Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือครู ประวัติศาสตร์ ม.3

คู่มือครู ประวัติศาสตร์ ม.3

Published by phrapradisth, 2019-12-05 02:14:07

Description: คู่มือครู ประวัติศาสตร์ ม.3

Search

Read the Text Version

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตนุ ความสนใจ (ยอจากฉบับนกั เรียน 20%) ใหนกั เรยี นดพู ระบรมฉายาลักษณ õ. º·ºา·¢ÍงพระมหากÉัµริยã์ นราªวงÈ์จกั รีµ่Íความมัèนคง พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหา   áÅะความเจริÞรØง่ เรÍ× ง¢Íงªาµäิ ·ย อานันทมหดิ ลจากหนังสอื เรียน หนา 94 แลวสนทนากบั นกั เรียนวา ภายหลงั จากรชั กาลท่ี ๗ ทรงสละราชสมบตั แิ ลว ไดม พี ระมหากษตั รยิ ท ท่ี รงสบื ราชสมบตั ติ อ มา เมือ่ นกั เรยี นดแู ลว นกั เรียนนึกถงึ และมีบทบาทในการสรางสรรคความเจรญิ รงุ เรอื งและความมัน่ คงใหกบั ประเทศชาติ พระราชกรณียของพระองค ดา นใดบา ง พระบาทสมมเดหจçาพอารนะปนั รทเมมหนดิทลร สํารวจคน หา (ครองราชย พ.È. òô÷÷ - òôøù) นักเรียนศึกษาพระราชประวัตแิ ละ พระราชประวัติ พระราชกรณียกจิ ในพระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหดิ ล พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหดิ ล เพิ่มเตมิ จากแหลงการเรียนรตู างๆ ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์แรกของสมเด็จÏ เจ้าฟา‡ แลวจดั ทาํ เปน สมดุ ภาพสง ครูผสู อน มหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จ พระมหิตลาธเิ บศร อดลุ ยเดชวกิ รม พระบรมราชชนก) กับหม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยธุ ยา (สมเด็จพระศรี นครินทราบรมราชชนน)ี พระราชสมภพเมือ่ วันท่ี ๒๐ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๖๘ พระนามเดมิ วา่ พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ อานนั ทมหดิ ล เสดจ็ ขน้ึ ครองราชสมบตั เิ ปน็ พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี ขณะท่ีพระองค์ทรง มีพระชนมายุ ๙ พรรษา และทรงกำาลังศึกษาอยู่ ณ ประเทศสวิตเซอรแ์ ลนด์ จงึ ตอ้ งมคี ณะผสู้ าำ เร็จราชการ แทนพระองค์ àÊŒ¹àÇÅÒ áสดงเหตØการณสำาคัญในสมัยรชั กาลที่ ø เสด็จพระราชสมภพ ทรงย้ายไปศกึ ษาช้ันประถมศกึ ษา ณ เมอื งไÎเดลแบรก์ ท่ีโรงเรยี นวดั เทพศิรนิ ทร์ ประเทศเยอรมนี òô÷õ òô÷ó òôöõ òôöø òô÷ð òô÷õ เสดจ็ เขา้ รบั การศกึ ษาชัน้ อนุบาล ทีโ่ รงเรียนมาเเตรเ์ ดอีวทิ ยาลัย หม่อมเจา้ อานันทมหิดลทรงไดร้ ับòô÷ð ทรงได้รบั การอญั เชญิ òô÷÷ การสถาปนาขนึ้ เปน็ พระวรวงศ์เธอ ใหเ้ สด็จขน้ึ ครองราชสมบตั ิ 94 พระองคเ์ จ้าอานันทมหิดล 94 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Engage Explore Evaluate พระราชกรณยี กจิ สาำ คัญ อธิบายความรู พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหดิ ล เสดจ็ นิวัตเยี่ยมประชาชนชาวไทยครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน ครสู ุมนกั เรียนยกตวั อยางพระราช- พ.ศ. ๒๔๘๑ และครง้ั ที่ ๒ เมือ่ วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ กรณยี กจิ ในพระบาทสมเด็จพระ ขณะที่พระองคป์ ระทบั อยูใ่ นประเทศไทย ไดท้ รงเยีย่ มเยยี น ปรเมนทรมหาอานนั ทมหิดลท่ี ราษ®รในจังหวัดใกล้เคียงและในเขตพระนคร เช่น เสด็จ เก่ยี วกบั ความมน่ั คงของชาติไทย ประพาสสำาเพ็ง เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยกับ ชาวไทยเชือ้ สายจีน (แนวตอบ พระราชกรณยี กิจของ สมยั รัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ไดก้ ราบบงั คมทูล พระองคท ่เี ก่ยี วกบั ความมั่นคงของ เชิญพระองค์เสดจ็ นิวัตพระนคร เมือ่ วนั ที่ ๒๙ พฤศจิกายน ชาติไทย เชน การเสดจ็ เปน ประธาน พ.ศ. ๒๔๘๘ ภายหลังจากเสด็จไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศ ในพธิ สี วนสนามกองกาํ ลงั ทหาร สวิตเซอร์แลนด์ ตอ่ มาวันท่ี ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้ อังกฤษในประเทศไทย ณ อนุสาวรยี  มีการประกอบพิธีการรับรองการยอมจำานนของญ่ีปุ่นใน พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหดิ ล ประชาธปิ ไตย ถนนราชดาํ เนิน ประเทศไทยให้กับพลโท เอวินส์ ผู้บัญชาการทหาร½่าย เสดจ็ มาเปน องคป ระธานในพธิ สี วนสนามของกอง เพ่ือรบั การถวายความเคารพจาก พนั ธมติ รในประเทศไทย ดงั นน้ั พลโท เอวนิ สจ์ งึ ไดจ้ ดั พธิ สี วน กาํ ลงั เสรไี ทยและทหารพนั ธมติ ร เมอื่ พ.ศ.๒๔๘๙ กองกําลงั เสรไี ทยและทหารพนั ธมิตร สนามกองกาำ ลังทหารองั กฤษในประเทศไทยเม่ือวันที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๙ โดยทีพ่ ลเรือเอก ลอรด์ หลยุ ส์ หรอื การเสด็จประพาสสาํ เพ็งเพ่อื เมานตแ์ บตเทน ผบู้ ญั ชาการสงู สดุ ½า่ ยพนั ธมติ รไดเ้ ดนิ ทางจากเมอื งแคนดี ประเทศศรลี งั กา มารว่ มพธิ ดี ว้ ย พรอ้ มกบั ทรงเย่ียมราษฎร เปน การเชื่อม กราบทูลเชญิ พระองค์เสด็จมาทรงเป็นประธานในพธิ ีสวนสนาม ณ อนสุ าวรยี ์ประชาธิปไตย ถนนราชดาำ เนิน เพ่อื ความสมั พนั ธอ ันดรี ะหวา งชาวไทย รบั การถวายความเคารพจากกองกาำ ลังเสรีไทยและทหารพันธมิตร กบั ชาวจนี เปนตน ) การเสดจ็ เปน็ องคป์ ระธานในพธิ สี วนสนาม และทรงรบั การถวายความเคารพของกองกาำ ลงั ทหารเสรไี ทยและ ทหารพันธมติ รทา่ มกลางบคุ คลสำาคัญทัง้ ½า่ ยพันธมติ รและ½่ายรฐั บาลไทย แสดงให้เหน็ ถึงพระบารมขี องพระองค์ ขยายความเขาใจ ทที่ รงยนื ยนั ถงึ ความมเี อกราชและอธปิ ไตยในสายตาชาวโลก อนั จะนาำ ไปสคู่ วามมน่ั คงของประเทศชาตไิ ดใ้ นทส่ี ดุ จากพระราชกรณียกิจต่างๆ ดังท่ีได้กล่าวมาแล้วข้างต้น แสดงให้เห็นถึงบทบาทของพระองค์ท่ีทรงมี นักเรยี นจัดการสมั มนาในประเด็น พระมหากรุณาธิคุณต่อประเทศชาติในการสร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงของประเทศชาติ “พระมหากษัตรยิ ไ ทยในดวงใจ อยา่ งแทจ้ ริง ทวยราษฎร” โดยครชู วยเสนอแนะ เพ่มิ เติม - ทรงตรวจพลสวนสนามของกองทพั พันธมติ ร òôøù นักเรียนควรรู - ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทาน รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย จังหวดั ใกลเคยี ง ไดแ ก ปทุมธานี พ.ศ. ๒๔๘๙ นนทบรุ ี สมุทรปราการ สมุทรสาคร - เสด็จประพาสสาำ เพง็ ฉะเชงิ เทรา ซ่งึ พระบาทสมเดจ็ - เสดจ็ สวรรคตในวันที่ ๙ ม.ิ ย. พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหิดล ทรงไตถ ามทกุ ขส ุข ชวี ิตความเปน อยู òôøð ของราษฎรดวยพระราชอธั ยาศยั òôøñ ออ นโยน เปย มดว ยพระเมตตา ไมท รงถอื พระองค ทําใหผ ทู ่มี ีโอกาส òôøõ เขา เฝา อยางใกลช ิดมคี วามปลมื้ ปติ òôøø เปน อยา งยิ่ง òôùð - เสดจ็ นวิ ัตประเทศไทยเป็นครั้งแรก เสด็จนวิ ตั 95 หลังทรงศกึ ษาต่อที่สวติ เซอร์แลนด์ ประเทศไทยครงั้ ท่ี ๒ - ทรงเปดโรงพยาบาลอานันทมหดิ ล โดยเคร่อื งบินพระท่นี ัง่ จังหวัดลพบรุ ี ถึงสนามบินดอนเมือง - ทรงกลบั ไปศกึ ษาต่อทส่ี วติ เซอร์แลนด์ ในวนั ท่ี ๕ ธ.ค. คูมือครู 95

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตนุ ความสนใจ (ยอ จากฉบบั นักเรยี น 20%) ครูอา นพระปฐมบรมราชโองการ พระปรมนิ ทรมหาÀพมู รพิะบลอาทดสลØ มยเเดดชจç ในพระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา (ครองราชย พ.È. òôøù - òõõù) ภมู พิ ลอดลุ ยเดชเมอื่ วนั ท่ี5พฤษภาคม พ.ศ.2493ความวา “เราจะครองแผน ดนิ พระราชประวัติ โดยธรรม เพอื่ ประโยชนส ขุ แหง มหาชน ชาวสยาม” ใหนกั เรยี นฟง จากนนั้ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ตงั้ คําถามกระตนุ ความสนใจ เชน ทรงเปน็ พระอนชุ าธริ าชในพระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทร มหาอานันทมหิดล เสด็จพระราชสมภพเม่ือวันท่ี ๕ • จากพระปฐมบรมราชโองการ ธนั วาคม พ.ศ.๒๔๗๐ ทรงมพี ระนามเดมิ วา่ พระวรวงศเ์ ธอ นักเรียนเขาใจความหมายวา พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ อยา งไร เปน็ พระมหากษตั รยิ ใ์ นราชวงศจ์ กั รี เมอ่ื วนั ท่ี ๙ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๘๙ และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม • นักเรยี นเคยไดย ินพระบรม พ.ศ. ๒๕๕๙ และสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั มหาวชิราลงกรณ ราชโองการบทอื่นหรือไม และ บดนิ ทรเทพยวรางกรู เสด็จขึ้นทรงราชยส์ ืบตอ่ มา ประทับใจบทไหนมากทีส่ ดุ เพราะเหตใุ ด พระราชกรณียกิจสำาคัญ สํารวจคนหา ตลอดระยะเวลาทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชทรงครองราชสมบตั ิ พระองคท์ รงป¯บิ ตั ิ พระราชกรณยี กจิ นานปั การเพอื่ ความเจรญิ รงุ่ เรอื งและความมน่ั คงของประเทศชาติ พระมหากรณุ าธคิ ณุ ทพี่ ระราชทาน นกั เรียนแบงกลมุ กลุม ละ 5 - 6 คน เพื่อพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทยให้ดีข้ึนเร่ิมเม่ือ พ.ศ. ๒๔๙๕ โดยโปรดเกล้าÏ พระราชทาน ศึกษาคนควาพระราชประวตั ิและ โครงการอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดาำ รโิ ครงการแรก คอื โครงการสรา้ งถนนเขา้ สหู่ มบู่ า้ นหว้ ยมงคล ตาำ บลหนิ เหลก็ ไฟ พระราชกรณยี กจิ ในพระบาทสมเด็จ อำาเภอหวั หนิ จังหวัดประจวบครี ีขันธ์ และหลงั จากนั้นโปรดเกลา้ Ï ใหส้ รา้ งอา่ งเกบ็ นา้ำ เขาเต่าใหแ้ ก่ราษ®รดว้ ย พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดช จากแหลง การเรียนรูต างๆ จากน้นั พระองคท์ รงเรม่ิ โครงการพฒั นาชนบทมาตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๔๙๕ - ๒๕๑๐ รวมโครงการตา่ งๆ ๘๓ โครงการ นําเสนอขอ มลู ดว ยรปู แบบโปรแกรม แตม่ ี ๖๖ โครงการทด่ี าำ เนนิ การชว่ ยเหลอื ราษ®รในจงั หวดั เชยี งใหม่ เชยี งราย แมÎ่ อ่ งสอน และนา่ น ตอ่ มามโี ครงการ PowerPoint ตา่ งๆ เพมิ่ ขน้ึ เปน็ ๑๘๑ โครงการระหวา่ ง พ.ศ. ๒๕๒๐ - ๒๕๒๑ ครน้ั ถงึ พ.ศ. ๒๕๒๔ มถี งึ ๔๙๐ โครงการ โครงการ อนั เนอ่ื งมาจากพระราชดาำ รมิ มี ากมาย เชน่ โครงการพฒั นาภาคเหนอื โครงการหลวง โครงการนาขา้ วทดลองและ นกั เรียนควรรู โรงเรยี นขา้ วตวั อยา่ ง โครงการพฒั นาแหลง่ นา้ำ โครงการสรา้ งอา่ งเกบ็ นา้ำ โครงการพฒั นาทดี่ นิ โครงการพฒั นาปา่ ตน้ นา้ำ ลาำ ธาร เปน็ ตน้ ทงั้ นกี้ เ็ พอ่ื ความอยดู่ กี นิ ดขี องราษ®ร โครงการหลวง จัดตง้ั ขน้ึ ตาม àÊŒ¹àÇÅÒ แนวพระราชดาํ รขิ องพระบาทสมเดจ็ เเสดงเหตØการณสาำ คัญในสมัยรัชกาลที่ ù พระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช ทวี่ า “ใหช ว ยเขา ชว ยตวั เอง” เรมิ่ จาก เสดจ็ ขน้ึ เถลิงถวัลยราชสมบตั ิ ทรงพระราชทานเงิน โครงการหลวงดอยอา งขางเปน และทรงกลับไปศึกษาต่อที่ สำาหรับสรา้ งโรงโคนม แหงแรก มวี ัตถุประสงคสาํ คญั เพ่อื สวติ เซอรแ์ ลนด์ ข้ึนในบรเิ วณสวนจิตรลดา ใหราษฎรชาวเขาเลิกโยกยายทท่ี าํ กิน òõðð และการทาํ ลายปาเพอื่ ปลกู ฝน โดย òõðõ ดาํ เนินการจดั หาพันธุพ ชื มาปลูกใน ถิน่ ทีอ่ ยูข องราษฎรชาวเขา ฝกอบรม òõñð ราษฎรชาวเขาใหเขาใจหลกั วชิ าการ òõñòทรงมีพระราชดำาริทรงรเิ ร่ิมดำาเนินงาน เกษตรทสี่ งู เพือ่ ใหมีความเปนอยูท ่ีดี òõðöในการรเิ ริ่มโครงการหลวง ขึ้นและพึ่งพาตนเองได òôøð òôùùòôùðโครงการ½นหลวง òôùø òôùó òôøù 9๖ เสด็จนิวตั พระนครและทรงประกอบ ทรงผนวช òõðù พระราชทาน พระราชพธิ ีราชาภิเษกสมรสที่วงั สระปทุม ในพระพุทธศาสนา พนั ธปุ์ ลานิลให้ กบั กรมประมง ทรงริเร่ิมโครงการ เพอื่ นาำ ไปเล้ยี ง พฒั นาชนบททีห่ มู่บา้ น และแพร่พันธุ์ หุบกะพง จ.เพชรบรุ ี 96 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate สำาหรับการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมน้ัน อธบิ ายความรู ก็เป็นแนวพระราชดำาริท่ีพระองค์ทรงให้ความสำาคัญเป็นอย่างย่ิง ไดแ้ ก่ การจดั การทรพั ยากรนาำ้ เชน่ การจดั หาแหลง่ นา้ำ การระบายนาำ้ ครใู หน ักเรียนยกตวั อยา งโครงการ การกกั เกบ็ นา้ำ เปน็ ตน้ รวมถงึ การแกไ้ ขนา้ำ เสยี ใหเ้ ปน็ นา้ำ ดสี าำ หรบั อนั เนือ่ งมาจากพระราชดาํ รใิ น เอาไวใ้ ชห้ มนุ เวยี นอกี ดว้ ย จนเกดิ โครงการทาำ ½นเทยี ม โครงการ พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหา แกม้ ลงิ กงั หนั นาำ้ และโครงการเขอ่ื นปา่ สกั ชลสทิ ธิ์ เปน็ ตน้ ภูมิพลอดลุ ยเดช พรอ มทง้ั บอก นอกจากน้ี พระองค์ยังทรงให้ความสำาคัญแก่การจัดการ วตั ถปุ ระสงคใ นการจัดตง้ั โครงการ ทรพั ยากรดนิ และปา่ ไมใ้ นพน้ื ทต่ี า่ งๆ ทว่ั ประเทศอกี ดว้ ย รวมไปถงึ ดงั กลา ว พระราชทานพระราชดาำ รทิ ฤษ®ใี หม่ ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง และศนู ยศ์ กึ ษาพฒั นาตามแนวพระราชดาำ ริ ซงึ่ ลว้ นแตเ่ ปน็ ประโยชน์ นักเรยี นควรรู สาำ คญั ตอ่ การดาำ รงชพี ของประชาชนทง้ั สน้ิ สำาหรับพระราชกรณียกิจสำาคัญท่ีจะขอนำามาศึกษาเพียง ทฤษฎีใหม เปน แนวทางหรอื บางตัวอยา่ งในที่นี้ ได้แก่ หลกั การในการบรหิ ารจดั การทีด่ ิน โครงการทำา½นเทียม เกิดจากการที่พระองค์พระราชทาน และน้ําเพ่อื การเกษตรในทดี่ นิ พระราชดาำ รใิ หห้ นว่ ยงานของรฐั หลายหนว่ ยศกึ ษาการทาำ ½นเทยี ม กงั หนั นา้ํ ชยั พฒั นา เปน สง่ิ ประดษิ ฐเ รยี บงา ยแต ขนาดเลก็ ใหเ กิดประโยชนส งู สดุ มาตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๕๐๗ เพอ่ื ชว่ ยเหลอื เกษตรกรในฤดแู ลง้ ตอ่ มาใน มปี ระสทิ ธภิ าพสงู ในการบาํ บดั นา้ํ เสยี ซึง่ แบงพน้ื ท่อี ยูอ าศยั และทที่ าํ กิน พ.ศ. ๒๕๑๔ ไดจ้ ดั ตง้ั โครงการวจิ ยั และพฒั นาการทาำ ½นเทยี มขน้ึ ใน ออกเปน 4 สวน ตามอัตราสว น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และไดม้ กี ารทดลองทาำ “½นหลวง” พระราชทานในบรเิ วณภาคกลางจนประสบความ 30 : 30 : 30 : 10 ซงึ่ หมายถึง สำาเร็จ และใน พ.ศ. ๒๕๓๕ ก็ได้จัดต้ังสำานัก½นหลวงและการบินเกษตร โครงการทำา½นเทียมจึงกลายมาเป็น “½นหลวง” และไดใ้ หค้ วามชว่ ยเหลอื เกษตรกรทตี่ อ้ งการให½้ นตกนอกฤดกู าล เพอื่ ประโยชนใ์ นการทาำ นาและทาำ ไร่ พน้ื ทส่ี ว นทหี่ น่งึ ประมาณรอ ยละ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี 30 ใหขุดสระเพื่อใชเกบ็ กักนํ้าใน โครงการáก้มลิง ใน พ.ศ. ๒๕๓๘ ประเทศไทยประสบภัยนำ้าท่วมร้ายแรงท่ีสุดเท่าท่ีเคยมีมา ส่วนใหญ่ ฤดฝู นและใชส งเสริมการปลูกพชื ของภาคกลางจมอยู่ใต้น้ำา พระองค์ทรงอธิบายถึง “โครงการแก้มลิง” สำาหรับแก้ปัญหาน้ำาท่วมด้วยการทำา ในฤดูแลง ตลอดจนการเลย้ี งสตั วน า้ํ “แก้มลิง” เพื่อหาท่ีที่จะเก็บน้ำาเอาไว้ใช้ (เหมือนแก้มลิงที่ลิงใช้เก็บอาหารไว้กินในภายหลัง) ภายหลังเมื่อเริ่ม และพชื นา้ํ ตา งๆ โครงการ นาำ้ ก็เร่มิ ลดลง และสามารถผันนาำ้ เกบ็ ไวใ้ นทว่ี า่ งเพ่ือนำาไปใชใ้ นไรน่ าตอ่ ไปได้ กงั หนั นา้ำ พระองคท์ รงคดิ คน้ เครอ่ื งกลเตมิ อากาศทผ่ี วิ นาำ้ หมนุ ชา้ แบบทนุ่ ลอย หรอื มชี อ่ื เรยี กวา่ “กงั หนั นาำ้ พืน้ ท่ีสวนท่ีสอง ประมาณรอ ยละ ชยั พฒั นา” ใชส้ าำ หรบั เตมิ ออกซเิ จนใหน้ าำ้ ในสระและแหลง่ นาำ้ นง่ิ ตา่ งๆ เปน็ ผลงานประดษิ ฐท์ ไ่ี ดผ้ ลดมี ากในการปรบั ปรงุ 30 ใหป ลกู ขาวในฤดูฝนเพอ่ื ใชเ ลย้ี ง สภาพแวดลอ้ มทนี่ าำ กงั หนั ไปใช้ ทาำ ใหน้ าำ้ เสยี กลายสภาพเปน็ นาำ้ ดไี มเ่ นา่ เสยี อกี ตอ่ ไป ครอบครวั ใหเ พยี งพอตลอดป เกดิ เหตกุ ารณ์มหาวิปโยค ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทาน พ้นื ท่ีสว นทสี่ าม ประมาณรอยละ (๑๔ ตลุ าคม ๒๕๑๖) รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย 30 ใหปลกู ไมผล ไมย นื ตน พืชผัก พืชไร พืชสมุนไพร ฯลฯ เพื่อใชเปน พระราชทานพระ พ.ศ. ๒๕๕๐ อาหารประจําวนั หากเหลือบริโภค òõñöราชดาำ รใิ หม้ ีศูนย์ศกึ ษา òõõð ก็นาํ ไปจําหนา ย òõòðการพฒั นาอันเนือ่ งมา òõóð òõóõ พ้นื ทส่ี วนที่สี่ ประมาณรอยละ òõôò òõôðจากพระราชดำารขิ ึน้òõòö 10 เปน ท่ีอยูอาศัย เลยี้ งสตั ว ถนน òõõù òõõðตามภูมิภาคต่างๆเกดิ เหตุการณพ์ ฤษภาทมÌิหนทาง และโรงเรอื นอืน่ ๆ พ.ศ. ๒๕๓๕ @ มมุ IT โปรดเกล้าÏ ใหพ้ ฒั นาบึงมกั กะสัน òõóø โครงการกอ่ สร้างเขือ่ น เสดจ็ เพ่อื เป็นเเหล่งกาำ จดั นาำ้ เสยี òõòø ป่าสกั ชลสทิ ธเ์ิ สรจ็ สมบูรณ์ สวรรคต ศึกษาคน ควาขอ มูลเพมิ่ เตมิ พระราชทานแนวพระราชดาำ ริ ในวนั ที่ เกยี่ วกับโครงการพัฒนาแหลง นํ้า ตามธรรมชาติโดยใช้ผักตบชวา โครงการแกม้ ลงิ ๑๓ ตลุ าคม อันเนอ่ื งมาจากพระราชดาํ ริไดท่ี www.rid.go.th กรมชลประทาน 97 คมู อื ครู 97

