Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระพุทธศาสนากับการศึกษา

พระพุทธศาสนากับการศึกษา

Description: ระบบการศึกษาในพระพุทธศาสนาสมัยพุทธกาล หลังพุทธกาลถึงยุคเสื่อมในอินเดีย การศึกษาพระธรรมวินัยโดยระบบมุขปาฐะ การศึกษาพระธรรมวินัยยุคจารึกเป็นอักษร

Keywords: พระพุทธศาสนา การศึกษา

Search

Read the Text Version

๘๘ สรปุ ทา้ ยบท พระพุทธศาสนา ในสมัยครงั้ พทุ ธกาลที่พระพุทธเจ้ายงั ทรงพระชนม์อยู่ คำส่ังสอนยงั ไม่มีการ จารึกเป็นอักษร เรียกว่า พระธรรมวินัย พุทธสาวกได้สืบต่อกันมาโดยการจำที่เรียกว่ามุขปาฐะ ใน สำนักพทุ ธสาวกหลายสำนักก็จัดใหม้ ีการศกึ ษากันโดยตลอดเช่นพระอานนท์ พระมหากัสสปะและพระ อุบาลีเป็นต้น ต่อมาการศกึ ษาก็ไดม้ ีการสืบทอดตอ่ กันมาในรูปแบบของการจารึกเปน็ อักษรโดยการทำ สังคายนาหรือสังคีติ ในครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๔๕๐ ตรงกับรัชสมัยพระเจ้าวัฎฎคามณีอภัย ทรงมีรับสั่งให้ ภิกษุผู้สามารถท่องจำบาลีพระไตรปิฎกท้ังอรรถกถาช่วยกันจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลาน โดย แบ่งเป็น ๓ ปิฎก คือ พระวินัยปิฎกมี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ พระสุตตันตปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และพระอภิธรรมปิฎกมี ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ พระไตรปิฎกได้มีกำเนิดมาจาก การรวบรวมคำส่ังสอนในระยะแรกของพระพุทธเจ้า ด้วยการสังคายนาคือการจัดให้เป็นหมวดหมู่แล้ว รวมเป็นพระไตรปิฎก ก่อนจะมาเป็นพระไตรปิฎกในปัจจุบันน้ันก็มีคำเรียกหลายอย่าง คือ พรหมจรรย์ สาสนะ นวังคสัตถศุ าสน์ ปาพจน์ ธรรมวินยั และสัทธรรม สมัยพระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่ ได้จารึกพระไตรปิฎกด้วยอักษรล้านนา พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงให้จารึกพระไตรปิฎกด้วยอักษรขอม พระบาทสมเด็จพระจุลลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชการที่ ๕ ทรงให้คัดลอกพระไตรปิฎกอักษรขอมเป็นอักษรไทย ในพ.ศ ๒๕๓๕ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้ตรวจชำระและพิมพ์ คำอธิบายพระไตรปิฎกที่เรียกว่า อรรถถาภาษาบาลี และในปีพ.ศ.๒๕๓๗ มีพิธีเปิดประชุมการแปลพระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย ณ อโุ บสถ วัดมหาธาตุยุวราชรงั สฤษฎิ์ โดยสมเดจ็ พระพทุ ธชนิ วงศ์ (สุวรรณ สุวณฺณโชโต) เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ คำสอนของพระพุทธองค์จึงเป็นเสมือนประทีป ช่วยให้เกิดปัญญาเป็นความรู้ และสามารถมองเห็นทางแก้ปัญหาสังคมและปัญหาชีวิตได้อย่างชัดเจน ซึ่งมีปรากฏในการจารึกใน พระไตรปิฎกได้อยา่ งครบถว้ น .

๘๙ คำถามทา้ ยบท ๑.คำว่า “พระธรรมวินัย”มีความเปน็ มาอยา่ งไร จงอธิบายพอไดใ้ จความ? ๒.จงวเิ คราะหแ์ นวคิดพระธรรมวินยั ทีจ่ ารกึ เปน็ อักษรลงในใบลาน ? ๓.จงอธิบายลกั ษณะการศึกษาพระธรรมวินยั ในยุคจารึกเป็นอักษร ? ๔.จงแสดงทศั นะในการจารึกพระธรรมวินยั เปน็ อักษร ? ๕. จงบอกผลดีผลเสยี ในการจารึกพระธรรมวนิ ยั เปน็ อักษร ? ๖. จงวเิ คราะหล์ ักษณะการรวบรวมหลักคำสอนเขา้ เป็นหมวดหมู่ ? ๗. จงจดั ลำดับความเป็นมาและความสำคัญของการจัดทำพระไตรปิฎก ? ๘. จงอธิบายในการศึกษาพระไตรปิฎก ยคุ จารกึ เป็นอักษร ? .

๙๐ เอกสารอ้างองิ ประจำบท พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม. พิมพ์คร้ังท่ี ๑๐, กรุงเทพฯ:บริษทั ส่อื ตะวันจำกดั , ๒๕๔๕. มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย. พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย. โรงพิมพ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. . พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจฬุ าเตปิฏกํ ๒๕๐๐. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์มหา จฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๕. . จากนาลันทาถึงมหาวิทยาลยั จุฬาฯ. พิมพค์ ร้ังท่ี ๓, พิมพ์เนื่องในพธิ ีเปิดป้ายมหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั อยุธยา ๓ ธันวาคม ๒๕๔๓. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๓. เสถียร โพธนิ นั ทะ. ประวตั ิศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา ฉบบั มุขปาฐะ ภาค ๑. กรงุ เทพมหานคร : โรงพพิ ม์มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๑๔. สเุ ทพ พรมเลิศ. พระไตรปิฎกศกึ ษา. กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวนั การพิมพ,์ ๒๕๕๒. .

๙๑ บทที่ ๕ การเกิดขน้ึ และพฒั นาการของมหาวิทยาลัยในพระพทุ ธศาสนา อาจารยบ์ ญุ ส่ง ธรรมศิวานนท์ อาจารย์กำพล สุกันโท อาจารยเ์ นาวรตั น์ หอมขจร วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนประจำบท เมอื่ ไดศ้ ึกษาเน้อื หาในบทน้ีแล้ว ผู้ศกึ ษาสามารถ ๑. บอกแนวคิดของการเกดิ ขึ้นของมหาวิทยาลัยในพระพุทธศาสนาได้ ๒. อธิบายการเกดิ ข้ึนของมหาวิทยาลัยในพระพทุ ธศาสนาได้ ๓. อธิบายพัฒนาการของมหาวิทยาลยั พระพุทธศาสนาในประเทศไทยได้ ๔. อธิบายพฒั นาการของมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาในโลกปัจจุบันได้ ขอบข่ายเนอ้ื หา • แนวคดิ ของการเกิดขนึ้ ของมหาวทิ ยาลยั ในพระพุทธศาสนา • การเกิดข้ึนของมหาวิทยาลัยในพระพทุ ธศาสนา • พฒั นาการของมหาวทิ ยาลยั พระพทุ ธศาสนาในประเทศไทย • พัฒนาการของมหาวทิ ยาลัยพระพทุ ธศาสนาในโลกปจั จบุ นั

๙๒ ๕.๑ ความนำ การศึกษาหรือการพัฒนาตามหลักพระพุทธศาสนานน้ั พระพุทธเจา้ สอนให้คนได้พฒั นาอยู่ ๔ ดา้ น คือ ด้านรา่ งกาย ดา้ นศีล ด้านจติ ใจ และดา้ นสติปัญญา โดยมีจุดมุ่งหมายใหม้ นุษย์เปน็ ทัง้ คนดี และคนเกง่ มใิ ช่เป็นคนดแี ต่โง่ หรือเปน็ คนเก่งแตโ่ กง การจะสอนให้มนุษย์เป็นคนดีและคนเกง่ นั้น จะตอ้ งมีหลักในการศึกษาทีถ่ ูกต้องเหมาะสม ซงึ่ ในการพัฒนามนุษย์นน้ั พระพุทธศาสนามุ่งสร้างมนุษย์ ใหเ้ ปน็ คนดีก่อน แล้วจึงค่อยสรา้ งความเกง่ ทีหลงั น่ันคือสอนใหค้ นเรามคี ุณธรรม ความดีงามก่อนแล้ว จงึ ให้มคี วามรู้ความเข้าใจหรือสติปญั ญาหลกั ในการศกึ ษาของพระพุทธศาสนา ลำดับข้ันตอนการศึกษา โดยเริ่มจากสลี สิกขา ต่อดว้ ยจิตตสิกขาและขน้ั ตอนสุดทา้ ย คอื ปัญญาสกิ ขา ซง่ึ ข้นั ตอนการศึกษาท้ัง ๓ น้ี รวมเรยี กว่า \"ไตรสิกขา\" นาลันทา ช่ือน้ีเป็นที่รู้จักของชาวพุทธ ถึงความเจริญรุ่งเรืองในด้านการให้การศึกษาแก่ พระภิกษุสามเณร ประชาชนทั่วไป ตัง้ แต่หลังพทุ ธกาลเป็นต้นมา เป็นมหาวิทยาลัยในพระพุทธศาสนา ท่ีมีชื่อเสียงและมีอายุเก่าแก่มากที่สุดในโลก เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชประมาณพุทธ ศตวรรษที่ ๒ นาลันทา เป็นช่ือเมือง ๆ หนึ่งในแคว้นมคธ อยู่ห่างจากพระนครราชคฤห์ประมาณ ๑ โยชน์ ณ เมืองนี้มีสวนมะม่วง ช่ือ ปาวาริกัมพวัน (สวนมะม่วงของปาวาริกเศรษฐี) ซึ่งพระพุทธเจ้า เสด็จมาประทับแรมหลายครั้งคัมภีร์ฝ่ายมหายานกล่าวว่า พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ ซ่ึง เป็นอัครสาวก เกิดที่เมืองนาลันทา แต่คัมภีร์ฝ่ายบาลีเรียกถิ่นเกิดของพระสารีบุตรว่า หมู่บ้านนาลกะ หรอื นาลนั ทคาม นาลันทาเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ห่างจากเมืองราชคฤห์ใหม่ประมาณ ๑๒ กิโลเมตร ห่าง จากเมืองปตั นะ รัฐพหิ าร ประมาณ ๙๐ กิโลเมตร ถึงแม้จะเป็นหม่บู ้านเล็กๆ แต่ภายหลงั การขดุ ค้นพบ ซากมหาวิทยาลัยนาลันทาแล้วทางรัฐบาลรัฐพิหารได้ประกาศยกฐานะหมู่บ้านนาลันทาเป็นอำเภอ นาลนั ทา๑ ๕.๒ แนวคดิ ของการเกดิ ขน้ึ ของมหาวทิ ยาลยั ในพระพุทธศาสนา การศึกษาพระพุทธศาสนาได้ขยายกว้างออกไปในหมู่ชาวพุทธทั้งหลายและคฤหัสถ์ สถานที่ ศึกษาเป็นส่ิงจำเป็นจึงเกิดแนวความคิดว่า จะต้องมีสถานที่ท่ีเป็นที่ตั้งของการจัดการศึกษาให้คน จำนวนมาก คณะสงฆ์และทางการบา้ นเมือง เรม่ิ ดำเนนิ การเพ่อื จัดตงั้ มหาวิทยาลยั ๕.๒.๑ แนวคิด นาลันทาเป็นชอื่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ พรอ้ มประวัติศาสตรแ์ ห่งความคดิ และวัฒนธรรมมนษุ ยชาติ ๑ นาลนั ทา. วกิ ิพเี ดีย สารานุกรมเสรี. เขา้ ถงึ จาก http://th.wikipedia.org/wiki. สืบคน้ เมอื่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๖.

๙๓ การเรยี นพระพุทธศาสนาและพทุ ธปรัชญาทีแ่ ผ่ไปทั่วเอเชียใต้ มจี ดุ เริม่ ต้นจากนาลันทา สถาบนั แหง่ นี้ เปรยี บเสมอื นสะพานเช่อื มโยงวัฒนธรรมเชิงพทุ ธจากอินเดียสู่ประเทศในเอเชยี เกือบท้ังหมด๒ พระเจา้ อโศกมหาราช (พ.ศ.๒๔๓ โดยประมาณ) เสดจ็ จาริกแสวงบุญ มาถงึ บริเวณนาลันทา แล้วทรงปรารภถึงสถานทป่ี ระสูตแิ ละนิพพานของพระสารบี ุตร อัครสาวกเบ้ืองขวาของพระพทุ ธเจา้ จงึ ใหส้ ร้างสถปู เจดีย์เพือ่ เปน็ ส่ิงระลกึ นาลนั ทาวิหารจึงได้เกิดข้ึน ตั้งแต่บัดนัน้ แต่ยังมิได้มรี ูปแบบเปน็ มหาวทิ ยาลัย เพียงแตเ่ ป็นวดั หรือวหิ าร โดยมีสถปู ขนาดใหญ่เป็นทบ่ี รรจุสารรี กิ ธาตขุ องพระสารี บุตร นัยว่าในยคุ แรกๆ เร่มิ มกี ารเรียนการสอนวชิ าการด้านพระพทุ ธศาสนาในส่วนท่พี ระสารีบุตร ชำนาญนั่นคอื พระสตู รและพระวินัย นาลนั ทาได้กลายเปน็ ศนู ยก์ ลางการศกึ ษาท่สี ำคญั ของพระพทุ ธศาสนาในรชั สมัยของพระเจา้ หรรษวรรธนะ(พ.ศ.๑๑๔๙-๑๑๙๐) นาลนั ทาวิหารไดก้ ลายเปน็ สถานทีม่ ีชอื่ เสยี ง เมื่อนาครชนุ นกั ปราชญ์ทางพระพทุ ธศาสนาท่ี ยง่ิ ใหญ่เดินทางมาพกั อาศยั ท่ีนาลันทา พราหมณ์ช่ือสุวิษณุได้สรา้ งวหิ ารข้นึ ถงึ ๑๐๘ หลงั ส่วนความสำคัญของนาลันทาเร่มิ ต้นขึ้น ประมาณพุทธศตวรรษ ๑๑-๑๒ในสมยั ราชวงศค์ ุปตะ จากบันทึกของหลวงจีนเฮ่ียนจั๋งระบุไว้ว่ามีกษัตริย์ถึง ๖ พระองค์ให้การอุปถัมภ์พระอารามแห่งนี้ แต่ ละพระองค์ได้สร้างวิหารขนาดใหญ่ขึ้นและทรงให้การอุปถัมภ์ภิกษุที่อาศัยอยู่ในแต่ละวิหาร พอมาถึงสมัยราชวงศ์ปาละ นาลันทาก็ได้เจริญจนถึงระดับสูงสุด ได้กลายเป็นจุดศูนย์กลาง ของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานและวัชรยาน ในบันทึกของหลวงจีนเฮี่ยนจ๋ังได้ กล่าวถึงนาลันทา วิหารไว้อย่างน่าสนใจดังน้ี “พระเจ้าศักราทิตย์ ได้สร้างอารามขึ้น ณ ที่น้ีด้วยความเคารพเล่ือมใสใน พระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ทิวงคตแล้วราชโอรสผู้สืบราชสมบัติทรงพระนามว่าพระเจ้าพุทธคุปต์ ก็ได้ สร้างอารามขึ้นอีกแห่งหนง่ึ ตดิ ตอ่ กับทาง ด้านทศิ ใต้ สืบมาจนถงึ พระโอรสของพระองคท์ รงพระนามว่า พระเจ้าตถาคตราชา ได้ทรงสร้างอารามข้ึนอีกทางด้านตะวันออก ครั้นเมอ่ื พระราชโอรสของพระราชา องค์น้ี ข้ึนครองราชย์สมบัติทรงพระนามว่าพระเจ้าพาลาทิตย์ ก็ได้ทรงสร้างอารามข้ึนทางด้าน ตะวันออกเฉียงเหนือ ภายหลังทรงทราบว่ามี พระอริยสงฆ์จากประเทศจีนมารับบิณฑบาต จึง บังเกดิ ความเลือ่ มใสสละราชสมบตั ิทรงออกผนวช ราชโอรสพระนามวา่ วชิรราชาข้นึ ครองราชย์ ได้ทรง สรา้ งอารามขึ้นอกี ทางด้านทศิ เหนือ จากนั้นยังมีกษัตรยิ ์แห่งภาคกลางของอินเดีย ได้ทรงสรา้ งอารามข้ึนอยา่ งต่อเนื่องหลายแห่ง-- ฉะน้นั พระมหากษัตริย์-๖-พระองค์จงึ ทรงมีส่วนรว่ มสถาปนาต่อเนอ่ื งสืบกนั มา” ในขณะท่ีหลวงจีนเฮ่ียนจั๋ง หรือหลวงจีนฟาเหียน พักอยู่ที่นาลันทานั้นได้รับการอุปัฏฐากเป็น อย่างดี จากบนั ทึกตอนหน่ึงว่า “ของถวายประจำวัน มชี ัมพีระ (ส้มชนิดหนึ่ง) ๑๒๐ ผล หมาก ๒๐ ผล กะวาน ๒๐ ผล การบูร ๑ ตำลึง ข้าวมหาสาลี ๑ เซ็ง ข้าวชนิดน้ีเม็ดใหญ่กว่าถั่วดำ เมื่อหุงสุกแล้วมี กลิ่นหอม ไม่มีข้าวอ่ืนเสมอเหมือนและปลูกได้แต่ในแคว้นมคธแห่งเดียวไม่ปรากฏมีในแห่ง อ่ืน ข้าวนี้ เป็นของถวายพระราชาและผู้ทรงศีลชั้นสูง จึงได้ช่ือว่าเป็นข้าวถวาย นอกจากของถวายเหล่านี้ ยังมี น้ำมันเดอื นละ ๓ เตา้ และเครือ่ งบรโิ ภคอ่นื ๆเชน่ นม เนย กม็ ีเพียงพอแก่ความต้องการประจำวนั กบั ยัง ๒ พระมหาสมจนิ ต์ สมมฺ าปญโฺ ญ. จากลนั ทาถึงมหาจฬุ าฯ. (กรงุ เทพ ฯ : โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกรณราช วทิ ยาลัย.พมิ พค์ รัง้ ท่ี ๓, ๒๕๕๓), คำนำ หนา้ ๑๑.

๙๔ จัดให้มีอุบาสก ๑ คน พราหมณ์ ๑ คน เป็นผู้รับใช้ และเม่ือจะไปท่ีแห่งใดๆก็ขึ้นหลังช้างที่มีกูบ พร้อม”๓ ในด้านการศึกษาหลวงจนี เฮี่ยนจ๋ังบนั ทึกไวว้ า่ “สงั ฆารามในอินเดยี มีมากหลายนับดว้ ยจำนวน พันและหม่ืน แต่กล่าวเฉพาะความงามและสูงแล้ว จัดว่าอารามน้ีเด่นย่ิงกว่าแห่งอ่ืนท้ังสิ้น พระภิกษุ สงฆ์ในอารามรวมทั้งที่มาจากที่อ่นื มีจำนวนนับหมื่น ล้วนศกึ ษาในลัทธิมหายาน แต่ลทั ธินิกายต่างๆทั้ง- -๑๘--นิกายก็ได้ศึกษาควบคู่กนั ไปด้วย” จำนวนนักศึกษาและอาจารย์ที่อยู่ในนาลันทาวิหาร A. Ghosh. นักเขียนชาวอินเดียระบุไว้ ใกลเ้ คียงกับหลวงจีนเฮี่ยนจั๋งคอื “นาลันทาเปน็ มหาวิทยาลัยทย่ี ่ิงใหญ่ท่สี ุดของอินเดยี ในอดีตมนี กั ศึกษา จำน วน --๙ ,๕ ๐ ๐ 3รูป -อาจารย์ -๑ ,๕ ๑ ๐ -รูป พั กอาศัยอยู่ภ ายใน วิห ารใน อารามเดียว กัน น่ั นเอง ”๔ ๕.๒.๒ ความหมาย คำว่า นาลันทา วเิ คราะหเ์ ชิงนิรกุ ตศิ าสตรไ์ ด้ ๕ นยั ดังนี้ นัยที่ ๑ โบราณาจารย์กลา่ ววา่ นาลนั ทา เลือนมาจากประโยควา่ น อลม ทา แปลว่า “ฉนั จะไมใ่ ห้” มีตำนานเสริมว่า สมยั หนง่ึ พระโพธิสตั ว์บำเพ็ญทานบารมี เป็นที่รู้จักกนั ดี จนไม่มใี ครได้ ยินคำวา่ ฉันจะไม่ให้ นยั ที่ ๒ นาลนั ทา มาจากคำ ๒ คำ คอื นาลนั แปลวา่ “ดอกบวั ” และ ทา แปลวา่ “ให้” หมายถึง “ให้ดอกบัว” มตี ำนานเสริมวา่ บรเิ วณนี้มีดอกบัวมาก แม้ปัจจุบันก็ยงั มีดอกบัวมากอยู่ จึงเปน็ เหมอื นสถานทใี่ ห้ดอกบัว นยั ที่ ๓ นาลันทา เปน็ ช่ือของพญานาค ซ่งึ อาศัยอยู่ในสระบวั ใหญ่ ณ บริเวณ มหาวิทยาลยั นาลันทาในปัจจุบัน ตรงกับคตินยิ มของชาวอินเดียในปัจจุบนั ทนี่ ยิ มบูชางู เรยี กวา่ นาคปัญจมี จงึ เป็นที่มาของเมืองชื่อว่า นาคปุระ นัยท่ี ๔ นาลันทา ประกอบด้วยคำ ๓ คำ คอื น, อลัง, และ ทา แปลตามตัวอักษรวา่ “ให้ไม่พอ” แต่ความหมาย ก็คอื ให้ไมร่ จู้ กั พอ นยั ท่ี ๕ สมณะอจี้ ิงไดบ้ ันทึกไวว้ ่า นาลนั ทา แผลงมาจากคำวา่ นาคนนั ทะ ซ่งึ อาจตงั้ ชื่อตามชอื่ ของพญานาคทย่ี ดึ ครองที่น้นั และต่อมาพญานาคนเ้ี ป็นทรี่ ูจ้ ักกันดวี า่ นาคแห่งนาลันทา หรือ นาลันทานาค๕ ๓ กฤษณา เกษมศลิ ป.์ นาลนั ทาแห่งกรุงสยาม. (กรงุ เทพ ฯ : บพิธการพิมพ์ จำกัด,๒๕๒๔), หน้า ๑๕๗. ๔ A. Ghosh,History of Nalanda, p.๑๕ อ้างใน พระมหาบญุ ไทย ปุญญมโน.นาลนั ทามหาวิหาร และนวนาลนั ทามหาวทิ ยาลัย, เขา้ ถึงจาก ttp://www.mbu.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=๑๕๕๒&Itemid=๐&limit= ๑&limitstart=๓, สืบค้นเมื่อ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖. ๕ พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญโฺ ญ. อา้ งแล้ว เรื่องเดยี วกัน, หนา้ ๑๒.

๙๕ ๕.๒.๓ วตั ถุประสงค์ในจัดสร้างมหาวทิ ยาลยั นาลันทา ๑. เพ่อื พฒั นานาลนั ทาในฐานะท่เี คยเป็นวิหารเกา่ (สถานที่อาจารย์และนักศึกษา อาศยั อย่ดู ้วยกนั เพือ่ การศึกษาและงานดา้ นวิชาการ ระดับสูง เพอ่ื สนบั สนุนการศกึ ษาวจิ ัยด้านภาษา และวรรณคดีบาลีตลอดจนพุทธวทิ ยาด้วยภาษาสันสกฤต,ทิเบต,จีน,มองโกเลยี ,ญป่ี นุ่ และภาษาเอเชยี อนื่ ๆ ๒. เพอื่ รวบรวม(จัดตง้ั ) ห้องสมุดสำหรับวรรณกรรมบาลี,สนั สกฤตและภาษาอืน่ ๆ อนั กอปรดว้ ยหนงั สือและงานวิจัยสมยั ใหม่ ในภาษาบาลแี ละพุทธวิทยารวมท้ังแนวความคิดสมยั ใหม่ เพือ่ สะดวกต่อการศึกษาและวิจยั เชงิ เปรยี บเทียบ ๓. เพอ่ื เปน็ ท่ีพกั สำหรบั ภกิ ษุและนกั ปราชญ์ ผู้ชำนาญ(เชีย่ วชาญ)ในการศึกษาในวัด ตามประเพณีและทำให้คุ้นเคยกับวิธกี ารวจิ ยั และการศกึ ษาเปรยี บเทียบสมยั ใหม่ ๔.เพื่อร่วมมือกบั สถาบันการวิจัยในทำนองเดียวกนั ในรฐั พหิ าร และงานวจิ ยั ที่ ใกลเ้ คียงกนั ดว้ ยทศั นะทีเ่ ป็นประโยชน์รว่ มกัน(ซึ่งกันและกัน)เพ่ือหลกี เลีย่ งจากงานท่ีซำ้ ซอ้ นกัน ๕.เพ่อื รับบณั ฑิตจากมหาวิทยาลยั ท่ไี ดร้ ับการยอมรบั และฝึกฝนในระดบั บัณฑิต วิทยาลยั และการวิจยั ในพทุ ธวิทยาด้วยภาษาบาลแี ละ สนั สกฤตและภาษาอนื่ ทีจ่ ะให้เปน็ ทร่ี ้จู ักดว้ ย ความลึกซง้ึ และลำ้ ลึกในการศึกษาตามโบราณ ๖.เพ่อื ส่งนกั วชิ าการและคณาจารยไ์ ปสศู่ ูนย์กลางการศึกษาดา้ นพระพุทธศาสนาอนั เปน็ ท่ยี อมรบั ในโลก โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ประเทศเพ่อื นบา้ นท่ีนบั ถือพระพทุ ธศาสนาทีไ่ ดร้ บั ความร้มู า โดยตรงตามประเพณี และยงั เปน็ การฟน้ื ฟสู ายธารวัฒนธรรมเก่าท่เี กดิ ขน้ึ ระหว่างอินเดียและประเทศ เหลา่ น้นั ๗. เพอื่ เชญิ ชวนนักวิชาการพระพทุ ธศาสนาทีม่ ีชื่อเสียงจากศลิ ปะแขนงตา่ ง ๆ ของ โลก เพื่อมาเยี่ยมชมสถาบนั ตามโอกาสและเสนอใหส้ อนในวชิ าที่ท่านเหล่านน้ั มีความเช่ียวชาญ ๘. เพอ่ื รวบรวมงานวจิ ารณ์,งานแปลและพิมพ์งานด้านพระพทุ ธศาสนาจากภาษา บาลี สนั สกฤต ทเิ บต จีน ญี่ปุน่ มองโกเลียและภาษาอน่ื ๆ ๙.เพ่ือรวบรวมเรียบเรียงและจดั พิมพต์ ้นฉบบั และงานวจิ ยั ในแงม่ ุมต่างๆ ของพุทธ วทิ ยา๖ ๕.๓ การเกิดข้ึนของมหาวิทยาลยั ในพระพุทธศาสนา ก่อนท่ีมหาวทิ ยาลัยทางพระพุทธศาสนาจะเกดิ ขึ้นนั้น ระบบการศึกษาของอินเดียได้มีการ เปล่ยี น แปลงมาประมาณ ๑,๐๐๐ ปแี ล้วนับต้ังแตพ่ ระพุทธเจ้าเสดจ็ อบุ ตั ขิ ้ึนมา ได้ทำลายระบบการ ๖Dr. Nand Kishor Prasad,Nava Nalanda Mahavihara, p.๕๗, อา้ งใน พระมหาบญุ ไทย ปุญญมโน. นาลนั ทามหาวิหารและนวนาลนั ทามหาวิทยาลยั , เขา้ ถึงจาก. http://www.mbu.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=๑๕๕๒&Itemid= ๐&limit=๑&limitstart=๓, สืบคน้ เมือ่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖.

