ติดเช้ือ เชน ซิฟล ิส ซ่ึงอาจจะทาํ ใหแทง ได นอกจากนี้ยังมีสาเหตุตางๆ อีกมากมาย บางสาเหตุก็ไมสามารถรักษา หรือปองกันได บาง สาเหตุกส็ ามารถปองกนั ได เพราะฉะน้ัน ผูท เ่ี คยแทงควรจะตองไปพบแพทยเ พอื่ ตรวจหาสาเหตุ และ ปองกันกอ นท่ีจะตั้งครรภในคร้งั ตอไป เพราะอาจจะเกิดการแทง ซํ้าได และขณะตัง้ ครรภค วรจะตอ ง ระมดั ระวงั เปน พเิ ศษ และอยูในความดแู ลของแพทย อาการของการแทงท่ีเกดิ ขน้ึ เอง โดยท่ัวไป หญงิ มคี รรภเมอื่ จะแทงลกู จะเรม่ิ ตน ดว ยอาการเลอื ดออกกระปรบิ กระปรอยทาง ชองคลอด ซึ่งเปนเลือดที่ออกจากโพรงมดลูก เรียกการแทงอยูในระยะคุกคาม อาจรวมกับอาการปวด ทองนอยทบี่ รเิ วณตรงกลางเหนอื หัวเหนา จากนน้ั มดลูกเรม่ิ บีบรัดตวั เม่อื การแทงลุกลามมากข้นึ จน การตั้งครรภไมอาจดําเนนิ ตอ ไปได เลือดกจ็ ะออกมากขึน้ อาการปวดทองจะรุนแรงขึ้น สดุ ทายมดลูกจะ หดตัวบบี ไลตัวออนหรอื ทารกและรกออกมา ซ่งึ อาจหลุดออกมาจากโพรงมดลกู ไดท ั้งหมด เรียกวาแทง ครบ โดยมากการแทงออกมาครบเชนนี้จะเกิดในชวงอายุครรภที่ออนเดือนมาก ๆ คือไมเกนิ 8 สปั ดาห หลงั จากวันแรกของการมีประจาํ เดอื นครัง้ สดุ ทาย ถา อายคุ รรภมากกวา นี้ สงิ่ ทีแ่ ทงออกมาอาจจะไมค รบ หมดทุกอยา ง สว นใหญ มีเพียงแตทารกและกอ นเลอื ด แตรกยังคงคา งอยู เพราะยิง่ อายุครรภม าก รกจะ เจริญมากข้นึ ทําใหไ มหลุดออกจากโพรงมดลูกไดงาย ๆ การแทง เชนนถี้ ือวา เปนแทง ไมครบ มีผลตอ
45 สุขภาพของผูหญิงคือทําใหผูหญิงตกเลือดไดอยางมากจนเปนอันตรายตอชีวิต การบําบัดคือการขูด มดลูกเพ่อื เอารกสว นท่ีเหลอื ออกใหห มด ขอ ปฏิบัติและการปอ งกันการแทงทีเ่ กดิ ขึ้นเอง 1. เมอื่ รวู า ตนเองประจาํ เดอื นขาด หรือสงสยั วา จะต้งั ครรภ ควรมาพบแพทยตั้งแตเ น่ินๆ และมา พบทุกครั้งตามนัด 2. บอกประวัติการเจ็บปวยในอดีต และโรคทางกรรมพันธุ เชน ธาลัสซีเมีย เบาหวาน ความดัน โลหิตสงู ใหแ กแ พทยทราบ 3. ถา ต้งั ครรภเมื่ออายมุ าก (35 ปข น้ึ ไป) ควรรีบมาพบแพทย 4. ถาเคยมีการแทงมากอน ตองแจงใหแพทยทราบ 5. ในระหวางตัง้ ครรภ ถา เกิดอาการผดิ ปกติ เชน เลือดออก ตองรบี มาพบแพทย โดยดวน แมว าจะ ยงั ไมถ ึงเวลานดั 6. รับประทานยาบํารุงที่แพทยใหอยางสม่ําเสมอ 7. หลกี เลยี่ งการมเี พศสัมพนั ธในขณะทม่ี ี เลือด หรือ นาํ้ ใสๆ ไหลออกมาทางชองคลอด 8. ควรต้ังครรภใ นระยะหา งกนั อยา งนอ ย 2 ป 9. ควรหลีกเลี่ยง ของมึนเมา เครื่องด่มื ผสมคาเฟอีน แบะส่ิงเสพติด การแทง ท่ีเกิดจากการกระทํา ตามกฎหมายไทย การทําแทงเปนการกระทําผิดกฎหมาย