Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก

Description: ความหมายพุทธจิตวิทยาเชิงบวก ที่เน้นการพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์ให้มีความสุข พื้นฐานมาจากการพัฒนาตนเองเป็นคนดี การมองโลกในแง่ดี การมีความหวัง และการมีความสุขในวิถีชีวิตของตนเอง

Keywords: พุทธจิตวิทยา การแนะแนวเชิงบวก

Search

Read the Text Version

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๔๒ ศตวรรษที่ ๑๙ ยุคทองแห่งจิตวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ มีผู้สนใจศึกษาทฤษฎีทางจิตวิทยา เพิ่มขึ้นมากมาย แต่ในขณะเดียวกันมีการคัดค้าน และต่อต้านการศึกษาในสิ่งท่ีไม่สามารถทดลอง ค้นควา้ หรอื พิสจู นไ์ ด้ เฟคชเนอร์ (Gustav Theodor Fechner 1801-1887) ชาร์ล ดาร์ วนิ (Charles Darwin 1809–1887) และเซอร์ฟราสซิส แกลตัน(Sir Francis Galton 1822-1911) เฟคชเนอร์ (Gustav Theodor Fechner 1801–1887) นักจิตวิทยาฟิสิกส์ (Phychophysics) ชาวเยอรมัน ผู้บุกเบิกงานด้านจิตวิทยาฟิสิกส์ในเรื่อง เทรชโฮล์ด (Threshold) คือ ขนาดของส่ิงเร้าท่ีน้อยท่ีสุดที่บุคคลจะรับรู้ได้ และค้นพบความเข้ม ของสง่ิ เร้ากบั ความเข้มของความรู้สึกจากการสัมผัส การศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์วัดปริมาณได้ด้วย วิธีการทางฟิสิกส์ เฟคชเนอร์ได้ทาการทดลองในปี ค .ศ.1860 พบว่า “จิตใจของคนเปล่ียนแปลงได้ก็ ตอ่ เมือ่ มสี ่งิ เรา้ ภายนอกมาเร้า”นบั ว่าเฟคชเนอรเ์ ป็นผเู้ ริ่มนาศาสตร์จิตวิทยาฟิสิกส์ (Phychophysics) มาศึกษาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งร่างกายและจติ ใจ ชารล์ ดาร์วิน (Chares Darwin 1809– 1887) ต้ังทฤษฏวี ิวฒั นาการ ในปี ค.ศ.1859 อธิบาย ต้นกาเนิดของชีวิต การวิวัฒนาการจากสัตว์ช้ันต่า มาเป็นสัตว์ช้ันสูง แล้วมาเป็นมนุษย์ตามลาดับ ทาให้ความเช่ือเร่ืองวิญญาณลดน้อยลง ดาร์วินเขียนหนังสือเร่ืองกาเนิดนานาพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต (Original of Species) และเรือ่ งสายสกุลของมนุษย์ (Descent of Man) ทาให้ดาร์วิน มีชื่อเสียงและ ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นาทางทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตมาสู่โลกเป็นคร้ังแรก ทาให้ทราบถึง ความเก่ียวพันระหว่างมนุษย์และสัตว์ เป็นต้นกาเนิดท่ีทาให้เกิด วิชาจิตวิทยาเปรียบเทียบขึ้น และมี การศึกษาพฤติกรรมของสัตว์ จาพวกลิงและหนูเพ่ือนาหลักฐานท่ีสาคัญมาใช้กับมนุษย์เซอร์ ฟราสซิส แกลตัน (Sir Francis Galton 1822-1911) นักจิตวิทยาชาวอังกฤษ ศึกษาเก่ียวกับ ความแตกต่าง ระหว่างบุคคล เน้นศึกษาปัจจัยด้านพันธุกรรมและส่ิงแวดล้อมท่ีมีผลต่อบุคคลและเป็นการศึกษาราย กรณี (Case study) การศึกษาเรือ่ งความสัมพนั ธ์ (Correlation) วิลเฮล์ม แมกซ์ วุ้นท์ (Wilhelm MaxWundt 1832–1920)และวิลเลียม เจมส์ (William.James 1842-1910) วิลเฮล์ม แมกซ์ วุ้นท์ (Wilhelm Max Wundt 1832–1920) นักจิตวิทยาสรีรวิทยาชาวเยอรมัน ผู้กอ่ ต้งั กลุ่มจติ วิทยาในแนวคิดทฤษฏีโครงสร้างของจิต (Structuralism)) และพัฒนาการทดสอบทาง สติปัญญา

พทุ ธจิตวิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๔๓ ในปี ค.ศ.1879 จติ วิทยาเร่ิมใชร้ ะเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Study) โดยวุ้นท์ กอ่ ตัง้ ห้องทดลองทางจติ วิทยาข้นึ ณ มหาวิทยาลยั ไลป์ ซกิ (University of Leipzig) ประเทศเยอรมัน เป็นแห่งแรกของโลก และเร่ิมการทดลองโดยใช้ วิธีการสังเกตภายในหรือการตรวจสอบทางจิต (Introspection Method)”ศึกษาพฤติกรรมภายใน (Covert Behavior) วุ้นท์พัฒนางานด้าน จติ วิทยาโดยการเขียนตา ราไว้ประมาณ ๒๐๐ เล่ม และวุ้นท์มีลูกศิษย์มากกว่า ๒๔,๐๐๐ คน ท้ังจาก ทวปี อเมริกาและยุโรป วิลเลียม เจมส์ (William.James 1842-1910) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ในปี ค.ศ.1890 เจมส์เป็นผู้นากลุ่มหน้าท่ีนิยม (Functionalism) เป็นกลุ่มนักจิตวิทยาในประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี ค .ศ.1900 ต้ังห้องปฏิบัติการทางจิตวิทยาข้ึนในสหรัฐอเมริกา และ เขียนหนังสือชื่อ “Principle of Psychology” มีเนื้อหาครอบคลุมสาระทางจิตวิทยาครบถ้วน เขามีความเห็นว่าโครงสร้างของจิตมี มากกว่า ๓ ส่วน โดยจติ ทาหน้าทีเ่ พอื่ ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ซิกมันด์ ฟรอยด์ (SigmundFreud1856- 1939) เป็นนักจิตวิทยาชาวยิว เติบโตใน ออสเตรีย ในปี ค.ศ.1881 เป็นแพทย์ รักษาผู้ปุวยทางระบบประสาทและผู้ปุวย ท่ีมีความผิดปกติทางจิต จากการสังเกต คนไข้ เสนอแนวคิดการทางานของจิตว่า มีลักษณะเป็นพลังงานจิตควบคุมการกระทาท้ังหมด ของร่างกายและจิตของมนุษย์ แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ จิตสานึก จิตก่อนสานึก และจิตไร้สานึก โครงสร้างของจิตมี ๓ ลักษณะ คือ อิด (Id) อีโก้ (Ego) และซุปเปอร์อีโก้ (Super Ego) ซึ่งจะมีการ ทางานถ่วงดุลกันอย่างเหมาะสม ถ้าเกิดทางานผิดปกติจะส่งผลให้มีพฤติกรรมที่ผิดปกติ และเป็น สาเหตขุ องผู้ปุวยทางประสาทและทางจิต ต่อมาในปี ค.ศ.1900 ฟรอยด์ เขียนหนังสือช่ือ “The Interpretation of Dream” เกี่ยวกับ การวิเคราะห์จิต โดยใช้วิธีเช่ือมโยงเสรีและวิเคราะห์ความฝันเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาจิตวิทยา แนวจติ วิเคราะห์ และ unconscious process หรือภาวะไรจ้ ิตสานกึ แมกซ์ เวอร์ไธเมอร์(Max Werthimer 1880-1943) ผู้นากลุ่มแนวความคิด จิตวิทยาตามแนวเกสตัลท์ โดยมี นักจิตวิทยาคนอื่นๆ ได้แก่ โวล์ฟกัง โคห์ เลอร์ (Wolfgang Kohler 1887–1967), เคิร์ท เลวิน (Kurt Zadek Lewin 1890-1947) และเคิร์ท คอฟฟ์ กา (Kurt Koffka 1886-1941) ร่วมดว้ ย

พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๔๔ กลุม่ น้เี นน้ ว่า การเรยี นรู้เกดิ ขนึ้ เปน็ การศกึ ษาสว่ นรวมท้ังหมดก่อน จึงวิเคราะห์ส่วนย่อยทีละ สว่ นต่อไป เนน้ การรบั ร้ขู ้อมูลในเรื่องทสี่ าคัญ (Figure) และสว่ นประกอบของขอ้ มลู (Ground)นน้ั ด้วย ในปี ค.ศ.1912 มีการทดลองเก่ียวกับ การรับรู้(perception) เป็นจุดเร่ิมต้นของการศึกษาจิตวิทยา ตามแนวเกสตัลท์ ( Gestalt Psychology) ซึ่งเน้นว่า วิธีการเรียนรู้ควรให้ผู้เรียนเกิด การหย่ังรู้ (Insight) การแก้ปัญหาด้วยตนเองอย่างทันทีทันใด ด้วยการมองภาพรวมของปัญหา จนกระทั่ง สามารถแก้ปญั หาดว้ ยปญั ญาและการสงั เกตสภาพแวดล้อมท่ีเคยมีประสบการณม์ าก่อนได้ แมกซ์ เวอรไธเมอร์ (Max Werthimer) โวล์ฟกัง โคห์เลอร์ (Wolfgang Kohler) และเคิร์ท คอฟฟ์ กา (Kurt Koffka) จอห์น บี. วัตสัน (John B. Watson 1978-1958) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน กลุ่มแนวคิดพฤติกรรมนิยม(Behaviorism) วัต สันเป็นลูกศิษย์ของเจมส์และเป็นศาสตราจารย์ สอนทมี่ หาวทิ ยาลัยจอห์น ฮอปกนิ ส์ วัตสันได้ศึกษางานและแนวคิด จากงานของพาฟลอฟและธอร์นไดค์ วัตสันจึงเริ่มทาการ ทดลองกับสัตว์ๆ เช่น หนู กับแมว โดยสังเกตพฤติกรรมของส่ิงมีชีวิตนั้นทั้งภายในและภายนอก เก่ียวกับการตอบสนองต่อส่ิงเร้า ในปี ค.ศ.1913 จิตวิทยาได้รับการยอมรับอย่าง แท้จริง ตีพิมพ์ เอกสารชอื่ “Psychology as a Behaviorist View It” เขาไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของวุ้นท์กับฟรอยด์ เขาเช่ือว่าจติ วทิ ยาควรศกึ ษารปู จอหน์ บี. วัตสนั (1878-1958) พฤติกรรมที่สามารถสังเกตได้โดยตรง เทา่ น้นั เปน็ จดุ เริ่มต้นของจิตวิทยาและอีวาน เปโตรวิช พาฟลอฟ (1849–1936) แนว“Behaviorism หรอื จติ วิทยาพฤตกิ รรมนิยม” อีวาน เปโตรวิช พาฟลอฟ (Ivan P Pavlov 1849–1936) นักสรรี ะวิทยาชาวรัสเซียท่ีประสบ ความสาเร็จสูงสุดของรัสเซียในยุคนั้น ในปี ค.ศ.1927 ทดลองการเรียนรู้โดยกระบวนการวางเงื่อนไข แบบคลาสสิก (Classical conditioning) สังเกตการณ์หล่ังน้าลายและน้าย่อยของสุนัขในการทดลอง น้ี ต่อมาเขาได้ทาการทดลองเก่ียวกับการย่อยอาหารซ่ึงทาให้เขาได้รับ รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยา หรอื การแพทยใ์ นปี ค.ศ. 1904 ยังมีนักจิตวิทยาท่ีมีชื่อเสียงอีกมากมายที่ควรทาความรู้จัก เช่น อับบราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow), อีริก อีริก สัน (Erik Erikson), คาร์ล จุง (Carl Jung), ฌอง เพียเจต์ (Jean Piaget), etc. ๓.๕ กล่มุ แนวคดิ ทางจติ วทิ ยา ในช่วงปลายศตวรรษที่ ๑๙ จิตวิทยาเปลี่ยนแนวทางการศึกษาโดยหันมาศึกษาเก่ียวกับ พฤติกรรมและเร่ิมได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายในวงการต่างๆ มากมาย สามารถจัดกลุ่มของ แนวคิดทางจติ วิทยาทส่ี าคัญได้ ๗ กลมุ่ ดังน้ี

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๔๕ ๓.๕.๑ กลุ่มโครงสร้างของจิต (Structuralism Approach) หรือกลุ่มโครงสร้างนิยม จัดเป็น กลุ่มบุกเบิก ทาให้จิตวิทยาได้รับการยอมรับว่าเป็น วิทยาศาสตร์แขนงหน่ึง กลุ่มโครงสร้างของจิตได้ กาเนิดข้ึน ในประเทศเยอรมนี ก่อตั้งโดย วิลเฮล์ม แมกซ์ วุ้นท์ (Wilhelm Max Woundt 1832– 1920) สร้างห้องทดลองทางจิต วิทยาแห่งแรกของโลกท่ีมหาวิทยาลัยไลป์ ซิก (University of Leipzig)ประเทศเยอรมัน เร่ิมมีการทดลองคร้ังแรกในปี ค.ศ.1879 การทดลองส่วนใหญ่จะเก่ียวข้อง กับการรับสัมผัส (Sensation) โดยเฉพาะจักษุสัมผัส (Vision) ค ว า ม ร ว ด เ ร็ ว ข อ ง ป ฏิ กิ ริ ย า ตอบสนอง (Reaction Time) ต่อ สิ่งเร้า รวมทั้งความสนใจและ ความจา การคิดหาเหตุผลจนได้รับ สมญาว่า “บิดาแห่งจิตวิทยา ทดลอง”จิต คือ โครงสร้างจาก จิต ธาตุ (Mental elements) มี ๓ องค์ประกอบ คือ ๑) จิตธาตุสัมผัส (Sensation) คือ การที่อวัยวะ สัมผัสรับพลังงานจากสิ่งเร้า เช่น มือแตะของร้อน หูฟังเสียงเพลงเป็นต้น ๒) จิตธาตุรู้สึก (Feeling) คือ การแปลความหมายจากการสัมผสั สิ่งเร้านนั้ ๆ ต่อมาทิตเชนเนอร์ (Edward Bradford Titchener 1867–1927) เพิม่ จิตธาตุตวั ท่ี ๓ ไดแ้ ก่ ๓) จินตนาการ (Imagination) คอื การคดิ ออกมาเป็นภาพในจิตใจ เมื่อจิตธาตุท้ัง ๓ ทางานร่วมกันภายใต้สถานการณ์ที่เหมาะสม เรียกว่า จิตผสม ก่อให้เกิด ความคิด (thinking) อารมณ์(emotion) ความจา (memory) การหาเหตุผล (reasoning) ฯลฯ ทั้งหมดนี้คือ จิต หรือ พฤติกรรมภายใน (covert behavior) การตรวจสอบ จิตตนเอง หรือวิธีการ พินจิ ภายใน (Introspection Method) คือ วิธีการศกึ ษาของกลมุ่ นใี้ ช้สง่ิ เรา้ เป็นตัวกระตุ้น เช่น ไฟฟูา สี ระดับเสียงสูง และต่า กลิ่น อุณหภูมิ ความร้อน ความหนาว เป็นต้น ผู้รับการทดลองจะเป็นผู้เล่า บรรยายความคิด อารมณ์และสิ่งที่จดจา ไว้จากประสบการณ์ที่ตนได้รับสิ่งเร้าต่างๆ เป็นตัวกระตุ้น จากการทดลองซง่ึ ตอ้ งอาศัยประสบการณ์ของแตล่ ะคนทมี่ ีอยเู่ ดิม ๓.๕.๒ กลุ่มหน้าท่ีของจิต (Functionalism Approach) หรือกลุ่มหน้าที่นิยม เป็นกลุ่ม จิตวิทยาที่ก่อต้ังข้ึนในประเทศสหรัฐอเมริกา เม่ือปี ค .ศ.1900 โดยมีผู้นาได้แก่ จอห์น ดิวอี้ (John Dewey 1859–1952) แห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก (Chicago University) และวิลเลียม เจมส์ (William James 1842–1910) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) กลุ่มนี้ ให้ความสนใจอย่าง มากในเรื่องพฤติกรรมภายในแต่เน้นการศึกษาการทางานของจิตว่ามีหน้าที่อย่างไร และกระบวนการ อย่างไร ท่ีส่งผลต่อการแสดงออกของบุคคล เจมส์และดิวอ้ีเห็นว่า การพยายามปรับตัวของมนุษย์ให้ เข้ากับสิ่งแวดลอ้ มนัน้ เกิด จากกระบวนการทางานของจิต แต่เจมส์ให้ความสาคัญกับจิตในส่วนท่ีเป็น สัญชาตญาณ (instinct) ส่วนดิวอี้จะให้ความสาคัญกับจิตในส่วนของประสบการณ์ (experience) ท่ีเกิดจากการ เรยี นรู้ ซ่ึงความรจู้ ะเกิดขึ้นได้จากความสมั พนั ธโ์ ดยตรงระหว่างมนษุ ย์กับสิ่งแวดลอ้ ม

พทุ ธจติ วทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๔๖ วิลเฮล์ม แมกซ์ วุ้นท์ (Wilhelm Max Woundt)วิลเลียม เจมส์ (William James) และ จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) บุคคลจะไดร้ ับความรู้ก็ต่อเมื่อตนเองเปน็ ผ้ลู งมือกระทาเอง (Learning by doing) แลความรู้ ท่จี ะยอมรับได้ว่าเปน็ ความจริง ต้องเป็นผลสรปุ ท่มี ีหลกั ฐานการคน้ ควา้ ต่างๆ สนบั สนนุ ไดเ้ ท่าน้ัน วิลเลียม เจมส์ ( WilliamJames 1842–1910) ทาการศึกษาค้นคว้าเก่ียวกับ หน้าที่ของจิต (Functionalism) ว่า จิตมีหน้าท่ีทางานอย่างไร โดยอาศัยพ้ืนฐานหลักทฤษฎีของชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin 1809–1882) เป็นทฤษฎีวิวัฒนาการ (theory of evolution) ของสิ่งมีชีวิต กล่าว ว่า สิ่งที่มีชีวิตมีการต่อสู้ทุกรูปแบบและจะต้องมีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับส่ิงแวดล้อม เพราะมีผลต่อการดารงอยู่หรือการสูญสิ้นเผ่าพันธ์ุของสิ่งมีชีวิต จากแนวความคิดนี้ การพยายาม ปรับตัวของมนุษย์ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมนั้นเกิดจากกระบวนการทางานของจิต เจมส์ให้ความสาคัญ ของจิตในสว่ นทเี่ ปน็ สัญชาตญาณ (Instinct) จอห์น ดิวอี้ (John Dewey 1859–1952) คิดค้นการทดลองแบบใหม่ เรียกว่า แบบวิธีการ พัฒนาการ นับว่าเป็นบิดาแห่งการศึกษาสมัยใหม่ แนวคิดกลุ่มน้ีมุ่งอธิบาย หน้าท่ีของจิต โดยเช่ือว่า จิตมีหน้าท่ีควบคุมกระบวนการกระทากิจกรรมของร่างกาย เพื่อปรับให้เหมาะสมกับส่ิงแวดล้อม แนวคิดสาคัญของดิวอี้ คือ การเรียนรู้ท่ีเกิดจากการกระทาด้วยตนเอง (Learning by doing) ใช้วิธีการสังเกตและบันทึกข้อมูลจากการกระทาร่วมกับการใช้วิธีวิเคราะห์ทางจิตประกอบกันทา ให้บคุ คลเกดิ การเรยี นรู้ได้ดี กลุ่มหน้าที่ของจิต ใช้วิธีการศึกษาจากการสังเกตและการบันทึกพฤติกรรม การปรับตัว ของอินทรีย์ให้เข้ากับส่ิงแวดล้อม อาศัยหน้าที่ของจิตที่เรียกว่า จิตสานึก (Conscious) หรือใช้วิธีการ ตรวจสอบภายใน และเพ่มิ วธิ สี ังเกตร่วมกบั การศกึ ษาพฤตกิ รรมในสถานการณ์ท่ีเป็นจริง ผลการศึกษา ของนักจิตวิทยากลุ่มน้ี ก่อให้เกิดการศึกษาจิตวิทยาสาขาอื่นๆ อีกหลายสาขาตามมา เช่น จิตวิทยา เด็ก จติ วิทยาคลนิ กิ จิตวิทยาการศึกษา ฯลฯ หมายเหตุ ปัจจุบันวิธีการศึกษาของกล่มโครงสร้างนิยมและกลุ่มหน้าที่ของจิต โดยวิธีการ สังเกตภายในไม่มกี ารนามาใช้ศกึ ษาพฤตกิ รรมอกี ต่อไป ๓.๕.๓ กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism Approach) เป็นกลุ่มจิตวิทยาท่ีมีช่ือเสียง ได้รับ ความนิยมอย่างกว้างขวางในประเทศสหรัฐอเมริกา และมีบทบาทสาคัญอย่างมากต่อวงการจิตวิทยา ในปี ค.ศ.๑๙๑๒ กลมุ่ พฤติกรรมนยิ มก่อต้ังขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีผู้นาคือ จอห์น บี วัตสัน (John B.Watson 1878–1958) นักจติ วทิ ยาชาวอเมริกนั จากมหาวทิ ยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ (John’s Hopkins University) เมื่อปี ค.ศ.1930 วัตสัน อธิบายแนวคิดของเขาไว้ใน หนังสือBehaviorism โดยเน้นศึกษา ที่พฤติกรรมภายนอกหรือพฤติกรรมท่ีสามารถสังเกตและวัดได้ชัดเจนเท่าน้ัน นักคิดในกลุ่มน้ีมอง

พทุ ธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๔๗ ธรรมชาติของมนุษย์ในลักษณะท่ีเป็นกลาง คือ ไม่ดี ไม่เลว การกระทาต่างๆ ของมนุษย์เกิดจาก อทิ ธพิ ลของส่งิ แวดล้อมภายนอก พฤติกรรมของมนุษยเ์ กดิ จากการตอบสนองตอ่ ส่งิ เร้า การเรยี นรูเ้ กิด จากการเชอ่ื มโยงระหวา่ งสิง่ เร้าและการตอบสนอง วัตสันเชื่อม่ันว่า ถ้าสามารถควบคุมมนุษย์ได้ ก็จะทาให้มนุษย์คนนั้นมีพฤติกรรมอะไรก็ได้ ตามทต่ี ้องการ การเปลี่ยนแนวทางการศกึ ษาจากพฤติกรรมภายในมาสู่พฤติกรรมภายนอก ทาให้กลุ่ม พฤติกรรมนิยมได้รับการยอมรับแนวคิดอย่างกว้างขวางว่า มีความเป็นวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง รวมทั้งยกยอ่ งให้ จอหน์ บี.วตั สนั วา่ เป็น “บิดาแห่งจิตวิทยาสมัยใหม่หรือบิดาแห่งพฤติกรรมศาสตร์” ในเวลาตอ่ มา จอหน์ บี วตั สนั (John B.Watson1878– 1958) สรุป แนวคดิ ของกลุ่มพฤติกรรม นิยมกล่มุ แนวคดิ พฤติกรรมนิยม แนวคดิ ของกลมุ่ พฤติกรรมนิยมกลุ่มแนวคดิ พฤตกิ รรมนยิ ม มีลักษณะสาคัญ ๔ ประการ คือ ๑) เน้นศึกษาเฉพาะพฤติกรรมที่สามารถสังเกตได้ ทดลองได้ วัดได้ และวิเคราะห์ได้เท่านั้น ๒) เน้นในเร่ืองของพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้มากกว่าพฤติกรรมที่ไม่ได้เรียนรู้ ปฏิเสธ เร่ืองสญั ชาตญาณ ๓) เชื่อว่า พฤติกรรมต้องมีสาเหตุ และสาเหตุน้ันเกิดจากส่ิงเร้าในรูปใดก็ได้มากระทบกับ อินทรีย์ ทาให้อินทรีย์มีพฤติกรรมตอบสนอง ดังนั้น การวางเงื่อนไข (Conditioning) จึงเป็นสาเหตุ สาคญั ที่ทาใหเ้ กิดพฤติกรรมและสามารถเปลีย่ นพฤติกรรมได้ ๔) การศกึ ษา พฤตกิ รรมของคนและสตั ว์ไม่แตกต่างกันมากนัก การเรียนรู้เก่ียวกับพฤติกรรม ของมนุษย์น้ันโดยเฉพาะในเรอ่ื งการแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อส่ิงเร้าที่มากระตุ้น สามารถศึกษาจาก พฤติกรรมของสัตวไ์ ดโ้ ดยวธิ ีการทดลองนนั้ ทา ไดง้ ่ายกวา่ การศกึ ษาพฤตกิ รรมของมนุษย์โดยตรง ๓.๕.๔ กลุ่มจติ วิเคราะห์ (Psychoanalysis Approach) กลมุ่ จติ วิทยากลุ่มน้ีเป็นอีกกลุ่มหน่ึง ท่ีมีบทบาทความสาคัญและมีช่ือเสียงแพร่หลาย ผู้ก่อต้ังกลุ่มนี้ได้แก่ ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud Watson 1856–1936) จิตแพทย์ชาวออสเตรียเป็นผู้ที่สร้างทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Theory) เน้นความสาคัญของ “จิตไร้สานึก” (uncoscious mind) ว่า มีอิทธิพล ต่อพฤติกรรมกลุ่มน้ีจัดเป็นกลุ่ม “พลังท่ีหน่ึง” (The first force) ท่ีแหวกวงล้อมจากจิตวิทยายุคเดิม เป็นทฤษฎีทางด้านการพัฒนา Psychosexual โดยเช่ือว่า เพศหรือกามารมณ์ (sex) เป็นส่ิงที่มี อิทธิพลต่อการพัฒนาของมนุษย์ แนวคิดดังกล่าวเกิดจากประสบการณ์จากการรักษาผู้ปุวยในคลินิก การรักษาใชว้ ิธีการวเิ คราะหท์ างจติ (Psychoanalysis) จงึ ทาให้ฟรอยดเ์ ป็นคนแรกที่สร้าง “ทฤษฎีจิต วเิ คราะห์”