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate สาํ รวจคน หา (ยอ จากฉบับนกั เรียน 20%) ครูใหนกั เรียนศึกษาเกี่ยวกับ โครงการเขอ่ื นปา† สกั ชลสทิ ธìิ โครงการนเี้ รม่ิ ตน้ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๓๒ เพอ่ื ชว่ ยบรรเทาปญั หานา้ำ ทว่ มใหแ้ กร่ าษ®ร ศนู ยศึกษาการพัฒนาอนั เนอื่ ง เปน็ แหลง่ เกบ็ กกั นา้ำ ในฤดทู ม่ี มี รสมุ เพอื่ เกบ็ ไวใ้ ชภ้ ายหลงั ชว่ ยบรรเทาอทุ กภยั ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี นบั เปน็ เขอ่ื นดนิ ทยี่ าว มาจากพระราชดําริแตล ะศูนยจ าก ทส่ี ดุ ในประเทศไทย ตงั้ อยใู่ นจงั หวดั ลพบรุ ี แหลงการเรียนรตู า งๆ แลว นาํ ขอ มูล จดั ทาํ เปนรายงานสงครผู ูสอน ปรชั ญาของเÈรษฐกจิ พอเพยี ง พระองคไ์ ดพ้ ระราชทาน “ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง” สาำ หรบั เปน็ หลกั ในการดาำ เนนิ ชีวิตใหแ้ ก่ราษ®ร รวมทั้งการป¯บิ ัตติ นของประชาชนทกุ ระดบั ตั้งแตร่ ะดับครอบครัว ชุมชน จนถงึ อธบิ ายความรู ระดับรัฐ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมท้ังความจำาเป็นท่ีจะต้องมีระบบ ภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างย่ิงใน ครตู ้งั ประเด็นคําถามวา การนาำ วชิ าการต่างๆ มาใชใ้ นการวางแผนและการดาำ เนินการทุกขัน้ ตอน ขณะเดยี วกันจะต้องเสรมิ สร้างพ้ืนฐาน จากพระราชกรณยี กิจในพระบาท จิตใจของคนในชาติโดยเ©พาะเจ้าหน้าที่ของรัฐและนักธุรกิจทุกระดับให้มีสำานึกในคุณธรรม ความซ่ือสัตย์สุจริต สมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมพิ ล และให้มีความรอบรู้ทีเ่ หมาะสม ดำาเนนิ ชีวิตด้วยความอดทน ความเพยี ร มีสติปัญญา และมีความรอบคอบ เพ่ือ อดุลยเดชตางๆ ดังกลา ว กอใหเ กดิ ให้เกิดความสมดุลและพร้อมรับความเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม ส่ิงแวดล้อม ประโยชนตอ ราษฎรและประเทศชาติ และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกไดเ้ ปน็ อยา่ งดี อยางไร จากนนั้ ใหนักเรยี นแสดง ความคิดเห็นรวมกัน ดงั นน้ั เศรษฐกจิ พอเพยี งตามแนวพระราชดาำ รขิ องพระองคจ์ งึ เนน้ การพง่ึ พาตนเองเปน็ หลกั โดยเรม่ิ ทกี่ ารฟนœื ฟู เศรษฐกจิ ของชมุ ชน สง่ เสรมิ ใหช้ มุ ชนมคี วามสามคั คี เพอ่ื ใหท้ กุ คนในชมุ ชนสามารถดาำ รงอยไู่ ดอ้ ยา่ งเปน็ ปกตสิ ขุ ขยายความเขา ใจ ทÄษ®ใี หม่ เปน็ แนวทางหรอื หลกั การในการบรหิ ารจดั การทดี่ นิ และแหลง่ นาำ้ เพอื่ การเกษตรในทด่ี นิ ขนาดเลก็ นกั เรยี นศกึ ษาเกยี่ วกบั พระราชดาํ ริ ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ เปน็ แนวพระราชดาำ รทิ ท่ี รงรเิ รม่ิ การทดลองทวี่ ดั มงคลชยั พฒั นา จงั หวดั สระบรุ ี เร่ืองทฤษฎใี หมและปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงเพม่ิ เติมจากหนังสอื เรยี น Èนู ยȏ กึ ษาการพ²ั นาอนั เนอื่ งมาจากพระราชดาำ ริ (พระบาทสมเดจç พระปรมนิ ทรมหาÀมู พิ ลอดลØ ยเดช) เปน็ จากนน้ั วิเคราะหวา สามารถนํามา เสมอื นหนง่ึ “พพิ ธิ ภณั ±ธ์ รรมชาตทิ ม่ี ชี วี ติ ” ซง่ึ สรปุ ผลการศกึ ษาเพอ่ื หารปู แบบของการพฒั นาทปี่ ระชาชนอาจใชเ้ ปน็ ประยุกตใชในชีวติ ประจําวนั ได ตวั อยา่ งและสามารถนาำ ไปใชเ้ ปน็ ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจาำ วนั ไดใ้ นลกั ษณะของการบรกิ ารแบบเบด็ เสรจ็ นอกจากน้ี อยา งไร และกอ ใหเ กดิ ประโยชนแก ศนู ยศ์ กึ ษาÏ ยงั เปน็ สถานทส่ี าำ หรบั คน้ ควา้ วจิ ยั ในแตล่ ะทอ้ งท่ี เพราะสภาพดนิ ฟา‡ อากาศและประชาชนในทอ้ งทตี่ า่ งๆ ตนเองและประเทศชาตอิ ยา งไรบา ง มลี กั ษณะแตกตา่ งกนั มาก ศนู ยศ์ กึ ษาÏ จะเปน็ แหลง่ วจิ ยั ของเจา้ หนา้ ทร่ี ฐั ในหนว่ ยงานทเี่ กยี่ วขอ้ ง ขณะเดยี วกนั ผลของการวจิ ยั กจ็ ะเปน็ ประโยชนแ์ กป่ ระชาชนทจี่ ะมาใชบ้ รกิ ารทางดา้ นวชิ าการจากศนู ย์ ศนู ยศ์ กึ ษาÏ มจี าำ นวน ทงั้ สน้ิ ๖ แหง่ ดงั น้ี จ.เชยี งใหม่ ศูนยศ์ ึกษาการพฒั นาหว้ ยÎอ่ งไคร้ จ.สกลนคร ศูนยศ์ กึ ษาการพฒั นาภพู าน จ.©ะเชงิ เทรา บเศูรรณษาฐกกาจิ รพอเพยี ง จ.เพชรบุรี จ.จนั ทบุรี ครใู หน กั เรยี นทาํ รายงานเกยี่ วกบั ศูนย์ศึกษาการพฒั นาหว้ ยทราย ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ในประเด็น ศนู ยศ์ กึ ษาการพัฒนาพิกลุ ทอง จ.นราธิวาส ศูนย์ศึกษาการพฒั นาอา่ วค้งุ กระเบน • ความหมายและความสําคญั 98 ของปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง @ มุม IT • เศรษฐกจิ พอเพียงกับการพฒั นา ชมุ ชน ศกึ ษาคนควาขอ มลู เพ่มิ เตมิ เก่ียวกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดาํ รไิ ดท ่ี www.rdpb.go.th สํานกั งานคณะกรรมการพิเศษเพ่ือประสานงานโครงการ • เศรษฐกจิ พอเพยี งกบั กระแส อันเน่ืองมาจากพระราชดาํ ริ (สาํ นกั งาน กปร.) โลกาภิวตั น • การประยุกตใชเศรษฐกิจ พอเพียงในการดาํ เนนิ ชวี ิต และผลท่คี าดวาจะไดรบั 98 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กล่าวสรปุ ได้ว่า ขยายความเขาใจ ในระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยได้มีการพัฒนาในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกจิ สังคม ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศ รวมท้ังได้มบี ทบาทส�าคัญใน ใหนกั เรียนเขยี นบรรยายความรสู กึ เวทีโลก อันส่งผลดีต่อประเทศไทยและต่อสันติภาพของโลก นอกจากนี้ พระมหากษัตริย์ใน ของตนตอ พระราชกรณียกจิ ใน ฐานะทที่ รงเปน็ พระประมขุ ของราชอาณาจกั รไทยในระบอบประชาธปิ ไตยไดท้ รงมบี ทบาทสา� คญั พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา ในการรกั ษาความมัน่ คงและสร้างสรรคค์ วามเจรญิ รุ่งเรอื งให้เกดิ ขน้ึ กับประเทศชาติ ตลอดจน ภูมพิ ลอดลุ ยเดช และการนาํ ไปใช ทรงเปน็ ศนู ยร์ วมจติ ใจของประชาชนชาวไทยทง้ั ประเทศ ประเทศไทยจงึ มคี วามมน่ั คงและความ ใหเ กดิ ประโยชนต อสังคมสวนรวม เจริญรงุ่ เรอื งมาจนถงึ ปจั จุบัน จากนนั้ ออกมานําเสนอรายงาน หนา ชัน้ เรียน ตรวจสอบผล 1. ตรวจสมดุ ภาพพระราชประวตั ิ และพระราชกรณียกจิ ใน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร มหาอานันทมหดิ ล 2. การนาํ เสนอ PowerPoint พระราชประวัติและพระราช- กรณียกิจในพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช 3. ตรวจรายงานเกยี่ วกับศูนยศกึ ษา การพัฒนาอันเนอื่ งมาจาก พระราชดําริ 4. การนําเสนอรายงานของนักเรยี น 5. การตอบคาํ ถามของนักเรยี น 6. การแสดงความคิดเหน็ ของ นกั เรียน 99 คูม ือครู 99

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Evaluate Engage Explore Explain Expand เกร็ดแนะครู (ยอ จากฉบบั นักเรียน 20%) (แนวตอบ คําถามประจําหนวย ค าํ ถามประจ าํ หนว่ ยการเรียนรู้ การเรียนรู 1. สง ผลหลายดาน ท้ังดา นการเมอื ง มกี ารเปลย่ี นแปลงการปกครอง จากระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธิราชย ๑ การเปลย่ี นแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ของคณะราษฎร สง่ ผลตอ่ ประเทศไทยอย่างไร มาเปน ระบอบประชาธปิ ไตยโดย ๒ สภาพเศรษฐกจิ ไทยสมัยประชาธปิ ไตยมีลักษณะอยา่ งไร จงวเิ คราะห์ มรี ฐั ธรรมนญู เปนกฎหมายสูงสุด ๓ ก ารด�าเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยในสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในการปกครอง ดานเศรษฐกจิ สมัยสงครามโลกครั้งท่ี ๒ สมัยสงครามเย็น และภายหลังสงครามเย็นมีลักษณะอย่างไร มีการเนนการพฒั นาดา น จงสรุปมาพอเข้าใจ อุตสาหกรรม การลงทนุ จาก ชาวตา งชาติ ดา นสังคม ประชาชน ๔ ประเทศไทยสมยั ประชาธปิ ไตยไดเ้ ข้ามามบี ทบาทต่อสงั คมโลกอย่างไร มสี ิทธเิ สรีภาพและความเสมอภาค ๕ พระมหากษัตริย์ไทยในสมัยประชาธิปไตยทรงมีบทบาทในการเสริมสร้างความมั่นคง และความเจริญรงุ่ เรืองให้แกช่ าตไิ ทยอย่างไร จงอธิบายมาพอสังเขป ภายใตบ ทบญั ญตั ิแหงกฎหมาย มีลกั ษณะเปนสังคมเมือง 2. ในสมัยจอมพล ป. พบิ ลู สงคราม ไดใ ชน โยบายเศรษฐกจิ แบบทนุ นยิ ม กิจกรรมสร้างสรรค์พัฒนาการเรยี นรู้ โดยการนําของรฐั เพื่อใหคนไทย เปนเจาของกิจการตา งๆ ตอ มา สมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต นักเรียนในช้ันเรียนร่วมกันอภิปรายถึงเหตุการณ์ส�าคัญทางการเมือง ไดจ ดั ทาํ แผนพัฒนาเศรษฐกิจ กิจก๑รรมที่ ของไทยตงั้ แตก่ ารเปลยี่ นแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ จนถงึ ปจั จบุ นั แหง ชาติ ทําใหเศรษฐกิจของไทย จากน้ันสรุปสาระส�าคัญส่งครูผสู้ อน ขยายตัวมากข้ึนตามลาํ ดับ 3. ในชวงกอนสงครามโลกคร้งั ท่ี 2 กิจกรรมท่ี นักเรียนค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยสมัย ไทยเปนกลาง ตอมาเม่อื เกดิ ๒ ประชาธปิ ไตย จากนัน้ นา� เสนอผลงานหน้าช้ันเรยี น สงครามโลก ไทยเปนมติ รกับ ญปี่ นุ เพ่ือรกั ษาเอกราช แตใ น กจิ ก๓รรมท่ี นกั เรยี นรว่ มกนั จดั ปา้ ยนเิ ทศเกย่ี วกบั บทบาทพระมหากษตั รยิ ์ไทยสมยั สมัยสงครามเยน็ ไทยดาํ เนนิ ประชาธปิ ไตยทม่ี ผี ลตอ่ ความมนั่ คงและความเจรญิ รงุ่ เรอื งของชาตไิ ทย นโยบายตอตา นคอมมิวนิสตตาม สหรัฐอเมริกา และตอ มาภายหลัง ไทยเปลยี่ นแปลงนโยบายเปนมติ ร กับทุกประเทศ 4. ภายหลังจากไทยเขาเปนสมาชกิ ขององคการสหประชาชาติแลว ทําใหไทยไดมบี ทบาทในเวทีโลก และเปน ที่รจู ักของตา งชาตมิ ากข้ึน 100 ทงั้ ยงั สงเสรมิ ความรวมมือกับ ประเทศตา งๆ ทั้งในภูมิภาค เดียวกันและตางภูมภิ าค ซ่ึงสง ผลดตี อ ไทยในหลายดาน หแสลดักงฐผานลการเรยี นรู 5. พระองคทรงเปน ท่ยี ึดเหนยี่ วจิตใจของประชาชน ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ หลายประการเพอ่ื ความอยดู ีกนิ ดีของราษฎร เชน ทรงจัดตง้ั โครงการอนั เน่อื งมาจาก พระราชดํารติ า งๆ ทรงเสดจ็ เย่ียมราษฎรตามภมู ิภาคตางๆ เปน ตน ) นกั เรียนจัดทาํ เสน เวลา (Timeline) แสดงพัฒนาการ ทางประวตั ิศาสตรในดา นตา งๆ ต้งั แต พ.ศ. 2475 จนถงึ ปจจุบนั พรอ มทัง้ ตกแตง ระบายสใี หส วยงาม 100 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ๕หนวยการเรียนรทู ่ี เปา หมายการเรยี นรู การสรา งสรรค วเิ คราะหภ ูมิปญญาและวฒั นธรรม ภมู ิปญ ญาและ ไทยสมยั รตั นโกสินทรท ่มี อี ทิ ธิพลตอ วฒั นธรรมไทย การพัฒนาชาตไิ ทย สมัยรตั นโกสนิ ทร กระตนุ ความสนใจ ตวั ช้วี ัด นกั เรียนดภู าพงานประดบั มุก ● วิเคราะหภูมิปญญาและวัฒนธรรมไทย หนาหนวย แลวครูต้งั คําถามกระตนุ สมยั รตั นโกสนิ ทร และอิทธพิ ลตอ การพัฒนา ความสนใจ เชน ชาตไิ ทย (ส ๔.๓ ม.๓/๓) • นักเรยี นเคยเหน็ งานประดบั มุก ทใี่ ดบาง • นักเรียนคดิ วา งานประดับมุก สามารถนําไปใชป ระโยชนอ ะไร ไดบ าง สาระการเรียนรูแ กนกลาง เกร็ดแนะครู ● ภูมิปญญาและวัฒนธรรมไทยในสมัย ครคู วรจัดการเรียนรโู ดยให รัตนโกสินทรท่ีมีอิทธิพลตอการพัฒนา นักเรยี นศึกษาขอมลู เกี่ยวกบั ชาติไทยจนถึงปจจุบัน โดยเฉพาะพระบาท ภูมิปญญาและวฒั นธรรมไทย สมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช และ แลว ปลกู ฝงใหนกั เรยี นเหน็ คุณคา สมเดจ็ พระนางเจาสริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ ีนาถ และมีสวนรว มในการอนรุ กั ษ ภมู ปิ ญญาและวัฒนธรรมอนั ล้ําคา ã¹ÊÁÑÂÃѵ¹â¡ÊÔ¹·Ãä´ŒÁÕ¡ÒÃÊÌҧÊÃäÀÙÁÔ»˜ÞÞÒ ของชาติไทย ซง่ึ อาศัยทกั ษะ áÅÐÇѲ¹¸ÃÃÁä·ÂÊº× à¹×Íè §ÁÒ¨¹¶Ö§»˜¨¨ºØ ¹Ñ ÁÒ¡ÁÒ ´§Ñ ¹¹Ñé กระบวนการดังตอไปนี้ ¡ÒÃÈÖ¡ÉÒ¶Ö§ÀÙÁÔ»˜ÞÞÒáÅÐÇѲ¹¸ÃÃÁä·Â¨Ö§ÁÕÇѵ¶Ø»ÃÐʧ¤ à¾×èÍãËŒ¤¹ä·ÂÁÕ¤ÇÒÁÃÙŒ ¤ÇÒÁࢌÒ㨠à¡Ô´¤ÇÒÁÀÒ¤ÀÙÁÔ㨠• ทกั ษะการแสวงหาความรดู วย áÅЪNj ¡¹Ñ Í¹ÃØ ¡Ñ ÉÀ ÁÙ »Ô Þ˜ ÞÒáÅÐÇ²Ñ ¹¸ÃÃÁä·Â·ºÕè ÃþºÃØ ÉØ ตนเองจากแหลงการเรยี นรู ä´ŒÊÑè§ÊÁàÍÒäÇ㌠ˌᡤ‹ ¹Ã¹‹Ø ËÅ§Ñ Ê׺µ‹Íä» ตางๆ • ทักษะกระบวนการคิด ดว ยการ วิเคราะหคณุ คาของภมู ิปญญา และวัฒนธรรมไทยที่มีตอ การ พัฒนาชาตไิ ทย • ทักษะการนาํ เสนอขอมลู โดยใชส อ่ื เทคโนโลยีได อยา งมีประสทิ ธภิ าพ คูมือครู 101