แตกฎหมายมีขอยกเวนใหมีการทํา แทงไดบางประการ ซึ่งจะตองเปนการกระทําของแพทยและมีขอบงชี้ขัดเจน เชน อันตรายตอสุขภาพ ของมารดา หรือหญงิ ตัง้ ครรภเ พราะถกู ขมขืน เปนตน นอกเหนือจากกรณีเหลา น้ี การทําแทงถอื เปนการ ผิดกฎหมายทั้งสนิ้ สาเหตุของการทําแทงสวนใหญของผูหญิงไทยมาจากการตั้งครรภไมพึงประสงค เคยมีผู ศึกษาวจิ ยั สาเหตแุ ละกลมุ อายุของผูทาํ แทง พบวา วยั รุนมีการต้ังครรภไมพึงประสงคคอนขางสูง โดยมี ตน เหตมุ าจากการไมใ ชว ธิ ีคุมกําเนดิ ปอ งกันเม่อื มีเพศสมั พนั ธ แตกเ็ ปนท่ีสังเกตพบวา ในกลุม ผูใหญ หญิงที่แตงงานแลวก็พบมีการไปทําแทงในสัดสวนที่ไมนอย ซึ่งมีสาเหตุสวนใหญมาจากความลมเหลว จากการใชว ิธคี ุมกาํ เนดิ ยงั มีผูหญิงจํานวนมากที่ไมมีความรูความเขาใจเพียงพอเกี่ยวกับผลกระทบที่ตามมาจากการทํา แทงที่ผิดกฎหมาย ซึ่งนอกจากเปนอันตรายตอชีวิตอยางมาก โดยเฉพาะอยางยิ่งในรายที่อายุครรภมาก
46 ยิ่งอันตรายมาก อาการแทรกซอนที่พบไดบอยจากการทําแทงที่ผิดกฎหมาย ที่อาจมีทั้งอาการแทรกซอน ในระยะสน้ั และระยะยาวตอ ชวี ติ ของหญงิ คนนน้ั เชน • การตกเลือด อาจมีเลือดออกมากผิดปกติ ถา ไมไดรับเลือดทดแทน หรือชวยเหลอื ได ทนั ทว งทกี อ็ าจถงึ แกชีวิตได • มดลูกทะลุ อาจจะตองตัดมดลกู ทงิ้ • มดลกู แตก จะตองตัดมดลูกท้ิงทําใหหมดโอกาสท่ีจะมีลูกไดอ กี • การอกั เสบติดเชื้อ อันเกิดจากกระบวนการทําแทงที่ใชเครื่องมือที่ไมสะอาดปราศจาก ความระมัดระวังในมาตรการการปองกันการแพรเชิ้อโรค ทําใหเกิดการอักเสบติดเชื้อจากการ ขดู มดลกู ซึง่ สง ผลตามมาในปญ หาสขุ ภาพอ่ืน ๆ ทําใหส น้ิ เปลืองคา ใชจ ายในการรักษา เน่ืองจากเชอ้ื ทีก่ อใหเ กดิ การอกั เสบมักเปนแบคทีเรียที่มีอานุภาพในการกระจายเชื้อไดรุนแรง มาก จึงตองใชการรักษาเปนเวลานาน หากไมหายขาดก็จะทําใหเกิดการติดเชื้ออักเสบเรื้อรังใน อวยั วะอุงเชิงกราน และหากรักษาหายขาดจากการอักเสบแลว ผหู ญิงคนนั้นก็อาจมกี ารปญ หา ดานการมีบุตรยากตอไปได เร่อื งท่ี 7 ทักษะการจัดการกับปญหา อารมณ และความตองการทางเพศของวัยรุน เพศสัมพันธเปนเรื่องของความรับผิดชอบตอตนเอง เคารพความรูสึกของคูของตน ไตรตรอง วิเคราะหถึงผลดี ผลเสีย และเปนสทิ ธิสว นบคุ คลท่จี ะตดั สินใจ แตตอ งไมส รา งปญหาภาระแกผ ูอ่นื ภายหลงั และเมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้นก็เปนเรื่องที่จะแกไขและหาทางออกที่เหมาะสมตอไป และ กอนทจ่ี ะคิดถึงการมีเพศสมั พนั ธ ตองแสวงหาความรูเก่ียวกบั เร่ืองเพศสมั พันธ และสขุ ภาพอนามยั ท่ี เกย่ี วขอ งกับเพศสัมพนั