พุทธจติ วทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๔๑ ๖. ร่างกาย ความคิด และอารมณ์ เป็นระบบการทางานที่สัมพันธ์กัน บางคนต้อง เดินไปเดินมาถึงจะคิดออก บางคนก็น่ังหมุนปากกาด้วยปลายน้ิว แล้วสมองจึงแล่นปรูดปราด เช่น ลองเหยียดแขนขาแสดงความรู้สึก พร้อมกับฝึกคิดไปด้วย เพ่ือค้นหาระบบการคิดท่ีมีประสิทธิภาพ ของตวั เองว่าเป็นแบบไหน ๗. สารวจความเป็นตัวของตัวเอง ว่ามีลักษณะนิสัยแบบไหน มีทัศนคติอย่างไรต่อ โลกและผู้คนรอบข้าง การรู้จักตัวเองถือเป็นบันไดข้ันแรกที่จะนาไปสู่การพัฒนาเปล่ียนแปลง เช่น ดูว่าเรามีความคิดอย่างไรต่อการเล่นกอล์ฟ ถ้าเห็นว่าเป็นเรื่องส้ินเปลืองเงินทอง และเสียเวลา ลักษณะการเลือกคบคนของเราก็จะถูกบีบให้แคบลง ด้วยการปฏิเสธคนที่ชอบเล่นกอล์ฟ แล้วถ้าจะ ลองเปลยี่ นทัศนคตดิ บู ้างจะไดห้ รอื ไม่ ๘. ฝึกคิดสร้างสรรค์ ด้วยเทคนิคต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว โดยการเปิดกว้างทาง ความคิดและเปิดโอกาสให้แก่ทุกสิ่งท่ีสามารถผ่านเข้ามา พร้อมพัฒนาสร้างสรรค์ใ ห้เกิดเป็น คณุ ประโยชน์ ๙. จดบันทึก ความคดิ ประสบการณ์ เร่ืองน่าขัน และคาพูดสาคัญๆ ที่น่าประทับใจ ไว้ทุกครง้ั ซงึ่ การทาแบบนจี้ ะชว่ ยพัฒนาความจาและเพ่มิ ข้อมูลสาหรบั ใช้ในการคดิ ดว้ ย ๑๐. ทาแฟ้มความรู้รายสัปดาห์ รายเดือน ตัดข่าวหรือข้อมูลที่น่าสนใจ จากหนังสือพิมพ์เก็บใส่แฟ้มไว้ โดยยังไม่ต้องอ่านรายละเอียด จากนั้นเม่ือครบสัปดาห์ เดือน ก็ให้นา แฟ้มออกมาจัดกลุ่ม จะพบว่ามีข้อมูลท่ีซ้าๆ กันหลายอย่าง ซ่ึงคงจะเสียเวลามากถ้าต้องอ่านทุกวัน เพื่อให้ได้ข้อมูลทั้งหมด เพราะปัจจุบันนี้เป็นยุคของข่าวสาร มีข้อมูลมากมายจากหลายทิศทาง เข้ามาหาเรา ดังน้ัน การทาแฟ้มความรู้จะช่วยให้เราทราบความเป็นไปของโลกได้ โดยไม่สิ้นเปลือง เวลามากนกั สรุปทา้ ยบท ความคิดสร้างสรรค์นับเป็นความสามารถที่สาคัญอย่างหน่ึงของมนุษย์ ซึ่งมีคุณภาพมากกว่า ความสามารถด้านอน่ื และเปน็ ปัจจัยท่จี าเป็นยิง่ ในการส่งเสริมความเจริญก้าวหน้า ประเทศใดก็ตามท่ี สามารถแสวงหา พัฒนา และดึงศักยภาพทางสร้างสรรค์ของคนในประเทศออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ มากเท่าใด ก็ยงิ่ มีโอกาสพฒั นา และเจรญิ กา้ วหน้าได้มากเทา่ น้นั ความคดิ สร้างสรรค์สามารถพัฒนาได้ ดว้ ยการฝึกฝน และฝึกปฏิบัติท่ีถูกวิธี และควรส่งเสริมให้เด็กต้ังแต่เยาว์วัย เพราะการพัฒนาความคิด สร้างสรรค์แก่เด็ก จะเป็นการวางรากฐานที่ม่ันคงในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ท่ีสูงขึ้นเมื่อเติบโต เป็นผใู้ หญท่ ่จี ะสรา้ งสรรคส์ งั คมให้กา้ วหน้าต่อไปความคดิ สร้างสรรค์ในคนเราน้ันเป็นสิ่งสาคัญอย่างยิ่ง สาหรับการมีชีวิตอยู่ อย่างมีความหมาย มีคุณค่า และมีความภาคภูมิใจในตัวตน เพราะความคิด สร้างสรรค์จะเป็นสิ่งแสดงความเจริญงอกงามทางความคิด สติปัญญา และวุฒิภาวะของบุคคล ว่ามีมากหรือมีน้อยอย่างไร มีความหมายขององค์ความรู้ ประสบการณ์ และทิศทางอย่างไร ทั้งเป็น เคร่ืองหมายแห่งความมีตัวตนและมีเกียรติภูมิ โดยนัยของการรู้จักคิด รู้จักกระทาสิ่งใดส่ิงหน่ึงให้เป็น ให้มีข้ึนอย่างเป็นคุณประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อ่ืน บุคคลท่ีไม่มีสิ่งแสดงให้เห็นให้ประจักษ์ได้ถึง
พทุ ธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๔๒ ความคิดสร้างสรรค์อันเป็นของตนเอง ย่อมเป็นบุคคลท่ีว่างเปล่าแก่นสารทางปัญญา มีชีวิตเหมือน ต้นไม้แห้ง ไร้ใบไร้ดอก และปราศจากผลที่จะตกหล่นเป็นมรดกแก่เผ่าพันธุ์พฤกษา จึงเป็นท่ีน่า เสียดายและน่าอับอายถ้าการมีชีวิตอยู่ของคนเราจะมิได้แสดงผลิตผลแห่งความคิดสร้างสรรค์ของตน ให้ปรากฏไวบ้ า้ ง
พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๔๓ คาถามทา้ ยบท
พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๔๔ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท กรมวชิ าการ, (๒๕๔๔), ความคิดสรา้ งสรรค,์ กรงุ เทพมหานคร : กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. กรรณกิ าร์ สุสม, (๒๕๓๓), “การศกึ ษาความคดิ สร้างสรรคแ์ ละความสามารถในการสังเกตของเด็ก ปฐมวัยทไ่ี ด้รับการเลน่ สรรค์สร้าง”, วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาโท มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ ประสานมติ ร. กลุ นิษก์ สอนวิทย,์ (๒๕๓๔), การศึกษาความตอ้ งการการนเิ ทศการสอนของครูผูส้ อนวิชาชพี ประเภทวชิ าศิลป์หัตกรรม ในสถานศกึ ษาสงั กดั กรมอาชีวศึกษา, วทิ ยานพิ นธ์ครุศาสตร์ มหาบัณฑิต สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา, บัณฑติ วทิ ยาลยั จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ธีรชยั เนตรถนอมศกั ดิ์, (๒๕๓๘), การสังเคราะห์วิจัยเกยี่ วกับความคิดสรา้ งสรรค์ในประเทศไทย, วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญามหาบัณฑติ , มหาวิทยาลัยขอนแกน่ , บณั ฑิตวิทยาลัย สาขาวชิ าการ ประถมศกึ ษา. นิพนธ์ จติ ตภ์ ักดี, (๒๕๒๓), พัฒนาการทางความคดิ สร้างสรรค,์ กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พไ์ ทย มิตรการพิมพ.์ ปราโมทย์ ขนั ตลิ าภาพนั ธ์, (๒๕๓๐), ความสัมพนั ธร์ ะหว่างความถนัดทางการเรียนดา้ นภาษาไทย และคณติ ศาสตร์กบั ผลสัมฤทธใิ์ นการเขยี นเชงิ สร้างสรรคข์ องนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๒ จังหวัดระยอง, วทิ ยานพิ นธ์ ศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. พรพรรณ อินทสงค์, (๒๕๓๒), “การเปรียบเทียบผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน ความคดิ สร้างสรรคแ์ ละ ทัศนคติต่อวิชาภาษาไทยของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ ๕ จากการสอนแบบสบื สวน สอบสวนกับการสอนตามแผนของกลุ่มโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ จงั หวัดฉะเชิงเทรา”, ปรญิ ญานิพนธ์การศึกษามหาบณั ฑิต บัณฑติ วิทยาลัยมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมติ ร. ยดุ า รักไทย, (๒๕๔๕), เทคนคิ การแกป้ ญั หาและการตดั สินใจ, พมิ พ์ครง้ั ที่ ๕, กรงุ เทพมหานคร. ยบุ ล บญุ ชนื่ , (๒๕๒๕), “ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งแบบการคดิ ความคิดสร้างสรรค์ และผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี นวิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ ๑ โรงเรียนอัมพวันวิทยาลัย จังหวัดสมุทรสงคราม”,วิทยานพิ นธป์ รญิ ญาศึกษาศาสตร์มหาบณั ฑติ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. สมศกั ดิ์ ภู่วิภาดาวรรธณ์, (๒๕๓๗), เทคนิคการสง่ เสริมความคิดสร้างสรรค์, กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานชิ . สนุ ทรยี ์ สราญชาติ, (๒๕๓๗),ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยทไ่ี ด้รับการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหว และจังหวะทเี่ นอ้ นองคป์ ระกอบพื้นฐาน, ปรญิ ญานิพนธ์ กศ.ม.,(การศึกษาปฐมวยั )
พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๔๕ กรงุ เทพมหานคร : บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ. อนงค์ แสงเงนิ , (๒๕๓๓), “การเปรยี บเทียบความคิดสร้างสรรคข์ องเดก็ ปฐมวัยที่ได้รับการจดั ประสบการณก์ ารเลน่ สร้างสรรคป์ ระกอบการใช้คาถามและการเลน่ สรรคส์ รา้ งแบบไม่ใช้ คาถาม”. วิทยานิพนธป์ รญิ ญาโท มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ ประสานมิตร. อรพรรณ พรสมี า, (๒๕๔๓), การคิด, กรุงเทพมหานคร : สถาบนั พัฒนาทักษะการคดิ . อารี พนั ธ์มณี, (๒๕๓๗), ความคิดสร้างสรรค์, กรุงเทพมหานคร : ต้นออ้ . อารี รงั สนิ ันท์, (๒๕๓๒), ความคิดสร้างสรรค์, พิมพ์คร้งั ท่ี ๓, กรุงเทพมหานคร:แพร่วทิ ยา. อารยี ์ คงสวสั ดิ, (๒๕๔๔), การศกึ ษาความสัมพันธ์ระหวา่ งความเชื่อในการเรยี นคณติ ศาสตรก์ ับ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณติ ศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปี ที่ ๓, ปริญญา นิพนธ์ กศ.ม. (การวดั ผลการศึกษา) กรงุ เทพมหานคร : บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรนี คริ นทรวโิ รฒ. Anderson, James E. (1994), Public Policy – Making : Introduction. ๒nd. New York : Houghton Mifflin Company. p.90-93. Divito,Altred. (1971), Recognized Assessing Creativity Developing Teacher Competencies. Englewood Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall Inc. Haylock, D. W. (1978) . An investigation into the relationship between divergentthinking in nonmathematical and mathematical situations. Mathematics in School, 7(2), p.62. Jersild, Arthur T. (1972), Child Psychology. ๖th ed. Englewood Cliffs, New Jersey : Prentice-Hall. Torrance, E.P. and R.E. Myers. (1962). Creative Learning and Teaching. New York : Good,Mead and Company. Wallach, Michael A. and kogan Nathan. (1965). Model of Thinking in Young Children.New York : Holt, Rinehartandwinston.
บทที่ ๘ การสรา้ งแรงจงู ใจ วัตถุประสงค์การเรียนร้ปู ระจาบท เมอ่ื ไดศ้ ึกษาเนือ้ หาในบทน้แี ล้ว ผู้เรียนสามารถ ๑. อธิบายความหมายและเทคนิคการจงู ใจได้ ๒. อธิบายทฤษฎีแรงจงู ใจและแรงจงู ใจในการทางานได้ ๓. อธิบายทฤษฎีเสริมแรงจงู ใจได้ ขอบข่ายเน้ือหา ความหมายและเทคนิคการจงู ใจ ทฤษฎีแรงจูงใจและแรงจูงใจในการทางาน ทฤษฎีเสริมแรงจงู ใจ
พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๔๖ ๘.๑ ความนา การที่มนุษย์จะมีความหวังหรือความต้องการน้ัน พื้นฐานเกิดจากการเรียนรู้ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็นเช่นคนอื่นๆ จึงเกิดการจูงใจ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ท่ีสลับซับซ้อน ไม่อาจจะหาคา จากัดความท่ีเป็นสูตรสาเร็จตายตัวง่ายๆ ได้ นอกจากนั้นผลของการจูงใจก็ยังยากแก่การวัด อาทิ เมอ่ื บคุ คลมคี วามพึงพอใจสงู น้ันมไิ ด้หมายความว่า ระดับขวัญหรอื การจูงใจจะต้องสูงตามไปด้วยเสมอ อย่างไรก็ตามสาหรับศัพท์ของการจูงใจ (Motivation) นั้น เป็นคาท่ีมาจากภาษาละตินว่า Movere อันหมายถึง การเคล่ือนไหว ซ่ึงเป็นเรื่องราวของความรู้สึกซ่ึงไม่หยุดนิ่งอันยังเป็นผลให้เกิดพฤติกรรม หรือการกระทา บุคคลแต่ละคนมีความแตกต่างกันในการแสดงออก ซ่ึงพฤติกรรมการปฏิบัติงานใน หน้าที่ท่ไี ด้รับมอบหมาย ภายใตส้ ถานการณ์เดยี วกนั มใิ ชเ่ ป็นเพราะมคี วามรู้ความสามารถมีสติปัญญา ตลอดจนประสบการณ์ที่แตกต่างกันเท่าน้ัน แต่ปัจจัยท่ีสาคัญยิ่งกว่าอีกประการหนึ่งคือ การท่ีบุคคล ได้รบั การจูงใจในการปฏิบัติงานทีแ่ ตกต่าง เป็นเหตุให้แต่ละคนเต็มใจที่จะใช้พลังความสามารถในการ ปฏิบัตมิ ากน้อยแตกต่างกันไปด้วย การจูงใจจึงเป็นสิ่งสาคัญยิ่งที่จาเป็นต้องศึกษาในหลายๆ ประเด็น เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่าบุคคลแต่ละบุคคลแสดงพฤตกิ รรมแตกต่างกันเพราะอะไร ถ้าหากสามารถ จะบอกสาเหตพุ ฤตกิ รรมของแตล่ ะคน ได้ก็คงจะทาให้การดาเนินชีวิตของเราง่ายขึ้น เพราะการเข้าใจ สาเหตุพฤติกรรมจะช่วยให้คนเรามีความเข้าใจซ่ึงกันและกัน และให้อภัยกันได้ง่ายขึ้น แต่ในชีวิตจริง แมแ้ ต่บุคคล ๒ คน ร้จู ักกนั เป็นอยา่ งดี มคี วามสมั พันธ์ใกล้ชิดกันเป็นต้นว่า บิดา มารดาและบุตร สามี ภรรยา ญาติพ่ีน้อง เพอ่ื นสนิท ก็ยากทจี่ ะบอกสาเหตุของพฤติกรรมของคนท่ีเรารักและสนิทได้ถูกต้อง ทุกครง้ั เพราะสาเหตุของพฤติกรรมเป็นท่ีสังเกตไม่ได้ และบางครั้งผู้แสดงพฤติกรรมเองก็อาจจะบอก ไม่ไดว้ ่าทาไมตนเองจงึ แสดงพฤติกรรมเช่นน้ัน นักจิตวิทยาได้พยายามอธิบายสาเหตุของพฤติกรรมจึง พยายามสร้างทฤษฎีขึ้น โดยใช้ความคิดรวบยอดสมมติฐานท่ีเรียกว่าการจูงใจ ซึ่งหมายถึง องค์ประกอบท่ีกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่มีจุดหมาย แต่เน่ืองจากเราไม่สามารถสังเกตแรงจูงใจได้ โดยตรง ๘.๒ ความหมาย Daft๑ แรงจูงใจ หมายถึง พลังหรือแรงผลักดันท้ัง ภายนอกและภายในตวั บคุ คล ซึ่งกระตุ้น ใหเ้ กดิ พฤตกิ รรมท่ีกระตือรือร้น รวมทัง้ เปน็ บุคคลรักษาพฤตกิ รรมนั้นไว้ Vroom๒ แรงจูงใจ หมายถึง กระบวนการในการ ควบคุมหรือครอบงาทางเลือกโดยบุคคล หรืออินทรีย์ ต่าสุด (lower organisma) โดยไม่เปิดโอกาสให้เลือกทางเลือกอ่ืนๆ ด้วยความสมัครใจ ๑ Daft, R. L. Management (5 th ed.). Fort Worth : Dryden, 2000, p.534. ๒ Vroom, V. H. & Yetton P.W., Leadership and Decision Making. Pittsburgh: University of Pittsburgh, 1973, p. 7.
พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๔๗ เช่น เมื่อเราเกิดความรู้สึกหิว เราก็ต้องรับประทานอาหารเพ่ือตอบสนองความต้องการของร่างกาย ซ่งึ ไมม่ โี อกาสเลอื กทางเลอื กอน่ื แตอ่ ยา่ งใด Stephen P. Robbins๓ แรงจูงใจหมายถึง ความเต็มใจที่จะใช้ความพยายามอย่างมาก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององคก์ าร โดยมีเง่อื นไขว่า ความพยายามนั้นสามารถทาให้เกิดความพึงพอใจ แก่บุคคลตามทีต่ อ้ งการ เสนาะห์ ติเยาว์๔ แรงจูงใจ หมายถึง ความเต็มใจท่ีจะทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มท่ีจนงาน ขององคก์ ารบรรลุเปา้ หมาย โดยมเี งื่อนไขวา่ การทุ่มเทนนั้ เพื่อตอบสนองความตอ้ งการของคนคนน้นั อารี พันธ์มณี๕ แรงจูงใจ หมายถึง การนาปัจจัยต่างๆ ที่เป็นแรงจูงใจมาผลักดันให้บุคคล แสดงพฤติกรรมอยา่ งมที ิศทางเพอื่ บรรลุจุดมุ่งหมายหรือเง่อื นไขท่ีตอ้ งการ ปัจจยั ต่าง ๆ ทน่ี ามาอาจจะเป็นเคร่อื งลอ่ รางวลั การลงโทษ การทาให้เกิดการต่ืนตัว รวมทั้งทาให้เกิด ความคาดหวัง เป็นตน้ ตุลา มหาพสุธานนท์๖ แรงจูงใจหมายถึง พลังหรือแรงผลักดันทั้งภายนอกและภายในตัว บุคคลหรอื อินทรียซ์ ึ่งกระต้นุ ให้เกดิ พฤตกิ รรมในแนวทางทีส่ นองตอบตอ่ ความต้องการของตน พาสนา จุลรัตน์๗ แรงจูงใจ หมายถึง กระบวนการของการใช้ปัจจัยทั้งหลายที่จะทาให้บุคคล เกิดความต้องการ เพ่ือสร้างแรงขับและแรงจูงใจไปกระตุ้นร่างกายให้แสดงพฤติกรรมตามจุดม่งหมาย ทีไ่ ด้วางไวโ้ ดยปัจจยั ดงั กล่าวนั้น อาจจะเปน็ สงิ่ เร้าภายนอกกบั สิ่งเรา้ ภายในหรือท้งั สองประการก็ได้ พชรพร ครองยุทธ๘ แรงจูงใจ หมายถึง ปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นหรือผลักดันให้บุคคล ทุ่มเท แรงกายแรงใจและแสดงความสามารถอยา่ งเตม็ ท่ีในการปฏิบตั ิงานให้บรรลเุ ป้าหมายขององคก์ าร วุฒิชัย จานง๙ กล่าวถึงแรงจูงใจว่า เป็นลักษณะและระดับท่ีเอกบุคคลผู้เป็นสมาชิกของ ระบบสงั คมไดเ้ กิดความตงั้ ใจ เต็มใจ พร้อมใจ และพอใจทจ่ี ะทางานให้กับระบบสังคมนนั้ ศิริวรรณ เสรีรัตน์๑๐ กล่าวว่า การจูงใจหมายถึงอิทธิพลภายในของบุคคลซ่ึงเกี่ยวของกับ ระดับการกาหนดทิศทางและการใช้ความพยายามในการทางานอย่างตอเนื่อง การจูงใจจึงเป็นสิ่งเร้า ๓ Stephen P. Robbins, Organizational Behavior : Concepts Controversics and Applications.York : Prentice – Hall Inc., 1993,p,54. ๔ เสนาะ ตเิ ยาว์, การบริหาร, กรงุ เทพมหานคร : บางกอกการพิมพ์, ๒๕๔๖ หน้า ๒๙. ๕ อารี พนั ธ์มณี, จิตวิทยาสรา้ งสรรคก์ ารเรียนการสอน, กรงุ เทพมหานคร : ใยใหม ครเี อทฟี กรปุ๊ , ๒๕๔๖ หน้า ๒๖๙. ๖ ตุลา มหาพสุธานนท์, หลักการจดั การหลักการบริหาร, กรงุ เทพมหานคร : เพิ่มทรัพยก์ ารพิมพ์, ๒๕๔๗ หน้า ๖๖. ๗ พาสนา จลุ รตั น์, จติ วทิ ยาการศกึ ษา, ภาควิชาการแนะแนวและจติ วิทยาการศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ, ๒๕๔๘ หนา้ ๑๙๔. ๘ พชรพร ครองยทุ ธ, แรงจูงใจและการสนับสนนุ จากองคก์ รทีม่ ผี ลตอ่ การปฏิบัติงานของคณะกรรมการ ประสานงานสาธารณสขุ ระดบั อาเภอ จงั หวดั ขอนแก่น, วิทยานิพนธ์ สาธารณสุขศาสตรมหาบณั ฑติ , สาขาการ บริหารสาธารสขุ , บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ , ๒๕๔๙ หน้า ๖๖. ๙ วฒุ ชิ ัย จานง, การจูงใจในองคก์ ารธรุ กจิ , กรงุ เทพมหานคร : คณะบริหารธรุ กิจ สถาบันบณั ฑิตพัฒนา บริหารศาสตร์, ๒๕๒๕ หน้า ๑.
พุทธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๔๘ ซึ่งทาให้บุคคลเกิดความคิดริเริ่ม ควบคุม รักษาพฤติกรรม และการกระทา หรือเป็นสภาพภายในซึ่ง เป็นสาเหตุให้บคุ คลมพี ฤตกิ รรมทที่ าให้เกิดความเชื่อม่นั ว่าจะสามารถบรรลเุ ปาหมายบางประการได้ สมยศ นาวีการ๑๑ ได้กล่าวว่า การจูงใจจะมีความเก่ียวพันกับความต้องการคนทุกคนยอมมี ความตอ้ งการ เช่น มีความต้องการความม่ันคงของงานที่ทาอยู่ผลตอบแทนท่ีสูงและสถานภาพ ดังนั้น จึงเกิดกจิ กรรมเพ่อื จะตอบสนองความต้องการดังกล่าว ยอมหมายความว้าเกิดแรงจูงใจหรือไดรับการ กระตุ้นเพ่อื ตอบสนองความต้องการ สมพงศ์ เกษมสิน๑๒ ไดแ้ บง่ ประเภทสงิ่ จงู ใจออกเปน็ ๒ ประเภท ดงั นี้ ๑. ลกั ษณะของส่งิ จงู ใจ ๑.๑ อตั ราคา่ จ้างเงินเดอื น ๑.๒ โบนสั ๑.๓ การแบง่ ปนั ผลกาไร ๑.๔ การใหบ้ าเหน็จ ๑.๕ การใหบ้ านาญ ๑.๖ การใหป้ ระโยชนเกอื้ กูล ๑.๗ การจัดตัง้ กองทุนสงเคราะห์ ๒. ลักษณะสาคญั ของสิง่ จูงใจทีไ่ มเ่ ป็นเงนิ ๒.๑ การยกยองนบั ถอื ๒.๒ การมคี วามรูสกึ ว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของหมูคณะ ๒.๓ การแข่งขนั ๒.๔ การมสี ว่ นร่วม ๒.๕ โอกาสกาวหน้า ๒.๖ ความยตุ ิธรรม ๒.๗ บริการทางดา้ นสนั ทนาการ สิ่งจูงใจจึงเป็นปฐมเหตุท่ีทาให้เกิดผลต่างๆ ในพฤติกรรมของการปฏิบัติงาน การทางานท่ีดี ควรจัดให้มีการจงู ใจทดี่ ี ถกู ต้องและเหมาะสมด้วย สุชา จันทร์เอม๑๓ กล่าวว่า โดยท่ัวไปแรงจูงใจ หมายถึง พฤติกรรมที่ถูกกระตุ้นโดยแรงขับ (Drive) ของแต่ละบุคคล มีแนวมุ่งไปสู่จุดหมายปลายทางอย่างใดอย่างหน่ึง และร่างกายอาจจะสม ประสงคใ์ นความปรารถนาอนั เกิดจากแรงขบั นน้ั ๆ ได้ ๑๐ ศิริวรรณ เสรีรตั นแ์ ละคณะ, ทฤษฎีองคก์ าร, กรุงเทพมหานคร : วิสิทธิ์พัฒนา, ๒๕๔๑ หนา้ ๕๕. ๑๑ สมยศ นาวกี าร, การบริหารและพฤติกรรมองคก์ าร, กรุงเทพมหานคร: บรรณกิจ, ๒๕๔๙ หน้า ๑๗๕. ๑๒ สมพงศ์ เกษมสนิ , การบรหิ าร, พิมพค์ รง้ั ท่ี ๘, กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพาณชิ ย,์ ๒๕๒๖ หนา้ ๓๒๑. ๑๓ สชุ า จนั ทรเ์ อม, จิตวทิ ยาทวั่ ไป, พมิ พ์คร้ังท่ี ๖, กรงุ เทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานชิ , ๒๕๓๑ หน้า ๑๐๑.
พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๔๙ อานวย แสงสวาง๑๔ ให้ความหมายของแรงจูงใจว่า หมายถึง กระบวนการที่พลังงานทั้งหลาย เป็นสิ่งช้ีนาพฤติกรรม หรือการจูงใจเป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรม ลักษณะพลังของการจูงใจจะ ปรากฏขึ้นตอเมื่อบุคคลถูกกระตุ้นในองค์การอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตามในสภาพ การณทีก่ าหนดไว้ Glueck๑๕ ให้ความหมายของการจูงใจว่า หมายถึง สภาวะภายในของบุคคลซึ่งเป็น ตวั กาหนดทิศทางและระดับของพฤตกิ รรม ทาให้การทางานของแต่ละบุคคลมีพลังมากขึ้นและดาเนิน เร่อื ยไปอยา่ งตอ่ เนื่องจนบรรลุความต้องการของแต่ละบุคคล Mc Clelland๑๖ กลา่ วถงึ แรงจงู ใจว่า เป็นการแสดงออกถึงสภาพอารมณ์ของบุคคลที่มีต่อสิ่ง เร้า แล้วปรากฏเป็นพฤติกรรมออกมาเพ่ือกระทาไปสู่จุดหมายและการเกิดอารมณ์พึงพอใจหรือไมพึง พอใจ ซ่ึงจะขน้ึ อยู่กบั ประสบการณทก่ี าหนดไว้ โดยสรุป จากการให้ความหมายของการจูงใจ โดยนักวิชาการดังกล่าวขางตนพอสรุปได้ว่า การจูงใจเป็นการสร้างแรงขับ หรือสิ่งเร้า เพ่ือให้บุคลากรในองค์การมีพฤติกรรมท่ีสนองตอบใน ปฏิบัตงิ าน ตามวตั ถุประสงค์ท่อี งคก์ ารได้วางเอาไว้ ๘.๓ เทคนิคการจูงใจ เทคนิคการจูงใจที่สาคญั ท่ผี ู้บริหารทผ่ี ู้บรหิ ารสามารถนาไปใช้ในการจูงใจประกอบด้วย ๑. เงิน (Money) จากทฤษฎีของการให้รางวัลและการลงโทษ เงินเป็นส่ิงกระตุนท่ีสาคัญอยู่ ในรูปของเงินเดือน ค่าจางต่อหน่วยงานในคุณภาพระดับหน่ึงหรือสิ่งจูงใจอ่ืน ตลอดจนโบนัส ประกัน และส่ิงอื่นๆ ท่ีมอบให้กับพนักงาน นักวิชาการบางคนได้ระบุว่า เงินมีความหมายมากกว่ามูลค่าในรูป ตัวเงิน แต่จะหมายถึงท้ังสถานะ (Status) และอานาจ (Power) นักเศรษฐศาสตร์และผู้บริหารส่วน ใหญ่ได้ใช้เงินเป็นส่ิงกระตุ้นนักวิทยาศาสตรพฤติกรรมศาสตร์มองประเด็นนี้ มีความสาคัญต่า การใช้ เงินเป็นส่ิงกระตนุ้ ผู้บริหารต้องระลึกถึงหลายประการ ดงั นี้ ๑.๑ เงินมีแนวโน้มว่าจะมีความสาคัญต่อบุคคลมากขึ้น สาหรับบุคคลที่มีครอบครัว เงินเป็นส่ิงที่ใช้เพื่อให้บรรลุมาตรฐานการครองชีพ อย่างน้อยเงินจะต้องให้เพียงพอกับมาตรฐานการ ครองชีพในระดับต่า แม้ว่าบางคนจะมีความพอใจในบานหลังเล็ก รถยนต์ราคาถูกมากกว่าการไดรับ ความพึงพอใจจากบา้ นหลงั ใหญ่รถยนต์หรหู รา ๑๔ อานวย แสงสวาง, การจัดการทรพั ยากรมนุษย์, พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรงุ เทพมหานคร : อักษรพพิ ฒั น,์ ๒๕๓๖ หนา้ ๗๒. ๑๕ Glueck Gulick, Luther and Urwick, L., ed. Papers on the Science of Administration. EnglewoodChiffs, NJ: Prentice-Hall, 1973, p,138. ๑๖ McCollor, Frederick Michael. “Case Studies of School Based Management in Three UrbanMiddle Schools,” Dissertation Abstracts International. 59, 01A (1998): 40.
พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๕๐ ๑.๒ ธุรกิจและองค์การทุกแหงใช้เงินจ่ายให้พนักงานแกองค์การและเป็นตัวกระตุ้น องคก์ ารทวั่ ไปให้ค่าจ้างเดอื นละเท่าไหร่ค่าจ้างเพือ่ การแข่งขันในอุตสาหกรรมเพ่ือจงู ใจและดึงบุคคลไว้ ๑.๓ เงินเป็นส่ิงจูงใจในทางปฏิบัติ เพ่ือให้เกิดความเช่ือมั่นว่าองค์การจะสามารถ รักษาบุคคลเอาไว้เงินเดอื นของผู้บรหิ ารในบรษิ ทั มีความสมเหตุสมผล องค์การจะมีการรักษาบุคคลใน ระดบั ทีเ่ ปรียบเทียบกนั ได้ ๑.๔ ถาเงินเป็นสิ่งกระตุนที่มีประสิทธิผล บุคคลในตาแหน่งต่างๆ ในระดับท่ีคลาย คลึงกันจะไดรับค่าจ้างและโบนัสที่สะท้อนถึงการทางานส่วนตัว บริษัทควรมีการเปรียบเทียบค่าจ้าง เงินเดือน ธุรกิจที่มีการจัดการที่ดีอาจจะใช้การปฏิบัติ รวมกับการให้โบนัส และที่ปรากฏว่าโบนัส สาหรับผู้บริหาร จะถือเกณฑ์ขอบเขตการทางานเฉพาะบุคคล องค์การจะไม่ซื้อสิ่งจูงใจวิธีการที่ให้ เช่ือมั่นว่าเงนิ มคี วามสาคัญ การให้รางวัลสาหรับความสาเร็จและการทาให้บุคคลพอใจในความสาเร็จ ในการทางาน และเกณฑ์คาตอบแทน จากขอเท็จจริงที่ว่า เงินสามารถกระตุ้นได้เม่ือการจ่ายเงินน้ัน มีขนาดเพียงพอกับรายได้ของบุคคลในกรณีท่ีค่าจ้างและแรงงานเพิ่มข้ึน และการจ่ายโบนัส ซึ่งไม่ พอท่จี ะกระตุ้นผู้รบั แต่ละบคุ คลจะทาให้ไมพ่ อใจและหางานอนื่ ๒. การมสี วนรวม (Participation) เป็นเทคนิคซ่ึงเป็นผลจากทฤษฎกี ารจูงใจและการวิจัยการ มสี ่วนร่วมในการทางาน การทางานของแต่ละบุคคลจะมคี วามรูทงั้ ในด้านปัญหาและผลลัพธ์การมีส่วน รว่ มทีถ่ กู ตองจะเปน็ ท้ังการจูงใจและความรูทมี่ ีคุณภาพ สาหรบั ความสาเร็จของธุรกิจ ๓. คุณภาพชีวิตการทางาน (Quality of Working Life (QWL)) เป็นทัศนะการจูงใจท่ีนา สนใจท่ีสุด QWL เป็นการศึกษาระบบเพื่อออกแบบงาน และพัฒนาในขอบเขตการทางาน ประกอบด้วยระบบเทคนิคสังคมในการจัดการ QWL ไม่ใช่ทัศนะการเพิ่มหน้าท่ีในงาน (Job enrichment) แต่เป็นเครือขายประสานงานระหว่างจิตวิทยาอุตสาหกรรม จิตวิทยาองค์การและ สังคมวิทยา วิศวกรรม อุตสาหกรรม ทฤษฎีองค์การทฤษฎีและการพัฒนาองค์การ การจูงใจและ ทฤษฎีผู้นา และอตุ สาหกรรมสมั พนั ธ์ สรุปได้ว่า แรงจูงใจเป็นกระบวนการท่ีจะกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมอย่างมีจุดมุ่งหมาย และ พฤติกรรมนั้นยังคงอยู่ เพราะพฤติกรรมทั้งหมดถูกกระตุ้นโดยความต้องการ ซึ่งแรงจูงใจจะเกิดขึ้นได้ ท้ังภายในและภายนอกเป็นได้ท้ังแรงจูงใจทางร่างกาย จิตใจ และสังคม ซ่ึงการกระทากิจกรรมใดๆ ของบุคลากรจะสาเรจ็ ได้ถา้ บุคลากรน้ันมแี รงจูงใจเพยี งพอ ดังนั้น การสร้างแรงจูงใจจึงเป็นส่ิงที่สาคัญ ยิ่ง ซึ่งแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกันท้ังวุฒิภาวะ ความรู้ความเข้าใจในส่ิงต่างๆ ตลอดจนการรับรู้ หากสามารถสร้างแรงจูงใจให้เกิดข้ึนได้แล้ว ก็เป็นเคร่ืองแสดงว่าสามารถบรรลุเป้าหมายของ หน่วยงานไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิผลและประสทิ ธภิ าพ ท้ังน้ีเน่อื งจากการกระทาใดๆ ทีต่ ้องการความสาเร็จ แรงจูงใจก็จะเป็นส่วนสาคัญในการเป็นสื่อให้นาแนวคิดนั้นไปสู่ความสาเร็จตามเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ ได้ ๘.๔ ทฤษฏแี รงจูงใจ
พทุ ธจิตวิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๕๑ Maslow๑๗ ไดแ้ บง่ ลาดบั ขนั้ ความตอ้ งการของมนุษยไ์ ว้ ดังต่อไปน้ี ๑. ความต้องการทางร่างกาย (Physiological Needs) เป็นความต้องการข้ันมูลฐาน ของมนุษย์ และเป็นสิ่งจาเป็นที่สุดสาหรับการดารงชีวิต ร่างกายจะได้รับการตอบสอนงภายใน ระยะเวลาและสม่าเสมอ ถ้าร่างกายไม่ได้รับการตอบสนองแล้วชีวิตก็ไม่สามารถดารงอยู่ได้ ความ ตอ้ งการเหลา่ น้ไี ดแ้ ก่ อาหาร อากาศ เคร่อื งนุ่งห่ม ที่อยูอ่ าศัย ยารักษาโรค น้าดื่ม การพักผ่อน เป็นต้น ในขน้ั นอี้ งค์การจะตอบสนองความต้องการของแต่ละคนโดยการจ่ายค่าจ้างเพ่ือให้คนงานนาไปใช้จ่าย ในส่งิ จาเปน็ ขัน้ มูลฐานของชวี ิต ๒. ความตอ้ งการดา้ นความม่นั คง (Security Needs) เมื่อความต้องการทางร่างกาย ได้รับการตอบสนองแล้ว ความต้องการความปลอดภัยก็เขามีบทบาทในพฤติกรรมมนุษย์มีความ ปรารถนาท่ีจะได้รับความคุ้มครองจากภัยอันตรายต่างๆ ท่ีจะมีต่อร่างกาย เช่น ถูกทาร้าย อุบัติเหตุ เป็นต้นคนเรามักต้องการอยู่ในสภาพที่สามารถคาดหมายได้ ดังน้ันความม่ันคงปอดภัยในการ ปฏิบัติงานในองค์การจึงเป็นสิ่งสาคัญท่ีมีผลต่อขวัญและกาลังใจของคนงานทุกคน องค์การจึงมีกฎ ระเบยี บเพ่ือสร้างความมน่ั คงในการปฏบิ ตั ิและตาแหน่งงานเพอื่ ส่งผลดีต่อองค์การโดยรวม ๓. ความต้องการการยกย่องในสังคม (Social or Affiliative Needs) เมื่อความ ต้องการข้ันต้น ๆ ได้รับการตอบสนองแล้ว ความต้องการในระดับสูงกว่าก็จะเข้าครอบงาพฤติกรรม ของบคุ คล ความต้องการการยกย่องในสังคม หมายถึง ความต้องการที่จะเข้ามามีส่วนร่วม ได้รับการ ยอมรับและมิตรภาพจากเพ่ือนร่วมงานเป็นความต้องการให้ผู้อ่ืนมองเห็นความสาคัญของตนองค์การ จึงตอบสนองความต้องการของคนงานโดยการให้แสดงความคิดเห็นและเมื่อความคิดเห็นได้รับการ ยอมรับก็จะไดร้ ับการยกยอ่ งชมเชยจะทาให้คนงานรู้สึกเปน็ สว่ นหนงึ่ ขององค์การ ๔. ความตอ้ งการเกียรตยิ ศชือ่ เสียง (Esteem Needs) เป็นความตอ้ งการมีฐานะเด่น เป็นท่ียอมรวมถึงความเชื่อม่ันในตนเอง ความสาเร็จ ความรู้ ความสามารถ การนับถือตนเอง ความเป็นอิสรเสรภี าพ ๕. ความต้องการความสาเรจ็ แห่งตน (Self-actualization) ความตอ้ งการขนั้ สงู สดุ น้ีจะเกิดขึน้ เม่ือความต้องการขน้ั ต่าได้รับการตอบสนองเป็นท่พี อใจแล้ว บุคคลท่ีมคี วามต้องการในขั้น นี้จึงมีไม่มากนัก ความต้องการในขนั้ นี้จึงเปน็ ความตอ้ งการทีอ่ ยากจะทาอะไรสาเรจ็ ตามความนึกคิด แนวคดิ และทฤษฎีสองปจั จัย (Two Factors Theory) ปัจจัยของ Herzberg ไดศ้ ึกษา เกย่ี วกับแรงจูงใจในการทางานของบุคคล ซึง่ ให้ความสาคัญกบั ปจั จัย ๒ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. ปัจจัยจูงใจ (Motivational Factor)เป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจในการทางาน ทาให้การทางานมีประสิทธิภาพเพิ่มข้ึน ผลผลิตเพ่ิมขึ้น ทาให้บุคคลเกิดความพึงพอใจในการทางาน ซ่งึ เปน็ ปจั จัยทีต่ อบสนองความต้องการภายในของบุคคล ไดแ้ ก่ ๑. ความสาเรจ็ ในงาน ๒. การได้รบั การยอมรับนับถือ ๓. ลกั ษณะงานทีป่ ฏิบตั ิ ๑๗ Maslow, Abraham, Motivation and Personnality, New York : Harper and Row Publishers, 1970 p,60.
พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๕๒ ๔. ความรับผิดชอบในงาน ๕. ความกา้ วหนา้ ๒. ปัจจัยค้าจุน (Hygiene Factors) เป็นปัจจัยท่ีทาให้บุคลากรมีแรงจูงใจในการทางานอยู่ ตลอดเวลา ถ้าไม่มีหรือมีในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับบุคคลในองค์กรก็อาจทาให้เกิดการไม่ชอบงาน ขึ้น ซงึ่ เปน็ ปัจจัยทมี่ าจากภายนอกของตัวบคุ คล ไดแ้ ก่ ๑. เงินเดือน ๒. นโยบายและการบริหาร ๓. ความสมั พันธ์กบั ผ้บู ังคับบัญชา ๔. สภาพการทางาน ๕. วธิ ีปกครองบังคบั บญั ชา ๖. สถานะทางอาชีพ ๗. ความมนั่ คงในการทางาน ๘.๕ แรงจูงใจในการทางาน ภาวณิ ี เพชรสว่าง๑๘ สรุปปัจจัยทมี่ ีอิทธพิ ลให้เกิดความพึงพอใจในงาน ๔ สว่ น คือ ๑. ความน่าสนใจของงาน งานที่ท้าทายความรู้ ความสามารถ งานที่เปิดโอกาสให้ เรียนรู้ ใช้ทักษะท่ีหลายหลาย และให้ความรับผิดชอบ รวมทั้งงานท่ีมีความเป็นอิสระ และสามารถ ทราบผลงานของตนเองว่าทาให้ดีมากน้อยเพียงใด หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ จะทาให้งานน่าเบ่ือ แต่ ในทางกลับกัน หากงานมีลักษณะท่ียากเกินไป ก็อาจทาให้พนักงานรู้สึกท้อถอยกลัวความล้มเหลว ดงั นั้นจึงควรจัดระดบั ความทา้ ทายไวป้ านกลางจงึ จะเอ้ือให้เกดิ ความพึงพอใจในงาน ๒. การได้รบั คา่ ตอบแทนท่ียุติธรรม สอดคล้องเหมาะสมกับความสามารถท้ังน้ีความ พึงพอใจไมไ่ ด้ข้ึนอยู่กับปริมาณ หรือจานวนเงินท่ีได้รับเท่านั้น แต่ข้ึนอยู่กับความรู้สึก หรือการรับรู้ว่า ยุติธรรมดว้ ย ซง่ึ รวมถงึ โอกาสความกา้ วหนา้ ในงานและไดร้ บั การพฒั นาใหเ้ ติบโตในงาน ๓. สภาพแวดล้อมที่สนับสนุนในการทางาน เก่ียวข้องกับส่ิงแวดล้อมทางกายภาพที่ ดานวยความสะดวกให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน และช่วยให้การทางานมีประสิทธิภาพ ดังเช่นเรื่องความ ปลอดภยั อุณหภมู ิ เสียง แสง เครื่องมือในการทางาน ๔. หัวหน้างาน และเพื่อนร่วมงานที่เก้ือกูล หัวหน้างานท่ีมีความสามารถในการ บรหิ ารคนใหค้ วามสนใจสนบั สนุนความกา้ วหน้าของลูกนอ้ ง รวมทั้งมีความสัมพันธ์กับเพ่ือนร่วมงานท่ี ดี สนบั สนุนชว่ ยเหลอื กนั และกนั หากองคก์ ารสามารถสร้างบรรยากาศทีด่ ใี นการทางานโดยสร้างปัจจัยท้ัง ๔ ประการ น้ีให้เกิดขึ้นก่อนนั้น หมายความว่า จะสร้างให้เกิดความพึงพอใจในการทางานตามมา แต่ถ้าปัจจัยใด ปัจจัยหนง่ึ ขาดหายไปอาจมีผลทาให้พนักงานทางานได้มีประสทิ ธิภาพเนือ่ งมากจากพนักงานเกิดความ ๑๘ ภาวิณี เพชรสวา่ ง, พฤตกิ รรมองค์การ, พมิ พค์ รั้งท่ี ๕, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพซ์ ีวแี อลการพิมพ์ ,๒๕๕๒ หนา้ ๔๔.
พทุ ธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๕๓ ไมพ่ ึงพอใจในการทางาน ไม่มคี วามสุขในการทางานทั้งปฏิกริ ยิ าหนงึ่ ทจ่ี ะเกิดขึ้นเม่ือเราเกิดความไม่พึง พอใจในการทางาน นน้ั คอื เกิดความเครยี ดในการทางาน ๘.๖ ทฤษฎีเสรมิ แรงจูงใจ ทฤษฎีเสริมแรง (Reinforcement theory) หรือการปรับปรุงพฤติกรรม (Behavior modification) เป็นทฤษฎที ว่ี าพฤติกรรมของมนุษย์ถือเกณฑ์ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมหน่ึงกับ ผลของพฤตกิ รรมนั้น หรือหมายถึงกระบวนพฤติกรรมของคน ซ่ึงการเรียนรูเกิดจากประสบ การณใน อดตี นกั จิตวทิ ยาจากมหาวิทยาลัย Harvard สกินเนอร์ (Skiner อ้างถึงใน คันศร แสงศรีจันทร์)๑๙ ได พัฒนาทฤษฎีน้ี และไดนามาใช้เป็นเทคนิคในการจูงใจ ทฤษฎีนี้ เรียกว่าทฤษฎีการเสริมแรงดานบวก (Positive reinforcement) หรือการปรับปรุงพฤติกรรม (Behavior modification) ซึ่งคิดว่าแตละ บุคคลจะไดรับการจูงใจ โดยการออกแบบท่ีเหมาะสมของส่ิงแวดลอมในการทางาน และผลของการ ทางาน จากการกระทาท่ไี มเหมาะสมจะทาให้เกดิ ผลกระทบดานลบ (Negative reinforcement) กฎแหงผลลัพธ์Law of effect) ไดกล่าวไว้ว่า การเกิดพฤติกรรมซ่ึงเป็นผลจากความพอใจ แตถ่ ้าผลของพฤตกิ รรมไมพอใจ เขาก็จะเลกิ พฤติกรรมนน้ั หรอื มีพฤติกรรมทแี่ ตกตางไป สกินเนอร์และผู้ร่วมงาน ศึกษาถึงการทางานท่ีดีท่ีควรยกยอง วิเคราะห์สถานการณ์การ ทางานเพ่ือพิจารณาถึงสาเหตุซึ่งแรงงานมีการปฏิบัติ และกระตุ้นการเปล่ียนแปลงเพ่ือกาจัดปัญหา และอุปสรรคในการทางาน เป้าหมาย การมีส่วนร่วมของแรงงานและการช่วยเหลือ การป้อนกลับ อย่างรวดเร็วจากผลลัพธ์จะเกิดขึ้น ตลอดจนการปรับปรุงการทางานเป็นรางวัลจากการยอมรับและ การยกยอง โดยวธิ ีการยกยองบคุ คลท่เี ขาทาดี รูปแบบของพฤติกรรมเสริมแรง (Form of reinforcement) ของ Skiner เน้นย้าแรงจูงใจ ซ่ึงเปน็ พื้นฐานในการปรับปรุงพฤติกรรม และเป็นเทคนิคในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์เขาเชื่อ ว่าพฤตกิ รรมของมนุษย์ถกู เปลยี่ นไปเนือ่ งจากแรงจูงใจ เทคนิคน้ีสามารถทาให้มนุษย์เกิดพฤติกรรมซ้า หรือเปล่ยี นพฤติกรรมอ่นื ทฤษฎีการเสรมิ แรงทาไดวิธี คือ ๑. การเสริมแรงดานบวก (Positive reinforcement) หมายถึง การบริหารรางวัลตอบแทน ตามผลการปฏิบัติงานเพ่ือให้เกิดพฤติกรรมที่พึงปรารถนา เป็นการสรางให้เกิดพฤติกรรมมากข้ึนด้วย การใหร้ างวัลพิเศษสาหรับการกระทาอย่างใดอย่างหนง่ึ ๒. การเรียนรู้การหลีกเล่ียง (Avoidance learning) หรือการเสริมแรงด้านลบ (Negative reinforcement) หมายถึงการจัดลาดับเหตุการณ์ที่ไม่น่าพึงพอใจต่อจากพฤติกรรมที่พึงพอใจการ เรียนรูท้ เ่ี กิดขนึ้ เพราะพนักงานสามารถปฏิบัตติ ามหน้าทไี่ ด้ทาอย่างอนื่ เน่ืองจากกลัวผลรายที่จะไดรบั ๑๙ คันศร แสงศรจี นั ทร,์ ปจั จยั ที่มีผลตอ่ แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรเทศบาลตาบลบา้ นดู่ อาเภอเมอื ง จังหวัดเชียงราย, วทิ ยานพิ นธ์ รป.ม. (รฐั ประศาสนศาสตร)์ , บณั ฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยแม่ฟ้าหลวง, ๒๕๕๐ หนา้ ๙-๑๐.
พุทธจติ วทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๕๔ ๓. การกาจดั หรือปราบปราม (Extinction) หมายถงึ การเลิกให้รางวัลเพ่ือจุดมุงหมายในการ ยับยั้งพฤติกรรมอย่างใดอย่างหน่ึงในอนาคต เป็นการลดพฤติกรรมซึ่งมีผลด้านบวก ซ่ึงเกี่ยวของกับ พฤตกิ รรม เป็นการปราบพฤตกิ รรมบางอย่างโดยการลดการเสริมแรงเกีย่ วกับการแสดงออก ๔. การลงโทษ (Punishment) หมายถึง การปรับพฤติกรรมซ่ึงเกี่ยวของภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ผลที่ตามด้านลบจะช่วยลดหรือยับยั้งพฤติกรรม เป็นการลดพฤติกรรมเนื่องจากผลลัพธ์ที่ไม่พึงพอใจ แม้ว่ารางวัลจะเป็นวิธีการท่ีมีอานาจในการกาหนดพฤติกรรมพนักงาน ผู้บริหารจะให้สัญญาณ ท่ีผิดพลาด จากพฤติกรรมสวนตัว เคร่ืองมือต่างๆ ท่ีใช้จากความหมายดังกล่าวผู้ศึกษาสรุปได้ว่า ทฤษฎีเสริมแรง (Reinforcement theory) หรือการปรับปรุงพฤติกรรม (Behavior modification) เป็นทฤษฎีที่ใชเ้ ป็นเทคนคิ ในการจูงใจบคุ ลากรในเทศบาลใหม้ พี ฤติกรรมในด้านบวก หรือมุ่งผลลัพธ์ใน ดา้ นความพอใจ ๖.๘.๑ ทฤษฎีความคาดหวังในการจงู ใจ วรูม (Vroon อา้ งถึงใน ศิริวรรณ เสรีรัตน์)๒๐ ได้เสนอเร่ืองการจูงใจว่า เป็นผลของความมาก น้อยของบคุ คลท่ีมีความต้องการส่ิงใดสิ่งหนึ่ง และการคาดคะเนของบุคคลน้ัน ต่อความน่าจะเป็นของ การกระทาท่ีจะนาไปสูส่ิงนั้น ดังน้ัน รูปแบบของการจูงใจตามทฤษฎีนี้ จึงประกอบด้วย ความพอใจ (valence) และความคาดหมาย (expectancy) ซ่ึงเป็นตัวที่ทาให้เกิดการจูงใจและผลลัพธ์ (outcome) ความพอใจ (valence) หมายถึง ความปรารถนาของบุคคลที่มีผลลัพธ์อย่างหนึ่งซ่ึงเกี่ยวกับ ผลลพั ธ์อกี อย่างหนึง่ เกดิ ขน้ึ ภายในตวั ของบุคคลแต่ละคนซง่ึ ถกู กาหนดด้วยประสบการณ์ ความคาดหมาย (expectancy) หมายถึง ความเช่ือวาการกระทาที่แสดงออกนั้นจะทาให้ ไดผ้ ลลัพธ์เป็นพเิ ศษ ผลลัพธ์ (outcome) หมายถงึ ผลที่เกิดจากการกระทาท่ีไดรับการกระตุ้นและแรงจูงใจการใช้ ทฤษฎนี ใ้ี นการจงู ใจบุคลากรในหน่วยงานให้เกดิ ความพึงพอใจในการปฏบิ ตั งิ าน ทฤษฎีของ Vroom และการปฏิบัติงาน (The Vroom theory and practice) สิ่งที่น่าสนใจ ของทฤษฎีนี้ก็คือ การระลึกถึงความสาคัญของความต้องการเฉพาะบุคคลและการจูงใจโดยหลีกเลี่ยง ลักษณะของทฤษฎี Maslow และ Herzberg ให้เหมาะสมและมีความเขากันกับวัตถุประสงค์แต่ละ บุคคลจะมีเป้าหมายส่วนตัวที่แตกต่างจากเป้าหมายขององค์การ แต่สามารถเข้ากันได้ นอกจากน้ี ทฤษฎีของ Vroom ยังสอดคล้องกับหลักการจัดการโดยวัตถุประสงค์ MBO จากความหมายดังกล่าวผู้ศึกษาสรุปได้ว่า ความกระตือรือร้นในการทางาน หรือมีความ ตอ้ งการทจ่ี ะกระทาสง่ิ ใดสิง่ หน่ึง พฤตกิ รรมหรือการกระทาของบุคลากรจึงข้ึนอยู่กับองค์ประกอบด้าน ความพอใจ และดา้ นความคาดหมาย ซึ่งเปน็ ตัวท่ีทาให้เกิดการจูงใจและผลลัพธ์ ๖.๘.๒ ทฤษฎีแรงจูงใจใฝส่ มั ฤทธิ์ ทฤษฎีแรงจงู ใจใฝส่ ัมฤทธ์ิของเดวิดแมคเคลแลนด์ เป็นนักจิตวิทยาแหงมหาวิทยาลัย ฮารวาร์ด ได้ทาการวิจัยเกี่ยวกับสิ่งจูงใจของมนุษย์ในการทางานให้เกิดผลสาเร็จ ทั้งในระดับบุคคล และระดบั สังคม ผลของการศึกษาสรปุ ได้ว่า มนุษยม์ ีความต้องการอยปู่ ระการ คือ ๒๐ ศริ วิ รรณ เสรรี ตั น์ และคณะ, ทฤษฎีองค์การ, กรุงเทพมหานคร : วสิ ทิ ธิ์พัฒนา, ๒๕๔๑ หนา้ ๓๘๐.
พทุ ธจติ วทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๕๕ ๑. ความต้องการสัมฤทธิ์ผล (need for achievement ) เป็นแรงขับเพ่ือจะทาให้ งานทก่ี ระทาประสบผลสาเรจ็ มากทสี่ ดุ เมื่อเปรยี บเทียบกับมาตรฐาน ๒. ความต้องการความรักและความผูกพัน (need for affiliationf) เป็นความ ปรารถนาท่ีจะส่งเสริมและรักษาสัมพันธ์ภาพอันอบอุ่นเพ่ือเป็นมิตรกับผู้อื่น คลายกับความตองการ ทางสังคมของ มาสโลว์ (Maslow) ๓. ความต้องการอานาจ (need for power ) เป็นความต้องการที่จะให้คนอ่ืนมี ความประพฤติหรือมีพฤติกรรมตามท่ีต้องการหรือต้องการจะมีอานาจในการบังคับบัญชาและมี อิทธิพลเหนือผู้อ่นื จากการศึกษาของ แมคเคลแลนด์ McClelland) พบว่าผู้มีแรงจูงใจทางด้าน ความสาเรจ็ โดยตวั ของเขาเองจะมีคุณลักษณะที่มีความสาคัญ ๓ ประการ คอื ๑. พวกเขาต้องการกาหนดเป้าหมายของพวกเขาเอง ไม่ต้องการความเล่ือนลอยไร้ เป้าหมาย ๒. พวกเขาจะไม่กาหนดเป้าหมายที่ยากหรอื ง่ายต่อความสาเร็จมากจนเกนิ ไป ๓. พวกเขาต้องการสิ่งยอนกลับเก่ียวกับผลการปฏิบัติงานของพวกเขา ซึ่งต้องการรู้ วา่ เขาทางานได้ดีแคไหน สาหรับผู้บริหารแล้วความต้องการอานาจ บารมี เป็นความต้องการที่สูงกว่า ความตอ้ งการความสัมฤทธผิ์ ลและความต้องการผูกพนั แมคเคลแลนด์ไดเ้ น้นสาระสาคัญด้านแรงจูงใจ ว่า ผู้ท่ีจะทางานได้ประสบความสาเร็จต้องมีแรงจูงใจด้านความต้องการสัมฤทธ์ิผลอยู่ในระดับสูง ความสาเรจ็ ของงานจะทาไดโดยการกระตุ้นความต้องการ สรปุ ท้ายบท ในสภาพปัจจุบันองค์กรหรือธุรกิจต่างๆ ต้องเผชิญกับภาวการณ์แข่งขันที่รุนแรงย่ิงขึ้น ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ การท่ีจะทาใหอ้ งค์กรอยู่รอดและทันต่อสถานการณ์การแข่งขันได้ นั้นจะต้องเริ่มจากการพัฒนาประสิทธิภาพและประสิทธิผลระดับบุคคลก่อน แล้วจึงขยายสู่ในระดับ องค์กรการดาเนนิ งานขององค์กรจะประสบความสาเร็จและเกิดประสิทธิผลสูงสุดได้ด้วยองค์ประกอบ สาคญั คือ การบริหารทรพั ยากรมนุษย์ที่ต้องดาเนินการอย่างยุติธรรมและเป็นระบบ โดยท่ีการบริหาร จัดการทรัพยากรมนุษย์ คือการใช้หรือบริหารกลุ่มบุคคลให้สามารถปฏิบัติงานได้สมกับความมุ่งหวัง หรือเป้าหมายทอี่ งค์กรกาหนดไว้ การทีบ่ คุ คลากรในองค์กรจะปฏิบัติได้สมกับความมุง่ หวงั หรือไม่ เป็นคาถามที่ผู้บริหารองค์กร ท้ังหลายพยายามที่จะหาคาตอบให้ได้ และเป็นภารกิจท่ีต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการจัดการให้ บุคลากรในองค์กรทางานใหบ้ รรลคุ วามม่งุ หวังหรอื เปา้ หมายท่กี าหนดไว้อย่างเต็มใจ ในขณะเดียวกันก็ ต้องใหค้ วามสาคัญกับการรักษาบคุ ลากรนน้ั ๆ ใหอ้ ยู่ในองคก์ รใหน้ านที่สดุ กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์จึงมีความสาคัญต่อองค์กร เพราะจะต้องสร้างแรงจูงใจ ให้บุคลากรมีความจงรักภักดีและความผูกพันต่อองค์กร และแสดงศักยภาพในการทางานอย่างเต็ม
พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๕๖ ความสามารถ รวมทั้งการรักษาคนดีและคนเก่งไว้กับองค์กร หรือลดอัตราการเข้าออกของบุคลากร ซึ่งแนวทางในการสร้างแรงจงู ใจให้บุคลากรทางานนัน้ ไม่ใชเ่ ฉพาะการจงู ใจดว้ ยเงินเพียงอย่างเดียว
พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๕๗ คาถามทา้ ยบท
พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๕๘ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท เสนาะ ติเยาว์, (๒๕๔๖), การบริหาร, กรุงเทพมหานคร : บางกอกการพิมพ์. คันศร แสงศรจี นั ทร์, (๒๕๕๐), ปัจจัยที่มีผลต่อแรงจูงใจในการปฏบิ ตั ิงานของบคุ ลากรเทศบาล ตาบลบ้านดู่ อาเภอเมือง จังหวัดเชียงราย, วทิ ยานิพนธ์ รป.ม. (รฐั ประศาสนศาสตร์), บัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลยั แม่ฟา้ หลวง. ตุลา มหาพสุธานนท์, (๒๕๔๗), หลักการจัดการหลักการบริหาร, กรุงเทพมหานคร : เพ่ิมทรพั ย์ การพิมพ์. พชรพร ครองยทุ ธ, (๒๕๔๙), แรงจูงใจและการสนบั สนนุ จากองคก์ รท่ีมผี ลต่อการปฏบิ ัตงิ านของ คณะกรรมการประสานงานสาธารณสุขระดับอาเภอ จังหวดั ขอนแกน่ , วิทยานิพนธ์ สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาการบริหารสาธารสขุ , บณั ฑติ วทิ ยาลยั : มหาวิทยาลยั ขอนแก่น. พาสนา จุลรัตน์, (๒๕๔๘), จติ วิทยาการศึกษา, ภาควชิ าการแนะแนวและจิตวทิ ยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. ภาวณิ ี เพชรสวา่ ง, (๒๕๕๒), พฤตกิ รรมองคก์ าร, พิมพค์ รั้งท่ี ๕, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ ซวี ีแอลการพมิ พ์. วฒุ ิชัย จานง, (๒๕๒๕), การจงู ใจในองคก์ ารธุรกจิ , กรงุ เทพมหานคร : คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์. ศริ วิ รรณ เสรรี ตั น์ และคณะ, (๒๕๔๑), ทฤษฎอี งคก์ าร, กรุงเทพมหานคร : วิสทิ ธิพ์ ฒั นา. สมพงศ์ เกษมสนิ , (๒๕๒๖), การบริหาร, พิมพ์ครงั้ ที่ ๘, กรงุ เทพมหานคร : ไทยวัฒนาพาณชิ ย์. สมยศ นาวีการ, (๒๕๔๙), การบริหารและพฤติกรรมองคก์ าร, กรุงเทพมหานคร: บรรณกจิ . สชุ า จันทร์เอม, (๒๕๓๑), จติ วทิ ยาทว่ั ไป, พิมพ์ครง้ั ที่ ๖, กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานชิ . อารี พันธ์มณี, (๒๕๔๖), จิตวทิ ยาสร้างสรรคก์ ารเรียนการสอน, กรุงเทพมหานคร : ใยใหม ครีเอทีฟ กรปุ๊ . อานวย แสงสวาง, (๒๕๓๖), การจดั การทรพั ยากรมนษุ ย์, พิมพ์คร้ังที่ ๒, กรุงเทพมหานคร : อักษรพิพัฒน์. Glueck Gulick, Luther and Urwick, L., (1973), ed. Papers on the Science of Administration. EnglewoodChiffs, NJ: Prentice-Hall. Maslow, Abraham, (1970), Motivation and Personnality, New York : Harper and Row Publishers. McCollor, Frederick Michael. (1998), “Case Studies of School Based Management in Three UrbanMiddle Schools,” Dissertation Abstracts International.
พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๕๙ Stephen P. Robbins, (1993), Organizational Behavior : Concepts Controversics and Applications.York : Prentice – Hall Inc.. Vroom, V. H. & Yetton P.W., (1973), Leadership and Decision Making. Pittsburgh: University of Pittsburgh.
บทท่ี ๙ การเสรมิ สร้างความสขุ วตั ถุประสงค์การเรียนร้ปู ระจาบท เมื่อได้ศึกษาเนื้อหาในบทน้แี ล้ว ผู้เรยี นสามารถ ๑. อธิบายความหมายและองค์ประกอบของความสขุ ได้ ๒. อธิบายการส่งเสรมิ ความสุขได้ ๓. อธิบายโปรแกรมพฒั นาตนเองได้ ๔. อธิบายประโยชนข์ องโปรแกรมพฒั นาตนเองได้ ขอบข่ายเนื้อหา ความหมายและองค์ประกอบของความสุข การส่งเสริมความสุข โปรแกรมพัฒนาตนเอง ประโยชนข์ องโปรแกรมพัฒนาตนเอง
พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๕๙ ๙.๑ ความนา คาวา่ \"สุข\" เปน็ หวั ขอ้ ทีผ่ นู้ บั ถือศาสนาพุทธให้ความสาคัญมาก เพราะเป็นส่ิงท่ีมนุษย์แสวงหา เพ่อื ให้ได้พบกับเสรีภาพและการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง การสอนของศาสนาพุทธใช้หลักธรรม ที่เรียกกันว่ามรรค หรือหนทาง ๘ ประการในการดับทุกข์เพื่อนิพพาน สุขสูงสุดสามารถมีได้ด้วยการ เอาชนะตัณหาทุกรูปแบบ ส่วนสุขจากทรัพย์สินหรือความม่ันคงในชีวิตและการมีมิตรภาพที่ก็เป็นท่ี ยอมรบั วา่ เปน็ เปาู หมายท่ีมีคุณคา่ สาหรบั บุคคลท่ัวไป “ความสุข” เป็นสิ่งทีท่ ุกคนปรารถนาและพากันแสวงหาหนทางว่า จะพบกับความสุขในชีวิต ได้อย่างไร เพราะความสุข คือ ความสบายใจและกาย ความพอใจ ความรื่นรมย์ ความอ่ิมเอมใจ ดงั นน้ั ผ้เู ขยี นจึงขอนาเสนอวธิ กี ารสร้างสุขใหต้ วั เองได้อยา่ งง่ายๆ ดังน้ี พระพุทธศาสนามีความพยายามท่ีจะพัฒนาความสุขของมวลมนุษย์ไปสู่ความสงบในระดับ ปลอดภัยจากกิเลสตัณหาอันเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งความอยากได้อยากมี อยากเป็น อย่างไม่มีขอบเขต ของความเปน็ มนุษยใ์ นแต่ละปัจเจกชนซง่ึ ทาใหม้ นษุ ยต์ า่ งพยายามค้นหาค้นคว้าในส่ิงท่ีตนเองต้องการ ท่ีไม่มีโอกาสจะพบได้เลย หากบุคคลเหล่าน้ันไม่หยุดแสวงหา จะความสุขได้อย่างไร เพราะความสุข ไม่ได้ข้ึนอยู่กับการแสวงหาจากปัจจัยภายนอก แต่ความสุขเป็นสภาวะที่อยู่ภายในจิตใจของผู้นั้นๆ แต่กระนั้นในการพัฒนาความสุขของคนทว่ั ไปกลับมองไปที่ปัจจัยภายนอกมากกว่าภายในทาให้มนุษย์ ท้ังในสังคมและในองค์กรไม่สามารถจะพบกับความสุขที่แท้จริงจึงเป็นท่ีมาของความใช้คาว่า ครอบครวั มากกว่าองคก์ รหรอื บ้านหลังที่ ๓ ที่จะพบคาว่าความสขุ จริงๆ ในทัศนะทางพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงตรัสถึงความเป็นมนุษย์ว่าเป็นไปตามโลกธรรม _๘ ประการ ได้แก่ มียศ เสื่อมยศ มีลาภ เล่ือมลาภ มีทรัพย์ เส่ือมทรัพย์ และมีสุข เส่ือมสุข ท่ีมนุษย์ทุกคนปรารถนา อยากได้ อยากมี และไม่อยากเปน็ ในสิ่งทีต่ นเองไม่ต้องการ ๙.๒ ความหมาย การค้นคว้าข้อมูลในการศึกษาครั้งน้ีพบว่ามีการให้คานิยามของความหมาย ของความสุข แตกตา่ งกนั ไป ดงั ตอ่ ไปน้ี อาร์กีล และมาร์ติน๑ ได้ให้ความหมายไว้ว่า ความสุขเป็น การประเมินของบุคคลในขณะนั้น ว่ามีความพึงพอใจในชีวิต มีความรู้สึกทางบวก เช่น เบิกบานใจ มีความยินดี มีอารมณ์ดี และ ปราศจากความรู้สกึ ทางลบในขณะนั้น เชน่ ความซมึ เศร้า และความวิตกกงั วล ๑ Argyle & Martin, The psychology of happiness. London:Methuen, 1991, p. 78.
พทุ ธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๖๐ ไดเนอร์๒ ไดน้ ิยามสรปุ ความสุขเป็น ๓ ประเภท คือ ๑. เป็นความรูส้ กึ ทีดี เรยี กวา่ สขุ ภาวะ (well-being) ได้คาจากัดความมาจากเกณฑ์ภายนอก เช่น ความดีงาม หรือ ความศักดิ์สิทธ์ิเป็นการให้คาจากัดความความสุขท่ีได้พิจารณา ถึงสภาพ ความรู้สึกส่วนตัว แต่คานึงคุณลักษะอันพึงปรารถนา ท่ีจะเกิดขึ้น โดยความสุข ประเภทนี้ หมายถึง การทาให้ชวี ิตดงี ามข้ึน ซงึ่ เป็นการนิยามความสุขในแง่ของมาตรฐานในสายตา ของผู้สังเกต ไม่ใช่เป็น การตัดสินจากมาตรฐานภายในของถูกสงั เกต ๒. เป็นความพึงพอใจในชีวติ เป็นการประเมนิ รวมถงึ คภุ าพชีวิตท้ังหมดของบคุ คลตามเกณฑ์ ทบ่ี ุคคลน้ันเลือกเอง จากการศกึ ษาพบวา่ หากมกี ารรับรู้ความ ไม่สอดคลอ้ งกนั ระหว่างความ ปรารถนา (aspiration) และความสาเร็จ (achievement) บุคคลน้ันจะรายงานความพงึ พอใจของตน ในระดับต่า ๓. เป็นการเนน้ ที่อารมณ์ทเี่ ป็นสขุ หมายถึง การมีความสุขทางบวกมากกว่าความรู้สึกทางลบ ซ่ึงอารมณ์ ทั้งสองน้ีมีความสืบเนื่องกัน บุคคลที่มีอารมณ์ความรู้สึกทางบวกในขณะน้ันมาก่อน ก็ ยอ่ มจะมคี วามร้สู ึกทางลบนอ้ ยลงในขณะเดยี วกัน ไดเนอร์ ; ซูท และโออิชิ๓ ได้ให้ความหมายว่า ความสุขเป็นภาวะท่ีอารมณ์ทางบวกอยู่เหนือ อารมณ์ทางลบ โดยมุ่งพิจารณาจาเพาะไปยังสภาวการณ์ ของความพึงพอใจและข้ึนอยู่กับการ ประเมินอารมณช์ ว่ งใดชว่ งหน่ึงของชวี ิตของแต่ละบุคคล ฟรานิส๔ กล่าวว่า ความสขุ คือ ส่งิ ทคี่ งที่ในการแสดงออก ผลของอารมณ์ทางบวกจากการมี ความสขุ จะมีสว่ นทาให้เกิดสังคมที่ดี เป็นธรรมชาติ มีความร่ืนรมยใ์ นการมปี ฏิสมั พันธ์กับคนอ่ืนๆ ลายาร์ด๕ ได้ให้ความหมายไว้ว่า ความสุข คือความรู้สึกท่ีดีท่ีสุดในการมีชีวิตที่มีความสุข สนุกสนาน และเป็นความปรารถนาท่ีอยากจะคงไว้ให้ยาวนานถึงตรงกันข้ามกับความรู้สึกทีไม่มี ความสุข วีนโฮเวน๖ ได้ให้ความหมายวา่ ความสขุ เป็นทัศนคตขิ องบคุ คล ที่มีการดาเนินชีวิตของตนเอง โดยเกิดจากการทีÉเขาประเมินสภาพการณ์ได้ทั้งหมดในขณะนั้น เม่ือบุคคลบอกว่ามีความสุขน้ัน ๒ Diener, 1984 : 543, อา้ งใน กนกวรรณ วังมณี, การพัฒนาความสขุ ของวัยรุ่นไทย โดยใช้โปรแกรม พฒั นาตนเอง, การศึกษามหาบณั ฑิต, บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ, ๒๕๕๔ หนา้ ๘. ๓ Diener,Suh; & Oishi. 2004 : 1, อา้ งใน กนกวรรณ วังมณ,ี การพฒั นาความสขุ ของวัยรนุ่ ไทย โดยใช้ โปรแกรมพฒั นาตนเอง, การศกึ ษามหาบณั ฑิต, บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ, ๒๕๕๔ หนา้ ๘. ๔ Francis L.J.Happiness is a thing called stable extraversion: a further examination of the relationship between the oxford Happiness lnventory and Eysenck’s dimensional model of personality and gender. Personality and lndividual Differences. 23(3) : 5-11.1999, p,6. ๕ Layard, 2005 อา้ งใน พนิดา คะชา, ปจั จัยทมี่ ีอทิ ธพิ ลต่อความสขุ ในการทางานของพยาบาลวชิ าชพี โรงพยาบาลศนู ย์ในเขตภาคตะวันออก, วิทยานิพนธ์ พย.ม., (การบริหารการพยาบาล).ชลบรุ ี : บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั บูรพา, ถา่ ยเอกสาร. ๖ Veenhoven, 1995 : 2-32 อา้ งใน กนกวรรณ วงั มณี, การพัฒนาความสุขของวัยรุ่นไทย โดยใช้ โปรแกรมพฒั นาตนเอง, การศกึ ษามหาบัณฑติ , บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ, ๒๕๕๔ หน้า ๘.
พทุ ธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๖๑ หมายถึง บุคคลรับรู้ว่าชีวิตในขณะนั้นมีประสบการณ์ทางอารมณ์ท่ีดีมีความน่าพึงพอใจและน่า ปรารถนาอันเป็นภาวะที่จะทาให้บุคคลประเมินตนเองว่ามีความสุขส่วนบุคคลท่ีไม่มีความสุขน้ัน จะประเมนิ องค์ประกอบในชีวติ ว่าไม่พึงปรารถนาไมน่ ่าพงึ พอใจ วทิ แมน๗กล่าวว่า ความสุขหมายถึง ระดับของความรู้สึกท่ีแสดงออกึงความพึงพอใจในระดับ สงู สุด และมคี าทม่ี คี วามหมายอยา่ งเดียวกับความสุขหลายคา ได้แก่ ภาวะสุข (Well Being) สุขารมย์ (Pleasure) Ãชคดี (Luck) สนุกสนาน (Joy) ความพึงพอใจ (Satisfaction) ความพออกพอใจ (Contentment) ความเบิกบานสาราญใจ (Ecstasy) เป็นตน้ กัณฐิกา ชัยสวัสด์ิ๘ กล่าวว่า ความสุขนาไปสู่การมีสุขภาวะ (well-being) และ การมีคุภาพ ชีวิต (quality of life) ที่ดี เป็นความปรารถนาสูงสุดของมนุษย์ ซ่ึงความสุขนั้น ประกอบด้วย องค์ประกอบ ๓ ดา้ น คือ ๑. ความพงึ พอใจในชีวิต ๒. ระดับของอารมณ์ทางบวก หรือ ความเบิกบาน ใจ ๓. ระดับของอารมณ์ทางลบในขณะนั้น เช่น ความซึมเศรา้ และความวิตกกงั วล ดวงพร หิรัญรัตน์๙ กล่าววา่ ความสขุ หมายถงึ การประเมนิ ความรสู้ กึ ภายใน ของบุคคลแต่ ละคน อันเป็นการประเมนิ ท้ังหมดของชวี ิตอนั เป็นส่วนท่ีนา่ พอใจ ตามแนวคดิ ของ Ê Michael Argyle ทใี่ หค้ วามหมายของความสุขว่าประกอบดว้ ยองค์ประกอบสามด้านดงั ต่อ ไปนี้ ๑. ความพงึ พอใจใน ชวี ติ ๒. ระดับของอารมณ์ทางบวก หรือ ความเบิกบานใจ ๓. ระดับของอารมณท์ างลบในขณะน้ัน เชน่ ความซมึ เศร้า และความวิตกกังวล เทดิ ศกั ด์ิ เดชคง๑๐ อธิบายว่า ความสุขเป็นความพงึ พอใจ การรสู้ กึ สมหวงั เม่ือจติ ใจมี ความสุข ร่างกายกผ็ ่อนคลาย พนิดา คะชา๑๑ กล่าวว่า ความสุข หมายถึง การรับรู้ความรู้สึก หรือภาวะอารมณ์ ในช่วง เวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง เป็นการประเมินถึงความพึงพอใจในชีวิตของบุคคลนั้น มีความพึงพอใจต่อ เปาู หมายหลักของชวี ติ รวมถึงประสบการณท์ ไ่ี ดร้ ับรกู้ ระทาในสิ่งท่นี ามาซึ่งสิ่งดีงาม มีอารมณ์ทางบวก สูงและมอี ารมณ์ทางลบต่า ๗ Wittmann. ๒๐๐๓ อา้ งใน กนกวรรณ วงั มณี, การพัฒนาความสขุ ของวยั รุ่นไทย โดยใช้โปรแกรม พัฒนาตนเอง, การศกึ ษามหาบัณฑติ , บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ, ๒๕๕๔ หนา้ ๘. ๘ กัณฐิกา ชยั สวัสดิ์, ภาวะความสขุ และปจั จยั ทีเ่ ก่ียวข้องของหญิงตงั้ ครรภ์ทีม่ าฝากครรภ์ ณ โรงพยาบาลจฬุ าลงกรณ,์ วิทยานิพนธ์ วท.ม., (สุขภาพจิต), กรงุ เทพมหานคร: บณั ฑติ วิทยาลัย จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั , ถา่ ยเอกสาร, ๒๕๔๖ หน้า ๑๑. ๙ ดวงพร หิรัญรตั น์, ผลของการปรึกษาเชิงจิตวิทยาแบบกลมุ่ ตามแนวโรเจอรส์ ตอ่ ความสขุ ของเด็ก กาพร้าในสถานสงเคราะห,์ วิทยานิพนธ์ ศศ.ม.,(จิตวิทยาการปรกึ ษา), กรุงเทพมหานคร : บณั ฑติ วทิ ยาลยั จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๓ หนา้ ๓๓. ๑๐ เทิดศักดิ์ เดชคง, การเรียนรู้กับการมคี วามสขุ , วารสารจติ วิทยา, ๒(๒๒), หนา้ ๖๖-๖๗. ๑๑ พนดิ า คะชา, ปจั จยั ท่ีมีอิทธพิ ลตอ่ ความสขุ ในการทางานของพยาบาลวิชาชพี โรงพยาบาลศนู ยใ์ น เขตภาคตะวนั ออก, วิทยานพิ นธ์ พย.ม., (การบรหิ ารการพยาบาล), ชลบรุ ี : บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั บรู พา, ๒๕๕๑ หนา้ ๒๒.
พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๖๒ อภิชัย มงคล๑๒ กล่าวว่า ความสขุ หมายถงึ สภาพชีวติ ท่ีเป็นสุข อันเป็นผลจากการมีความสา มารในการจดั การปัญหาในการดาเนินชีวิต มีศกั ยภาพท่ีจะพัฒนาตนเองเพื่อคุภาพชวี ิตที่ดี โดย ครอบคลุมถึงความดีงามภายในจิตใจ ภายใต้สภาพสงั คมและส่ิงแวดลอ้ มที่เปลี่ยนไป อภิพร อิสระเสนีย์๑๓ กล่าวว่า ความสุข เป็นภาวะที่บุคคลพึงพอใจต่อตนเองและ สภาพแวดล้อมทั้งทางกายและทางใจ สามารปรับตัวหรือความต้องการของตนให้เข้ากับ สภาพแวดล้อม มีความสมบูรณ์พร้อมท้ังทางร่างกายและจิตใจ สามารมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอ่ืน เชิญกับปัญหาหรืออุปสรรคในชีวิตได้อย่างเหมาะสม และสามารปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมได้ อย่างกลมกลืน8 อารีย์ บุญผ่อง๑๔ ความสุข หมายถงึ ความรูส้ กึ พงึ พอใจในชวี ิตโดยรวมของบุคคลทีครอบคลุม มติ ิทง้ั ด้านรา่ งกาย จติ ใจ อารมณ์และสงั คม ๙.๒ องค์ประกอบของความสขุ มผี ู้กลา่ วถึงองคป์ ระกอบของความสุขไวแ้ ตกต่างกนั ดังน้ี อภิชัย มงคล และคณะ๑๕ กล่าวว่า ความสุขกับสุขภาพจิตตามบริบท ของสังคมไทยถือเป็น เรื่องเดยี วกนั และไดแ้ บ่งองคป์ ระกอบของสุขภาพจติ เปน็ ๔ องคป์ ระกอบ ดังนี้ ๑) สภาพจิตใจ (mental stage) หมายถึง สภาพจิตใจที่เป็นสุขหรือทุกข์ การรับรู้ สภาวะ สุขภาพของตนเอง ความเจ็บปุวยทางด้านร่างกายทีÉส่งผลกระทบต่อทางด้านจิตใจและความ เจ็บปุวยทางจติ ๒) สมรรถภาพของจิตใจ (mental capacity) หมายถึง ความสามารถของจิตใจในการสร้าง ความสัมพันธ์กับผู้อนื่ และการจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่เกดิ ข้ึน เพื่อการดาเนนิ ชีวติ อยา่ ง เป็นปกตสิ ุข ๓) คุณภาพของจิตใจ (mental quality) หมายถึง คุณลักษณะท่ีดีงามของจิตใจในการ ดาเนนิ ชวี ติ อย่างเกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม ๔) ปัจจยั สนับสนุน (supporting factors) หมายถึง ปัจจัยที่สนับสนุนให้บุคคลมี สุขภาพจิต ทด่ี ี เป็นปจั จยั ที่เกย่ี วขอ้ งกับบคุ คลในครอบครวั ชมุ ชน ความปลอดภัยทางรา่ งกายและ ความมั่นคงใน ชีวติ การเขา้ ถึงบริการสาธารณสุข และการอยใู่ นสภาพแวดล้อมท่ีดีและมีโอกาส พักผ่อนหยอ่ นใจ ๑๒ อภชิ ัย มงคล, โครงการจัดทาโปรแกรมสาเร็จรปู ในการสารวจสุขภาพจิตในพน้ื ทปี่ ี พ.ศ.๒๕๔๕, นนทบรุ ี, ๒๕๕๔ หนา้ ๑. ๑๓ อภพิ ร อสิ ระเสนีย,์ ความสขุ และความสามารถในการเผชิญปัญหาของกลุม่ ครูอาสาสมคั รในพื้นท่ี ประสบภยั สนึ ามิ, วิทยานิพนธ์ วท.ม., (จิตวิทยาการปรึกษา), เชียงใหม่ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลยั เชียงใหม,่ ๒๕๔๙ หนา้ ๙. ๑๔ อารยี ์ บุญผอ่ ง, ประสทิ ธิผลของการดาเนินงานสขุ จติ ชุมชน ของอาสาสมคั รสาธารณสขุ จงั หวดั สงิ ห์บุร,ี วิทยานพิ นธ์ วท.ม.,(บรหิ ารสาธารณสขุ ), บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล, ๒๕๕๐ หนา้ ๓๒. ๑๕ อภิชยั มงคล, โครงการจดั ทาโปรแกรมสาเรจ็ รูปในการสารวจสขุ ภาพจิตในพ้ืนที่ปี พ.ศ.๒๕๔๕, นนทบรุ ,ี ๒๕๕๔ หนา้ ๒๒๗-๒๓๒.
พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๖๓ ความสุขตามแนวคิดของ ไดเนอร์๑๖ อธิบายองค์ประกอบของ ความสุขว่า ความสุขเป็นสิ่ง สาคัญในการดารงชีวิต เป็นความรู้สึกภายในท่ีใช้ประเมินสภาพความ เป็นอยู่หรือเปูาหมายของการ ดาเนินชวี ิต ประกอบดว้ ยองค์ประกอบ ไดแ้ ก่ ๑) ความพึงพอใจในชีวิต (Life satisfaction) หมายถึง การท่ีบุคคลมีความพอใจใน สิ่งที่ตน เป็นและการกระทาอยู่ สอดคล้องกบั ความเปน็ จรงิ และยอมรับกบั สิ่งทเี่ กิดข้ึน ๒) ความพึงพอใจในงาน (Work satisfaction) หมายถึง การท่ีบุคคลได้กระทาในสิ่งท่ีตนรัก พอใจกับสภาพแวดล้อมในการดาเนินชีวิต มีความสุขเม่ืองานที่กระทาสาเร็จตามเปูาหมายและเกิด ประโยชน์แกต่ นเองและผู้อื่น ๓) อารมณ์ทางด้านบวก (Positive affect) หมายถึง การที่บุคคลมีอารมณ์ ความรู้สึกเป็นสุข กบั ส่ิงทด่ี ี รบั รู้ความดงี ามและคปุ ระโยชนข์ องสิ่งท่ี ได้กระทาในการดาเนนิ ชวี ติ ของตนเอง ๔) อารมณ์ทางด้านลบ (Negative affect) หมายถึง อารมณ์ ความรู้สึกท่ีเป็นทุกข์กับสิ่งท่ีไม่ ดีที่เกิดข้ึนในการดาเนินชีวิต เช่น เบื่อหน่าย ซึมเศร้า ไม่สบายใจ เม่ือดาเนินชีวิตท่ีผิดพลาด อยาก ปรับปรุงแกไ้ ข ให้ดีขึ้น ความสขุ ตามแนวคิดของ อากลี ล์๑๗ ประกอบด้วยองค์ประกอบ ๒ องค์ประกอบ ตอ่ ไปนี้ ๑) องค์ประกอบทางความคิด (cognitive components) เป็นการประเมินความสุข โดยการ ใช้ความคิดในการตัดสินหรºอประเมินในรูปของความพึงพอใจในชีวิต ซ่ึงเป็นการประเมิน แบบสรุป รวมชีวิตของบุคคล ท้ังเหตุการณ์ในชีวิต กิจกรรม และสภาพแวดล้อม แล้วตัดสินใจว่า มีความพึง พอใจหรอื ไม่ ๑.๑ ความพึงพอใจในชีวิต (Life satisfaction) หมายถึง การประเมินคุภาพ ชีวิต ของบุคคลตามมาตรฐานที่ตนเองเป็นผู้กาหนด และเป็นการเปรียบเทียบการรับรู้ส่ิงแวดล้อม โดยทั่วไปในชีวิตของบุคคลกับการกาหนดมาตรฐานโดยตนเองหรือตนเองเป็นผู้ตั้งมาตรฐาน และ ระดับท่ีได้รับเป็นมาตรฐานที่ตนเองต้ังไว้ บุคคลผู้น้ันจะมีการรายงานความพึงพอใจในชีวิตสูง โดยทว่ั ไปมกั จะศึกษาโดยแบ่งเป็นแง่มุมต่างๆ เช่น ความพึงพอใจในงาน ความพึงพอใจในชีวิตสมรส ซ่ึงจาเป็นทจี่ ะต้องประเมนิ ถงึ การตัดสินโดยแง่มมุ เฉพาะแงม่ ุมใดแง่มุมหนง่ึ ๒) องค์ประกอบทางอารมณ์ (affective components) เป็นการประเมินความสุขโดยใช้ ประสบการณ์ทางความรู้สึก คือการประเมินความสุขในแง่ทางความรู้สึก คือ การประเมินความสุขใน แงข่ องอารมณท์ างบวก และอารมณท์ างลบ ๒.๑ อารมณ์ทางบวก (positive affect) หมายถึง การที่บุคคลมีอารมณ์เป็นสุขท่ี เกิดมาจากท้ังสภาวะแวดล้อมภายนอก เช่น ความสุขความสนุกสนานร่าเริงและอารมณ์เป็นสุขและ เกิดจากแรงจูงใจภายในทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ความสขุ แบบลึกซ้งึ โดยมีมิตอิ ารมณ์ทางดา้ นบวก ๓ มิต๑ิ ๘ ดงั นี้ ๑๖ Diener. 1984: 542-545, อา้ งใน กนกวรรณ วังมณ,ี การพัฒนาความสขุ ของวัยรนุ่ ไทย โดยใช้ โปรแกรมพฒั นาตนเอง, การศึกษามหาบัณฑติ , บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ, ๒๕๕๔ หน้า ๑๒. ๑๗ Argyle. 1991: 77-95, อา้ งใน กนกวรรณ วังมณ,ี การพัฒนาความสขุ ของวยั รนุ่ ไทย โดยใชโ้ ปรแกรม พัฒนาตนเอง, การศกึ ษามหาบณั ฑิต, บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ, ๒๕๕๔ หน้า ๑๒.
พทุ ธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๖๔ มิติท่ีหน่ึง ความรู้สึกสุขใจ (joy) และความยินดี (elation) จัดเป็นมิติหลัก ของ อารมณ์ทางบวกซึ่งสัมพันธ์กับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม มีความยินดีในการอยู่ร่วมกับบุคคลอื่น มีความรู้สึก ของ การยอมรับ มคี วามม่ันใจในตนเอง เป็นกันเอง และมคี วามสามารในการแกป้ ญั หาได้ มติ ิทส่ี อง ความรสู้ ึกตนื่ เต้น (excitement) และความสนใจ (interest) เป็นมิติที่สอง ของอารมณ์ทางบวก ถ้าความต่ืนเต้นบวกกับความยินดีก็จะเป็นความสุขที่มีระดับเข้มข้ึน มากกว่า ความยินดีหรือสุขใจธรรมดา บุคคลจะแสดงออกทางร่างกายด้วยการหัวเราะ ซึ่งความรู้สึกน้ี จะเกิด ขึ้นกับบุคคลที่ชอบทากิจกรรมที่มีความตื่นเต้น เช่น กิจกรรมเกี่ยวกับความเร็ว เส่ียงอันตรายเป็นต้น ความพึงพอใจ (contentment) ความผ่อนคลาย (relaxation) ความรู้สึกสบาย (comfort) เป็น อารมณท์ างบวกทมี่ รี ะดับความเข้มต่ากว่าอารมณ์ต่ืนเต้น ถึงแม้จะมีระดับความเข้มต่ากว่าแต่ก็ จัดได้ ว่าเปน็ ความรูส้ ึกทางอารมณ์ทดี่ ี มิติที่สาม ความรู้สึกซึมซับ (absorption) ความอิ่มเอิบใจ (intense joy) ความลื่น ไหล (spontaneity) เป็นมิติทางอารมณ์ท่ีระดับความเข้มสูงเป็นประสบการณ์ทางอารมณ์ที ลึกซึ้ง (Intensity or depth of experience) เป็นประสบการณ์ทางอารมณ์เดียวกับทีÉ Maslow เรียกว่า “peak experience” โรเจอร์ส (Roger) เรียกว่า “fully functioning person” อัลพอร์ต (Allport) เรียกว่า “maturity” ซ่ึงอารมณ์ทางบวกมิตินี้ เกิดข้ึนจากการทากิจกรรมประเภทการฟังดนตรี การ อ่านหนังสือ และ การชื่นชมกับความสวยงามของธรรมชาติ บุคคลจะมีความรู้สึกในระดับ มิติน้ีเป็น ความรู้สึกจากการไดท้ ุ่มเทใส่ใจอย่างเตม็ ที่ในงานหรอื กจิ การยามว่างซ่ึงเก่ียวเนื่องกับการ ให้คุณค่าแก่ ตนเอง ๒.๒) อารมณ์ทางลบ (negative affect) หมายถึง การท่ีบุคคลมีความรู้สึกซึมเศร้า ได้แก่ อาการหดหู่ รู้สึกเบื่อหน่าย หมดความสนุกสนาน หรือบางคร้ังหมดอาลัยตายอยาก (anhedonia) เปน็ อาการท่ีอยากปรับปรุงแกไ้ ขเพื่อใหต้ นเองมีความสุข นกู ารเ์ ทน๑๙ กลา่ ววา่ ความพึงพอใจในชีวิตเปน็ ส่วนประกอบทางดา้ นจิตใจ ที่จะนาไปสู่ความ เป็นดีอยู่ดี และเป็นส่ิงท่ีปรารถนาของบุคคล เพราะเป็นองค์ประกอบสาคัญในการดาเนินชีวิตอย่างมี ความสุข บุคคลที่จะมี ความพงึ พอใจในชีวิต จะมีลกั ษณะคลอบคลมุ องค์ประกอบ ๕ ดา้ น คือ ๑) การมีความสุขในการดาเนินชีวิต (Zest) หมายถึง เป็นผู้ท่ีมีความสุขในการทา กิจวตั รระจาวัน มกี ารตอบสนองต่อส่ิงแวดลอ้ ม มีการติดต่อกบั ผู้อื้น มคี วามคดิ สร้างสรรค์ และมีความ พอใจในสภาพทเ่ี ป็นอยู่ ๒) มีความตั้งใจและอดทนต่อชีวิต (Resolution and Fortitude) หมายถึง มีการ ยอมรับว่าชีวิต มีความหมาย มีการยอมรับและมองว่าปัญหาเหล่าน้ันเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ให้ ประโยชน์ สามารถต่อสู้กับปัญหาหนักๆ ในชีวิตได้ โดยไม่คิดท่ีจะเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ต่างๆ ใน อดีตทเี่ กิดขึ้น ๑๘ Argyle. 1987 ; 126-128, อ้างใน กนกวรรณ วงั มณี, การพัฒนาความสขุ ของวัยรุ่นไทย โดยใช้ โปรแกรมพฒั นาตนเอง, การศกึ ษามหาบัณฑติ , บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ, ๒๕๕๔ หน้า ๒๓. ๑๙ Neugarten, 1961, อา้ งใน ชตุ ไิ กร ตนั ตชิ ัยวนชิ , ความสุขในชวี ติ ของผู้สูงวัยในจงั หวัดระยอง, วิทยานพิ นธ์ วท.ม., (สาธารณสขุ ศาสตร์), กรุงเทพมหานคร :. บณั ฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล, ๒๕๕๑ หน้า ๒๓-๒๔.
พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๖๕ ๓) ความสอดคล้องระหว่างเปูาหมายกับสิ่งท่ีเกิดขึ้นจริง (Congruence between desired and achieved goals) หมายถึง ความรู้สึกว่าความต้องการหรือเปูาหมายที่ต้ังไว้ได้บรรลุ เปูาหมาย ๔) อัตมโนทัศน์ (Self concept) หมายถึง การรับรู้ว่าตนเองมีสุขภาพกาย จิต และ สังคมดี มีความรูส้ กึ ว่าตนได้ทาในส่ิงทดี่ ที สี่ ดุ และปัจจุบันดีกวา่ ในอดตี และมีความรู้สึกว่า ร่างกาย ยัง แข็งแรง สามารถพบกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดข้ึนได้ และพร้อมท่ีจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงใน ชีวิตได้ ๕) ระดับอารมณ์ (Mood tone) หมายถึง การแสดงออกท่ีแสดงถึงความสุข การมี ทัศนคติและอารมณ์ในทางท่ีดี มีความพอใจในเหตุการณ์ปัจจุบัน พอใจท่ีจะติดต่อกับบุคคลท่ีมีอายุ น้อยกวา่ และไมร่ ้สู ึกเศร้าหรือว้าเหวแ่ ต่อยา่ งใด ๙.๔ การสง่ เสริมความสุข ในการสง่ เสริมความสขุ ได้มผี ใู้ หแ้ นวทางในการส่งเสริมความสขุ ไวด้ ังนี้ วนี โฮเวน๒๐ สรุป แนวทางการเสรมิ สรา้ งความสุขไว้ ๓ ทางดังน้ี ๑. มผี ลวิจยั แสดงให้เหน็ ว่าการจัดโปรแกรมพิเศษทางการศึกษาสามารถทาให้เกิดการพัฒนา ลกั ษณะทพี่ งึ ประสงคไ์ ด้ ๒. ผลงานของนกั จิตบาบดั แสดงให้เหน็ ว่าสามารถช่วยแก้ไขปัญหาของบุคคลได้ แต่เพียงบาง ปญั หาเท่าน้ัน ๓. การได้รับการถ่ายทอดทางสังคมจากครอบครัวค่อนข้างทรงพลังและมีอิทธิพล ต่อการ สร้างสรรค์ความสขุ สชุ า จันท์เอม๒๑ได้กลา่ วถงึ แนวทางการดารงชีวิตอยา่ งมีความสขุ ไว้ดงั นี้ ๑. พยายามรักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ เป็นทีÉทราบกันว่าสุขภาพทางกาย และสุขภาพจิตมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด คนที่มีร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี ย่อมมีจิตใจร่าเริง สนกุ สนาน ตรงกนั ข้ามกับคนที่ไม่แข็งแรง ยอ่ มเจบ็ ปุวยเสมอ ทาใหม้ อี ารมณ์หงุดหงิดราคาญใจ ดังนั้น เราจึงควรรักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยรับประทานอาหารท่ีเป็นประโยชน์ ถูกส่วนพักผ่อน ใหเ้ พยี งพอ รักษาความสะอาดของรา่ งกายและเคร่ืองใช้ ตลอดจนหมน่ั ออกกาลังกายอยู่ เสมอ ๒. รู้จักตนเองอย่างแท้จริง ควรสารวจตัวเองว่าเป็นคนอย่างไร มีความสามารถด้าน ไหน แค่ไหนมีความสนใจและต้องการอะไรมีอะไรเป็นข้อดีและข้อเสียพยายามห าทางแก้ไข ๒๐ Veenhoven. 1991: 20, อ้างใน อ้อมเดือน สดมณี, ปัจจยั ด้านจติ สงั คมและความสุขใจเก่ียวกับ พฤติกรรมการทางานของครใู นระดบั ประถมศกึ ษาและมธั ยมศึกษา, (รายงานการวิจยั ), กรงุ เทพมหานคร : สถาบันวจิ ัยพฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ, ๒๕๔๙ หน้า ๑๙. ๒๑ สุชา จันท์เอม, จิตวิทยาท่วั ไป, พิมพ์คร้งั ที่ ๑๑, กรงุ เทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานิช, ๒๕๔๓ หนา้ ๑๗-๒๐.
