๓๘ น วังค สั ต ถุ ส าส น์ ๒ (ค ำส อ น ข อ งพ ระศ าส ด ามี อ งค์ ๙ — the Teacher’s nine-factored dispensation the Master’s ninefold teaching) ๑. สุตฺตํ (สูตร ได้แก่ อุภโตวิภังค์ นิทเทส ขันธกะ ปริวาร พระสูตรในสุตตนิบาต และพุทธวจนะ อื่นๆ ท่ีมีชื่อว่าสุตตะ หรือ สุตตันตะ กล่าวง่ายคือ วินัยปิฎก คัมภีร์นิทเทสทั้งสอง และพระสูตร ทัง้ หลาย — threads; discourses) ๒. เคยฺยํ (เคยยะ ได้แก่ ความท่ีมีร้อยแก้วและร้อยกรองผสมกัน หมายเอาพระสูตรที่มีคาถา ทัง้ หมด โดยเฉพาะสคาถวรรคในสังยุตตนกิ าย — discourses mixed with verses; songs) ๓. เวยฺยากรณํ (ไวยากรณ์ ได้แก่ ความร้อยแก้วล้วน หมายเอาพระอภิธรรมปิฎกทั้งหมด พระ สูตรที่ไม่มคี าถา และพระพทุ ธพจน์อน่ื ใดที่ไมจ่ ดั เข้าในองค์ ๘ ขอ้ ท่ีเหลอื — prose-expositions) ๔. คาถา (คาถา ได้แก่ ความร้อยกรองล้วน หมายเอา ธรรมบท เถรคาถา เถรีคาถา และคาถา ลว้ นในสตุ ตนบิ าตท่ไี มม่ ีชอื่ วา่ เปน็ สตู ร — verses) ๕. อุทานํ (อุทาน ได้แก่ พระคาถาที่ทรงเปล่งด้วยพระหฤทัยสหรคตด้วยโสมนัส สัมปยุตด้วย ญาณ พร้อมทั้งข้อความอันประกอบอยู่ด้วย รวมเป็นพระสูตร ๘๒ สูตร — exclamations; psalms; verses of uplift) ๖. อิตวิ ุตตกํ (อติ ิวุตตกะ ได้แก่ พระสูตร ๑๑๐ สูตร ที่ตรัสโดยนยั ว่า วตุ ฺตํ เหตํ ภควตา — thus- said discourses) ๗. ชาตกํ (ชาดก ไดแ้ ก่ ชาดก ๕๕๐ เรอ่ื ง มอี ปัณณกชาดก เป็นตน้ — birth-stories) ๘. อพฺภูตธมฺมํ (อัพภูตธรรม หรือเร่ืองอัศจรรย์ ได้แก่ พระสูตรท่ีว่าด้วยข้ออัศจรรย์ ไม่เคยมี ทุกสูตร เชน่ ท่ีตรัสว่า “ภกิ ษุท้ังหลาย ข้ออัศจรรยไ์ มเ่ คยมี ๔ อยา่ งนี้ หาได้ในอานนท์” ดังน้เี ป็นต้น — marvelous ideas) ๙. เวทลลฺ ํ (เวทลั ละ ได้แก่ พระสูตรแบบถามตอบ ซึ่งผ้ถู ามได้ทง้ั ความร้แู ละความพอใจ ถามตอ่ ๆ ไป เช่น จูฬเวทัลลสูตร มหาเวทัลลสูตร สัมมาทิฏฐิสูตร สักกปัญหสูตร สังขารภาชนียสูตร และมหา ปุณณมสตู ร เปน็ ต้น — question and-answer; catechetical suttas) จากความขัดแย้งทางแนวความคิด เก่ียวกับธรรมและวินัย การตีความไม่ตรงกันได้เกิดขึ้นใน หมพู่ ระสงฆ์ ทำให้มีการตีความพระพุทธพจน์แตกตา่ งกันออกไปตามความคิดเห็นของแต่ละบคุ คล เมื่อ มติใดตรงกับความคิดของตนเองก็ยอมรับ และคัดค้านมติที่ตรงกันข้ามกับความคิดของตน เม่ือเกิด ความแตกแยกกันในระบบความคิด จึงทำให้พุทธศาสนาแตกแยกออกเป็นนิกายต่างๆ จนปัจจุบันได้ พัฒนาออกเป็นนิกายใหญ่ ๒ นิกาย กล่าวคือพุทธศาสนาเถรวาทและมหายาน การแตกแยกออกเป็น ๒ นกิ าย เริ่มมมี าต้งั แตห่ ลงั พุทธปรินพิ พานเปน็ ตน้ มา ยุคเร่ิมแรกของการศึกษาทางพระพุทธศาสนาน้ัน ทรงวางระบบศึกษาไว้เป็นสามข้ันตอน ด้วยกัน คือ ข้นั ปริยัติ ขนั้ ปฏบิ ตั ิ และขนั้ ปฏิเวธ ขั้นปริยัติ ได้แก่ การศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย นับเป็นส่วนสำคัญโดยความเป็นพ้ืนฐาน ของการปฏิบัติและการศกึ ษาเล่าเรียนปริยัติธรรมน้ันเปน็ การศึกษาภาคทฤษฎี คือ การศึกษาเล่าเรียน ๒ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต). พจนานกุ รมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม. พมิ พ์ ครง้ั ที่ ๑๒, โรงพิมพเ์ พม่ิ ทรัพยก์ ารพมิ พ์, (๒๕๔๖), หนา้ ๓๐๒.
๓๙ ธรรมวินัยให้มีความรู้พื้นฐานอย่างแจ่มแจ้ง เพื่อให้เกิดความกระจ่างแจ้งว่า คำสอนของพระพุทธองค์ ที่จัดเปน็ ธรรมบทน้ัน บทนวี้ า่ ดว้ ยเรื่องอะไร ถ้าผู้เรียนจะนอ้ มนำเอาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มาปฏิบัติ เพ่ือเป็นแนวทางหรือแสงประทีปแห่งชีวิต จะทำอย่างไรและเมื่อปฏิบัติตามแล้ว จะได้ผล อย่างไร เรียกว่าปริยัติ การศึกษาในสมัยพุทธกาลนั้นเป็นการศึกษาแบบมุขปาฐะ คือการท่องจำ ด้วย ปากเปลา่ ขั้นปฏิบัติ ได้แก่ การน้อมนำเอาหลักธรรมคำสอนที่ได้เรียนรู้ในทางภาคทฤษฎีแล้วนำสู่ ภาคปฏิบัติจริงๆ เพ่ือเป็นการอบรมกาย วาจา ใจ กล่าวอีกนัยหน่ึงก็คือ นำเอาหลักธรรมท่ีเรียนรู้แล้ว นัน้ มาเป็นแนวทางหรอื บรรทดั ฐานแห่งชีวิตใหเ้ หมาะสมกับฐานะของตน เรยี กว่า ปฏิบตั ิ ข้ันปฏิเวธ ได้แก่ ผลของการปฏิบัติธรรมน้ัน เช่น พระพุทธเจ้า พระ ปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตสาวก และพระอริยบุคคล ผู้ได้รับผลแห่งการปฏิบัติ ซึ่งทำให้ยกฐานะจากปุถุชนธรรมดา ขึ้นเป็นพระอริยบุคคล การบรรลุธรรมชั้นนั้นๆ ตามภูมิธรรมท่ีตนปฏิบัตินั้น ไม่มีใครมายกย่องหรือ แต่งต้งั ให้ฐานะหรือตำแหนง่ แหง่ พระอริยเจา้ น้นั ไม่มีการแต่งต้ังให้ จะรูไ้ ด้ดว้ ยตนเอง เรียกว่า ปฏิเวธ ๒.๒.๑ การสงั คายนาพระไตรปิฎก เม่ือครั้งพระโคตมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ พระพุทธเจ้าและพระสาวกองค์สำคัญ โดยเฉพาะพระสารีบุตรได้คำนึงว่าเม่ือพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว หากไม่มีการรวบรวมประมวล คำสอนของพระองค์ไว้ พระพุทธศาสนาก็จะสูญสิ้น ดังน้ัน แม้พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ก็ได้มีการริเริ่มเป็นการนำทางไว้ให้เป็นตัวอย่างแก่คนรุ่นหลัง ให้มีการรวบรวมคำสอนของพระองค์ เรยี กวา่ สงั คายนา สังคายนากค็ ือการรวบรวมคำสั่งสอนของพระพทุ ธเจ้าไว้ แล้วทรงจำไว้เป็นแบบแผน อนั เดียวกนั คือรวบรวมไว้เปน็ หลัก และทรงจำถา่ ยทอดสบื มาเป็นอยา่ งเดียวกนั ขณะน้ันล่วงปลายพุทธกาลแล้ว นิครนถนาฏบุตรผู้เป็นศาสดาของศาสนาเชนได้สิ้นชีวิตลง สาวกของท่านไม่ได้รวบรวมคำสอนไว้เป็นหมวดหมู่ และไม่ได้ตกลงกันไว้ให้ชัดเจน ปรากฏว่าเมื่อ ศาสดาของศาสนาเชนสิ้นชีวิตไปแล้ว เหล่าสาวกก็แตกแยกทะเลาะวิวาทกันว่า ศาสดาของตนสอนว่า อย่างไร คร้ังน้ัน พระจุนทเถระได้นำข่าวน้ีมากราบทูลแด่พระพุทธเจ้าและพระองค์ได้ตรัสแนะนำ ให้ พระสงฆ์ท้ังปวง ร่วมกนั สังคายนาธรรมท้ังหลายไว้เพือ่ ใหพ้ ระศาสนาดำรงอยู่ย่งั ยืนเพื่อประโยชน์สุขแก่ หมู่ชน เวลาน้ัน พระสารีบุตรอัครสาวกยังมีชีวิตอยู่ คราวหนึ่งท่านปรารภ เรื่องนี้แล้วกล่าวว่า ปัญหา ของศาสนาเชนเกิดขน้ึ เพราะวา่ ไม่ไดร้ วบรวมร้อยกรองคำสอนไว้ เพราะฉะน้ันพระสาวกท้ังหลายของพระพุทธเจา้ ควรจะได้ทำการสังคายนาคือรวบรวม รอ้ ย กรองประมวลคำสอนของพระองค์ไว้ให้เปน็ หลักเปน็ แบบแผนอันหนึ่งอนั เดยี วกนั เม่ือปรารภเชน่ น้แี ล้ว พระสารบี ุตรก็ได้แสดงวธิ กี ารสงั คายนาไว้เป็นตัวอย่างโดยท่านได้รวบรวมคำสอนที่ พระพุทธเจ้าทรง แสดงไว้เป็นข้อธรรมต่างๆ มาแสดงตามลำดับหมวด ต้ังแต่หมวดหนึง่ ไปจนถงึ หมวดสบิ คอื เป็นธรรม หมวด ๑ ธรรมหมวด ๒ ธรรมหมวด ๓ ไปจนถงึ ธรรมหมวด ๑๐ เมอื่ พระสารีบตุ ร แสดงจบแลว้ พระพทุ ธเจ้าก็ได้ประทานสาธุการ๓ ๓ ที.ปา.๑๑/๒๒๕-๓๖๓/๒๒๔-๒๘๖.
๔๐ หลักธรรมท่ีพระสารีบุตรได้แสดงไว้นี้ จัดเป็นพระสูตรหนึ่ง เรียกว่าสังคีติสูตร (พระสูตรว่าด้วย การ สังคายนาหรือสังคีติ) เป็นตัวอย่างที่พระอัครสาวกคือพระสารีบุตรได้กระทำไว้ แต่พระสารีบุตรได้ ปรินิพพานไปก่อนพระพุทธเจ้า ดังน้ัน เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วภาระจึงตก อยู่กับพระ มหากัสสปเถระ ซึ่งตอนท่ีพระพุทธเจ้าปรินิพพานน้ัน เป็นพระสาวกผู้มีอายุพรรษามากที่สุด จดุ ประสงค์สำคัญที่สุดของการสังคายนา คือการรวบรวมพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เพ่ือ ธำรงรักษาพระธรรมวินัยเอาไว้ไม่ให้สูญหายหรือวิปลาสคลาดเคล่ือนไป เพราะพระธรรมวินัยน้ัน คือ หลักของพระพุทธศาสนา หากปราศจากคำสอนแล้วพระพุทธศาสนาก็ดำรงอยู่ไม่ได้ ดังพุทธวจนะ ใน คราวจะเสด็จดับขันธปรินิพพานว่า “โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา” แปลว่า : ดูกรอานนท์ ธรรมแลวินัยใด ท่ีเราได้แสดงแล้ว และบัญญัติแล้ว แก่เธอ ทั้งหลาย ธรรมและวินัยน้ันจักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายในเม่ือเราล่วงลับไป๔ พระเถระท้ังปวงเห็น ความสำคัญของพระธรรมวินัยซ่ึงจะสืบทอดพระศาสนาต่อไปในภายหนา้ หากละเลย ปล่อยไว้ กระทั่ง พระธรรมวินัยเกิดความคลาดเคล่ือนไปจะเป็นอันตรายต่อพุทธศาสนา จึงได้เร่ิม สังคายนารวบรวม พระธรรมคำสอนข้ึนเปน็ หมวดหมภู่ ายหลังพุทธปรนิ ิพพาน ไปแลว้ ๓ เดอื น ๑.การสงั คายนา ครัง้ ท่ี ๑ การทำสังคายนาครั้งแรกเกิดขนึ้ ภายหลังจากทีพ่ ระพทุ ธเจ้าเสดจ็ ดับขันธ์ปรินิพพาน ๓ เดือน ที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างเวภารบรรพต ใกล้กรุงราชคฤห์ ประเทศอินเดีย ในพระราชูปถัมภ์ ของพระเจ้าอชาตศัตรู โดยมีพระมหากสั สปเถระทำหน้าทเี่ ป็นประธาน และเป็นผู้คอยซักถาม มีพระอุ บาลีเป็นผู้นำ ในการวสิ ชั นาข้อวนิ ัย และมีพระอานนท์เปน็ ผูน้ ำในการวิสัชนาข้อธรรม การทำสังคายนา ครั้งนี้มี พระอรหันต์ มาประชุมร่วมกนั ทั้งหมด ๕๐๐ องค์ ดำเนินอยู่เป็นเวลา ๗ เดือน จึงเสร็จส้ิน ไม่ ปรากฏ การบันทกึ เปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร มีมูลเหตุการณ์สงั คายนา ดงั น้ี ๑. ภิกษุอยู่รูปหนึ่งช่ือสุภัททะ กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจะร้องไห้กันไปทำไม เม่ือสมัยท่ี พระพุทธเจ้ายังอยู่ พระองค์ทรงเข้มงวดกวดขัน คอยชี้ว่าน่ีถูก นี่ผิด น่ีควร นี่ไม่ควร ทำให้พวกเรา ลำบาก บัดน้ีพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว พวกเราจะได้ทำอะไรตามใจชอบเสียที เม่ือพระมหากัสสป เถระ ได้ฟังดังน้ี ก็รู้สึกสลดใจ ดำริว่าแม้พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปใหม่ๆ ยังปรากฏผู้มีใจวิปริตจาก ธรรมวนิ ัยถึงเพียงน้ี ถา้ ปลอ่ ยไวน้ านเข้า คำสอนทางพระพุทธศาสนาอาจถูกบดิ เบือนไปได้ ๒. เพือ่ ความยัง่ ยืนของพระธรรมวนิ ัย และความถูกต้อง ๓. เพื่อระลกึ ถงึ พระคณุ ของพระพทุ ธเจ้าข้อกำหนดในการสังคายนา ในการสังคายนามีข้อกำหนดที่สามารถเปน็ เหตุผลยืนยันถึงความจรงิ ความถกู ต้องของ พระธรรมวนิ ัย ดังน้ี ๑. ผู้เขา้ ร่วมสังคายนาตอ้ งเป็นพระอรหนั ต์ และต้องมีปฏสิ มั ภทิ า ๔ อาจเปน็ เหตผุ ลทีผ่ ทู้ ี่เขา้ ร่วมสังคายนาคร้งั นี้ต้องรูร้ ปู แบบของคำสอนพระพทุ ธศาสนาเปน็ อยา่ งไร สามารถตรวจทานและ โต้แย้งในสิง่ ทผี่ ิดไปจากเดิมได้ ๔ ท.ี ม.๑๐/๑๔๑/๑๗๘.
๔๑ ๒. จะตอ้ งทำสังคายนาที่กรุงราชคฤห์ แควน้ มคธ เปน็ เมืองใหญ่ พระเจ้าอชาตศัตรูกำลงั เรือง อำนาจ และทน่ี ่ันกม็ ีพระเถระหลายรปู อาจเป็นเหตุผลว่าในเมืองใหญน่ ้ันประกอบด้วยบุคลผเู้ ปน็ บัณฑติ มาก เปน็ เมืองทีม่ ีรปู แบบของการจัดการศกึ ษาพระธรรมวินัยเปน็ แบบเดียวกัน ๒.การสงั คายนา คร้ังที่ ๒ การทำสังคายนาครั้งท่ีสองเกิดข้นึ เมื่อพ.ศ. ๑๐๐ ทว่ี าลกิ าราม เมืองเวสาลี แควน้ วัชชี ประเทศอนิ เดีย โดยมพี ระยสะกากัณฑกบตุ ร เป็นผชู้ ักชวนพระเถระผ้ใู หญ่ทีเ่ ขา้ ร่วมทำสังคายนา คร้ัง นีไ้ ดแ้ ก่ พระสัพพกามี พระสาฬหะ พระอุชชโสภิตะ พระวาสภคามกิ ะ (ท้ังสรี่ ปู นเ้ี ป็นชาวปาจีนกะ) พระเรวตะ พระสัมภตู ะ สาณวาสี พระยสะ กากณั ฑกบตุ ร และพระสมุ นะ (ท้ังส่รี ูปนีเ้ ป็นชาวปาฐา) ใน การนี้พระเรวตะทำหนา้ ทเ่ี ป็นประธานผู้คอยซักถาม และพระสัพพกามีเปน็ ผนู้ ำในการวิสัชนา ขอ้ วนิ ัย การทำสงั คายนาคร้ังน้ีมีพระสงฆม์ าประชมุ รว่ มกนั ๗๐๐ รูป ดำเนินการอยู่เป็นเวลา ๘ เดอื น จงึ เสรจ็ ส้นิ ไม่ปรากฏการบันทึกเป็นลายลกั ษณ์อกั ษรในการสงั คายนาครัง้ น้ี มลู เหตุของการสังคายนา ข้อปรารภในการทำสังคายนาคร้งั นีเ้ กิดขึน้ เมื่อ พระยสะกากัณฑกบุตร พบเห็นข้อปฏบิ ตั ิ ยอ่ หยอ่ น ๑๐ ประการทางพระวินยั ของภิกษุวชั ชบี ุตร เช่น ควรเกบ็ เกลอื ไวใ้ นเขาสตั วเ์ พือ่ รับประทานได้ ควรฉนั อาหารยามวิกาลได้ ควรรบั เงินทองได้ เป็นต้น พระยสะกากัณฑกบตุ รจึงชวน พระเถระต่างๆ ให้ชว่ ยกนั วนิ ิจฉยั แก้ความถือผดิ คร้งั นี้ ในที่ประชุมสังคายนา ได้พิจารณาข้อบัญญัติ ๑๐ ประการ เหลา่ น้ัน ว่า ข้อวัตรของภิกษุ ฝ่าย ตะวันออก ไม่ถูกต้อง ตามพระวินัย การกระทำเช่นนี้ ไม่ลงรอยกับพระปาฏิโมกข์ บ่อนทำลาย ความ ม่ันคงของ พระพุทธศาสนา ท่ีประชุมสังคายนา ในครั้งน้ัน ให้กำจัด ข้อบัญญัติ ๑๐ ประการ เหล่าน้ัน ออกไป ในการลงมติ พระภิกษุวัชชีบุตร ภิกษุชาวเมืองเวสาลี ไม่เห็นชอบด้วย ไม่พอใจ จึงได้จัดทำ สังคายนาขึน้ เอง ต่างหาก เรยี กวา่ “มหาสงั คีติ” และพระภกิ ษุฝา่ ยน้ี เรยี กวา่ “มหาสังฆกิ ะ” ส่วนภิกษุ ฝ่ายตะวันตก ได้นามว่า “เถรวาทิน” ไม่เห็นด้วยกับฝ่ายมหาสังฆิกะ จึงเป็นมูลเหตุของ การเปล่ยี นแปลงท่ียง่ิ ใหญใ่ นสงั ฆมณฑล เริ่มก่อตวั แลว้ จากสถาณการณน์ ้ี ทำการสังคายนา ฝา่ ยมหาสงั ฆิกะ ยังคงมีกำลงั อยู่ ในเมืองเวสาลี และได้จัดส่ง พระภกิ ษุในฝา่ ยตน ไปทางเหนือ และใต้ หลังจากนั้น พระพุทธศาสนา ได้มีการแบ่งแยก ออกเป็นกลุ่มเล็กๆ เมื่อแตกแยก ครั้งหนึ่งแล้ว กท็ ำให้เกดิ การแตกแยก ครง้ั ตอ่ ๆไป สังฆมณฑล แห่งพระพุทธศาสนา จึงไดแ้ ตกออก เป็นนิกายยอ่ ยๆ อีกเป็นจำนวนมาก ภายในระยะเวลาอันส้ัน ฝ่ายที่ยึดม่ันอยู่กับพระธรรมวนิ ัย แตกแยกออกเป็นนิกาย ยอ่ ยถึง ๑๑ นิกาย คือ เถรวาทะ (หรือ อรยสถวีรวาทะ) วัชชีปุตตกะ มหสิ าสกะ ธรรมมุตตริกะ (ธรรม คุปตะ) สัพพัตถิกวาทะ (สรวาสติวาทะ) กัสสปิกะ (กาศยปิยะ) สังกันติกะ (เสาตรานติกะ) สุตวาทะ สัมมติยะ (วาสสีปุตริยะ) ภัททยานิกะ และจันทคาริกะ สำหรับฝ่ายท่ีไม่ยึดมั่นต่อพระธรรมวินัย ได้แยกออกเป็น นิกายย่อย ๗ นิกาย คือ นิกายมหาสังฆิกะ โคกุริกะ (กุกกุริกะ) ปัญญัตติวาทะ (ปรัชญาปติวาทะ) พหุสสุติกะ (พหุศรุติยะ) เจติยวาทะ เอกัพโยหาระ (เอกวยวหารกิ ะ) อตุ รเสสิย จาก สิบแปดนิกายนี้ เม่ือเวลาล่วงไปๆ ก็เกิดเป็นนิกายย่อยๆ ขึ้นอีกหลายนิกาย เมื่อพระภิกษุเหล่าน้ี แยก ยา้ ยกันไปทั่วอินเดยี และประเทศใกลเ้ คยี ง นกิ ายเหลา่ นี้ จงึ ไปเจริญรงุ่ เรอื งขนึ้ ในที่น้นั ๆ
๔๒ ๓. การสงั คายนา ครั้งท่ี ๓ การทำสังคายนาครั้งที่สามเกิดขึ้นเม่ือ พ.ศ. ๒๓๕ ที่อโศการาม กรุงปาฏลีบุตร ประเทศอินเดีย โดยมีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน การทำสังคายนาครั้งน้ีมีพระสงฆ์มา ประชุมร่วมกัน ๑,๐๐๐ รูป ดำเนินการอยู่เป็นเวลา ๙ เดือน จึงเสร็จสิ้น ไม่ปรากฏการบันทึกเป็นลาย ลักษณ์อักษรในการสงั คายนาครงั้ น้ี มูลเหตุของการสังคายนา ขอ้ ปรารภในการทำสังคายนาคร้ังนี้เกิดขึ้นเมื่อมีพวกเดยี รถีย์ หรือนกั บวชศาสนาอนื่ มาปลอม บวช ด้วยเหน็ แก่ลาภสกั การะ และเพ่ือบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา ไดแ้ สดงลัทธิและความเหน็ ของ ตนว่า \"เปน็ พระพทุ ธศาสนา เปน็ คำสั่งสอนของพระพทุ ธเจ้า\" พระโมคคลบี ตุ รตสิ สเถระ จงึ ไดข้ อความ อุปถัมภจ์ ากพระเจา้ อโศกมหาราชสังคายนาพระธรรมวนิ ยั เพื่อกำจดั ความเห็นของพวกเดียรถยี ์ ออกไป ในการทำสงั คายนาครั้งนี้ คงมกี ารซักถามพระธรรมวนิ ัยและตอบขอ้ ซักถาม เชน่ เดียวกับการสงั คายนา ครั้งก่อน แต่ไม่ปรากฏรายละเอียดวา่ พระเถระรปู ใดทำหน้าท่ีซักถาม รปู ใดทำหนา้ ท่ี ตอบข้อซกั ถาม พระโมคคลั ลีบตุ รติสสเถระ ไดแ้ ต่งคมั ภรี ์กถาวัตถุ ซึ่งเปน็ คัมภรี ์หนึง่ ในพระอภธิ รรม ไว้ด้วย และเมื่อทำ สังคายนาเสร็จแล้ว กม็ ีการสง่ คณะทตู ไปประกาศพระพทุ ธศาสนา ในประเทศต่างๆ ในท่ีนี้มีพระมหินท เถระ ผูเ้ ป็นโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช ทนี่ ำพระพุทธศาสนาไปประดษิ ฐานในลังกา รวมท้ัง พระโสณะเถระและพระอตุ ตระเถระ ที่นำพระพุทธศาสนามาเผยแผ่ ยังดนิ แดน สวุ รรณภมู ิดว้ ย พระโมคคลั ลบี ตุ รตสิ สเถระได้ขอความอุปถัมภจ์ ากพระเจา้ อโศกมหาราช ใหม้ ีการสอบสวน สะสาง กำจัดพวกเดียรถีย์ปลอมบวชประมาณ ๖๐,๐๐๐ รปู แล้วใหส้ ละสมณเพศออกจากพระพุทธ ศาสนาได้สำเรจ็ ส่งพระธรรมทตู ออกเผยแพร่ศาสนายังนานาประเทศ หลังการสงั คายนาได้มีการส่ง สมณทตู ไปเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาในดินแดนตา่ งๆ รวม ๙ สายดว้ ยกนั โดยสง่ ไปสายละ ๕ รปู เพือ่ จะ ไดท้ ำพธิ ีอุปสมบทได้ถูกต้องตามพระวนิ ยั สายที่ ๑ พระมชั ฌัตตกิ เถระพร้อมดว้ ยคณะรวม ๕ รูป ไปเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา ณ แคว้นกัศมีระและแควน้ คันธาระ สายที่ ๒ พระมหาเทวเถระพร้อมด้วยคณะรวม ๕ รูป ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ แคว้นมหิสมณฑล และดินแดนแถบลมุ่ แมน่ ้ำโคธาวารี สายที่ ๓ พระรักขติ เถระพร้อมด้วยคณะรวม ๕ รูป ไปเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา ณ วนวารปี ระเทศ สายที่ ๔ พระธรรมรกั ขิตเถระหรอื พระโยนกธรรมรักขติ เถระ (ซึ่งเขา้ ใจกันวา่ เป็นฝรงั่ คนแรก ในชาติกรกี ที่ได้เข้าบวชในพระพุทธศาสนา) พร้อมดว้ ยคณะ ได้ไปเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ณ อปรันตกชนบท สายท่ี ๕ พระมหาธรรมรกั ขติ เถระพร้อมด้วยคณะรวม ๕ รูป ไปเผยแผ่พระพทุ ธ ศาสนา ณ แคว้นมหาราษฎร์ สายท่ี ๖ พระมหารักขิตเถระพรอ้ มด้วยคณะรวม ๕ รปู ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ โยนกประเทศ สายที่ ๗ พระมัชฌิมเถระพร้อมด้วยคณะอีก ๔ รูป คือ ๑. พระกัสสปโคตรเถระ
๔๓ ๒. พระมูลกเทวเถระ ๓. พระทุนทภิสสระเถระ และ ๔. พระเทวเถระ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ ดินแดนแถบภูเขาหมิ าลยั สายท่ี ๘ พระโสณเถระและพระอตุ ตรเถระ พร้อมดว้ ยคณะอีก ๓ รปู ไปเผยแผ่ พระพุทธศาสนา ณ ดินแดนสุวรรณภมู ิ สายท่ี ๙ พระมหนิ ทเถระ (โอรสพระเจา้ อโศกมหาราช) พร้อมดว้ ยคณะรวม ๔ รูป คอื ๑. พระอรฏิ ฐเถระ ๒. พระอุทริยเถระ ๓. พระสัมพลเถระ และ ๔. พระหัททสารเถระ ไปเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนา ณ ลังกาทวีป ในรัชสมยั ของพระเจา้ เทวานัมปิยตสิ สะ กษัตรยิ แ์ หง่ ลงั กาทวีป ๔. การสงั คายนาคร้ังที่ ๔ การทำสงั คายนาครง้ั น้ีเกิดขนึ้ เม่ือประมาณ พ.ศ.๖๔๓ ทเ่ี มืองชาลันธรแต่บางหลกั ฐาน ก็กล่าววา่ ทำท่ีกศั มีร์หรือแคชเมียร์ ตอนเหนอื ของประเทศอนิ เดยี เปน็ การผสมผสานลักษณะของ ศาสนา พราหมณแ์ ละพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน พระเจา้ กนษิ กะ ได้ทรงอปุ ถมั ภ์การสังคายนาครง้ั นี้ หลกั ฐานทิเบต มีพระอรหันตสาวก ๕๐๐ รปู พระโพธสิ ัตว์ ๕๐๐ และมบี ณั ฑติ อีก ๕๐๐ เขา้ ร่วมใน การทำสังคายนาครั้งนี้ การทำสังคายนาครั้งนีก้ ระทำโดยพระภกิ ษุฝ่ายสรติวาทนิ และ พระภกิ ษุฝ่าย มหาสังฆิกะบางนิกายร่วมกนั ฝ่ายเถรวาทจะไม่บนั ทึกถงึ การสงั คายนาครัง้ นี้ แตป่ ระวัติศาสตร์ โดยท่ัวไปก็จารึกไว้ จึงเป็นสงั คายนาทีเ่ ปน็ ที่รูจ้ กั กนั อยา่ งกวา้ งขวางในหมู่พทุ ธศาสนิก ฝา่ ยอุตรนิกาย มลู เหตุของการสังคายนา พระปรารศวเถระได้แนะนำพระเจ้ากนิษกะ เพื่อการทำสังคายนาโดยมุ่งหวังท่ีจะปรับหลัก ธรรมในพระพุทธศาสนาให้เป็นเอกภาพ และประสงค์จะบันทึกคัมภีร์ฝ่ายสัพพัตถิกวาท เป็นภาษา สันสกฤต และเพื่อทำให้พทุ ธศาสนาแบบมหายานมน่ั คง ผลจากการทำสงั คายนา ๑.มีการเขียนคำอธิบายพระไตรปิฎกหรืออรรถกถาเป็นภาษาสันสกฤตปิฎกละ ๑๐๐,๐๐๐ โศลก รวม ๓๐๐,๐๐๐ โศลก กล่าวคือ พระสูตร ๑๐๐,๐๐๐ โศลก เรียกว่า อุปเทศศาสตร์ พระวินัย ๑๐๐,๐๐๐ โศลก เรียกว่า วินยวิภาษาศาสตร์ พระอภิธรรม ๑๐๐,๐๐๐ โศลก เรียกว่า อภิธรรมวิ ภาษาศาสตร์ ๒.มกี ารประสานความคดิ ระหว่างนกิ ายต่างๆ ท้ัง ๑๘ นิกายแล้วจารึกอกั ษรคัมภีร์ทางศาสนา เป็นสันสกฤต ครั้งแรก หลวงจีนยวนฉาง ได้กล่าวถึงการสังคายนาครั้งน้ีว่าได้มีการจารึกพระธรรมลง แผน่ ทองเหลือง และเกบ็ ไว้ในหีบทำดว้ ยศลิ า เพ่ือเก็บรักษาไวใ้ นพระเจดีย์ ในการสังคายนาครั้งน้ี มหายานแยกตัวออกไปอย่างชัดเจนและเจริญรุ่งเรืองแพร่หลาย มี พระสงฆ์และชาวพุทธสำคัญเป็นปราชญ์ เป็นท่ปี รึกษา เป็นกวีในราชสำนัก ทรงสง่ สมณทูตไปประกาศ พระศาสนาในเอเชียกลาง ซึ่งทำให้พระพุทธศาสนาแพร่หลายไปยัง จีน เกาหลี มองโกเลีย และญี่ปุ่น ในสมัยต่อมาทรงสรา้ งสถูปและวดั วาอารามเป็นอนั มาก และเปน็ สมัยทศี่ ิลปะแบบคนั ธาระ เจริญถึงขีด สดุ ๕ ๕ พระธรรมปฎิ ก (ประยุทธ์ ปยุตโต), พระพทุ ธศาสนาในอาเซยี . กรุงเทพฯ: ธรรมสภา ๒๕๔๐, หน้า ๓๔๒.