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๔๘ “ทฤษฎีจิตวิเคราะห์” เชื่อว่า มนุษย์มีสัญชาตญาณติดตัวมาแต่กาเนิด พฤติกรรมของบุคคล เป็นผลมาจากแรงจูงใจหรือแรงขับพื้นฐานท่ีกระตุ้นให้บุคคลมีพฤติกรรม คือ สัญชาตญาณทางเพศ (sexual instinct) ๑) สัญชาตญาณทางเพศ (sexual instinct) มี ๒ ลกั ษณะ คือ (๑) สัญชาตญาณเพื่อความตาย (thanatos = death instinct) เป็นสัญชาตญาณ แหง่ การทาลายล้างอยู่ในระดับจิตไรส้ านกึ (๒) สัญชาตญาณเพ่ือการดารงชีวิต (eros = life instinct) เป็นสัญชาตญาณ การตอบสนองความต้องการของร่างกาย เช่น ความตอ้ งการอาหาร หรอื ความตอ้ งการทางเพศ ฟรอยดไ์ ดอ้ ธิบายว่า สัญชาตญาณท้ัง ๒ ลักษณะน้ัน มีความต้องการทางเพศเป็น แรงผลักดันที่บุคคลไม่กล้าแสดงออกมาโดยตรง จึ ง เ ก็ บ ก ด ไ ว้ ใ น ร ะ ดั บ จิ ต ไ ร้ ส า นึ ก แ ล ะ ตั้งสมมติฐานว่า มนุษย์มีพลังงานอยู่ในตัวต้ังแต่ เกิด “Libido” ทาให้บุคคลอยากมีชีวิต อยาก สร้างสรรค์ อยากมีความรัก มีแรงขับทางด้าน เพศหรอื กามารมณ์ มีเปูาหมายคือ ความสุขและ ความพอใจในอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายท่ี ไวต่อความรสู้ ึกน้ันจะเป็นไปตามวัย เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยผู้ใหญ่ ๒) วิเคราะห์จิตของมนุษย์ แบ่ง ออกเป็น ๓ ระดับตามทฤษฎจี ิตวเิ คราะหข์ องฟรอยด์ ดังน้ี (๑) จิตสานึก (conscious mind) คือ ภาวะท่ีรู้ตัว เป็นส่วนท่ีโผล่ผิวน้าขึ้นมา มีจานวนน้อย มาก เปน็ สภาพทมี่ ีสติตลอดเวลา รู้ตวั ว่าคอื ใคร อย่ทู ี่ไหน ต้องการอะไร หรือกาลังร้สู ึกอย่างไรต่อสิ่งใด ก็แสดงพฤติกรรมตามหลกั เหตุและผล ออกไปแสดงพฤติกรรมตามแรงผลักดันจากภายนอกสอดคล้อง กบั หลักแห่งความเปน็ จรงิ (principle of reality) (๒) จิตกึ่งรสู้ านึก (preconscious mind) คือ ภาวะที่ยังรู้ตัวแต่ควบคุมไม่ให้แสดงพฤติกรรม ออกมา เม่ือใดกต็ ามท่ีตอ้ งการจะแสดงออกก็สามารถจะเปิดเผยได้ในทันที เป็นส่วนท่ีอยู่ใกล้ ๆ ผิวน้า จิตเก็บสะสมขอ้ มลู ประสบการณไ์ วม้ ากมาย แมม้ ิได้รู้ตัวในขณะนั้นแต่พร้อมให้ดึงออกมาใช้ พร้อมเข้า มา อยู่ในระดับจิตสานึก เช่น เดินสวนกับคนรู้จักเลยไปแล้วนึกข้ึน ได้รีบกลับไปทักทายใหม่ เป็นต้น และอาจถือได้ว่าประสบการณ์ต่างๆ ท่ีเก็บไว้ในรูปของความจาก็เป็นส่วนของจิตกึ่งรู้สานึกด้วย เช่น ความขมข่ืน ในอดีต ถ้าไม่คิดถึงก็ไม่รู้สึกอะไรแต่ถ้าน่ังทบทวนเหตุการณ์ทีไรก็ทาให้เศร้าได้ทุกครั้ง เปน็ ตน้ (๓) จิตไร้สานึกหรือจิตใต้สานึก (unconscious mind) คือ ภาวะท่ีไม่รู้ตัว ระลึกถึงไม่ได้ เปน็ สว่ นใหญ่ของก้อนน้าแข็งท่ีอยู่ใต้น้าเป็นจิตระดับที่เก็บสะสมสิ่งต่างๆ ไว้มากมาย กระบวนการจิต ไร้สานึกน้ี หมายถงึ ความคิด ความกลัว และความปรารถนาของมนุษย์ ซึ่งผู้เป็นเจ้าของเก็บกดไว้โดย ไมร่ ตู้ วั แต่มอี ิทธิพลตอ่ เขา ฟรอยด์เชอื่ วา่ จิตสว่ นนี้มอี ทิ ธิพลมากต่อพฤติกรรมของมนุษย์ พลงั ของจิต

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๔๙ ไ ร้ ส า นึ ก อ า จ จ ะ ป ร า ก ฏ ขึ้ น ใ น รู ป ข อ ง ค ว า ม ฝั น การพล้ังปากหรือการแสดงออกมาเป็นกิริยาอาการ ท่บี คุ คลทา โดยไมร่ ตู้ ัว เป็นต้น ฟรอยด์ เชื่อว่า การทางานของจิตทั้ง ๓ ระดับนั้น เปรียบเสมือนภูเขาน้าแข็งลอยอยู่ในมหาสมุทร ยอดภูเขาน้าแข็งที่โผล่พ้นน้าขึ้นมาให้เห็นน้ัน คือ ส่วนของจิตสานึก แต่ส่วนท่ีอยู่ใต้ มหาสมุทรที่เรา ไม่อาจรับรู้หรือมองเห็นได้ คือ ตัวของภูเขาทั้งหมดเปรียบเสมือนจิตใต้สานึกการทาความเข้าใจ พฤตกิ รรมของบคุ คล จึงควรทาความเข้าใจจิตไร้สานึกใหถ้ อ่ งแท้เสยี ก่อน ฟรอยด์เชื่อว่า พฤติกรรมของบุคคลท่ีแสดงออกมานั้นมาจากการทางานของพลังงานจิต ๓ ส่วน อยู่ภายในจิตท้ัง ๓ ระดับถ้าพลังงานจิต ๓ ส่วนน้ันทางานประสานกลมกลืนกันได้อย่างราบรื่น แลว้ พฤติกรรมของบคุ คลนนั้ จะแสดงออกมาเป็นปกติและเป็นผู้มีสุขภาพจิตดี แต่ถ้าเกิดความขัดแย้ง ต่อสู้กันอย่างรนุ แรงเมื่อใด จะมีผลต่อพฤติกรรมท่ีไม่พึงประสงค์หรือก่อให้เกิดปัญหาทางจิตกับบุคคล นน้ั ขึ้นได้ ๓.๕.๕ ทฤษฏโี ครงสรา้ งบคุ ลิกภาพ (The personality structure) ในเวลาต่อมา ฟรอยด์ เสนอเกย่ี วกับ พลงั งานจิตทั้ง ๓ สว่ น ไว้ในจิตท้งั ๓ ระดบั ของบคุ คล ดงั นี้ (๑) อิด (id) หรือตนในเบ้ืองต้น เป็นพลังที่ติดตัวมาแต่กาเนิด มุ่งแสวงหาความพึง พอใจ (pleasure seeking principles) เพ่ือตอบสนองความต้องการของตนเองเท่าน้ัน โดยไม่ คานึงถึงเหตุผล ความถูกต้องและความเหมาะสม ประกอบด้วย ความต้องการทางเพศและความ ก้าวร้าว เป็นโครงสร้างเบื้องต้นของจิตใจและเป็นพลังผลักดันให้อีโก้ทาในสิ่งต่างๆ ตามที่อิดต้องการ อดิ จึงอยูจ่ ติ ใต้สานกึ ของแต่ละบคุ คล (๒) อีโก้ (ego) หรอื ตนในปจั จุบนั เป็นพลงั แห่งการใช้หลกั ของเหตุและผลตามความ เป็นจริง (reality principle) เป็นส่วนของความคิดและสติปัญญา อีโก้จะพยายามปรับหรือ ประนีประนอมพลังความต้องการของอิดและซูปเปอร์อีโก้ให้สมดุลกัน เพ่ือให้แสดงออกมาตามสภาพ ความเป็นจริงท่ีสังคมยอมรับหรือเหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ อีโก้ คือ ตัวบริหารจิตให้เกิดความ สมดุล อโี ก้จึงอย่ใู นส่วนของจิตสา นกึ ท่รี ู้ตัวอยู่ตลอดเวลา (๓) ซูเปอร์อโี ก้ (superego) หรือตนในคุณธรรม เป็นพลังในส่วนท่ีก่อตัวข้ึนจากการ เรียนรู้ระเบียบ กติกา กฎเกณฑ์ ศีลธรรมในสังคม ช่วยควบคุมการแสดงออกของบุคคลในด้าน คุณธรรม บอกใหร้ วู้ ่า สง่ิ ใดถูก ส่งิ ใดผดิ และจรยิ ธรรมที่สรา้ งโดยจิตใต้สา นึกของบุคคลน้ัน ซึ่งเป็นผล ทไ่ี ดร้ ับจากการเรียนรู้ในสังคมและวัฒนธรรมนั้นๆ ตนในคุณธรรมจะทางานอยู่ในโครงสร้างของจิตใจ ทงั้ ๓ ระดับ การทางานของจิต ๓ ส่วนและกลวิธานในการ ปูองกันตนเอง (defense mechanism)การทางาน ของตนท้ัง ๓ ประการ จะพัฒนาบุคลิกภาพของ บคุ คลใหเ้ ด่นไปด้านใดดา้ นหนึ่งของท้ัง ๓ ประการน้ี

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๕๐ บุคลกิ ภาพทีพ่ งึ ประสงค์ คือ บุคคลสามารถใช้พลงั อโี กเ้ ปน็ ตัวควบคุมพลังอดิ และซูเปอร์อโี ก้ให้อยู่ ในภาวะทีส่ มดุลได้ ในสถานการณท์ ี่อดิ กบั ซปู เปอรอ์ ีโกเ้ กิดความขัดแย้งกันมากเกินไป อีโก้จะ พยายามประนีประนอมสถานการณ์เพื่อลดความขัดแย้งลง โดยการตอบสนองความต้องการของทั้ง สองฝุายด้วยวิธีการปรับตัว เรียกว่า “กลวิธานในการปูองกันตนเอง ” (defense mechanism) นอกจากน้ี ฟรอยด์ใช้วิธีการวิเคราะห์ความฝันของผู้มีปัญหา เขาเชื่อว่าความฝันมีความสัมพันธ์กับส่ิง ที่ได้ประสบมาในชีวิตจริง ปัญหาต่างๆ อาจจะแสดงออกในความฝัน เพ่ือเป็นการระบาย ออกของพฤตกิ รรมอีกทางหน่ึง แนวคดิ ดังกลา่ วเกดิ จากประสบการณ์ จากการรกั ษาผูป้ วุ ยในคลนิ กิ ในระยะแรกฟรอยดใ์ ช้การสะกดจติ เพอื่ ค้นหาอาการปุวย ต่อมา เปล่ียนมาใช้ วิธีระบายความรู้สึกภายใน(free association) พบว่า วิธีการนี้ช่วยให้ผู้รักษาได้ข้อมูลที่ อยู่ในจิตใต้สา นึกของผู้ปุวย และการรักษาใช้ วิธีการวิเคราะห์ทางจิต(Psychoanalysis) เพ่ือหา สาเหตุของพฤติกรรมท่ีเป็นปัญหาและนามาใช้เป็นแนวทางในการรักษาต่อไป ดังน้ัน ทฤษฎีจิต วิเคราะหข์ องฟรอยด์ จึงใชใ้ นการพฒั นาบคุ ลกิ ภาพและบา บัดรกั ษาผู้ปุวยทางจติ เปน็ ส่วนใหญ่ ๓.๕.๖ กลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt Psychology) เป็นนักจิตวิทยาอีกกลุ่มหน่ึงท่ีมีชื่อเสียงและ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในวงการจิตวิทยาและจิตวิทยาการศึกษา กลุ่มเกสตัลท์ ก่อตั้งข้ึนในประเทศเยอรมนี ในราวปี ค.ศ.1912 นักจิตวิทยากลุ่มนี้ประกอบด้วยคณาจารย์ จากมหาวทิ ยาลัยเบอร์ลิน (Berlin University) นกั จิตวิทยาคนสาคัญกลุ่มนี้ได้แก่ แมกซ์ เวอร์ไธเมอร์ (MaxWerthimer) เคริ ์ต เลวิน (Kurt Lewin) เคิร์ต คอฟฟ์ กา (Kurt Koffka) และโวล์ฟกัง โคห์เลอร์ (Wolfgang Kohler) เป็นชาวเยอรมันเชื้อสายยิวกลุ่มนี้เชื่อว่า มนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงหน่วยรับส่ิงเร้าท่ี อยู่นิ่งเฉยเท่าน้ัน แต่จิตมีการสร้างกระบวนการประมวลข้อมูลที่รับเข้ามาและส่งผลออกไปเป็นข้อมูล ใหมห่ รอื สารสนเทศชนดิ ใหม่ ๑) เกสตัลท์ (Gestalt) เป็นภาษาเยอรมัน ความหมายเดิมแปลว่า แบบหรือรูปร่าง (Gestalt = Form or Pattern) ต่อมาปัจจุบัน แปลว่า ส่วนรวมหรือส่วนประกอบทั้งหมด (Gestalt=The wholeness) แสดงการรับรู้ภาพ (Figure) และพ้น (Ground) กลุ่มเกสตัลท์น้ีเห็นว่า การเรียนรู้ เกิดขึ้นเมื่อมีการรับรู้เป็นส่วนรวมมากกว่า ส่วนย่อยรวมกัน เพราะมนุษย์ จะรับรู้ส่ิงต่างๆ ในลักษณะรวมๆได้ดีกว่ารับรู้ส่วนปลีกย่อย โดยจะรับในสิ่งที่ตนเองสนใจเท่าน้ัน สิ่งใดที่ สนใจรับรู้จะเป็นภาพ สิ่งใดที่ ไม่ได้สนใจรับรู้ จะเปน็ พน้ื ต่อมาเคิร์ต เลวิน (Kurt Lewin 1890–1947) ได้นาเอาทฤษฎีเกสตัลท์มาปรับปรุงเป็น ทฤษฎีสนาม (Field theory) โดยนาความรู้ทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์มาอธิบายทฤษฎีของเขาแต่ก็ ยังคงใช้หลักการเดียวกัน นั่นคือ การเรียนรู้ของบุคคลจะเป็นไปได้ด้วยดีและสร้างสรรค์ถ้าเขาได้มี

พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๕๑ โอกาสเห็นภาพรวมทั้งหมดของส่ิงท่ีจะเรียนเสียก่อน เมื่อเกิดภาพรวมท้ังหมดแล้วก็เป็นการง่ายท่ี บคุ คลนน้ั จะเรยี นสงิ่ ท่ีละเอียดปลกี ย่อยตอ่ ไป หลกั การเรยี นรู้ของกลุ่มเกสตัลท์ เชอ่ื ว่า การเรยี นรทู้ เี่ ห็นส่วนรวมมากกว่าสว่ นย่อยนนั้ จะต้องเกิดจากประสบการณเ์ ดมิ และการเรียนรูย้ ่อมเกิดขึน้ ๒ ลกั ษณะ คือ (๑) การรับรู้ (Perception) หมายถึง การแปลความหมายหรือการตีความต่อส่ิงเร้า ของอวัยวะรับสัมผสั ส่วนใดส่วนหน่ึงหรือทั้งห้าสว่ น ได้แก่ หู ตา จมูก ล้ิน และผิวหนัง การตีความโดย อาศัยประสบการณ์เดิมท่ีแต่ละคนสะสมไว้เป็นเคร่ืองแปลความหมาย ดังน้ันแต่ละคนอาจรับรู้ในส่ิง เรา้ เดียวกนั แตกต่างกนั ไดแ้ ลว้ แตป่ ระสบการณ์ รปู ที่ ๓ เคิรต์ เลวนิ (Kurt Lewin 1890–1947) และทฤษฎีสนาม(Field theory) (๒) การหยั่งเห็น (Insight) หมายถึง การที่มนุษย์สามารถแก้ปัญหาได้จะต้องอาศัย ประสบการณ์จากการเรียนรเู้ ป็นพนื้ ฐานทส่ี าคญั ดังนน้ั เม่อื เกิดปัญหาใดที่มีลักษณะเช่นเดียวกับปัญหา ท่ีเคยแกไ้ ขลุล่วงมาแล้ว ก็มีแนวโน้มทีจ่ ะนาวิธีการที่เคยใช้ได้ผลมาแล้วมาแก้ปัญหาท่ีคล้ายคลึงกันอีก ครั้ง แต่กรณีที่เป็นปัญหาใหม่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สามารถใช้การเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยจะเกิด แนวความคิดในการเรียนรู้หรือการแก้ปัญหาขึ้นอย่างฉับพลันทันทีทันใด (เกิดความคิดแวบขึ้นมาใน สมองทันที ) มองเห็นแนวทางการแก้ปัญหาต้ังแต่จุดเร่ิมต้นเป็นข้ันตอนถึงจุดสุดท้ายท่ีสามารถจะ แกป้ ญั หาได้ ๓) กฎการจัดระเบียบเข้าด้วยกัน (The Laws of Organization) การเรียนรู้ของกลุ่ม เกสตัลทท์ ่เี น้น “การรบั ร้เู ป็นสว่ นรวมมากกว่าส่วนยอ่ ย” น้นั สรปุ เป็นกฎการเรียนรู้ ดังนี้ (๑) กฎแหง่ ความแน่นอนหรือชดั เจน (Law of Pregnant) เมื่อต้องการให้มนุษย์เกิด การรบั รใู้ นสิง่ เดียวกนั ตอ้ งกาหนดองคป์ ระกอบข้ึน ๒ ส่วน คือ ภาพ (Figure) หรือข้อมูลท่ีต้องการให้ สนใจ เพ่ือเกิดการเรียนรู้ในขณะนั้น และส่วนประกอบหรือ พื้นฐานของการรับรู้ (Background or Ground) เปน็ สิ่งแวดลอ้ มทีป่ ระกอบอยู่ในการเรียนรูน้ ้นั ๆ จะเหน็ ไดว้ า่ ภาพเดียวกันคนบางคนยังเห็น ไม่เหมือนกัน ท้ังน้ีขึ้นอยู่กับประสบการณ์เดิมของแต่ละคน อิทธิพลของประสบการณ์ท่ีมีต่อการรับรู้ การมองเห็นรปู เป็นภาพ (Figure) และพื้น (Ground) สลับกนั ภาพตัวอย่างกฎการจัดระเบียบเข้า ดว้ ยกนั (The Laws of Organization)

พทุ ธจติ วิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๕๒ (๒) กฎแห่งความคล้ายคลึง (Law of Similarity) ในปี ค.ศ.1923 กฎน้ี เป็นกฎ ท่ี แมกซ์ เวอรไธเมอร์ (Max Werthimer) ตั้งข้ึนใช้เป็นหลักการในการวางรูป แบบกลุ่มของการรับรู้ เช่น กลุ่มของเส้น หรือสีที่คล้ายคลึงกัน หมายถึง ส่ิงเร้าใดๆ ก็ตามท่ีมีรูปร่าง ขนาด หรือสีท่ีคล้ายกัน คนเราจะรับรู้ว่า เป็นส่ิงเดยี วกนั หรอื พวกเดียวกนั (๓) กฎแหง่ ความใกลช้ ิด (Law of Proximity) สาระสาคัญของกฎนี้มีอยู่ว่า ถ้าส่ิงใด หรือสถานการณ์ใดที่เกิดข้ึนในเวลาต่อเน่ืองกัน หรือในเวลาเดียวกันมนุษย์จะเรียนรู้ว่า เป็นเหตุและ ผลกันหรือส่ิงเร้าใดๆ ท่ีอยู่ใกล้ชิดกัน มนุษย์มีแนวโน้มที่จะรับรู้ส่ิงต่างๆ ที่อยู่ใกล้ชิดกันเป็นพวก เดยี วกนั หมวดหมู่เดียวกนั (๔) กฎแห่งการส้ินสุด (Law of Closure) ส่ิงเร้าที่ขาดหายไปมนุษย์สามารถรับรู้ให้ เปน็ ภาพสมบรู ณไ์ ดโ้ ดยอาศยั ประสบการณ์เดิม (๕) กฎแห่งความต่อเน่ือง (Law of Continuity) สิ่งเร้าท่ีมีทิศทางในแนวเดียวกัน ซ่ึงมนุษย์จะรับรู้วา่ เปน็ พวกเดียวกนั (๖) กฎแห่งความสมบูรณ์ (Law of Closer) สิ่งเร้าท่ีขาดหายไปมนุษย์สามารถรับรู้ ให้เป็นภาพสมบรู ณไ์ ดโ้ ดยอาศัยประสบการณ์เดมิ แนวความคิดของนักจิตวิทยากลุ่มนี้ คือ การพิจารณาพฤติกรรมหรือประสบการณ์ของคน เป็นส่วนรวม โดยกาหนดภาพ (Figure) และพ้ืน (Background) ซึ่งส่วนรวมน้ันมีค่ามากกว่าผลบวก ของสว่ นย่อยต่างๆ มารวมกนั เช่น คนน้ันมคี ่ามากกวา่ ผลบวกของสว่ นย่อยต่างๆ มารวมตัวกันเป็นคน ได้แก่ แขน ขา ลา ตัว สมอง ฯลฯ วิธีการท่ีกลุ่มเกสตัลท์ใช้ในการศึกษาพฤติกรรมน้ันนิยมใช้การ ทดลองเป็นสว่ นใหญ่ ๓.๕.๗ กลุ่มมนษุ ยนิยม (Humanism) เป็นกลมุ่ แนวคดิ ทางจติ วิทยาอีกกลุ่มหนึ่งท่ีได้รับความ นิยมและให้ความเชอ่ื ถือมากเชน่ กัน โดยเฉพาะในวงการใหค้ าปรกึ ษาและวงการศึกษา นักจิตวิทยาคน สาคัญในกลุ่มน้ี ได้แก่ อับราฮัม เอช. มาสโลว์ (Abraham H. Maslow 1908–1970) คาร์ล อาร์. โร เจอส์ (Carl R. Rogers 1902–1987) และอารเ์ ธอร์ โคมบ์ (Arther Combs 1912–1999) แนวคิดกลุ่มมนุษยนิยม (The Humanistic Perspective) เช่ือว่ามนุษยม์ ีอิสระทางความคิด ท่ีสามารถเลือกแสดงพฤติกรรมได้ การแสดงพฤติกรรมใดๆ จึงเป็นทางเลือกของบุคคล ซึ่งทุกคนมี ศักยภาพในการเจรญิ งอกงามหรือพัฒนา ทฤษฎลี าดบั ขั้นความต้องการของ มาสโลว์ (Maslow'shierarchy of needs) ๕ ขนั้ ดังน้ี

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๕๓ ๑) ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) เป็นความต้องการข้ัน พ้ืนฐานของมนุษย์เป็นสิ่งที่จาเป็นในการดารงชีวิตได้แก่ อาหาร อากาศ ที่อยู่อาศัย เคร่ืองนุ่งห่ม ยารักษาโรค ความต้องการพักผ่อน และความตอ้ งการทางเพศ ๒) ความต้องการความมั่นคงและปลอดภัย (Safety Needsand Needs for Security) ถ้าต้องการความม่ันคงปลอดภัยในชีวิตท้ังในปัจจุบันและอนาคต ต้องการความเป็นธรรม ในการทางานความปลอดภัยในเงินเดือนและการถูกไล่ออก สวัสดิการด้านท่ีอยู่อาศัยและ การรักษาพยาบาล รวมท้ังความเช่ือในศาสนาและเช่ือมั่นในปรัชญา ซ่ึงจะช่วยให้บุคคลอยู่ในโลก ของความเช่อื ของตนเองและรสู้ ึกมีความปลอดภัย ๓) ความตอ้ งการมสี ว่ นร่วมในสงั คม (Social Belonging Needs) เมื่อความต้องการ ทางด้านร่างกาย และความปลอดภัยได้รับการตอบสนองแล้ว ความต้องการทางด้านสังคมก็จะเริ่ม เป็นส่ิงจูงใจท่ีสาคัญต่อพฤติกรรมของบุคคลเป็นความต้องการท่ีจะให้สังคมยอมรับตนเป็นสมาชิก ตอ้ งการไดร้ บั การยอมรับจากคนอนื่ ๆ ได้รับความเป็นมติ รและความรักจากเพอื่ นร่วมงาน ๔) ความต้องการยกย่องนับถือ (Esteem Needs) ความต้องการด้านนี้เป็นความ ต้องการระดบั สงู ทเ่ี กีย่ วกบั ความอยากเดน่ ในสังคม ตอ้ งการใหบ้ ุคคลอน่ื ยกยอ่ งสรรเสริญ รวมถึงความ เชอ่ื มั่น ในตนเองในเรอื่ งความร้คู วามสามารถ ความเป็นอิสระและเสรีภาพ ๕) ความต้องการบรรลุในสิ่งท่ีต้ังใจ (Need for Self Actualization) เป็นความ ต้องการระดับสูงสุด ซึ่งเป็นความต้องการที่อยากจะให้เกิดความสาเร็จในทุกส่ิงทุกอย่างตามความนึก คิดของตนเอง เปน็ ความตอ้ งการที่ยากแก่การไดม้ า ๓.๕.๘ กลุ่มปัญญานิยม (Cognitive Psychology) ผู้นากลุ่มคนสาคัญ คือ ฌอง เพียเจต์ (Jean Piaget 1896–1980) เจอร์โรม บรูเนอร์ (Jerome Seymour Bruner (born October 1, 1915 (AGE 98) และวายเนอร์ (Norbert Wiener 1894–1964) หลังปี ค.ศ.1960 กลุ่มแนวคิด ปญั ญานยิ ม ได้รบั ความสนใจอย่างมาก แนวคิดกลุ่มปัญญานิยม สนใจศึกษาเร่ืองกระบวนการทางจิต เปน็ พฤติกรรมภายในทีไ่ มส่ ามารถสังเกตได้โดยตรง ได้แก่ การรับรู้ การจา เช่น ขณะที่เราอ่านหนังสือ เราจะทราบความสาคัญของขอ้ ความคาต่างๆ เนื้อหาของเรื่องมากกวา่ การรบั รู้ตัวอักษร นักวิจัยในกลุ่มปัญญานิยม สนใจศึกษากระบวนการทางจิต เป็นพฤติกรรมที่มองไม่เห็น ภายในตวั บุคคลด้วยวิธีการวดั แบบวิทยาศาสตร์ แนวความคิดของกลุ่มน้ีเช่ือว่า มนุษย์จะเป็นผู้กระทา ต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าทา ตามสิ่งแวดล้อม ดังน้ัน ความรู้ ความเชื่อ และความมีปัญญาของมนุษย์ จะทาให้สามารถจดั การกับข้อมูลขา่ วสารตา่ ง ๆ ทเ่ี ขา้ มาในสมองได้ เช่น วิธีการศึกษาของนักจิตวิทยา กลุ่มปัญญานิยม เน้นวิธีการทดลองเป็นส่วนใหญ่ เช่นการทดลองให้ผู้รับการทดลองตั้งเทียนไขให้ ขนานกับแนวฝาผนัง โดยไม่มีอุปกรณ์ให้ผู้รับการทดลองต้องใช้วิธีการอย่างไรก็ได้ ซ่ึงมักจะประสบ ความยงุ่ ยากในการแก้ปญั หา และต้องคดิ ค้นวิธีการใหม่ ๆ จากการใชอ้ ุปกรณเ์ ท่าทม่ี ี The Candle Problem” การทดลองของ Karl Duncker (Duncker 1945)