พทุ ธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๖๖ ข้อบกพร่อง และส่งเสริมส่วนที่ดี จะทาให้เราตั้งเปูาหมายของชีวิตได้เหมาะสมกับความเป็นจริง ตลอดจนมโี อกาสพบกบั ความสาเร็จและความสมหวังได้มาก ๓. จงเป็นผมู้ คี วามหวงั เราควรต้ังความหวงั ไว้ แม้เวลาที่ตกตา่ กอ็ ยา่ ทอดอาลัยจงคิด หวังเสมอวา่ เราจะไมอ่ ย่ใู นสภาพเชน่ นี้ตลอดไป สกั วนั หน่ึงเราอาจจะดีขนึ้ ได้ ๔. ต้องกล้าเผชิญกับความกลัวและความกังวลต่างๆ ในชีวิตของเรานี้มีส่ิงต่างๆ มากมายท่ีทาให้กลัว เร่ิมตั้งแต่วัยเด็ก ดังน้ัน เม่ือรู้สึกกลัวอะไรต้องพยายามค้นหาความจริงว่าส่ิงน้ัน คืออะไร อย่าปล่อยจติ ใจใหห้ วาดกลวั โดยไม่มเี หตุผล ๕. ไม่ควรเก็บกดอารมณ์ทีÉตึงเครียด ควรหาทางระบายอารมณ์ทีÉขุ่นมัวหรือไม่ สบายใจน้ันเสียโดยหาทางออกในส่ิงทส่ี ังคมยอมรับและเป็นไปในทางที่พึงปรารถนา ๖. จงเป็นผู้มีอารมณ์ขัน การมีอารมณ์ขันช่วยให้มีอารมณ์ผ่อนคลาย ไม่มองไกล ในแงเ่ อาเป็นเอาตายมากเกินไป ๗.การยอมรับข้อบกพร่องและข้อผิดพลาดของตนเอง การรู้จักตัวเองและเข้าใจ ผอู้ น่ื อยา่ งแท้จริงจะช่วยให้เรายอมรับข้อบกพร่องหรือความผิดพลาดของตนเอง และให้อภัยในความ ผดิ พลาดของผู้อน่ื ได้ ๘.ต้องรู้จักพอใจในส่ิงท่ีตนทาอยู่ การรู้จักพอในใจงานหรือส่ิงท่ีตนทาอยู่ จะทาให้ บุคคลนั้นเกิดอารมณ์สนุก ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ทาให้ชีวิตน่าสนใจ มีความกระตือรือร้นในการทางาน มี กาลังใจเข้มแข็งในการต่อสู้อุปสรรคต่างๆ และมีอารมณ์ร่าเริมแจ่มใส ทาให้ชีวิตมีความสุขและสดช่ืน อยูเ่ สมอ ๙.มีความต้องการพอเหมาะพอควรและมีความยืดหยุ่นได้ เม่ือไม่ได้ในสิ่งหนึ่งแต่ไป ไดอ้ ีก ส่ิงหน่ึงกย็ ังดี ตอ้ งมเี หตผุ ล ร้จู กั ความพอดเี กี่ยวกับความต้องการ ความปรารถนา ความทะเยอะ ทะยาน ตลอดจนส่ิงทเ่ี ราแสวงหาจากผูอ้ นื่ ควรมีความคดิ ใฝฝุ ันทใี่ กลเ้ คียงกับความสามารถ และความ เป็นจริงจะชว่ ยให้เราวางแผนต่างๆ ไวเ้ ป็นระยะๆ เพื่อประสบความสาเร็จตามเปาู หมายได้ ๑๐. อย่าพะวงเก่ียวกับตนเองมากเกินไป หรืออย่าคิดถึงแต่ตัวเองตลอดเวลา เช่น คดิ วา่ ตัวเองจะต้องเด่น ต้องดี ต้องสาคัญกว่าผู้อ่ืน การคิดแต่เรื่องของตัวเองจะทาให้เราไม่มีความสุข เลย เพราะไม่วา่ เราจะคดิ อะไร ทาอะไร หรือไปทีไหน เพือ่ ประสบความสาเรจ็ ตามเปูาหมายได้ ๑๑. การยอมรับสภาพของตัวเองโดยไม่เปรียบเทียบกับคนอ่ืน เพราะการ เปรียบเทียบ จะทาให้เราเกิดความน้อยเนื้อต่าใจว่าทาไมเราจึงไม่มีโชคดีอย่างคนอ่ืนแต่เราอาจ ไม่ ทราบวา่ คนอ่ืนเขาก็มีความทุกข์เหมอื นกัน ๑๒. การยึดคติทวี ่าจะเป็นผใู้ ห้มากกว่าผู้รับ การทาส่ิงใดให้ใครโดยหวังผลตอนแทน ย่อมจะทาให้ผิดหวังได้มาก เพราะมัวแต่กังวลอยู่ว่าเราจะได้รับอะไรเป็นการตอบแทนหรือไม่ มาก น้อยเพียงใด เม่ือไม่ได้รับตามท่ีตนคาดหวังก็จะผิดหวัง ทาให้ไม่มีความสุขคิดว่าตนได้รับความ ยุติธรรมอยเู่ สมอ ๑๓. การหาเพ่ือนที่สนิทสักคนหนึ่งหรือใครก็ได้ท่ีสามารถระบายความทุกข์หรือ ปรึกษาหรือขอความคิดเห็นได้ การมีเพื่อนจะทาให้เรารู้สึกว่าไม่ได้ถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียวในโลก อย่างไรก็ตาม อาจมีบางปัญหาท่ีแม้เราจะปรึกษากับเพ่ือนๆ แล้วก็ยังหาทางแก้ไม่ได้ ก็อาจจะต้องไป
พทุ ธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๖๗ ขอความช่วยเหลือจากผู้ที่ได้รับการปรึกษาทางด้านการแนะแนวและการบาบัดทางจิตมาโดยเฉพาะ เชน่ ครแู นะแนว นกั จติ วทิ ยา หรอื จติ แพทย์ เปน็ ต้น ๑๔. จงปล่อยให้เหตุการณ์บางอย่างผ่านไปตามแนวทางของมัน อย่าไปฝืนหรือ เอา จริงเอาจังเกินไป เมื่อทาอะไรไม่สาเร็จก็เกิดอารมณ์ตึงเครียด จงหยุดพักเสียระยะหนึ่ง แล้วค่อยหัน กลับมา ทาใหม่ หรอื เปล่ียนแนวทางการกระทาเสียใหม่ ๑๕. จงตระหนักว่ากาลเวลาเป็นยารักษาความเจ็บปวด เมื่อพลาดหวังหรือผิดหวัง จงอดทนและมีความหวังต่อไป ไม่ควรใช้วิธีถอยหนีหรือหลีกปัญหาโดยการทาลายตัวเอง หรือใช้สิ่ง เสพยต์ ิดเขา้ ชว่ ย เช่น สรุ า หรอื ยาบางชนดิ ๑๖.อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปวันหน่ึงๆโดยไม่ทาอะไร เพราะจะทาให้เราคิดฟุูงซ่าน ต้องพยายามหางานอดิเรกที่ตนสนใจทา เช่น ปลูกต้น เล่นกีฬา อ่านหนังสือ และอ่ืนๆโดยเฉพาะงาน อดิเรกทีเ่ กีย่ วพนั กับธรรมชาติจะชว่ ยบารงุ จิตใจใหช้ วี ิตมีความสุข สดช่ืนและมีความสขุ กล่าวโดยสรุป ในการส่งเสริมความสุขน้ันสามารถทาได้หลายวิธีไม่ว่าจะเป็นการ รักษาสุขภาพกายให้แข็งแรง ทากิจกรรมท่ีตนเองชอบ เช่น ปลูกต้นไม้ เล่นกีฬา อ่านหนังสือ ท่องเทยี่ วไปยังทตี่ า่ งๆ ไม่ทาให้ตนเองรสู้ ึกเครยี ดและกล้าเผชญิ กบั ปัญหาต่างๆ ๙.๕ โปรแกรมพัฒนาตนเอง ๙.๕.๑ ความหมายของโปรแกรมพฒั นาตนเอง (Self–help program) ในการศึกษาโปรแกรมพัฒนาตนเองพบว่าได้มีผู้กล่าวถึงความหมายของโปรแกรม พัฒนา ตนเองไว้ ดังน้ี ประเทือง ภูมิภทั รราคม๒๒ กล่าวว่า การจัดทาคู่มือปฏิบัติตน คือ การจัดทาคู่มือใน การปฏิบัติเพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้วยตนเอง ซ่ึงเทคนิคน้ี เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “บรรณ บาบัด” (Bibliotherapy) เป็นเทคนิคได้เขียนคู่มือในการปฏิบัติไว้ ซ่ึงบุคคลสามารถนาไปใช้ ได้เลย โดยปกตคิ ู่มอื ดังกล่าวนี้จะวางจาหน่ายตามร้านหนังสือหรือไม่ก็มีจาหน่ายตามคลินิกต่างๆ พฤติกรรม ท่ีเป็นปัญหาที่นิยมนามาจัดทาคู่มือการปฏิบัติตนเพ่ือแก้ปัญหาน้ันได้แก่ คู่มือการลดความกลัว คู่มือ การลดความอ้วน คู่มอื การอดบุหร่ี ค่มู อื การสรา้ งทักษะทางสังคม คมู่ ือ การลดสุรา คู่มือการแก้ปัญหา ทางเพศ อย่างไรก็ตาม เทคนิคการควบคุมตนเองได้กล่าวถึงเทคนิคต่างๆ ซึ่งสามารถแยกใช้แต่ละ เทคนคิ เป็นเอกเทศได้ นกั ปรับพฤติกรรมหลายทา่ นได้นาเทคนคิ เหลา่ นี้มา ประยกุ ตใ์ ชร้ ่วมกนั สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต๒๓ กล่าวว่า คู่มือช่วยตนเอง (Self-Help Manual) หรือที่รู้จักกันใน ชื่อของการบาบัดโดยหนังสือ (Bibliotherapy) จัดได้ว่าเป็นวิธีการควบคุม ตนเองอีกวิธีการหนึ่ง ซ่งึ วธิ กี ารบาบัดโดยหนังสือน้ันช่วยให้บุคคลสามารถแก้ปัญหาทางอารมณ์ของ ตนเองได้ โดยการอ่าน หนังสือท่ีเก่ียวข้องกับเรื่องราวของปัญหาทางอารมณ์น้ัน เร่ืองราวในหนังสือ สามารถนาไปสู่การ ๒๒ ประเทือง ภมู ภิ ทั รราคม, การปรบั พฤตกิ รรม:ทฤษฎีและการประยกุ ต,์ กรุงเทพมหานคร : โอ.เอส.พร้ิ นตงิ้ เฮ้าส,์ ๒๕๔๐ หนา้ ๓๓๘. ๒๓ สมโภชน์ เอยี่ มสภุ าษิต, ทฤษฎแี ละเทคนิคการปรับพฤตกิ รรม, พิมพค์ รง้ั ที่ ๕. กรงุ เทพมหานคร : จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๔๓ ห น้า ๓๔๗-๓๔๙.
พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๖๘ อภิปราย และทางออกท่ีเป็นไปได้ของปัญหาท่ีเผชิญอยู่น้ัน ผู้บาบัดก็เตรียมการ แนะนาแก้ปัญหา ใหแ้ ก่บุคคลโดยการให้ไปอา่ นหนังสือ และจดั กิจกรรมบางอย่างหลังจากน้ัน นอกจากน้ี การบาบัดโดยหนังสือน้ันสามารถดาเนินการได้เป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่ม ในกรณีทีÉเป็นรายบุคคลผู้บาบัดก็จะให้หนังสือที่ตรงกับความต้องการของผู้รับการบาบัด ผู้รับการ บาบัดจะอ่านหนงั สอื นั้นด้วยตนเองหรือมีคนอ่ืนอา่ นใหก้ ไ็ ด้ กจิ กรรมท่ีดาเนินการหลังจาก การอ่านคือ การให้อภิปรายเปน็ การสว่ นตัวกับผบู้ าบัด เขียนรายงาน พูดกับแถบบนั ทึกเสียง หรือแสดงออกตามใจ ปรารถนา ในกระบวนการเหล่านนี้ผู้เข้ารับการบาบัดสามารถท่ีจะแสดงออกได้อย่าง อิสระ และผ่อน คลายแรงกดดันของอารมณ์ลง ผลจากการดาเนินการดังกล่าวพบว่าผู้เข้ารับการ บาบัดมักจะมีความ ตระหนกั ถึงตวั เองมากข้ึน มีความคิดเกี่ยวกับตนเองดีขึ้น และพัฒนาบุคลิกภาพ และปรับตัวกับสังคม ไดด้ ีขน้ึ อกี ด้วย ผลทตี่ ามมาคือมพี ฤตกิ รรมที่เหมาะสมข้ึน มีความเข้าใจบุคคลอ่ืนมีความอดกล้ันสูงข้ึน ใหเ้ กยี รติและยอมรับบคุ คลอื่น ซึ่งเปน็ ผลส่วนหน่ึงมาจากการลอกเลียนตวั แบบในหนังสอื นั่นเอง ทัคเคอร์ แลดด์๒๔ กล่าวว่า โปรแกรมพัฒนาตนเองเป็นการ จัดการกับสถานการณ์ท่ีสร้าง ปัญหาแก่ตนเองโดยมีเจตนาในการควบคมุ สถานการณอ์ ย่างมีสติ เพ่ือให้สถานการณ์นั้นดีข้ึน เป็นการ ตระหนักถึงจุดด้อยของตนเองและพยายามแก้ไขสิ่งน้ันเพื่อเป็นการพัฒนาตนเอง แม้บางครั้งการ พัฒนาตนเองยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงบุคคลอ่ืน หรือสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สภาวะหรือความรู้สึกของ ตนเองดีขนึ้ จดุ มุ่งหมายสาคัญของการช่วยเหลือตนเองอยู่ที่การ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ทักษะ การรู้ คิด หรือกระบวนการไร้สานึกต่างๆ เป็นอันดับแรก การพัฒนาตนเองเป็นกระบวนการของ “ตัวตน” ของบุคคลคลในการคิดหาเหตุผลอย่างรู้สานึก อันมี ผลในการเปล่ียนแปลงส่วนอ่ืนๆ การกระทาและ สถานการณ์ของบุคคล หรอื กลา่ วได้วา่ การชว่ ยเหลือตนเองคอื การพัฒนาตนเองดว้ ยบคุ คลเอง แคซดนิ ๒๕ กล่าวว่า การบาบัดโดยหนังสือเป็นวิธีการท่ีผู้เข้ารับการบาบัดสามารถเป็นตัวของ เขาเองได้มากที่สุด และสามารถนาวิธีการดังกล่าวน้ีไปใช้ได้ทุกครั้งที่มีปัญหากับตนเอง ซึงผู้จะนา วธิ ีการดงั กลา่ วนี้ไปใชก้ ค็ วรจะได้มกี ารวเิ คราะห์หนังสือที่มอี ยู่ในทอ้ งตลาดเสียก่อนวา่ เล่มใดเหมาะแก่ การใช้ ควรใช้ กบั ปญั หาใด กบั เพศใดและอายเุ ทา่ ใด เปน็ ต้น จากความหมายของโปรแกรมพัฒนาตนเองสรุปได้ว่า โปรแกรมพัฒนาตนเอง หรือรู้จัก กันใน ชื่อของการบาบัดโดยหนังสือ หรือ บรรณบาบัด เป็นการควบคุมตนเองวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้บุคคล จดั การกบั ปัญหาได้ด้วยตนเอง อันจะเป็นผลให้บุคคลมีความรู้สึกท่ีดีขึ้น มีพฤติกรรมท่ีเหมาะและเกิด การพฒั นาตนเองได้ จากวิธกี ารอา่ นและการฝกึ ปฏบิ ัติดว้ ยตนเอง ๙.๕.๒ ความสาคัญของโปรแกรมพฒั นาตนเอง (Self–help program) ทัคเคอร์ แลดด์๒๖กล่าวว่า คู่มือพัฒนาตนเอง (Self–help Manual) เป็นทีÉยอมรับจาก สากล โดยจะมีหวั ขอ้ ของสถานการณ์ปัญหาบางอย่างของบุคคลให้ได้ฝึกเพ่ือพัฒนาตนเอง การใช้คู้มือ ๒๔ Tucker–Ladd, Clayton E. The Psychological Self-help book. (online) Availble://mentalhelp.net/psyhelp Retrieved December 11,2004, p.5-6. ๒๕ Kasdin, 1989, อ้างใน สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต, ทฤษฎแี ละเทคนคิ การปรบั พฤตกิ รรม, พมิ พค์ ร้ังที่ ๕, กรงุ เทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๙ หน้า ๓๕๑. ๒๖ Tucker–Ladd, Clayton E. The Psychological Self-help book. (online) Availble://mentalhelp.net/psyhelp Retrieved December 11,2004, p. 15-41.
