Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภูมินามตำบลเมืองบางขลัง อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย

ภูมินามตำบลเมืองบางขลัง อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย

Published by nkhwanchanok, 2019-12-27 20:43:03

Description: ส่วนหนึ่งของการวิจัยการศึกษาภูมินามโดยเครือข่ายชุมชน ตำบลเมืองบางขลัง อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ปี ๒๕๕๘

Keywords: ภูมินาม,ตำบลเมืองบางขลัง,สุโขทัย

Search

Read the Text Version

ฒ ภูมินามตาํ บลเมอื งบางขลัง Toponyms of MuangBangkhlang หนังสือเล่มนเี้ ป็นสว่ นหนง่ึ ของการเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั เร่ือง การศกึ ษาภมู นิ ามโดยเครือขา่ ยชมุ ชนตาํ บลเมืองบางขลัง อําเภอสวรรคโลก จงั หวัดสุโขทัย ซึง่ ไดร้ ับรางวลั ผลงานวิจัยดมี ากแบบบรรยาย ในการประชุมใหญ่โครงการส่งเสริมการวจิ ัยในอดุ มศกึ ษา คร้ังที่ ๔ (HERP CONGRESS IV)

ก คาํ นํา ตําบลเมืองบางขลัง เป็นชุมชนท่ีมีประวัติความเป็นมา ยาวนาน ตามปรากฏหลกั ฐานวา่ มีการต้ังถ่ินฐานเมืองบางขลังแล้ว ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ และนอกจากน้ีช่ือเมืองบางขลัง ยงั ปรากฏใหเ้ หน็ ในหลกั ศลิ าจารึก หลักที่ ๒ (จารึกวัดศรีชุม) และ เอกสารทางประวัติศาสตร์อีกหลายแห่ง ท่ีปรากฏให้เห็นว่าเมือง บางขลังเป็นเมืองท่ีมีความสําคัญทางเศรษฐกิจ และการเมืองของ ประเทศไทยในอดตี การรวบรวมภูมินามในตําบลเมืองบางขลังครั้งน้ี เป็น การศกึ ษาคน้ คว้าจากขอ้ มลู ปฐมภมู ิ คือ ข้อมลู จากการสัมภาษณ์ผู้รู้ ในชมุ ชน เปน็ หลกั ดัง นั้น ก าร จั ดทํ า ห นั ง สื อ ฉ บั บ นี้ จึ ง มี วั ต ถุป ร ะ ส ง ค์ เ พื่ อ รวบรวมองค์ความรู้ในด้านช่ือเรียกและท่ีมา ของสถานที่ โบราณสถาน โบราณวัตถุ หรือสิ่งอ่ืนๆ ท่ีมีเร่ืองเล่าหรือประวัติ ความเป็นมา ซงึ่ การเกบ็ ขอ้ มูลใช้กระบวนการทํางานของเครือข่าย ชุมชน ผ่านกระบวนการของการวิจัยแบบมีส่วนร่วม (PAR) เพ่ือ นําไปสู่การสร้างฐานข้อมลู ทีเ่ ป็นองค์ความรเู้ ฉพาะของท้องถ่นิ ผู้จัดทําหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือภูมินามในตําบลเมือง บางขลงั ซึ่งเปน็ สว่ นหน่ึงของผลงานวจิ ัยเร่อื ง การศึกษาภูมินามโดย เครือข่ายชุมชน ตําบลเมืองบางขลัง อําเภอสวรรคโลก จังหวัด สุโขทัย ฉบับน้ีจะเป็นประโยชน์ต่อองค์กร ชุมชน ในฐานะ

ข ฐานข้อมลู ในการสง่ เสรมิ สนับสนนุ การจัดการศึกษาในทอ้ งถ่ิน หรอื เป็นฐานข้อมูลในการจัดการท่องเท่ียวโดยชุมชน ตลอดจนมี ประโยชนต์ ่อแวดวงวชิ าการในการศกึ ษาขอ้ มูลภมู นิ ามตอ่ ไป คณะผู้จดั ทํา

ค สารบญั หน้า ๑ แผนท่ีสงั เขป ตําบลเมอื งบางขลัง อาํ เภอสวรรคโลก จงั หวัดสโุ ขทยั ๒ ๓ บทนาํ ๕ ทมี่ าของนาม“เมอื งบางขลงั ” ๘ ประวัติศาสตรเ์ มอื งบางขลงั ๙ ลักษณะทางกายภาพ ๑๐ อาณาเขตและลกั ษณะภูมปิ ระเทศ ๑๐ ดิน ๑๑ แหลง่ นํา้ ๑๒ อากาศ ๑๒ พืชพรรณธรรมชาติ ๑๓ สภาพสงั คม ๒๐ การปกครอง ๒๐ โรงเรียน โบราณสถาน ๒๒ ๒๒ ภูมินามในตาํ บลเมืองบางขลงั ๒๓ ข้อมูลจากการสมั ภาษณ์ ข้อมลู จากเอกสาร

ง หนา้ ๒๗ สารบญั (ต่อ) ๒๘ ๓๑ หม่ทู ่ี ๑ บา้ นคลองแห้ง ๓๒ วดั คลองแห้งหรอื วัดบปุ ผาราม ๓๓ ถนนคนเกณฑ์ ๓๔ แมน่ าํ้ ฝากระดาน ๓๔ คลองลาว ๓๕ คลองวังควาย/บ้านกอเตย ๓๕ พรรณไม้พื้นเมือง ๓๕ ต้นเตยปา่ ต้นมะขามพระร่วง ๓๖ ตน้ มะมว่ งกลีบล้าน ๓๗ ๓๘ หมทู่ ่ี ๒ บ้านปากคลองช้าง/บา้ นไผ่พนม ๓๙ บา้ นไผพ่ นม ๔๐ ฝายนครพระราม ๔๐ วัดปากคลองชา้ ง ๔๑ โรงเรียนวดั ปากคลองช้าง ๔๒ ฝายตาออย เหมืองตาออย เหมืองตาต่นุ

สารบัญ (ต่อ) จ หมู่ท่ี ๓ บา้ นปากคลองช้าง หน้า บ๋งุ พลบั ๔๓ วดั โพธิ์ทอง ๔๓ วัดไทรยอ้ ย ๔๔ คลองหมูโจน ๔๕ เหมอื งครูพวง ๔๕ ๔๖ หมูท่ ี่ ๔ บา้ นขอนซงุ วดั ขอนซุง ๔๗ โรงเรยี นบ้านขอนซงุ ๔๘ เขาพระเขาเณร ๕๐ คลองตนั ตาหนุน ๕๑ คลองมะมว่ ง ๕๒ คลองแมเ่ บย้ี (คลองไอเ้ บยี้ ) ๕๒ ๕๒ หมูท่ ่ี ๕ บ้านวดั โบสถ์ วดั โบสถเ์ มืองบางขลัง ๕๓ มณฑปโบราณ ๕๔ โบสถจ์ ตั รุ มขุ ๕๖ ตระพงั โบราณ ๕๗ ๕๙

ฉ สารบัญ (ต่อ) หนา้ ๖๐ บ่อพญานาค ๖๑ ข้าวตอกพระร่วง ๖๓ เตาโบราณ ๖๔ หลวงพอ่ ขาวเนรมิต (พระพทุ ธศรสี ุรียม์ งคลพลญาณ) ๖๖ หลวงพอ่ สามพนี่ ้อง ๖๗ วดั ปา่ สะเดา (กรุตาเผยี น) ๖๘ วัดเจดียเ์ จ็ดแถว ๖๙ โรงเรียนบ้านวัดโบสถ์ ๗๐ คลองยาง ๗๑ วัดเจดีย์โทน ๗๒ สระนา้ํ โบราณศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ (สระคู่) ๗๔ เจดีย์ตาโหนก ๗๕ เขาวงเด่อื ๗๗ หอคอยโบราณ ๗๘ ลานหลบภัย ๗๙ ถาํ้ ผาแดง ๘๐ ถนนพระร่วง ๘๒ วดั ตน้ มะเด่ือ (กรุตาชน้ื ) ๘๓ ถํา้ อัด ๘๓ ถ้ําค้างคาว

ช สารบัญ (ต่อ) หน้า บ่อตดั ศลิ าแลง ๘๔ โซกแปง้ ๘๖ คลองวังเดือ่ ๘๘ วัดเขาเด่ือ ๘๙ พรรณไมพ้ ้นื เมอื ง ๙๐ ต้นผ่าด้าม/ตน้ ผา่ ดา้ มคาํ มอกหลวง ๙๐ หมู่ท่ี ๖ บ้านน้าํ ดว้ น ๙๑ บ้านนาํ้ ด้วน ๙๑ คลองน้ําด้วน ๙๒ ศาลเจ้าพอ่ ดงเย็น (ศาลเจา้ พอ่ ภมุ ริน) ๙๒ เขาวงพระจันทร์ (เขาดงขา่ ) ๙๓ โรงเรียนบา้ นวงพระจนั ทร์ ๙๔ วัดศรีคงคาราม ๙๕ คลองหมูโจน ๙๖ ถา้ํ ทองคาํ ๙๗ เจดยี ์โบราณ ๙๗ ถํา้ ลงิ ๙๗ บอ่ นํา้ ทิพย์ ๙๘ คลองทรายมลู ๙๙

ซ สารบญั (ต่อ) หนา้ ๙๙ วดั คลองทรายมลู ๑๐๐ วัดรมิ คลองยาง (กรุตาแกวง่ ) โจ๋หนองไผ่ ๑๐๐ ฝายมะโกมาลยั ๑๐๑ หมทู่ ี่ ๗ บ้านนากลาง ๑๐๒ คลองยายเกล้ียง ๑๐๒ คลองแหง้ ๑๐๓ คลองทา่ มกั กะสัง ๑๐๓ คลองขีเ้ หลก็ ๑๐๔ คลองบง ๑๐๕ กรเุ จดีย์โทน ๑๐๕ วัดไทรงาม ๑๐๖ ต้นมะขามพระรว่ ง (มะขามไรเ้ มด็ ) ๑๐๗ กรุตาสอน ๑๐๘ วัดกรยุ ายชี ๑๐๘ หมทู่ ี่ ๘ บ้านไผข่ วาง/บา้ นท่ามะเกลือ/หมูบ่ า้ นแย้ ๑๐๙ บ้านไผ่ขวาง ๑๐๙ หมูบ่ า้ นท่ามะเกลือ ๑๑๐

สารบัญ (ต่อ) ฌ หมบู่ ้านแย้ หน้า วดั ป่าสกั ใต้ (กรตุ าทอน) ๑๑๑ วดั ปา่ พุทรา (กรุยายหลา้ ) ๑๑๒ วดั ป่าประดู่ (กรตุ าหนดิ ) ๑๑๓ ศาลเจ้าพอ่ ทา่ มะเกลอื ๑๑๔ ถนนพระร่วง ๑๑๕ คลองสฟี ัน ๑๑๗ ๑๑๘ หม่ทู ี่ ๙ บา้ นขอนซงุ บุ๋งอีหงิ ๑๑๙ ฝายตาวา ๑๒๐ เหมืองตาช่นื ๑๒๑ เหมอื งตาคํา ๑๒๑ วดั ป่าทงุ่ กระถนิ ๑๒๒ บ้านรา้ งวังหมัน ๑๒๒ ๑๒๓ บทสรปุ บรรณานกุ รม ๑๒๕ แหล่งขอ้ มูลสมั ภาษณ์บคุ คล ๑๒๘ รายนามทปี่ รึกษาการจดั ทํา ๑๓๐ รายนามผ้จู ัดทํา ๑๓๕ ๑๓๖

ญ หนา้ ๒๘ สารบญั ภาพ ๒๙ ภาพท่ี ๑ วดั คลองแห้งหรือวัดบปุ ผาราม ๒๙ ภาพที่ ๒ สถานทใ่ี นวัดคลองแห้งทเ่ี คยต้ังเป็นโรงเรียน ๒๙ ภาพที่ ๓ อุโบสถวัดเกาะหนิ ต้งั ๓๐ ภาพท่ี ๔ หินตงั้ จาํ ลอง ภาพท่ี ๕ รากฐานโบสถโ์ บราณ ๓๐ ภาพที่ ๖ ใบเสมาโบราณ ๓๑ ภาพที่ ๗ ถนนคนเกณฑ์ ๓๒ ภาพที่ ๘ แม่นํ้าฝากระดาน ภาพท่ี ๙ คลองลาว ๓๓ ภาพท่ี ๑๐ คลองวังควาย/บา้ นกอเตย ๓๔ ภาพที่ ๑๑ บ้านปากคลองชา้ ง/บา้ นไผ่พนม ๓๖ ภาพท่ี ๑๒ บา้ นไผพ่ นม ภาพท่ี ๑๓ ฝายนครพระราม ๓๗ ภาพที่ ๑๔ วัดปากคลองช้าง ๓๘ ภาพท่ี ๑๕ วดั ปากคลองช้าง ๓๙ ภาพที่ ๑๖ โรงเรียนวัดปากคลองชา้ ง ภาพท่ี ๑๗ ฝายตาออย ๓๙ ภาพท่ี ๑๘ เหมอื งตาออย ๔๐ ภาพที่ ๑๙ บงุ๋ พลบั ๔๑ ภาพที่ ๒๐ คลองหมูโจน ภาพที่ ๒๑ บา้ นขอนซุง ๔๒ ๔๓ ๔๕ ๔๗