๔๔ ๕. การสังคายนา ครงั้ ที่ ๕ การสงั คายนาคร้งั ท่ี ๕ ปรารภพระสงฆ์แตกกนั เป็น ๒ พวกคอื พวกมหาวิหารกับพวก อภัยคีรีวิหาร และคำนึงว่าสืบไปภายหน้า กุลบุตรจะถอยปัญญา ควรจารึกพระธรรมวินัยลงในใบลาน การทำสังคายนาคร้ังท่ี ๕ นี้ เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปของกลุ่มเถรวาท ความจริงการสังคายนานั้นมี การจดั ทำกันหลายท่ีหลายแห่ง ฝ่ายที่จัดทำก็มที ้งั ฝ่ายเถรวาทและอาจริยวาท โดยต่างคนตา่ งทำในฝ่าย ของตนเอง และต่างก็ไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน แม้ในฝ่ายเถรวาทเองก็ได้จัดทำสังคายนาหลายคร้ัง หลังจากการทำสังคายนาคร้ังท่ี ๕ ผ่านไปแล้ว ณ อาโลกเลณสถานในมลยชนบท ในลังกาทวีป เม่ือ พุทธศักราช ๔๕๐ โดยพระเจ้าวัฎฎคามณีอภัยเป็นศาสนูปถัมภก์ ถึงแม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่เกิดความ แตกแยกขึ้นในคณะสงฆ์ลังกาทวีปในด้านทิฏฐิ แต่ทางวินัยต่างฝ่ายต่างก็พร้อมกันรักษาดีอยู่อย่างน่า สรรเสรญิ มลู เหตุของการสังคายนา เกดิ จากพระราชดำริของพระเจ้าวัฏฏคามณีอภยั (บางแหง่ เป็นทฏุ ฐคามินีอภัย) กษัตริย์ ปกครองลังกา ที่ว่าเม่ือกาลเวลาลว่ งไป หากยังคงใชว้ ิธีการท่องจำพระพทุ ธวจนะ โดยไม่มกี ารจารึกไว้ เป็นลายลกั ษณ์อกั ษรแล้ว ความคลาดเคลื่อนและผดิ พลาดอาจเกดิ ข้ึน ซ่ึงจะเป็นสาเหตุใหค้ ำสอนของ พทุ ธศาสนาผดิ ไปจากเดิม ในทีส่ ุดพทุ ธศาสนากจ็ ะเส่ือมสูญไปตามกาลเวลา อาศัยพระราชดำริของกษัตริย์ลงั กานเ้ี อง จึงเกิดการทำสงั คายนาครัง้ ที่ ๕ ขน้ึ โดยพระองคท์ รงโปรดให้ พระพุทธทัตตเถระกับพระมหาตสิ สเถระรว่ มกันดำเนินการ มีพระสงฆเ์ ข้าร่วมประชมุ จำนวน ๑,๐๐๐ รูป สังคายนาครั้งน้ีมีความสำคัญ สรุปได้ ๒ ประการคือ ๑. นบั เป็นครงั้ แรกทมี่ กี ารจดบนั ทึกพระพทุ ธวจนะเปน็ ลายลักษณ์อักษรลงบนใบลาน ด้วย ภาษาบาลี ตามตำนานระบวุ ่าไดจ้ ารึกอรรถกถาลงไว้ดว้ ย ๒. พระธรรมวินยั ทีถ่ กู จารึกไวเ้ ปน็ ลายลักษณอ์ ักษรครั้งน้ี ถือว่าเปน็ ต้นฉบับของพระไตรปิฎก ของฝ่ายเถรวาท ซ่ึงภายหลังปรากฏวา่ มีผูน้ ำเอาไปแปลเปน็ ภาษาของตน ๒.๒.๒ ระบบการศึกษาในพระพุทธศาสนามหายาน ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒ พระพุทธศาสนา จะเริ่มแยกเป็น ๒ นิกาย คือ เถรวาท (หรือสถวีร วาทิน) และอาจาริยวาท (หรือมหาสงั ฆิกะ) หรือแม้แต่ในพุทธศตวรรษท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาจะได้แตก ออกเป็น ๑๘ นิกาย แล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นนิกายมหายานแต่อย่างใด เพียงแต่ถือว่าเป็น ความคิดของคณาจารย์ ที่ไม่ตรงกัน แต่ก็ยอมรับว่าคงมีการก่อตัวที่เป็นมหายานในช่วงนี้ จนเม่ือพุทธ ศตวรรษ ที่ ๖ พระอัศวโฆษ (Ashvagosa) ภิกษุชาวเมืองสาเกต ในสมัยพระเจ้ากนิษกะแต่งคัมภีร์ ศรัทโธตปาทศาสตร์ขึ้น นิกายมหายานซึ่งเป็นกระแสท่ีค่อยๆ ก่อตัวข้ึนเป็นเวลานานจึงปรากฏรูปร่าง ชดั เจนขนึ้ ในพุทธศตวรรษน้แี ละมีพฒั นาการต่อไปอย่างรวดเร็ว ดงั หัวข้อท่จี ะได้ศกึ ษากนั ต่อไป
๔๕ เมื่อพิจารณาถึงบ่อเกิดของพุทธศาสนามหายานแล้ว พบว่ามีสาเหตุหลักอยู่ ๒ ประการได้แก่ สาเหตุภายในพระพุทธศาสนา คือ การแตกเป็นนิกายต่างๆ และสาเหตุภายนอกพระพุทธศาสนา คือ การรุกรานของศาสนาพราหมณ์ การขัดแยง้ ก็เริม่ ปรากฏให้เหน็ ชดั เจนเป็นรูปธรรม จากกรณีภิกษุแตกกันออกเป็น ๒ ฝ่าย อนั เนือ่ งจาก ความเห็นขัดแย้งกันในเร่ืองวัตถุ ๑๐ ประการ โดยพวกหนึ่งเห็นว่าวัตถุ ๑๐ ประการนี้ชอบด้วยพระ ธรรมวนิ ัย ส่วนอีกพวกหน่ึงเห็นว่า ไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัยจึงเกิดการโต้เถียงกันอยา่ งรุนแรง อนั เป็น มูลเหตุให้เกิดการสังคายนาครั้งท่ี ๒ ขณะท่ีอีกฝ่ายที่ไม่ยอมรับการทำสังคายนาได้แยกตัวเป็นอิสระไป ทำสังคายนาในท่ีแห่งหนึ่งต่างหาก เหตุการณ์นี้ส่งผลต่อพระพุทธศาสนาโดยตรงเพราะทำให้ พระพุทธศาสนาแตกแยกออกเป็น ๒ นิกาย อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก คือเถรวาท (หรือสถวีร วาทิน) และอาจาริยวาท (หรือมหาสังฆิกะ) การแตกแยกในครั้งนี้ได้ตอกย้ำให้เห็นถึงเค้าโครงของการ แบง่ พระพุทธศาสนาเป็นเถรวาทและมหายานชดั เจนข้นึ โดยหลังจากนนั้ ไม่นาน ในชว่ งสังคายนาคร้งั ที่ ๓ พระพุทธศาสนาก็แบง่ ออกเป็น ๑๘ นกิ ายอย่างชดั เจน และต่อมาไดพ้ ัฒนามาเปน็ นิกาย ๓ สายหลัก คือ สายหนิ ยาน สายมหายาน และสายวชั รยาน แต่ครั้นเมื่อราชวงศ์เมารยะดับสูญ อำมาตย์ปุษยมิตรแห่งราชวงศ์ศุงคะก็ได้ปกครองอินเดีย สืบต่อมา กษัตริย์พระองค์นี้ทรงเล่ือมใสในศาสนาฮินดูมากเพราะทรงเป็นพราหมณ์มาก่อน ดังน้ัน คนในวรรณะ พราหมณ์จึงมีโอกาสได้ข้ึนเป็นใหญ่ศาสนาพราหมณ์ซึ่งรอจังหวะท่ีจะทำลายพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว จึงถือโอกาสอาศัยอำนาจทางการเมืองทำลายพระพุทธศาสนาและฟื้นฟู ลัทธิศาสนาของตนเป็นการ ใหญ่ แม้แต่พระเจา้ ปษุ ยมิตรเองก็แสดงพระองคว์ ่าเป็นปฏิปักษต์ อ่ พระพุทธศาสนาอยา่ งเตม็ ที่ ถงึ กับมี การกวาดล้างพระพุทธศาสนา ทำร้ายคณะสงฆ์และทำลาย วัดวาอารามของพระพุทธศาสนา โดยตั้ง รางวัลให้แก่ผตู้ ัดศีรษะพระภิกษุ ฟืน้ ฟูการบูชายัญโดยโปรด ใหท้ ำพิธีอัศวเมธ (การฆ่าม้าบูชายัญ) เพ่ือ จูงใจให้ประชาชนมานับถือศาสนาพราหมณ์เพ่ิมมากข้ึน การพยายามกวาดล้างพระพุทธ ศาสนาของ พระเจ้าปุษยมิตร แม้ไม่อาจทำลายพระพุทธศาสนา ให้หมดไป แต่ก็ทำให้พระพุทธศาสนามิอาจ รุ่งโรจน์อยู่ ณ ศูนย์กลางเดิม แต่ไปรุ่งเรืองอยู่บริเวณ ทางตอนเหนือของอินเดีย ในแคว้นสวัส (Swat Valley) แควน้ มถรุ า (Mathura) และแคว้นคนั ธาระ (Candara) เปน็ ตน้ ศาสนาพราหมณ์จึงใช้วิธีการใหม่ คือ การกลืนพระพุทธศาสนาไว้ภายใต้ระบบศาสนาฮินดู (Assimilation) หรอื กล่าวง่ายๆ ว่า พยายามเปลี่ยนพระพุทธศาสนาท้ังหมดให้เป็นศาสนาฮินดูน่ันเอง ตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดคือ การแต่งมหากาพย์ข้ึน ๒ เรื่อง คือ มหาภารตะและรามายณะ จนเป็นท่ี แพร่หลาย และได้รับความนิยมของประชาชนเป็นอันมาก โดยเฉพาะเร่ืองราวจากคัมภีร์ภควัทคีตา มหากาพย์ทั้งสองน้ีสามารถดึงดูดผู้คนให้มาศรัทธาเล่ือมใสในพระผู้เป็นเจ้าและทำให้ศาสนาพราหมณ์ เผยแพร่ เข้าสู่มวลชนได้อย่างรวดเร็ว นอกจากน้ี พวกพราหมณ์ยังได้พัฒนาความเช่ือด้านต่างๆ อีก หลายอย่าง เช่น การสร้างตรีมูรติให้เป็นที่พึ่งสูงสุดตามอย่างพระรัตนตรัย การสร้างวิหาร การสร้าง เทวาลัยสำคญั เปน็ ต้น เปน็ เหตุใหศ้ าสนาพราหมณ์ยคุ ใหมห่ รือศาสนาฮินดู ย่ิงขยายวงกวา้ งออกไปเป็น ศาสนาทีม่ ีอทิ ธพิ ลตอ่ วิถชี ีวติ ของชาวอินเดยี อยา่ งย่งิ จากเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น ทำให้คณาจารย์คนสำคัญในสมัยน้ันมิอาจน่ิงดูดายอยู่ได้ต่างเห็น ความจำเป็น ท่ีตอ้ งทำการปฏริ ปู วธิ กี ารเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาเสียใหม่ เพือ่ ให้คำสอนของพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ เป็น ส่ิงทันสมัยทันเหตุการณ์สามารถที่จะแข่งกับศาสนาพราหมณ์ใหม่ที่กำลัง เฟ่ืองฟูอยู่ในขณะน้ันได้
๔๖ พระพุทธศาสนามหายานจึงได้ก่อตัวขึ้น โดยมีกลุ่มสำคัญท่ีเป็นต้นกำเนิดของ มหายาน คือนิกาย มหาสังฆิกะ และก่ิงของกลุ่มของนิกายมหาสังฆิกะซึ่งเรียกรวมว่าคณะอันธกะ มีศูนย์กลางใหญ่อยู่ ตอนใต้ของอินเดียในแว่นแคว้นอันธระ การก่อกำเนิดเป็นนิกายมหายานดังกล่าว เป็นการเกิดแบบ ค่อยเป็นค่อยไป โดยการเห็นพ้องกันจากคณะสงฆ์นิกายมหาสังฆิกะ ผสมกับชาวพุทธ หนุ่มสาวใน ขณะน้ัน ท่ีมีความเห็นว่าจะตอ้ งปรบั ปรุงวิธีการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาเสยี ใหม่ โดยการ ปรับปรงุ แกไ้ ข คติธรรมในพระพุทธศาสนาข้ึนหลายประการ เพื่อให้พระพุทธศาสนาเข้าถึงหมู่ชนสามัญ โดยทั่วไป ดังน้ัน นิกายมหายานจึงได้รับการทำนุบำรุงอยู่ภายใต้อาณาจักรของกษัตริย์ราชวงศ์ ศาตวาหนะแห่ง อนั ธระ กษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์น้ีเป็นมิตรกับพระพุทธศาสนาและหลายพระองค์ ทรงทำนุบำรุง พระพุทธศาสนาอย่างจริงจังเรื่อยมา จนในราวพุทธศตวรรษที่ ๖ นิกายมหายานก็ได้ ปรากฏให้เห็น เด่นชัด เป็นนกิ ายใหญๆ่ ๒ นกิ าย คือ นิกายมาธยมิกะและโยคาจาร ๒.๓ ยุคเสื่อมของระบบการศกึ ษาในพระพุทธศาสนา การศึกษาในยุคพทุ ธศตวรรษท่ี ๑ – ๑๑ ภายหลงั พุทธปรนิ ิพพาน พระพทุ ธศาสนาได้มีความ เจริญรุ่งเรืองไปในแคว้นต่างๆ และได้มีนิกายต่าง ๆ เกิดข้ึนท้ังนิกายด้ังเดิมและนิกายใหม่ ทำให้ พระพุทธศาสนาแพร่หลายไปพร้อมกับความเส่ือมท่ีตามมากับความแพร่หลายน่ันเอง ด้วยเหตุผล หลายประการที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมจากอินเดีย จะได้กล่าวไว้ตอนหลัง ซึ่งนับว่า พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองมาต้ังแต่ครั้งพุทธกาล จนถึงประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ ตั้งแต่บัดน้ันมาพระพุทธศาสนาก็ได้เส่ือมจากอินเดีย โดยถูกครอบงำจากอิทธิพลของศาสนาฮินดู ระยะกาลอันยาวนานของพุทธศาสนาท่ีมีต่อวิถีชีวิตคนอินเดียกว่า ๑,๐๐๐ ปี จะเห็นพระพุทธศาสนา มเี รมิ่ เสอื่ มจากสังคมอนิ เดีย ดงั น้ี พทุ ธศตวรรษท่ี ๑ ยคุ น้เี รมิ่ สาเหตมุ าจากการละเลยการศึกษาพระธรรมวนิ ยั ใน พ.ศ.๑๐๐ พระสงฆม์ กี ารย่อหย่อนไม่ได้สนใจในการพจิ ารณาขอ้ บญั ญตั ิ ๑๐ ประการ เหลา่ นัน้ ว่าขอ้ วตั รของ ภกิ ษฝุ ่ายตะวันออกไม่ถกู ต้องตามพระวินยั การกระทำเช่นน้ี ไม่ลงรอยกับ พระปาฏิโมกขบ์ อ่ นทำลาย ความมนั่ คงของพระพุทธศาสนา พุทธศตวรรษท่ี ๒ พ.ศ. ๒๓๕ มพี วกเดยี รถยี ์ หรือนักบวชศาสนาอ่นื มาปลอมบวช ด้วยเห็น แกล่ าภสักการะ และเพื่อบ่อนทำลายพระพทุ ธศาสนา ได้แสดงลทั ธแิ ละความเห็นของตนวา่ \"เปน็ พระพทุ ธศาสนาเป็นคำสงั่ สอนของพระพทุ ธเจ้า\" จงึ ทำให้ประชาชนเกิดความสบั สนและเป็นเหตุให้คำ สอนของพระพุทธเจา้ ทถี่ ่ายทอดออกไปนน้ั ไม่เปน็ ไปตามหลักของการศึกษาในรชั สมัยของพระเจ้าอโศก มหาราช ทรงศรัทธาเลื่อมใสในพุทธศาสนาเถรวาทมาก ทรงทำนบุ ำรุงพระพุทธศาสนาและปกครอง บา้ นเมอื งให้สงบร่มเยน็ ประชาชนอยู่กันอย่างสงบสขุ บทบาทสำคญั ของพระเจา้ อโศกมหาราชที่มตี อ่ พระพทุ ธศาสนาคือทรงอุปถมั ภ์การสงั คายนาพระธรรมวินยั ครัง้ ท่ี ๓ ขจดั ภยั ร้ายของพระพุทธศาสนา ด้วยการขจัดพวกเดยี รถียป์ ลอมบวช และสง่ พระสมณทูตไปเผยแผพ่ ทุ ธศาสนา ในดินแดนประเทศต่าง ๆ รวมถงึ ๙ สายดว้ ยกัน พ.ศ. ๑๑๐๐ พระเจา้ หรรษวรรธนะ (พระเจา้ ศลี าทติ ย์) ราชวงศ์วรรธนะ แห่งวรรณะแพศย์ ได้ กำจัดอำนาจราชวงศ์คุปตะแห่งวรรณะพราหมณล์ งได้ และขน้ึ ครองราชเปน็ มหาราชท่ียง่ิ ใหญ่ ทรง
๔๗ เลอ่ื มใสในพทุ ธศาสนามหายาน ได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และอุปถมั ภ์บำรุงมหาวทิ ยาลัยนาลันทา ดว้ ย จนทำให้ชาวฮนิ ดูขดั เคืองว่าบำรุงพทุ ธศาสนามากกว่าฮนิ ดู จงึ วางแผนปลงพระชนม์พระเจ้า หรรษะจนสำเร็จ ในยคุ น้ีไดม้ ีพระภิกษุชาวจนี ท่านหนึ่งชอื่ หลวงจีนเหีย้ นจังหรอื ยวนฉาง (พระถังซัมจ๋ัง) ได้จาริกสู่ชมพูทวปี นอกจากท่านมาศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาและแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาจนี เพ่ือ นำไปยงั ประเทศจนี แลว้ ท่านยังไดเ้ ขียนจดหมายเหตุไว้เพอ่ื บนั ทึกเร่ืองราวและสภาพของสงั คมดา้ น พุทธศาสนาไว้มากมาย ซงึ่ เป็นประโยชนต์ ่อการศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาในภายหลัง เม่ือประมาณ พ.ศ. ๑๗๐๐ สังคมอินเดียกำลังอยู่ในความอ่อนแอ กองทัพเตอร์กมุสลิมได้เข้า มารุกรานอินเดีย ทำลายล้างพุทธศาสนาที่มีอยู่ในอินเดียอย่างราบคาบ ได้ฆ่าพระสงฆ์ เผาคัมภีร์ ทำลายศาสนสถานเช่นวัดวาอาราม มหาวิทยาลยั นาลันทา เผาตำราทิ้งจนไม่มีเหลือ พระสงฆ์บางส่วน ที่หนที นั ไดล้ ภ้ี ัยไปอยทู่ ีเ่ นปาล และทเิ บต พระพุทธศาสนาไดส้ ูญสนิ้ ไปจากอินเดยี ต้งั แต่บดั น้นั มา พุทธศตวรรษที่ ๓-๔ พระเจ้าอโศกมหาราชครองราชย์อยู่ ๔๑ ปี สวรรคตเม่ือ พ.ศ. ๓๑๑ เมื่อส้ินสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแล้ว พระพุทธศาสนาก็เริ่มเส่ือมลงเร่ือยๆ สมัยน้ีมีพราหมณ์คนหน่ึง ช่อื วา่ สุงคะ ได้ชิงราชสมบตั ิจากกษัตรยิ ์วงศ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช แล้วตั้งตนเปน็ กษัตริยพ์ ระนาม ว่า ปุษยมิตร กษัตริย์พระองค์นี้เล่ือมใสในศาสนาพราหมณ์มาก สมัยนี้ ศาสนาพราหมณ์ ซ่ึงมีพระเจ้า ปุษยมิตรเป็นราชูปถัมภ์ ก็ได้กระเตื้องข้ึนมามาก พระพุทธศาสนาซบเซาลง วัดวาอารามถูกทำลาย พระภิกษุสามเณรถูกฆ่า มีการตั้งรางวัลเป็นเงนิ จำนวนมากแก่ผู้ตัดศีรษะพระภิกษุได้ ภิกษุจำนวนมาก หวั่นเกรงภัยได้หนีจากแคว้นมคธไปอยู่ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ของของ อินเดีย ขณะท่ีพระพุทธศาสนา (พุทธศาสนาเถรวาทหรือหินยาน) ในแคว้นมคธอันเป็นภาคกลางของ อินเดียกำลังถูกมรสมุ อยา่ งหนกั และกำลงั คอ่ ยๆ เส่อื มสูญ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๗๐๐ สังคมอินเดียกำลังอยู่ในความอ่อนแอ กองทัพเตอร์กมุสลิมได้เข้า มารุกรานอินเดีย ทำลายล้างพระพุทธศาสนาท่ีมีอยู่ในอินเดียอย่างราบคาบ ได้ฆ่าพระสงฆ์ เผาคัมภีร์ ทำลายศาสนสถานเช่นวัดวาอาราม มหาวิทยาลยั นาลนั ทา เผาตำราทิ้งจนไม่มีเหลือ พระสงฆ์บางส่วน ทีห่ นที ัน ได้ล้ภี ยั ไปอยทู่ ีเ่ นปาล และทเิ บต พระพทุ ธศาสนาไดส้ ูญส้ินไปจากอนิ เดยี ต้ังแต่บัดนน้ั มา ๒.๓.๑ แนวคิดการเกดิ พระพทุ ธศาสนามหายาน แนวคิดและความเชื่อพื้นฐานในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ประกอบด้วยเร่ืองที่เป็น หลกั สำคญั ดงั ตอ่ ไปนี้ ตามหลักคำสอนของมหายาน กล่าวถึงยาน ๓ ประการ ซ่ึงเป็นทางหรือวิธีสู่ความ หลุดพน้ ได้แก่ สาวกยาน ปัจเจกยาน และโพธสิ ัตวยาน ๑.สาวกยาน หมายถึง ทางของพระสาวกท่ีหวังเพียงบรรลุอรหัตภูมิ ด้วยการรู้แจ้ง อริยสัจ ๔ เพื่อข้ามพ้นวัฏสงสารเท่านั้น ไม่ได้หวังพุทธภูมิแต่อย่างใด มหายานจึงถือว่าสาวกยาน เป็น การทำประโยชน์เฉพาะตนในวงแคบและช่วยเหลือสรรพสัตว์ไปได้น้อย และที่สำคัญพระสาวกท่ี จะ หลุดพ้นได้จะต้องอาศัยคำชี้แนะสั่งสอนจากพระพุทธเจ้า เพราะไม่อาจหลุดพ้นได้ด้วยความสามารถ ของตนเพียงลำพงั ๒.ปัจเจกยาน หมายถึง ทางของพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้สามารถรู้แจ้งด้วยตนเอง แต่
๔๘ เม่ือ หลุดพ้นแล้ว ก็ไม่อาจแสดงธรรมส่ังสอนผู้อ่ืนให้รู้แจ้งเห็นจริงตามตนเองได้ เพราะมิได้ส่ังสมจริต ในการ โปรดสรรพสตั วอ์ ืน่ ๓. โพธิสตั วยาน หมายถงึ ทางของพระโพธิสัตว์ผ้มู ีจิตใจกว้างขวางประกอบด้วยมหา กรุณาในสรรพสัตว์ท้ังหลาย ตั้งจิตบำเพ็ญบารมีเพ่ือมุ่งหมายพุทธภูมิซ่ึงก้าวล่วงอรหัตภูมิโพธิสัตวยาน เป็นการสร้างเหตุอันมีพุทธภูมิเป็นผล หรือกล่าวได้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝ่ายมหายานนั้นคือเหล่า พระโพธสิ ตั ว์ ทไี่ ด้สร้างบารมีมาด้วยการช่วยเหลือสรรพสัตวใ์ ห้พ้นจากความทุกข์น่ันเอง ในบรรดายานทั้งสามอย่างน้ี แม้ว่าจะมีเป้าหมายอันเดียวกันคือการหลุดพ้นจากกิเลส อาสวะ แต่อย่างไรตามสำหรับพุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายานยังคงถือว่า โพธิสัตวยานเป็นทางท่ีสำคัญ ที่สุด และควรยกย่องไว้ในฐานะ \"มหายาน\" หรือยานท่ีย่ิงใหญ่กว้างขวาง และควรยกย่องว่าเป็น \"อนุตตรยาน\" หรือยานที่ประเสริฐสูงสุด โดยมีข้ออุปมาที่น่าฟังว่า เหมือนสัตว์ ๓ ตัวคือกระต่าย ม้า และช้าง ท่ีกำลังว่ายข้ามแม่น้ำคงคา กระต่ายไม่อาจหยัง่ ถึงพ้ืนดินได้จงึ ลอยน้ำข้ามไป ส่วนม้าบางขณะ ก็หยั่งถึงบางขณะก็หยั่งไม่ถึง ส่วนช้างนั้นย่อมหยั่งถึงพ้ืนดิน แม่น้ำคงคาเปรียบได้กับปฏิจจสมุปบาท ซ่ึงเป็นธรรมอันลึกซึ้ง วิธีข้ามไปของกระต่ายเปรียบได้กับสาวกยาน ม้าข้ามเปรียบได้กับปัจเจกยาน สว่ นช้างข้ามเปรียบได้กบั โพธิสัตวยาน ซึ่งเปน็ ยานของพระตถาคตเจ้าทัง้ หลาย แนวคิดเรือ่ งตรียาน สะท้อนให้เห็นรากฐานความเช่อื ของมหายานทม่ี องว่า ทางหลุดพน้ สายเดมิ หรือสายเถรวาทนั้นเป็นทางแคบทีม่ ่งุ เนน้ เฉพาะคนบางกลุ่ม กลา่ วคือผูท้ จ่ี ะหลดุ พ้นด้วย สาวกยานได้จะตอ้ ง เปน็ พระอรหันตผ์ ู้มปี ญั ญาและประกอบความเพียรมาแล้วอยา่ งยิ่งยวดเท่าน้ัน อีก ทงั้ ผลสำเรจ็ ทีเ่ กดิ จากความหลดุ พน้ ดงั กล่าว กเ็ ป็นไปเพื่อประโยชนแ์ กบ่ ุคคลผูน้ น้ั เพียงผู้เดียว ฉะน้นั จึงดูเหมือนวา่ ไดล้ ะเลยคนส่วนใหญท่ ย่ี ังด้นิ รนอยู่ในโลกไปเสยี ในขณะทีโ่ พธิสตั วยานของฝา่ ย มหายานกลบั เปน็ เหมือนพาหนะใหญ่ท่ีสามารถรบั คนทกุ ประเภท ทกุ ชนช้นั วรรณะ ทุกเพศทุกวัย ทุก สาขาอาชีพ โดยไม่เคยปฏิเสธ หรือจำกัดวา่ เปน็ ผู้ใด ดังนัน้ จงึ ควรยกยอ่ งว่าเป็นยานอันสูงสดุ เพราะ สามารถชว่ ยเหลอื สรรพสตั วไ์ ปได้มากท่สี ุดน่นั เอง ๒.๓.๒ แนวคิดเร่อื ง \"พระพุทธเจ้า ๓ ประเภท\" พระพุทธศาสนาในฝา่ ยมหายานได้แบ่งพระพุทธเจ้าออกเป็น ๓ ประเภท คอื ๑.พระอาทิพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เรียกว่าพระอาทิพุทธะน้ี เป็นผู้เกิดขึ้น มาเองก่อนส่ิงใดทั้งหมด (พระสยัมภูพุทธเจ้า) อันจะหาเบ้ืองต้นและเบ้ืองปลายมิได้ เป็นผู้ให้กำเนิด พระพุทธเจ้าประเภทอ่ืนๆ ทั้งหมด เป็นผู้ให้กำเนิดพระโพธิสัตว์ทั้งหลายและให้กำเนิดสรรพส่ิงต่างๆ ทัง้ มวลที่มีอยู่ในสกลจักรวาลน้ี หรืออาจกล่าวอีกนัยหน่ึงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในอนันตจักรวาลน้ี ล้วนถือ กำเนดิ มาจากองค์พระอาทิพุทธะนี้ท้งั สน้ิ ๒.พระธยานิพุทธเจ้า เป็นผู้ที่เกิดมาจากอำนาจแห่งฌานของพระอาทิพุทธะเพื่อ ปกครองอาณาจักร และอาณาจักรย่อยๆ ท่ีเรียกว่าพุทธเกษตร ดังน้ันในแต่ละพุทธเกษตร จะมี พระ สมั มาสัมพุทธเจ้าคอยทำหนา้ ที่โปรดเวไนยสัตว์อยู่หนึ่งพระองค์ และสภาพแต่ละพุทธเกษตร อาจจะมี ความแตกต่างกันไปบ้างตามความเหมาะสมของการโปรดสตั ว์ในพทุ ธเกษตรนน้ั ๆ