๙๖ ผูกขาดของศาสนาพราหมณ์ เปดิ โอกาสให้ทกุ คนทุกชั้นวรรณะได้มโี อกาสศกึ ษาอยา่ งเตม็ ท่ี และให้ การศกึ ษาแก่ประชาชน ตามภาษาท้องถิน่ ไมจ่ ำกดั อยูเ่ ฉพาะภาษาสนั สกฤตเท่าน้ัน และการศึกษา ภายในวดั ทำใหม้ ีการเปล่ยี นแปลงระบบการศกึ ษาในครัวเรือน มาเปน็ การศึกษาแบบสถาบนั พระ เจา้ ศกั ราทิตย์ หรอื พระเจ้ากุมารคุปตะ ท่ี ๑ (พ.ศ.๙๕๘-๙๙๘) แห่งราชวงศค์ ปุ ตะ ได้ทรงสร้างวดั ขน้ึ วัดหนง่ึ ในสวนมะม่วงที่เมืองนาลันทา กษัตรยิ ์ราชวงศ์คุปตะองค์ต่อมา คือ พระเจา้ พุทธคุปตะ พระเจา้ ตถาคตคุปตะ พระเจ้าพาลาทิตย์ พระเจ้าวัชระ ได้สรา้ งวดั ขึน้ อีก ๔ วัดในบรเิ วณใกล้เคียงกัน ต่อจากน้นั พระองคไ์ ด้ทรงใหส้ ร้างกำแพงสงู ขึ้นล้อมรอบวดั ต่างๆ เหลา่ นน้ั ทง้ั หมด ทำให้วัดต่างๆ อยู่ ภายในกำแพงเดียวกนั โดยมีประตใู หญ่เข้าออกประตเู ดยี ว นอกจากนี้ ยังมีกษตั รยิ ์จากตา่ งประเทศ คือ พระเจ้าพาลปุตรเทวะแหง่ ชวา ไดไ้ ปสรา้ งวหิ ารที่นาลนั ทา ทำให้นาลนั ทากลายเปน็ ศูนยก์ ลาง การศกึ ษาพระพุทธศาสนาในรูปมหาวิทยาลยั ที่มชี ่อื เสียงโด่งดงั เปน็ ที่ร้จู ักกนั ดที ้ังในประเทศอนิ เดีย และตา่ งประเทศ๗ นกั ศกึ ษาที่มาเรยี นในมหาวิทยาลยั นาลนั ทา มที ง้ั คฤหัสถ์และบรรพชติ ทั้งมหายาน และ หนี ยาน ท้งั ชาวพทุ ธ และมใิ ชช่ าวพุทธ ท้งั ชาวอินเดียและชาวต่างประเทศ มหาวิทยาลยั ประกอบดว้ ย หอ้ งประชมุ ขนาดใหญ่ บรรจผุ ู้ฟังไดจ้ ำนวนพันข้ึนไป มี ๘ แห่ง มหี ้องเรยี น ๓๐๐ หอ้ ง นกั ศึกษา ทง้ั หมดพักอยู่ในมหาวทิ ยาลยั ๘ นาลนั ทามหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนา มชี ่อื เสียงมายาวนาน ตงั้ อยูช่ านเมืองราชคฤห์ เมอื ง นาลันทา รงุ่ เรืองมากในสมัยพุทธกาล คมั ภีร์สมุ ังคลวลิ าสนิ ี ยนื ยันว่า ตวั เมอื งนาลันทาอยู่ห่างจากเมือง ราชคฤหเ์ พียงหน่ึงลี้๙เท่านนั้ เมืองนาลนั ทาเปน็ สถานท่ีอนั น่ารื่นรมย์ บรรดานักบวชและผู้บำเพญ็ ประโยชน์ท้ังหลาย ไม่วา่ อยใู่ นนิกายหรอื ลัทธใิ ด ตา่ งกน็ ิยมมาบำเพญ็ ความเพียร ณ เมืองนาลนั ทาน้ี ทา่ นมหาวีระศาสดาแหง่ ศาสนาเชน ไดใ้ ชเ้ วลาส่วนใหญเ่ ผยแพร่คำสอนอยู่ทน่ี ่ี ถงึ ๑๔ พรรษา หรือ แมแ้ ต่นาคารชุน นักปราชญ์ ชาวอนิ เดียผูก้ ่อตัง้ สำนักมธั ยมกะ ในนิกายมหายาน (มีชวี ิตในชว่ ง ประมาณ พ.ศ.๗๐๐-๘๐๐) เป็นนักคดิ ชาวพุทธทมี่ ีอิทธิพลสูงสุด มหาวิทยาลัยในพระพทุ ธศาสนา-ใน สมัยนั้นจงึ ไดแ้ บ่งเปน็ -๕-มหาวทิ ยาลัย--ประกอบดว้ ย ๕.๓.๑ มหาวทิ ยาลยั วลภี (University of Valabhi) มหาวิทยาลัยนาลนั ทาเปน็ ศนู ยก์ ารศึกษาพระพทุ ธศาสนามหายานและวชิ าการ อ่ืนๆ ในภาคตะวนั ออก ในขณะทม่ี หาวทิ ยาลยั วลภีเป็นศูนยก์ ารศกึ ษาพระพุทธศาสนาหีนยาน (เถรวาท) ใน ภาคตะวนั ตก๑๐ มหาวทิ ยาลยั ท้ังสอง เจรญิ รุ่งเรืองอยู่ในยคุ ใกลเ้ คียงกนั ๗ พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), ปรัชญาการศึกษาไทย,หน้า ๒๒๗. อ้างใน พระมหาสมจินต์ สมมฺ าปญฺโญ. เรือ่ งเดียวกัน, หน้า ๓๘. ๘ P.V.Bapat. 2500 years of Buddhism., pp.163. อ้างใน พระมหาสมจินต์ สมมฺ าปญฺโญ. เรื่อง เดียวกนั , หนา้ ๓๘. ๙ มาตราวัดขนาดจีน ๑ เซียะ เท่ากับ ๓๓.๓๓ ซม., ๑ ลี้ เท่ากับ ๕๐๐ เมตร, ๑ ช่ัวยาม เท่ากบั ๒ ชั่วโมง, ๑ ช่งั เท่ากบั คร่งึ กิโลกรมั หรอื ๕๐๐ กรัม. ๑๐ Lbid., p.๑๖๔, อ้างใน พระมหาสมจินต์ สมมฺ าปญฺโญ. เรอ่ื งเดียวกนั , หน้า ๒๗.

๙๗ สมณะเฮ่ียนจง๋ั พบอาคารนับร้อยหลัง ท่ีมหาวทิ ยาลยั วลภี มนี สิ ิตประมาณ ๖,๐๐๐ คน นกั ปราชญท์ ี่มชี อื่ เสียงมากท่ีสุด ๓ ทา่ น คือ ๑.ชยเสนะ ๒.คุณมติ และ ๓.สถิรมติ สมณเฮย่ี นจง๋ั บนั ทึก ไวว้ ่า อำนาจอธปิ ไตยในการปกครอง เปน็ ของผมู้ ีกำเนิดกษัตรยิ ์ หลานของพระเจา้ ศักราทิตย์ผ้เู ป็นอดตี กษตั รยิ ์แหง่ มัลวะ และพระโอรสบุญธรรมของพระเจา้ ศักราทิตย์ ปกครองอยู่ทก่ี านยกุพชะ พระนาม ของพระองค์ คือ ธรวุ ภฏะ (Thruva bhata-Tu-lo-po-po-ta) พระองค์เป็นคนใจร้อน วิสัยทศั นต์ น้ื แตเ่ ลื่อมใสศรัทธาในพระพทุ ธศาสนาอยา่ งแท้จรงิ ธรุวภฏะ นีแ่ หละเป็นผูอ้ ปุ ถมั ภม์ หาวิทยาลยั วลภี สมณะอ้ีจิงบันทึกไวว้ ่า มหาวิทยาลยั วลภีเป็นศนู ยก์ ารศกึ ษาช้ันสงู ของพระพุทธศาสนาอีกแห่ง หน่งึ เจริญรุ่งเรอื งควบคู่กบั นาลันทา ต้งั อยู่ในเมืองวลภี หรอื วลภบี รุ ี ในแคว้น วาลาแห่งกฐิยาวาร์ (Wala State of Kathiawar) ศูนยก์ ารศึกษาและกจิ กรรมทางศาสนาแควน้ น้มี ีหลายแหง่ แต่วลภี ยิ่งใหญ่ทสี่ ดุ พระราชนิ ีทดุ ดา(Dudda) พระธิดาของ น้องสาวของธรุสวเสนะที่ ๑ (Thrusva sena I) เปน็ ผ้กู อ่ สรา้ งอาคารหลงั แรก ในเบ้ืองตน้ เป็นวิทยาลยั วดั (monastic college) ต่อมา มกี ารสร้าง อาคารหลายหลังข้ึนในวดั เชน่ อาภยนั ตรกิ วิหารของท่านมมิ มา ภัพพปาทวหิ ารของท่านภัททันตะ สถิรมติ ฮุยลีบันทึกไว้ว่า แนวคิดที่โดดเด่นซึ่งใช้ศึกษาในมหาวิทยาลัยวลภี เป็นสำนักสัมมีติยะ แห่ง หีนยาน แต่จากบันทึกของสมณะอี้จิง พอจะสันนิษฐานได้ว่า มหาวิทยาลัยวลภีเปิดสอนวิชาการทาง โลกทั่วไปด้วยราชสำนักและมหาเศรษฐีให้ความอุปถัมภ์ โดยเฉพาะงานห้องสมุดของมหาวิทยาลัย วลภี มีช่ือเสียงและความรุ่งเรืองปรากฏชัดเจนในหนังสือกถาสริตสาคร ของท่านโสมเทวะ และใน หนังสือยังได้กล่าวไว้ว่า พราหมณ์แห่งที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคา นิยมส่งบุตรหลานมาเรียนวิชาช้ันสูงที่ มหาวิทยาลัยวลภีมาก ส่งไปเรียนที่พาราณสีหรือนาลันทา ซ่ึงแม้จะอยู่ใกล้กว่า เช่น วาสุทัตตะส่ง บตุ รชายชอ่ื วษิ ณทุ ัตตะอายุ ๑๖ ปีมาเรียนวิชาชั้นสงู ๑๑ ๕.๓.๒ มหาวทิ ยาลัยโอทันตบุรี (Odantapura,Odantapuri) มหาวิทยาลยั โอทนั ตบรุ ี ในระยะเริ่มต้นมีฐานะเปน็ มหาวิหารเหมือนกับมหาวทิ ยาลัย อน่ื มภี กิ ษุอยูม่ ากถึง ๑๐,๐๐๐ รปู เกิดขน้ึ ก่อนสมยั ราชวงศ์ปาละ ตอ่ มารับอปุ ถมั ภจ์ ากราชวงศ์ปาละ ไดร้ ับการพัฒนาข้ึนเป็นมหาวิทยาลยั ตามลำดบั ในยคุ เรม่ิ ต้น โคปาละผสู้ ถาปนาราชวงศ์ปาละ เมื่อทรง สร้างเมืองหลวงใหม่แหง่ โอทันตบุรใี นแคว้นมคธ ทรงดำริว่า ควรจะสร้างทนี่ ี้ใหเ้ ป็นศูนยก์ ารศึกษา พระพทุ ธศาสนาเหมอื นกบั นาลนั ทาแหง่ ราชวงศ์คปุ ตะ โคปาละจึงสร้างมหาวหิ ารข้นึ หา่ งจากนาลนั ทา ประมาณ ๖ ไมล์ โดยสร้างบรเิ วณทะเลสาบที่นำ้ แหง้ หมดแลว้ หลกั ฐานบางแห่งบอกวา่ รามปาละ แห่งราชวงศป์ าละเป็นผู้สรา้ งขึ้น ท่ีเมืองหลวงชอ่ื รามาวดี เป็นศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธศาสนา โอทนั ตบุรีนเี่ องเป็นต้นแบบการสรา้ งวัดในทิเบต (ประมาณ พ.ศ.๑๒๙๒) ความยิ่งใหญ่ของ โอทันตบุรี เหน็ ได้จากข้อความตอ่ ไปนี้ วดั ซ่ึงมวี ิหารอย่หู ลายหลงั มีวทิ ยาลัย ๔ แหง่ มีอาคารอน่ื ๆ อีกหลายหลงั แวดล้อมดว้ ย กำแพงวงกลมยาวประมาณ ๑ ไมล์ (๑.๖๐๙ กม.) หนั หนา้ ไปยงั ทิศทัง้ ส่ี ตามกำแพงจะมเี จดีย์ข้างบน ทำดว้ ยอฐิ (votive brick chaitya) ตรงกลางกำแพง มีห้องประชุมใหญ่ มีทางระเบียงเดนิ ไปหอสวด ๑๑ Ranama Shankar Tripathi. Op. Cit., pp.109-122. และ Lal Mani Joshi. Op.cit., pp.๑๓๗-๑๓๘.

๙๘ มนตท์ ัง้ สี่ (ทิศ) มรี ูปปน้ั และ(พระพุทธ)รปู หลอ่ ทองคำบริสทุ ธิ์บรรจอุ ย่ใู นวหิ าร เชงิ เทยี นและกระถาง ธูปล้วนทำด้วยทองและเงนิ ท่านธรรมรกั ขติ ะผู้เช่ียวชาญหีนยาน ซ่งึ เป็นอาจารย์ของทีปังกรศรญี าณ (พ.ศ.๑๕๒๓-๑๕๙๗) สอนประจำอยู่ ณ มหาวทิ ยาลัยนี้ ในยุคทเี่ จริญรงุ่ เรอื ง มีนิสติ ประมาณ ๑๒,๐๐๐ คน ซง่ึ แสดงให้เห็น วา่ โอทันตบรุ เี ป็นมหาวิทยาลยั ขนาดใหญ่ ทำหน้าที่ในฐานะเปน็ ศูนย์การศึกษา พระพุทธศาสนา ๓๕๑ ปี (พ.ศ.๑๒๙๒-๑๖๔๐)๑๒ ๕.๓.๓ มหาวทิ ยาลัยวิกรมศิลา (University of Vikramasila) มหาวิทยาลยั วิกรมศิลาเปน็ มหาวทิ ยาลยั ท่เี กดิ ขึน้ ในยุคต่อมา กษัตรยิ ธ์ รรมปาละเป็น ผ้สู ร้าง ตง้ั อยู่ ณ บริเวณเชิงเขาชัน (bluff-hill) ดา้ นฝั่งขวาของแมน่ ำ้ คงคา ในแคว้นมคธ ซ่งึ เป็นจุดที่ แม่นำ้ ไหลขน้ึ เหนือ แตไ่ มส่ ามารถกำหนดจุดที่ตง้ั แน่นอนได้ จุดท่ีมหาวิทยาลัยตง้ั อยู่อาจถกู นำ้ กัดเซาะ พังหมดแล้วก็ได้ ปัจจบุ ันนา่ จะอยใู่ นบริเวณทรี่ าบลุ่มเบงกอลและพิหาร มชี ่ือเตม็ ว่า ศรีมทั วิกรมศิลา เทวมหาวหิ าร หรือ วิกรมบรุ ีมหาวิหาร กษตั รยิ ์ราชวงศป์ าละแห่งเบงกอล ให้ความอุปถัมภ์วกิ รมศิลา (พ.ศ. ๑๓๑๓-๑๓๕๓) สนั นษิ ฐานว่า กษัตรยิ ์ ผกู้ อ่ สร้างคือ ธรรมปาละ ซึ่งเป็นกษัตรยิ ์องค์ที่ ๒ แห่ง ราชวงศป์ าละ ข้ึนครองอำนาจโดยรวมอาณาจกั รเล็กๆ เข้าด้วยกัน ธรรมปาละเป็นกษัตรยิ ท์ ีไ่ ดร้ ับการ เทดิ ทูนอย่างสูงจากประชาชนจากการขุดค้น พอจะไดห้ ลกั ฐานว่า วกิ รมศิลา คือ พน้ื ทบ่ี รเิ วณ สุลตันคญั ชะ ในอำเภอภคลั ปรู ข์ องรฐั พิหาร วกิ รมศิลามสี ถานะเปน็ มหาวหิ ารและจดั โครงสรา้ ง มหาวทิ ยาลัย เหมือนนาลันทา มีประตูใหญ่ ๖ ประตู มีนายทวารปาละเป็นบณั ฑิต(นา่ จะคอยทำหนา้ ท่ี สอบ สัมภาษณ์ผูป้ ระสงคจ์ ะเขา้ เรียน) ท่านทีปังกรศรีชญาณ พระโอรสแห่งกษัตริย์กัลยาณศรีและพระมาดารชื่อว่า ศรีประภาวดี (พ.ศ.๑๕๒๓-๑๕๙๖ โดยประมาณ) เกิดในซาฮอร์ อินเดียตะวันออก หลังจากจบการศึกษาที่ มหาวิทยาลัย โอทันตบุรีแล้ว ได้มาเป็นอธิการบดีแห่งวิกรมศิลาในปี พ.ศ.๑๕๗๗-๑๕๘๑ เนื่องจาก วกิ รมศิลาอยู่ไม่ไกลจากพระราชวัง ต่อจากนั้นท่านได้รับเชิญไปทิเบตเพ่ือปฏิรูปพระพุทธศาสนา ท่าน เปน็ ผ้กู ่อต้งั นกิ ายลามะ(Lamaism) ในทเิ บต๑๓ ความย่งิ ใหญ่ของวิกรมศิลาไม่น้อยไปกวา่ นาลนั ทา ภายในบรเิ วณพน้ื ทม่ี หาวทิ ยาลยั มีวหิ าร ๑๐๘ หลัง แบง่ เปน็ ๖ วทิ ยาลัย มีนกั ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา (บณั ฑิต) ๑๐๘ คน ทำหนา้ ที่เปน็ ผนู้ ำในด้านศาสนา นกั ปราชญเ์ หลา่ นี้ไดร้ ับการดแู ลอยา่ งดีจากรัฐวกิ รมศิลา มีชอ่ื เสียงด้านการศึกษา ตนั ตระ แตม่ ีการศึกษาวิชาอนื่ ด้วย ดงั ขอ้ ความต่อไปนี้๑๔ มหี ้อง (chambers) ประกอบพธิ ี ๑๐๘ ห้อง จำนวน ๕๓ ห้องสำหรบั ประกอบพิธีลึกลบั (esoteric practice หมายถงึ พธิ ฝี ่ายตนั ตระ) ๕๔ หอ้ งสำหรับใชท้ วั่ ไป แม้จะเป็นสถาบนั พิเศษสำหรับ ตนั ตระ แตม่ ีการสอนวชิ าไวยากรณ์ ปรชั ญา ตรรกศาสตร์ เปน็ ต้นด้วย วกิ รมศลิ าเปน็ ศูนยแ์ ปลตำรา สันสกฤตเป็นภาษาทิเบต ๑๒ Sukumar Dutt.Op.Cit., pp.354-358. อา้ งใน พระมหาสมจนิ ต์ สมมฺ าปญฺโญ. เรื่องเดยี วกนั , หนา้ ๒๙. ๑๓P.V.Bapat. Op. Cit., pp.168-169. อ้างใน พระมหาสมจนิ ต์ สมมฺ าปญโฺ ญ. เรอื่ งเดยี วกนั , หนา้ ๒๙. ๑๔ Lbid., p. ๑๓๙ อา้ งใน พระมหาสมจินต์ สมมฺ าปญโฺ ญ. เรื่องเดยี วกนั , หน้า๒๙..

๙๙ บัณฑติ ศากยะ ศรีภทั ระ จาริกมาเย่ียมชมท่แี ห่งนี(้ พ.ศ.๑๖๘๘-๑๗๖๘) และเมื่อท่านธรรมสวามีจารกิ มาถึงสถานท่ีแห่งน้ี (พ.ศ.๑๖๙๖-๑๗๕๙) ยังเหน็ ความรุ่งเรืองอยู่ ซึ่งแสดงว่าวิกรมศลิ าเจริญรงุ่ เรอื งอยู่ เปน็ เวลาประมาณ ๔๕๕ ปี (พ.ศ.๑๓๑๓-๑๗๖๘)๑๕ ๕.๓.๔ โสมบรุ ี (Sompura, Somapuri) สมณะเฮีย่ นจงั๋ เดินทางถึงจังหวัด ปุณฑรวรรธนะ (Pundravardhana) ในปี พ.ศ. ๑๑๘๒ เห็นพุทธสถาน(Buddhist Establishments) ณ บรเิ วณนี้ แตก่ ลับมีพวกเชน (นิครนถ/์ นกั บวช เปลอื ย)และมีวัดเชนมากกวา่ โดยเฉพาะในหมู่บา้ นพาหาร์ปรู ์ (Paharpur) อำเภอราชษหิ (Rajshahi) เมื่อราชวงศ์ปาละมีอำนาจ(พ.ศ.๑๑๔๙-๑๑๘๖ โดยประมาณ) กษัตริยใ์ นราชวงศน์ จ้ี ึงสรา้ งมหาวิหาร ชอื่ ว่า ธรรมปาลมหาวิหารแหง่ โสมบรุ ี (Dharmapala Mahavihara of Sompura) กษัตริย์ท่สี รา้ งพระ นามว่า เทวปาละ(พ.ศ. ๑๓๕๓-๑๓๙๓ โดย ประมาณ) ซึ่งเป็นพระราชโอรสสบื รชั ทายาทของธรรมปา ละ ราชวงศ์ปาละถือวา่ เป็นราชวงศ์ แหง่ การศึกษาอย่างแท้จรงิ จากหลกั ฐานจารกึ บนแผ่นทองแดงซึ่งมีอายุอยู่ในปี พ.ศ.๑๑๒๒ คน้ พบที่ซากมหาวหิ าร ระบุ ว่าบรเิ วณน้ี พราหมณ์สามีภรรยาจัดสรรไวเ้ พื่อบูชาพระอรหันต์ ผถู้ วาย คือ นาถสารม์ มา (Nathasarmma) และรามี (Rami) นกั บวชเชนชือ่ คหุ นนั ที (Guhanandi) เปน็ หวั หน้าท่ีน่ี ตำบลน้ชี อ่ื วา่ วฏ-โคหาล(ี Vata-Gohali) เมอ่ื มีการปรบั ปรุงและออกแบบสถานทใี่ หม่ ได้มีการดดั แปลงวดั เชนเปน็ วัดทางพระพุทธศาสนา โดยกษตั ริยป์ าละซึ่งนับถือพระพุทธศาสนา โสมบรุ ีซึง่ มีฐานะเปน็ เมืองเล็กๆ จึง เจรญิ ร่งุ เรืองข้ึน ดังหลักฐานทป่ี รากฏ ประตใู หญห่ นั หน้าไปทางเหนอื ดา้ นนอกมเี มืองลอ้ มรอบ เดนิ เข้าประตูไปจะพบวหิ ารรายรอบ มีกำแพงล้อมรอบ คั่นเป็นตอนโดยมุข มีบนั ไดรอบสามด้าน มหี ้องพัก สำหรบั ภิกษุ ๑๗๗ ห้อง เปน็ รปู สี่เหลยี่ มผนื ผ้า ไมม่ ีเตียงนอน แต่มีแทน่ บูชา มีห้องครวั และห้อง รับประทานอาหารรวม มีเจดยี ์แบบพม่ารูปทรงปิรามิด ศิลปกรรมหลายอยา่ งบ่งถึงวดั ในทาง พระพุทธศาสนา ของพม่า ชวา และกมั พชู า มหาวิทยาลัยโสมบุรี (มหาวิหาร) เจรญิ รุ่งเรอื งในฐานะ เป็นศูนย์การศึกษาอยเู่ กอื บ ๔๐๐ ปี จากประมาณ พ.ศ. ๑๔๔๓ ถึง พ.ศ.๑๗๔๓ โสมบุรสี บื ทอด ประเพณขี องนาลันทาต่อจากโอทันตบรุ ีและวิกรมศิลา๑๖ ๕.๓.๕ มหาวิทยาลัยชคทั ทละ (Jagaddala) มหาวิทยาลยั ชคัททละเป็นศนู ยก์ ารเรียนพระพุทธศาสนาที่ยง่ิ ใหญแ่ หง่ สดุ ท้ายซ่ึง สรา้ งขนึ้ โดยกษตั รยิ ใ์ นราชวงศ์ปาละ พระเจ้ารามปาละทรงรเิ ริ่มสรา้ งไวบ้ นริมฝ่ังแมน่ ำ้ คงคาและ แมน่ ้ำกโรโตยา(พ.ศ.๑๖๒๗-๑๖๗๓) อยู่ในบรเิ วณเบงกอลตอนเหนอื เดมิ ทีเดียวมีชอ่ื ว่า วาเรนระ (Varendra หรือ วาเรนทรี-Varendri) เมืองหลวงชือ่ รามาวดี เป็นราชอาณาจกั รของพระเจ้ารามปาละ มหาวหิ ารประจำเมืองชื่อชคัททละ ชคัททละมีความยิ่งใหญ่เหมือนกบั มหาวทิ ยาลยั พระพุทธศาสนา อื่นๆ ดงั ที่กวีกล่าวว่า ๑๕ Sukumar Dutt.Op.Cit., pp.359. อา้ งใน พระมหาสมจนิ ต์ สมมฺ าปญโฺ ญ. เรือ่ งเดยี วกัน, หน้า ๓๐. ๑๖ Sukumar Dutt.Op.Cit., pp.371-376. อ้างใน พระมหาสมจนิ ต์ สมมฺ าปญฺโญ. เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๓๑.

๑๐๐ (วาเรนทรี) ซึ่งมชี า้ งตระกลู มันทระ นำมาจากป่า เปน็ ท่ีต้ังแหง่ ชคทั ทลมหาวหิ าร เปน็ ที่สั่งสมกรณุ าใน สรรพสตั ว์ ซ่งึ ชาวเมืองสะท้อนออกมาโดยการสร้างเทวรูปอวโลกิเตศวร และเทวรปู นยี้ ิง่ ไดร้ ับความนบั ถือมากขน้ึ เม่ือไดร้ ับสถาปนา ขึ้นเปน็ ใหญแ่ ห่งวิหารและเทพตี ารา มหาวทิ ยาลยั ชคัททละกลายเป็นแหลง่ พกั พงิ ของนักปราชญแ์ ห่งพระพุทธศาสนา ตันตระมีความสัมพันธ์ฉนั มิตรกับศนู ย์พระพทุ ธศาสนาแบบทิเบต ท่สี ำคัญ คือการแปลคัมภรี ์ พระพุทธศาสนาจากภาษาสนั สกฤตเป็นภาษาทเิ บต ทงั้ สว่ นท่เี ป็นกันจรุ ์ (Kanjur-พระไตรปฎิ ก) และ ตันจุร์ (Tanjur-อรรถกถา) ได้จดั ทำท่ชี คทั ทละ น่เี อง ภิกษชุ าวแคชเมยี รห์ รอื จากถิ่นอ่นื เม่ือ มหาวทิ ยาลัยโอทนั ตบุรี และวิกรมศลิ าถกู ทำลาย ได้เดินทางมาศกึ ษาพระพุทธศาสนา ระบบ มหาวทิ ยาลยั ณ ชคัททละนี้๑๗ สรปุ ได้ว่า การศึกษาพระพุทธศาสนา ในระบบมหาวทิ ยาลยั เรม่ิ ท่ีมหาวิทยาลัยนาลันทา และ สบื ทอดกนั เรื่อยมาในมหาวิทยาลัยตา่ งๆต้งั แตส่ มยั ราชวงศ์คุปตะถงึ ราชวงศ์ปาละเม่อื ส้ินราชวงศ์ปาละ (พ.ศ.๑๖๓๘) มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาเร่ิมเปล่ยี นนโยบายตามแนวคดิ ของผูบ้ รหิ ารและผอู้ ุปถัมภ์ โดยเฉพาะผู้อปุ ถัมภ์มีบทบาทสำคญั ในการกำหนดนโยบาย แตไ่ มส่ ามารถอยรู่ อดได้ กล่มุ เสนา (Senas) จากอินเดียตอนใต้ มอี ำนาจปกครอง รอ้ื ฟ้นื นิกายวิษณุดัง้ เดิม (orthodox Vaishanavism) ขึน้ มาใหม่ สนับสนุนมหาวิทยาลัยตันตระ (Tantric Universities) ให้เป็นศนู ย์การศึกษาและ วัฒนธรรม๑๘ ๕.๔ พฒั นาการของมหาวิทยาลัยพระพทุ ธศาสนาในประเทศไทย การศึกษา คือ การสร้างคนให้มีความรู้ ความสามารถมีทักษะพื้นฐานที่จำเป็น มีลักษณะนิสัย และจิตใจที่ดีงาม มีความพร้อมท่ีจะอยู่ร่วมในสังคม เพ่ือการประกอบอาชีพเล้ียงดูตนเอง และบุคคล รอบขา้ ง การศึกษาชว่ ยให้คนเจรญิ งอกงาม ท้ังทางสติปัญญา จิตใจ ร่างกาย และสังคม พระสงฆ์ก็ควร จะได้รับการพัฒนาตามอัตภาพท่ีพอจะเอื้ออำนวย จึงเกิดแนวความคิดในการจัดตั้งสถาบันการศึกษา ในระดบั อดุ มศกึ ษา เพือ่ ใหม้ คี วามรู้ ความสามารถสืบทอดพระพุทธศาสนา ๕.๔.๑ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั พทุ ธศักราช ๒๔๓๐ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้า เจา้ อยหู่ วั รัชกาลท่ี ๕ ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ใหย้ า้ ยการบอกพระปรยิ ตั ธิ รรมจากวัดพระศรรี ัตน ศาสดาราม (วดั พระแกว้ )ไปต้ังที่ วดั มหาธาตุฯ เพ่ือเป็นทเ่ี ล่าเรียนพระปรยิ ตั ธิ รรมของพระสงฆ์ฝา่ ย มหานิกายและโปรดให้เรียกว่า“มหาธาตุวิทยาลัย” และในวันท่ี ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๓๒ มหาธาตุวทิ ยาลัยได้เปดิ การศึกษาอยา่ งเป็นทางการ ๑๗ Sukumar Dutt.Op.Cit., pp.๓๗๖-๓๘๐.อา้ งใน พระมหาสมจนิ ต์ สมมฺ าปญโฺ ญ. เรื่องเดยี วกัน, หน้า ๓๒. ๑๘ Phra Rajavaramuni (P.A.Payotto). อ้างใน พระมหาสมจนิ ต์ สมมฺ าปญโฺ ญ. เรอ่ื งเดียวกัน, หน้า ๓๒.