สารบญั ภาพ (ต่อ) ฎ ภาพท่ี ๒๒ ทางเข้าวัดขอนซุง หนา้ ภาพท่ี ๒๓ วัดขอนซงุ ๔๘ ภาพที่ ๒๔ โรงเรยี นบ้านขอนซงุ ๔๙ ภาพที่ ๒๕ เขาพระ ๕๐ ภาพที่ ๒๖ เขาเณร ๕๑ ภาพท่ี ๒๗ มณฑปโบราณ วัดโบสถ์เมอื งบางขลงั ๕๑ ภาพที่ ๒๘ มณฑปโบราณวัดโบสถเ์ มืองบางขลงั ๕๓ ภาพท่ี ๒๙ มณฑปโบราณวดั โบสถเ์ มอื งบางขลัง ๕๔ ภาพท่ี ๓๐ วัดโบสถ์เมอื งบางขลงั ๕๔ ภาพท่ี ๓๑ ศาลาการเปรยี ญวดั โบสถเ์ มืองบางขลงั ๕๔ ภาพที่ ๓๒ มณฑปโบราณ (ปัจจบุ ัน) ๕๕ ภาพท่ี ๓๓ โบสถ์จัตรุ มขุ ๕๖ ภาพที่ ๓๔ ด้านหลงั โบสถจ์ ัตุรมุข ๕๗ ภาพท่ี ๓๕ ตระพงั โบราณ ๕๘ ภาพท่ี ๓๖ บอ่ พญานาค (๑) ๕๙ ภาพที่ ๓๗ บอ่ พญานาค (๒) ๖๐ ภาพที่ ๓๘ รปู ปนั้ พ่อปู่พญานาค ๖๐ ภาพท่ี ๓๙ ขา้ วตอกพระรว่ ง ๖๑ ภาพท่ี ๔๐ เตาโบราณ ๖๒ ภาพที่ ๔๑ หลวงพ่อขาวเนรมติ ๖๓ ๖๔ (พระพทุ ธศรสี รุ ยี ์มงคลพลญาณ)

ฏ หนา้ ๖๖ สารบัญภาพ (ต่อ) ๖๗ ภาพที่ ๔๒ หลวงพอ่ สามพี่น้อง ๖๘ ภาพที่ ๔๓ วดั ป่าสะเดา (กรุตาเผยี น) ๖๘ ภาพท่ี ๔๔ โบราณสถานวัดเจดียเ์ จด็ แถว ๖๙ ภาพที่ ๔๕ โบราณสถาน วดั เจดียเ์ จด็ แถว ภาพท่ี ๔๖ โรงเรียนบา้ นวัดโบสถ์ ๗๐ ภาพท่ี ๔๗ คลองยาง ๗๑ ภาพท่ี ๔๘ โบราณสถานวดั เจดียโ์ ทน ๗๒ ภาพที่ ๔๙ สระนํา้ โบราณศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ (สระคู่) ภาพท่ี ๕๐ สระน้ําโบราณศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ (สระคู่) ๗๓ ภาพที่ ๕๑ เจดยี ์ตาโหนก ๗๔ ภาพท่ี ๕๒ เขาวงเดื่อ ๗๕ ภาพที่ ๕๓ หอคอยโบราณ ภาพที่ ๕๔ ลานหลบภยั ๗๗ ภาพที่ ๕๕ ถา้ํ ผาแดง ๗๘ ภาพท่ี ๕๖ ถนนพระร่วง ๗๙ ภาพท่ี ๕๗ ต้นมะเดื่อตรงทางเข้าวดั ต้นมะเด่ือ ภาพท่ี ๕๘ ซากโบราณสถานวัดต้นมะเด่อื ๘๐ ภาพที่ ๕๙ ทางเขา้ ถํา้ คา้ งคาว ๘๒ ภาพท่ี ๖๐ ถํ้าค้างคาว ๘๒ ภาพท่ี ๖๑ บอ่ ตดั ศลิ าแลง ภาพที่ ๖๒ โซกแปง้ ๘๓ ๘๔ ๘๔ ๘๖

สารบัญภาพ (ต่อ) ฐ ภาพที่ ๖๓ แป้งสพี อง หน้า ภาพท่ี ๖๔ คลองวงั เดื่อ ๘๗ ภาพท่ี ๖๕ ป้ายวดั เขาเด่อื ๘๘ ภาพที่ ๖๖ วัดเขาเดอื่ ๘๙ ภาพที่ ๖๗ ตน้ ผา่ ด้าม/ตน้ ผ่าด้ามคํามอกหลวง ๘๙ ภาพที่ ๖๘ บ้านน้าํ ดว้ น ๙๐ ภาพที่ ๖๙ คลองนํา้ ดว้ น ๙๑ ภาพท่ี ๗๐ ศาลเจ้าพอ่ ดงเยน็ (ศาลเจา้ พอ่ ภุมริน) ๙๒ ภาพท่ี ๗๑ เขาวงพระจันทร์ (เขาดงขา่ ) ๙๒ ภาพที่ ๗๒ โรงเรียนบา้ นวงพระจันทร์ ๙๓ ภาพที่ ๗๓ วัดศรีคงคาราม ๙๔ ภาพที่ ๗๔ พระสามสมัย ๙๕ ภาพที่ ๗๕ คลองหมโู จน ๙๖ ภาพที่ ๗๖ บ่อนํ้าทพิ ย์ ๙๖ ภาพท่ี ๗๗ คลองทรายมูล ๙๘ ภาพท่ี ๗๘ โจห๋ นองไผ่ ๙๙ ภาพท่ี ๗๙ คลองยายเกลี้ยง ๑๐๐ ภาพที่ ๘๐ คลองแหง้ ๑๐๒ ภาพท่ี ๘๑ คลองทา่ มักกะสงั ๑๐๓ ภาพที่ ๘๒ คลองข้เี หล็ก ๑๐๓ ๑๐๔

ฑ หนา้ ๑๐๕ สารบญั ภาพ (ตอ่ ) ๑๐๕ ภาพท่ี ๘๓ คลองบง ๑๐๖ ภาพท่ี ๘๔ กรเุ จดยี โ์ ทน ๑๐๗ ภาพท่ี ๘๕ วัดไทรงาม ๑๐๘ ภาพที่ ๘๖ ลานศิลาแลงท่ีพักของพระรว่ ง ภาพท่ี ๘๗ วัดกรุยายชี ๑๐๙ ภาพท่ี ๘๘ บ้านไผ่ขวาง ๑๑๐ ภาพท่ี ๘๙ หมู่บา้ นท่ามะเกลือ ๑๑๒ ภาพที่ ๙๐ วดั ปา่ สกั ใต้ (กรตุ าทอน) ภาพที่ ๙๑ วัดปา่ พุทรา ๑๑๓ ภาพที่ ๙๒ ซากเจดีย์วัดปา่ พทุ รา ๑๑๓ ภาพท่ี ๙๓ วดั ป่าประดู่ (กรุตาหนิด) ๑๑๔ ภาพที่ ๙๔ ศาลเจ้าพ่อท่ามะเกลอื ภาพที่ ๙๕ บ้านขอนซุง ๑๑๕ ภาพที่ ๙๖ บุ๋งอีหงิ ๑๑๙ ภาพท่ี ๙๗ ฝายตาวา ๑๒๐ ภาพที่ ๙๘ เหมืองตาชื่น ภาพท่ี ๙๙ วัดปา่ ทุ่งกระถนิ ๑๒๑ ภาพท่ี ๑๐๐ ทางเข้าบา้ นรา้ งวงั หมนั ๑๒๑ ๑๒๒ ๑๒๓

ภมู ินามตําบลเมืองบางขลัง ๑ แผนท่สี งั เขป ตําบลเมอื งบางขลัง อาํ เภอสวรรคโลก จงั หวดั สโุ ขทยั

๒ ภมู นิ ามตําบลเมืองบางขลัง บทนาํ ภูมินามในตําบลเมืองบางขลัง อําเภอสวรรคโลก จังหวัด สุโขทัยทไ่ี ด้นาํ เสนอในหนงั สือฉบบั น้ี เปน็ การศกึ ษาภูมินามในเชงิ ลึก ของตาํ บลเมืองบางขลัง อําเภอสวรรคโลก จังหวดั สโุ ขทยั โดยอาศัย คว าม ร่ว ม มื อ ใ นลั ก ษ ณะ เ ค รือ ข่ าย ก า ร วิ จัย แบ บ มี ส่ว นร่ วม กั บ เครอื ข่ายชมุ ชนตาํ บลเมืองขลงั ในการเก็บรวบรวมข้อมูลชื่อสถานท่ี สาํ คัญ โบราณสถาน ซากปรกั หักพงั เคร่อื งรางของขลงั พืชพรรณท่ี เป็นเอกลักษณแ์ ละมปี ระวัติความเป็นมายาวนาน รวมถึงสถานที่ที่ ส่งผลต่อความเชื่ออันก่อให้เกิดพิธีกรรมและวัฒนธรรม ของคนใน ชุมชน อย่างไรก็ตาม เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อการทําความเข้าใจ ของผู้อ่าน ผู้เขียนจะอธิบายถึงบริบทตําบลเมืองบางขลัง อําเภอ สวรรคโลก จังหวัดสโุ ขทัย ดา้ นประวัตศิ าสตรค์ วามเป็นมา ลักษณะ ทางกายภาพ สงิ่ แวดล้อม สภาพสังคม และโบราณสถานของชุมชน เมืองโบราณแห่งน้ี ตามลาํ ดบั ดงั น้ี ๑. ท่มี าของนาม “เมอื งบางขลงั ” ๒. ประวัติศาสตรเ์ มืองบางขลงั ๓. ลกั ษณะทางกายภาพ ๔. สภาพสังคม ๕. การปกครอง ๖. โรงเรียน ๗. โบราณสถาน

ภูมินามตําบลเมืองบางขลัง ๓ ๑. ท่มี าของนาม“เมืองบางขลงั ” คาํ ว่า “บางขลงั ” ปรากฏครั้งแรกในจารึกวัดศรีชุม ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๒๒ ว่า “…พ่อขนุ ผาเมือง เจ้าเมืองราดเอาพลมาตบ กันที่บางขลังได้เวนบางขลงแก่พ่อขุนผาเมือง…” ปรากฏคร้ังที่ ๒ ในจารึกหลกั เดิมด้านที่ ๒ บรรทัดท่ี ๘ วา่ “ … นครสโุ ขไทบางฉลงง ศรีสัชนาไลย…” (บางฉลงงอ่านว่าบางฉลัง) ปรากฏครั้งที่ ๓ ในจารกึ นครชุม ดา้ นที่ ๒ บรรทดั ท่ี ๒๒ ว่า “…เมอื งบางฉลงหาเป็น ขุนหนึ่ง…” ในจารึกท้ังหมดนี้ไม่ได้ระบุชื่อเมืองบางฉลังโดยตรง แต่ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์เรียกเม่ือที่ต้ังใหม่น้ีว่า “เมือง บางขลัง” ซ่ึงเช่ือได้ว่าน่าจะเป็นชื่อของเมืองเก่ามาแต่เดิม คําว่า “บางขลัง” น่าจะมาจากการเพี้ยนของเสียงท่ีใช้เรียกเมือง “บางฉลัง” และเมือง “บางขลง” อีกทั้งในสมัยโบราณก็ไม่ได้ เคร่งครัดกับการเขียนเท่าใดนัก มักจะใช้ภาษาพูดมากกว่า นอกจากนยี้ ังมีผูส้ นั นษิ ฐานวา่ “บางขลงั ” มาจากการนําเอาท้ังสอง ช่ือที่พบในจารึกมารวมกัน (สนธิกัน) เป็นช่ือหนึ่งช่ือเดียว (เป็น คําสนธิ) ออกมาเปน็ ชือ่ “เมอื งบางขลงั ” คือ มีการนําเอา “แม่อัง” (สระอัง) ของคําว่า “ฉลงั ” มาเพ่ิมให้ “แม่อง” (สระอง) ของคําว่า “ขลง” กลายเป็น “ขลงั ” (คือชอ่ื “เมืองบางขลัง”) ซึง่ มีความหมาย ของคําแปลวา่ “เมอื งแห่ง ลมุ่ นา้ํ อันศกั ด์สิ ิทธ์ซิ ง่ึ ตั้งอยู่ใกล้ลุ่มนํ้า” (ธีรวฒั น์ แสนคาํ , ๒๕๕๔ : ๒๔-๒๕) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๔๒ : ๖๒๐) ให้ ความหมายของคําว่า “บางขลัง” ไว้ดังน้ี คําว่า “บาง” มีสอง ความหมาย โดยความหมายแรกเป็นคํานาม น. คือ ทางนํ้าเล็กๆ, ทางนํ้าเล็กที่ไหลขึ้นลงตามระดับนํ้าในแม่นํ้า ลําคลอง หรือทะเล; ตําบลบ้านที่อยู่หรือเคยอยู่ริมบางหรือในบริเวณท่ีเคยเป็นบาง