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรยี น 20%) ครูใหน ักเรียนในชน้ั เรยี นชว ยกัน ñ. ความหมาย¢องภมู ปิ ญั ญาและวฒั นธรรมไทย ยกตวั อยา งภมู ิปญ ญาและวฒั นธรรม ไทยท่พี บเห็นในชวี ิตประจาํ วัน แลว ภูมิปญญาและวัฒนธรรมไทยเปนมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษสืบตอมาถึงคนไทยในปจจุบัน ซกั ถามวา ทาํ ไมตองสรางภูมิปญญา ซึง่ แสดงใหเหน็ ถึงเอกลักษณแ ละความเจริญรงุ เรอื งของคนไทยไดเปน อยา งดี และภูมิปญ ญาสรางขึ้นไดส าํ เรจ็ ดว ย วธิ ใี ด ภูมิปัญญา หมายถึง ความรู้ ความคิด ความเช่ือ ความสามารถ ความจัดเจนท่ีกลุ่มชน ได้จากประสบการณ์ที่สั่งสมไว้ในการปรับตัวและการด�ารงชีวิตท่ามกลางสภาพแวดล้อมทาง สํารวจคน หา ธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อมทางสงั คมและวัฒนธรรมที่ได้มพี ฒั นาการสืบสานกันมา มที ง้ั ภมู ปิ ัญญา อันเกิดจากประสบการณ์ในพ้ืนท่ี ภูมิปัญญาที่มาจากภายนอก และภูมิปัญญาที่ผลิตใหม่หรือ ครใู หนกั เรียนคน หารายการ ผลิตซ�้าเพ่ือการแก้ปัญหาให้สอดคล้องกับความจ�าเปน็ และความเปลี่ยนแปลง โทรทัศนท่ีเก่ียวของกับภมู ปิ ญ ญา ส�าหรับวัฒนธรรม หมายถึง ระบบความเช่ือ ระบบคุณค่า และวิถีชีวิตทั้งหมด ดังนั้น และวฒั นธรรมไทยจาก www. ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมจึงเป็นส่ิงท่ีผสมผสานกันได้อย่างลงตัว เม่ือกล่าวถึงภูมิปัญญาก็เป็น youtube.com แลว บอกเหตผุ ล ลักษณะส่วนหนง่ึ ของวฒั นธรรม และเมอื่ กล่าวถึงวฒั นธรรมกจ็ า� เปน็ ต้องกล่าวถงึ ภมู ิปญั ญาด้วย ท่ีสนใจเรือ่ งดังกลา ว ò. ปัจจยั พé×น°านทมีè อี ทิ ธิพลต่อการสรา้ งสรรคภ์ มู ิปัญญาและ อธิบายความรู วฒั นธรรมไทย ครใู หนักเรยี นแสดงความคิดเห็น การสรางสรรคภูมิปญญาและวัฒนธรรมไทยในสมัยรัตนโกสินทร ลวนอาศัยปจจัยพื้นฐาน รวมกนั เก่ียวกบั ความหมายของ หลายประการ ภูมิปญ ญาและวฒั นธรรมไทย และ »¨˜ ¨ÑÂ¾×¹é °Ò¹·ÁèÕ ÕÍÔ·¸Ô¾Åµ‹Í¡ÒÃÊÌҧÊÃäÀÁÙ Ô»Þ˜ ÞÒáÅÐÇ²Ñ ¹¸ÃÃÁä·Â ปจจยั ทีม่ อี ิทธพิ ลตอ การสรางสรรค ã¹ÊÁÂÑ ÃµÑ ¹โ¡Ê¹Ô ·Ã ภมู ิปญ ญาและวัฒนธรรมไทย ã¹ÊÁÑÂÃѵ¹â¡ÊÔ¹·ÃÁÕáÁ‹¹éíÒäËż‹Ò¹·ÑèÇ·Ø¡ÀÙÁÔÀÒ¤¢Í§»ÃÐà·È ºÒ§Ê‹Ç¹¢Í§»ÃÐà·ÈÍÂÙ‹µÔ´¡Ñº·ÐàÅ ºÒ§Ê‹Ç¹ÁÕÊÀÒ¾ÀÙÁÔÈÒʵÏ บเศรู รณษาฐกกาจิ รพอเพยี ง ÊÀÒ¾ ໹š ÀÙà¢ÒáÅл†ÒäÁŒ ÁÀÕ ÙÁÔÍÒ¡ÒÈ·èÕᵡµ‹Ò§¼Å´Ñ à»ÅÂèÕ ¹ËÁ¹Ø àÇÕ¹ ÀÁÙ ÈÔ ÒʵÏáÅÐ ¡Ñ¹ä»µÅÍ´»‚ ÁÕÅÁÁÃÊØÁ¾Ñ´¼‹Ò¹ ÁÕ»†ÒäÁŒ ¾×ª¾Ñ¹¸Ø¸ÑÞÞÒËÒà ÊÀÒ¾áÇ´ÅŒÍÁ ÊÁºÃÙ ³ ¤¹ä·ÂÊÒÁÒöá¡äŒ ¢»Þ˜ ËҢͧµ¹àͧ䴴Œ ÇŒ Âʵ»Ô Þ˜ ÞÒ เศรษฐกจิ พอเพยี งมิใชเรอื่ งของ ¢Í§µ¹â´ÂÊÍ´¤ÅÍŒ §¡ºÑ ÊÀÒ¾ÀÁÙ ÈÔ ÒʵÃᏠÅÐÊÀÒ¾áÇ´ÅŒÍÁ เศรษฐกิจเพียงอยา งเดยี ว หากแต ครอบคลุมไปถึงเกือบทกุ มติ เิ กีย่ วกบั Êѧ¤Áä·ÂÊÁÑÂÃѵ¹â¡ÊÔ¹·Ã¡‹Í¹»ÃѺµÑÇࢌÒÊÙ‹¤ÇÒÁ·Ñ¹ÊÁÑ วิถชี วี ิตของคนไทย รวมทง้ั มิติดาน ໚¹Êѧ¤Á·ÕèÁÕÃкºÁÙŹÒ - ä¾Ã‹ µ‹ÍÁÒàÁè×ÍࢌÒÊÙ‹Êѧ¤ÁÊÁÑÂãËÁ‹ สงั คมและวัฒนธรรม หรอื อาจกลาว ÃкºÁÙŹÒ - ä¾Ã‹¶¡Ù ¡àÅ¡Ô áÅÐà»ÅèÕ¹á»Å§¡Òû¡¤Ãͧà¢ÒŒ ʋ٠ไดว า เศรษฐกิจพอเพียงหมายรวมถึง Å¡Ñ É³Ð Ãкͺ»ÃЪҸ»Ô äµÂ 椄 ¤Áä·Â¨§Ö ໹š 椄 ¤Áá˧‹ ¤ÇÒÁàÊÁÍÀÒ¤ เศรษฐกจิ แหงการแบงปนบนพน้ื ฐาน ¢Í§Êѧ¤ÁáÅÐ ÀÒÂ㵌ÃѰ¸ÃÃÁ¹ÙÞ â´Â·Õè»ÃЪҪ¹Âѧ¤§ÁÕ¤ÇÒÁ¨§ÃÑ¡ÀÑ¡´Õµ‹Í ของความเออื้ อาทร ชว ยเหลอื กนั Ç²Ñ ¹¸ÃÃÁ ¾ÃÐÁËÒ¡ÉµÑ ÃÂÔ « §èÖ ·Ã§à»¹š »ÃÐÁ¢Ø ¢Í§Ã°Ñ ¤¹ä·ÂÊÇ‹ ¹ãËÞ¹‹ ºÑ ¶Í× ¾Ãоط¸ÈÒÊ¹Ò «Ö§è ÁÕÇѧáÅÐÇѴ໚¹È¹Ù ¡ÅÒ§¢Í§¡ÒÃÊÃÒŒ §ÊÃä ÈÅÔ »ÇѲ¹¸ÃÃÁ¢Í§ä·Â ไมใชก ารแขง ขัน เปนแนวคิดทีม่ ี ๑0๒ พืน้ ฐานมาจากวัฒนธรรมอันเปน วถิ ชี ีวติ ดั้งเดิมของสงั คมไทย จากน้ัน ครใู หนกั เรียนสาํ รวจภมู ปิ ญ ญา ทองถน่ิ ของตนวา ภมู ปิ ญ ญานั้นสามารถนาํ มาใชใ นการดาํ เนนิ ชีวติ ของตนเอง ครอบครัว และชมุ ชนไดอ ยางไร และนกั เรียนจะมสี ว นรวมในการอนรุ ักษและเผยแพรภมู ิปญญาไทย ของชุมชนอยางย่งั ยืนอยางไร รวมท้งั จะพัฒนาภมู ปิ ญญาทองถิ่นเพอ่ื สรา งเศรษฐกิจชุมชน ใหเ ขม แข็งไดอยา งไร ใหสรปุ ผลการศกึ ษาคนควาโดยจดั ทําเปนแผน พับสงครผู สู อน 102 คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตุนความสนใจ ó. สตมัวอัยยร่าตั งนกâากรสสินรท้างรส์ รรค์ภมู ิปญั ญาและวฒั นธรรมไทย ครูนําภาพภมู ิปญญาไทย สมัยรัตนโกสินทร เชน วัดพระศรี- 3.๑ การแพทยแผนไทย รัตนศาสดาราม พระท่นี ่ังดสุ ติ มหา- ปราสาท พระท่ีน่ังจักรีมหาปราสาท กอ่ นทคี่ วามรทู้ างการแพทยส์ มยั ใหมจ่ ากโลกตะวนั ตกจะถกู เผยแพรเ่ ขา้ มายงั สงั คมไทย คนไทยก็ไดม้ ี เปน ตน มาใหนักเรยี นดู จากน้นั ซกั ถามวา นักเรยี นรจู กั ภูมปิ ญ ญา องคค์ วามรแู้ ละวิธปี ฏบิ ตั เิ พอื่ ดูแลสขุ ภาพและบ�าบัดรักษาโรคมาตง้ั แต่สมยั โบราณแลว้ โดยใช้วธิ ีการสา� คญั ดงั กลาวหรือไม และภูมปิ ญ ญานัน้ มีสว นในการพัฒนาชาติไทยอยา งไร ๓ วิธีในการรักษาโรค ได้แก่ การใช้สมุนไพร การนวด - บริหารร่างกาย และการใช้พิธีกรรมความเชื่อ สํารวจคน หา เพ่ือสรา้ งขวญั และก�าลงั ใจแกผ่ ู้ปว ย ครูใหนกั เรยี นศกึ ษาคนควา ภมู ปิ ญั ญาทางดา้ นการแพทยแ์ ผนไทยจะใชส้ มนุ ไพรในการรกั ษาโรค โดยความรเู้ หลา่ น้ีไดม้ าจากการ เกยี่ วกับตวั อยา งการสรางสรรค ภมู ิปญญาและวัฒนธรรมไทยสมยั ทดลองคิดคน้ คณุ สมบตั ิของพชื พันธุ์ สัตว ์ และธาตทุ ี่มีอยู่ตามธรรมชาต ิ เช่น ถ้าสมนุ ไพรชนิดใดทสี่ ัตวก์ นิ รัตนโกสินทร จากหนังสือเรียน หนา 103-109 ในประเดน็ ตอไปนี้ เขา้ ไปแลว้ ไมเ่ ปน็ อนั ตราย แพทยก์ จ็ ะนา� มาทดลองใหผ้ ปู้ ว ยรับประทานเพอื่ บรรเทาอาการเจบ็ ปว ยจากโรค 1. การแพทยแผนไทย เป็นตน้ นอกจากน้ ี คนไทยยงั เรียนรูว้ ธิ กี ารบรหิ ารร่างกายเพ่อื ปอ งกันรกั ษาโรคโดยใชท้ า่ บรหิ าร ทีเ่ รียกว่า 2. การทอผาพ้ืนบาน 3. ขา วในวฒั นธรรมไทย ฤๅษีดัดตน รวมท้ังมีการนวดประคบ เปน็ การจับเส้นด้วยมือหรอื ใชอ้ ปุ กรณต์ ่างๆ เพ่ือช่วยบ�าบัดรักษาโรค 4. งานเคร่อื งไมจําหลกั 5. วรรณกรรมในรชั กาลที่ 6 ภูมิปัญญาทางด้านการแพทย์แผนไทยสมัยรัตนโกสินทร์นั้น คนรุ่นหลังทราบได้จากจารึกต�ารายา 6. วรรณกรรมเกี่ยวกบั อาหารไทย และฤๅษีดัดตนท่ีประดับไว้ตามศาลารายรอบพระอุโบสถในวัดพระเชตุพนฯ ต้ังแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ ต่อมา ของชนชั้นสงู 7. สถาปตยกรรมชา งสบิ หมู ในสมัยรชั กาลท่ี ๒ โปรดเกล้าฯ ใหส้ ืบหาต�ารายาดี รวมท้ังจารกึ ตา� รายา ตา� ราหมอนวดติดไว้ตามกา� แพง อธิบายความรู พระวหิ ารพระพุทธไสยาสนแ์ ละผนงั ศาลารายหนา้ พระอุโบสถวัดราชโอรสาราม และสมัยรชั กาลท ่ี ๓ ทรง ครูใหนักเรียนชว ยกันวิเคราะห บูรณปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ อีกครั้งหน่ึง โดยโปรดเกล้าฯ ให้จารึกต�ารายาบนแผน่ ศลิ า๑๑ ฝงั ไวต้ าม อทิ ธพิ ลของการแพทยแผนไทย ทม่ี ีตอการพัฒนาชาติไทย ทต่ี า่ งๆ เชน่ ผนงั พระอโุ บสถ เสาพระระเบยี ง ศาลาราย และมีการปนั้ รปู ฤๅษีดดั ตน นักเรียนควรรู ไว ้ ๘๐ ทา่ รวมทง้ั ปลกู สมนุ ไพรหายากดว้ ย จะเห็นได้ว่า ถึงแม้การแพทย์แผนปัจจุบันจากโลกตะวันตก จะเข้ามามีบทบาทในสังคมไทยเป็นอย่างมาก แต่การแพทย์แผนปัจจุบันก็มีค่าใช้จ่ายสูงและ ไม่เพียงพอต่อการบ�าบัดรักษา ดังน้ัน ภูมิปัญญา ด้านการแพทย์แผนไทยในสมัยรัตนโกสินทร์จึงได้ มอี ทิ ธพิ ลตอ่ การพฒั นาชาตไิ ทย โดยในสมยั ปจั จบุ นั ไดม้ กี ารจดั ตงั้ สถาบนั การแพทยแ์ ผนไทยขนึ้ ในกรม การแพทย ์ กระทรวงสาธารณสขุ เพอ่ื ให้การแพทย์ จารกึ ตํารายาวัดราชโอรสาราม นบั เปนตําราการแพทย แผนไทยเป็นอีกทางเลือกหน่ึงส�าหรับประชาชน แผนไทย ซ่ึงเปนมรดกทางภูมิปญญาอันลํ้าคาของ ในการรักษาโรคภยั ไขเ้ จบ็ ชาติไทยทค่ี วรรักษาใหค งอยูสืบตอ ไป ๑๑ องคก์ ารยเู นสโก (UNESCO) ไดข้ นึ้ ทะเบยี นจารกึ วดั โพธเิ์ ปน็ มรดกความทรงจา� แหง่ โลกในระดบั นานาชาตเิ มอ่ื พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑03 จารกึ ตาํ รายาวัดราชโอรสาราม จารขน้ึ มาเมื่อ พ.ศ. 2364 โดย พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา เจา อยหู วั ขณะดํารงพระยศพระเจาลูกยาเธอ กรมหม่ืนเจษฎาบดินทร เนื้อหาประกอบดวย กําเนิดของโรค อาการ เครื่องยาที่ ใชใ นการปรงุ ยา การปรุงและประกอบยา ตลอดจนการรกั ษาและวธิ ใี ชยา เปนตน คูมือครู 103

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate อธิบายความรู (ยอ จากฉบบั นักเรียน 20%) ครซู ักถามนกั เรียนถงึ ภมู ิปญ ญา 3.๒ การทอผาพน้ื บา น การทอผาพ้ืนบาน เชน • การทอผาพ้ืนบานมคี วามสาํ คัญ การทอผ้าพื้นบ้านของไทยเป็นหัตถกรรมในครัวเรือนที่ได้ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาต้ังแต่บรรพบุรุษ สู่คนรุ่นหลัง ซ่ึงเกิดข้ึนจากการสั่งสมประสบการณ์และองค์ความรู้ในการทอผ้าด้วยตนเองให้มีความ อยา งไร ประณีต สวยงาม จนเกิดเป็นภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยอันเป็นมรดกล�้าค่าของคนไทยในท้องถ่ินและ (แนวตอบ เปน งานหัตถกรรมใน ของชาตไิ ทย การทอผา้ พนื้ บา้ นของไทยในสมยั รตั นโกสนิ ทรม์ หี ลายประเภท แตต่ วั อยา่ งทจี่ ะกลา่ วถงึ ในทนี่ ้ี ครัวเรือนท่ไี ดมกี ารสบื ทอดตอ ไดแ้ ก ่ การทอผ้ามดั หม่ ี กันมาตั้งแตบรรพบรุ ุษซงึ่ เกดิ ผ้ามัดหม่ีเป็นผ้าท่ีทอข้ึนจากเส้นด้ายหรือเส้นไหมที่เป็นลวดลายจากการมัดด้วยเชือกแล้วน�าไป จากการเรยี นรดู ว ยตนเอง ย้อมสี จากนั้นจึงน�าไปทอเป็นลวดลายต่างๆ วิธีการทอผ้ามัดหม่ีถูกน�าเข้ามาเผยแพร่ในไทยตั้งแต่สมัย จนสามารถสรา งสรรคลวดลาย รชั กาลที่ ๓ โดยกลุ่มคนไทยทีเ่ รยี กวา่ ลาวพวน ซงึ่ เข้ามาตงั้ ถิน่ ฐานอาศัยอย่ทู างภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ทีม่ ีความสวยงาม) และภาคกลางบางสว่ นของไทย เชน่ ท่ีจังหวดั ลพบรุ ี เปน็ ต้น ปัจจบุ ันการทอผา้ มัดหมี่ไดม้ ีการพัฒนาให้มี • การทอผามัดหม่ีแสดงใหเ หน็ ถึง ความสวยงาม ประณตี และมคี ณุ ภาพมากขึน้ ภมู ปิ ญ ญาและวฒั นธรรมไทย การทอผา้ มดั หมแ่ี สดงถงึ ภมู ปิ ญั ญาไทยดา้ นศลิ ปหตั ถกรรมและสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ วฒั นธรรมไทย ดงั น้ี อยา งไร ๑. รู้จักน�าวัสดุธรรมชาติท่ีมีอยู่ในท้องถ่ินมาใช้ในการทอผ้า เช่น ใยไหม ใยฝาย ซ่ึงหาได้ง่ายใน (แนวตอบ เปนการรูจ กั นาํ วสั ดทุ มี่ ี ภมู ิภาคตา่ งๆ อกี ทงั้ สยี อ้ มก็ได้มาจากสตี ามธรรมชาติ เชน่ สียอ้ มจากแก่นตน้ ขนนุ (สเี หลือง) สยี ้อมจาก อยใู นทอ งถ่ินมาใชใ นการทอผา คร่งั (สีแดง) เป็นตน้ รจู กั การประดิษฐลวดลายลงบน ๒. รู้จักการประดิษฐ์ลวดลายลงบนผืนผ้า ด้วยการใช้เชือกมัดเส้นไหมหรือเส้นฝายที่จะน�าไปทอ ผนื ผา รวมทัง้ อาศัยแรงงานใน จนแน่นเพื่อปกปดบริเวณที่ต้องการให้เป็นลวดลาย ก่อนจะน�าไปย้อม จากน้ันตัดเชือกท่ีมัดไว้ออก ครอบครวั แทนการใชเ ครอ่ื งจกั รกล จะท�าให้ไดเ้ สน้ ด้ายที่เป็นลวดลาย แล้วนา� มาทอเป็นผืนผ้า ซึง่ เรียกกันวา่ ผา้ มดั หม่ี ในการทอผา) ๓. อาศัยแรงงานคนในครอบครวั แทนการใชเ้ ครื่องจักรกลในการทอเครอ่ื งน่งุ ห่ม • การทอผา มัดหมี่มอี ทิ ธพิ ลตอ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย การพัฒนาชาติไทยอยา งไร ในการทอผ้ามัดหม่ีมีอิทธิพลต่อการ (แนวตอบ ทาํ ใหชาวบา นยึดเปน พัฒนาชาติไทยในปัจจุบัน เพราะ อาชพี ผลติ เปน สนิ คาวางขาย สามารถผลิตเป็นสินค้าขายน�าเงินเข้า และยังเปน การสบื ทอดงาน ประเทศ ทา� ใหช้ าวบา้ นในชนบทมรี ายได้ ศิลปหตั ถกรรมของไทยทมี่ ีมา เพ่ิมขึ้น การทอผ้ามัดหม่ีน้ีได้รับการ แตโบราณดว ย) ส่งเสริมจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ ิ พระบรมราชนิ นี าถ โดยให้ชาวบ้านทา� เป็นอาชีพเสริม นอกจากนี้ พระองค์ ทรงแนะน�าให้ใช้ไหมพ้ืนเมืองและส่ง ผชู้ า� นาญเรอื่ งการยอ้ มสไี ปสอนชาวบา้ น รวมทงั้ ฟน้ื ฟลู วดลายมดั หมแี่ บบโบราณ การทอผามัดหมี่ นับเปนภูมิปญญาและวัฒนธรรมไทย ทางดานศิลปหัตถกรรมท่ีมีความสวยงามมาต้ังแตอดีต ขน้ึ มาใหม ่ ถอื เปน็ การอนรุ กั ษง์ านศลิ ป จนถงึ ปจ จบุ นั หัตถกรรมของไทยทีม่ มี าแต่โบราณ ๑0๔ 104 คมู อื ครู BB พื้นฐานอาชพี ครยู กตวั อยา งรา นทอผาไหมมัดหมี่ทม่ี ชี ่ือเสยี ง เชน กลุมทอผามัดหมี่บา นกลว ย จงั หวัดลพบุรี กลมุ ทอผา ไหมบานโนนมว ง จงั หวัดสรุ ินทร แลว แนะนาํ ใหน ักเรียนศกึ ษาขอ มูลเพม่ิ เตมิ จากนนั้ สาธติ การทอผาโดยประดษิ ฐล วดลายเองใหส วยงาม เพ่อื ทน่ี กั เรียนสามารถนาํ ประสบการณ ความรทู ไ่ี ดไ ปพฒั นาเปน อาชพี ทงั้ ยงั เปน การสง เสรมิ และอนรุ กั ษภ มู ปิ ญ ญาไทยทมี่ คี า ของชมุ ชน