๑๐๑ วนั ท่ี ๑๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๓๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั ได้ พระราชทานเปล่ยี นนาม “มหาธาตุวิทยาลัย” เปน็ “มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” เพื่อเป็น สถานศึกษาพระไตรปฎิ กและวชิ าช้ันสูงสำหรับบรรพชติ และคฤหัสถ์ วันที่ ๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๙๐ พระเถรานุเถระฝา่ ยมหานกิ าย ๕๗ รูป นำโดยพระพิมล ธรรม (ช้อย ฐานทตฺตเถร) อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตฯุ ประชมุ กันที่ตำหนักสมเดจ็ ฯวดั มหาธาตฯุ ไดข้ ้อยตุ ิ รว่ มกันให้เปดิ การศึกษาในรปู แบบมหาวิทยาลยั จึงได้ประกาศใช้ระเบยี บมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั พุทธศกั ราช ๒๔๙๐ การจัดการศึกษาใชร้ ะบบมหาวทิ ยาลัยตั้งแตน่ ้นั มา แมจ้ ะไม่สามารถจดั การศึกษา ในระดบั อุดมศึกษาได้โดยตรง แต่การจดั หลกั สตู ร ถือวา่ เป็นการวางพนื้ ฐานในระดับอดุ มศกึ ษาไวแ้ ลว้ วันท่ี ๑๘ กรกฎาคม พทุ ธศกั ราช ๒๔๙๐ เปดิ การศกึ ษาอบรมพน้ื ฐานและ พทุ ธศักราช ๒๔๙๓ เปิดดำเนินการศกึ ษาคณะพทุ ธศาสตร์ ในระดับปรญิ ญาตรี หลักสตู ร ๔ ปี นบั จากน้ันถงึ ปจั จุบัน ก็ได้ดำเนนิ กจิ กรรมการเรียนการสอน ทำหน้าทผ่ี ลติ บัณฑติ ทางพระพุทธศาสนาเรอื่ ยมา มกี าร ปรับปรุงหลายครงั้ พทุ ธศักราช ๒๕๓๘ ได้ดำเนนิ การศึกษาใน ๑๒ สาขาวิชา ซ่ึงทุกสาขาวชิ า กำหนดใหน้ สิ ติ ศึกษาวชิ าแกนพระพทุ ธศาสนา ๕๐ หนว่ ยกิต อนั เป็นภารกิจสำคัญในการสืบสานมรดก ทางวชิ าการพระพุทธศาสนา สว่ นหลักสตู รปรญิ ญาโท จัดทำข้นึ ในพุทธศักราช ๒๕๓๐ และปรับปรุง ใหม่ พทุ ธศักราช ๒๕๔๑ วนั ท่ี ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒ มหาเถรสมาคมได้ออกคำสงั่ เรื่อง การศึกษาของ มหาวทิ ยาลยั สงฆ์ พุทธศักราช ๒๕๑๒ ใหก้ ารศกึ ษาของมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย ในพระบรม ราชปู ถัมภ์ ณ วดั มหาธาตุฯ เป็นการศึกษาของคณะสงฆ์ วนั ท่ี ๗ มิถนุ ายน พุทธศกั ราช ๒๕๒๑ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ในพระบรมราชูปถัมภ์ เรม่ิ ขยายการศกึ ษาไปสภู่ มู ิภาค โดยตงั้ วิทยาเขตหนองคายขึน้ เปน็ แห่งแรกท่ีจังหวัดหนองคาย ปจั จุบัน (พทุ ธศักราช๒๕๕๖) มีวทิ ยาเขต ๑๐ แห่ง วิทยาลัยสงฆ์ ๑๒ แหง่ โครงการขยายห้องเรียน ๔ แห่ง หนว่ ยวิทยบรกิ าร ๑๘ แหง่ และสถาบันสมทบ ๗ แห่ง วนั ท่ี ๒๗ กันยายน พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๗ ได้มกี ารตราพระราชบัญญัตกิ ำหนดวิทยฐานะผูส้ ำเร็จ วิชาการพระพทุ ธศาสนา กำหนดใหผ้ ู้สำเรจ็ หลกั สตู รปรญิ ญาพุทธศาสตรบัณฑติ จากมหาจฬุ าลงกรณ ราชวิทยาลยั ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ มวี ิทยฐานะช้ันปรญิ ญาตรี วนั ท่ี ๒๑ กนั ยายน พุทธศักราช ๒๕๔๐ ได้มกี ารตราพระราชบัญญตั ิมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลัย กำหนดให้มหาวทิ ยาลยั เปน็ นติ บิ ุคคล มีสถานะเปน็ มหาวิทยาลัยในกำกบั ของรฐั วนั ท่ี ๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ คณะผู้บริหารมหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราช วทิ ยาลัยไดเ้ ขา้ เฝ้าสมเด็จพระบรมโอรสาธริ าชฯ สยามมกุฎราชกุมาร รับพระราชทานโฉนดทดี่ นิ จำนวน ๘๔ ไร่ ๑ งาน๓๗ ตารางวา ณ ตำบลลำไทร อำเภอวังนอ้ ย จงั หวัดพระนครศรอี ยุธยา ซึ่ง นายแพทย์รัศมี คุณหญงิ สมปองวรรณสิ สร ถวายแก่มหาวทิ ยาลยั วันท่ี ๑๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ สมเด็จพระบรมโอรสาธริ าช ฯ สยามมกุฎราชกมุ าร เสดจ็ พระราชดำเนนิ ทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษโ์ ครงการกอ่ สร้างท่ีทำการแหง่ ใหม่ ของมหาวทิ ยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ณ เลขท่ี ๙๗ หมู่ ๑ ตำบลลำไทร อำเภอวงั น้อย จงั หวัด พระนครศรีอยธุ ยา มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย เปิดสอนระดบั ปรญิ ญาตรี ตง้ั แต่ พทุ ธศักราช ๒๔๙๐ เปน็ ตน้ มา พุทธศกั ราช ๒๕๕๓ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต)

๑๐๒ อธกิ ารบดีและคณะผบู้ รหิ ารมหาวทิ ยาลัยไดเ้ รม่ิ ดำเนนิ การก่อสร้างท่ีทำการแหง่ ใหม่ของมหาวทิ ยาลยั พร้อมทัง้ จัดซื้อทด่ี นิ เพมิ่ เตมิ มเี นอ้ื ที่ท้งั หมด รวม ๓๒๓ ไร่ ปัจจุบันเปิดสอนใน ๔ คณะ มีหลักสูตรพทุ ธศาสตรบัณฑิต รวม ๓๓ สาขาวิชา คอื คณะพุทธ ศาสตร์ ๑๓ สาขาวิชา คณะครศุ าสตร์ ๙ สาขาวชิ า คณะมนุษยศาสตร์ ๕ สาขาวิชา และคณะ สังคมศาสตร์ ๖ สาขาวชิ า โดยหลักสตู รทัง้ หมดน้ี ยงั ไดเ้ ปิดสอนท่ีวิทยาเขต วทิ ยาลัยสงฆ์ โครงการ ขยายหอ้ งเรียน หน่วยวทิ ยบริการ และสถาบนั สมทบของมหาวิทยาลัย ๑.ระดบั ปริญญาตรี ๑.๑ หลักสูตรคณะพุทธศาสตร์ ๑. สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา ๒. สาขาวชิ าพระอภิธรรม ๓. สาขาวชิ าศาสนา ๔. สาขาวิชาปรัชญา ๕. สาขาวิชาบาลพี ุทธศาสตร์ ๖. สาขาวิชาภาษาบาลี ๗. สาขาวชิ าภาษาสันสกฤต ๘. สาขาวชิ ามหายานศึกษา ๙. สาขาวิชาพุทธศิลปกรรม ๑๐. สาขาวชิ า Mahayana Studies ๑๑. สาขาวชิ า Buddhism and Management ๑๒. สาขาวิชา Chinese Buddhism ๑๓. สาขาวชิ า Buddhist Leadership ๑.๒ หลักสูตรคณะครุศาสตร์ ๑. สาขาวชิ าการบรหิ ารการศึกษา ๒. สาขาวชิ าการศึกษานอกโรงเรียน ๓. สาขาวิชาสงั คมศกึ ษา ๔. สาขาวชิ าการสอนภาษาไทย ๕. สาขาวิชาการสอนภาษาองั กฤษ ๖. สาขาวิชาคณติ ศาสตร์ ๗. สาขาวิชาจติ วทิ ยาการใหค้ ำปรึกษาและการแนะแนว ๘. สาขาวิชาจรยิ ศึกษา ๙. สาขาวชิ าการสอนพระพุทธศาสนา ๑.๓ หลกั สตู รคณะมนุษยศาสตร์ ๒. สาขาวิชาภาษาองั กฤษ ๑. สาขาวชิ าภาษาไทย ๔. สาขาวชิ าพุทธจิตวทิ ยา ๓. สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ๕. สาขาวิชาจิตวทิ ยา ๑.๔ หลกั สูตรคณะสงั คมศาสตร์ ๑. สาขาวชิ ารัฐศาสตร์ ๒. สาขาวิชาสังคมวิทยา ๓. สาขาวิชามานษุ ยวทิ ยา ๔. สาขาวชิ าเศรษฐศาสตร์ ๕. สาขาวชิ าสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ ๖. สาขาวิชาการจดั การเชิงพทุ ธ ๒. ระดับปรญิ ญาโท มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั เปิดสอนระดับปริญญาโท ตง้ั แต่พุทธศกั ราช ๒๕๓๑ เป็นตน้ มา ปัจจุบันมหี ลักสูตรประกาศนียบตั รบณั ฑิต จำนวน ๒ หลกั สตู ร และหลักสตู รพทุ ธ ศาสตรมหาบณั ฑติ จำนวน ๑๗ สาขาวิชา

๑๐๓ ๒.๑ หลักสูตรประกาศนยี บัตรบัณฑิต ๑. หลกั สูตรประกาศนยี บตั รบณั ฑติ สาขาวชิ าพระไตรปิฎกศึกษา ๒. หลกั สูตรประกาศนียบัตรบณั ฑิต วิชาชีพครู ๒.๒ หลกั สูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต ๑. สาขาวิชาบาลี ๒.สาขาวชิ าพระพุทธศาสนา ๓. สาขาวิชาปรชั ญา ๔.สาขาวิชาธรรมนิเทศ ๕. สาขาวิชาศาสนาเปรียบเทยี บ ๖.สาขาวชิ าวิปสั สนาภาวนา ๗. สาขาวิชามหายานศึกษา ๘.สาขาวชิ ารฐั ประศาสนศาสตร์ ๙. สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา ๑๐.สาขาวชิ าชวี ติ และความตาย ๑๑. สาขาวิชาพทุ ธศาสตรแ์ ละศิลปะแหง่ ชีวิต ๑๒. สาขาวชิ าสันสกฤต ๑๓. สาขาวิชาภาษาศาสตร์ ๑๔. สาขาวชิ าการจดั การเชิงพุทธ ๑๕. สาขาวิชาการพัฒนาสังคม ๑๖. สาขาวชิ าพุทธจติ วทิ ยา ๑๗. สาขาวิชาภาษาองั กฤษ ๓.ระดบั ปริญญาเอก มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัยเปดิ สอนระดบั ปริญญาเอก ต้ังแต่พทุ ธศักราช ๒๕๔๓ เปน็ ต้นมา ปจั จบุ ัน มหี ลกั สตู รพทุ ธศาสตรดุษฎบี ณั ฑติ จำนวน ๗ สาขาวิชา คือ ๓.๑ สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา ๓.๒ สาขาวิชาปรชั ญา ๓.๓ สาขาวิชาบาลีพุทธศาสตร์ ๓.๔ สาขาวชิ าการจดั การเชิงพุทธ ๓.๕ สาขาวชิ ารฐั ประศาสนศาสตร์ ๓.๖ สาขาวชิ าพทุ ธจติ วิทยา ๓.๗ สาขาวิชาพทุ ธิบรหิ ารการศกึ ษา วนั ท่ี ๒๓ กมุ ภาพนั ธ์ พุทธศกั ราช ๒๕๔๔ ขยายการศกึ ษาไปยังตา่ งประเทศ โดยรับวิทยาลัย พุทธศาสนาดองกุก ชอนบอบ ประเทศเกาหลีใต้เข้าเป็นสถาบนั สมทบเป็นแห่งแรก ปัจจบุ นั มสี ถาบัน สมทบในต่างประเทศ ๖ แหง่ วันที่ ๑ ตลุ าคม พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ มหาวิทยาลัยไดย้ า้ ยที่ทำการจากวัดมหาธาตุและ วัดศรี สุดารามกรุงเทพมหานคร มายังท่ีทำการแหง่ ใหม่ ณ ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จงั หวัดพระนครศรี อยธุ ยา วนั ที่ ๓ ธันวาคม พุทธศกั ราช ๒๕๕๓ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสดจ็ พระราชดำเนิน ทรงประกอบพิธเี ปดิ ที่ทำการแห่งใหม่ของมหาวิทยาลยั ฯ ณ เลขที่ ๙๗ หมู่ ๑ ตำบลลำไทร อำเภอวงั น้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อย่างเป็นทางการ๑๙ ๑๙ พระมหาสมจินต์ สมฺมาปญโฺ ญ. อา้ งแล้ว เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๘๐๘๔.

๑๐๔ ภารกจิ ในการสืบสานมรดกทางวิชาการพระพุทธศาสนาของมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย ในปจั จบุ นั ถือวา่ ครบถ้วนทกุ ระดับ เพราะได้จัดการศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาควบคูก่ บั วิชาการ สมัยใหม่ ตงั้ แต่ระดับมัธยมศึกษา จนถึงระดบั ปริญญาเอก โดยมีปรชั ญา วัตถุประสงค์ของหลักสูตรทุก ระดบั มลี กั ษณะใกล้เคียงกนั คอื มงุ่ ให้บัณฑิตมีปฏิปทา น่าเลือ่ มใส ใฝ่รู้ ใฝ่คดิ เป็นผนู้ ำด้านจติ ใจ และ สตปิ ัญญา อทุ ิศตนเพอ่ื พระพุทธศาสนาเสยี สละเพื่อส่วนรวม มโี ลกทศั นท์ ี่กวา้ งไกล ๕.๔.๒ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลยั สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึง่ เป็นพระน้องยาเธอใน พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอย่หู วั รัชกาลที่ ๕ ได้มพี ระดำริจัดต้งั “มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั ” เพอื่ เฉลมิ พระเกยี รติพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยหู ัว รชั การที่ ๔ ขนึ้ ภายในวัดบวรนิเวศวิหาร พระบาทสมเด็จจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว รชั กาลท่ี ๕ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระบรมราชานุญาตให้ตงั้ วิทยาลัย เมอื่ วันท่ี ๑ ตุลาคม พุทธศกั ราช ๒๔๓๖ โดยวธิ ีจัดการศึกษาแบบ สมยั ใหม่ มลี กั ษณะแตกตา่ งจากการเล่าเรยี น ภาษาลาลี ตามประเพณีแบบเดมิ ในขณะเดยี วกัน ก็ นำเอาวธิ ีวัดผลแบบข้อเขยี นมาใชเ้ ปน็ แหง่ แรกของประเทศไทย และไดช้ ว่ ยปรับปรงุ โรงเรยี นสอนภาษา บาลี ชอ่ื “มหาธาตุวิทยาลัย” ภายในวดั มหาธาตขุ น้ึ เป็น “มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย” ตามพระราช ดำรสั ของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั รัชการท่ี ๕ เป็นลำดับตอ่ มา วันท่ี ๓๐ ธนั วาคม ๒๔๘๔ สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ในฐานะ ทท่ี รงเป็นนายกกรรมการมหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย พร้อมด้วยพระเถรานุเถระได้ทรงประกาศ แตง่ ต้ัง สถาบันการศึกษาชนั้ สูง ในรูปของมหาวทิ ยาลัยพระพุทธศาสนา ใชน้ ามวา่ “สภาการศึกษามหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย” วนั ท่ี ๑๙ กันยายน ๒๔๘๙ ทรงประกาศใชร้ ะเบยี บและหลกั สูตรของสภาการศกึ ษา มหามกฏุ ราชวิทยาลัย และเปดิ การอบรมการศกึ ษาแกภ่ ิกษุสามเณร โดยจัดเป็นหลักสตู รปริญญา ศาสนศาสตรบัณฑิตไว้ ๔ ปี และเปิดเรยี นในปนี ้เี ปน็ รนุ่ แรก พ.ศ.๒๕๐๕ เปล่ียนแปลงหลกั สตู รใหม่ แบ่งช้นั เรียนออกเปน็ ๗ ชัน้ คือ บรุ พศึกษา ๑ ชนั้ เตรียมศาสนศาสตร์ ๒ ชนั้ ปริญญาศาสนศาสตรบัณฑติ ๔ ชั้น ตัง้ แต่ปีที่ ๑-๕ เรยี นเตม็ ทุกวชิ า ในช้นั ปีที่ ๖-๗ แยกเรยี นเป็น ๒ สาขา คือ สาขาวิชาปรัชญา และสาขาวชิ าจิตวทิ ยา เพ่ือปรับสภาพให้ เข้ากับมาตรฐานของมหาวทิ ยาลยั ทวั่ ไป พ.ศ.๒๕๐๗ ไดเ้ ปลย่ี นแปลงหลกั สูตรอกี คอื ในชั้นปีที่ ๖-๗ แยกเรยี นเป็น ๗ สาขา คือ สาขาวชิ าปรชั ญา สาขาวิชาจิตวิทยา สาขาวชิ าสังคมศาสตร์ สาขาวิชาบาลี-สันสกฤต สาขาวิชา โบราณคดี สาขาวชิ าภาษาศาสตร์ สาขาวิชาการศึกษา แตส่ ามารถเปิดสอนไดเ้ พยี ง ๓ สาขา คือ สาขาวชิ าปรชั ญา สาขาวชิ าจติ วิทยา สาขาวชิ าสังคมศาสตร์ พ.ศ.๒๕๑๓ ไดเ้ ปิดการศกึ ษาครบ ๔ คณะ คือคณะศาสนาและปรชั ญา คณะ สงั คมศาสตร์ คณะศลิ ปศาสตร์ และคณะศึกษาศาสตร์ พ.ศ.๒๕๒๕ ไดเ้ ปลี่ยนชอ่ื คณะศิลปศาสตร์ เป็น คณะมนษุ ยศาสตร์

๑๐๕ พ.ศ.๒๕๓๐ เปิด การศกึ ษาชัน้ ปรญิ ญาโท เรยี กว่า บัณฑติ วทิ ยาลยั ขึน้ เม่ือวันที่ ๒๔ ธนั วาคม พ.ศ.๒๕๓๐ มี ๒ คณะ คือ คณะพุทธศาสนาและปรัชญา และคณะพุทธศาสนนเิ ทศ ได้เปิด ทำการสอน ในวนั ท่ี ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๑ ผสู้ ำเร็จการศึกษามสี ิทธริ ับปริญญาศาสนศาสตรมหา บณั ฑิต ใช้อักษรย่อวา่ ศน.ม. (สาขาวิชาพทุ ธศาสนาและปรัชญา) (สาขาวชิ าพุทธศาสนนิเทศ)๒๐ ๕.๔.๓ วิทยาลยั พุทธศาสตรแ์ ละปรชั ญา มหาวทิ ยาลัยราชภัฏพระนคร ได้กำหนดแผนยุทธศาสตรข์ องมหาวทิ ยาลัยราชภัฏ พระนคร ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ – ๒๕๕๒ ในยุทธศาสตร์ท่ี ๓ ตามเป้าประสงค์ท่ี ๓ ท่ีวา่ “มหาวิทยาลยั สร้าง ความเข้มแขง็ ทางดา้ นศาสนา ศลิ ปวฒั นธรรมไทย เพ่ือใหเ้ กดิ คณุ คา่ เพมิ่ ” โดยมหาวิทยาลยั ราชภัฏ พระนคร กำหนดกลยุทธ์ข้อที่ ๓ ว่าดว้ ยจัดโครงสรา้ งใหม้ วี ิทยาลัยพทุ ธศาสตร์และปรชั ญา โดยมี เป้าหมายผลติ บณั ฑิตทงั้ ระดบั ปรญิ ญาตรแี ละและสงู กวา่ ปริญญาตรี ด้านพระพุทธศาสนาและปรัชญา ทง้ั ตะวันตกและตะวนั ออก ศึกษาค้นควา้ วิจยั และเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาและปรัชญา รวมทั้งสรา้ ง องค์ความร้ใู หมๆ่ ด้านพระพุทธศาสนาและปรัชญา โดยเปดิ สอนหลักสตู ร ๑. หลักสูตรศิลปศาสตรบณั ฑิต สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา ๒. หลกั สูตรประกาศนยี บัตร สาขาวชิ าพระพุทธศาสนา ๓. หลกั สตู รศิลปศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาพระพทุ ธศาสนา๒๑ ๕.๕ พฒั นาการของมหาวทิ ยาลยั พระพุทธศาสนาในโลกปัจจุบนั มหาวทิ ยาลัยพระพทุ ธศาสนาในโลกปจั จบุ นั ได้ขยายออกไปในประเทศตา่ งๆ เป็น จำนวนมาก เป็นการชใี้ ห้เหน็ ความเจรญิ กา้ วหน้าฝา่ ยการศกึ ษาด้านวชิ าการทางพระพุทธศาสนา มีมหาวิทยาลัยพระพทุ ธศาสนาสำคญั ๆ ดงั จะกลา่ วต่อไปน้ี ๕.๕.๑-มหาวิทยาลยั นวนาลยั ทา มหาวิทยาลัยนาลันทา สร้างข้ึนครั้งแรกสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช และเจริญรุ่งเรือง อยู่ประมาณ ๘๐๐ ปี จึงเส่ือมสลายลง ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๙๔ ได้มีการจัดต้ังสถาบันบาลี นาลันทา ชื่อว่า “นวนาลันทามหาวิหาร” (นาลันทามหาวิหารแห่งใหม่) เพ่ือแสดงความรำลึกถึงคุณ และยกย่องเกยี รติแห่งพระพุทธศาสนาเพ่ือเป็นอนุสรณแ์ ก่นาลันทามหาวิหาร มหาวิทยาลยั ที่ย่งิ ใหญใ่ น ๒๐ ประวัติมหาวิทยาลัย.เขา้ ถงึ จาก www.mbu.ac.th.สืบคน้ เมอ่ื ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖. ๒๑ วิทยาลัยพทุ ธศาสตรแ์ ละปรชั ญา,เข้าถึงจากhttp://www.cbsp-pnru.org/index.html,สบื คน้ เม่อื ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖.

๑๐๖ สมัยอดีต ซึ่งเกิดจากความเล่ือมใสของหลวงพ่อ เจ กัสสปะ สังฆนายกรูปแรกของสงฆ์อินเดีย เป็น ชาวเมืองรานชี (Ranchi) เมืองหลวงของรัฐจกั กัน เกดิ ในตระกูลท่ีร่ำรวย เมื่อสมัยยังเป็นหนุ่มได้ศึกษา พทุ ธประวัติ เกิดศรัทธาอย่างมาก จึงอุปสมบทเป็นพระภกิ ษทุ ่ีประเทศศรีลงั กา และได้ออกปาฐกแสดง เรอ่ื งความย่ิงใหญ่ของมหาวิทยาลัยนาลนั ทาในอดีต แก่ผู้นำรัฐบาลในกรงุ นวิ เดลี (New Delhi) และใน ท่ีสุดก็ประสบความสำเร็จ โดยเปิดสอนในปี พ.ศ. ๒๔๙๔ และท่านได้เป็นครูสอนและผู้บริหารของ สถาบัน ครงั้ แรกเปิดสอนท่ีวดั จีนนาลันทา ตอ่ มาได้ยา้ ยมาอยูต่ รงกนั ขา้ มกับนาลันทาเก่า ตอ่ มาชาวมุสลิมที่อยู่ที่หมู่บ้านนาลันทา ต้องการจะไถบ่ าปที่บรรพบุรุษของตนได้ทำไวแ้ ก่ชาว พุทธ จึงมอบที่ดินจำนวน ๑๒ ไร่เพ่ือสร้างเป็นสถาบันบาลีนาลันทาแห่งใหม่ สถาบันนาลนั ทาใหม่ ครั้ง แรกมีเพียงตึก ๒ หลัง ใช้เป็นสถานท่ีทำงานของครูอาจารย์และห้องสมุด อีกหลังหน่ึงเป็นท่ีพำนักของ นักศึกษานานาชาติ สร้างเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ สถาบันนวนาลันทา เปิดสอนด้านภาษาบาลีและ พระพุทธศาสนาตั้งแต่ระดับปริญญา ตรี-ปริญญาเอก และได้รับการรับรองและสนับสนุนจากรัฐบาล กลางนิวเดลี มีพระสงฆ์จากประเทศต่างๆ ไปศึกษาอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ไทย พม่า กัมพูชา อินเดีย บังคลาเทศ๒๒ ๕.๕.๒ มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาในประเทศจนี ศาสนาพุทธได้เผยแผ่เข้าสู่ประเทศจีนประมาณศตวรรษที่ ๑ ได้มีการเผยแพร่อย่าง กว้างขวางหลังศตวรรษ ท่ี ๔ จนกระทั่งเป็นศาสนาที่มีอิทธิพลใหญ่ท่ีสุดในจีน ปัจจุบันมีประชากรชาว ฮั่นประมาณกว่า ๑ ล้านคน ที่นับถือศาสนาพุทธ ปัจจุบันได้มีการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ขึ้นใหม่ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน มีการให้การสนับสนุนจัดตั้งพุทธสมาคมแห่งประเทศจีน และสภาการศึกษาพระพุทธศาสนาแห่งประเทศจีนขึ้นในกรุงปักก่ิงด้วย เพ่ือเป็นศูนย์กลางการติดต่อ เผยแผ่พระพุทธศาสนากับประเทศต่างๆ ท่ัวโลก ปัจจุบัน ชาวจีนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาคู่ไป กับลทั ธิขงจอ้ื และเตา๋ วทิ ยาลัยพทุ ธศาสนาเหอหนานได้รับอนุมัติให้สรา้ งขนึ้ โดยกองบรหิ ารงานศาสนาแหง่ ชาติ เมือ่ ปี ๒๐๐๕ บนเนอื้ ท่ี ๓๗ ตารางกโิ ลเมตร ถอื เป็นวิทยาลัยพุทธศาสนาที่ใหญท่ ี่สุดในโลก เปิดสอน ระดบั ปรญิ ญาตรี หลักสูตร ๔ ปี นอกจากจัดการเรียนการสอนเรือ่ งพทุ ธศาสนาแลว้ ทางวทิ ยาลัยฯยัง เปิดสอนหลกั สูตรอ่ืนๆ เชน่ ดนตรีในพุทธศาสนา ประติมากรรม ภาษาต่างประเทศ กังฟู และการชง ชา เป็นต้น ผ้ทู ี่ผา่ นการคัดเลือกเป็นนักศกึ ษา ไมเ่ พียงแต่ได้เรยี นฟรีพรอ้ มท่ีพักและอาหาร รวมถึง ค่าใช้จา่ ยเบด็ เตล็ด แต่ยงั อาจได้รับค่าเบ้ยี เลี้ยงและทุนการศกึ ษาจากวิทยาลัยฯอกี ด้วย และเม่ือสำเร็จ การศกึ ษา จะมีงานรองรบั เนือ่ งจากมีวดั หลายแห่งจากท่ัวประเทศ ตดิ ต่อจองนักศึกษากำลงั เรียนไว้ ลว่ งหน้ากอ่ นทจ่ี ะเรยี นจบ ๒๒ นาลันทา, เข้าถึงจาก http://th.wikipedia.org/wiki, สบื ค้นเมื่อ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖.