๔ ภมู ินามตําบลเมืองบางขลัง มาก่อน, โดยปริยายหมายถึงท้ังหมู่ เช่น ฆ่าล้างบาง ย้ายล้างบาง ส่วนคําวิเศษณ์ ว. หมายถึง มีส่วนสูงน้อยจากผิวพ้ืน, ไม่หนา, มีความหนานอ้ ย, เช่น มีดบาง ผ้าบาง โดยปรยิ ายหมายถงึ ลักษณะท่ี คล้ายคลึงเช่นนั้น เช่น ไม่เข้มข้น เพียงผิวๆ เป็นต้น ส่วนบาง ความหมายทีส่ องเป็นคําวิเศษณใ์ ชป้ ระกอบหน้านามหมายความว่า ไม่ใช่ทั้งหมด คือ เป็นส่วนย่อยหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของส่วนรวม เช่น บางคน บางพวก บางถ่ิน บางส่ิง “บาง” จึงน่าจะหมายถึง ตําบล หรือหมูบ่ า้ น ท่ีอยู่ใกลร้ มิ บางหรืออยู่ใกล้แหล่งนํ้า ส่วนทําว่า “ขลงั ” เปน็ คํานาม น. หมายถึง มกี ําลงั หรืออาํ นาจท่ีอาจบันดาลให้ เปน็ ไปได้, มอี ํานาจศกั ด์สิ ทิ ธ์ิที่เชือ่ กันว่า อาจดลบันดาลให้สําเร็จได้ ดงั ประสงค์. น. สงิ่ ศกั ดิส์ ทิ ธิ์ เชน่ ในนนั้ ปอู ิฐวางขลงั . (สบิ สองเดือน) (ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๒ : ๑๖๘) จึงกล่าวได้ว่า “บางขลัง” อาจหมายถงึ เมืองทีอ่ ยใู่ กลร้ มิ นํา้ ซง่ึ มคี วามศกั ดส์ิ ิทธิ์ อย่างไรก็ตาม ช่ือเรียก “เมืองบางขลัง” น้ัน ไม่ปรากฏ หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นภาษา พูดท่ีมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ชุลีรัตน์ จันทร์เช้ือ (๒๕๕๗ : ๑-๒) นักวิจัยศึกษาเก่ียวกับมรดกวัฒนธรรมโดยเครือข่ายชุมชนโบราณ เมืองบางขลัง อําเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย อธิบายว่า ช่อื “เมืองบางขลงั ” เพ่ิงจะปรากฏหลักฐานคร้ังแรกในปีจุลศักราช ๑๑๙๓ (ตรงกับ ปี พ.ศ.๒๓๗๔) ซึ่งตรงกับตอนต้นของรัชสมัย พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๓ ในจดหมายเหตุ ร.๓ เลขที่ ๒๔ สมุดไทยดํา จ.ศ.๑๑๙๓ ปรากฎใจความว่า ทาง กรงุ เทพมหานครตอ้ งการไมส้ กั ไปซอ่ มแซมวัดในพระนคร จึงเกณฑ์ ไม้สักส่วยเมืองเหนือดังน้ี “…เมือสวรรคโลกมีเมืองทุ่งยั้ง เมือง บางขลังเป็นเมอื งข้นึ อยู่ในความปกครอง…” ซ่งึ นบั แต่นั้นเป็นต้นมา

ภูมินามตําบลเมืองบางขลัง ๕ ก็ปรากฏหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรของทางราชการ เช่น หนงั สอื ราชการ จดหมายเหตุ หนังสือต่างๆ หรือแม้แต่ชื่อเรียกใน ภาษาพูดของชาวเมืองทั้งหลายต่างก็พากันเรียกชื่อว่า “เมือง บางขลงั ” แต่กม็ บี างแหง่ เขยี นว่า “เมืองบังขัง” หรอื “เมืองบางขัง” เช่น ในแผนท่ีแสดงแนวถนนพระร่วงและเมืองโบราณสําคัญ ซ่ึง เมืองโบราณสําคัญท่ตี ง้ั อยู่ใกลแ้ นวทางทีถ่ นนพระร่วงผา่ น มีปรากฏ อยู่ในหนังสือพระราชนิพนธ์เร่ือง “เท่ียวเมืองพระร่วง” ของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๖ ฉบับพิมพ์ ครั้งแรกเมอ่ื ต้นปลี ายสือไท (พ.ศ. ๒๔๕๑) เขยี นชือ่ ในเร่ืองวา่ “เมือง บางขลัง” และเขยี นในแผนท่ีวา่ “ม. บังขัง” (เมืองบังขัง) ซึ่งเช่ือว่า เป็นภาษาเขียนตามภาษาพูดของชาวบ้านท่ีแผลงเพี้ยนสําเนียง ออกไปจากคําว่า “บางขลงั ” นน่ั เอง จึงสรปุ ได้วา่ ชอื่ เมอื งบางขลงั นน้ั มีทีม่ าจากภาษาพูดท่ีเรียก สืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ไม่ปรากฏชื่อเมืองบางขลังเป็น ลายลักษณ์อักษรจนกระท่ังสมัย รัชกาลท่ี ๓ จึงปรากฏช่ือเมือง บางขลัง ในจดหมายเหตุ ร. ๓ และเสน้ ทางแผนท่ใี นสมัยรชั กาลที่ ๖ อย่างไรก็ตาม คําวา่ บางขลังตามภาษาพูดของแต่ละท้องถิ่นอาจจะ ไม่เหมือนกันเพราะสําเนียงการพูดของแต่ละท้องถิ่นไม่เหมือนกัน จึงอาจแผลงหรือเพยี้ นไป ๒. ประวัติศาสตร์เมอื งบางขลงั “บางขลงั ” เปน็ เมืองในประวัติศาสตร์ท่ีมีมาร่วมกับเมือง เก่าสุโขทัยและเมืองเก่าสวรรคโลก หลักฐานท่ียืนยันได้ว่าเมือง บางขลังเป็นเมืองโบราณ เพราะมีเมืองนี้ปรากฏในจารึกสุโขทัย หลายหลกั ได้แก่ จารึกหลักที่ ๒ จารึกวดั ศรีชุมในด้านท่ี ๑ บรรทัด

๖ ภมู นิ ามตําบลเมืองบางขลัง ท่ี ๒๔ กล่าวถึง พ่อขุนผาเมืองและพอ่ ขุนบางกลางหาวยกทัพมาพบ กันทเี่ มืองบางขลัง เพอื่ รว่ มกันปราบขอมสบาดโขลญสาํ พง ในด้านท่ี ๒ บรรทัดที่ ๘ บรรยายว่าสมเด็จพระศรีศรัทธาราชจุฬามณีเสด็จ ออกบวชแลว้ จาริกแสวงบุญไปยังปชู นียสถานต่างๆ โดยเร่ิมต้นจาก เมืองสุโขทัยไปเมืองบางขลังแล้วถึงศรีสัชนาลัย นอกจากนี้จารึก หลักที่ ๓ จารึกนครชุมกล่าวนามช่ือเมืองร่วมสมัย คือ เมือง เชียงทอง เมืองบางพาน เมอื งบางขลงั ในสมยั รัตนโกสนิ ทรไ์ ด้ปรากฏ หลักฐานเกีย่ วกบั เมอื งบางขลัง เช่น เอกสารตัวเขียน ซึ่งเป็นเอกสาร ติดต่อราชการกระทรวงกรุงเทพมหานครกับเมืองสวรรคโลก คือ จดหมายเหตุ ร. ๓ เลขท่ี ๒๘ สมดุ ไทยดํา จ.ศ. ๑๑๙๓ พ.ศ. ๒๓๗๔ มีเน้ือความว่า “กรุงเทพมหานครต้องการไม้สักซ่อมแซมพระนคร จึงเกณฑ์ไม้สักส่วยจากมณฑลเชลียง คือ เมืองสวรรคโลก เมือง ทุ่งยง้ั เมอื งบางขลัง ซง่ึ เป็นเมืองขึ้นอยู่ในความปกครอง” บางขลัง เปน็ เมอื งท่มี ีความสาํ คัญเมอื งหนงึ่ ในอาณาจักรสุโขทัยตามหลักฐาน ชั้นต้นในทางโบราณคดี เมืองบางขลังถือเป็นเมืองที่มีความสําคัญ ในทางยทุ ธศาสตร์ รวมทัง้ เป็นแหลง่ เสบียงที่สําคัญ เปน็ เมืองท่ตี ัง้ อยู่ ระหวา่ งราชธานหี รือกรงุ สุโขทัย กบั เมอื งโบราณหลวง (ศรีสัชนาลัย) – สวรรคโลก มีการค้นพบหลักฐานที่บ่งบอกถึงความเจริญเติบโตของ เมอื งบางขลงั ในอดีตมากมายท่ียงั สามารถยนื ยนั ในทางโบราณคดีได้ พบวดั ร้างซากเจดียท์ ี่ชํารุดเสียหายมากกว่า ๔๐ แห่ง (รอบๆ เมือง บางขลังในรศั มี ๕ กิโลเมตร) ตง้ั แตต่ ําบลบ้านช่าน อําเภอศรีสําโรง มายังบ้านหนองเรียง บ้านป่าถ่อน บ้านหนองกลับ บ้านคลองแห้ง บ้านซอนซุง ตําบลเมืองบางขลัง และท่ียังคงสภาพสามารถอนุรักษ์ ให้ฟนื้ คนื สภาพได้ คอื วดั โบสถ์ วัดใหญ่ชัยมงคล ในเขตตําบลเมือง

ภูมนิ ามตําบลเมืองบางขลัง ๗ บางขลงั อําเภอสวรรคโลก จนถงึ เขตตาํ บลบา้ นใหมช่ ัยมงคล อาํ เภอ ทุ่งเสล่ียม นอกจากน้ีเร่ืองราวของเมืองบางขลังยังได้มีกล่าวถึงอีก แห่ง เชน่ จารึกวัดพระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม เป็นตน้ เมอื งบางขลัง จะร้างไปเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดและเช่ือว่า ในสมัย กรุงรตั นโกสินทรบ์ รเิ วณเมืองบางขลังนี้ร้างแล้ว ประชาชนย้ายไปอยู่ ในเขตหนองกลับ คลองแห้ง นาหลุก (เขตศรีสําโรง) เพราะ จดหมายเหตุในสมยั รตั นโกสนิ ทรท์ ก่ี ล่าวไว้ในบทท่ี ๒ เป็นจดหมาย ทกี่ ล่าวถงึ การตดิ ต่อระหว่างเมืองสวรรคโลกและกรุงเทพมหานคร เกีย่ วกับการขนยา้ ยไม้สัก เมืองบางขลงั เป็นป่าดงดิบมีพันธ์ุไม้ขนาดใหญ่จํานวนมาก และเมอื งบางขลังเปน็ เมืองท่ีอยู่ในความปกครองของมณฑลเฉลียง (สวรรคโลก) และจากคําบอกกลา่ วของชาวบา้ นเมอื งบางขลังเล่าว่า ราว ๘๐ –๙๐ ปีท่ีผา่ นมา บริเวณบางขลังเปน็ ป่ารกชัฏ มีเขตติดต่อ ไปถึงบ้านท่าเกวียน คนที่มาอาศัยอยู่มักจะหลบหนีอาญาแผ่นดิน หรือทาํ ความผิดมาแลว้ ท้ังส้นิ (สุมาลนิ วงศม์ ณี และคณะ, ๒๕๔๐ : ๗๒ – ๗๕) พระราชนิพนธ์เรื่องเที่ยวเมืองพระร่วง (๒๕๒๖: ๘๓) ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังกล่าวถึงวัดโบสถ์ ซ่ึงเป็นวดั ร้างเมอื งบางขลังว่า “ต่อไปเดินทางไปได้ประมาณ ๑๑๐ เส้น ข้ามแดนสวรรคโลกเวลาเที่ยงถึงวดั ร้าง เรียกตามคําชาวบ้านวา่ วัดโบสถ์” จากข้อความน้ีแสดงว่า บริเวณเมืองบางขลังเดิมรกร้าง ประชาชนทิง้ บ้านเมืองไปอย่ใู นแหล่งอน่ื นบั ร้อยปี จะเห็นได้วา่ เมืองบางขลงั เป็นเมืองโบราณท่มี ปี ระวตั ศิ าสตร์ มายาวนานร่วมกบั เมอื งเกา่ สุโขทัยและเมืองเก่าสวรรคโลก โดยพบ หลักฐานจากจารึกสุโขทัยในหลายหลัก ได้แก่ จารึกหลักท่ี ๒