ธ เพ่อื จะไดป ลอดภยั ไมเ กิดการตั้งครรภท่ีไมตองการ และไมเกดิ การติดโรค รวมทั้งปญหาอื่น ๆ ทางดานจิตใจ ที่จะตามมา สิ่งที่ตามมาจากการตัดสินใจมีเพศสัมพันธ จึงมีทั้งดานบวกและดานลบ การวิเคราะหถึงผลที่จะ ตามมาลวงหนา จะชวยใหเราสามารถเตรียมการ และคิดวิธีการปองกันและ/หรอื หลกี เลี่ยงไมใหตัวเอง และคนทีเ่ กย่ี วขอ งตองเผชิญกับปญหาที่อาจตามมา ดังน้ัน เมื่อคิดและคาดการณไดล วงหนาวา สิง่ ที่ ตัวเองตองการและไมตองการใหเกิดขึ้นคืออะไร ก็สามารถใชเปนเหตุผลประกอบการตัดสินใจวาจะทํา หรอื ไมท าํ เพราะผลที่เกิดข้ึน เปน เรื่องท่ีเราจะตอ งเผชิญและรับผิดชอบดวยตัวของเราเอง การเรยี นรูท ่ีจะประเมินสถานการณ หรือการคาดเดาไดวาอะไรบางที่จะนาํ ไปสกู ารมี เพศสัมพันธข องตนเอง เราพรอ มทจ่ี ะเผชิญสถานการณน้ันหรือไมอ ยา งไร การคาดการณและตอบ
47 ตวั เองไดชัดเจนจะชวยใหเ ราควบคมุ จัดการ และแกไ ขสถานการณไ ดดีกวา การไมไ ดเ ตรียมตวั ซง่ึ อาจ สงผลตอ ส่ิงทีต่ ามมาทีไ่ มพ งึ ประสงค เชน การต้งั ครรภท ี่ไมพ รอ มและความเส่ียงตอการตดิ เชือ้ เอชไอวี เปน ตน เชนเดียวกับการเรียนรูและฝกฝนทักษะการยืนยันความตองการและการตอรองเพื่อใหบรรลุ ความตองการของทั้งสองฝายเปนเรื่องสําคัญ การเรียนรูนี้ดําเนินไปตลอดชีวิต การเผชญิ กับความรูสกึ ผดิ อารมณโกรธ หว่นั เกรงกับความรสู กึ ของผูอ่ืนท่ีมตี อตนเองหรือรสู กึ วาตนเองดอยคา เปน ประสบการณร ว มของทุกคน การเร่มิ ตน และฝก ฝนในชีวติ ประจาํ วนั จะชว ยใหเ ราทําไดดขี ้ึนและจะ นําไปสูการพฒั นาความสัมพันธของทงั้ ฝา ยใหแ นน แฟนยิ่งขึ้น การเรียนรูความตอ งการของตัวเอง และสิ่งที่อาจมีอทิ ธพิ ลตอความคิด และการตัดสินใจของ ตัวเองเปน เร่ืองสําคัญของวัยรนุ เพราะในสถานการณห ลายอยา งทีว่ ยั รุนเผชิญ การเขาใจความตอ งการ ของตัวเองอยางชัดเจนจะชวยใหว ัยรนุ สามารถสือ่ สาร ตอรอง หรือปฏิเสธเพ่อื ใหเปนไปตามความ ตองการของตนเองได นอกจากนน้ั การเรียนรูเทคนคิ การชกั ชวน จะทําใหเหน็ วา คนสว นใหญมีวิธกี ารหลายอยางใน การโนมนาวใจ หรอื ชกั จงู คนอ่ืนใหค ลอยตาม ทงั้ นี้ อาจทาํ ไปโดยไมสนใจความตองการของอกี ฝาย และไมเคารพในการตัดสินใจที่แตกตางไปจากสิ่งที่ตัวเองตองการ การเรียนรู ยอมรับ และเคารพความ คิดเห็นที่แตกตางของบุคคลเปนพื้นฐานสําคัญในการสรา งสัมพันธภาพและการอยรู ว มกัน เสน ทางความคิดเพ่อื ตดั สินใจ 1. เร่ืองทีต่ อ งตัดสนิ ใจคืออะไร เร่ือง.................................................................................