๑๐๗ ๕.๕.๓ มหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาในประเทศเวียดนาม พระพุทธศาสนาเข้ามาเผยแผใ่ นประเทศเวียดนาม เม่ือราวพทุ ธศตวรรษที่ ๗ ในขณะ น้นั เวียดนามตกอยู่ในอำนาจของจีน พระพุทธศาสนาท่ีเขา้ มาสเู่ วียดนามในยคุ แรกนั้น เป็นพุทธศาสนา แบบมหายาน โดยสันนิษฐานว่าท่านเมียวโป (Meou-Po) ได้เดินทางมาจากประเทศจีนเข้ามาเผยแผ่ เวยี ดนามจงึ ไดร้ บั เอาพุทธศาสนาจากสาธาณประชาชนจนี ปัจจุบัน ประเทศเวียดนามนับถือพระพุทธศาสนา ลัทธิเต๋า และขงจ้ือ เป็นการนับถือ ผสมผสาน โดยเฉพาะทางด้านหลักธรรมคำสอน จะปฏิบัติตามคำสอนของท้ัง ๓ ศาสนา ทางด้าน การศึกษาพระพุทธศาสนาได้มีการเปิดสอนพระพุทธศาสนาข้ึนโดยมหาวิทยาลัยวันฮันห์ ซึ่งเป็น มหาวิทยาลัยแห่งพระพุทธศาสนา โดยการจัดตั้งข้ึนของสหพุทธจักรเวียดนาม และได้รับการรับรอง จากรัฐบาลเวียดนาม เมื่อวันท่ี ๑๗ ตุลาคม ๒๕๐๗ ทำการเปิดสอน ๔ คณะ คือ คณะพุทธศาสตร์ และบูรพาวิทยา คณะอักษรศาสตร์ และมนุษย์ศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ และคณะภาษาศาสตร์ เฉพาะคณะพุทธศาสตรแ์ ละบูรพาวิทยา แบ่งออกเป็น ๙ ภาควิชา คือ ภาควิชาพุทธปรัชญา วรรณคดี พทุ ธศาสนา พทุ ธศาสนประวัติ พุทธศาสนาทว่ั ไป พุทธศาสนาในเวียดนาม ปรัชญาตะวนั ออก ปรัชญา อนิ เดยี ปรชั ญาจนี และปรชั ญาตะวันตก นอกจากงานด้านการศึกษาแล้ว พระสงฆย์ งั มีส่วนรว่ มในชุมชน โรงเรียน สถานเลย้ี งเดก็ กำพร้า คลินิกทางการแพทย์ และท่ีอยู่อาศยั สำหรับผพู้ ิการ ๕.๕.๔ มหาวทิ ยาลัยพระพุทธศาสนาในประเทศเกาหลใี ต้ ปัจจบุ ันพระพุทธศาสนาในเกาหลีเป็นนกิ ายเซนผสมกับความเช่อื ในพระอมติ าภพุทธ เจา้ และพระเมตไตรยโพธสิ ตั ว์ พระสงฆ์มีความคดิ ก้าวหน้าทันเหตุการณ์ ตนื่ ตวั ทจี่ ะรับปรุงตนใหท้ นั โลกอยู่เสมอ การพฒั นาพระสงฆเ์ นน้ ไปท่ีการศึกษาซ่งึ สอดคล้องกับทิศทางของรัฐบาล ปจั จบุ ันมีผู้นับ ถือพระพุทธศาสนามากวา่ ๑๕ ล้านคน เกาหลีใต้มีมหาวทิ ยาลัยพระพุทธศาสนาอันเก่าแก่ คือ ดองกุก สรา้ งในปี พ.ศ.๒๔๔๙ ประกอบด้วยวทิ ยาลัย ๙ แหง่ และบณั ฑิตวิทยาลยั ๔ แห่ง มนี ักศึกษาชายหญงิ ประมาณ ๑๕,๐๐๐ คน มหี ลกั สูตรอบรมพิเศษสำหรบั ภิกษแุ ละภกิ ษุณี มหาวิทยาลยั แหง่ นม้ี ีโครงการแปลและจัดพิมพ์ พระไตรปิฎกฉบับเกาหลใี นปี พ.ศ.๒๕๐๗ โดยการนำของคณะสงฆ์ มีคณะกรรมการแปล ๖๕ คน ออก ตพี ิมพ์เดือนละ ๑ เลม่ จนกวา่ จะครบ ๒๔๐ เล่ม ระยะเวลาดำเนินโครงการ ๔๕ ปี นอกจากนย้ี ังมี โรงเรียนพระปริยตั ิธรรมสำหรับภกิ ษุ ภกิ ษณุ ี สามเณร และสามเณรี โดยเปิดโอกาสให้ฆราวาสเข้าเรียน ร่วมกบั นักบวชได้ คณะสงฆ์เกาหลใี ตย้ ังมีสถานศึกษาฝ่ายสามัญระดบั ตา่ ง ๆ ด้วย เปิดรับนักเรียนชายหญงิ ทว่ั ไป มคี ฤหสั ถ์เปน็ ผู้บริหาร แต่อยใู่ นความควบคุมของคณะกรรมาธกิ ารฝ่ายการศึกษาของคณะสงฆ์ โดยแบง่ ประเภทของสถาบันไดด้ ังน้ี มหาวทิ ยาลยั และวทิ ยาลัย ๓ แหง่ โรงเรยี นมธั ยมศึกษาตอนปลาย ๑๑ แห่ง

๑๐๘ โรงเรียนมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ๑๖ แห่ง โรงเรียนประถมศึกษา ๓ แหง่ โรงเรียนอนุบาล ๗ แห่ง สำหรับภิกษุณีในเกาหลีใตน้ น้ั เปน็ ผู้มีความร้คู วามสามารถปฏิบัติศาสนกิจเคยี งบ่าเคียงไหล่ กับพระภิกษุได้เป็นอยา่ งดี ผหู้ ญิงเกาหลนี ยิ มบวชเป็นภกิ ษุณตี ง้ั แต่อายุ ๒๐ - ๔๐ ปี โดยบวชเป็น สามเณรีถือศีล ๑๐ อยู่ ๒ ปี แลว้ เรยี นในมหาวิทยาลยั หลักสูตร ๓-๕ ปี จากนั้นจึงบวชเปน็ ภิกษุณี ถือ ศีล ๓๖๘ ขอ้ การปกครองภิกษุณีนนั้ ข้ึนต่อองค์การการปกครองคณะสงฆ์ท้ังหมด จึงทำให้สงฆ์สอง ฝา่ ยเปน็ อันหนงึ่ อนั เดียวกนั ในแตล่ ะวัดจะมภี ิกษณุ ีเปน็ เจา้ อาวาส มหาวิทยาลยั ดองกุก เขตจุงกู ในกรุงโซล ประเทศเกาหลใี ต้ ได้ก่อต้ังข้ึนเม่ือวนั ที่ ๘ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๐๖ ภายใตเ้ ครือขา่ ยของพุทธศาสนานิกายโชเก (Jogye Order of Korean Buddhism) ดองกกุ จงึ เป็นหน่งึ ในมหาวทิ ยาลยั ในเครือพระพทุ ธศาสนาของโลก และเป็นศนู ย์ กลาง การค้นควา้ พระพทุ ธศาสนา ปจั จบุ นั ดองกกุ เปน็ มหาวิทยาลยั เอกชนท่ีเก่าแกแ่ ละใหญ่ทีส่ ุดแห่งหนงึ่ ในกรงุ โซล มีการ จัดการเรียนการสอนดังน้ี ระดับปริญญาตรี : คณะพุทธศาสนศึกษา คณะศิลปศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะ นิตศิ าสตร์ คณะสงั คมศาสตร์ คณะบริหารธุรกจิ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีชีวภาพ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ คณะดิจติ อลสารสนเทศ และคณะศิลปะ ระดับปรญิ ญาโท : ดิจติ อลสาขาวิชาสารสนเทศ สาขาวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชาพทุ ธศาสน ศกึ ษา สาขาวิชาบรหิ ารรัฐกจิ สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาศิลปวัฒนธรรม สาขาวิชาการส่ือสาร และสารสนเทศ สาขาวชิ าวิเทศสัมพนั ธ์และสารสนเทศ สาขาวิชานติ ศิ าสตร์ สรปุ ทา้ ยบท มหาวิทยาลัยนาลันทา ถือเป็นมหาวทิ ยาลัยแหง่ แรกทเี่ กดิ ข้ันในพระพุทธศาสนา มคี วามเจริญรงุ่ เรือง ตงั้ แต่สมยั พุทธกาล เปน็ ศนู ย์กลางการศึกษาพระพุทธศาสนาฝา่ ยมหายานที่สำคัญมาก มนี กั ศึกษา จำนวนมาก เดินทางมาศึกษาจากหลายประเทศ เชน่ ไทย พมา่ กัมพชู า จีน ญี่ปนุ่ เอเชีย สมุ าตรา ชวา ทิเบต และมองโกเลยี เปน็ ต้น มาสมัยหลงั พทุ ธกาลประมาณปี พ.ศ.๑๗๔๒ หลังจากกองทัพชาว มุสลมิ เตริกส์ ได้เข้าครอบครองดนิ แดนของอินเดียในปัจจุบัน ไดเ้ ผาผลาญ ทำลายวดั และ ปูชนีย สถานทส่ี ำคญั ในพุทธศาสนาแทบทง้ั หมด ทำใหม้ หาวทิ ยาลัยนาลนั ทา ต้องพบกบั ความลม่ สลายเหลอื เพยี งซากปรักหักพงั สำหรบั ประเทศไทย มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั และ มหาวิทยาลยั มหามกฏุ ราชวิทยาลยั คอื มหาวิทยาลยั สงฆ์ท่ีพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อย่หู วั ไดท้ รงสถาปนาข้ึนสำหรับคณะสงฆ์ทั้งสองนิกาย มหาวิทยาลยั สงฆ์ทง้ั ๒ แหง่ ไดด้ ำเนินการจดั การศึกษาแกพ่ ระสงฆ์มาโดยลำดับ ตอ่ มารัฐบาลโดยการยนิ ยอมของรัฐสภา ได้ตราพระราชบญั ญตั ิ เมอ่ื พ.ศ.๒๕๔๐ โดยให้มสี ถานะเป็นมหาวทิ ยาลยั ในกำกบั ของรัฐได้รับงบประมาณสนบั สนนุ จาก รฐั บาล จัดการเรยี นการสอน ตัง้ แต่ระดับปรญิ ญาตรีถงึ ปริญญาเอก เปิดสอนท้ังบรรพชิตและคฤหัสถ์ และจัดหลกั สตู รท้งั ภาคภาษาไทยและภาคภาษาอังกฤษมีผู้ให้ความสนใจและเข้าศึกษาเป็นจำนวนมาก

๑๐๙ คำถามทา้ ยบท ๑. มหาวทิ ยาลัยในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นไดอ้ ย่างไร จงอธบิ าย? ๒. มหาวิทยาลัยนาลันทา มีความสำคญั ทางพระพุทธศาสนาอยา่ งไร จงอธิบาย? ๓. มหาวิทยาลัยท่ชี ือ่ วา่ ร่วมสมยั กบั มหาวิทยาลัยนาลันทามีกี่มหาวทิ ยาลยั คือ อะไรบ้าง? ๔. พัฒนาการของมหาวทิ ยาลัยพระพุทธศาสนาในประเทศไทย มีความเปน็ มาอยา่ งไร? ๕. บทบาทของมหาวทิ ยาลยั พระพทุ ธศาสนาในประเทศอื่นๆมคี วามเป็นอยา่ งไร จงอธิบาย? ๖. บทบาทของมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาในประเทศไทยมคี วามเปน็ อยา่ งไร จงอธิบาย? ๗. บทบาทของมหาวทิ ยาลยั พระพทุ ธศาสนาในเวยี ดนามมีความเป็นอย่างไร จงอธบิ าย ? ๘. ในรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั เกิดการเปลยี่ นแปลงไปลักษณะใดทเ่ี รียกวา่ “ยุคใหมแ่ ห่งการศกึ ษาของสงฆ”์ ๙. ในประเทศไทยพระพุทธศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้องกบั การศึกษา อย่างไรบ้าง? ๑๐.ปจั จบุ นั มหาวิทยาลยั สงฆใ์ นประเทศไทยมีบทบาทในการพัฒนาการศกึ ษาของพระสงฆ์อยา่ งไร จงวเิ คราะห์ มาดพู อสงั เขป?

๑๑๐ เอกสารอ้างองิ ประจำบท ณรงค์, เสฐียรพงษ,์ บรรจบ. พระไตรปฎิ กศกึ ษา. มหาจุฬาฯ, ๒๕๒๘. (เปน็ เล่มโรเนียว) พระธรรมปิฎก(ป.อ. ปยุตโฺ ต). ธรรมกบั การพัฒนาชวี ิต. กรุงเทพฯ: สหธรรมกิ , ๒๕๓๗. . วิธคี ิดแบบพทุ ธ. กรงุ เทพฯ : สหธรรมมิก, ๒๕๓๗. พุทธทาสภกิ ขุ. ธรรมสำหรับครู. กรงุ เทพฯ : การประถมศกึ ษาแหง่ ชาติ, ๒๕๒๙. . คมู่ อื มนษุ ย.์ กรงุ เทพฯ : สำนักพมิ พ์ธรรมสภา, ๒๕๔๗. . แกน่ พทุ ธศาสน์. กรงุ เทพฯ : สำนักพมิ พธ์ รรมสภา. มปป. บรรจบ บรรณรจุ .ิ เล่มนี้มีปญั หา. กรงุ เทพฯ : พรบุญการพิมพ,์ ๒๕๓๘. มาณพ พลไพรินทร์. หลักการจดั การศึกษาพระปรยิ ัตธิ รรม. กรงุ เทพฯ: กรมการศาสนา, ๒๕๓๕. มนู มณรี ตั น์ วริ ยิ านนท์. บทความเกยี่ วกบั พระพุทธศาสนา. กรงุ เทพฯ : บรรณาคาร, ๒๕๓๙ วศิน อินทสระ. หลักคำสอนสำคัญในพระพทุ ธศาสนา. กรงุ เทพฯ : บรรณาคาร,๒๕๓๕. สนทิ ศรีสำแดง. พระพุทธศาสนากับการศึกษา. กรุงเทพ ฯ : นลี นาราการการพมิ พ,์ ๒๕๓๔. เสถยี ร ชาวไทย, คณุ ธรรมความเปน็ ครู (บทความทางวิชาการ ๕๐ ปี อุดมศึกษา มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ). กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๐. พระธรรมปิฎก.(ป.อ.ปยทุ ธ์ ปยุตโฺ ต). การศึกษาทางเลอื ก: สวู่ ิวัฒนห์ รือวบิ ัติ ในยคุ โลกไร้พรมแดน. กรงุ เทพฯ :โรงพิมพ์คุรสุ ภาลาดพร้าว.๒๕๔๑. ส.ศิวรกั ษ.์ ความเป็นเลิศทางวิชาการ. กรงุ เทพมหานคร : พมิ พ์ที่ บริษทั พฆิ เณศ พริน้ ต้ิง เซน็ เตอร์ ไพฑรู ย์ สินลารตั น์. อดุ มศกึ ษาไทยในอุดมศึกษาโลก. กรุงเทพฯ : พิมพ์ทโ่ี รงพมิ พ์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ๒๕๔๖. มาณพ พลไพรนิ ทร์.คู่มือการบริหารกจิ การคณะสงฆ์. กรงุ เทพฯ: หจก.ชตุ ิมาการพิมพ,์ ๒๕๓๑. http: //www.mcu.ac.th. http: //www.mbu.ac.th. http: //www.wikipedia.org/wiki. http: //www.buddha4u. http://www.dhammathai.org/dhamma/group01.php.

๑๑๑ บทที่ ๖ บทบาทพระสงฆต์ ่อการศึกษาในประเทศไทย อาจารยท์ ิพย์ ขนั แก้ว วตั ถุประสงค์การเรียนประจำบท เมอ่ื ไดศ้ ึกษาเนื้อหาในบทนีแ้ ล้ว ผศู้ กึ ษาสามารถ ๑. อธบิ ายบทบาทพระสงฆ์ต่อการศกึ ษาก่อนสมยั สโุ ขทัยได้ ๒. อธบิ ายบทบาทพระสงฆต์ ่อการศึกษาสมยั สโุ ขทัยและล้านนาได้ ๓. อธิบายบทบาทพระสงฆ์ต่อการศกึ ษาสมัยอยธุ ยาได้ ๔. อธิบายบทบาทพระสงฆ์ต่อการศึกษาสมัยกรุงธนบรุ ีได้ ๕. อธบิ ายบทบาทพระสงฆ์ต่อการศึกษาสมยั กรุงรตั นโกสนิ ทรถ์ งึ ปัจจุบนั ได้ ขอบข่ายเนื้อหา • บทบาทพระสงฆต์ ่อการศึกษาสมัยก่อนสุโขทัย • บทบาทพระสงฆต์ อ่ การศึกษาสุโขทยั และล้านนา • บทบาทพระสงฆ์ตอ่ การศึกษาสมัยอยธุ ยา • บทบาทพระสงฆต์ อ่ การศึกษาสมัยกรงุ ธนบรุ ี • บทบาทพระสงฆต์ อ่ การศึกษาสมยั กรงุ รตั นโกสินทร์ถึงปัจจุบัน

๑๑๒ ๖.๑ ความนำ บทบาท (Role) เป็นส่วนหน่งึ ของโครงสรา้ งสงั คม (Social Structure) ท่ีชว่ ยเสรมิ สร้างและค้ำจุน กลุม่ สังคมให้ม่ันคงและเจริญก้าวหน้าและผ้คู นอยูร่ ่วมกันไดอ้ ย่างสันตสิ ขุ แตท่ ั้งนห้ี มายความวา่ ผคู้ นเหลา่ นั้น ไดแ้ สดงบทบาทอยา่ งเหมาะสม ไม่เกดิ ปญั หาการขัดแยง้ ระหว่างคูบ่ ททแ่ี สดง ไม่ละเมิดสิทธแิ ละหน้าทท่ี ี่ควรจะ ปฏิบัติ ไมส่ รา้ งอำนาจในบทบาทของตนให้เหนือไปจากบรรทดั ฐานของสังคม๑เช่นเดยี วกนั กบั บทบาทหนา้ ที่ ของพระสงฆ์ มี ๒ ลกั ษณะ คือ บทบาทท่ีกำหนดไว้โดยพระราชบญั ญัติคณะสงฆ์๒ไดก้ ำหนดหน้าทข่ี องพระสงฆ์ ไว้หลายระดบั และหลายประการด้วยกนั เชน่ การกำหนดหน้าทขี่ องพระสงฆ์ทเี่ ปน็ เจ้าอาวาส ๑.บำรงุ วัด จดั กิจกรรมและศาสนสมบตั ิของวดั ให้เปน็ ไปด้วยดี ๒.ปกครองสอดส่องให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ทีอ่ ยูห่ รือพักอาศยั อยู่ในวดั ปฏบิ ัตติ ามพระธรรมวินัย กฎมหาเถรสมาคม ขอ้ บังคบั ระเบยี บหรือคำส่ังของมหาเถรสมาคม ๓.เป็น ธรุ ะในการศึกษา อบรมและสงั่ สอนพระธรรมวินัยแกบ่ รรพชติ และคฤหสั ถ์ และ๔.ให้ความสะดวกตามสมควร ในการบำเพญ็ กุศล บทบาทท่ีกระทำจริง และเป็นบทบาททน่ี อกเหนือจากบทบาทท่ีกำหนดไว้ใหเ้ ป็นหน้าทขี่ อง พระสงฆ์โดยตรง เชน่ บทบาทในฐานะครูผใู้ ห้การศึกษาอบรม๓ ๖.๒ ความหมาย คำวา่ “บทบาท” ไดม้ กี ารใหค้ วามหมายไวพ้ อประมวลไดด้ ังนี้ บทบาท คือ การทำท่าตามบท การรำตามบท โดยปริยาย หมายถงึ การทำตามหน้าทท่ี ่ีกำหนดไว้ เชน่ บทบาทของพอ่ แม่ บทบาทของครู เปน็ ตน้ ๔ ในแง่สงั คมวทิ ยา หมายถึง การปฏิบัติการตามตำแหนง่ ในแง่จติ วิทยา หมายถงึ การแสดงออกหรอื การปะทะสังสรรคเ์ องของแต่ละบคุ คล และในแง่จิตวิทยาสังคม หมายถงึ การแสดงออกหรือการปะทะสังสรรค์ ทเ่ี ก่ียวข้องกบั ตำแหน่งนัน้ ๆ ของบุคคลในสังคม๕ บทบาท คือ สง่ิ ทเ่ี ราทำหรอื หน้าท่ตี ้องทำเม่ือเป็นอะไรสกั อยา่ งหน่งึ สิง่ ท่เี ราทำต้องมาคู่กับส่ิงท่เี รา เป็นตามสถานภาพ๖ บทบาท หมายถึง การปฏิบตั ิตามสทิ ธิและหนา้ ท่ขี องสถานภาพ (ตำแหน่ง) บคุ คลที่มีสถานภาพต่างๆ อาจจะมบี ทบาทตา่ งกันออกไปและท้ังบทบาทท้งั สถานภาพก็เปน็ สิ่งท่ีเปลยี่ นแปลงไดเ้ สมอ ยงิ่ สงั คมซับซ้อน มากข้ึนเทา่ ไร บทบาทย่งิ จะแตกต่างไปมากเท่านั้น๗ ๑รศ.ณรงค์ เส็งประชา.มนุษย์กบั สังคม, พิมพ์คร้งั ที่ ๔,กรุงเทพฯ : พิมพท์ ี่ โอ.เอส.พรน้ิ ติ้งเฮ้าส,์ หน้า ๑๔๔. ๒พระราชบญั ญัติคณะสงฆ์ ๒๕๐๕,ราชกิจจานเุ บกษา,(ฉบบั ท่ี ๒๒๙ ตอนท่ี ๑๑๕ (พิมพพ์ ิเศษ) ๑๓ ธันวาคม ๒๕๐๕), หน้า ๑๗. ๓สมพร เทพสทิ ธา. พระสงฆก์ ับงานสังคมสงเคราะห์,กรุงเทพ : สมชายการพิมพ์ , ๒๕๔๑, หนา้ ๗๓. ๔ราชบัณฑติ ยสถาน.(๒๕๔๖). พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒.กรุงเทพฯ: นานมีบคุ๊ ส์พบั ลิเดช่นั ส,์ หน้า ๔๕๙. ๕ไวรัส เจียงบรรจง, จิตวทิ ยาสังคม ๒, นนทบรุ ี : โรงพิมพ์สถานสงเคราะห์หญิงปากเกรด็ ,๒๕๒๓, หนา้ ๑๐๘. ๖สงวนศรี วริ ชั ชยั , จติ วทิ ยาสังคมเพ่อื การศึกษา, กรงุ เทพ : ไทยวฒั นพานิช, ๒๕๑๖,หน้า ๒๗.

๑๑๓ บทบาทหมายถงึ แบบแผนความต้องการเป้าหมายความเชื่อความรู้ทัศนคติค่านิยมและการกระทำใน องค์การมีความคาดหวงั ว่าควรจะเป็นความแตกตา่ งในสถาน ภาพและบทบาทของแต่ละคนทีม่ ีอยู่๘ พระสงฆ์หมายถงึ สาวกของพระพุทธเจ้าผซู้ งึ่ ฟังคำส่ังสอนของพระพุทธเจา้ แล้วเล่ือมใส สละเรอื นออก บวชถอื วัตรปฏบิ ัตติ ามพระธรรมวินยั ท่ีพระบรมศาสดาสัง่ สอนและกำหนดไว้๙ คำว่า “สงฆ”์ หรือ สังฆะ ตามความคิดของทา่ นพทุ ธทาส หมายถงึ หมู่ กล่มุ อาจจำแนกมีความหมาย ท่แี ตกต่างกันได้ สังฆะ หมายถงึ วิถีของสากลจกั รวาลธรรมชาติแวดล้อมและสรรพสิ่ง ต้องอยรู่ วมกนั อยา่ งเป็นสหกรณ์ คอื พงึ่ พาอาศัยกันและเอื้อเฟ้ือช่วยเหลือกัน จึงอยู่ร่วมกนั ได้ดมี าโดยตลอดซง่ึ เป็นรากฐานของเร่ืองธมั มิกสังคม นยิ ม สังฆะ หมายถึง วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของหมู่พระภิกษุสงฆ์ ชีวิตในวัดซึ่งเน้นหลักการ “กินอยู่ง่าย ใคร่ครวญสูง” “อยู่อย่าต่ำ กระทำเพ่ือผู้อื่น...”ทำงานเต็มความสามารถ ใช้จ่ายเท่าท่ีจำเป็น เจียดส่วนเกินให้ ผู้อน่ื ท่ีตอ้ งการหลักการเป็นอยู่อยา่ งขดั เกลากเิ ลส ลดละอัตตา สามารถนำชีวิตใหม้ ีค่าสูงสุดและถึงพุทธธรรมได้ โดยสะดวก สังฆะหมายถึงการคณะสงฆ์ไทย ซ่ึงมีแบบแผนการปกครองจัดการศึกษา การเผยแพร่และ สาธารณูปการท่ีต้องจัดให้ได้ผลดีมีประสทิ ธิภาพและยั่งยืนนาน ทง้ั เหมาะสมกับยุคสมัยสอดคลอ้ งกับพระธรรม วนิ ยั น้นั ๑๐ สรุปได้ว่าเม่ือนำคำ ๒ คำ คือคำว่า บทบาท ท่ีหมายถึง การทำท่าตามบทบาท หรือพฤติกรรมท่ี แสดงออกทางสังคม และคำว่า สงฆ์ หรือ สังฆะ ที่หมายถึงพระภิกษุท่ีมีจำนวน ๔ รูปขึ้นไปเรียกว่า สงฆ์ มา รวมกันเป็นคำศัพท์ใหม่ว่า บทบาทพระสงฆ์ จึงมีความหมายว่า การแสดงออกของพระสงฆ์ที่มีต่อสังคม ไม่ว่า จะเปน็ การแสดงธรรมะ เพอ่ื ขดั เกลาผคู้ นในสงั คมอยู่ให้ในกรอบของศีลธรรมอนั ดีงาม๑๑ หลักสำหรับพระสงฆ์ท่ีจะเอื้อเฟื้อปฏบิ ัติในการเผยแผ่นั้นพระสงฆ์ก็ดำรงตนในบทบาทหน้าที่ดังที่พระ พุทธองค์เคยดำรงมาแล้ว เพราะการเผยแผ่ธรรมน้ันเป็นการให้ปัญญาแก่พุทธบริษัท จำต้องต้ังตนอยู่บน พ้ืนฐานความเป็นธรรม ผู้แสดงต้องมีภูมิธรรมความรู้ ด้วยพุทธพจน์ทว่ี ่าจงเท่ียวจาริกไป เพ่ือประโยชน์น้ัน คือ การกระทำหน้าทห่ี ลักของพระสงฆ์ ส่งิ ใดท่ีเป็นพระโยชนเ์ กื้อกลู แม้จะต้องจาริกรอนแรมไปยังสถานทไ่ี กล ๆ ก็ ตาม พระสงฆ์ก็ต้องทำหน้าที่เป็นผู้ให้ธรรมะ แจกธรรมะแก่ชนทั้งโลก พระสงฆ์สาวกในสมัยพุทธกาล เป็น พระสงฆ์ท่ีต้องใช้ความเพียรมาก เพื่อนำธรรมะให้เข้าถึงประชาชน หรือนำประชาชนให้เข้าถึงพระศาสนา ซึ่ง ๗สพุ ัตรา สภุ าพ, สังคมวิทยา,กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์วัฒนพานิช,๒๕๒๒,หนา้ ๕๒. ๘บุญเดมิ พนั เอม,(ม.ป.ป.). จติ วิทยาสงั คม, กรุงเทพฯ: พมิ พท์ อี่ มรการพิมพ์, อ้างในกรมการศาสนา กระทรวง วฒั นธรรม ร่วมกบั สวนดสุ ิตโพล มหาวิทยาลยั ราชภฏั สวนดสุ ติ ,โครงการศกึ ษาบทบาทพระสงฆก์ ับการพัฒนาคณุ ธรรม จริยธรรมตามแนวปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง,หนา้ ๑๖. ๙ราชบณั ฑติ ยสถาน. (๒๕๓๘). พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕.พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๕.กรุงเทพฯ: อักษร เจรญิ ทัศน์.หนา้ ๔๕๙. ๑๐พระดษุ ฎี เมธงฺกโร,“สงั ฆะ” ในทศั นะท่านพทุ ธทาส, สืบค้นจาก http://www.buddhadasa.org/html/articles/1_bdb/sangha.html.สบื ค้นเม่อื ๒๑เมษายน ๒๕๕๖,หน้า ๙-๑๐. ๑๑งามพศิ สัตยส์ งวน, (๒๕๓๒),หลกั มานษุ ยวทิ ยา, กรุงเทพฯ: พมิ พ์ท่ีเจ้าพระยาการพิมพ์, ๒๕๔๖,หนา้ ๑๖.