๘ ภมู ินามตําบลเมืองบางขลัง จารึกวัดศรีชุม จารึกหลักท่ี ๓ ตลอดจนจดหมายเหตุ ร. ๓ เลขที่ ๒๘ สมุดไทยดํา จ.ศ.๑๑๙๓ พ.ศ.๒๓๗๔ ซึ่งกล่าวว่าสมัยกรุง รัตนโกสินทร์กรงุ เทพมหานครต้องการไมส้ ักไปซ่อมแซมพระนครจึง เกณฑ์ไม้สักส่วยจากมณฑลเชลียง หน่ึงในน้ันก็คือเมืองบางขลัง เพราะเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์สามารถติดต่อได้ทั้งทางน้ําและทาง บก อีกทั้งยังเป็นป่ารกชัฏเป็นป่าดงดิบมีพันธุ์ไม้ขนาดใหญ่จํานวน มาก แสดงให้เห็นว่าบางขลังเป็นเมืองท่ีมีความสําคัญเมืองหนึ่งใน อาณาจักรสุโขทัยตามหลักฐานช้ันต้นในทางโบราณคดี และเป็น เมืองท่ีมีความสําคัญในทางยุทธศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ชาวบ้าน เมอื งบางขลังยา้ ยถ่ินฐานไปแหลง่ อื่นตงั้ แตส่ มยั ใดไม่ปรากฏหลกั ฐาน แน่ชัด ทําให้บางขลังรกร้าง จนชาวบ้านอพยพเข้ามาอยู่อีกคร้ัง ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๗ นเ้ี อง ๓. ลกั ษณะทางกายภาพ ลกั ษณะทางกายภาพ หมายถงึ ลักษณะตามธรรมชาติทั่วๆ ไปของโลก เชน่ ทต่ี ้ังและอาณาเขต ความสมบูรณ์ธรรมชาติ ท้ังดิน แหล่งน้ํา สภาพอากาศ พืช และสัตว์ในท้องถิ่นต่างๆ การศึกษา ภมู ินามโดยเครอื ขา่ ยชมุ ชนตําบลบางขลงั อาํ เภอสวรรคโลก จงั หวัด สุโขทัย จงึ แบง่ ลกั ษณะทางกายภาพไดด้ งั นี้ ๓.๑ อาณาเขตและลกั ษณะภูมิประเทศ ๓.๒ ดิน ๓.๓ แหล่งนาํ้ ๓.๔ อากาศ

ภมู นิ ามตําบลเมืองบางขลัง ๙ ๓.๕ พชื พรรณธรรมชาติ ๓.๑ อาณาเขตและลักษณะภมู ปิ ระเทศ “เมืองบางขลัง” ในปัจจุบัน คือ ตําบลบางขลังซ่ึงอยู่ใน อาณาเขตของอาํ เภอสวรรคโลกและตาํ บลบา้ นใหมช่ ัยมงคล อําเภอ ทุ่งเสล่ียม จังหวัดสุโขทัย ตําบลเมืองบางขลังน้ันต้ังอยู่ห่างจาก เมอื งอําเภอสวรรคโลกประมาณ ๒๓ กิโลเมตร ไปทางทิศตะวันตก เฉียงใตม้ ีอาณาเขตติดต่อกบั ตาํ บลและอาํ เภอต่างๆ ดงั นี้ ทศิ เหนอื ตดิ ตอ่ กบั ตําบลนาทุง่ อําเภอสวรรคโลก ทิศใต้ ติดต่อกบั บ้านวังมีด อาํ เภอศรีสาํ โรง ทศิ ตะวนั ออก ตดิ ตอ่ กบั ตําบลหนองกลับ อาํ เภอสวรรคโลก ทิศตะวนั ตก ติดต่อกบั ตาํ บลบา้ นใหม่ชยั มงคล อําเภอ ทงุ่ เสลีย่ ม ลักษณะทางภูมิศาสตร์และทางกายภาพมีความเหมาะสม เพราะเป็นชยั ภมู ทิ แ่ี นวเขาเป็นพรมแดนธรรมชาติ ทั้งทางทิศเหนือ และทิศตะวันตก ด้านทิศตะวันออกมีท่ีราบกว้างใหญ่เหมาะที่จะ เปน็ ถน่ิ ฐานและเป็นแหล่งเสบียงสําคัญ มีเส้นทางท่ีสามารถติดต่อ ท้ังทางบก คือ ถนนพระร่วง และทางน้ํา เมืองบางขลังเป็นพ้ืนท่ี ราบสูงจากระดับนํ้าทะเลปานกลางประมาณ ๒๕๐ เมตร มีเขา กระจายอยู่ ๒ แห่ง คือ เขาเดื่ออยู่ทางทิศตะวันตกและเขา วงพระจนั ทรอ์ ย่ทู างทศิ ตะวันออกของตาํ บลเมอื งบางขลงั

๑๐ ภูมินามตําบลเมืองบางขลัง มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ ๕๔.๑๒ ตารางกิโลเมตร หรือ ประมาณ ๓๓,๘๖๘ ไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขต สหกรณ์นิคม พระร่วง และสํานกั งานปฏิรปู ทีด่ นิ (สปก.) ๓,๗๕๐ ไร่ ๓.๒ ดนิ ลกั ษณะดินเป็นดินร่วนและระบายน้ําได้ดี มักมีน้ําท่วมขัง บนผิวดินในช่วงฤดูฝนเป็นระยะส้ัน ดินดี ความอุดมสมบูรณ์ตาม ธรรมชาติปานกลาง บนสันดิน ริมลําน้ําเก่ามีสภาพพื้นที่ค่อนข้าง เรียบมีความลาดชัน ๐ - ๑% ระดับความสูงจากระดับน้ําทะเล ปานกลางน้อยกวา่ ๖๐ เมตร พชื ผลเกดิ ความเสียหายบ้างในฤดูฝน เพราะเน้ือดินชุ่มน้ําเกินไป มีบางช่วงท่ีกลุ่มดินเป็นเนื้อดินร่วนปน หนิ ปนกรวดเป็นดินต้ืนระบายนํ้าได้ดี แต่มีความอุดมสมบูรณ์ทาง ธรรมชาติตํ่า ในเขตเนินเขาเด่ือบริเวณหมู่ ๕ วัดโบสถ์ มีแหล่ง ศลิ าแลงอยู่ ๓.๓ แหลง่ นํ้า เมืองบางขลังตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของเขาเดื่อ ทางด้านทิศตะวันตกของเมืองโบราณบางขลังมีคลองยางไหลผ่าน หา่ งจากโบราณสถานประมาณ ๔๐๐ เมตร ทางด้านทิศตะวันออก ของเมอื งโบราณบางขลงั มีลาํ นาํ้ ฝากระดานไหลผ่าน โดยลําน้ําน้ีมี ตน้ นา้ํ มาจาก ลําน้ําแม่มอก อําเภอเถิน จังหวัดลําปาง คลองยางนี้

ภมู ินามตําบลเมืองบางขลัง ๑๑ เป็นคลองท่ีไหลต่อไปยังบ้านวังมีด ซึ่งเป็นคลองเดียวกันกับคลอง มักกะสังซึ่งแยกออกเป็นลํานํ้าเล็กๆ อีกหลายสาขา ลํานํ้าเหล่าน้ี แยกเปน็ คลองเลก็ ๆ กระจายอยู่ทว่ั ตําบล ซ่ึงสามารถแบ่งลักษณะแหล่งน้ําในตําบลเมืองบางขลังได้ ๕ ประเภท คอื ๑) คลอง ได้แก่ คลองลาว คลองวังควาย คลอ ง หมูโจน คลองน้ําด้วน คลองแห้ง คลองท่ามักกะสัง คลอง วังเด่ือ คลองสีฟัน คลองแม่เบ้ีย(คลองไอ้เบ้ีย) คลองมะม่วง คลอง ตันตาหนุน คลองทรายมูน คลองยายเกลี้ยงคลองยาง คลองขี้เหล็ก และคลองบง ๒) แม่นํ้า ได้แก่ แมน่ ้ําฝากระดาน ๓) บงุ๋ ได้แก่ บงุ๋ พลับ และบุง๋ อีหิง ๔) เหมือง ได้แก่ เหมืองตาช่ืน เหมืองครูพวง เหมือง ตาออย เหมืองตาคํา และเหมอื งตาตนุ่ ๕) ฝาย ได้แก่ ฝายตาหมด ฝายตาวา ฝายมะโกมาลัย ฝายนครพระราม และฝายตาออย ๓.๔ อากาศ สภาพภมู อิ ากาศโดยทัว่ ไปของเมอื งบางขลังจะเปลีย่ นแปลง ไปตามฤดูกาลต่างๆ คือ ฤดูร้อนจะเร่ิมตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึง เดอื นพฤษภาคม ฤดูฝนจะเริ่มตงั้ แต่เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมและ ฤดูหนาวเรมิ่ ตัง้ แตเ่ ดือนพฤศจกิ ายนถงึ มกราคม

๑๒ ภมู ินามตําบลเมืองบางขลัง ๓.๕ พชื พรรณธรรมชาติ พืชพรรณธรรมชาติ คือ ลักษณะของชนิดและพรรณไม้ ประจําถิ่นชนิดต่างๆ ท่ีขึ้นเองตามธรรมชาติ ซ่ึงขึ้นอยู่กับลักษณะ ภูมอิ ากาศ ได้แก่ ป่าไม้และทงุ่ หญา้ พืชพรรณธรรมชาติในตําบลเมืองบางขลังแบ่งออกเป็น ๕ ประเภท คอื ๑) ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่และขนาดกลาง ได้แก่ ต้นแค มะม่วง ต้นไทร ต้นสัก ต้นประดู่ ต้นโพธ์ิ ต้นยาง สะเดา ขี้เหล็ก และต้นมะเกลอื ๒) ไม้ยนื ต้นขนาดเลก็ ได้แก่ ตน้ กระถิน ต้นพุทรา ๓) ไมล้ ม้ ลุก ไดแ้ ก่ กลว้ ย ถั่ว และข่า ๔) ต้นไผ่ ๕) พรรณไมพ้ ืน้ เมือง ได้แก่ เตยป่า ต้นผ่าด้าม ต้นมะขาม พระรว่ ง ต้นมะมว่ งกลบี ลา้ น ตน้ มักกะสัง ตน้ สฟี ัน และตน้ มะโก ๔. สภาพสงั คม จํานวนประชากรตําบลเมืองบางขลังในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ มีจํานวนประชากรท้ังหมด ๕,๔๐๑ คน จํานวน ๑,๑๒๒ ครอบครัว เป็น ชาย ๒,๖๔๗ คน หญิง ๒,๗๕๔ คน โดยแยกเป็น ๙ หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ท่ี ๑ บา้ นคลองแหง้ หมู่ที่ ๒ บา้ นปากคลองช้าง หมู่ที่ ๓ บ้านปากคลองช้าง