48 2. ทางเลือกทมี่ ีอยูม ีอะไรบา ง ทางเลือกท่ี 3 ทางเลือกอนื่ ๆ ทางเลอื กที่ 1 ทางเลอื กที่ 2 คิดตอ...มที างเลือกอืน่ อีก 3. คิดถงึ ผลทีต่ ามมาของแตล ะทางเลือก วาจะเกดิ อะไรขน้ึ ถา เราเลอื ก ผลบวก ผลลบ มีความเสยี่ งอะไรบาง? ความเส่ยี งนน้ั มีโอกาสทจี่ ะเกดิ ขึน้ มากแคไหน? ถาเกิดข้ึนแลวเราจดั การ/รบั ไดห รือไม? จะลดความเสย่ี งของทางเลือกทเ่ี ราอยากเลอื ก ไดอ ยา งไร? 4. ความตอ งการท่ีแทจ ริงของเราคอื • เรารูว าคนอืน่ อยากใหเ ราทําอะไร • แลว เรารไู หมวา เราอยากทาํ อะไรท่ีเปนความตองการท่ีแทจ รงิ ของตวั เราเอง 5. ตดั สนิ ใจ ทางเลือก 1. ..................................................................................................... 2. .....................................................................................................
49 ฉันเปนแบบไหน บคุ ลิก 3 แบบ ในเร่ืองการกลาแสดงความคิดเห็น ความตอ งการและการตอบสนองความตอ งการของ ตวั เอง 1. “ฉนั จะเอาแบบน้ี ฉันไมสนใจวาเธออยากเลือกแบบไหน” (Aggressive) คนบุคลิกนี้ไมค อ ยสนใจความตอ งการของผูอื่น กลา แสดงออก กลา ทาํ เพอื่ ใหไดตามที่ ตองการ • ไมช อบใหข ัดใจ คนที่ไมคอยสนใจความตองการของผูอื่นเปนคนที่รูวาตัวเองตองการอะไรและ เดนิ หนาเพือ่ ใหไดม า การไดตามท่ตี อ งการเปนเรื่องสาํ คญั จึงทาํ ใหเปนคนทีไ่ มใ หความ สนใจกับผลทเ่ี กิดกับผูอ่นื มากนัก มกั ทําใหเพือ่ นอดึ อัดใจ 2.“ฉันรูเธออยากไดอะไร และฉนั เลอื กไดวาฉันจะทาํ อะไร” (Assertive) คนบคุ ลกิ น้ี จะยอมรบั ในสทิ ธแิ ละความตอ งการของผอู ่ืน รูจักปกปอ งสิทธแิ ละตอบสนอง ความตองการของตัวเอง • กลา ถามและกลาบอก คนท่ยี อมรบั ในสิทธแิ ละความตอ งการของผูอื่น ขณะเดียวกนั ก็รูจักปกปอ งสทิ ธิ และตอบสนองความตองการของตัวเอง เปนผูที่มีความสุขและสรางสัมพันธภาพที่ยั่งยืน ได 3. “สําหรับฉนั อะไรก็ได” (Passive) คนบุคลิกนี้ มักคลอยตามผูอื่น ไมคอยกลาแสดงความตองการและความรูสึกของตัวเอง โดยเฉพาะเรอี่ งท่ีตอ งขัดใจผูอ่นื ปฏเิ สธไมเปน • ไมค อ ยกลา บอก คนท่มี ักคลอ ยตามผอู ื่นเปนคนที่ไปกับเพือ่ นไดดี ไมม ีความขัดแยง ไมค อยแสดง ความตองการและความรสู กึ ออกมาโดยเฉพาะเรอ่ี งที่ตองขดั ใจผูอื่น เมอ่ื อยูใน สถานการณอยากปฏิเสธจึงยากที่จะบอกยืนยันความตองการของตัวเอง