พทุ ธจติ วิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๕๔ ๓.๖ ระเบยี บวิธกี ารศกึ ษาทางจิตวิทยา ระเบียบวิธีการศึกษาทางจิตวิทยา (The Methods of Psychology) นักจิตวิทยา จึงจาเป็นต้องใช้วิธีการศึกษาหลายวิธีผสมผสานกัน เพ่ือพิสูจน์เหตุและผลของการทดลองพฤติกรรม หน่งึ ๆวธิ กี ารเหล่าน้ีสามารถอธบิ ายเรยี งตามลาดับได้ ดังต่อไปน้ี ๓.๖.๑ การตรวจสอบตนเอง (Introspection) เป็นวิธีการศึกษาที่ให้บุคคลสารวจ ตรวจสอบ ตนเองด้วยการย้อนทบทวนการกระทาและความรู้สึกนึกคิดของตนเองในอดีตท่ีผ่านมา แล้วบอก ความรู้สึกออกมา โดยการอธิบายถึงสาเหตุและผลของการกระทาในเร่ืองต่างๆ เช่น ต้องการทราบว่า ทาไมเด็กนักเรียนคนหน่ึงจึง มักจะพูดปดเสมอๆ ก็ให้เล่าเหตุหรือเหตุการณ์ในอดีตท่ีเป็นสาเหตุให้มี พฤติกรรมเช่นน้ัน ก็จะทาให้ทราบท่ีมาของพฤติกรรมและมีแนวทางในการที่จะช่วยเหลือแก้ไข พฤติกรรมดังกลา่ วได้ การตรวจสอบตนเอง เป็นวิธกี ารท่ีทาให้ ได้รบั ขอ้ มลู ตรงตามความเป็นจริงและเป็นประโยชน์ เพราะบุคคลน้ันมีประสบการณ์และอยู่ในเหตุการณ์น้ันจริงๆ ถ้าหากบุคคลนั้นสามารถ จดจา เหตุการณ์ได้แมน่ ยา มคี วามจริงใจในการเล่ารายงาน หรือถ่ายทอดออกมาอย่างซ่ือสัตย์ไม่ปิดบัง และ บดิ เบือนความจริง ๓.๖.๒ การสังเกต (Observation) เปน็ วิธีการศึกษา เพือ่ การแสวงหาข้อเท็จจริง โดยการเฝูา มองปรากฏการณ์ หรือสถานการณ์ตามท่ีเป็นจริงอย่างมีจุดมุ่งหมาย โดยไม่ให้ผู้ถูกสังเกตรู้ตัวแล้ว บนั ทกึ รายละเอียดไวโ้ ดยไมใ่ ส่ความคิดเห็นส่วนตัวหรืออารมณ์ของผู้สังเกตลงไป อาจใช้เคร่ืองมือช่วย บันทึกรายละเอียด เช่น เคร่ืองบันทึกเสียง การถ่ายภาพยนตร์หรือใช้เครื่องตรวจนับจานวนผู้มาใช้ บริการสถานที่ เป็นต้น การสงั เกต นกั จิตวทิ ยากาลังสงั เกตพฤติกรรมผา่ นกระจกทางเดยี ว (Observation) แบ่งเปน็ ๒ ลกั ษณะคือ ๑) การสังเกตอยา่ งมีแบบแผน (Formal Observation) ๒ ) ก า ร สั ง เ ก ต อ ย่ า ง ไ ม่ มี แ บ บ แ ผ น (Informal Observation) ๓.๖.๓ การศึกษาบุคคลเป็นรายกรณี (Case Study) เป็นวิธีการศึกษารายละเอียดต่าง ๆ ที่ สาคัญของบุคคล ตั้งแต่ประวัติครอบครัว ประวัติพัฒนาการ ประวัติสุขภาพ สัมฤทธิ์ผลทางการเรียน ความสนใจ ความถนัด เป็นต้น การรวบรวมข้อมูลใช้วิธีต่างๆ เช่นการสังเกต การสัมภาษณ์ การใช้

พทุ ธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๕๕ แบบทดสอบ ฯลฯ เพื่อประมวลข้อมูลให้มีรายละเอียดและตรงจุดมากที่สุด โดยการบันทึกประวัติ บุคคลโดยละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง ใช้เวลาศึกษาต่อเน่ืองกัน ระยะเวลาหนึ่งพอสมควร รวบรวมขอ้ มูลมาวิเคราะห์พจิ ารณาตีความ เพ่ือให้เกิดความเข้าใจถึงสาเหตุ ของพฤติกรรม หรือลักษณะพิเศษท่ีผู้ศึกษาต้องการทราบ และหาทางช่วยเหลือแก้ไขปรับปรุง ศึกษา รายละเอียดต่าง ๆ ๓.๖.๔ การสัมภาษณ์ (Interview) เป็นวิธีการศึกษาพฤติกรรมในรูปแบบของปฏิสัมพันธ์ ระหวา่ งผูศ้ กึ ษาและผูถ้ กู ศกึ ษาภายใตก้ ฎเกณฑม์ วี ัตถุประสงค์ที่แน่นอน การสัมภาษณ์เป็นการสนทนา อย่างมีจุดมุ่งหมาย แต่มีความยืดหยุ่นพอสมควร การสัมภาษณ์อาจมีหลายจุดมุ่งหมาย เช่น การสัมภาษณ์เพื่อความคุ้นเคย สัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าทางาน ฯลฯ เพ่ือให้ได้ข้อมูลหรือ ขอ้ เท็จจรงิ ต่างๆ และนาขอ้ มลู มาประกอบการตัดสินใจ การสัมภาษณ์ แบ่งเปน็ ๒ ประเภท คอื ๑) การสมั ภาษณ์แบบมโี ครงสรา้ ง หรือการสัมภาษณแ์ บบเป็นทางการ (Structured Interview or Formal Interview) ๒) การสมั ภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ (Informal Interview) ๓.๖.๕ การทดสอบ (Testing) เป็นวิธีการศึกษาพฤติกรรมโดยใช้แบบทดสอบทางจิตวิทยา (Psychological Testing) ซึ่งเป็นเคร่ืองมือที่มีเกณฑ์ในการวัดลักษณะของพฤติกรรม ผ่านการ ศกึ ษาวิจัย แบบทดสอบมาตรฐานท่ีมีทั้งความตรงของเน้ือหา (Validity) และความเท่ียง (Reliability) ของแบบทดสอบ โดยให้ผู้รับการทดสอบเป็นผู้ตอบสนองต่อแบบทดสอบตามชนิดของแบบทดสอบ ไม่ว่าจะเป็นแบบทดสอบภาษา แบบปฏิบัติการ หรือลงมือกระทาการใช้แบบทดสอบ เพื่อเก็บข้อมูล เกี่ยวกับบุคคล ให้ได้ตามจุดมุ่งหมายท่ีวางไว้ แบบทดสอบที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวาง ได้แก่ แบบทดสอบเชาวน์ปัญญา แบบทดสอบความถนัด แบบทดสอบบุคลิกภาพ แบบทดสอบสุขภาพจิต เปน็ ตน้ การทดสอบด้วยภาพหยดหมึก ( The Rorschoach Test,Hermann Rorschach 1885–1922) ๓.๖.๖ การทดลอง (Experiment) เป็นการศึกษาพฤติกรรมโดยการสร้างสถานการณ์ บางอย่างขนึ้ มาหรือการจัดสภาพแวดล้อมอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามท่ีผู้ทดลองต้องการศึกษาแล้วสังเกต พฤตกิ รรมที่เปน็ ผลของการจัดสภาพ ส่ิงแวดล้อมน้ัน มีวิธีการรวบรวมข้อมูลท่ีเป็นระบบ ขั้นตอนและ เป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่ ระบุปัญหา ต้ังสมมุติฐาน การรวบรวมข้อมูล ทดสอบสมมุติฐาน การแปลความหมายและรายงานผล จากนั้นนาผลท่ีได้ไปใช้ประโยชน์ในการแก้ปัญหาหรือส่งเสริม พฤติกรรมต่อไป ในการทดลองจะมีการจัดสภาพการณ์ เพื่อดูผลของการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้น โดยใชก้ ารศึกษาเปรยี บเทียบกลมุ่ หรือสถานการณ์ ดังนค้ี ือ

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๕๖ ๑) กลุ่มทดลอง (Experiment Group) คือ กลุ่มที่ได้รับการจัดสภาพการณ์ทดลอง เพื่อศึกษาผลท่ีปรากฏจากสภาพนั้น เช่น การสอนด้วยเทคนิคระดมสมอง จะทาให้กลุ่มเกิดความคิด สรา้ งสรรคห์ รอื ไม่ ๒) กลุ่มควบคุม (Control Group) คือ กลุ่มท่ีไม่ได้รับการจัดสภาพการณ์ใดๆ ทุก อย่างถูกควบคุมให้คงสภาพเดิมใชเ้ พอ่ื เปรยี บเทียบกับกลมุ่ ทดลอง สิ่งท่ีผู้ทดลองต้องการศึกษาเรียกว่า ตวั แปร มี ๒ ประเภท ไดแ้ ก่ ตัวแปรอสิ ระหรือตัวแปรต้น (Independent Variable) และตัวแปรตาม (Dependent Variable) ๓.๗ ขอบข่ายของจิตวิทยา ขอบข่ายของจิตวิทยา (Field of Psychology) ในอดีต แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ จิตวิทยา ทั่วไป (General Psychology) กับจิตวิทยาประยุกต์ (Applied Psychology) ในปัจจุบัน จิตวิทยา แบง่ ออกเปน็ หลายสาขา ดังน้ี ๓.๗.๑ จิตวิทยาท่ัวไป (General or Pure Psychology)จิตวิทยาท่ีมุ่งศึกษากฎเกณฑ์ แนวคิดหรอื ทฤษฎพี ื้นฐานทางจติ วิทยาท่เี กย่ี วข้องกบั พฤติกรรมโดยทั่วไปของมนษุ ย์ ๓.๗.๒ จิตวิทยาการทดลอง (Experimental Psychology) จิตวิทยาท่ีมุ่งศึกษาเก่ียวกับ กระบวนการต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตในแต่ละด้าน เช่น การเรียนรู้ การจา การนอนหลับ โดยใช้วิธีการ ทดลองในการศึกษาและนาผลที่ได้จากการทดลองมาสร้างเป็นทฤษฎีและกฎเกณฑ์ เพ่ือนาไปอธิบาย หรือประยุกต์ใชใ้ นการศึกษาวิชาตา่ งๆ ตอ่ ไป ๓.๗.๓ จิตวิทยาเชิงสรีระ (Physiological Psychology) จิตวิทยาที่มุ่งศึกษาเกี่ยวกับ ความสัมพันธ์กระบวนการทางสรีรวิทยาและกระบวนการทางจิตใจของมนุษย์ เน้นการศึกษา โครงสร้างและหน้าท่กี ารทางานของอวัยวะตา่ งๆ อันเป็นพนื้ ฐานของการเกิดพฤติกรรม ๓.๗.๔ จิตวิทยาพัฒนาการ (Developmental Psychology หรือ Genetic Psychology) จิตวิทยาที่มุ่งศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ ต้ังแต่เร่ิมปฏิสนธิ การเจริญเติบโตและพัฒนาการ ในช่วงอายุของมนุษย์ในระยะต่างๆ จนกระท่ังสิ้นสุด ชีวิตตลอดจนอิทธิพลของพันธุกรรมและ ส่ิงแวดล้อมที่มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ เพ่ือพัฒนาสมาชิกใหม่ ของครอบครัว ตั้งแต่แรกเกิด ให้สามารถเจรญิ เติบโตเปน็ บคุ คลท่ีมคี ุณภาพของสังคมตอ่ ไป ๓.๗.๕ จิตวิทยาบุคลิกภาพ (Personality Psychology) จิตวิทยาท่ีมุ่งศึกษาและสังเกต พัฒนาการของมนุษย์ในด้านต่างๆ ทาให้เกิดพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์ การพัฒนาบุคลิกภาพท้ังภายใน และภายนอก การให้ความสาคัญต่อการพัฒนาตน พัฒนาจิต เข้าใจปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อบุคลิกภาพ ทฤษฎบี ุคลิกภาพและการพัฒนาตนไปสู่บคุ ลกิ ภาพที่ดี ๓.๗.๖ จิตวิทยาคลินิก (Clinical Psychology) จิตวิทยาที่มุ่งศึกษาสาเหตุของความผิดปกติ ทางพฤติกรรมของบุคคล เพื่อหาทางบาบัดรักษาบุคคลท่ีมีปัญหาทางอารมณ์ มีพฤติกรรมและ การปุวยทางจิต โดยใช้วิธีการต่างๆ ทางจิตวิทยา เช่น เทคนิคการให้คาปรึกษา เพื่อช่วยแก้ไขปัญหา

พุทธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๕๗ ในด้านการศึกษา อาชีพ ส่วนตัวและสังคม เป็นต้น นอกจากนี้ ยังหาวิธีการปูองกันและแก้ไข ตลอดจนส่งเสรมิ ใหบ้ คุ คลมีสุขภาพจิตท่ีดีขน้ึ ๓.๗.๗ จิตวิทยาการศึกษาและจิตวิทยาในโรงเรียน (Educational Psychology) จิตวิทยา ท่ีมุ่งศึกษาพฤติกรรมผู้เรียนเพื่อนาทฤษฎีและกฎเกณฑ์ทางจิตวิทยาไปประยุกต์ใช้ในเร่ืองการศึกษา เพื่อพัฒนาวิธีจัดการเรียนการสอนทาให้ผู้สอนมีความเข้าใจในพฤติกรรมเด็ก โดยมุ่งแก้ปัญหาและ อปุ สรรคท่เี กิดกบั เด็ก ชว่ ยให้มีเปูาหมายที่ชัดเจนในการเรียน การเลือกเรียนต่อและเลือกอาชีพต่อไป มุ่งศึกษาเรื่องประสิทธิผลของการเรียนรู้ในรูปแบบต่างๆ เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่แท้จริงตาม ปรชั ญาของการศกึ ษา ๓.๗.๘ จิตวิทยาอุตสาหกรรม (Industrial Psychology) จิตวิทยาที่มุ่งศึกษาการทางาน ของบุคคลในโรงงานอุตสาหกรรมในด้านประสิทธิภาพของการทางาน ความสามารถในการทางาน ร่วมกับผู้คนอย่างมีความสุข ผลของส่ิงแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อการทางานการสร้างขวัญแรงจูงใจ ในการทางานและการประเมินผลการทางานของบุคคลในสถานประกอบการต่างๆ เพ่ือค้นหา กระบวนการและวธิ ีการทจ่ี ะช่วยใหเ้ กิดประสิทธิภาพสูงสดุ ในการทางาน ๓.๗.๙ จิตวิทยาการวัดผลและการทดสอบ (Psychometric Psychology) จิตวิทยาที่มุ่ง ศึกษาเก่ียวกับข้อมูล ความเชื่อถือดังนั้น จิตวิทยาการวัดผลมุ่งเน้นในเรื่องทฤษฎีและการพัฒนา แบบทดสอบ รวมทั้งวิธกี ารวัดผลในรปู แบบตา่ งๆ เปน็ ประโยชน์อยา่ ง มากในวธิ ีการศึกษาเชงิ จิตวิทยา ๓.๗.๑๐ จิตวิทยาสังคม (Social Psychology) จิตวิทยาท่ีมุ่งศึกษาเพื่อศึกษา และทาความ เขา้ ใจเกย่ี วกบั บทบาทความสัมพันธ์และพฤติกรรมการแสดงออกของบุคคลในสังคมหรือลักษณะส่วน ใหญ่ของพฤตกิ รรมมนุษย์ โดยเนน้ ท่ีการศึกษาเก่ยี วกับการเกดิ และการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ตลอดจน คา่ นยิ มและวัฒนธรรมเพ่ืออธิบายปรากฏการณ์ตา่ งๆ ที่เกิดข้ึนในสงั คม ๓.๗.๑๑ จิตวิทยาวิศวกรรม (Engineering Psychology) จิตวิทยาท่ีมุ่งศึกษาความก้าวหน้า ทางเทคโนโลยี ทาการศกึ ษาค้นคว้า ทดลอง สร้างเคร่ืองมือท่ีมีประสิทธิภาพและ มีความปลอดภัยต่อ การใช้งานเป็นการแสวงหาความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับการทางานหรือการดาเนินชีวิตของมนุษย์อย่าง ตอ่ เนือ่ ง เพอื่ ทาให้เกดิ ความแน่ใจว่า เครือ่ งมอื ที่ถกู สร้างขนึ้ น้นั สอดคลอ้ งกับความต้องการของมนุษย์ ๓.๗.๑๒ จิตวทิ ยาชุมชน (Community Psychology) จติ วทิ ยาที่มุ่งศกึ ษาลักษณะของชุมชน ความต้องการของชุมชนและพฤติกรรมชุมชน เพื่อช่วยปูองกันและแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดข้ึนในชุมชน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องสุขภาพจิตนอกจากน้ี ยังมีสาขาของจิตวิทยาอีกมากมายที่ไม่ได้กล่าวถึงในที่น้ี เช่น จิตวิทยาการปรึกษา (Counseling Psychology) จิตวิทยาเปรียบเทียบ(Comparative Psychology) จิตวทิ ยาบาบัด (Therapy Psychology) จติ วทิ ยาการกีฬา (Sport Psychology)ฯลฯ สรปุ ทา้ ยบท จิตวิทยา ถือว่าเป็นศาสตร์ที่เป็นพ้ืนฐานของการดารงชีวิต (The Importance of Psychology in Daily Life) เพราะเป็นทักษะขั้นพ้ืนฐานในการปรับตัวของมนุษย์ จิตวิทยาเป็นองค์ ความรู้ที่มีแนวร่วมระหว่างศิลปศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยมีจุดมุ่งหมาย ๓ ประการ คือ เพ่ือ

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๕๘ อธิบายหรือเข้าใจ ทานาย และควบคุมพฤติกรรมของบุคคลและสังคม ประกอบด้วย ๑. แนวคิด จิตวิทยาในปัจจุบัน แนวคิดจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Approach) ฟรอยด์ แนวคิดพฤติกรรม นิยม (Behavioral Approach) : B.F.Skinner แนวคิดมนุษยนิยม (Humanistic Approach) : Abraham Maslow และแนวคิดเชิงรู้คิด (Cognitive Approach) ๒. แนวคิดจิตวิทยาในอดีต ส่วนประกอบตา่ งๆ ของจิต (Structuralism) : Wilhelm Wundt : บดิ าแหง่ จิตวทิ ยา การทางานตาม หน้าที่ของจิต (Functionalism) : William James : บิดากลุ่ม ชีวจิตวิทยาและเชิงรู้คิด การรับรู้ของ จิต (Gestalt Approach) : Max Wertheimer, Wolfgang Kohler, Kurt Koffka และพฤติกรรม นิยม (Behavioral Approach) : John B. Watson ได้แก่ ความรู้ทางจิตวิทยาช่วยให้บุคคลเข้าใจ และรับรู้เกี่ยวกับตนเองได้ถูกต้องตามความจริง ช่วยให้เข้าใจและยอมรับบุคคลอ่ืนได้มากข้ึน ช่วย ชี้แนะให้บุคคลรู้จักปูองกันเหตุปัจจัยต่างๆ ท่ีจะมาบั่นทอนพัฒนาการหรือ อาจก่อให้เกิดความพิการ ทางกายเข้าใจในความแตกตา่ ง และยอมรบั ในตัวบุคคลอืน่ ได้มากขนึ้ ช่วยเสริมสร้างและปูองกัน ปญั หาเก่ยี วกับสมรรถนะในการเรียนรู้ เชาวน์ปัญญา ความจา และประสิทธิภาพการทางาน สามารถ นาไปเสริมสร้างแรงจูงใจในการทากิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมส่วนตัว หรือการประกอบ อาชีพใหม้ ีประสิทธภิ าพและประสบความสาเร็จ

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๕๙ คาถามท้ายบท

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๖๐ เอกสารอา้ งอิงประจาบท Feldman, R.S. (1994), Essentials of Understand Psychology, New York: McGraw-Hill. Hilgard, (1962), Introduction to Psychology, New York: Harcourt, Brace and World Inc. Krejcie,R.V. and Morgan,D.W. (1974), “Determining sample size for research activities”,Educational and Measurement. Matlin, M.W. (1995), Psychology. 2nd ed. Fort Worth : Harcourt Brace. Smith, C. A. et al. (1983, August), Organizational citizenship behavior: Its nature and antecedents, Journal of Applied Psychology, 68 (4) 653 - 663.

บทท่ี ๔ จิตวิทยาเชงิ บวก วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้ประจาบท เมอื่ ไดศ้ กึ ษาเนอ้ื หาในบทน้แี ลว้ ผู้เรียนสามารถ ๑. อธิบายความหมายของการคิดเชิงบวกได้ ๒. อธิบายความสาคญั ของการคดิ เชิงบวกได้ ๓. อธิบายแนวคดิ และทฤษฎพี ้ืนฐานของการคดิ เชงิ บวกได้ ๔. อธิบายลกั ษณะของบุคคลทม่ี ีความคดิ เชงิ บวก ได้ ๕. อธิบายลักษณะการคดิ เชิงบวกได้ ๖. อธิบายปัจจัยท่ีมอี ิทธพิ ลต่อการคิดเชงิ บวกได้ ขอบข่ายเน้อื หา  ความหมายของการคดิ เชงิ บวก  ความสาคญั ของการคิดเชิงบวก  แนวคิดและทฤษฎพี น้ื ฐานของการคิดเชงิ บวก  ลักษณะของบุคคลทมี่ ีความคดิ เชงิ บวก  ลักษณะการคดิ เชงิ บวก  ปจั จัยท่ีมอี ิทธิพลตอ่ การคิดเชิงบวก

พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๖๒ ๔.๑ ความนา ธรรมชาติของมนุษย์นั้น หากจะพูดถึงความรู้สึกนึกคิด ชอบเอาความรู้สึกของตนเอง เป็นปทัฏฐานให้คนอ่ืนเป็นอย่างที่ตนคิด อย่างที่ตนเป็น อย่างท่ีตนเองมี เช่นเดียวกับความคิดเชิงลบ จะเป็นส่ิงท่ีเกิดข้ึนได้ง่ายกว่า เพราะธรรมชาติของคนเรานั้นพร้อมจะมองเห็นความบกพร่องมากกว่า มองเห็นข้อดี ในขณะที่ความคิดเชิงบวก ต้องอาศัยมุมมองและการคิดท่ีลึกกว่าน้ัน ไม่ใช่การคิดช้ัน เดียวจากการเห็นแล้วสรุปความเลยว่าส่ิงนั้นไม่ดี แต่ต้อง มาจากมุมมองที่เชื่อว่าทุกส่ิงทุกอย่าง ท่เี กดิ ข้นึ (โดยเฉพาะเรือ่ งไมด่ )ี ย่อ ไมม่ ปี ระโยชน์หรือความดีแฝงอยู่ด้วยเสมอ การมองโลกเชิงบวก (positive thinking) จึงหมายถึงการมองสิ่งต่างๆอย่างเข้าใจ ยอมรับได้ ในด้านลบ มองปัญหา ความทุกข์ ความไม่ราบร่ืนเป็นเร่ืองธรรมดา หากรู้จักเลือกใช้ประโยชน์ จากด้านบวกทแ่ี ฝงอย่จู ากสิง่ น้ันๆ ได้ เหตกุ ารณ์บางอย่าง เราไม่สามารถเลือกได้ว่าจะให้เกิดหรือไม่ให้ เกิด แตเ่ มือ่ เกดิ ขน้ึ ไปแล้ว เราเลอื กไดว้ า่ จะมองและรูส้ ึกกับมนั อย่างไร \" จิตของมนุษย์เป็นเหมือนก้อนหินลอยน้า แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ จิตสานึกหรือความรู้ตัว เปน็ สว่ นทโ่ี ผลพ่ ้นนา้ มี ๑๐ เปอรเ์ ซ็นต์ กบั อกี ๒ สว่ นหนง่ึ คือจติ ใต้สานึก เป็นส่วนใต้น้าที่มีมากถึง ๙๐ เปอรเ์ ซ็นต์ มาจากการสะสมประสบการณ์ชีวิต ความคิด ความรู้สึกเอาไว้ทั้งลบและบวก\"แต่คนเรามัก จาเรือ่ งลบเอาไว้มากกวา่ คนไทยเลย้ี งลกู ด้วยการตาหนิ กลัวชมแลว้ เหลงิ หรือไม่ก็ชมไม่เป็น มักนาไป เปรียบเทยี บกับคนอ่ืนๆ หรือด่าว่าด้วยถ้อยคารุนแรง สิ่งเหล่านี้จะถูกเก็บไว้ในจิตใต้สานึก เมื่อเติบโต ขึน้ เวลาเราคิดถงึ อะไรก็คิดติดลบตลอดเวลา และรู้สกึ ว่าตนเองได้รับความรักไม่เพียงพอ แม้จะอยู่กับ ผู้คนมากมาย แต่ประสบการณ์ชีวิตทาให้รู้สึกว่ามีคนรักตนเองน้อย จึงเหงา ว้าเหว่ ไม่เชื่อม่ัน ไม่ ภาคภูมิใจในตนเอง\" ท้ังหมดน้จี งึ เปน็ พ้ืนฐานสาคญั และท่มี าของความคิดเชงิ ลบในท่ีสดุ กายกับใจนั้นเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้เหมือนเหรียญท่ีมีสองด้าน แน่นอนว่าการมี ร่างกายที่เจ็บปุวยอาจทาให้ใจห่อเห่ียวแต่ใจท่ีปุวย จากการคิดร้าย มีแต่ความเคียดแค้นเกลียดชังก็ นามาซึ่งโรคทางกายได้เช่นเดียวกัน ทางการแพทย์เรียกว่า Psychosomatic disorder หรือ การเจ็บปุวยทางกายอนั เนอื่ งมาจากจติ ใจ ดงั ทม่ี ีคากล่าวทีว่ ่า \"จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว\" การมองโลก ในดา้ นลบ ไม่เพียงแต่ทาให้จิตใจร้อนรุ่มกระวนกระวายเท่าน้ัน หากยังส่งผลกระทบให้สมองส่วนล่าง เกิดการเปล่ียนแปลงในทางลบ คือ ฮอร์โมนความเครียดหลั่ง หัวใจเต้นเร็ว ความดันเลือดสูง กรดในกระเพาะสูง ภมู ิต้านทานต่าลงในขณะท่ีการมองด้านบวก จิตจะส่ังการสมองส่วนล่างด้วยคาส่ัง อีกชุดหนึ่ง คือทาให้ฮอร์โมนความสุขหลั่ง หัวใจเต้นช้าลง ความดันเลือดลดลง หายใจช้าลง และภูมิ ต้านทานสงู ขึน้ การควบคุมจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึกให้มีแต่เรื่องดีๆ จึงเท่ากับเป็นการให้ข้อมูลต่อจิตใต้สานึก ของตัวเอง ซึ่งหมายถึงการควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติ ระบบฮอร์โมน และระบบภูมิต้านทานให้ เปน็ ไปทางที่จะทาให้สุขภาพดีโดยทางอ้อมนน่ั เอง