ภูมนิ ามตําบลเมืองบางขลัง ๑๓ หม่ทู ี่ ๔ บ้านขอนซุง หม่ทู ี่ ๕ บา้ นวัดโบสถ์ หมทู่ ี่ ๖ บ้านน้าํ ดว้ น หมู่ท่ี ๗ บ้านนากลาง หมทู่ ่ี ๘ บา้ นไผข่ วาง หมทู่ ี่ ๙ บ้านขอนซุง ๕. การปกครอง ประวัติศาสตร์การปกครองเมืองบางขลังเริ่มปรากฏสมัย รัชกาลท่ี ๓ ในร่างสารตราเจา้ จักรี ถงึ หัวเมอื งฝา่ ยเหนอื เกณฑ์ไม้สัก ปฏิสงั ขรณว์ ดั และซอ่ มแซมพระนคร จ.ศ. ๑๑๘๓ สมุดไทยดําเลขที่ ๒๔ พ.ศ. ๒๓๗๔ ความว่า “…เมืองสวรรคโลก มีเมืองทุ่งยั้ง เมือง บางขลัง เป็นเมืองขน้ึ อยูใ่ นความปกครอง…” รชั สมยั น้ยี งั ปรากฏเหตุการณ์สาํ คัญเรียกว่า คดีตองซู ระบุ ไว้ จดหมายเหตุ ร. ๓ เลขท่ี ๕๐ จ.ศ. ๑๒๐๗ กล่าวว่าปี พ.ศ. ๒๓๘๘ ตองซูเข้ามาค้าขายที่เมืองบางขลัง และยกกระบัตรเมือง บางขลังยักยอกสินค้าตองซู เนื่องจากตองซู อยู่ในบังคับอังกฤษ จงึ เกดิ เรอ่ื งราวฟอ้ งรอ้ งข้ามประเทศกนั ขึ้น (จดหมายเหตุ ร.๓ เลขท่ี ๕๐ จ.ศ. ๑๒๐๗) ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ปรากฏช่ือเมืองบางขลังใน จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๔ ใบบอกนครสวรรค์ เร่ืองส่งเคร่ืองยศ พระบางขลัง ซ่ึงถึงแก่อนิจกรรม จ.ศ. ๑๒๒๓ เลขท่ี ๑๔ พ.ศ. ๒๔๐๔ มเี นอื้ ความวา่ ….พ.ศ. ๒๔๐๔ พระบางขลัง เจ้าเมืองบางขลัง ลงไปรับ สญั ญาบัตร และเครอ่ื งยศสาํ หรบั เจ้าเมอื งบางขลงั ขากลับถ่อเรือขึ้น

๑๔ ภูมินามตําบลเมืองบางขลัง มาถึงบ้านยางตาล อ. โกรกพระ จ. นครสวรรค์ เข้าเมืองบางขลัง ป่วยถึงแก่กรรมที่วัดบ้านยางตาล ร. ๔ จดหมายเหตุไปบอกเมือง น ค ร ส ว ร ร ค์ เ รื่ อ ง ส่ ง เ ค รื่ อ ง ย ศ พ ร ะ บ า ง ข ลั ง ซ่ึ ง ถึ ง แ ก่ ก ร ร ม (จดหมายเหตุ ร. ๔ เลขท่ี ๑๔ จ.ศ. ๑๒๒๓) …. พ.ศ. ๒๔๑๑ เจ้าเมืองสวรรคโลกขอพระราชทานให้ ขุนเมือง ลูกชายพระบางขลังท่ีถึงแก่กรรมขึ้นดํารงตําแหน่ง พระบางขลัง ศักดินา ๑,๐๐๐ ไร่ เหตุการณ์ตอนนี้ปรากฏใน จดหมายเหตุ ร. ๕ ใบบอกเมืองสวรรคโลก จ.ศ. ๑๒๔๗ เลขท่ี ๗ …. พ.ศ. ๒๔๑๑ เจ้าเมืองสวรรคโลกพระราชทานให้ ขุนเมอื งลูกชายพระบางขลงั ที่ถึงกรรมข้นึ ดํารงตําแหนง่ พระบางขลงั ศักดินา ๑,๐๐๐ ไร่ สําเนาตราต้ังฉบับน้ีไม่พระราชทานสัปทน เครื่องยศเป็นเพียงโลหะเงิน พร้อมสั่งมาว่าราษฎรเมืองบางขลัง บางเบาร่วงโรย ใหเ้ จา้ เมอื งบางขลงั ชักชวนไพรพ่ ลเขา้ มาอยอู่ าศยั ให้ มากข้ึน เมือ่ เปรยี บเทียบการแต่งตั้งเจ้าเมืองศรีสําโรง ซ่ึงมีศักดินา ๑,๐๐๐ ไร่ เท่าเมืองบางขลัง แต่เจ้าเมือง ศรีสําโรงได้รับ พระราชทานสัปทานและเคร่อื งยศมากกว่า คงจะด้วยเหตุนจี้ ึงมีการ ชักชวนราษฎรเมืองเถิน เมืองลาํ ปางใหข้ ้ามหอรบด่านบา้ นทา่ เกวียน เขา้ มาอยใู่ นดินแดนเมอื งสวรรคโลกกนั มากขึน้ และมีพัฒนาการเปน็ ชมุ ชนท่งุ เสลี่ยมในปัจจุบัน (จดหมายเหตุ ร. ๕ ม. ๒ ๑๒ก/๗ จ.ศ. ๑๒๓๐) …. พ.ศ. ๒๔๒๘ กรุงเทพฯ ต้องการทราบเขตป่าไม้แขวง เมืองสวรรคโลก เจ้าเมอื งสวรรคโลกรายงานดงั ต่อไปนี้ ป่าฝากระดานต้งั แต่บางขลังถึงด่านท่าเกวียนเขตเมืองเถิน ป่าหนงึ่ ด้านตะวันตกห้วยฝากระดาน ต้ังแต่บางขลังถึงมะขามแดน

ภมู ินามตําบลเมืองบางขลัง ๑๕ ซงึ่ เป็นจดุ เช่ือมตอ่ ระหว่างเมอื งสวรรคโลก เมืองสโุ ขทัย เมอื งเถนิ ตอ่ กนั ปา่ หน่ึงด้านตะวันออกแม่น้ํายมมปี ่าไม้ ๓ ตําบล ดังน้ี ป่าเขากา เขาเขน ไผ่ตะล่อม คลองเชิน ถึงด่านแม่ลํามัน ต่อเขตเมืองพิชัยได้ซุง ป่าน้ีชักลากออกคลองละมุง เมืองพิชัย ปา่ หน่งึ ป่าเมอื งดง้ จรดลาํ หว้ ยแมส่ นิ ขุนหว้ ยแม่เถินแม่สูง จรดป่า ขวางยาง ป่าหน่ึง สําหรับแผนที่เมืองสวรรคโลก ต่อเขตเมืองพิชัย สุโขทัย เถิน ลําปางน้ัน เจ้าเมืองสวรรคโลกถวายไว้กับเจ้าเมือง น้องยาเธอกรมหลวงพิชิตปรีชากรแล้ว (หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ร. ๕ ม. ๒ ๑๒ก/๗ จ.ศ. ๑๒๔๗ แผ่นที่ ๕๑-๕๓) วันท่ี ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๓ พระศรีนพมาศ เจ้าเมือง บางขลงั ป่วยเปน็ โรคชราถึงแก่กรรม ท่ีพระบางขลังว่างลงเจ้าเมือง สวรรคโลกส่ังให้กรมการเมืองบางขลังรับตําแหน่งเป็นผู้รักษา ก า ร เ มื อ ง จ น ก ว่ า จ ะ ห า ผู้ ที่ เ ห ม า ะ ส ม ข้ึ น ดํ า ร ง ตํ า แ ห น่ ง ต่ อ ไ ป ดังปรากฏในจดหมายเหตุ ร. ๕ (ใบบอกเมืองสวรรคโลก ม. ๒ ๑๒ก/๗ แผน่ ท่ี ๔๒๐) พ.ศ. ๒๔๓๗ ได้มีการปรับปรุงการปกครอง เร่ิมดึงอํานาจ ท้ อ ง ถ่ิ น เ ข้ า สู่ ส่ วน ก ล า ง ท่ี เ รี ย ก ว่ า ร ะ บ บ “ เ ท ศา ภิ บ า ล ” กระทรวงมหาดไทย ได้รวมเมืองพิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย สวรรคโลกเขา้ ด้วยกนั รวมเรยี กว่า มณฑลพิษณโุ ลก สําหรบั เมอื งสวรรคโลก ปรากฏตําแหน่งท่ีรฐั บาลกรงุ เทพฯ พ ย า ย า ม ส อ ด แ ท ร ก เ ข้ า ม า ใ น ตํ า แ ห น่ ง จ า ง ว าง กํ า กั บ ร า ช ก า ร ปลัดกรมการจีน เมืองสวรรคโลก เมืองช้ันโท มีเมือง ๖ เมืองดังนี้ ๑. เมืองด้ง ๒. เมืองวิเศษ ไชยศักด์ิ ๓. เมืองบางยม ๔. เมือง

๑๖ ภมู นิ ามตําบลเมืองบางขลัง ศรพนมมาศ ๕. เมืองพิรามรงค์ และ ๖. เมืองบางขลัง (วนาพร คําบุศย์, ๒๕๕๓ : ๒๘) นอกจากนี้ จากหนังสือบันทึก “๗๙ การปกครองกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ตําบลเมืองบางขลังกว่าจะถึงวันนี้” ของนายสมคิด คํามาอ้าย อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ตําบลเมืองบางขลัง อําเภอ สวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ที่ได้มีการบันทึกข้อมูลประวัติ การปกครอง ตําบลเมืองบางขลัง เม่ือประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๗๑ เป็นตน้ มาถงึ ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ พบว่าข้อมูลทําเนียบการปกครองและ เป็นมาของตําบลเมืองบางขลงั ในอดีต เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ในยุคนั้นเมืองบางขลังยังไม่ได้ยกระดับเป็นตําบล ขึ้นกับฝ่าย ปกครองเมืองสรรคโลก เขตปกครองเมอื งบางขลงั มอี าณาเขตต้ังแต่ ทางฝั่งตะวันตกแม่น้ํายมติดต่อกับจันทรโรภาส และบริเวณแถบ ลุ่มแม่นํ้าฝากระดานไปจนถึงเขาเด่ือ มีประชากรอาศัยในอาณา บรเิ วณเมืองบางขลัง จํานวน ๕ หมบู่ ้าน คือ หมูท่ ่ี ๑ บา้ นหนองกลบั ปกครองโดยท่านขุนอภิบาล บางขลงั (กาํ นนั ธูป พลธรี ะ) หมู่ท่ี ๒ บ้านหนองกลับ ปกครองโดยท่านขุนอภบิ าล บางขลงั (กํานนั ธูป พลธรี ะ) หมทู่ ี่ ๓ บ้านหนองเรียง ปกครองโดย ผู้ใหญพ่ วง ศลี พร หมทู่ ่ี ๔ บ้านคลองแหง้ ปกครองโดย ทา่ นหม่นื เปรม ชยั ชนะนกิ รณ์ (นายดี เปรมใจ) หมูท่ ี่ ๕ บา้ นปากคลองช้าง-ขอนซุง ปกครองโดย ท่านหมน่ื แกวน่ ภัยพาล (นายแก้ว ด่างพลอ้ ย) สาํ หรับบคุ คลท่ีได้กล่าวช่ือมาในเบ้ืองต้นน้ีมีสองท่านได้รับ หน้าที่เป็นฝ่ายปกครอง ตั้งแต่ยังไม่ได้ดํารงตําแหน่งกํานัน

ภมู ินามตําบลเมืองบางขลัง ๑๗ ผูใ้ หญ่บ้าน คอื บุคคลที่ ๑ ทา่ นหมน่ื แกวน่ ภัยพาล บุคคลท่ี ๒ ท่าน หมื่นเปรม ชัยชนะนิกรณ์ บุคคลท้ังสองท่านเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ได้รบั มอบหมายหน้าท่ีให้เป็นฝ่ายปกครองสนองนโยบายต่อหน่วย ราชการ และประกอบกับทําคุณงามความดีหลายอย่างสม่ําเสมอ จนในทีส่ ดุ ความดคี วามชอบทท่ี ่านไดร้ ับ คอื ตําแหน่งทา่ นหมน่ื และ ได้รับโล่เกียรติยศ เป็นไม้เท้าประดับเงินปลอกโลหะสลักเป็น ภาษาไทยว่า ความชอบในปี ๒๔๗๑ โดยศักดินาที่ได้รับถ้าเป็น ท่านขุนจะมที รพั ย์สนิ และที่ดินต้ังแต่ ๕๐๐ ถึง ๑,๐๐๐ ไร่ พอที่จะ ช่วยเหลือบริวารเมื่อยามยาก ถ้าเป็นท่านหม่ืน จะมีบารมี ประกอบด้วยทรัพย์สินท่ีดินที่อยู่ในปกครอง ๒๕๐ ไร่ จนถึง ๕๐๐ ไร่ และบคุ คลทไี่ ดเ้ อย่ ชอื่ ในเบื้องต้นนี้ท่านได้ทําหน้าท่ีฝ่ายปกครอง ตลอดเรื่อยมาจนถึงประมาณปี พ.ศ. ๒๔๗๕ และในปีเดียวกัน นั้นเองทางฝ่ายปกครองก็มีการเปล่ียนแปลงยกระดับเมืองบางขลัง ให้เป็นตําบลเมืองบางขลัง เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เม่ือยกระดับเป็น ตําบลก็มีการเลือกตั้ง กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ตามระเบียบของ การปกครอง การเลือกตัง้ ครั้งแรกของตําบลเมืองบางขลังในยุคน้ัน บุคคลที่ได้รับเลือกกํานันผู้ใหญ่บ้าน คือ ท่านขุนอภิบาล บางขลัง หรือ นายธปู พลธรี ะ ไดร้ บั การเลอื กตั้งเป็นกํานันคนแรกของตําบล เมืองบางขลัง ท่านมีภูมิลําเนาอยู่ท่ีบ้านหนองกลับ ตําบลเมือง บางขลัง นายพวง ศีลพร ได้รับการเลือกต้ังเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก ของบ้านหนองเรียง ตําบลเมืองบางขลัง ท่านหม่ืนเปรม ชัยชนะนกิ รณ์ หรือนายดี เปรมใจ ไดร้ บั การเลอื กตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้าน คนแรกของบา้ นคลองแห้ง ตาํ บลเมืองบางขลงั มภี มู ิลําเนาอยู่ที่บ้าง คลองแห้ง และท่านหม่ืนแกว่น ภัยพาล หรือ นายแก้ว ด่างพล้อย ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก ของบ้านปากคลองช้าง