๑๑๔ อาจจะเรียกระยะแรกนี้ว่า ระยะออกไปหาประชาชน๑๒บทบาทหน้าท่ีของสงฆ์น้ันอาจสรุปได้ ๗ ด้าน ประกอบดว้ ย ๑.บทบาทในการศึกษาธรรม บทบาทแรกของสมณะท่ีพระพุทธเจ้าได้ตรัสไวใ้ นสมณสูตรมี ๓ ประการ ดังพุทธดำรัสท่ีวา่ ดกู รภกิ ษุท้ังหลาย กจิ ของสมณะควรทำ ๓ อย่างน้ี ๓ อย่างเปน็ ไฉน คือ การสมาทานอธศิ ีลสิกขา ๑ การ สมาทานอธิจิตสิกขา ๑ การสมาทานอธปิ ญั ญาสิกขา ๑ ดกู รภิกษุทั้งหลายเพราะฉะน้ันแหละทา่ นท้ังหลายพึง ศึกษาอย่างนี้วา่ เราจักมีความพอใจอย่างแรงกล้า ในการสมาทานอธศิ ลี สิกขา เราจกั มีความพอใจอย่างแรงกล้า ในการสมาทานอธิจิตศีลสกิ ขา เราจกั มีความพอใจอยา่ งแรงกลา้ ในการสมาทานอธิปัญญาสิกขา ดูกรภิกษุ ท้งั หลาย ทา่ นทั้งหลายพึงศึกษาเช่นนีแ้ ล๑๓ การศึกษาพระธรรมในเร่ืองอธิศีล อธิจิต และอธิปัญญา ศีล จิต(สมาธิ) และปัญญา เป็นส่ิงท่ีสมณะใน พระพุทธศาสนาจะต้องศึกษาให้เคร่งครัดแล้วจึงจะนำไปสู่ กระบวนที่ชัดเจน หมายความว่าหน้าท่ีศึกษาจะ นำไปสู่การกระทำหรือการปฏิบัติท่ีถูกต้อง สิกขา ๓ หรือไตรสิกขาน้ันหมายถึงข้อท่ีจะต้องศึกษา ข้อปฏิบัติท่ี เป็นหลักสำหรับศึกษาคือฝึกหัดอบรมกาย วาจา จิตใจ และปัญญาให้ย่ิงข้ึนไปจนบรรลุจุดหมายสูงสุดคือพระ นพิ พาน ในพจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม ไดใ้ ห้ความหมายสิกขาไวด้ งั น้ี ๑. อธศิ ีลสกิ ขา สกิ ขาคือศีลอันยิง่ ขอ้ ปฏบิ ตั สิ ำหรบั ฝกึ อบรมในทางความประพฤติอยา่ งสงู ๒. อธิจติ ศีลสิกขา สกิ ขาคือจิตอนั ยง่ิ ข้อปฏิบัตสิ ำหรบั ฝึกอบรมจติ เพื่อให้เกิดคณุ ธรรมอย่างสูง ๓. อธปิ ญั ญาสิกขา สกิ ขาคือปญั ญาอันยงิ่ ข้อปฏิบตั ิสำหรบั ฝกึ อบรมปัญญา เพื่อใหเ้ กดิ ความรู้แจ้ง อย่างสงู ๑๔ ๒.บทบาทในการปฏบิ ัติธรรม การปฏิบัติธรรมนั้นถอื ได้ว่าเป็นรากแกว้ อันสำคัญในพระพทุ ธศาสนา ถา้ ไมเ่ ชน่ นั้นจะไมไ่ ดร้ ับ ผลใด ๆ เลย แตก่ ารจะเหน็ คุณค่าแหง่ การปฏิบัติธรรมได้ บุคคลน้นั ๆ ยอ่ มจะเลง็ เห็นประโยชน์ มองเหน็ โทษ ในความประมาทมวั เมาในชวี ติ เรง่ คดิ หาวธิ ที ่ีจะบำเพ็ญตนให้ได้รับความสุขสูงสุด ความสุขสูงสดุ ท่จี ะบังเกิดได้ ย่อมมาจากการประพฤติธรรมนน่ั เอง ในอรกานุสาสนีสูตรพระพทุ ธเจา้ ได้ทรงยกเร่ืองอรกศาสดาข้ึนมาตรสั แกภ่ ิกษุท้งั หลายเพอ่ื ไม่ให้ ประมาทมวั เมาในวยั ในชีวิต ไดเ้ ร่งรีบขวนขวายปฏบิ ตั ธิ รรม โดยทรงชใี้ หเ้ ห็นวา่ ชีวิตนี้สน้ั ควรรีบทำกศุ ล ควร ประพฤติพรหมจรรย์ เพราะสัตว์ท่ีเกิดมาแล้วจะไมต่ ายไม่มี ในปจั จบุ ันน้ีอย่างมากอยู่ได้ก็เพียงร้อยปี หรือ อาจจะน้อยกวา่ บ้าง โดยทรงเตือนวา่ ภกิ ษทุ ้ังหลาย กจิ ใด ศาสดาผแู้ สวงหาประโยชนเ์ กื้อกูล ผู้อนเุ คราะหเ์ อื้อ เอ็นดู พึงกระทำแก่สาวก กิจนนั้ เรากระทำแล้วแกเ่ ธอท้งั หลาย ดกู รภกิ ษทุ ั้งหลาย นัน่ โคนไม้น่ันเรือนวา่ ง ขอ ๑๒พระมหาประยุทธ์ ปยตุ โฺ ต,พุทธศาสนากับสงั คมไทยปัจจุบนั ,กรงุ เทพฯ : หา้ งหุน่ สว่ นจำกัด ศิวพรการพิมพ์ ,๒๕๑๓,หนา้ ๑๔. ๑๓องฺ.ติก.(ไทย) ๒๐/๕๒๑/๒๑๘. ๑๔พระธรรมปิฎก(ประยุทธ์ ปยตุ โฺ ต),พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม,กรงุ เทพฯ : โรงพิมพม์ หาจฬุ าลง กรณราชวิทยาลัย,๒๕๒๕,หนา้ ๑๒๗.

๑๑๕ เธอทง้ั หลาย จงเพง่ พินจิ อย่าประมาทอย่าต้องเป็นผเู้ ดือดร้อนใจในภายหลังเลย น้ีคอื อนศุ าสนขี องเราสำหรบั เธอทั้งหลาย๑๕ ๓.บทบาทในการเผยแผธ่ รรม การเผยแผธ่ รรมนั้นนับวา่ เปน็ หัวใจของการสบื อายุพระพทุ ธศาสนา และเป็นการแสดงเจตนา ต่อพุทธประสงค์อย่างแท้จรงิ ความในพระวนิ ยั ปฎิ กเล่มท่ี ๔ คือ การฝากวัตถปุ ระสงค์ทส่ี ำคญั ให้แกพ่ ระ อรหนั ต์สาวก ๖๐ องค์ ดงั ความว่า พวกเธอจงเท่ยี วจารกิ เพ่อื ประโยชน์และความสขุ แกช่ นหมู่มาก เพ่ืออนุเคราะห์โลกเพ่อื ประโยชน์ เก้อื กูล และความสุขแกท่ วยเทพและมนษุ ย์ พวกเธออย่าไดไ้ ปรวมทางเดยี วกนั สองรปู จงแสดงธรรมงามใน เบ้อื งต้นงามในท่ามกลาง งามในทีส่ ดุ จงประกาศพรหมจรรยพ์ รอ้ มทัง้ อรรถทั้งพยัญชนะครบบริบรู ณ์บริสุทธ์ิ๑๖ หน้าท่ี หรอื ว่าบทบาทในการเผยแผน่ ี้เป็นบทบาทของพระสงฆ์ท่สี ำคญั หากจะเทียบกับบทบาทด้าน อน่ื บทบาทน้ีนับว่าเปน็ งานท่ีคณะสงฆจ์ ัดทำมากท่ีสุดกว่าอย่างอื่น๑๗ ๔.บทบาทในการรกั ษาธรรมวินยั การรกั ษาธรรมในบทบาทท่ี ๔ นเ้ี ป็นบทบาททจ่ี ะต้องรักษาพระธรรมวินัยใหบ้ ริสุทธ์บิ รบิ ูรณ์ อีกท้ังเปน็ การธำรงไวซ้ ่ึงพระพุทธศาสนาในหลาย ๆ วธิ ีการ แต่ส่งิ ท่ีตอ้ งคำนึงถึงเปน็ อันดับแรกคือความต้ังมั่น แห่งพระพทุ ธศาสนา การไม่ทำใหพ้ ระธรรมวนิ ัยวปิ ริตแปรปรวนนนั่ เอง สง่ิ ท่ีพระพทุ ธองค์ทรงแสดงไว้ บญั ญตั ิ ไวเ้ ปน็ สงิ่ ท่ีตอ้ งใคร่ครวญและปฏิบตั ิตาม ไม่เพกิ เฉยละเลยทอดท้ิง ตรงกนั ข้ามส่งิ ใดท่ีมิไดท้ รงแสดงไว้บัญญตั ไิ ว้ ที่ขดั ต่อพระธรรมวินัยกไ็ มค่ วรกระทำ เพราะจะนำแตโ่ ทษทุกข์มาให้ ภกิ ษสุ งฆ์ทั้งหลายไม่ควรขวนขวาย เดด็ ขาด ดังพทุ ธดำรัสความว่า “ดูกรภกิ ษุท้งั หลาย พวกภิกษุทแี่ สดงอธรรมว่าธรรม แสดงส่งิ ท่ีมใิ ช่วินัยว่าวนิ ัยที่วินยั ว่าไมใ่ ชว่ ินยั พระ ดำรัสทมี่ ไิ ดภ้ าษติ ไวว้ ่าภาษิตไว้ ที่ภาษติ ไว้ว่ามไิ ดภ้ าษิตไว้ แสดงกรรมอันตถาตคมิได้สัง่ สมไวว้ า่ ทรงสัง่ สม ท่ีสั่ง สมไว้วา่ มิได้ทรงส่ังสม สิง่ ทต่ี ถาคตมิไดท้ รงบัญญตั ไิ วว้ า่ ทรงบญั ญัติที่บัญญตั ิไวว้ า่ มไิ ด้ทรงบญั ญตั แิ สดงอาบตั ิ วา่ อนาบตั ิท่ีอนาบัตวิ า่ อาบตั ิ แสดงลหุกาบัตวิ า่ ครุกาบตั ทิ ี่ครุกาบัตวิ ่าลหุกาบัตแิ สดงอาบัติท่ีชวั่ หยาบวา่ ไม่ชัว่ หยาบท่ีไมช่ ว่ั หยาบวา่ ช่วั หยาบแสดงอาบัติมีสว่ นเหลอื ว่าไม่มสี ่วนเหลอื ที่ไมม่ สี ่วนเหลือวา่ มีสว่ นเหลอื แสดง อาบัตทิ ่ีทำคืนไดว้ า่ ไม่ได้ ที่ไม่ไดว้ า่ ได้ ภิกษเุ หล่าน้ันชอ่ื ว่าเป็นผปู้ ฏิบัตเิ พ่ือไม่เป็นประโยชน์เก้อื กูล เพื่อไมส่ ขุ แก่ ชนเปน็ อันมากเพื่ออนตั ถะมิใช่ประโยชน์เกื้อกูลแกช่ นเปน็ อันมาก เพ่อื ความทุกขแ์ ก่เทวดาและมนุษย์ทัง้ หลาย ทัง้ ยอ่ มประสบบาปมใิ ช่บุญเป็นอันมากและย่อมทำใหส้ ทั ธรรมนี้อันตรธาน”๑๘ ๑๕องฺ.สตฺตก,(ไทย), ๒๓/๗๑/๑๐๗-๑๐๙. ๑๖วินย. (ไทย),๔/๓๒/๓๒. ๑๗พระมหาประยทุ ธ์ ปยตุ โฺ ต,อา้ งแลว้ เรอื่ งเดียวกนั ,หนา้ ๓๒. ๑๘อง.ฺ เอก.(ไทย), ๒๐/๑๓๑-๑๓๘/๑๙-๒๑.

๑๑๖ ๕.บทบาทการใหค้ วามรแู้ ละพัฒนาจิตใจ ในสมยั พุทธกาล บทบาทของพระสงฆใ์ นสว่ นน้ี เป็นบทบาททชี่ ดั เจน ดงั มปี รากฏหลายแหง่ ในพระไตรปฎิ ก เชน่ ในวินยั ปิฎกมหาวรรค กล่าววา่ พระอัสสชิ แสดงธรรมแกอ่ ปุ ตสิ สปริพาชก ถงึ เหตเุ กิดแห่ง ธรรมและการดับแหง่ ธรรม จนอุปติสสปริพาชกได้สำเร็จพระโสดาบัน ในสังยุตตนิกายขันธวารวรรค กล่าวว่า “พระสารบี ุตร ไดช้ ้ีแจงถึงการฉันข้าวของพระที่บริสทุ ธถิ์ ูกตอ้ งตามหลกั ธรรม แกน่ างปรพิ าชกิ า ช่อื ว่า สจุ ิมขุ ี จนนางหายสงสัยและเล่ือมใสในพระพุทธศาสนา”๑๙และกลา่ วว่า “พระสารีบตุ รไปเยี่ยมทา่ นอนาถปณิ ฑิก คฤหบดี ในยามปว่ ยหนักพร้อมกบั แสดงธรรมไม่ใหย้ ดึ ม่นั ในส่ิงทั้งปวง เมอื่ อนาถปิณฑิกคฤหบดสี ้ินใจแล้วก็ไป เกดิ ในดุสติ ภพ”๒๐ ๖.บทบาทการสงเคราะห์ชุมชน เปน็ บทบาทอีกประการหนง่ึ ในสมยั พุทธกาล ที่ปรากฏในเกสปตุ ตสูตร สมยั หน่ึงพระพุทธเจา้ ทรงแสดงพระสูตรนีแ้ ก่ชาวกาลามะ ซ่ึงอยู่ในเกสปุตตนิคม กล่าวโดยสรปุ คอื เร่ืองความเชื่อที่เจา้ ของลัทธิต่างๆ ไดม้ าเผยแผ่ความเช่อื ของตนว่าดี และกล่าวรา้ ยลทั ธิของผอู้ ่นื ว่าไม่ ดีจะให้เช่อื ใครว่าใครพูดจรงิ หรือพูดเทจ็ “พระผ้มู ีพระภาคตรัสวา่ ดกู รกาลามชนท้ังหลายก็ควรแล้วทที่ ่าน ทง้ั หลายจะเคลือบแคลงสงสยั และท่านทง้ั หลายเกดิ ความเคลอื บแคลงสงสยั ในฐานะท่คี วรแล้ว มาเถดิ ท่าน ท้งั หลายทา่ นท้ังหลายอยา่ ได้ยดึ ถือตามถ้อยคำท่ไี ด้ยนิ ได้ฟังมาอย่าไดย้ ึดถอื ตามถ้อยคำสืบๆ กันมา อย่าได้ ยดึ ถือโดยตน่ื ข่าวว่า ได้ยนิ อยา่ งนี้ อยา่ ได้ยึดถือโดยอา้ งตำรา อยา่ ได้ยดึ ถอื โดยเดาเอาเอง อย่าได้ยดึ ถือโดย คาดคะเน อย่าไดย้ ึดถือโดยความตรึกตามอาการ อย่าไดย้ ึดถอื โดยชอบใจวา่ ต้องกนั กับทฐิ ิของตัว อยา่ ได้ยดึ ถอื โดยเช่ือวา่ ผู้พูดสมควรจะเช่ือได้ อยา่ ไดย้ ึดถือโดยความนับถือวา่ สมณะนี้เป็นครขู องเรา เมื่อใด ท่านทง้ั หลายพงึ รู้ด้วยตนเองวา่ ธรรมเหล่านเ้ี ปน็ อกุศลธรรมเหล่านีม้ ีโทษ ธรรมเหลา่ นี้ผรู้ ู้ติเตียน ธรรมเหล่านใ้ี ครสมาทานให้ บรบิ รู ณ์แลว้ เปน็ ไปเพ่อื สิง่ ไมเ่ ปน็ ประโยชน์ เพ่ือทุกข์เมือ่ น้ัน ท่านทั้งหลายควรละธรรมเหล่านนั้ เสีย ดกู รกาลาม ชนทั้งหลาย ท่านท้งั หลายจะสำคญั ความข้อน้นั เปน็ ไฉนความโลภเมอื่ เกดิ ขนึ้ ในภายในบุรุษยอ่ มเกดิ ขน้ึ เพื่อ ประโยชนห์ รอื เพ่ือสิง่ ไมเ่ ป็นประโยชน์พวกชนกาลามโคตรต่างกราบทูลว่าเพ่อื สิ่งไมเ่ ป็นประโยชนพ์ ระเจ้าขา้ ฯ๒๑“ดงั นั้นจงึ เป็นบทบาททสี่ ำคัญทำให้ชุมชนมคี วามคิดท่ีถูกต้องในเรื่องของความเชอ่ื ในหลกั เหตุและผล ไม่ ควรเช่อื ตามที่ได้ยนิ ไดฟ้ งั มา ควรจะตรกึ ตรองดว้ ยหลักเหตุผล ดว้ ยปญั ญาของตนเอง เปน็ การสงเคราะห์ชมุ ชน ให้คิดเปน็ ทำเปน็ ด้วยตนเองไมต่ อ้ งไปเชอื่ ใครโดยไรเ้ หตผุ ล ๗.บทบาทการอนุรกั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม เปน็ บทบาทหนงึ่ ของพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาลอีกเช่นกัน ซ่ึงปรากฏมากมายในคัมภีร์ทาง พระพุทธศาสนา เพราะพระสงฆใ์ นสมยั นนั้ มชี ีวติ อยู่กบั ธรรมชาติ และอาศัยธรรมชาติเป็นทีฝ่ ึกฝนตนเองให้ได้ บรรลธุ รรม เปน็ ธรรมดาทีพ่ ระสงฆก์ ับธรรมชาติ จะต้องพ่งึ พิงอาศัยซง่ึ กันและกนั โดยมีหลักการอยู่รว่ มกนั อยา่ งน้อย ๓ ประการ คือ ๑๙ส.ํ ข. (ไทย) ๒๗/๕๕๑–๕๕๕/ ๕๑๘. ๒๐ม.อ.ุ (ไทย) ๓/๔๐๑-๔๐๓. ๒๑อง.ฺ ตกิ . (ไทย)๒๐/๔๙๓๐/๒๑๒.

๑๑๗ ๗.๑ หลักการตน้ ไมเ้ ปน็ สงิ่ มีชีวิต พุทธศาสนาถือว่า ตน้ ไม้ และพืชพนั ธ์เุ ป็นชวี ติ ินทรยี ์ หรอื มี ชีวิต เป็นที่หากินและอยู่อาศัยของสรรพสตั ว์ รวมทง้ั เปน็ บ้านของเทวดาบางพวก พระพุทธเจ้าจึงปรับอาบัติ ปาจิตตยี ์แกภ่ กิ ษุทต่ี ดั ตน้ ไม้ เช่น ภกิ ษชุ าวเมอื งอาฬวี๒๒ที่ตัดต้นไมท้ ำให้วิมานเทวดาได้รับความเสยี หาย ๗.๒หลักการใชท้ รพั ยากรธรรมชาติตามความจำเป็นเท่าน้นั พุทธศาสนาเนน้ การประหยัดหรือ ใช้ทรัพยากรธรรมชาติเท่าที่จำเป็น และให้คุ้มค่าที่สุด ไม่นิยมความฟุ้งเฟ้อตามค่านิยมต่าง ๆ เห็นได้จากพระ อานนท์ ได้ชี้แจงให้พระเจ้าอุเทนเห็นถึงการทพี่ ระใชส้ ่ิงของอย่างประหยัดและคุ้มค่า จนพระองค์เข้าใจและหัน มาเล่ือมใสในพระพุทธศาสนา นอกจากนั้นพระพุทธเจ้า ยังปรับอาบัติแก่ภิกษุท่ีประดับ ตกแต่งส่ิงของจนเกิน ควร เช่น ทรงปรับอาบัติทุกกฎแก่ภิกษุชาวเมืองภัททิยะ ซึ่งประดับตกแต่งรองเท้าอย่างสวยงาม เช่น รองเท้า สานดว้ ยหญา้ รองเท้าถกั ด้วยขนสตั ว์ ร้องเท้าทำดว้ ยเงนิ และร้องเท้าทำดว้ ยทอง๒๓ เป็นตน้ ๗.๓หลักการว่าสัตว์เป็นส่ิงที่มีชีวิตควรแก่ความเมตตากรุณา วิถีชีวิตของพระเน้นการไม่ เบียดเบียนสัตว์อื่นให้เดือดร้อน แม้กระทั่งชีวิตสัตว์เล็ก ๆ ทรงปรับอาบัติแก่ภิกษุผู้ทำเช่นนั้น เช่น ปรับอาบัติ ปาจิตตียแ์ ก่ภกิ ษชุ าวเมืองอาฬวี ผู้ทำการก่อสรา้ ง ทั้งท่รี ู้อยู่ว่านำ้ มีตัวสตั ว์ แล้วเอาน้ำรดหญ้าบ้าง ดนิ บ้าง ใชใ้ ห้ คนอ่ืนรดบาง จนเปน็ ท่ีติเตียนของภิกษุทั้งหลาย ดังนั้น บทบาทของพระสงฆ์ในสมยั พทุ ธกาล ส่วนใหญแ่ ล้วดำเนินรอยตามบทบาทของพระพุทธเจ้า คือการพัฒนาศีลธรรมและจติ ใจ การสงเคราะหป์ ระชาชน และการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม มขี อ้ สังเกตวา่ พระสงฆ์สว่ นใหญ่ในสมยั น้ัน เปน็ พระอริยบุคคลหรือผหู้ มดกเิ ลสแล้ว ฉะน้ัน บทบาทของท่านจงึ เกดิ จากความเมตตาสงสารสตั ว์โลกเป็นหลกั โดยมีเปา้ หมายเพือ่ ให้ประชาชนเข้าถึงสัมมาทัศนะ รแู้ ละเข้า ใจความเป็นจริงของชวี ิต เป็นบทบาทท่เี ป็นอิสระไม่ได้ถูกชี้นำหรือครอบงำโดยชนชั้นนำกลมุ่ ใดกลมุ่ หน่งึ ชน ช้นั ในวรรณะต่าง ๆ จึงมอี ิทธพิ ลตอ่ พระสงฆ์ เพียงแคก่ ารเก้ือกลู ทา่ น ดว้ ยปจั จยั ๔ เทา่ นัน้ อีกประการหน่งึ ประชาชนในสมยั นั้นก็มองพระสงฆ์เป็นผู้บริสทุ ธิ์ และผนู้ ำทางจติ ใจจริง ๆ๒๔ ๖.๓ บทบาทพระสงฆต์ อ่ การศึกษาในสมัยก่อนสุโขทยั หลงั พระพทุ ธเจ้าปรินพิ พานแล้วได้ประมาณ ๒๓๕ ปี พระเจ้าอโศกมหาราชซง่ึ เป็นจักรพรรดิทีย่ งิ่ ใหญ่ องคห์ นึง่ ของอินเดีย ได้มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเปน็ อยา่ งมาก โดยใหพ้ ระราชโอรสและพระ ราชธดิ าบวชในพระพุทธศาสนา พร้อมท้ังสง่ เสรมิ และสนับสนนุ พระสงฆ์ในด้านตา่ ง ๆ รวมท้ังการสงั คายนา พระธรรมวินยั ครัง้ ท่ี ๓ ซึ่งมีพระโมคคลั ลบี ตุ รติสสเถระ เป็นประธานในการสังคายนาพระธรรมวนิ ยั เมื่อ สงั คายนาเสรจ็ แลว้ ไดส้ ง่ พระสงฆอ์ อกไปประกาศศาสนายงั ประเทศตา่ ง ๆ หลายสาย เช่น พระมหนิ ทเถระ๒๕ ซง่ึ เป็นโอรสของพระองค์ ไปประกาศศาสนาทปี่ ระเทศศรีลังกา ส่วนพระโสณเถระและพระอุตตรเถระไป ประกาศศาสนาทส่ี ุวรรณภูมิ ในการไปประกาศศาสนาในภูมิภาคตา่ ง ๆ ๒๒วิ.จ.ุ (ไทย) ๗/๒๖๓๐ - ๒๖๙๘./๑๐๙ - ๑๑๒ ๒๓ว.ิ ม.(ไทย) ๕/๒๔ ๒๔ผศ.ประเสริฐ ปอนถ่ิน,พระสงฆ์กบั งานสงั คมสงเคราะห,์ สืบค้นจาก bbznet.pukpik.com/scripts/view.php?user=swmcu...1,สืบคน้ วันท่ี ๒๔ เมษายน ๒๕๕๖. ๒๕สารตถฺ ทปี น.ี ๑/๒๔๐

๑๑๘ ๖.๓.๑ บทบาทพระสงฆใ์ นสมัยพระเจา้ อโศกมหาราช พระสงฆ์ในสมยั พระเจ้าอโศกมหาราชนั้น ไดเ้ ข้าไปสรา้ งศรัทธาใหเ้ กดิ ขึ้นแกผ่ ู้นำในภมู ิภาค น้ันก่อนเป็นอนั ดับแรก หลงั จากน้ัน จึงคอ่ ยแสดงธรรมแก่ผ้นู ำและใช้ผู้นำเป็นฐานในการขยายพระศาสนาให้ กวา้ งขวางออกไป ดังเช่น พระมหินทเถระพร้อมกับคณะที่ไปประกาศศาสนายังประเทศศรลี ังกา ทา่ นไดแ้ สดง ธรรมแก่พระเจ้าเทวนมั ปิยตสิ สะ เช่น จฬู หัตถปิ โทปมสตู ร จนพระเจา้ เทวานมั ปิยติสสะเกิดความเล่ือมใส และ ได้สนบั สนุนพระพุทธศาสนาให้กวา้ งขวางออกไปในเกาะลงั กา ต้งั แตบ่ ดั น้ันเปน็ ต้นมา ดังนัน้ พระสงฆ์ในสมัยนั้น จงึ มบี ทบาทไม่แตกตา่ ง จากสมยั พุทธกาลมากนัก คือ เนน้ การสอน ศลี ธรรมและจติ ใจ พระสงฆ์ส่วนใหญก่ เ็ ป็นพระอรยิ บคุ คลเชน่ เดียวกนั กบั สมยั พุทธกาลการแสดงบทบาทของ ท่านจงึ เหมือนกบั สมยั พุทธกาล แต่ที่แตกตา่ งอยา่ งเดน่ ชดั จากสมยั พุทธกาล คือ การท่พี ระมหากษตั ริยใ์ ห้ พระสงฆไ์ ปประกาศศาสนา หรือสัง่ สอนศลี ธรรมยังประเทศต่าง ๆ สว่ นหน่ึงเป็นเพราะพระเจา้ อโศกมหาราช ตอ้ งการจะขยายนโยบายทางการเมืองของตนไป ยังประเทศต่าง ๆ ๖.๓.๒ บทบาทพระสงฆ์ในประเทศศรลี ังกา พระสงฆใ์ นประเทศศรีลังกาสมยั นนั้ มบี ทบาทอยา่ งกว้างขวางตอ่ สงั คมของประเทศศรลี ังกา สรุปไดด้ งั น้ี ๑.บทบาทในการไกล่เกลย่ี กรณพี ิพาทระหวา่ งผ้นู ำทางการเมือง เมื่อผนู้ ำทางการเมืองเกิด กรณีพิพาทที่ไม่สามารถตกลงกนั ได้ พระเถระผเู้ ปน็ ทน่ี บั ถือของประชาชน ก็จะเข้าไปเจรจาเพือ่ ระงับข้อพิพาท น้ัน ๒.บทบาทในการเปน็ ทป่ี รกึ ษาของพระมหากษตั ริย์ บทบาทน้ีเร่มิ จากการที่พระเป็นผถู้ วาย การอบรมสัง่ สอนเจ้าชายต่าง ๆ ของพระมหากษัตริย์ เมอ่ื เจ้าชายองคน์ ั้นข้ึนครองราชย์ พระก็กลายเปน็ ท่ี ปรกึ ษาสูงสุด ๓.บทบาทในการต่างตัง้ พระมหากษตั ริย์ เชน่ ในศตวรรษที่ ๑ ก่อนคริสต์ศักราช เมอื่ พระเจ้า สัทธาติสสะสวรรคต คณะเสนาบดีและคณะสงฆ์ประชุมกันท่ีถูปารามได้สนับสนุนให้เจ้าชายถุลถนะ ข้ึน ครองราชย์ก่อนเจ้าชายลันชติสสะ พระเชษฐาซ่ึงตามหลักการแล้วต้องครองราชย์ภายหลัง แต่เพราะพระ เชษฐาขาดความเหมาะสมบางประการเจ้าชายถลุ ถนะ จงึ ได้รบั การสนับสนุนใหค้ รองราชย์กอ่ น ๔.บทบาททางวรรณกรรม พระสงฆ์มีบทบาทในการร้อยกรองวรรณกรรมต่าง ๆ อย่าง มากมาย โดยเฉพาะคมั ภีรม์ หาวงศแ์ ละทปี วงศ์ อนั เปน็ พงศาวดารสำคญั ของศรลี ังกา ๕.บทบาททางศิลปกรรม ประชาชนในลังกาส่วนใหญ่มีความเช่ือว่า การสร้างถาวรวัตถุใน พระพุทธศาสนาทำให้ได้บุญมาก พระสงฆ์จึงมีบทบาทอย่างมากในการพาสร้างวิหารหรือเจดีย์ต่าง ๆ แม้แต่ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็มีการบันทึกไว้ เช่น การบันทึกเร่ืองภิกษุขนอิฐมาสร้างเจดีย์ เป็นต้น นอกจากนั้น พระสงฆย์ ังมีฝีมอื ในการประดับตกแต่งวิหารด้วยภาพชาดกต่าง ๆ รวมทั้งการปนั้ รูปประตมิ ากรรม ซ่ึงพระสงฆ์ ใช้สง่ิ เหลา่ น้เี ป็นการดงึ ดดู และสอนธรรมะแก่ประชาชนชาวพุทธในประเทศศรีลังกา ฉะนั้น บทบาทของพระสงฆ์ในสมัยน้ี จึงต่างไปจากสมัยพุทธกาลและสมัยพระเจ้าอโศกอย่างมาก ท่ี เห็นได้ชัดเจน คือ มีความหลากหลายมากข้ึน ตั้งแต่มีบทบาทเป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ จนถึงการ สร้างสรรค์วรรณกรรม และศิลปกรรมต่างๆ โดยท่ีบทบาทต่างๆ ได้รับการสนับสนุนจากพระมหากษัตริย์ใน

