Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก

Description: ความหมายพุทธจิตวิทยาเชิงบวก ที่เน้นการพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์ให้มีความสุข พื้นฐานมาจากการพัฒนาตนเองเป็นคนดี การมองโลกในแง่ดี การมีความหวัง และการมีความสุขในวิถีชีวิตของตนเอง

Keywords: พุทธจิตวิทยา การแนะแนวเชิงบวก

Search

Read the Text Version

พทุ ธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๙๒ ชีวิตอิสระ อยากทาอะไรก็ไดทา ไมมีภาระผูกพันใหราคาญใจ ไมตองมาน่ังเจ็บใจ เสียใจเวลาท่ี ทะเลาะกัน ๓. การกลาวโทษผูอ่ืน (Porjection) เปนการปายความผิดใหแกผูอ่ืนวาเปนตนเหตุ ของความลมเหลว หรือความคับของใจ ซ่ึงจริง ๆ แลวตนเหตุคือตนเอง เขาทานองสานวนสุภาษิต “ราไมดี โทษปโทษกลอง” เชน สอบตกก็อางวาเปนเพราะอาจารยสอนไมรูเร่ือง สอนไมดี แตจริงๆ แลวเปนเพราะ ไมตั้งใจเรียน หรือเม่ือประเมินผลงานแลวไมสมควรข้ึนเงินเดือน ก็กลาวโทษหัวหนา งานวามอี คตติ อตน แตจรงิ ๆ แลว ตนเองทางานไมมีประสทิ ธิภาพเปนตน ๔. การถดถอย (Regression) เปนการถอยหลัง หรือหนีกลับอยูสภาพอดีตที่เคยทาใหตนเอง มีความสุข เมื่อพบสถานการณท่ีกอใหเกิดความคับของใจ โดยแสดงพฤติกรรมท่ีอยูในระดับต่า กว าวุฒิภาวะที่เปนอยู เชน นายแดงจะดูดน้ิวมือตอนเขานอนทุกคร้ัง จนหลับ ท้ัง ๆ ท่ีโตจนอายุ ๑๕ ปี แลว ๕. การเปล่ียนแปลงทิศทางหรือเปาหมาย (Displacement) เปนการระบาย อารมณโกรธ หรือความคับของใจที่เกิดขึ้นตอตัวแทนท่ีไมไดเปนตนเหตุ เน่ืองจากไมสามารถโจมตี หรือโตตอบ กับเปาหมายท่ีเปนตนเหตุได เพราะวาถาทาเชนน้ันจะเกิดผลเสียตอตนเอง และสังคมไมยอมรับ เขาทานองหาแพะรับบาป เชน ถกู เจานายดุ ตาหนิ เลยรูสกึ โกรธ แตทาอะไรไมได พอกลับมาบานเลย ใส อารมณกับคนรบั ใช ๖. การทาพฤติกรรมตรงขามกับความรูสึก (Reaction Formation) เปนการกลบเกลื่อน สภาวะที่แทจริงของตนเองในรูปแบบท่ีตรงกันขาม เขาทานอง “ปากวา ตาขยิบ” “ปากหวาน กน เปรีย้ ว” “ปากอยาง ใจอยาง” เชน คนทช่ี อบโกงผูอื่นกม็ กั จะทาตัวเปนคนใจบุญสุนทาน ๗. การทดเทิด (Sublimation) หรือ การเปล่ียนใหเปนท่ียอมรับ เปนการเปล่ียน ความรูสึก หรือแรงผลักดันใหเปนสิ่งท่ีตนเองและสังคมยอมรับได เชน คนที่มีแรงกระตุนท่ีตองการใหผูอ่ืน เจ็บปวด (Sadistic–impulse) อาจกลายเปนศัลยแพทย หรือ คนฆาสัตวในโรงงานเปนตน หรือคน ท่ีมีความตองการทางเพศ แตไมสมปรารถนา อาจแสดงออกในรูปการเขียนโคลงกลอน จดหมายรัก เปนตน ๘. การชดเชย (Compensation) เปนการลบลางปมดอย ความบกพรอง หรือ จุดออนของ ตนเองดวยการสรางปมเดนมาชดเชย ซึ่งการสรางปมเดนนีอ้ าจเปนในทางบวกหรือลบก็ได เชน คนตัว เล็กชอบทาเสยี งดงั คนพกิ ารขาแตเปนนักกีฬาวายํน้า ๙. การฝนกลางวัน หรือ เพอฝน (Day dream or Fantacy) เปนการสราง จินตนาการ หรือมโนภาพเก่ียวกับส่ิงที่ตนมีความต องการ แตเปนไปไมได ฉะน้ันจึงคิดฝนหรือสรางวิมาน ในอากาศ เพอื่ สนองความตองการชว่ั ขณะหนึ่ง ซงึ่ มักเปนเร่อื งที่เปนไปไมไดในชีวติ จริง เชน ความเปน จริงอวนมาก กน็ กึ ฝนเอาวาตนเองรูปรางดี กาลังใสชุดวายํน้าทูพที เดนิ อยูบนชายหาด ๑๐. การปฏเิ สธความจรงิ (Denial) เปนการหลีกเล่ียงการรับรูความเปนจริงที่ยอมรับ ไมได เพราะความเปนจริงนั้นทาใหกระทบกระเทือนใจอยางรุนแรง เจ็บปวด ไมสามารถทนตอความรูสึก ดังกลาวได จึงตองปฏิเสธวาไมจริง ซ่ึงกลไกการปฏิเสธความจริงน้ีจะเกิดข้ึนทันทีโดยอัตโนมัติ สวนใหญ มักพบกับการปฏเิ สธเรื่องความเจ็บปวยทรี่ ุนแรง การสญู เสยี ของรกั เปนตน

พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๙๓ ๑๑. การเลียนแบบ (Identification) เปนการปรับตัวโดยการเลียนแบบพฤติกรรมบุคคล ที่ตนเองนิยมยกยอง เพ่ือใหเกิดความสบายใจ เชน เลียนแบบคุณพอคุณแม การเลียนแบบไมจาเปน จะตองเลยี นแบบจากบุคคลจริงๆ แตอาจจะเลียนแบบจากตัวละครในโทรทศั น ภาพยนตรก็ได กลไกในการปองกันตนเองเปนวิธีการที่บุคคลใช ในการปรับตัว เม่ือประสบกับป ญหา ความคับข องใจ เพ่ือช วยยืดเวลาในการแก ป ญหา เพราะจะช วยให ผ อนคลายความเครียด ความไมสบายใจ ทาใหคดิ หาเหตุผลหรือ แกไขปญหาได กลไกในการปองกันตนเองท่ีกลาวมาท้ังหมด อาจกลาวไดวาการชดเชย (Compensation) การทดเทิด (Sublimation) เปนแสดงออกท่ีสังคม ยอมรับและสามารถตอบสนอง ความตองการท่ีแทจรงิ ไดใกลเคียงทส่ี ดุ สรปุ ท้ายบท ผู้มีบุคลิกภาพดี เป็นผู้ที่มีพ้ืนฐานด้านสุขภาพดี สามารถปรับตัวได้ดี และส่งผลทาให้ บุคลิกภาพดีด้วยผู้มีบุคลิกภาพดีจะมีคุณลักษณะและความสามารถทางจิตใจที่สาคัญ ความสามารถ ในการรับรู้ และเข้าใจสภาพเป็นจริงอย่างถูกต้อง บุคคลท่ีมีสุขภาพจิตสมบูรณ์ จะมีความสามารถ ในการรับรู้และเข้าใจสภาพความจริงท้ังความจริงภายนอกและความจริงภายใน เช่น สภาพแวดล้อม ทางกายภาพ ทางสังคม ความรู้สึกและความต้องการของตวั เรา การแสดงอารมณ์ในลักษณะและขอบเขตท่ีเหมาะสม ผู้ท่ีมีสุขภาพจิตดีจะสามารถควบคุม อารมณไ์ ด้อยา่ งเหมาะสม แตก่ ารควบคมุ อารมณ์มากเกินกวา่ เหตจุ ะมีผลรา้ ยคือ ทาให้มีอารมณ์เครียด ผิดปกติ ซ่ึงจะทาให้เกิดปัญหาในการดาเนินชีวิตและไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเอง และขาด การยบั ยงั้ ชง่ั ใจ ความสามารถในการสร้างความสมั พนั ธ์ทางสังคม โดยธรรมชาติของมนุษย์จะไม่ชอบอยู่ลาพัง จะต้องมีความสัมพันธ์กับผู้อ่ืน มีส่วนร่วมในสังคม ต้องการได้รับการยกย่องและมีชื่อเสียงเป็นที่รัก ของทกุ คนตลอดจนทาใหเ้ กดิ ความรู้สึกปลอดภยั จากอนั ตรายต่างๆ และไดร้ ับความไว้วางใจจากผู้อื่น ความสามารถในการทางานท่ีเป็นประโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวม คนเราจาเป็นต้องเลือก ประกอบอาชีพที่ตนถนัด เพื่อให้ใช้ความรู้ความสามารถได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ในการทางาน และเปน็ ประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม และความรักและความต้องการทางเพศ มีความสาคัญต่อสุขภาพจิตและส่งผลต่อ บุคลิกลักษณะของบุคคล ความรักจะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ความรักใคร่ผูกพันจะสร้าง ความปรารถนาและอุทิศตัวในการอยู่ร่วมกัน และผูกพันกับผู้อื่น ซึ่งจะสร้างความสุขความพอใจ และ เกดิ ความรู้สกึ เปน็ ตวั ของตัวเองและสรา้ งสมั พนั ธภาพทดี่ ีกับผู้อ่นื ด้วย

พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๙๔ คาถามท้ายบท

พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๙๕ เอกสารอ้างอิงประจาบท เชดิ ศักด์ิ โฆวาสนิ ธ์ุ, (๒๕๒๐), การวดั ทัศนคติและบคุ ลกิ ภาพ, สานักทดสอบทางการศึกษาและ จติ วิทยามหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. เดโช สวนานนท,์ (๒๕๑๘), พมิ พลกั ษณ์, กรุงเทพมหานคร : โอเดยี นสโตร์. นิภา นธิ ยายน, (๒๕๓๐), การปรับตวั และบุคลิกภาพ, กรุงเทพมหานคร: โอเอสพริ้นต้ิงส์. ศรเี รือน แกวกังวาล, (๒๕๔๕), จิตวทิ ยาพัฒนาการชีวิตทุกช่วงวัย เล่ม ๒ วัยรุ่น-วัยสงู อายุ, พิมพ์คร้ังท่ี ๘ แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ , กรงุ เทพมหานคร : สานักพิมพ์มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์. Allport, 1995, อางใน สุรางค โควตระกลู , จติ วิทยาการศกึ ษา, พิมพ์ครง้ั ท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๓๗, หน้า ๑๙. Cattell, R.B., (1977), Personality : A Systematic Theoretical and Factual Study, New York : McGrew Hill. Guilford, (1975), อางใน วัฒนา พชั ราวนิช, หลักการแนะแนว, กรุงเทพมหานคร: หน่วย ศึกษานิเทศก์ กรมการฝึกหัดครกู ระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๓๑. Hilgard, (1962), Introduction to Psychology, New York: Harcourt, Brace and World Inc. Noll, Victor H., (1951) Introduction to Educational Measurement. 2d ed. Boston :Houghton Miflin. Smith R.E., Sarason, I.G. and Sarason, B.R. (1982). Psychology : The Frontiers..

บทที่ ๖ การพัฒนาตนตามแนวพุทธ วัตถุประสงคก์ ารเรียนรู้ประจาบท เมื่อได้ศกึ ษาเนื้อหาในบทนี้แลว้ ผูเ้ รียนสามารถ ๑. อธิบายแนวคดิ และทฤษฎีเกี่ยวกบั การพัฒนาได้ ๒. อธิบายแนวคิดการพฒั นาทรัพยากรมนุษย์ได้ ๓. อธิบายความสาคญั และการวางแผนการพฒั นาทรพั ยากรมนุษย์ได้ ๔. อธิบายกระบวนการและทฤษฎกี ารพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ได้ ขอบขา่ ยเน้ือหา  แนวคิดและทฤษฎเี กี่ยวกบั การพฒั นา  แนวคดิ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  ความสาคัญและการวางแผนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  กระบวนการและทฤษฎกี ารพัฒนาทรัพยากรมนษุ ย์

พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๙๗ ๖.๑ ความนา ในโลกป๎จจุบัน โดยเฉพาะอย่างย่ิงประเทศท่ีพัฒนาแล้วท้ังหลายเริ่มได้ตระหนักแล้ว ว่าการพัฒนาท่ีตลอดระยะเวลาท่ีผ่านมา มุ่งสร้างความเจริญด้านวัตถุ โดยเน้นการขยายตัวทาง เศรษฐกิจ ไดก้ ่อใหเ้ กิดปญ๎ หามากมาย ทั้งแกช่ วี ิตมนุษย์ ไม่ว่าด้านสุขภาพร่างกายหรือด้านจิตใจท้ังแก่ สังคม ธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม นับเป็นการพัฒนาที่ผิดพลาด เป็นการพัฒนาท่ีไม่ย่ังยืน จึงจาเป็น ท่ีจะต้องปรับเปล่ียนแนวทางการพัฒนากันใหม่ เริ่มต้ังแต่ปี พ .ศ. ๒๕๓๐ องค์การสหประชาชาติได้ แนะนาให้ดาเนินการพัฒนาแบบย่ังยืน โดยเน้นว่าจะต้องหันมาให้การพัฒนามนุษย์เป็นแกนกลาง ของการพัฒนาทกุ อยา่ ง โดยจะเหน็ ว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๘ ของประเทศ ไทยเราในป๎จจุบัน ก็ยึดหลักสาคัญข้อนี้ เช่นเดียวกับหลักพระพุทธศาสนาก็ถือว่าการพัฒนามนุษย์ เป็นแกนกลาง ท้ังนี้พระพุทธศาสนาพัฒนามนุษย์และสังคมอย่างสัมพันธ์ควบคู่กันไปและเป็นป๎จจัย ต่อกนั โดยคานงึ ถงึ ธรรมชาติแวดล้อมท่ีแปลงเปลยี่ นไปตามยุคสมยั ๑ ในการดาเนินชีวิตของเยาวชนในแต่ละวัน เยาวชนต้องเผชิญกันส่ิงแวดล้อมท่ีย่ัวยุให้เกิด ความโลภ ความโกรธ และความหลง จึงจาเป็นต้องต่อสู้กับ กิเลสตัณหา ซึ่งเกิดจากความไม่รู้เพ่ือให้ ได้มาซ่ึง สุขเวทนา และหลีกเล่ียงทุกขเวทนา พลังท่ีจะต่อสู้กับ กิเลสตัณหา ได้คือ พลังสติและพลัง ปญ๎ ญา ซึง่ จะเกิดขึ้นจากการฝึกหัดอบรมด้วยหลักธรรมอย่างเป็นข้ันตอน ต่อเนื่อง และสม่าเสมอ จน สามารถยกระดับจิตใจขึ้นสูงเหนือกิเลส ตณั หาได้ จงึ จะไดช้ อื่ ว่าเป็นมนุษยท์ สี่ มบรู ณ์ จะเห็นได้หลักพระพุทธศาสนาจะเน้นถึงการยอมรับศักยภาพของมนุษย์ พระพุทธองค์ทรง เน้นให้เห็นถึงความสาคัญในการพัฒนาชีวิตให้ก้าวไปสู่เปูาหมายทีดี ซึ่งพระพุทธศาสนาเห็นว่า หลกั การพฒั นาชวี ติ มนษุ ย์จะพฒั นาด้วยหลกั ไตรสิกขา ในด้านพฤติกรรม(ศีล) ด้านจิตใจ (สมาธิ) และ ด้านป๎ญญา(ป๎ญญา)๖ โดยหลักการดังกล่าวถือเป็นพื้นฐานในการพัฒนาให้เยาวชนเป็นมนุษย์ที่มี คุณภาพ ซ่ึงจาเป็นจะต้องพัฒนาไปพร้อมๆ กันท้ัง ๓ ด้าน นอกเหนือจาก นี้ยังมีหลักธรรม ในพระพุทธศาสนา ที่สามารถนามาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเยาวชนได้ตาม ความเหมาะสม โดยสถาบันทางสังคมท่ีอยู่รอบข้าง เปน็ กัลยาณมิตรที่ดใี นการแนะนา ๖.๒ แนวคดิ และทฤษฎีเก่ยี วกับกาพัฒนา ๖.๒.๑ ความหมายของการพัฒนาทรพั ยากรมนษุ ย์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นเรื่องที่มีความสาคัญอย่างยิ่งต่อการดาเนินงานขององค์การ เพราะมนุษย์เป็นเป็นกลไกลที่สาคัญในการขับเคล่ือนให้องค์ไปสู่ความสาเร็จ หรือความล้มเหลวได้ และถ้าองค์กรไดมีบุคลากรท่ีมีคุณภาพและองค์กรนั้นจะประสบกับความสาเร็จดังน้ัน การพัฒนา ๑ อนิ ถา ศริ ิวรรณ, พระพทุ ธศาสนากับสงั คม, กรุงเทพมหานคร : สานกั พิมพส์ ตู รไพศาล, ๒๕๕๐, หน้า ๑๐๐ – ๑๐๑.

พทุ ธจติ วิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๙๘ ทรัพยากรมนุษย์จึงเป็นเร่ืองท่ีจาเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาองค์กรในด้านอื่นๆและมีนักการศึกษา มากมายหลายท่านไดใ้ ห้ความหมายของการบพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ไวห้ ลายทัศนะ ซึ่งพอสรุปได้ดงั นี้ กีรติ ยศย่งิ ยง๒ ความหมายของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในหนังสือการวางแผนการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ ว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นกระบวนการวางแผนล่วงหน้าเพื่อ เพ่มิ พนู ความรู้ ทกั ษะ ความสามารถ และปรบั ปรุงพฤตกิ รรมของบคุ ลากรในการทางานให้แก่บุคลากร นัน้ โดยองคก์ ารเป็นผู้จดั ขึ้นให้แกบ่ ุคลากรในระยะเวลาท่ีจากัด ผ่านกระบวนการพัฒนาป๎จเจกบุคคล เช่น การฝึกอบรม และกระบวนการพัฒนาองค์การ ท้ังนี้เพ่ือดึงเอาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ที่มี อยู่ออกมาใช้ใหเ้ กิดประโยชน์สงู สุดเพ่ือเอ้ืออานวยตอ่ การช่วยองคก์ ารใหบ้ รรลุเปาู หมายที่ตง้ั ไว้ จีระ หงส์ลดารมภ์๓ ความหมายของทรัพยากรมนุษย์ไว้ ๒ ด้าน คือ ด้านเศรษฐศาสตร์ การ พัฒนาทรพั ยากรมนษุ ย์ หมายถึง การเพิ่มพูนทุนมนุษย์ และการลงทุนในการพัฒนาเศรษฐกิจ ในด้าน รัฐศาสตร์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง การเตรียมประชาชนสาหรับการเข้าไปมีส่วนร่วมใน กระบวนการทางการเมอื ง โดยเฉพาะประชาชนในระบอบประชาธิปไตย จุรีพร บวรผดุงกิตติ๔ ได้ศึกษาเร่ือง สภาพป๎จจุบัน ป๎ญหา ความต้องการ และแนวทางการ พัฒนาบุคคลากร โรงพยาบาลขอนแก่น พบว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นพนักง านน้ัน ผู้ให้บริการควรมีความรู้ และทักษะที่เหมาะสม (Competency) เป็นท่ียอมรับ และตรงตาม ท่ี ผู้รับบริการคาดหวัง (Acceptability) ถูกต้องเหมาะสมทั้งในด้านจริยธรรม และวิชาการ (Appropriateness) เพือ่ ให้ผรู้ บั บริการมคี ณุ ภาพชวี ติ ทด่ี ี (Effectiveness) มีความปลอดภัย (Safety) ประหยัดและคุ้มค่า (Efficiency) การเข้าถึงบริการ หรือมีบริการให้เม่ือต้องการ (Accessibility) มีความต่อเนอื่ งของการดูแล (Continuity) เป็นส่งิ ท่ีสาคัญ ชาญชัย อาจิณสมาจาร๕ ได้กล่าวถึงการพัฒนาองค์การไว้ในหนังสือ การพัฒนาทรัพยากร มนษุ ยว์ า่ การพัฒนาองค์การ คือ ผู้รับผิดชอบสาหรับการสั่งการ การบริหารและการนิเทศงานรวมถึง การเป็นเจ้าของ ผู้อานวยการ และเจ้าหน้าท่ีต้องมีคุณลักษณะต่อไปน้ีเพื่อทาให้การพัฒนาทรัพยากร มนุษย์เปน็ ระบบทีส่ ามารถสนองตอบได้ เชาว์ โรจนแสง๖ หมายถึง การส่งเสริมให้ทรัพยากรมนุษย์ในองค์การมีความรู้ความสามารถ และมีสมรรถนะในการทางานสูงยิ่งข้ึน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นกระบวนการที่จะเสริมสร้าง และเปลยี่ นแปลงผูป้ ฏิบัติงานในดา้ นความรู้ ความสามารถ ทักษะ อุปนิสัยทัศนคติ และวิธีการทางาน ๒ กีรติ ยศย่ิงยง ( ดร.), การวางแผนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์,(กรุงเทพมหานคร : บริษัท มิสเตอร์ ก๊อปปี้ (ประเทศไทย) จากัด ,๒๕๔๘), หน้า ๒. ๓ จรี ะ หงส์ลดารมภ์, แนวคดิ และหลกั การ ขอบข่าย ของการพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ย์ , พมิ พ์ครั้งท่ี ๓๑ , (นนทบุรี : โรงพิมพ์มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมมาธิราช,๒๕๓๓), หนา้ ๕. ๔ จุรีพร บวรผดุงกิตติ, สภาพปัจจุบัน ปัญหา ความต้องการ และแนวทางการพัฒนาบุคคลากร โรงพยาบาลขอนแก่น,รายงานการค้นคว้าอิสระปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ , ๒๕๔๒. หน้า (บทคัดยอ่ ) ๕ ชาญชัย อาจินสมาจาร(ดร.), การพัฒนาทรพั ยากรมนุษย์ ,เอกสารอัดสาเนาเยบ็ เลม่ , หนา้ ๘๑. ๖ เชาว์ โรจนแสง, องคก์ ารและการจดั การ หนว่ ยท่ี ๗, (นนทบรุ ี : สานักพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรม มาธริ าช, ๒๕๔๕), หน้า ๓๙๓.

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๙๙ ท่ี จ ะ น า ไ ป สู่ ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ ใ น ก า ร ท า ง า น ก า ร พั ฒ น า ท รั พ ย า ก ร ม นุ ษ ย์ มี ค ว า ม ส า คั ญ ต่ อ อ ง ค์ ก า ร อันเน่ืองมาจากทรัพยากรมนุษย์เป็นป๎จจัยท่ีสาคัญที่จะทาให้องค์การประสบความสาเร็จ หรือความล้มเหลวถ้าองค์การใดมีทรัพยากรมนุษย์ที่มีความรู้ความสามารถมากองค์การน้ันก็จะมี โอกาสจดั การองค์การใหม้ ปี ระสิทธภิ าพและประสิทธิผลได้ บุญเลิศ ไพรินทร์๗ หมายถึง การะบวนการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมทั้งมวลอันอาจได้แก่การ เปลย่ี นแปลงดา้ นความรู้ความสามารถ ทกั ษะและทัศนคติโดยอาศัยกระบวนการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ ซึง่ จะครอบคลมุ กระบวนการจัดการศกึ ษาให้ทุกคนและทุกระดับไดม้ ีความรู้ ความสามารถ มที ักษะ และทัศนคติอันพึงปรารถนาของสังคมและประเทศชาติและรวมถึงการฝึกอบรม การสอนงาน การสับเปล่ียนหมนุ เวียน หรอื แมแ้ ต่กระบวนการในการพัฒนาตนเองอกี ด้วย พยอม วงศ์สารศรี๘ หมายถึง การทา ใหม้ คี ุณภาพมากขึ้นในกรณเี กยี่ วกับบคุ คลก็คือการดา เนินการเพิ่มพูนความร้คู วามสามารถ และทัศนคตทิ ่ีดตี ่อการปฏิบัติงานท่ีตนรบั ผิดชอบให้มีคุณภาพ ประสบผลสาเรจ็ เป็นท่ีพอใจแกอ่ งคก์ าร พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต)๙ ได้อธิบายถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ไว้ว่า การศกึ ษาอบรมในพระพทุ ธศาสนายึดผ้เู รยี นเป็นศูนย์กลาง ดังจะเห็นได้จากการจัดการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับพัฒนาการและวุฒิภาวะของผู้เรียน โดยที่พระพุทธเจ้าทรงเทียบความพร้อมใน การศึกษาเล่าเรียนของบุคคลเข้ากับบัวสี่เหล่า และทรงจาแนกประเภทของบุคคลที่จะเข้ารับ การศึกษาอบรมไปตามจริต ๖ และท่ีสาคัญคือ พระพุทธเจ้ามุ่งให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ตัวอย่างเช่น การบริหารงานบุคคลในพระพุทธศาสนา เริ่มตั้งแต่การรับคนเข้ามาบวช ที่ต้องมีการ กล่ันกรองโดยคณะสงฆ์ พระพุทธเจ้าทรงมอบความเป็นใหญ่ให้คณะสงฆ์ในการให้การอุปสมบท แก่กุลบตุ ร เมือ่ บวชเข้ามาแล้ว พระบวชใหม่จะต้องได้รับการฝึกหัดอบรมและการศึกษาเล่าเรียนจาก พระอปุ ช๎ ฌายโ์ ดยอยู่ภายใตก้ ารปกครองดูแลขอทา่ นจนพรรษาครบ ๕ พรรษา พระธรรมปฎิ ก ( ป.อ.ปยตุ โฺ ต )๑๐ ได้ให้ความหมายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แบ่งออกเปน็ ๒ ประเภท คือ ทรัพยากรมนุษย์นั้นเปน็ การมองมนุษยใ์ นฐานะทรัพยากร คือ เป็นทุนเป็นปจ๎ จัยใน การทจี่ ะนามาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม สว่ นการพฒั นามนุษย์โดยมองคนในฐานะเปน็ มนุษยม์ ี ความหมายวา่ มนุษย์มีความเปน็ มนษุ ยข์ องเขาเองชวี ิตมนุษย์น้นั มีจุดหมายจุดหมายของชีวิตคอื ความสขุ อิสรภาพ ความดี ความงามของชวี ิต ซึ่งเปน็ เรือ่ งเฉพาะตวั บุคคล ๗ บุญเลิศ ไพรินทร์, พฤติกรรมการบริหารงานบุคคล, กรุงเทพมหานคร : สานักงานคณะกรรมการ ข้าราชการพลเรือน, ๒๕๓๘, หนา้ ๕. ๘ พยอม วงศ์สารศรี, การบริหารทรัพยากรมนุษย์, กรุงเทพมหานคร : คณะวิทยาการจัดการสถาบันราช ภัฏสวนดสุ ิต, ๒๕๓๘, หน้า ๑. ๙ พระธรรมโกศาจารย์ ศ.(ประยูร ธมฺมจิตฺโต) พุทธวิธีการบริหาร, มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั , ๒๕๔๙, หนา้ ๓๙. ๑๐ พระธรรมปฎี ก ( ป.อ. ปยุตฺโต ), ทศวรรษธรรมทัศน์พระปฎิ ก หมวดศึกษาศาสตร์, กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๓๔, หน้า ๕๑.