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate 3.3 ขา วในวัฒนธรรมไทย อธิบายความรู ข้าวมีความเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนไทย 1. ครเู กรน่ิ นําเกี่ยวกับความสาํ คัญ มายาวนานต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์มาจนถึง ของขาวท่ีเกย่ี วของกบั วิถีชวี ิต ปัจจุบัน โดยเป็นอาหารหลักของคนไทยและเป็น ของคนไทย จากนน้ั ใหน ักเรียน บ่อเกิดของความเช่ือ ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ ท่คี รอบครัวเปนชาวนาออกมาเลา เชน่ พธิ ไี หวแ้ มโ่ พสพ ซงึ่ เปน็ เทพยดาประจา� ตน้ ขา้ ว เกยี่ วกบั การทํานาใหเพื่อนฟง เพ่ือรักษาคุ้มครองต้นข้าวให้สมบูรณ์แข็งแรงและ พรอ มทง้ั เปด โอกาสใหซ ักถาม ออกรวงในปริมาณมาก พิธีเล้ียงผีตาแฮก ซึ่งเป็น ผปี ระจา� ไร่นา คอยดูแลตน้ กล้าและนาขา้ ว พิธีบูชา 2. ครตู ัง้ คาํ ถามใหน กั เรยี นชว ยกนั แมธ่ รณ ี เมอ่ื แรกไถนา แรกหวา่ นขา้ ว และแรกดา� นา ระดมความคดิ วา หากไมชวยกัน แม้แต่พิธีไหว้พระหรือไหว้บรรพบุรุษในเทศกาล ประเพณีไหวแมโพสพ เปนการแสดงความเคารพตอ อนุรกั ษพ นั ธุขาวหอมมะลิของไทย ต่างๆ ก็จะต้องมีข้าวและขนมหวานซ่ึงประกอบ แมโ พสพ ซงึ่ เปน ธรรมเนยี มทปี่ ฏบิ ตั สิ บื ตอ กนั มาชา นาน ในอนาคตจะเกิดอะไรขึน้ ไปด้วยข้าวและข้าวเหนยี วทุกครัง้ (แนวตอบ ประเทศอนื่ ก็จะนาํ นอกจากนีย้ งั มีพระราชพิธีพชื มงคลจรดพระนงั คัลแรกนาขวญั ทีย่ ึดถอื ปฏบิ ตั สิ ืบตอ่ กันมาต้งั แต่สมยั พันธุข าวหอมมะลิไปพัฒนาและ สุโขทัยจนถงึ สมัยรัตนโกสนิ ทร ์ เพ่ือความเป็นสริ มิ งคลและสรา้ งขวญั ก�าลังใจให้แกเ่ กษตรกร จนภายหลงั ปรบั ปรงุ ใหด ีขึ้นจนไดขาวพนั ธุ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ จึงได้ถูกยกเลิก และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทร ทีด่ ีกวา เดิมและจดลขิ สทิ ธิเ์ ปน มหาภมู ิพลอดลุ ยเดชได้ทรงฟนื้ ฟพู ระราชพิธดี งั กลา่ วนีอ้ ีกคร้งั ของชาตติ นเอง ประเทศไทย นอกจากข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทยแล้ว ยังเป็นสินค้าส่งออกส�าคัญท่ีสร้างรายได้ให้กับท้อง ก็จะสญู เสียรายได) พระคลัง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการพัฒนาพันธุ์ข้าวให้มีคุณภาพสูงข้ึน พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้มีการประกวดพันธุ์ข้าวพ้ืนเมืองเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐ เพ่ือทดลองปลูก นกั เรียนควรรู คดั เลอื กพนั ธ์ุทด่ี ที สี่ ดุ แล้วแนะนา� ใหช้ าวบา้ นน�ากลับไปปลูกเพอ่ื ให้ไดข้ า้ วมาตรฐานเดยี วกนั ผลจากการ ประกวดท�าให้ได้พันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพดีจ�านวนมาก พธิ เี ลีย้ งผตี าแฮก ผีตาแฮกเปน ผี ที่ดูแลรกั ษาผนื นา คอยอํานวยผลให THAI HOM MALI (JASMIN) RICEเช่น ข้าวทองระย้าด�า ข้าวน้�าดอกไม้ ข้าวพันธุ์ ขาวกลา งดงาม นา้ํ ปลาอดุ มสมบรู ณ กอ นชาวนาลงมอื ทํานาจะตอ งทาํ พิธี ปนเกล้า ข้าวพวงเงิน ซึ่งต่อมาได้ชนะเลิศจาก เลย้ี งผตี าแฮกเสียกอน ซ่ึงจะกระทาํ การประกวดพันธุ์ข้าวโลกที่ประเทศแคนาดา และ ในวันพฤหสั บดี อาหารทนี่ าํ ไปเซน ทสี่ า� คญั คอื พนั ธข์ุ า้ วดอกมะล ิ ๑๐๕ ซงึ่ ไดก้ ลายเปน็ ผตี าแฮก ไดแ ก ไกตม ไขต ม กลว ย ตน้ พันธขุ์ ้าวหอมมะลิในปัจจบุ ัน เหลาขาว ขา วตม มัด ขาวดํา นา้ํ ออย ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยเก่ียวกับข้าวจึง นาํ้ ตาล แกลบ เม่ือเลี้ยงเสร็จแลว สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาไทยในการคิดวิธีการ ชาวนาจะปกดาํ ขาวกลาในนาแปลงที่ แก้ไขปัญหาในการประกอบอาชีพของชาวบ้าน ตาแฮกอยกู อ น เพอื่ เปน การเสยี่ งทาย นอกจากนี ้ การพฒั นาพันธ์ขุ า้ วจนไดข้ ้าวพนั ธ์หุ อม ความงอกงามของขา วในนา มะลซิ ง่ึ เปน็ พนั ธท์ุ ดี่ ที สี่ ดุ กส็ ามารถสง่ เปน็ สนิ คา้ ออก เมล็ดขาวหอมมะลิ เปนพันธุขาวของไทยที่ดีที่สุด ทสี่ รา้ งรายไดใ้ หก้ ับประเทศไทยอย่างมาก ซงึ่ ไดร บั การยอมรับจากนานาชาติ นกั เรยี นควรรู ๑0๕ ขาวหอมมะลิ ความหอมของ ขาวหอมมะลเิ กดิ จากสารระเหยชือ่ 2-acetyl-1-pyroline ซึ่งเปน สารที่ ระเหยหายไปได การรักษาความหอม ของขา วหอมมะลใิ หค งอยูนานน้นั จึงควรเก็บขา วไวใ นที่เย็น อุณหภูมทิ ่ี 15 องศาเซลเซียส คูม อื ครู 105

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate อธบิ ายความรู (ยอจากฉบับนักเรยี น 20%) 1. ครใู หน ักเรยี นศกึ ษาเกยี่ วกับงาน 3.๔ งานเครอื่ งไมจําหลัก เครอื่ งไมจาํ หลกั ในชีวติ ประจาํ วนั เชน หบี ใสข อง กระตา ยขดู มะพรา ว งานเครื่องไม้จ�าหลักในสมัยรัตนโกสินทร์เป็นภูมิปัญญาไทยด้านศิลปกรรมท่ีมีความประณีตงดงาม เชย่ี นหมาก บานประตู หนาบัน ถือเปน็ งานศิลปะอย่างหนงึ่ ทผ่ี ปู้ ระดิษฐ์จะตอ้ งถา่ ยรปู แบบและลวดลายลงบนวัสดทุ ่เี ปน็ ไมโ้ ดยใชเ้ คร่อื งมือ โบสถ เครื่องดนตรี เปน ตน แลว ที่ท�าจากโลหะในการแกะสลกั อภปิ รายถึงความสาํ คญั ของงาน ภูมิปัญญาไทยของงานศิลปะประเภทนี้ คือ การท่ีช่างศิลป์เลือกไม้ที่มีคุณภาพดี ไม่มีตาไม้ และ ดงั กลา ว และอทิ ธพิ ลของภมู ปิ ญ ญา ไมม่ ยี างไมต้ กคา้ งในเนอื้ ไมม้ าใชใ้ นงานจา� หลกั เพอ่ื ประดบั ตกแตง่ สถาปตั ยกรรมตา่ งๆ เชน่ บานประตูโบสถ์ ที่มตี อ การพัฒนาชาติไทย หรือหน้าบันโบสถ์ เป็นต้น ซ่ึงไม้ที่นิยมใช้ในการแกะสลัก คือ ไม้สัก เพราะเป็นไม้ท่ีไม่แข็งจนเกินไป แกะสลกั ไดง้ า่ ย นอกจากน้ยี งั ทนต่อสภาพดินฟาอากาศ เม่อื แกะสลกั จะไม่ท�าให้เสียรปู ทรง 2. ครซู กั ถามนกั เรยี นวา งานเครอื่ งไม ในการแกะสลักหรือจา� หลักภาพลงในเนอ้ื ไม ้ ช่างศิลปจ์ ะต้องมีความรูค้ วามสามารถในการออกแบบ จาํ หลกั แสดงใหเ หน็ ถงึ ภมู ปิ ญ ญา ลวดลายด้วยการใช้เครื่องมือและของมีคมแกะสลักลงบนเนื้อไม้ อีกทั้งจะต้องมีความเข้าใจเก่ียวกับเร่ือง ไทยอยา งไร ตัวลาย ต้องรู้เทคนิคและวิธีการใช้เคร่ืองมือเพ่ือแกะสลักไม้จะได้ไม่บิ่นและหลุด ตลอดจนต้องมีอารมณ์ (แนวตอบ แสดงใหเห็นถึงความรู สุขมุ และเยอื กเยน็ มคี วามละเอยี ดลออ จงึ จะสามารถประดษิ ฐส์ ่งิ ทีส่ วยงามได ้ ภาพที่จา� หลกั สว่ นใหญ่เป็น ความสามารถของชางไทยทรี่ ูจัก รปู เทพยดารักษาประตูโบสถ ์ หรือเทพยดารักษาโบสถ์ เป็นตน้ งานจา� หลักดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถงึ ความ เลือกไมมาแกะสลกั รวมถึงเทคนคิ สามารถของศิลปนไทยท่ีสร้างสรรค์งานด้วยอารมณ์สุนทรียะและมีความประณีตเป็นพิเศษและได้รับการ กระบวนการในการแกะสลักให สบื ทอดมาถึงอนชุ นรุ่นหลงั ถือได้ว่าเป็นภูมิปญั ญาไทยทางดา้ นศิลปกรรมประเภทหนึ่ง งานออกมาสวยงามและไมใ หเ กดิ ส�าหรับการสร้างสรรค์ทางด้านวัฒนธรรมน้ัน งานจ�าหลักบานประตูโบสถ์หรือหน้าบันโบสถ์ ซ่ึงมี ความเสยี หาย) ความเกี่ยวข้องกับความเช่ือในพระพุทธศาสนา ก็แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของ ช่างศิลป์ที่สร้างสรรค์ผลงานการจ�าหลักออกมาได้อย่างประณีตสวยงาม ตัวอย่างงานเครื่องไม้จ�าหลัก 3. นกั เรียนในชน้ั เรยี นรว มกนั ในสมัยรัตนโกสินทร์ เช่น งานจ�าหลักไม้ท่ีหอไตร อภปิ รายถงึ การมีสว นรวมในการ และบานประตูพระอุโบสถวัดระฆังโฆษิตาราม อนรุ ักษภมู ิปญญาและวัฒนธรรม บานประตูจ�าหลักไม้วิหารวัดสุทัศนเทพวราราม ไทยเก่ียวกบั งานเครือ่ งไมจ ําหลัก ซ่ึงปัจจุบันถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร บานประตจู า� หลักไมท้ ี่ นกั เรียนควรรู วดั ราชบพธิ สถติ มหาสมี าราม รวมถงึ งานจา� หลกั ไม้ ที่ปรากฏอยู่ในภูมภิ าคอืน่ ๆ ดว้ ย เป็นตน้ ไมส ัก เหตุผลที่นยิ มนาํ ไมส ักมา ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยเกี่ยวกับงาน ใชในการแกะสลัก เพราะไมสักเปน เครื่องไม้จ�าหลักมีอิทธิพลต่อการพัฒนาชาติไทย ไมท ี่ไมแ ข็งจนเกินไป สามารถใช โดยศิลปนสามารถน�าไปประกอบอาชีพส�าหรับ เคร่ืองมือแกะสลักไดง าย นอกจากน้ี การด�ารงชีวิตได้ ขณะเดียวกันก็จัดเป็นมรดกทาง ไมส ักยงั เปน ไมท คี่ อนขา งทนตอ วัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทยซึ่งดึงดูดให้ สภาพดินฟาอากาศ ไมห ดตัวมากนัก งานจําหลักไมที่บานประตูอุโบสถวัดระฆังโฆสิตาราม ชาวต่างชาติท่ีชื่นชมศิลปกรรมไทยเข้ามาเที่ยวชม เมื่อแกะสลักจะไมทาํ ใหเสียรปู ทรง แสดงใหเห็นถึงความสวยงามและประณีตบรรจงในการ และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยท่ีมีภูมิปัญญา และทนทานตอ การกัดกินของปลวก สรา งสรรคผ ลงานของชางไทย และวฒั นธรรมทางดา้ นศิลปกรรมท่ีวิจิตรงดงาม นอกจากไมสักแลวยงั มไี มช นิดอ่นื ๆ ที่นาํ มาใชใ นงานแกะสลักอกี เชน ๑0๖ ไมต ะเคียน นิยมใชแ กะสลกั โขนเรือ ไมข นนุ ไมฉ ําฉา นยิ มใชแ กะสลกั BB พนื้ ฐานอาชีพ เครื่องเรือน เปนตน ครแู นะนําใหนกั เรียนไปศกึ ษาเพ่ิมเตมิ เก่ียวกับข้ันตอนการจําหลกั ไม แลว นาํ ความรไู ปใช 106 คมู อื ครู ในการประดษิ ฐเ ปน ช้ินงาน ซ่ึงอาจเปนสิ่งของเคร่อื งใชใ นการดําเนินชวี ิต โดยปรกึ ษาผูมคี วามรู ความชํานาญในการแกะสลักไมประกอบเพ่อื เปน การเริ่มตนการประกอบอาชีพศลิ ปหตั ถกรรม ในชมุ ชน

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate 3.๕ วรรณกรรมในรัชกาลที่ ๖ อธิบายความรู ในสมยั รชั กาลท ี่ ๖ วรรณกรรมไทยมคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งมาก เนอ่ื งจากพระองคท์ รงสนพระราชหฤทยั 1. ครยู กขอ ความบางตอนของงาน ในดา้ นวรรณกรรม ทรงพระราชนพิ นธง์ านวรรณกรรมหลายประเภททมี่ คี ณุ คา่ ไมว่ า่ จะเปน็ ประเภทวรรณคดี พระราชนิพนธในรัชกาลท่ี 6 เชน บทละคร ศาสนา ประวัตศิ าสตรแ์ ละโบราณคดี การทหาร ปลกุ ใจ นทิ าน กฎหมาย การเมือง และอน่ื ๆ ศกุนตลา มัทนะพาธา เวนิสวานิช ดงั เชน่ ลลิ ติ นารายณส์ บิ ปาง มลี กั ษณะเปน็ รอ้ ยกรอง ใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั พระนารายณห์ รอื พระวษิ ณ ุ เทพเจา้ เปน ตน มาอานใหนักเรียนฟง แลว ส�าคัญในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู พระนลค�าหลวง มีลักษณะเป็นร้อยกรอง ซึ่งใช้ทั้งโคลง ฉันท์ กาพย์ ซกั ถามนกั เรยี นเกย่ี วกบั จดุ มงุ หมาย กลอน ซง่ึ มคี วามไพเราะทกุ แบบสลบั กนั บทรอ้ งและบทพากย์โขนเรอื่ งรามเกยี รต ิ์ มลี กั ษณะเปน็ รอ้ ยกรอง ในการพระราชนิพนธ และคุณคา สา� หรบั ใชพ้ ากย์ในการแสดงโขน บทละครพดู คา� กลอนเรอ่ื งพระรว่ ง มลี กั ษณะเปน็ รอ้ ยกรองประเภทกลอน ของพระราชนพิ นธด งั กลา ว ประสม เพื่อปลกุ ใจให้คนรักชาต ิ รวมทง้ั บทความตา่ งๆ เช่น เมอื งไทยจงตน่ื เถดิ โคลนติดล้อ มลี ักษณะ เป็นร้อยแก้ว ส�าหรับสั่งสอนคนไทยให้ปฏิบัติตน 2. ครใู หน กั เรยี นเขยี นรายงานเกยี่ วกบั ให้สอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมืองในขณะน้ัน พระราชนพิ นธใ นรชั กาลท่ี 6 เป็นต้น ทน่ี กั เรยี นชนื่ ชอบ พรอ มทงั้ บอก บทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖ จัดได้ว่า เหตผุ ลประกอบ เป็นผลงานการสร้างสรรค์ทางด้านวัฒนธรรมและ ภมู ิปญั ญาไทย เพราะสะท้อนใหเ้ ห็นถึงความเจรญิ 3. จากนนั้ ครใู หน กั เรยี นชว ยกนั ก้าวหน้าด้านสติปัญญาและความคิดของคนไทย ยกตวั อยา งวรรณกรรมไทยสมยั ท่ีแสดงออกมาในรูปของวรรณกรรม นอกจากน ้ี รตั นโกสนิ ทรเ กย่ี วกบั อาหารไทย วรรณกรรมเหล่านยี้ งั เปน็ แหล่งความรใู้ นดา้ นตา่ งๆ ของชนชนั้ สงู พรอ มทง้ั อธบิ ายวา เพอื่ ทผ่ี อู้ า่ นจะไดน้ า� ไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ ตนเอง ตัวอยางบทพระราชนิพนธในรัชกาลท่ี ๖ นอกจากจะมี สะทอ นใหเ หน็ ถงึ สง่ิ ใด และมี ความไพเราะงดงามทางดานวรรณศิลปแลว ยังปลูก อทิ ธพิ ลตอ ชาตไิ ทยในปจ จบุ นั และผอู้ ืน่ ดว้ ย จิตสาํ นึกในความรักชาตดิ วย อยา งไร 3.๖ วรรณกรรมเกีย่ วกับอาหารไทยของชนช้ันสงู นักเรียนควรรู เร่ืองอาหารไทยของชนช้ันสูงที่ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ได้สะท้อนให้เห็นถึง รัชกาลท่ี 6 ทรงตัง้ วรรณคดีสโมสร วัฒนธรรมและรสนิยมของการรับประทานอาหารและภูมิปัญญาการประกอบอาหารในหมู่ชนช้ันสูงใน ขน้ึ เมอื่ พ.ศ. 2457 เพื่อสง เสรมิ การ สงั คมไทย ซง่ึ วรรณกรรมทสี่ อดแทรกองค์ความรใู้ นเรื่องการประกอบอาหารและรสนิยมในการรับประทาน แตง หนังสอื ใหถูกตองตามหลกั ภาษา อาหารของชนชั้นสูงของไทยทีเ่ กีย่ วข้องกับราชส�านกั วงั เจ้านาย และบ้านขนุ นาง ดงั ตัวอย่างต่อไปน้ี ไทย และไดสาระประโยชน โดยแบง ประเภทของหนงั สือไว 5 ประเภท ๑) กาพยเ หช มเคร่อื งคาวหวาน พระราชนิพนธ์ในรชั กาลท ี่ ๒ เป็นการพรรณนาเกย่ี วกับอาหารคาว ไดแ ก กวีนิพนธ ละครไทย นิทาน หวานในวงั แสดงถงึ ความงดงามของวรรณคดที สี่ ะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความประณตี ความละเอยี ดออ่ นของคนไทย ละครพดู และความอธบิ าย ซงึ่ ในอดตี ในการทา� อาหาร อาหารคาว ทกี่ ลา่ วถงึ ไดแ้ ก ่ แกงมสั มน่ั ไก ่ ยา� ใหญ ่ ตบั เหลก็ ลวก หมแู นม กอ้ ยกงุ้ แกงเทโพ วรรณคดีท่ีไดรบั การยกยองจาก นา้� ยา แกงออ่ ม ขา้ วหงุ เครอื่ งเทศ แกงคว่ั สม้ หมปู า ใสร่ ะกา� พลา่ เนอื้ หรมุ่ ลา่ เตยี ง รงั นก ไตปลา และแสรง้ วา่ วรรณคดีสโมสร หรือบางทีเรียกวา อาหารหวาน ไดแ้ ก ่ ลา� เจยี ก ลดุ ต ่ี ขา้ วเหนยี วสงั ขยา ซา่ หรมิ่ มศั กอด ขนมเทยี น ทองหยบิ ฝอยทอง ขนมผงิ “ยอดของหนังสือ” ท่ีแตงดใี นแตล ะ รังไร ทองหยอด ทองมว้ น จ่ามงกฎุ ขนมจีบ ขนมบวั ลอย และขนมช่อม่วง นอกจากนี้ยงั ม ี ผลไม ้ เช่น ประเภท เชน บทละครพูด เร่อื ง ผลชดิ ลกู ตาล มะปราง ลิน้ จี่ เป็นตน้ หวั ใจนกั รบ เปนยอดของบทละครพดู มัทนะพาธา ยอดของบทละครพดู ๑0๗ คาํ ฉันท พระนลคําหลวง ยอดของ กวนี ิพนธ เปนตน @ มมุ IT ศกึ ษาคน ควา ขอ มลู เก่ียวกบั งานเคร่ืองไมจ าํ หลักสมัยรัตนโกสนิ ทรไ ดท ี่ www.thailandmuseum.com/bangkok/maijamlak.htm พพิ ิธภัณฑสถานแหง ชาติ พระนคร คูม ือครู 107