๑๘ ภมู ินามตําบลเมืองบางขลัง ขอนซุง ตําบลเมืองบางขลัง ภูมิลําเนาอยู่ท่ีบ้านปากคลองช้าง ซ่ึงการไปประชุมที่อําเภอมีงานเอกสารราชการมาก ทางทีมฝ่าย ปกครองก็จัดทีมไปรับเอกสารจากอําเภอ เรียกว่า เดินเพื่อรับส่ง เอกสาร ต่อมาเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๘๓ กํานันธูป พลธีระ หมดวาระ การดํารงตําแหน่ง พร้อมกับ ท่านหมื่นแกว่น ภัยพาล บ้าน ปากคลองช้างและหนองกลับต้องเลือกผู้ใหญ่บ้านขึ้นมาดํารง ตําแหน่งแทนตําแหน่งท่ีว่างลง ผลการเลือกต้ัง นายคง ด่างพล้อย ได้รับการเลอื กตงั้ เป็นผู้ใหญ่บ้านปากคลองช้างและได้รับเลือกเป็น กํานนั คนท่ี ๒ ของตําบลเมอื งบางขลัง สว่ นบา้ นหนองกลับนายหยา ตอ้ นไล่ ได้รับการเลือกต้ังเป็นผู้ใหญ่บ้านบ้านหนองกลับ นายแป้ว ยอกรณ์ มภี ูมิลาํ เนาแอย่บู ้านหนองกลับ ไดร้ ับเลอื กให้ดาํ รงตาํ แหน่ง เป็นกํานันคนท่ี ๓ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ – ๒๔๙๘ ส่วนกํานันคนที่ ๔ คือ นายเกิด หิมวันต์ มีภูมิลําเนาอยู่ที่บ้านปากคลองแห้ง ดํารง ตําแหน่ง พ.ศ. ๒๔๙๘ – ๒๕๒๕ ยุคน้ีการคมนาคมเริ่มมีการใช้รถ เป็นพาหนะ ทําให้การส่งสินค้าไปขายในเมืองก็เริ่มสะดวกขึ้น ตามลาํ ดับ และกํานนั คนท่ี ๕ คอื นายหยา ต้อนไล่ มีภูมิลําเนาอยู่ท่ี บ้านหนองกลับ ดํารงตําแหน่งระหว่าง พ.ศ. ๒๕๒๕ – ๒๕๒๖ ในยุคน้ีตําบลเมืองบางขลังมีประชากรเพ่ิมข้ึนเป็นจํานวนมาก ประกอบกบั มีพนื้ ทก่ี ว้างขวาง ดงั นัน้ ทางการจงึ มีนโยบายแยกตําบล เมืองบางขลังออกเป็นสองตําบล โดยจัดพ้ืนท่ีอาณาเขตตั้งแต่ จันทรโรภาส ถึงบริเวณหน้าบ้านหนองเรียงเป็นตําบลหนองกลับ และต่อจากหนองเรียงไปทางทิศตะวนั ตก เร่ือยไปจนถึงเขาเดื่อเป็น พื้นท่ีตาํ บลเมอื งบางขลัง

ภูมนิ ามตําบลเมืองบางขลัง ๑๙ รายช่ือผู้ดํารงตําแหน่งทางการปกครอง หลังจากตําบล เมอื งบางขลังแยกเป็นสองตาํ บลมีรายละเอยี ดดงั นี้ ใน พ.ศ. ๒๕๒๖ นายแฉล้ม พละทรัพย์ ได้รับเลือกต้ังเป็น กํานันคนแรกของตําบลเมืองบางขลัง หลังจากแยกจาก หนองกลบั มาเป็นเมืองบางขลัง หมู่บ้านที่อยู่ในเขตปกครองตําบล เมืองบางขลงั ในยคุ นนั้ มี ๗ หมูบ่ า้ น ดังน้ี หมทู่ ่ี ๑ บา้ นคลองแหง้ นายสมนกึ เหลก็ พรม เป็นผู้ใหญบ่ า้ น หมู่ที่ ๒ บ้านปากคลองชา้ ง นายเฉลียว ขมุ เพชร เป็นผ้ใู หญ่บ้าน หมทู่ ่ี ๓ บา้ นปากคลองชา้ ง นายวงั จันทร์สงิ ห์ เปน็ ผใู้ หญ่บ้าน หมู่ที่ ๔ บ้านขอนซุง นายแฉล้ม พละทรัพย์ เป็นกาํ นัน หมู่ที่ ๕ บา้ นวดั โบสถ์ นายหมวก ด่างพล้อย เปน็ ผ้ใู หญ่บ้าน หมทู่ ่ี ๖ บา้ นแมน่ ้ําดว้ น นายจาม เกดิ นุช เปน็ ผใู้ หญบ่ า้ น หมู่ที่ ๗ บา้ นนากลาง นายทนิ อน้ คง เป็นผใู้ หญบ่ า้ น ในปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๕๙) จํานวนหมู่บ้านในเขตเทศบาล ตําบลเมอื งบางขลังมีทงั้ ส้ิน ๙ หมู่บ้าน โดยเพ่ิมหมู่ ๘ บ้านไผ่ขวาง และหมู่ ๙ บา้ นขอนซงุ

๒๐ ภมู นิ ามตําบลเมืองบางขลัง ๖. โรงเรียน จาํ นวนโรงเรียนประถมศึกษา ๕ แห่ง (รวมโรงเรียนขยาย โอกาส) ๑) โรงเรียนบา้ นคลองแห้ง หมทู่ ี่ ๑ ๒) โรงเรยี นบา้ นปากคลองช้าง หมทู่ ี่ ๒ ๓) โรงเรยี นบา้ นขอนซงุ หม่ทู ่ี ๔ ๔) โรงเรียนวัดโบสถ์ หมู่ที่ ๕ ๕) โรงเรียนบ้านวงพระจันทร์ หมทู่ ่ี ๖ ๗. โบราณสถาน หมทู ี่ ๑ หมทู่ ่ี ๕ วัดโบราณ มที ง้ั หมด ๖ วัด ดังน้ี ๑) วัดเกาะหนิ ตง้ั หมทู่ ี่ ๕ ๒) วดั โบสถ์เมอื งบางขลัง หมู่ที่ ๕ หมู่ท่ี ๖ ๓) วัดเจดยี เ์ จด็ แถว ๔) วดั เขาเดอ่ื หมทู่ ี่ ๗ ๕) วดั น้ําด้วน ๖) วดั นากลาง วัดสําคัญที่สามารถประกอบศาสนกิจในปัจจุบันทั้งหมด ๘ วดั ดังนี้ หมทู่ ี่ ๑ วัดคลองแหง้ หรือวัดบปุ ผาราม และวดั เกาะหนิ ตง้ั หมทู่ ่ี ๒ วดั ปากคลองช้าง หมู่ท่ี ๔ วดั ขอนซุง หมู่ท่ี ๕ วัดโบสถเ์ มืองบางขลงั และวัดเขาเดอ่ื หมทู่ ่ี ๖ วดั คีรคี งคาราม (วัดนํ้าด้วน)

ภมู นิ ามตําบลเมืองบางขลัง ๒๑ หมู่ท่ี ๗ วดั ไทรงาม โบราณสถาน หรือ สถานท่ี ส่ิงก่อสร้างท่ีไม่ได้ใช้เพ่ือ ประกอบกิจกรรมทางศาสนา เช่น หมู่ที่ ๑ รากฐานโบสถ์วัดเกาะหินตั้ง หมู่ที่ ๕ วัดป่าสะเดา (กรุตาเผียน) วัดเจดีย์เจ็ดแถว (กรุ) วัดเจดีย์โทน (กรุ) เจดีย์ตาโหนก วัดต้นมะเดื่อ (กรุตาชื้น) หอคอยโบราณ ลานหลบภัย เตาโบราณ สระน้ําโบราณศักดิ์สิทธิ์ (สระคู่) และตะพังโบราณ หมทู่ ่ี ๖ เจดีย์โบราณ และวัดรมิ คลองยาง (กรตุ าแกวง่ ) หมู่ที่ ๗ กรุเจดีย์โทน กรตุ าสอน และวัดกรุยายชี หมู่ที่ ๘ วดั ป่าสักใต้ (กรุตาทอน) วัดป่าพทุ รา (กรุยายหล้า) และวดั ปา่ ประดู่ (กรตุ าหนดิ ) หม่ทู ี่ ๙ วดั ป่าทุง่ กระถนิ

๒๒ ภูมินามตําบลเมืองบางขลัง ภูมนิ ามในตําบลเมอื งบางขลัง หนงั สือภูมนิ ามตาํ บลเมอื งบางขลังฉบับน้ี ไดป้ รากฏภูมินาม ของแต่ละสถานที่จาํ แนกเป็นหมบู่ ้านดงั รายละเอยี ดต่อไปน้ี ช่อื ตําบลเมอื งบางขลงั หมทู่ ่ี ๑ บ้านคลองแห้ง หมู่ท่ี ๒ บา้ นปากคลองช้าง หมทู่ ่ี ๓ บา้ นปากคลองชา้ ง หมทู่ ่ี ๔ บ้านขอนซุง หมู่ท่ี ๕ บา้ นวดั โบสถ์ หม่ทู ี่ ๖ บา้ นน้าํ ดว้ น หมทู่ ี่ ๗ บ้านนากลาง หมทู่ ่ี ๘ บา้ นไผ่ขวาง หมูท่ ี่ ๙ บา้ นขอนซุง ตาํ บลเมืองบางขลัง ที่มาของชื่อเมืองบางขลังมีหลายข้อมูลท่ีกล่าวไว้ ดังจะ นําเสนอต่อไปน้ี ข้อมลู จากการสมั ภาษณ์ สมัยก่อนเมืองน้ีชื่อว่าเมืองมั่งค่ัง เพราะว่าเป็นเมืองท่ีมี ความอุดมสมบูรณ์ ในน้ํามีปลา ในนามีข้าว จึงมีผู้คนจากหลาย เชื้อชาติเข้ามาอาศัยอยู่ เลยเรียกช่ือเพี้ยนไปเป็น เมืองบางขลัง (พิสถิ ศรสี วัสด์ิ, สัมภาษณ์, ๑๔ มกราคม ๒๕๕๘)