๔๙ ๓.พระมานุษิพุทธเจ้า เป็นผู้ท่ีถือกำเนิดมาจากพระธยานิพุทธเจ้า โดยแสดงตน ออกมา ในรูปของมนุษย์ธรรมดาและอุบตั ิข้ึนมาในโลกมนษุ ย์ ทง้ั น้ีเพื่อเป็นอุบายแห่งการสงั่ สอนสรรพ สัตว์ ทั้งหลาย เพ่อื ใหเ้ ร่งปฏบิ ตั ิธรรมด้วยความไมป่ ระมาท การแบง่ พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ออกเปน็ ๓ ประเภทนั้น เนื่องมาจากความเช่ือทีว่ า่ พระสัมมา สัมพุทธเจา้ ยอ่ มมีตรีกาย หรือพระกาย ๓ กาย กายที่หนึ่งเรยี กว่า ธรรมกาย เปน็ ภาวะแหง่ การรแู้ จ้ง ของพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ อันเปน็ กายท่ีเกดิ ขนึ้ เอง อนั หาเบื้องตน้ และเบื้องปลายมิได้ ธรรมกายนีก้ ็คือ องค์พระอาทิพุทธะ สว่ นกายทส่ี องเรยี กวา่ สมั โภคกาย คือกายที่เปน็ ทิพย์ มรี ศั มีรงุ่ เรือง เกิดขึ้นมาใน รปู ของโอปปาตกิ ะ ซึ่งกายนี้ก็คือ พระธยานิพทุ ธะ และกายท่สี ามเรียกว่า นิรมาณกาย เป็นกายที่ เนรมิตบิดเบอื นข้นึ ให้อยใู่ นรปู ของร่างกายมนุษย์ ซ่ึงกไ็ ด้แก่พระมานษุ ิพุทธะ หรืออาจจะกลา่ ว อีกนัย หนง่ึ วา่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทง้ั สามประเภทน้ี ความจรงิ แลว้ ถอื ว่าเป็นอนั หนึง่ อันเดยี วกัน เพียงแต่ แสดงตนออกมาในภาวะที่แตกต่างกนั ออกไป เพื่อความเหมาะสมต่อการสงั่ สอนเวไนยสัตว์ ในแตล่ ะ สถานการณ์ ดังนัน้ พระมานุษิพทุ ธเจ้าในฝา่ ยมหายาน อนั ได้แก่ พระทีปังกรพทุ ธเจ้า พระกสั สปพุทธ เจ้า พระโคตมพุทธเจ้า พระเมตไตรยพทุ ธเจา้ และพระไภสชั ชคุรุพทุ ธเจ้า ทกุ พระองค์ จงึ ลว้ นมพี ระ กายเปน็ ๓ หรือมภี าวะแตกต่างกนั เปน็ ๓ ในพระองค์เดียว ซ่งึ จะเห็นได้จากพระประธาน ใน โบสถ์ ของมหายาน ทจี่ ะตอ้ งมี ๓ พระองคเ์ สมอ ท้ังนี้มิได้หมายความวา่ พระพทุ ธเจา้ มี ๓ องค์ แต่หมายถึง พระมานุษิพทุ ธะหรือพระศากยมุนพี ุทธะพระองค์เดียว แตม่ พี ระกายเป็น ๓ น้เี ป็น ลักษณะพระ รัตนตรยั ของมหายาน ๒.๓.๓ แนวคิดเรื่องพทุ ธเกษตร พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทเช่ือว่า ในจักรวาลหน่ึงๆจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติข้ึน มากกว่า หน่ึงพระองค์ ในเวลาเดียวกันไม่ได้ แตฝ่ ่ายมหายานเชื่อต่างไปจากน้ีว่า ในจักรวาลอันเวิ้งว้าง นี้สามารถ แบ่งเนื้อที่ออกเป็นส่วนย่อยลงไปอีกนับจำนวนไม่ถ้วน อาณาเขตย่อยๆ ของจักรวาลแต่ละ อาณาเขตนี้ เรยี กวา่ พทุ ธเกษตร (Pure Land) ในหนึ่งพุทธเกษตรจะมพี ระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ หนึ่ง พระองค์ ดังนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในความเชื่อของมหายานจึงสามารถอุบัติขึ้นในจักรวาล พร้อมกันได้มากกว่าหน่ึงพระองค์ เมื่อเป็นดังนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อุบัติข้ึนเพ่ือทำหน้าท่ีโปรด เวไนยสัตว์ในแต่ละจักรวาลทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต จึงมีจำนวนมากมายมหาศาลนับประมาณมิได้ ดจุ เมล็ดทราย ในคงคานที พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ในแต่ละพุทธเกษตร ไม่ว่าจะอยู่ในภาคสัมโภคกายหรือ นิรมาณกาย ท้ังหมดล้วนแตกขยายออกมาจากธรรมกายอันเดียวกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในแต่ละ พุทธเกษตรอาจมีลักษณะและคุณสมบัติท่ีผิดแผกกันตามความเหมาะสม ในการโปรดสัตว์ในพุทธ เกษตรน้ันๆ แต่น่ันเป็นเพียงความแตกต่างภายนอกเท่าน้ัน โดยเน้ือแท้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าล้วนมา จากธรรมกายเดยี วกัน ดจุ น้ำแมจ้ ะอยคู่ นละสถานที่ ก็ลว้ นเป็นนำ้ ที่มีเนื้อแทเ้ ป็นชนดิ เดยี วกนั ฉนั น้นั พุทธเกษตรแต่ละแห่งแตกต่างกัน ตามบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประจำพุทธเกษตรน้ัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดสมัยท่ีเป็นพระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญบารมีไว้มาก อำนาจพระบารมีน้ัน จะส่งผลให้พุทธเกษตรของพระองค์รุ่งเรืองมากกว่าพุทธเกษตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บำเพ็ญ
๕๐ บารมีธรรมมาน้อยกว่าและพุทธเกษตรที่กล่าวกันว่าเป็นพุทธเกษตรท่ีร่งุ เรืองท่ีสุด และเป็นท่ีนิยมมาก ที่สุด ในบรรดาพุทธเกษตรทั้งหมดก็คือสุขาวดีพุทธเกษตรอันเป็นที่อยู่ของพระอมิตาภะ คนท่ัวไป มกั จะ เข้าใจว่า สุขาวดีเป็นช่ือหนึ่งของพระนิพพาน แต่ในความหมายของมหายาน สุขาวดีน้ันยงั ไม่ใช่ นิพพาน เป็นเพียงพุทธเกษตรหนึ่งเท่าน้ัน แต่สุขาวดีพุทธเกษตรต่างจากพุทธเกษตรท่ีเราอาศัยอยู่นี้ เพราะเป็น สถานท่ี ท่ีน่าร่ืนรมย์อย่างย่ิง ไม่มีแม้แต่อบายภูมิ จึงสมบูรณ์ด้วยส่ิงอำนวยความสุข นานาประการ อีกทั้งอายุของผู้ท่ีเกิดในดินแดนแห่งนี้ก็ยาวนานมาก ฉะนั้นจึงคล้ายกับว่าเป็นสถานที่ อยู่อันถาวรไป แนวคิดเรื่องพุทธเกษตรนี้ เชื่อว่ามาจากทัศนะของฝ่ายมหายานที่มองว่า นิพพานไม่ใช่สิ่งที่ คนเราจะบรรลุได้ง่ายๆ เป็นสิ่งท่ีอยู่ไกลเกินกว่าคนธรรมดาท่ัวไปจะเอื้อมถึง นิพพานท่ีต้องบรรลุถึง ด้วยการปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาอย่างยิ่งยวด และต้องใช้เวลานาน จึงถูกปรับมาให้กลายเป็นสิ่งท่ี สามารถเข้าถึงได้ด้วยการทำบุญ ความศรัทธาเช่ือมั่นในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของพุทธเกษตรนั้นๆ แล้วส่งผลให้ไปเกิดในดินแดนแห่งหนึ่ง เรียกว่าพุทธเกษตร ซ่ึงมีเงื่อนไขเอ้ืออำนวยแก่การเข้าถึง นพิ พานต่อไปโดยไม่ยากนัก โดยเฉพาะผู้ที่ไปเกิดในสุขาวดีพุทธเกษตรก็ย่อมจะมีโอกาสเข้าถงึ นิพพาน ไดง้ า่ ยกว่าผทู้ ่ีเกดิ ในพุทธเกษตรอืน่ ซงึ่ ยังไม่แน่วา่ จะเข้าถงึ นิพพานไดภ้ ายในชาตนิ ัน้ แต่สำหรับผู้ทเ่ี กดิ ในสุขาวดพี ุทธเกษตรแล้ว ทุกคนยอ่ มเป็นผู้เที่ยงแทต้ ่อนิพพาน คอื จะต้องเขา้ ถงึ นิพพานภายในชาติน้ัน ทกุ คน ๒.๓.๔ แนวคิดเรอื่ งพระโพธสิ ัตว์ แนวคิดเร่ืองพระโพธิสัตว์ (Bodhisattva) ถือเป็นแกนกลางของคำสอนทั้งหมดใน คัมภีร์ มหายาน และเป็นอุดมคติอันสูงส่งที่มหายานมุ่งเน้น โดยแนวคิดน้ีได้แยกเป็นเอกเทศจากความ เช่ือ เร่ืองพระพุทธเจ้าอย่างชัดเจน กลายเป็นการบรรลุสภาพอย่างหนึ่งท่ีทำให้ผู้บรรลุเป็นผู้ประเสริฐ ท่ีมีหน้าท่ีสำคัญในการช่วยเหลือดูแลชาวโลก และกลายเป็นเหล่าเทพเจ้าท่ีสถิตในสรวงสวรรค์ ตาม ความเชื่อของมหายาน พระโพธิสัตว์จะมีความใกล้ชิดสรรพสัตว์มากกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ สามารถชว่ ยเหลอื สรรพสตั ว์ได้อย่างมากมาย จงึ เป็นผู้ควรกราบไหว้บูชา และเป็นทย่ี ดึ เหนยี่ วทางจติ ใจ พระโพธิสัตว์จึงมีลักษณะเป็นสื่อระหว่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในนิพพานกับบรรดามวลมนุษย์ เป็นผู้ ท่ีทำหน้าท่ีช่วยเหลือมนุษย์ มีอำนาจพิเศษที่สามารถจะช่วย เหลือสรรพสัตว์ได้มากๆ ถึงแม้ว่าพระ โพธิสัตว์ท้ังหลายล้วนต้ังความปรารถนาท่ีจะบรรลุพุทธภูมิให้ จงได้แต่ท่านเหล่าน้ันก็ยังไม่ขอเข้า นิพพานในทันที จะต้องประพฤติตามหลักคำสอนท่ีเรียกว่า โพธิสัตวมรรค ไปจนกว่าจะบรรลุพุทธภูมิ คือ ๑.บารมี ๖ หมายถึง คณุ ธรรมเป็นเหตใุ ห้ถงึ ฝ่งั คือความสำเร็จต่างๆ ท่บี ุคคลไดต้ ัง้ จดุ มงุ่ หมาย เอาไว้ ซึ่งต้องบำเพ็ญใหย้ ง่ิ ยวดตราบเท่าที่ยังมไิ ด้บรรลุพทุ ธภมู ิ เพื่อช่วยเหลือสรรพสตั ว์ ดงั นน้ั ทางฝา่ ยมหายานจงึ ยอ่ บารมี ๑๐ หรอื ทศบารมใี นฝ่ายเถรวาท ลงเหลือเพยี งบารมี ๖ คือ ๑.๑ ทานปารมิตา หรือทานบารมี พระโพธิสัตวจ์ ะต้องสละทรพั ย์ อวัยวะ และชีวิต เพ่อื สัตวโ์ ลกไดโ้ ดยไมอ่ าลัย
๕๑ ๑.๒ ศลี ปารมิตา หรือศีลบารมี พระโพธิสัตวต์ ้องรกั ษาศลี อันประกอบดว้ ย อนิ ทรยี ส์ งั วร ศีล กุศลสังคหศีล ข้อนี้ได้แก่การทำความดสี งเคราะหส์ รรพสตั วท์ ุกกรณี สัตวสังคหศีลคอื การช่วย สรรพสัตว์ ให้พ้นทุกข์ ๑.๓ กษานตปิ ารมติ า หรอื ขันติบารมี พระโพธสิ ตั วต์ อ้ งสามารถอดทน ต่อส่ิง กดดันเพ่ือโปรดสตั ว์ได้ ๑.๔ วริ ยิ ปารมิตา หรอื วิริยบารมี พระโพธิสัตว์ไม่ย่อทอ้ ต่อพุทธภมู ิ ไมร่ สู้ กึ เหน่อื ยหนา่ ยระอาในการช่วยสัตว์ ๑.๕ ธยานปารมิตา หรอื ฌานบารมี พระโพธสิ ัตว์จะต้องสำเรจ็ ในฌาน สมาบัติทุกชั้น มีจติ ไมค่ ลอนแคลนเพราะเหตแุ หง่ อารมณ์ ๑.๗ ปรชั ญาปารมติ า หรอื ปัญญาบารมี พระโพธสิ ตั ว์จะต้องทำใหแ้ จ้งใน ปคุ คลศูนยตา และธรรมศูนยตา ๒.อปั ปมญั ญา ๔ คือ การอบรมจิตให้มีคุณสมบัติอนั ประกอบดว้ ยเมตตา กรุณา มุทติ า และอเุ บกขา ทำให้คณุ สมบตั เิ หล่านแี้ ผไ่ ปในสรรพสัตวท์ ั้งปวงไมม่ ีประมาณ ๓. มหาปณธิ าน ๔ คือ ความตง้ั ใจอนั แน่วแน่มน่ั คงซ่ึงพระโพธิสตั ว์จะตอ้ งมี คือ ๓.๑ จะละกิเลสทงั้ หลายใหห้ มดสิน้ ๓.๒ จะศกึ ษาธรรมทั้งหลายให้ถอ่ งถว้ น (คือศึกษาใหห้ มดและแตกฉาน) ๓.๓ จกั โปรดสตั ว์ทง้ั หลายใหห้ มด ๓.๔ จะตอ้ งบรรลุอนุตตรสัมมาสมั โพธิญาณ (บรรลพุ ุทธภูม)ิ ๔. อุดมคติ ๓ คอื ๔.๑ หลกั มหาปญั ญา เปน็ ผ้รู ู้แจ้งในสุญญตาท้ัง ๒ คอื ปคุ คลสญุ ญตา และ ธรรมสุญญตา พจิ ารณาเห็นความว่างในบุคคลและธรรม ไม่ตกอยู่ในอำนาจกิเลส ๔.๒ หลกั มหากรณุ า คือ มจี ิตใจกรณุ าต่อสตั วไ์ ม่มีขอบเขต พร้อมที่จะ เสียสละตนเอง ทนทกุ ข์แทนสรรพสตั ว์ เพื่อช่วยสรรพสตั วใ์ ห้พ้นทุกข์ ๔.๓ หลักมหาอุบาย คือ ต้องมีกศุ โลบายอนั ชาญฉลาด ในการแนะนำอบรม สัง่ สอนผอู้ ื่น ใหพ้ น้ จากทุกขใ์ หเ้ ข้าถงึ ธรรม อดุ มคติของพระโพธสิ ตั ว์ท้งั สามขอ้ นี้ นับเปน็ หวั ใจของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ข้อแรก หมายถงึ การบำเพ็ญประโยชน์ของตนให้เพียบพร้อมสมบรู ณ์ ส่วนสองขอ้ หลงั เปน็ การบำเพ็ญ ประโยชนเ์ พ่ือผู้อืน่ เมตตาช่วยผูอ้ ่นื ใหพ้ น้ ทุกข์ และเปน็ การสบื อายุพระศาสนาพร้อมท้งั เผยแผ่คำส่งั สอนของพระพุทธเจา้ ใหแ้ พร่หลาย ในพระพุทธศาสนามหายาน ความเป็นพระอรหนั ต์ก็ยงั นบั ว่าด้อย กวา่ พระโพธสิ ตั ว์ เพราะเป็นการเอาตวั รอดแต่เพียงผเู้ ดยี ว มิได้ชว่ ยเหลือผ้อู นื่ ในระหวา่ งการบำเพญ็ เพยี รของตน แต่พระโพธิสัตว์ ผู้มุ่งอนตุ ตรสมั มาสัมโพธิเป็นผู้ทีเ่ สยี สละอย่างยงิ่ ไม่ยอมบรรลโุ พธิ ในทนั ทีเพราะอาศัยความกรุณาเปน็ ที่ต้ังจึงปรารถนาที่จะชว่ ยเหลอื ผูอ้ ่ืนก่อน ความคดิ ทเี่ นน้ การ เสยี สละชว่ ยเหลอื เแกผ่ ู้อ่นื โดยไมค่ ำนึงถึง ความทุกข์ ยากลำบากของตัวเอง จงึ ทำให้อดุ มคติพระ โพธสิ ัตว์มคี วามโดดเด่นเหนือกวา่ อดุ มคติ พระอรหนั ต์และได้รบั ความนยิ มมากขน้ึ เร่ือยๆจนกลายเปน็ แกนกลางคำสอนทง้ั หมดของฝ่ายมหายานในที่สุด เม่อื พิจารณาจากหลักการและความเช่อื ของ มหายานทกี่ ลา่ วมาข้างต้นทัง้ หมด จะเห็นภาพรวมของคำสอนทีม่ ีลกั ษณะพเิ ศษอันเปน็ เอกลักษณ์ของ
๕๒ ฝา่ ยมหายานโดยเฉพาะ หลักคำสอน เหลา่ น้ีสำหรบั พุทธศาสนกิ ชนฝ่ายเถรวาทอาจมองวา่ เป็นเรื่องท่ี เขา้ ใจไดย้ ากเพราะห่างไกลจากคำสอนด้ังเดมิ ในฝา่ ยเถรวาทท้งั ๆ ท่จี ริงแลว้ ก็เป็นเร่ืองทีเ่ ก่ยี วเน่ือง สัมพันธก์ บั คำสอนของเถรวาททง้ั หมด ๒.๔ สาเหตุความเสือ่ มของระบบการศกึ ษาในพระพุทธศาสนา มหี ลักธรรมทางพุทธศาสนาหลายประการท่ีชว่ ยให้เข้าใจความเป็นจริงของชีวติ และโลกไดด้ ี ขึน้ อาทิหลักไตรลักษณ์ หรอื อิทัปปัจจยตา อย่างไรก็ตามโลกยุคใหม่มีความซบั ซ้อนมากขึ้นและมี ปรากฏการณใ์ หม่ ๆ ท่หี ลักธรรมด้ังเดิมอาจมขี ้อจำกดั หรือไมเ่ พียงพอทจี่ ะการชว่ ยทำความเขา้ ใจความ เปลีย่ นแปลงดังกลา่ ว ดงั น้นั จึงจำเปน็ ทจี่ ะต้องนำหลักธรรมท่ีมีอยู่มาสงั เคราะห์ สำหรับเปน็ เครอ่ื งมือ ในการพจิ ารณาปรากฏการณ์สมยั ใหม่ เพ่ือที่ชาวพุทธจะสามารถวางท่าทีไดถ้ ูกตอ้ งต่อปรากฏการณ์ เหลา่ นนั้ อาทิ ระบบทนุ นยิ ม ลัทธิบรโิ ภคนิยมโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกจิ หรอื เทคโนโลยีชีวภาพ เปน็ ต้น เครอ่ื งมือดงั กลา่ วเป็นสิ่งจำเป็นสำหรบั การพิจารณาแงม่ ุมทางด้านจริยธรรมของปรากฏการณ์ดงั กลา่ ว วา่ สอดคล้องกบั หลกั การพุทธศาสนาหรือไม่ ควรสง่ เสรมิ หรอื คัดค้านเพยี งใด และควรนำมาใชเ้ พอ่ื ส่งเสริมชวี ิตที่ดีงามหรอื ไมแ่ ละอยา่ งไร ในการสังเคราะห์หลกั ธรรมเพือ่ จดุ หมายดังกล่าว จำเป็นที่ จะตอ้ งมกี ารหยบิ ยืมแนวคิดอ่ืนมาชว่ ยด้วย รวมท้ังการขยายความหลักธรรมใหม้ ีความหมายกว้างขน้ึ ดังไดก้ ล่าวมาแล้ว การนำหลกั ปฏิจจสมุปบาท (ซ่ึงมักใช้อธิบายความทุกข์ในจิตใจ) มาผสานเขา้ กบั หลักอารยวฒั ิ (หลักความเจริญของอริยชน) และทฤษฎรี ะบบ (Systems Theory) เปน็ ตวั อย่างหนึง่ ของการสังเคราะหห์ ลกั ธรรม เพอื่ เปน็ เครื่องมือในการวเิ คราะหร์ ะบบทซ่ี บั ซ้อนในสังคมสมัยใหม่บาง ทา่ นอาจสงสัยว่า เพราะเหตุไรพระพุทธศาสนาจึงเส่ือมไปจากประเทศอนิ เดยี ทง้ั ทีอ่ ินเดียเป็นแดนเกดิ ของพระพทุ ธศาสนา ปัญหานี้มคี นสงสัยกันมาก แต่กน็ ้อยคนที่ไดส้ นใจในปัญหานก้ี นั อย่างแท้จรงิ และ กม็ ีจำนวนมากที่ยงั ไม่ทราบข้อเทจ็ จรงิ เก่ียวกับเร่อื งนี้ จงึ สมควรท่ีจะได้คน้ หาสาเหตุมารวมไวใ้ นทน่ี ้ี ดว้ ย ถา้ หากได้ติดตามอ่านหนังสอื ประวตั ศิ าสตรอ์ นิ เดยี โดยตลอดแล้ว กพ็ อจะเขา้ ใจถงึ มูลเหตุแหง่ ความเสอื่ มของพุทธศาสนาในอินเดยี ได้เป็นอย่างดแี ต่เพอื่ เป็นการทบทวนความจำอีกครั้งหน่ึง การท่ีพระพุทธศาสนามีหลักให้พุทธศาสนิกชนมีการวางตนไม่แทรกแซงยุ่งเก่ียวกับกิจกรรม ทางสังคม ของพุทธศาสนาในระยะเร่ิมแรกน้ันเป็นการส่งเสริมให้พุทธศาสนาเจริญแพร่หลายไปอย่าง รวดเรว็ ทั้งน้เี พราะประชาชนมคี วามพอใจท่พี ุทธศาสนาให้เสรภี าพ ไม่แทรกแซงเปลยี่ นแปลงหรือเลิก ล้มจารีตประเพณีท่ียึดถือปฏิบัติกันมาแต่เดิมพระพุทธองค์เป็นปัญญาชนเป็นนักคิด พระองค์มาจาก ราชตระกูลที่ดำรงอยู่ในจารีตประเพณีตลอดจนความเช่ือถือตามระบบของสังคมอันมีพราหมณ์เป็นผู้ นำมาแตโ่ บราณกาล ในฐานะที่เป็นปัญญาชน นักคิด พระองค์ทรงสะทอ้ นพระทยั เมอื่ ได้ทอดพระเนตร เห็น “นิมิต ๔” มี คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช อันเป็นเหตุให้พระองค์ทรงโทมนัสถึงกับตัดสิน พระทัยออกบรรพชา ท้งั นี้เพ่ือทรงค้นหาวิธีท่ีคนเราจะได้พบอิสระจากการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ดว้ ยเหตุ น้ีแม้เมื่อทรงบรรพชาแล้ว พระองค์ก็มิได้ทรงข้องเก่ียวกับความเชื่อถือหรือจารีตประเพณีของสังคม พระองค์ทรงปล่อยให้ความเชื่อถือหรือวัตรปฏิบัตรเหล่าน้ีเป็นไปตามสภาพเดิม พระองค์ทรงมุ่งมั่นอยู่ กับการค้นหา “สัจธรรม” ที่ทำอย่างไรคนเราจะได้ไมต่ ้องเวียนว่ายตายเกดิ ในสังสารวฏั ในคำสอนของ พระองค์ที่มีปรากฏในพระสูตรต่างๆ พระองค์ได้ทรงห้ามมิให้เวไนยยนิกรเสียเวลาถกเถียงวิพากษ์
๕๓ วจิ ารณ์หรือคาดคะเนในเรื่องที่ไร้ประโยชน์ ไม่นำไปสู่ความหลุดพ้น (นิพพาน) เช่น ความเห็นที่ยึดเอา ที่สุด ๑๐ ประการ (อันตคาหิกทิฏฐิ) ในคัมภีร์มัชฌิมนิกาย เป็นต้น นายนลินากฺษ ทัตต ปราชญ์ชาว อินเดียผ้รู จนาตำราหลายเล่มเก่ียวกบั พุทธศาสนาในอนิ เดีย ได้เขยี นแสดงความเหน็ ไว้วา่ การวางตนไม่ เข้าไปแทรกแซงกิจการทางสังคมของพุทธศาสนาในอนิ เดียในระยะแรก ๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาทีพ่ ระ พทุ ธองคแ์ ละสานศุ ษิ ย์ผู้ปรีชาญาณของพระองค์ยังดำรงพระชนม์ชพี อยนู่ ้ัน เป็นผลดแี กก่ ารเผยแผพ่ ุทธ ศาสนาอย่างแน่นอน แต่เม่ือกาลเวลาล่วงเลยไป และเม่ือไม่มีพระพุทธองค์ตลอดจนสานุศิษย์ผู้ปรีชา ญาณเป็นผู้นำและให้แสงสวา่ ง ลัทธิความเชื่อตลอดจนพิธกี รรมเก่า ๆ ของพราหมณ์ซ่ึงมีมาแต่โบราณ กาล จึงกลบั ฟ้ืนคนื ชีพข้ึนอีก ดว้ ยเหตุนภี้ ายในระยะเวลามชิ ้ามินานหลงั จากพทุ ธปรนิ ิพพาน และหลงั จากอัครสาวกองค์ สำคญั ๆ ผเู้ ปร่อื งปราดไดล้ ่วงลบั ไปแลว้ ประชาชนต่างก็เริม่ ลมื เลือนสารัตถะแห่งคำสอนของ พระพุทธเจ้า และต่างกลับไม่เชื่อถือและประพฤตปิ ฏบิ ตั ิตามลัทธิคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ต่าง กลับไปเชอ่ื ถือและประพฤตปิ ฏิบัติตามลทั ธคิ ำสอนของพราหมณ์ ซง่ึ พระพทุ ธองค์ทรงคดั ค้านและ ตอ้ งการเปลย่ี นแปลงตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ กล่าวโดยยอ่ ก็คือ แกน่ แห่งศาสนาพทุ ธ ได้ถูก กระพีแ้ ห่งศาสนาพราหมณ์ ปกปิด หรือบดบงั ไว้ อยา่ งแทบจะมองไม่เห็น โดยเฉพาะจากสามญั ชนคน ธรรมดา พฤติการณท์ ำนองเดียวกันนี้ไดเ้ กิดขนึ้ ในประเทศอ่ืนทีพ่ ุทธศาสนาไดแ้ ผ่ไปถึง เชน่ ในประเทศ จีน ทิเบต เนปาล พม่า สยาม ลงั กา ญ่ีปนุ่ ตลอดจนเกาหลี มองโกเลยี และอนิ โดนีเซีย ในทุกประเทศ ที่ได้กล่าวนามมานี้ เป็นความจริงท่พี ทุ ธศาสนาไดเ้ ขา้ ไปประดิษฐานอยู่เป็นเวลาชา้ นาน ทั้งได้รบั ความ เทิดทนู สักการะอย่างสูงจากประชาชน แตใ่ นขณะเดียวกันอิทธพิ ลของวฒั นธรรม ตลอดจนลทั ธคิ วาม เชอื่ ถอื เดมิ ของท้องถนิ่ ก็ได้เข้าไปผสมผสานปนเปกับ คำสอนอันแท้จรงิ ของพุทธศาสนา อย่างแทบจะ แยกกนั ไม่ออก กลา่ วโดยย่อกค็ อื “ปรมตั ถธรรม” ท่ีพระโคดมพุทธเจ้าได้ทรงสงั่ สอนไว้ ได้เลือนลางจางหาย จนแทบจะสูญความหมาย ในอินเดีย โดยเฉพาะแลว้ ภายในระยะเวลาไม่กรี่ ้อยปหี ลังจากพทุ ธศาสนา แม้ในถน่ิ ทพ่ี ุทธศาสนาเคยเจริญรุง่ เรอื งทส่ี ดุ มาแล้ว เชน่ ในรฐั พหิ าร อุตรประเทศ และเบงกอล กต็ าม พระภกิ ษุสงฆ์เกดิ แตกสามคั คี ไม่มคี วามปรองดองกนั แก่งแย่งชงิ ดีชงิ เดน่ กนั เป็นใหญ่ หลงใหลในลาภ ยศ สกั การะไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย ติดอยู่ในพิธีกรรม มากกว่าการศึกษาและ ปฏิบัตธิ รรม เปลยี่ นแปลงแก้ไขคำสอนอนั ดง้ั เดิม เพ่ิมเตมิ เขา้ มาใหม่ ทำให้เกิดสทั ธรรมปฏริ ปู ซงึ่ ได้ เกดิ ขึ้นแม้แตส่ มยั ทพี่ ระพุทธองคย์ งั ทรงพระชนม์อยู่ เช่น เรือ่ งการแตกสามัคคีของพระภิกษชุ าวเมอื ง โกสมั พแี ละพระเทวทตั เปน็ ต้นและได้มสี ืบตอ่ ๆกนั มาไม่ขาดระยะนับว่าเปน็ จดุ อ่อนอยา่ งหน่งึ ในวงการ ของพระพุทธศาสนาอนั เป็นเหตใุ หศ้ าสนาอนื่ ๆฉวยโอกาสโจมตีได้ เท่ากบั เปน็ การเปิดประตบู า้ นให้ พวกโจรเข้าลกั ของในบ้านสังคายนาแต่ละคร้งั ที่ทำในอนิ เดีย ยอ่ มมีมูลเหตุมาแต่การแตกแยกของ พระภกิ ษสุ งฆ์เปน็ ใหญ่ ศาสนาอื่นๆ ได้เบียดเบียน ศาสนาฮินดูได้เป็นคู่แข่งของพระพุทธศาสนามาเริ่มต้ังแต่สมัย พุทธกาลจนกระทั่งถึงสมัยปัจจุบันน้ี เมื่อพระพุทธเจ้าปรนิ ิพพานแล้ว พวกพราหมณ์หรอื ฮินดูก็ได้เร่ิม ประกาศคำสอนของตนเป็นการใหญ่ ส่วนพระพุทธศาสนามีแต่ต้ังป้อมรับ บางครั้งก็เปิดช่องให้เขา หรือไม่ก็หลอมตัวเข้าหาเขา จึงเท่ากับว่า เราทำลายตัวเราเองด้วย และถูกคนอ่ืนทำลายด้วย ถ้าหาก
๕๔ เรายังยึดมั่นอยู่ในคำสอนและรักษาความสามัคคีในหมู่คณะไว้ได้ดีแล้ว คนอื่นหรือศาสนาอื่นทำอะไร ไมไ่ ด้ เพราะพระพทุ ธศาสนาย่อมได้เปรียบศาสนาอนื่ ในหลกั คำสอนอยู่แลว้ คำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นคำสอนท่ีทวนกระแส คือตรงด่ิงสู่ความจริง เป็นการฝืนในคน ต้องดึงคนเข้าหาหลัก มิใช่ดึงหลักเข้าหาคน ไม่บัญญัติหรือสอนไปตามความชอบพอของคนบางคน สอนไปตามความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา จึงทำให้ผู้มักง่ายเกิดความเอือมระอา พากันหันไปหาคำ สอนที่ถูกกับอัธยาศัยของเขา และหลักคำสอนเกี่ยวกับการปฏิเสธวรรณะของพระพุทธศาสนา ทำให้ ขัดต่อความคิดเห็นของคนช้ันสูงและคนชั้นต่ำผู้ยึดม่ันอยู่ในลัทธิประเพณี พวกคนชั้นสูงก็ไม่อยากให้มี การเลิกการถือช้ันวรรณะ คนชั้นต่ำก็ไม่ต้องการให้ล้มเลิกลัทธิประเพณีของเขา คนชั้นต่ำมิได้นับถือ ศาสนาด้วยปัญญา แต่นับถือด้วยการยึดม่ันอยู่ในพิธีกรรม จึงทำให้เป็นการขัดต่อความเช่ือถือของเขา พระพทุ ธศาสนาจึงเหมาะสมกับคนชั้นกลางมากกว่าชนชน้ั อนื่ ๆ (หมายถึงชาวอินเดยี ) เส่ือมไปในทส่ี ดุ ๖ ๒.๕ ผลกระทบจากความเสื่อมของระบบการศกึ ษาในพระพทุ ธศาสนา กระบวนการเรียนรู้ในพระพุทธศาสนา คือ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ พระธรรมโกศาจารย์ (ศ.ดร.ประยูร ธมฺมจิตฺโต) กล่าวไว้ว่า กระบวนการสูญสลายของพุทธศาสนาในประเทศใดๆ ก็ตาม จะ เรม่ิ จากการสูญสลายทางปฏิเวธ, ปฏิบัติ และปรยิ ัตติ ามลำดับ จะเริ่มจากการไม่มพี ระอรหันต์ จากน้ัน การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องก็จะเร่ิมลดลง และเม่ือใดท่ีการศึกษาปริยัติหมดลง เมื่อน้ันก็จะถึงกาลสูญ สลายของพุทธศาสนาเถรวาทจากประเทศน้ันๆอย่างสมบูรณ์ หากยังสามารถรักษาปริยัติไว้ได้อย่าง ถกู ตอ้ ง การปฏิบัตทิ ถ่ี ูกตอ้ งก็จะฟื้นคืน ส่งผลให้ปฏเิ วธเกิดขน้ึ ไดอ้ กี ครง้ั หนง่ึ หลังพระพทุ ธองคป์ รินิพพานไดป้ ระมาณ ๑๐๐ ปี พระมหากสั สปะทำสงั คายนาพระไตรปฎิ ก ดีแล้ว พระธรรมวนิ ยั ไม่หย่อนยานจึงปฏบิ ัติไดม้ รรคผลนิพพานไม่แตกแยกออกเปน็ นิกาย แต่หลังจาก นั้น กลมุ่ สงฆ์บางพวกไมพ่ อใจการปฏบิ ัติตามแบบดัง้ เดิมท่พี ระพุทธองค์ทรงสอนจงึ พากนั จับกลุม่ แลว้ กำหนดแนวทางแบบใหม่กนั เอง ยกครูของตนเองที่มีบุญบารมีมากพอชว่ ยให้ “ลาภสกั การะ” มาสู่ พวกพ้องของตนได้ขนึ้ เป็น “เจ้านิกาย” โดยท่ีครูของตนก็ไม่ได้ร้เู ทา่ ทนั ถงึ ภยั ท่จี ะเกิดขึ้นน้ี อาการของ ศิษย์ท่ีไม่พอใจแนวทางเกา่ แลว้ หาคนทมี่ บี ารมีพออาศัยได้ ผ่อนปรนศลี และขอ้ ปฏบิ ัตเิ สยี จนเกดิ กลุ่ม ใหมข่ องตนเองนี้ เรียกวา่ “ขบวนการอาจารยิ วาท” ๖ พระอดุ รคณาธิการ. ประวัติศาสตร์ พุทธศาสนาในอนิ เดยี , พิมพ์ครั้งท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา, ๒๕๓๔.หนา้ ท่ี ๒๖๔.