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore อธบิ ายความรู (ยอจากฉบับนกั เรยี น 20%) ครูยกตัวอยางสถาปตยกรรมชา ง ๒) ตาํ ราแมค รวั หวั ปา ก เปน็ ตา� ราปรงุ อาหารทที่ า่ นผหู้ ญงิ เปลยี่ น ภาสกรวงศ ์ รวบรวมและเรยี บเรยี ง สิบหมู เชน พระบรมมหาราชวัง ข้ึนไว้ มีทั้งอาหารที่เจ้านายและขุนนางปรุงส�าหรับรับประทานและสืบทอดกันมาเป็นองค์ความรู้เก่ียวกับ พระท่นี ่งั ดุสติ มหาปราสาท เปนตน อาหาร เช่น หอ่ หมกทรงเครอ่ื ง น�า้ พรกิ นครบาล (เป็นน้�าพริกท่ีมีต้นตา� รับมาจากบา้ นเจ้าพระยาภรู ธาภัย แลว สมุ นกั เรียน 2-3 คน ตอบใน เม่ือครั้งเป็นเจ้าพระยายมราช ก�ากับกรมพระนครบาล ชื่อน�้าพริกจึงเป็นช่ือของท่านเจ้าของ ผู้น�ามา ประเด็นตอไปนี้ เผยแพร่คอื ท่านผู้หญิงเปลีย่ น ภาสกรวงศ)์ เป็นต้น • สถาปต ยกรรมดงั กลาวสรา งข้นึ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยด้านวรรณกรรมเกี่ยวกับอาหารไทยของชนชั้นสูงดังกล่าว นอกจาก จะให้ความรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมในการปรุงอาหารของคนไทยสมัยก่อนแล้ว ยังได้มีอิทธิพลต่อ เพอื่ จดุ ประสงคใด วรรณกรรมเกี่ยวกบั อาหารไทยซึ่งมผี ูเ้ รียบเรยี งขึ้นมากมายในสมัยปจั จุบนั ด้วย (แนวตอบ พระบรมมหาราชวัง สรา งขึ้นเพ่อื ใหเ ปน ศูนยกลาง 3.๗ สถาปต ยกรรมชา งสิบหมู ทางการเมืองการปกครองของ ไทยสมัยรัตนโกสินทร สถาปัตยกรรมไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ นอกจากจะเกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัยของประชาชนแล้วยัง สวนพระทนี่ ั่งดสุ ติ มหาปราสาท เกยี่ วขอ้ งกบั สถาบนั พระมหากษตั รยิ แ์ ละพระพทุ ธศาสนาดว้ ย ในสว่ นทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั สถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ เพื่อใชเปนท่เี สด็จออกวาราชการ มักแสดงถึงความเชื่อในเรอื่ งเทวราชาหรือสมมติเทพแห่งองค์พระมหากษตั รยิ ์ ส�าหรับสว่ นทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับ ท่ีทองพระโรง รวมท้งั เปนที่ พระพทุ ธศาสนามกั เปน็ เรอ่ื งไตรภมู ิ เชน่ โบสถ ์ วหิ าร เจดยี ์ กฏุ ิ หอไตร ซงึ่ ในทน่ี จ้ี ะขอกลา่ วถงึ สถาปตั ยกรรม ประดษิ ฐานพระบรมศพพระมหา ช่างสบิ หมู่ที่เกยี่ วขอ้ งกบั สถาบนั พระมหากษัตรยิ เ์ ป็นส�าคัญ กษัตรยิ  สมเดจ็ พระอัครมเหสี และ ในสมัยรัชกาลท่ี ๑ ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีน้ัน ได้ระดมบรรดาช่างฝมือที่รู้จัก พระบรมวงศานุวงศชั้นสงู ) ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มาช่วยราชการในการสร้างกรุงคร้ังใหม่ • สถาปตยกรรมดังกลา วสะทอ น ใน พ.ศ. ๒๓๒๕ โดยโปรดเกล้าฯ ให้จัดต้ังและวางระเบียบของกรมช่างสิบหมู่ท่ีเคยมีมาแต่คร้ัง ภมู ปิ ญ ญาไทยอยา งไร กรงุ ศรอี ยธุ ยาเปน็ ราชธานเี สยี ใหม ่ เพอื่ ประโยชน์ในการกอ่ สรา้ งพระบรมมหาราชวงั วงั พระทนี่ ง่ั และวดั ตา่ งๆ (แนวตอบ สะทอนภูมิปญญาความ เพื่อดา� รงไว้ซ่งึ ศลิ ปวัฒนธรรมอนั ล้า� คา่ ของไทย เชน่ สถาปตั ยกรรมดา้ นการกอ่ สร้างพระมหาปราสาทและ สามารถของชา งไทยสมัยกอน พระราชมณเฑยี รในพระบรมมหาราชวงั เมือ่ พ.ศ. ๒๓๒๖ เปน็ ต้น ทีร่ ูจักสรา งสรรคง านศลิ ปอ อกมา ส�าหรับการก่อสร้างพระบรมมหาราชวังน้ัน อยางงดงามและแฝงคตคิ วามเช่ือ โปรดเกล้าฯ ให้ยึดถือแผนผังพระราชวังหลวงของ ในราชสาํ นักในอาคารตา งๆ กรุงศรีอยุธยาเป็นแบบอย่าง พระที่น่ังองค์แรก ซึ่งสถาปต ยกรรมตา งๆ ลวนเปน ทสี่ รา้ งขน้ึ พระราชทานนามวา่ พระทนี่ งั่ อนิ ทราภเิ ษก สญั ลักษณความเปนไทยที่มี มหาปราสาท โดยถ่ายแบบจากพระทีน่ ั่งสรรเพชญ์ เอกลกั ษณ) มหาปราสาทที่กรุงศรีอยุธยา เพ่ือใช้ประกอบ พระราชพธิ บี รมราชาภิเษก ต่อมาได้เกดิ เพลิงไหม้ ขยายความเขา ใจ เกอื บหมดทงั้ องค ์ จงึ ไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งพระทนี่ งั่ องค์ใหม่ขึ้นมาแทน พระราชทานนามวา่ พระทน่ี ั่ง ครูใหน ักเรียนสบื คนเก่ยี วกบั การ ดสุ ติ มหาปราสาท เพอ่ื ใชเ้ ปน็ ทเี่ สดจ็ ออกวา่ ราชการ สรา งสรรคภ ูมิปญ ญาและวัฒนธรรม พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ถือเปนสถาปตยกรรม ท่ีท้องพระโรง และเป็นที่ประดิษฐานพระบรมศพ ไทยสมยั รตั นโกสนิ ทรเพมิ่ เตมิ จาก ชั้นเอกของกรุงรัตนโกสินทร โดยเปนพระท่ีนั่งทรง พระมหากษตั รยิ ์ สมเดจ็ พระอคั รมเหส ี และพระบรม ตวั อยา งในหนังสอื เรยี น โดยจดั ทาํ ไทยแทอ งคเ ดยี วในพระบรมมหาราชวงั วงศานวุ งศช์ น้ั สูง เปน สมดุ ภาพสงครผู ูสอน ๑0๘ ตรวจสอบผล นกั เรยี นควรรู 1. ตรวจสมุดภาพภมู ปิ ญญาและ ชางสบิ หมู เปนช่อื ของกลมุ งานทร่ี วบรวมชา งตางๆ เอาไวดว ยกัน 10 กลุมหรือหมู วัฒนธรรมไทยสมยั รตั นโกสนิ ทร ชา งดังกลาวเปน ชา งฝมือของไทยท่มี ีลกั ษณะหนาท่กี ารทํางานตางกนั สันนิษฐานวา ชา งสิบหมูม ีมาตัง้ แตสมัยอยธุ ยา แตไมม กี ารบนั ทึกไวเ ปนหลักฐาน จนกระทงั่ ในสมยั 2. การต้ังใจตอบคาํ ถามของนกั เรียน รตั นโกสนิ ทรตอนตนจึงไดม ีการจดั ชา งเปน หมวดหมตู ามลกั ษณะงาน 3. การมีสวนรวมในการอภปิ ราย ในชั้นเรยี น 108 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทถือเป็นแม่แบบของสถาปัตยกรรมไทยประเพณีในพระบรมมหาราชวัง กระตนุ ความสนใจ องค์ประกอบที่ตกแต่งล้วนสร้างขึ้นเพ่ือเฉลิมพระเกียรติองค์พระมหากษัตริย์ตามคติทางพระพุทธศาสนา และศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู เช่น เรอื นยอดเป็นมณฑป ๗ ชั้น หมายถงึ สวรรคช์ น้ั ตา่ งๆ เป็นต้น ครตู ง้ั คาํ ถามวา หากนกึ ถงึ พระบาท นอกจากน ้ี รชั กาลท ี่ ๑ ยงั โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งหมพู่ ระมหามณเฑยี ร (ทป่ี ระทบั ของพระมหากษตั รยิ )์ ซงึ่ สมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ล แตเ่ ดมิ เปน็ พระทนี่ งั่ ขนาดใหญเ่ ชอ่ื มตอ่ กนั ๓ องค ์ มชี อ่ื วา่ พระทน่ี ง่ั จกั รพรรดพิ มิ าน หมพู่ ระมหามณเฑยี ร อดลุ ยเดช นักเรยี นจะนกึ ถึงพระราช มลี ักษณะเป็นพระที่นง่ั หมู่ใหญ่ ๕ องค ์ ได้แก่ พระทีน่ งั่ จักรพรรดิพิมาน เปน็ ท่บี รรทม และเปน็ พระทน่ี ั่ง กรณียกิจดานใดบาง องคป์ ระธานของหมพู่ ระมหามณเฑยี ร พระทน่ี งั่ ไพศาลทกั ษณิ เปน็ ทป่ี ระทบั สว่ นพระองค ์ พระทน่ี งั่ อมรนิ ทร วนิ ิจฉัยมไหสูรยพมิ าน เป็นท้องพระโรงส�าหรบั เสด็จออกขุนนาง และ พระปรัศว์ซา้ ย-ขวา (ปรัศว์ หมายถงึ สํารวจคน หา อาคาร ๒ หลัง ซงึ่ อยทู่ า้ ยพระท่ีนัง่ ท่เี ปน็ ประธาน) เปน็ ทป่ี ระทับของพระมเหสี ตัวอย่างงานสถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที่ ๑ เหล่าน้ีล้วนมีความงดงามและแฝงลัทธิความเชื่อใน จากนัน้ ครูแบง กลมุ นกั เรยี น ราชส�านัก ถือเป็นแหล่งรวบรวมศิลปกรรมหลายสาขาเข้าด้วยกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมและ เพือ่ ศกึ ษาเก่ยี วกบั พระราชกรณยี กจิ ภมู ิปัญญาไทยดา้ นสถาปัตยกรรมทบ่ี รรดาชา่ งสบิ หมู่ของไทยไดม้ ีส่วนร่วมในการสรา้ งสรรคเ์ อาไว้เพ่ือเปน็ ในพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหา มรดกใหก้ ับคนไทยในยุคหลังตอ่ มา ภมู พิ ลอดลุ ยเดชที่เกีย่ วของกบั การสรา งสรรคภ ูมปิ ญญาและ ๔. ตวั อย่างบคุ คลสÓคญั ในการสรา้ งสรรคภ์ ูมิปัญญาและ วฒั นธรรมไทย มากลมุ ละ 1 เรือ่ ง วฒั นธรรมไทย อธบิ ายความรู ๔.๑ พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู ิพลอดุลยเดช นักเรียนในชัน้ เรียนชวยกนั พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชทรงมสี ว่ นสา� คญั ในการฟน้ื ฟดู า้ นภมู ปิ ญั ญา ยกตวั อยางพระราชกรณียกจิ ใน ไทย ตลอดจนทรงกระตุ้นให้คนไทยหนั มาใหค้ วามส�าคญั ทางด้านวัฒนธรรมของไทย เช่น ภาษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา และขนบธรรมเนียมประเพณีไทย เปน็ ต้น ภูมพิ ลอดลุ ยเดช เกีย่ วกบั การ ในการสร้างสรรค์ทางด้านภูมิปัญญาไทยนั้น พระองค์ทรงมีพระราชด�าริจนน�าไปสู่การฟื้นฟู สรางสรรคภ ูมปิ ญ ญาและวัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทยในชนบท สืบเน่ืองมาจากการที่พระองค์และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรม ไทย แลววิเคราะหรว มกนั ถงึ ราชนิ นี าถ เสดจ็ พระราชดา� เนนิ ไปทรงเยย่ี มราษฎรผปู้ ระสบภยั ทจี่ งั หวดั นครพนม เมอื่ พ.ศ. ๒๕๑๓ คุณประโยชนท ่มี ีตอ ชาตไิ ทย โดยพระองคท์ รงมพี ระราชดา� รสั วา่ “การแจกของแกผ่ ปู้ ระสบภยั จะเปรยี บกเ็ สมอื นโยนกอ้ นหนิ เลก็ ๆ ลงแมน่ า�้ สกั เทา่ ใดจงึ จะเพยี งพอใหเ้ ขาไดอ้ ยรู่ อด นา่ จะหาอะไรใหเ้ ขาทา� เพอ่ื มรี ายไดส้ มา่� เสมอตอ่ ไป” พระราชด�ารัสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชครั้งน้ัน นับเป็นประกาย แหง่ แรงดลพระราชหฤทยั ในสมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชินีนาถ ให้ทรงคิดค้นและได้มี พระราชดา� รริ เิ รมิ่ ใหม้ กี ารสง่ เสรมิ อาชพี ซง่ึ เปน็ ศลิ ปกรรมทอ้ งถนิ่ เปน็ การอนรุ กั ษศ์ ลิ ปกรรมพนื้ บา้ น ทเี่ ปน็ เอกลกั ษณส์ า� คญั ของชนชาตไิ ทยใหด้ า� รงอย ู่ ดงั นน้ั ภมู ปิ ญั ญาในการทอผา้ พน้ื บา้ นในชนบท จึงไดร้ ับการฟน้ื ฟขู ้นึ มาอยา่ งกว้างขวาง ๑09 คมู ือครู 109

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate อธิบายความรู (ยอจากฉบบั นกั เรียน 20%) ครูสมุ ตัวแทนนกั เรยี นออกมาเลา ส�าหรับการสร้างสรรค์ทางด้านวัฒนธรรมไทย พระองค์ทรงส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย ความประทบั ใจเกย่ี วกับพระราช- ทกุ แขนงรวมท้งั ภาษาไทยอันเปน็ ภาษาประจา� ชาติ ทรงมีรับสงั่ เตอื นสติอย่เู สมอใหค้ นไทยช่วยกนั กรณยี กิจในพระบาทสมเด็จ อนรุ กั ษ์โบราณวตั ถแุ ละโบราณสถาน ดงั ตวั อยา่ ง พระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชด�ารัสเมื่อคราวเสด็จพระราชด�าเนินไป ดา นการสรา งสรรคภ ูมิปญญา ทรงเปน็ ประธานในพธิ เี ปด พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ และวัฒนธรรมไทย จากนั้นให ชาต ิ เจา้ สามพระยา จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา แสดงความคดิ เห็นวา นักเรียน ใน พ.ศ. ๒๕๐๔ ความตอนหนง่ึ วา่ “การสรา้ ง สามารถปฏิบตั ิตนในการธํารงรักษา อาคารสมยั ใหมน่ ี้ คงจะเปน เกยี รตสิ า� หรบั ผสู้ รา้ ง ภูมปิ ญ ญาและขนบธรรมเนียมอนั คนเดยี ว แตเ่ รอ่ื งโบราณสถานนนั้ เปน เกยี รตขิ อง ดีงามของชาติไทยไดดว ยวธิ ีการใด ชาติ อิฐเก่าๆ แผน่ เดยี วกม็ คี า่ ควรจะชว่ ยกนั รกั ษาไว้ ถา้ เราขาดสโุ ขทยั อยธุ ยา และกรงุ เทพฯ นักเรียนควรรู แลว้ ประเทศไทยก็ไมม่ คี วามหมาย” นอกจากน้ ี พระราชพิธีเสด็จพระราชดําเนินถวายผาพระกฐิน โดย รัฐบาลและประชาชนจะต้องช่วยกันอนุรักษ์ ติโต เปน ประธานาธิบดีคนแรก กระบวนพยหุ ยาตราทางชลมารค ไดร บั การฟน ฟขู น้ึ มาใหม ฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะ ของประเทศยูโกสลาเวยี เปน ผทู าํ ให ตงั้ แต พ.ศ. ๒๕๐๒ เปน ตน มา ยูโกสลาเวียซ่งึ ประกอบดวยชนชาติ ทแี่ ตกตางกันทงั้ ดานเช้ือชาติ ศาสนา หรอื วฒั นธรรมอนั ดงี ามของทอ้ งถน่ิ และของชาติ วัฒนธรรม และประวตั ศิ าสตร พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชทรงเตอื นใหค้ นไทยตระหนกั วา่ ภาษาไทย กลบั มารวมกนั เปน ปก แผนในยาม เปน็ ภาษาประจา� ชาตซิ งึ่ เปน็ มรดกอนั ลา�้ คา่ ของประเทศ สมควรทจ่ี ะตอ้ งชว่ ยกนั รกั ษาไว ้ จนกระทง่ั วกิ ฤต ตโิ ตเสียชวี ติ เมือ่ อายไุ ด 88 ป คณะรัฐมนตรีมีมติให้วันท่ี ๒๙ กรกฎาคมของทุกปเป็น วันภาษาไทยแห่งชาติ เพื่อเป็นการ ใน ค.ศ. 1980 หลงั จากนน้ั ประเทศ เฉลมิ พระเกยี รตพิ ระองคเ์ นอ่ื งในโอกาสพระราชพธิ เี ฉลมิ พระชนมพรรษาครบ ๖ รอบ พ.ศ. ๒๕๔๒ ยโู กสลาเวยี กแ็ ตกแยกออกเปน นอกจากน้ี เม่อื ทรงมีเวลาว่างพระองคจ์ ะทรงพระอกั ษร และทรงพระราชนิพนธแ์ ปล ไดแ้ ก่ สาธารณรฐั เอกราช 5 แหง ไดแ ก เร่ือง นายอินทร์ ผู้ปดทองหลังพระ (A Man Called Intrepid) ของวิลเลียม สตีเวนสัน เมื่อ บอสเนยี และเฮอรเ ซโกวนี า สโลวีเนีย พ.ศ. ๒๕๓๗ เรอื่ ง ติโต (Tito) ประพันธ์โดย ฟล ลสิ ออต ิ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๘ เป็นภาษาไทย และ โครเอเชีย เซอรเ บียและมอนเตเนโกร พระมหาชนก (The Story of Mahajanaka) ซึ่งเปน็ ชาดกเร่อื งหน่งึ ในพระพุทธศาสนา (ภายหลังตอ มามอนเตเนโกรไดแยก สา� หรบั ในเรอื่ งขนบธรรมเนยี มประเพณขี องชาตนิ นั้ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ล ตัวออกเปน ประเทศเอกราชใน ค.ศ. อดลุ ยเดชทรงมบี ทบาทส�าคญั ในการธา� รงรกั ษาวฒั นธรรมประเพณขี องชาตไิ ทยเอาไว้ เชน่ ทรง 2006) และมาซโิ ดเนยี ฟื้นฟูพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีเสด็จพระราชด�าเนินถวาย ผ้าพระกฐนิ โดยกระบวนพยหุ ยาตราทางชลมารค เป็นตน้ พระราชพิธีตา่ งๆ เหลา่ น้ลี ้วนแสดงให้ นกั เรยี นควรรู เหน็ ถงึ ขนบธรรมเนยี มประเพณไี ทยอนั งดงามและยง่ิ ใหญ ่ และเปน็ มรดกทางวฒั นธรรมไทยทแ่ี สดง ถงึ ความเจริญรุ่งเรอื งของบ้านเมอื งอกี ด้วย พระมหาชนก เปนชาติท่ี 2 ในทศชาติชาดกของพระโพธิสตั ว ๑๑0 กอ นจะเสวยพระชาตมิ าเกิดเปน พระพุทธเจา ทรงบําเพ็ญความเพียร เปน บารมี สําหรบั บทพระราชนพิ นธ เร่อื งนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทร มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชทรงใชคาํ งา ย ประโยคส้ัน กะทัดรัด ทท่ี ําใหผูอา น สามารถเขาใจเนอื้ เรอ่ื งไดโดยตลอด 110 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate ๔.๒ สมเดจ็ พระนางเจาสริ กิ ติ ิ์ พระบรมราชนิ นี าถ อธบิ ายความรู สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงให้ความสนพระทัยเก่ียวกับการฟื้นฟู ภูมิปัญญาไทย และการสง่ เสริมวฒั นธรรมและ ครเู กรน่ิ นาํ เกย่ี วกบั ความสนพระทยั ภูมปิ ัญญาไทยมาโดยตลอด ของสมเดจ็ พระนางเจา สริ กิ ติ ์ิ พระบรม เริ่มต้นจากพระราชดา� รสั พระบาทสมเด็จ ราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ในการฟน ฟู พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ว่า “การ ภูมิปญญาไทย จากนั้นตั้งประเด็น แจกของแก่ผู้ประสบภัยจะเปรียบก็เสมือนโยน คําถาม เชน ก้อนหนิ เลก็ ๆ ลงแม่นา�้ สักเท่าใดจึงจะเพียงพอ • จากพระราชกรณยี กิจใน ให้เขาได้อยู่รอด น่าจะหาอะไรให้เขาท�าเพ่ือมี รายได้สม่า� เสมอต่อไป” ดงั นนั้ สมเดจ็ พระนาง- สมเดจ็ พระนางเจาสิริกติ ิ์ เจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถจึงทรงริเริ่มให้มี พระบรมราชนิ ีนาถ ในรัชกาลที่ 9 การสง่ เสรมิ อาชพี ตา่ งๆ อนั เปน็ ศลิ ปกรรมทอ้ งถนิ่ ท่ีทรงฟนฟภู มู ปิ ญญาไทย กอให ใหก้ บั ประชาชนเพอ่ื เพม่ิ รายได ้ โดยพระองคท์ รง สมเดจ็ พระนางเจา สริ กิ ติ ิ์ พระบรมราชนิ นี าถ ทรงสงเสริม เกิดผลดีอยา งไร ฟื้นฟูลายมัดหมี่แบบโบราณ ดังนั้น การฟื้นฟู ใหร าษฎรฝก หดั งานศลิ ปหตั ถกรรมเพอื่ ยดึ เปน อาชพี เสรมิ (แนวตอบ ทําใหภูมปิ ญ ญาไทย เล้ยี งตนเอง หลายแขนงไดรับการฟน ฟูขน้ึ ใหม และสง เสรมิ ใหร าษฎรทาํ เปน อาชพี ภมู ปิ ัญญาไทยดา้ นการทอผ้าไหมมดั หมจ่ี ึงเริ่มต้นขึน้ ทภี่ าคตะวันออกเฉยี งเหนอื เสริมสรางรายได) สา� หรับในภาคใต ้ พระองค์ทรงฟ้นื ฟศู ิลปะการจกั สานย่านลิเภา และให้หาครมู าฝก สอนแก่ • จงยกตวั อยางพระราชกรณยี กจิ ราษฎรภาคใต้ รวมท้งั ฟ้ืนฟูศลิ ปหตั ถกรรมแขนงตา่ งๆ เช่น การทา� ถมทอง ถมเงิน การแกะสลัก ในสมเด็จพระนางเจาสิริกิติ์ หนังตะลุง ในภาคเหนือ โปรดเกลา้ ฯ ให้ฟ้นื ฟูการทอผ้าไหม ผ้ายก ผา้ ตีนจก ผ้าฝายเนอ้ื หนาและ พระบรมราชินีนาถ ในรชั กาลที่ 9 งานเย็บปักถักร้อย เปน็ ต้น สว่ นภาคกลาง พระองค์โปรดเกล้าฯ ใหอ้ าจารย์จากโรงเรยี นเพาะชา่ ง ทท่ี รงฟน ฟูภูมิปญญาไทยมา (ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลเพาะช่าง) ไปสอนการปั้นตุกตาไทยแก่ชาวบ้าน พอสงั เขป บางเสดจ็ จงั หวดั อา่ งทอง ท�าให้การป้นั ตกุ ตาชาววงั สมยั โบราณไดร้ บั การฟนื้ ฟขู น้ึ มาใหม่ (แนวตอบ ทรงฟนฟูการทอ นับเป็นเวลานานเกือบ ๑๐ ปที่พระองค์ทรงฟื้นฟูวฒั นธรรมและภมู ปิ ญั ญาไทยดงั กลา่ วให้ ผาไหมมดั หม่ี การจักสาน แพร่หลาย ดังน้ัน เพื่อให้วัฒนธรรมและภูมิปัญญาเหล่านี้มีรากฐานที่ม่ันคงและขยายตัวออกไป ยา นลเิ ภา การแกะสลักหนงั ตะลงุ พระองคจ์ ึงโปรดเกล้าฯ ใหจ้ ัดต้ังมูลนิธสิ ่งเสรมิ ศิลปาชีพพเิ ศษในพระบรมราชินปู ถัมภ์ เมื่อ พ.ศ. การทอผา ตีนจก การปน ตุก ตา ๒๕๑๙ ตอ่ มาไดเ้ ปลีย่ นเป็นมูลนิธิส่งเสรมิ ศลิ ปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต ์ิ พระบรมราชนิ นี าถ ชาววงั เปน ตน ) ซงึ่ ใชต้ อ่ มาจนถงึ ปจั จบุ นั นอกจากน ี้ พระองคย์ งั ทรงใชฉ้ ลองพระองคท์ ต่ี ดั เยบ็ จากผา้ ไหมพนื้ เมอื ง ซง่ึ เปน็ ผลติ ผลของมลู นธิ สิ ง่ เสรมิ ศลิ ปาชพี ฯ นบั เปน็ การสง่ เสรมิ คณุ คา่ และอนรุ กั ษศ์ ลิ ปวฒั นธรรม นกั เรียนควรรู ไทยทีม่ ีมาชา้ นานใหด้ �ารงอยู่ตอ่ ไป เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๔๐ มลู นธิ สิ ง่ เสรมิ ศลิ ปาชพี ฯ ไดจ้ ดั แสดงนทิ รรศการ “สมบตั ศิ ลิ ป ์ แผน่ ดนิ ไทย” การปน ตุกตาไทยแกช าวบา น ท่ีประเทศฝรง่ั เศส ซ่งึ มีการแสดงผลงานของภมู ปิ ญั ญาและวฒั นธรรมไทยเป็นจ�านวนมาก ทา� ให้ บางเสดจ็ โดยมกี ารจดั ตง้ั ศนู ย ผลงานของมลู นิธิส่งเสรมิ ศิลปาชีพฯ ได้ออกเผยแพร่สู่สายตาชาวต่างชาตจิ นเป็นทีช่ ่ืนชมอย่างย่ิง ตุกตาชาววังท่ีบา นบางเสด็จข้นึ เม่อื พ.ศ. 2519 เพื่อเปน อาชพี เสริม ๑๑๑ เพ่ิมพนู รายไดใหแ กร าษฎร ศูนยตกุ ตาชาววังบานบางเสด็จ เปน เรอื นไทยทรงสูง อยดู า นหลัง วดั ทา สุทธาวาสในพน้ื ทต่ี ําบล บา นบางเสดจ็ (เดมิ ชอ่ื บา นวัดตาล) อาํ เภอปา โมก จังหวดั อางทอง เกรด็ แนะครู ครคู วรพานักเรยี นเขา เยย่ี มชมศูนยศลิ ปาชีพซึ่งมอี ยูหลายแหง เพอ่ื ใหนักเรยี นไดค วามรู เก่ยี วกับงานศิลปหตั ถกรรมแขนงตา งๆ ของไทยซึ่งควรแกก ารสบื ทอดและรักษาไว คูมอื ครู 111