ภูมนิ ามตําบลเมืองบางขลัง ๒๓ จากคําบอกเล่าของคนล้านนาสมัยก่อน เล่าให้ฟังว่า เมอื งบางขลงั น้ีเป็นเมอื งท่ีศักดิ์สิทธิ์มาก ในอดีตเมืองบางขลังเคยมี พระเกจิอาจารย์จําวัดที่นี่ เน่ืองจากความศักด์ิสิทธิ์และมีอาคม แกร่งกล้าของท่าน สามารถหยั่งรู้ว่าจะมีข้าศึกมาโจมตีเมือง จึงใช้ คาถาศักดิ์สิทธ์ิเสกปิดเมืองนี้ไว้ด้วยหมอกควัน เกิดฟ้าฝนคะนอง ปิดเมืองไว้ทําให้ข้าศึกมองไม่เห็นไม่สามารถเข้ามาในเมืองนี้ได้ ทาํ ให้รกั ษาทรพั ย์สมบัติของเมืองบางขลังไวไ้ ด้ คนจึงเรียกเมืองนี้ว่า เมืองบางขลงั (เนียน ไขแจ้ง, สัมภาษณ์, ๑๔ มกราคม ๒๕๕๘) ข้อมูลจากเอกสาร อภนิ ันท์ นาคเกษม (๒๕๓๙ : ๓๑) ได้กลา่ วถึง ภมู ินาม ของตําบลเมืองบางขลัง ในบทความเร่ือง บางขลง บางฉลงง ว่า นามบางขลงั ปรากฏครัง้ แรกในศลิ าจารกึ หลักที่ ๒ (วดั ศรีชมุ ) ดา้ นท่ี ๑ บรรทัดที่ ๒๒ วา่ “ตบกนั ท่ีบางขลงไดเ้ วนบางขลงแก่พ่อขุนผาเมือง แล้วพ่อขุนผาเมือเมืองราดเมือง...” ปรากฏคร้ังที่ ๒ ในจารึกหลักเดียวกันด้านท่ี ๒ บรรทัดท่ี ๘ ว่า “...นคร สุโขไทบางฉลังศรีสัชนาไลใคร่ใจจักให้เป็นธรรมบูราลาง แห่ง...” ปรากฏคร้ังที่ ๓ ในศิลาจารึกหลักท่ี ๓ (นครชุม) ด้านท่ี ๒ บรรทัดที่ ๒๒ ว่า “หน่ึงเมืองบางฉลังหาเป็น ขุนหน่ึง...” นามนี้ในสมัยพ่อขุนศรีนาวนําถุมครองนคร สุโขไท - นครสรีเสชนาไล จนถงึ กาลท่ีพ่อขุนบางกลางท่าว กับพ่อขุนผาเมืองนําพลมารวมกันนั้น ยังคงนามว่า “บางขลง” ตกมาถงึ สมยั พญาลิไทครองสุโขไท และสมเด็จ พระศรศี รทั ธาราชจุฬามนุ ี ซ่งึ เป็นหลานของพ่อขุนผาเมือง

๒๔ ภมู ินามตําบลเมืองบางขลัง ส ล ะ ร า ช ย์ น ค ร ส ร ล ว ง ส อ ง แ ค ว อ อ ก ผ น ว ช แ ล ะ เ ป็ น พระสังฆราชลังกาทวีปแล้วในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ – ต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ นาม “บางขลง” เปล่ียนเป็น “บางฉลัง” ดังปรากฏในศิลาจารึกวัดศรีชุมด้านที่ ๒ และ ศลิ าจารึกนครชมุ ดา้ นที่ ๒ ดังกล่าวแล้ว ในช่วงเวลาท่ีนาม บางขลงเปล่ียนเป็นบางฉลงั นนั้ ชาวโยนกเรียกนามเมืองนี้ วา่ “ปางจา” หรือ “บางจา” ต่อมานามนี้เปลีย่ นไปเป็นอีก หลายนามเทา่ ทป่ี รากฏ คือ “ม่ังค่ัง – บางกะลัง – บางขัน – บางขัง” และ บางขลัง ดังที่เรียกขานกันในปัจจุบัน สันนษิ ฐานว่าน่าจะเป็นไปได้ที่นาม “บางขลง” ในจารึกวัด ศรีชมุ ด้านท่ี ๑ นนั้ ศิษย์ของสมเด็จพระศรีศรัทธาฯ จารึก ตกหล่นอักษร ง ไปตัวหนึ่ง ถ้าจารึกไม่ตกหล่นนามนี้จะมี รูปศพั ท์ว่า “บางขลง” อ่านวา่ “บางขลัง” ตอ่ มาเพย้ี นเป็น “บางฉลงั ” แล้วที่สุดกก็ ลบั ไปเป็น “บางขลัง” ตามเดิม มนต์ชัย เทวัญวโรปกรณ์ (๒๕๓๙ : ๕๒ - ๕๔) กล่าวถึง ช่ือเรียกว่าเมืองบางขลังในสมัยปัจจุบัน ใน บทความเร่ือง ประวัตศิ าสตร์เมอื งบางขลังวา่ ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์จนถึงสมัยปัจจุบัน เราเรียกชื่อเมืองบางขลง หรือเมืองบางฉลังในชื่อใหม่ว่า “เมืองบางขลัง” ซึ่งเมื่อได้นํามาพิจารณาดูแล้วเห็นจะมา จากการรวมชอ่ื เก่าทเ่ี รียกช่ืออยา่ งหน่ึงว่า “เมืองบางขลง” กับมีชอื่ เรยี กได้อกี อย่างหนึ่งวา่ “เมืองบางฉลัง” นําเอาท้ัง สองชือ่ นี้มารวมกัน (สนธกิ ัน) เป็นช่ือหนงึ่ ชอ่ื เดียวกัน (เป็น

ภมู ินามตําบลเมืองบางขลัง ๒๕ คําสนธิ) ออกมาเป็นชื่อ “เมืองบางขลัง” คือมีการนําเอา “แม่อัง” (สระอัง) ของคําว่า “ฉลัง” มาเพ่ิมให้ “แม่อง” (สระอง) ของคําว่า “ขลง” กลายรูปมาเปน็ “ขลัง” (คือช่ือ “เมืองบางขลงั ”) ไปในที่สดุ ซ่งึ มคี วามหมายของคําแปลว่า “เมืองแห่งลุ่มน้ําอันศักด์ิสิทธ์ิที่ตั้งอยู่ใกล้ลุ่มน้ํา” (คือลุ่ม แม่นา้ํ ฝากระดานทตี่ ัดผ่านไหลอยขู่ า้ งหนา้ เมืองห่างออกไป เพียง ๓๐๐ เมตร สายหน่ึงและท่ีเป็นคูเมืองด้านหลังอีก สายหนึง่ ) คาํ วา่ “บาง” ในทนี่ ้ีหมายถึง “สาขาทางน้ําที่ไหล ขึ้น – ลงตามระดับของนํ้าในแม่น้ํา ลําคลอง (หรือแม้แต่ ทะเล) อันเป็นแหล่งตน้ นาํ้ หรือเป็นแหล่งปลายของสายน้ํา ของสาขานา้ํ แห่งน้ันๆ” (ซึง่ มคี วามหมายถึงภาคพื้นบริเวณ ท่ีถึงแม้ว่าจะเป็นภาคพ้ืนดินแต่ก็ต้ังอยู่ใกล้อาณาบริเวณ สองฟากฝัง่ ของ “บาง” น้ันๆ ด้วย) คําว่า “ขลงั ” หมายถึง ความศักดิ์สิทธ์ิ (ความขลัง) หรือ “อาํ นาจของความศกั ดิส์ ิทธิ์” (อํานาจของความขลัง) ชื่อเรียกว่า “เมืองบางขลัง” คงจะเป็นภาคของ “ภาษานักพูด” ที่เรียกชื่อกันอย่างน้ีตลอดมาเป็นเวลาท่ี ช้านานแล้วเลยทีเดียว คือ ตั้งแต่ในสมัยสุโขไท สมัยต่อๆ มา และในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยกรุงธนบุรี แต่ไม่มี หลักฐานในภาคของภาษาเขียนแต่อย่างใดทง้ั สิน้ ชื่อเรียกว่า “เมืองบางขลัง” เพิ่งจะปรากฏเป็น หลกั ฐานในภาคของ “ภาษาเขียน” ครัง้ แรกในปีจุลศักราช ๑๑๙๓ (ตรงกับปี พ.ศ.๒๓๗๕) ตรงกับตอนต้นรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๓

๒๖ ภมู ินามตําบลเมืองบางขลัง แหง่ ราชวงศ์จกั รี ในจดหมายเหตุ ร.๓ เลขที่ ๒๔ สมุดไทย ดํา จ.ศ.๑๑๙๓ ใจความว่า ทางกรงุ เทพฯ ต้องการไม้สักไป ซ่อมแซมวัดในพระนคร จึงเกณฑ์ไม้สักส่วนมณฑลเชลียง ดังนี้ “...เมืองสวรรคโลก มีเมืองทุ่งย้ัง เมืองบางขลัง เปน็ เมืองขน้ึ อยู่ในความปกครอง...” และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ปรากฏว่าใน หลักฐานทุกที่มีปรากฏเป็นภาคของ “ภาษาเขียน” ของ ทางราชการ เช่น หนังสือราชการก็ดี ในหนังสือต่างๆ ก็ดี หรือแม้แต่ ชื่อเ รียก ในภาคของ “ภาษาพูด ” ขอ ง คนท้ังหลายก็ดี ต่างก็พากันเรียกช่ือว่า “เมืองบางขลัง” ดว้ ยกันทง้ั ส้ิน แต่กม็ บี างแห่งเขยี นวา่ “เมอื งบังขัง” หรือ “เมือง บางขัง” เช่นในแผนที่แสดงแนวทางถนนพระร่วงและช่ือ โบราณสถานสาํ คญั ชอื่ เมืองโบราณสาํ คัญ ท่ีตัง้ อยู่ใกล้แนว ท่ีถนนพระร่วงผ่าน มีปรากฏอยู่ในหนังสือพระราชนิพนธ์ เรื่อง “เท่ียวเมืองพระร่วง” ของพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก เมื่อต้นปี ลายสือไทศักราช (ล.ศ.) ๖๒๖ (พ.ศ.๒๔๕๑) เขียนช่อื ในเร่ืองว่า “เมืองบางขงั ” และเขยี นชอ่ื ในแผนที่ว่า “ม.บงั ขัง” (เมืองบังขงั ) ซง่ึ เชือ่ ว่าเปน็ ภาษาเขียนตามภาษา พูดของชาวบ้านท่ีแผลงเพี้ยนสําเนียงออกไปจากคําว่า “บางขลงั ” นนั่ เอง

ภูมินามตําบลเมืองบางขลัง ๒๗ จึงกล่าวได้ว่า ที่มาของภูมินามเมืองบางขลังปรากฏอยู่ ๒ แนว ไดแ้ ก่ จากข้อมลู สมั ภาษณ์ ซ่งึ มาจากเรือ่ งเลา่ ของคนในพืน้ ท่ี ตําบลเมืองบางขลังที่เล่าสืบต่อกันมา ส่วนข้อมูลเอกสาร พบใน ศิลาจารกึ หลกั ที่ ๒ (วดั ศรชี มุ ) ด้านที่ ๑ บรรทัดท่ี ๒๒ จดหมายเหตุ รัชกาลท่ี ๓ เลขท่ี ๒๔ สมุดไทยดํา จ.ศ. ๑๑๙๓ และในหนังสือ พระราชนิพนธ์ เร่ือง “เที่ยวเมืองพระร่วง” ของพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ฉบับพิมพ์ครั้งแรกเมื่อต้นปี ๒๔๕๑ ทีม่ าของภูมินามเมืองบางขลังจึงเป็นเมืองท่ีอุดมสมบูรณ์มี มนตรข์ ลงั และมปี ระวัติศาสตรค์ วามเป็นมาอันยาวนาน ภมู นิ ามตาํ บลเมืองบางขลัง ๑. หม่ทู ่ี ๑ บ้านคลองแหง้ ช่ือหมูบ่ ้านคลองแห้ง มีทม่ี าจากเดมิ พ้นื ทบี่ รเิ วณนม้ี ีแม่นาํ้ ฝากระดานไหลผ่านหมู่บ้าน แต่เมื่อแม่น้ําฝากระดานไหลผ่าน วัดคลองแห้ง (วัดบุปผาราม) ปรากฏว่าเกิดคลองตันทําให้นํ้าแห้ง ไมส่ ามารถไหลต่อไปได้ ดังน้นั คนในหมู่บ้านจึงเรยี กช่ือตามลักษณะ ท่ปี รากฏ ดังนั้น หมบู่ า้ นนีจ้ งึ ชื่อวา่ บา้ นคลองแห้ง (ยุบล เวยี นระวงั , สมั ภาษณ์, ๑๔ มกราคม ๒๕๕๘)

๒๘ ภมู นิ ามตําบลเมืองบางขลัง วดั คลองแหง้ หรือวัดบุปผาราม (ภาพท่ี ๑ วดั คลองแหง้ หรือวดั บุปผาราม) วัดคลองแห้งหรือวัดบุปผาราม ตั้งชื่อตามชื่อหมู่บ้าน คือ บา้ นคลองแหง้ วดั น้ีเดิมสรา้ งข้ึนเป็นสาํ นักสงฆ์ไมป่ รากฏนามผู้กอ่ ตงั้ ตอ่ มาพระอาจารย์ทุม ตั้งสติ เข้ามาจําวัดในช่วงสงครามโลกคร้ังที่ สอง หลังจากนั้นหลวงพ่อเติมซึ่งมีภูมิลําเนาจากตําบลท่าเกษม อาํ เภอสวรรคโลก ไดม้ าจําวัดท่วี ดั คลองแหง้ ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๐ หลวงพอ่ และชาวบา้ นจึงร่วมกันสร้างโบสถ์ และศาลาข้ึนแล้วเสร็จ เมื่อปี ๒๕๔๒ เม่ือก่อน พ.ศ. ๒๔๘๑ วัดคลองแห้งถูกใช้เป็นโรงเรียน เปดิ สอนช้ันอนบุ าล – ประถมศึกษาปีท่ี ๔ ถอื เป็นโรงเรียนแห่งแรก ในตําบลเมืองบางขลัง (แก้ว พุ่มชบา, สัมภาษณ์, ๑๔ มกราคม ๒๕๕๘)