พทุ ธจิตวิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๐๐ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)๑๑ ได้กล่าวถึงความหมายของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ใน หนงั สือ การศึกษากบั การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์น่าจะแตกต่างจากคา ว่า การพัฒนามนุษย์ สองคาน้ีไม่เหมือนกันที่เดียวในเวลานี้เราเน้นการพัฒนามนุษย์เราต้องเข้าใจ เกี่ยวกับความหมายของคาว่าพัฒนามนุษย์ท่ีต่างจากคาว่าพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ซ่ึงหมายถึงการ พัฒนาคนในฐานะเป็นทรัพยากรอย่างหน่ึง เราควรหันมาสนใจในการพัฒนามนุษย์มากกว่าเม่ือเรา พัฒนาเขาเหล่านั้นได้แล้วก็เหมือนกับเป็นทุน เป็นป๎จจัยที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจและ สงั คมต่อไป พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)๑๒ ได้เขียนไว้ในหนังสือ การสร้างสรรค์ป๎ญญาเพื่ออนาคตของ มนษุ ยชาติ สรปุ ไดว้ า่ มนษุ ยเ์ ปน็ สตั ว์ประเสริฐแต่ไม่ใช่เป็นคากล่าวตามหลักพระพุทธศาสนา ถ้าจะให้ ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาจะต้องพูดว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐด้วยการฝึก ถ้าไม่ฝึกแล้วหา ประเสริฐไม่ การฝึกก็คือทาให้พัฒนาข้ึนด้วยสติป๎ญญาเป็นต้นมนุษย์เป็นสัตว์ท่ีต้องฝึกจึงจะประเสริฐ เพราะเหตุใดเพราะมนุษย์อาศัยสัญชาตญาณได้น้อย ไม่เหมือนสัตว์ประเภทอื่น ซ่ึงเกิดมาแล้วก็อยู่ได้ ดว้ ยสัญชาตญาณ แม้แต่คลอดออกมาวันนั้น อย่างลูกห่าน ก็เดินได้เลย ว่ายน้าได้ทันที หากินได้ทันที แต่มนุษย์เป็นสัตว์ที่ต้องฝึกฝนพัฒนา โดยเฉพาะสิ่งท่ีเรียกว่าป๎ญญามาใช้ดาเนินชีวิต แทนที่จะอยู่ อย่างสัตว์อื่นท่ีเป็นตามสัญชาตญาณ แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวไม่รู้หลักการไม่รู้ธรรมชาติอันน้ี การ เรยี นรู้ การฝึก การหัดนัน้ จาเปน็ เพอ่ื ให้ตวั ดาเนินชีวิตอยู่ได้ก็เรียน ก็ฝึก ก็หัดไปด้วยความจาเป็นจาใจ พอทาได้ก็หยุดฝึก จึงไม่พัฒนาเท่าที่ควร ถ้าเขารู้ธรรมชาติแห่งชีวิตของตนเอง รู้หลักการของชีวิต มนุษย์อย่างน้ีแล้วว่า ชีวิตที่ดีของมนุษย์ได้มาด้วยการเรียนรู้ ฝึกฝน พัฒนา ต้องมีสิกขา ถ้าเราฝึกฝน พฒั นาเรียนรู้อยเู่ รือ่ ยชวี ิตของเรากจ็ ะดีงาม จนมชี วี ติ ทปี่ ระเสรฐิ พระราชญาณวิสิฐ(เสริมชยั ชยมงฺคโล) การบริหารคน หมายถึง การปกครอง(Government) การดูแลรักษาหมู่คณะ และการดาเนินงานหรือการจัดการ (Management) กิจกรรมต่างๆ ของหมู่ คณะหรือองค์กรต่างๆ ให้สาเร็จลุล่วงไปตามนโยบาย(Policy) และวัตถุประสงค์ (Objectives) ของ องคก์ รนน้ั ๆ ด้วยดี มปี ระสทิ ธภิ าพ (Efficiency)๑๓ มัลลี เวชชาชีวะ๑๔ ได้ให้ความหมายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง การวางแผน ล่วงหน้าเก่ียวกับเจ้าหน้าที่ขององค์การเป็นรายบุคคล ให้เขามีความพร้อมท่ีจะทางานในหน้าที่ของ เขาให้ไดผ้ ลดแี ก่องคก์ ารมากทสี่ ดุ วิชัย โถสุวรรณจินดา๑๕ ได้ให้ความหมาย การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หมายถึงกระบวนการ ที่ผู้บริหารใช้ศิลปะและกลยุทธ์ดาเนินการสรรหา คัดเลือกและบรรจุบุคคลท่ีมีคุณสมบัติเหมาะสม ๑๑ พระธร รมปิฎ ก ( ป .อ. ป ยุตฺโต ) , การศึกษากับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์, กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัทสหธรรมมิก จากัด, ๒๕๔๒, หนา้ ๒. ๑๒ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). การสร้างสรรค์ปัญญาเพ่ืออนาคตของมนุษยชาติ, พิมพ์ครั้งที่ ๗, กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัท สหธรรมิก จากดั , ๒๕๔๐, หนา้ ๓๐. ๑๓ พระราชญาณวิสฐิ (เสริมชยั ชยมงฺคโล) การบริหารวัด, กรุงเทพมหานคร ๒๕๔๘, หน้า ๙. ๑๔ มัลลี เวชชาชีวะ, การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์, กรุงเทพมหานคร : สานักวิจัย สถาบันพัฒนาบัณฑิต บรหิ ารศาสตร์, ๒๕๒๔, หนา้ ๑. ๑๕ วชิ ยั โถสวุ รรณจนิ ดา, การบรหิ ารทรัพยากรมนษุ ย์, กรงุ เทพมหานคร: VJ. พร้ินติง้ , ๑๕๔๖,หนา้ ๒.

พุทธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๐๑ ให้ปฏิบัติงานในองค์การ พร้อมทั้งสนใจการพัฒนา การบารุงรักษาให้สมาชิกท่ีปฏิบัติงานในองค์การ สามรถเพิ่มพูนความรู้ความสามารถเพื่อการทุ่มเทการทางานให้กับองค์การ และสามารถดารงชีวิต ในสังคมได้อยา่ งมคี วามสขุ เสนาะ ติเยาว์๑๖ ได้กล่าวถึงความสาคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ว่า ในสมัยก่อน ผู้บริหารไม่เคยให้ความสนใจหรือเห็นความสาคัญของการบริหารงานบุคคลเลยหรือแม้แต่ในป๎จจุบัน สาหรับองค์การขนาดเล็กก็ไม่เคยจัดให้มีแผนกบริหารงานบุคคล เพราะเห็นว่างานบุคคลเป็นงานที่ ง่าย ๆ คงไม่มีป๎ญหาอะไร ต่างมุ่งให้ความสนใจทางด้านเทคนิคหรือเครื่องจักรเครื่องมือท่ีทันสมัย อย่างเดียว จนต่อมาเมื่อเกิดป๎ญหาในการทางานขึ้นทั้งๆท่ีมีเครื่องมืออย่างดีช่วยในการปฏิบัติงานจึง คิดกันว่าจะต้องมีป๎จจัยอีกอย่างหน่ึงที่มีความสาคัญไม่ย่ิงหย่อนไปกว่าเครื่องมือเหล่านั้น ผู้บริหารจึง ต้องหันมาสนใจและให้ความสาคัญเร่ืองของคนมากขึ้น และก็พบว่าผู้ปฏิบัติงานมีอิทธิพลต่อความ สาเร็จของงานอย่างมาก องค์การใดท่ีให้ความเอาใจใส่ต่อคนผลผลิตขององค์การนั้นจะเพ่ิมมากขึ้น เพราะคนทางานมีประสิทธภิ าพมากขนึ้ สมชาย หิรัญกิตติ๑๗ ได้ให้ความหมายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง บุคคลซึ่งมีความ พร้อม มีความจรงิ ใจ และสามารถทจี่ ะทางานให้บรรลุเปูาหมายขององค์การหรือเป็นบุคคลในองค์การ ท่สี ามารถสร้างคุณค่าของระบบการบริหารงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้ ดังน้ัน องค์การจึงมี หน้าที่ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้ปฏิบัติงานจนบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ ซ่ึงต้องใช้ การวางแผนเชิงกลยทุ ธด์ ้านการบริหารทรพั ยากรมนษุ ยเ์ ขา้ มาชว่ ย สมาน รังสิโยกฤษฎ์๑๘ ได้ให้ความหมายของ การพัฒนาบุคคล ว่า หมายถึง การดาเนินการ เกี่ยวกบั การส่งเสรมิ ให้บุคคลมีความรู้ ความสามารถ มีทักษะในการทางานดีข้ึนตลอดจนมีทัศนคติท่ีดี ในการทางาน อันเป็นผลให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น หรืออีกนัยหนึ่ง การพัฒนาบุคคล เป็นกระบวนการท่ีจะเสริมสรา้ งและเปลีย่ นแปลงผู้ปฏบิ ตั ิงานในด้านต่างๆ เช่น ความรู้ ความสามารถ ทักษะ อุปนิสัย ทัศนคติ และวิธีการในการทางาน อันจะนาไปสู่ประสิทธิภาพในการทางาน ให้มีคุณภาพประสบความสาเร็จเป็นท่ีน่าพอใจแก่องค์กรรวมถึงการบูรณาการหรือผ สมผสานเพื่อใช้ การฝกึ อบรมและการพัฒนาพนักงาน การพัฒนาอาชีพ การพัฒนาองค์กร สาหรับการปรับปรุงบุคคล ทมี และประสทิ ธิผลขององค์กร อนิวัช แก้วจานงค์๑๙ ได้กล่าวถึงความหมายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ไว้ในหนังสือ การจัดการทรัพยากรมนุษย์ ว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การดาเนินกิจกรรมเพ่ือก่อให้เกิดการ เรียนรู้ในด้านต่าง ๆ เพ่ือเพิ่มความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์และทักษะฝีมือโดยทาให้การ ๑๖เสนาะ ติเยาว์, การบริหารงานบุคคล, พิมพ์คร้ังที่ ๑๑, กรุงเทพมหานคร โรงพิมพ์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๙, หน้า ๑๔ – ๑๕. ๑๗ สมชาย หิรัญกิตติ, การบริหารทรัพยากรมนุษย์ , กรุงเทพมหานคร: บริษัท ธีระฟิล์ม และไซเท็กซ์ จากดั , ๒๕๔๒, หน้า ๑. ๑๘ สมาน รังสโิ ยกฤษฎ,์ ความรูท้ ว่ั ไปเกีย่ วกับการบริหารงานบุคคล, พมิ พค์ รง้ั ที่ ๑๓, กรุงเทพมหานคร : สวสั ดกิ ารสานกั งาน , ๒๕๓๐, หนา้ ๑๘. ๑๙ อนวิ ัช แกว้ จานง, ดร., การจดั การทรพั ยากรมนุษย์, สงขลา : บรษิ ทั นาศลิ ป์โฆษณา จากัด,๒๕๕๒, หน้า ๑๔๐.

พทุ ธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๐๒ ปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและเพื่อเตรียมความพร้อมของพนักงานให้สามารถปฏิบัติงานใน อนาคตได้ องค์การสมัยใหม่ในป๎จจุบันจึงให้ความสาคัญกับกิจกรรมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มาก ข้นึ เน่อื งจากองค์การมองพนักงานเปน็ ทรัพย์สนิ ที่มีค่าหรอื ท่ีเรียกว่ามีสภาพเป็น “ทนุ มนษุ ย์” อานวย แสงสว่าง๒๐ ได้กล่าวไว้ใน “การจัดการทรัพยากรมนุษย์” ว่าการพัฒนาทรัพยากร มนุษย์ หมายถึง การวางแผนอย่างเป็นระบบต่อเนื่อง เพื่อจัดกา รให้มีการพัฒนาระดับขีด ความ สามารถในการปฏิบัติงานของพนักงานและประสิทธิภาพในการดาเนินขององค์การโดยใช้ วธิ กี ารฝึกอบรม การให้ความรู้และจัดโปรแกรมการพัฒนาพนักงานให้มีโอกาสได้รับความก้าวหน้าใน อาชพี สาหรับในอนาคต อานาจ เจริญศิลป์๒๑ ได้ให้ความหมายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง การพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพดีข้ึน ต้องพัฒนาในด้านร่างกายและจิตใจไปพร้อม ๆ กันนอกจากน้ัน จะต้องให้มนุษย์มีความรู้คู่กับคุณธรรมด้วย จึงจะเป็นคนที่สมบูรณ์หรือความเป็นมนุษย์ออกไปอยู่ใน สังคมได้ และเม่ือมนุษย์มีความรู้แล้ว ต้องนาไปปฏิบัติ ฝึกฝนให้เกิดผลดีคือ มีประสบการณ์ดีน้ันเอง ประสบการณ์ดี ความรู้ดี มีคุณธรรมดี และมีความสามารถสูงมีความสาคัญอย่างยิ่งที่ควรใช้เป็นหลัก ในการจดั การทรัพยากรมนุษย์ จากความหมายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ท่ีกล่าวมาน้ันพอสรุปได้ว่าการพัฒนาทรัพยากร มนษุ ยน์ ้ันหมายถึง กระบวนการท่ีผบู้ รหิ ารต้องใหค้ วามสาคัญต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยใช้ทั้ง กลยุทธ์และทักษะต่างๆ เพื่อพัฒนาบุคลากรให้สามารถใช้ความรู้ความสามารได้อย่างเต็ม ความสามารถเพื่อผลประโยชนข์ ององค์กร รวมท้งั มที ศั นคตทิ ่ดี ีตอ่ หน้าที่ ความรับผิดชอบ อันจะทาให้ งานมปี ระสิทธภิ าพมาย่งิ ขน้ึ ทั้งในปจ๎ จบุ ันและในอนาคตตอ่ ไปได้ ๖.๓ แนวคดิ การพฒั นาทรัพยากรมนษุ ย์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์กล่าวคือ มนุษย์ถ้ามีการพัฒนาแล้วจะเป็นกาไรไม่ใช่ต้อนทุน ดังนั้นการที่มนุษย์มีความรู้แล้วนาความรู้ท่ีมีน้ันมาพัฒนาทรัพยากรด้านอ่ืนๆให้มีคุณค่าได้ดังน้ั น ทรัพยากรมนุษย์จึงเป็นสิ่งท่ีสาคัญที่สุด และมีนักการศึกษามากมายหลายท่านได้ให้ความหมายของ การบพฒั นาทรัพยากรมนษุ ย์ไว้หลายทัศนะ ซ่งึ พอสรปุ ได้ดังน้ี พันตารวจโทหญิง นัยนา เกิดวิชัย กล่าวว่า “คน” เป็นนักพัฒนาตนเอง เร่ิมตั้งแต่อยู่ในครรภ์ มารดาด้วยการยังชีวติ ให้อยรู่ อดเป็นคน และยงั ความอยูร่ อดของคนด้วยการมีลมหายใจ ที่บ่งบอกของ ความอยู่รอดได้จนเป็นสภาพบุคคล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ ๒ หมวด ๑ ๒๐ อานวย แสงสวา่ ง, การจดั การทรพั ยากรมนษุ ย,์ กรุงเทพมหานคร : พิมพ์ที่ โรงพมิ พท์ พิ ย์วิสุทธิ์, ๒๕๔๐, หนา้ ๒๙๖. ๒๑ อานาจ เจริญศิลป์, การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, กรุงเทพมหานคร : โอ. เอส. พรน้ิ ติง้ เฮา้ ส์ , ๒๕๔๓, หน้า ๒๐๖.

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๐๓ บคุ คลธรรมดา ส่วนท่ี๑ สภาพบุคคล มาตรา ๑๕ กล่าวไว้ว่า คาว่า “บุคคล” คือ สภาพบุคคลย่อมเริ่ม แต่เมื่อคลอดแลว้ อยรู่ อดเป็นทารก และส้นิ สดุ เมือ่ ตาย๒๒ คน (บุคลากรหรือทรัพยากรมนุษย์) คือ ป๎จจัยที่ช้ีขาดความสาเร็จและความอยู่รอด ขององค์การ เพราะบคุ ลากรคือผผู้ ลกั ดนั และดาเนินการให้เปูาหมาย นโยบาย แผนการและมาตรการ ต่างๆ ขององค์การบรรลุตามจุดประสงค์ หากบุคลากรขององค์การใดด้อยไร้ซึ่งคุณภาพ องค์การน้ัน ไม่อาจจะดาเนินการให้บรรลุเปูาหมายของตนเองได้ในระดับมหาภาคหรือระดับประเทศ ความสนใจ ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เร่ิมมีมาตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี ๖ (พ.ศ. ๒๕๓๐ – ๒๕๓๔) เป็นต้นมาถึงแผนพัฒนาฯฉบับท่ี ๘ ได้กาหนดให้การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็น หัวใจสาคัญของแผนฯ ตามแนวคิดท่ีว่า“การพัฒนาประเทศคือ การพัฒนาคน มุ่งให้ ”คนเป็นจุด ศูนย์กลางการพัฒนา” จนถึงแผนพัฒนาฉบับท่ี ๙ ได้อัญเชิญ ”ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญานาทางในการพัฒนาและบริหารประเทศควบคู่ไปกับกระบวนทรรศน ะการพัฒนาแบบ บูรณาการเป็นองค์รวมท่ีมีคนเป็นจุดศูนย์กลางในการพัฒนาเน้นการพัฒนาท่ีสมดุลทั้งด้านตัวคน สังคม เศรษฐกิจและส่ิงแวดล้อมเพ่ือนาไปสู่การพัฒนาที่ย่ังยืนและความอยู่ดีมีสุขของคนไทยจน ป๎จจุบันแผนพัฒนาฉบับท่ี ๑๐ (พ.ศ.๒๕๕๐-๒๕๕๔) ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมของคนและระบบให้ สามารถปรับตัวพร้อมกับการเปล่ียนแปลงในอนาคตและแสวงหาประโยชน์อย่างรู้เท่าทันโลกาภิวิตน์ และสร้างภมู ิค้มุ กนั ใหก้ บั ทุกภาคสว่ นตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง๒๓ คาว่า “การพัฒนา” คืออย่างไร ก่อนอื่นเราต้องทราบว่า “พัฒนา คือ มุ่งให้เกิดความ เจรญิ ก้าวหน้า มุ่งให้ทกุ คนมีความสุขสบาย” ดังน้ันทุกคนจึงมุ่งที่จะพัฒนา แต่เพราะการที่ทุกคนมุ่งท่ี จะพัฒนาน้ีจึงมีทางทาให้เสียได้ เพราะว่ามีผู้ที่ไม่ได้มุ่งให้เกิดความก้าวหน้าแท้จริงรวมอยู่ด้วย หรือ อาจเป็นวา่ ฝาุ ยตรงขา้ มนาเอาคา “พฒั นา” ไปใชด้ ว้ ยก็ได้ ผู้ที่ฉลาดมีไหวพริบดีจึงจะแยกได้ว่า ใครจะ มาพัฒนาใหแ้ ละใครจะมามุ่งพฒั นาเพื่อประโยชนข์ องฝาุ ยพวกตัว”๒๔ การพฒั นา (Development) เป็นกระบวนการท่ีนามาปฏิบัติ เพื่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงไป ในทิศทางที่มีการวางแผนและกาหนดเปูาหมายไว้การพัฒนาเป็นการเปล่ียนแปลงอย่างหนึ่ง ซ่ึง กาหนดให้มีคุณค่าและเป็นไปตามข้ันตอน เพราะฉะน้ันการพัฒนาเป็นกระบวนการทาให้ เจริญก้าวหน้าหรือการเปลี่ยนแปลงไปสู่ทิศทางท่ีพึงปรารถนาการพัฒนาเป็นท้ังส่ือ (Means) และ จดุ หมายปลายทาง (End)๒๕ การพัฒนา (Development) ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลง และแปลงรูปสภาพแวดล้อม โครงสร้างกระบวนการและพฤติกรรมของระบบ และป๎จเจกบุคคล ท้ังทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง ๒๒ พันตารวจโทหญิง นัยนา เกิดวิชัย, ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ – ๖ แก้ไข เพ่ิมเติม คร้ังสดุ ทา้ ย, กรงุ เทพมหานคร : สานกั พมิ พน์ ิตนิ ัย, ๒๕๔๑, หนา้ ๑๗. ๒๓ สานักนายกรัฐมนตรี, แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔), สานกั งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ สานกั นายกรฐั มนตรี, พ.ศ.๒๕๔๙. (อดั สาเนา) ๒๔ พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่ผู้นาเยาวชนและเจ้าหน้าที่ ณ สานักจิตรลดารโหฐาน, ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๒. ๒๕ จานงค์ อดวิ ฒั นสิทธ์ิ, สังคมวทิ ยาตามแนวพุทธศาสตร์, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๔, หน้า ๑๖๑.

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๐๔ และสังคม เพ่ือสนองตอบข้อเรียกร้องและความต้องการของมวลมนุษยชาติท้ังในแง่ของความยากจน ความเขลาหรือไมร่ ู้ ความเจบ็ ไขไ้ ดป้ าุ ยและความหิวโหย๒๖ กล่าวว่า “การพัฒนา หมายถึง กระบวนการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของกลุ่มบุคคลเปูาหมาย มุ่งให้เกิดความเสมอภาค และการกระจายอย่างเป็นธรรมท้ังทางด้านเศรษฐกิจและสังคม เพ่ือให้เกิด ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยให้น้อยท่ีสุด ทั้งน้ีกระบวนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้สามารถท่ีจะ กาหนดทิศทางของการเปลี่ยนแปลงมีโครงสร้างและระบบที่เหมาะสมตลอดจนการควบคุมอัตราการ เปลย่ี นแปลงได้อยา่ งบังเกิดผล๒๗ การพัฒนาบุคลากรหมายถึง “การพัฒนาตัวของบุคลากรให้มีคุณภาพประสิทธิภาพ ในการทางานมีความสุจริตในการทางานมีความขยันในการทางาน มีความรับผิดชอบพัฒนาขีด ความสามารถของตนเองและสามารถผา่ นการประเมนิ การทางาน”๒๘ การพฒั นา (Development) คือ กระบวนการเปล่ียนสภาพจากเดิมไปสู่สภาพใหม่ในทิศทาง ทด่ี ขี นึ้ กว่าเดิม ดังนนั้ การเปล่ยี นแปลงใดที่ทาใหเ้ กิดสภาพท่แี ย่ลงกวา่ เดิมจงึ ไม่ถือวา่ เป็นการพัฒนา การพัฒนาบุคคล เป็นสาขาหนึ่งของ “การพัฒนา” คือ กระบวนการเปล่ียนสภาพจากเดิม ไปสู่สภาพใหม่ในทิศทางทด่ี ขี ึน้ กว่าเดิม ดงั นั้น การเปลี่ยนแปลงใดที่ทาให้เกิดสภาพท่ีแย่ลงกว่าเดิมจึง ไมถ่ อื วา่ เปน็ การพฒั นา๒๙ การพฒั นาบคุ คลต้องเข้าใจดา้ นดแี ละไม่ดีของผู้รบั การพฒั นาวา่ มีส่วนดีและส่วนเสียตรงไหน และส่งลกู รบั ให้ผูฝ้ ึกอบรมนนั้ ได้ใชค้ วามเข้าใจธรรมชาติธาตุแท้ตัวตนของตนเองซึ่งตรงกับปรัชญาเต๋า (Tao) ซ่ึงเป็นปรัชญาตะวันออกท่ีถูกนามาใช้เป็นรากฐานการสร้างทฤษฏีการรักษาสมดุล (To maintain balance) เป็นฐานความคิดของการเปลี่ยนแปลงจักรวาลเต๋าเป็นหลักการพ้ืนฐานของทุก สรรพสิง่ หยนิ (Yin) เป็นแรงด้านลบ (Negative) ขอ้ ห้าม,ขอ้ จากัด, ข้อผูกมัด, ส่วนหยาง (Yang) เป็น แรงด้านบวก (Positive) อิสระ, สร้างสรรค์, เส้นโค้งตรงกลาง ทางสายกลาง (Golden Mean or Middle Way) เป็นความสมดุลและความเข้ากันดีของชีวิต (The life of Harmony and Balance) (Schindele, ๑๙๙๑) หยิน หยาง เป็นการแสดงพลังของข่ัวตรงกันข้ามที่อยู่ร่วมกันในจักรวาลและมี ความสัมพันธ์ต่อกัน คือ หยินเองมีส่วนของหยางและหยางก็มีส่วนของหยินอยู่ พลังตรงข้ามน้ีอยู่ ด้วยกันได้ด้วยสมดุล และเต๋าสามารถอธิบายได้ว่า ปรากฏการณ์ต่างๆ เกิดข้ึนได้อย่างไร (“Tao means how : how things happen,how things work. Tao is the single principle underlying all creation”) (Heider, ๑๙๘๕:๑)๓๐ ๒๖ ตนิ ปรัชญพฤทธ์ิ, ศพั ท์รัฐประศาสนศาสตร์, กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๕, หน้า ๑๑๖. ๒๗ ศภุ ชัย สวุ รรณสทุ ธิ์, ภมู ปิ ๎ญญาพทุ ธกับแนวทางใหมใ่ นการพัฒนาประเทศของไทย ภาคนพิ นธ์ ปรญิ ญาพัฒนาบริหารศาสตรม์ หาบณั ฑติ พฒั นาสังคม, สถาบันบณั ฑติ พัฒนาบรหิ ารศาสตร์ ๒๕๓๘,หน้า ๑๒. ๒๘ จานง อดิวฒั นสทิ ธ์ิ, สงั คมวิทยาตามแนวพทุ ธศาสตร์, หน้า ๑๖๖. ๒๙ อมรเทพ แกล้วกสิกรรม, น.ท.ผ.ศ., การพัฒนาบุคคล, วารสารโรงเรียนนายเรือ, มค.–มีค. ๒๕๔๙. (อดั สาเนา) ๓๐ ลัทธิเต๋า (Taoism) ของเล่าจอื หรือเลา่ ซอื (Lao Tzu) มมี ากวา่ 500 ปกี อ่ นครสิ ตกาลในหนงั สอื เต๋า เตอ ชิง (Tao Te Ching) (Dreher, 1991), อา้ งใน จริ ประภา อัครบวร,ผศ.ดร., สร้างคนสร้างงาน,หนา้ 16.