พทุ ธจิตวทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๖๓ การมองโลกเชิงบวก จะช่วยให้ชีวิตมีความหวังแม้วา่ พบพานอปุ สรรคใหญห่ ลวง ถอื ว่าเปน็ การ หาดีในเลว หาโอกาสในวิกฤติ ซ่ึงอาจทาให้เราได้รับประสบการณใ์ หม่ๆที่ไม่มีทางไดร้ บั จากชีวติ ที่ ราบเรียบก็เป็นได้ ๔.๒ ความหมายของการคิดเชงิ บวก สก็อตต์ เวนเทรลลา๑ กล่าวว่า การคิดเชิงบวกเป็นประสิทธิภาพที่เรามีอยู่แต่เดิม ในการ สร้างสรรค์ผลลัพธ์ที่เราต้องการ ด้วย การคิดในแง่บวก การมีความเชื่อในความเป็นไปได้แม้ว่า ข้อเท็จจริงดเู หมือนจะพยายามชี้ชัดไปในทาง ตรงกันข้ามเกี่ยวข้องกับการสร้างทางเลือกที่สร้างสรรค์ การต่อส้กู ับปัญหาอย่างไมล่ ดละ นอร์แมน วินเนต์ พีล๒ กล่าว ว่า การคิดในแง่บวกเป็นการมองเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยรับรู้ว่า สิ่งมีชีวิตมีท้ังสิ่งที่ดีและไม่ดี แต่จะเป็นการดีกว่าถ้าจะเน้นแต่สิ่งท่ีดี และเมื่อคุณทาเช่นน้ันสิ่งท่ีดี จะเพมิ่ ขึ้น นิภาแก้ว ศรีงาม๓ กล่าวว่า ความคดิ เชิงบวกเป็นกระบวนการทางความคิด ของบุคคล ทีเ่ กดิ จากการท่ีคนเรามีรปู แบบการรบั รู้และการคดิ (perception and cognitive style) ไปในทศิ ทางทด่ี ี มองและรับรูส้ ง่ิ ต่าง ๆ ตามความเปน็ จริง เปน็ เหตเุ ปน็ ผลดว้ ยอารมณ์ทผ่ี อ่ งใส่ เทอดศกั ด์ิ เดชคง๔ กลา่ วว่า การคิดเชงิ บวกหรอื การมองโลกในแงบ่ วก คือ การรบั รู้และแปล ความหมายของเหตุการณ์ในด้านบวกและมีทิศทางที่กอ่ ใหเ้ กิดประโยชนแ์ กต่ นเองการมวี ิธคี ดิ ที่ถูกต้อง สามารถมองโลกอย่างเกิดประโยชน์ เปน็ สิ่งท่สี ามารถเรยี นรู้และฝกึ ฝนได้ เวรา ไพฟ์เฟอร์๕ กล่าวว่า การคิด แง่บวกเป็นการโน้มน้าวจิตใต้สานึกในทางที่ดี จิตใต้สานึก จะไม่หาเหตุผลท้ังไม่ตัดสินใจ ว่าข้อมูลน้ันถูกหรือผิดมีเหตุผลหรือไร้สาระ จริงหรือเท็จ จิตใต้สานึก เพียงแต่เก็บรวบรวมข้อมูลเพียงเพ่ือสร้างพฤติกรรมหรือการแสดงออก โดยอาศัยจิตใต้สานึก น่ัน หมายถึง ต้องปูอนความคิดในแง่บวกใหม่ ๆ ให้แก่จิตสานึกซ้าแล้วซ้าเล่าโดยตั้งใจเพราะความคิดที่ เกิดข้ึนบ่อย ๆ จะฝังรากลึกไปยังจิตใต้สานึก อิงลิช๖ กล่าวว่า การคิดเชิงบวกเป็นการมองโลกในแง่ดี ๑ สกอ็ ตต์ เวนเทรลลา, อานุภาพแห่งความคิดเชิงบวก, แปลโดย วทิ ยา พลายมณี, กรุงเทพมหานคร: เอ. อาร์.บซิ ิเนส, ๒๕๔๕ หนา้ ๓๔. ๒ นอรแ์ มน วินเนต์ พีลล,์ มหัศจรรยแ์ ห่งการคิดบวก, แปลโดย เอกชยั อัศวนฤนาท, กรุงเทพมหานคร : ต้นไม,้ ๒๕๔๘ หนา้ ๘. ๓ นภิ าแกว้ ศรงี าม, ความคดิ เชงิ บวก (Positive Thinking) พงึ คิดวา่ ทกุ ปญั หามที างออก ไม่ใช่ทุกทาง ออกเป็นปัญหา.วารสารวงการคร,ู ๒๕๔๗, ๑(๑๒) : ๗๖-๗๘. ๔ เทอดศกั ดิ์ เดชคง, มีดีบา้ งไหม?,กรุงเทพมหานคร : มติชน, ๒๕๔๗ หน้า ๑๙. ๕ เวรา ไพฟเ์ ฟอร์, การคดิ แงบ่ วก, แปลโดย นจุ รีย์ ชลคปุ , กรงุ เทพมหานคร : บอสสก์ ารพิมพ์, ๒๕๔๘ หน้า ๒๗. ๖ English, Martin, How to Feel Great About Yourself and Your Life: A Step by Step Guide to Positive Thinking. New York: AMACOM, 1992, p.16.

พทุ ธจิตวทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๖๔ ยอมรับใน สิ่งที่เกิดข้ึนตามความเป็นจริง สามารถแก้ปัญหาและปูองกันไม่ให้เกิดปัญหานั้นขึ้นอีกได้ โดยไม่ยึด ติดกับประสบการณใ์ นอดีตที่ไมด่ ี และพรอ้ มทจี่ ะเรยี นรสู้ ง่ิ ใหม่ ๆ ทเี่ ปน็ ประโยชน์ อ้อม ประนอม๗ กล่าวว่า การคิดเชิงบวก เป็นการมองในแง่ดีและเป็นไปได้ โดยเป็นคนที่มี หลายมุมมอง ไม่มีความคิดคับแคบ เพราะทุกสิ่งมีสองด้านเสมอ เราต้องหาความคิด ท่ีดีใส่ตนเอง บุคคลท่ีมีความคิดเชิงบวกน้ัน จะรู้จักควบคุมอารมณ์ไม่ให้เป็นคนอ่อนไหวง่ายเกินไปเป็นคนเปิดเผย ชอบสงั คม ไมเ่ ป็นคนเก็บตัวและให้โอกาสบุคคลที่ผิดพลาดเพื่อให้เขามีโอกาสปรับตัวชีวิตก็จะไม่ทุกข์ มาก จากความหมายของการคิดเชิงบวก สรุปว่า การคิดเชิงบวก หมายถงึ การคดิ อยา่ งมีหลักการ และเหตผุ ลเกยี่ วกับทุกๆ สงิ่ ในชีวติ ในทางทีจ่ ะสร้างความรู้สึกท่ดี ี ความพงึ พอใจ และเปน็ สุขใหก้ ับ อารมณ์ความคิดของตนเอง โดยแบ่งเปน็ ๒ ดา้ น คอื ๑.๑ ด้านที่เกี่ยวข้องกับตนเอง คือ มองเห็นส่ิงดีๆและความสามารถของตนเองมากกว่า ข้อบกพรอ่ ง คดิ ว่าตนเองกส็ ามารถทาส่ิงตา่ ง ๆ ได้ดไี มน่ ้อยไปกวา่ คนอ่ืน ๑.๒ ด้านทเี่ กยี่ วข้องกบั สถานการณ์ คือ สามารถมองหาส่ิงดี ๆ จากปัญหาท่ีเกิดข้ึน มองเห็น โอกาส ในการแก้ปัญหามากกว่าจะใส่ใจกับอุปสรรคท่ีเกิดขึ้น คิดหาประโยชน์จากปัญหาและ สถานการณท์ ่เี กดิ ขนึ้ ได้ ๔.๓ ความสาคญั ของการคิดเชงิ บวก เซลกิ แมน๘ กล่าวถึง คณุ คา่ และประโยชนข์ องการคิดเชิงบวกไว้ ดงั น้ี ๑. ทาใหม้ ีสขุ ภาพจติ ดี ลดภาวะซมึ เศร้า โรคประสาท ๒. ทาใหม้ ีสขุ ภาพร่างกายท่แี ข็งแรง ในคนปกตจิ ะมีการดูแลสุขภาพที่ดี สว่ นในคนที่ มีภาวะการเจ็บปุวย อาการเจ็บปุวยก็จะทเุ ลาไดเ้ ร็วกว่าคนทม่ี องโลกในแง่ลบ ๓. ทาใหป้ ระสบความสาเรจ็ ในทุก ๆ ดา้ นมากกวา่ คนทีม่ องโลกในแงล่ บ ๔. ทาให้มีสัมพันธภาพกับผู้อ่ืนได้ดีกว่าคนท่ีมองโลกในแง่ลบ เนื่องจากคนที่มอง โลกในแง่บวก จะให้อภัยในความผิดของผู้อื่น และพร้อมท่ีจะสร้างสัมพันธภาพกับคนอ่ืนได้ยืนยาว วิทยา นาควัชระ๙ กล่าวว่า คนท่ีคิดทางบวก(Positive Thinking) จะเกิดความสุข ได้ง่าย ร้สู ึกดีๆ กบั ตนเองและผู้อ่ืน ลดความเครยี ด พอใจกับงาน ทางานร่วมกับคนอื่นได้ดี พอใจชีวิต ตนเอง และคนอื่นทาให้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ท่ีจะเกิดขึ้นใหม่ ๆ ได้ที่สาคัญสามารถท่ีจะมอง เห็นส่ิงที่ดีๆ ที่จะ เกิดขนึ้ ใหม่ได้เสมอๆ ซ่งึ คนธรรมดาหรอื คนทีค่ ดิ ทางลบจะมองไมเ่ หน็ สง่ิ เหลา่ นเ้ี ลย ๗ อ้อม ประนอม, พลงั คาสู่พลังใจ, กรงุ เทพมหานคร : พิมพ์คา, ๒๕๔๘, หนา้ ๑๒๐-๑๒๑. ๘ Seligman, M.E.P.et.al. Explanatory style change during Cognitive therapy for unipolar depression. Journal of abnormal Psychology. 1997 January : 13-18. ๙ วิทยา นาควัชระ, วิธคี ิด ใช้ชีวติ เปน็ สขุ , พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๓, กรุงเทพมหานคร: กดู้ บคุ , ๒๕๔๘ หนา้ ๔๙.

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๖๕ เกียรติวรรณ อมาตยกุล๑๐ กล่าวว่าคนท่ีคิดบวกทาบวกจะมีทัศนคติมีมุมมองของชีวิต ท่ีแตกตา่ งจากคนคิดลบทาลบอย่างสิ้นเชิง บุคคลเหล่านี้มักจะมีคลื่นสมองต่าอยู่เสมอมี ความรู้สึกท่ีดี กบั ตัวเองและผ้อู นื่ มีความสขุ สามารถเปล่ียนวิกฤติให้กลายเป็นโอกาสและสามารถ เปล่ียนโอกาสให้ กลายเป็นโอกาสทอง ทุกวินาทีทุกนาทีเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่จะต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ใน การพัฒนา ตนเองและชว่ ยเหลอื ผู้อื่น ทัศนคติและมมุ มองของคนท่ีคิดบวก ทาบวกนี้จะแตกต่างจาก คนทั่ว ๆ ไป เปน็ อยา่ งมาก พวกเขาจะมีมมุ มองของชวี ติ คลา้ ย ๆ กัน ดังน้ี - จุดไฟใหส้ วา่ งดกี ว่าสาปแชง่ ความมดื - ชมเพอ่ื ก่อ ติเพอ่ื ทาลาย - อยา่ มองความผิดพลาดของผอู้ ืน่ แตจ่ งช่วยหาทางแก้ไขความผิดพลาดนั้น - อย่าพดู ถ้าคาพูดนน้ั ไมไ่ ด้ทาใหอ้ ะไรดีขน้ึ - ความผิด (พลาด) มีเอาไว้ให้ลืม ความถูก (ตอ้ ง) มเี อาไว้ให้จา - ความสาเร็จมักจะเกิดขึ้นจากความรู้สึกด้านบวกที่ว่า เราทาได้ ส่วนความล้มเหลว มักจะเกดิ จากความรสู้ ึกดา้ นลบที่ว่า เราทาไมไ่ ด้ - น้าหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน มิใช่ความรุนแรงของหยดน้าท่ีทาให้หินกร่อน แต่ด้วยความพยายามอยา่ งสมา่ เสมอของหยดน้าต่างหากท่ีทาใหห้ นิ กร่อน - เราจะล้มเหลวต่อเม่ือเราหมดความพยายามแล้วเทา่ นน้ั - ถา้ เราไม่มีค่ตู ่อสูท้ ี่เข้มแข็งเราจะไม่มีวนั พัฒนาตวั เองได้เลย - ส่งิ เลวร้ายท่ีเกดิ ข้ึนในชีวิตของเราน้ันมักทาให้เราเขม้ แขง็ เสมอ - หากเราตอ้ งการไปถงึ ดวงดาวก็ตอ้ งมีการลม้ ลกุ คลกุ คลานและมีบาดแผลบา้ ง - ถ้าเราต้องการทจ่ี ะมเี วลาสาหรบั ส่ิงใดส่ิงหนึง่ เราจะต้องเป็นผทู้ าให้เกดิ ขึ้นมฉิ ะนัน้ แล้วเราจะไม่มีเวลาสาหรับสงิ่ น้ันเลย - เมื่อไรที่คิดจะทาสิ่งทีด่ ีๆ จงลงมือทาทนั ที - เมอ่ื ไรท่ีคดิ จะทาส่ิงไม่ดี จงประวิงเวลาออกไปใหน้ านท่สี ุด - รอยยิ้มหนงึ่ เกิดขึ้นหลงั รอยยิม้ หน่งึ เสมอ - ท้องฟาู สดใสหลงั ฝนตกหนักเสมอ นิภา แก้วศรีงาม๑๑ กล่าวว่า ความคิดเชิงบวกเป็นพ้ืนฐานของการสร้าง สติปัญญาให้คนเรา เกดิ การแกป้ ัญหา และการตดั สนิ ใจได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ ไมอ่ อกมาในรูปของการทาลายตนเอง หรือ ต่อสู้ก้าวร้าวทาลายกันและกันและในขณะเดียวกันความคิดเชิงบวกจะเป็น จุดเร่ิมต้นของความริเร่ิม สร้างสรรค์ คิด ประดิษฐ์ค้นคว้าหาแนวทางที่ส่ง ผลออกมาในรูปสร้างสรรค์ เกิดประโยชน์สุข เพราะการคิดที่ดีในเชิงบวก จะทาให้ผู้คิดเกิดความรู้สึกไปทางบวก ย่อมจะแสดง ออกเป็นพฤติกรรม ท่ดี ี สง่ ผลใหท้ ัง้ ตนเองและสังคมรอบข้างมคี วามสขุ ได้ ๑๐ เกียรตวิ รรณ อมาตยกลุ , คดิ -ทา ด้านบวก, กรงุ เทพมหานคร: ภาพพิมพ,์ ๒๕๔๕ หน้า ๘๓-๘๘. ๑๑ นิภา แกว้ ศรงี าม, ความคดิ เชงิ บวก (Positive Thinking) พึงคิดว่าทกุ ปญั หามีทางออก ไมใ่ ช่ทกุ ทางออกเป็นปญั หา.วารสารวงการครู, ๒๕๔๗, ๑(๑๒) : ๗๖-๗๘.

พทุ ธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๖๖ ถ้าบุคคลมีความคิดเชิงบวก จะทาให้สามารถมองและรับรู้สิ่งต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนตามความ เป็น จริง เป็นเหตุเป็นผล เป็นการรับรู้จิตอารมณ์ที่สร้างสรรค์ ย่อมจะทาให้บุคคลมีมีสติปัญญาทาง อารมณ์ (EQ-Emotional Quotient) พร้อมที่จะเผชิญและยอมรับในสิ่งต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนแก่ตน บุคคล อื่น ๆ และสังคมได้อย่างรู้เหตุรู้ผล สามารถบริหารจัดการตนเองและสรรพส่ิง รวมท้ังปัญหาที่เกิดข้ึน ได้ อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ อีกทั้งความคิดเชิงบวกจะทาให้คนเราเกิด แรงจูงใจในตนเอง (Self Motive) เกิดความเพียรพยายาม อดทนในการที่จะฝุาฟันอุปสรรค และปัญหาต่างๆ การตัดสินใจได้อย่าง ถูกต้องและเหมาะสม เรียกได้ว่า เป็นผู้ท่ีมีระดับ แห่งความอดทนและเพียรพยายามสู่ความสาเร็จ (AQ-Adversity Quotient) โดยอาจสรปุ ให้เหน็ ความสาคัญของความคิดเชิงบวกได้ดังน้ี ๑. ความคดิ เชงิ บวก จะเพ่มิ คุณค่าให้กับชีวติ และการงาน ๑.๑ เกดิ สติอารมณแ์ ละสติปัญญาในการแก้ไขปัญหาและตัดสินใจ ๑.๒ เกิดความคิดที่จะปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ๑.๓ สรา้ งความคิดทีจ่ ะปรบั เปล่ียนวิกฤตเิ ปน็ โอกาสปรับความพินาศมาส่กู ารพฒั นา ๑.๔ กอ่ ให้เกิดความคดิ ริเรม่ิ สร้างสรรค์ สามารถหาคุณประโยชน์จากสิ่งไร้ค่า หาพลังงานจากอากาศหรือกองขยะ ประดษิ ฐ์และสรา้ งนวัตกรรมจากของเหลือใช้ ๑.๕ ก่อให้เกดิ คุณภาพชีวิตท่ีสมบรู ณ์ และเกิดความมมี าตรฐานในงาน ๒. เพ่มิ ความสขุ ในชวี ิตและสร้างให้มีสุขภาพจิตท่ดี ี ๒.๑ สามารถปรบั ตวั และเผชญิ ความจริงได้อยา่ งมีเหตผุ ล ๒.๒ มีความพึงพอใจในการดารงชีวิต สร้างให้เกิดความพึงพอใจในตนเอง ในครอบครัว ในงานและในสังคมทตี่ นเกยี่ วขอ้ ง ๒.๓ มคี วามสามารถในการครอบครองปญั หาและอุปสรรค ทาใหบ้ รหิ ารจดั การ กับ ปัญหาและอุปสรรคนั้นได้เป็นอย่างดีถูกต้องเหมาะสมผู้อน่ื ได้ ๒.๔ ทาให้เกิดสภาวะทางอารมณท์ ดี่ ี สามารถแกไ้ ขปัญหาและตดั สินใจได้อยา่ ง ๒.๕ มอี ารมณผ์ ่องใส ผ่อนคลาย สร้างบรรยากาศ และความสขุ ใหแ้ ก่ตนเอง และ ๒.๖ เกิดความสาเร็จในชีวติ จากที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า การคิดเชิงบวก ทาให้บุคคลมีสุขภาพจิตดีและมีสุขภาพ ร่างกายที่แข็งแรง จะทาให้ผู้คิดเกิดความรู้สึกไปทางบวก ย่อมจะแสดงออกเป็นพฤติกรรมท่ีดี อดทน ในการท่ีจะฝุาฟันอุปสรรค และปัญหาต่าง ๆ มีตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม อันจะส่งผลให้ ท้งั ตนเองและสังคมรอบขา้ งมคี วามสุขได้ ๔.๔ แนวคิดและทฤษฎพี ืน้ ฐานของการคิดเชิงบวก สก๊อตต์ เวนเทรลลา๑๒ กล่าวว่า ความคิดเชิงบวกเกิดพร้อมกับมนุษย์ต้ังแต่แรกเกิด ประสบการณ์ในชวี ติ ของมนุษยท์ าให้ ความคิดเชงิ บวกลดน้อยลงหรอื เกบ็ ซ่อนอยู่ในตัวของบุคคล และ ๑๒ สกอ็ ตต์ เวนเทรลลา, อานภุ าพแหง่ ความคดิ เชิงบวก, แปลโดย วทิ ยา พลายมณ,ี กรงุ เทพมหานคร: เอ.อาร.์ บซิ ิเนส, ๒๕๔๕ หน้า ๓๔.

พทุ ธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๖๗ บุคคลจะเกิดความคิดเชิงบวกได้จาก การยกระดับความคิด ซ่ึงความคิดเชิงบวกประกอบด้วย องค์ประกอบ ๑๐ ประการ อันได้แก่ ความเชื่อ ความยึดมั่นในคุณธรรม การสารวมความตั้งใจ การมองโลกในแง่ดี ความกระตอื รือรน้ ความมุ่งมั่น ความกลา้ หาญ ความมั่นใจ ความอดทนและความ สุขุมคุณลักษณะทั้ง ๑๐ ประการนี้จะมีความสัมพันธ์กับความเชื่อ ความรู้สึกและการกระทา ความรู้สึกนาไปสู่การกระทาที่น่าพึงพอใจ ผลลัพธ์ของการกระทาจะเป็นเหมือนด่ังข้อมูลท่ีปูอนให้กับ ความเชื่อของคนนั้น (เกี่ยวกับตนเอง ผู้อ่ืน และโลกที่เก่ียวข้อง) หากการกระทาประสบผลสาเร็จ ความเช่ือจะส่งผลไปสู่ความคิดเกิดมุมมองทางบวก ทัศนะคติเชิงบวก และเป็นความคิดเชิงบวกใน ทส่ี ดุ วิรตี ศรีอ่อน๑๓ กลา่ วถึง บันได ๕ ขนั้ สูก่ ารมองโลกเชิงบวก ว่าวิธีคิด เชิงบวกเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดข้ึนได้โดยอัตโนมัติ (นอกเสียจากว่าบุคคลนั้นได้รับการเลี้ยงดูและเติบโตน้ันขึ้นมาใน สภาพแวดล้อมท่ีดีมาก ทาให้กลายเป็นคนท่ีมองส่ิงต่าง ๆ ด้วยมุมมองทางบวกได้ทัน ที) เพราะเป็น การคดิ ท่ีต้องอาศัยการยกระดับความคิดข้ึนไปอีกข้ันหนึ่ง ดังนั้นจึงต้องอาศัยการฝึกฝนและพัฒนาอยู่ เสมอ บนั ไดขัน้ ท่ี ๑: มองตงั เองว่าดี การท่ีคนเราจะมองโลกหรือมองคนอื่นในแง่ดีได้ ต้องมาจากพื้นฐานที่มอง และ เชื่อว่าตนเองดีเสียก่อน เหมือนกับที่มีคากล่าวไว้ว่า “ถ้าท้องเราอิ่ม เราจงจะรู้จักแบ่งปน” ข้นั ตอนเพอ่ื การมองตัวเองว่าดี มดี ังตอ่ ไปนี้ - หาข้อดีของตนเองลองสารวจพิจารณาข้อดีของตนเอง (ไม่ใช่การเข้าข้างตัวเอง) อาจมีความดีเล็ก ๆ น้อย เช่น พาคนแก่ข้ามถนน ช่วยลูกนกท่ีตกต้นไม้ ฯลฯ เพ่ือให้เกิดความรักและ ความภาคภมู ใิ จในตนเอง - ถ่อมตัวการมองเห็นความดีของตนเองน้ันมีไว้เพื่อบอกตัวเราเองให้เกิดความพึง พอใจในตัวเอง รักตัวเอง แต่ไม่ใชเ่ พื่อข่มหรือคุยทับคนอ่ืน การถ่อมตัวจึงเป็นคุณสมบัติอย่างหน่ึงท่ีพึง จะมีคูก่ นั - ลดข้อบกพร่องเคยมีคากล่าวว่า“คนเราจะฉลาดได้ก็ต่อเม่ือรู้ว่าตัวเองโง่ตรงไหน” เชน่ เดยี วกนั การทเ่ี ราจะเปน็ คนทีน่ ่ารกั ได้ นอกจากจะรูจ้ ดุ แข็ง (ข้อดี) แล้ว ยังควรต้องสารวจจุดอ่อน ของตนเองด้วย เมือ่ เรายอมรบั ไดว้ า่ นน่ั คือข้อบกพร่องของเราจริงๆ ก็จะนาไปสู่การเปล่ียนแปลงได้ใน ทส่ี ุด - เพิ่มความดี แม้จะรู้ว่าตนมีข้อดีในด้านใดบ้าง ก็ไม่ควรหยุดตัวเองไว้เพียง แต่ควร เพ่ิมคุณสมบัติอน่ื ๆ ทดี่ ีให้มากยงิ่ ข้นึ อาจเรม่ิ ต้นด้วยการตง้ั เปู าหมายเป็นข้อๆ ว่าคุณอยากจะทาอะไร ดๆี เพม่ิ ข้ึนบา้ ง แลว้ คอยาๆฝึกฝนไปทีละข้อ ่ บันไดขั้นท่ี ๒: มองคนอ่นื วา่ ดี เม่ือผ่านบันไดขั้นแรกมาแล้ว จะทาให้เราเริ่มตระหนักว่าคนทุกคน ล้วนแตไ่ ม่สมบรู ณ์ ยอ่ มมีขอ้ บกพรอ่ งมากนอ้ ยแตกต่างกันออกไป (แม้แต่ตัวเองก็มีข้อเสีย) ดังนั้นการมี ๑๓ วริ ตี ศรอี อ่ น, Positive Thinking, นิตยสาร HELTH & CUISINE, 3(35): 41-46.