ภูมนิ ามตําบลเมืองบางขลัง ๒๙ (ภาพท่ี ๒ สถานทีใ่ นวัดคลองแหง้ ทีเ่ คยตัง้ เป็นโรงเรยี น) (ภาพท่ี ๓ อุโบสถวัดเกาะหินตง้ั ) (ภาพที่ ๔ หินตัง้ จําลอง) วัดเกาะหินต้ังเป็นวัดท่ีอยู่บริเวณหมู่ ๑ บ้านคลองแห้ง ช่ือวดั เกาะหินต้ังเรยี กมาจากบริเวณวดั มกี ้อนหินทข่ี ดุ ขน้ึ มา แลว้ เอา มาตั้งเรียงกันเป็นหย่อมๆ เหมือนเกาะรอบๆ ทางเดินโบสถ์ ผู้ให้ สัมภาษณ์ให้ข้อมูลว่าหินเหล่านี้ถูกคนขโมยพระขุดข้ึนมา และก็ นาํ มาเรียงไว้ ชาวบา้ นจึงเรยี กวา่ วัดเกาะหินตงั้

๓๐ ภมู นิ ามตําบลเมืองบางขลัง โบราณสถานท่อี ยูบ่ รเิ วณวัดเกาะหินตั้ง คือ เจดีย์เก่า และ ตระพังโบราณ รากฐานโบสถ์วัดเกาะหินต้ัง พ้ืนท่ีภายในวัด เกาะหินต้งั มีศาลาการเปรยี ญ ๒ หลัง อยู่ข้างหน้าโบสถ์ หน้าโบสถ์ มใี บเสมา ๒ ใบ (ใบเสมานี้นํามาจากวัดโบสถ์ หมู่ท่ี ๕) (ภาพท่ี ๕ รากฐานโบสถ์โบราณ) (ภาพที่ ๖ ใบเสมาโบราณ) สิ่งอัศจรรย์และความเชื่อ คือ ทุกวันพระขึ้น ๑๕ คํ่า ประมาณ ๑.๐๐ – ๒.๐๐ น. จะมีลําแสงประหลาดลักษณะเป็น ดวงไฟสีร้งุ ลอยออกจากโบสถ์วัดเกาะหินต้ังไปทางเขาพระเขาเณร (หมู่ที่ ๔ บ้านขอนซุง) ชาวบ้านเช่ือว่า ดวงไฟนี้ คือ พระธาตุ ศักดิ์สิทธ์ิ โดยมีเร่ืองเล่าว่า ตาลอ ขุมเพชร เป็นผู้ที่เคยเห็นดวงไฟ

ภูมินามตําบลเมืองบางขลัง ๓๑ ดังกล่าว ก่อนหน้านี้นายเฉลียว คุ้มสาก็เคยเห็นดวงไฟนี้เช่นกัน ดวงไฟจะลอยขึ้นคนื วนั พระใหญ่ ข้ึนมาจากทศิ ตะวันเฉยี งเหนือลอย มาวัดเกาะหินต้ัง เขาพระเขาเณร และวัดโบสถ์ บางคร้ังก็ขึ้นจาก วัดโบสถแ์ ละลอยไปท่ตี า่ งๆ ซึ่งเชื่อว่าดวงไฟนี้เป็นพระธาตุมาเย่ียม กัน และเชื่อว่าเป็นปู่โสมมาดูว่าสมบัติยังอยู่หรือไม่ ลักษณะของ ดวงไฟจะมหี ลายสี ได้แก่ สแี ดง คือ ป่โู สม และสีเขียว คือ พระธาตุ มผี ูเ้ หน็ ครั้งล่าสุดประมาณ ๕ ปีท่ีแล้ว พ.ศ. ๒๕๕๓ ดวงไฟลอยมา ตกทวี่ ัดโบสถ์ บรเิ วณน้ันพบเจดีย์เก่าอยู่ และทุกคร้ังจะพบในเวลา กลางคนื ดวงไฟจะสว่างจนเหมือนเวลากลางวันอย่างน่าประหลาด (ม้วน ภู่รพ, สมั ภาษณ์, ๑๔ มกราคม ๒๕๕๘) ถนนคนเกณฑ์ (ภาพท่ี ๗ ถนนคนเกณฑ์) ถนนคนเกณฑ์เรียกมาจากถนนเส้นนี้สร้างข้ึนในสมัยกํานัน เกิด หิมวันต์ โดยกํานันและอาจารย์พิสิถ ศรีสวัสด์ิ ได้เกณฑ์ ชาวบ้านในตําบลมาช่วยกันสร้างถนน เพ่ือเป็นเส้นทางใน การคมนาคมของหมู่บ้าน ถนนน้ีตัดผ่านบริเวณหมู่ ๑ บ้าน คลองแห้ง หมู่ ๒ บ้านปากคลองช้าง หมู่ ๓ บ้านปากคลองช้าง

๓๒ ภูมนิ ามตําบลเมืองบางขลัง หมู่ ๔ บ้านขอนซุง ชาวบ้านจึงต้ังชื่อถนนนี้ว่าถนนคนเกณฑ์ น่ันหมายความว่า เป็นถนนที่ได้มาจากการเกณฑ์คนเข้ามาช่วยกัน สร้าง (สงา่ พุฒฤทธิ์, สัมภาษณ์, ๑๔ มกราคม ๒๕๕๘) แมน่ ํา้ ฝากระดาน (ภาพท่ี ๘ แมน่ า้ํ ฝากระดาน) แมน่ ํา้ ฝากระดาน สาเหตทุ ่ีเรียกแมน่ ้าํ ฝากระดาน เนอ่ื งจาก แม่น้ําน้ีไหลมาจากคลองแม่มอกของจังหวัดลําปาง เม่ือไหลมาถึง เมืองบางขลัง ชาวเมืองบางขลังช่วยกันนําฝากระดานมาเรียงต่อๆ กนั เพือ่ ก้นั ผันทางน้าํ ให้เปล่ียนทิศทางมายังเมืองบางขลัง ชาวบ้าน จึงเรยี กวา่ แม่นํา้ ฝากระดาน แม่น้าํ ฝากระดาน เป็นแหลง่ นํ้าสําคัญที่หล่อเลี้ยงชาวเมือง บางขลัง โดยไหลผ่านหมู่ที่ ๑ บ้านคลองแห้ง หมู่ที่ ๒ – ๓ บ้าน ปากคลองช้าง หมู่ที่ ๔ บ้านขอนซุง หมู่ท่ี ๕ บ้านวัดโบสถ์ หมู่ ๘ บา้ นไผข่ วาง และหมู่ท่ี ๙ บ้านขอนซุง (อุไร หมิ วันต์, สมั ภาษณ์, ๑๔ มกราคม ๒๕๕๘)

ภูมินามตําบลเมืองบางขลัง ๓๓ คลองลาว (ภาพท่ี ๙ คลองลาว) คลองลาวเปน็ คลองท่ีขุดโดยใช้แรงงานมนุษย์ ไมไ่ ด้เกิดข้ึน เองตามธรรมชาติ สาเหตุที่เรียกคลองขุดนี้ว่าคลองลาว เนือ่ งมาจาก สมยั ท่ีชาวตะวันตกเข้ามาทาํ สมั ปทานไม้ท่ีบ้านขอนซุง ได้จ้างคนลาว (คนเมืองบางขลังเรียกคนที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือ ในบรวิ ณพืน้ ท่ที างเหนือขึ้นไปจากตําบลเมืองบางขลงั เชน่ เถิน ตาก ว่าคนลาว) ท่ีเข้ามาทํามาหากินในตําบลเมืองบางขลังมาขุดคลอง เพื่อล่องแพซุงจากแม่น้ํามอก (แม่นํ้าฝากระดาน) ไปลงที่แม่นํ้ายม เพ่ือสง่ ซุงไปขายทีก่ รุงเทพฯ คลองนี้ขุดจากบ้านคลองแห้ง ผ่านบ้านกอเตย ไปจนถึง อําเภอศรีสําโรง จังหวัดสุโขทัย (พิสิถ ศรีสวัสด์ิ, สัมภาษณ์, ๑๔ มกราคม ๒๕๕๘)

๓๔ ภูมนิ ามตําบลเมืองบางขลัง คลองวังควาย/บ้านกอเตย (ภาพท่ี ๑๐ คลองวงั ควาย/บ้านกอเตย) คลองวงั ควาย มลี กั ษณะคล้ายแม่นํา้ แตม่ ีขนาดเลก็ กว่าและ มีความลึก (วัง หมายถึง แหล่งนํ้าลึกและนํ้าไม่แห้ง) ริมคลอง วงั ควายมตี น้ กอเตย (เตยป่า) มีใบเป็นหนามคล้ายสับปะรด มีดอก ที่มีกล่นิ หอมมาก สง่ กล่ินหอมอบอวลทั้งท้องทุ่ง ปัจจุบันต้นเตยน้ี สญู พนั ธุไ์ ปแล้ว เนื่องจากชาวบา้ นถางปา่ เพ่อื จับจองเปน็ ท่ดี นิ ทํากนิ สาเหตุที่เรียกคลองวังควาย เนื่องมาจากสมัยก่อนคนใน หมู่บ้านล้วนทําอาชีพเกษตรกรรม ทํานา ควายจึงมีบทบาทสําคัญ พอตกเยน็ ชาวนาจะพาควายมากนิ หญ้าบริเวณนี้ และมีควายจํานวน มากลงไปแชโ่ คลนบริเวณคลองน้ี ชาวบ้านจึงเรียกว่าคลองวังควาย (สุรินทร์ ลอยเลิศ, สมั ภาษณ์, ๑๔ มกราคม ๒๕๕๘) พรรณไม้พ้นื เมือง ในพืน้ ท่หี มู่ ๑ บา้ นคลองแหง้ มีไมพ้ ืน้ เมืองปรากฏอยู่หลาย ชนดิ บางชนิดสญู พันธไ์ุ ปแลว้ เช่น ต้นเตยป่า ตน้ แคป่า

ภูมนิ ามตําบลเมืองบางขลัง ๓๕ ต้นเตยป่า ลักษณะใบเป็นหนามคล้ายสับปะรด มีดอกท่ีมีกล่ินหอม มาก (สรุ นิ ทร์ ลอยเลิศ, สัมภาษณ์, ๑๔ มกราคม ๒๕๕๘) ต้นมะขามพระร่วง เปน็ ต้นมะขามขนาดลําต้นใหญ่ รสชาติเปร้ียวมาก มีเร่ือง เล่าว่า พระร่วงมาท่ีตําบลเมืองบางขลังและรู้สึกหิว บริเวณนั้นมี ต้นมะขามขนาดใหญ่อยู่ พระรว่ งจึงเก็บฝักมะขามมากิน ปรากฏว่า รสชาตเิ ปรย้ี วมาก พระรว่ งจึงพดู ว่า “ถา้ มงึ เปรย้ี วมากขนาดน้ี ขอให้ มงึ อยา่ มเี ม็ดเลย” ดว้ ยวาจาสิทธท์ิ ําให้มะขามต้นน้ไี ม่มีเม็ดต้ังแต่นั้น เปน็ ต้นมา (สุรินทร์ ลอยเลิศ, สมั ภาษณ์, ๑๔ มกราคม ๒๕๕๘) ต้นมะม่วงกลีบลา้ น ตน้ มะมว่ งกลีบล้าน เปน็ ต้นมะมว่ งท่มี ลี าํ ต้นสูงใหญ่กว่าต้น มะมว่ งทั่วไป ซ่ึงมีลักษณะเด่นอีกประการ คือ มีใบมะม่วงหนาทึบ มาก อนุมานวา่ มีใบจํานวนมากเปน็ ลา้ นใบ ด้วยลกั ษณะเดน่ ดังกลา่ ว จึงเรียกว่า ต้นมะม่วงกลีบล้าน (สุรินทร์ ลอยเลิศ, สัมภาษณ์, ๑๔ มกราคม ๒๕๕๘)