๕๕ อาจริยวาท แปลว่า วาทะของอาจารย์ เป็นคำที่คณาจารยพ์ ทุ ธศาสนาฝ่ายเถรวาทใช้เรยี ก พทุ ธศาสนานิกายใด ๆ ทีไ่ ม่ยอมรบั มติของพระเถระผ้ทู ำสังคายนาคร้ังท่ี ๑ แต่ถอื ตามคำสอนของ อาจารย์ของตน จึงเรียกวา่ อาจรยิ วาท๗ คนท่มี ีอาจารวิบตั ิ เรียกไดว้ ่า คนเสยี ความประพฤติ เพราะมีความประพฤติเสยี หายประพฤติ ผดิ ทำนองคลองธรรม ประพฤติทจุ รติ เป็นคนไมม่ ีมารยาท เชน่ ชอบเป็นนกั เลง นสิ ัยเกเร ชอบก่อความ เดอื ดร้อนใหผ้ ู้อ่ืน ชอบอบายมุขต่างๆ เปน็ คนเกยี จครา้ น ไม่ชอบทำงาน เป็นต้น คนที่มีอาจารวบิ ตั นิ นั้ ชื่อว่าเป็นคนเสยี คือเปน็ คนเสียคน และเป็นคนอาภัพคอื ไมเ่ หมาะทจี่ ะ บรรลถุ งึ ความสำเร็จหรอื ความเจริญก้าวหน้าเป็นคนเอาดีได้ยากในพระไตรปิฎกไดก้ ลา่ วถงึ เรอ่ื งศลี วบิ ัติ ดังนี้ ศลี วิบตั ิ ๕ ประการน้ี. ผทู้ ุศลี คอื ผทู้ ุศีล มศี ีลวบิ ัติ ในธรรมวนิ ัยน้ี ยอ่ มถึงความเสือ่ มโภคทรพั ย์ อย่างมากอันมีความประมาทเป็นเหตุ นเี้ ป็นโทษข้อท่ี ๑ ของคนทุศีล เพราะศีลวิบตั ิ อีกประการหนึ่ง ชอ่ื เสยี งทีช่ ั่วของผ้ทู ุศีล มีศลี วิบัตยิ ่อมฟ้งุ ไป น้เี ปน็ โทษข้อท่ี ๒ ของคนทศุ ีล เพราะศีลวิบตั ิอกี ประการ หนึง่ ผ้ทู ุศีล มีศีลวิบตั ิ จะเข้าสู่บริษทั ใด ๆ คือ ขัตติยบริษัทพราหมณบริษทั คฤหบดีบริษัท สมณบรษิ ัท ยอ่ มไม่องอาจ เก้อเขินเข้าไปนีเ้ ป็นโทษขอ้ ที่ ๓ ของคนทุศีล เพราะศลี วบิ ตั ิ อกี ประการหนึง่ คนทุศีล มี ศีลวิบตั ิ ยอ่ มเปน็ ผหู้ ลงกระทำกาละ นเ้ี ปน็ โทษข้อที่ ๔ ของคนทศุ ีล เพราะศลี วบิ ตั ิ อีกประการหนง่ึ คน ทศุ ลี มีศลี วิบัติ เม่ือตายไปย่อมเขา้ ถึงอบาย ทุคติ วนิ ิบาต นรก น้ีเปน็ โทษขอ้ ที่ ๕ ของคนทศุ ลี เพราะ ศีลวบิ ัติ ภิกษุทง้ั หลาย โทษของคนทุศลี เพราะศีลวิบัติ ๕ ประการน้แี ล.๘ ศีลวบิ ัติ ทิฏฐิวบิ ัติในธรรม ความก้าวล่วง วติ ิกกมะ ทางกาย ความกา้ วล่วงทางวาจา ความก้าว ล่วงท้ังทางกาย และทางวาจา. นีเ้ รียกว่าศลี วบิ ัติ. แมค้ วามเป็นผู้ทุศลี ทุกอยา่ ง ก็ช่ือวา่ ศีลวบิ ัติในธรรม เหล่านั้น ทิฏฐิวิบัติ ความเห็นอย่างนี้ว่า ทานไม่มี, การบริจาคไม่มี, การบูชาไม่มี, ผลวิบากของกรรมท่ี ทำดี ทำช่ัว ไม่มี, โลกน้ีไม่มี, โลกหน้าไม่มี, มารดาไม่มี, สัตว์โอปปาติกะ ๒ ไม่มี, สมณพราหมณ์ท่ี ประพฤติชอบปฏิบตั ิชอบ ซ่ึงรูแ้ จง้ ด้วยปญั ญาอันย่งิ เอง แล้วประกาศให้ทราบถึงโลกนี้ โลกหน้า ไมม่ .ี น้ี เรยี กวา่ ทฏิ ฐิวิบัติ. แมม้ ิจฉาทฏิ ฐ(ิ ความเหน็ ผิด) ทุกอยา่ ง ก็ชอื่ ว่าทิฏฐิวิบตั ิ. ศลี สัมปทา ทิฏฐิสมั ปทา๓ คอื ความไม่ก้าวล่วงทางกาย ความไมก่ า้ วล่วงทางวาจา ความไม่ ก้าวล่วงทั้งกายและวาจา. น้เี รยี กว่าศีลสมั ปทา. แม้ความสำรวมในศลี ทุกอยา่ ง ก็ช่อื ว่าศีลสัมปทา. ใน ธรรมเหล่าน้ัน ปญั ญาอย่างนี้วา่ ทานมี, การบรจิ าคมี, การบชู ามี, ผลวิบากของกรรมท่ีทำดี ทำช่ัวมี, โลกนม้ี ี, มารดาม,ี บิดาม,ี สัตว์โอปปาติกะมี, สมณพราหมณ์ทีป่ ระพฤติชอบ ปฏบิ ตั ิชอบ ซง่ึ รแู้ จง้ ด้วย ปญั ญาอนั ยง่ิ เอง แล้วประกาศใหท้ ราบถึงโลกน้ี โลกหนา้ มี. น้เี รยี กวา่ ทฏิ ฐิสมั ปทา แม้สัมมาทฏิ ฐิทกุ อยา่ ง ก็เรียกว่าทฏิ ฐสิ มั ปทา.๙ ๗ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต). พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท์, กรงุ เทพมหานคร : ๒๕๔๓, หน้า ๔๐๕. ๘ อง.ฺ ปญจฺ . ๓๖/๒๑๓ ๙ อภธิ มั มปฎิ ก สังคณี ๓๔/๓๓๖
๕๖ สรุปทา้ ยบท ตามท่ปี รากฏในคัมภรี ์มหาวงศ์และทปี วงศ์ นกิ ายที่ถือเปน็ อาจริยวาทมี ๑๘๑๐ ซงึ่ กจ็ ะเหลือ นกิ ายทีเ่ ห็นเป็นปจั จบุ นั บนั คอื ตามท่ีปรากฏในคัมภีร์มหาวงศ์และทปี วงศ์ นกิ ายท่ีถือเป็นอาจริยวาทมี ๑๘ นกิ าย มหาสังฆกิ ะ๑๑ เป็นนิกายหนงึ่ ในพระพทุ ธศาสนาทแ่ี ยกออกมาจากคณะสงฆ์ดงั้ เดมิ หรือฝา่ ย เถรวาทเมื่อครง้ั สงั คายนาครั้งท่ี ๒ โดยแยกตวั ออกไปทำสังคายนาต่างหาก ในระยะแรกนิกายน้ีไม่ได้ รุ่งเรืองมาก เน่ืองจากมีความขัดแยง้ กับฝา่ ยเถรวาทอยา่ งรุนแรง ตอ่ มาจงึ มีอทิ ธิพลที่เมอื งปาฏลีบุตร เว สาลี แคว้นมคธ ไปจนถึงอินเดียใต้ มนี กิ ายที่แยกออกไป ๕ นกิ าย คือ นิกายโคกุลกิ วาท นิกายเอกพั โย หาริกวาท นิกายปัญญตตกิ วาท นกิ ายพหุสสุติกวาท และนิกายเจติยวาท และถือเปน็ ต้นกำเนิดของ มหายานในปัจจุบัน พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, รศ.ดร.๑๒ ได้กล่าวถึงเร่ืองของความวิกฤตของความศรัทธาต่อ พระพทุ ธศาสนาไว้ดังนี้ ๑) ศรัทธาวิปริตจงึ กอ่ ใหเ้ กดิ วกิ ฤติศรทั ธา เพราะพทุ ธศาสนิกชนสนับสนุน หรือ ส่งเสริมในทิศทางท่ีไม่ถูกต้องจึงทำให้พระภิกษุยึดติดในวัตถุนิยมและบริโภคนิยม ๒) บุญวิปริต การ เน้นสอนเรื่องบุญที่เน้นเฉพาะตัวบุญแต่ขาดกุศล โดยแปลงบุญให้เป็นเรื่องของวัตถุนิยม และบริโภค นิยม แทนที่จะบุญจะเป็นสัญลักษณ์ของความสุขในฐานะท่ีเป็นเครื่องมอื สรา้ งความอ่ิมใจ และชำระใจ ๓) การสอนวิปริต พระภิกษุบางรูปเน้นสอนเรื่องอิทธิฤทธ์ิปาฏิหาริยม์ ากกว่าปาฏิหาริยแ์ หง่ ธรรม การ สอนให้มนุษย์ชื่นชมและกราบไหว้ส่ิงศักด์ิสิทธม์ิ ากกว่าตัวเอง ท้ังท่ีพระพุทธเจ้าทรงย้ำเตือนว่า “ในหมู่ มนุษย์ท้ังหลายผู้ท่ีฝึกตนดีแล้วเป็นผู้ประเสริฐที่สุด” เพราะมนุษย์ที่ฝึกแล้วสามารถเป็นครูของเทวดา และเทวดาช่ืนชมอาศัย ดังจะเหน็ ได้จากกรณีของพระพุทธเจา้ และอนาถปิณฑิกะเศรษฐี ๔) การใช้สื่อ ท่ีวิปริต สื่อไอทีต่างๆ ในปัจจุบันนี้ พระภิกษุและสามเณรจำนวนหนึ่งได้ใช้สื่อไอทีเป็นเคร่ืองมือใน การศึกษาธรรม และเผยแผ่ธรรม แต่มีพระภิกษุและสามเณรจำนวนหน่ึงเช่นเดียวกัน ใช้ส่ือไอทีโดย ขาดการรู้เท่าทัน และขาดการะมัดระวังทั้งการพูด สื่อข้อความ การนำเสนอภาพ และคลิปเสียงท่ีไม่ เหมาะสมแก่ความเป็นนักบวช จะเห็นว่า มีภาพและเสียงจำนวนมากท่ีพระภิกษุได้โพสต์หรือนำเสนอ ในพ้นื ทข่ี องอินเตอรเ์ น็ต เมือ่ ศึกษาดูแลว้ เหน็ ว่าการเส่ือมของยุควกิ ฤตของศาสนาด้านการศึกษาของพระพทุ ธศาสนา หลงั จากที่ประเทศอนิ เดยี เขา้ สูว่ กิ ฤตดา้ นศาสนานั้น ทำให้มองถงึ การท่พี ระพุทธศาสนาน้นั มีพ้ืนฐาน ๑๐ สชุ ีพ ปญุ ญานุภาพ, พระไตรปฎิ ก ฉบบั สำหรบั ประชาชน, พมิ พค์ ร้ังท่ี ๑๗, กรุงเทพฯ:มหามกฏุ ราช วทิ ยาลยั , ๒๕๕๐, หนา้ ๖๘๕-๖. ๑๑ ราชบณั ฑิตยสถาน, พจนานุกรมศพั ท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน, ราชบัณฑติ ยสถาน, ๒๕๔๘, หน้า ๓๒๙. ๑๒ พระมหาหรรษา ธมมฺ หาโส, รศ.ดร. ''สถานการณพ์ ทุ ธบริษทั ในสังคมไทย: ศรทั ธาวิปรติ หรอื วกิ ฤติ ศรทั ธา'' บทความวชิ าการ.๒๕๕๖.
๕๗ ของความเสื่อมด้านการศึกษาด้านการแตกแยกของนิกาย จนทำให้การถา่ ยทอดคำสอนของศาสนา เปน็ ไปในทิศทางท่มี ักจะเรียกวา่ อาจารวบิ ัติ พระสงฆ์ประพฤติย่อหย่อนทั้งด้านศีลจรยิ วัตร และข้อ วตั รปฏิบัติ
๕๘ คำถามท้ายบท ๑. จงอธบิ ายระบบของการศึกษาในสมัยพทุ ธกาล ๒. จงเปรียบเทยี บการศึกษานิกายเถรวาทและนิกายมหายาน พอสังเขป ๓. วธิ กี ารถา่ ยทอดพระธรรมวนิ ัย หลังพุทธปรนิ ิพพานมวี ิธกี ารอยา่ งไร ๔. การศึกษาสมยั พระเจ้าอโศกและพระเจา้ มิลินทรม์ ลี ักษณะอยา่ งไร ๕. มมี ลู เหตุใดท่ีทำให้มหาวิทยาลัยนาลนั ทาถูกทำลาย
๕๙ เอกสารอา้ งองิ ประจำบท พระไตรปฎิ กภาษาไทยฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย.กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั .๒๕๓๙. พระธรรมปิฎก (ประยทุ ธ์ ปยุตโต), พระพทุ ธศาสนาในอาเซีย. กรงุ เทพฯ: ธรรมสภา ๒๕๔๐. พระอดุ รคณาธกิ าร. ประวัตศิ าสตร์ พุทธศาสนาในอนิ เดยี , พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๒. กรงุ เทพมหานคร: ธรรมสภา, ๒๕๓๔. พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, รศ.ดร. ''สถานการณ์พุทธบรษิ ัทในสังคมไทย: ศรัทธาวปิ ริต หรอื วิกฤติ ศรทั ธา'' บทความวชิ าการ.๒๕๕๖. พระราชธรรมนิเทศ,(ระแบบ ฐิตญาโณ). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ. มหามกุฎราช วิทยาลยั , ๒๕๓๖. พระอุดรคณาธิการ (ชวนิ ทร์ สระคำ). ประวัตศิ าสตรพ์ ุทธศาสนาในอนิ เดยี . กรงุ เทพฯ: มหาจฬุ าลง กรณราชวทิ ยาลยั . พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๒, ๒๕๓๔. ๗. พอล, จันดาร์ ซาดีส. ความสมั พนั ธท์ างวฒั นธรรม ไทย- อินเดยี . กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลัย. ๒๕๓๗. สุชพี ปุญญานภุ าพ, พระไตรปฎิ ก ฉบบั สำหรับประชาชน, พิมพ์คร้งั ท่ี ๑๗, กรงุ เทพฯ:มหามกุฏราช วิทยาลยั , ๒๕๕๐. ราชบัณฑติ ยสถาน, พจนานกุ รมศัพทศ์ าสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน, ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๘. เสถียร โพธนิ นั ทะ. ประวตั ศิ าสตร์พระพุทธศาสนา ฉบบั มขุ ปาฐะ เลม่ ๑ กรุงเทพฯ: มหามกุฏราช วทิ ยาลยั . ๒๕๓๕.
๖๐ บทท่ี ๓ การศกึ ษาพระธรรมวนิ ัยระบบมขุ ปาฐะ พระมหาสุพจน์ สเุ มโธ อาจารย์ชนศิ ร์ ชเู ลอื่ น วัตถุประสงคก์ ารเรียนประจำบท เมื่อได้ศกึ ษาเน้ือหาในบทนแ้ี ล้ว ผูศ้ ึกษาสามารถ ๑. บอกความหมายของการศึกษาพระธรรมวนิ ยั ระบบมุขปาฐะได้ ๒. อธบิ ายความสำคัญของการศึกษาพระธรรมวนิ ยั ระบบมุขปาฐะได้ ๓. บอกจุดมงุ่ หมายของการศึกษาพระธรรมวินัยระบบมุขปาฐะได้ ๔. อธบิ ายลักษณะของการศกึ ษาพระธรรมวินัยระบบมุขปาฐะได้ ๕. เปรยี บเทียบขอ้ ดีและข้อจำกดั ของการศึกษาพระธรรมวินยั ระบบมุขปาฐะได้ ขอบขา่ ยเนื้อหา • ความหมายของการศึกษาพระธรรมวนิ ัยระบบมุขปาฐะ • ความสำคัญของการศึกษาพระธรรมวนิ ยั ระบบมุขปาฐะ • จุดม่งุ หมายของการศึกษาพระธรรมวนิ ัยระบบมุขปาฐะ • ลกั ษณะของการศกึ ษาพระธรรมวนิ ยั ระบบมขุ ปาฐะ • ขอ้ ดีและข้อจำกัดของการศกึ ษาพระธรรมวินยั ระบบมุขปาฐะ
๖๑ ๓.๑ ความนำ ในสมัยพุทธกาลยังไม่มีพระไตรปิฎก พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมวินัยหรือพรหมจรรย์เท่านั้น จะเห็น ได้ว่าในเวลาที่จะสง่ พระอรหันต์สาวก ๖๐ รปู ไปประกาศพระพุทธศาสนา ตรัสสงั่ ให้ไปประกาศพรหมจรรย์ อัน งามในเบอื้ งต้น คือ งามด้วยอธิศีลสิกขา งามในท่ามกลาง คือ งามด้วยอธจิ ิตสิกขา และงามในท่ีสดุ คืองามดว้ ย อธิปัญญาสิกขา และเมื่อจวนจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธองค์ก็ตรัสว่า\"ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัย ใด ท่ีเราได้แสดงแล้ว และได้บัญญัติแล้วแก่เธอท้ังหลาย ธรรมและวินัยนั้น จะเป็นศาสดาของเธอท้ังหลายเม่ือ เราตถาคตล่วงลับไปแล้ว\"๑ ชาวพุทธจึงถือเอาพระธรรมวินัยเป็นเสมือนตัวแทนพระศาสดา แต่เน่ืองจากพระ ธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ในสมัยยังทรงพระชนม์ชีพอยู่น้ันไม่ได้รับการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร จึงมีทางเป็นไปได้ว่าพระธรรมวินัยบางส่วนจะสูญหายไปภายหลังการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าถ้าไม่มี มาตรการเก็บรักษาที่ดี มาตรการในการเก็บรักษาพระธรรมวินยั เรียกว่า \"การสังคายนา\" หมายถึงการประชุม สงฆ์เพื่อจัดระเบียบหมวดหมู่พระธรรมวินัยท่ีพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้จนสรุปเป็นมติในท่ีประชุมว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้อย่างนี้ แล้วก็ได้ท่องจำสืบทอดต่อๆ กันมา การสังคายนาพระธรรมวินัยมีขึ้นหลาย ครั้งและการนับคร้ังของการสังคายนาก็แตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศท่ีนับถือพระพุทธศาสนา การ สังคายนาทที่ กุ ฝ่ายยอมรบั ตรงกนั ไดแ้ ก่ การสงั คายนา ๓ ครั้งในประเทศอินเดีย ได้มีการแบง่ พระธรรมวนิ ัยเป็น พระไตรปฎิ กอยา่ งชดั เจน แต่ยังเป็นระบบมุขปาฐะ ๓.๒ ความหมาย การศึกษาพระธรรมวินัยระบบมุขปาฐะคือการศึกษาที่มุ่งถึงการกล่าวหรือสวด หรือการสาธยายเป็น สำคัญ หากพิจารณาถึงรูปศัพท์ของคำว่า “มุขปาฐะ” ก็จะเห็นได้ว่ามาจากคำสองคำ คือ “มุข” ท่ีแปลว่า “ปาก” และคำว่า “ปาฐะ” ท่ีแปลว่า “กล่าว หรือ สวด” เมื่อนำคำทั้งสองมารวมกันจึงมีความหมายตาม ตวั อักษรว่า “การกล่าวหรือสวดด้วยปาก”ซึ่งการกล่าวหรือการสวดด้วยปากน้ีมีความหมายที่กว้าง และครอบ คลุมอยา่ งน้อย ๒ ฐานะ คอื ๓.๒.๑ ฐานะผเู้ รียน ในขณะท่ีอยู่ในฐานะเป็นผู้เรียนก็ต้องถึงพร้อมด้วยความมุ่งมั่น ขยันและตั้งใจท่ีรียกว่า “อุฏฐานสัมปทา” คือ ต้องเรียนพระธรรมวินัยด้วยวิธีการท่องจำด้วยตนเองให้แม่นยำขน้ึ ใจ และหมั่นทบทวน อยู่เนืองนิตย์ ท่ีเรียกว่า “อนุรักขสัมปทา” เพื่อไม่ให้ลืมความรู้ที่ได้เรียนมาน้ันเพ่ือที่จะนำไปสู่กระบวนการคิด ไตร่ตรอง วเิ คราะห์ หรอื สังเคราะห์ด้วยปญั ญาตอ่ ไปการปฏบิ ตั ิได้เชน่ นี้ถือเป็นเหตดุ ำรงมัน่ แหง่ พระสทั ธรรมคำ สอนของพระพุทธเจ้า ดังพุทธวจนะที่ได้ตรัสถึงเหตุแห่งความดำรงมั่น การไม่เส่ือมสูญแห่งพระสัทธรรมตอน หนง่ึ ท่ีวา่ “ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการ คือ การฟังธรรมโดยเคารพ ๑ การเรียนธรรมโดยเคารพ ๑ การ ทรงจำธรรมโดยเคารพ ๑ การใคร่ครวญอรรถแห่งธรรมที่ทรงจำไว้แล้วโดยเคารพและการรู้อรรถรู้ธรรมแล้ว ๑ ที.ม (ไทย).๑๐/๑๔๑/๑๗๘
๖๒ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมโดยเคารพเหล่านี้เป็นไปเพ่ือความดำรงม่ันไม่เสื่อมสูญไม่หายไป พระสัทธรรม”๒ คำว่าธรรม ๕ ประการ ในพุทธวจนะดังท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ พจิ ารณาอกี มิติหน่งึ น่ันก็คอื หน้าท่ีท่ผี ู้เรียนตอ้ งปฏิบัติ เพ่ือความดำรงมั่นแห่งพระสัทธรรมคอื ตัวพระพทุ ธศาสนาน่ันเอง ๓.๒.๒ ฐานะผู้สอน คร้ันพออยู่ในฐานะเป็นผู้สอนก็ต้องถ่ายทอดหรือบอกต่อให้ผู้เป็นศิษย์ได้เรียนรู้ ทรงจำต่อไป อย่างแม่นยำไมผ่ ิดพลาด กล่าวคือ เม่ือผู้เป็นอาจารยเ์ สยี ชวี ิตลง ผเู้ ปน็ ศิษย์กต็ ้องทำหน้าทีใ่ นฐานะอาจารย์ของ ผูอ้ ่ืนตอ่ ไป ดงั พุทธวจนะท่ีได้ตรสั ถงึ เหตแุ หง่ ความดำรงมัน่ ไมเ่ สื่อมสญู แห่งพระสัทธรรมตอนหนง่ึ ทีว่ ่า “ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ัยน้ี เรยี นธรรมคือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อติ วิ ุตตกะ ชาตกะ อัพภตู ธรรม และเวทลั ละ นี้เป็นธรรมประการที่ ๑ ย่อมเป็นไปเพอ่ื ความดำรงม่ัน ไม่เสื่อมสูญ ไม่หายไปแหง่ สทั ธรรม แสดงธรรมตามท่ีตนไดส้ ดบั มา ตามทีต่ นได้เรยี นมาแกผ่ ู้อื่นโดย พสิ ดาร นีเ้ ปน็ ธรรมประการที่ ๒ ยอ่ มเป็นไปเพอ่ื ความดำรงม่นั ไมเ่ ส่ือม สูญ ไมห่ ายไปแหง่ พระสัทธรรม บอกธรรมตามทตี่ นไดส้ ดับมา ตามทตี่ นไดเ้ รยี นมาแกผ่ ูอ้ ่นื โดย พิสดาร น้ีเปน็ ธรรมประการท่ี ๓ ย่อมเปน็ ไปเพอ่ื ความดำรงม่นั ไมเ่ สอ่ื ม สูญ ไมห่ ายไปแห่งพระสทั ธรรม ทำการสาธยายธรรมตามที่ตนไดส้ ดบั มา ตามที่ตนได้เรยี นมา โดยพสิ ดาร น้ีเป็นธรรมประการที่ ๔ ยอ่ มเปน็ ไปเพื่อความดำรงม่นั ไม่ เสือ่ มสูญ ไมห่ ายไปแห่งพระสัทธรรม ตรกึ ตาม ตรองตาม เพ่งตามด้วยใจซึ่งธรรมตามท่ีตนไดส้ ดบั มา ตามท่ตี นไดเ้ รียนมา น้เี ป็นธรรมประการท่ี ๕ ย่อมเป็นไปเพือ่ ความดำรง ม่นั ไมเ่ สอ่ื มสญู ไม่หายไปแห่งพระสัทธรรม” ๓ ดังนั้น การศึกษาพระธรรมวินัยระบบมุขปาฐะจึงมีความหมายคือ การศึกษาทใ่ี ช้ระบบการสอนโดยวิธี ปากต่อปาก หรือเป็นการถ่ายทอดด้วยปากจากบุคคลหนึ่งไปสู่บุคคลหนึ่ง ในท่ีนี้หมายถึงการถ่ายทอดจาก บุคคลผู้เป็นอาจารย์ไปสู่บุคคลผู้เป็นศิษย์ จากรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่อย่างต่อเน่ืองไม่ขาดสายเพราะเหตุน้ีการศึกษา พระธรรมวนิ ัยระบบมุขปาฐะจึงมีรูปแบบการศึกษาท่ีสำคัญอกี อย่างหน่ึงคือ “ ถือการฟังเป็นหลกั ” จะเหน็ ได้ จากการที่ผู้ที่ต้องการเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้า เมื่อเข้ามาบวชในพระธรรมวินัยก็จะต้องศึกษาคือฟัง ๒ อง.ปญฺจก.(แปล) ๒๒ /๑๕๔ / ๒๕๒-๒๕๓. ๓อง.ฺ ปญจฺ ก. (แปล) ๒๒ / ๑๕๕ / ๒๕๔-๒๕๕.