พทุ ธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๖๘ ชีวิตที่มี ความสุขจึงหมายถึงการอยู่ร่วมกันโดยเลือกมองและใช้ประโยชน์จากความดีที่ผู้อื่นมีอยู่ โดยไมใ่ ชก่ ารเสแสร้งแต่มองเห็นความดขี องเขาจริงๆ บันไดข้ันท่ี ๓: มองสิง่ ที่เหลืออยู่ ไมใ่ ช่สิ่งท่ีขาดหาย เม่ือเกิดปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ ส่ิงที่มักมองเห็นได้ชัดก็คือปัญหาน้ันๆเช่น เป็น มะเรง็ เศรษฐกิจไม่ดี แตก่ ารมองโลกเชิงบวกสอนให้เรามองความทุกข์หรือปัญหานั้นเป็นเรื่องธรรมดา (ส่งิ ที่เกดิ ขน้ึ แล้วย่อมกลบั ไปแก้ไขไมไ่ ด้) แลว้ พจิ ารณาดวู ่าในวกิ ฤตทิ ีเ่ ราพบนั้นมีข้อดีอะไรแฝง อยู่หรือ จะใช้ประโยชน์จากปัญหานั้นได้อย่างไรบ้าง เช่น ผู้ปุวยที่เป็นมะเร็งรู้สึกว่ารักตัวเองมากขึ้น เลิกทา อะไรไร้สาระแล้วหันมาให้ความสาคัญกับการพัฒนาจิตใจมากขึ้น เช่น ฝึกสมาธิ ช่วยเหลืองาน การ กุศล หรอื คนทปี่ ระสบปญั หาเศรษฐกิจ รู้สึกว่าแม้รายได้จะลดลง (ส่ิงท่ีขาดหาย) แต่ก็ได้มีเวลาอยู่ กับ ครอบครวั มากขึ้น และมีโอกาสทางานอดิเรกท่ไี ม่มเี วลาทา (ส่วนที่เหลอื อยู่) เปน็ ตน บนั ไดขัน้ ที่ ๔: หมน่ั บอกตัวเอง ขึ้นช่ือว่าเป็นความคิดมักจะอยู่กับเราไม่นาน แต่ความคิดก็มักเป็นต้นทางและบ่อ เกดิ ของการกระทา ดงั น้ันเราจงึ จาเปน็ ตอ้ งทาใหค้ วามคดิ ดี ๆ อยกู่ ับเราตลอดเวลา เช่น บอกตัวเองว่า เป็นคนเก่งทุกคร้ังท่ีทาอะไรสาเร็จ แม้จะเป็นเพียงความสาเร็จเล็ก น้อย บอกตัวเองว่าเพื่อนร่วมงาน ก็ เป็นคนดคี นหนึ่ง แม้เขาจะมขี อ้ บกพร่องอีกหลายอย่าง บอกตัวเองว่าเราโชคดีที่ได้ทางานยากๆ แม้ ค่าตอบแทนจะนอ้ ยแต่ก็ทาให้เราได้ประสบการณ์ทห่ี าไม่ได้งา่ ยๆ ฯลฯ บันไดข้นั ที่ ๕: ใช้ประโยชน์จากคาวา่ ขอบคณุ เคยมีคาสอนจากอาจารย์เซนท่านหน่ึงกล่าวว่า เม่ือต้องพบเจอเร่ืองร้าย จงยิ้มแล้ว กล่าวคาว่าขอบคุณ เพราะน่ันคือแบบทดสอบที่ดีของการมีชีวิตที่เข้มแข็ง หากคนด่าว่าคุณแทนท่ีจะ โต้ตอบการกล่าวคาว่าขอบคุณจะช่วยลดท่าทีความรุนแรงลงได้เกือบท้ังหมด ท้ังยังทาให้บุคคลนั้น แปลกใจ และอาจกลบั ไปพิจารณาพฤตกิ รรมของตวั เองได้โดยท่ีคณุ ไม่ต้องพูดอะไรสักคา มาคนิ และลินเลย์๑๔ ไดเ้ สนอ หลกั การสาคัญของการคดิ ด้านบวกไว้ ๕ ประการ ดังนี้ คอื ๑. ให้ยอมรับความสาเรจ็ ท่ีได้รบั จากความพยายามของตนเมอื่ มีใครชืน่ ชมก็ใหต้ อบ” ท่เี ขาชม ๒. มองใหช้ ัดเจนตรงประเดน็ ไม่สรุปแบบเหมารวม เราทุกคนลว้ นมีขอ้ ผิดพลาด บกพร่องเป็นธรรมดา ไมม่ ากกน็ อ้ ยแต่อย่าเหมารวมว่าอะไรกไ็ ม่ดหี รือบกพร่องไปท้งั หมด ๓. ให้ประเมินโอกาสที่จะเกิดเรื่องร้าย ๆ ตามความเป็นจริง พิจารณาให้ชัดเจนว่า จะมีเหตุปัจจัยใดบ้างที่จะทาให้เกิดเรื่องร้ายเหล่าน้ันข้ึน อย่าคิดแต่เพียงว่าเรื่องร้ายๆ ท้ังหลาย จะเกิดขึน้ อย่างแนน่ อน เพราะไมม่ ีใครทจ่ี ะเกิดเรื่องร้ายๆ เสมอไป ๔. จินตนาการถึงผลร้ายท่ีสุดท่ีจะเกิดข้ึนได้ เทคนิคน้ีใช้เม่ือกังวลว่าสิ่งที่หวังหรือ ต้ังใจไว้ไม่เป็นท่ีน่าพอใจเท่าท่ีควร โดยให้ถามตัวเองด้วยความสงบว่า “เหตุการณ์ร้ายแรงที่สุด ๑๔ นิลภา สอุ งั คะ, ผลของกระบวนการกลุม่ ทางจติ วทิ ยาแบบผสมผสานแนวคดิ มนษุ ยนิยมกบั ปญั ญา นยิ มตอ่ ความคดิ เชิงบวกและความสามารถในการเอาชนะอุปสรรค, วิทยานิพนธ์ วท.ม. (จิตวิทยาการปรกึ ษา), เชียงใหม่ : บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั เชียงใหม,่ ๒๕๕๐ หนา้ ๓๓.

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๖๙ ที่จะเกิดขึ้นได้คืออะไร” ในที่สุด ก็พบว่า ความจริงแล้วมันไม่ได้เลวร้ายจนเกินไป หลังจากน้ันให้คิด ต่อไป วา่ จะทาอย่างไรได้บ้าง เพือ่ ทจี่ ะลดผลร้ายที่จะเกดิ ขนึ้ แมเ้ พยงเลก็ น้อยก็ยงั ดี ๕. ทาใหด้ ที ีส่ ดุ แลว้ ทาใจใหส้ บายไมว่ า่ อะไรจะเกดิ ข้นึ เซลิกแมน๑๕ ได้เสนอรูปแบบ การอธิบายตนเอง (Explanatory Style) ในสถานการณ์ ตา่ งๆ ท่เี กิดข้ึนในชวี ติ ของบุคคลจากการ บรรยายตนเองนนั้ สามารถบ่งบอกได้ว่า เรามีมุมมองชีวิตใน ลกั ษณะใดเปน็ การมคี วามคิดเชิงบวก (มองโลกในแง่ดี) หรือการมีความคิดเชิงลบ (มองโลกในแง่ร้าย) จะเป็นสิง่ สาคญั ในการกาหนดการ พูดและการกระทาของคนท่ีมีความคิดเชิงบวกและความคิดเชิงลบ จะมกี ารรับร้เู หตกุ ารณ์แตกตา่ งกัน ตามลักษณะเหตุการณ์ รูปแบบที่ผู้คนใช้ในการอธิบายตนเอง เม่ือ ต้องเผชญิ หนา้ กับเหตุการณ์ต่าง ๆ ประกอบด้วยมิตทิ ี่สาคัญ ๓ มติ ิ ดังนี้ ๑. ความคงทนถาวร (Permanence) เป็นการอธิบายถึงตนเองด้วยความเช่ือท่ีว่าสาเหตุของ เหตุการณ์ต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนนั้น เป็นสาเหตุที่เกิดข้ึนถาวร (Permanence) หรือเป็นสาเหตุ ที่เกิดข้ึน ชั่วคราว (Temporary) หากเป็นเหตุการณ์ที่ดี คนท่ีมีความคิดเชิงบวก จะเช่ือว่าส่ิงดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับ ตนเองนั้น มาจากสาเหตทุ ีค่ งทนถาวร แต่คนที่มคี วามคดิ เชิงลบ จะเช่อื วา่ สิ่งดๆี ท่ีเกิดขึ้นกับตนเองน้ัน เป็นสิ่งท่ีเกิดขึ้นชั่วคราว เช่น คิดว่าเกิดจากอารมณ์ และความพยายามในขณะน้ัน คนท่ีมองโลก ในแง่ร้าย จงึ อาจจะล้มเลิกเมื่อประสบความสาเร็จ เนื่องจากเช่ือว่าความสาเร็จนั้นเป็นเร่ืองของความ บังเอิญหากเปน็ เหตกุ ารณท์ ไี่ ม่ดี คนท่ีมคี วามคิดเชิงบวกจะเชื่อว่าส่ิงท่ี ไม่ดีที่เกิดข้ึนกับตนเองนั้น เป็น ส่งิ ที่เกิดขึ้นชัว่ คราว จงึ ทาใหบ้ ุคคลในกลมุ่ นไี้ ม่ยอ่ ทอ้ ตอ่ อุปสรรค แต่คนท่ีมีความคิดในเชิงลบ จะ ยอม แพ้ต่ออุปสรรคได้อย่างง่ายดาย เพราะเช่ือว่าส่ิงที่ไม่ดีท่ีเกิดขึ้นกับตนเองนั้น เป็นส่ิงท่ีเกิดขึ้นอย่าง คงทนถาวรตลอดไป ๒. ความครอบคลุม (Pervasiveness) เป็นการอธิบายถึงตนเองด้วยความเช่ือท่ีว่า สาเหตุ ของสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตนเองนั้นมีความเฉพาะ (Specific) หรือเป็นส่ิงสากลท่ัวไป(Universal) หากเปน็ เหตกุ ารณ์ที่ดี คนท่ีมีความคิดเชิงบวก จะเชื่อว่าส่ิงท่ีดี ๆ ที่เกิดข้ึนกับตนเองน้ัน เป็นส่ิงสากล ทวั่ ไป แตค่ นทมี่ องโลกในแง่ร้าย จะเชื่อว่าส่ิงดีๆ ท่ีเกิดข้ึนกับตนเองนั้นมีสาเหตุมาจากปัจจัยท่ีมีความ เฉพาะเชน่ การได้เลอื่ นตาแหน่ง คนทีม่ คี วามคิดในเชิงบวกจะคดิ ว่าหากทางานให้ดีและมีประสิทธิภาพ ก็จะมีความเจริญก้าวหน้าในหน้าท่ีการทางาน ซ่ึงเป็นส่ิงสากลท่ัวไป แต่คนที่มีความคิดเชิงลบ จะคิด วา่ เพราะฉนั เก่งฉันจงึ ไดด้ ี ซง่ึ เปน็ การคดิ ท่อี ยบู่ นพ้นื ฐานความเช่ือท่ีว่า ผลท่ีเกิดขึ้นน้ัน มีสาเหตุเฉพาะ กับตนเองเท่าน้ันหากเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ดี คนท่ีมีความคิดเชิงบวก จะเชื่อว่าส่ิงท่ีไม่ดีท่ีเกิดขึ้นกับ ตนเองนน้ั เป็นสาเหตุที่เกดิ ขึน้ เฉพาะกบั เหตกุ ารณน์ ั้นเทา่ นน้ั แตค่ นท่ีมคี วามคดิ ในเชิงลบ จะเชื่อว่าส่ิง ท่ีไม่ดีที่เกิดขึ้นกับตนเองนั้น เป็นสาเหตุที่สากลท่ัวไป และสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกโอกาส เช่น ถ้าเกิด การทะเลาะกันกับเพ่ือน คนที่มีความคิดเชิงบวก จะคิดว่าวันน้ีท่ีเกิดเรื่องทะเลาะกัน เพราะเพื่อน อารมณ์ ไมด่ ี หรือเขาคงไม่ชอบใจท่ีฉนั ไปพูดเรอื่ งนีข้ ้ึน ส่วนคนที่คิดในเชิงลบ จะคิดว่าไม่มีใครชอบฉัน เลย หรือ เพ่อื นชอบมาหาเร่อื งฉันอย่เู รอื่ ยแบบนีท้ ุกคร้ังไป ๓. ความเป็นตนเอง (Personalization) เป็นการอธิบายถึงตนเองด้วยความเช่ือท่ีว่า สาเหตุ ของเหตกุ ารณ์ท่ีเกดิ ขึ้นนัน้ เกิดมาจากตนเอง (Internal) หรอื มาจากสาเหตุภายนอกตนเอง(External) ๑๕ เรวดี ทรงเทยี่ ง, การคดิ เชงิ บวก, วารสารดวงแกว้ , ๑๒ (๑) หน้า ๖๙-๗๖.

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๗๐ หรือจากคนอื่นหากเป็นเหตุการณ์ท่ีดี คนที่มีความคิดเชิงบวกจะเช่ือว่าสิ่งท่ีดี ๆ ที่เกิดข้ึนกับ ตนเอง น้นั มสี าเหตมุ าจากตนเอง แต่คนท่ีมีความคิดเชิงลบจะเชื่อว่าสิ่งที่ดี ๆ ท่ีเกิดขึ้นกับตนเองนั้นมี สาเหตุ มาจากภายนอกตนเอง เช่น ไปสมัครงานแล้วได้งานทา คนท่ีมีความคิดเชิงบวก จะคิดว่าเพราะ ตนเองสมคั รงานตรงตามสาขาท่ีเรียนมา และตรงตามความต้องการของบริษัท แต่คนที่มีความคิดเชิง ลบ จะคิดว่าเพราะตนเองดวงดีหรือโชคดี ซ่ึงเป็นสาเหตุจากภายนอกตนเองหากเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ดี คนที่มีความคิดเชิงบวกจะเช่ือว่าสิ่งไม่ดีท่ีเกิดข้ึนกับตนเองน้ัน เป็นส่ิงที่เกิดข้ึนจากสาเหตุภายนอก ตนเอง โดยวิเคราะห์จากเหตุการณ์ตามความจริงเพ่ือรักษาความภาคภูมิใจในตนเอง แต่คนท่ีมี ความคดิ เชิงลบ จะตาหนิตนเองว่าสาเหตทุ ่ีเกิดขนึ้ น้นั มาจากตนเอง ดังนั้น เมื่อประสบความล้มเหลว จะก่อใหเ้ กิดความรสู้ กึ ด้อยคุณคา่ ในตนเอง เช่นแมบ่ ้านท่ที าขนมเค้กทานเองแล้วไมอ่ ร่อย คนทมี่ ี ั ความคดิ เชิงบวก จะคิดว่าการท่ีขนมเค้กไม่อร่อยเพราะวัสดุท่ีใช้ด้อยคุณภาพ ส่วนคนท่ีมีความคิดเชิง ลบ จะคดิ วา่ ตนเองไม่เกง่ ไมม่ ีความสามารถอาจคิดต่อไปวา่ เลกิ ทาดกี ว่า จากท่กี ล่าวมาข้างต้น สรปุ ได้วา่ การคดิ เชิงบวกประกอบด้วยองค์ประกอบหลายประการ ต้องอาศยั การฝกึ ฝนและพฒั นาอย่เู สมอ ๔.๕ ลกั ษณะของบุคคลท่ีมีการคิดเชงิ บวก สกอ็ ตต์ เวนเทรลลา๑๖ กลา่ วถึง คาจากัดความของคุณลกั ษณะ ๑๐ ประการของนักคดิ ในแง่ บวก ไว้ดังน้ี ๑. การมองโลกในแงด่ ี (Optimism) หมายถงึ ความเชอ่ื และความคาดหวังว่าจะเกิด สง่ิ ที่ดี แมว้ า่ จะตกอยภู่ ายใต้สถานการณ์ท่ียาก ลาบาก ทา้ ทายหรือคบั ขันก็ตามที ๒. ความกระตือรือรน้ (Enthusiasm) หมายถงึ การมีความสนใจ พลงั ในแง่บวก แรง ปรารถนา หรอื แรงกระตุ้นส่วนตวั สูง ๓. ความเช่อื (Belief) หมายถึง ความเชอ่ื มนั่ และศรัทธาในตนเอง ต่อผู้อื่น และ/หรือ ต่อพลังอานาจทางจติ วญิ ญาณที่สูงกว่าซง่ึ คอยให้การสนบั สนนุ การชี้แนะแนวทางเมื่อคนๆ น้ันต้องการ ๔. ความยึดมั่นในคุณธรรม (Integrity) หมายถึง การกระทาภายใต้คาม่ันสัญญาท่ีมีต่อความ ซื่อสัตย์ ความเปิดเผย ความยุติธรรม ศีลธรรม จริยธรรมและกฎเกณฑ์ต่างๆ การกระทาในส่ิง ที่ ถูกตอ้ งถงึ แม้ว่าจะมีวธิ ีท่งี ่ายกว่าหรอื มีหนทางที่สะดวกสบายกว่า การใช้ชวี ติ ตามหรอื อยู่เพ่ือมาตรฐาน ของคนๆ นั้น ๕. ความกล้าหาญ (Courage) หมายถึง ความเต็มใจในการลองเสี่ยงและเอาชนะความกลัว แมเ้ มอื่ ผลลพั ธท์ ไ่ี ด้อาจจะไมแ่ นน่ อน ๖. ความม่ันใจ (Confidence) หมายถึงการมีความเช่ือมั่นในตนเองถึงความรู้ความสามารถ สมรรถภาพและศักยภาพของตนเอง ๑๖ สก็อตต์ เวนเทรลลา, อานุภาพแหง่ ความคิดเชิงบวก, แปลโดย วทิ ยา พลายมณี, กรงุ เทพมหานคร: เอ.อาร.์ บิซิเนส, ๒๕๔๕ หน้า ๓๔.

พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๗๑ ๗. ความมุ่งมั่น (Determination) หมายถึง การไล่ตามเปูาหมาย วัตถุประสงค์ หรือส่ิง ทจ่ี าเป็นในชวี ิตอยา่ งไม่รูจ้ กั เหนด็ เหนอ่ื ย ๘. ความอดทน (Patience) หมายถึง ความเต็มใจในการรอคอยโอกาส ความพร้อม หรือ ผลลพั ธ์จากการกระทาของตนเองหรือของผ้อู ืน่ ๙. ความสุขมุ (Calmness) หมายถึง การดารงไว้ซ่งึ ความเยือกเย็นและใฝุหาความพอเหมาะ พอควรในแตล่ ะวัน ในการโต้ตอบกบั ความยากลาบาก ความทา้ ทาย หรือวิกฤติการณ์ การ ใช้เวลาใน การโต้ตอบและคิด ๑๐. การสารวมความตั้งใจ (Focus) หมายถงึ การเอาใจใสจ่ ดจอ่ อยู่กับการกระทาใหบ้ รรลุ เปูาหมายและสงิ่ ทม่ี คี วามสาคัญตามลาดบั ก่อนหลงั คุณลักษณะ ๑๐ ประการของนกั คดิ ในแงบ่ วก อาจแบ่งไดเ้ ปน็ ๔ กลมุ่ ๑. พลังรวมศูนย์ (Centering Power) ประกอบดว้ ย ความเช่อื ความยึดม่นั ในคณุ ธรรมและ การสารวมความตง้ั ใจ ๒. พลังยกระดับ (Uplifting Power) ประกอบดว้ ย การมองโลกในแง่ดีและความ กระตือรือร้น ๓. พลังขับเคลอื่ น (Driving Power) ประกอบด้วยความมั่นใจ ความมุ่งมนั่ ความกลา้ หาญ ๔. พลงั หนว่ งเหนี่ยว (Holding Power) ประกอบด้วยความอดทนและความสุขุม พลังยกระดับ การมองโลกในแง่ดี ความกระตอื รือรน้ พลังรวมศูนย์ พลังขับเคล่อื น ความเช่ือ ความมน่ั ใจ ความยดึ ม่นั ในคณุ ธรรม ความมุง่ มนั่ การสารวมความตง้ั ใจ ความกล้าหาญ พลังหน่วงเหนยี่ ว ความอดทน

พทุ ธจิตวทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๗๒ ความสุขุม จากคณุ ลักษณะข้างต้น ถ้ามมี ากเกินไปหรือน้อยเกินไป จะยงั ความเสียหายมาสู่ตัวเอง ดงั ตาราง ๑ตาราง ๑ แสดงการเปรยี บเทียบคุณลกั ษณะ ๑๐ ประการ ของนกั คดิ แงบ่ วก มากเกินไป คณุ ลกั ษณะ น้อยเกนิ ไป ไมป่ ระสี ประสา เพ้อฟนั การมองโลกในแง่ดี มองโลกในแง่รา้ ย คดิ ในแง่ลบซมึ กระทือ ไม่นา่ สนใจ ไม่จริงใจ เสแสรง้ ความกระตือรือร้น โลเล ไมเ่ ดด็ ขาด ไม่มจี ริยธรรมเล่นไม่ซ่ือ งมงาย คล่ังไคล้ ความเชอ่ื ข้ขี ลาด ไมม่ คี วามหนักแน่น รูส้ กึ ไมม่ ่ันใจ อ่อนแอ ทอ้ แท้ คดิ เขา้ ขา้ งตวั เองวา่ ถกู ต้องเสมอ ความยดึ มัน่ ในคุณธรรม ลม้ เลิกไดโ้ ดยงา่ ย ทาอะไรลวก ๆ หุนหันพลนั แลน่ อารมณร์ ้อน โงเ่ ขลาตัดสนิ ใจไดแ้ ย่มาก ความกล้าหาญ อยู่ไม่เปน็ สขุ จับจด ไมเ่ ป็นระบบระเบียบ เยอ่ หยิ่ง หลงตัวเอง ความมน่ั ใจ ดอ้ื ดงึ ไม่มีความประนีประนอม ความมงุ่ มั่น ไม่เดด็ ขาดหัวอ่อน ความอดทน ข้เี กยี จ เฉื่อยชา ใจคบั แคบ ความสขุ ุม ไม่มองการณไ์ กล การสารวมความตัง้ ใจ เทอดศักดิ์ เดชคง๑๗ กล่าวถึงผู้ท่ีมีความคิดเชิงบวกว่า มีลักษณะเป็นบุคคลที่มองหาโอกาส จากอุปสรรคต่างๆ ที่พบเจอ เปิดใจยอมรับฟัง และพร้อมที่จะปรับปรุงตนเองให้ดีข้ึนไม่หลีกหนี ปัญหาและพยายามหาหนทางในการแก้ปัญหาเหลา่ น้ันให้สาเร็จลลุ วงไปดว้ ยดี วิทยา นาควัชระ (๒๕๔๓: ๔๔) กล่าวถึงคนที่มีการคิดเชิงบวกว่า เป็นคนอารมณ์ดี ม่ันใจใน ตนเองอย่างสร้างสรรค์ และมกี าลงั ใจท่ีจะต่อส้กู บั อุปสรรคเสมอ จากที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า ลักษณะของคนท่ีมีความคิดเชิงบวก มีดังต่อไปนี้การมอง โลกในแง่ดี ความกระตือรือร้น ความเชื่อ ความยึดมั่นในคุณธรรม ความกล้าเผชิญกับปัญหาและ อุปสรรค ความม่ันใจ ความมงุ่ ม่นั ความอดทน ความสุขมุ การสารวมความตั้งใจ ๔.๖ ลักษณะการคิดเชงิ บวก การทจี่ ะเกดิ การคดิ เชิงบวกไดน้ ้นั มีอยู่ ๗ ขนั้ ตอน ดงั น้ี ๑. นิยามสถานการณ์ คือ การมีความพยายามมากพอ ในการมองปญั หาให้ชัดเจนและ ครอบคลุม การกระทาดังกล่าวอาจใช้เวลาไม่ก่นี าที แตก่ ารกระทาพนื้ ๆ นีส้ ามารถ ๑.๑ ทาใหค้ ุณมีเปู าหมายในการทุ่มเทแรงกายและแรงใจได้อยา่ งชัดเจน ๑๗ เทอดศักดิ์ เดชคง, มดี บี ้างไหม?,กรุงเทพมหานคร : มติชน, ๒๕๔๗ หน้า ๑๑๕.

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๗๓ ๑.๒ ชว่ ยใหค้ ุณคลายวิตกกังวลเกยี่ วกับสถานการณ์นั้นๆ ๒. คณุ กาลังบอกอะไรกับตนเอง จากสถานการณ์ที่เป็นปัญหาส่วนตัว ซึ่งคุณเพ่ิงให้คาจากัดความไว้ คุณกาลังบอกอะไรกับ ตนเอง เช่นท่ีคุณรู้ความคิดของคุณเก่ียวกับสถานการณ์ที่กาลังเผชิญอาจช่วยเสริมหรือต่อต้านคุณได้ หากคิดในแง่บวกผลลัพธท์ ่ไี ด้จะเป็นไปในทางบวก หากคดิ ในแงล่ บผลลัพธท์ ่ีได้จะเป็นไปในทางลบ ๓. ผลลัพธ์ทีค่ ุณปรารถนาคืออะไร ต้องเข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ที่คุณกาลังรับมืออยู่ และมองมันในแง่บวก อย่างเหมาะสมและในแนวทางที่สร้างสรรค์ระบุผลลัพธ์ที่คุณปรารถนาจะได้ผลลัพธ์ควรจ ะเป็นไป ในทิศทาง ท่ีสามารถตรวจสอบและวัดผลได้ ควรจะเปน็ ผลลพั ธ์ท่ีตรวจวดั ได้ทง้ั ปรมิ าณและคุณภาพ ๔. คน้ อปุ นสิ ัยในเชงิ บวกของคน การจะประสบความสาเร็จในเปูาหมายที่วางไว้ต้องแยกแยะและกาจัดอุปสรรคทางทัศนคติ ในแงล่ บในขั้นตอนน้ีคุณจะสร้างส่ิงแวดล้อมท่ีอุดมสมบูรณ์ในการเก็บเก่ียวอุปนิสัยในแง่บวกที่มีอยู่ใน กายต้ังแต่เกดิ และพฒั นาเพ่ิมเติมขึ้นและสามารถ นามาใช้รับมือกับสถานการณ์ท่ีท้าทาย เพื่อช่วยให้ คณุ ไปถงึ เปาู หมายและวัตถุประสงคท์ ่วี างเอาไว้ วันเพ็ญ บุญประกอบ๑๘ กล่าวถึง การเลี้ยงลูกให้คิดเป็นและมองโลกในแง่ดี (optimistic or positive thinking) ไว้วา การมองโลกในแง่ดไี มไ่ ด้หมายความว่าจะเห็นอะไรดีไปหมดทุกอย่างแต่เป็น การมองทีส่ ถานการณห์ รือเหตกุ ารณต์ ามเปน็ จรงิ และอย่างถูกตอ้ งแนน่ อน เข้าใจถึงพ้ืนฐานของปัญหา และรู้ว่าปัญหาแต่ละอย่างน้ันมีสาเหตุได้หลายอย่างต่างๆ กัน พ่อ แม่ อยากให้ลูก เป็นคนเก่ง คนดี มีมนุษยสัมพันธ์ดี เอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ ปฏิบัติการงาน ได้สาเร็จ มีพลังผลักดันให้ก้าวหน้า รู้สึกตนมีคุณค่า นน้ั ยังไมเ่ พียงพอ จะต้องรู้จักคิดให้ดีและคิดให้เป็นด้วย เพราะจะเป็นพ้ืนฐานท่ีทาให้ตนมีความหมาย เพียรพยายามอดทนต่อไปได้ เม่ือพบอุปสรรคต้องไม่โทษตนเองเกินไป และไม่โทษ ผู้อื่น มีความ รบั ผดิ ชอบต่อเรอ่ื งน้นั และพยายามหาทางแก้ไขโดยไมย่ อ่ ทอ้ ไวว้ า ่ นภิ า แก้วศรงี าม๑๙ กลา่ วถงึ แนวทางการสรา้ ง Positive Thinking ด้วยตนเอง ไว้วา่ ๑. การรับรู้ตนเองและผู้อืน่ อยา่ งเหมาะสม ๑.๑ การรับรู้และยอมรับตนเอง เป็นการมองตนเองอย่างท่ีตนเป็นตนมี ไม่ ดูถกู ดหู ม่นิ ในส่ิงที่มีและเป็นอยู่ เพราะหากคนไมย่ อมรบั ตนเอง ใครทไี่ หนจะยอมรับเราการไม่ยอมรับ ถ่อมตนเอง และรับรู้ว่าตนเองด้อยค่า จะทาให้เกิดเป็นปมด้อย มีความท้อแท้มองตนและส่ิงท่ีตน เกี่ยวขอ้ ง ไปในทางลบ แต่ถา้ เรายอมรบั ว่าแม้เราอาจจะมีโอกาสไม่เท่าคนอ่ืน หรือมนุษย์เราเลือกเกิด ไม่ได้ แต่มนุษย์เลือกท่ีจะพัฒนาตนเองได้ สร้างโอกาสให้ตนเองได้ แต่อาจจะต้องเพียรพยายาม มากกว่าผทู้ ี่ มโี อกาสหรอื เกดิ มาเพียบพร้อมสมบูรณ์มากกว่าเรา คนเหล่าน้ีมีตัวอย่างให้เห็นอยู่มากไม่ วา่ จะสาเร็จการศกึ ษาในขณะทท่ี างานไปเรยี นไป สร้างหลักฐานชีวิตและสร้างธุรกิจมาจากจุดเร่ิมต้นท่ี ๑๘ วันเพ็ญ บญุ ประกอบ,จิตเวชเด็กสาหรบั กมุ ารแพทย์. ออนไลน.์ เข้าถึงจาก :mahidol/ra/rapc/s6.html. ๒๕๔๔: ๕๕-๖๘, สบื ค้นเม่อื ๘ ธนั วาคม ๒๕๕๙. ๑๙ นิภา แกว้ ศรีงาม, ความคิดเชงิ บวก (Positive Thinking) พงึ คดิ ว่าทกุ ปญั หามีทางออก ไมใ่ ช่ทกุ ทางออกเปน็ ปัญหา.วารสารวงการคร,ู ๒๕๔๗, ๑(๑๒) : ๗๖-๗๘.

พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๗๔ เป็นศูนย์ โดยมีความพร้อมและอารมณ์ท่ีมุ่งสู่จุดมุ่งหมายที่ดีงาม รู้คิด ปรับปรุงควบคุมและพัฒนา ตนเองในกลยุทธ์และวิธีการที่สร้างให้เกิดประโยชน์สุข ถือว่าเป็นความรับผิดชอบในชีวิตที่ตนเลือก และตดั สินใจ ๑.๒ การรับรู้และยอมรับบุคลอื่น บุคคลท่ีเราเป็นผู้เลือกและตัดสินใจท่ีจะ ไป เก่ียวข้องด้วย ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงานหรือลูกค้า ย่อมที่จะมีความแตกต่างกัน ไปใน แต่ละบุคคลซ่ึงอาจจะเป็นบุคคลที่มีลักษณะนิสัยที่สอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับเราก็ตาม คนเรา ควรท่ีจะเข้าใจในความคิดและลักษณะที่เป็นจริง ปรับตนและอารมณ์เชิงบวกเพื่อยอมรับใน ความเปน็ เขาเหลา่ น้นั ให้เกียรติและรับรู้สิ่งที่ดีงามที่ทุกคนมีอยู่ นิสัยที่ไม่ดีหรือส่ิงไม่ดีของเขาที่ไม่ได้ ส่งผลต่อ งาน หรือชีวิตเรา ก็น่าที่จะ “อุเบกขา” ได้บ้าง คิดว่าเขาบุคคลผู้น้ันรวมท้ัง บิดามารดรและ อาจารย์ของ เขานา่ จะรว่ มกันรับผดิ ชอบในส่งิ ทีไ่ มด่ นี ้ัน ๆ เอง ๒. การยอมรับและสร้างความภูมิใจในสังคมและงานของตน สร้างใจให้เกิดความ ภาคภมู ิใจในสงั คมและงานที่ตนเองตดั สินใจเขา้ ไปใช้ชีวติ อยู่ เพราะความภูมิใจจะก่อให้เกิดการพัฒนา ท่ีดี มีใจที่นั่นจะมีสมองคิดตามส่ิงที่ต้ังใจ ที่ใดมีสมองก็จะเกิดการกระทาตามสมองน้ัน สังคมจะได้รับ การพัฒนา คนเราจะพยายามพฒั นางานท่ีตนรกั อย่ตู ลอดเวลา จากที่กล่าวมาขา้ งตน้ สรปุ ได้ว่า ลกั ษณะการคดิ เชงิ บวก คือ การมองตนเองและผ้อู ่ืน รับรู้ และยอมรบั ส่งิ ต่างๆ ในสงิ่ ทเี่ ป็นจรงิ ๔.๗ ปัจจัยทม่ี ีอิทธิพลต่อการคดิ เชิงบวก ทรรศนะ บญุ ขวญั ๒๐ กลา่ วถงึ ปัจจยั ท่ีมอี ทิ ธิพลตอ่ การมองโลกดา้ นบวก มีดังนี้ ๑. พันธุกรรม นิสัยการมองโลกเชิงบวกมีเพียง ๒๕% เท่านั้น ท่ีถูกกาหนดมาจาก พันธุกรรม โดยบางคนเกิดมาพร้อมกับความร่าเริง แจ่มใส แต่บางคนก็เกิดมาพร้อมกับการมองโลก ดา้ นลบ ชอบวติ กกังวลและคดิ แง่ลบเสมอ ซ่ึงต้องใช้ความพยายามและต้องคิดอย่างรอบคอบในการท่ี จะเปลยี่ นความคิดให้เป็นบวก ๒. ประสบการณ์ การเลยี้ งดูและสภาพแวดลอ้ ม โดยมนุษย์ทุกคนย่อมต้องประสบ กบั สถานการณ์ที่มีท้ังแงด่ ีและแง่ลบ โดยสถานการณต์ ่างๆ ทพี่ บเจอนั้น มีอิทธิพลตอ่ รูปแบบของ อารมณ์ และการคิดซง่ึ บุคคลท่ีมองแง่ลบน้นั จะกลบั เขา้ สูส่ ภาวะบีบคั้นและหมดหวังได้ทันที แม้ว่าใน ตอนนัน้ เขาจะพบกบั เร่ืองท่ดี ี ๆ อย่กู ็ตาม สว่ นบคุ คลทม่ี องแงบ่ วก จะกลับเขา้ ส่คู วามร่าเรงิ และเป็น สุขดังเดมิ ได้ อยา่ งรวดเร็ว แม้ว่าจะประสบกับภาวะอาการปุวยหนัก หรือเร่อื งเลวรา้ ยอน่ื ๆ ๓. อายโุ ดยมากเมื่อยังเลก็ อย่เู รามกั จะมองอะไรตา่ งๆในแงบ่ วกเด็กๆ มักถูกจัดลาดับ ในการมองแง่บวกไวใ้ นระดบั ต้น ๆ และจะลดลงอยา่ งมนี ยั สาคญั เม่ือเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มสาว แต่ไม่ว่าจะ อายุเท่าใดกต็ าม กส็ ามารถฝกึ ฝนทกั ษะการคดิ เชงิ บวกให้เพม่ิ พูนข้นึ ได้ ๒๐ ทรรศนะ บุญขวญั , การจดั การเชงิ กลยุทธ.์ กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๙ หนา้ ๓๐ – ๓๔.

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๗๕ ๔. เพศ โดยท่ัวไปแล้วเพศหญิงจะมองโลกในแง่ดีมากกว่าเพศชาย แต่เพศหญิงก็มี นิสัยมองโลกในแง่ร้ายมากกว่าเพศชายด้วย ซึ่งจากผลการศึกษา พบว่า โดยเฉลี่ยเพศหญิงมีระดับ อารมณ์ท่ีหลากหลายมากกว่าเพศชาย กล่าวคือ เม่ือระดับอารมณ์ขึ้นสูง ก็จะสูงกว่าและเม่ือลงต่า ก็ จะต่ากว่า ซง่ึ การมองโลกจะเป็นไปในทิศทางใดนั้น กข็ ึ้นอยู่กับอารมณ์และสถานการณต์ ่าง ๆ ด้วย เทิดศักด์ิ เดชคง๒๑ กล่าวว่า การมองในด้านบวกข้ึนอยู่กับปัจจัยภายในของคนน้ัน ท่ี ผสมผสานกับปัจจยั ภายนอกทเ่ี ขาพบเจอ ึง่ สามารถแจกแจงได้ดังนี้ ๑. ปัจจัยพ้ืนฐานของร่างกาย (Physiologic Factor) โดยเฉพาะด้านความผ่อน คลาย การมคี วามสุขไดง้ า่ ย เดก็ ทารกบางคนอาจไม่โยเย อาจร้องเมื่อถูกขัดใจเพียงเวลาสั้นๆ ซ่ึงแสดง ถึง ความผ่อนคลายของระบบร่างกาย นักวิชาการเรียกว่าพวก High Vagal Tone ตรงกันข้ามเด็ก สมาธิ อารมณ์หงุดหงิดง่าย ร้องกวนแม้จะมีสาเหตุเพียงเล็กน้อย กินจุกจิก อิ่มง่าย หิวบ่อย จะนอนก็ ต่ืนงา่ ย หรือหลับๆ ตนื่ ๆ ปัจจยั พนื้ ฐานนีส้ ว่ นหนงึ่ อาจเปน็ ผลมาจากพันธุกรรม แต่บางครั้งก็ไม่สามารถใช้ เหตุผล ทาง ระบบพันธุกรรมมาอธิบายได้ ถ้าหากแนวคิดของการตายแล้วเกิดใหม่ หรือการสืบทอดของ พัฒนาการในแต่ละภพชาติมีอยู่จริง อิทธิพลของบุญกรรมอาจนามาซึ่งระบบร่างกายท่ีดีหรือไม่ดีใน ชาตนิ ีก้ ็ได้ เหมือนกับทพ่ี บว่าบางคนจิตใจอ่อนโยน ชอบทาความดี ทั้งที่พ่อแม่ก็ไม่ได้ส่ังสอนอะไรเป็น พิเศษ ๒. การเลี้ยงดูจากพ่อแม่ผลจากการเล้ียงดูน้ันเกิดได้จาก๒ กระบวนการ คือ การ อบรม สัง่ สอนอย่างตรงไปตรงมา โดยอาจเป็นการพดู แนะนา เชน่ กรณีสอบตกก็บอกว่ายังมีโอกาสแก้ ตัวใหม่ การยกตัวอย่าง การเล่านิทานสอนใจการสอนโดยทางอ้อม ได้แก การกระทาต่าง (ท่าทีเห็น ใจ ตบบ่าให้กาลังใจเมื่อลูกผิดหวัง) การเป็นแบบอย่างในการเผชิญปัญหาหรืออุปสรรค เช่น แม้จะมี หน้ีสิน แต่พ่อแม่ก็พยายามเก็บเงินเพ่ือปลดหน้ีอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมองว่าหนี้สินจะหมดไปใน ท่สี ดุ การเลี้ยงดูจากพ่อแมน่ เ้ี ป็นปจั จยั ทส่ี าคัญ ในการปรบั สมดุลให้เด็กมีความผ่อนคลาย สามารถมอง ในด้านบวก มองอนาคตในแง่ดี ซ่ึงจะทาให้มีกาลังใจในการเอาชนะปัญหาและอุปสรรค ต่อไป ตรงกันข้ามหากเล้ียงดูในสภาพของการตาหนิว่ากล่าว โดยไม่ให้โอกาสในการแก้ไขตนเอง การถูกสบ ประมาทหรือเอาเร่ืองเก่าท่ีไม่ดีมาพูดถึงอยู่เรื่อย ๆ ก็จะเป็นการสร้างความรู้สึกว่าตนเองด้อยค่า ขาดความเชื่อม่ันศรัทธาในตนเอง ซ่ึงคนที่ไม่ม่ันใจตนเองก็ย่อมมองตนเองในด้านลบ คนท่ีมองตนเอง ในด้านลบกย็ ากทจ่ี ะมองส่งิ อืน่ ๆในดา้ นบวก ๓. ประสบการณ์และการเรียนรูใ้ นสงั คมคาวา่ สังคมในท่นี อี้ าจเปน็ โรงเรียนวัด ชุมชน ซ่งึ มผี ลตอ่ การมโี ลกทศั น์ การทีส่ ่อื มวลชนอยา่ งหนงั สอื พิมพ์มีแต่ข่าวอันเลวร้าย ตัวอย่างท่ีไม่ดี ก็จะทาให้ ผู้อ่านคอยๆ ซึมซบั เอาความธรรมดาในการทาผดิ รวมทั้งการมองคนอ่นื ในด้านลบ หนักเข้าก็เป็นในทานอง “เราไม่ เอาเปรยี บเขา เขาก็เอาเปรยี บเรา” มกี ารทดลองในเด็กระดับประถมศึกษา โดยให้เด็กเหล่าน้ีได้ดูภาพยนตร์ท่ีมีความรุนแรงหลัง จากน้นั ได้ให้เด็กไปเล่นตุ๊กตาในอีกหอ้ งหน่งึ ปรากว่าเด็กท่ีผ่านการดูภาพยนตร์ท่ีมีความ รุนแรงก็จะมี ๒๑ เทิดศักด์ิ เดชคง. มีดีบา้ งไหม?, กรุงเทพมหานคร : มตชิ น, ๒๕๔๗ หน้า ๓๖-๓๘.

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๗๖ พฤติกรรมรุนแรงในการเล่นกับตุ๊กตา เช่น จะขว้างปา เหยียบ กระทืบ ผิดไปจากพฤติกรรม ปกติของ พวกเขา เด็กที่อารมณ์ร้อน เล่นรุนแรง ย่อมได้รับความรุนแรงกลับคืนมาด้วย เมื่อเหตุการณ์เกิดซ้าๆ กัน ก็จะเรียนรู้ความสัมพันธ์ในด้านลบกับคนรอบข้างการใช้ความรุนแรง การเอาเปรียบกันอย่างไรก็ ตามสิ่งแวดล้อมท่ีส่งผลด้านบวกก็มีอยู่ไม่น้อยรายการการ์ตูนที่สอนคุณธรรมการช่วยเหลือกัน การ ยอมรับและแก้ไขข้อผิดพลาดของตน ก็จะช่วยเสริมการเป็นคนรู้จักปรับปรุงตนเอง มองตนเองด้าน บวกวา่ จะดขี ้ึน เกง่ ขึน้ มองอนาคต ว่ามคี วามหวงั มกี าลงั ใจ สาหรับกลุ่มเพื่อนฝูง โรงเรียน ก็เป็นสิ่งท่ีมีอิทธิพลต่อเด็ก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือ กรณี ความขัดแย้งของนกั เรยี นอาชีวะ พวกเขาทาร้ายเพ่อื นตา่ งโรงเรียน มีการยกพวกตีกัน ทาร้าย ร่างกาย ด้วยอาวธุ ไม่วา่ เดก็ จะมีพื้นฐานดีชกั เพียงใด หากมาอย่ใู นส่งิ แวดล้อมแบบนี้ก็จะถูกโน้มน้าว ไปในทาง ทีใ่ ช้ความรนุ แรงไดง้ า่ ย นิภา แกว้ ศรงี าม๒๒ กลา่ ววา่ ผทู้ ่ีสร้างให้บุคคลเกิด Positive Thinking การส่งเสริม อบรมสั่ง สอนและสนับสนนุ ใหค้ นเราเกิดความคดิ ทด่ี ีเป็นพ้นื ฐานของการสร้างคณุ ภาพ ชีวิตน้ีคงจะไม่พ้นบุคคล ๒ กลมุ่ คือ พอ่ แม่ และครู ทีจ่ าตอ้ งดาเนนิ การ ๓ ขนั้ ตอน ดังตอ่ ไปนี้ ๑. เปน็ ผมู้ ีความคิดเชงิ บวก เป็นแบบอย่าง ๒. ใหค้ าแนะนาและคาวิจารณ์เชิงสรา้ งสรรค์ เพือ่ เปน็ แรงจูงใจใหเ้ กดิ การปรบั ปรงุ และพัฒนา ๓. ให้กาลง สนับสนุน และส่งเสริมความคิดเชิงบวกของลูกหลานและลูกศิษย์ เพ่ือส่ง เสริมแรงใหพ้ ัฒนาความคิดเชงิ บวกอยา่ งต่อเนื่อง คอื มิชิตา จาปาเทศ รอดสทุ ธิ๒๓ กลา่ ววา่ การคดิ บวกให้สาเร็จมีองค์ประกอบ ๑. ความเข้าใจว่าอะไร คือ การคิดบวก การไม่ทาให้ทั้งตัวเราเองและผู้อ่ืนเดือดร้อน นึกแตเ่ ร่อื งดีดีหรือนกึ แตข่ อ้ เทจ็ จรงิ ๒. ความชานาญในการเตอื นตวั เองให้คดบวก มีสตทิ ันหรอื ไม่ ในการระงับตัวเองใน การคดิ ลบ การเชา้ ใจเปน็ อยา่ งดีของการคดิ ลบ และรูช้ ดั ว่าคิดบวกดอี ยา่ งไร ๓. พฤติกรรมที่น่าจะเป็นของคนคิดบวก มิใช่เพียงแต่คิดบวกเท่าน้ัน คาพูดและการ กระทาก็ต้องเป็นบวก ๔. สภาพท่ัวไปทเี่ อ้ือตอ่ การคิดบวก การเลอื กสภาวะใกล้ตัวก็มีส่วนช่วย การหลบไป อยู่กับธรรมชาติก็เป็นการช่วยพักใจ สภาพประจาวันก็สาคัญ บ้าน ที่ทางาน อยู่กับสิ่งแวดล้อมท่ีเอื้อ ต่อการคดิ บวก ๒๒ นภิ า แกว้ ศรงี าม, ความคดิ เชิงบวก (Positive Thinking) พงึ คิดว่าทกุ ปญั หามีทางออก ไมใ่ ช่ทกุ ทางออกเปน็ ปญั หา, วารสารวงการครู, ๒๕๔๗, ๑(๑๒) : ๗๖-๗๘. ๒๓ มชิ ิตา จาปาเทศ รอดสุทธิ, “ดชั นีช้วี ัดความสขุ ” คอลัมน์ มากกว่าเงินตรา, ดอกเบีย้ ธุรกิจ ประจาเดือน มกราคม ๒๕๕๐ หนา้ ๓๒.

พทุ ธจติ วทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๗๗ จากท่ีกล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า ปัจจัยท่ีมีอิทธิพลก่อให้เกิดการคิดเชิงบวกมีหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ได้แก อายุ เพศ ประสบการณ์ การอบรมเล้ียงดูของพ่อแม่และการ อบรมสั่งสอนของครู ซง่ึ สง่ ผลใหเ้ กดิ การคดิ เชงิ บวกแก่เดก็ สรุปท้ายบท การคิดในแง่บวกหรือการคิดเชิงมองโลกสวย มองเห็นส่วนท่ีสร้างแรงพลังใจ เช่น การที่เข้า มาเรียนในมหาวทิ ยาลัยจะทาให้เรามโี ครงการตา่ งๆ ทาให้เรามีประสบการณ์และนาไปใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจาวัน การคิดดี คิดอย่างสร้างสรรค์การคิดดี ทาให้ชีวิตไม่เครียด เช่น ทิ้งขยะลงถังทาให้ลด มลพิษ การคดิ ในแงด่ วี ่าเม่อื อุปสรรคคอื ประสบการณ์ท่ีทาให้เกิดการเรียนรู้อีกวิธีหน่ึงการคิดในสิ่งดีๆ มองโลกในแง่ดี ไมอ่ คตติ อ่ ผู้อน่ื มองโลกในแงด่ ี ไมท่ กุ ข์ ไมเ่ ครียด มองบุคคลตัวอย่างคิดอย่างรอบคอบ ไม่มองโลกในแง่ร้ายคิดอย่างมีเหตุมีผลก่อน ฟังให้เข้าใจก่อนแล้วค่อยคิดว่าจะทาอย่างไรต่อไป คดิ อยา่ งมีระบบ คดิ อยา่ งมสี ติ ใช้สติในการตัดสนิ ใจ คดิ แต่สงิ่ ทด่ี ี สง่ ผลใหม้ จี ติ ใจดไี ปด้วย การสร้างความเช่ือมั่นและศรัทธาในพลังของตน เช่ือใน สิ่งดีงามและถูกต้อง และพยายามหามุมมองท่ีแตกต่างออกไปจากมุมมองท่ีเราเคยมองให้เป็นบวกคิด ในแง่ดี ไม่ด่วนสรุปกับปัญหาท่ีได้เจอ การมองการณ์ไกล มองโลกสดใส คิดว่าปัญหา คือบททดสอบ ของเรา ยิ้มกับปัญหาท่ีเกิดข้ึน(มีรูปย้ิม) คิดที่ไม่ทาให้ผู้อ่ืนเดือดร้อน ไม่ใช้อารมณ์ ไม่อคติ เม่ือเจอ ปัญหา ไม่โทษตัวเองหรือผู้อื่น คิดว่ามันไม่ใช่ความซวยแต่เป็นบททดสอบคิดแล้วมีความสุข ชีวิตจะมี คณุ ภาพ คดิ ในสงิ่ ดๆี ทีไ่ มส่ ่งผลเสยี ต่อตวั เองและผอู้ ่ืน คิดว่าปัญหามีทางแก้เสมอ การมองเห็นสิ่งดีๆ (ถึงแม้จะเล็กนอ้ ย)ในเร่ืองท่ีเลวร้ายได้คิดดีเมื่อเจอปัญหาไม่โทษตัวเองและผู้อ่ืน การพยายามคิดในส่ิง ท่ีดี ไม่ท้อแท้ น้อยใจในตนเอง ในการทางาน ทาประโยชน์ให้แก่ตนเอง เพ่ือให้ตนเองมีความสุขเมื่อ เจอปญั หาให้คดิ วา่ เราไดโ้ อกาส การคิดวางแผนที่ดี จะนาสู่ความสาเร็จมองทุกอย่างเป็นสิ่งสวยงาม ดี ทุกอยา่ ง ทกุ ส่ิงราบร่นื ไมค่ ิดในสง่ิ ที่ทาใหเ้ ราหม่นหมองจติ ใจ

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๗๘ คาถามท้ายบท

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๗๙ เอกสารอ้างองิ ประจาบท เกียรติวรรณ อมาตยกลุ , (๒๕๔๕), คดิ -ทา ด้านบวก, กรุงเทพมหานคร: ภาพพิมพ.์ ทรรศนะ บุญขวญั , (๒๕๔๙), การจดั การเชิงกลยทุ ธ์. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. เทิดศกั ดิ์ เดชคง, (๒๕๔๗), มีดีบา้ งไหม?, กรงุ เทพมหานคร : มติชน. นอร์แมน วินเนต์ พีลล,์ (๒๕๔๘), มหัศจรรย์แห่งการคดิ บวก, แปลโดย เอกชยั อศั วนฤนาท, กรงุ เทพมหานคร : ต้นไม้. นภิ า แกว้ ศรีงาม, (๒๕๔๗), ความคิดเชงิ บวก (Positive Thinking) พึงคิดว่าทกุ ปญั หามีทางออก ไม่ใชท่ กุ ทางออกเป็นปัญหา.วารสารวงการคร,ู ๑ (๑๒) : ๗๖-๗๘. นิลภา สอุ งั คะ, (๒๕๕๐), ผลของกระบวนการกลุ่มทางจติ วทิ ยาแบบผสมผสานแนวคดิ มนษุ ยนยิ ม กบั ปญั ญานิยมต่อความคิดเชิงบวกและความสามารถในการเอาชนะอปุ สรรค, วทิ ยานิพนธ์ วท.ม. (จิตวทิ ยาการปรึกษา), เชยี งใหม่ : บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่, หนา้ ๓๓. มชิ ิตา จาปาเทศ รอดสทุ ธิ, (๒๕๕๐), “ดชั นีช้ีวัดความสุข” คอลัมน์ มากกวา่ เงินตรา, ดอกเบย้ี ธรุ กจิ ประจาเดือน มกราคม. เรวดี ทรงเทยี่ ง, (๒๕๕๐), การคดิ เชงิ บวก, วารสารดวงแก้ว. วนั เพ็ญ บุญประกอบ, (๒๕๔๔), จิตเวชเด็กสาหรบั กุมารแพทย์, ออนไลน.์ เข้าถึงจาก :mahidol/ra/rapc/s6.html. ๕๕-๖๘, สืบคน้ เม่ือ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๙. วิทยา นาควัชระ, (๒๕๔๘), วิธีคิด ใชช้ วี ิตเปน็ สขุ , พิมพ์คร้ังที่ ๓, กรุงเทพมหานคร: กดู้ บุค. วิรตี ศรอี ่อน, (๒๕๔๖), Positive Thinking, นิตยสาร HELTH & CUISINE, 3(35): 41-46. เวรา ไพฟ์เฟอร์, (๒๕๔๘), การคิดแงบ่ วก, แปลโดย นจุ รยี ์ ชลคุป,กรุงเทพมหานคร : บอสสก์ ารพมิ พ.์ สก็อตต์ เวนเทรลลา, (๒๕๔๕), อานภุ าพแหง่ ความคดิ เชงิ บวก, แปลโดย วทิ ยา พลายมณี, กรงุ เทพมหานคร : เอ.อาร.์ บิซเิ นส. ออ้ ม ประนอม, (๒๕๔๘), พลงั คาสู่พลงั ใจ, กรุงเทพมหานคร : พิมพ์คา. English, Martin, (1992), How to Feel Great About Yourself and Your Life: A Step by Step Guide to Positive Thinking. New York: AMACOM. Seligman, M.E.P.et.al. (1997), Explanatory style change during Cognitive therapy for unipolar depression. Journal of abnormal Psychology.