๑๑๙ สมัยน้ันอย่างจริงจัง ในขณะเดียวกันพระสงฆ์ก็มีบทบาทที่มีอิทธิพลต่อรพระมหากษัตริย์อย่างมากเห็นได้จาก การสามารถพิจารณาแต่งต้ังรชั ทายาทได้ พระสงฆ์มีบทบาทท่สี ำคญั คือบทบาทในการศึกษาธรรมบทบาทในการปฏบิ ตั ธิ รรม บทบาทในการเผย แผ่ธรรม บทบาทในการรักษาธรรมวนิ ัย สว่ นบทบาทพระสงฆ์ในสมัยพระเจา้ อโศกมหาราช แตกตา่ งอยา่ ง เดน่ ชดั จากสมยั พุทธกาล คือ การที่พระมหากษัตรยิ ใ์ ห้พระสงฆไ์ ปประกาศศาสนา หรอื สง่ั สอนศีลธรรมยงั ประเทศตา่ ง ๆ สว่ นหนึง่ เป็นเพราะพระเจ้าอโศกมหาราชต้องการจะขยายนโยบายทางการเมืองของตนไป ยัง ประเทศต่าง ๆ พระสงฆ์ในประเทศศรลี งั กาสมยั นัน้ มีบทบาทอย่างกวา้ งขวางตอ่ สังคมคอื บทบาทในการไกล่ เกลี่ยกรณีพพิ าทระหว่างผนู้ ำทางการเมือง บทบาทในการเป็นทีป่ รกึ ษาของพระมหากษตั รยิ ์ บทบาทในการ แต่งตง้ั พระมหากษัตรยิ ์ บทบาททางวรรณกรรมและศลิ ปกรรม เป็นตน้ เม่ือกล่าวโดยสรุปบทบาทของพระสงฆ์ในด้านการศึกษาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชและประเทศศรี ลังกา พระสงฆ์มีบทบาทสำคัญในการจัดการศึกษาให้ประชาชนทั่วไป ทำให้การปฏิบัติตามพระสัทธรรม มี ความแตกตา่ งจากสมัยพทุ ธกาล ๖.๔ บทบาทพระสงฆต์ อ่ การศกึ ษาสมยั สุโขทัยและล้านนา การปฏิบัติตามสิทธิ และหน้าที่อันเน่ืองมาจากสถานภาพของบุคคล เน่ืองจากบุคคลมีหลาย สถานภาพในคนคนเดียวฉะนั้นบทบาทของบุคคลจึงตอ้ งปฏิบัติไปตามสถานภาพในสถานการณ์ตามสถานภาพ นั้น ๆเช่นเดียวกบั พระสงฆ์กม็ ีบทบาทเฉพาะ ท่ีแตกตา่ งบุคคลทั่วไป ๖.๔.๑ การศกึ ษาของสงฆ์สมยั สโุ ขทยั วดั เป็นสถาบนั สังคมทใ่ี ห้การศึกษาแกค่ นไทยมาช้านานตง้ั แต่โบราณ โดยพระเป็น ครสู อน มี ทั้งการอบรมส่ังสอนพระด้วยกันเองถวายพระธรรมเทศนาแด่พระมหากษัตริย์ และเทศนา สั่งสอนอบรม ประชาชนท่ัวไป หรือเด็กวัดก่อนสถาปนากรุงสุโขทัยได้มีชุมชนต่าง ๆ รวมกันอยู่และมีพระเป็นผู้ให้การศึกษา แก่คนในชุมชนน้ัน ภายหลังก่อตั้งสุโขทัยเป็นราชธานีของคนไทยการปกครองคณะสงฆ์สมัยพ่อขุนรามคำแหง มหาราช แบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายคามวาสี และอรัญญวาสี พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงส่งเสริมให้มี การศึกษาคัมภีร์พระพุทธศาสนาจากพระไตรปิฎก แม้พระองค์เองก็ทรงส่ังสอนประชาชนตามหลักธรรมทาง พระพุทธศาสนา การศึกษาจากพระไตรปิฎกนี้เรียกว่า “การศึกษาพระปริยัติธรรม” แบ่งการศึกษาเป็น ๓ ตอนโดยเร่มิ ต้นให้ ศกึ ษาพระสุตตันตปิฎก (หมวดพระสูตรที่ประมวลพระธรรมเทศนาและเร่ืองเล่าต่าง ๆ) เมื่อ ศึกษาจบแล้วให้ศึกษาพระวินัยปิฎก (หมวดพระวินัยประมวลข้อบัญญัติสำหรับพระสงฆ์)เมื่อศึกษา พระวินัย จบแล้วให้ศึกษาพระอภิธรรมปิฎก (หมวดพระอภิธรรมประมวลหลักธรรมท่ีเป็นวิชาการ ไม่เก่ียวกับเหตุการณ์ และตัวบุคคล) การท่ีพ่อขุนรามคำแหงมหาราช แบ่งคณะสงฆ์เป็น ๒ ฝ่าย ดังท่ีกล่าวมาแล้วนั้นทำให้การจัด การศึกษาสำหรบั สงฆ์แตกต่างออกไปคือฝ่ายคามวาสีซ่ึงเป็นพระสงฆ์ที่อยู่ในเมืองมหี น้าที่ศึกษาเล่าเรยี นคัมภีร์ ทางพระพุทธศาสนา และอบรมพระภิกษุสามเณรตลอดจนประชาชนให้ปฏิบัติดี ประพฤติชอบอยู่ในสังคมได้ อย่างมีความสุข เรียกว่า คันถธุระ (ฝ่ายท่ีศึกษาคัมภีร์) และ ฝ่ายอรัญญวาสี ซ่ึงเป็นพระสงฆ์ที่อยู่ตามป่า มี หนา้ ท่อี บรมสัง่ สอนศษิ ยานศุ ิษย์ในทางปฏิบัติ สมถกมั มฏั ฐาน และวปิ ัสสนากมั มัฏฐานเรียกวา่ “วิปัสสนาธุระ”

๑๒๐ (ฝ่ายบำเพ็ญภาวนา) พระสงฆ์ ท้ัง ๒ ฝ่าย แบ่งกันทำหน้าที่ทำให้เกิดผลดีต่อการปกครองคณะสงฆ์ และช่วยให้ การพระศาสนาในกรุงสโุ ขทัยเจริญรุ่งเรืองมาก๒๖การจดั การศึกษาสมัยสุโขทยั น้ีมีความสมั พันธ์ระหวา่ งสถาบัน ครอบครัววัดและรัฐอย่างใกล้ชิดโดยมีค่านิยมว่า “ความรู้ที่เก่ียวกับพุทธศาสนาเป็นความรู้ท่ีสูงสุดมีคุณค่าย่ิง กวา่ ส่ิงใด” คร้ันถึงสมัยพระยาลิไทครองราชสมบัติการพระศาสนาฝ่ายเถรวาทเจริญรุ่งเรืองมาก พระองค์มีพระ ราชศรทั ธาแรงกล้าถงึ กบั ทรงอทุ ิศถวายพระมหาปราสาทเป็นท่ีเล่าเรยี นของพระภิกษุ สามเณรและวิชาท่ศี ึกษา ยงั มที งั้ สองฝ่าย คอื ทั้งฝา่ ยวชิ าการทางธรรมและทางโลกมใิ ช่ศึกษาวชิ า ทางพระพุทธศาสนาอยา่ งเดียว ๖.๔.๒ การศกึ ษาของสงฆส์ มัยลา้ นนา การศกึ ษาสมยั ลา้ นนาดำเนนิ การเรียนการสอนจดั ภายในวัด โดยแบ่งออกเปน็ ๒ ฝา่ ย คือ ๑.การศกึ ษาท่ีจดั ให้แก่สามัญชนทว่ั ไป มจี ดุ มุ่งหมายเพ่ือให้สมาชิกของสงั คม มคี วามสามารถ ในการดำเนนิ ชวี ิตอย่างเหมาะสมกับสภาพแวดลอ้ มตา่ งๆ เปน็ การจัดการศกึ ษาให้แกค่ รอบครวั ชุมชน วัดและ วงั อาจเป็นความรเู้ กย่ี วกับวิชาหนังสือและการประกอบอาชีพตา่ งๆ ๒.การศึกษาทีจ่ ดั ทว่ี ัด มีจุดมุ่งหมายใหป้ ระชาชนมคี วามรู้เร่ืองพระพทุ ธศาสนาอย่างลกึ ซึ้ง เปน็ การศึกษาจัดใหเ้ ฉพาะผู้ชาย และผู้ที่ตอ้ งการบวชเรียนเท่านัน้ มีครูผสู้ อนเป็นพระ แยกเป็น ๓ ระดับ คือ ๒.๑ ต๊หุ ลวง คอื เจ้าอาวาสทำหน้าที่เป็นครูใหญ่ ๒.๒ ต๊บุ าลก๋า คือ พระทีม่ ีพรรษาสูงกวา่ ๕ พรรษา ทำหน้าทส่ี อนหนงั สอื ให้แก่ พระภกิ ษสุ ามเณร ๒.๓ ตุ๊หนาน คอื พระที่อ่อนพรรษา ทำหน้าทีส่ อนขะโยมวัด (ศิษยว์ ัด)และเดก็ ทีพ่ ่อ แม่นำมาฝากไวเ้ ปน็ ศิษย์ วชิ าที่สอน แบง่ ออกเป็น ๒ ส่วน คอื ๑.วชิ าหนงั สือ เป็นความรขู้ ัน้ พืน้ ฐาน เกีย่ วกับพุทธศาสนาการ สอนอา่ นและเขียนหนังสือไทย ๒.วชิ าชนั้ สงู ได้แกค่ วามรูท้ างพระพทุ ธศาสนาและวชิ าชีพชัน้ สงู เช่น วิชา ชา่ งฝมี อื วิชาพชิ ัยสงคราม และโหราศาสตร์ ฯลฯ สอนโดยการบอก การเลยี นแบบและการท่องจำ สมัยล้านนาไทยพระเจ้าแสนเมืองมามหาราชพระโอรสของพระเจ้ากือนาข้ึนเสวยราชย์ พระองค์ได้ สร้างวัดพระสิงห์ข้ึนท่ีเชียงใหม่เพ่ือประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ ในปลายแผ่นดินของพระเจ้าแสนเมืองมามี พระเถระชาวเชียงใหม่หลายรูป เช่น พระเมธังกร พระคัมภีร์ พระญาณมงคล พระสารีบุตร พระอานนท์ พร้อมท้ังพระชาวมอญ พระกัมโพช ประมาณ ๒๐ รูปไดเ้ ดินทางไปลังกาไปทำพิธีอปุ สมบทใหม่ ณ อุทกสีมาใน แม่น้ำกัลยาณีคงคา มีพระธรรมมหาสวามีเป็นอุปัชฌาย์ พระวันรัตเป็นกรรมวาจาจารย์ จากน้ันได้กลับมายัง ประเทศของตน คณะน้ีถือว่าเป็นลังกาวงศ์ชุดใหม่ เมื่อกลับมาถึงบ้านเมืองแล้วได้ตั้งข้อรังเกียจพระลังกาวงศ์ ชุดเก่าซ่ึงสืบเนื่องมาแต่พระสุมนะพระลังกาวงศ์สายใหม่น้ี ได้ไปรุ่งเรืองในประเทศรามัญ ไทย และกัมโพช ๒๖การพฒั นาการศกึ ษาคณะสงฆไ์ ทย.เขา้ ถึง จาก.http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=731&articlegroup_id=157.สืบค้นเมอ่ื ๑๖ กนั ยายน ๒๕๕๖.

๑๒๑ ก่อให้เกิดความเจริญในด้านการศึกษาภาษาบาลีมากมายในรัชกาลของพระเจ้าติโลกราช พระสงฆ์คณะหนึ่ง ได้รบั พระบรมราชูปถัมภ์ไปศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศลงั กา เม่ือกลบั มาได้นำต้นพระศรีมหาโพธมิ์ าด้วย จึงโปรดให้สร้างอารามถวายช่ือว่า วัดโพธาราม หรือวัดเจดีย์เจ็ดยอด คร้ันถึง พ.ศ. ๒๐๒๐ โปรดอุปถัมภ์ จัดการสังคายนาครงั้ ที่ ๑ ขน้ึ (แต่ถ้านับตอ่ จากประเทศลังกากเ็ ปน็ ครง้ั ท่ี ๘ ) กระทำทีว่ ดั โพธารามหรือวัดเจดยี ์ เจ็ดยอดนั่นเอง ถือเป็นการทำสังคายนาในประเทศไทยเป็นคร้ังแรก เม่ือมาถึงสมัยของพระเมืองแก้วกษัตริย์ พระองค์น้ีมีความเล่ือมใสพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ตลอดรัชสมัยของพระองค์มีแต่เรื่องบวชพระสร้างวัด เปน็ ราชกจิ ประจำทุกปี จึงไดร้ ับถวายพระนามเฉลมิ พระเกยี รติว่า “พระเจ้าศริ ิธรรมจกั รพรรดิราช”ในรัชสมัย ของพระองค์นับเป็นยุคท่ีวรรณคดีบาลีทางพระพุทธศาสนาเจริญที่สุด มีภิกษุชาวล้านนาแตกฉานในการแต่ง ปกรณ์บาลีมากมาย เช่น พระสิริมังคลาจารย์ แต่งมงคลทีปนี จักวาฬทีปนีสังขยาปกาสฏีกา และเวสสันตร ทปี นี พระญาณกิตติ แตง่ โยชนาอภธิ รรม ๗ คัมภรี ์ และโยชนนมูลกัจจายะเป็นต้น พระรัตนปญั ญา แต่งชนิ กาล มาลีปกรณ์และวชิรสารัตถสังคหะ เข้าใจกันว่าแต่งขึ้นในยุคนี้เหมือนกัน โดยภิกษุชาวล้านนาได้รวบรวมเอา นทิ านพนื้ บา้ นพ้นื เมืองมาแต่งเปน็ สำนวนโวหารไม่แพป้ กรณบ์ าลขี องชาวลังกา๒๗ จะเห็นได้ว่า บทบาทของพระสงฆ์ต่อการศึกษาในสมัยสุโขทัยและล้านนา มีบทบาทหลักในการจัด การศกึ ษาใหก้ บั กลุ บตุ รโดยใชว้ ดั เป็นศนู ยก์ ลางในการจดั การเรียนการสอน ทง้ั วิชาชีพและวชิ าพระพุทธศาสนา ๖.๕ บทบาทพระสงฆต์ อ่ การศกึ ษาสมัยอยุธยา พระพุทธศาสนาไดเ้ ปน็ ศาสนาประจำชาติ มาตั้งแตส่ มยั กรุงสุโขทัย ประชาชนนับถือพระพุทธศาสนา นิกายเถรวาทอย่างลงั กาวงศม์ ากกวา่ ศาสนาอ่ืนๆ มีการศึกษาธรรมะและปฏิบตั ิธรรมอย่างแพร่หลาย แม้ใน สมัยกรงุ ศรีอยธุ ยาตอนต้น๒๘สมัยอยธุ ยาไดร้ บั อทิ ธิพลของพราหมณเ์ ขา้ มามาก พธิ ีกรรมต่าง ๆ ได้ปะปนพิธีของ พราหมณ์ เนน้ ความขลังความศักด์ิสทิ ธิ์ และอิทธปิ าฏหิ าริย์ มเี รื่องไสยศาสตรเ์ ขา้ มาปะปนอยู่มาก ประชาชน มุ่งเรื่องการบุญการกุศล สร้างวดั วาอาราม สร้างปูชนียวัตถุ บำรุงศาสนา ในสมัยอยธุ ยาต้องประสบกบั ภาวะ สงครามกับพมา่ จนเกดิ ภาวะวกิ ฤตทางศาสนาหลายครั้งพระมหากษตั ริยใ์ นสมัยน้ี เปน็ องค์อุปถัมภ์ พระพุทธศาสนา เช่นเดยี วกับในสมัยสุโขทัย ในตอนต้นของกรงุ ศรีอยุธยา พระราชามหากษัตริย์ ขุนนาง ขา้ ราชการตลอดจนราษฎร ศรทั ธาเลอื่ มใสในพุทธศาสนามาก นิยมทำบญุ และสร้างวัดกันมาก ตลอดจนสร้าง ธรรมเนียมทีถ่ ือวา่ ลูกชายจะต้องบวชเรียนอยา่ งน้อย ๑ พรรษาเพ่ือใหไ้ ด้รับการอบรมจากพระศาสนาและเปน็ การสนองคุณมารดาบิดา ดังน้ัน วัดจึงเป็นท้ังโรงเรยี นให้การศึกษาอักษรศาสตร์ ตลอดจนวชิ าชพี อืน่ ๆ แก่ กุลบตุ รเป็นสโมสรซงึ่ ประชาชนจะมีโอกาสพบปะสงั สรรค์กัน ในวันทำบญุ หรอื วันเทศกาลนกั ขตั ฤกษ์ วัดเปน็ ท้ัง โรงพยาบาลและเป็นทัง้ ที่ระงับคดวี ิวาทของชาวบ้าน จึงกลา่ วไดอ้ ยา่ งชดั เจนว่า ชวี ติ ของชาวไทยสมัยอยุธยามี วัดและพระสงฆเ์ ปน็ ที่พึง่ พำนักบทบาทของพระสงฆใ์ นอยธุ ยาตอนต้นน้ีสนั นิษฐานได้วา่ นอกจากบทบาทใน การอบรมศลี ธรรมตามปกตแิ ล้ว ยังทำบทบาทในการสอนวชิ าการทางโลกแกช่ มุ ชน บทบาทในการประสาน ๒๗พระมหาสมศกั ดิ์ ญาณโพโธ,ประวัติพระพุทธศาสนา,เขา้ ถึงจาก. http://www.history.mbu.ac.th/buddhism/bud6-2.html สบื ค้นเมื่อ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๖. ๒๘สมศกั ด์ิ บญุ ปู่, อา้ งแลว้ เรอื่ งเดียวกัน,หน้า ๑๓๖.

๑๒๒ ความขดั แย้งในชมุ ชน และบทบาทในการสงเคราะห์ชมุ ชนในตอนปลายกรุงศรีอยธุ ยาบ้านเมอื งมีสงครามกับ พม่าบ่อยครง้ั พระสงฆส์ ่วนใหญจ่ ึงไม่ได้สนใจหลักธรรมทางพทุ ธศาสนาทนี่ ำไปสู่ความพ้นทกุ ข์ แต่หันไปสนใจ การบำเพ็ญเพยี รทางจิตเพื่อให้บรรลอุ ิทธปิ าฏิหาริยแ์ ละสนใจการปฏบิ ตั ิทางไสยศาสตร์ ส่วนประชาชน นอกจากจะสนใจการทำบุญทำทาน และการก่อสร้างวัตถุทางศาสนา เช่น โบสถ์ วหิ ารและพระพทุ ธรปู เป็นตน้ ก็ยังหมกมนุ่ ในประเพณพี ิธกี รรมโดยไม่ได้สนใจในการปฏบิ ัตธิ รรมเพอื่ บรรลุนิพพาน โดยเฉพาะปลายสมยั อยุธยา คนไทยหมกมุ่นเรือ่ งไสยศาสตรม์ าก เช่น ชอบฝกึ ฝนคาถาอาคมและลงเลขยันต์ เปน็ ต้น ทงั้ นี้อาจเปน็ เพราะวา่ บา้ นเมืองต้องเผชิญศึกสงครามบ่อยคร้ังจนทำให้ประชาชนขาดความมัน่ คงทางจติ ใจ ดังนนั้ บทบาทของพระสงฆ์ในสมยั นี้ นอกจากจะเปน็ บทบาทในการพฒั นาศลี ธรรมและจิตใจ และ กอ่ สรา้ งศาสนาสถานแลว้ ยงั ทำบทบาทในการสอนวชิ าการทางโลกแก่ชุมชน และบทบาทในการสงเคราะห์ ชมุ ชนรวมท้งั บทบาทในการประกอบพธิ ีกรรมทางไสยศาสตรแ์ ละความขลงั เพื่อเปน็ การเสริมสรา้ งความมั่นคง ปลอดภยั ใหแ้ ก่ประชาชนในภาวะสงครามการศึกษาพระปริยตั ธิ รรมของพระภิกษุสงฆ์ในสมัยน้ีแรกๆถูกปลอ่ ย ปละละเลย ต่อมาถึงสมัยสมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช ทรงเหน็ พระพุทธศาสนาถกู ลทั ธภิ ายนอกย่ำยี ประชาชนมัวเมาหลงใหลเห็นผดิ เปน็ ชอบ จึงทรงรบั บำรงุ พระพุทธศาสนา ทรงโปรดจัดการศกึ ษาเลา่ เรยี น พระ ปรยิ ัติธรรมข้ึน เหมอื นในคร้งั กรงุ สโุ ขทัยและใหม้ ีการสอบไลพ่ ระปริยัตธิ รรม นบั ว่าเปน็ การสอบไลท่ ีเ่ กดิ ขน้ึ คร้งั แรกในประเทศไทยสมัยอยุธยา สมยั ธนบุรี พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงใสพ่ ระทยั พัฒนาการพระพุทธศาสนา ทรงอาราธนาพระภกิ ษุสงฆใ์ ห้มาอยู่รวมกันอีกครงั้ หนง่ึ ทรงแต่งต้งั สมณศักดิแ์ ละสถาปนาพระอารามหลายแห่ง ให้พระภกิ ษุสงฆ์ศกึ ษาเลา่ เรียนคันถธุระและ วปิ สั สนาธุระ พระพทุ ธศาสนาได้เจริญร่งุ เรืองขึ้นอกี วาระหน่ึง ๖.๖ บทบาทพระสงฆต์ อ่ การศกึ ษาสมยั กรงุ ธนบุรี กรุงศรีอยุธยาถูกพม่ายกทัพเข้าตีจนบ้านเมืองแตกยับเยิน พม่าได้ทำลายบ้านเมืองเสียหายย่อยยับ เกบ็ เอาทรัพย์สนิ ไป กวาดต้อนประชาชนแม้กระท่ังพระสงฆ์ไปเป็นเชลยเปน็ จำนวนมาก วัดวาอารามถูกเผา ทำลาย คร้ันต่อมาพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเป็นผู้นำในการกอบกู้อิสรภาพ สามารถกอบกู้เอกราชจากพม่า ได้ทรงต้ังราชธานีใหม่คือเมืองธนบุรีทรงครองราชย์และปกครองแผ่นดินสืบมา ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวา อารามและสรา้ งวดั เพิ่มเตมิ อีกมาก ทรงรับภาระบำรุงพระพุทธศาสนารวบรวมคัมภีรพ์ ระไตรปฎิ กจากหัวเมือง มาคัดเลือกจัดเป็นฉบับหลวง แต่ยังไม่ทันเสร็จบริบูรณ์ก็ส้ินรัชกาลเสียก่อน ต่อมา พ.ศ.๒๓๒๒ กองทัพไทยได้ อัญเชิญพระแก้วมรกตจากเวียงจันทน์มายังประเทศไทย ภายหลังพระองค์ถูกสำเรจ็ โทษเป็นอันส้ินสุดสมยั กรุง ธนบุรี การศึกษาสมัยกรุงธนบุรี แม้ว่าบ้านเมืองจะอยู่ในภาวะสงคราม แต่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ ทรงทะนุบำรุงการศึกษาอยู่เสมอ ศูนย์กลางการศึกษาในสมัยธนบุรีอยู่ท่ีวัด เด็กผู้ชายเม่ือมีอายุพอสมควร พ่อ แม่มักเอาไปฝากกับพระ เม่ือมีเวลาว่างพระก็จะสอนให้อ่านเขียน หนังสือแบบเรียนท่ีใช้คือหนังสือจินดามณี เมื่ออ่านออกเขียนได้แล้ว ก็เรียนแต่งร้อยแก้ว โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ศึกษาศัพท์ เขมร บาลี สันสกฤต วิชา เลข เรียนมาตราไทย ช่ัง ตวง วัด มาตราเงินไทย คิดหน้าไม้ (วิธีการคำนวณหาจำนวนเนื้อไม้เป็นยก หรือเป็น