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๐๕ ตามแนวปรชั ญาเต๋าในการพัฒนาองค์การคือ การรักษาสมดุลการจัดการระบบและจัดการคน ในองค์การ ปรากฏการณ์ของแรงสองขวั้ ท่ีตรงข้ามกนั คือ หยนิ (Negative)และหยาง Positive). (Cresencio,๑๙๙๔) คือ แรงต้านและแรงดึง ผู้ปฏิบัติตนตามแนวปรัชญาเต๋าจะพยายาม สรา้ งสมดลุ ของแรงท้ังสอง (Glanz, ๑๙๙๗) การจัดการให้แรงทั้งสองมาเป็นแรงเสริมซึ่งกันและกันจะ สามารถทาให้เกิดการเติบโตงอกงาม (Yi, ๑๙๙๕) ในที่สุด ซ่ึงตรงกับการใช้Push – Pull Theory (Akaraboworn, ๒๐๐๓) การสร้างความสาเร็จในการพฒั นาองค์การ ด้วยการมีส่วนร่วมของบุคลากร (Employee Participation) ซึง่ เปน็ การพัฒนาองคก์ าร กระบวนการเปล่ยี นแปลงอย่างเป็นระบบของ Push Theory : Push System ทฤษฎีแรงผลัก คือ การทาอย่างไรให้ระบบใหม่ขององค์การสร้าง แรงจูงใจให้บุคลากรเข้าร่วมทาการเปล่ียนแปลง มีความพร้อมยอมรับการทฤษฎีองค์การ (Organization Theory) ถูกนามาใช้อย่างมากในการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการ ใน ขณะเดียวกันผู้บริหาร ผู้นา ผู้ปกครอง จะต้องทาการให้ข้อมูลพัฒนาความรู้ทักษะทัศนคติให้กับ บคุ ลากรและตัวผู้นา ผู้บริหารเองก็ต้องจัดการกับกลยุทธ์องค์การ โครงสร้างและกระบวนการบริหาร จัดการโดยพัฒนาบคุ ลากรของหน่วยงานองค์การเพื่อสนับสนุนการเปล่ียนแปลง Pull Theory : Pull People ทฤษฎีแรงดึงเป็นการค้นหาแรงจูงใจในป๎จเจกบุคคลและกลุ่ม เพ่ือให้เขาเหล่านี้เข้าร่วมเป็น มมุ มองดา้ นจิตวทิ ยา ซ่ึงทฤษฎีพฤติกรรมศาสตร์ (Organization Behavior Theory) จะถูกโยงเข้ามา ใช้ ในกรณีน้ีอย่างมาก (Thomasและ Vethouse , 1990) อ้างว่า การจะทาให้บุคลากรเข้าสู่ระบบ ใหม่น้ันต้องอาศัยแรงดึง หรือการจูงใจเข้าร่วมด้วยให้เห็นคุณค่าของระบบใหม่ต่องาน และความ รับผิดชอบ ต้องคานึงถึงความต้องการและการรับรู้ของบุคลากรในองค์การ ซ่ึงเป็นส่ิงสาคัญในการ พฒั นาองค์การ คงเปน็ เรือ่ งยากทกี่ ารพัฒนาการเปลย่ี นแปลง และการประสบความสาเร็จได้ ที่จะต้อง ทาการบริหารจัดการให้เกิดสมดุล คือ แรงผลักและแรงดึง และการพัฒนาองค์การได้เป็นอย่างดี เกิด เป็นPush – Pull Theory การบรหิ ารสองแรงทีต่ อ้ งทาอย่างสมดลุ พระธรรมปิฎก ( ป.อ.ปยุตฺโต ) ๓๑ ได้ให้ความหมายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ทรัพยากรมนุษย์น้ันเป็นการมองมนุษย์ในฐานะทรัพยากร คือ เป็นทุนเป็นป๎จจัยใน การที่จะนามาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมส่วนการพัฒนามนุษย์ โดยมองคนในฐานะเป็นมนุษย์มี ความหมายว่า มนุษย์มีความเป็นมนุษย์ของเขาเอง ชีวิตมนุษย์น้ันมีจุดหมาย จุดหมายของชีวิตคือ ความสุข อสิ รภาพความดี ความงามของชีวติ ซ่ึงเปน็ เรอ่ื งเฉพาะตัวบุคคล เฮอแรคลิตุส (Heraclitus)๓๒ นักปรัชญาตะวันตก ถือว่า ความดีและความช่ัวเป็นหลัก ๒ ด้านในความกลมกลืน โดยหลักการเปล่ียนแปลงเขาเชื่อว่า การผสมผสานระหว่างส่ิงที่ขัดแย้ง หรือ ตรงกันข้ามทาให้เกิดความกลมกลืนในท่ีสุด และความชั่วร้ายเป็นเพียงข้ันหรือระดับหนึ่งในความ กลมกลนื ไม่มคี วามช่ัวร้ายอนั แทจ้ รงิ เลยเป็นเพยี งชนิดแห่งความดีอีกชนิดหน่ึงเท่านั้น กล่าวคือ ความ ช่ัวเปน็ สว่ นอันจาเปน็ ของความดีสมบรู ณ์ ๓๑ พระธรรมปีฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), ทศวรรษธรรมทัศน์พระปิฎก หมวดศึกษาศาสตร์, กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๔๓, หน้า ๕๑. ๓๒ เฮอแรคลติ สุ (Heraclitus) เปน็ ปรชั ญาเมธีกรีก เกิดเม่ือ พ.ศ. ๓ – ๖๔ ทเ่ี มอื งเอเฟซุส เมืองหลวงของ เอเชยี ไมเนอร,์ อา้ งใน จานงค์ ทองประเสริฐ, ปรัชญาตะวันตกสมยั โบราณ, กรงุ เทพมหานคร :โรงพิมพม์ หาจฬุ าลง กรณราชวิทยาลัย, พ.ศ. ๒๕๓๓, หน้า ๑๒๒ - ๑๒๓.

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๐๖ จากแนวความคิดการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ท่ีกล่าวมาน้ันพอสรุปได้ว่าการพัฒนาทรัพยากร มนุษย์น้ันหมายถึง บุคลากรการท่ีมีจัดการทรัพยากรมนุษย์ หรือ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ดี เพื่อที่จะนามาในเรื่องการพัฒนาที่ดีขององค์กร คือ การใช้กลยุทธ์เชิงรุกที่มีความสัมพันธ์กันอย่าง ต่อเน่ืองในการบริหารจัดการทรัพยากรท่ีมีคุณค่ามากท่ีสุดในองค์กร นั่นคือบุคคลท่ีทางานทั้งกรณี ทีท่ างานรวมกันและกรณที ี่ทางานคนเดียวเพื่อบรรลเุ ปูาหมาย ๖.๔ ความสาคัญของการพฒั นาทรัพยากรมนษุ ย์ การกาหนดนโยบายด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลขององค์กรจะต้องบูรณาการอย่างเป็น ระบบมากขึ้น ท้ังในแง่ของการบูรณาการกันเองของงานย่อยด้านการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล ภายในองค์กร และการบูรณาการนโยบายด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลเข้ากับแผนนโยบายและ ยุทธศาสตรข์ ององค์กร ดง่ั นัน้ มีนกั วิชาการหลายทา่ น ใหก้ ลา่ วถงึ ความสาคัญของการพัฒนาทรัพยากร มนษุ ย์ ดงั น้ี ธงชัย สมบูรณ์๓๓ ได้กล่าวถึงความสาคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในองค์การ ว่าเป็น การดาเนินงานบนพ้ืนฐานกระบวนการลูกโซ่ (chain circle) ต้ังแต่การวางนโยบาย กาหนดแผนงาน อัตรากาลังคน การสรรหาคดั เลือกคนดีมีความสามารถเข้ามาทางานในอัตราค่าตอบแทน ที่เหมาะสม การวางโครงสร้างและกาหนดค่าตอบแทนและสวัสดิการ การฝึกอบรมให้คนทางานได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ การประเมนิ ผลการปฏิบัติงาน การเลื่อนตาแหน่งโยกย้าย การพัฒนาศักยภาพให้คนใน องค์กรทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเน่ือง มีขวัญกาลังใจ และมีพฤติ กรรมที่สอดคล้องกับ วัฒนธรรมในองค์การ มีความจงรักภักดีจนกระท่ังพ้นสภาพการเป็นคนในองค์กร โดยตระหนักถึง ความสาคัญของ “ทรัพยากรมนษุ ย์ ใน ๓ ประการ คือ ๑.ทรพั ยากรมนุษย์ เป็นทรพั ย์สนิ ขององค์กร มิใช่ค่าใช้จา่ ย ๒.ศกั ยภาพของมนุษย์ พฒั นาไดไ้ มม่ ที สี่ ิน้ สุด ๓.ทรัพยากรมนุษย์ เปน็ แหลง่ สร้างเสรมิ และเพิ่มคุณค่าของผลผลิตและการบริการของ องค์กร นราธิป ศรีงาม๓๔ ได้กล่าวถึงความหมายของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ไว้ในหนังสือ การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ ว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นการกระทาทุกอย่างเพื่อที่จะเพิ่ม ศักยภาพและการพฒั นาความรู้ ทักษะ ความสามารถตลอดจนปรับเปล่ียนทัศนคติและพฤติกรรมของ บุคลากรเพือ่ บรรลวุ ตั ถุประสงคข์ ององค์การ บรรยงค์ โตจินดา๓๕ ได้กล่าวถึงความสาคัญของการบรหิ ารงานบุคคลพอสรุปได้ดงั ตอ่ ไปนี้ ๓๓ ธงชัย สมบูรณ์, การบริหารและจัดการมนุษย์ในองค์การ, กรุงเทพมหานคร : ปราชญ์สยาม, ๒๕๔๙, หน้า ๑๑-๑๒. ๓๔ นราธิป ศรงี าม, การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ หน่วยท่ี ๘ - ๑๕, พิมพ์ครั้งท่ี ๓, นนทบุรี : สานักพิมพ์ มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมมาธิราช, ๒๕๕๐, หนา้ ๒๘. ๓๕ บรรยงค์ โตจินดา, การบริหารงานบุคคล, กรงุ เทพมหานคร: รวมสาส์น, ๒๕๔๖, หนา้ ๒๐-๒๑.

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๐๗ ๑. เพราะธุรกิจอุตสาหกรรมแข่งขันกันมากข้ึนจึงเกิดความต้องการคนดีมี ความสามารถสงู มาทางานให้ ๒.รัฐเล็งเห็นความสาคัญของการใช้คนภายใต้เง่ือนไขของยุคสมัยทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง เช่น ตามหลักมนุษยธรรมสากล สิทธิมนุษย์ชนขององค์การสหประชาชาติ และ ระเบยี บทเี่ กยี่ วขอ้ งใหท้ กุ หน่วยธุรกิจถอื ปฏิบตั ิ ๓.ความซับซอ้ นและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทาใหเ้ กดิ การประดิษฐ์คิดคน้ วิธีการและเครื่องมือ เคร่ืองใช้มาอานวยความสะดวกสบายใหแ้ กก่ ารดารงชีวิตในลกั ษณะทีแ่ ข่งขันกนั สนองความต้องการของมนุษย์มากข้นึ ทาให้เกิดการแข่งขันทางธรุ กจิ อุตสาหกรรมไมม่ ีท่ีสิ้นสุดแตล่ ะ กิจการท้งั ในระดับประเทศจนถึงระดบั โลกจงึ ต้องทัง้ สรรหาคดั เลอื กและเสริมสรา้ งคนดีไว้ใชง้ าน ๔.พลงั ของสถาบนั แรงงานที่เติบโตและแข็งแรงข้นึ เป็นแรงผลักดนั ใหน้ ายจา้ งต้อง ให้ความสาคัญเก่ียวกับการบริหารงานบุคคลเพิ่มข้ึน เพ่ือไม่ให้เกิดป๎ญหาแรงงานซ่ึงจะบั่นทอน ความเจรญิ กา้ วหนา้ และความม่นั คงขององค์การ ๕.องคก์ ารใหญ่โตซับซอ้ นมากขึน้ ตามสภาพแขง่ ขันและความเจรญิ ทางเศรษฐกิจ การแบ่งงานกันทาในองค์การขนาดเล็ก จะมีลักษณะคนเดียวทางานได้หลายอย่าง แต่เมื่อองค์การ ขยายตัวใช้เทคโนโลยีสูงขึน้ กต็ อ้ งการความชานาญเฉพาะอย่างมากข้นึ ซง่ึ บางแห่งใช้ ความชานาญเฉพาะอยา่ งมากเกินไป (overspecialization) กจ็ าทาให้กระบวนการงานบางอย่าง ติดขดั หรอื รองาน ถ้าเกดิ ความขดั ข้องในจดุ ใดจดุ หนึง่ ขึน้ ป๎ญหาตา่ งๆ เหล่านี้ตอ้ งการการบริหารงาน บุคคลทดี่ ีเพ่ือ “put the right man on the right job” (ใช้คนใหเ้ หมาะกับงาน) ๖.บทบาทของการจดั การเปล่ียนไปจากเดิมเป็นอนั มาก เพราะต้องการผูบ้ ริหารมือ อาชีพจริงเพ่ือมาบริหารงานยามวิหกฤตได้หรือจัดการงานได้ตามสถานการณ์โดยใช้สหวิทยาการเพ่ือ การแก้ป๎ญหา เพราะความเปลี่ยนแปลงของป๎จจัยแวดล้อมทั้งภายในองค์การและภายนอกองค์การ เปลี่ยน แปลงรวดเร็วท่นี กั บริหารต้องตามใหท้ ันและปรับตัวให้ทันอีกด้วย ๗.พฤติกรรมศาสตร์กา้ วหนา้ และเขา้ ไปมีบทบาทในการบรหิ ารงานมากข้นึ เพราะ ผู้ บริหารจะต้องเข้าใจธรรมชาติของคนและธรรมชาติของงานมากขึ้นด้วย จึงจะอยู่กับเพื่อนร่วมงาน ในองค์การได้ดี มีสมานฉนั ท์ บุญเลิศ ไพรินทร์๓๖ ได้กล่าวถึงความหมายของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ไว้ในหนังสือพฤติ กรรมการบริหารงานบุคคล ว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมทั้งมวลอันได้แก่การเปล่ียนแปลงด้านความรู้ ความสามารถ ทักษะและทัศนคติ โดยอาศัย กระบวนการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ ซ่ึงครอบคลุมกระบวนการจัดการศึกษาให้ทุกคนและทุกระดับมี ความรู้ ความสามารถ มที กั ษะและทัศนคติอันพึงปรารถนาของสังคมและประเทศชาติและรวมถึงการ ฝึกอบรม การสอนงานการสับเปลีย่ นหมุนเวียน หรอื แมแ้ ตก่ ระบวนการในการพัฒนาตนเองอีกดว้ ย ๓๖ บุญเลิศ ไพรินทร์, พฤติกรรมการบริหารงานบุคคล, กรุงเทพมหานคร : สานักงานคณะกรรมการ ขา้ ราชการพลเรือน, ๒๕๓๘, หนา้ ๕.

พุทธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๐๘ พยอม วงศ์สารศรี๓๗ ได้กล่าวถึงความสาคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์พอสรุป สาระสาคญั ได้ดังต่อไปน้ี ๑. ช่วยพัฒนาให้องค์การเจริญเติบโต เพราะการบริหารทรัพยากรมนุษย์เป็น สอ่ื กลางในการประสานงานกบั แผนกต่าง ๆ เพื่อแสวงหาวิธีการให้ได้บุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้า มาทางานในองค์การ เม่ือองค์การได้บุคคลที่มีคุณสมบัติดังกล่าว ย่อมทาให้องค์การเจริญเติบโตและ พัฒนายิง่ ขึน้ ๒.ช่วยให้บุคคลท่ีปฏิบัติงานในองค์การมีขวัญและกาลังใจในการปฏิบัติงาน เกิดความจงรักภกั ดตี อ่ องค์การทีต่ นปฏิบตั งิ าน ซึง่ จะสง่ ผลโดยตรงต่อผลผลติ ขององคก์ าร ๓.ช่วยเสริมสร้างความม่ันคงแก่สังคมและประเทศชาติ ถ้าการบริหารทรัพยากร มนุษย์ดาเนินการอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ย่อมไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างองค์การและ ปฏบิ ัติงานทาใหส้ ภาพสงั คมโดยสว่ นรวมมคี วามเขา้ ใจทดี่ ีต่อกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว๓๘ พระราชทานพระบรมราชโชวาท แด่บัณฑิตใหม่ ของมหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ใจความวา่ “การพัฒนาบ้านเมืองให้ดีย่ิงขึ้นนั้น ย่อมต้องพัฒนาบุคคลก่อน เพราะถ้าบุคคลอันเปน็ องค์ประกอบของส่วนรวม ไม่ได้รับการพัฒนาแล้ว ส่วนรวมจะเจริญและมั่นคง ไดย้ ากยิ่ง การที่บุคคลจะพัฒนาได้กด็ ว้ ยป๎จจัยประการเดียว คือ การศึกษา การศึกษานั้นแบ่งเป็นสองส่วน คือ การศึกษาด้านวิชาการส่วนหน่ึง กับการอบรมบ่มนิสัย ให้เป็นผู้มีจิตใจใฝุดีใฝุเจริญ มีปกติละอายช่ัวกลัวบาป ส่วนหนึ่ง การพัฒนาบุคคลจะต้องพัฒนาให้ ครบถ้วนทงั้ สองส่วน เพื่อให้บุคคลได้มีความรู้ไว้ใช้ประกอบการและมีความดีไว้เก้ือหนุนการประพฤติ ปฏิบัตทิ กุ อยา่ ง ให้เปน็ ไปในทางทถ่ี กู ท่คี วร และอานวยผลเป็นประโยชน์ทีพ่ งึ ประสงค์” ๖.๕ การวางแผนการพฒั นาทรพั ยากรมนุษย์ ศักยภาพท้ังมวลของการทรัพยากรมนุษย์ออกมา จากการจัดการทรัพยากรมนุษย์ซ่ึงเน้นใน เรื่องของการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกัน การหาแนวทางที่จะสร้างความรู้สึกถึงการ มีพันธกิจผูกพัน (commitment) เกี่ยวขอ้ ง (involvement) และการมีส่วนร่วม (participation) ให้เกิดขึ้นในหมู่มวล พนักงานและ และมีนักการศึกษามากมายหลายท่านได้ให้ความหมายของการบพัฒนาทรัพยากร มนุษย์ไว้หลายทัศนะ ซ่งึ พอสรุปได้ดงั น้ี เก้ือจิตร ชีระกาญจน์๓๙ ได้กล่าวถึงการศึกษาในหนังสือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ว่า การศกึ ษาเป็นการเตรียมบุคคลให้มีความพรอ้ มในการทางานตามความต้องการขององค์การในอนาคต ๓๗ พยอม วงศ์สารศรี, การบริหารทรัพยากรมนุษย์, กรุงเทพมหานคร : คณะวิทยาการจัดการ สถาบัน ราชภัฏสวนดุสิต, ๒๕๓๘, หน้า ๑. ๓๘ พระบรมราชโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วันที่ ๒๔มกราคม ๒๕๔๐ ๓๙ เก้ือจิตร ชีระกาญจน์(ผศ.), การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย ธรุ กจิ บัณฑิตย์, ๒๕๕๑ , หนา้ ๖.

พทุ ธจิตวทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๐๙ การศกึ ษายังคงตอ้ งเก่ียวขอ้ งกบั การทางานอยแู่ ตจ่ ะแตกต่างจากการฝกึ อบรมเน่ืองจากเป็นการเตรียม บุคคลเพื่อการเล่ือนขั้นตาแหน่ง หรือให้ทางานในหน้าท่ีใหม่เน่ืองจากเป็นการลงทุนอย่างหน่ึงของ องค์การในการเตรยี มบคุ ลากรของตนให้มีความพร้อมที่จะปฏิบตั งิ านใหก้ บั องคก์ ารในอนาคต ณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์๔๐ ได้อธิบายการฝึกอบรมไว้ว่า เป็นกระบวนการท่ีทาให้ผู้เข้ารับการ อบรมเกิดการเรียนรู้ในรูปแบบใดรูปแบบหน่ึงเพ่ือเพ่ิมพูนหรือพัฒนาสมรรถภาพในด้านต่าง ๆ ตลอดจนการปรับปรุงพฤติกรรม อันจะนามาซึ่งการแสดงออกท่ีสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้ นอกจากนี้ยังอาจจะครอบคลุมถึงการพัฒนาทัศนคติของผู้ปฏิบัติงานให้เป็นไปในทางท่ีดี มีความ รบั ผิดชอบ มีขวญั และกาลงั ใจในการทางาน ตลอดจนมีความคิดริเร่ิมท่ีจะปรับปรุงการปฏิบัติงานให้ดี ขึ้น ธงชัย สันตวิ งษ์๔๑ ไดใ้ หค้ วามหมายของการฝกึ อบรมไว้วา่ เปน็ กระบวนการท่จี ดั ขึ้นอย่างเป็น ระบบ เพ่ือใหม้ ีการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมหรือทัศนคติของพนกั งานท่ีจะใหส้ ามารถปฏิบัติงานได้ดีข้นึ ซึ่งจะนาไปสู่การเพ่ิมผลผลิตและให้เกิดผลสาเรจ็ ต่อเปูาหมายขององค์การ บรรยงค์ โตจินดา๔๒ ได้ให้ความหมายของการฝึกอบรมไว้ว่า เป็นการช่วยให้บุคลากรทางาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการยกระดับความสามารถของบุคลากรทุกวิถีทางให้เท่าเทียมกับงาน ท่ีมอบให้ทา การฝึกอบรม เป็นกระบวนการพัฒนาและปรับปรุงลักษณะการทางานให้เป็น ไปตาม ความตอ้ งการของบุคคลและนโยบายขององค์การ การฝึกอบรมต้องอาศัยเทคนิคและหลัก การเรียนรู้ เข้ามาช่วย เช่น การจูงใจ ความเข้าใจ การได้ความรู้และการเก็บความรู้นั้นไว้ แล้วนา มาปฏิบัติ ในการทางานได้ การฝึกอบรมจะได้ผลดี เมื่อผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้เข้าใจถึงจุดหมายของการอบรม โดยมีรูปแบบต่าง ๆ เช่น การปฐมนิเทศ การฝึกในห้องฝึกงาน การอบรมโดยอาศัยเทคนิคการสอน เช่น การบรรยาย การอภิปรายเป็นต้น โดยส่วนใหญ่ การฝึกอบรมจะเป็นวิธีการ ท่ีใช้สาหรับงาน ป๎จจบุ นั กาหนดแบบอย่างเปน็ ทางการกับระดบั พนักงาน สาหรับความชานาญในเทคนิคต่างๆ ในด้าน การปฏิบตั งิ าน เพือ่ ให้เกิดการเรียนรู้ มีประสบการณ์ และมีการพัฒนาด้านต่างๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ ตอ่ การปฏบิ ตั งิ านของพนกั งาน เสนาะ ตเิ ยาว์๔๓ ได้ให้ความหมายการฝึกอบรมไวว้ า่ เป็นกระบวนการท่ีจัดขึ้นเพ่ือให้บุคคลได้ เรียนรู้และมคี วามชานาญเพื่อวัตถุประสงคอ์ ย่างหนึ่ง โดยมุ่งให้คนได้รู้เร่ืองใดเร่ืองหน่ึงโดยเฉพาะและ เพือ่ เปลี่ยนพฤติกรรมของคนไปในทางท่ีต้องการ ตามความหมายดังกล่าวการฝึกอบรมทาให้ผู้รับการ อบรมไดร้ บั ความรูใ้ หม่ ๆ ไดค้ วามชานาญในการปฏิบัติงานมากข้ึนเพิ่มประสิทธิ ภาพในการแก้ป๎ญหา และทศั นคตทิ ่ีจะปรับปรงุ งาน เปล่ยี นแปลงงานให้ดขี นึ้ ตามแนวทางที่องคก์ ารกาหนด ๔๐ ณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์, การจัดการทรัพยากรบุคคล, พิมพ์ครั้งท่ี ๒, กรุงเทพมหานค: โรงพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๒, หน้า ๑๓๗. ๔๑ ธงชัย สันติวงษ์, การบริหารทรัพยากรมนุษย์, พิมพ์ครั้งท่ี ๑๑ , กรุงเทพมหานคร: บริษัทประชุมช่าง จากัด, ๒๕๔๖, หนา้ ๒๖๕. ๔๒ บรรยงค์ โตจินดา, กรุงเทพทหานคร : คณะวิทยาการจัดการ สถาบันราชภัฏสวนดุสิต,๒๕๓๘, หน้า ๑๙๔. ๔๓ เสนาะติเยาว์, การบริหารงานบุคคล, พิมพ์ครั้งท่ี ๑๑, กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๓๙, หน้า ๑๒๗.

พทุ ธจิตวิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๑๐ อานวย แสงสว่าง๔๔ ได้ให้ความหมายของการฝึกอบรมไว้ว่า เป็นการพัฒนาบุคลากร ขององค์การใหไ้ ด้รบั ความรู้เพิ่มมากขึ้น ท้ังทางด้านสารสนเทศ และทักษะที่สามารถนาไปประยุกต์ใช้ ในการทางานได้ผลสาเร็จเป็นอย่างดีโดยจะต้องผ่านกระบวนการโปรแกรมการฝึกอบรม ที่จัดไว้เป็น รปู แบบ มีมาตรฐานการฝึกอบรมและการเมนิ ผลเป็นที่ยอมรับ และได้รับความนิยมจากทุกองค์การใน แต่ละสาขาวิชาชีพ โดยสรุปได้ว่าการทรัพยากรมนุษย์ก็คงจะต้องกาหนดเปูาประสงค์ในแง่ของการที่จะทาให้ องค์กรพร้อมรับกับการเปล่ียนแปลงดังน้ันการทาให้องค์กรมีความยืดหยุ่นพร้อมรับกับการ เปลีย่ นแปลงและการแข่งขนั อยา่ งย่ังยืนจงึ เปน็ เปาู ประสงค์ทสี่ าคญั อีกประการของงานด้านการบริหาร จัดการทรัพยากรมนุษยบ์ การพฒั นาเป็นกระบวนการทใี่ ชส้ าหรบั งานในอนาคต มัลลี เวชชาชีวะ๔๕ ได้ให้ความหมายของการฝึกอบรม หมายถึง กระบวนการช่วยคนทางาน ให้มีประสิทธิผลในงานทั้งป๎จจุบันและอนาคต เช่นเดียวกับการท่ีองค์การซื้อวัตถุดิบมาดาเนินงาน ผสมผสานเพิ่มคุณค่าและขายได้กาไร ศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ก็เป็นวัตถุดิบที่อาจเปลี่ยนได้โดย การฝกึ อบรม ภายใต้ภาวะผู้นาท่ีเหมาะสม การเพิ่มศักยภาพให้แก่คนทางานอาจทาได้โดยการพัฒนา นิสัยในการคิด การกระทา ฝีมอื ความรูแ้ ละทัศนคติ สรุปคือการฝึกอบรมไว้ว่า เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีเก่ียว ข้องกับการจัดให้เกิดทักษะ แนวความคิด กฎเกณฑ์ หรือทัศนคติ เพื่อเพิ่มผลการทางานของพนักงานหรือเป็นกระบวนการฝึกหัด งานขององค์การแก่พนกั งานใหม่เพื่อให้พนักงาน มคี วามรู้ ๖.๖ กระบวนการพัฒนาทรพั ยากรมนษุ ย์ ก า ร ท รั พ ย า ก ร ม นุ ษ ย์ ท่ี จ ะ ต้ อ ง มี เ ปู า ห ม า ย ที่ มุ่ ง เ น้ น ก า ร ส ร้ า ง ค ว า ม รู้ สึ ก ใ ห้ อ ง ค์ ก ร ให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งความรับผิดชอบต่อบุคลากรภายในองค์กร และผลกระทบจากการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์กร ท่ีจะไปมีผลต่อสังคมภายนอก ซึ่งต่อมาได้ ขยายนยิ ามความรับผิดชอบ ออกไปสู่ความรับผิดชอบต่อสังคม ส่ิงแวดล้อม และผู้มีส่วนเก่ียวข้องกับ กลุ่มต่างและมีนักการศึกษามากมายหลายท่านได้ให้ความหมายของการบพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ไว้ หลายทศั นะ ซึ่งพอสรปุ ได้ดังน้ี ณฏั ฐพันธ์ เขจรนนั ทน์๔๖ ได้อธิบายถงึ วธิ ีการฝึกอบรมว่า ความสาเร็จในการจัดการฝึก อบรม จงึ นบั วา่ มีส่วนขนึ้ อยกู่ บั วิธกี ารท่จี ะใชถ้ า่ ยทอด และการสรา้ งบรรยากาศใหผ้ ้เู ข้ารับการฝึกอบรมต่ืนตัว ๔๔ อานวย แสงสว่าง, การจดั การทรัพยากรมนุษย์, กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ทิพยวิสุทธ์ิ, ๒๕๔๐, หน้า ๒๔๘. ๔๕ มัลลี เวชชาชีวะ, การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์, กรุงเทพมหานคร: สานักวิจัย สถาบันพัฒนาบัณฑิต บริหารศาสตร์, ๒๕๒๔, หนา้ ๔๙. ๔๖ ณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์, การจัดการทรัพยากรบุคคล, พิมพ์คร้ังที่ ๒, กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์แห่ง จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย, ๒๕๔๒, หน้า ๑๕๕-๑๕๘.