บทท่ี ๕ การพฒั นาบคุ ลกิ ภาพ วัตถุประสงค์การเรียนรปู้ ระจาบท เม่อื ได้ศึกษาเน้ือหาในบทน้ีแลว้ ผเู้ รยี นสามารถ ๑. อธิบายความหมายของบุคลกิ ภาพได้ ๒. อธิบายปัจจยั ที่มีผลต่อบุคลิกภาพได้ ๓. อธิบายความสาคญั ของบคุ ลิกภาพได้ ๔. อธิบายทฤษฎีบุคลกิ ภาพได้ ขอบข่ายเนื้อหา  ความหมายของบุคลิกภาพ  ปัจจัยทม่ี ผี ลตอ่ บุคลิกภาพ  ความสาคัญของบคุ ลกิ ภาพ  ทฤษฎีบคุ ลิกภาพ

พุทธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๘๑ ๕.๑ ความนา บุคลิกภาพคือสิ่งท่ีทาให้แต่ละบุคคลมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว บุคลิกภาพจะมีลักษณะ แตกต่างกันออกไปตามพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และความพยายามท่ีจะปรับปรุงบุคลิกภาพของแต่ละ คน ผูท้ ีม่ บี ุคลกิ ภาพทีด่ ีย่อมได้เปรียบ เป็นที่ต้องตาตอ้ งใจแก่ผู้พบเหน็ ตลอดจนมักจะประสบผลสาเร็จ ในการสมคั รเขา้ ทางานและการประกอบอาชีพ บุคลิกภาพเป็นเร่ืองของภาพรวมท่ีตัวเราแสดงออกไป ท้ังท่ีรู้ตัวและไม่รู้ตัวโดยมีบุคคลอื่นมองอยู่หรือรู้สึกกับสิ่งท่ีเราแสดงออกจึงต้องมีการระมัดระวังและ ตกแต่งเสริมเติมให้บคุ ลกิ ภาพของเราย่ิงนา่ มอง และเป็นที่ประทับใจของคนรอบตวั มีผูก้ ลา่ วว่า “ไม่มีใครที่มีบุคลิกภาพดีไม่ได้และไม่มีใครมีบุคลิกภาพเลวร้ายไปหมดทุกอย่าง” ดังนนั้ บุคลกิ ภาพเรียนไดแ้ ละแก้ไขได้ เราพฒั นาลกั ษณะเฉพาะของตัวเราให้ดีข้ึนได้ บุคลิกภาพเป็นส่ิง ที่ไดจ้ ากประสบการณท์ ี่สะสมมา รวมท้งั สภาพแวดลอ้ มทางสังคมและการอบรมสั่งสอนจากครอบครัว จะแสดงออกทางสหี น้า ทา่ ทาง คาพูดหรอื กริ ิยามารยาทบุคคลที่มีนิสัยดีใจเย็น มีความเอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ มีมนุษยสัมพันธ์ดี สุภาพอ่อนโยน จะเป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพดี สุภาพ จะทาให้เกิดความมั่นใจในตนเอง อยู่ในสังคมอย่างเป็นสุขได้รับการยอมรับจากคนในสังคม จะเกิดความภาคภูมิใจในศักด์ิศรีของตน ในทางตรงกันขา้ ม ถา้ เป็นผทู้ กี่ ริ ยิ ามารยาทไม่สุภาพอ่อนโยน จิตใจแคบ ไม่มีความเอื้อเฟื้อต่อผู้อ่ืน ไม่ มมี นุษยสัมพนั ธก์ ับผอู้ ื่น จะไม่ได้รับการยอมรับจากคนในสังคม และทาให้ขาดความม่ันใจในตนเองใน ท่ีสุด ดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่าบุคลิกภาพ มีความสาคัญอย่างย่ิงที่จะช่วยทาให้บุคคลประสบ ความสาเรจ็ หรอื ความล้มเหลวในอาชีพได้ บุคลิกภาพจึงส่งผลต่อ “ความสาเร็จ” และ “ความล้มเหลว” ของตนเองและองค์กร เพราะ บุคคลทมี่ ีความสามารถและตาแหน่งสงู ย่อมตอ้ งทางานรว่ มกบั คนอ่ืน ๆ ได้ สามารถโน้มน้าวจิตใจให้ผู้ ท่ีติดต่อด้วยรู้สึกพอใจ เกิดความนิยมชมชอบ รู้สึกประทับใจ ยินดีร่วมมือด้วยความเต็มใจ ก็จะทาให้ การทางานร่วมกันประสบความสาเร็จ ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ เกิดประโยชน์ร่วมกันต่อตนเอง เพอ่ื นร่วมงานและองค์กร ดงั น้นั การที่บคุ คลจะได้รับการยอมรบั นบั ถือ การสนับสนนุ ความไวว้ างใจและความประทับใจ จากผู้อื่น ควรแสดงบุคลิกภาพท่ีดีและเหมาะสมให้ผู้อ่ืนเห็น ซ่ึงประกอบไปด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น จิตวิทยาดี อารมณ์คงที่ คาพูดที่จริงใจ การยืน การเดิน การนั่ง การวางท่าทีให้ดูเป็นธรรมชาติ เพราะบคุ ลิกมอี ทิ ธพิ ลตอ่ ความรู้สึกของผูท้ ี่พบเหน็ เป็นอย่างยง่ิ ๕.๒ ความหมายของบคุ ลกิ ภาพ บุคลิกภาพ หรือ ภาษาอังกฤษ “Personality” มีรากศัพทมาจากภาษาลาตินว า “Persona” ที่แปลวา “หนากาก” ซ่ึงตัวละครคลาสสิกของกรีกใชสวมเวลาจะออกแสดง ตัวละคร แตล่ ะตวั ต่างก็มี หนากากที่จะต้องสวมใส หรือมบี ทบาททีจ่ ะตองแสดง อาจกลาวไดวาหนากากเปนตัว กาหนดรากฐาน สาคัญของบคุ ลิกภาพของแตละตวั ละคร

พทุ ธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๘๒ บคุ ลิกภาพ (Personality) เดิมเคยใชค้ าวา่ บุคลิกลักษณะ หมายถึง ลกั ษณะของบุคคล ทา ให้ความหมายแคบไป คาว่า ลกั ษณะ เนน้ ไปท่ี รูปรา่ ง หนา้ ตา ท่าทางภายนอกมากกว่า แต่จริง ๆ แล้วบุคลกิ ภาพยงั มีความหมายรวมถึงสงิ่ ท่ไี ม่สามารถมองเหน็ ได้ เช่น สตปิ ัญญา และนสิ ัยใจคอ แต่ ปัจจุบนั นยิ มใช้ทวั่ ไปวา่ “บุคลิกภาพ” หรอื เรยี กกนั ในบางโอกาสวา่ “บุคลิก” นั่นเอง๑ บุคลิกภาพ มาจากคาว่า Person ซึ่งมาจากรากศัพท์ภาษาลาตินว่า Persona หมายถึง หน้ากากท่ีตัวละครสวมเล่นละครหรือแสดงบนเวทีในสมัยกรีกโบราณ เพ่ือแสดงไปตามบทบาทที่ถูก กาหนด คาว่าบุคลิกภาพเป็นคาทไ่ี ดร้ บั การกลา่ วถึงและปรากฏอยู่ทว่ั ไป บุคลิกภาพในความหมายเชิงวิชาการ ไดมีนักจิตวิทยาและนักวิชาการนาเสนอไวมากมาย ซ่ึง แตละคนกน็ ิยามตางกนั ออกไปตามแนวความคิด มุมมองที่ตนเชอ่ื ถือ ฮิลการด๒ กลาววา บุคลิกภาพ คือ ผลรวมของลักษณะตางๆ ของแต่ละบุคคล ซ่ึงการแสดง พฤติกรรมตาง ๆ กค็ ือผลรวมของการปรบั ตัวตอสภาพแวดลอมของบุคคลนั้น ออลพอรท๓ ไดกลาวถงึ บุคลิกภาพวา เปนการจดั ระเบียบในการเปล่ียนแปลงของแตละบุคคล ซึ่งเกีย่ วกบั ระบบรางกายและจิตใจ ซ่งึ นาไปสูการ ปรบั ตัวของบุคคลใหเขากบั โลกภายนอก กิลฟอรด๔ กลาววาบุคลิกภาพเปน เอกลักษณท่ีแสดงออกถึงลักษณะของแตละบุคคล โดย กาหนดแผนการเกีย่ วกบั การแสดงปฏิกิรยิ าตอ สภาพแวดลอม แคทแทล๕ กลาววา บุคลิกภาพคือ ส่ิงที่ชวยใหสามารถทานายไดวาใน สถานการณที่เกิดขึ้น บุคคลจะแสดงพฤติกรรมอยางไร และบุคลิกภาพจะเก่ียวของกับพฤติกรรมทุกชนิด ท้ังพฤติกรรม ภายนอกและพฤติกรรมภายใน ซึ่งพฤติกรรมภายใน แคทแทลเรียกอีกอยางหน่ึงวาลักษณะนิสัย (Trait) นอลล์๖ ใหค้ วามหมายไวว้ า่ บคุ ลิกภาพ หมายถึง ลกั ษณะทุกอยา่ งในตวั บคุ คลซ่ึงเป็นผลรวม ของอปุ นิสยั และพฤตกิ รรม บุคลกิ ภาพน้นั บอกใหท้ ราบไดว้ ่า คนนน้ั คิดอะไรและรู้สึกอย่างไร สมธิ ซาราสนั และซาราสัน๗ กลา่ วถึงบุคลิกภาพว่า ๑ เดโช สวนานนท,์ พมิ พลักษณ,์ กรงุ เทพมหานคร : โอเดยี นสโตร,์ ๒๕๑๘, หนา้ ๒๓. ๒ Hilgard, Introduction to Psychology, New York: Harcourt, Brace and World Inc. 1962, p.447. ๓ Allport, 1995 อางใน สรุ างค โควตระกลู , จติ วทิ ยาการศึกษา, พิมพ์คร้งั ท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๓๗, หนา้ ๑๙. ๔ Guilford, 1975 อางใน วฒั นา พัชราวนชิ , หลกั การแนะแนว, กรงุ เทพมหานคร: หนว่ ยศึกษานเิ ทศก์ กรมการฝกึ หัดครูกระทรวงศกึ ษาธกิ าร, ๒๕๓๑, หน้า ๘๓ -๘๔. ๕ Cattell, R.B., Personality : A Systematic Theoretical and Factual Study, New York : McGrew Hill, 1977, p,261. ๖ Noll, Victor H., Introduction to Educational Measurement. 2d ed. Boston :Houghton Miflin. 1951, p,26.

พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๘๓ หมายถงึ การรบั รู้พฤติกรรมรวมท้ังหมดของบุคคลใดบุคคลหนง่ึ ทง้ั ในสงิ่ ท่มี องเหน็ ได้ และสิ่งทมี่ องไม่ เห็นซง่ึ จะทาให้บคุ คลอ่นื สามารถทจ่ี ะเข้าใจและแยกแยะความแตกต่างของบุคคลนน้ั จากบุคคลอ่นื ได้ ฟลิ ลปิ จ.ี ซิมบาร์โด และฟลอยด์ แอล.รูช๘ อธิบายว่าบุคลิกภาพเป็นผลรวมของลักษณะเชิง จิตวิทยาของบุคคลแต่ละคน มีผลต่อการแสดงออกซ่ึงพฤติกรรมหลากหลายของบุคคลน้ัน ท้ังส่วนท่ี เป็นลักษณะภายนอกท่ีสังเกตได้ง่าย และพฤติกรรมภายในที่สังเกตได้ยาก ลักษณะที่หลากหลาย ดงั กล่าวส่งผลใหบ้ คุ คลแสดงออกต่างกนั ในแต่ละสถานการณ์และชว่ งเวลา เชิดศักดิ์ โฆวาสินธุ์๙ ให้ความหมายว่า บุคลิกภาพเป็นลักษณะนิสัย (Traits) ที่รวมกัน เป็นแบบฉบับเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลและเป็นส่ิงท่ีย้าให้เห็นความแตกต่างระหว่างบุคคลซ่ึง พิจารณาได้จากรูปแบบพฤติกรรมของบุคคลน้ันที่แสดงออกหรือตอบสนอง (Interaction) ต่อ สงิ่ แวดลอ้ ม นิภา นธิ ยายน๑๐ ไดใ้ หค้ าจากดั ความของบุคลิกภาพวา่ ครอบคลมุ ความหมาย ๒ ประการ คอื ๑. เป็นความหมายที่แสดงถึงทักษะทางสังคมหรือความคล่องตัว เป็นความสามารถในการ ตอบสนองกบั บุคคลต่าง ๆ ในสงิ่ แวดล้อมทแี่ ตกต่างกันไป ในความหมายน้ีบุคลิกภาพสามารถฝึกฝนได้ ๒. พิจารณาบุคลิกภาพในลักษณะเป็นสิ่งท่ีติดตัวมาและแสดงออก หรือสร้างความรู้สึก ประทบั ใจกับบคุ คลอนื่ ท่ีเขาติดต่อดว้ ย ซึ่งบุคคลที่ติดต่อด้วยจะมีความคิดเห็นต่อบุคคลนั้นในลักษณะ ต่าง ๆ เช่น บุคลิกภาพก้าวร้าว (Aggressive Personality) บุคลิกภาพยอมตามผู้อ่ืน (Submissive Personality) กระทรวงศึกษาธิการ๑๑ ได้ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึง ลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละคนท่ีทา ใหเ้ รามคี วามแตกต่างจากคนอื่น บุคลิกภาพ หมายถึง การผสมผสานคุณลักษณะภายนอก เชน รูปรางหนาตา กริยาทาทาง การวางตวั พฤตกิ รรมตาง ๆ กบั คณุ ลักษณะภายใน เชน ความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ คานิยม อารมณ ที่มาหลอมรวมกันเปนแบบอยางเฉพาะของบคุ คล ซึ่งทาใหแตละคนมบี ุคลิกภาพท่ีตางกันออกไป จนมี ลกั ษณะเปนเอกลักษณเฉพาะตน บุคลิกภาพของแต่ละคนจะเป็นสิ่งประจาตัวของคนคนนั้น ท่ีทาให้แตกต่างจากคนอ่ืนและมี หลายส่ิงหลายอย่างท่ีจะประกอบกันทาให้คนแต่ละคนมีบุคลิกภาพเป็นของตัวเอง ทั้งส่วนท่ีมองเห็น ๗ Smith R.E., Sarason, I.G. and Sarason, B.R. (1982). Psychology : The Frontiers. 1982, p.412. ๘ ฟลิ ลปิ จี. ซมิ บาร์โด และฟลอยด์ แอล.รูช (Zimbardo and Ruch ๑๙๘๐ : ๒๙๒) ๙ เชดิ ศักดิ์ โฆวาสนิ ธุ์, การวัดทัศนคติและบคุ ลกิ ภาพ, สานกั ทดสอบทางการศึกษาและ จิตวทิ ยา มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, ๒๕๒๐, หนา้ ๓. ๑๐ นิภา นธิ ยายน, การปรบั ตัวและบคุ ลกิ ภาพ, กรงุ เทพมหานคร: โอเอสพริ้นติ้งส์, ๒๕๓๐, หน้า ๒๗. ๑๑ กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๓๐)

พทุ ธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๘๔ จากภายนอก ได้แก่ รูปร่าง หน้าตา กิริยาท่าทางต่าง ๆ และท่ีมองไม่เห็น เช่น ความรู้สึกนึกคิด ทศั นคติ เปน็ ต้น ดังนั้น บุคลิกภาพจึงเปนลักษณะเฉพาะตัวบุคคล ไมมีใครในโลกที่มีบุคลิกภาพเหมือนกัน แมแตคูแฝดทเ่ี กิดจากไข และสเปรมเดยี วกันก็มีบคุ ลกิ ภาพทแ่ี ตกตางกัน ๕.๓ ปจจยั ท่ีมีอิทธพิ ลตอบุคลกิ ภาพ บคุ ลกิ ภาพของคนเราจะเปนอยางไรนน้ั ขึ้นอยูกบั ปจจัย ๒ ประการ คือ ๑. พันธุกรรม ๒. สภาพแวดลอม ที่มีอิทธิพลต่อการเกิดบุคลิกภาพของมนุษย์ อันได้แก่ พันธุกรรม และสงิ่ แวดล้อม ๑. พนั ธกุ รรม หมายถึง ส่ิงที่ถายทอดมาจากบรรพบุรุษ และเปนปจจัยที่สงผลในการกาหนด พ้ืนฐานของบุคลิกภาพในขั้นตนท่ีคอนขางชัดเจน อันไดแก รูปราง ลักษณะของสีผิว สีผม สีตา ลักษณะ ของโครงกระดูก โครงสรางของจมูก ปาก น้ิวมือ สัดสวน ความแข็งแรงของรางกาย และ กลามเนื้อ กลุมเลือด เพศและลักษณะประจาเพศ โรคตาง ๆ รวมถึงเชาวนปญญาและความถนัด เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมใด ๆ ท้ังสิ้น บุคคลได้รับการถ่ายทอดกรรมพันธ์ุโดยผ่านทางยีน (Genes) ดว้ ยวิธกี ารสบื พันธ์ุจากบรรพบรุ ุษมาสลู่ กู หลาน ๒. สภาพแวดลอม หมายถึง ส่ิงตางๆ ท่ีอยูรอบตัวเราไมวาจะเปนกลุมคน ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมตางๆ คานยิ ม ความเชอ่ื ทัศนคติ คาส่ังสอน การอบรมเลี้ยงดู ฯลฯ ท่ีบุคคลไดรับ ซ่งึ จะเปนปจจยั ทส่ี งผลตอการปรุงแตงพ้ืนฐานของบคุ ลกิ ภาพท่ไี ดมาจากพันธุกรรมใหดีขึ้น หรือเลวลง สภาพแวดลอมท่มี ีอิทธพิ ลตอบุคลกิ ภาพ แบงเปน ๓ ประเภท คือ ๒.๑ สภาพแวดลอมภายในครรภมารดา ในขณะท่ีทารกอยูในครรภมารดาตลอด ระยะเวลา ๙ เดือน นั้น สุขภาพและการดูแลทารกภายในครรภของมารดาเปนปจจัยหลักท่ีสงผล ตอพัฒนาการ และ บุคลิกภาพของเด็กภายหลังจากคลอดออกมาแลว ไดแก ภาวะโภชนาการของแม การไดรับรังสี โรค ประจาตัวและโรคที่มารดาไดรับขณะต้ังครรภ ยาท่ีรับประทาน การด่ืมเครื่องด่ืมที่ ผสมแอลกอฮอลและ การสูบบุหร่ี อายุของแม ภาวะหมูเลือดท่ีเปน Rh factor อารมณของมารดา และภาวะการณมบี ุตรหลายคน ๒.๒ ส่งิ แวดลอมขณะคลอด เมื่อทารกครบกาหนดคลอดแลว ในขณะทาคลอดทารก อาจไดรบั ความกระทบกระเทือนจากเครื่องมือท่ีชวยในการทาคลอด ทาใหสมองทารกไดรับอันตราย เกิดภาวะสมอง ขาดออกซเิ จน หรอื การตดิ เชื้อระหวางทาคลอดซึ่งจะสงผลตอบคุ ลกิ ภาพในภายหลงั ๒.๓ ส่ิงแวดลอมหลังคลอด เม่ือทารกคลอดออกจากครรภมารดาแลว ทารกตอง เรยี นรูและ ปรบั ตัวตอสิ่งแวดลอมทต่ี นเขาไปเก่ียวของ ซ่ึงจะกลายมาเปนประสบการณอยางหนึ่งของ ชีวติ ท่ีมีอทิ ธพิ ลตอบคุ ลิกภาพ ประสบการณของชีวติ แบงเปน ๒ ประเภท คือ ก. ประสบการณรวม (Common Experience) คือ ประสบการณธรรมดา ทวั่ ๆ ไป ที่คนในสังคมไดรบั เหมอื นๆ กนั ไดแก

พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๘๕ - ขนมธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม เด็กจะถูกหล อหลอมให มี บุคลิกภาพตาม ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมภายในสังคมของเขาตั้งแตแรกเริ่มของชีวิต ไมวาจะเปนแนวความ - คดิ ทัศนคติ มารยาทในสังคม การแสดงออก ตลอดจนการดาเนินชวี ติ ใน ลักษณะตาง ๆ อีกมากมาย เชน ไมควรแตงกายดวยชุดสีดาเมอ่ื ไปงานมงคล คนนบั ถอื ศาสนาอิสลาม จะทาละมาดวันละ ๕ ครง้ั คนนบั ถอื ศาสนาพุทธจะนิยมทาบญุ ตกั บาตร สวดมนตไหวพระ ตองกลา หาญเขมแขง็ - บทบาทตามเพศ เชน ผูหญิงไทยตองรกั นวลสงวนตัว มีความออนหวาน ชายไทย - ประสบการณในบทบาทอาชีพลักษณะงาน เชน เปนครูอาจารยตองใผหา ความรู มีเมตตาตอลูกศิษย เปนแพทยพยาบาลตองมจี ิตใจเมตตาตอคนไข รักษาดวยความจรงิ ใจไม รังเกียจ - สภาพถ่ินที่อยู อาศัย หมายถึง ดินฟ าอากาศ สภาพทางภูมิศาสตร ของแตละทองถิ่นจะมีผลทาใหบุคคลมีนิสัยใจคอในการดาเนินชีวิตตางกัน มีความขยันหมั่นเพียร ความอดทน แตกตางกัน เชน คนไทยในภาคใตพูดเร็วชอบทานอาหารรสจัด รักพวกพอง คนไทยใน ภาคเหนือพดู จา ไพเราะแตมีลกั ษณะเอื้อนคาทาใหดชู า ใจเย็น ข. ประสบการณเฉพาะ (Unique Experience) คือ ประสบการณที่แตละ คนไดรับมา โดยผูอนื่ ไมอาจจะประสบเชนเดียวกนั กบั เรา เชน - การอบรมเลี้ยงดู การอบรมเลี้ยงดูของบิดามารดาในแตละครอบครัว จะแตกตางกันไปตามความเชื่อและความปรารถนาของบิดามารดา ซ่ึงมีอิทธิพลตอพฤติกรรมและ บุคลกิ ภาพของเดก็ ที่ แตกตางกัน เชน บานท่ีเลี้ยงดูแบบประคบประหงบมากเกินไป จะทาใหเด็กขาด ความรับผิดชอบ อดทนนอย เอาแตใจตนเอง และมกั พ่งึ ตนเองไมไดเ้ ปนตน - สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม เปนสิ่งซึ่งทาใหโอกาสของบุคคลไม เทาเทยี มกนั มีผลทาใหเกดิ ความแตกตางท้ังดานความคิด ความเช่ือ ทัศนคติ ตลอดจนการแสดงออก เชน เด็กที่ทาง บานมีฐานะํร่ารวยมักจะชวยเหลือตนเองไมเกง ใชจายฟุมเฟอย ขาดความอดทน สวนเด็กท่ีทางบานมี ฐานะยากจนมกั จะมคี วามอดทน รูจกั ตอสู เหน็ คณุ คาของเงิน - การรับรูตนเองจากผูอ่ืน เรารับรูตนเองไดจากผูอ่ืนบอก หรือผูอ่ืนปฏิบัติ ตอเรา เชน การท่ีบคุ คลรอบขางแสดงออกหรือบอกวาเราเปนคนโง เราก็จะเกิดการดูถูกตนเอง ไมเช่ือ และไมใชความสามารถของตนเองที่มีอยูใหเต็มที่ เปนผลทาใหเกิดความลมเหลวบอยๆ จึงทาใหเกิด การตอกยา้ ความรูสึกวาตนเองเปนคนโงจริงๆ ดงั น้ัน การแสดงออกกจ็ ะเปนไปตามการรับรูของตนเอง และกลายมาเปนสวนหน่ึงของบคุ ลกิ ภาพ จะเห็นไดวา ท้ังพันธุกรรมและสภาพแวดล อมตางมีบทบาทสาคัญในการหล อหลอม บุคลิกภาพ ของคนแตละคนใหมีความแตกตางกัน โดยสิ่งท่ีถายทอดผานทางพันธุกรรมเปนรากฐาน สาคัญในการกาหนดบุคลิกภาพ และอาศัยสภาพแวดลอมเปนตัวขัดเกลาพัฒนา และเสริมสราง บคุ ลิกภาพใหเปนไปในแนวทางทส่ี ังคมตองการ

พทุ ธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๘๖ ๕.๔ ความสาคัญของบคุ ลิกภาพ บคุ ลิกภาพมีความสาคญั ตอการดารงชวี ติ ของมนษุ ยในสังคมทุกยุคทุกสมัยโดยเฉพาะอยางย่ิง ในสังคมปจจุบันที่มีการแขงขันกันสูงขึ้น บุคลิกภาพจึงเปรียบเสมือนใบเบิกทางที่จะนาเราไป สูความสาเร็จ ตามที่คาดหวงั ไว ดังนั้น บคุ ลกิ ภาพจึงมคี วามสาคญั ดงั นี้ ๑) บคุ ลกิ ภาพมีผลตอการยอมรบั และการปรบั ตัวใหเขากับคนอ่นื ๆ บุคลิกภาพมีสวนสาคัญในการชวยใหบุคคลสามารถปรับตัวเขากับบุคคลอื่นๆ และสราง สัมพันธภาพท่ีดีตอกันได เชน คนท่ีมีบุคลิกภาพเอ้ือเฟอเผ่ือแผ มีน้าใจ อดทน เสียสละ รูจักมารยาท กย็ อมจะเปนที่ช่นื ชอบและยอมรับจากคนท่วั ๆ ไป ดงั นนั้ การท่ีจะปรับตัวใหเขากับคนอื่นๆ ยอมทาได งาย ๒) บคุ ลกิ ภาพมผี ลตอความสาเร็จในชวี ติ ผูท่ีมีบุคลิกภาพดียอมไดเปรียบคนอื่นๆ เสมอ ไมวาจะเปนการเรียน การทางาน การเลือก คูครอง การเลอื กผูนา ฯลฯ เพราะจะทาใหเกิดการยอมรับ เกิดความเชื่อมั่น และศรัทธาจากผูพบเห็น เชน นักศึกษาที่แตงกายดวยเคร่ืองแบบนักศึกษาที่ถูกตอง ยอมทาใหครูอาจารยเกิดความเอ็นดู รูสึก วา่ นักศกึ ษาเปนคนเรยี บรอย นารกั เมื่อนักศึกษามาขอความชวยเหลือตางๆ มักจะเปนไปโดยงาย ๓) บุคลิกภาพมีผลตอการตระหนักในเอกลักษณ และการยอมรับความแตกตาง ระหวาง บุคคล เนอื่ งจากบุคลกิ ภาพเปนลักษณะเฉพาะของแตละบุคคล จึงชวยใหเราสามารถจดจาและเขาใจ บุคคลแตละคนไดเปนอยางดี ตลอดจนรูวิธีที่จะปรับตัวใหเขากับคนเหลาน้ันได จึงทาใหเกิดความ สัมพันธอันดีตอกันในสังคมและลักษณะเฉพาะบางอย างของบุคคลสามารถเปนตนแบบของ บุคลิกภาพที่ดีได เชน ความอดทน ขยัน ซ่ือสัตย รับผิดชอบ จึงสมควรไดรับการยกยองและสงเสริม ใหคนรุนหลงั ไดยดึ ถือเปนแบบอยาง เพ่ือเปนมาตรฐานของสังคมอันจะทาใหสังคมน้ันๆ มีประชากรท่ี มีคุณภาพ ๕.๕ ทฤษฎบี ุคลกิ ภาพ ศรเี รือน แกวกงั วาล๑๒ กลาววา ในวงการจิตวิทยา การศึกษาบุคลิกภาพ คือ การศึกษาความ คงท่ี (Consistency) ความซับซอน (Complexity) ความหลากหลาย และความเปนเอกลักษณ เฉพาะตัวของบุคคลและกลุมบุคคล การศึกษาบุคลิกภาพท้ังในศาสตรจิตวิทยา และศาสตรสาขาอื่นๆ มีประวัติความเปนมายาวนาน เพราะความรูเกี่ยวกับบุคลิกภาพมีความสาคัญในวิถีชีวิตของบุคคล ๑๒ ศรเี รอื น แกวกังวาล, จิตวทิ ยาพัฒนาการชวี ติ ทุกชว่ งวัย เลม่ ๒ วัยรุ่น-วยั สูงอายุ, พิมพ์ ครัง้ ที่ ๘ แก้ไขเพ่มิ เติม, กรงุ เทพมหานคร : สานกั พิมพ์มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๔๕ หนา้ ๓๒๐.

พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๘๗ และสังคมในมุมมองอันหลากหลาย สาหรับในศาสตรจิตวิทยา การศึกษาบุคลิกภาพไดเริ่มอยาง จริงจังเมื่อประมาณรอยกวาปมานี้ เนื่องเพราะความซับซอนและความหลากหลายของบุคลิกภาพ การศึกษาดงั กลาวจงึ มคี าอธบิ ายและขอสรปุ หลากแนวคิด หลายวธิ ี ซึง่ จะเรยี กในที่นว้ี า “ทฤษฎี” ทฤษฎีท่ีใชอธิบายบุคลิกภาพของมนุษย มีไวมากมาย บางทฤษฎีเนนอิทธิพลของประสบกา รณ ในวัยเด็ก บางทฤษฎีคานึงถึงอิทธิพลของพันธุกรรมและสิ่งแวดลอม บางทฤษฎีเกิดข้ึนจากการ สังเกต บุคคลที่เขารับการบาบัด (Therapy) หรือผูท่ีมีปญหาทางจิต และบางทฤษฎีเกิดข้ึนจากการ ทดลองใน หองปฏบิ ตั ิการณ ซ่ึงในที่นีข้ อยกตัวอยางทฤษฎที ี่นาสนใจ ดงั ตอไปน้ี ๕.๕.๑ ทฤษฎจี ติ วิเคราะห Psychoanalytic Theory ) ผูนาแนวคิดนี้คือ ซิกมันด ฟรอยด Sigmund Freud) จิตแพทยชาวเวียนนา ซ่ึงฟรอยด ไดรับการยกยองวาเปนผูริเริ่มศึกษาบุคลิกภาพดวยวิธีการสังเกต โดยการจดบันทึกพฤติกรรมคนไข โรคจิต โรคประสาทในคลินิกแลวนาขอมูลเหลานั้นมาศึกษาตีความแลวตั้งเปนทฤษฎีจิตวิเคราะหขึ้น ทฤษฎีจิตวิเคราะหของฟรอยด มีมุมมองการอธิบายบุคลิกภาพของบุคคลโดยอาศัย สาระสาคัญๆ หลายสวนประกอบกัน ดังน้ัน เพื่อใหเขาใจพื้นฐานของทฤษฎีในการอธิบายถึงบุคลิกภาพ ของบุคคล การศึกษาในบทน้ีจึงขอนาเสนอประเด็นเนื้อหาสาระสาคัญ ๔ ประเด็น คือ ระดับการทางานของจิต โครงสรางบคุ ลิกภาพ ขั้นพัฒนาการบุคลกิ ภาพ และกลไกปองกันทางจติ ก) ระดับการทางานของจติ (The Levels of Consciousness) ฟอรยด ไดแบงการทางานของจิตเปน ๓ ระดับ คอื ๑. จติ สานึก (Conscious) เปนสภาวะจิตที่รูสึกตัว มีการรับรูสิ่งตางๆ ตามประสาทสัมผัสทั้ง ๕ วาตนเอง กาลังทาอะไร เห็น และไดยินอะไร รูสึกอยางไร คิดอยางไรในขณะน้ัน เชน ถาครูถามวา คุณกาลังทา อะไรอยู? น่ังหรือยืน และคุณมีชื่อวาอะไร แนนอนวา คุณยอมตอบคาถามครูไดในทันที เราเรยี ก พฤติกรรมของบุคคลท่ีแสดงออกในภาวะทีร่ ูสกึ ตวั เชนนีว้ า เปนพฤติกรรมในระดับจติ สานกึ ๒.จิตกอนสานกั (Pre-Conscious) เปนสภาวะจิตของบุคคลท่ีเก็บสะสมประสบการณบางอยางไว รวมท้ังความรูสึกที่ ไมไดแสดงออก ในทันที เปนสวนของความทรงจาท่ีเราสามารถเรียกคืนมาไดงาย เพียงแตมีสิ่งกระตุนที่เหมาะสม บคุ คลก็จะสามารถระลกึ หรอื จดจาได เชน ถาครูถามคุณวา เม่ือวานคุณเรียนวิชาอะไร แนนอนหลาย คนคงตอบไมไดในทันที ตองขอเวลานกึ บางจึงจะคดิ ออก ๓. จิตไรสานกึ (Unconscious) เปนสภาวะของจิตที่มีอยู แตเจาตัวไมรูวามี เพราะวาไมรูสึกตัว ระลึกไมได เน่ืองจากเปนระดับของจิตท่ีบุคคลใชเก็บกดสิ่งที่ไมตองการ หรือประสบการณท่ีทาใหเจ็บปวดไว จน เรารูสกึ เหมอื นวาไมเคยมปี ระสบการณ หรอื ความรูสึกเชนนน้ั มากอน ซ่งึ ฟรอยดอธิบายวาจิตไรสานึก ประกอบไปดวย – สัญชาตญาน (Instincts) ซ่ึงไดแก สัญชาตญาณแหงการมีชีวิต ซึ่งแสดงออกมา ในรูปของความตองการทางเพศ (Sex) การแสวงหาความสุขในรูปแบบตางๆ และสัญชาตญาณแหง ความตาย ซงึ่ แสดงออกในรูปของความกาวราวทาลายลาง

พุทธจติ วทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๘๘ –แรงกระตุน (Impluse) ที่ไมไดรับการยอมรับจากสังคม เชน ความตองการที่ ผิด ศลี ธรรม ความเห็นแกตวั เปนตน ดังนั้น จิตใจไรสานึก จึงอัดแนนไปดวยพลังความตองการตางๆ และพลังตัวน้ีเปนสาเหตุ สวนใหญท่ีผลักดันใหมนษุ ยกระทาพฤตกิ รรม ซง่ึ อาจจะสะทอนออกมาในรูปของความฝน การพูดพลั้ง ปาก การกระทาอะไรอยางเผลอไผลไมรูตัว เชน การเผลอเรียกช่ือคนรักเกาตอหนาคนรักใหมโดยไม ไดต้งั ใจ เปนตน ดังน้นั ฟรอยดจึงใหความสาคัญกับจติ ไรสานึกวาเปนสาเหตุหรือตัวกาหนดพฤติกรรม สวนใหญของมนุษยมากกวาจิตสานึก ฟรอยดไดอุปมาระดับการทางานของจิตมนุษยวา เหมือนกับภูเขาน้าแข็ง (Ice Berge) ท่ีลอยอยูในมหาสมุทร กอนน้าแข็งสวนท่ีโผลพนน้าข้ึนมาซ่ึงเรามองเห็นได และมีพ้ืนท่ีอยูนอยนิด เปนสวนของ จิตสานึก สวนกอนน้าแข็งระดับปร่ิมน้าก็เปรียบเสมือนจิตกอนสานึก และสวนท่ีจมอยู ในมหาสมุทรซึ่งมีพื้นที่ มากท่ีสุดเปนสวนของจิตไรสานึกท่ีมีอานาจตอพฤติกรรมของมนุษยมากท่ีสุด เน่อื งจากเปนแหลงรวมของสัญชาตญาณความปรารถนา และแรงกระตุนตางๆ ข) โครงสรางบคุ ลิกภาพ (Personality Structure) ฟรอยด อธบิ ายวา บคุ ลิกภาพของเราประกอบไปดวยโครงสราง ๓ ระบบ คือ ๑. อดิ (ID) เปนโครงสรางบุคลิกภาพตัวแรกเกิดมาพรอมกับการเกิดของมนุษย เปนระบบ ดั้งเดิมของบุคลิกภาพ เปนแหลงของสัญชาตญาณความตองการทางเพศ และความกาวราว จึงทาให มนษุ ยทาทุกอยางเพ่ือแสวงหาความพึงพอใจ และการมีชีวิตอยูรอดของตนเอง โดยไมคานึงถึงขอเท็จ จริง หรือความชอบธรรม ดังน้ัน “อิด” จึงไดรับสมญาวา ทาตามหลักแหงความพึงพอใจ (Pleasure principle) ในการทาตามหลักของความพึงพอใจนนั้ อดิ ไดสรางกระบวนการขึ้นมา ๒ กระบวนการ คอื - Reflex action เปนกระบวนการธรรมชาติทต่ี ิดตัวมาต้ังแตเกดิ เชน เวลาฝุนเขาตาก็จะยก มือขย้ีตา - Primary process เปนกระบวนการลดความตรึงเครยี ดโดยการสรางภาพในใจ เชน คนหวิ กจ็ ะนกึ ถึงภาพของอาหารท่ตี นเองอยากรบั ประทาน จากกระบวนการทัง้ ๒ ท่อี ิดสรางขึน้ มา ไมมกี ระบวนการใดท่ีสามารถตอบสนองตอ ความพึง พอใจ หรือชวยลดความตึงเครียดอันเกิดจากความตองการของอิดได ดังนั้น อิดจึงตองแบง พลังงาน สวนหนง่ึ ในการสรางโครงสรางบคุ ลกิ ภาพตัวทส่ี อง คือ อีโก ๒. อีโก ego) เปนโครงสรางของบุคลิกภาพตัวท่ีสองที่พัฒนามาจากอิด ทาหน าที่ในการปรับ สัญชาตญาณ หรือความตองการใหเขากับความเปนจริงต้ังแตวัยเด็ก เพ่ือตอบสนองความตองการ ของอดิ และไมควรทาใหอิดคับแคน หรือขัดเขือง ดังน้ัน อีโกจึงไดรับสมญาวา ทาตามหลักของความ เปนจรงิ เปนเหตเุ ปนผล (reality principle) อีโกเปนผูบริหารบุคลิกภาพที่คอยไกลเกลี่ยขอขัดแยงของ Id และ Supperego อีก ทงั้ ยงั เปนตัวตัดสินวาควรจะสนองความตองการของสัญชาตญาณตวั ใดดวยวธิ ีไหน

พุทธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๘๙ ๓. ซูเปอรอโี ก Superego) เปนโครงสรางบุคลิกภาพตัวสุดทายพัฒนาถัดมาจาก อีโก โดยกระบวนการการ เรียนรู้ของมนุษยในสังคมและวัฒนธรรมนั้นๆ เกี่ยวกับประเพณี และศีลธรรม ซูเปอร อีโก คือ จติ สานกึ แหงคณุ ธรรม ความดี ความรูจกั ผิดชอบชวั่ ดี ซเู ปอรอีโกประกอบไปดวยพลัง ๒ ระบบ คอื - มโนธรรม (Ego Ideal) เปนความรูสึกทเ่ี หน็ วาส่ิงใดชอบ สิง่ ใดควร สนับสนุนใหมีพฤติกรรม ทด่ี ี - มโนสานึก (Conscious) เปนความรูสึกผิด รูสึกบาปตอส่ิงที่จะทาหรือส่ิงที่ทาไปแลว คอยบอกใหหลีกเลยี่ งพฤติกรรมท่ีไมพึงปรารถนา โครงสรางบุคลกิ ภาพท้ัง ๓ จะทางานไมแยกจากกัน โครงสรางบคุ ลิกภาพตวั ใดมี อิทธิพลมาก บุคคลก็จะมีบุคลิกภาพโนมเอียงไปในทิศทางนั้น เชน ผูที่มีอิดสูงจะมีลักษณะพฤติกรรมท่ีทาตาม อารมณและความตองการของตนเองเปนหลัก ขาดความยับยั้งชางใจ ผูที่มีอีโกสูงจะมีลักษณะเปน เหตเุ ปนผลทาตามหลักของความเปนจริงและผูที่มีซูเปอรอีโกสูงจะมีลักษณะพฤติกรรมที่เครงครัดตอ ขนมธรรมเนยี มประเพณี มมี าตรฐานทางสงั คมสูง ค) ขน้ั พฒั นาการทางบคุ ลิกภาพ ฟรอยดเปนนักจิตวิทยาท่ีใหความสาคัญกับพัฒนาการของบุคลิกภาพ โดยเนนวา บุคลกิ ภาพของมนษุ ยไดพฒั นามาจากประสบการณในวัยเดก็ ตั้งแตแรกเกิดจนถึง ๕ ขวบ ซึ่งถือวาเปน ระยะวิกฤติของพัฒนาการ และฟรอยดยังเชื่อวามนุษยมีความตองการทางรางกายอันเปนความตอง การตาม ธรรมชาติของสัตว โลก โดยเฉพาะความต องการทางเพศ จัดเป นพลังชีวิต (Libido) ท่ีกระตุนใหมนุษย แสวงหาความสุขความพอใจ จากสวนตางๆ ของรางกาย (Erogenous Zone) ที่แตกตางไปตามวยั และ พัฒนาไปเปนขนั้ ตอนตามลาดบั เรม่ิ จากแรกเกดิ จนสิ้นสุดในวัยรุน พัฒนาการ นี้ฟรอยดเรียกวา “ Psychosexual development ” บุคคลใดพัฒนาไปตามข้ันตอนดังกลาวดวยดี ก็จะทาใหบุคคลน้ันมีพัฒนาการ ทาง บุคลิกภาพที่สมบูรณ หากไมเปนไปดังกลาวก็จะเกิดสภาวะ “ติดของอยูในข้ันนั้น” (Fixation) อาจเปนการติดของอยูในขั้นใดข้ันหน่ึงหรือหลายข้ันก็ได ผูใดติดของอยูในขั้นใดวัยใด ก็จะยังคง แสวงหาความพอใจในข้นั ท่ีติดของอยูตอไปแมวาจะผานวัยน้ันไปแลว สภาพ “ติดของอยูในข้ันนั้นๆ” มีผลตอการพัฒนาการดานบคุ ลิกภาพในแงลบ ฟรอยดไดแบงพัฒนาการทางบคุ ลิกภาพออกเปน ๕ ขั้น คือ ๑. ข้ันปาก (Oral Stage) ชวงนี้เร่ิมต้ังแตแรกเกิดถึงประมาณ ๒ ขวบ เปนชวง ท่ี Libido มารุมเราอยูที่บริเวณปาก จึงทาใหทารกมีความสุข และความพึงพอใจกับการใชปาก ทากิจกรรมตาง ๆ เชน การดูดนม การกัด การสัมผัสสิ่งแปลกใหมดวยปาก ฯลฯ เพื่อตอบสนองพลัง Libido ถาทารก ไดรับการตอบสนองบริเวณปากอยางเต็มท่ี เม่ือโตข้ึนจะมีบุคลิกภาพที่เหมาะสม แตถาทารกไมไดรับการ ตอบสนองดวยการใชปากทากิจกรรมอยางเต็มที่ เชน การหยานมเร็วเกินไป ถกู หามเม่อื นาของเขาปากจะ นาไปสูภาวะติดของในขั้นปาก (Oral Fixation) สงผลใหเมื่อเปนผูใหญ มักมีบุคลิกภาพท่ีแสวงหา ความสุขโดยการใชปาก (Oral personality) เชน ชอบกินจุบจิบ ชอบนนิ ทา ชอบพูดจาเยาะเยยถากถางผูอื่น หรือติดบหุ ร่ี ดดู น้ิว เปนตน

พทุ ธจติ วทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๙๐ ๒. ขั้นทวารหนัก (Anal Stage) อยูในชวงประมาณ ๑-๓ ขวบ ระยะน้ี Libido มารุมเราอยูท่ีบริเวณทวารหนัก เด็กตองการไดรับการตอบสนองบริเวณน้ีมากที่สุด โดย เฉพาะการ เลนท่ีสัมผัสทางทวารหนัก ตลอดจนความสุขจากการไดควบคุมกลามเนื้อ เปดปดของทวารหนัก ในการขับถาย ฟรอยดใหขอคิดวา ระยะน้ีมักเกิดความขัดแยงระหวางพอแมกับเด็กในเรื่องการฝกหัด การขับถาย ถาผูใหญ ที่เขาใจจะรูจักผอนปรน คอยๆ ฝกเด็กใหรูจักขับถายไดดวยวิธีท่ีนุมนวล พัฒนาการในข้ันน้ีก็ไมมีปญหา เมื่อโตข้ึนจะมีบุคลิกภาพท่ีเหมาะสม แตถาเด็กไมพอใจกับการฝกหัด เนื่องจากผูใหญบังคับเด็กในการฝกหัดขับถายมากเกินไป เชน ตองขับถายเปนเวลา ถาไมทาตาม จะถูกลงโทษ จะนาไปสูภาวะติดของใน ขั้นทวารหนัก (Anal Fixation) สงผลใหเกิดบุคลิกภาพ เมอ่ื โตเปนผูใหญ Anal personality) ดงั น้ี - บุคลิกภาพแบบสมบูรณ Perfectionist) คือ เปนคนระเบียบ จูจ้ี พถิ ีพถิ ัน ย้าคิดย้าทา กงั วลมากเกนิ ไป โดยเฉพาะเรอื่ งความสะอาด - บุคลิกภาพแบบอันธพาล (Anti social) คือ เปนคนไมยอมคนชอบคัดคน คานิยมหรอื ระเบียบแบบแผนท่วี างไว ชอบใชพละกาลัง โหดเหี้ยม เจาอารมณ ไมมีระเบียบนอกจากน้ี ยงั พบวา คนทีต่ ดิ ของในพฒั นาการขน้ั น้ี ยงั เปนคนข้เี หนียวและเปนนักสะสมส่ิงของตางๆ อีกดวย ๓. ขั้นอวัยวะเพศ (Phallic Stage) จะอยูในชวง ๓ - ๕ ขวบ ระยะนี้ Libido มารุมเราอยูที่บริเวณอวัยวะเพศ เด็กจะมีความพึงพอใจกับกิจกรรมที่เก่ียวของกับอวัยวะเพศ เชน เลนอวัยวะเพศของตน ตลอดจนสนใจเก่ียวกบั ความแตกตางของอวยั วะเพศชายและเพศหญงิ ในระยะนจี้ ะเกิดเหตกุ ารณสาคญั ข้ึนกับเดก็ คือ เด็กจะมีความรูสึกรัก ผูกพัน และ อยากครอบครองพอแมเพศตรงขามกับตน ทาใหเกิดปม (Complex) ข้ึนมาในใจ เชน เด็กหญิง รักและติด พอ หวงแหนพอแทนแม เด็กผูหญิงจะรูสึกอิจฉาแม เพราะเรียนรูวา พอรักแม จึงเกิดปม อิจฉาข้ึน เรียกวา “อิเร็คตรา” (Electra Complex) ในทานองเดียวกัน เด็กชายก็จะรักและติดแม หวงแหนแม เด็กชายจะ รูสึกอิจฉาพอ เพราะเรียนรูวาแมรักพอ เกิดปมอิจฉาขึ้น เรียกวา “เอดิปุส” (Oedipus Complex) วิธีแกปมคือเด็กจะถอดแบบ (Identify) พฤติกรรม คานิยม ฯลฯ จากพอแมเพศ เดียวกบั ตน ท้ังนี้ก็เพื่อใหพอแมเพศตรงขามรักและสนใจตน ซึ่งถาเด็กสามารถแกปม ดังกลาว ได เด็กก็จะมีบุคลิกภาพที่เหมาะสมกับเพศ ในทางตรงขามถาแกปมไมไดจะนาไปสูภาวะ ติดของในข้ันอวัยวะเพศ (Phallic Fixation) ซึ่งจะสงผลใหเกิดปญหาพฤติกรรมเบ่ียงแบนทางเพศ (เกย ทอม ตุด ดี้) ซง่ึ ฟรอยด เรียกวา Phallic Personality ๔. ขั้นแฝง (Latency Stage) อยูในชวง ๕–๑๒ ขวบ ระยะน้ี Libido ไมมีบริเวณใด ในรางกายเปนบริเวณแหงความสุข ความพึงพอใจ เปนชวงอารมณแฝง เด็กจะเก็บกดความพึงพอใจ ทางเพศไว และหันไปแสวงหาความพึงพอใจจากการมีปฏิสัมพันธกับผูคนรอบตัว เพื่อนรวมวัย และ สนใจกิจกรรมดานอืน่ ๆ เชน การเลน การเรียน เปนตน ๕. ขั้นวัยรุน (Genital Stage) อยูในชวง ๑๒ - ๒๐ ป เปนระยะที่เด็กเขาสูวัยรุน และเร่ิมเปนผูใหญ การเจริญเติบโตทางเพศข้ันที่ ๒ บรรลุวุฒิภาวะและทางานอยางสมบูรณเต็มที่ จึงทาใหเกิดการต่ืนตัวทางเพศ เด็กหญิงเร่ิมสนใจเด็กชาย และเด็กชายเร่ิมสนใจเด็กหญิง มีการสราง

พุทธจติ วทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๙๑ ความสัมพันธระหวางเพศอยางแทจริง พฤติกรรมทางเพศของบุคคลในวัยน้ี จึงมีลักษณะท่ีบงบอกถึง วุฒิภาวะทาง อารมณหรือความสามารถในการปรับตัวใหเขากับสิ่งแวดลอมไดอยางเต็มที่ และ ขณะเดยี วกนั กพ็ ยายาม ประพฤติตวั ใหเหมาะสมกบั บทบาททางเพศ ฟรอยดย้าวา เม่ือเด็กพัฒนาถึงข้ันท่ี ๕ แลว มิไดหมายความวาเด็กจะเลิกแสวงหา ความพงึ พอใจจากสวนตางๆ ของรงกาย เชน ปาก หรือทวารหนัก ดังเชนที่ผานมาในวัยแรกๆ เด็กยัง อาจ แสวงหาความสุขแบบนั้นตอไป แตจะลดความติดใจและความเขมขนลง ผูที่พัฒนาตามข้ันไมสม บูรณก็ จะเกิดภาวะตดิ ของในขนั้ น้นั ๆ ซงึ่ สงผลตอบุคลิกภาพ ฟรอยดกลาววา บุคลกิ ภาพท่ีดี คอื การประสมประสานการไดรบั ความพอใจในการ ตอบสนองแรงกระตนุ จากสวนตาง ๆ ของรางกายเหลานั้น ในอตั ราสวนที่เหมาะสมตามวยั ง) บุคลกิ ภาพกับกลไกปองกันตนเอง ในความเปนจริง พฤติกรรมสวนมากของมนุษยไมไดเกิดจากการทางานท่ีสมดุลกัน ของ อิด อีโก ซูเปอรอีโกแตเพียงอยางเดียว บอยคร้ังที่โครงสรางบุคลิกภาพท้ัง ๓ ตัว มีภาวะของ ความขัดแยง ทาใหบุคคลเกิดความเครียด (Tension) ความวิตกกังวล (Anxiety) ขึ้น ดังน้ัน เพ่ือลด สภาวะความเครียดน้ี อีโกจึงพัฒนาพลังจิตขึ้นมาใชปองกันตนเองอยางไมรูตัวเม่ืออยูภายใต้ ความกดดันสงู หรอื ไมมีทางเลือก ซงึ่ หากใชบอยครั้งเขาจะพัฒนาเปนบคุ ลกิ ภาพของตน กลไกปองกัน ตนเองจะมลี ักษณะทีส่ าคัญ คือ ๑.กลไกปองกนั ตนเองเกิดจากการทางานของอีโกในระดับจิตไรสานกึ ๒.กลไกปองกนั ตนเองจะปฏเิ สธและบดิ เบอื นขอเทจ็ จรงิ ๓.กลไกปองกันตนเองจะเกิดขึ้นอยางอัตโนมตั ิ กลไกปองกนั ท่สี าคัญๆ มีดังน้ี ๑. การเก็บกด (Repression) เปนการเก็บกดประสบการณ ความรูสึกไมสบายใจ หรือความ รูสึกผิดหวัง ความคับของใจ กังวลใจ กลัว ไมอยากนึกถึง ฯลฯ โดยผลักประสบการณ ความรูสึกเหล าน้ีไวในระดบั จติ ไรสานึก ทาใหเราลมื ประสบการณ ความรูสึกเหลานัน้ ไป เชน ลืมวันที หมอนัดถอนฟ นเพราะเรากลัวเจ็บ กลไกปองกันตัวประเภทเก็บกดนี้ ถาใชบอย ๆ อาจทาใหเกิดภาวะ โรคจิต โรค ประสาทได ๒. การหาเหตุผลมาอาง (Rationalization) เปนการปรับตัวโดยการหาเหตุผลที่ สังคมยอม รับมาอธบิ ายพฤตกิ รรมตาง ๆ ของตน เพอื่ ใหการกระทาของตนสมเหตุสมผล เขาทานอง “องุนเปร้ียว มะนาวหวาน” – “องุนเปร้ียว” (Sour grapes reaction) เปนความพยายามที่ทาใหตนเองและ ผูอน่ื เช่ือวา สิ่งที่ผูอ่ืนประสบอยูน้ัน (สิ่งที่เราตองการ อยากไดมาครอบครอง) ไมดีพอสาหรับเรา เชน เรา เหน็ เพือ่ นแตงงานมคี รอบครัวแลว และเราก็อยากแตงงานมีครอบครัวเหมือนกับเพื่อน แตยังหาคู ชีวติ ไมได เลยมองวาการมีครอบครัวของเพ่ือนนัน้ เขาทานอง “มลี กู กวนตวั มีผัวกวนใจ” – “มะนาวหวาน” (Sweet lemond reaction ) เปนความพยายามที่ทาใหตนเอง และผูอืน่ เช่อื วา สงิ่ ท่ตี นประสบอยูนั้น (สง่ิ ท่เี ราไมตองการ ไมอยากได ไมอยากมี) ดีแลว พึงพอใจแลว สาหรับเรา เชน เราไมอยากเปนคนโสด แตหาคูชีวิตไมได ก็เลยใหเหตุผลวาอยูเปนโสดนะดีแลว