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate อธบิ ายความรู (ยอ จากฉบบั นกั เรยี น 20%) 1. ครใู หนกั เรยี นในชนั้ เรียนอภิปราย ๔.3 พระยาอนมุ านราชธน (เสฐียรโกเศศ) รวมกันเก่ยี วกบั ประวัตแิ ละผลงาน พระยาอนมุ านราชธนมีนามเดิมว่า ยง ไดร้ ับพระราชทานนามสกุลวา่ เสฐียรโกเศศ แล้วก็ ของพระยาอนุมานราชธน ใช้นามสกุลนี้เป็นนามปากกาเร่ือยมา เม่ือเร่ิมเข้ารับราชการท่ีกรมศุลกากร ได้รับพระราชทาน (เสฐียรโกเศศ) บรรดาศักดิ์เป็นขุนอนุมานราชธน และได้เล่ือน เป็นหลวง พระ และพระยาในราชทินนามเดิม 2. ครูสุมนักเรียนตอบประเด็นคําถาม ตามลา� ดบั วา ผลงานของพระยาอนมุ านราชธน ขณะเร่ิมรับราชการ ได้รับต�าแหน่งเป็น (เสฐียรโกเศศ) มีคณุ คาทาง เพยี งเสมยี นพนกั งาน จนกระทงั่ ดา� รงตา� แหนง่ วัฒนธรรมไทยอยางไร ผู้ช่วยอธิบดีกรมศุลกากร นอกจากนั้น ยังเคย (แนวตอบ ทาํ ใหทราบวิถีชีวติ ของ ดา� รงต�าแหนง่ สา� คญั ๆ หลายต�าแหนง่ ด้วย เชน่ คนไทยในสมยั กอน จนทาํ ใหเ กิด ผู้เช่ียวชาญประจ�าส�านักนายกรัฐมนตรี อธิบดี ความรกั และประทับใจในคณุ คา กรมศิลปากร ราชบัณฑติ เป็นต้น ของความเปน ไทย ไมว า จะเปน พระยาอนุมานราชธน นักปราชญผูมีคุณูปการอยาง เม่ือเข้ารับราชการจนกระท่ังเกษียณอายุ เรอื่ งวถิ ชี วี ติ ภาษาและวรรณกรรม ใหญห ลวงตอ วงวิชาการของไทย ยังได้ด�ารงต�าแหน่งทางราชการที่ส�าคัญๆ อีก ตลอดจนขนบธรรมเนยี มประเพณี ไทย ซง่ึ เปน ภมู ิปญ ญาและ เชน่ ผรู้ กั ษาการตา� แหนง่ นายกราชบณั ฑติ ยสถาน โดยเปน็ ประธานกรรมการ วฒั นธรรมท่บี รรพบรุ ษุ ของ ช�าระปทานุกรม เป็นประธานกรรมการท�าอักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย คนไทยสรางสรรคไวใ นอดีต เป็นประธานกรรมการบัญญัติศัพท์ภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทย และ ดังน้ัน คนรุนหลงั จงึ ควรอนุรักษไ ว เป็นประธานคณะบรรณาธกิ ารท�าสารานุกรมไทย เป็นตน้ ใหค งอยูค ูสงั คมไทยตอ ไป) ผลงานทางวิชาการของพระยาอนุมานราชธนนับว่ามี ความสา� คญั ตอ่ การเรยี นรวู้ ฒั นธรรมและภมู ปิ ญั ญาไทย นักเรยี นควรรู มาก เชน่ หนังสอื ชีวติ ชาวไทยสมยั ก่อนและการศึกษา เร่ืองประเพณีไทย ให้ความรู้เกี่ยวกับชีวิตของคนไทย พระยาอนมุ านราชธน สมยั ก่อนวา่ มีการด�ารงชีวิตอยอู่ ยา่ งไร และเมือ่ ไดศ้ กึ ษา (เสฐยี รโกเศศ) ไดร ับการยกยอ ง เร่ืองประเพณีไทย ก็จะทราบถึงคนไทยสมัยก่อน จากองคก ารยเู นสโก ใหเปน บุคคล ย่อมต้องมีประเพณีเป็นหลักในการดา� เนนิ ชวี ติ ผูมีผลงานดเี ดนทางดานวัฒนธรรม และมีคุณค่าต่อผู้อ่านในสมัยปัจจุบันในแง่ท่ีว่า ระดบั โลกประจําปพุทธศักราช 2531 ขนบธรรมเนียมประเพณีท่ีดีงามก็สามารถเป็น หลักในการด�าเนินชีวติ ไดเ้ ชน่ กัน นกั เรียนควรรู ผลงานทพ่ี ระยาอนมุ านราชธนเปน ผแู ตง ลว นแตม คี ณุ ประโยชน อักขรานุกรมภูมศิ าสตรไ ทย เปน ตอ อนชุ นชาวไทยรนุ หลงั ตอ มา หนังสือทีร่ าชบัณฑิตยสถานจัดทาํ ขนึ้ เพ่อื รวบรวมรายชื่อภูมิศาสตรท ี่มีอยู ๑๑๒ ในทองถิน่ ตางๆ ของประเทศไทย รวมท้ังลกั ษณะทัว่ ไปทางภมู ิศาสตร @ มมุ IT ซึ่งครอบคลมุ ลักษณะภูมศิ าสตรทั้ง ทางดา นกายภาพ ทรพั ยากรธรรมชาติ ศกึ ษาคนควา ขอมูลเพ่มิ เติมเกี่ยวกบั พระยาอนุมานราชธน (เสฐียรโกเศศ) ไดที่ การคมนาคม การปกครอง และ www.sathirakoses-nagapradipa.org มูลนิธเิ สฐียรโกเศศ - นาคะประทีป ประวัติความเปน มา มแี ผนท่ีและ ภาพประกอบมาจดั ทําคําอธบิ าย ในรูปแบบของอกั ขรานกุ รม (เรียงชือ่ ตามตัวอกั ษร) 112 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain ส่วนหนังสือ นิรุกติศาสตร์ และหนังสือ การศึกษาวรรณคดีแง่วรรณศิลป์ ก็เป็นตัวอย่าง ขยายความเขาใจ อันดีงามส�าหรับคนไทยท่จี ะรกั และอนรุ ักษภ์ าษาและวรรณคดีไทย เน่ืองจากหนังสอื นิรุกตศิ าสตร ์ เป็นวชิ าทวี่ ่าดว้ ยท่ีมาและความหมายของคา� ดังนัน้ ถา้ ศึกษาวชิ านิรกุ ตศิ าสตร์ กจ็ ะมีหลักเกณฑ์ ครใู หน ักเรียนสบื คนเกี่ยวกับ ส�าหรับการวิเคราะหถ์ อ้ ยค�าในภาษาไทยแต่ละคา� ได้เป็นอย่างดี บคุ คลสาํ คญั ที่มสี วนสรา งสรรค สา� หรับหนงั สอื การศึกษาวรรณคดีแงว่ รรณศิลป์ หากผ้อู ่านเขา้ ใจหลักคิดจากหนงั สือเล่มนี้ ภมู ิปญ ญาและวัฒนธรรมไทย ก็จะท�าให้เข้าใจถึงคุณค่าของวรรณคดีไทย นอกจากนี้ หนังสือ ศาสนาเปรียบเทียบ จะท�าให้ สมัยรัตนโกสินทรเพม่ิ เติมจาก ผู้อ่านเข้าใจได้ว่าศาสนาแต่ละศาสนาก็มีองค์ประกอบแตกต่างกันไปตามค�าสอนของศาสดา แต่ หนงั สอื เรียน แลว นาํ ขอมลู มา สุดท้ายผู้อ่านก็จะสามารถสรุปได้ว่าศาสนาทุกศาสนาสอนให้ผู้นับถือศาสนาน้ันๆ ปฏิบัติแต่สิ่งท่ี จดั นิทรรศการ ดีงาม สิ่งส�าคัญที่เกิดข้ึนจากการอ่านวรรณกรรมเหล่าน้ีของพระยาอนุมานราชธน (เสฐียรโกเศศ) ตรวจสอบผล ก็คือ ผู้อ่านจะเกิดความซาบซึ้งและประทับใจ เกิดความรักและหวงแหนในคุณค่าของความเป็น “ไทย” ไมว่ ่าจะเปน็ เร่อื งวถิ ชี วี ติ ภาษาและวรรณกรรมไทย ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีไทย 1. การจดั นทิ รรศการเกีย่ วกับ อนั เป็นภมู ิปญั ญาและวัฒนธรรมที่บรรพบรุ ุษของคนไทยสรา้ งสรรคเ์ อาไวใ้ นอดีต นับได้ว่าพระยา บคุ คลสําคญั ท่ีมีสว นในการ อนุมานราชธน (เสฐียรโกเศศ) เป็นบุคคลส�าคัญที่สร้างสรรค์ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยให้แก่ สรา งสรรคภ มู ปิ ญ ญาและ คนไทยและประเทศชาติเอาไว้ไดม้ าจนถงึ ปจั จบุ ัน วัฒนธรรมไทยสมยั รตั นโกสนิ ทร กลา่ วสรปุ ไดว้ ่า 2. การตง้ั ใจตอบคําถามของนักเรียน การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ได้เป็นเคร่ืองยืนยัน 3. การมีสว นรวมในการอภิปราย ให้เห็นว่า การท่ีคนไทยมีสติปัญญาและความคิดในการแก้ไขปัญหาในการด�ารงชีวิตเกี่ยวกับ ปจั จยั สนี่ นั้ นบั ไดว้ า่ เปน็ วฒั นธรรมทมี่ มี าชา้ นาน คนไทยในสมยั รตั นโกสนิ ทรส์ ามารถสรา้ งสรรค์ ในชั้นเรยี น ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยส�าหรับสังคมไทยได้เป็นอย่างดี และส่วนหน่ึงก็เป็นการสืบสาน ผลงานตอ่ จากภูมปิ ญั ญาและวฒั นธรรมไทยที่เคยมีมาแตเ่ ดมิ ก่อนสมัยรัตนโกสินทร ์ B พ้นื ฐานอาชพี นอกจากน้ี คนไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ก็มีความสามารถในการสร้างสรรค์ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมไทยเพื่อเป็นมรดกตกทอดให้กับคนไทยในยุคหลังได้น�าไปใช้ในชีวิตประจ�าวัน B บคุ คลเหลา่ นท้ี ้ังพระมหากษัตรยิ ์ พระราชวงศ ์ ขนุ นางข้าราชการ และสามัญชนท่วั ไป ลว้ นแต่ ครูอาจใหนักเรียนนําความรูเก่ยี ว มบี ทบาทสา� คญั ในการสร้างสรรค์ภมู ิปัญญาและวฒั นธรรมไทยให้กับสงั คมไทยมาแล้วท้งั สน้ิ กบั ภูมปิ ญญาไทยสมยั รัตนโกสินทร ไปประยกุ ตใ ชใ นการประกอบอาชีพ ดวยการแปรรูปวตั ถดุ ิบตา งๆ ทม่ี ี อยใู นทอ งถ่ินมาประดิษฐเ ปน สินคา แฮนดเมด (Handmade) แลววาง ขายในโรงเรยี นหรอื ในหมบู า นเพอ่ื เพม่ิ รายได ๑๑3 คูมอื ครู 113