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๑๑ มีความพร้อม และเต็มใจท่ีจะได้รับการฝึกฝนซึ่งป๎จจุบันวิธีการใช้ในการฝึกอบรมนั้นมีอยู่หลายวิธี ทีน่ ิยมใชม้ ดี ังตอ่ ไปนี้ ๑.การบรรยาย (Lecture) เปน็ วิธีการท่ีใช้กันมานานและแพร่หลายท่ีสุดวิธีหน่ึงการฝึกอบรม แทบทุกประเภทจะมีการบรรยายแทรกอยู่ด้วยเสมอ เพราะการบรรยายจะเป็นวิธีการที่ง่ายท่ีสุดใน การส่ือความหมายทาให้เกิดการคล้อยตามเพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้รับฟ๎ง การบรรยายท่ีมี ประสิทธิภาพน้ันผู้บรรยายจะต้องมีความรู้และมีทักษะในการพูด การส่ือความหมาย การใช้เทคนิค หรืออุปกรณป์ ระกอบ และประการสาคญั ทีส่ ุดผูบ้ รรยายจะต้องมีความสามารถในการสร้างบรรยากาศ ท่ีตรงึ ใจผ้เู ขา้ ฟง๎ ตลอดเวลาเพ่อื ให้ผู้ฟ๎งสามารถทาความเขา้ ใจไดม้ ากท่สี ดุ ๒.การประชุม (Conference) การประชุมเป็นวิธีการท่ีนิยมใช้ในการฝึกอบรมพนักงานที่มี ความรู้ (knowledge Worker) และผู้บริหารต้ังแต่ระดับกลางขึ้นไป เพราะการประชุมจะมีการเปิด โอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และความคิดเห็นระหว่างกัน เพ่ือแก้ป๎ญหา หรือมองหาโอกาสในแต่ละเร่ืองที่ทาการประชุม (Opportunity) โดยผลของการประชุมจะก่อ ให้เกิด ความเข้าใจในแนวทางเดยี วกันและก่อใหเ้ กิดการประสานงานในขณะปฏิบัติงานต่อไป ๓.การแสดงบทบาทสมมุติ (Role Playing) การฝึกอบรมในรูปแบบนี้จะจัดให้ผู้เขารับการ ฝึกอบรมแสดงบทบาทตามเร่ืองราวที่สมมุติขึ้น ให้เหมือนกับอยู่ในสถานการณ์จริงท่ีสุดเพื่อ ให้ผู้เข้า รับการอบรม ความพร้อมและสามารถปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ท่ีอาจจะเกิดขึ้นได้ ตลอดจนวิธีการนี้จะช่วยให้เกิดความสนุกสนานและสามารถดึงดูดความสนใจ รวมทั้งก่อให้เกิดความ สนิทสนมและความคุ้นเคยระหว่างผู้เข้ารับการอบรมได้เป็นอย่างดีการฝึกอบรมในลักษณะน้ีอาจจะ กลา่ วไดว้ ่าเปน็ การเรียนโดยการลงมือปฏิบัติ (Learn by Doing) ไดเ้ ชน่ กัน ๔.การใช้กรณีศึกษา (Case Study) การฝึกอบรมโดยวิธีน้ีถูกนามาใช้เป็นคร้ังแรกที่คณะ บริหารธุรกิจมหาวิทยาลัย Harvard (Harvard Business School) และได้รับความนิยมอย่าง แพร่หลาย ส่งผลให้สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้นาวิธีการน้ีไปประยุกต์ใช้ในกาเรียนการสอนหลักสูตร ปริญญาโทสาขาการบรหิ ารธุรกิจ (MBA) โดยวัตถุประสงค์สาคัญของการใช้กรณีศึกษาก็เพื่อต้อง การ ให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถประมวลความรู้ทักษะและประสบการณ์ท่ีมีมาใช้ในการ วิเคราะห์ ป๎ญหาท่ีซับซ้อนภายในระยะเวลาท่ีจากัด เพื่อให้เกิดความชานาญและสามารถตัดสินใจได้อย่างถูก ต้องและทีสาคัญใหผ้ ูเ้ ขา้ รับการฝึกอบรมทาการศึกษาและวเิ คราะห์เพ่ือทีจ่ ะหาวิธใี นการแก้ปญ๎ หา ๕.การสาธิต (Demonstration) การสาธิตเป็นวิธีการฝึกอบรมที่ใช้กันมานานเนื่องจากเป็น วิธีการที่ง่ายไม่ซับซ้อนและสามารถเห็นผลได้ระยะสั้น เพราะเป็นการฝึกอบรมโดยแสดงจากตัวอย่าง จริงโดยผู้ฝึกสอนจะแสดงตัวอย่างพร้อมท้ังอธิบายให้ผู้เรียนฟ๎งถึงข้ันตอนต่างๆ พร้อมท้ังอาจมีการ ทดลองปฏบิ ตั ิ เพือ่ ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจและจดจาตลอดจนสามารถนาไปใช้ไดจ้ รงิ ในการปฏิบตั ิงาน ๖.การสัมมนา (Seminar) การสัมมนาเป็นวิธีการฝึกอบรมที่นามาประยุกต์ใช้ในการพัฒนา พนักงานท่ีมีความรู้ (Knowledge Worker) และผู้บริหารของแต่ละองค์การผู้จัดการมีการกาหนด ประเด็น ท่ีจะพิจารณาและเปิดโอกาสให้สมาชิกแต่ละคนสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้อย่าง เสรี โดยมีผู้ดาเนินการอภิปราย (Moderator) ทาหน้าที่ดูแลให้การแสดงความคิดเห็นของผู้เข้าร่วม สมั มนาอยู่ภายในขอบเขตและแนวทางทว่ี างไว้

พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๑๒ ๗.การฝึกงานในสถานการณ์จริง (On the job Training) การฝึกอบรมวิธีนี้มักจะใช้กับ พนักงานใหม่ หรือบุคลากรในระดับปฏิบัติงานโดยมีการสอนงานและให้ทดลองปฏิบัติในสถานที่จริง ซ่ึงมักจะเป็นโรงงานหรือสานักงานเพ่ือให้พนักงานเกิดความคุ้นเคยกับสภาวะแวดล้อมและสามารถ ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว การฝึกอบรมในลักษณะน้ีอาจจะใช้ช่ือที่แตกต่างกัน เช่น การฝึก อบรมทาง เทคนิค (Technical Training) การฝึกความชานาญ (Skill Training)หรือการสอนงาน (Job Instruction Training) ธงชยั สนั ติวงษ์๔๗ ได้กล่าวถึงขัน้ ตอนในการดาเนินการฝึกอบรมดังต่อไปน้ี ๑.การพจิ ารณาความต้องการและป๎ญหาท่ีต้องมีการฝึกอบรม ในข้ันนี้ก็คือการตรวจ สอบและพิจารณา ให้ทราบถึงความจาเป็นและต้องการการฝึกอบรมและการพิจารณากาหนดมาตร ฐานผลงานท่ีตอ้ งการนีเ้ อง ก็จะนาไปสู่ข้ันตอนต่อไป คือ การกาหนดเปาู หมายของการฝกึ อบรม ๒.เปูาหมายของการฝึกอบรม คือ การเขียนระบุเปูาหมายท่ีต้องการจากการ ฝกึ อบรมใหท้ ราบชัดดังท่ีได้กล่าวมาแลว้ ขา้ งต้น เพ่ือให้มีจุดมุ่งหมายประการต่างๆ ที่พึงจะต้องได้จาก การฝึกอบรม ซึ่งดาเนินการจัดการฝึกอบรมต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการกาหนดหลักสูตรเน้ือหาวิชา ตลอดจนวิธใี ช้อบรม ก็จะกระทาโดยยึดถอื ตามเปูาหมายดังกล่าวน้ี ๓.การกาหนดเน้ือหาและเรื่องที่จะอบรม หมายถึงการพิจารณาว่าเพ่ือท่ีจะเสริม ความรู้ความสามารถให้ได้ผลตามท่ีต้องการน้ัน จะต้องมีการอบรมเร่ืองอะไรบ้าง รวมตลอดถึงการ พิจารณาส่วนประกอบของเนื้อหาและเร่ืองท่ีจะอบรม ซ่ึงถ้ากล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ การจัดหลักสูตร และหวั ขอ้ เรอื่ งที่จะอบรมนนั้ เอง ๔.การกาหนดวิธีที่จะใช้อบรมและส่ือหรือเคร่ืองมือที่เหมาะสม ในที่นี้ก็คือการ พิจารณาต่อไปว่า เรื่องท่ีจะอบรมดังกล่าวถ้าจะให้มีประสิทธิภาพและได้ผลดีน้ัน ควรจะใช้วิธีการ อบรมแบบใดจึงจะได้ผลดีที่สุด และเหมาะสมกับบุคคลที่จะอบรมและเร่ืองที่ต้องการอบรมนอกจาก นี้ก็ต้องพิจารณาถึงส่ือหรือเคร่ืองมือ (media) ท่ีจะใช้อบรมด้วยว่า วิธีการเสนอข้อมูลและความรู้ ต่างๆ ควรจะใชอ้ ุปกรณห์ รอื เครื่องมือชนิดไหนจึงจะดที ส่ี ดุ ทจ่ี ะชว่ ยให้เกดิ การรับร้แู ละเขา้ ใจได้ง่าย พนิจดา วีระชาติ๔๘ ได้กล่าวถึงการพัฒนาอาชีพไว้ในหนังสือ การฝึกอบรมกับการพัฒนา อาชีพ วา่ ทรพั ยากรที่สาคัญท่ีสุดคือคน คนเป็นส่ือสาคัญที่มีผลต่อการพัฒนาอาชีพทรัพยากรคนของ ประเทศส่วนใหญ่อยู่ในชนบท ซึ่งเป็นทรัพยากรที่ต้องใช้แรงงานและเป็นทรัพยากรท่ีด้อยคุณภาพ เนอื่ งจากขาดการเรียนรู้ ขาดโอกาสของการฝึกฝนอาชีพอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ เสนาะ ติเยาว์๔๙ ได้กล่าวถึงประเภทของการฝึกอบรมว่าแยกได้หลายประเภท ตามลักษณะ ของจุดมุ่งหมาย ผู้เข้ารับการอบรมและระยะเวลาในการอบรม แต่ที่หน้าสังเกตก็คือการฝึกอบรมก็ เพอ่ื ใหผ้ ้เู ขา้ รบั การอบรมได้รับความรู้ความชานาญ การแบ่งประเภทของการฝึกอบรมจะถือส่ิงใดเป็น ๔๗ ธงชยั สนั ตวิ งษ,์ การบริหารทรพั ยากรมนุษย,์ กรงุ เทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานชิ , ๒๕๔๒, หนา้ ๒๗๖-๒๗๗. ๔๘ พนจิ ดา วรี ะชาต,ิ การฝกึ อบรมกบั การพฒั นาอาชพี , กรุงเทพมหานคร : โอ.เอส.พร้ินติง้ เฮา้ ส,์ ๒๕๔๓, หน้า ๑๖. ๔๙ เสนาะ ติเยาว์, การบริหารงานบุคคล, พิมพ์คร้ังท่ี ๑๒, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๕, หน้า ๙๙-๑๐๑.

พทุ ธจิตวิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๑๓ เกณฑ์ก็ตาม ก็มุ่งผลอยู่ที่ผู้เข้ารับการอบรม เราสามารถแบ่งตามลักษณะของผู้เข้ารับการอบรม ดังตอ่ ไปนี้ ๑. การฝึกอบรมแบบปฐมนิเทศ (induction or orientation) ๒. การฝึกอบรมโดยการทางาน (on the job Training) ๓. การฝึกอบรมในห้องทดลองปฏิบัติงาน (vestibule Training) ๔. การฝกึ หดั ช่างฝมี ือ (Apprenticeship training) ๕. กรฝึกงาน (internship training) ๖. การฝึกอบรมพิเศษ (special purpose program) ๑. การฝกึ อบรมแบบปฐมนเิ ทศ คอื การแนะนาคนเข้าทางานใหม่ได้รับทราบเรื่อง ราวต่าง ๆ ของบริษัท เช่น ประวัติความเป็นมาของบริษัท นโยบาย หน้าที่งานหน่วยงานที่ทา เง่ือนไขของการ จ้างทางาน ค่าจ้าง บุคคลช้ันผู้บริหาร เพ่ือนร่วมงานและสภาพแวดล้อมในการทางาน การปฐมนิเทศ เป็นเคร่ืองมือประการแรกที่จะปรับทีท่าของพนักงานเข้าใหม่ให้คุ้ยเคยกับองค์การ วัตถุ ประสงค์ท่ี สาคัญก็คือ เพื่อสร้างทัศนคติท่ีดีของคนงานต่อองค์การให้เข้าใจถึงนโยบายงานและการบังคับบัญชา ช่วยให้คนงานรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหน่ึงขององค์การ ส่งเสริมขวัญและความกระตือรือร้นในการ ทางาน เพราะก่อนที่คนงานจะเข้าทางานในองค์การบุคคลเหล่านี้อาจไม่มีความรู้เก่ียวกับองค์การ หรือได้ยินได้ฟ๎งมาจากสังคมในทางท่ีไม่ถูกต้อง จึงจาเป็นจะต้องจัดให้มีการปฐมนิเทศ ซึ่งเป็นการทา ใหค้ นงานใหม่เริม่ ตน้ ท่ีถกู ตอ้ ง ๒.การฝกึ อบรมโดยการทางาน การฝึกอบรมประเภทน้ีเป็นท่ีนิยมกันมากเพราะเป็นการสอน ให้มีการทางานกันจริง ๆ โดยไม่ต้องอาศัยโรงเรียนที่ฝึกหัดงานเป็นพิเศษใช้สถานที่ทางานจริงเป็นท่ี ฝึกอบรม เพราะฉะน้ันการฝึกอบรมประเภทนี้เหมาะสาหรับการทางานที่ใช้เวลาในระยะส้ัน และ สาหรับผู้เข้ารับการอบรมจานวนน้อยท่ีจะเข้าฝึกทางานพร้อมๆ กันได้ หากเป็นงานท่ีต้องอาศัย หลักการ หรือทฤษฎที ่ีลึกซงึ่ ก็จะจัดใหม้ กี ารสอนในห้องเรียน จึงเหมาะสาหรับงานง่ายประเภทไร้ฝีมือ หรืองานก่งึ ฝมี ือ หากงานท่ตี อ้ งใชค้ วามรู้มากจะตอ้ งอาศัยพนื้ ฐานทางการศึกษาเปน็ สาคัญ ๓.การฝกึ อบรมในหอ้ งทดลองปฏิบัตงิ าน การฝกึ อบรมประเภทนี้จัดขึ้นในห้องเรียนมีลักษณะ คลา้ ยกับสถานท่ีทางานจริง ทั้งเคร่ืองมอื และสภาพการทางาน สาหรับการฝึกอบรมงานประเภทง่ายๆ สาหรับระยะเวลาส้ัน ใช้เพ่ือฝึกหัดคนจานวนมากๆ ให้ทางานในเวลาเดียวกัน โดยมีลักษณะการ ทางานเหมือนกันการฝึกมีลักษณะให้คนเรียนรู้งานมากกว่า ซึ่งคุณสมบัติของผู้สอนเป็นป๎จจัยสาคัญ อย่างหน่ึง งานส่วนใหญ่ก็ได้แก่ งานเสมียน งานคุมเคร่ืองจักร พิมพ์ดีด ผู้ตรวจและพนักงานรับ จ่ายเงินธนาคารเป็นตน้ ๔.การฝึกหัดช่างฝีมือ การฝึกอบรมประเภทนี้จัดทาขึ้นเพื่อฝึกอบรมคนงานประเภทช่างฝีมือ ท้ังทางความรู้และความชานาญของผู้เข้ารับการอบรมคือ อาจใช้วิธีการอบรมโดยให้ทา งานกับการ ฝกึ อบรมในห้องเรยี น งานทตี่ อ้ งฝกึ อบรมประเภทนไ้ี ด้แก่ ช่าง โลหะ ช่างตัดผม ช่างไม้ ช่างไฟฟูา ช่าง แกะสลกั ช่างทาสี ช่างพมิ พ์และงานเจียรนัยเพชรพลอย เปน็ ตน้ ๕.การฝึกงาน เป็นโครงการอบรมที่จัดข้ึนร่วมกันระหว่างโรงเรียนและองค์การธุรกิจวิธีการก็ คือ นักเรียนศึกษาวิชาการอย่างหน่ึงจนจบหลักสูตรที่กาหนดไว้แล้วให้นักเรียนกลุ่มนั้นไปทางานใน โรงงานอตุ สาหกรรม ซึ่งเป็นงานที่ต้องอาศัยความรู้ความสามารถตามหลักสูตรที่เรียนมาจากโรงเรียน

พุทธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๑๔ น้ันเป็นระยะเวลาหน่ึงจนเห็นว่า พอท่ีจะออกไปทางานจริงๆ ได้ซึ่งเท่ากับสอนภาคทฤษฎีท่ีโรงเรียน และภาคปฏิบัติที่โรงงานจนกระทั่งสามารถปฏิบัติงานได้ การฝึกอบรมประเภทน้ีตามปกติใช้กับงานที่ ต้องการความรู้ความชานาญสูงหรืองานอาชพี เชน่ หมอ ทนายความ นักบัญชี เปน็ ตน้ ๖.การฝึกอบรมพเิ ศษ ในบางกรณี นายจ้างอาจจดั หลกั สูตรพเิ ศษขึ้นในบริษทั ของตน สาหรบั ฝึกอบรมพนักงาน เพ่ือจดุ มงุ่ หมายอยา่ งใดอย่างหนึ่งก็ได้โดยนายจ้างเปน็ ผ้อู อกค่าใช้จ่ายทั้งหมด หรือ อาจสง่ พนักงานออกไปฝึกงานกับสถาบันการศึกษา หรือองคก์ ารอื่นใดเข้ารบั การอบบรมที่จัดทาขนึ้ เปน็ คร้ังคราว จ า ก ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง ก า ร ฝึ ก อ บ ร ม พ อ ส รุ ป ไ ด้ ว่ า ก า ร ฝึ ก อ บ ร ม มี บ ท บ า ท ส า คั ญ ต่ อ กระบวนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพราะบุคลากรท่ีปฏิบัติงานเม่ือได้เข้ารับการอบรมแล้วจะเกิด ทักษะเพิ่มพูนความรู้ความชานาญในการทางานให้ดีย่ิงข้ึน และมีความสามารถในการแก้ไขป๎ญหาใน การปฏิบตั ิงานได้อย่างมปี ระสทิ ธผิ ล ๖.๗ ทฤษฎกี ารพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ย์ ในการประกอบธุรกิจใดๆ หรือการทางานในองค์กรใดๆแล้ว ถ้ากลยุทธ์ในการจัดการ ทรัพยากรมนุษย์นั้นไม่มีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วไปตามเวลาและสถานการณ์ จึงต้องมีการ พัฒนาและปรับปรุงตลอดเวลา ด้วยเหตุน้ีในธุรกิจหลากหลายประเภทและขนาดจึงมีแผนกหรือ หน่วยงานที่ทาหน้าท่ีในการจัดการทรัพยากรมนุษย์โดยเฉพาะ ซึ่งขนาดของแผนกหรือหน่วยงานน้ัน จะมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับขนาดขององค์กรหรือธุรกิจเองรวมถึงความสาคัญของทรัพยากรมนุษย์ด้วยว่า สาคญั ย่ิงมากกวาการพัฒนาอ่นื ใด อาภรณ์ ภู่วิทยพันธ์๕๐ อา้ งใน Hammer และ Champy (1994) ได้ยกตัวอย่างการอธบิ าย กรอบการพัฒนาทรัพยากรมนุษยบ์ นพ้ืนฐานของทฤษฎีทั้งสามด้านทไ่ี ดก้ ลา่ วถงึ ดังนี้ ๑. ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ( Economic Theory ) เศรษฐศาสตร์ คือ การศึกษาวิธีที่บุคคล และสังคมเลือกใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจากัดที่ธรรมชาติและคนรุ่นก่อนให้ไว้เศรษฐศาสตร์เก่ียวข้อง กับการศึกษาเร่ืองราวทางสังคมและโลกที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรทรัพยากร ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ประกอบด้วยมโนทัศน์ของประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถสร้างเกณฑ์เพ่ือประกันถึงความผาสุกสูงสุด การพัฒนาและความเจริญงอกงามของคนที่ทางานและเป็นส่วนท่ีสาคัญและจาเป็นและสาคัญ ของกจิ กรรมทางเศรษฐกิจและทเี่ ป็นประโยชนป์ ระสบกับความสาเรจ็ ๒. ทฤษฎีระบบ (System Theory) หากเปรียบเทียบกับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์และทฤษฎี ทางจิตวิทยาแล้ว ทฤษฎีระบบถือได้ว่าเป็นองค์ความรู้ย่อยส่วนหนึ่งท่ีกล่าวถึงหลักการท่ัวไป แนวคิด เคร่ืองมือและวิธีการที่สัมพันธ์และเชื่อมโยงต่อไปยังระบบงานอื่น ๆพบว่าทฤษฎีระบบได้ถูกนาไป ประยุกตใ์ ชใ้ นงานดา้ นการพฒั นาทรัพยากรมนุษยท์ ง้ั ในป๎จจุบันและต่อเน่อื งไปยงั อนาคตโดยมุ่งเน้นไป ทีก่ ระบวนการและวิธีการพัฒนาบคุ ลากรอย่างเป็นระบบ ๕๐ อาภรณ์ ภูว่ ทิ ยพันธ์ (ดร.), กลยุทธ์การพัฒนาทรพั ยากรมนุษย์, พมิ พค์ ร้ังที่ ๑, กรุงเทพมหานคร : เอช อาร์ เซ็นเตอร์, ๒๕๕๑, หน้า ๙๕.

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๑๕ ๓. ทฤษฎีจิตวิทยา (Psychological Theory) ทฤษฎีจิตวิทยาถูกนามาใช้ในการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรเป็นอย่างมากกล่าวรวมถึงแนวคิดการเรียนรู้ในองค์กร การจูงใจพนักงาน การประมวลข้อมูลข่าวสาร การบริหารจัดการกลุ่ม ทั้งน้ีทฤษฎีทางจิตวิทยาถือว่าเป็นศาสตร์ ทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั กระบวนการหรอื ภาวการณ์เปลย่ี นแปลงทางด้านจติ ใจและพฤติกรรมการแสดงออก ๖.๗.๑ แนวคิดเก่ยี วกับหลกั ภาวนา ๔ ๖.๗.๑.๑ ความหมายเกีย่ วกับหลักภาวนา ๔ คาวา่ “ภาวนา” ก่อนทจี่ ะแปลวา่ เจรญิ ภาวนาถ้าแปลตามตวั อกั ษร แปลว่า“การทา ให้เป็นให้มี” หมายความว่า อันไหนท่ีไม่เป็นก็ทาให้เป็นข้ึน อันไหนที่ไม่มีก็ทาให้มีขึ้นซึ่งหมายความ เลยไปว่า การทาให้เพ่ิมพูนขึ้น ทาให้กล้าแข็งข้ึนอะไรพวกนี้ เราจึงแปลกันอีกความหมายหนึ่งว่า “ฝึกอบรม” คาว่า “ฝึกอบรม” ก็ไปใกล้กับความหมายของคาว่าสิกขาเพราะฉะนั้น สิกขากับภาวนา จึงเป็นคาท่ีใช้อย่างใกล้เคียงกัน บางทีเหมือนกันแทนกันเลยทีเดียว นี้เป็นการดยงเข้ามาหาตัวหลัก ใหญ่ ในการปฏิบัติทางพระพุทะศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสในคาสอนของพระพุทธองค์เองเพ่ือใช้เป็น คุณสมบัติของบุคคลท่านใช้ว่าภาวิตกาโย ภาวิตสีโล ภาวิตจิตโต ภาวิตป๎ญโญ คือคาว่า ภาวนา เวลา ใช้เป็นคุณศัพท์เป็น ภาวิตะ ภาวิตกาโย ผู้มีกายที่เจริญแล้วหรือฝึกอบรมแล้ว ภาวิตสีโล ผู้มีศีล ที่ฝึกอบรมแล้วหรือเจริญแล้ว ภาวิตจิตโต ผู้มีจิตท่ีเจริญแล้วหรือมีจิตที่ฝึกอบรมแล้ว ภาวิตป๎ญโญ ผมู้ ปี ญ๎ ญาทเี่ จรอญแล้วหรอื ป๎ญญาทฝ่ี กึ อบรมแลว้ ถ้าเป็นคานาม ๔ อนั นีก้ ็คือ ๑.กายภาวนา คนเปน็ ภาวติ กาโย ตวั การกระทาเปน็ กายภาวนา ๒.ศีลภาวนา คนเปน็ ภาวิตสีโล ตวั กระทาเป็นจิตภาวนา ๓.จติ ภาวนา คนเป็นภาวิตจิตโต ตวั กระทาเป็นจติ ภาวนา ๔.ปญ๎ ญาภาวนา คนเปน็ ภาวติ ป๎ญโญ ตวั กระทาเปน็ ปญ๎ ญาภาวนา๕๑ ๑.ภาวนา เป็นคาในภาษบาลี ท่ีมีรูปกิรยิ าศพั ท์เปน็ ภาเวติ มีความหมายตรงกับคาว่า วฑฺเฒติ ซึ่งก็คือ วัฒนา หรือ การพัฒนา ท่ีใช้ในภาษาไทย คาว่า ภาวนา ในคาสอนของพระพุทธศาสนา หมายถึงการทาให้มีขึ้นเป็นครึ่ง, การทาให้เกิดขึ้น, การเจริญ,การบาเพ็ญ, การฝึกอบรม, การพัฒนา เพ่ือทาสิ่งท่ียังไม่มีให้มีข้ึน๕๒โดยมีความหมายครอบคลุมถึงการปฏิบัติตนทั้งหมดท่ีเป็นไปเพื่อการ พัฒนาคณุ ธรรมภายในตน ๒.ภาวนา ๔ ทปี่ รากฏในพระไตรปฏิ กมักแสดงในรปู ท่เี ปน็ คุณสมบตั ขิ องบคุ คลผไู้ ด้เจรญิ กาย ศีล จิต และป๎ญญาแล้ว ดงั ข้อความตัวอย่างต่อไปน้ี ๕๑ พระธรรมปีฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), “พุทธธรรมกับการพัฒนาชีวิต”, พิมพ์ครั้งท่ี ๑, กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๔๐, หนา้ ๕๑. ๕๒ พระธรรมปีฏก (ป. อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์คร้ังท่ี ๙, กรุงเทพมหานคร:มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๖, หนา้ ๒๐๓.

พทุ ธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๑๖ ๓.พระผูม้ ีพระภาคเจ้า ช่อื ว่า ทรงอบรมพระองค์แล้ว ทรงเปน็ ภาวติ ตั ต์ หรือ พระองค์ที่ทรง เจริญหรอื พฒั นาแล้ว เป็นอย่างไร คือ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ทรงอบรมพระวรกาย อบรมศีลอบรมจิตใจ อบรมป๎ญญา (ขยายความต่อไปอีกวา่ ทรงเจริญโพธิป๎กขยิ ธรรม ๓๗ ประการแล้ว)๕๓ ๔.ดังน้นั ความหมายของภาวนา ๔ คอื การเจรญิ การพัฒนา ทั้งทางด้านสมถะ และวิปสสนา เพ่อื ให้มีผลปรากฏ เชน่ มีบุคลิกภาพ ภาพลกั ษณ์ภายนอก และคณุ ธรรมภายในตน ๕.ทีด่ ขี ้นึ ซงึ่ ในความหมายนี้ แบง่ ผลที่ปรากฏออกเป็น ๔ ดา้ น คือ ๑. กายภาวนา หรือ การพัฒนากาย คือ การมีความสัมพันธ์ที่เก้ือกูลกับส่ิงแวดล้อม ทางกายภาพ หรอื ทางวัตถุ ให้ร้จู ัก “กนิ อยู่ ดู ฟง๎ ” เปน็ สามารถเสพส่งิ เหลา่ นั้นในทางที่เป็นคุณ มิให้ โทษ รู้จกั ควบคมุ ไม่ใหเ้ กดิ ความตอ้ งการที่ฟมุ เฟือยเกนิ ความจาเปน็ ๒. ศีลภาวนา หรือ การพัฒนาศีล คือ การมีความสัมพันธ์ท่ีเก้ือกูลกับส่ิงแวดล้อม ทางสังคม คือมนุษย์ต้ังอยู่ในกฎระเบียบ เพื่อให้เกิดการตอบสนองความต้องการของตนน้ัน ไม่ไป เบียดเบียนหรอื กอ่ ความเดอื ดร้อนเสียหายกับผู้อนื่ สามารถอยูร่ ่วมกับผ้อู ่ืนและเก้อื กลู กันไดด้ ้วยดี ๓. จิตถาวนา หรือ การพัฒนาจิต คือ การมีจิตท่ีสมบูรณ์ด้วยคุณธรรม ความดีงาม สมบรู ณ์ด้วยสมรรถภาพ มีความเข้มเข็งมนั่ คง และสมบูรณ์ด้วยสขุ ภาพ มคี วามเบิกบานผ่องใสสงบสขุ ๔. ป๎ญญาภาวนา หรือ การพัฒนาป๎ญญา คือ การเสริมสร้างความรู้ความคิด ความเข้าใจ อย่างเป็นนายความคิด และการหย่ังรู้ความจริง รู้เห็นเท่าทันโลกและชีวิตตามสภาวะ จริง๕๔ พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ. ปยุตฺโต)๕๕ได้กล่าวไว้ว่า การพัฒนาตามความหมายของ พระพุทธศาสนา ก็คือ ภาวนา หมายถึง การทาให้เป็นให้มีขึ้น, การฝึกอบรม, การพัฒนา ซ่ึงมีการ พัฒนาอยู่ ๔ ประเภทคอื ๑. กายภาวนา คอื การเจรญิ กาย พฒั นากาย การฝึกอบรม ให้รู้จักติดต่อเกี่ยวกับส่ิงท้ังหลาย ภายนอกทางอินทรีย์ท้ังห้าด้วยดี และปฏิบัติต่อส่ิงเหล่านั้นในทางที่เป็นคุณ มิให้เกิดโทษให้กุศลธรรม งอกงาม ใหอ้ กศุ ลธรรมเสอ่ื มสญู การพฒั นาความสัมพนั ธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ๒. ศีลภาวนา คือ การเจริญศีล พัฒนาความประพฤติ การฝึกอบรมศีล ให้ตั้งอยู่ในระเบียบ วินัยไมเ่ บียดเบยี นหรอื ก่อความเดือดรอ้ นเสียหาย อยู่ร่วมกนั กับผอู้ นื่ ไดด้ ้วยดเี กื้อกลู แกก่ ัน ๓. จติ ตภาวนา คอื การเจรญิ จิต พัฒนาจติ การฝกึ อบรมจิตใจ ให้เขม็ แข็งมน่ั คงเจริญงอกงาม ด้วยคุณธรรมทั้งหลาย เช่น มีการเมตตา มีฉันทะ ขยันหม่ันเพียร อดทน มีสมาธิและสดช่ืนเบิกบาน เปน็ สขุ ผ่องใส เปน็ ตน้ ๕๓ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต), หลักแม่บทของการพัฒนาตน, พิมพ์คร้ังที่ ๑๕, กรุงเทพมหานคร: มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖, หน้า ๑๐. ๕๔ พระธรรมปีฏก (ป. อ. ปยุตฺโต), พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๑๑, กรงุ เทพมหานคร : ดวงแกว้ ,๒๕๔๔, หน้า ๓๗๑. ๕๕ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต), หลกั แมบ่ ทของการพฒั นาตน, พมิ พ์ครั้งที่ ๑๕, กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๖, หน้า ๑๐ และ ๑๕.