๖๓ คำแนะนำสั่งสอนจากพระพุทธเจ้า เมื่อฟังแล้วจึงได้ช่ือว่าพระสาวกซึ่งแปลว่า “ผู้ฟัง”นั่นเอง๔ เมื่อฟังและทรง จำอย่างแมน่ ยำแล้วจงึ ทำหนา้ ทีเ่ ปน็ อาจารย์ถ่ายทอดให้กบั ผ้เู ปน็ ศิษย์ของตนไดจ้ ดจำเป็นลำดบั ต่อไป การศึกษาด้วยระบบมุขปาฐะนถ้ี ือเป็นรปู แบบการเรียนหรอื การศึกษาท่ีนิยมปฏิบัติกันในสังคมอินเดีย โบราณ ซ่ึงจากหลักฐานที่ปรากฏในคัมภีร์ เช่น คัมภีร์ธรรมบทหรือคัมภีร์อรรถกถาพระวินัยปิฎก เป็นต้น ก็ แสดงให้เห็นว่า การใช้อักษรเพ่ือการสื่อสารมีมานานแล้ว แต่การใช้อักษรเพ่ือการศึกษาหรือบันทึกคัมภีร์ทาง ศาสนาจะไม่เป็นที่นิยมปฏิบัติกัน เพราะประเพณีการไม่นิยมจารึกพระธรรมคำสอนท่ีถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ิหรือ ควรเคารพลงเป็นลายลักษณ์อักษรนัน้ เป็นธรรมเนียมนิยมของชาวอินเดียมาแตโ่ บราณกาล แม้ในกลุม่ ของพวก พราหมณ์เองก็ยังนิยมท่องจำบทพระธรรมกันอย่างแพร่หลาย๕ ซ่ึงคตินิยมดังกล่าวนี้ก็มีการสืบทอดกันมา ตามลำดับในสังคมชาวพุทธจนถึงยุคท่ีมีการบันทึกคัมภีร์ลงในใบลานกระนั้นก็ตาม แม้เข้าสู่ยุคที่มีการบันทึก คัมภีร์ด้วยอักษรแล้ว ก็ยังมีกลุ่มชาวพุทธในบางประเทศหรือบางสังคมนิยมใช้วิธีการมุขปาฐะกันอยู่ ดังเช่น ชาวพุทธหรอื พระสงฆ์ในประเทศพม่าท่ียังคงนิยมท่องพระคัมภีร์อย่างแพร่หลาย หรือในกลุ่มชาวพุทธไทยบาง คนก็ยังยึดคติไม่นิยมบันทึกภาษาศกั ดิ์สทิ ธิ์ที่ตัวเองถือเปน็ ความเชือ่ สว่ นตัวไว้ด้วยอกั ษร แต่เลือกที่จะเก็บรักษา ด้วยความจำไว้ในใจซ่ึงต้องทบทวนด้วยระบบมุขปาฐะอยู่เนือง ๆ ด้วยความคิดกังวลต่าง ๆ เช่น มีความคิดว่า หากบนั ทึกภาษาศักดิส์ ิทธ์ไิ ว้ดว้ ยอกั ษรแล้วไปวางหรอื เกบ็ ไวใ้ นทีอ่ ันไม่เหมาะสมดว้ ยความเลินเลอ่ แล้วก็อาจทำ ใหภ้ าษาศกั ด์สิ ทิ ธิ์น้ันเสือ่ มความเข้มขลังได้ เปน็ ตน้ ๓.๓ ความสำคัญ ในสังคมชาวพุทธตั้งแต่อดตี จนถึงปัจจุบัน การศึกษาพระธรรมวินัยจะมาควบคู่กับการรกั ษาพระธรรม วินัย ทั้งสองมีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก และท้ังสองประการก็อยู่ในฐานะเป็นหน้าที่ท่ีพุทธบริษัท โดยทั่วไปต้องปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภิกษุบริษัทที่อยู่ในฐานะกลุ่มผู้นำในการรักษาพุทธศาสนา กล่าวคือ ภิกษุบริษัทต้องศึกษาเพ่ือสืบทอดพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตาม ความหมายของคำว่าการศึกษาท่ีใช้กับภิกษุ บริษัทนี้ไม่ได้มีความหมายเพียงแค่เป็นการศึกษาให้เข้าใจสาระของตัวบทของคำสอนเท่าน้ัน แต่หมายรวมถึง การลงมือปฏิบัติตามไตรสิกขาในฐานะเป็นหน้าท่ีอีกด้วย๖ซึ่งหากพิจารณาอีกนัยหนึ่งก็อาจกล่าวได้ว่าในทาง พระพุทธศาสนาถือว่าการศึกษากับการรักษาพระธรรมวินัยเป็นสิ่งเดียวกัน เพราะหากพิจารณาในเชิงตรรกะ แล้ว ก็จะเห็นได้ว่า หากเป็นการศึกษาในแง่ปฏิบัติ คือปฏิบัติในไตรสิกขาตามลำดับจนเกิดปฏิเวธ ( คือ ผล จากการปฏบิ ัติ ) แล้ว กเ็ ท่ากับรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้เพราะเปน็ ผ้ทู ี่เข้าใจและเข้าถึงแก่นของคำสอนจนทำ ให้ความเป็นพุทธะเกิดมีในตัวผู้ศึกษาปฏิบัติน่ันเอง ในส่วนการศึกษาในแง่ตัวบทให้เข้าใจถ่องแท้จนสามารถ ๔ พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต ), ความสำคัญและการรักษาพระไตรปิฎก ใน เก็บเพชรจากพระไตรปิฎก, ( กรุงเทพ ฯ : โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๒ ) ,หนา้ ๑๗. ๕ เสถียร โพธินันทะ, ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพุทธศาสนา, ( กรุงเทพ ฯ : โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวิทยาลยั ,๒๕๔๓), หนา้ ๗๒. ๖ พทุ ธทาสภิกขุ, ศกึ ษาธรรมะอย่างถกู วิธี, ( กรงุ เทพ : สำนกั พิมพส์ ขุ ภาพใจ, ๒๕๐๐ ),หนา้ ๑๐๕
๖๔ เรียกได้ว่าเป็นนักปราชญ์ทางพุทธศาสนา ก็มีความหมายเท่ากับรักษาพระพุทธศาสนาเช่นกัน กล่าวคือ เมื่อ ศกึ ษาอยา่ งเข้าใจถอ่ งแท้แล้ว ก็สามารถถ่ายทอดหรือแนะนำผู้อนื่ ได้อย่างถูกต้อง สามารถเปน็ ทีพ่ ึ่งทางวิชาการ ได้ อันเป็นเหตนุ ำมาซ่ึงความศรัทธาเชอ่ื ม่ันจนนำไปสู่การช่วยกันพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ตอ่ ไป กล่าวอีกนัยหน่ึงได้ว่าปัจจัยสำคัญท่ีจะเป็นเหตุให้พระธรรมวินัยหรือพระพุทธศาสนาอยู่รอดได้คือการศึกษา หลกั คำสอนของพระพุทธเจา้ อยา่ งไรกต็ าม การศึกษาพระธรรมวนิ ัยไม่ไดเ้ พิง่ มีความสำคัญหรือเร่ิมมีความสำคญั ในยคุ หลังการเสดจ็ ดับขันธปรินพิ พานของพระพุทธเจ้าเทา่ นั้น แต่เร่มิ มคี วามสำคญั นับต้ังแตส่ มยั พุทธกาลแล้ว ซ่ึงในสมัยพุทธกาล ระบบการศกึ ษาพระธรรมวินยั ยงั เปน็ ระบบมุขปาฐะ คอื มีรปู แบบทีเ่ นน้ การถา่ ยทอดจากบุคคลหน่งึ ไปสู่บุคคล หนง่ึ โดยอาศยั อวัยวะเพียง ๒ สว่ นคือ ปากกบั หเู ป็นสำคัญ ซง่ึ การศึกษาพระธรรมวนิ ยั ระบบมขุ ปาฐะกลา่ วได้ ว่ามนี ัยความสำคัญท่พี อประมวลไดด้ ังนี้ ๓.๓.๑ ชว่ ยใหเ้ กดิ ความสามัคคี ในหวั ขอ้ การศึกษาพระธรรมวินยั โดยระบบมขุ ปาฐะเปน็ แหล่งเกดิ ความสามัคคีน้ี อาจแบ่ง กลา่ วไดเ้ ป็น ๒ ชว่ ง คือ ๑.ช่วงก่อนปฐมสังคายนา ช่วงก่อนปฐมสังคายนาในท่ีน้ี หมายเอาช่วงเวลาท่ีพระพุทธองค์ยังทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่ จะเห็นได้ว่ารูปแบบการศึกษาพระธรรมวินัยโดยระบบมุขปาฐะตามที่ปรากฏในคัมภีร์ เป็นบ่อเกิดแห่งความ สามัคคีของคณะสงฆ์ เพราะการทรงจำพุทธพจน์ในสมัยพุทธกาลเป็นหน้าท่ีท่ีพระสงฆ์จะต้องช่วยกันแบ่งเบา ซึ่งจะเห็นได้จากการท่ีพระสาวกในสมัยพุทธกาลมีการแบ่งเบาภาระการทรงจำพระธรรมวินัย หรือท่ีเรียกว่า นวังคสัตถุศาสนก์ ัน บางรปู เลือกทรงจำเฉพาะคาถา หรือไวยากรณ์ หรือ เคยยะ เป็นตน้ บางรปู เป็นผู้มีปัญญา หรือความทรงจำดี ก็อาจทรงจำไว้ท้ัง ๙ หมวด๗พระเถระที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี เช่น พระอุบาลีก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้ทรงจำพระวินยั หรือพระอานนท์เองก็ได้ชื่อวา่ เป็นผู้ทรงจำพระสตู รและพระอภิธรรม จนเป็นเหตุให้ท่าน ท้ังสองได้เป็นกำลังสำคัญในการทำสังคายนาคร้ังที่หนึ่ง ในฐานะเป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูลพุทธพจน์ จาก พระโอฏฐ์ของพระพุทธเจ้า โดยท่ีสุดคือพระสารีบุตรผู้ได้สมญานามว่า “พระธรรมเสนาบดี” คือผู้เป็นใหญ่ใน ธรรม เป็นผู้รู้ เข้าใจในธรรมวนิ ัยของพระพุทธองค์ท้ังโดยอรรถและพยัญชนะก็ได้ผ่านการศึกษาพระธรรมวินัย โดยระบบมุขปาฐะจากพระพุทธองค์โดยตรง โดยเหล่าพระสาวกท่ีกล่าวถึงนี้เม่ือได้ศึกษาพระธรรมวินัยจาก พระพุทธเจ้าแล้วก็ต่างช่วยกันถือเป็นภารธุระของตนในการช่วยกันทรงจำพระพุทธพจน์และเผยแผ่คำสอน ให้กับสังคมในยุคน้ันจนกลายเป็นจุดเด่นของแต่ละท่านและทำให้ท่านเหล่านั้นได้รับการยกย่องที่เรียกว่า ๗เสถียร โพธนิ ันทะ, ประวตั ิศาสตร์พระพทุ ธศาสนา, กรุงเทพฯ: โรงพิมพม์ หามกฏุ ราชวิทยาลยั ,๒๕๔๓,หนา้ ๗๔.
๖๕ “เอตทัคคะ” ในด้านต่างๆซึ่งความสามัคคีท่ีเกิดขึ้นกล่าวได้ว่าเป็นผลพวงจากความนิยมในการเก็บรักษาหลัก ธรรมคำสอนของพระศาสดาดว้ ยการทรงจำของชาวอินเดยี สมยั โบราณ ๒. ช่วงระหว่างและหลังปฐมสังคายนา ช่วงระหว่างและหลังปฐมสังคายนาในที่น้ี หมายเอาช่วงเวลาต้ังแต่ท่ีมีการทำปฐมสังคายนา จนถึงยุคท่ีมีการบันทึกคัมภีร์เป็นตัวอักษร โดยในช่วงน้ีจะเห็นได้ชัดว่าท้ังในช่วงระหว่างเวลาท่ีมีการทำปฐม สังคายนาและหลังจากการสังคายนาเสร็จสิ้นแล้วจนถึงยุคท่ีมีการบันทึกคัมภีร์เป็นตัวอักษร การศึกษา พระธรรมวินัยอันหมายถึงการดำรงอยู่ได้ของพระศาสนาต้องอาศัยความสามัคคีเป็นท่ีต้ัง เร่ิมตั้งแต่การที่คณะ สงฆ์หรือพระสาวกซึ่งเป็นพระอรหันต์จำนวน ๕๐๐ องค์ร่วมแรงร่วมใจกันทำสังคายนาพระธรรมวินัยให้เป็น ระบบแล้วทำความเข้าใจหรือทรงจำพระธรรมวินัยอย่างถูกต้องตรงกัน โดยการสวดทบทวนพระไตรปฎิ กอย่าง พร้อมเพรียงกัน๘ จนถึงยุคที่มกี ารทำปฐมสังคายนาเสร็จสนิ้ แล้ว กล่าวคอื เม่ือคณะสงฆ์มีการทำสังคายนาเสร็จ ส้ินแล้ว พระสาวกแต่ละท่านก็ต้องถือเป็นภารธุระในการต้องศึกษาพระธรรมวินัย โดยการทรงจำตัวบทแล้ว นำไปถ่ายทอดให้กับศษิ ยข์ องตน ๆ อย่างถูกตอ้ งต่อไปจากรุ่นส่รู นุ่ ดงั เช่นกรณีของพระโมคคัลลีบุตรตสิ สเถระผู้ ได้เป็นกำลังสำคัญในการทำสังคายนาคร้ังที่ ๓ ก็ได้สืบเชื้อสายการศึกษาพระวินัยมาจากศิษย์ของพระอุบาลี เถระเช่นกัน๙ซ่ึงภาระทพ่ี ระสาวกตอ้ งช่วยกนั แบง่ เบานถ้ี ือเป็นงานของสว่ นรวม โดยเฉพาะพระสาวกระดับพระ เถระผู้อยใู่ นฐานะเป็นผนู้ ำของหม่คู ณะจะตอ้ งช่วยกันดูแลรกั ษาอยา่ งดียิ่ง๑๐ ๓.๓.๒ ช่วยให้เกิดความน่าเชื่อถือ การศึกษาพระธรรมวินยั โดยระบบมขุ ปาฐะถือเปน็ บุพพบทแห่งการศึกษาพระธรรมวนิ ัยด้วย ตวั อกั ษร การบันทึกคำสอนของพระพุทธเจา้ ลงเปน็ อกั ษร จะไมส่ ามารถมีความถูกต้องได้หากการเก็บรักษา พระธรรมวนิ ยั ดว้ ยระบบมขุ ปาฐะมีความคลาดเคล่ือน อย่างไรกต็ ามการสบื ทอดพระธรรมคำสอนดว้ ยระบบมุข ปาฐะถือกันว่ามีความถูกต้องแม่นยำสูงกวา่ การสืบทอดรักษาดว้ ยตัวอักษร พระธรรมปิฎก ( ป.อ. ปยตุ ฺโต ) ได้ แสดงทรรศนะเกีย่ วกับความน่าเชือ่ ถอื ของระบบการสบื ต่อพระไตรปิฎกด้วยระบบมขุ ปาฐะไวว้ ่า “การรกั ษา ( พระไตรปฎิ ก ) ดว้ ยการทอ่ ง โดยการสวดแล้วทรงจำไว้ น่นั แหละเป็นวธิ ีที่แม่นยำย่ิงกว่ายคุ ทีจ่ ารึกเปน็ ลายลกั ษณ์อักษร ท่วี ่าอยา่ งนน้ั เพราะอะไร ? เพราะวา่ การท่องทีจ่ ะทรงจำพระไตรปิฎกหรือคำสั่งสอนของ พระพทุ ธเจ้าท่ีเรียกวา่ ธรรมวนิ ยั น้ัน ทา่ นทำดว้ ยวธิ ีสวดพรอ้ มกัน คือ คลา้ ยกับ ๘การสวดพระธรรมวนิ ัยอย่างพรอ้ มเพรยี งกันคอื ความหมายของคำว่า “สังคายนา” ๙พระครูกลั ยาณสิทธิวัฒน์ ( สมาน กลฺยาณธมฺโม ),เอตทคั คะในพระพทุ ธศาสนา,( กรงุ เทพ ฯ : โรงพิมพ์ บริษทั สหธรรมกิ จำกดั , ๒๕๔๖ ), หน้า ๖๓. ๑๐ พระธรรมปฎิ ก ( ป.อ. ปยุตโฺ ต ), ความสำคัญและการรกั ษาพระไตรปฎิ ก ในเกบ็ เพชรจากคมั ภรี ์พระไตรปฎิ ก, ( กรงุ เทพ ฯ : โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๒ ), หนา้ ๒๙.
๖๖ ท่ีเราสวดมนต์กันทุกวนั นีแ้ หละ เวลาสวดมนตพ์ ร้อมกัน เช่นสวดกัน ๑๐ คน ๒๐ คน ๕๐ คน ๑๐๐ คนนนั้ จะตอ้ งสวดตรงกนั หมดทุกถ้อยคำ จะตกหลน่ ตดั ขาดหายไปก็ไมไ่ ด้ จะเพิ่มแม้คำเดียวก็ไม่ได้ เพราะจะขัดกัน ดีไม่ดกี ็สวดล่มไปเลย เพราะฉะนนั้ การทีจ่ ะสวดโดยคนจำนวนมาก ๆ ใหเ้ ปน็ ไปดว้ ยดี ให้ สอดคลอ้ งกลมกลืนกนั กจ็ ะต้องสวดเหมือนกนั หมด ท่านจึงรักษาคำสัง่ สอน ของพระพุทธเจา้ ไวด้ ว้ ยวธิ นี ้ี คอื ทรงจำพระไตรปฎิ กดว้ ยวิธีสวดพร้อมกนั จำนวนมาก ๆ” ๑๑ การสบื ทอดรักษาพระธรรมคำสอนด้วยระบบมุขปาฐะกลา่ วอกี นยั หน่ึงก็คือการเก็บรักษาพระธรรม วนิ ัยด้วยการทรงจำ โดยอาศัยการสวดสาธยายอนั เป็นการทบทวนอยู่เนือง ๆ ซงึ่ สามารถกล่าวถึงคุณปู การได้ อย่างน้อย ๒ ประการ คือ ๑.ช่วยรักษาความถูกต้องเพราะการทรงจำท่ีมกี ารสวดสาธยายทบทวนอยูเ่ นืองนิตย์ย่อมไม่มี ความคลาดเคลื่อนผิดพลาด ยิ่งเป็นการทรงจำของพระอรหันต์เถระผู้มีสติสมบูรณ์ด้วยแล้วก็ยิ่งมีความถูกต้อง แมน่ ยำ ปราศจากความคลาดเคล่ือน ๒.มีความม่ันคงกว่าการอาศัยตัวอักษร เพราะเป็นการเก็บรักษาพระธรรมคำสอนไว้กับคน โดยตรง หากจะมกี ารสูญหายก็หมายความว่าต้องสูญหายไปกับผู้ทรงจำรักษา ในขณะที่หากพระธรรมคำสอน อยู่ในรปู ตัวอกั ษร ชว่ ยให้เกดิ ความศรัทธาและการยอมรับ หากมีการถกู ทำลายหรอื สญู หาย พระธรรมคำสอนก็ สญู หายไปกบั อักษรนั้นด้วย ๓.๓.๓ ชว่ ยให้เกิดการรกั ษาความศรทั ธาและการยอมรับ ดังทไี่ ด้กลา่ วแลว้ ว่าในสมัยพทุ ธกาลลักษณะการเรียนคำสอนหรือพระคมั ภรี ์ทางศาสนานิยมท่ี จะเรียนรู้ในรูปแบบมุขปาฐะ ผู้เรียนจะต้องทรงจำตัวบทของคำสอนจากผู้เป็นอาจารย์ คร้ันทรงจำไว้ได้แล้วก็ จึงหมั่นสาธยายหรือทบทวนพระคัมภีร์ด้วยตนเอง ลักษณะการเรียนดังกล่าวถือเป็นค่านิยมร่วมสมัยของชาว อินเดียโบราณโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมของผู้นับถือศาสนาพราหมณ์ที่นิยมสาธยายมนต์หรือคัมภีร์พระเวท กนั เพราะการสาธยายมนตถ์ ือเปน็ กจิ อยา่ งหนง่ึ ที่พราหมณจ์ ะต้องปฏบิ ตั ิ พระพุทธศาสนาในฐานะท่ีอยู่ร่วมกับสังคมที่นิยมสวดสาธยายมนต์จึงได้ยึดรูปแบบมาปฏิบัติด้วย ซึ่ง ความนิยมในรูปแบบปฏิบัติดังกล่าวอยู่บนฐานแห่งความเชื่อศรัทธา ความยอมรับ และความเคารพต่อพระ ธรรมอันเป็นคำสอนแห่งลัทธิตน รปู แบบปฏิบตั ิดังกลา่ ว นอกจากศาสนิกจะปฏิบตั ิด้วยความเชื่อศรัทธาของตน แลว้ ยงั เปน็ เหตุนำมาซ่ึงความเลือ่ มใสศรทั ธาหรอื เป็นที่ยอมรบั ของผพู้ บเห็นอกี ดว้ ย ดงั พุทธพจน์ที่ตรัสถึงเหตุน้ี วา่ ๑๑เร่อื งเดียวกัน, หนา้ ๒๘
๖๗ “ สงฆพ์ ร้อมเพรยี งกนั ชนื่ ชมกัน ไมว่ ิวาทกัน มอี ุทเทสท่ีสวด รว่ มกัน อยูผ่ าสกุ เมื่อสงฆ์พร้อมเพรียงกนั จงึ ไมม่ ีการดา่ กัน ไม่มีการ บริภาษกัน ไม่มีการใส่ร้ายกัน ไม่มีการทอดทงิ้ กัน หมคู่ นท่ียงั ไม่เล่ือม ใสในสงฆน์ น้ั ก็เลื่อมใส และหมูค่ นทเี่ ลื่อมใสแลว้ ก็เล่ือมใสย่ิงขึน้ นีเ้ ป็น ธรรมประการที่ ๕ ยอ่ มเป็นไปเพอ่ื ความดำรงมั่น ไมเ่ ส่ือมสูญ ไมห่ ายไปแหง่ พระสทั ธรรม” ๑๒ ๓.๓.๔ ชว่ ยให้เกดิ ความใกลช้ ดิ ผกู พนั ระหวา่ งศิษยก์ ับอาจารย์ รปู แบบการศึกษาด้วยระบบมุขปาฐะทำใหเ้ กิดความผกู พันใกล้ชิดระหว่างผู้เป็นศิษย์กับผู้เป็น อาจารย์ ความใกล้ชิดนไ้ี ม่เพยี งแต่จะทำใหผ้ เู้ ป็นศษิ ย์ได้เรยี นรู้พระธรรมคำสอนจากผู้เป็นอาจารย์เท่านั้น แต่ยัง มีความหมายถึงการเป็นจดุ เริ่มต้นท่ีจะทำให้ผ้เู ป็นศิษยก์ ้าวไปสกู่ ารพัฒนาตนเองให้บรรลถุ งึ คุณธรรมเบื้องสูงอีก เพราะผู้เปน็ อาจารย์ได้ดำรงตนอยู่ในฐานะเป็นกัลยาณมิตรคอยใหค้ ำปรึกษาแนะนำเรือ่ งการปฏิบัติในแนวทาง ที่ถูกต้อง ซึ่งแนวทางเช่นน้ีต้องอาศัยวิธีการแบบมุขปาฐะ คือต้องอาศัยการได้ยินได้ฟังคำแนะนำที่ถูกต้อง (ปรโตโฆสะ)จากผรู้ ู้คืออาจารยท์ ี่คอยทำหนา้ ที่เป็นกัลยาณมิตร อาจกลา่ วได้ว่าการศกึ ษาด้วยระบบมุขปาฐะถือ เป็นวิธีการท่ีอยู่ในกระบวนการศึกษาพัฒนาตนตามแนวพุทธ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับคำสำคัญอีก ๓ คำ คือ กัลยาณมิตร ปรโตโฆสะและพหูสูตหรือพาหุสัจจะ รวมเป็น ๔ ประการซึ่งจะมีความสัมพันธ์กันอย่างแยก ไม่ออก หากขาดอยา่ งใดอย่างหน่ึงกระบวนการเรียนรู้ทม่ี ีประสิทธิผลก็ไม่สมั ฤทธิห์ รือเกดิ ข้ึนได้ซึ่งองคป์ ระกอบ ท้ัง ๔ สามารถแยกกล่าวในลักษณะของความเป็นเหตุเป็นผลได้คือ กัลยาณมิตร ปรโตโฆสะ และ มุขปาฐะ เปน็ กระบวนการอันเปน็ เหตทุ ่นี ำไปสผู่ ลคือพหูสูตหรือพาหุสัจจะ กลา่ วคือเพราะมีบุคคลผู้เปน็ กัลยาณมิตรคอย ทำหนา้ ทเี่ ป็นปรโตโฆสะคือคอยบอกกล่าวในสิ่งทถ่ี กู ต้องด้วยมุขปาฐะให้แก่บุคคลผูอ้ ยู่ในฐานะผู้ศึกษาได้ทรงจำ และผู้ศึกษานั้นเมื่อทรงจำแล้วก็ได้ทบทวนสาธยายโดยระบบมุขปาฐะด้วยตนเองอีกทอดหนึ่ง จนเป็นเหตุให้ บุคคลน้ันเป็นพหูสูตหรือพาหุสัจจบุคคล คร้ันโอกาสเอื้ออำนวย บุคคลผู้เป็นพหูสูตนั้นก็ได้ทำหน้าที่เป็น อาจารยใ์ นกระบวนการเดยี วกบั ทไี่ ดก้ ลา่ วข้างต้นให้กบั บุคคลอน่ื ในโอกาสตอ่ ๆ ไป ๓.๔ จดุ มุ่งหมายของการศกึ ษาพระธรรมวินยั ระบบมุขปาฐะ การสืบทอดหรือการศึกษาพระธรรมวินัยระบบมุขปาฐะในสมัยพุทธกาลถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่าง ย่ิง พระพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญกับการสืบต่อพระธรรมวินัยอันเป็นคำสอนของพระองค์ แม้พระสาวก ทั้งหลายก็เขา้ ใจถงึ เจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างดี อย่างไรกต็ าม การสบื ทอดหรือการศึกษาพระธรรม วินัยในสมัยพุทธกาลแม้จะปรากฏว่ามีการศึกษาด้วยตัวอักษรแล้ว แต่ประเพณีนิยมในการศึกษาก็ยังเป็น ๑๒ อง.ปญฺจก. ๒๒ /๑๕๖ / ๒๕๘.