พทุ ธจิตวทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๖๙ พฒั นาตนเองนั้นเน้นการเปล่ียนแปลงพฤตกิ รรม ความรู้สึก ทักษะ ทางบวกอันเป็นกระบวนการทีÉไม่ สามารถควบคุมได้ ซึ่งสามารถอธบิ ายได้ดงั นี้ ๑. บุคคลมีทางเลือกของชีวิตท่ีหลากหลาย และสามารถเลือกวิธีการเรียนรู้ ดังที่ตน ตอ้ งการแต่อาจทาไดไ้ ม่งา่ ยนกั สาหรบั การเปลี่ยนแปลงของชวี ติ ๒. โปรแกรมพัฒนาตนเองจะสัมพันธ์กับปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้น บางครั้ง อาจจะมกี ารทดสอบและการสง่ เสริมการปฏิบัติเพื่อให้ไปถึงจดุ หมาย ๓. ควรมีความซ่ือสัตย์ในผลของการฝึกพัฒนาตนเอง ดังน้ันบุคคลต้องมีความ พยายามทจี่ ะเรียนรูแ้ ละคิดค้นการปฏบิ ัติตนใหเ้ หมาะสมกบั ตนเอง ๔. การบาบัดหรือวิธีการพัฒนาตนเองหลายๆวิธีอาจเกิดความเสียหายแก่ผู้รับการ บาบัดซึ่งสังเกตได้จากความกลัวในวธิ ีการปฏิบัติแตผ่ ลลพั ธ์ที่ออกมาจะไม่มผี ลอะไรตอ่ ผ้รู ับการบาบัด ๕. การวัดความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับการปรับตัวอาจมีความยุ่งยากควรวัด ความสาเร็จ ของกิจกรรมที่จัดข้ึน เพื่อให้การประเมินมีความเท่ียงตรง ซึ่งผู้รับการบาบัดสามารถ ใช้ค่มู อื ด้วยตนเองได้ ๖. ผู้รับการบาบัดควรมคี วามซื่อจะต้องเอาจรงิ เอาจังมากจนเกนิ ไป ๗. การพฒั นาตนเองไม่ใช่ส่ิงที่ซอ่ื สัตย์ต่อตนเองถงึ การเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขนึ้ ๘. บุคคลท่ีจะพัฒนาตนเองได้ดีจะต้องใช้เวลาอย่างมาเพียงพอและเตรียมพร้อม สาหรับปัญหา ทอี่ าจเกิดข้ึน ๙. การใช้คู่มอื พฒั นาตนเองไม่จาเป็นต้องรอให้มีปัญหา แต่สามารถใช้เพื่อให้ บุคคล มีความเข้มแข็ง เผชิญหน้ากับความเปล่ียนแปลง ท้าทายทัศนคติของตนเอง และเรียนรู้ความเช่ือท่ี ตนเองสามารถเปล่ียนแปลงได้ ๑๐. คมู่ ือพัฒนาตนเองไม่ไดใ้ ชเ้ พ่ือเตรยี มความพรอ้ มเพื่อบาบัดคนอื่น แต่ใช้ ทดลอง และควบคมุ คนอนื่ ๆ ๑๑. เมื่อบคุ คลมปี ัญหา ควรหาสาเหตุทางปัจจัยสิ่งแวดล้อมทางกายภาพเป็นอันดับ แรก ๑๒. เมื่อบุคคลมีปัญหาหลายด้าน และต้องการความช่วยเหลือ ควรปรึกษา ผู้เช่ียวชาญเพื่อชว่ ยเหลอื เขาทนั ที ๑๓. คู่มือพัฒนาตนเองไม่สามารถทาทุกอย่างตามที่บุคคลต้องการได้ ดังน้ัน ในการ ใชค้ มู่ อื พฒั นาตนเองควรศกึ ษาวตั ถุประสงค์ใหเ้ ข้าใจเพ่ือทจ่ี ะได้รับความรทู้ ่ีถูกต้อง ๙.๕.๓ วัตถุประสงค์ของโปรแกรมพัฒนาตนเอง มผี ู้กลา่ วถงึ วัตถุประสงคข์ องการใช้คมู่ อื พฒั นาตนเองไวค้ ล้ายคลงึ กัน ซ่ึงพอสรปุ ได้ ดังนี้ ๑. ช่วยให้ผู้อา่ นไมห่ มกม่นุ อยกู่ ับตนเอง รับรู้ว่าเขาไม่ใช่คนแรกที่ประสบปัญหาผู้อื่น กม็ ปี ญั หาเช่นเดยี วกัน ๒. เพ่ือสนับสนุนและเสริมสร้างกาลังใจแก่ผู้อ่าน ในการพูดถึงปัญหาของเขาอย่าง เสรี โดยอาจเริ่มต้นการสนทนาจากเนื้อหาหรือตัวละครในหนังสือ ๓. เพื่อเสนอแนะใหผ้ ู้อา่ นทราบวา่ ปัญหาแต่ละเรื่องน้ันย่อมมีวิธแี ก้ไดห้ ลายอยา่ ง
พทุ ธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๗๐ ๔. เพื่อสนับสนุนให้มีการคิดค้นและหาวิธีแก้ปัญหาต่างๆ อันจะช่วยลดความ ขัดแยง้ ในจิตใจของผู้อ่านได้ ๕. เพื่อสง่ เสริมให้ผูอ้ า่ นสามารถเผชญิ กับสถานการณท์ ่ีเปน็ จริง และเข้าใจถึง ปัญหา ทตี่ นเองเผชญิ อย่ไู ด้ง่ายข้ึน ๖. เพื่อใหผ้ ้อู ่านสามารถวิเคราะห์ถึงความคดิ ความรสู้ กึ และพฤตกิ รรมของตนได้ ๗. ชว่ ยหนั เหความสนใจออกสโู่ ลกภายนอก ๘. ชว่ ยคลายเหงา และบรรเทาความรสู้ ึกโดดเด่ียว ๙.๕.๔ หลักการสรา้ งโปรแกรมพัฒนาตนเอง วารนิ ทร์ ปนิ โฮเซ็น๒๗ ได้กล่าวถึงหลกั ในการสรา้ งค่มู อื การเรียนร้ดู ้วยตนเอง ดังนี้ ๑. เลือกหัวเร่ืองทจ่ี ะเขยี นลงในคู่มือ โดยดูลักษณะของเนื้อหาว่าเหมาะสมหรือไม่ มี ความน่าสนใจเพียงใดในการเขียนลงในค่มู ือ ๒. ประเมินลกั ษณะของผเู้ รียนวา่ เปน็ ใคร มีพ้ืนฐานความรูม้ ากน้อยเพียงใด ๓. กาหนดวัตถุประสงค์ของคู่มือว่าหลังจากท่ีผู้เรียนได้เรียนจบแล้ว จะมีการ เปล่ียนแปลงพฤติกรรมอย่างไรบ้าง ๔. วางโครงเรื่องทจี่ ะเขียนเปน็ ลาดับเรอื่ งราว ๕. รวบรวม จดั เนื้อ และลงมอื เขียนตามวตั ถปุ ระสงคแ์ ละโครงเร่ืองท่ีวางไว้ ๖. นาคมู่ ือการเรยี นรู้ด้วยตนเองท่ีเขียนเสร็จไปให้ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบเนื้อหา แล้ว นามาปรับปรุงแกไ้ ข ๗. นาไปทดลองใช้กับผู้เรียนที่มีลักษณะเช่นเดียวกับกลุ่มเปูาหมาย เพื่อทดสอบ ประสิทธิภาพแลว้ นามาปรับปรงุ แก้ไขตอ่ ไป ๘. จัดพิมพ์ ทารปู เลม่ ใหส้ วยงาม มีภาพประกอบน่าสนใจ และนาไปใช้กับเปูาหมาย ตอ่ ไป ๙.๕.๕ วธิ ีดาเนนิ การบาบัดโดยโปรแกรมพฒั นาตนเอง สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษติ ๒๘ ได้กล่าวถึงวิธีดาเนินการบาบัดโดยโปรแกรมพัฒนาตนเอง ไวด้ งั ตอ่ ไปน้ี ๑. พจิ ารณาตามปญั หาของผู้เขา้ รับการบาบัด ซ่ึงอาจทาได้โดยการสัมภาษณ์ สังเกต หรือการเขียนปันทกึ ประจาวัน ๒๗ วารินทร์ ปินโฮเซน็ , อ้างใน แสงเดือน คงวิวฒั นากลุ , การประเมนิ การใชค้ ูม่ ือการเรยี นดว้ ยตนเองต่อ ความรู้และทัศนคติของผดู้ แู ลผู้สงู อายุโรคซมึ เศรา้ , วทิ ยานิพนธ์ปริญญาวทิ ยาศาสตรมหาบณั ฑติ , สาขาสขุ ภาพจติ ,บณั ฑติ วทิ ยาลัย, จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๔๑ หนา้ ๔๔-๔๕. ๒๘ สมโภชน์ เอ่ียมสภุ าษติ , ทฤษฎีและเทคนิคการปรับพฤตกิ รรม, พมิ พ์ครง้ั ท่ี ๕, กรุงเทพมหานคร : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๙ หนา้ ๓๕๐-๓๕๑.
พทุ ธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๗๑ ๒. เลือกหนังสือที่เหมาะกับปัญหาของผู้เข้ารับการบาบัด อย่างเช่น หนังสือท่ี เกยี่ วข้องกับการหยา่ รา้ ง การตายของสมาชิกในครอบครัว หรืออ่ืนๆ ที่พบว่าเก่ียวข้องกับปัญหาของผู้ เขา้ รบั การบาบดั แต่จะตอ้ งระลกึ ไว้เสมอวา่ ๒.๑ หนังสือน้ันจะต้องเหมาะกับระดับความสามารถในการอ่านของผู้เข้า รับการบาบัด ๒.๒ เรื่องราวในหนังสือควรจะอยู่ในระดับความสนใจของผู้เข้าบาบัด น้ัน คอื ถา้ ผเู้ ข้ารบั การบาบัดเป็นเดก็ ตัวละครในหนังสือก็ควรจะเป็นเด็กด้วยเชน่ กนั ๒.๓ ลักษณะ หรอื เนื้อเร่ืองควรจะต้องสอดคล้องกับปัญหาของผู้เข้ารับการ บาบัด ๒.๔ ลักษณะของตวั ละครควรมีความเปน็ ไปไดใ้ นชวี ิต ๒.๕ การดาเนินเร่ืองควรจะสมจริงสมจัง และเก่ียวข้องกับการแก้ปัญหาท่ี สร้างสรรค์ ๓. กาหนดเวลาและสถานท่ีทจ่ี ะดาเนนิ การ ๔. เลอื กกิจกรรมท่ีจะให้หลังการอา่ นแล้ว (เช่น อภิปราย การเขียนรายงาน วาด รูป หรอื แสดงละคร เปน็ ต้น) ๕. จดั ชว่ งเวลาให้มกี ารอ่านหรือเป็นคนอื่น ๖. หยุดพักสัก 2 ถึง 3 นาที เพื่อให้ผู้เข้ารับการบาบัดได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น เกีย่ วกับเน้ือหาน้นั ๗. ดาเนินกิจกรรมหลังจากการอา่ นท่ีได้เลือกไว้แล้ว ๘. ช่วยผู้เข้ารับการบาบัดในการอภิปราย ทารายงานแก้ปัญหาท่ีเป็นไปได้ หรือทา กจิ กรรมอน่ื ๆ ทัคเคอร์ แลดด์๒๙ ได้อธบิ ายวธิ ีการของแต่ละขั้นตอนในการใช้ค่มู อื การปฏิบตั ติ น (Self–help Manual) ไว้ดงั นี้ ขนั้ ตอนที่ ๑ เลือกหัวข้อที่ต้องการจะพัฒนาตนเอง ไมค่ วรเกิน ๒–๓ เร่ือง แบง่ ออกเป็น ๒ ส่วน ไดแ้ ก่ ส่วนท่ี ๑ สารวจส่ิงทท่ี าให้ตนเองไม่มีความสุข ส่วนท่ี ๒ ดาเนนิ การเพอ่ื เขา้ ส่คู วามมงุ่ หมายท่ีได้รับมอบหมาย ขั้นตอนที่ ๒ เร่ิมต้นเก็บข้อมูลและบันทึกผลสะท้อนถึงความรุนแรงหรือปัญหาท่ี เกดิ ขน้ึ บ่อยครั้ง ข้ันตอนที่ ๓ พยายามเข้าใจปัญหาและสาเหตุเบ้ืองต้นของปัญหาและพิจารณา ว่า อะไรที่จะสามารถกลับมาเป็นสาเหตอุ ีกคร้ัง ให้โดยลองวิเคราะหป์ ญั หา ๕ ส่วน ขน้ั ตอนท่ี ๔ กาหนดเปูาหมายที่แทจ้ รงิ ในระยะส้ันและระยะยาว ขน้ั ตอนท่ี ๕ การเลอื กวธิ กี ารทคี่ ลา้ ยคลึงกับการทางาน ตัวอย่างเช่น การพัฒนาการ วางแผนทดลอง วเิ คราะหป์ ัญหาให้เขา้ สสู่ ถานการณท์ ่ีมีความเป็นไปได้มากที่สุด ๒๙ Tucker–Ladd, Clayton E. The Psychological Self-help book. (online) Availble://mentalhelp.net/psyhelp Retrieved December 11,2004, p. 15-41
พทุ ธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๗๒ ขน้ั ตอนที่ ๖ เรียนรู้รายละเอยี ดแต่ละขั้นตอนรวมทงั้ ส่วนของวธิ กี ารช่วยเหลือตนเอง ทใ่ี ช้และพยายามทดลองกบั แผนของตนเอง ข้ันตอนที่ ๗ พิจารณาแผนการอีกครั้งเพื่อประเมินความก้าวหน้าของแผนการ ตนเอง ขั้นตอนท่ี ๘ ถ้าผู้บาบัดต้องการวางแผนอีกครั้งเพื่อฝึกความอดทนกับสิ่งที เปลี่ยนแปลงควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในการบาบัด ข้ันตอนที่ ๙ ดาเนนิ การตามการวางแผน ขน้ั ตอนที่ ๑๐ บนั ทึกวิธกี ารแตล่ ะข้นั วิธีขน้ั ใดทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพสาหรับตนเอง สรุปได้ว่าวิธีการบาบัดตนโดยโปรแกรมพัฒนาตนเอง เป็นวิธีที่ช่วยท่ีทาให้บุคคลดาเนินการ ตามข้ันตอนอยา่ งละเอียดของคู่มือการช่วยเหลือตนเองที่ผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านจัดทาขึ้น โดยให้แต่ละ บุคคลเลือกเรอ่ื งทีต่ อ้ งการพฒั นาหรอื ปรับปรุงแก้ไขทางดา้ นบุคลิกภาพและทางด้านพฤติกรรม ๙.๖ ประโยชน์ของโปรแกรมพฒั นาตนเอง เคลตัน อี. ทัคเคอร์ แลดด์๓๐ กล่าวว่า โปรแกรมพัฒนาตนเองต้องมีเน้ือหาครอบคลุมทุกแง่ ทกุ มมุ ของการช่วยเหลือตนเอง โดยเสนอระบบ สาหรบั วิเคราะหป์ ัญหาตา่ งๆ ในส่วนที่สามารถจัดการ ได้และวางแผนเปล่ียนแปลงตนเอง เป็นหนังสือท่ีทาให้บุคคลพิจารณาอย่างรอบคอบถึงสิ่งท่ีบุคคลนั้น ให้ความสาคัญและต้องการบรรลุผล สาเร็จในชีวิตและมีการสรุปรวมคาอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่ดี ทส่ี ดุ สาหรับปัญหาส่วนใหญท่ ่ีเกิดขนึ้ กับมนษุ ย์ นอกจากนี้ ในหนังสือควรมีการแจกแจงให้เห็นวิธีการ ท่ีมีประสิทธิภาพดีท่ีสุดสาหรับจัดการกับพฤติกรรมและอารมณ์ทั้งหลาย ท่ีไม่พึงปรารถนา และ อธิบายโดยละเอียดถึงการนาเอาวิธีช่วยเหลือตนเองกว่า ๑๐๐ วิธีไปใช้ สรุปคือ ในหนังสือ ควรมอง คลังความร้เู กย่ี วกับพฤตกิ รรมทีเชื่อถือได้และ มกี ารวจิ ยั สนับสนุน ซ่ึงเมอ่ื รวมสิ่งน้ีเข้ากับประสบการณ์ ในการรับมือกับปัญหาของตัวบุคคลแล้วก็จะสามารถสั่งสมความรู้ท่ัวไปท่ีจะช่วยให้เข้าใจตนเองและ ควบคุมชวี ิตได้ดขี น้ึ ส่ิงเหล่าน้ี เป็นส่ิงทจี่ ะได้รับจากหนังสือ ส่วนการซึมซับและการประยุกต์ใช้ความรู้ ดงั กลา่ วนั้นเปน็ หนา้ ที่ของแตล่ ะบคุ คล ในขณะที่จิตวิทยาเชิงทดลองมีตาราเรียน “จิตวิทยาเบ้ืองต้น” ศาสตร์ทางจิตวิทยาท่ีมุ่ง ประโยชน์ต่อตัวบุคคล จาเป็นต้องมีหนังสือเบื้องต้นเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างย่ิงหนังสือท่ีให้ข้อมูล แนะนาท่ีสามารถนาไปใช้ได้จริงและอ่านเข้าใจได้ง่าย ไม่มีหนังสือเล่มใดที่จะสามารถบอกทุกสิ่งทุก อย่าง ที่บุคคลอยากรู้ได้ แต่ในโปรแกรมพัฒนาตนเองควรจะเสนอบทความท่ีสรุปสาระสาคัญของ หนังสือ โปรแกรมพัฒนาตนเองบางเล่มจะเสนอบทความต่าง ที่เขียนโดยผู้เช่ียวชาญในสาขา นอกจากน้ียังอาจมีการอ้างถึงแหล่งข้อมูลหลายๆ แหล่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนังสือท่ีมีจาหน่ายและ เข้าใจงา่ ย ซึ่งเป็นการกระตนุ้ ใหบ้ คุ คลขยายขอบเขตความรู้ โดยการอ่านสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคลนั้น จริงๆ มากขน้ึ ๓๐ Tucker–Ladd, Clayton E. The Psychological Self-help book. (online) Availble://mentalhelp.net/psyhelp Retrieved December 11,2004, p. 15-41.