พทุ ธจติ วทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๑๗ ๔. ป๎ญญาภาวนา คือ การเจริญป๎ญญา พัฒนาป๎ญญา การฝึกอบรมป๎ญญา ให้รู้เข้าใจสิ่ง ท้ังหลายตามเป็นจริง รู้เท่าทันเห็นแจ้งโลกและชีวิตตามสภาวะ สามารถทาให้เป็นอิสระทาตนให้ บริสุทธิจ์ ากกิเลสและปลอดพ้นจากความทกุ ข์ แก้ไขปญ๎ หาทเ่ี กิดข้นึ ได้ดว้ ยป๎ญญา ความหมายการพัฒนาทรพั ยากรมนษุ ย์ตามแนวพระพุทธศาสนาน้ันต้องพฒั นารว่ มกันหลาย อย่างเช่น การพัฒนากาย การพัฒนาจิต การพัฒนาป๎ญญา เข้าด้วยกันจึงจะเป็นการพัฒนาท่ีย่ังยืน โดยไมเ่ น้นอย่างใดอย่าง สรุปจากแนวคิดทฤษฏีที่เก่ียวข้อง พอสรุปได้ว่า พระพุทธศาสนาให้มนุษย์เป็นศูนย์กลางใน การพัฒนา กลา่ วคอื มนุษย์ต้องเป็นผู้กระทาด้วยการฝึกฝนอบรมให้เกิดคุณสมบัติภายในตน ซ่ึงได้แก่ คุณสมบัตทิ างกาย ทางศลี ทางจิต และทางป๎ญญาท่สี ง่ ผลไปสู่ภายนอกตนซ่งึ แสดงออกผ่านพฤติกรรม ทางกายและวาจาและเม่ือมปี ฏิบัตใิ นทกุ ดา้ นครบถ้วนแลว้ ในทาง ศาสนาก็จะให้ความสาคัญต่อเร่ืองจิต เพราะจิตเป็นผู้บงการให้บุคคลมีพฤติกรรมต่าง ๆ ได้ ในการ พัฒนาจติ ของบุคคลตามแนวพทุ ธน้เี ปน็ การฝกึ ให้บคุ คลมจี ติ ใจสงบถือว่าเป็นการทาให้บุคคลได้พัฒนา คุณธรรมและจรยิ ธรรมตามที่สังคมต้องการ ผูท้ ไ่ี ด้รบั การอบรมทางจิตให้ถูกวิธีจะสามารถพัฒนาจิตได้ คากล่าวท่ีว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” จึงเป็นความจริง เพราะเม่ือบุคคลมีจิตใจสงบและคิดแต่ใน สิง่ ท่ดี แี ล้วก็จะมผี ลทาใหร้ ่างกาย พฤตกิ รรมหรือการประพฤตปิ ฏบิ ัติเป็นไปแตใ่ นสิง่ ท่ีดงี าม ๖.๗.๑.๒ แนวคดิ เกี่ยวกับหลักภาวนา ๔ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้กล่าวไว้ว่า ภาวนา การทาให้มีข้ึนเป็นขึ้น, การทาให้เกิดขึ้น, การเรจิญ, การบาเพ็ญ ๑. การฝึกอบรม ตามหลักพระพุทธศาสนา มสี องอย่างคือ ๑.๑ สมถภาวนา ฝกึ อบรมใหเ้ กิดความสงบ ๑.๒ วิป๎สสนา ฝึกอบรมป๎ญญาให้เกิดความรู้เข้าใจเป็นจิตร , อีกนัยหนึ่งจัดเป็นสอง เหมอื นกนั คือ ๑.๒.๑ จิตรภาวนา คือ การฝึกจิตรใจให้เจริญงอกงาม ด้วยคุณธรรมความ เข็มแข็งมั่นคง เบกิ บาน สงบสขุ ผอ่ งใส่ด้วยความเพยี ร สติ และสมาธิ ๑.๒.๒ ป๎ญญาภาวนา คือ การฝึกอบรมเจริญป๎ญญา ให้รู้เททนเข้าใจส่ิง ทัง้ หลายตามความเป็นจริง จนมีจิตรใจเป็นอสิ ระ ไมถ่ กู ครอบงาด้วยกเิ ลสและความทุกข์ ๒. การเจริญสมถกรรมฐานเพื่อใหเ้ กดิ สมาธิ มี ๓ ข้ัน คือ ๒.๑ บรกิ รรมภาวนา ภาวนาขนั้ ตระเตรยี ม คือ กาหนอารมณก์ รรมฐาน ๒.๒ อุปจาภาวนา ภาวนาขั้นจวนเจยี น คือ เกิดอปุ จารมาธิ ๒.๓ อัปปนาภาวนา ภาวนาขนั้ แน่วแน่ คือ เกิดอัปปนาสมธิ ข้ึงชาญ๕๖ สรุปจากแนวคดิ ทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง พอสรุปได้ว่า เม่ือมนุษย์อยู่ในระบบความสัมพันธ์แห่งเหตุ ป๎จจัยของธรรมชาติ ชีวิตและการกระทาของมนุษย์ ก็ย่อมเป็นไปตามระบบความสัมพันธ์แห่งเหตุ ป๎จจัยนั้น เพราะฉะน้ัน มนุษย์ทาอะไรข้ึนมา ก็มีผลในระบบเหตุป๎จจัยน้ี กระทบต่อส่ิงภายนอกบ้าง ๕๖ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยุตโฺ ต), “พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบับประศพั ท”์ , พิมพค์ ร้ัง ๑๐. กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ทั เอส. อาร์ พรนิ้ เตอร์ แมส โปรดักส์ จากดั , ๒๕๔๖, หนา้ ๑๗๒.

พทุ ธจติ วิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๑๘ กระทบตวั เองบ้าง และในทานองเดียวกัน สิ่งที่เกิดข้ึนภายนอก ก็มีผลกระทบต่อตัวมนุษย์ด้วย คือท้ัง ในมุมกิรยิ าและปฏิกิริยา ตวั เองทาไปกก็ ระทบสิง่ อน่ื ส่งิ อ่ืนเป็นอยา่ งไรกม็ ากระทบตัวเอง ข้อสาคัญคือ มองไปใหค้ รบตลอดทั่วระบบความสมั พนั ธน์ ี้ ว่าชีวิตและกจิ กรรมการกระทาของตนเอง ทั้งเป็นไปตาม ระบบเหตปุ จ๎ จัยแล้วก็ทาใหเ้ กดิ ผลตามระบบเหตุป๎จจยั น้ันด้วย ๖.๗.๑.๓ ความสาคัญเก่ียวกบั หลักภาวนา ๔ ภิกษผุ ้ไู มไ่ ดเ้ จรญิ การ ศีล จิต ป๎ญญา จักไม่สามารถแนะนาผู้อื่นให้สามารถประพฤติ ในอธิศลี อธิจิต อธิปญ๎ ญา, ไม่สามารถแสดงธรรมอนั เยยี่ มยอด ที่สร้างความปีติน่าชื่นชม แก่ผู้ฟ๎ง ถลา ลงสู่ธรรมดา ได้แก่ แสดงธรรมเพื่อการแข่งดี เพ่ือกล่าวกระทบบุคคลอ่ืนหรือ เพ่ือหวังลาภสักการะ, ไม่ใสใ่ จ ไมใ่ หค้ วามสาคญั ในพระธรรมท่พี ระพทุ ธองค์ทรงแสดงไว้แต่กลับช่ืนชมยินดี สนใจศึกษาในคา กล่าวของบุคคลนองพระพุทธศาสนา, ปพฤติตนเป็นผู้มักมาก เป็นตัวอย่างท่ีไม่ดีให้คนรุ่นหลังพากัน ทาตาม๕๗ ภาวนา ๔ เปน็ คุฯสมบตั ทิ ่มี คี ุณคา่ ใหแ้ ก่บคุ คล พระพทุ ธศาสนาใหค้ วามสาคัญกบั การพฒั นา ตน จงึ เชดิ ชูบคุ คลผมู้ ีกาพัฒนาแลว้ วา่ เป็นบคุ คลสงู สุด๕๘ เป็นผคู้ วรคา่ แก่การบูชา๕๙ซึ่งยกย่องเช่นนนั้ เกิดจากคณุ ของภาวนา ๔ ทเี่ ปน็ ผลของการฝึกตนนัน้ เอง๖๐ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้กล่าวไว้ว่า คือภาวนา ๔ ตอนปฏิบัติการฝึก สิกขามี ๓ แต่ทาไมตอนวดั ผล ภาวนามี ๔ ไม่เทา่ กนั ทาไม (ในเวลาทาการฝกึ ) จัดจงึ เป็นสิกขา ๓ และ (ในเวลา วดั ผลคนทไี่ ดร้ ับการฝกึ ) จงึ จดั เป็นภาวนา ๔ อย่างไรที่ช้แี จงแล้วว่า ธรรมภาคปฏิบตั ิการต้องจัดให้ตรง สอดคล้องกับระบบความเป็นไปของธรรมชาติ แต่ตอนวัดผลไม่ต้องจัดให้ตรงกันแล้ว เพราะวัดตุ ประสงค์อยู่ที่จะมองดูผลที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งมุ่งที่จะให้เห็นชัดเจนตอนน้ีถ้าแยกละเอียดออกไปก็จะย่ิงดี น่ีแหละคือเหตุผลท่ีว่าหลักวัดผลคือภาวนาเพิ่มเป็น ๔ ข้อให้ดูความหมาย และหัวข้อของภาวนา ๔ น้ันก่อน “ภาวนา” แปลว่า ทาให้เจริญ ทาให้เป็นทาให้มีข้ึน หรือฝึกอบรม ในภาษาบาลี ท่านให้ ความหมายวา่ “วฑฺฒนา” คอื วฒั นา หรือพัฒนา นน่ั เองภาวนาน้เี ป็นคาหนึ่งท่ีมีความหมายใช้แทนกัน ได้กบั “สกิ ขา” ภาวนาจัดเป็น ๔ อย่าง คือ ๑.กายภาวนา การพัฒนากาย คือ การมีความสัมพันธ์ท่ีเกื้อกูลกับส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ หรือทางวัตถุ ๒.ศีลภาวนา การพัฒนาศีล คือ การมีความสัมพันธ์ที่เก้ือกูลกับส่ิงแวดล้อมทางสังคม คือ เพื่อนมนษุ ย์ ๓.จติ ภาวนา การพัฒนาป๎ญญา คอื การเสรมิ สรา้ งความรคู้ วามคดิ ความเข้าใจและการหย่ังรู้ ความจรงิ ๔.ป๎ญญาภาวนา การพัฒนาป๎ญญา คือ การเสริมสร้างความรู้ความคิดความเข้าใจ และการ หยง่ั รู้ความจรงิ ๕๗ องฺ.ปํฺจก. (ไทย) ๒๒/๗๙/๑๔๕. ๕๘ ข.ู ธ (ไทย) ๒๕/๓๒๑/๑๑๓ ๕๙ องฺ.จตุกก. (ไทย) ๒๑/๓๖/๕๙, ๖๐ ข.ู ธ (ไทย) ๒๕/๑๐๖/๖๓

พทุ ธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๑๙ อย่างที่กลา่ วแลว้ วา่ ภาวนา ๔ น้ี ใช้ในการวัดผลเพอื่ ดวู ่าด้านต่างๆ ของการพัฒนาชวี ิตของ คนน้ัน ไดร้ ับการพฒั นาครบถ้วนหรอื ไม่ ดงั นนั้ เพ่อื จะดูให้ชัด ท่านไดแ้ ยกบางสว่ นละเอียดออกไปอกี สว่ นท่ีแยกออกไปอีกน้ี คือ สิกขาข้อท่ี ๑ (ศีล) ซึ่งในภาวนา แบง่ ออกไปเปน็ ภาวนา ๒ ขอ้ คือกาย ภาวนา และศลี ภาวนา ทาไมจงึ แบ่งสกิ ขาข้อศีล เปน็ ภาวนา ๒ ข้อ ทีจ่ ริง สิกขาดา้ นท่ี ๑ คอื ศลี นน้ั มี ๒ สว่ นอยู่ แล้วในตัว เมือ่ จดั เป็นภาวนา จงึ แยกเป็น ๒ ได้ ทันที คือ ๑.ศีล ในส่วนท่ีสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อมทางกาย (ท่ีเรียกว่าสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ) ได้แก่ ความสัมพันธ์กับวัตถุหรือโลกของวัตถุและธรรมชาติส่วนอื่น ที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่นเร่ืองป๎จจัย ๔ สิ่งท่ีเรา บรโิ ภคใชส้ อยทกุ อย่าง และธรรมชาติแวดลอ้ มท่ัว ๆ ไปส่วนนี้แหละ ที่แยกออกไปจดั เป็น กายภาวนา ๒.ศีล ในส่วนที่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางสังคม คือบุคคลอื่นในสังคมมนุษย์ด้วยกัน ได้แก่ ความเก่ยี วขอ้ งสัมพนั ธ์อยรู่ ว่ มกนั ด้วยดใี นหม่มู นุษย์ ทจี่ ะไม่เบยี ดเบียนกัน แต่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันส่วน นี้ แยกออกไปจัดเป็น ศีลภาวนาในไตรสิกขา ศีลครอบคลุมความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ทั้งทางวัตถุ หรือทางกายภาพ และทางสังคม รวมไว้ในข้อเดียวกันแต่เม่ือจัดเป็นภาวนา ท่านแยกกันชัดออกเป็น ๒ ข้อ โดยยกเรื่องความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมในโลกวัตถุ แยกออกไปเป็นกายภาวนา ส่วนเรื่อง ความสัมพันธ์กบั เพ่อื นมนุษย์ในสังคม จดั ไว้ในข้อศีลภาวนา ทาไมตอนท่ีเป็นสิกขาไม่แยก แต่ตอนเป็น ภาวนาจึงแยก อย่างที่กล่าวแล้วว่า ในเวลาฝึกหรือในกระบวนการฝึกศึกษา องค์ทั้ง ๓ อย่างของ ไตรสิกขา จะทางานประสานไปด้วยกัน ในศีลท่ีมี ๒ ส่วน คือ ความสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อมด้าน กายภาพในโลกวัตถุ และความสัมพันธ์กับมนุษย์ในสังคมน้ัน ส่วนที่สัมพันธ์แต่ละคร้ังจะเป็นอันใด อันหนึ่งอย่างเดียวในกรณีหนึ่ง ๆ ศีลอาจจะเป็นความสัมพันธ์ด้านท่ี ๑ (กายภาพ) หรือด้านที่ ๒ (สงั คม) ก็ได้ แตต่ อ้ งอย่างใดอยา่ งหน่งึ ดงั นั้น ในกระบวนการฝึกศึกษาของไตรสิกขา ที่มีองค์ประกอบ ท้ังสามอย่างทางานประสานเป็นอันเดียวกันน้ัน จึงต้องรวมศีลท้ัง ๒ ส่วนเป็นข้อเดียว ทาให้สิกขามี เพยี ง ๓ คอื ศลี สมาธิ ป๎ญญา แตใ่ นภาวนาไมม่ ีเหตบุ ังคับอย่างนั้น จึงแยกศีล ๒ ส่วนออกจากกันเป็น คนละข้ออย่างชัดเจน เพ่ือประโยชน์ในการตรวจสอบ จะไดวัดผลดูจาเพาะให้ชัดไปทีละอย่าง ว่าในด้านซ้าย ความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทางวัตถุ เช่นการบริโภคป๎จจัย ๔ เป็นอย่างไร ในด้าน ศีล ความสาพันธ์กับเพ่ือนมนุษย์เป็นอย่างไร เป็นอันว่า หลักภาวนา นิยมใช้ในเวลาวัดหรือแสดงผล แต่ในการฝึกศึกษาหรือตัวกระบวนการฝึกฝนพัฒนา จะใช้เป็นไตรสิกขาเน่ืองจากภาวนาท่านนิยมใช้ ในการวดั ผลของการศึกษาหรือการพัฒนาบุคคล รูปศัพท์ท่ีพบจึงมักเป็นคาแสดงคุณสมบัติของบุคคล คือแทนท่ีจะเป็น ภาวนา ๔ (กายภาวนา ศีลภาวนา จิตภาวนา และป๎ญญาภาวนา) ก็เปล่ียนเป็น ภาวติ ๔ คอื ๑.ภาวิตกาย มีกายที่พัฒนาแล้ว (= มีกายภาวนา) คือ มีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทาย กายภาพในทางที่เก้ือกูลและได้ผลดี เร่ิมแต่รู้จักใช้อินทรีย์ เช่น ตา หู ดู ฟ๎ง เป็นต้น อย่างมีสติ ดูเป็น ฟ๎งเปน็ ให้ได้ปญ๎ ญา บรโิ ภคป๎จจัย ๔ และสงิ่ ของเครื่องใช้ ตลอดจน เทคโนโลยี อย่างฉลาด ได้ผลตรง เต็มตามคณุ คา่ ๒.ภาวิตศีล มีศีลที่พัฒนาแล้ว (= มีศีลภาวนา) คือ มีพฤติกรรมทางสังคมที่พัฒนาแล้ว ไม่เบียดเบียนก่อความเดอื ดรอ้ นเวรภัย ต้ังอยู่ในวินัยและมีอาชีวะที่สุจริต มีความสัมพันธ์ทางสังคมใน ลักษณะทีเ่ ก้ือกลู สร้างสรรค์ และสง่ เสริมสันติสุข

พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๒๐ ๓.ภาวิตจิต มีจิตท่ีพัฒนาแล้ว (= มีจิตภาวนา) คือ มีจิตในที่ฝึกอบรมดีแล้วสมบูรณ์ด้วย คณุ ภาพจิต คอื ประกอบดว้ ยคณุ ธรรม เช่น มีเมตตา กรุณา เอ้ืออารี มีมุทิตา มีความเคารพ อ่อนโยน ซื่อสัตย์ กตัญํู เป็นต้นสมบูรณ์ด้วยสมรรถภาพจิต คือ มีจิตใจเข้มแข็งม่ันคง มีความเพียรพยายาม กล้าหาญ อดทน รับผิดชอบ มีสติ มีสมาธิ เป็นต้น และสมบูรณ์ด้วย สุขภาพจิต คือ มีจิตใจที่ร่าเริง เบิกบาน สดชืน่ เอบิ อิม่ ผ่องใส และสงบ เปน็ สขุ ๔.ภาวิตป๎ญญา มีป๎ญญาที่พัฒนาแล้ว ( = มีป๎ญญาภาวนา ) คือรู้จักคิดรู้จักพิจารณา รู้จัก วินิจฉัย รู้จักแก้ป๎ญหา และรู้จักจัดทาดาเนินการต่าง ๆ ด้วยป๎ญญาท่ีบริสุทธ์ิ ซึ่งมองดูรู้เข้าใจเหตุ ป๎จจัย มองเห็นสิ่งทง้ั หลายตามเป็นจริงหรือตามท่ีมันเป็น ปราศจากอคติและแรงจูงใจแอบแฝง เป็นผู้ ท่ีกเิ ลสครอบงาบัญชาไม่ได้ เป็นอยู่ด้วยป๎ญญารู้เท่าทันโลกและชีวิตเป็นอิสระไร้ทุกข์ ผู้มีภาวนา ครบ ทั้ง ๔ อยา่ ง เปน็ ภาวิต ทัง้ ๔ ด้านนี้แล้ว โดยสมบูรณ์เรียกว่า “ภาวิตัตตะ” แปลว่าผู้ได้พัฒนาตนแล้ว ไดแ้ ก่พระอรหันต์๖๑ สรุปจากแนวคิดทฤษฏีที่เก่ียวข้อง พอสรุปได้ว่า พระพุทธศาสนาต้ังจุดหมายสูงสุดไว้ท่ีการ บรรลนุ พิ พาน ซึง่ จดั ว่าเป็นจุดหมายท่ีมนุษย์สามารถพัฒนาตนเองให้บรรลุถึงได้ด้วย“การพัฒนา” ซึ่ง ในพระพุทธศาสนาใช้คาว่า “ภาวนา” แปลว่า การทาให้มี ทาให้เป็น และการบรรลุนิพพาน มี ความสัมพันธ์กับบุคคลและเงื่อนไขต่าง ๆ ในการบรรลุนิพพาน๒.๓.๔ กระบวนการเกี่ยวกับหลัก ภาวนา ๔ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)๖๒ ได้กล่าวไว้ว่า ภาวนา ๔ ( การเจริญ, การทาให้เป็น ใหม้ ีขึน้ , การฝึกอบรม, การพฒั นา : cultivation; training; development) ๑) กายภาวนา การเจริญกาย, พัฒนากาย, การฝึกอบรมกาย ให้รู้จักติดต่อเก่ียวข้องกับส่ิง ท้ังหลายภายนอกทางอินทรีย์ทั้งห้าด้วยดี และปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นในทางที่เป็นคุณ มิให้เกิดโทษ ให้กุศลธรรมงอกงาม ให้อกุศลธรรมเส่ือมสูญ, การพัฒนาความสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ : physical development ๒) สลี ภาวนา การเจรญิ ศลี , พฒั นาความประพฤติ, การฝึกอบรมศีล ให้ตั้งอยู่ในระเบียบวินัย ไม่เบียดเบียนหรือก่อความเดือดร้อนเสียหาย อยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้ด้วยดี เกื้อกูล แก่กัน : moral development ๓) จิตภาวนา การเจริญจิต, พัฒนาจิต, การฝึกอบรมจิตใจ ให้เข้มแข็งมั่นคงเจริญงอกงาม ด้วยคณุ ธรรมท้ังหลาย เช่น มีเมตตากรุณา ขยันหมั่นเพียร อดทนมีสมาธิ และสดชื่นเบิกบาน เป็นสุข ผอ่ งใส เป็นตน้ : cultivation of the heart; emotional development ๔) ป๎ญญาภาวนา การเจริญป๎ญญา, พัฒนาป๎ญญา, การฝึกอบรมป๎ญญา ให้รู้เข้าใจสิ่ง ทั้งหลายตามเป็นจริง รู้เท่าทันเห็นโลกและชีวิตตามสภาวะ สามารถทาจิตใจให้เป็นอิสระ ทาตนให้ บรสิ ทุ ธจิ์ ากกเิ ลสและปลอดพ้นจากความทกุ ข์ แก้ไขปญ๎ หาทเ่ี กดิ ข้นึ ไดด้ ้วยปญ๎ ญา ๖๑ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), “พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม)”, พมิ พ์ครัง้ ๑๐, กรงุ เทพมหานคร : บริษทั เอส. อาร์ พรนิ้ เตอร์ แมส โปรดกั ส์ จากดั , ๒๕๔๖, หน้า ๑๗๒. ๖๒ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยุตโฺ ต), “พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม”, พมิ พ์ครง้ั ท่ี ๑๐, ๒๕๔๕ ,หน้า ๗๐

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๒๑ สรุปจากแนวคิดทฤษฏีท่ีเก่ียวข้อง พอสรุปได้ว่า ภาวนา ๔ เป็นหลักธรรมที่ผู้ปฏิบัติผู้ได้ ปฏิบัติตามได้แล้วจะมีผลดีท้ังสิ้น โดยการปฏิบัติ สีลภาวนา สมาธิภาวนา ป๎ญญาภาวนา และกาย ภาวนา จากการทางานทุกอาชีพน้ันต้องมีหลักต้องมี ท้ัง สีล สมาธิป๎ญญา และกาย ถ้าไม่มี่ส่ิงเหล่าน้ี การทางานตา่ งๆ กไ็ ม่อาจประสบผลสาเรจ็ กเ็ ปน็ ไปได้ สรปุ ทา้ ยบท การพัฒนาคุณภาพชีวิต จึงเป็นสิ่งจาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องพัฒนาให้มีคุณภาพ เพราะมนุษย์ เป็นป๎จจัยท่ีสาคัญยิ่งต่อการพัฒนาสิ่งต่างๆ ดังน้ัน จึงจาเป็นที่จะต้องสร้างคนให้มีความรู้มี ความสามารถมีทักษะพ้ืนฐานที่จาเป็น มีลักษณะนิสัยจิตใจที่ดีงาม มีความพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อตนเอง และสังคม มีความพร้อมที่จะประกอบการงานอาชีพได้ การศึกษาพัฒนาคุณภาพชีวิตก็เพ่ือที่จะให้ได้ พัฒนาไปในทิศทางท่ีถูกต้องเหมาะสม และเจริญยิ่งขึ้นไป จึงเป็นสิ่งจาเป็นต่อชีวิตของคนเราอีก ประการหนงึ่ ทนี่ อกเหนือจากป๎จจัย ๔ ในการดารงชีวิตให้มีคุณภาพ หลักการพัฒนาคุณภาพชีวิต จึง หมายถึง คุณงามความดี การกระทาความดี เพ่ือสร้างสมคุณงามความดีต่าง ๆ ให้งอกงามไพบูลย์ สร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับชีวิตตลอดจนถึงการทามาหาเลี้ยงชีพ และยังได้เอื้ออานวยแก่การทา กจิ ตา่ งๆ ที่ดียิ่งๆ ขนึ้ ไป พร้อมกันน้นั กย็ งั เป็นการฝึกอบรมชีวิตด้านกาย และวาจา ใจของบุคคลน้ัน ใหม้ ีความพรอ้ มยง่ิ ขึน้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเน้นถึงความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทางสังคม คือ การ อยู่ร่วมกันด้วยดีระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ในสภาพท่ีเก้ือกูลกัน สมาชิกแต่ละคนนอกจากจะสามารถ ดารงตนอยู่ได้ด้วยดีแล้ว ยังมีโอกาสท่ีจะกระทาส่ิงดีงามหรือเข้าถึงสิ่งมีค่าสูงขึ้นไปอีกด้วย คุณภาพ ชีวติ แปลวา่ ลกั ษณะของชีวิตที่มีคุณภาพ หรือคุณสมบัติของชีวิตที่ดี หรือส่ิงที่ทาให้ชีวิตมีคุณภาพ หรอื คณุ สมบัติของชีวติ ที่ดี หรอื สิง่ ท่ที าใหช้ วี ติ มคี ณุ ภาพ หมายถึงองค์ประกอบและลักษณะต่าง ๆ ท่ี แสดงถึงสภาพของชีวิตท่ีดารงอยู่ด้วยดี เป็นส่วนร่วมที่เกื้อกูลซ่ึงกันและกัน สังคมและธรรมชาติมี ความพร้อม และสามารถที่จะพัฒนาตัวเองให้เจริญงอกงามสู่ความสันติสุขและอิสรภาพสมบูรณ์ คุณภาพชีวิตทางพระพุทธศาสนากล่าวว่าเป็นองค์รวมขององค์ประกอบต่างๆ ซ่ึงจาแนกได้ 2 ประเภท คือ รูปกับนาม หรือเรียกง่ายๆ ว่ากายกับใจ ชีวิตจะเรียกได้ว่ามีคุณภาพอย่างแท้จริงก็ ต่อเมื่อส่วนประกอบทุกส่วนมีคุณภาพน้ันคือ ชีวิตที่มีคุณภาพจะประกอบด้วยกายท่ีมีคุณภาพกาย และคุณภาพใจ อย่างไรก็ตาม ชีวิตไม่ใช่สิ่งท่ีต้ังอยู่น่ิง ๆ แต่เป็นองค์รวมท่ีเคล่ือนไหวเม่ือพูดถึง คุณภาพชีวิตที่เคล่ือนไหวหรือชีวิตท่ีดาเนินไปในโลกท่ามกลางสภาพแวดล้อมจะมีวัตถุ กิจกรรม และเร่ืองราวต่างๆ ที่ต่อเน่ืองกับชีวิตเพิ่มขยายออกไปไม่ใช่เฉพาะกายกับใจล้วนๆ เท่าน้ัน วัตถุ กิจกรรมและเร่ืองราวต่างๆ เกี่ยวกับชีวิตเหล่านี้จัดเป็นส่วนประกอบของคุณภาพชีวิต โดยแยกเป็น คุณภาพธรรมดาสามัญท่ีมองเห็นกันอยู่ประเภทหน่ึงและคุณภาพที่ล้าลึกเลยไปจากท่ีมองเห็นด้วยตา อีกประการหนึ่ง ตัวอย่างเช่นคนบางคนมีทรัพย์สินเงินทอง และสิ่งครอบครองบริโภคด้านวัตถุพรั่ง พรอ้ มบรบิ ูรณ์ จัดได้ว่าในด้านท่ีตามองเห็นเขาเป็นคนท่ีมีความสุขหรืออาจเป็นคนที่มีความทุกข์มาก ก็ได้ คุณภาพชีวิตท่ีดีแท้จริงต้องพร้อมท้ังด้านหรือระดับท่ีมองเห็นและด้านหรือระดับที่เลยจากที่ มองเหน็