๖๘ รปู แบบมุขปาฐะ ดังน้ันหากพิจารณาในแง่จุดมุ่งหมายของการศึกษาพระธรรมวินัยด้วยระบบมุขปาฐะ แยกได้ เป็น ๒ ประการ คือ ๓.๔.๑ จุดมุ่งหมายหลกั เพ่ือความดำรงม่ันแห่งพระธรรมวินัย ดังพุทธพจน์ท่ีตรัสถึงเหตุแห่งความดำรงม่ันแห่งพระ สทั ธรรม ๕ ประการในข้อที่ ๑ และขอ้ ท่ี ๓ ทว่ี ่า “ภกิ ษุเล่าเรียนพระสูตรทเ่ี ลา่ เรยี นมาดี ด้วยบทพยญั ชนะที่สืบทอดกนั มาดี แม้อรรถแหง่ บทพยญั ชนะทสี่ ืบทอดกันมาดี กช็ ื่อวา่ เป็นการสืบทอดขยายความดี นเี้ ปน็ ธรรมประการที่ ๑ ย่อมเปน็ ไปเพ่ือความดำรงม่นั ไมเ่ ส่ือมสูญไมห่ ายไป แห่งพระสัทธรรม” “ภกิ ษุเป็นพหสู ตู เรียนจบคัมภรี ์ ทรงธรรม ทรงวนิ ัย ทรงมาตกิ า ถา่ ยทอดสตู รแกผ่ ู้อ่ืนโดยเคารพ เมื่อภิกษุเหล่านน้ั ล่วงลับไป สูตรไมข่ าดรากฐานมีท่พี ึง่ อาศัย นเี้ ป็นธรรมประการท่ี ๓ ย่อมเป็นไปเพื่อความดำรงมน่ั ไม่เสือ่ มสญู ไมห่ ายไปแหง่ พระสทั ธรรม” ๑๓ อยา่ งไรกต็ ามจุดม่งุ หมายหลกั ของพระสัทธรรม อันได้แก่ เพื่อความดำรงมนั่ แหง่ พระธรรมวินยั นี้ ก็มีความหมายครอบคลุมถึงจุดมุ่งหมายขนั้ สูงอนั ได้แกเ่ พื่อการบรรลุธรรมหรอื ท่ีเรยี กว่า“วมิ ุตติ”ดังพุทธดำรสั ท่ี ไดต้ รัสไวต้ อนทว่ี ่า “ภิกษุท้ังหลาย สมั มาทิฎฐิ อันมีองค์ ๕ สนบั สนุนแล้ว ย่อมมีเจโตวิมตุ ตเิ ปน็ ผล มีเจโตวิมุตติเป็นผลานิสงส์ และมปี ัญญาวิมตุ ติเป็นผล มีปัญญาวิมุตติเป็นผลานิสงส์ องค์ ๕ ประการ คือ ศีล สตุ ะ สากจั ฉา สมถะและวปิ สั สนา” ๑๔ พระพุทธดำรัสข้างต้นได้แสดงความหมายให้เห็นว่าองค์ธรรม ๕ ประการ หนึ่งในนั้น คือ การได้ยินได้ ฟงั (สุตะ) เป็นส่วนสำคัญของระบบมขุ ปาฐะซึ่งเปน็ ธรรมสนับสนุนให้เข้าถึงวิมตุ ติคอื การหลดุ พ้น อย่างไรกต็ าม คำว่า สุตะ ในพุทธดำรัสข้างต้นนั้น คัมภีร์ฎีกาแห่งอังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาตได้อธิบายว่าหมายถึงการฟังที่ เปน็ สัปปายะ หรอื สมดังพระพทุ ธดำรสั ตอนหนงึ่ ที่ว่า “ ภกิ ษุท้ังหลาย เหตปุ จั จยั คือ ความเป็นพหสู ตู ทรงสุตะ สัง่ สมสุตะ เป็นผู้ไดฟ้ งั มากซง่ึ ธรรมทั้งหลายท่มี ีความงามในเบื้องต้น มีความงาม ในท่ามกลางและมคี วามงามในทีส่ ดุ ประกาศพรหมจรรย์พร้อมท้งั อรรถ และพยัญชนะ บริสุทธิ์บรบิ รู ณค์ รบถว้ น ทรงจำไว้ได้ คล่องปากขนึ้ ใจ ๑๓อง.ปญฺจก. ๒๒ /๑๕๖ / ๒๕๗. ๑๔อง.ปญฺจก. ๒๒/๒๕/๓๑-๓๒.
๖๙ แทงตลอดด้วยดี ดว้ ยทิฏฐิ นเี้ ป็นเหตปุ จั จยั ท่เี ป็นไปเพ่ือไดป้ ัญญาอนั เปน็ เบ้ืองตน้ แห่งพรหมจรรย์ทย่ี ังไม่ได้ เพื่อภญิ โญภาพไพบลู ยเ์ จรญิ เตม็ ท่แี ห่งปัญญาทีไ่ ด้แล้ว” ๑๕ พระพุทธดำรัสข้างต้นน้ีแสดงให้เห็นว่าความเป็นพหูสูตของพระสาวกหรือการที่พระสาวกเป็นผู้ทรง สุตะได้ยินได้ฟังมามากอันเป็นส่วนประกอบหน่ึงของระบบมุขปาฐะน้ันเป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดเป็นปัญญาใน ที่สดุ ๓.๔.๒ จดุ มุ่งหมายรอง จดุ มุ่งหมายรอง เป็นส่วนย่อยของจุดมุ่งหมายหลัก เช่น เพื่อให้เกิดการเคารพหรือยอมรับกัน ในหมู่พระสาวก กล่าวคือ ในสมัยพุทธกาลการท่ีพระสาวกองค์ใดเป็นผู้มีสุตะมากหรือเป็นพาหุสัจจบุคคลนั้น ถือเป็นเหตุนำมาซ่ึงการยอมรับและได้รับการเคารพจากพระสาวกด้วยกัน ดังพระพุทธดำรัสที่ได้ตรัสไว้ตอน หนึง่ ว่า “ ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุผู้เถระประกอบด้วยธรรม๑๖คือ เป็นพหูสูต ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ ได้ฟังมากซึ่งธรรมท้ังหลายที่มีความงามในเบ้ืองต้นมีความงามในท่ามกลาง มีความงามในท่ีสุด ประกาศ พรหมจรรย์พร้อมอรรถและพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วน แล้วทรงจำไว้ได้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอด ดว้ ยดี ดว้ ยทฏิ ฐิ ยอ่ มเปน็ ทีร่ ัก เป็นทพี่ อใจ เป็นทเ่ี คารพ และเปน็ ท่ยี กยอ่ งของเพือ่ นพรหมจารี” ๑๗ จากพระพทุ ธดำรัสข้างต้นอาจวเิ คราะห์หรือพิจารณาให้เห็นได้ว่า หากในหมู่พระสาวกมีการแสดงการ ยอมรับและเคารพยกย่องกันด้วยเหตุข้างตน้ แลว้ ก็จะทำให้สังคมสงฆ์มีการอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข โดยเฉพาะ อย่างย่ิง การท่ีพระสาวกผู้น้อยแสดงการยอมรับหรือพอใจในความสามารถของพระสาวกผู้เป็นเถระเช่นน้ี ทำ ให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพระสาวกผู้ใหญ่กับพระสาวกผู้น้อย และย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลของกระบวนการศึกษาแบบมุขปาฐะ กล่าวคือ เม่ือพระสาวกผู้น้อยซึ่งอยู่ในฐานะผู้ต้องศึกษาได้ ศกึ ษาหรือรับฟงั การสั่งสอนจากพระสาวกผ้ใู หญ่บนพื้นฐานของการยอมรับและเคารพแลว้ กระบวนการศึกษา นนั้ กย็ ่อมเกิดประสิทธิผลในทส่ี ดุ ๑๕เหตปุ จั จยั ที่เป็นไปเพ่อื ไดป้ ญั ญามี ๘ ประการดูเพ่มิ เติมในองั คุตตรนิกาย อฏั ฐกนบิ าต เลม่ ท่ี ๒๓ หน้า ๑๙๖. ๑๖ธรรมอันเป็นเหตุให้เปน็ ที่รัก เปน็ ที่พอใจ เปน็ ท่เี คารพและเปน็ ทยี่ กย่องของเพอ่ื นพรหมจารีมี ๕ ประการ ดู เพม่ิ เตมิ ในองั คุตตรนกิ าย ปัญจกนบิ าต เลม่ ท่ี ๒๒ หนา้ ๑๕๕.. ๑๗อง.ฺ ปญจฺ ก. ๒๒ / ๘๗ / ๑๕๕.
๗๐ ๓.๕ ลักษณะของการศกึ ษาพระธรรมวินยั ระบบมขุ ปาฐะ ๓.๕.๑ การศกึ ษาพระธรรมวนิ ยั ระบบมุขปาฐะ ตำราที่บรรจุพระพุทธพจน์ ที่พระธรรมสังคาหกาจารย์ได้สังคายนาหรือรวบรวมไว้เป็นหมวด เรียกว่า พระไตรปิฎก ได้ถ่ายทอดกันมาโดยระบบมุขปาฐะ สมัยก่อนๆ ในประเทศไทยนิยมการต่อหนังสือ ตำนาน สิบสองตำนาน หรือท่องพระปาฏิโมกข์ โดยอาศัยการท่องปากต่อปากจากครูบาอาจารย์จนจำได้ แม่นยำ และสืบต่อกันมาถึงอนุชนรุ่นหลัง แม้การเรียนบาลีสมัยก่อน อาจารย์จะต่อหนังสือให้นักเรียนท่อง ไวยากรณ์บาลีเพื่อให้จำได้ และเป็นพ้ืนฐานในการเข้าใจในการแปลบาลี และแต่งบาลีพระไตรปิฎกก็เช่นกัน และต้ังแต่สังคายนาคร้ังแรกศิษย์สายพระอุบาลีก็ทรงจำพระวินัยปิฎก ศิษย์สายพระอานนท์ก็จดจำพระ สุตตนั ตปฎิ ก และพระอภธิ รรมปิฎกสบื ๆ กันมาโดยมขิ าดสาย ๓.๕.๒ การรักษาสบื ต่อพระไตรปิฎกในยคุ ระบบมขุ ปาฐะ ยุคระบบมุขปาฐะ หมายถึงยุคท่ีใช้ การทรงจำด้วยปากเปล่า โดยการสวดหรือสาธยายการ รักษาด้วยการท่องจำ ถือว่าเป็นวิธีที่แม่นยำย่ิงกว่ายุคที่จารึกเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะว่าการทรงจำ พระไตรปิฎกหรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าท่านจำด้วยวิธีสวดพร้อมกัน ซ่ึงคล้ายกับการสวดมนต์ในปัจจุบัน และการสวดพร้อมกันจะต้องสวดตรงกันหมดทุกถ้อยคำ จะตกหล่นขาดหายไปไม่ได้ จะเพ่ิมแม้ถ้อยคำเดียวก็ ไม่ได้ เพราะจะขัดกัน ดีไม่ดีก็สวดล่มไปเลย การสวดสอดคล้องกลมกลืนคือสวดเหมือนกันหมด ท่านจึงรักษา คำสอนพระพุทธเจ้าด้วยวิธีนี้ พระเถระรุ่นก่อนจึงระวังมากในเร่ืองการรักษาทรงจำพระไตรปิฎกไม่ให้ผดิ เพี้ยน เพราะว่า ๑. เหน็ เป็นสำคญั มาก เพราะถือว่าเปน็ ตวั พระพุทธศาสนา ๒. ถือเป็นงานของส่วนรวม โดยเฉพาะพระเถระผู้ใหญ่ผู้นำหมู่คณะและพระสงฆ์ทั้งหมดใน พระพทุ ธศาสนาจะตอ้ งเอาธรุ ะในการดูแลรกั ษาอย่างยิ่ง ดังนน้ั การรกั ษาด้วยวิธีเดิม คอื การทรงจำด้วยการสาธยายนน้ั เป็นวธิ ที ่ีแมน่ ยำที่สุด เพราะรักษา โดยส่วนรวมที่สวดพรอ้ มกนั แต่ละองค์จงึ ตอ้ งมกี ารซักซอ้ ม และทบทวนกันอยูเ่ สมอ ซ่ึงปรากฏแม้แตใ่ นสมยั นี้ และข้อทน่ี ่าคิดก็คอื ตามหลักฐานแล้วการเขียนมีมาก่อนสมัยพระพุทธเจ้า แต่ที่พระองค์ไม่นิยม ใช้ ทรงใช้วิธีมุขปาฐะแทน เพราะวิธีเรียนด้วยมุขปาฐะน้ี จะเป็นการสร้างสัมพันธภาพอย่างใกล้ชิดระหว่าง ผู้เรียนและผู้สอน พร้อมทั้งเป็นการสร้างสมาธิฝึกจิตของผู้เรียนไปในตัว นับแต่พุทธกาลตลอดมาประมาณ ๔๖๐ ปี พระเถระผรู้ กั ษาพระศาสนาทรงจำพระพทุ ธพจน์กนั มาดว้ ยปากเปลา่ เรียกวา่ “มุขปาฐะ” แปลงา่ ยๆ วา่ “ปากบอก” คือ เรียน – ท่อง –บอกตอ่ ดว้ ยปาก ซ่ึงเปน็ การรกั ษาไว้กับตวั บคุ คล
๗๑ การศึกษาพระธรรมวินัยระบบมุขปาฐะ ถือว่าเป็นกิจสำคัญสูงสุดของการรักษาพระพุทธศาสนา ซ่ึงการรกั ษาโดย มขุ ปาฐะ หรอื ท่องจำ นใ้ี ชว้ ิธีสาธยาย ซ่งึ แยกไดเ้ ปน็ ๔ ระดับ คือ ๑. เป็นความรับผิดชอบของสงฆ์หมู่ใหญ่สืบกันมาตามสายอาจารย์ที่เรียกว่าเถรวาท (เรียกอีก อย่างหนึ่งว่าเถรวงศ์) โดยพระเถระที่เป็นต้นสายตั้งแต่สังคายนาคร้ังแรกน้ัน เช่น พระอุบาลีเถระ ผู้เช่ียวชาญ ด้านพระวนิ ยั ก็มีศษิ ยส์ ืบสายและมอบความรบั ผิดชอบในการรกั ษาส่ังสอนอธบิ ายสืบทอดกนั มา ๒. เป็นกิจกรรมหลักในวิถีชีวิตของพระสงฆ์ ซึ่งจะต้องเล่าเรียนปริยัติเพื่อเป็นฐานของการ ปฏิบัติที่ถูกต้อง อันจะนำไปสู่ปฏิเวธ และการเล่าเรียนนั้นจะให้ชำนาญส่วนใด ก็เป็นไปตาม อัธยาศัย ดังน้นั จึงเกิดมีคณะพระสงฆ์ท่ีคลอ่ งแคลว่ เช่ียวชาญพทุ ธพจน์ในพระไตรปิฎกต่างหมวดตา่ งส่วนกันออกไป เช่น มีพระสงฆ์กลุ่มท่ีคล่องแคล่วเชี่ยวชาญในทีฆนิกาย พร้อมท้ังอธิบาย อรรถกถาของทีฆนิกายน้ัน เรียกว่า ทฆี ภาณกะ มีมชั ฌมิ ภาณกะ สังยตุ ตภาณกะ องั คุตตรภาณกะ ขทุ ทกภาณกะ เปน็ ต้น ก็เช่นเดียวกัน ๓. เป็นกิจวัตรของพระภิกษุทั้งหลายแต่ละวัดแต่ละหมู่ที่จะมาประชุมกัน เป็นคณะสาธยาย คือ สวดพุทธพจน์พร้อมๆกัน (การปฏิบัติอย่างนี้อาจจะเป็นท่ีมาของการทำวัตรสวดมนต์เช้า-เย็น อย่างท่ีรู้จัก กันในปัจจุบนั ) ๔. เป็นกิจวัตร หรือข้อปฏิบัติในชีวิตประจำวันของพระภิกษุสงฆ์แต่ละรูป ดังปรากฏในอรรถ กถาเป็นต้นว่า พระภิกษุเมื่อว่างจากกิจอื่น เม่ืออยู่ผู้เดียวก็นั่งสาธยายพุทธพจน์ เท่ากับว่าการสาธยายพุทธ พจนน์ ้ีเป็นสว่ นหน่ึงแหง่ การปฏิบตั ิธรรมของทา่ น เนื่องจากพระภิกษุทั้งหลายมีวินัยสงฆ์กำกับให้ดำเนินชีวิตในวิธีแห่งไตรสิกขา ในบรรยากาศ แห่งการเล่าเรียน ถ่ายทอดและหาความรู้เพื่อนำไปสู่สัมมาปฏิบัติจึงเป็นการรักษาคำสอนด้วยการสาธยาย ทบทวนตรวจสอบอยา่ งต่อเน่อื ง ๓.๖ ขอ้ ดีและข้อจำกดั ของการศกึ ษาพระธรรมวนิ ัยระบบมขุ ปาฐะ จากการศึกษาพระธรรมวินัย ระบบมุขปาฐะทกี่ ล่าวขา้ งต้น สามารถสรปุ ขอ้ ดีและข้อจำกดั ได้ดงั น้ี ๓.๖.๑ ขอ้ ดี ๑.มีความถกู ต้อง แม่นยำ เพราะจะต้องสวดพร้อมกันและตรงกนั ทุกถ้อยคำ จะตกหลน่ ขาด หายไม่ได้ ๒.เป็นการสร้างสมั พนั ธภาพท่ีดรี ะหวา่ งผเู้ รยี นกบั ผูส้ อน ๓.ก่อใหเ้ กิดสมาธนิ ำไปสู่สัมมาปฏิบตั ิ ๔.ทรงไวซ้ ่งึ พระธรรมวนิ ัยให้ดำรงคงมน่ั ๕.เปน็ การสรา้ งความสามคั คี
๗๒ ๓.๖.๒ ข้อจำกัด ๑.ไมส่ ามารถทรงจำได้ทั้งหมด จึงต้องแบง่ กนั ทรงจำ พระวินยั พระสตู ร และพระอภธิ รรม ๒.คำทอี่ อกเสียงเดียว แต่มคี วามหมายตา่ งกนั การตีความหมายจากการฟงั ผิดเพี้ยนได้ ๓.อาจจะหลงลืมได้ ถา้ ไม่มีการทบทวน สาธยาย ๔.ไม่สามารถทจ่ี ะนำวิธีมุขปาฐะ ไปใช้กบั ผ้ทู ี่มีความจำส้นั หรือผูพ้ ิการทางหู สรุปทา้ ยบท การศึกษาพระธรรมวินัยระบบมุขปาฐะ คือการศึกษาท่ีมุ่งถึงการกล่าวหรือการสวดและการสาธยาย เป็นสำคัญ ในการรักษาพระธรรมและวินัย ท่ีมีความสำคัญอย่างแยกกันไม่ออก โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือสืบทอด คำสอนของพระพุทธศาสนา ซ่ึงมีลกั ษณะของการทรงจำด้วยปากเปล่า ถือว่าเป็นวธิ ีที่แม่นยำย่ิงกว่ายุคท่ีจารึก เป็นลายลกั ษณ์อักษร เพราะการทรงจำคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยวิธีสวดพรอ้ มกัน ท่านจึงรักษาคำสอนของ พระพุทธเจ้าด้วยวิธีน้ี อีกท้ังยังเป็นความรับผิดชอบของพระสงฆ์หมู่ใหญ่ และเป็นกิจวัตรและข้อปฏิบัติใน ชีวิตประจำวัน และเป็นส่วนแห่งความรู้เพ่ือนำไปสู่สัมมาปฏิบัติ จึงเป็นการรักษาคำสอนด้วยการสาธยาย ทบทวนอยา่ งแทจ้ รงิ
๗๓ คำถามทา้ ยบท ๑. การศึกษาพระธรรมวินยั ระบบมุขปาฐะมคี วามหมายวา่ อย่างไร และครอบคลมุ ประเด็นอะไรบ้าง อธบิ ายให้ชัดเจน? ๒. ตามหลักฐานที่ปรากฏ ในสมัยพุทธกาลก็มกี ารใชต้ ัวอกั ษรหรอื ตวั หนงั สือกันแลว้ แต่เหตุใดในระบบ การศกึ ษาของพระพุทธศาสนาจงึ ยงั นยิ มศึกษาตามระบบมุขปาฐะกนั อยู่ จงวเิ คราะหใ์ หเ้ หน็ แจ้ง? ๓. จดุ มงุ่ หมายสำคัญของการศกึ ษาพระธรรมวนิ ยั ดว้ ยระบบมุขปาฐะคืออะไร เพราะเหตใุ ดจงึ กลา่ ว เชน่ นั้น? ๔. การศกึ ษาพระธรรมวนิ ัยระบบมขุ ปาฐะมลี กั ษณะเปน็ อย่างไร จงอธิบาย? ๕. จงอธิบายถงึ ข้อดีและข้อจำกัดของการศึกษาพระธรรมวินยั ระบบมขุ ปาฐะมาให้เขา้ ใจ?
๗๔ เอกสารอา้ งอิงประจำบท พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพ ฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย .๒๕๓๙.เลม่ ที่ ๒๒. องั คตุ ตรนิกาย ปัญจกนบิ าต. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . กรุงเทพ ฯ : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙.เล่มท่ี ๒๓. อังคตุ ตรนิกาย อัฏฐกนิบาต. พระธรรมปฎิ ก (ป. อ. ปยุตฺโต ). ความสำคญั และการรกั ษาพระไตรปฎิ ก ในเก็บเพชรจากพระไตรปิฎก. กรุงเทพ ฯ : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ๒๕๔๒. . รูจ้ ักพระไตรปิฏกเพอ่ื เป็นชาวพุทธทีแ่ ท.้ พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๘ กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์บริษัทสหธรรมิก จำกัด, ๒๕๔๖. เสถียร โพธนิ นั ทะ.ประวัตศิ าสตร์พระพทุ ธศาสนา. กรงุ เทพ ฯ : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวทิ ยาลยั ,๒๕๔๓. เสถยี รพงษ์ วรรณปก. คำบรรยายพระไตรปฎิ ก. พิมพ์คร้ังที่ ๒. กรุงเทพฯ : ธรรมสภา.๒๕๔๓. พทุ ธทาสภิกขุ. ศึกษาธรรมะอย่างถูกวิธี. กรุงเทพ : สำนกั พมิ พส์ ขุ ภาพใจ. ๒๕๐๐. พระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์ ( สมาน กลฺยาณธมฺโม ).เอตทัคคะในพระพุทธศาสนา. กรุงเทพ ฯ : บริษัท สหธรรมกิ จำกดั . ๒๕๔๖.
๗๕ บทที่ ๔ การศกึ ษาพระธรรมวินยั ยคุ จารึกเป็นอักษร ผศ.ดร.ปฏภิ าณ์ มหรรธนาธบิ ดี อาจารยท์ วี เทศมาศ วัตถปุ ระสงค์การเรียนประจำบท เมื่อไดศ้ ึกษาเน้ือหาในบทน้แี ล้ว ผ้ศู กึ ษาสามารถ ๑. อธิบายความเป็นมาและความสำคัญ ของการจารึกพระธรรมวินัยเป็น อักษรได้ ๒. อธิบายแนวคดิ ในการศึกษาพระธรรมวินยั ยคุ จารกึ เป็นอกั ษรได้ ๓. อธิบายลักษณะของการศกึ ษาพระธรรมวนิ ยั ยคุ จารึกเปน็ อักษรได้ ๔. จำแนกหลกั คำสอนเปน็ หมวดหม่ไู ด้ ๕. อธบิ ายการศึกษาพระไตรปิฎกในยคุ จารกึ เป็นอักษรได้ ขอบขา่ ยเนอื้ หา • ความเป็นมาและความสำคัญของการจารึกพระธรรมวนิ ยั เป็นอกั ษร • แนวคิดในการศกึ ษาพระธรรมวนิ ัยยคุ จารึกเป็นอักษร • ลกั ษณะของการศกึ ษาพระธรรมวินยั ยุคจารกึ เป็นอักษร • การรวบรวมหลกั คำสอนเป็นหมวดหมู่ • การศกึ ษาพระไตรปิฎกในยุคจารึกเปน็ อักษร .
๗๖ ๔.๑ ความนำ การศึกษาในพระพทุ ธศาสนา มพี ระธรรมวินัยเป็นหลกั ที่ใช้ในการจดั การศกึ ษาด้านปริยตั ิ ปฏิบตั แิ ละปฏเิ วธเพ่ือใหผ้ ศู้ ึกษา มคี ุณสมบตั ติ ามหลักโอวาทปาฎิโมกข์ ในทางพระพุทธศาสนาไดแ้ บง่ การศึกษาออกเปน็ ๒ อย่างคือ คนั ถธรุ ะและวิปสั สนาธรุ ะ เรียกวา่ นวงั คสตั ถศุ าสน์ ซึ่งมคี วามหมาย ท้งั เป็นคำสั่งและเปน็ คำสอนของพระพทุ ธเจา้ ท่ถี กู รวบรวมไว้เปน็ องคป์ ระกอบของพระธรรมวนิ ัย พระ ธรรมวนิ ยั นนั้ กค็ อื พระธรรมขนั ธ์ ซ่งึ เปน็ ส่วนหน่ึงของพระไตรปฎิ กใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์ซ่ึงถูก รวบรวมหลกั คำสอนไวเ้ ปน็ หมวดหมูเ่ พ่ือใหเ้ กิดระบบในการศกึ ษาพระพุทธศาสนา พระธรรมวินัยดังกล่าวนี้ สืบทอดอายุพระพุทธศาสนาจนม่ันคงเป็นปึกแผ่น จึงเรียกว่า พระพุทธศาสนา มีพระคัมภีร์ทางศาสนาเกิดข้ึนใช้ในพระพุทธศาสนาเรียกว่า พระไตรปิฎกซึ่งหมายถึง ตำราหรือคมั ภีรอ์ นั ประเสริฐ ๓ คัมภีร์ ได้แก่ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปฎิ กและ พระอภิธรรมปิฎก สมัยของพระพุทธเจ้ายังไม่มีพระไตรปิฎก มีแต่คำว่า ธรรมวินัย พระวินัยเป็นคำส่ังคู่กับคำสอนหรือ ธรรมของพระพุทธเจ้าจึงถูกจัดไว้เป็นหมวดหมู่หน่ึง เรียกว่า พระวินัยปิฏก ส่วนพระอภิธรรมปิฎกได้ ถือกำเนิดเกิดข้ึนในสมัยพุทธกาลกล่าวถึงธรรมช้ันสูงในพระพุทธศาสนา จึงเป็นพระธรรมวินัยซ่ึง พระพุทธเจ้าทรงสงั่ สอนแก่เหล่าพระสาวกตลอด ๔๕ พรรษา และพระสาวกได้สืบทอดต่อกันมาโดย วธิ ีการท่องจำเรยี กว่า มุขปาฐะ จากนั้นจึงมีการบันทกึ พระไตรปิฎกทงั้ หมดลงในใบลานเพื่อไม่ให้หลัก คำสอนสูญสิ้นไปจึงมีรับส่ังให้ภิกษุผู้สามารถท่องจำบาลีพระไตรปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถาช่วยกันจารึก ลงในใบลานบนั ทกึ เป็นลายลกั ษณ์อกั ษรและได้มีการสงั คายนาพัฒนาจนเปน็ พระไตรปฎิ ก ๔.๒ ความเปน็ มาและความสำคัญของการจารึกพระธรรมวินยั เป็นอักษร ๔.๒.๑ ความเป็นมาของการจารึกพระธรรมวินยั เป็นอกั ษร ในปลายพุทธกาล นคิ รนถนาฏบตุ รผู้เป็นศาสดาของศาสนาเชนไดส้ น้ิ ชีวิตลง สาวกของ ทา่ นไม่ได้รวบรวมคำสอนไว้เป็นหมวดหมู่ และไมไ่ ด้ตกลงกนั ไว้ใหช้ ัดเจน ปรากฏว่าเมอื่ ศาสดาของ ศาสนาเชนสน้ิ ชีวิตไปแลว้ เหลา่ สาวกกแ็ ตกแยกทะเลาะววิ าทกนั ว่า ศาสดาของตนสอนวา่ อย่างไร คร้ัน พระจุนทเถระไดน้ ำขา่ วน้ีมากราบทลู แด่พระพุทธเจ้า และพระองคไ์ ด้ตรัสแนะนำใหพ้ ระสงฆท์ ัง้ ปวง ร่วมกันสงั คายนาธรรมท้ังหลายไวเ้ พ่ือให้พระศาสนาดำรงอยูย่ ั่งยืนเพ่อื ประโยชนส์ ุขแก่พหชู น๑ เวลานนั้ พระสารีบตุ รอคั รสาวกยังมชี วี ิตอยู่ คราวหน่ึงทา่ นปรารภเร่อื งนแี้ ล้วกล่าววา่ ปญั หาของศาสนาเชน เกิดข้ึนเพราะว่าไม่ได้รวบรวมร้อยกรองคำสอนไว้ สาวกทั้งหลายของพระพุทธเจา้ ควรจะได้ทำการ สงั คายนา คือ การรวบรวมคำสอนของพระองค์เอาไว้ ให้เป็นหลกั เป็นแบบแผนอันหนงึ่ อันเดยี วกนั เม่อื ปรารภเชน่ นแ้ี ล้วพระสารีบตุ รก็ได้แสดงวิธีการสงั คายนาไว้เปน็ ตวั อยา่ ง โดยท่านไดร้ วบรวมคำสอน ทีพ่ ระพุทธเจา้ ทรงแสดงไว้เปน็ ขอ้ ธรรมต่าง ๆ มาแสดงตามลำดับหมวด ตง้ั แต่หมวดหนง่ึ ไปจนถึง ๑ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๑๐๘/๑๓๙ .