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate เกรด็ แนะครู (ยอ จากฉบับนกั เรียน 20%) (แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนว ย ค าํ ถามประจ าํ หน่วยการเรยี นรู้ การเรยี นรู 1. ชวยแกป ญหาในการดาํ เนนิ ชวี ิต และทําใหค นไทยเกิดความรัก ๑ ภูมปิ ญั ญาและวฒั นธรรมไทยมีความสา� คัญตอ่ สังคมไทยอย่างไร จงวเิ คราะห์ และความภาคภูมิใจในภูมปิ ญญา ๒ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยมีอะไรบ้าง จงอธิบาย และวัฒนธรรมไทยทีบ่ รรพบรุ ษุ มาพอสังเขป สรางสรรคไว ๓ ให้นักเรียนยกตัวอย่างภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์มาอย่างน้อย 2. ปจจยั ทางสภาพภูมิศาสตรและ ๓ ตัวอย่าง แลว้ วิเคราะหว์ ่ามอี ทิ ธพิ ลตอ่ การพัฒนาชาติไทยอย่างไร สภาพแวดลอม ทาํ ใหคนไทยคดิ ๔ นักเรียนจะมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่คู่สังคมไทย แกปญ หาใหสอดคลองกบั สภาพ ไดอ้ ยา่ งไร ภมู ศิ าสตร และปจ จัยลักษณะของ ๕ ให้นักเรียนยกตัวอย่างบุคคลส�าคัญที่สร้างสรรค์ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยในสมัย สงั คมและวฒั นธรรม โดยมีวังและ รตั นโกสินทร ์ พร้อมท้งั สรปุ ผลงานมาพอสังเขป วัดเปนศูนยกลางการสรา งสรรค ศิลปวฒั นธรรมของไทย 3. ตัวอยา งภมู ิปญญาและวัฒนธรรม ไทย เชน กจิ กรรมสรา้ งสรรค์พฒั นาการเรยี นรู้ • การแพทยแ ผนไทยในสมยั รัชกาลที่ 1 - 3 เปนองคค วามรู ในการรักษาโรคภัยไขเจบ็ ทม่ี ี กจิ กรรมท่ี นกั เรยี นเขยี นแผนผงั ความคดิ เกย่ี วกบั ความสา� คญั ของภมู ปิ ญั ญาและ มาแตโ บราณและสืบทอดมาถึง วัฒนธรรมไทยต่อสงั คมไทย ๑ ปจจุบัน กิจกรรมท่ี นักเรียนในช้ันเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อ • วดั พระแกว เปนที่ประดิษฐาน การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย จากนั้นสรุปสาระส�าคัญ ๒ ส่งครผู ู้สอน พระแกวมรกต พระพุทธรปู นักเรยี นแบ่งกลุม่ กล่มุ ละ ๕ คน สบื ค้นขอ้ มูลเก่ยี วกบั ภมู ิปญั ญาและ คูบา นคูเมอื งของไทย และเปน กจิ กรรมท่ี วัฒนธรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ และอิทธิพลของภูมิปัญญาและ แหลงรวมงานชา งชั้นสูงที่มมี า วฒั นธรรมทมี่ ตี อ่ การพฒั นาชาตไิ ทยในปจั จบุ นั โดยนา� เสนอในรปู แบบ แตโ บราณ ๓ ท่หี ลากหลาย เชน่ รายงาน สมุดภาพ โปรแกรม PowerPoint เปน็ ต้น • งานจติ รกรรมตามวดั ตา งๆ เปน ทง้ั มรดกและศลิ ปกรรม อันมคี าของชาตไิ ทย 4. เชน ใหก ารยกยอ งผทู รงภมู ปิ ญ ญา กจิ ก๔รรมท่ี นักเรียนศึกษาข้อมูลเก่ียวกับบุคคลส�าคัญที่สร้างสรรค์ภูมิปัญญาและ วฒั นธรรมไทยในสมยั รตั นโกสนิ ทรม์ า ๑ ทา่ น จากนนั้ นา� ผลงานมาจดั ในทองถิน่ สง เสรมิ การทอ งเทยี่ ว นทิ รรศการเป็นเวลา ๑ สปั ดาห์ เชงิ อนุรักษว ัฒนธรรมและ ภูมิปญ ญาไทย จัดกจิ กรรม เผยแพรวัฒนธรรมและ ภมู ิปญ ญาไทย เปนตน ๑๑๔ 5. เชน พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดชทรงใหคนไทย อนรุ ักษโบราณสถานและโบราณวตั ถุ รักภาษาไทยและประวัติศาสตรไทย หแสลดกั งฐผานลการเรยี นรู สมเดจ็ พระนางเจาสริ กิ ิต์ิ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลท่ี 9 ทรงสงเสรมิ ให ชาวบา นมีรายไดเสรมิ โดยจัดใหม กี ารฝกงานศิลปาชีพ สมเดจ็ เจา ฟาฯ นักเรียนจัดทําสมดุ ภาพเกยี่ วกบั ภมู ิปญ ญาและ กรมหลวงนราธิวาสราชนครนิ ทรท รงพระราชนพิ นธห นงั สอื ตางๆ อกี ทั้ง วัฒนธรรมไทยสมยั รัตนโกสนิ ทร โดยวิเคราะหถ งึ ทรงเปน องคอปุ ถัมภม ูลนธิ ิ นาฏยศาลา หนุ ละครเลก็ เปน ตน ) อิทธพิ ลทม่ี ีตอ ชาตไิ ทย 114 คูม ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ๖หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ ี เปา หมายการเรยี นรู ภมู ภิ าคของโลก 1. วิเคราะหที่ต้ังและสภาพทาง กบั พฒั นาการทาง ภมู ศิ าสตรท ่ีมผี ลตอ พฒั นาการ ทางประวตั ิศาสตรใ นภมู ิภาค ประวตั ศิ าสตร ตางๆ ของโลก 2. อธบิ ายพัฒนาการทาง ประวตั ศิ าสตรในภูมิภาคตางๆ ของโลก 3. อธิบายอทิ ธพิ ลของทวีปตา งๆ ตอสงั คมโลก ตัวชีว้ ัด กระตนุ ความสนใจ ● อธบิ ายพัฒนาการทางสงั คม เศรษฐกจิ และ ครนู ําภาพสถานทีส่ ําคญั ๆ ใน การเมอื งของภมู ภิ าคตา่ งๆ ในโลกโดยสงั เขป ภูมภิ าคตางๆ ของโลกมาใหน กั เรยี น (ส ๔.๒ ม.๓/๑) ดู แลว ตงั้ คาํ ถามกระตนุ ความสนใจ เชน สาระการเรียนรู้แกนกลาง • ภาพน้คี ืออะไร อยทู ่ีประเทศใด ● ทต่ี ง้ั และสภาพทางภมู ศิ าสตรข์ องภมู ภิ าคตา่ งๆ • มคี วามสาํ คญั ทางประวตั ศิ าสตร ของโลก (ยกเว้นเอเชีย) ทมี่ ผี ลต่อพัฒนาการ โดยสังเขป หรือมีบทบาทในปจ จบุ ันอยางไร ● พฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์ สงั คม เศรษฐกจิ เกรด็ แนะครู และการเมอื งของภมู ภิ าคตา่ งๆของโลก(ยกเวน้ เอเชยี ) โดยสงั เขป ´Ô¹á´¹ã¹ÀÙÁÀÔ Ò¤µ‹Ò§æ ¢Í§âÅ¡ÁÕ»ÃÐÇѵ¤Ô ÇÒÁ໚¹ÁÒ ครูควรจดั การเรียนรโู ดยให áÅоѲ¹Ò¡Ò÷Õèᵡµ‹Ò§¡Ñ¹ä» ·Ñé§¹Õé ¢éֹ͋١Ѻà§è×͹䢷ҧ นกั เรียนศึกษาคนควา ขอมูลเพ่อื ● อิทธิพลของอารยธรรมตะวันตกที่มีผลต่อ ÀÙÁÈÔ ÒʵÃᏠÅлÃÐÇµÑ ÈÔ ÒʵÏ µÅÍ´¨¹¾²Ñ ¹Ò¡ÒôҌ ¹µ‹Ò§æ ใหเกดิ ความรูความเขาใจเกยี่ วกับ พฒั นาการและการเปลย่ี นแปลงของสงั คมโลก ·é§Ñ ´ÒŒ ¹¡ÒÃàÁÍ× §¡Òû¡¤Ãͧ àÈÃɰ¡Ô¨ 椄 ¤Á áÅÐÈÅÔ »- พัฒนาการทางประวตั ิศาสตร โดยสังเขป ÇѲ¹¸ÃÃÁã¹áµ‹ÅÐáË‹§ ¡ÒÃàÃÕ¹ÌÙÀÙÁÔËÅѧáÅоѲ¹Ò¡Òà ในภูมิภาคตางๆ ของโลก ซง่ึ อาศยั ´ÒŒ ¹µÒ‹ §æ ã¹áµÅ‹ ÐÀÁÙ ÀÔ Ò¤¢Í§âÅ¡ ¨Ð·Òí ãËàŒ ¡´Ô ¤ÇÒÁäٌ ÇÒÁ ทกั ษะกระบวนการดังตอไปน้ี ࢌÒã¨ã¹¤ÇÒÁÊ׺à¹×èͧ¢Í§ÍÒøÃÃÁ¨Ò¡Í´Õµ¶Ö§»˜¨¨ØºÑ¹ä´Œ ¡ÃШ‹Ò§ª´Ñ ÁÒ¡ÂÔ§è ¢Öé¹ • ทกั ษะการแสวงหาความรู ในการสบื คนขอ มลู และ แสวงหาคาํ ตอบดวยตนเอง • ทักษะการสื่อความหมาย โดยอธิบายพฒั นาการทาง ประวตั ิศาสตรในดานตา งๆ ของภูมภิ าคตางๆ ของโลก ไดอยา งเขาใจ • ทักษะกระบวนการคดิ ในการวิเคราะหอ ิทธิพลของภูมภิ าคตางๆ ท่ีมตี อสงั คมโลก • กระบวนการกลมุ ในการระดมความคิดและรวมมือกนั ทาํ งาน คูมอื ครู 115

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explain Explore Expand Evaluate กระตุน ความสนใจ แผนท่ีทวปี ยุโรป (ยอจากฉบบั นกั เรยี น 20%) ครนู าํ ลกู โลกจาํ ลองมาใหน กั เรยี นดู เ ทือกเขายูรัล แอลเบเนีย จากนัน้ ถามวา ทวปี ยุโรปอยูสวนใด ของลูกโลก โดยสุม นักเรียนออกมาชี้ ทตี่ ้งั ของทวปี ยโุ รปหนา ชนั้ เรียน อธบิ ายความรู รัสเ ีซย ครใู หนกั เรียนดูภาพแผนท่ที วปี เทือกเขาคอเคซัส ทะเลแคสเ ีปยน ยุโรปจากหนงั สือเรยี น หนา 116 แลวตั้งคําถามใหน กั เรยี นตอบวา ทวีปเอเชีย • ทวีปยุโรปประกอบดว ย คาบสมุทรโคลา ูยเครน กีป่ ระเทศ อะไรบาง ทะเล �ดา (แนวตอบ ทวีปยโุ รปประกอบ มอลโดวา ดว ยประเทศนอยใหญรวมทงั้ สนิ้ ิฟนแลนด์ เอสโตเ ีนย กเขาคาร์เพเทียน เซอร์เบยีโรมาเนีย เฮอ ์รเซโก ีวนา คอซอวอ บัลแกเ ีรยโกมคดาเรีาซิีนบซยสมุทรบอลข่าน 44 ประเทศ ไดแ ก เดนมารก ลัตเวีย ฟนแลนด ไอซแลนด ไอรแ ลนด ลิทัวเ ีนย โปแลเ ืทนอ ์ด สโลวาเกีย นอรเ วย สวเี ดน เอสโตเนีย ลัตเวีย สหราชอาณาจักร เบลา ุรส ลทิ ัวเนยี ออสเตรีย เบลเยียม ฝรัง่ เศส ลิกเตนสไตน โมนาโก สคีวาเบดสนุมทรสแกน ิดเนเ ีวย เนเธอ ์รแลนด์ ัฮงการี โครเอเ ีชย เมนอโนกเรต ทวีปแอฟ ิรกา มอลตา เยอรมนี ลกั เซมเบริ ก เบลารสุ เนเธอรแลนด สวติ เซอรแลนด ทะเลบอลติก เยอรม ีน อ ลออป ์สเตรีย บอสเ ีนยและ บัลแกเรีย ฮงั การี มอลโดวา สาธารณรฐั เช็ก โปแลนด รัสเซยี นอร์เว ์ย สาธารณ ัรฐเ ็ชกิลกเตนสไต ์น สโลวีเ ีนย ซานมารีโน วนาค ิตร ักรัฐน อิตาลี ทะเลเมดิเตอร์เรเ ีนยน โรมาเนีย สโลวาเกีย อนั ดอรร า บอสเนยี และเฮอรเ ซโกวนี า แ แอลเบเนยี ยูเครน โครเอเชีย กรซี อติ าลี มาซโิ ดเนีย มอลตา า มอนเตเนโกร โปรตุเกส สเปน ซานมารีโน เซอรเบีย สโลวเี นีย ข และนครรัฐวาตกิ นั ) ทะเลเห ืนอ เบลเ ียยม เซอสร์ ิวแตลนด์ โมนาโก • อาณาเขตของทวปี ยโุ รปติดตอ ไอร์แลนด์สหราชอาณาจักร ัลกเซมเบิร์ก กับพืน้ ทใ่ี ด เ ทือ กเ (แนวตอบ ทิศเหนอื จดมหาสมุทร อารก ติก ทิศใตจ ดทะเล ฝ ่ัรงเศส อันดอร์รา เมดเิ ตอรเ รเนยี น ทะเลดํา และเอเชียกลาง ทิศตะวันตก ไอซ์แลน ์ด เทือกเขา ิพเรนีส จดมหาสมทุ รแอตแลนตกิ และ ทิศตะวนั ออกจดทวีปเอเชยี ) มหาสมุทรแอตแลน ิตก คาบสมุทร ไอ ีบเรีย สเปน โปร ุตเกส 116 116 คูม ือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Engage Explain Expand Evaluate ñ. ทวปี ยโØ รป สาํ รวจคนหา ทวปี ยุโรปเป็นทวีปทม่ี ขี นาดเลก็ เป็นอนั ดบั ๒ ของโลกรองจากทวปี ออสเตรเลยี และโอเชียเนยี ครูใหน กั เรยี นศกึ ษาเก่ียวกบั ทีต่ ้งั มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ ๑๐,๕๒๕,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร และมีดินแดนทางด้านตะวันออกติดต่อ และสภาพทางภูมศิ าสตรของทวปี เป็นผนื เดยี วกับทศิ ตะวนั ตกของทวปี เอเชีย จงึ เรียกทวปี ทงั้ สองรวมกันวา่ ยเู รเซยี (Eurasia) โดยมี ยุโรปเพม่ิ เติมจากหนงั สอื เรยี น แลว เทอื กเขายูรลั (Urals) และเทือกเขาคอเคซสั (Caucasus) เป็นแนวแบง่ เขต นาํ ขอ มูลมาจัดทาํ แผนผงั ความคิด ปัจจุบันทวีปยุโรป ประกอบด้วย ประเทศ รัฐ และนครอิสระกว่า ๔๐ แห่ง มีประชากร นกั เรียนควรรู ประมาณ ๗๔๐ ล้านคน โดยมีสหพันธรัฐรัสเซียเป็นประเทศท่ีใหญ่ที่สุด และนครรัฐวาติกัน (Vatican City State) ซ่ึงมีสนั ตะปาปาเป็นองคป์ ระมุข เป็นนครอิสระทีเ่ ล็กทสี่ ดุ เทอื กเขายูรัล เทอื กเขาในประเทศ รสั เซยี และคาซคั สถาน เปนเสนเขต 1.1 ทีต่ ัง้ และสภาพภมู ิศาสตร์ที่มผี ลตอ่ พัฒนาการของทวปี แดนระหวา งทวปี ยโุ รปกบั ทวปี เอเชยี ทวีปยุโรปตั้งอยู่ในซีกโลกเหนือ ระหว่างละติจูดท่ี ๓๕ - ๗๐ องศาเหนือ และลองจิจูดที่ ยาวประมาณ 2,640 กโิ ลเมตร ๙ องศาตะวนั ตก - ๖๖ องศาตะวนั ออก ประกอบดว้ ย ทรี่ าบลมุ่ ทรี่ าบสงู เทอื กเขา และมคี าบสมุทร เทือกเขาน้ปี กคลมุ ดว ยปา ไม จ�านวนมากทางตอนใต้ ได้แก่ คาบสมุทรบอลข่าน อิตาลี และไอบีเรีย ซึ่งทอดตัวสู่ทะเล หนาแนน และมแี รธ าตุอุดมสมบูรณ เมดิเตอร์เรเนียน ส่วนทางตอนเหนือ ได้แก่ คาบสมทุ รจตั แลนด์ ท่แี บ่งแยกทะเลเหนอื จากทะเล ประกอบดวยแรเ หล็ก ทองแดง บอลติก เหนือสดุ ไดแ้ ก่ คาบสมุทรสแกนดิเนเวยี และคาบสมุทรโคลา ดังนัน้ ทวีปยุโรปจงึ ได้ชอ่ื ว่า โครเมียม แพลทนิ ัม โพแทสเซยี ม เปน็ ดินแดนแห่งคาบสมุทรของคาบสมุทร (A peninsula of peninsulas) แรใ ยหนิ และนาํ้ มนั ประเทศในทวีปยุโรปส่วนใหญ่มีผืนดิน ตดิ ต่อทะเล และมีชายฝง่ั ทะเลยาวมาก อีกทั้ง นักเรียนควรรู บางประเทศก็ตั้งอยูบ่ นเกาะ จึงท�าให้ทวปี ยุโรป เป็นท่ีต้ังของอุตสาหกรรมการประมงและ นครรฐั วาตกิ นั เปน ประเทศอิสระ การเดินเรือ ส่วนประเทศที่ไม่มีพรมแดนติด ท่ีมขี นาดเลก็ ทสี่ ดุ ในโลก สถาปนา ทะเลก็อยู่ห่างจากทะเลไม่ก่ีร้อยกิโลเมตร ซึ่ง ขน้ึ ใน ค.ศ. 1929 มสี นั ตะปาปาเปน ท�าให้สามารถรับอิทธิพลจากลมทะเลด้วย จึง ประมุขท่ีมอี าํ นาจเดด็ ขาดท้งั ในดา น เป็นเพียงทวีปเดียวที่ไม่มีอากาศแห้งแล้งแบบ การบริหาร นิตบิ ัญญัติ และตุลาการ ทะเลทราย นอกจากนี้ ทวปี ยโุ รปยงั เปน็ ทตี่ งั้ ของ มีประชากรไมถ ึง 1,000 คน จดุ เดน ผืนดินท่ีอุดมสมบูรณ์ท่ีสุดแห่งหนึ่งของโลกที่ ของนครรัฐวาติกัน คอื โบสถเ ซนต เหมาะแกก่ ารเพาะปลกู โดยครอบคลมุ อาณาเขต ปเตอร โบสถค ริสตศาสนาทีใ่ หญ ตั้งแต่ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกทางทิศ เทอื กเขาแอลป มอี าณาเขตตดิ ตอ่ ประเทศฝรง่ั เศส เยอรมนี ทสี่ ุดในโลก เปน ทฝี่ งพระศพนักบญุ ตะวันตกไปจดเทือกเขายูรัลทางทิศตะวันออก ลิกเตนสไตน์ ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี และ สันตะปาปา กษตั รยิ  พระราชินี และ สโลวเี นยี โดยมยี อดสงู สดุ ชอื่ มงบลอ็ ง เจา ชายหลายพระองค นอกจากน้ี ยงั มีพระราชวังวาติกนั ซง่ึ ปจจบุ นั 117 เปนทป่ี ระทบั และทต่ี อนรับบุคคล สําคัญทม่ี าเยือนของสนั ตะปาปา @ มมุ IT ศึกษาคนควา ขอมลู เพ่ิมเติม เก่ียวกบั ประเทศตา งๆ ในทวปี ยโุ รป ไดท ี่ www.mfa.go.th/web/483 .php กระทรวงการตางประเทศ คูมือครู 117