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๒๒ คาถามทา้ ยบท

พทุ ธจิตวิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๒๓ เอกสารอา้ งอิงประจาบท กีรติ ยศยิง่ ยง ( ดร.), (๒๕๔๘), การวางแผนการพัฒนาทรัพยากรมนุษยเ์ ชิงกลยุทธ์ ,(กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ทั มิสเตอร์ ก๊อปป้ี (ประเทศไทย) จากดั . เกื้อจติ ร ชีระกาญจน์(ผศ.), (๒๕๕๑), การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหาวทิ ยาลยั ธุรกจิ บณั ฑติ ย์. จานงค์ อดวิ ฒั นสทิ ธิ์, (๒๕๔๔), สังคมวิทยาตามแนวพทุ ธศาสตร์, กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย. จรี ะ หงส์ลดารมภ์, (๒๕๓๓), แนวคดิ และหลักการ ขอบข่าย ของการพัฒนาทรัพยากรมนษุ ย์ , พิมพ์คร้งั ที่ ๓๑ , นนทบรุ ี : โรงพิมพม์ หาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมมาธิราช. เชาว์ โรจนแสง, (๒๕๔๕), องค์การและการจัดการ หนว่ ยท่ี ๗, (นนทบุรี : สานักพิมพ์มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมมาธริ าช. ณฏั ฐพันธ์ เขจรนนั ทน์, (๒๕๔๒), การจดั การทรพั ยากรบุคคล, พมิ พค์ รั้งที่ ๒, กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ แหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ตนิ ปรัชญพฤทธ์ิ, (๒๕๓๕), ศัพทร์ ัฐประศาสนศาสตร์, กรงุ เทพมหานคร : สานกั พิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . ธงชยั สันตวิ งษ์, (๒๕๔๖), การบรหิ ารทรพั ยากรมนุษย์, พมิ พ์ครง้ั ท่ี ๑๑ , กรุงเทพมหานคร: บริษัท ประชมุ ชา่ ง จากดั . นราธิป ศรงี าม, (๒๕๕๐), การวางแผนทรัพยากรมนษุ ย์ หนว่ ยท่ี ๘ - ๑๕, พมิ พ์ครั้งที่ ๓, นนทบรุ ี : สานกั พมิ พม์ หาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมมาธิราช. บรรยงค์ โตจนิ ดา, (๒๕๔๖), การบริหารงานบุคคล, กรุงเทพมหานคร: รวมสาส์น. บุญเลิศ ไพรนิ ทร์, (๒๕๓๘), พฤตกิ รรมการบรหิ ารงานบคุ คล, กรุงเทพมหานคร : สานกั งาน คณะกรรมการข้าราชการพลเรอื น. พนจิ ดา วีระชาติ, (๒๕๔๓), การฝึกอบรมกับการพฒั นาอาชีพ, กรงุ เทพมหานคร : โอ.เอส.พริน้ ตงิ้ เฮ้าส์. พยอม วงศส์ ารศรี, (๒๕๓๘), การบริหารทรัพยากรมนุษย์, กรุงเทพมหานคร : คณะวทิ ยาการจดั การ สถาบันราชภฏั สวนดุสติ . พระธรรมปฎิ ก ( ป .อ. ป ยตุ ฺโต ) , (๒๕๔๒), การศกึ ษากับการพฒั นาทรัพยากรมนษุ ย์, กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ทั สหธรรมมกิ จากัด. ),การสร้างสรรคป์ ญั ญาเพอ่ื อนาคตของมนุษยชาติ, พิมพ์ครั้งท่ี ๗, กรุงเทพมหานคร : บริษัท สหธรรมิก จากัด. พระธรรมโกศาจารย์ ศ.(ประยูร ธมฺมจิตโฺ ต), (๒๕๔๙), พุทธวธิ ีการบริหาร, มหาวิทยาลัยมหา

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๒๔ จุฬาลงกรณราชวิทยาลยั .

บทที่ ๗ ความคิดสร้างสรรค์ วตั ถุประสงค์การเรียนรปู้ ระจาบท เม่อื ไดศ้ ึกษาเนื้อหาในบทนี้แล้ว ผเู้ รียนสามารถ ๑. อธิบายทฤษฎคี วามคดิ สร้างสรรค์ได้ ๒. อธิบายความสาคัญและกระบวนการความคิดสร้างสรรค์ได้ ๓. อธิบายองค์ประกอบและการส่งเสรมิ ความคิดสร้างสรรค์ได้ ๔. อธิบายกิจกรรมสง่ เสริมความคดิ สรา้ งสรรค์ได้ ขอบข่ายเนือ้ หา  ทฤษฎคี วามคิดสร้างสรรค์  ความสาคัญและกระบวนการความคิดสร้างสรรค์  องคป์ ระกอบและการสง่ เสริมความคดิ สรา้ งสรรค์  กิจกรรมส่งเสริมความคดิ สรา้ งสรรค์

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๒๕ ๗.๑ ความนา การส่งเสริมและพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยมีหลายวิธีท่ีสาคัญได้แก่ การตั้ง คาถามใหเ้ ดก็ คดิ หาคาตอบ๑การพฒั นาท่เี กีย่ วกบั การการเล่นตามมุมต่างๆ ในห้องเรียน เช่น มุมบ้าน มุมหนงั สอื มมุ บล็อก มุมทักษะ–สัมผัส มุมวิทยาศาสตร์ เป็นการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ให้เกิด ข้ึนกับเด็ก การเล่นส่งผลให้เด็กเกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ท่ีจัดขึ้นในรูปของกิจกรรมที่ หลากหลาย สง่ ผลให้เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและเด็กจะเรียนได้ดีด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ซึ่งข้ึนอยู่กับการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมอย่างเหมาะสมตามความต้องการของเด็ก ตลอดจนส่ือและ อปุ กรณค์ วรมีให้เพียงพอทงั้ ขนาดและจานวน การพัฒนาและส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นกับ เดก็ ปฐมวยั คือ การเลน่ เพราะจะทาให้เด็กเกิดการเรียนรู้โดยครูคอยสังเกตรับฟัง พร้อมท้ังใช้คาถาม กระตุ้นไปในแนวทางที่ทาให้เด็กเกิดความคิดสร้างสรรค์และระหว่างเด็กหญิงและเด็กชายจะมี พฤตกิ รรมการเล่นท่ีแตกต่างกัน โดยเฉพาะการเล่นในมุมไม้บล็อก เด็กชายมีความสามารถและกล้า แสดงพฤติกรรมการเล่นมากกวา่ เด็กหญิง การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ให้กับเด็กได้อย่างเต็มศักยภาพในขณะท่ีเด็กเล่นควร มกี รอบความคดิ อยา่ งเป็นข้นั ตอน ตลอดจนมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์และการจัดวางขนาด ของไมบ้ ลอ็ กใหต้ า่ งกันในแต่ละวันและถ้าไดร้ ับการเลน่ ตัง้ แต่เลก็ การพัฒนาทางการเล่นจะไม่ยุดชะงัก ตรงกนั ข้ามจะช่วยฝึกให้เด็กมีระเบียบ รจู้ กั การตดั สินใจ มีความสมดุลในการออกแบบก่อสรา้ ง ๗.๒ ความหมาย Torrance (๑๙๖๒ : ๑๖)๒ กล่าววา่ ความคิดสร้างสรรคเ์ ปน็ ความสามารถของบุคคลในการ คดิ สร้างสรรคผ์ ลติ ผล หรอื ส่งิ แปลกๆ ใหมๆ่ ท่ีไมร่ ู้จักมากอ่ น ซ่ึงสงิ่ ตา่ งๆ เหลา่ นอี้ าจจะเกิดจากการ รวมความรู้ตา่ งๆ ที่ได้รับจากประสบการณ์แล้วเช่อื มโยงกับสถานการณ์ใหม่ๆ สง่ิ ทีเ่ กดิ ขึน้ แตไ่ มจ่ าเป็น สงิ่ สมบรู ณอ์ ย่างแทจ้ ริง ซ่งึ อาจออกมาในรปู ของผลผลิตทางศลิ ปะ วรรณคดี วิทยาศาสตร์ ๑ กรรณกิ าร์ สสุ ม, “การศกึ ษาความคิดสรา้ งสรรค์และความสามารถในการสังเกตของเดก็ ปฐมวยั ท่ี ไดร้ ับการเล่นสรรคส์ รา้ ง”, วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญาโท มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ ประสานมติ ร, ๒๕๓๓ หนา้ ๒. ๒ Torrance, E.P. and R.E. Myers. (1962). Creative Learning and Teaching. New York : Good, Mead and Company.

พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๒๖ Wallach and Kogan (๑๙๖๕ : ๑๓-๒๐)๓ ให้ความหมายของความคิดสร้างสรรคว์ า่ หมายถงึ ความคิดโยงสมั พันธ์ (Association) คนทมี่ ีความคดิ สร้างสรรค์ คือ คนทส่ี ามารถจะคิดอะไรไดอ้ ย่าง สมั พนั ธ์เป็นลกู โซ่ กลิ ฟอรด์ กล่าวว่า “ความคดิ สร้างสรรค์เป็นความสามารถทางสมองในการคิดหลายทิศทาง ซึ่งมีองค์ประกอบความสามารถในการริเริ่ม ความคล่องในการคิด ความยืดหยุ่นในการคิด และ ความสามารถในการแต่งเติมและให้คาอธิบายใหม่ที่เป็นการติดตามหลักเหตุผลเพื่อหาคาตอบท่ี ถูกต้องเพียงคาตอบเดียง แต่องค์ประกอบที่สาคัญท่ีสุดของความคิดสร้างสรรค์คือความคิดริเริ่ม นอกจากน้ี กลิ ฟอร์ดเช่ือว่า ความคดิ สร้างสรรคไ์ ม่ใช่พรสวรรค์ท่ีบุคคลมี แต่เป็นคุณสมบัติท่ีมีอยู่ในตัว บคุ คลซึง่ มีมากน้อยไมเ่ ทา่ กนั และบคุ คลแสดงออกมาในระดับตา่ งกัน” นอกจากน้ี กิลฟอร์ด๔ ได้ศึกษาลักษณะพื้นฐานของผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ซ่ึงมาทั้งหมด ๕ ประการ ดังน้ี ๑. ความรู้สึกไวต่อปัญหา หมายถึง บุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์จะมีความสามารถในการ จดจาปญั หาตา่ งๆ รวมทั้งความสามารถในการเข้าถึงหรือการทาความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เข้าใจผิด สิ่ง ท่ีขาดข้อเท็จจริง สิ่งท่ีเป็นมโนทัศน์ที่ผิดหรืออุปสรรคต่างๆ ที่ยังมืดมนอยู่ ซึ่งพอจะสรุปได้ว่า ความรู้สึกไวต่อปัญหาของบุคคลเป็นส่ิงที่สาคัญที่สุด เพราะบุคคลจะไม่สามารถแก้ปัญหาจนกว่าเขา จะได้รวู้ า่ ปญั หาน้ันคอื อะไร หรืออยา่ งน้อยเขาจะตอ้ งรูว้ ่าเขากาลังประสบปัญหาอยู่ ๒. ความคล่องในการคิด หมายถึง บุคคลท่ีมีความคิดสร้างสรรค์จะมีความสามารถในการ ผลิตแนวความคิดจานวนมากในเวลาอันรวดเร็ว แล้วเลือกแนวความคิดท่ีดีท่ีสุดมาใช้แก้ปัญหา สิ่งที่ แสดงลักษณะพิเศษของความคล่องในการคิด นอกจากการผลิตแนวความคิดท่ีมากมายและรวดเร็ว แล้ว แนวความคิดที่ผลิตข้ึนมาใหม่นั้นควรจะเป็นแนวความคิดที่แปลงใหม่ และดีกว่าแนวความคิดที่ อยูใ่ นปัจจุบนั นอกจากนั้น บุคคลทไี่ ดช้ อื่ วา่ มีความคล่องในการคิด จะต้องมีความสามารถปรับเปล่ียน ทศิ ทางในการคดิ ได้เปน็ อยา่ งดี ๓. ความคิดริเริ่ม หมายถึง บุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์จะมีความสามารถในการค้นหา แนวทางใหม่ๆ หรือวิธีการแปลงๆ แตกต่างกันออกไปมาใช้ในการแก้ปัญหา ความคิดริเริ่มเป็นส่ิงท่ี จาเป็นอยา่ งยิ่งโดยเฉพาะในวงการธุรกิจ ผู้บริหารจาเป็นท่ีจะต้องแสวงหาแนวทางใหม่ๆ มาแก้ปัญหา ทเี่ ปลย่ี นแปรไป นอกจากจะตอ้ งแสวงหาแนวทางใหม่ๆ แล้ว ยังจาเป็นจะต้องปรับปรุงแนวทางใหม่ๆ เหล่านี้มาช่วยแก้ไขปัญหาที่คิดข้ึนในสภาพการณ์ใหม่ๆ ดังนั้น นักบริหารจาเป็นจะต้องสร้าง “ความคิดริเร่ิม” ให้เกิดขึ้น ท่ีกล่าวว่าความคิดริเร่ิมเป็นส่ิงท่ีจาเป็นสาหรับนักบริหารในวงการธุรกิจ ก็เน่ืองมาจากว่าการประกอบธุรกิจนั้นมีการแข่งข้ันกันมาก โดยเฉพาะในด้านการผลิตสินค้าให้เป็น ท่ีต้องการของตลาด ให้มีความแปลงกใหม่ คุณภาพดี และราคาถูก ซ่ึงความคิดริเริ่มจะช่วยแก้ปัญหา ต่างๆ เหลา่ นไ้ี ดม้ าก ๓ Wallach, Michael A. and kogan Nathan. (1965). Model of Thinking in Young Children. New York : Holt, Rinehartandwinston. ๔ กลิ ฟอร์ด (Guilford, 1959 : 145 –151), อา้ งจาก กรรณิการ์ สุขมุ , “การศกึ ษาความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการสงั เกตของเด็กปฐมวยั ท่ไี ดร้ บั การเล่นสรรคส์ ร้าง”, วิทยานพิ นธป์ ริญญาโท มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ ประสานมิตร, ๒๕๓๓.

พุทธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๒๗ ๔. ความยดื หยุน่ ในการคดิ หมายถึง บุคคลท่ีมีความคิดสร้างสรรค์จะมีความสามารถในการ หาวิธีการหลายๆ วิธีมาแก้ไขปัญหา แทนที่จะใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งเพียงวิธีเดียว บุคคลที่มีความ ยืดหยุ่นในการคิดจะจดจาวิธีแก้ปัญหาท่ีเคยใช้ไม่ได้ผลทั้งนี้ เพ่ือท่ีจะไม่นามาใช้ซ้าอีก แล้วพยายาม เลือกหาวิธีการใหม่ที่คิดว่าแก้ปัญหาได้มาแทน ซ่ึงความยืดหยุ่นในการคิดจะมีความสัมพันธ์อย่าง ใกล้ชิดกับความคล่องในการคิดนั่นคือ ความยืดหยุ่นในการคิดและความคล่องในการคิดจะเป็น ความสามารถของบุคคลในการหาวิธีการคิดหลายๆ วิธีเพื่อใช้ในการแก้ปัญหา เป็นความจริงท่ีว่า บุคคลสร้างแนวความคิดหรือวิธีการแก้ไขปัญหาได้ ๒๐-๓๐ วิธี เพ่ือใช้ในการแก้ปัญหาซ่ึงจะได้ผล ดีกว่าบุคคลท่ีหาวิธีการแก้ไขปัญหาเพียง ๒-๓ วิธีและใช้ไม่ได้ผล ดังนั้น ถ้าบุคคลจะพัฒนาหรือ ปรับปรุงความยืดหยุ่นในการคิด ก็จะกระทาได้โดยการพยายามหาวิธีการแก้ปัญหาหลายๆ วิธีและ วเิ คราะหป์ ญั หาในหลายมุมมอง ซง่ึ จะชว่ ยใหเ้ ขาพัฒนาความยืดหย่นุ ทางการคดิ ได้เปน็ อยา่ งดี ๕. แรงจูงใจ หมายถึง บุคคลท่ีมีความคิดสร้างสรรค์สูงมักมีแรงจูงใจสูง เพราะแรงจูงใจ เป็นลกั ษณะสาคัญของบคุ คลในการทจ่ี ะแสงตนวา่ เป็นผู้ท่ีมีความคิดสร้างสรรค์ แรงจูงใจน้ีสามารถทา ให้บุคคลกล่าวแสดงความพเิ ศษท่ีไม่เหมือนใครออกมาอย่างเต็มท่ี หรืออาจจะมากกว่าคนอื่นๆ บุคคล ทีม่ แี รงจงู ใจสูงน้ี จะใหค้ วามสนใจในการหาแนวทางแก้ปัญหาด้วยความกระตือรือล้นและสิ่งที่ผลักดัน ให้เกิดความกระตือรือล้น ก็คือ แรงจูงใจ เน่ืองจากแรงจูงใจเป็นสิ่งท่ีสาคัญของการตระเตรียมปัญหา เราพบว่าความสาเรจ็ ในชีวิตสว่ นใหญจ่ ะขึ้นอย่กู บั แรงจงู ใจ เทยเลอร์และฮอล์แลนด์ ช้ีให้เห็นว่าคนที่มี ความคิดสร้างสรรคม์ กั จะมีแรงจูงใจสงู ในการทจ่ี ะทาใหผ้ ลผลิตดีขึน้ ดว้ ย แอนเดอร์สัน๕ กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นกระบวนการทางความคิดใหม่ ความคิด สร้างสรรค์เป็นกระบวนการคิดที่หลอมรวมความรู้จากประสบการณ์เพื่อเสนอแนวทางใหม่ในการ แก้ปญั หาหรือวธิ ีการใหม่ในการทางาน ยุบล บุญชื่น๖ กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นกระบวนการคิดที่กว้างขว้าง อาจอยู่ใน รปู แบบการผลิตสง่ิ ใหม่ๆทไี่ มซ่ า้ กับผู้อื่น หรือความสามารถในการประดิษฐ์ส่ิงต่างๆ ท่ีมีอยู่แล้วให้เป็น สงิ่ ใหม่ด้วยการใชค้ วามคดิ อยา่ งอสิ ระ พรพรรณ อินทสงค์๗ กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถของบุคคลในการคิด ดัดแปลงสิง่ เดิมให้ดแี ละแปลกใหม่ หรือผลิตสง่ิ แปลกใหม่ข้นึ และเมือ่ มปี ญั หาก็สามารถคิดแก้ปัญหาได้ อย่างรวดเร็ว ด้วยวิธีแปลกใหม่ข้ึน และเม่ือมีปัญหาก็สามารถคิดแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ด้วยวิธี ๕ Anderson, James E. Public Policy – Making : Introduction. 2nd. New York : Houghton Mifflin Company. 1994 p.90-93. ๖ ยบุ ล บุญชน่ื , “ความสัมพันธร์ ะหวา่ งแบบการคดิ ความคิดสร้างสรรค์ และผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๑ โรงเรยี นอมั พวนั วิทยาลยั จังหวดั สมทุ รสงคราม”, วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญาศึกษาศาสตรม์ หาบัณฑิตมหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์, ๒๕๒๕ หน้า ๑๔. ๗ พรพรรณ อนิ ทสงค,์ “การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน ความคดิ สร้างสรรค์และทัศนคติต่อ วชิ าภาษาไทยของนักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๕ จากการสอนแบบสืบสวนสอบสวนกับการสอนตามแผนของ กลมุ่ โรงเรยี นมธั ยมศกึ ษาตอนต้นจังหวัดฉะเชงิ เทรา”, ปริญญานพิ นธ์การศกึ ษามหาบณั ฑติ บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ ประสานมติ ร, ๒๕๓๒ หนา้ ๓๑.

พทุ ธจิตวทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๒๘ แปลกใหม่ และเป็นวิธีเฉพาะของตนเอง ความคิดสร้างสรรคป์ ระกอบด้วยความยืดหยุ่น ความคิดริเริ่ม และความคลอ่ งในการคดิ สุนทรีย์ สราญชาติ๘ กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถของสมองในการคิด ผสมผสาน และดดั แปลงจากความรูแ้ ละประสบการณ์ แลว้ แปรความคิดออกมาใช้ในการแก้ปัญหา ซึ่ง อาจจะอยู่ในรปู ของการกระทาหรือผลผลติ ท่ีแปลกใหม่ออกไปจากเดิม ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง ความสามารถในการมองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ โดย มีสิ่งเร้าเป็นตัวกระตุ้น ทาให้เกิดความคิดใหม่ต่อเนื่องกันไป และความคิดสร้างสรรค์นี้ ประกอบด้วยความคล่องในการคิด ความยืดหยุ่นและความคิดที่เป็นของตนเองโดยเฉพาะหรือ ความคิดริเรม่ิ กุลนิษก์ สอนวิทย์๙ ได้ให้ความหมายว่า ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง ความสามารถใน การแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยวิธีการที่เหมาะสม ซ่ึงมีผลมาจากการเรียนรู้ การริเร่ิมและประสบการที่ สะสมมา อีกทั้งประสบการใหม่ที่ได้รับการส่งเสริม โดยการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้ออานวยต่อการ แสดงออก อารี พันธ์มณี๑๐ ได้กล่าวถึงความคิดสร้างสรรค์ว่า เป็นกระบวนการทางสมองที่คิดในลักษณะ อเนกนัย อันนาไปสู่การคิดพบสิ่งแปลกใหม่ด้วยการคิดดัดแปลง ปรุงแต่งจากความคิดเดิมผสมผสาน กันให้เกิดส่ิงใหม่ ซึ่งรวมท้ังการประดิษฐ์คิดค้นพบส่ิงต่างๆ ตลอดจนวิธีการคิด ทฤษฎีหลักการได้ สาเร็จ ความคิดสร้างสรรค์จะเกิดข้ึนได้มิใช่เพียงแต่คิดในส่ิงที่เป็นไปได้ หรือสิ่งที่เป็นเหตุผล เพียง อยา่ งเดียวเท่าน้นั หากแตค่ ิดจนิ ตนาการกเ็ ปน็ สง่ิ สาคญั ย่ิงท่จี ะกอ่ ใหเ้ กิดความแปลกใหม่ แต่ต้องควบคู่ กันไปกับ ความพยายามทีจ่ ะสร้างความคดิ ฝันหรือจินตนาการให้เปน็ ไปได้หรือเรียกว่าเป็นจินตนาการ ประยกุ ต์น้นั เอง จงึ จะทาให้เกิดผลงาน สมศักด์ิ ภู่วิภาดาวรรธณ์๑๑ ได้ใหค้ วามหมายของความคดิ สรา้ งสรรคไ์ ว้ ๒ ลกั ษณะ ดังต่อไปน้ี ๑. ความคิดสรา้ งสรรค์เป็นเร่ืองทีส่ ลบั ซบั ซอ้ น ยากแกก่ ารให้คาจากดั ความทแี่ นน่ อนตายตวั ๒. ถา้ พจิ ารณาความคิดสรา้ งสรรค์ในเชิงผลงาน ผลงานน้นั ตอ้ งแปลกใหม่และมคี ุณคา่ กล่าวคือ ใช้ได้โดยมีคนยอมรับ ถ้าพิจารณาความคิดสร้างสรรค์ในเชิงกระบวนการคือการ เชื่อมโยงสัมพันธ์ส่ิงของหรือความคิดที่มีความแตกต่างกันมากเข้าด้วยกัน ถ้าพิจารณาความคิด สร้างสรรค์เชิงบุคคล บุคคลน้ันต้องเป็นคนที่มีความแปลก เป็นตัวของตัวเอง เป็นผู้ท่ีมีความคิดคล่อง มีความยืดหยุ่น และสามารถใหร้ ายละเอยี ดในความคิดนนั้ ๆ ได้ ๘ สุนทรยี ์ สราญชาติ, ความคิดสรา้ งสรรคข์ องเดก็ ปฐมวยั ที่ไดร้ บั การจัดกิจกรรมเคลือ่ นไหวและจงั หวะ ทีเ่ น้อนองคป์ ระกอบพ้นื ฐาน, ปรญิ ญานิพนธ์ กศ.ม.,(การศึกษาปฐมวยั ) กรงุ เทพมหานคร : บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ, ๒๕๓๗ หน้า ๗. ๙ กุลนษิ ก์ สอนวทิ ย์, การศึกษาความต้องการการนเิ ทศการสอนของครูผสู้ อนวิชาชีพ ประเภทวิชาศลิ ปห์ ัต กรรม ในสถานศึกษาสังกดั กรมอาชีวศกึ ษา, วิทยานิพนธค์ รศุ าสตร์มหาบัณฑติ สาขาวชิ าการบรหิ ารการศึกษา, บัณฑติ วิทยาลัย จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั , ๒๕๓๔ หน้า ๔๔. ๑๐ อารี พนั ธ์มณ,ี ความคดิ สรา้ งสรรค์. กรงุ เทพมหานคร : ต้นออ้ , ๒๕๓๗ หน้า ๒๕. ๑๑ สมศักด์ิ ภู่วภิ าดาวรรธณ์, เทคนคิ การสง่ เสริมความคิดสรา้ งสรรค.์ กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานชิ , ๒๕๓๗ หนา้ ๕๖.

พุทธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๒๙ สรุปได้ว่า ความคิดสร้างสรรค์ คือ ความสามารถทางสมองของบุคคลท่ีจะคิดได้หลายทิศ หลายทาง หรือคิดได้หลายคาตอบ และความสามารถในการมองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ โดยมีส่ิงเร้าเป็นตัวกระตุ้นทาให้เกิดความคิดใหม่ต่อเนื่องกันไป และความคิดสร้างสรรค์น้ีอาจเป็น ความคดิ ใหมผ่ สมผสานกัประสบการณ์กไ็ ด้ ๗.๓ ทฤษฎคี วามคิดสรา้ งสรรค์ Davis๑๒ ได้รวบรวมแนวคิดเก่ียวกับความคิดสร้างสรรค์ของนักจิตวิทยาที่ได้กล่าวถึงทฤษฎี ของความคดิ สร้างสรรค์ โดยแบง่ เป็นกลุ่มใหญๆ่ ได้ ๔ กลุม่ ๑. ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์เชิงจิตวิเคราะห์ นักจิตวิทยาทางจิตวิเคราะห์หลายคน เช่น ฟรอยด์ และคริส ได้เสนอแนวคดิ เก่ียวกับการเกดิ ความคิดสร้างสรรคว์ า่ ความคิดสรา้ งสรรค์เป็นผลมา จากความขัดแย้งภายในจิตใต้สานึกระหว่างแรงขับทางเพศ (Libido) กับความรู้สึกรับผิดชอบทาง สังคม (Social conscience) ส่วน คูไบ และรัค ซ่ึงเป็นนักจิตวิทยาแนวใหม่ กล่าวว่า ความคิด สร้างสรรค์น้ันเกิดข้ึนระหว่างการรู้สติกับจิตใต้สานึก ซ่ึงอยู่ในขอบเขตของจิตส่วนท่ีเรียกว่า จิตก่อน สานึก ๒. ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์เชิงพฤติกรรมนิยม นักจิตวิทยากลุ่มนี้มีแนวความคิดเก่ียวกับ เรื่องความคิดสร้างสรรค์ว่า เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ โดยเน้นท่ีความสาคัญของการ เสรมิ แรง การตอบสนองทถ่ี กู ต้องกับสิ่งเรา้ เฉพาะหรือสถานการณ์ นอกจากนี้ยังเน้นความสัมพันธ์ทาง ปัญญา คือการโยงความสัมพันธ์จากสิ่งเร้าหน่ึงไปยังสิ่งเร้าต่างๆ ทาให้เกิดความคิดใหม่ หรือส่ิงใหม่ เกดิ ข้ึน ๓. ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์เชิงมานุษยนิยม นักจิตวิทยาในกลุ่มนี้มีแนวคิดว่าความคิด สรา้ งสรรค์เป็นส่ิงที่มนุษย์มีติดตัวมาต้ังแต่เกิด ผู้ท่ีสามารถนาความคิดสร้างสรรค์ออกมาใช้ได้คือผู้ที่มี สัจการแห่งตน คือรู้จักตนเอง พอใจตนเอง และใช้ตนเองเต็มตามศักยภาพของตนมนุษย์จะสามารถ แสดงความคิดสร้างสรรค์ของตนเองมาได้อย่างเต็มท่ีน้ันขึ้นอยู่กับการสร้างสภาวะหรือบรรยากาศที่ เอ้ืออานวย ได้กล่าวถึงบรรยากาศท่ีสาคัญในการสร้างสรรค์ว่า ประกอบด้วยความปลอดภัยในเชิง จิตวิทยา ความมั่นคงของจิตใจ ความปรารถนาท่ีจะเล่นความคิดและการเปิดกว้างที่จะรับ ประสบการณใ์ หม่ ๔. ทฤษฎีอูต้า (AUTA) ทฤษฎีน้ีเป็นรูปแบบของการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดข้ึนในตัว บคุ คล โดยมแี นวคิดว่าความคิดสร้างสรรค์นั้นมีอยู่ในมนุษย์ทุกคนและสามารถพัฒนาให้สูงขึ้นได้ การ พฒั นาความคิกสรา้ งสรรค์ตามรูปแบบอูต้าประกอบดว้ ย ๔.๑ การตระหนัก (Awareness) คือ ตระหนักถึงความสาคัญของความคิดสร้างสรรค์ที่มี ตอ่ ตนเอง สงั คม ท้ังในปจั จบุ ันและอนาคต และตระหนกั ถึงความคิดสรา้ งสรรค์ทีม่ อี ย่ใู นตนเองดว้ ย ๑๒ กรมวชิ าการ, ความคิดสรา้ งสรรค์, กรงุ เทพมหานคร : กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, หน้า ๖-๗.

พทุ ธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๓๐ ๔.๒ ความเขา้ ใจ (Understanding) คอื มคี วามรู้ ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวขอ้ งกับความคิดสรา้ งสรรค์ ๔.๓ เทคนคิ วิธี (Techniques) คือ การร้เู ทคนคิ ในการพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ท้ังท่ีเป็น เทคนิคส่วนบุคคล และเทคนคิ ท่ีเปน็ มาตรฐาน ๔.๔ การตระหนักในความจริงของสิ่งต่างๆ (Actualization) คือ การรู้จักหรือตระหนัก ในตนเอง พอใจในตนเอง และพยายามใช้ตนเองและพยายามใช้ตนเองเต็มศักยภาพ รวมท้ังการเปิด กว้างรับประสบการณ์ต่างๆ โดยมีการปรับตัวได้อย่างเหมาะสม การตระหนักถึงเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน การผลติ ผลงานดว้ ยตนเอง และมีความคิดที่ยดื หยนุ่ เขา้ กับทกุ รูปแบบของชีวิต องคป์ ระกอบทัง้ ๔ นี้ จะผลักดนั ใหบ้ ุคคลสามารถดึงศักยภาพเชงิ สร้างสรรค์ของตนเองออกมา ใช้ได้ ๑.ทฤษฎีของ Freud มที ัศนะเกย่ี วกบั ความคิดสร้างสรรค์ว่า ความคิดสร้างสรรค์ เร่ิมต้นจากความขัดแย้งซึ่งถูกขับดันออกมาโดยพลังจิตใต้สานึกขณะท่ีมีความขัดแย้งเกิดขึ้น คนที่มี ความคดิ สรา้ งสรรค์จะมีความคดิ อิสระขน้ึ มากมาย แต่คนทไี่ ม่มคี วามคดิ สรา้ งสรรค์จะไม่มีส่ิงนี้ ๒. ทฤษฎีของ tayler ได้ให้ข้อคิดของทฤษฎีอย่างน่าสนใจว่า ผลงานของความคิด สร้างสรรค์ของคนนั้นไม่จาเป็นต้องเป็นขั้นสูงสุดเสมอไป คือไม่จาเป็นต้องคิดค้นคว้าประดิษฐ์ส่ิงของ ใหม่ๆ ที่ยังไม่มีผู้ใดคิดมาก่อนเลย หรือสร้างทฤษฎีท่ีต้องใช้ความคิดด้านนามธรรมสูงย่ิง แต่ความคิด สรา้ งสรรค์ของคนน้นั อาจเป็นข้ันใดขั้นหน่งึ ใน ๖ ข้นั ตอ่ ไปนี้ ข้ันที่ ๑ เป็นความคิดสร้างสรรค์ข้ันต้นที่สุด เป็นสิ่งสามัญธรรมดา คือ เปน็ พฤตกิ รรมหรอื การแสดงออกของตนอย่างอสิ ระ ซง่ึ พฤตกิ รรมน้นั ไม่จาเป็นต้องอาศัยความคิดริเริ่ม และทกั ษะแต่อย่างใด คือใหแ้ ต่เพยี งกลา้ แสดงออกอย่างอสิ ระเท่าน้ัน ขั้นที่ ๒ เป็นผลงานซึ่งผลิตออกมาโดยผลงานน้ันจาเป็นต้องอาศัยทักษะ บางประการ แต่ไมจ่ าเปน็ ตอ้ งเปน็ สิ่งใหม่ ข้ันที่ ๓ ขั้นสร้างสรรค์ เป็นข้ันท่ีแสดงถึงความคิดใหม่ของบุคคล ไม่ได้ ลอกเลยี นแบบมาจากใครแม้วา่ งานนั้นจะมคี นอน่ื คดิ แลว้ ก็ตาม ขั้นที่ ๔ เป็นข้นั ความคดิ สร้างสรรค์ ขั้นประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆโดยไม่ซ้าแบบใคร เปน็ ข้นั ที่ผ้กู ระทาไดแ้ สดงใหเ้ หน็ ความสามารถทแี่ ตกตา่ งไปจากผู้อน่ื ข้ันที่ ๕ เปน็ ข้นั พัฒนาปรับปรงุ ผลงานในข้นั ที่สใี ห้มีประสิทธิภาพมากข้ึน ข้ันท่ี ๖ เป็นขั้นความคิดสร้างสรรค์สุดยอด สามารถคิดส่ิงท่ีเป็นนามธรรม สูงสุดได้ เชน่ ชารล์ ดารว์ นิ คิดตัง้ ทฤษฎีวิวฒั นาการขนึ้ ๓.ทฤษฎีของความคดิ สร้างสรรคใ์ นรปู ของการโยงสมั พันธ์ (Associative Theory) กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์ประกอบด้วยการสร้างแนวคิดใหม่ โดยการรวมส่ิงที่สัมพันธ์กันเข้า ดว้ ยกัน ซ่งึ การรวมกันนจ้ี ะตอ้ งเป็นไปตามเงื่อนไขเฉพาะอยา่ ง หรอื รวมกันแล้วต้องเกิดประโยชน์ทาง ใดทางหนึ่ง หรือเมื่อระลึกส่ิงใดได้ก็เป็นแนวทางในการระลึกถึงสิ่งอื่น ๆ ต่อ ๆ กันไป สัมพันธ์กัน เปน็ ลกู โซ่ เชน่ เม่ือนึกถึงโต๊ะ ก็ทาให้นึกถึงเก้าอ้ไี ปใชว้ างของเปน็ ต้น

พทุ ธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๓๑ ๔.ทฤษฎีโครงสรา้ งทางสมอง ( The Structure of Intellect theory ) ทฤษฎีนี้ สร้างโดย Guilford นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน เข้าได้อธิบายโครงสร้างทางสมอง ในรูปแบบจาลอง สามมติ ิ (Three Dimensional Model ) ดังน้ี มิติที่ ๑ วิธีการคิด (Operations)แบ่งออกเป็นห้าด้านคือการรู้จักและ เข้าใจ (Cognition) การจา ( Memory ) การคิดอเนกนัย ( Divergent Production) การคิด เอกมัย( Convergent Production ) และการประเมนิ คา่ ( Evaluation) มิติท่ี ๒ เนื้อหา (Contents) แบ่งออกเป็นสี่แบบ คือ ภาพ (Figural) สัญลักษณ์ (Symbolic ) ภาษา ( Semantic) และพฤตกิ รรม (Behavioral) มิติท่ี ๓ ผลการคิด ( Products) แบ่งออกเป็นหกแบบ คือ หน่วย (Units) จาพวก ( Classes) ความสัมพันธ์ (Relation) ระบบ ( System ) การแปลงรูป (Transformation) และการประยกุ ต์ ( Implications) ๕. ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ ของ Torrance กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์จะ แสดงออกตลอดกระบวนการของความรู้สึกหรือการเห็นปัญหา การรวบรวมความคิดเพ่ือก่อต้ังเป็น สมมติฐาน การทดสอบ และการแปลงสมมตฐิ าน ตลอดจนการเผยแพรถ่ ึงผลผลติ ที่ได้รับ ซึ่งทฤษฎี ของ Torrance อาจขยายความได้ว่า ผู้ท่ีมีความคิดริเร่ิมเพ่ือแสวงหาวิธีใหม่ในการเผชิญหรือ แกป้ ัญหา๑๓ จากทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ทกี่ ลา่ วมาแลว้ ท้ังหมด จะเห็นว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นทักษะ ที่มีในตัวบุคคลทุกคน และสามารถท่ีจะพัฒนาให้สูงข้ึนได้โดยอาศัยการเรียนรู้และบรรยากาศ ทเ่ี อ้อื อานวย ๗.๔ ความสาคัญความคิดสร้างสรรค์ เจอรซ์ ลิ ๑๔ ไดก้ ล่าววา่ ความคดิ สรา้ งสรรค์ไดช้ ว่ ยพัฒนาเด็กดังน้ี คือ ๑. ความเป็นอิสระ กิจกรรมที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์จะเป็นการส่งเสริมอิสรภาพในการ ทางาน เช่น กิจกรรมทางดนตรี วาดภาพ การแสดง เปน็ ต้น ๒. สุนทรียภาพ เด็กจะรู้สึกช่ืนชมและมีทัศนคติท่ีดีต่อสิ่งต่างๆซึ่งผู้ใหญ่ควรทาเป็นตัวอย่าง โดยการยอมรับและชื่นชมในผลงานของเด็ก การพัฒนาสุนทรียภาพทาโดยให้เด็กเห็นว่าทุกๆอย่างมี ความหมายสาหรบั เขา ๓. ความพอใจและความสนุกสนานขณะที่เด็กทากิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆการเปิดโอกาสให้ เด็กแสดงความสามารถทางสร้างสรรค์จะชว่ ยใหเ้ ดก็ ตระหนักถึงคุณคา่ ความเปน็ มนุษย์ ช่วยส่งเสริมให้ เขามีกาลังใจเข้าใจตนเองวา่ มคี วามคิดท่ีดีและมีความสามารถ ๑๓ ธรี ชัย เนตรถนอมศกั ด,์ิ การสงั เคราะหว์ ิจัยเกี่ยวกบั ความคิดสรา้ งสรรคใ์ นประเทศไทย,วทิ ยานพิ นธ์ ปรญิ ญามหาบณั ฑิต, มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ , บณั ฑิตวทิ ยาลยั สาขาวชิ าการประถมศกึ ษา,๒๕๓๘ หนา้ ๒๓. ๑๔ Jersild, Arthur T. Child Psychology. ๖th ed. Englewood Cliffs, New Jersey : Prentice- Hall. 1972 : 153-158.

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๓๒ ๔. การผ่อนคลายอารมณ์ การทางานสร้างสรรค์เป็นการผ่อนคลายอารมณ์ ลดความกดดัน ความคบั ข้องใจและความก้าวร้าวลง ๕. สรา้ งนสิ ยั การทางานทดี่ ี มีระเบียบ ๖. การพัฒนากล้ามเนื้อมือเด็กทากิจกรรมที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เด็กจะพัฒนา กล้ามเนอื้ มอื กล้ามเน้อื เลก็ และใหญไ่ ด้ ๗. การค้นคว้าทดลองและการสารวจ เด็กชอบทากจิ กรรมทใี่ ช้วัสดตุ า่ งๆ ซ้าๆกนั เพ่ือสร้างส่ิง ต่างๆ ซึง่ เปน็ โอกาสทีเ่ ด็กจะใช้ความคิดรเิ ริ่มและจินตนาการของเขาสารวจฝกึ ฝนสง่ิ ท่สี ร้างขน้ึ มาใหม่ ปราโมทย์ ขนั ตลิ าภาพนั ธ์๑๕ กล่าวถงึ ความสาคญั ของความคิดสรา้ งสรรคว์ า่ ชว่ ยใหบ้ คุ คลกระทาสิ่งต่างๆได้ประสบผลสาเร็จ รู้จักวิธีแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นจากการเปล่ียนแปลง ทางสงั คม ดังน้ัน ความคดิ สร้างสรรค์จึงเป็นคุณสมบัติท่ีทุกหน่วยงานและสังคมต้องการ เพราะบุคคล ท่ีมีความคิดสร้างสรรค์ จะพยายามหาโอกาสปรับปรุงและแก้ไขสภาพการทางานในรูปแบบเดิมด้วย วิธีการทม่ี ีประสทิ ธภิ าพมากกวา่ เดมิ นอกจากนยี้ งั สามารถดารงตนในสังคมไดอ้ ย่างมคี วามสุขอีกดว้ ย อนงค์ แสงเงิน๑๖ กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นคุณลักษณะท่ีควรได้การส่งเสริมและ ปลูกฝัง เพื่อช่วยผอ่ นคลายอารมณ์และสร้างนิสยั ที่ดใี ห้กับเด็กสามารถนาความรู้ไปใช้ในการแก้ปัญหา ในชวี ิตได้ ดงั น้นั ความคิดสร้างสรรค์จึงเปน็ สง่ิ สาคญั ที่จะช่วยให้คนสามารถนาไปใช้แก้ปัญหาชีวิตของ ตนเองได้ อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นประโยชน์ต่อ สังคมและชุมชนได้อีกด้วย จึงควรจัดให้มีการส่งเสริม สนับสนุนให้นกั เรยี นเกดิ ความคิดสรา้ งสรรค์ อนั จะชว่ ยใหส้ ังคมเจริญก้าวหนา้ ต่อไปในอนาคต ความคิดสร้างสรรค์มีความสาคัญมาก ดังที่ได้กล่าวมาจะเห็นว่า ความคิดสร้างส รรค์มี ประโยชน์ต่อบุคคลและสังคม ช่วยให้เกิดการพัฒนาไปในทางท่ีดีและถูกต้อง หากคนรู้จักนาความคิด สร้างสรรคไ์ ปใช้ให้เกิดประโยชน์ตอ่ มนุษยชาติ ๗.๕ การบวนการความคดิ สร้างสรรค์ จากการวิเคราะห์ของนักการศึกษาและนักจิตวทิ ยา ได้ศึกษาเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์และ ไดจ้ ัดลาดับขนั้ ตอนการเกดิ ความคดิ สร้างสรรค์ไว้ ๔ ข้ันตอน ดังนี้๑๗ ๑. ขัน้ เตรียม (Preparation) เป็นขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับความรู้ทั่วไปและ ความรเู้ ฉพาะ เพื่อมาประกอบการพิจารณา โดยอาศยั พนื้ ฐานของกระบวนการตอ่ ไปนี้ ๑๕ ปราโมทย์ ขนั ตลิ าภาพนั ธ,์ ความสมั พนั ธ์ระหว่างความถนัดทางการเรยี นดา้ นภาษาไทยและ คณติ ศาสตรก์ บั ผลสมั ฤทธิใ์ นการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปที ี่ ๒ จังหวัดระยอง, วทิ ยานพิ นธ์ ศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิตมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร,์ ๒๕๓๐ หนา้ ๒๓. ๑๖ อนงค์ แสงเงิน, “การเปรยี บเทียบความคิดสรา้ งสรรค์ของเดก็ ปฐมวยั ท่ไี ด้รับการจดั ประสบการณ์ การเล่นสร้างสรรค์ประกอบการใชค้ าถามและการเล่นสรรคส์ ร้างแบบไม่ใช้ คาถาม”. วิทยานพิ นธป์ ริญญาโท มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ ประสานมติ ร, ๒๕๓๓ หน้า ๓. ๑๗ นิพนธ์ จติ ตภ์ กั ด,ี พัฒนาการทางความคิดสรา้ งสรรค,์ กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พไ์ ทยมติ ร การพิมพ,์ ๒๕๒๓ หนา้ ๒๐.

พทุ ธจิตวทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๓๓ ๑.๑ การสังเกตนักคิดสร้างสรรค์จาเป็นต้องเป็นนักสังเกตท่ีดี และสนใจต่อส่ิง แปลกๆใหม่ ทไ่ี ดพ้ บเหน็ เสมอ ๑.๒ การจาแนก หมายถึง กระบวนการจาแนกข้อมูลท่ีได้จากการสังเกตเป็น หมวดหมู่เพอื่ ใชเ้ ป็นแนวทางในการลาดบั ความคิดตอ่ ไป ๑.๓ การทดลอง เป็นหัวใจของการสร้างสรรค์งาน เพราะผลการทดลองจะเป็น ข้อมูลสาหรบั คิดสร้างสรรค์ต่อไป ๒. ขั้นฟักตัว (Incubation) เป็นขั้นท่ีใช้เวลาสาหรับการครุ่นคิดเป็นระยะที่ยังคิดไม่ออก บางครั้งแทบไม่ไดใ้ ช้ความคิดเลย การฟกั ตวั น้ีบางคร้ังความคิดอ่ืนจะแวบมาโดยไม่รตู้ ัว ๓. ขั้นคิดออก (Illumination or Inspiration) เป็นขั้นของการแสดงภาวะสร้างสรรค์อย่าง แท้จริง คอื สามารถมองเหน็ ลู่ทางในการริเริม่ หรอื สร้างสรรค์งานอยา่ งแจม่ ชัด โดยตลอด ๔. ขัน้ พิสจู น์ (Verification) เปน็ ขน้ั การทบทวน ตรวจสอบ ปรับปรงุ ประเมนิ ค่าวธิ ีการว่าใช้ได้ หรอื ไม่ เพ่อื ใหค้ าตอบทีถ่ กู ต้องแน่นอนเป็นกฎเกณฑ์ต่อไป Divito (1971 : 208)๑๘ ไดก้ าหนดข้ันตอนของการเกิดความคิดสรา้ งสรรค์ไวด้ ังนี้ ๑. ขั้นวิเคราะห์ (Analysis) คือ ขั้นสัมผัสหรือเผชิญกับสถานการณ์ ซ่ึงส่วนมากจะเป็นปัญหา ต่างๆ ปัญหาจะถูกนามาวิเคราะห์ กาหนดนยิ ามเพ่อื กอ่ ให้เกิดความเข้าใจในปัญหาและสว่ นประกอบ ๒. ขั้นผสมผสาน (Manipulate) หลังจากรู้สภาพปัญหา วิเคราะห์ปัญหา ความคิดท่ีจะ แก้ปัญหาจะถูกนามาผสมผสานกนั ซง่ึ จะต้องอาศยั ความคับขอ้ งใจและความเขา้ ใจในปญั หา ๓. ขั้นการพบอุปสรรค (Impasse) เป็นข้ันทีเ่ กิดขึน้ บอ่ ยและเป็นข้ันสูงสุดของการแก้ปัญหาใน ขั้นน้ีจะมีความรู้สึกว่าวิธีการบางอย่างในการแก้ปัญหาน้ันใช้ไม่ได้ คิดไม่ออกรู้สึกล้มเหลวในการ แกป้ ญั หา ๔. ขั้นคิดออก (Eureka) เป็นข้ันคิดแก้ปัญหาได้ทันทีทันใดหลังจากที่ได้พบอุปสรรคมาแล้ว ซึง่ จะทาให้เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจง้ ในการแกป้ ัญหาน้นั ๆ ๕. ข้ันพิสูจน์ (Verification) เป็นขั้นต่อจากข้ันพบอุปสรรคและข้ันคิดออกเพื่อพิสูจน์ ตรวจสอบความคดิ เพื่อยนื ยันความคดิ ดังกล่าว ความคิดสร้างสรรค์ไม่จาเป็นต้องมีข้ันตอนเป็นลาดับข้ันตอนดังกล่าวแต่เป็นการคาดคะเน จากเหตกุ ารณ์ทว่ั ไปทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั ความคดิ สร้างสรรค์ การคิดสร้างสรรค์ของบุคคล ไม่จาเป็นต้องเป็น ขั้นสูงสุดเสมอไป แตค่ วามคิดสร้างสรรค์อาจเปน็ ขั้นตอนใดในหกขั้นตอนต่อไปน้ี๑๙ ขนั้ ท่ี ๑ การคิดสร้างสรรค์ขัน้ ตน้ ขน้ั ที่ ๒ ขัน้ มผี ลผลติ ออกมา ขัน้ ที่ ๓ ข้นั สรา้ งสรรค์ ข้นั ท่ี ๔ ขนั้ ความคดิ สรา้ งสรรคส์ งิ่ ประดิษฐใ์ หม่ ๑๘ Divito,Altred. (1971). Recognized Assessing Creativity Developing Teacher Competencies. Englewood Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall Inc. ๑๙ บุญเหลอื ทองอย่,ู ความคดิ สรา้ งสรรค์ทางวิทยาศาสตร,์ สืบค้นจาก http://www.nana- bio.com/Research/image%20research/research%20work/ceative%20thinking/ creative%20thinking05.html สบื ค้นเม่อื ๘ ธันวาคม ๒๕๕๙.

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๓๔ ขั้นท่ี ๕ ขน้ั ปรับปรงุ ความคิดสร้างสรรค์สิง่ ประดษิ ฐ์ใหม่ๆ ข้นั ท่ี ๖ ข้นั ความคดิ สร้างสรรคส์ ูงสดุ สามารถแสดงความคิดเปน็ นามธรรม ๗.๖ องคป์ ระกอบความคดิ สร้างสรรค์ องค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์นี้ได้รับอิทธิพลมาจากทฤษฎีโครงสร้างทางสติปัญญา ของกลิ ฟอร์ด ซง่ึ เช่อื วา่ ความคดิ สรา้ งสรรคเ์ ป็นความสามารถทางสมองท่ีคิดได้อย่างซับซ้อน กว้างไกล หลายทิศทาง หรือท่ีเรียกว่า คิดอเนกนัย (Divergent thinking) ซ่ึงประกอบด้วย ความคิดริเริ่ม (Originality) ความคิดคล่องแคล่ว (Fluency) ความคิดยืดหยุ่น (Flexibility) ความคิดละเอียดลออ (Elaboration) Guilford๒๐ ได้ให้รายละเอียดเก่ียวกับองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ไวด้ งั นี้ ๑. ความคิดริเริ่ม (Originality) หมายถึง ความคิดแปลกใหม่ไม่ซ้ากันกับความคิดของคนอ่ืน และแตกต่างจากความคิดธรรมดา ความคิดริเริ่มอาจเกิดจากการคิดจากเดิมท่ีมีอยู่แล้วให้แปลก แตกต่างจากท่ีเคยเห็น หรือสามารถพลิกแพลงให้กลายเป็นสิ่งท่ีไม่เคยคาดคิด ความคิดริเร่ิมอาจเป็น การนาเอาความคิดเก่ามาปรุงแต่งผสมผสานจนเกิดเป็นของใหม่ ความคิดริเร่ิมมีหลายระดับซึ่งอาจ เปน็ ความคดิ ครั้งแรกท่ีเกดิ ข้ึนโดยไมม่ ใี ครสอนแม้ความคดิ นั้นจะมีผู้อนื่ คิดไวก้ ่อนแล้วกต็ าม ๒. ความคดิ คล่องแคล่ว (Fluency) หมายถึง ปริมาณความคิดที่ไม่ซ้ากันในเรื่องเดียวกัน โดย แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ดังน้ี ๒.๑ ความคล่องแคล่วทางด้านถ้อยคา (Word Fluency) เป็นความสามารถในการใช้ ถอ้ ยคาอย่างคล่องแคล่ว ๒.๒ ความคิดคล่องแคล่วทางด้านการโยงสัมพันธ์ (Associational Fluency) เป็น ความสามารถที่จะคิดหาถ้อยคาทเี่ หมือนกันได้มากทส่ี ุดเทา่ ท่จี ะมากได้ภายในเวลาทก่ี าหนด ๒.๓ ความคล่องแคล่วทางด้านการแสดงออก (Expression Fluency) เป็นความสามารถ ในการใช้วลีหรือประโยค กล่าวคือ สามารถที่จะนาคามาเรียงกันอย่างรวดเร็วเพื่อให้ได้ประโยคที่ ต้องการ ๒.๔ ความคล่องแคล่วในการคิด (Ideational Fluency) เป็นความสามารถที่จะคิดค้นส่ิง ที่ต้องการภายในเวลาที่กาหนด เช่น ใช้คิดหาประโยชน์ของก้อนอิฐให้ได้มากท่ีสุดภายในเวลาที่ กาหนดซึ่งอาจเป็น ๕ นาที หรอื ๑๐ นที ๓. ความคดิ ยดื หยุน่ (Flexibility) หมายถึง ประเภทหรอื แบบของการคิดแบง่ ออกเป็น ๒๐ Haylock, D. W. (1978) . An investigation into the relationship between divergentthinking in nonmathematical and mathematical situations. Mathematics in School, 7(2), p.62.