๗๗ หมวดสิบ คอื เป็นธรรมหมวด ๑ ธรรมหมวด ๒ ธรรมหมวด ๓ ไปจนถงึ ธรรมหมวด ๑๐ เมอื่ พระสารี บตุ รแสดงจบแล้ว พระพุทธเจ้าก็ไดป้ ระทานสาธุการ๒ หลักธรรมที่พระสารีบุตรได้แสดงไว้นี้ จัดเป็นพระสูตรหน่ึงเรียกว่าสังคีติสูตร พระสูตรว่าด้วย การสังคายนา หรือสังคีติ เป็นตัวอย่างท่ีพระอัครสาวกคือพระสารีบุตรได้รวบรวมเอาไว้ แต่พระสารี บุตรเองก็ได้ปรินิพพานไปก่อนพระพุทธเจ้า ดังนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วภาระจึงตกอยู่กับ พระมหากัสสปเถระ ซ่งึ ตอนทีพ่ ระพทุ ธเจ้าปรินิพพานน้ัน เปน็ พระสาวกผ้มู ีอายพุ รรษากาลมากที่สุด พระมหากัสสปเถระได้ทราบข่าวปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วได้ ๗ วัน ขณะที่ท่านกำลังเดินทางอยู่ ณ เมืองปาวาพร้อมด้วยหมู่ศิษย์จำนวนมาก เมื่อได้ทราบข่าวนั้น เหล่า ศิษยข์ อง พระมหากัสสปะเถระ ซ่ึงยังเป็นปุถุชนอยู่ ไดร้ ้องไห้คร่ำครวญกัน ณ ที่นั้น จงึ มพี ระภิกษุบวช เมื่อแก่องค์หน่ึง ช่ือว่าสุภัททะ ได้กล่าวข้ึนว่า \"หยุดเถิด หยุดเถิด ท่านอย่าร่ำไรไปเลย พระสมณะ น้ัน พ้น (ปรินิพพาน) แล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ตามพอใจ ไม่ต้อง เกรงบัญชาใคร\" พระมหากัสสปะเถระได้ ฟังเช่นนั้น คิดจะทำนิคคหกรรม (ทำโทษ) แต่เห็นว่ายังมิควรก่อน และดำริข้ึนว่าพระพุทธเจ้า ปรินพิ พานเพียง ๗ วัน ก็มีผคู้ ิดท่จี ะทำให้เกดิ ความแปรปรวน หรือประพฤติปฏิบัติใหว้ ิปริตไปจากพระ ธรรมวินัยเช่นน้ี จึงควรจะทำการสังคายนาและจะชักชวนพระเถระผู้เป็นพระอรหันต์ทั้งหลาย ซ่ึงล้วน ทันเห็นพระพุทธเจ้า ได้ฟังคำสอนของพระองค์มาโดยตรง เป็นผู้รู้คำสอนของพระพุทธเจ้า และได้อยู่ ในหมู่สาวกที่เคยสนทนาตรวจสอบกันอยู่เสมอ รู้ว่าสิ่งใดท่ีเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้มาประชุม กัน เพ่ือช่วยกันแสดง ถ่ายทอด รวบรวม ประมวลคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วตกลงวางมติไว้ จากน้ันท่านจึงเดินทางไปยังเมืองกุสินาราเพื่อเป็นประธานในการถวายพระเพลิงพุทธสรีระของ พระพุทธเจ้า หลงั จากที่พระพทุ ธเจ้าปรินพิ พานแลว้ ได้ ๓ เดือน จึงไดจ้ ัดมีการจัดทำสังคายนาคร้งั แรก ข้นึ ท่ี ใกลก้ รงุ ราชคฤห์ มีพระอรหันต์มาประชมุ ร่วมกนั ๕๐๐ องค์ พระมหากัสสปะเถระเป็นประธานและ เป็นองค์ปุจฉา พระอบุ าลีเป็นองคว์ ิสัชนา และพระอานนท์เปน็ องค์วสิ ัชนาพระสตู รและพระอภิธรรม เร่มิ ตน้ ด้วยประโยควา่ “เอวัมเม สุตงั ” แปลว่า “ขา้ พเจา้ ได้สดับมาอย่างนี้” ในการสงั คายนาครงั้ ที่ ๒ ซึง่ จัดขน้ึ ใน พ.ศ. ๑๐๐ ทว่ี าลกิ าราม เมอื งเวสาลี แคว้นวชั ชี โดยพระยสกากณั ฑบุตร เป็นผูช้ กั ชวน พระเถระผใู้ หญเ่ ข้ารว่ มสังคายนา ในครั้งนี้ยังไมม่ ีการแบง่ พระธรรมวินยั เปน็ พระไตรปฎิ กอยา่ งชัดเจน การจัดประเภทพระธรรมวนิ ัยเปน็ รูปพระไตรปิฎก มีข้ึนในการสงั คายนา ครั้งที่ ๓ ใน พ.ศ. ๒๓๕ จดั ขนึ้ ณ กรุงปาฏลีบุตร ประเทศอนิ เดยี มีพระโมคคลั ลบี ุตรตสิ สเถระ เปน็ ประธานในการทำสงั คายนา ในการคร้งั น้ีมีพระสงฆ์มาร่วมทำสังคายนา จำนวน ๑,๐๐๐ รูป ในการสังคายนาคร้ังท่ี ๔ ประมาณ พ.ศ ๖๔๓ จดั ขึน้ ที่เมอื งชาลันธร แต่บางหลกั ฐานกลา่ วว่าทำทีก่ ัศมีรห์ รอื แคชเมยี ร์ ตอนเหนือของ ประเทศอนิ เดยี การทำสังคายนาครัง้ นีก้ ระทำโดยพระภิกษุฝา่ ยสรติวาทินและพระภกิ ษุฝา่ ยสังฆิกะบาง นิกายร่วมกนั ในสมัยน้ันยังไม่มกี ารจารึกพระไตรปิฎกเป็นลายลักษณ์อักษร การเก็บบันทึกพระไตรปฎิ กต้อง อาศัยความจำเป็นเคร่ืองมือสำคัญ อาจารย์ท่องจำพระไตรปิฎกแล้วบอกปากเปล่าแก่ศิษย์ซึ่งจะต้อง รับภาระท่องจำกันต่อๆ ไป และเม่ือท่องจำได้ก็มาสวดซักซ้อมพร้อมกัน ทำให้เกิดประเพณีสวดมนต์ ๒ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๒๒๕-๓๖๓. .
๗๘ การท่องจำและการบอกเล่าต่อๆ กันมาเช่นนี้ เรียกว่า การศึกษาระบบ มุขปาฐะ หมายถึง การเรียน โดยอาศยั คำบอกเล่าจากปากของอาจารย์ พระไตรปิฎกถูกเก็บรักษาและถ่ายทอดต่อๆ กันมาด้วยระบบการศึกษาแบบมุขปาฐะนี้ จนกระท่ังได้รับการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรลงในใบลาน ในการสังคายนาคร้ังที่ ๕ ซึ่งจัดข้ึนที่ ประเทศลงั กาในพ.ศ.๔๕๐ ภาษาที่บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้าเรียกว่า ภาษาบาลี บาลีแปลว่า “ภาษาที่รักษาพระ พุทธพจน์”สนั นษิ ฐานว่าบาลีเปน็ ภาษาทีใ่ ชพ้ ูดกันในแคว้นมคธในครั้งพุทธกาล เม่ือมีการจารึกพระไตร ปิฎกลงในใบลานเป็นครั้งแรก ท่านใช้อักษรสิงหลเขียนภาษาบาลีของพระไตรปิฎกประเทศอื่นๆ ก็ได้ จารึกภาษาบาลีลงในใบลานโดยใช้อกั ษรของประเทศนั้น ในปัจจุบันเมื่อการพิมพ์หนังสอื เจริญขึ้น พระ ไตร ปิฎกถกู จัดพิมพเ์ ป็นรูปเล่มหนังสือทำให้มีพระไตรปิฎกฉบับอักษรต่างๆ เช่น ฉบับอักษรสงิ หลของ ลังกา แบบอักษรเทวนาครีของอินเดีย ฉบับอักษรขอม ฉบับอักษรพม่า ฉบับอักษรไทย และแบบ อกั ษรโรมันของสมาคมบาลปี กรณท์ ่อี งั กฤษ เมื่ อพ ระพุ ท ธ ศ าส น าลั ท ธิ ลั งก าว งศ์ได้ รั บ ก ารเผ ย แ พ ร่ใน ป ร ะเท ศ ไท ย ตั้ งแ ต่ ส มั ย พ่ อขุ น รามคำแหงมหาราชแห่งกรุงสุโขทัย พระไตรปิฎกสมัยนั้นยังไม่ถูกจารึกเป็นอักษรไทย ดังปรากฏ ใน หนังสอื สังคีติยวงศ์ ว่าการสังคายาพระธรรมวินัยตรวจชำระพระไตรปิฎกมีขน้ึ เป็นครง้ั แรกในประเทศ ไทยใน พ.ศ.๒๐๒๐ พระเจา้ ติโลกราชแห่งเชยี งใหม่ อาราธนาพระสงฆ์หลายร้อยรูปให้ช่วยชำระอักษร พระไตรปิฎกในใบลาน ณ วัดโพธาราม ใช้เวลา ๑ ปี จึงเสร็จการสังคายนา อักษรที่ใช้ในการจารึก พระไตรปฎิ กในครัง้ นั้นคงเป็นอกั ษรไทยล้านนา การสังคายนาครงั้ ที่ ๒ ในประเทศไทยมขี น้ึ ใน พ.ศ. ๒๓๓๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช ทรงอาราธนาพระสงฆ์ให้ชำระพระไตรปิฎกซ่ึงกระจัดกระจายสูญหายหลังกรุงศรี อยุธยาถูกพม่าเผาทำลาย การสังคายนาคร้ังนี้จัดทำ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ิ อักษรท่ีใช้จารึก พระไตรปฎิ กในครัง้ น้นั เปน็ อักษรขอม ต่อมาในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๑ - ๒๔๓๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๕ ทรงให้คัดลอกพระไตรปิฎกอักษรขอมในใบลานออกมาเป็นตัวอักษรไทย แล้วชำระแก้ไขและพิมพ์ ข้ึนเป็นเล่มหนังสือได้ ๔๙ เล่ม นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยท่ีได้มีการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกเป็น รูปเล่มหนังสอื ดว้ ยอกั ษรไทย ในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๖๘ - ๒๔๗๓ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ คณะ สงฆ์ได้แปลพระไตรปิฎก ภาษาบาลีเป็นภาษาไทย และได้จัดพิมพ์เป็นการฉลองย่ีสิบห้าพุทธศตวรรษ ใน พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นเลม่ หนังสอื ได้ ๘๐ เล่ม ในการพิมพ์ครั้งต่อมาได้รวมเล่มลดจำนวนเหลือ ๔๕ เล่ม เทา่ ฉบบั บาลี ในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๓๐ คณะสงฆ์และรัฐบาลไทยได้จัดงานสังคายนาพระธรรมวินัยตรวจชำระ พระไตรปิฎกทั้งฉบับภาษาบาลีและภาษาไทยแล้วจัดพิมพ์ข้ึนใหม่เรียกว่าพระไตรปิฎกฉบับสังคายนา เน่ืองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๕ รอบ นกั ษัตร ในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๓๕ ซ่ึงเป็นปีที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชนีนาถทรงเจริญพระ ชนมพรรษา ๕ รอบนักษัตร มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ตรวจชำระ .
๗๙ พระไตรปิฎกภาษาบาลีสำเร็จเรียบร้อย เรียกว่า พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย นอกจากน้ียังไดต้ รวจชำระและพิมพค์ ำอธบิ ายพระไตรปิฎกทเ่ี รยี กว่าอรรถกถาภาษาบาลี ในวนั ที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๕ สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี เสด็จฯ เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงานสัปดาห์สมโภชพระไตรปิฎกและอรรถกถา ฉบับมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั ในระหว่างพ.ศ. ๒๕๓๗ มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เห็นสมควรแปล พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยายาลัย เป็นภาษาไทย ท่ีพุทธศาสนิกชนทั่วไป สามารถอ่านเข้าใจอรรถธรรมได้ง่าย เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติในมหามงคลสมัยสมเด็จพระนางเจ้า สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถทรงเจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษาและเม่ือความน้ีได้ทราบถึงสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีแลว้ พระองคท์ รงมีพระกรุณาธิคุณรบั เปน็ ประธานอุปถัมภ์ โครงการแป ลและจัดพิ มพ์ พ ระไตรปิ ฎ กภ าษ าไท ยฉบับ มห าจุฬ าลงกรณ ราชวิท ยาลัย ในวันท่ี ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้มีพิธีเปดิ ประชุมการแปลพระไตรปฎิ กฉบับมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย ณ พระอุโบสถวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สวุ รรณ สวุ ณฺณ โชโต) เป็นประธานฝ่ายบรรพชิต นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฝ่ายคฤหัสถ์ โครงการแปลพระไตรปิฎก ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย มีกำหนดแลว้ เสรจ็ ในปลายปี ๒๕๓๙ หลงั จากน้ัน จึงได้ทำสังคายนาครัง้ ที่ ๑ ทกี่ ำสตั ตบรรณหหู า เวภารบรรพต แคว้นมคธ และทำ การจารกึ เป็นอกั ษรในการทำสงั คายนาครง้ั ที่ ๕ ที่ศรีลงั กาเป็นภาษาสิงหล ๔.๒.๒ ความสำคญั ของการจารึกพระธรรมวนิ ยั เปน็ อักษร การทำสงั คายนาในแต่ละครง้ั นนั้ กม็ ีวตั ถปุ ระสงคท์ จ่ี ะรวบรวมพระธรรมวนิ ัยของ พระพุทธเจ้า เพื่อธำรงรักษาพระธรรมวนิ ัยเอาไว้ไม่ให้สญู หายหรือวิปลาสคลาดเคล่ือนไป เพราะพระ ธรรมวนิ ัยนนั้ คือหลักการศกึ ษาของพระพุทธศาสนา หากปราศจากคำสอนแลว้ พระพุทธศาสนากด็ ำรง อยูไ่ ม่ได้ ดงั พุทธวจนะในคราวจะเสด็จดับขนั ธปรินพิ พานวา่ โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสโิ ต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตถฺ า๓. แปลวา่ : ดูกรอานนท์ ธรรมแลวนิ ัยใด ทเี่ ราได้แสดงแล้ว และบัญญตั ิแลว้ แกเ่ ธอท้ังหลาย ธรรมและวินัยน้ัน จักเปน็ ศาสดาของเธอท้ังหลาย ในเมื่อเราล่วงลับไป พระเถระทั้งปวงเห็นความสำคญั ของพระธรรมวนิ ยั ซงึ่ จะสืบทอดพระศาสนาต่อไปในภายหนา้ หาก ละเลยปล่อยไว้กระท่ังพระธรรมวินยั เกิดความคลาดเคล่ือนไปจะเป็นอันตรายต่อพุทธศาสนา จงึ ได้เร่ิม สงั คายนารวบรวมพระธรรมคำสอนข้นึ เปน็ หมวดหมภู่ ายหลังพุทธปรนิ ิพพานไปแลว้ ๓ เดือน จงึ ได้มี การทำสังคายนาพระไตรปิฎกสบื ตอ่ กนั มาจนถึงการจารกึ เป็นตัวอักษร มีความสำคัญดังน้ี ๑.พระไตรปิฎกเป็นที่รวมไว้ซึง่ พระพุทธพจน์อันเปน็ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัส ไวเ้ อง ซึง่ ตกทอดมาถงึ ปจั จบุ ัน ๒.พระไตรปฎิ กเปน็ ทส่ี ถิตของพระศาสดาของพุทธศาสนิกชน เพราะเป็นท่บี รรจุพระธรรม วินยั ท่พี ระพุทธเจา้ ตรสั ไว้ใหเ้ ปน็ ศาสดาแทนพระองค์ พุทธศาสนกิ ชนจะเฝา้ หรือรูจ้ ักพระพทุ ธเจ้าได้ จากพระดำรสั ของพระองค์ท่ีทา่ นรักษากนั ไว้ในพระไตรปิฎก ๓ ท.ี ม.๑๐/๑๔๑/๑๗๘. .
๘๐ ๓.พระไตรปฎิ กเปน็ แหล่งต้นเดิมของคำสอนในพระพทุ ธศาสนา คำสอน คำอธบิ าย คัมภรี ์ หนงั สอื ตำรา ที่อาจารยแ์ ละนักปราชญ์ทั้งหลายพดู กลา่ วหรือเรียบเรียงไว้ที่จัดว่าเป็นของใน พระพุทธศาสนา จะต้องสืบขยายออกมาและเปน็ ไปตามคำสอนแม่บทในพระไตรปฎิ ก ทเ่ี ปน็ ฐานหรือ เปน็ แหลง่ ตน้ เดิม ๔.พระไตรปฎิ กเป็นหลักฐานอ้างองิ ในการแสดงหรือยนื ยนั หลักการที่กลา่ วว่า เป็นพระพุทธ ศาสนา จะเปน็ ที่นา่ เช่อื ถือหรือยอมรบั ไดด้ ้วยดี เมื่ออา้ งองิ หลกั ฐานในพระไตรปฎิ ก ซ่ึงถือว่า เป็น หลักฐานอา้ งอิงข้นั สุดท้ายสูงสุด ๕.พระไตรปฎิ กเป็นมาตรฐานตรวจสอบคำสอนในพระพุทธศาสนา คำสอนหรือคำกล่าวใด ๆ ท่ีจะถือวา่ เป็นคำสอนในพระพุทธศาสนาได้ จะต้องสอดคลอ้ งกบั พระธรรมวนิ ยั ซึง่ มีมาในพระไตรปฎิ ก (แม้แต่คำหรอื ขอ้ ความในพระไตรปฎิ กเอง ถา้ ส่วนใดถูกสงสยั วา่ จะแปลกปลอม ก็ตรวจสอบดว้ ยคำ สอนท่วั ไปในพระไตรปฎิ ก) ๖. พระไตรปิฎกเป็นมาตรฐานตรวจสอบความเชื่อถือและขอ้ ปฏิบัติในพระพุทธศาสนา ความ เชื่อถือหรือข้อปฏิบัติตลอดจนพฤติกรรมใด ๆ จะวินิจฉัยว่าถูกต้องหรือผิดพลาดเป็นพระพุทธศาสนา หรือไม่ก็โดยอาศัยพระธรรมวินยั ที่มมี าในพระไตรปฎิ กเป็นเคร่ืองตดั สนิ หลักฐาน ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ พระไตรปิฎกจึงเป็นส่ิงสำคัญย่ิงของชาวพุทธ ที่เป็นศาสดาแทน พระพุทธเจ้า เป็นแหล่งรวมพระธรรมวินัยคำสอนท่ีเข้าใช้ในการสืบพระพุทธศาสนา หรือเป็นความ ดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนากล่าวคือ ถ้ายังมีการศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกเพื่อนำไปใช้ปฏิบัติ พระพุทธศาสนาก็ยังดำรงอยู่ แต่ถ้าไม่มีการศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกแม้จะมีการปฏิบัติก็จะไม่เป็นไป ตามหลักการของพระพุทธศาสนา กจ็ ะไม่ดำรงอยู่คอื จะเส่ือมสญู ไป ๔.๓-แนวคดิ ในการศึกษาพระธรรมวินยั ยุคจารึกเป็นอักษร ผูท้ ไ่ี ดฟ้ งั คำสง่ั สอนของพระพทุ ธเจ้าอยู่ตลอดเวลา เพราะตดิ ตามพระองคไ์ ป อย่ใู กล้ชดิ เปน็ ผู้อปุ ฏั ฐากของพระองค์ ก็คอื พระอานนท์ ทป่ี ระชมุ ก็ให้พระอานนทเ์ ปน็ ผู้นำเอาธรรมมาแสดงแกท่ ี่ ประชมุ หรือเป็นหลกั ของท่ปี ระชุมในด้านธรรม สว่ นดา้ นวินยั พระพทุ ธเจา้ ทรงยกย่องพระอุบาลไี ว้ว่า เป็นเอตทัคคะ ทป่ี ระชุมก็คัดเลอื กพระอบุ าลใี ห้มาเป็นผูน้ ำในดา้ นการวิสัชนาเรอ่ื งของวินัยท้งั หมดนเี้ รา ก็เรียกกันงา่ ยๆ ว่า สังคายนาพระธรรมวินยั เมื่อไดต้ ัวบุคคลเรยี บรอ้ ยแลว้ กเ็ ร่ิมประชุมกัน อย่างที่ กลา่ วแล้ววา่ ทถี่ ำ้ สตั ตบรรณคหู า โดยมีพระอรหนั ต์ ๕๐๐ องค์ เริ่มการประชุมเมื่อพระพุทธเจ้า ปรนิ ิพพานแลว้ ได้ ๓ เดือน การประชุมดำเนนิ อย่เู ป็นเวลา ๗ เดอื น จงึ เสรจ็ สนิ้ แสดงวา่ เป็นงานท่ใี หญ่ มาก เรอ่ื งการทำสงั คายนาคร้ังแรกนี้ เมอื่ สงั คายนาพระธรรมวนิ ัยแล้ว ทำให้พระพทุ ธศาสนาเถรวาทเกดิ ข้ึนมา ทีเ่ รียกว่าวิธีการร้อย กรองหรือรวบรวมพระธรรมวินยั หรอื ประมวลคำสงั่ สอนของพระพุทธเจ้า ก็คือ นำเอาคำส่ังสอนของ พระพทุ ธเจ้ามาแสดงในท่ีประชมุ แลว้ กม็ ีการซกั ถามกัน จนกระทัง่ ที่ประชุมลงมติว่าเปน็ อยา่ งนนั้ แนน่ อน เมื่อได้มตริ ่วมกันแล้วในเรอ่ื งใด ก็ให้สวดพร้อมกัน การสวดพรอ้ มกนั น้ัน แสดงถึงการลงมติ ร่วมกันดว้ ย และเป็นการทรงจำกนั ไวอ้ ย่างนนั้ เปน็ แบบแผนต่อไปด้วยหมายความวา่ ต้ังแตน่ ้ันไป คำ สอนตรงน้ันก็จะทรงจำไว้อย่างนัน้ เมือ่ จบเรื่องหนึ่งก็สวดพรอ้ มกนั คร้งั หน่ึง อยา่ งน้เี รื่อยไปใช้เวลาถงึ .
๘๑ ๗-เดือน การสวดพรอ้ มกันนัน้ เรยี กวา่ สงั คายนา เพราะคำวา่ “สังคายนา” หรอื เรยี กอกี อยา่ งหน่งึ วา่ “สงั คตี ”ิ แปลวา่ สวดพร้อมกัน คายนา หรอื คตี ิ (เทยี บกบั คีต ในคำวา่ สังคตี ) แปลวา่ การสวด สํ แปลว่า พร้อมกันก็คือสวดพรอ้ มกัน สังคายนา ถ้าเป็นชาวบา้ นกร็ อ้ งเพลงพร้อมกัน เป็นอันว่า ผ่าน เวลาไป ๗ เดือน พระอรหนั ต์ ๕๐๐ องค์ กไ็ ด้ทำสงั คายนา ประมวลคำสอนของพระพุทธเจา้ มาเปน็ มติ รว่ มกันได้เรียบร้อย คำสอนที่รวบรวมประมวลไวน้ ้ี เป็นทีม่ ่ันใจ เพราะทำโดยทา่ นท่ีไดท้ ันรูท้ ันเห็นทัน เฝา้ ทนั ฟังจากพระพุทธเจ้าโดยตรง คำสอนทลี่ งมตกิ ันไวอ้ ย่างนน้ี ับถือกนั มา เรยี กวา่ เถรวาท แปลว่า คำสอนท่วี างไวเ้ ป็นหลักการ ของพระเถระ คำวา่ เถระ ในที่น้ี หมายถึงพระเถระผู้ประชุมทำสงั คายนาครัง้ ท่ี ๑ ท่วี ่าไปแล้วน้ี พระพทุ ธศาสนาซ่ึงถือตามหลักทไี่ ดส้ ังคายนาครง้ั แรกดังกล่าวมาน้ี เรียกว่าเถรวาท หมายความวา่ คำสัง่ สอนของพระพุทธเจ้า คือพระธรรมวินยั ท้งั ถ้อยคำและเนอ้ื ความอย่างไรทท่ี า่ นสงั คายนากันไว้ ก็ ทรงจำกันมาอย่างนัน้ ถือตามน้นั โดยเครง่ ครดั เพราะฉะนัน้ จงึ ตอ้ งรักษาแม้แตต่ ัวภาษาเดมิ ด้วย หมายความวา่ รกั ษาของแทข้ องจรงิ ภาษาทใี่ ชร้ ักษาพระธรรมวนิ ยั ไว้น้ี เรยี กวา่ ภาษาบาลี เพราะฉะน้ัน คำสอนของเถรวาทกร็ ักษาไวใ้ นภาษาบาลตี ามเดิมคงไวอ้ ยา่ งทที่ า่ นสังคายนา ธรรมวินัย หรือหลักคำสอนที่สังคายนาไว้น่ีแหละ เป็นตัวพระพุทธศาสนา เพราะได้บอกแล้ว ว่า พระพุทธศาสนา ก็คือคำส่ังสอนของพระพุทธเจ้า เรานับถือพระพุทธศาสนา ก็คือเรานับถือคำสั่ง สอนของพระพุทธเจ้า แล้วปฏิบัติไปตามคำสั่งสอนนั้น พร้อมท้ังดูแลจัดสรรทำการต่างๆ เพ่ือให้ชาว พุทธทั้งหลายได้เรียนรู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น การปฏิบัติอย่างนี้ก็เป็นไปตามท่ี พระพทุ ธเจ้าได้ตรสั ไว้ คอื เมือ่ พระพทุ ธเจ้าจะปรนิ ิพพาน พระองคไ์ ดต้ รัสไวว้ า่ พระองค์ไม่ได้ทรงแตง่ ตั้ง พระภิกษสุ าวกองคใ์ ดให้เป็นศาสดาแทนพระองค์แตพ่ ระองค์ตรสั ไว้เป็นภาษาบาลีวา่ โย โว อานนทฺ มยา ธมโฺ ม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตโฺ ต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา. แปลความวา่ : ดกู รอานนท์ ธรรมแลวินยั ใด ทีเ่ ราได้แสดงแลว้ และบญั ญัติแลว้ แก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวนิ ยั นั้น จัก เป็นศาสดาของเธอท้ังหลายในเม่อื เราล่วงลับไป๔ หมายความว่า พระพุทธเจ้าตรัสให้พระธรรมวินยั คอื คำสง่ั สอนของพระองค์น้เี ปน็ ศาสดาแทนพระองค์ เพราะฉะนน้ั การสงั คายนาจงึ ถอื ว่าเปน็ การปฏิบตั ิตามพทุ ธพจน์ ท่ีเหมือนกับได้ทรงฝากฝงั สั่ง เสยี ไว้วา่ ใหพ้ ระธรรมวนิ ยั คือ คำสงั่ สอนของพระองคเ์ ปน็ ศาสดาแทนพระองคด์ ว้ ย เมอ่ื รู้อยา่ งน้ีแลว้ ถา้ เคารพพระพุทธเจา้ กต็ ้องรักษาพระธรรมวินยั ไวใ้ ห้ดี เพราะการรักษาพระธรรมวนิ ัยที่สังคายนาไว้ ก็ คอื รักษาพระศาสดาของเราไว้ คอื รกั ษาพระพุทธเจา้ ไว้นัน่ เอง ๔.๔ ลกั ษณะของการศึกษาพระธรรมวินัยยคุ จารึกเปน็ อกั ษร การศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยหรือทรงไว้ซึ่งพระพุทธวจนะ คำสั่งสอนของพระสัมมาสัม พุทธเจ้าน้ัน มีลักษณะการศึกษาท่ีหลากหลายและวิธีการ ซึ่งเกิดจากความศรัทธาเส่ือมใสในพระพุทธ ศาสนา มลี ักษณะดังน้ี ๔ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๑๔๑/๑๗๘. .
๘๒ ๔.๔.๑ จากมุขปาฐะลงสใู่ บลาน พระพทุ ธเจ้าตรสั ถงึ เหตทุ ีท่ ำให้พระสทั ธรรมดำรงอยู่ไดไ้ มน่ าน ๔ ประการ คือ ๑.เลา่ เรยี นสตู รทน่ี ำสบื ทอดกันมาผิดและถ่ายทอดต่อไปอย่างผดิ ๆ ๒.เปน็ คนว่ายาก ไม่อดทน ไม่รับคำพรำ่ สอนโดยเคารพ ๓.เรยี นธรรมเรียนวินยั และมาตกิ าแล้วไม่ถ่ายทอดต่อๆ กนั ไป ๔.ผู้เป็นเถระมักมาก ย่อหย่อน ไมบ่ ำเพ็ญเพียรเพ่ือบรรลุธรรมขน้ั สงู สุด แมก้ ารท่องจำแบบมุขปาฐะจะเปน็ วิธที ที่ ่านใชใ้ นการสังคายนาทอ่ี ินเดยี ถึง ๓ ครง้ั แตภ่ ายหลงั ผ้ทู ีส่ ามารถท่องจำพระไตรปิฎกได้ทั้งหมดกม็ จี ำนวนนอ้ ยลงจนนำไปสู่การจารึกพระไตรปิฎกลงใน ใบลาน การจารึกพระไตรปิฎกลงสู่ใบลานจนครบบริบูรณ์ทั้ง ๓ ปิฎก มีข้ึนคร้ังแรกในคราวสังคายนา คร้ังที่ ๕ พ.ศ. ๔๕๐ ตรงกับรัชสมัยแห่งพระเจ้าวัฎฎคามณีอภัย ประเทศศรีลังกาพระองค์ทรง เล็งเห็นกาลไกลว่า ต่อไปในอนาคตกุลบุตรจะมีความจำน้อยไม่สามารถจำพระไตรปิฎกได้ทั้งหมด เกรงวา่ การทอ่ งจำ (มุขปาฐะ) จะวปิ ริตผิดพลาด เพอ่ื ไม่ให้พระไตรปิฎกสูญส้ินไป จงึ มรี ับส่ังใหภ้ ิกษุผู้ สามารถท่องจำบาลีพระไตรปิฎกพรอ้ มทั้งอรรถกถาชว่ ยกันจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลาน๕ นับแต่นั้น มา พระไตรปฎิ กพรอ้ มท้งั อรรถกถาจงึ ได้รบั การบนั ทึกเปน็ ลายลักษณ์อกั ษรเปน็ ครงั้ แรกในโลก วธิ ีการบันทกึ พระไตรปิฎกลงในใบลานนั้นพระพทุ ธโฆสาจารย์ พระอรรถกถาจารย์กลา่ วไว้ เม่อื ราว พ.ศ. ๙๕๐ ว่า เรม่ิ ตั้งแต่การขึ้นต้นตาลเพื่อตดั ใบตาลแลว้ นำมาทำเป็นใบลานแลว้ เขยี น (วธิ นี น้ี ่าจะเขียนด้วยหมึก) หรอื ถ้าเอาเหล็กจารกเ็ อาเขมา่ ทา จากน้นั จัดใบลานเข้าเป็นผูก วสั ดุท่ีใช้ เขียนหนังสอื ไดแ้ ก่ ใบไมห้ รือหรืออาจเขยี นท่ีต้นไม้ เช่น ตน้ ช้างน้าว ตน้ สลดั ใดเป็นต้น ตำราที่บรรจุพระพุทธพจน์ ทพ่ี ระธรรมสงั คาหกาจารย์ไดส้ ังคายนา หรอื รวบรวมไว้เป็นหมวด เรยี กว่า พระไตรปฎิ ก ไดถ้ ่ายทอดกนั มาโดยระบบมขุ ปาฐะ หรือทอ่ งจำ (Oral Tradition) ดจุ สมยั ก่อนๆ ในประเทศไทยของเรา กม็ ีการนิยมต่อหนังสือค่ำ เจ็ดตำนานสิบสองตำนาน หรือท่องพระ ปาฎิโมกข์ โดยอาศัยการท่องปากตอ่ ปากจากครูบาอาจารย์ จนจำได้แมน่ ยำ และสบื ต่อกันมาถงึ อนุชน รนุ่ หลงั พระไตรปิฎกกเ็ ช่นกัน ตง้ั แต่ สงั คายนาครั้งแรก ศิษย์สายพระอบุ าลกี ็จดจำพระวินยั ปิฎก ศิษย์ สายพระอานนท์ กจ็ ดจำพระสตุ ตันตปฎิ ก และพระอภธิ รรมปฎิ กสบื ๆ กนั มาโดยมไิ ด้ขาดสาย ตวั อยา่ งสายพระอุบาลที ที่ า่ นแสดงไวต้ ามลำดับออกนามเฉพาะหวั หน้าสายดังนี้ ในอนิ เดีย พระอบุ าลเี ถระ พระทารกเถระ พระโสณกเถระ พระสคิ ควเถระ พระโมคคลั ลีบตุ รเถระ ในลงั กา ๕ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, มหาวํโส ปฐโมภาโค, (กรุงเทพฯ: วญิ ญาณ, ๒๕๔๑),หนา้ ๒๓๕. .