๑๒๓ ลกู บาศก)์ การศึกษาด้านอาชีพ พอ่ แม่มอี าชีพอะไรก็มักฝกึ ให้ลูกหลานมีอาชีพตามตนเอง โดยฝกึ ฝนตกทอดกัน มาหลายชัว่ อายุคนเช่นวิชาชา่ งแกะสลักชา่ งปั้นชา่ งถมแพทย์แผนโบราณฯลฯ ประเพณีโบราณไม่นิยมให้สตรีเรียนหนังสือมีน้อยคนที่อ่านออกเขียนได้ เด็กผู้หญิงส่วนมากจะถูก ฝึกสอนให้ด้านการเย็บปักถักร้อย ทำกับข้าว การจัดบ้านเรือน และมารยาทของกุลสตรีศูนย์การศึกษาในสมัย ธนบุรีก็ยังคงอยู่ที่วัดเหมือนสมัยอยุธยา โดยมีแต่เด็กผู้ชายเท่านั้น ท่ีมีโอกาสศึกษา เพราะต้องอยู่กับพระที่วัด เพื่อเรียนหนังสือ พระสงฆ์ก็คือครูท่ีจะสอนหนังสือให้ แก่กุลบุตร เพื่อให้ได้รับการอบรมความประพฤติ เรียน พระธรรมภาษาบาลสี นั สกฤตและศพั ท์เขมรเพื่อประโยชนใ์ นการอา่ นคมั ภรี พ์ ระพุทธศาสนา การศึกษาของพระสงฆ์สมัยน้ี ช่วงแรกขาดการศึกษาในระยะหนึ่ง เพราะพระสงฆ์มีเหลืออยู่น้อย กระจายกันไปตามชนบทเพื่อหนีภัยข้าศึก เม่ือพระเจ้าตากสินมหาราชทรงว่างจาก ศึกสงครามแล้ว ทรง เลือกสรรพระสงฆ์ผู้ตั้งมั่นอยู่ในพระธรรมวินัยแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะปกครองคณะสงฆ์รวมถึงการจัด ระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ และทรงโปรดให้มกี ารเรียน พระปรยิ ตั ธิ รรม เหมือนสมยั อยธุ ยาทุกประการ ๖.๗ บทบาทพระสงฆต์ ่อการศกึ ษาสมยั กรุงรัตนโกสินทร์ถงึ ปัจจบุ นั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช เสด็จขน้ึ ครองราชยเ์ ม่ือปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ต่อจากพระ เจ้าตากสินมหาราช ทรงย้ายเมืองจากธนบุรีมาต้งั ราชธานีใหม่ เรยี กชอื่ วา่ \"กรงุ เทพมหานครอมรรตั นโกสินทร์\" ทรงฟืน้ ฟูพระพุทธศาสนาไปพร้อมกบั การพฒั นาบ้านเมือง ทรงอาราธนาพระสงฆ์ทรงสมณศักด์ิและราชบัณฑติ เปน็ กรรมการชำระ พระไตรปิฎก จารึกเปน็ อักษรขอมขึ้นใช้เวลา ๕ เดอื น จึงเสร็จสมบูรณ์ ซงึ่ ถือว่าเปน็ การทำ สงั คายนาครง้ั แรกในกรุงรตั นโกสินทรท์ รงสรา้ งและปฏสิ ังขรณว์ ดั ต่างๆเช่นสร้างวัดพระศรีรตั นศาสดาราม วัดสุ ทศั นเทพวราราม วัดสระเกศและวดั พระเชตุพนฯ เปน็ ต้น ทรงโปรดให้มีการทำสงั คายนาพระไตรปิฎกคร้ังท่ี ๙ และถือเปน็ คร้งั ที่ ๒ ในประเทศไทย ณ วดั มหาธาตุ ได้มกี ารสอนพระปรยิ ตั ิธรรมในพระบรมมหาราชวัง ตลอดจนตามวังเจา้ นายและบ้านเรอื นของข้าราชการผูใ้ หญ่ ทรงตรากฎหมายคณะสงฆข์ ึ้น เพอื่ จดั ระเบียบการ ปกครองของสงฆ์ให้เรียบรอ้ ยทรงจัดให้มีการสอบพระปรยิ ัตธิ รรมทรงสถาปนาสมเด็จพระสงั ฆราชองคแ์ รกของ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ โดยสถาปนาพระสงั ฆราช (ศร)ี เป็นสมเดจ็ พระสังฆราช เม่ือปี พ.ศ. ๒๓๕๒พระบาทสมเด็จ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนาไปพร้อมกับ การพฒั นาบ้านเมืองทรงอาราธนา พระสงฆท์ รงสมณศกั ด์ิ และราชบัณฑิตเปน็ กรรมการชำระพระไตรปฎิ ก จารึกเป็นอักษรขอมขนึ้ ใช้เวลา ๕ เดือน จงึ เสร็จสมบูรณ์ ถือว่าเปน็ การทำสังคายนาครงั้ แรกในกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ในสมัยรัตนโกสินทร์ ยคุ ต้นหลักสูตรการศึกษาพระปรยิ ัตธิ รรมยังใช้พระไตรปฎิ ก เรียน ๓ ปี จึงมีการสอบ ๑ คร้งั เหมือนครั้งกรุง ศรีอยธุ ยา ตอ่ มาในรัชกาลท่ี ๒ ได้มกี ารปรบั ปรงุ หลักสูตรการเรยี นการสอนขึน้ ใหม่ โดยจัดหลกั สตู รเปน็ ๙ ชั้น เรียกว่า ประโยค ประโยค ๑-๒-๓ เป็นเปรียญตรี ประโยค ๔-๕-๖ เปน็ เปรียญโท ประโยค ๗-๘-๙ เปน็ เปรียญ เอกและผทู้ ีส่ อบ ไล่ได้ ๓ ประโยคแล้วจึงจดั วา่ เปน็ เปรียญ ถา้ เปน็ ภิกษุใชค้ ำนำหน้าว่าพระมหา และถ้าเปน็ สามเณร ก็ใช้อักษรย่อและตัวเลขตอ่ ทา้ ย เช่น สามเณรพมุ่ ป.ธ.๓ เป็นต้น พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัว

๑๒๔ รชั กาลที่๑และท่ี ๒ โปรดเกลา้ ฯ ใหใ้ ช้พระทนี่ ั่งมณเฑียรธรรมในวัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นสถานที่ศึกษา เลา่ เรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรมของพระสงฆ์และเจ้านายส่วนข้าราชการชนั้ ผนู้ ้อยใหไ้ ปศกึ ษาตามวดั ตา่ ง ๆ พอถึงยคุ รชั กาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯให้ใชพ้ ระอารามบา้ งทรงสรา้ งเก๋งบรเิ วณพระทีน่ ่ังอมรินทรวนิ ิจฉัย ภายใน พระบรมมหาราชวงั บา้ งเปน็ สถานท่ีศึกษาเล่าเรียน โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ล้ียงเพลพระภิกษุและพระราชทานรางวลั ด้วย ภายหลงั สถานทีไ่ ม่เพียงพอจงึ โปรดเกลา้ ฯให้ใช่พระท่ีนั่งดุสิตมหาปราสาทเป็นทเี่ ลา่ เรียน ตอ่ มา ในรัชกาล ที่ ๔พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สรา้ งเกง๋ ขึ้น ๔ หลัง ณ วดั พระศรรี ตั นศาสดารามเพื่อใหเ้ ป็น สถานทศี่ ึกษาเล่าเรยี นเพ่ิมเติม ๖.๗.๑ รชั กาลที่ ๒ (๒๓๕๒- ๒๓๖๗) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จข้ึนครองราชย์เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๒ ทรงทำนุ บำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาเหมือนอย่างพระมหากษัตริย์ไทยแต่โบราณในรัชสมัยของพระองค์ทรงสถาปนา สมเด็จพระสังฆราชถึง ๓ พระองค์ คือ สมเด็จพระสังฆราช(สุก) สมเด็จพระสังฆราช(มี) และสมเด็จ พระสังฆราช (สุก ญาณสังวร)ในปี พ.ศ. ๒๓๕๗ ทรงจัดส่งสมณทูต ๘ รูป ไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในประเทศ ลงั กา ได้จัดใหม้ ีการจัดงานวันวิสาขบูชาขน้ึ เปน็ คร้ังแรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๐ ซ่ึงแต่เดิมก็ เคยปฏิบัติถือกันมาเมื่อครั้งกรุงสุโขทัย แต่ได้ขาดตอนไปตั้งแต่เสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า จึงได้มีการฟ้ืนฟูวันวิ สาขบูชาใหม่ ได้โปรดให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขวิธกี ารสอบไล่ปริยัติธรรมข้ึนใหม่ ได้ขยายหลักสูตร ๓ ชั้น คือ เปรยี ญตรี -โท - เอก เป็น ๙ ช้ัน คอื ชัน้ ประโยค ๑ – ๙ ๖.๗.๒ รชั กาลท่ี ๓ (๒๓๖๗ - ๒๓๙๔) พระบาทสมเด็จพระน่ังเกลา้ เจ้าอยหู่ วั โปรดให้มีการสร้างพระไตรปฎิ กฉบบั หลวงข้นึ ไว้อีก หลายฉบับครบถ้วนกว่ารัชกาลกอ่ นๆ โปรดให้แปลพระไตรปิฎกเปน็ ภาษาไทย ทรงบรู ณะปฏิสังขรณ์วัดวา อารามหลายแห่ง และสรา้ งวัดใหม่ คือวัดเทพธิดาราม วัดราชนดั ดาและวัดเฉลิมพระเกียรติ ได้ต้ังโรงเรียน หลวงขนึ้ เป็นคร้งั แรก เพื่อสอนหนงั สือไทยแกเ่ ด็กในสมยั นี้ได้เกิดนิกายธรรมยุติข้ึน โดยพระวชิรญาณเถระ (เจ้า ฟ้ามงกุฏ) ขณะที่ผนวชอยู่ได้ทรงศรทั ธาเลอ่ื มใสในจรยิ าวตั รของพระมอญ ชื่อ ซาย ฉายา พุทธฺ วโํ ส จงึ ไดท้ รง อุปสมบทใหม่ เมอ่ื พ.ศ.๒๓๗๒ ไดต้ งั้ คณะธรรมยตุ ขิ ึน้ ในปี พ.ศ.๒๓๗๖ แล้วเสดจ็ มาประทับท่วี ดั บวรนิเวศ วหิ าร และตง้ั เป็นศนู ย์กลางของคณะธรรมยุติ ๖.๗.๓ รัชกาลท่ี ๔ (๒๓๙๔ -๒๔๑๑) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว เม่ือทรงเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎไดผ้ นวช ๒๗ พรรษาแล้วได้ ลาสกิ ขาขึน้ ครองราชยเ์ ม่ือพระชนมายุ ๕๗ พรรษา ใน พ.ศ.๒๓๙๔ ด้านการพระศาสนาทรงพระราชศรัทธา สรา้ งวดั ใหม่ข้นึ หลายวดั เชน่ วดั ปทมุ วนาราม วัดโสมนสั วหิ าร วัดมกุฎกษตั ริยาราม วัดราชประดิษฐสถติ มหา

๑๒๕ สมี าราม และวัดราชบพิตร เป็นตน้ ตลอดจนบรู ณะวดั ตา่ ง ๆ โปรดให้มีพระราชพิธี \"มาฆบูชา\" ข้ึนเป็นคร้งั แรก ใน พ.ศ. ๒๓๙๔ ณ ทวี่ ัดพระศรรี ตั นศาสดาราม จนได้ถือปฏิบตั ิสืบมาจนถึงทุกวันนี้ ๖.๗.๔ รัชกาลที่ ๕ (๒๔๑๑ - ๒๔๕๓) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จข้ึนครองราชย์ พ.ศ.๒๔๑๑ทรงยกเลิกระบบทาสใน เมืองไทยได้สำเร็จ ทรงสร้างวัดใหม่ขึ้น คือวัดวัดราชบพิตร วัดเทพศิรินทราวาส วัดเบญจมบพิตร วัดอัษฎาง นิมติ ร วัดจุฑาทิศราชธรรมสภา และวัดนเิ วศนธ์ รรมประวตั ิ ทรงบูรณะวดั มหาธาตุ และวดั อื่น ๆ อีก ทรงนพิ นธ์ วรรณกรรมทางพุทธศาสนาจำนวนมาก โปรดให้มีการเร่ิมต้นการศึกษาแบบสมัยใหม่ในประเทศไทย โดยให้ พระสงฆ์รับภาระช่วยการศึกษาของชาติ พ.ศ.๒๔๒๗ ได้จัดตั้งโรงเรียนสำหรับราษฎรข้ึนเป็นแห่งแรก ณ วัดม หรรณพาราม พ.ศ. ๒๔๑๔ โปรดให้จดั การศึกษาแกป่ ระชาชนในหวั เมือง โดยจัดตงั้ โรงเรยี นในหวั เมอื งขึน้ พ.ศ.๒๔๓๕มพี ระบรมราชโองการประกาศตง้ั กรมธรรมการ เป็นกระทรวงธรรมการ (กระทรวง ศกึ ษาธิการปจั จบุ ัน) โปรดให้มีการพิมพ์พระไตรปิฎกดว้ ยอักษรไทย จบละ ๓๙ เล่ม จำนวน ๑,๐๐๐ จบ พ.ศ. ๒๔๓๒ โปรดให้ยา้ ยท่ีราชบณั ฑิตบอกพระปริยตั ธิ รรมแกพ่ ระภิกษุสามเณร จากในวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม ออกมาเป็นบาลีวทิ ยาลัย ชอ่ื มหาธาตวุ ิทยาลยั ทว่ี ดั มหาธาตุ และตอ่ มาปี พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้ประกาศเปลย่ี นนาม มหาธาตุวิทยาลยั เป็นมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั เป็นท่ีศึกษาพระปรยิ ตั ธิ รรมและวิชาการช้ันสงู ของพระภกิ ษุ สามเณร พ.ศ. ๒๔๓๖ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงจัดตั้ง \"มหามกุฏราชวิทยาลัย\" ข้ึน เพื่อเป็นแหล่งศึกษาพระพุทธศาสนาแก่พระภิกษุสามเณรฝ่ายธรรมยุตินิกาย พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู วั ทรงเสดจ็ เปิดในปเี ดียวกนั การชำระและจารึกพระไตรปิฎกในสมัยรัชกาลที่ ๕ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวได้มีการชำระและการพิมพ์พระไตรปิฎกอีกครั้ง ดังหลักฐานจากหนังสือกฎหมายรัชกาลที่ ๕หน้า ๘๓๘ซ่ึงหลวงรัตนาญาณปติ (เปล่ง) อธิบดีกรมอัยการเป็นผู้รวบรวบรวมไว้มีข้อความตอนหน่ึงว่า “ด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริจะทรงทำนุบำรุง พระพุทธศาสนาให้เจริญวัฒนาย่ิงข้ึนไป ประการใด ท่านท้ังหลายก็คงแลเห็นในการท่ีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสิ่งที่เป็นถาวรวัตถุให้เป็นภาชนะรับรอง พระพุทธศาสนาประการหนึ่ง ท้ังอเนกทานบริจาคของประณีตต่าง ๆ ฤาการยกย่องโดยสมณศักด์ิ ซ่ึงเป็น เสบียงกำลังแก่พระภิกษุสงฆ์ทั้งปวง ผทู้ รงวิไนยบัญญัติของพระพุทธเจ้าให้ดำรงอยู่ แลเป็นผู้แนะนำชาวสยาม ใหป้ ระพฤติการละบาปบำเพ็ญบุญน้นั กม็ ีเปน็ อันมากในปหี น่ึงๆ ก็อกี ประการหนึ่งการท่ีทรงบรจิ าคท้งั สองอยา่ ง น้ันปีหนึ่งก็ส้ินพระราชทรัพย์เป็นอันมาก เพราะเหตุด้วยทรงเล่ือมใสในคุณพระรัตนตรัยนั้น บัดน้ีทรง พระราชดำริถึงพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นพุทธภาสิตเป็นที่ร่ำเรียนศึกษาของผู้ท่ีนับถือพระพุทธศาสนาน้ันด้วยเหตุ อย่างไร คงปรากฏในกระแสพระราชดำรสั แก่พระเถรานเุ ถระ ซ่งึ จะมีต่อไปในหน้ากระดาษนแี้ ล้ว เพราะฉะนั้น จึ่งจะโปรดเกล้าฯ ให้ตีพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นอักษรสยาม เย็บเล่มสมุดให้มากแพร่หลายสืบสาสนายุกาลต่อไป จึ่งโปรดให้เผดียงพระสงฆ์เถรานุเถระท่ีชำนาญในพระไตรปิฎกอันมีสมณศักดิ์ ๑๑๐พระองค์ เป็นผู้ตรวจแก้ ฉบับพระไตรปิฎกท่ีตีพิมพ์ โปรดให้พระบรมวงษานุวงษเขา้ ราชการฝ่ายคฤหัสถ์เป็นกรรมสัมปาทิกสภา จัดการ

๑๒๖ พิมพ์พระไตรปิฎกให้สำเร็จทันในสมัยเม่ือเสด็จดำรงสิริราชสมบัติครบ ๒๕ปี จะได้มีการมหกรรมฉลอง พระไตรปิฎกนีใ้ นมงคลสมัยน้ัน”๒๙ ๖.๗.๕ รชั กาลที่ ๖ (๒๔๕๓- ๒๔๖๘) พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฏเกล้าเจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ขน้ึ ครองราชย์ ทรงพระปรีชาปราดเปรอื่ งในความรทู้ าง พระศาสนามาก ทรงนพิ นธ์หนงั สือแสดงคำสอนในพระพทุ ธศาสนาหลายเรอ่ื ง เชน่ เทศนาเสอื ป่า พระพุทธเจา้ ตรสั ร้อู ะไรเปน็ ตน้ ถึงกบั ทรงอบรมส่งั สอนอบรมขา้ ราชการดว้ ยพระองค์เอง ทรงโปรดให้ใช้ พทุ ธศักราชแทน ร.ศ. เม่ือพ.ศ.๒๔๕๖ ให้เปล่ยี นกระทรวงธรรมการเปน็ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร พ.ศ.๒๔๕๔ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเปลยี่ นวธิ ีการสอบบาลี สนามหลวงจากปากเปลา่ มาเปน็ ขอ้ เขียนเป็นคร้งั แรก พ.ศ.๒๔๖๙ ทรงเรม่ิ การศึกษาพระปริยตั ิธรรมใหม่ข้นึ อีกหลักสูตรหนง่ึ เรยี กว่า \"นกั ธรรม\" โดยมกี าร สอบครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม๒๔๕๔ตอนแรกเรียกว่า\"องค์ของสามเณรรูธ้ รรม\" พ.ศ.๒๔๖๒ ถึง พ.ศ.๒๔๖๓ โปรดใหพ้ มิ พค์ ัมภรี ์อรรถกถาแหง่ พระไตรปฎิ กและอรรถกถาชาดก และ คมั ภีรอ์ น่ื ๆ เชน่ วิสทุ ธมิ รรค มลิ ินทปัญหา เป็นตน้ ๖.๗.๖ รชั กาลที่ ๗ (๒๔๖๘ - ๒๔๗๗) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดใหม้ ีการทำสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้น ต้งั แต่ พ.ศ. ๒๔๖๘ - ๒๔๗๓ เพ่ือถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เป็นการ สังคายนาครั้งที่ ๓ ในเมืองไทย แล้วทรงจัดให้พิมพ์พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ชุดละ ๔๕ เล่ม จำนวน ๑,๕๐๐ ชุด และพระราชทานแก่ประเทศต่าง ๆ ประมาณ ๕๐๐ ชุด โปรดให้ย้ายกรมธรรมการกลับเข้ามารวมกับ กระทรวงศึกษาธิการ และเปลี่ยนช่ือกระทรวงศึกษาธิการเป็นกระทรวงธรรมการอย่างเดิม โดยมีพระราชดำริ วา่ \"การศึกษาไม่ควรแยกออกจากวัด\" ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๗๑ กระทรวงธรรมการประกาศเพิ่มหลักสตู รทางจริย ศกึ ษาสำหรับนักเรยี น ได้เปิดให้ฆราวาสเรียนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม โดยจัดหลกั สูตรใหม่ เรียกวา่ \"ธรรม ศกึ ษา\" ในรัชสมัยรัชกาลท่ี ๗ ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งยิ่งใหญ่ของไทย เม่อื คณะราษฎร์ไดท้ ำการ ปฏิวัติ เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช เป็นระบอบประชาธิปไตย เม่ือวันที่ ๒๔ มิถนุ ายนพ.ศ.๒๔๗๕ การชำระและจารึกพระไตรปิฎกในสมัยรัชกาลท่ี ๗ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ได้มีการชำระและการพิมพ์พระไตรปิฎกอีกครั้ง ดังท่ีปรากฏในรายงานการสร้างพระไตรปิฎก (ฉบับสยามรัฐ) ของพระเจ้าพ่ียาเธอ กรมพระจันทบุรนี ฤนาถ จากราชกิจจานุเษกษา เล่ม ๔๔ หนา้ ๓๙๒๗ ลง ๒๙สุชีพ ปุญญานภุ าพ, พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน.มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั ในพระบรมราชปู ถัมภ์,๒๕๓๙, หนา้ ๓๗.

๑๒๗ วันท่ี ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๐ นั้น๓๐ มีรายงานการสร้างพระไตรปิฎกตอนหนึ่งว่า “ข้าพระพุทธเจ้าขอ พระราชทานพระราชวโรกาสกราบบังคมทูลรายงานการสร้างพระไตรปิฎก เป็นอนุสาวรีย์เชิดชูพระเกียรติยศ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซ่ึงได้มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้ข้าพเจ้าจัดสนองพระเดชพระคุณนั้น บัดน้ีต้นฉบับพระไตรปิฎกสำหรับที่จะพิมพ์นั้น ใช้ฉบับ พิมพ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างเม่ือพระพุทธศักราช ๒๔๓๖ นั้นเป็นพ้ืน มีการ แก้ไข คือ เปล่ียนใช้ พินทุ แทนวัญฌการและยามักการจัดวางระยะวรรคตอนหนังสือน้ันเสียใหม่ และใช้ เคร่ืองหมายประกอบให้เป็นอย่างเดียว ตามแบบที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ประทานไว้ในการพิมพ์อรรถกถาพระไตรปิฎก ส่วนคัมภีร์ที่ขาดไปในฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๓๖ ใช้ฉบับใบลานข องหลวงเป็นต้นฉบับ และชำระโดยวิธีเดียวกัน แก้คำผิดแต่จำเพาะที่ปรากฏว่าคัดลอกผิด กำหนดการให้ได้ พิมพ์แล้วเสร็จในพระพุทธศักราช ๒๔๗๐ อน่ึง เพราะเหตุที่ได้ทรงเป็นประมุขบริจาคพระราชทรัพย์ในการ สร้างพระไตรปิฎกฉบับนี้ และโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการทวยราษฎรชาวสยามท้ังฝ่าย บรรพชิตและฆราวาสบริจาคทรัพย์โดยเสด็จในพระราชกุศลน้ัน ที่ประชุมชำระพระไตรปิฎก จึงขนาน นาม พระไตรปฎิ กน้วี ่า “สฺยามรฏฐสฺสเตปิฏกํ” “พระไตรปฎิ กสยามรัฐ” การพมิ พ์พระไตรปิฎกภาษาบาลที ่ีนยิ มเรยี กวา่ ฉบับสยามรฐั และเป็นฉบบั ที่ใช้อา้ งองิ ในปัจจุบันมาก ทส่ี ดุ ฉบบั หน่งึ แม้ในรชั กาลต่อมาจะมีการชำระและพิมพ์พระไตรปฎิ กข้นึ อีกหลายฉบบั ทั้งฉบับภาษาไทย ฉบบั อรรถกถา แต่กย็ ังอาศัยรปู แบบของพระไตรปิฎกฉบบั สยามรฐั เปน็ หลัก สรปุ ว่าการชำระการจารึกและการ พมิ พพ์ ระไตรปฎิ กในประเทศไทยนนั้ จำนวน ๔ ครงั้ ๑. ชำระและจารลงในใบลาน กระทำที่เชยี งใหม่ สมัยพระเจ้าตโิ ลกราชประมาณ พ.ศ. ๒๐๒๐ ๒. ชำระและจารลงในใบลาน กระทำทกี่ รุงเทพ สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกรชั กาล ท่ี ๑ พ.ศ. ๒๓๓๑ ๓.ชำระและพมิ พ์เปน็ เลม่ กระทำท่ีกรุงเทพ สมัยพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั รัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๓๑-๒๔๓๖ ๔. ชำระและพมิ พ์เปน็ เล่ม กระทำที่กรุงเทพ สมยั พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว รัชกาลที่ ๗พ.ศ. ๒๔๖๘-๒๔๗๓๓๑ ๖.๗.๗ รชั กาลที่ ๘ (๒๔๗๗ - ๒๔๘๙) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่อยู่หัวอานันทมหดิ ล เสดจ็ ข้ึนครองราชยเ์ ปน็ รัชกาลที่ ๘ ในขณะ พระชนมายุ เพยี ง ๙ พรรษาเท่านนั้ และยงั กำลงั ทรงศึกษาอยู่ในต่างประเทศ จงึ มีผู้สำเร็จราชการแทน พระองค์ในดา้ นการศาสนาได้มกี ารแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ ๓๐สชุ พี ปญุ ญานภุ าพ, อ้างแลว้ เร่ืองเดียวกนั ,หนา้ ๔๒. ๓๑สุชีพ ปญุ ญานภุ าพ, อ้างแล้ว เร่ืองเดยี วกัน,หน้า ๑๗.

๑๒๘ ๑. พระไตรปิฎก แปลโดยอรรถ พมิ พ์เปน็ เลม่ สมดุ ๘๐ เล่ม เรยี กวา่ พระไตรปิฎกภาษาไทย แต่ไม่เสรจ็ สมบรู ณ์ และได้ทำต่อจนเสรจ็ เม่อื งานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ เมือ่ ปี พ.ศ.๒๕๐๐ ๒. พระไตรปฎิ ก แปลโดยสำนวนเทศนา พมิ พใ์ บลาน แบ่งเปน็ ๑๒๕๐ กณั ฑ์ เรยี กว่า พระไตรปฎิ ก ฉบับหลวง เสร็จเมอ่ื พ.ศ. ๒๔๙๒ พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้เปล่ียนชื่อกระทรวงธรรมการเปน็ กระทรวงศึกษาธกิ าร และกรมธรรมการเปล่ยี นเปน็ กรมการศาสนา และในปเี ดียวกนั รัฐบาลไดอ้ อก พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ เมือ่ วนั ท่ี ๑๔ ตุลาคม เพื่อให้ การปกครองคณะสงฆม์ ีความสอดคลอ้ งเหมาะสมกบั การปกครองแบบใหม่๓๒ ๖.๗.๘ รชั การท่ี ๙ (๒๔๘๙-ปัจจุบัน) ส่วนในสมัยรัชกาลท่ี ๙ ได้มีการชำระ และพิมพ์พระไตรปิฎกอีกหลายคร้ัง นอกจากนั้นยังมี การปริวรรตคัมภีร์อรรถกถาจากภาษาต่างๆเป็นภาษาไทยและจัดพิมพ์เผยแพร่อีกจำนวนมากดำเนินการโดย มลู นธิ ิภมู ิพโลภกิ ขุ จนกระท่ังมกี ารบันทกึ พระไตรปิฎกลงแผ่นซีดี และนำเผยแผท่ างอนิ เทอร์เนต็ จากนัน้ เปน็ ต้น มาการใชบ้ ริการอนิ เทอรเ์ น็ต (Internet) ในประเทศไทยได้รับความนยิ มอยา่ งสูงและมคี วามตอ้ งการใชง้ านเพ่ิม สงู ข้ึนทุกวัน ทั้งปริมาณผู้ใชแ้ ละปริมาณอัตราการรับสง่ ข้อมูลที่มีปริมาณมากข้ึนทุกวนั จนกระท่ังมีรัฐวิสาหกิจ ได้นำอินเทอรเ์ น็ตมาใชใ้ นเชงิ พาณชิ ย์ ในยุคแรกๆคณะสงฆ์ไทยยังไม่ได้ใช้อินเทอร์เน็ตในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา แต่มีการนำเอา พระไตรปิฎกบันทึกลงแผ่นซีดีกลายเป็นพระไตรปิฎกฉบับซีดีรอมเกิดขึ้นคร้ังแรก เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๑ มหาวิทยาลัยมหิดลไดจ้ ัดทำพระไตรปิฎกฉบบั ซีดีรอม บันทึกลงในแผน่ ซดี ี มีบนั ทึกไว้ว่า“ในชว่ งวันวิสาขบูชาปี พุทธศักราช ๒๕๓๑ ศูนย์คอมพิวเตอร์มหาวิทยาลัยมหิดลได้พัฒนาพระไตรปิฎกฉบับดิจิตอล ได้เริ่มโครงการ นำเอาพระไตรปิฎกฉบบั ภาษาลีจำนวน ๔๕ เล่ม พิมพ์ลงแผน่ ซีดีรอม และพัฒนาโปรแกรมสืบคน้ พระไตรปิฎก จนกระทั่งปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ จึงได้จัดทำพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยและยังได้รับการพัฒนามาตามลำดับ ประกอบด้วยพระไตรปิฎกฉบับแปลเป็นภาษาไทย ๔๕ เล่ม พระไตรปิฎกฉบับบาลีอักษรไทย ๔๕ เล่ม พระไตรปิฎกฉบับบาลีอักษรโรมัน ๔๕ เล่ม อรรถกถาและคัมภีร์อ่ืน ๆ พระไตรปิฎกฉบับบาลีอักษรไทย ๗๐ เล่ม อรรถกถาและคัมภีร์อื่น ๆ พระไตรปิฎกฉบับบาลีอักษรโรมัน ๗๐ เล่ม และพระไตรปิฎกภาษาเทวนาครี และสิงหล จากการศึกษาบทบาทพระสงฆ์ตอ่ การศึกษาในสมัยรัตนโกสนิ ทร์ สรุปได้ว่า บทบาทพระสงฆ์ต่อ การศึกษาในสมยั รัตนโกสนิ ทรแ์ บ่งออกเป็น ๓ สมัย ดงั ต่อไปนี้ ๑.สมยั รตั นโกสนิ ทรต์ อนต้น (ร.๑-ร.๓) พระสงฆ์ในยุคน้ีมีบทบาทต่อการศึกษาโดยมีหน้าที่ศึกษาพระไตรปิฎกซึ่งเป็นท่ีรวบรวมพระ ธรรมวินัย หลักสูตรการศึกษาใช้พระไตรปิฎก ใชส้ ถานที่คือวัดเปน็ แหล่งการศึกษา หลกั สูตรการศึกษาใช้ พระไตรปิฎก การจัดการศึกษาแบ่งเป็นเป็น ๓ ระดับๆ ได้แก่ บาเรียนตรี บาเรยี นโท บาเรียนเอก ใช้เวลา ศึกษาระดับละ ๓ ปี มีระบบการวัดผลประเมินผล โดยวิธีการสอบปากเปล่า ในการสอบแต่ละครั้ง ๓๒การปฏิวตั ิการศึกษาของคณะสงฆส์ มัยใหม.่ เข้าถึงจาก. http://landhalvomujgxHodkiryokdkmma.com/page๒๒๕.html. สบื คน้ เมอื่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖.