พทุ ธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๓๕ ๓.๑ ความคิดยืดหยุ่นที่เกิดขึ้นทันที (Spontaneous Flexibility) เป็นความสามารถ ที่จะพยายามคิดได้หลายทางอย่างอิสระ ตัวอย่างของคนที่มีความคิดยืดหยุ่นในด้านน้ีจะคิดได้ว่า ประโยชน์ของหนังสือพิมพ์มีอะไรบ้าง ความคิดของผู้ท่ียืดหยุ่นสามารถจัดกลุ่มได้หลายทิศทางหรือ หลายด้าน เช่น เพื่อรู้ข่าวสาร เพื่อโฆษณาสินค้า เพ่ือธุรกิจ ฯลฯ ในขณะท่ีคนท่ีไม่มีความคิด สรา้ งสรรค์จะคิดได้เพียงทิศทางเดยี ว คอื เพ่อื รขู้ ่าวสาร เท่านั้น ๓.๒ ความคิดยืดหยุ่นทางด้านการดัดแปลง (Adaptive Flexibility) หมายถึง ความสามารถในการดัดแปลงความรู้ หรือประสบการณให้เกิดประโยชน์หลายๆ ด้าน ซึ่งมีประโยชน์ ตอ่ การแกป้ ัญหา ผ้ทู มี่ ีความยืดหยุน่ จะคดิ ดดั แปลงไดไ้ มซ่ ้ากัน ๔. ความคิดละเอียดละออ (Elaboration) หมายถึง ความคิดในรายละเอียดเป็นขั้นตอน สามารถอธิบายให้เห็นภาพชัดเจน หรือเป็นแผนงานท่ีสมบูรณ์ขึ้น ความคิดละเอียดละออจัดเป็น รายละเอียดทีน่ ามาตกแต่ง ขยายความคดิ คร้งั แรกใหส้ มบูรณข์ นึ้ อารี รงั สนิ ันท์๒๑ อธบิ ายองคป์ ระกอบของความคิดสร้างสรรค์ไว้โดยสรุปดังน้ี ๑. ความคิดรเิ ร่ิม หมายถงึ ลกั ษณะความคิดแปลกใหม่แตกตา่ งความคิดธรรมดาหรือความคิด ง่ายๆ ความคิดริเริ่มท่ีเรียกว่า Wild Idia เป็นความคิดที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม ความคิด ริเริ่มเป็นลักษณะความคิดที่เกิดข้ึนเป็นครั้งแรก เป็นความคิดที่จาเป็นต้องอาศัยจินตนาการผสมกับ เหตุผลแล้วหาทางทาให้เกิดผลงาน ผู้ท่ีมีความคิดริเร่ิมเป็นคนกล้าคิด กล้าแสดงออก พร้อมท้ังกับ ทดลอง ทดสอบความคิดนน้ั อยู่เสมอ ๒. ความคลอ่ งตัว หมายถงึ ปรมิ าณความคดิ ที่ไมซ่ ้ากนั เมอ่ื ตอบปญั หาเรือ่ งเดยี วกันความคล่อง ในการคดิ นมี้ ีความสาคัญต่อการแก้ปัญหาหลายๆ วธิ ี และต้องการนาวิธีการเหล่าน้ันมาทดลองจนกว่า จะพบวธิ กี ารทถ่ี กู ต้อง ๓. ความคิดยดื หยุน่ หมายถึง ประเภท หรอื แบบของความคดิ แบง่ ออกเป็น ๓.๑ ความคิดยืดหยุ่น ท่ีเกิดข้ึนทันที เป็นความสามารถในการคิดอย่างอิสระให้ได้คาตอบ หลายแนวทางในขณะทีค่ นท่วั ไปจะคิดไดแ้ นวทางเดยี ว ๓.๒ ความคิดยืดหยุ่นทางการดัดแปลง เป็นความสามารถในการดัดแปลง ของส่ิงเดียวให้ เกดิ ประโยชน์หลายด้าน ๔. ความคิดละเอียดลออ เป็นลักษณะของความพยายามในการใช้ความคิด และประสาน ความคดิ ต่างๆ เข้าดว้ ยกนั เพ่ือใหเ้ กดิ ความสาเรจ็ จากท่ีกล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นการคิดอเนกนัย ที่ประกอบด้วย ความคดิ รเิ รม่ิ ความคล่องแคล่วในการคิด ความยืดหยุ่นในการคิด และความคิดละเอียดลออ สาหรับ องค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์มีส่วนสาคัญ เช่นเดียวกับความคิดสร้างสรรค์ ทั่วไปซึง่ ดังนั้นองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ประกอบด้วยทฤษฎีเกี่ยวกับสติปัญญาและ ความคิด แต่ท่ีจะใช้เป็นแนวคิดในการศึกษาเก่ียวกับความคิดสร้างสรรค์มี ๓ ทฤษฎี คือ ทฤษฎี ๒๑ อารี รังสินันท์, ความคดิ สรา้ งสรรค์, พิมพค์ รั้งท่ี ๓, กรงุ เทพมหานคร:แพรว่ ิทยา, ๒๕๓๒ : ๒๔-๓๔.

พทุ ธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๓๖ โครงสร้างทางสติปัญญาของกิลฟอร์ด ทฤษฎีความคิดสองลักษณะ และทฤษฎีโมเดล ทฤษฎีที่มีส่วน เกี่ยวขอ้ งกบั องคป์ ระกอบของความคิดสรา้ งสรรค์ดังกล่าวมาแล้ว คอื ทฤษฎีโครงสร้างทางสติปัญญาของกิลฟอร์ด (Guilford. 1956 : 53) ได้แบ่งสมรรถภาพทาง สมองออกเป็น ๓ มติ ิ คือ ๑. เน้อื หาท่ีคิด (Content) หมายถึง สิ่งเร้าหรือข้อมูลต่างๆ ท่ีสมองรับเข้าไปคิดมี ๔ ประเภท ได้แก่ ภาพ สญั ลกั ษณ์ ภาษา และพฤตกิ รรม ๒. วิธีการคิด (Operation) หมายถึง ลักษณะกระบวนการทางานของสมองแบบต่างๆ มี ๕ แบบ ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจ ความจา การคิดแบบเอกนัย (Convergent Thinking) การคิดแบบ อเนกนัย และการประเมนิ ผล ๓. ผลของการคดิ (Product) เป็นผลของกระบวนการจัดกระทาของความคิดกับข้อมูลเน้ือหา ผลิตผลของความคิดออกมาเป็นรูปแบบต่างๆ การแปลงรูป และการประยุกต์จากแบบทฤษฎี โครงสร้างทางสติปัญญาของกลิ ฟอรด์ นี้ จะเห็นว่าองค์ประกอบส่วนหน่ึงในมิติที่ว่าด้วยการคิดแบบอเนกนัยมีความสัมพันธ์โดยตรงกับ ความคิดสร้างสรรค์ และองค์ประกอบส่วนหน่ึงในมิติที่ว่าด้วยผลของคิดท่ีเรียกว่า การแปลงรูปเป็น ส่วนทีแ่ สดงถึงความคิด ๗.๗ การส่งเสรมิ ความคิดสร้างสรรค์ เด็กทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์ และความคิดสร้างสรรค์สามารถส่งเสริม ให้พัฒนาเด็กได้ เด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์จะเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ท่ีมีความคิดสร้างสรรค์สูงนั้น จะต้องได้รับการ ส่งเสริมคุณลักษณะด้านความคิดสร้างสรรค์ให้ได้พัฒนาอย่างเต็มที่ต้ังแต่ในวัยเด็ก ได้เสนอหลักการ ส่งเสรมิ ความคิดสร้างสรรคไ์ ว้ดังน้ี ๑. ยอมรับคณุ คา่ และความสามารถของบคุ คลอย่างไม่มีเงอื่ นไข ๒. แสดงและเนน้ ใหเ้ หน็ วา่ ความคิดของเขามคี ุณค่าและสามารถนาไปใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ ๓. ให้ความเขา้ ใจและเห็นใจในตัวเขา และความรู้สกึ ของเขา ๔. อยา่ พยายามกาหนดแบบเพ่อื ให้ทุกคนมีความคดิ และบุคลิกภาพเดียวกนั ๕. อย่าสนับสนุนหรือให้รางวัลเฉพาะผลงานที่มีผู้ทดลองทาเป็นท่ียอมรับกันแล้วควรให้ผล งานแปลกใหม่มโี อกาสไดร้ ับรางวลั และคาชมบ้าง ๖. สง่ เสรมิ ให้ใชจ้ ินตนาการของตนเอง โดยยกยอ่ งเมอื่ ใชจ้ ินตนาการทีแ่ ปลกและมคี ุณค่า ๗. กระตนุ้ และส่งเสรมิ ใหเ้ รยี นร้ดู ว้ ยตนเองอย่างตอ่ เน่อื งอยเู่ สมอ ๘. สง่ เสริมให้ถามและให้ความสนใจต่อคาถาม รวมทง้ั ชแี้ นะแหลง่ คาตอบ ๙. ต้ังใจและเอาใจใส่ความคิดแปลก ๆ ของเขาดว้ ยใจเปน็ กลาง ๑๐. พงึ ระลึกเสมอว่าการพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรค์จะตอ้ งใช้เวลาและค่อยเป็นค่อยไป

พุทธจติ วทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๓๗ บรรยากาศที่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ เป็นบรรยากาศท่ีเต็มไปด้วยการยอมรับ และการกระตุ้นให้แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ซ่ึงจะช่วยให้เขาได้พบความคิดใหม่ๆ และสามารถ พฒั นาศกั ยภาพทางดา้ นความคดิ สร้างสรรคใ์ หเ้ จริญก้าวหน้าตามขดี ความสามารถของเขา จากการศึกษาของ Gale๒๒ พบว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถท่ีส่งเสริมและ พัฒนาข้ึนได้ ความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้ถ่ายทอดทางยีน ( Gene ) ของบิดามารดา หากแต่เป็น พฤตกิ รรมท่ไี ดร้ ับภายหลงั ฉะน้นั ความคิดสร้างสรรค์ของบุคคลจะมากหรือน้อยเพียงไรย่อมขึ้นอยู่กับ ประสบการณ์ที่บุคคลได้รับ ไม่ใช่พรสวรรค์พิเศษท่ีคนเพียงส่วนน้อยเป็นเจ้าของ หากแต่เป็น สมรรถภาพซงึ่ มนษุ ยเ์ ป็นเจา้ ของได้ Gale ให้ความเห็นว่าโรงเรียนและพ่อแม่เป็นตัวจักรสาคัญในการ ส่งเสริมให้เด็กเกิดความคิดสร้างสรรค์ เขาอธิบายว่า ความคิดสร้างสรรค์ ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ โดยการบังคับจิตใจ หรืออยู่ภายใต้อิทธิพลของการสอนที่เคร่งครัดระเบียบ แต่เป็นผลผลิตในเชิง จิตวิทยาและสังคมท่ีมีอิสระ บ้านและโรงเรียนมีส่วนทาให้เด็กเป็นคนท่ีมีความคิดสร้างสรรค์ มี อิสรเสรีในการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ตรงกันข้าม ถ้าโรงเรียนและพ่อแม่ควบคุมเด็กให้อยู่ในกรอบ ประเพณีเพ่ือง่ายต่อการปกครอง ซ่ึงการกระทาเช่นนี้เป็นการสกัดกั้นความคิดใหม่ๆ แปลกๆ คือ ความคดิ สร้างสรรค์โดยสน้ิ เชิง ๑) แนวการสอนเพอ่ื พัฒนาความคิดสรา้ งสรรค์๒๓ รูปแบบการสอนเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ มีด้วยกันหลายรูปแบบ แต่ Williams ได้สรปุ ถงึ รปู แบบการสอนเพือ่ พัฒนาความคิดสรา้ งสรรค์ เปน็ ๓ มติ ิ ดงั น้ี มติ ิที่ ๑ ด้านเนอ้ื หา ( Content ) หมายถงึ การสอนเพ่ือสง่ เสรมิ ความคิดสร้างสรรค์น้ัน ยงั คงยดึ หลักสูตรเปน็ แกน และจัดการเรยี นการสอนใหส้ อดคลอ้ งกบั เนือ้ หาท่ีกาหนดไวใ้ นหลักสตู ร มิติท่ี ๒ ด้านพฤติกรรมการสอนของครู ( Teacher Behavior ) หมายถึง ในการสอน ของครูเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กนั้น Williams เน้นเทคนิควิธีสอน และการเสนอ กิจกรรมอันเป็นหัวใจสาคัญในการเสริมสร้างพฤติกรรมสร้างสรรค์ เขากล่าวว่าครูสามารถสอน เนื้อหาวิชาท่ีกาหนดในหลักสูตร และใช้เทคนิควิธีสอน การจัดกิจกรรมที่มุ่งส่งเสริมความคิด สร้างสรรค์ได้ มิติที่ ๓ ด้านพฤติกรรมการเรียนของนักเรียน ( Pupil Behavior ) หมายถึงในการสอน เพ่ือพัฒนาพฤติกรรมความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนน้ัน Williams ให้ความสาคัญทั้งทางด้าน สติปัญญาและด้านจิตใจ หรือความรู้สึกของเด็กซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด โดยเขาแบ่ง พฤติกรรมออกเปน็ ๒ ลกั ษณะ ดงั นี้ ลักษณะท่ี ๑ ด้านความรู้ ความเข้าใจ หรือสติปัญญา ( Cognitive Behavior ) ซึ่งเป็นการ เปล่ียนแปลงพฤติกรรมทางดา้ นกลไกและการทางานของสมองแบง่ ออกเป็น ๔ ด้าน ดงั นี้ ๑.๑ ความคลอ่ งในการคิด ๒๒ วรรณภิ า ณ สงขลา, การอนรุ ักษจ์ ิตรกรรมฝาผนัง, กรงุ เทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๘ หนา้ ๑๐๔. ๒๓ อารยี ์ คงสวสั ด,ิ การศกึ ษาความสมั พันธ์ระหว่างความเช่ือในการเรียนคณิตศาสตรก์ ับผลสมั ฤทธิ์ ทางการเรยี นวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๓, ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การวดั ผลการศึกษา) กรงุ เทพมหานคร : บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ, ๒๕๔๔.

พุทธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๓๘ ๑.๒ ความคิดยืดหยุ่น ๑.๓ ความคิดริเริ่ม ๑.๔ ความคดิ ละเอียดละออ ลักษณะที่ ๒ ด้านความรู้สึกหรือจิตใจ ( Affective Behavior ) ซ่ึงเป็นการเปลี่ยนแปลง พฤตกิ รรมทางดา้ นความรสู้ กึ เจตคติ คา่ นิยม เปน็ ตน้ ซึ่งแบง่ ออกเป็น ๔ ด้าน ดังน้ี ๒.๑ ความอยากรูอ้ ยากเหน็ ๒.๒ ความพร้อมใจทจ่ี ะเสี่ยง ๒.๓ ความพอใจทจี่ ะทาสิ่งซบั ซ้อน ๒.๔ ความคิดจนิ ตนาการ นอกจากน้ีได้มีนักจิตวิทยา และนักการศึกษาที่กล่าวถึง เทคนิคในการพัฒนาความคิด สร้างสรรค์ที่เป็นมาตรฐาน เพ่ือใช้ในการฝึกฝนบุคคลท่ัวไป ให้เป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงขึ้น เทคนคิ เหล่าน้ีได้แก่ ๑. การระดมพลังสมอง (Brainstorming ) หลักสาคัญของการระดมพลังสมอง คือการให้ โอกาสคดิ อย่างอิสระที่สุด โดยเล่ือนการประเมินความคิดออกไป ไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ในระหว่างที่ มีการคิด การวิจารณ์หรือการประเมินผลใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นในระหว่างการคิดจะเป็นสิ่งขัดขวาง ความคิดสร้างสรรค์ จุดประสงค์ของการระดมพลังสมองก็เพื่อจะนาไปสู่การท่ีสามารถแก้ปัญหาได้ Alex Caborn เปน็ ผ้คู ิดเทคนคิ นีข้ ้ึน โดยแบ่งข้นั ตอนการระดมพลงั สมองออกเปน็ ๔ ขน้ั คอื ขั้นที่ ๑ ตัดการวิจารณ์ออกไป ช่วยทาให้เกิดการรับรู้โดยมีสถานการณ์ท่ีสร้างสรรค์ ซ่ึง จาเปน็ ตอ่ การเกดิ จินตนาการ ข้ันท่ี ๒ ให้อิสระ ยิ่งมีความคิดท่ีกว้างไกลมากเท่าใดก็ยิ่งดี เพราะเป็นไปได้ที่ว่าความคิดที่ดู จะไรส้ าระ อาจจะนาไปสู่บางสิง่ ท่มี ีจินตนาการได้ ขั้นท่ี ๓ ตอ้ งการปริมาณ ขั้นน้ีจะสะท้อนให้เห็นถึงจุดหมายของการระดมพลังสมอง ยิ่งมาก ความคิดกจ็ ะไดม้ โี อกาสทจี่ ะพบกับความคดิ ดๆี มากย่งิ ข้ึน ข้ันที่ ๔ การผสมผสานและปรับปรุงความคิด น่ันคือการขยายความคิดให้กว้างไกลออกไป ในระหว่างการอภิปรายนกั เรยี นจะพจิ ารณาความคิดของตนเองและของเพอ่ื นตามลาดับ ๒. Attribute listing ผู้สร้างเทคนิคน้ีคือ โรเบิร์ต คลอฟอร์ด เทคนิคน้ีมีลักษณะเป็นการ สรา้ งแนวคดิ ใหม่โดยอาศัยแนวคดิ เดมิ วิธีการใช้แบ่งเป็น ๒ ลักษณะคือวิธี Attribute modifying คือ การปรับเปล่ียนลักษณะบางประการของแนวคิดหรือผลงานเดิม เช่น สี พ้ืนผนังห้อง แล้วปรับเปลี่ยน แต่ละส่วน เมื่อนามารวมกันก็จะได้รูปแบบของห้องในแนวใหม่เกิดขึ้นมากมายและวิธี Attribute Transfering คือ การคิดถ่ายโยงลักษณะบางประการจากสถานการณ์หน่ึงมาใช้ในอีกสถานการณ์ หน่ึง เช่น การถ่ายโยงลักษณะของงานคาร์นิวัล มาใช้เป็นแนวคิดในการจัดงานปีใหม่ของโรงเรียน เปน็ ต้น ๓. Morphological Synthesis เป็นเทคนิคที่ใช้ในการสร้างความคิดใหม่ๆ โดยใช้วิธีการ แยกแยะองค์ประกอบของความคิดหรือปัญหา ให้องค์ประกอบหนึ่งอยู่บนแกนตั้งของตาราง ซ่ึง เรียกว่าตาราง เมทตริกซ์และอีกองค์ประกอบหน่ึงอยู่บนแกนนอน เมื่อองค์ประกอบบนแกนต้ังมา สัมพนั ธก์ ับองคป์ ระกอบบนแกนนอนในช่วงตารางกจ็ ะเกิดความคิดใหม่ขนึ้

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๓๙ ๔. Idea Checklist เป็นเทคนิคท่ีใช้ในการค้นหาความคิดหรือแนวทางที่ใช้ในการแก้ปัญหา ต่างๆ ที่เกิดข้ึนได้อย่างรวดเร็ว โดยอาศัยกระบวนการตรวจสอบความคิดท่ีมีผู้ทาไว้แล้ว เช่น อาจใช้ สมุดโทรศัพท์หน้าเหลืองเป็นรายการตรวจสอบความคิดในการค้นหาอาชีพต่างๆได้ หรือใช้ Idea- Spurring Questions ของ ออสบอร์น สามารถเป็นรายการตรวจสอบความคิดให้โรงงาน อตุ สาหกรรมเกดิ ความคดิ ในการปรบั ปรุงผลิตภัณฑไ์ ดม้ ากมายหลายแนวทาง ๕. Synectics Methods โดยรากศัพท์ Synectics หมายความว่า การเช่ือมเข้ากันของสิ่ง ที่ไมเ่ กีย่ วข้องกนั William j.j. Gordon เป็นผู้คดิ ขึน้ โดยการสร้างความคุ้นเคยที่แปลกใหม่ และความ แปลกใหม่ท่ีเป็นท่ีคุ้นเคย จากนั้นจึงสรุปเป็นแนวคิดใหม่ กระบวนการของการคิดเป็นของ Gordon มี ๔ ประการ คือ ๕.๑ การสร้างจินตนาการข้นึ ในจติ ใจของเรา หรอื การพจิ ารณาความคิดใหม่ ๕.๒ การประยุกต์เอาความรใู้ นสาขาวิชาหรอื เร่ืองใดเรือ่ งหนงึ่ มาแก้ปญั หาทเี่ กดิ ขึ้น ๕.๓ การประยกุ ตใ์ ชก้ ารเปรียบเทียบ หรอื อุปมาในการแก้ปญั หา ๕.๔ การประยุกต์เอาความคิดใดๆ กต็ ามทเี่ กิดจากจนิ ตนาการมาใช้แก้ปัญหา จากแนวคิดเกี่ยวกับการนาเทคนิคการสอนเพ่ือช่วยให้เกิดการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ที่กล่าวมาข้างตน้ นี้ ชี้ให้เห็นแล้วว่าความคดิ สรา้ งสรรค์น้นั สามารถสอนกันได้ และจากผลงานของ Sund และ Trowbridge ( อ้างถึงใน กรมวิชาการ ๒๕๓๔ ) ที่ได้ รวบรวมผลงานวิจัยทางจิตวทิ ยาเกยี่ วกบั ความคดิ สร้างสรรค์ของนักเรียน ซ่ึงมีผลต่อการเรียนการสอน ในโรงเรยี นมัธยมศึกษา สรุปได้ดงั นี้ ๑. ความคิดสรา้ งสรรคจ์ ะเกิดไดก้ บั ทกุ คน และทกุ วัยในบางส่ิงบางอย่าง ๒. ความสามารถและการแสดงออกซึ่งความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคนน้ันจะ แตกตา่ งกัน ๓. ความอิสรเสรใี นการคิดสรา้ งสรรค์เปน็ ส่งิ สาคญั มากและมีผลตอ่ สุขภาพจิตด้วย ๔. เดก็ ๆจะเรียนรู้ไดด้ ที ี่สุดเมื่อสถานการณ์เรยี นรู้น้นั อย่ใู นภาวะสรา้ งสรรค์ ๗.๘ กิจกรรมสง่ เสรมิ ความคิดสรา้ งสรรค์ อรพรรณ พรสมี า๒๔ ไดเ้ สนอกจิ กรรมทีจ่ าเปน็ ต่อการคิดสร้างสรรค์ ดังนี้ ๑. ฝึกเสนอแนะความคิดเห็นเก่ียวกับสาเหตุและแนวทางแกป้ ัญหาหลายๆ แนวทาง ๒. ฝกึ มองข้อเสนอของบุคคลหรอื กลุ่มบุคคลจากหลายๆ มุมมอง ๓. ฝกึ เสนอความคดิ เห็นเพิ่มเติมจากความคดิ เห็นของคนอืน่ ๔. ฝกึ เสนอความคิดเห็นใหแ้ ตกตา่ งจากความคดิ เหน็ ของคนอน่ื ๕. หาโอกาสเข้ารว่ มกิจกรรมระดมสมอง ๒๔ อรพรรณ พรสมี า, การคิด, กรุงเทพมหานคร : สถาบันพัฒนาทกั ษะการคดิ , ๒๕๔๓ หนา้ ๔๒-๔๓.

พทุ ธจิตวทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๔๐ ๖. ฝึกมองหาและตรวจสอบอิทธิพลขององค์ประกอบหรือกิจกรรมย่อยที่มีผล ตอ่ องค์ประกอบใหญ่หรอื กิจกรรมหลัก ๗. ฝึกติดตาม และหาขอ้ มูลทีเ่ ป็นผลจากการตัดสนิ ใจในเรอื่ งสาคญั ของบุคคลสาคญั ๘. ฝกึ มองหาความสมั พันธข์ องเหตกุ ารณห์ ลายๆ เหตกุ ารณ์ ๙. ฝึกเสี่ยงเสนอความคดิ เหน็ ๑๐. ฝกึ สร้างจนิ ตนาการเกีย่ วกับเรอ่ื งต่างๆ ๑๑. ฝกึ เปรียบเทียบสงิ่ ของ เหตกุ ารณ์และกิจกรรม ๑๒. ฝกึ สรา้ งภาพ สร้างฝนั และสร้างความสาเรจ็ ๑๓. ฝึกสบื หารากเหง้า ความเป็นมาและความเกย่ี วขอ้ งสมั พันธข์ องเหตุการณ์ ๑๔. ฝึกถามคาถามหลายๆ คาถาม โดยเฉพาะคาถามปลายเปดิ ๑๕. ฝึกพดู และเขยี นนวนยิ าย ๑๖. ฝึกคิดหาทางเลือก แนวทางที่จะเป็นไปได้ และตัวเลือกเพื่อแก้ปัญหา เหตกุ ารณ์ และสถานการณต์ ่างๆ คุณสมบัติสาคัญอย่างหน่ึงของการเป็นคนฉลาดคิด คือ ควรมีโลกทัศน์ที่กว้างไกล พร้อม เปิดรับความคิดใหม่ๆ อย่างไม่มีอคติ ดังน้ันเราจึงควรพัฒนาการรับรู้อย่างสร้างสรรค์ เพ่ือการเปิด กว้างทางความคิดด้วยกิจกรรม ยุดา รักไทย๒๕กล่าวถึงกิจกรรมส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เพอ่ื การเปิดกว้างทางความคดิ ด้วยกจิ กรรม ดงั ต่อไปน้ี ๑. เล่นอย่างสร้างสรรค์ กุญแจสาคัญอย่างหนึ่งที่จะนาไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ คือ การปลดปลอ่ ยการคิดและคลายกรอบของพฤติกรรมอันเป็นท่ียอมรับ ปล่อยตัวเองให้คิดหรือทาอะไร “เหลวไหล” ดูบ้างและสังเกตว่า มีความรู้สึกเป็นอิสระหรือไม่ เช่น ออกไปเล่นกับเด็กๆ ท่ีสนามเด็ก เลน่ โดยไมต่ อ้ งกังวลถึงอายุจริงๆ ของเราหรือลองเปิดเพลงสนุกๆ แล้วทากิริยาใดๆ ให้เข้ากับจังหวะ ดนตรเี ปน็ ต้น บอ่ ยครง้ั ที่ความเป็นเดก็ ในตัวเรา คือสง่ิ ที่จดุ ประกายความคิดสร้างสรรค์ ๒. มอี ารมณด์ ี อันเป็นผลมาจากการเลน่ ในรูปแบบต่างๆ การมีอารมณ์ท่ีดีช่วยให้เรา มองดูผ้คู นและสถานการณ์ในแบบทแี่ ปลกไปจากปกติ และแตกตา่ งไปจากเดิม ๓. พยายามทาตัวเป็นศิลปินให้มากข้ึน ศิลปะไม่ใช่กิจกรรมที่มีไว้สาหรับคนท่ีได้ช่ือ ว่าศิลปนิ เท่านั้น แตม่ นั เปน็ ธรรมชาติของเราทกุ คน เป็นธรรมชาติท่ีมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับความคิด สร้างสรรคม์ าก ดังนน้ั จึงควรทาตัวใหเ้ ป็นศลิ ปนิ ไมว่ า่ จะโดยการวาดรปู ร้องเพลง เล่นดนตรี ถ่ายภาพ ฯลฯ แบบใดกไ็ ด้ และเม่ือทาแลว้ กจ็ ะตอ้ งกลา้ ทีจ่ ะแสดงความเป็นศลิ ปินเหล่านี้ออกมา ๔. หาเวลาอยู่คนเดียวบ้าง ทาสมาธิหรือกิจกรรมอย่างใดอย่างหน่ึงตามลาพัง โดยมีการคาดหวังว่า จะได้อะไรจากการกระทาน้ันแล้ว ในไม่ช้าจะพบว่า มันช่วยปลดปล่อย ความเปน็ ตัวของตวั เองออกมามากขึ้น ๕. กล้าท่ีจะแตกต่าง ออกไปเทย่ี วกบั คนทมี่ ีทรรศนะไมต่ รงกับเราหรือไม่ก็ลองสมมติ วา่ ตัวเองเปน็ คนอ่นื และมองโลกในแบบของเขาดบู า้ ง ๒๕ ยดุ า รักไทย, เทคนิคการแกป้ ัญหาและการตดั สนิ ใจ, พมิ พ์ครง้ั ที่ ๕, กรงุ เทพมหานคร: เอ็กเปอรเ์ นท็ , ๒๕๔๒ หนา้ ๖๕–๖๗.