๘๓ พระมหินทเถระ พระอิฏฏยิ เถระ พระอุตตยิ เถระ พระสมั พลเถระ พระภัททนามเถระ ฯลฯ การท่องจำนี้ ไดก้ ระทำมาจนถึงสังคายนาคร้ังที่ ๕ ในลงั กาทวปี (ถา้ นับเฉพาะท่ีทำสังคายนา ในศรีลังกาก็เปน็ ครงั้ ท่ี ๒) ประมาณ พ.ศ. ๔๓๓ ในรัชสมัยของพระเจา้ วัฏฏคามณอี ภัย โดยมีพระรกั ขิต มหาเถระเปน็ ประธาน ทำท่ี อาโลกเลณสถาน ณ มตเลชนบท หรอื ที่เรียกวา่ มลัยชนบท ช่วยกันจารกึ พระไตรปิฎกลงในใบลาน ๖ นบั แตน่ น้ั มา พระไตรปฎิ กพร้อมท้ังอรรถกถาจงึ ได้รบั การ บนั ทึกเปน็ ลายลักษณ์อกั ษรเปน็ ครงั้ แรกในโลก ๔.๔.๒ การสังคายนาพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์ท่ีสำคัญย่ิงของพระพุทธศาสนา เป็นคัมภีร์ที่บันทึกคำสอน ของพระพุทธเจ้าอย่างละเอียด พระพุทธเจ้ายังทรงดำรงพระชนม์อยู่และมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบัน พระไตรปิฎกกำเนิดมาจากการส่ังสอนในระยะแกรกของพระพุทธเจ้า ด้วยการ สงั คายนา คือการจัดใหเ้ ป็นหมวดหมแู่ ล้วรวมเป็นปิฎก คำส่งั สอนของพระพุทธเจ้าในระยะแรกนั้นยัง ไม่เรียกว่า พระไตรปิฎก แต่มีคำเรียกหลายอย่าง คือ พรหมจรรย์ สาสนะ นวังคสัตถุศาสน์ ปาพจน์ ธรรมวินยั และสทั ธรรม ดงั นี้ พรหมจรรย์ พระองค์ใช้เรียกคำสอนในคราวส่งพระสาวกออกไปประกาศพระศาสนาคร้ังแรก พระพุทธเจ้าตรสั ถึงพรหมจรรย์วา่ “ภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้วจากบว่ งทั้งปวง ทั้งท่ีเป็นของทิพย์ ทั้งที่ เป็นของมนุษย์ แม้พวกเธอก็พ้นแล้ว จากบ่วงท้ังปวง ทั้งท่ีเป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ภิกษุ ท้งั หลายพวกเธอจงจาริกไป เพ่ือประโยชน์สุขแก่คนจำนวนมาก เพือ่ อนุเคราะห์ชาวโลกเพ่ือประโยชน์ เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ อย่าไปโดยทางเดียวกันสองรูป จงแสดงธรรมมีความงาม ในเบอ้ื งต้น มีความงามในทา่ มกลางและมคี วามงามในทีส่ ุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถและ พยัญชนะบริสุทธ์ิบริบูรณ์ครบถ้วน สัตว์ท้ังหลายที่มีธุลีในดวงตาน้อยมีอยู่ ย่อมเสื่อมเพราะไม่ได้ฟัง ธรรม จักมผี รู้ ้ธู รรม ภิกษุทัง้ หลาย แมเ้ รากจ็ ักไปยังตำบลอรุ ุเวลาเสนานิคม เพ่อื แสดงธรรม”๗ สาสนะ หรอื คำสงั่ สอนในวันที่ทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์แกพ่ ระสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูป พระองค์ ตรัสวา่ “การไม่ทำบาปท้ังปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจติ ของตนให้ผอ่ งแผว้ นค้ี ือคำส่ังสอน ของพระพุทธเจา้ ท้ังหลาย ๘ ๖ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , มหาวโํ ส ปฐโมภาโค, (กรุงเทพฯ: วิญญาณ,๒๕๔๑),หน้า ๒๓๕. ๗ วิ.ม.(บาลี) ๔/๓๒/๒๗. ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐. ๘ ท.ี ม. (บาล)ี ๑๐/๙๐/๕๐, ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๑๘๓/๔๙-๕๐ .
๘๔ นวังคสตั ถุศาสน์ ในสมัยพุทธกาล พระสาวกไดจ้ ดั รูปแบบพุทธพจน์ออกเป็นรูปแบบตา่ งๆ เพอ่ื สะดวกในการจดจำทีเ่ รียกวา่ นวังคสตั ถศุ าสน์ คอื คำสอนของพระศาสดาอันมีองค์ ๙๙ ไดแ้ ก่ ๑) สุตตะ ไดแ้ ก่ คำสอนท่ีแสดงเน้อื ความไดเ้ ร่ืองหนงึ่ ๆ เชน่ อภุ โต วภิ งั ค์ นิเทศ ขันกะ บริวาร พระสตู รในสุตตนบิ าต หรือพระพุทธวจนะอื่น ๆ ทม่ี ชี ื่อว่า สตุ ตะ ก็คอื พระวินัยปิฎกและ พระสูตรทั้งหลาย ๒) เคยยะ ไดแ้ ก่ คำท่ีมีร้อยแกว้ รอ้ ยกรองผสมกัน หมายเอาพระสูตรที่มีคาถาทง้ั หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสคาถวรรคในสังยตุ นิกาย ๓) เวยยากรณะ ไดแ้ ก่ คำทเ่ี ป็นจุณณยิ บท หรือร้อยแก้วลว้ น ๆ หมายถงึ พระอภิธรรม ทั้งหมดและพระสตู รที่ไม่มีคาถาเจอื ปน ๔) คาถา ได้แก่ คำร้อยกรองลว้ น ๆ หมายถงึ ธรรมบท เถระคาถา เถรีคาถา และคาถา ลว้ น ๆ สังยตุ ตนบิ าตทีไ่ ม่มชี ื่อวา่ เป็นพระสตู ร ๕) อทุ าน ไดแ้ ก่ คำที่พระศาสดาออกมาลอย ๆ ด้วยความโสมนสั หรือสังเวช เป็นคาถากม็ ี เป็นจณุ ณิยบทกม็ ี ๖) ชาดก ได้แก่ คำทีแ่ สดงในบพุ จารีตในกาลก่อนของพระพุทธเจา้ หมายถึงชาดก ๕๕๐ เร่อื ง มี อปัณณกะชาดก เป็นต้น ๗) อิตวิ ุตตกะ ไดแ้ ก่คำที่อา้ งว่าพระพทุ ธเจ้าตรัสไวอ้ ย่างน้ี ๆ มีคำว่า วตุ ตํ เหตํ ภควตา ๘) อพั ภูตธรรม ไดแ้ กค่ ำทแี่ สดงเร่ืองอัศจรรย์หรอื พระสตู รท่วี า่ ด้วยข้ออัศจรรยท์ ่ไมเ่ คยมที กุ สตู ร ๙) เวทัลละ ไดแ้ ก่ คำถามตอบหรือพระสตู รแบบถามตอบ ซ่งึ ผถู้ ามได้ทั้งความร้แู ละความ พอใจแลว้ ทลู ถาม ๆ ต่อไป เช่นจูฬเวทลั ลสูตร มหาเวทลั ลสตู ร สักกปญั หสูตร สัมมาทิฎฐสิ ตู รและ มหาปุณณมสตู ร พระผ้มู ีพระภาคทรงแสดงตามคำทูลถาม มลี กั ษณะสำคัญ ๒ อย่าง คือ ๑.ทูลถาม เพอื่ ขอความรู้ (เวทญฺจ) ๒.ทูลถามฟังแล้วพอใจ ตดิ ใจ (ตุฏฐฺ ญิ จฺ ) สทั ธรรม ปรากฏในอำนาจประโยชน์ของการบัญญตั ิพระวินัย ๑๐ ประการ พระองค์ตรสั เรยี กคำสอนของพระองคว์ า่ สทธฺ มฺมฏฐฺ ติ ิยา แปลว่า เพื่อความดำรงมั่นแห่งพระสัทธรรม สทั ธรรม มี ๓ คือ ปรยิ ตั ิสัทธรรม (การศกึ ษาเลา่ เรียน) ปฏิบตั สิ ทั ธรรม (การลงมือปฏิบตั ติ าม) และปฏิเวธ สทั ธรรม (การบรรลุผล) ปาพจน์ พระองค์ตรสั ไวใ้ นวันท่เี สด็จดบั ขันธปรนิ พิ พานวา่ “อานนท์ บางทีพวกเธออาจจะ คิดว่า ปาพจนม์ ีศาสดาล่วงลับไปแลว้ พวกเราไม่มีศาสดา๑๐ ธรรมวนิ ยั ในวันท่จี ะเสด็จดับขนั ธปรนิ ิพพาน พระพุทธเจ้ามิไดท้ รงแตง่ ตง้ั ใครเปน็ ศาสดาทำ หนา้ ทแ่ี ทนพระองค์แต่ทรงยกพระธรรมวนิ ัยเป็นศาสดาแทน “ดกู ่อนอานนท์ ธรรมและวนิ ยั ทเี่ รา แสดงแลว้ บัญญตั แิ ล้วแก่เธอทัง้ หลาย หลังจากท่เี ราลว่ งลับไป ก็จะเปน็ ศาสดาของเธอทั้งหลาย” ๙ ดบู ทนำ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/(๙) และดู วิ.อ.(ไทย) ๑/๑/๕๖-๕๘ (มมร.) ๑๐ ที.ม.(ไทย) ๑๐/๒๑๖/๑๖๔ .
๘๕ การเรียกคำสง่ั สอนของพระพุทธเจ้ามหี ลายลักษณะดงั กล่าวมาน้ี พระสาวกไดจ้ ดจำสบื ตอ่ กัน ดว้ ยวิธีมขุ ปาฐะคือท่องจำระหวา่ งศิษย์กบั อาจารย์บางทา่ น กต็ งั้ เปน็ สำนักสอนศิษยจ์ ำนวนมาก การ เรยี น การสอนนน้ั ก็แบง่ ออกเปน็ สายตามลักษณะของพทุ ธพจน์ท่เี รยี น ดังปรากฏในพระวินยั ปิฏก ๔.๕ การรวบรวมหลกั คำสอนเป็นหมวดหมู่ การประมวลคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรือประมวลพระธรรมวนิ ัยไว้น้ัน นอกจากประมวล คือรวบรวมมาแลว้ ก็มกี ารจดั หมวดหมเู่ พ่ือใหท้ รงจำได้สะดวกและง่ายต่อการแบ่งหน้าท่กี ันในการ รักษา กับท้งั เกือ้ กลู ต่อการศึกษาคน้ ควา้ ธรรมนัน้ แยกย่อยออกไปเปน็ ๒ ส่วน คือ พระสูตรและ อภธิ รรมเพราะธรรมน้ันมากมาย ตา่ งจากวินัยซง่ึ มีขอบเขตแคบกวา่ เพราะวินัยเปน็ เร่ืองของบทบญั ญัติ เก่ียวกับการรักษาสังฆะ คือคณะสงฆ์ไว้ เพ่ือใหช้ มุ ชนแห่งพระภิกษุ และพระภิกษุณี ดำรงอยดู่ ว้ ยดี แต่ ธรรมเป็นคำสอนที่ครอบคลุมพระพุทธศาสนาท้งั หมด สำหรับพุทธบริษัททัง้ ๔ เน่ืองจากธรรมมี มากมาย จงึ มีการแบ่งหมวดหมู่ออกไปอีก โดยแยกเป็นดงั นี้ ๑. ธรรมท่พี ระพุทธเจา้ ตรัสแสดงไปตามกาลเทศะ ตามเรื่องราวทเี่ กิดข้นึ คือเสดจ็ ไปพบคน โน้น เขาทลู ถามเร่ืองน้ี พระองค์ก็ตรสั ตอบไป เสด็จไปพบชาวนา ทรงสนทนาโต้ตอบกบั เขา จนจบไป ก็เป็นเร่อื งหนึ่ง เสดจ็ ไปเจอกับพราหมณ์ ไดส้ นทนากบั เขา หรอื ตอบคำถามของเขา ก็เปน็ อีกเรื่องหน่ึง ไปเจอกษัตริย์หรือเจ้าชาย ก็สนทนากันอีกเรือ่ งหนง่ึ ธรรมที่ตรัสแสดงแก่บคุ คลตา่ งๆ ในสถานการณ์ ต่างๆแตล่ ะเร่อื งๆจบไปเรื่องหนงึ่ ๆนเี่ รียกว่าสตู รหนึ่งๆ ธรรมมาในรปู นีม้ ากมาย เร่ืองหน่ึงๆ กม็ ีสาระไป อย่างหนง่ึ ตามแต่ว่าพระองคไ์ ด้ตรสั แกบ่ คุ คลประเภทใด เพื่อทรงชี้แจงอธิบายหรอื ตอบปัญหา เรือ่ ง ไหนตรงกบั พื้นเพภมู หิ ลังความสนใจ และระดับความร้คู วามเข้าใจหรือระดับสติปัญญาของเขา ฉะน้ัน ธรรมแบบนจ้ี ึงเห็นไดว้ า่ มีเนื้อหาแตกตา่ งกันมาก พอจบเร่ืองนที้ ่ีตรสั แกช่ าวนา ซึง่ เป็นธรรมระดบั หนงึ่ เพยี งเปลี่ยนไปอีกเรอ่ื งหนงึ่ เท่าน้นั ก็เป็นธรรมคนละด้านคนละระดบั กนั เลย ตวั อยา่ งเชน่ ตรัสกับชาวนา เปน็ เร่ืองการทำมาหากิน หรือเร่ืองการหวา่ นพชื กอ็ าจจะตรัส เกี่ยวกบั ความขยันหมน่ั เพยี ร หรอื อาจจะเทียบกบั การปฏิบตั ขิ องพระภกิ ษกุ ส็ ุดแต่ แตพ่ อไปอีกเร่ือง หน่งึ พระองค์สนทนากับพราหมณ์ ก็อาจจะตรัสเรอื่ งวรรณะ หรือเร่ืองไตรเพทของพราหมณ์ หรือเรื่อง การบูชายัญ ดังนี้เป็นต้น ธรรมทต่ี รัสแบบนี้ พอเปลย่ี นเร่อื งไป เน้ือหาก็เปลีย่ นไป หา่ งกันมาก ฉะนัน้ เน้อื หาสาระจึงไม่ไปตามลำดับ แตล่ ะเรื่องๆ น้ันก็เรยี กวา่ สูตรหน่ึงๆ ธรรมทต่ี รัสแสดงแบบน้ี คอื ตรสั แสดงแกบ่ ุคคล โดยปรารภเรือ่ งราว เหตุการณ์ สถานการณค์ นละอยา่ งๆ นี้ รวมไวด้ ้วยกัน จัดไว้พวก หน่ึงเรียกวา่ พระสตู รหรอื พระสตุ ตันตปฎิ ก ๒. ธรรมอกี ประเภทหน่งึ คือธรรมที่แสดงไปตามเน้ือหาไมเ่ ก่ียวข้องกบั บุคคลหรอื เหตกุ ารณ์ ไม่คำนึงว่าใครจะฟงั ทงั้ ส้นิ เอาแตเ่ นอ้ื หาเปน็ หลัก อย่างทเี่ รยี กกนั ในปจั จุบนั ว่าเป็นวชิ าการลว้ นๆ คือ ยกหวั ข้อธรรมอะไรขึน้ มา ก็อธิบายใหช้ ดั เจนไปเลย เช่นยกเรอ่ื งขันธ์ ๕ มา ก็อธบิ ายว่าขันธ์ ๕ นั้น คอื อะไร แบ่งออกเปน็ อะไรบา้ ง แตล่ ะอยา่ งนั้นเป็นอย่างไรๆ อธบิ ายไปจนจบเร่ืองขนั ธ์ ๕ หรอื ว่าเรอื่ ง ปฏิจจสมุปบาทกอ็ ธิบายไปในแง่ดา้ นต่างๆ จนกระท่ังจบเร่ืองปฏจิ จสมุปบาทนน้ั ธรรมที่แสดงเอา เน้ือหาเป็นหลักอยา่ งนี้ ก็จัดเป็นประเภทหนึง่ เรยี กว่า พระอภิธรรม ส่วนวนิ ัยเปน็ เรอื่ งของบทบญั ญัติ ยังคงเป็นวนิ ัยอยู่เทา่ นั้น เรยี กกันวา่ พระวินัย ตอนน้ีจะเห็นวา่ เมอ่ื แยกธรรมเปน็ ๒ สว่ น คอื เป็นพระ .
๘๖ สตู รกบั อภิธรรม แล้วมีวินัยเดิมอกี หน่ึง ธรรมเป็น ๒ วนิ ัย ๑ เม่อื รวมพระวนิ ยั ปฎิ ก พระสุตตันตปฎิ ก และ พระอภธิ รรมปฎิ ก เขา้ ด้วยกนั เป็นหมวดหมู่ใหญ่ เรียกว่าพระไตรปฎิ ก คำวา่ ปิฎก แปลว่า ตะกร้าหรือกระจาด โดยมคี วามหมายเชิงเปรยี บเทียบวา่ เปน็ ที่รวบรวม เพราะตะกร้า กระจาด เปน็ ที่รวบรวมทพั สมั ภาระ ในทนี่ ี้ก็คือรวบรวมจัดคำส่ังสอนของพระพทุ ธเจ้าไว้ เปน็ ประเภทๆ เป็นหมวดๆ จึงเปน็ ๓ ปิฎก เรยี กว่า ไตรปิฎก คอื ๑.พระวนิ ัยปิฎก เปน็ ทรี่ วบรวมพระวนิ ัย ซึง่ ประกอบดว้ ยกฎเกณฑก์ ติกา สำหรบั รักษาภิกษุสงฆแ์ ละภกิ ษุณีสงฆไ์ ว้ ๒.พระสุตตนั ปิฎก เป็นทร่ี วบรวมพระสตู รทั้งหลาย คอื ธรรมที่ตรัสแสดงแกบ่ ุคคล หรือปรารภเหตกุ ารณ์หรือสถานการณ์อะไรบางอย่างเปน็ แต่ละเร่ืองๆไป ๓.พระอภธิ รรมปฎิ ก เป็นทีร่ วบรวมคำอธบิ ายหลักคำสอน ทีเ่ ปน็ เน้ือหาสาระ เป็น หลักการแท้ๆ หรอื เป็นวิชาการล้วนๆ ๔.๖ การศึกษาพระไตรปฎิ กยคุ จารึกเป็นอักษร กล่าวได้ว่า พระไตรปิฎก ก็คือที่รวบรวมพระธรรมวินัย คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ เรียกว่าเป็นพระพุทธศาสนา ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรสั ไว้ว่า น่ีแหละคือ ศาสดาของชาวพุทธทั้งหลาย ถือ กนั มาเป็นหลักวา่ จะต้องรกั ษา แล้วก็เล่าเรียน และปฏิบัติตามหลักคำสอนในพระไตรปฎิ กนี้ พร้อม กันนั้นก็ใช้คำสั่งสอน คือพระธรรมวินัยในพระไตรปิฎกนี้ เป็นหลักเป็นเกณฑ์มาตรฐานในการตัดสิน ความเชื่อถือ และการประพฤติปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งหลายว่า เป็นพระพุทธศาสนาหรือไม่ ถ้า ไม่เป็นไปตามที่ได้รวบรวมประมวลสังคายนาและรักษาสืบต่อไว้ในพระไตรปิฎก หรือคลาดเคล่ือน จากน้ัน ก็ไม่ใชพ่ ระพุทธศาสนา ถ้าถูกต้องตามน้ันก็เป็นพระพทุ ธศาสนา ส่ิงท่ีเราเล่าเรียนปฏิบัติ ไม่ ว่าจะเป็นด้านวินัยของพระภิกษุสงฆ์ เช่น การบวช การมีโบสถ์ การสร้างกุฏิ การกรานกฐิน และสังฆ กรรมต่างๆ การใช้ไตรจีวรของพระภิกษุ การท่ีพระภิกษุทำอะไรได้หรือไม่ได้ การต้องอาบัติต่างๆ มี ปาราชิกเป็นต้น หรือการที่ชาวบ้านจะทำบุญทำทาน คำว่าทานก็ดี คำว่าบุญก็ดี เรื่องศีล เร่ืองสมาธิ เรื่องปัญญาไตรสิกขา ภาวนาต่างๆ ขันธ์ ๕ ไตรลักษณ์ อริยสัจ ตลอดถึงพระนิพพาน ก็ล้วนมาจาก พระไตรปิฎกท้ังนั้น ถ้าไม่มีพระไตรปิฎก เราก็ไม่รู้จักถ้อยคำเหล่านี้เลย และพระภิกษุก็ไม่มีมาตรฐาน ท่ีจะวัดว่าตัวประพฤติปฏิบัติอย่างไรถูก อย่างไรผิด อะไรเป็นอาบัติปาราชิก อะไรเป็นอาบัติ สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ไม่มีพระไตรปิฎกเสียอย่างเดียว เป็นอันหมดส้ิน คือหมดสิ้น พระพุทธศาสนาน่นั เอง เป็นอันวา่ เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ก็ฟังคำสั่งสอนของพระองค์จาก พระพุทธเจ้าโดยตรง แต่เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เราต้องการพระพุทธศาสนา คือ ต้องการ คำส่ังสอนของพระพุทธเจ้า เราจะไปเอาจากท่ีไหน ก็ต้องไปเอาจากที่ท่านรวบรวมประมวลไว้ ซ่ึง ถ่ายทอดสืบต่อกันมาในพระไตรปิฎก เพราะพระไตรปิฎกเป็นท่ีรักษาสืบทอดพระพุทธศาสนาไว้ หรือ รกั ษาคำสัง่ สอนของพระพทุ ธเจ้าไว้ พระธรรมวินัยท่ีพระองค์ตรัสบอกนั้นมีจำนวนมากถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แต่ก็เป็น เพียงคำสอนท่ีพระองค์นำมาตรัสสอนเพียงเล็กน้อยเท่าน้ัน ดังท่ีตรัสไว้ในสีสปาวนสูตร เม่ือพระองค์ ทรงหยิบใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบ ขึน้ มาแล้ว ตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ใบประดู่ลายทที่ รงหยบิ ขน้ึ มากับ .
๘๗ บนต้นไมอ้ ย่างไหนมากกว่ากัน เม่ือภิกษทุ ้ังหลายกราบทูลวา่ บนตน้ ไม้มากกว่า จึงตรสั ว่าสิ่งท่ีพระองค์ ทรงรู้แต่มิได้ตรัสบอกเพราะไม่มีประโยชน์ก็มีมากเหมือนใบไม้บนต้นไม้ส่วนที่พระองค์ตรัสบอกก็คือ อริยสจั ๔ ประการ เพราะเปน็ สิง่ ท่ีมีประโยชน์๑๑ คำส่ังสอนที่พระองค์ตรัสบอกน้ัน พระเถระผู้ใหญ่มีพระสารีบุตร พระโม คคัลลานะ พระอานนท์ พระอนุรุทธะ พระมหากัสสปะ พระมหากจั จายนะ และพระอุบาลีเป็นต้น ได้ทรงจำ ไว้ ต่อมาเกิดเป็นสำนักขึ้นแต่ละสำนักของท่านเหล่นั้นมีผู้สนใจเป็นศิษย์เข้าศึกษาธรรมจำนวนมาก ตัวอย่าง เช่นพระสารีบุตรได้แสดงสังคีติสูตรที่ มีเน้ือหาการสังคายนาพระธรรมวินัยให้เป็นหมวดหมู่ เสร็จแล้วได้บอกศิษย์ ๕๐๐ รูปให้ท่องจำเอาไว้ เป็นคัมภีร์มหานิทเทสที่ท่านนำอัฎฐกวรรคมาแต่ง ขยายความและคัมภีร์ปฎิสัมภิทามรรคเป็นแม่แบบอรรถกถา สาเหตุทำให้พระอานนท์ต้องนำขึ้นสู่ สงั คายนาครั้งแรก สำนักเรยี นของพระอานนท์เป็นสำนักใหญ่ทีส่ ุด มีศิษยท์ ั้งภิกษุและภิกษุณีเข้าศึกษา กว่าพันรูป ปีท่ีพระพุทธเจ้า ปรินิพพานชาวบ้านให้เด็กหนุ่มบวชเป็นพระและสามเณรเรียนในสำนัก ของท่าน จนถึงกับถูกตำหนิจากพระมหากัสสปะเถระว่า เที่ยวไปกับบริวารท่ีเป็นเด็ก๑๒ เข้าไปให้ โอวาทแกพ่ วกภิกษณุ ี หลงั จากท่านกลับไปนางถุลลติสสาภกิ ษุณไี มพ่ อใจกล่าวหาทา่ นพระมหากัสสปะ ว่า ไฉนเล่าจึงกล้าแสดงธรรมต่อหน้าท่านพระอานนท์ผู้เป็นมุนีเปรื่องปราชญ์ ช่างเหมือนพ่อค้าเข็ม มาเสนอขายเข็มให้แก่ช่างเข็มผู้ชำนาญ๑๓ ข้อน้ีแสดงความเชื่อถือในสำนักของพระอานนท์เถระ สำนักเรียนของพระอุบาลี มีพระภิกษุจำนวนมากเข้ามาเรียนพระวินัย มีทั้งพระเถระ พระมัชฌิมะ และพระนวกะ ปรากฏว่าพระเถระยืนเรียนเพราะเคารพธรรม พระอบุ าลีกต็ ้องยนื สอนเพราะเคารพ พระเถระ ทำให้เหน่ือยกันทั้งศิษย์และอาจารย์จนกระท่ังพระพุทธเจ้าต้องทรงอนุญาตให้จัดเตียงและ ต่ัง(ม้าน่ัง) นั่งเรียนกัน๑๔ เม่ือมีภิกษุเรียนกันมากพวกท่ีพยายามหลีกเลี่ยงพระวินัยก็เดือดร้อน พระฉัพพัคคีย์กลัวว่าพระเหล่าน้ันจะมาชักจูงหรือช้ีนำต้วเองจึงพากันดูหมิ่นพระวินัย๑๕ สำนักพระ อนุรุทธะก็มีศิษย์มากเช่นกัน คราวหน่ึงศิษย์ของพระอนุรุทธะช่ืออาภชชิกะ ได้กล่าวล่วงเกินกับศิษย์ ของพระอานนท์ชื่อภัณฑะด้วยเร่ืองสุตะ(การศึกษา) ว่า “มาเถิดภิกษุ ใครจักกล่าวได้มากกว่ากัน ใครจักกล่าวได้กว่ากันและใครจักกล่าวได้นานกว่ากัน”๑๖ เร่ืองน้ีชี้ให้เห็นถึงระบบการศึกษาใน พระพุทธศาสนา สำนักของพระมหากัจจายนะที่ไปต้ังม่ันอยู่ท่ีแคว้นอวันตีน้ัน มีระบบการเรียนการ สอนอยา่ งชดั เจน เพราะพระมหากจั จายนะเคยรับราชการเปน็ ปุโรหิตมาก่อน คงนำวิธีการมาสอนศิษย์ จึงปรากฎว่าพระโสณะกฏุ ิกัณณะศิษยข์ องท่านได้เล่าเรยี นอัฎฐกวรรค กับพระมหากัจจายนะตั้งแตเ่ ป็น อบุ าสก ภายหลงั ได้บวชแลว้ เขา้ เฝา้ พระพุทธเจ้าและได้มโี อกาสสวดอัฏฐกวรรคถวายพระพุทธเจา้ จน ได้รับเอตทัคคะดา้ นสวดสรภญั ญะ เม่อื มีภกิ ษุจำนวนมากมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจา้ พระทัพพมัลลบตุ รได้ จดั เสนาสนะเป็นกลุ่ม ๆ ตามจำนวนกลุม่ ทม่ี าเข้าเฝา้ พระพทุ ธเจา้ ๑๑ สํ.ม.(ไทย) ๑๙/๑๑๐๑/๖๑๓. ๑๒ สํ.น.ิ (ไทย)๑๖/๑๕๔/๒๕๖ ๑๓ สํ.นิ.(ไทย) ๑๖/๑๕๓/๒๕๓ ๑๔ วิ.ม.(ไทย) ๒/๓๒๐/๑๓๘-๑๓๙ ๑๕ ว.ิ ม. (ไทย) ๒/๔๓๘/๕๔๘ ๑๖ สํ.นิ.(ไทย) ๑๖/๑๔๙/๕๔๘ .
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178