50 การบอกยนื ยันความตองการ ทบทวนเรอ่ื ง + บอกความรูส กึ + ระบุความตองการ ตวั อยาง: สถานการณคยุ กนั จนดึก แฟนขอนอนคางท่หี อง ทบทวน “เรือ่ ง” คอื คําชักชวนหรอื คาํ ขอรอ ง ทางเลือกที่เพอื่ นหยบิ ย่ืนให : (แฟนขออยูค า ง) “ความรสู ึก” คอื ความรสู กึ ของเราตอเงื่อนไข การบอกความรสู กึ จะชวยลดการโตเถียงหาเหตุผลมาหวาน ลอ ม เพราะความรูสึกของคนตอเร่ือง หนง่ึ ๆ ยอมตา งกันได ระบุใหช ัดวา “ฉัน” คอื ผูที่รสู ึก อยาอา งผอู ่ืน น้ําหนักของการเปน “ฉนั ” นนั้ สาํ คญั กวา ขออางอน่ื ใด (“ฉนั ” รูส ึกไมส บายใจถา แฟนจะคา ง) “ความตองการ” คือ ทางเลือกที่เราตองการทาํ เหตุผล และบอกประโยชนทจ่ี ะไดร วมกัน (กลับตอนนเี้ ลยดีกวา พรุงน้เี ราเจอกนั แตเชานะ) การบอกและยืนยนั ความตองการสามารถทาํ ไดอยา งม่ันคงและมั่นใจ พูดใหชดั เจน ตรงจดุ สบตาและนํา้ เสียงหนักแนน ยํา้ ดวยทา ทางเมื่อพูดจบ เชน ลุกข้ึนยืนเพ่ือเดินกลบั ควักเงินจายคาสวนแบงคาอาหาร เดินไป หยิบของเพอ่ื สง แขก พดู ซ้าํ อีกครงั้ เมื่อถกู หวานลอมดว ยวิธีการตาง ๆ การออกจากเหตุการณโดยเร็วเม่ือเมื่อบอก ความตองการไปแลว เปนวิธีหนึ่งที่จะยุติความพยายามชักจูงหรือบังคับทางออม ย้ํากับตัวเองในความคิดเสมอวา”ฉันมสี ิทธิและสามารถเลือกเองไดวาจะทําอะไร” การเปน ตัวของตัวเองเร่มิ ตน ที่ • ซือ่ สัตยต อความคิด ความรูสึกของทีแ่ ทจริงของตวั เอง ถามตัวเองวาในเหตุการณนเ้ี รารูสกึ อยางไร อยากทําอยางไร • ตระหนกั วา ความรสู กึ นอยใจ โกรธ รสู กึ วา ไมม คี ุณคา ไมไดร ับการยอมรบั เปนเราเองท่ตี อ ง รับผิดชอบในแงที่ยอมใหเกดิ ข้นึ เราจึงตองพัฒนาตวั เองมากกวา รอใหผ ูอ่ืนเปนฝายปรับตัว • เร่มิ จากเรื่องเลก็ ๆ ทีเ่ กิดขึ้นบอย ๆ ทบทวนเหตุการณท่ีเกิดขนึ้ วางแผนวาเราจะบอกยนื ยัน ความตองการของเราอยางไร และลงมือทํา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135