๑๒๙ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประธานการสอบ ในยุดนี้มีการเปลี่ยนระบบการศึกษาในสมัยรัชกาลที่ ๒ ได้แบ่ ง การศึกษาออกเป็น ๙ ช้ัน ได้แก่ ประโยค ๓ เป็นบาเรียนตรี ประโยค ๔-๕-๖ เป็นบาเรียนโท ประโยค ๗-๘-๙ เป็นบาเรียนเอก ผู้สอบได้หากเป็นพระภิกษุใช้คำว่า “พระมหา” นำหน้าช่ือ หากเป็นสามเณร จัดเป็นสามเณรเปรียญ เมื่อพระสงฆ์ได้ศึกษาพระธรรมวินัยจนกระทั่งมีความเข้าใจแล้ว จึงได้ทำหน้าที่เป็น ครูสอนแก่กุลบุตรซ่ึงเป็นลูกหลานชาวบ้านในชุมชนให้มีความรู้เพื่อให้สามารถมีความรู้ไปรับราชการและ ประกอบอาชีพตามสมควรแกฐ่ านะ ๒. สมยั รตั นโกสนิ ทร์ตอนกลาง(ร.๔- ร.๖) บทบาทพระสงฆ์ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลาง เป็นสมัยท่ีพระสงฆ์มีบทบาทต่อการศึกษา ท้ังทางโลกและทางธรรม มีการแยกการศึกษาจากวัด พระสงฆ์มีบทบาทต่อการศึกษาชาติไทยอย่างชัดเจน โดยพระสงฆ์มีบทบาทรับภาระช่วยสอนการศึกษาในโรงเรียนในยุคปฏิรูปการศึกษาโดยทำหน้าที่เป็น “ครู สอน” พระสงฆ์ก็ยังคงศึกษาพระธรรมวินัย คือ พระไตรปิฎก ในสมัยนี้ มีการศึกษาคณะสงฆ์อีกแผนกหนึ่ง เกิดขึ้นคือหลักสูตรพระปริยัติธรรม แผนกธรรม แบ่งเป็น ๓ ช้ันคือ ตรี-โท-เอก จัดเป็นหลักสูตรบุรพภาค ของพระที่จะเข้าสอบบาลี ได้แก่ผู้จะมีสทิ ธิสอบบาลสี นามหลวงได้ต้องสอบได้นักธรรมกอ่ น ผู้สอบได้เปรียญจึง มีคำย่อใช้ว่า “ป.ธ.”นอกจากน้ันยังมีหลักสูตร ธรรมศึกษา สำหรับคฤหัสถ์เกิดข้ึนในสมัยน้ีอีกหลักสูตรหน่ึง เพ่ือสอนธรรมแก่ชาวบ้านผู้มีความสนใจใคร่เรียนรู้พระพุทธศาสนา ในสมัยนี้ได้มหาวิทยาลัยสงฆ์เกิดข้ึนคือ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหามกุฏราชวิทยาลัย มีการปรับเปล่ียนการสอบบาลีจากปากเปล่า เป็น การสอบโดยข้อเขียน บทบาทพระสงฆ์ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลางเริ่มมีหน้าที่ชัดเจน คือ พระสงฆ์ทำ หน้าท่ีด้านศาสนจักร คือจัดการศึกษาสงฆ์เอง ส่วนเรื่องอาณาจักรบ้านเมืองนำการศึกษาจากวัดไปจัด การศึกษา ส่วนพระสงฆ์มีหนา้ ทีเ่ ขา้ ไปชว่ ยแบ่งเบาภาระแก่รัฐในการไปช่วยสอนในโรงเรยี นเทา่ น้นั ๓. สมัยรัตนโกสนิ ทร์ปัจจบุ ัน (ร.๗- ร.๙) บทบาทพระสงฆ์ต่อการศึกษาของประเทศไทย ในสมัยปัจจุบันจัดเป็นยุคทองของการศึกษา คณะสงฆ์ พระสงฆ์มีหน้าท่ีต้องจัดการศึกษาให้แก่ประเทศชาติและคณะสงฆ์ ได้แก่ การศึกษาพระปริยัติ ธรรม แผนกธรรม/บาลี และสามัญศึกษา (การศึกษาแผนใหม่) และจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาอย่าง เป็นทางการได้แก่การศึกษาในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และ มหามุกฎราชวิทยาลัย การศึกษาสงฆ์ได้รับการยอมรับ มีกฏหมายรับรองอย่างเป็นทางการ มีพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง สองแห่ง สามารถจดั การศึกษาในระดบั ปริญญาตรี -โท-เอก ได้ ผ้จู บการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ท้ังสอง แห่งมีศักดิ์และสิทธิ์ได้รับการรับรองท้ังฝ่ายศาสนจักรและอาณาจักร พระสงฆ์มีบทบาทสามารถจัดการศึกษา ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม และเปิดโอกาสให้ชาวบ้านเข้ารับการศึกษาในมหาวิทยาลัยท้ังสงฆ์ท้ังสองแห่งได้ แต่ก่อนหน้าจำกัดสิทธิ์เฉพาะพระสงฆ์เท่านั้น และการจัดการศึกษาของคณะสงฆ์ได้รับสนับสนุนงบประมาณ จากภาครฐั มากข้นึ ตามลำดับจนถึงปัจจบุ ัน

๑๓๐ สรุปทา้ ยบท บทบาทของพระสงฆ์ในสมยั กรุงรตั นโกสนิ ทร์ ไดเ้ ปลีย่ นไปอยา่ งมากโดยเฉพาะในรัชกาลที่ ๕ ประเทศ ไทยไดร้ ับอิทธิพลจากแนวคิดทางตะวนั ตก พระองค์ได้ทรงฟนื้ ฟูพระพุทธศาสนาให้ทันสมยั อยา่ งกวา้ งขวาง มี พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้มพี ระอาจารย์สอนหนังสอื ภาษาไทยและสอนเลขทกุ ๆ อาราม โดยให้ พระสงฆ์รบั ภาระชว่ ยการศึกษาของชาตแิ ละฝึกสอนวชิ าความรู้ตา่ งๆแก่กลุ บุตรบทบาทของพระสงฆใ์ นสมัยนี้ นอกจากจะมีบทบาทในการพัฒนาศลี ธรรมและจิตใจ เหมอื นสมัยต่างๆที่ผ่านมาแล้ว ยังมีบทบาทในการส่งั สอนวชิ าการสมยั ใหมแ่ ขนงต่างๆ แก่ประชาชนในสงั คมอกี ด้วยดังนั้น บทบาทในการชว่ ยสงเคราะห์ประชาชน ในสงั คมและประสานความขัดแย้งตา่ ง ๆ ทเี่ กดิ ขึ้นในสังคม แต่ท่ตี า่ งกันบา้ งคือ บทบาทในการทำเคร่ืองราง ของขลงั และบทบาทในการให้ความร้ใู นวิชาการต่าง ๆ ทางโลกแก่ประชาชนปัจจัยทเ่ี ก้อื หนนุ ให้พระสงฆ์ทำ บทบาทประการหนงึ่ ซึ่งมีลกั ษณะคล้ายกันตัง้ แต่สมยั พุทธกาลมาจนถึงประวัตศิ าสตร์ไทย คอื ความสัมพนั ธ์ ระหว่างพระมหากษัตรยิ ก์ ับพระสงฆ์ จะเหน็ ไดช้ ดั ว่า ในสมัยพระเจา้ อโศกมหาราช สมยั ลังกา และใน ประวตั ิศาสตรไ์ ทย พระมหากษัตริย์ไดใ้ หก้ ารสนับสนุนและส่งเสริมบทบาทตา่ ง ๆ ของพระสงฆเ์ ป็นอย่างดยี ง่ิ สภาวะของสังคมก็มสี ่วนทำให้บทบาทของพระสงฆ์เปลยี่ นแปลงไปเช่นกนั จะเหน็ ไดช้ ัดว่าในปลายสมัยอยธุ ยาท่ี พระสงฆต์ อ้ งแสดงบทบาททางไสยศาสตร์ เครื่องรางของขลงั และสอนวิชาการทางโลกแก่คนในชุมชนเพม่ิ ข้นึ จากปกติ๓๓ ๓๓ระบบการศึกษาคณะสงฆไ์ ทย. เขา้ ถึงจาก. http://www.thammapedia.com/sankha/prasong_education.php.สบื ค้นเมอื่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖.

๑๓๑ คำถามทา้ ยบท ๑.คำวา่ “บทบาท” และ “สงั ฆะ”มคี วามหมายอย่างไร ๒.บทบาทการศึกษาของพระสงฆน์ ้นั ท่มี ตี ่อสังคมเริ่มตง้ั แต่ตอนไหน และผลเปน็ อย่างไร ๓.การศึกษาของคณะสงฆ์ในประเทศไทยเร่ิมต้ังแตย่ ุคสมยั ไหน สง่ ผลอย่างไรต่อคณะสงฆไ์ ทย ๔.จงบรรยาย เรอื่ ง”การศึกษาของสงฆส์ มัยสโุ ขทัย-ล้านนา” พอสังเขป ๕.การศกึ ษาของสงฆ์สมัยกรุงธนบรุ ี มหี ลักสตู ร สถานที่ศึกษา มวี ิธีวดั ผล และวิธสี อบอย่างไร ๖.การพฒั นาการศกึ ษาของคณะสงฆส์ มยั รตั นโกสินทร์ตอนตน้ มหี ลกั สตู รและสถานศกึ ษาอยา่ งไร ๗.ในปจั จุบันการศกึ ษาของคณะสงฆ์ไทย แบ่งเปน็ ก่ีแผนก แต่ละแผนกมกี ่ชี ั้น ๘..สถาบันที่ให้การศึกษาแกพ่ ระภกิ ษสุ ามเณรนนั้ มเี ท่าไร อะไร และมวี ัตถปุ ระสงค์อย่างไร ๙. จงอธบิ าย บทบาทของสงฆ์ ด้านการศึกษาสงเคราะห์ในยคุ ปัจจุบนั ๑๐.จงอธบิ าย บทบาทของสงฆ์ ตอ่ การรกั ษาสง่ิ แวดล้อม พอสงั เขป

๑๓๒ เอกสารอ้างองิ ประจำบท งามพิศ สตั ยส์ งวน, หลักมานษุ ยวิทยา, กรงุ เทพฯ : พมิ พ์ท่ีเจ้าพระยาการพมิ พ์, ๒๕๔๖. ดนัย ไชยโยธา.พัฒนาการของมนุษยก์ ับอารยธรรมในราชอาณาจักรไทย เล่ม ๒, กรุงเทพ ฯ : สำนักพมิ พ์โอเดยี นสโตร,์ ๒๕๔๔. บุญเดิม พันเอม,(ม.ป.ป.). จิตวิทยาสังคม, กรุงเทพฯ: พมิ พ์ท่อี มรการพิมพ,์ อา้ งในกรมการศาสนา กระทรวง วฒั นธรรม ร่วมกบั สวนดสุ ติ โพล มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสวนดุสติ , โครงการศกึ ษาบทบาทพระสงฆ์กับการ พัฒนาคณุ ธรรมจริยธรรมตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง. พระธรรมปิฎก(ประยุทธ์ ปยุตฺโต),พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม, กรุงเทพฯ : โรงพมิ พม์ หาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย,๒๕๒๕. พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ๒๕๐๕,ราชกิจจานเุ บกษา, ฉบับท่ี ๒๒๙ ตอนท่ี ๑๑๕ (พมิ พ์พเิ ศษ) ๑๓ ธนั วาคม ๒๕๐๕. รศ.ณรงค์ เส็งประชา.มนุษยก์ ับสงั คม, พิมพ์ครง้ั ที่ ๔,กรุงเทพฯ : พิมพ์ที่ โอ.เอส.พริ้นต้งิ เฮา้ ส์. ราชบณั ฑิตยสถาน.พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒.กรุงเทพฯ : นานมบี ุ๊คสพ์ บั ลเิ ดชนั่ ส์.๒๕๔๖. ราชบัณฑติ ยสถาน. พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕.พิมพ์ครงั้ ที่ ๕.กรงุ เทพฯ: อักษรเจริญทัศน.์ ๒๕๓๘. ไวรัส เจยี งบรรจง. จติ วทิ ยาสังคม ๒, นนทบุรี : โรงพมิ พ์สถานสงเคราะห์หญงิ ปากเกรด็ ,๒๕๒๓. สงวนศรี วริ ชั ชัย.จิตวิทยาสังคมเพอื่ การศึกษา, กรงุ เทพ : ไทยวฒั นพานิช, ๒๕๑๖,หนา้ ๒๗. สิรวิ ัฒน์ คำวนั สา. ประวตั พิ ระพุทธศาสนาในประเทศไทย, พิมพค์ ร้งั ท่ี ๒, กรงุ เทพฯ : โรงพิมพบ์ ริษัท สหธรรมกิ จำกัด, ๒๕๔๑. สุชพี ปญุ ญานุภา.พระไตรปิฎกฉบับสำหรบั ประชาชน,มหามกุฏราชวิทยาลยั ในพระบรมราชปู ถมั ภ,์ ๒๕๓๙. สุพัตรา สุภาพ.สังคมวทิ ยา, กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์วัฒนพานิช,๒๕๒๒. สมพร เทพสิทธา. พระสงฆ์กับงานสงั คมสงเคราะห์, กรุงเทพ : สมชายการพิมพ์,๒๕๔๑. อุดม เชยกวี งศ.์ ยุคทองแหง่ วรรณกรรมพุทธศาสนาของลานนาไทย/พระยากอื นา, หนังสือพระเจา้ มังราย มหาราช:สำนกั พิมพภ์ มู ปิ ัญญา, ๒๕๕๐. เอกสารอเิ ลค็ ทรอรน์ ิก “สังฆะ” ในทศั นะท่านพทุ ธทาส, พระดุษฎี เมธงฺกโร,สืบคน้ จาก http://www.buddhadasa.org/html/articles/1_bdb/sangha.html. สืบคน้ เมื่อ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๖,หน้า ๙-๑๐.

๑๓๓ การปฏวิ ตั กิ ารศกึ ษาของคณะสงฆ์สมัยใหม่.คน้ จาก http://landhalvomujgxHodkiryokdkmma.com/page๒๒๕.html. สืบค้นเมือ่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖. ประวัติพระพุทธศาสนา,พระมหาสมศกั ดญ์ิ าณโพโธ,สบื ค้นจาก http://www.history.mbu.ac.th/buddhism/bud6-2.html สบื คน้ เมอ่ื ๒๐ เมษายน ๒๕๕๖. พระสงฆ์กับงานสังคมสงเคราะห,์ ผศ.ประเสริฐ ปอนถน่ิ ,สืบคน้ จาก bbznet.pukpik.com/scripts/view.php?user=swmcu...1, สืบคน้ วนั ท่ี ๒๔ เมษายน ๒๕๕๖. ระบบการศึกษาคณะสงฆ์ไทย. สืบค้นจาก http://www.thammapedia.com/sankha/prasong_education.php. สืบคน้ เมอ่ื ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖.

๑๓๔ บทที่ ๗ บทบาทของพระสงฆ์ตอ่ การศึกษาในภูมิภาคเอเชยี ผูช้ ่วยศาสตราจารย์อานนท์ เมธีวรฉตั ร วัตถุประสงคก์ ารเรยี นประจำบท เมือ่ ได้ศกึ ษาเนื้อหาในบทนี้แล้วผศู้ ึกษาสามารถ ๑.อธบิ ายบทบาททั่วไปและบทบาทดา้ นการศึกษาของพระสงฆ์ ๒.อธิบายบทบาทพระสงฆ์ในภูมภิ าคเอเชยี ๓.วเิ คราะห์แนวโน้มบทบาทของพระสงฆต์ ่อการศึกษาในประชาคมโลก ขอบขา่ ยเนื้อหา • บทบาทท่ัวไปและบทบาทด้านการศึกษาของพระสงฆ์ • บทบาทพระสงฆต์ ่อการศึกษาในภูมภิ าคเอเชยี • เอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ • เอเชียใต้ • เอเชียตะวันออก • วิเคราะห์แนวโนม้ บทบาทของพระสงฆ์ต่อการศึกษาประชาคมโลก

๑๓๕ ๗.๑ ความนำ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาท่ีเกิดขึ้นในทวีปเอเชีย เขตเอเชียใต้ท่ีประเทศอินเดีย หลักธรรม พระพุทธศาสนาภายหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้กระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ภายหลังการสังคายนาคร้ังท่ี ๓ (พ.ศ.๒๑๘) ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ได้ทรงส่งพระสงฆ์ไปประกาศศาสนาในดินแดนต่างๆ รวม ๙ สาย ทง้ั ในภมู ิภาคเอเชยี และยโุ รปคือ ๑. คณะพระมัชฌนั ติกเถระ ไปแควน้ แคชเมยี รแ์ ละแคว้นคันธาระ ๒. คณะพระมหาเทวะ ไป มหิสกมณฑล ซึ่งคือ แควน้ ไมซอรแ์ ละดนิ แดนล่มุ แมน่ ำ้ โคธาวารี ในอนิ เดีย ใต้ปจั จุบัน ๓. คณะพระรกั ขติ ะ ไปวนวาสปี ระเทศ ได้แก่ แคว้นบอมเบย(์ ในปจั จบุ นั คือมุมไบ) ๔. คณะพระธรรมรักขติ ไป อปรนั ตกชนบท แถบทะเลอาหรบั ทางเหนือของบอมเบย์ ๕. คณะพระมหาธรรมรักขติ ไปแควน้ มหาราษฎร์ ๖. คณะพระมหารักขติ ไปโยนกประเทศ ได้แกแ่ ควน้ กรกี ในเอเชยี กลาง อิหรา่ น และเตอร์กิสถาน ๗. คณะพระมัชฌิมเถระ ไปแถบเทอื กเขาหมิ าลยั คือ เนปาลปัจจบุ ัน ๘. คณะพระโสณะ และพระอุตตระ ไปสุวรรณภมู ิ ได้แก่ ไทย พม่า มอญ ๙. คณะพระมหนิ ทระ ไปลังกา การศึกษาบทบาทของพระสงฆ์ต่อการศึกษาในภูมภิ าคเอเชีย น้ัน นับวา่ เป็นเรอื่ งสำคัญที่ผ้ศู ึกษาจะได้ รบู้ ทบาทหน้าท่ีของพระสงฆ์ใน ทวีปเอเชียซง่ึ การแบ่งภมู ิภาคทวีปเอเชียแบ่งได้ ๕ ภูมภิ าคดังนี้ ๑.เอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้ หรือ เอเชยี อาคเนย์ ( Southeast Asia ) ไดแ้ ก่ ประเทศไทย ลาว กมั พูชา พม่า เวยี ดนาม ฟิลิปปินส์ อนิ โดนเี ซยี มาเลเซยี สงิ คโปร์ บรูไนและติมอร์เลสเต ๒.เอเชยี ตะวันออก ( East Asia ) ได้แก่ ประเทศจนี มองโกเลีย ไต้หวัน เกาหลีเหนอื เกาหลีใต้ ญป่ี ุ่น นอกจากน้ียงั มีดนิ แดนอาณานิคมของอังกฤษคือ ฮ่องกง และดนิ แดนอาณานิคมของโปรตเุ กส คือ มาเกา๊ ๓.เอเชยี ใต้ ( South Asia ) ได้แก่ อนิ เดยี ปากีสถาน บังกลาเทศ เนปาล ศรีลังกา ภูฏานและมัลดีฟส์ ๔.เอเชียตะวนั ตกเฉียงใต้ ( Southwest Asia ) ได้แก่ ประเทศอัฟกานสิ ถาน อิหรา่ น อริ ัก อสิ ราเอล จอร์แดน คูเวต เลบานอน กาตาร์ โอมาน ซาอุดิอาระเบยี ซีเรีย ตรุ กี บาห์เรน สหรฐั อาหรับเอมเิ รตส์ เยเมน และไซปรสั ๕.เอเชยี กลาง ไดแ้ ก่ ทาจกิ ิสถาน คาซัคสถาน อุซเบกสิ ถาน เติร์กเมนสิ ถาน เคอร์กสิ ถาน และอยู่ใน ทวีปยุโรป จอร์เจยี อารเ์ มเนีย อาเซอร์ไบจาน ในการศึกษาบทบาทของพระสงฆ์ต่อการศึกษาในภูมิภาคเอเชียคร้ังนี้ คณะผู้เขียนจักได้นำเสนอ เฉพาะในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออก และเอเชียใต้ ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่ที่มีประชากรนับ

๑๓๖ ถือพระพุทธศาสนา และมีพระสงฆ์เข้าไปอยู่เผยแผ่พระพุทธศาสนาในปัจจุบันดังจะได้กล่าวรายละเอียด ตามลำดบั ดงั ต่อไปนี้ ท่ีมา : http://th.wikipedia.org/wiki/ประวตั ิศาสนาพุทธ ภาพจากหนังสือ\"เรยี นรูพ้ ทุ ธประวัตดิ ว้ ยแผนท\"่ี โดย พระสุตาวุธวสิ ฐิ (ขรรค์ชยั ชนะกลุ ) สบื ค้นเมอ่ื วนั ที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖. ๗.๒ บทบาทท่ัวไปและบทบาทดา้ นการศึกษาของพระสงฆ์ คำว่า “บทบาท” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Role หมายถึง การทำหน้าท่ีหรือพฤติกรรมที่สังคม กำหนดและคาดหมายให้บุคคลกระทำ๑ มีความหมายตามพจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา อังกฤษ-ไทย ว่า บทบาทคอื การทำตามบท การรำตามบท นอกจากนนั้ เอกชาตรี สุขแสน ได้กล่าวไว้ว่า๒ บทบาท คือ สถานภาพทีถ่ ูกกำหนดขึ้นโดยสังคม ของแตล่ ะสังคมและเกดิ จากการตกลงของสังคมนนั้ ๆและยงั เปน็ ความคาดหวงั หรือความคาดหวังต่อบทบาท น้นั ๆของสงั คม ในสงั คมทุกสังคมจะกำหนดบทบาทหรือได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกนั มา จากสงั คมหรือกลุ่ม ชนน้ันๆ บางคร้งั เกิดขน้ึ เองโดยปราศจากการกำหนดหรือปราศจากความคาดหมายจากสังคม เพราะเป็น บทบาทท่ีกระทำอยู่อย่างถกู ต้องตามหลักมโนธรรม ๑ราชบัณฑติ ยสถาน,พจนานุกรมศพั ท์สงั คมวิทยา องั กฤษ-ไทย,กรุงเทพมหานคร:บริษัทรุ่งศลิ ป์การพิมพ,์ (๒๕๒๔), หนา้ ๓๑๕. ๒เอกชาตรสี ขุ เสน. “บทบาทพระสงฆต์ ่อการชว่ ยเหลือผู้ติดเชื้อเอดสแ์ ละผปู้ ่วยเอดส์”.วทิ ยานพิ นธ์วารสารศาสตร์ มหาบัณฑติ . คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์,(๒๕๔๒),หน้า ๒๙.

๑๓๗ พระสงฆ์เป็นบรรพชิตในพระพุทธศาสนา มีหน้าที่ศึกษาปฏิบัติธรรมเผยแผ่คำสอนสืบต่อพระพุทธ ศาสนามีคุณธรรมและหลักความประพฤติที่ต้องปฏิบัติมากมาย ดังปรากฏตามที่พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ป ยตุ โฺ ต) ได้กล่าวไวใ้ นหนังสือธรรมนญู ชวี ติ ดงั นี้๓ ๑.ห้ามปรามสอนให้เวน้ จากความชั่ว ๒.แนะนำสง่ั สอนใหต้ งั้ อยูใ่ นความดี ๓.อนเุ คราะห์ดว้ ยความปรารถนาดี ๔.ให้ได้ฟงั ได้รูส้ งิ่ ที่ยงั ไม่เคยรู้เคยฟงั ๕.ชแ้ี จงอธบิ ายทำส่งิ ทีเ่ คยฟงั แลว้ ใหเ้ ข้าใจแจ่มแจง้ ๖.บอกทางสวรรค์ สอนวธิ ีการดำเนนิ ชีวติ ให้ประสบความสุขความเจริญ ดังน้ัน เมือ่ กล่าวถงึ บทบาทของพระสงฆใ์ นปัจจุบนั อาจสรุปไดเ้ ป็น ๒ ประการ คือ ๗.๒.๑ บทบาทตามพระธรรมวินัย พระสงฆ์มีบทบาทในการศึกษาพระธรรมวินัยและปฏิบัติตาม เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย (ปริยัติ –ปฏิบัติ-ปฏิเวธ) ซึ่งการปฏิบัติตามหลักการศึกษา ๓ ประการ ดังกล่าวมี รายละเอียดดังนี้ ก.ข้ันปริยัติเป็นการศึกษาพระธรรมวินัยให้มีความรู้ในพระธรรมคำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้า รวมท้ัง พระวินัย คือข้อบัญญัติต่างๆ ท่ีจะต้องประพฤติ ให้มีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องถ่องแท้เพ่ือจะได้นำมา ประพฤติปฏิบัติได้อย่างถูกต้องตรงทางและยังสามารถแนะนำส่ังสอนผู้อ่ืน ให้มีความรู้ความเข้าใจใน พระพุทธศาสนาทีถ่ ูกต้อง ข.ข้ันปฏิบัติเป็นการนำเอาพระธรรมวินัยที่ได้ศึกษามาจนรอบรู้และเข้าใจถ่องแท้ดีแล้ว มาประพฤติ ปฏิบัติด้วยกาย วาจา และใจ ในสองข้อแรกส่วนใหญ่ก็จะเป็นไปในกรอบของพระวินัย คือศีลน่ันเอง ส่วนข้อ ท่ีสามเป็นการเจริญภาวนา อันได้แก่การฝึกสัมมาสมาธิซึ่งเป็นสมาธิในพระพุทธศาสนา มิใช่สมาธิโดยทั่วไป รายละเอียดในการนำไปสู่สัมมาสมาธิมีอยู่พร้อมมูล และชัดเจนแล้วในพระไตรปิฎกเมื่อได้สัมมาสมาธิในระดับ ท่ีจะนำไปใช้ปฏิบัติวิปัสสนาได้ก็น้อมนำไปสู่การทำวปิ ัสสนาอันเป็นอุบายให้เกิดปัญญา ท่ีได้รู้เห็นความเป็นไป ตา่ ง ๆของโลกตามความเป็นจริง ค.ขั้นปฏิเวธ เป็นข้ันที่แสดงผลของการประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยในระดับต่าง ๆ ในเร่ือง ต่าง ๆตามลำดับ จนถึงขั้นทำท่ีสุดแห่งทุกข์ อันเป็นจุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาการศึกษาคำสอนของ พระพุทธเจ้าน้ีเรียกว่าการศึกษาพระปริยัติธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามีองค์ ๙ ประการ เรียกว่า นวังคสัตถศุ าสน์ได้แก่ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม และเวทัลละ การศึกษาพระปริยตั ิธรรมกเ็ พื่อรักษาพุทธวจนะให้ดำรงอยู่ พระพุทธเจ้าใช้ภาษามคธหรือเรียกกันโดยท่ัวไปว่า ภาษาบาลี ในการแสดงพระธรรมเทศนา เนื่องจากเป็นภาษาที่คนท่ัวไปในมัชฌิมประเทศ ใช้กันอยู่อย่าง แพร่หลาย ดังนั้น แม้ว่าจะมีการแปลพระธรรมวินัย ออกเป็นภาษาต่าง ๆ แต่ต้องไม่ทิ้งพุทธวจนะเดิมที่เป็น ๓พระพรหมคณุ าภรณ์.(ป.อ.ปยตุ โฺ ต),ธรรมนญู ชีวติ ,กรุงเทพมหานคร:ธรรมสภา,(๒๕๕๐),หน้า ๗๓.