พทุ ธจติ วทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๗๓ การใช้โปรแกรมพฒั นาตนเอง ชว่ ยใหบ้ ุคคลท่ัวไปดาเนินชีวิตได้ดีข้ึน แต่ประเด็นท่ี พิเศษกว่า น้ันคอื ผู้อ่านควรมีความหวังว่าจะได้อะไรจากโปรแกรมพัฒนาตนเองท่ีมีเนื้อหาครอบคลุม เข้าใจง่าย และมีประสิทธิภาพ จากประสบการณ์ท่ีศึกษากับนักศึกษา ๓,๐๐๐ คน ตามที่ทัคเคอร์ได้ กล่าวไว้ เชื่อได้ว่าส่ิงท่ีกล่าวมาน้ีจะเกิดขึ้นหลังจากท่ีได้อ่านหนังสือเล่มน้ีอย่างตั้งใจและลองฝึกคิดค้นและ ดาเนินโปรแกรมพัฒนาตนเอง ๑. วเิ คราะหป์ ัญหาท่ีสาคัญได้อย่างรวดเรว็ เพื่อใหเ้ กิดความเข้าใจท่ีดียิ่งขนึ้ ๒. เลอื ก ควบคุม และดาเนินการตามวธิ กี ารบาบดั ดว้ ยโปรแกรมพัฒนาตนเอง อย่าง เหมาะสม ๓. ประเมนิ ความก้าวหน้าและปรบั ปรงุ โปรแกรมที่สรา้ งขึ้น หากยงั นามาใช้ไม่ได้ผล ท้ายทส่ี ุดหนังสือเบ้ืองตน้ ท่ีแนะนาเกยี่ วกับโปรแกรมพัฒนาตนเอง ควรได้รับการปรับปรุงทุกๆ ๓-๕ ปี เพื่อให้ครอบคลุมงานวิจัยและเทคนิคใหม่ๆในการพัฒนาตนเอง และควรมี เน้ือหาเกี่ยวกับวิธีการ พฒั นาตนเองอย่างหลากหลาย เน่ืองจากวิธีท่ีบุคคลหนึ่งใช้ในการพัฒนา ตนเองอาจจะใช้ไม่ได้เลยกับ อกี บคุ คลทเี่ ผชิญปญั หาเดียวกนั ทุกคนตา่ งมวี ิธีที่เหมาะสมกับแตล่ ะคน ไม่ว่าปัญหาหรือวิกฤติการณ์ที่เราประสบจะเป็นเช่นไร โปรแกรมพัฒนาตนเองเพื่อ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเราก็มีอยู่เพียง ๑๕-๒๐ วิธีเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีวิธีเบื้องต้นในการ ควบคุมอารมณอ์ ย่เู พยี งอีกไม่ก่ีวิธีที่นามาใช้กบั สถานการณท์ ี่เป็นปญั หาได้ทุกสถานการณ์ เช่นเดียวกับ กรณีทักษะการเรยี นรู้ การเปล่ียนแปลงความคิดของตนเอง การค้นหาปัจจัยที่เกิดจากจิตไร้สานึกและ อ่ืนๆ กล่าวโดยสรุป การทราบหลักการทั่วไปของพฤติกรรมและวิธีการเบื้องต้น สาหรับการ เปล่ียนแปลงย่อมง่ายและดกี วา่ การศกึ ษาปัญหาร้อยปัญหาที่ไม่เก่ียวข้องเน่ืองจาก วิธีเดียวสามารถใช้ เป็นประโยชน์กับปัญหาต่างๆ หลายปัญหา สิ่งที่เราต้องมีคือ ความเข้าใจ ในหลักการทั่วไปของ พฤตกิ รรมและการเปล่ียนแปลง รวมถึงควรมงี านวิจัยท่ีจัดทาข้ึนมา อย่างมีคุณภาพ (ไม่จาเป็นต้องทา โดยผู้เช่ียวชาญ) เพ่ือทดสอบประสิทธิภาพของโปรแกรมพัฒนา ตนเอง ความรู้ของเราจาเป็นต้อง ได้รับการบรู ณาการและการรวมกัน ไมใ่ ชแ่ ยกไปอย่ใู นหนังสือ เลม่ เล็กๆ สรุปได้ว่า ประโยชน์ของโปรแกรมพัฒนาตนเอง เป็นวิธีการท่ีบุคคลมีความต้องการพัฒนา หรอื ปรับปรงุ แกไ้ ขเรอื่ งใดเร่ืองหนึ่งทางด้านบุคลกิ ภาพหรือ ทางด้านพฤติกรรม และช่วยให้บุคคลทีใช้ โปรแกรมพัฒนาตนเองมองเห็นแนวทางในการดาเนิน แผนการช่วยเหลือตนเองทางด้านควบคุม ตนเอง และโปรแกรมพัฒนาตนเองควรมีเนื้อหาและวิธีการท่ีมีอย่างหลากหลายเพื่อให้บุคคลเลือกใช้ ให้เหมาะสมกับตนเอง เนื่องจากวิธีหน่ึงอาจเหมาะสม กับบุคคลหน่ึงแต่ไม่เหมาะสมกับบุคคลหนึ่งใน ปัญหาเดียวกนั สรุปทา้ ยบท ความสุขเป็นสิ่งท่ีใครๆ ก็แสวงหา ทราบไหมคนท่ัวโลกและคนไทยมีความสุขกันอย่างไร องค์การสหประชาชาติเคยสารวจว่า ๑๕๖ ประเทศน่ีเขามีความสุขกันอย่างไร มีการจัดลาดับด้วย
พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๗๔ คนไทยจัดว่าอยู่อันดับท่ี ๕๒ โดยเราเป็นอันดับท่ี ๓ ในภูมิภาคอาเซียน ส่วนปัจจัยท่ีทาให้คนมี ความสุข ความรา่ รวยและเงนิ ทองเปน็ เพียงหน่ึงปจั จยั เทา่ นั้นเอง ความสุขเป็นส่ิงท่ีทุกคนปรารถนาแล้วก็ผู้นาประเทศทุกๆ ประเทศท่ัวโลกนี่ เขาก็พยายาม ท่ีจะสร้าง ความสุขให้เกิดข้ึนในสังคม ถึงกับมีการจัดอันดับเลยว่าประเทศไหนมีความสุขมากน้อยซ่ึง ความจริงแล้วปัจจัยของความสุขนี่ แต่ละประเทศเขาก็จะมีเกณฑ์วัดว่าเป็นอย่างไรบ้าง เช่น การมี รายได้ การมีงานทา มีความมั่นคงในอาชีพ การมีความสัมพันธ์ท่ีดี ในครอบครัวแล้วก็ ในหมู่เพื่อน ร่วมงาน แล้วก็การมีความไว้วางใจซ่ึงกันและกัน การมีสุขภาพกายที่ดี การมีสุขภาพจิตที่ดีแล้วก็ ความสัมพันธ์ในครอบครัว การศึกษา ถือว่าเป็น ปัจจัยของความสุขของคนเหมือนกันแล้วก็ความเท่า เทยี มกัน ในท่นี ห้ี มายถงึ ความเทา่ เทยี มกนั ในสังคม แลว้ กเ็ ทา่ เทียมกนั ในเพศชาย กับเพศหญิง ซ่ึงบางสังคม อาจจะยังมีความเหลื่อมล้าตรงนี้อยู่ เป็นต้น เสรีภาพทางการเมืองแล้วก็ความเข้มแข็งทางเครือข่าย สังคม ตลอดจนการไมม่ ีคอรปั ช่ัน อันน้เี ปน็ ส่ิงทแี่ ต่ละประเทศ มองวา่ อันนี้คอื เกณฑ์ความสุขนน่ั เอง บางคนพยายามแสวงหาความสุข แต่ว่าหาเท่าไรมันก็ไม่ตอบโจทย์ คือหาไม่เจอน่ันเอง เพราะว่า ความจริงแล้ว ความสุขมันอยู่ที่ตัวเรามันสร้างมาจากข้างในตัวเราเอง ไม่ใช่รอจากคนอ่ืนมาหยิบย่ืน ถา้ เราวา่ กนั จริงๆ แลว้ ความสขุ คอื อะไร จรงิ ๆ มนั คอื ความทุกขท์ น่ี ้อยลง ใช่ไหม เพราะฉะน้ันเวลาเราจะสร้างความสุข ก็คือว่า เราก็ลดความทุกข์ ทีน้ีความทุกข์มันเกิดจากกาย วาจาใจ แล้วก็มันอยู่ที่ใจน่ันเอง ท่ีเป็นเหตุแห่งความทุกข์ท้ังหลาย ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ต่างๆ ที่เข้า มาต่าง ๆ นั้น เราจะปรับตัวอยู่ตรงนั้นได้มากน้อยแค่ไหน ก็คงอยู่ที่ตัวเรา เรารู้จักปล่อยวางดีแค่ไหน เราพอใจในสิ่งที่มีไม เราเป็นคนคิดในทางบวกหรือทางลบ แล้วเราคลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ตัวเองหรือเปล่า อนั น้เี ปน็ ตน้
พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๗๕ คาถามทา้ ยบท
พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๗๖ เอกสารอ้างอิงประจาบท กัณฐิกา ชยั สวสั ด์ิ, (๒๕๔๖), ภาวะความสุขและปจั จัยที่เก่ียวข้องของหญิงตัง้ ครรภท์ ี่มาฝากครรภ์ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, วิทยานพิ นธ์ วท.ม., (สขุ ภาพจิต), กรงุ เทพมหานคร: บณั ฑิตวิทยาลยั จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ดวงพร หิรัญรตั น์, (๒๕๔๓), ผลของการปรกึ ษาเชิงจิตวิทยาแบบกลุ่มตามแนวโรเจอร์สต่อความสุข ของเดก็ กาพรา้ ในสถานสงเคราะห,์ วิทยานิพนธ์ ศศ.ม.,(จติ วิทยาการปรกึ ษา), กรุงเทพมหานคร : บัณฑติ วทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ประเทือง ภมู ิภัทรราคม, (๒๕๔๐), การปรบั พฤติกรรม:ทฤษฎแี ละการประยุกต์, กรงุ เทพมหานคร : โอ.เอส.พร้นิ ต้งิ เฮ้าส์. พนิดา คะชา, (๒๕๕๑), ปัจจยั ท่มี ีอทิ ธพิ ลตอ่ ความสขุ ในการทางานของพยาบาลวชิ าชีพ โรงพยาบาลศนู ยใ์ นเขตภาคตะวนั ออก, วทิ ยานพิ นธ์ พย.ม., (การบริหารการพยาบาล), ชลบรุ ี : บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยบรู พา. วารนิ ทร์ ปนิ โฮเซน็ , อ้างใน แสงเดือน คงววิ ัฒนากลุ , (๒๕๔๑), การประเมินการใช้คู่มอื การเรียนดว้ ย ตนเองตอ่ ความรู้และทัศนคติของผู้ดูแลผ้สู ูงอายุโรคซึมเศร้า, วิทยานพิ นธ์ปริญญา วทิ ยาศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาสขุ ภาพจติ ,บัณฑติ วิทยาลยั , จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . สมโภชน์ เอ่ียมสุภาษติ , (๒๕๔๙), ทฤษฎีและเทคนิคการปรบั พฤตกิ รรม, พิมพ์ครั้งที่ ๕, กรงุ เทพมหานคร : จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. สชุ า จนั ท์เอม, (๒๕๔๓), จิตวิทยาท่ัวไป, พมิ พค์ ร้งั ที่ ๑๑, กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานชิ . อภชิ ยั มงคล, (๒๕๕๔), โครงการจดั ทาโปรแกรมสาเร็จรปู ในการสารวจสุขภาพจติ ในพื้นทป่ี ี พ.ศ. ๒๕๔๕, นนทบรุ ี. อภิพร อสิ ระเสนยี ์, (๒๕๔๙), ความสขุ และความสามารถในการเผชิญปัญหาของกล่มุ ครู อาสาสมคั รในพืน้ ท่ีประสบภัยสนึ าม,ิ วทิ ยานิพนธ์ วท.ม., (จิตวิทยาการปรึกษา), เชียงใหม่ : บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยเชียงใหม.่ อารีย์ บุญผอ่ ง, (๒๕๕๐), ประสิทธิผลของการดาเนินงานสุขจิตชุมชน ของอาสาสมคั รสาธารณสุข จงั หวดั สงิ ห์บุร,ี วทิ ยานิพนธ์วท.ม.,(บรหิ ารสาธารณสุข),บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั มหิดล. Argyle & Martin, (1991), The psychology of happiness, London:Methuen. , อา้ งใน กนกวรรณ วังมณ,ี (๒๕๕๔), การพัฒนาความสขุ ของวัยรุ่นไทยโดยใช้ โปรแกรมพัฒนาตนเอง, การศกึ ษามหาบัณฑิต, บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลัย ศรนี ครินทรวิโรฒ.
พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๗๗ Diener,Suh; & Oishi. 2004 : 1, อา้ งใน กนกวรรณ วังมณ,ี (๒๕๕๔), การพัฒนาความสุขของ วยั รุ่นไทยโดยใชโ้ ปรแกรมพัฒนาตนเอง, การศึกษามหาบัณฑติ , บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ. Francis L.J., (1999), Happiness is a thing called stable extraversion: a further examination of the relationship between the oxford Happiness lnventory and Eysenck’s dimensional model of personality and gender. Personality and lndividual Differences. Kasdin, (1989), อ้างใน สมโภชน์ เอี่ยมสภุ าษติ , (๒๕๔๙), ทฤษฎแี ละเทคนคิ การปรับพฤตกิ รรม, พมิ พค์ รั้งที่ ๕, กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. Neugarten, (1961), อ้างใน ชุตไิ กร ตนั ตชิ ยั วนิช, (๒๕๕๑), ความสุขในชวี ิตของผู้สูงวยั ในจงั หวัด ระยอง, วทิ ยานิพนธ์ วท.ม., (สาธารณสุขศาสตร์), กรุงเทพมหานคร :. บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหิดล. Tucker–Ladd, Clayton E. The Psychological Self-help book. (online) Availble://mentalhelp.net/psyhelp Retrieved December 11,2004, p.5-6. Veenhoven, (1995 : 2-32) อ้างใน กนกวรรณ วังมณ,ี (๒๕๕๔), การพัฒนาความสุขของวัยร่นุ ไทยโดยใช้โปรแกรมพัฒนาตนเอง, การศึกษามหาบณั ฑิต, บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ. , อา้ งใน ออ้ มเดือน สดมณี, (๒๕๔๙), ปจั จยั ด้านจิตสงั คมและความสุขใจเกย่ี วกับ พฤติกรรมการทางานของครูในระดับประถมศึกษาและมัธยมศกึ ษา, (รายงานการวิจัย), กรงุ เทพมหานคร : สถาบนั วิจยั พฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. Wittmann. ๒๐๐๓ อ้างใน กนกวรรณ วงั มณ,ี (๒๕๕๔), การพัฒนาความสุขของวยั รุน่ ไทย โดยใชโ้ ปรแกรมพัฒนาตนเอง, การศึกษามหาบัณฑิต, บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลัย ศรีนครนิ ทรวิโรฒ.
บรรณานกุ รม กัณฐิกา ชัยสวัสดิ์, (๒๕๔๖), ภาวะความสุขและปัจจัยที่เก่ียวข้องของหญิงต้ังครรภ์ที่มาฝากครรภ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์,วทิ ยานพิ นธ์ วท.ม.,(สุขภาพจติ ),กรงุ เทพมหานคร:บณั ฑิตวทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . คนั ศร แสงศรจี นั ทร์, (๒๕๕๐), ปจั จยั ท่ีมีผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบตั ิงานของบุคลากรเทศบาล ตำบลบา้ นดู่ อำเภอเมืองจังหวดั เชยี งราย,วิทยานิพนธ์ รป.ม. (รฐั ประศาสนศาสตร์), บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั แม่ฟา้ หลวง. ดวงพร หริ ญั รตั น์, (๒๕๔๓), ผลของการปรึกษาเชิงจิตวิทยาแบบกลุ่มตามแนวโรเจอร์สตอ่ ความสขุ ของเดก็ กำพร้าในสถานสงเคราะห์, วทิ ยานพิ นธ์ ศศ.ม.,(จติ วิทยาการปรกึ ษา), กรงุ เทพมหานคร : บณั ฑิตวิทยาลัย จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ตลุ า มหาพสธุ านนท์, (๒๕๔๗), หลกั การจัดการหลกั การบริหาร, กรุงเทพมหานคร : เพ่ิมทรัพย์ การพิมพ์. ธนยศ ศริ ดิ ำรงคศ์ ักด์ิ, (๒๕๕๒) วารสารวิชาการบรรณารกั ษศาตรแ์ ละสารนเิ ทศศาสตร์, ๑ มกราคม-มิถนุ ายน. ธีรวุฒิ บุณยโสภณ, (๒๕๒๘) แนวคิดในการบรหิ ารการอาชวี ศึกษา สาขาชา่ งอตุ สาหกรรม, กรุงเทพมหานคร : สถาบนั เทคโนโลยีราชมงคล. ประเทือง ภมู ภิ ทั รราคม, (๒๕๔๐), การปรบั พฤตกิ รรม:ทฤษฎแี ละการประยุกต์, กรงุ เทพมหานคร : โอ.เอส.พรนิ้ ต้งิ เฮ้าส์. ปรียาพร วงศอ์ นุตรโรจน์, (๒๕๓๔) จิตวิทยาการศึกษา, กรงุ เทพมหานคร: ศนู ย์สื่อเสรมิ กรุงเทพ. พชรพร ครองยทุ ธ, (๒๕๔๙), แรงจงู ใจและการสนบั สนนุ จากองคก์ รท่ีมผี ลต่อการปฏบิ ัตงิ านของ คณะกรรมการประสานงานสาธารณสุขระดับอำเภอ จังหวัดขอนแก่น, วทิ ยานิพนธ์ สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาการบริหารสาธารสขุ , บัณฑติ วทิ ยาลัย : มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น. พนดิ า คะชา, (๒๕๕๑), ปัจจยั ทมี่ ีอทิ ธิพลต่อความสุขในการทำงานของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลศูนยใ์ นเขตภาคตะวนั ออก, วทิ ยานิพนธ์ พย.ม., (การบริหารการพยาบาล), ชลบุรี : บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั บูรพา. พระเทพวสิ ทุ ธกิ วี (พิจิตร ฐิตวัณโณ), (๒๕๓๘) การพัฒนาจติ , กรงุ เทพมหานคร : มหาวิทยาลยั มหา มกฏุ ราชวทิ ยาลัย. พระปลดั มารตุ วรมงคฺ โล, ผศ.ดร., (๒๕๕๓) การศกึ ษาวิเคราะหจ์ ิตวิทยาในพระไตรปฎิ ก, (รายงานวิจัย), มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . พาสนา จุลรัตน์, (๒๕๔๘), จติ วทิ ยาการศึกษา, ภาควชิ าการแนะแนวและจิตวทิ ยาการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. ภาณวุ งั โส (Dr. Thich Minh Chau), (๒๕๔๙) จิตวิทยาเชิงพทุ ธ. กรุงเทพมหานคร : บริษัท เอน็ ที เอส พร้นิ ท์ต้ิง.
พทุ ธจติ วทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๑๗๙ ภาวิณี เพชรสวา่ ง, (๒๕๕๒), พฤตกิ รรมองคก์ าร, พมิ พค์ ร้ังท่ี ๕, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ ซีวีแอลการพิมพ์. ยงยทุ ธ วงศ์ภิรมยศ์ านต,ิ์ (๒๕๔๗) รายงานการวิจัยฉบบั สมบูรณโ์ ครงการการวจิ ัย และพฒั นาการ เรยี นร้เู พอ่ื คุณภาพการศึกษา. กรงุ เทพมหานคร : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั . วไลพร ภวภตู านนท์ ณ มหาสารคาม, (๒๕๔๗) จิตวทิ ยาพุทธศาสน์, ภาควิชามนษุ ยศ์ าสตร์ คณะสังคม ศาสตรแ์ ละมนุษย์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล. วารินทร์ ปินโฮเซ็น, อ้างใน แสงเดือน คงววิ ฒั นากลุ , (๒๕๔๑), การประเมนิ การใช้คูม่ อื การเรยี นด้วย ตนเองตอ่ ความรู้และทัศนคติของผ้ดู แู ลผสู้ งู อายโุ รคซมึ เศรา้ , วิทยานิพนธ์ปริญญา วทิ ยา ศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาสุขภาพจติ ,บณั ฑิตวทิ ยาลยั , จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . วุฒชิ ยั จำนง, (๒๕๒๕), การจงู ใจในองคก์ ารธุรกจิ , กรุงเทพมหานคร : คณะบรหิ ารธรุ กิจ สถาบนั บณั ฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์. ศิริวรรณ เสรรี ตั น์ และคณะ, (๒๕๔๑), ทฤษฎอี งค์การ, กรุงเทพมหานคร : วสิ ทิ ธพ์ิ ัฒนา. สมพงศ์ เกษมสิน, (๒๕๒๖), การบรหิ าร, พมิ พ์ครั้งท่ี ๘, กรงุ เทพมหานคร : ไทยวฒั นาพาณชิ ย์. สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษติ , (๒๕๔๙), ทฤษฎีและเทคนคิ การปรบั พฤตกิ รรม, พมิ พค์ ร้งั ที่ ๕, กรงุ เทพมหานคร : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . สมยศ นาวกี าร, (๒๕๔๙), การบรหิ ารและพฤตกิ รรมองคก์ าร, กรุงเทพมหานคร: บรรณกจิ . สิทธิโชค วรานสุ นั ตกิ ลู , (๒๕๔๙) จติ วทิ ยาการจัดการพฤติกรรมมนุษย์, นครปฐม: มหาวทิ ยาลัย ศลิ ปากร. สุชา จันทร์เอม, (๒๕๓๑), จติ วิทยาทวั่ ไป, พิมพ์ครั้งที่ ๖, กรงุ เทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานชิ . เสนาะ ติเยาว์, (๒๕๔๖), การบรหิ าร, กรุงเทพมหานคร : บางกอกการพิมพ์. โสรีซ์ โพธ์แิ ก้ว,การปรึกษาเชิงจิตวทิ ยาตามหลักพระพุทธศาสนา. ม.ป.ท. : ม.ป.พ อภิชยั มงคล, (๒๕๕๔), โครงการจัดทำโปรแกรมสำเรจ็ รปู ในการสำรวจสขุ ภาพจติ ในพนื้ ท่ปี ี พ.ศ. ๒๕๔๕, นนทบรุ .ี อภพิ ร อสิ ระเสนีย์, (๒๕๔๙), ความสขุ และความสามารถในการเผชญิ ปญั หาของกลมุ่ ครู อาสาสมัครในพ้ืนทีป่ ระสบภัยสนึ าม,ิ วิทยานิพนธ์ วท.ม., (จิตวิทยาการปรึกษา), เชยี งใหม่ : บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม.่ อารี พนั ธ์มณี, (๒๕๔๖), จิตวิทยาสรา้ งสรรคก์ ารเรียนการสอน, กรุงเทพมหานคร : ใยใหม ครีเอทีฟ กร๊ปุ . อารยี ์ บญุ ผ่อง, (๒๕๕๐), ประสิทธผิ ลของการดำเนินงานสุขจติ ชมุ ชน ของอาสาสมัครสาธารณสขุ จงั หวดั สงิ ห์บุร,ี วิทยานิพนธว์ ท.ม.,(บริหารสาธารณสขุ ),บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยมหิดล. อำนวย แสงสวาง, (๒๕๓๖), การจดั การทรพั ยากรมนุษย,์ พมิ พค์ รั้งท่ี ๒, กรงุ เทพมหานคร : อกั ษรพิพฒั น์. English, Martin, (1992), How to Feel Great About Yourself and Your Life: A Step by Step Guide to Positive Thinking. New York: AMACOM. Feldman, R.S. (1994), Essentials of Understand Psychology, New York: McGraw-Hill.
พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๘๐ Hilgard, (1962), Introduction to Psychology, New York: Harcourt, Brace and World Inc. Krejcie,R.V. and Morgan,D.W. (1974), “Determining sample size for research activities”,Educational and Measurement. Matlin, M.W. (1995), Psychology. 2nd ed. Fort Worth : Harcourt Brace. Noll, Victor H., (1951) Introduction to Educational Measurement. 2d ed. Boston :Houghton Miflin. Seligman, M. E. P., Steen, T. A., Park, N., & Peterson, C. (2005), Positive psychology progress:Empirical validation of interventions. American Psychologist, 60 Smith R.E., Sarason, I.G. and Sarason, B.R. (1982). Psychology : The Frontiers.. Smith, C. A. et al. (1983, August), Organizational citizenship behavior: Its nature and antecedents, Journal of Applied Psychology, 68 (4) 653 - 663.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193