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate อธิบายความรู (ยอ จากฉบบั นกั เรยี น 20%) ครซู กั ถามนักเรียนวา ท่ีต้งั และ เรียกว่า ท่ีราบยุโรปเหนือ (North European Plain) ประกอบด้วย กลุ่มประเทศเบเนลักซ์ สภาพภูมศิ าสตรข องทวีปยโุ รป (Benelux) เดนมาร์ก เยอรมนี โปแลนด์ จนถึงสหพันธรัฐรัสเซีย รวมท้ังตอนใต้ของสหราช- มอี ิทธพิ ลตอ พฒั นาการของทวปี อาณาจกั ร ทง้ั น้ี โดยมีแมน่ า�้ สายตา่ งๆ ทม่ี ีต้นกา� เนิดในเทอื กเขาแอลป์ (Alps) เทอื กเขาพเิ รนีส อยางไร (Pyrenees) และเทอื กเขาคารเ์ พเทยี น (Carpathians) เปน็ ทรพั ยากรนา้� ทสี่ า� คญั ทงั้ ดา้ นเกษตรกรรม การเดนิ เรอื ขนสง่ สนิ คา้ และบรรทกุ ผโู้ ดยสาร แมน่ า้� วอลกาเป็นแม่น�้าที่ยาวท่ีสุด ส่วนแม่น้�าดานูบ (แนวตอบ ทวปี ยุโรป ประกอบดว ย ท่ยี าวเปน็ อันดับ ๒ และไหลผา่ นจากยโุ รปตะวนั ออกไปยงั ทะเลดา� (Black Sea) ทางตะวนั ออก ท่รี าบลุม ทร่ี าบสูง เทอื กเขา และ เปน็ แม่นา้� สายส�าคญั ในการสญั จรของหลายๆ ประเทศ คาบสมุทรจํานวนมากทางตอนใต ประเทศยุโรปสวนใหญมีผนื ดิน โดยทัว่ ไป ทวีปยุโรปมภี ูมอิ ากาศอบอุน่ ต้ังแต่ทศิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนือจนถึงตอนใตแ้ ถบทะเล ติดตอ ทะเล และมีชายฝง ทะเล เมดิเตอร์เรเนียน เพราะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกระแสน้�าอุ่นกัลฟ์สตรีม (Gulf Stream) และ ยาวมาก บางประเทศก็เปนเกาะ แอตแลนตกิ เหนือ (North Atlantic Drift) เหมาะแกก่ ารเพาะปลกู สม้ อง่นุ มะนาว และมะกอก ทําใหเ หมาะแกก ารทําการประมง ส่วนดินแดนในคาบสมุทรสแกนดิเนเวียโดยเฉพาะทางตอนเหนือของเส้นอาร์กติกและยุโรปด้าน และการเดินเรอื ประเทศที่เปน ตะวนั ออกที่ไมไ่ ดร้ บั อทิ ธพิ ลของกระแสนา�้ อนุ่ จะมอี ากาศหนาวเยน็ มากกวา่ อยา่ งไรกด็ ี โดยทวั่ ไป ผืนดินอุดมสมบูรณ มีท่ีราบ อุณหภูมิที่อบอุ่นของยุโรปและความอุดมสมบูรณ์ของผืนดิน ตลอดจนแม่น้�าขนาดใหญ่สายต่างๆ กวา งใหญ กเ็ หมาะแกการทําการ เช่น แมน่ ้�าไทเบอร์ แม่น้า� ไรน์ แมน่ �า้ แซน แม่น�้าดานบู และอน่ื ๆ ก็เปน็ ปจั จัยส�าคัญทด่ี งึ ดดู ใหผ้ ูค้ น เพาะปลกู จากท่ีทวปี นมี้ แี มน ํ้า เข้ามาต้ังหลักแหล่งในทวีปยุโรปตั้งแต่สมัยโบราณ และร่วมกันสร้างความเจริญจนกลายเป็น สายตา งๆ ท่ีสําคัญ เชน แมน้ํา อารยธรรมตะวันตกท่ีมอี ทิ ธพิ ลไปทว่ั โลกในปจั จุบัน ดานูบ แมนํา้ ไรน แมน า้ํ แซน เรื่องนา่ รู้ จึงสง เสรมิ ดา นเกษตรกรรมและ การเดนิ เรือ และการมภี ูมิอากาศ การแบง่ ยคุ สมยั ในประวตั ศิ าสตรต์ ะวนั ตก อบอุน จงึ สงผลใหมผี ูคนเขามา การแบง่ ยคุ สมยั ในประวตั ศิ าสตรต์ ะวนั ตกสามารถแบง่ ออกได้ ดงั น้ี ตง้ั ถิ่นฐานในทวปี นี้ตง้ั แตส มัย 1. สมยั โบราณ (ศตวรรษท่ี ๙ กอ่ นครสิ ตศ์ กั ราช - ค.ศ. ๔๗๖) แบง่ เปน็ ๒ สมยั ไดแ้ ก่ สมยั กรกี แบง่ เปน็ โบราณเรื่อยมาจนถงึ ปจ จุบัน) สมยั อารค์ าอกิ (ศตวรรษท่ี ๙ - ศตวรรษท่ี ๖ กอ่ นครสิ ตศ์ กั ราช) สมยั คลาสสกิ (ศตวรรษท่ี ๕ - ศตวรรษท่ี ๔ กอ่ น นักเรียนควรรู ครสิ ตศ์ กั ราช) สมยั เฮลเลนสิ ตกิ (ศตวรรษท่ี ๓ กอ่ นครสิ ตศ์ กั ราช - ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๖) และสมยั โรมนั แบง่ เปน็ สมยั ราชอาณาจกั ร (๗๕๓ - ๕๐๙ ปกี อ่ นครสิ ตศ์ กั ราช) สมยั สาธารณรฐั (๕๐๘ - ๒๗ ปกี อ่ นครสิ ตศ์ กั ราช) สมยั จกั รวรรดิ เทอื กเขาคารเ พเทยี น เทือกเขาใน (๒๗ ปกี อ่ นครสิ ตศ์ กั ราช - ค.ศ. ๔๗๖) ทวปี ยโุ รปทางดา นตะวันออกบริเวณ เขตแดนระหวา งประเทศสโลวาเกีย ๒. สมัยกลาง (ค.ศ. ๔๗๖ - ๑๔๙๒) แบง่ เปน็ ๔ สมัย ไดแ้ ก่ สมัยกลางตอนตน้ (ค.ศ. ๔๗๖ - ๑๐๕๐) กบั ประเทศโปแลนด และตอ เนือ่ ง สมยั กลางยคุ รงุ่ โรจน์ (High Middle Ages, ค.ศ. ๑๐๕๐ - ๑๓๕๐) สมยั กลางตอนปลาย (ค.ศ. ๑๓๕๐ - ๑๔๙๒) และสมยั เขา ไปยังประเทศยูเครน และทาง ฟน้ื ฟศู ลิ ปวทิ ยาการ (ค.ศ. ๑๓๕๐ - ๑๖๕๐) เปน็ ชว่ งระยะเวลาเปลย่ี นผา่ นครอบคลมุ ระยะเวลากอ่ นสน้ิ สมยั กลางถงึ ตะวันออกของประเทศโรมาเนยี สมยั ใหมต่ อนตน้ ๓. สมยั ใหม่ (ค.ศ. ๑๔๙๒ - ๑๙๔๕) แบง่ เปน็ ๒ สมยั ไดแ้ ก่ สมยั ใหมต่ อนตน้ (ค.ศ. ๑๔๙๒ - ๑๘๑๕) และ สมยั ใหมต่ อนปลาย (ค.ศ. ๑๘๑๕ - ๑๙๔๕) ๔. สมยั ปจั จบุ นั (ค.ศ. ๑๙๔๕ - ปจั จบุ นั ) นกั เรียนควรรู 118 ทะเลดาํ อยรู ะหวา งทวปี ยุโรปกับ นักเรยี นควรรู ทวีปเอเชยี เชื่อมกบั ทะเลอีเจียนโดย ชองแคบบอสพอรัส ทะเลมารมะรา กลุมประเทศเบเนลักซ หรอื กลุมประเทศแผนดินต่าํ (Low Land) เกิดขึ้นจากการรวมตวั ของ และชอ งแคบดารดะเนลส นอกจากน้ี 3 ประเทศ ไดแ ก เบลเยยี ม เนเธอรแลนด และลกั เซมเบริ ก เมอ่ื เดือนมกราคม ค.ศ. 1948 เพ่ือ ยังเชอ่ื มกบั ทะเลอะซอฟโดยชอ งแคบ ผลประโยชนทางเศรษฐกจิ รวมกนั เคียรช 118 คูมือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate 1.๒ พัฒนาการและการสร้างสรรค์ด้านตา่ งๆ สาํ รวจคนหา ทวีปยุโรปเป็นดินแดนท่ีมีมนุษย์อาศัยอยู่มาตั้งแต่ยุคหินเก่าเมื่อประมาณกว่า ๑๐,๐๐๐ ปี มาแล้ว เป็นดินแดนที่มีการตั้งชุมชนและสังคมเมืองมานานนับพันปี ตลอดระยะเวลาดังกล่าว ใหน กั เรยี นแบง ออกเปน 3 กลมุ จนถึงปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าชาวยุโรปได้สร้างสรรค์ความเจริญและการเปล่ียนแปลงมาสู่สังคมโลก เพือ่ ศกึ ษาพัฒนาการและการ มากมาย สรา งสรรคดา นตางๆ ของทวปี ยโุ รป พัฒนาการและการสรา้ งสรรค์ดา้ นต่างๆ ของทวปี ยุโรปสามารถแบง่ ออกได้ ดงั นี้ เพิม่ เติมจากหนังสอื เรียน ในประเด็น ตอไปน้ี ๑) พัฒนาการด้านการเมืองการปกครอง โดยท่ัวไปกล่าวได้ว่าในอดีตดินแดน สว่ นใหญ่ของทวีปยโุ รปมีกษัตรยิ เ์ ปน็ ประมขุ สงู สุด แม้แต่ในสมยั กรกี เรอื งอ�านาจเมื่อกว่า ๕๐๐ ปี กลุม ที่ 1 ศึกษาพัฒนาการดา น กอ่ นครสิ ต์ศักราช ระบอบการปกครองแบบกษัตริย์กเ็ ปน็ ทีร่ ู้จักกนั แพรห่ ลายแล้ว ในสมยั จกั รวรรดิ การเมอื งการปกครอง โรมัน (๒๗ ปีก่อนคริสต์ศักราช - ค.ศ. ๔๗๖) พระประมุขสูงสุด เรียกว่า ซีซาร์หรือจักรพรรดิ ซง่ึ ทรงปกครองอาณาบรเิ วณกวา้ งขวางครอบคลมุ พนื้ ที่ในยโุ รปและบางสว่ นของเอเชยี และแอฟรกิ า กลมุ ท่ี 2 ศึกษาพฒั นาการดาน เมือ่ จักรวรรดโิ รมนั ล่มสลายลงใน ค.ศ. ๔๗๖ ยโุ รปไดเ้ ขา้ สสู่ มัยกลาง (Middle Ages, เศรษฐกจิ ค.ศ. ๔๗๖ - ๑๔๙๒) ที่ระยะแรกๆ อารยธรรมตะวันตกอยู่ในภาวะถดถอย กลุมที่ 3 ศึกษาพัฒนาการดา น บ้านเมืองแตกแยกจากการเข้ารุกรานของ สงั คมและศลิ ปวฒั นธรรม พวกอนารยชนเผ่ากอท (Goth) หรือชนเผ่า เยอรมันท่ีอพยพลงมาจากตอนเหนือ ระบอบการ จากนนั้ นักเรยี นแตล ะกลมุ ปกครองแบบรวมศนู ยอ์ า� นาจของโรมสลายตวั บา้ นเมอื ง นําเสนอขอมูลในรูปแบบโปรแกรม ไรข้ อ่ื แป ประมวลกฎหมายโรมนั ที่ใชบ้ งั คบั ทว่ั ทงั้ จกั รวรรดถิ กู ละทงิ้ PowerPoint หนาชนั้ เรียน เกิดเป็นระบอบการปกครองแบบฟิวดัล (feudalism) หรือการ ปกครองแบบกระจายอ�านาจที่อ�านาจการปกครองตกอยู่ในมือ อธิบายความรู ของขุนนางเจ้าของท่ีดิน และมีการใช้กฎหมายจารีตประเพณี (customarylaw) ของพวกอนารยชนแทนประมวลกฎหมายโรมนั ครูใหกลุมที่ 1 ท่ีศกึ ษาพฒั นาการ อยา่ งไรกด็ ี กษตั รยิ ก์ ย็ งั คงไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปน็ เจา้ ของแผน่ ดนิ ดานการเมอื งการปกครองออกมา และได้รับการยกย่องว่าเป็นพระประมุข (แต่ไม่มีอ�านาจ) แต่ นําเสนอผลงาน จากน้ันเปดโอกาส ในปลายสมัยกลาง กษัตริย์ต่างสามารถสถาปนาอ�านาจปกครอง ใหเ พ่อื นๆ กลุมอ่ืนซักถามขอ สงสยั แบบรวมศูนย์อ�านาจและสร้างรัฐชาติ (nation state) ที่รวม ดินแดนต่างๆ เข้าเป็นชาติเดียวกันได้ ซ่ึงพระราชอ�านาจ เกรด็ แนะครู ในการปกครองของกษัตริย์ในดินแดนต่างๆ มีพัฒนาการ ทแี่ ตกต่างกัน ดังน้ี ครูอาจใชเทคนิคการตอเรือ่ งราว ประติมากรรมรูปจักรพรรดิออกัสตัส จักรพรรดิ (Jigsaw) โดยใหส มาชกิ ในกลุมไป องค์แรกของจกั รวรรดิโรมัน 119 ศกึ ษาเรยี นรูเนอื้ หาท่ไี ดร ับมอบหมาย ดว ยตนเองกอน จากน้ันนาํ ความรู ทีไ่ ดไ ปเลา ใหเ พือ่ นๆ ในกลมุ ฟง เพื่อใหเ กิดองคค วามรูท ง้ั หมดอยาง ครอบคลุม เทคนคิ การสอนแบบนี้ จะชวยกระตนุ ใหน กั เรยี นเกดิ ความ รับผดิ ชอบ มคี วามตงั้ ใจศึกษาเน้อื หา ทไี่ ดร ับมอบหมายดว ยการชวยเหลอื ซึ่งกันและกัน นกั เรียนควรรู คูมอื ครู 119 อนารยชน คาํ วา “อนารยชน” หรือ barbarian เปนคําที่ชาวโรมนั ยืมมาจากกรีก หมายถงึ กลมุ คนตางดาวหรอื คนทีม่ วี ฒั นธรรมดอ ยกวาอารยธรรมกรกี และโรมัน พูดภาษาละตินไมไ ด และเขามาอาศัยอยบู รเิ วณลมุ แมน า้ํ ไรนแ ละแมนาํ้ ดานูบซงึ่ เปนดนิ แดนของจักรวรรดโิ รมันอนั ยิ่งใหญ พวกอนารยชนสว นใหญม ีเชือ้ สายเยอรมัน มหี ลายกลุม เชน พวกกอทซ่ึงเปนอนารยชน เผา ใหญท่สี ดุ พวกแวนดลั พวกแฟรงก พวกลอมบารด เปน ตน

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate สํารวจคน หา (ยอ จากฉบับนกั เรียน 20%) ครูใหนักเรียนสืบคนววิ ฒั นาการ ระบอบกษัตริยภ์ ายใต้รัฐธรรมนูญ ของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย หรือระบอบราชาธิปไตยของประเทศ ในอังกฤษ พระเจ้าจอห์น (ค.ศ. ๑๑๙๙ - ในยุโรป จากนั้นนําขอ มลู มาจัดทํา ๑๒๑๖) ทรงยอมรบั แมกนาคารต์ า (Magna Carta, เปน ตารางเปรยี บเทียบ ค.ศ. ๑๒๑๕) หรือมหากฎบตั ร (Great Charter) ที่ ขนุ นาง พระ พ่อคา้ และประชาชนรวมตวั กนั บีบ อธบิ ายความรู บงั คบั ใหพ้ ระองคย์ อมรบั ขอ้ ตกลงทเ่ี ปน็ ลายลกั ษณ์ อกั ษรในการจา� กดั พระราชอา� นาจไม่ใหใ้ ชพ้ ระราช- ครูสนทนากบั นักเรียนวา ระบอบ อา� นาจเกนิ ขอบเขตในการเกบ็ ภาษอี ากร การลงโทษ การปกครองในสมัยกลางมลี กั ษณะ และอื่นๆ ต่อมาได้เกิดรัฐสภา (parliament) ที่ อยางไร และในชวงปลายสมยั มีการ ประกอบดว้ ย สภาขุนนาง (House of Lords) และ เปล่ยี นแปลงไปเชนไร สภาสามัญ (House of Commons) ทีม่ ีส่วนส�าคัญ ในการลดอา� นาจสทิ ธิข์ าดของกษัตริย์ (แนวตอบ ยโุ รปในสมยั กลางมี ตอ่ มาเมอื่ กษตั รยิ พ์ ยายามจะละเลยอา� นาจ ระบอบการปกครองแบบฟว ดัลท่ี ภาพวาดพระเจา้ จอหน์ ทรงลงพระนามในกฎบตั รแมกนา ของรฐั สภา รฐั สภาและประชาชนไดร้ ว่ มกนั กอ่ การ กษตั รยิ ทรงไดร ับการยกยอ งให คารต์ า เมอื่ ค.ศ. ๑๒๑๕ ทาำ ใหพ้ ระราชอาำ นาจของประมขุ ปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (Glorious Revolution) ขึ้นใน เปน ประมขุ และเจาของแผน ดนิ องั กฤษถกู จาำ กดั ค.ศ. ๑๖๘๘ ขับกษัตริย์ออกจากบัลลังก์โดยไม่มี แตอ ํานาจแทจ รงิ อยใู นมือขุนนาง ตอ มาในชว งปลายสมัย เมอ่ื ระบอบ การนองเลอื ดและใหก้ ษตั รยิ พ์ ระองค์ใหมย่ อมรบั ในอา� นาจของรฐั สภา นบั เปน็ การสนิ้ สดุ ของการพยายามใช้ การปกครองแบบฟวดัลเรม่ิ เสือ่ ม อา� นาจปกครองอยา่ งเดด็ ขาดของกษตั รยิ ์ และเปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ของการปกครองแบบกษตั รยิ ภ์ ายใตร้ ฐั ธรรมนญู สลายลง กษัตริยกส็ ามารถสถาปนา อยา่ งแท้จรงิ ทัง้ ยงั ยุติปัญหาความแตกแยกทางศาสนาภายในประเทศโดยกา� หนดใหก้ ษตั รยิ ์ตอ้ งทรงนับถอื อาํ นาจสูงสุดในการปกครองได ในองั กฤษ มีการปกครองระบอบ และเปน็ องค์ศาสนูปถมั ภกของนกิ ายแองกลิคนั (Anglicanism) หรอื นกิ ายอังกฤษ (Church of England) กษตั ริยภายใตร ัฐธรรมนญู โดย พระมหากษัตรยิ ปกครองประเทศ ระบอบกษัตริย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ผา นทางรัฐสภาและจะอยภู ายใต กฎหมาย สว นฝรัง่ เศส ปรสั เซีย สว่ นฝรง่ั เศสและประเทศมหาอา� นาจในอดตี อน่ื ๆ ไดแ้ ก่ ปรสั เซยี (รฐั หนงึ่ ในดนิ แดนเยอรมนั ตอ่ มามี ออสเตรีย สเปน และรสั เซีย บทบาทเป็นผูน้ �าในการรวมชาตเิ ยอรมนีใน ค.ศ. ๑๘๗๑) ออสเตรีย และรสั เซียน้นั กลบั มีพฒั นาการระบอบ มีระบอบการปกครองแบบ การปกครองแบบสมบรู ณาญาสิทธริ าชย์ (Absolutism) สมบูรณาญาสิทธริ าชยทก่ี ษัตรยิ  ทรงรวมศนู ยอาํ นาจไวไดท งั้ หมด) ฝร่ังเศสใน ค.ศ. ๑๖๑๔ หลังเกิดเหตุความวุ่นวายและสงครามกับสเปน สภาฐานันดร (Estates General) ซ่ึงเป็นตัวแทนของชนช้ันต่างๆ ได้ประกาศยุบตัว และประกาศให้ “อ�านาจอธิปไตยสูงสุดเป็น นักเรียนควรรู ของกษตั รยิ เ์ พราะทรงเปน็ ผไู้ ดร้ บั มงกฎุ จากพระเปน็ เจา้ ” จงึ ทา� ใหไ้ มม่ กี ารเรยี กประชมุ สภาฐานนั ดรอกี เลย เปน็ เวลา ๑๗๕ ปี จนก่อนเกิดการปฏิวัติฝร่งั เศส ค.ศ. ๑๗๘๙ (French Revolution of 1789) ทา� ใหก้ ษตั ริย์ ฝรงั่ เศสไมม่ สี ภาท่จี ะควบคุมการใชพ้ ระราชอา� นาจ พระราชอา� นาจของกษัตรยิ ์จงึ ไดเ้ พ่ิมพนู ขนึ้ อีก หลังจากสงครามสามสิบปี (Thirty Years’ War, ค.ศ. ๑๖๑๘ - ๑๖๔๘) ซ่ึงเกิดจากความขัดแย้ง ระหวา่ งนกิ ายโรมนั คาทอลกิ กบั นกิ ายโปรเตสแตนตส์ น้ิ สดุ ลง มหาอา� นาจตา่ งๆ ดงั กลา่ วขา้ งตน้ (ยกเวน้ รสั เซยี ที่ไม่ได้เข้าร่วมในสงครามด้วย) ก็จัดการปกครองแบบรวมศูนย์อ�านาจให้อยู่ในมือของกษัตริย์เพ่ือใช้เป็น รัฐสภา เปน ท่ีประชุมของ 1๒0 พระเจาแผน ดินโดยพระองคทรงเชิญ ใหข า ราชการหรอื ประชาชนทสี่ าํ คญั บางคนมาพบเพ่ือใหคาํ ปรกึ ษา และ ยอมรบั ในนโยบายการเมอื งรวมท้ัง การเกบ็ ภาษีของพระมหากษัตรยิ  องั กฤษ นักเรียนควรรู นักเรยี นควรรู ไดม ีการพฒั นาเร่อื งรัฐสภาเร่ือยมา โดยรัฐสภา ประกอบดวยชนทุกกลุม นับเปน สถาบนั ทีเ่ ขมแขง็ การปฏวิ ตั อิ นั รุงโรจน รัฐสภาและประชาชน สภาฐานนั ดร ทําหนาท่คี ลายรัฐสภาของ รวมมือกนั ตอ ตานอาํ นาจของพระเจา เจมส อังกฤษ ประกอบดว ยตัวแทนจากฐานันดรท่ี 1 และดกี วาสถาบนั อ่นื ๆ ทัง้ หมดในขณะนน้ั ท่ี 2 จนตองสละราชสมบัติ เปน การปฏวิ ตั ิ (กษตั รยิ  - ขุนนาง) ฐานันดรท่ี 2 (นกั บวช) ไมน องเลอื ด ทาํ ใหก ารปกครองแบบ และฐานนั ดรที่ 3 (สามญั ชนท่วั ไป) 120 คมู ือครู สมบูรณาญาสทิ ธริ าชยส ้ินสุดลงถาวร

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างและขยายอ�านาจ สาํ รวจคน หา ของรัฐ โดยฝร่ังเศสภายใต้การปกครองของพระเจ้า หลยุ สท์ ี่ ๑๔ (Louis XIV, ค.ศ. ๑๖๔๓ - ๑๗๑๕) ผงาดขนึ้ ครใู หน กั เรยี นไปสบื คนเกี่ยวกับ เป็นมหาอ�านาจประเทศแรก มีกองทัพขนาดใหญ่ท่ีมี พระราชกรณียกจิ ของซารป เ ตอร ประสิทธิภาพและด�าเนินนโยบายขยายอ�านาจพรมแดน มหาราช แลว วเิ คราะหวา มีความ พวกขุนนางต่างสูญเสียอ�านาจทางการเมืองและเปลี่ยน เหมอื นกบั พระราชกรณยี กจิ สถานภาพเปน็ ขา้ ราชการ ในรัชกาลที่ 5 ของไทยอยางไร ลักษณะของระบอบการปกครองที่มีกษัตริย์เป็น ศูนย์กลางแห่งอ�านาจดังกล่าวนี้ก็ได้รับการพัฒนาขึ้น (แนวตอบ มีความเหมือนตรงท่ี ในปรัสเซีย และประสบความส�าเร็จในสมัยของพระเจ้า ซารปเ ตอรม หาราชไดทรงปรับปรงุ เฟรเดอริกมหาราช (Frederick the Great, ค.ศ. ๑๗๔๐ - พระบรมสาทิสลักษณ์พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่ง ประเทศรัสเซียใหท นั สมยั เปนแบบ ๑๗๘๖) ออสเตรียในสมยั ของจกั รพรรดินีมาเรยี เทเรซา ฝร่ังเศส ในสมัยของพระองค์ ระบอบการปกครอง ตะวนั ตก ดว ยการเปดสมั พนั ธไมตรี (Maria Theresa,ค.ศ. ๑๗๔๐ - ๑๗๘๐) สว่ นรสั เซยี ในสมยั แบบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์มีความรุ่งเรอื งมาก กบั ชาติตะวันตก ทัง้ ยังทรงเสด็จ เยอื นประเทศตา งๆ ในยุโรป เชน ของซารป์ เี ตอรม์ หาราช (Peter the Great, ค.ศ. ๑๖๘๒ - ๑๗๒๕) และซารนี าแคเทอรนี มหาราช (Catherine ฮอลนั ดา องั กฤษ ออสเตรีย the Great, ค.ศ. ๑๗๖๒ - ๑๗๙๖) ซงึ่ ไดม้ กี ารเรยี กชว่ งระยะเวลาดงั กลา่ วนวี้ า่ ยคุ แหง่ สมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ เพ่อื ศึกษาวัฒนธรรมของยุโรป (Age of Absolutism) เม่อื เสดจ็ กลบั รสั เซียก็ทรงทาํ การ ในการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๗๘๙ ได้มีความพยายามท่ีจะลดอ�านาจของกษัตริย์และน�าไปสู่การ ปฏิรูปประเทศหลายอยาง เชน สถาปนาระบอบการปกครองแบบสาธารณรฐั ข้ึนใน ค.ศ. ๑๗๙๒ แตไ่ ม่ประสบความสา� เร็จ ฝรั่งเศสหนั กลบั ทรงใหช าวรสั เซยี แตงกายแบบยุโรป ไปปกครองในระบอบกษัตริย์อีกคร้ังในสมัยจักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ (Napoleon I, ค.ศ. ๑๘๐๔ - ๑๘๑๕) ทรงปรบั ปรงุ ปฏทิ นิ ใหม ทรงตั้ง ความพยายามจะขยายอา� นาจของฝรง่ั เศสไปทวั่ ยโุ รปก่อให้เกดิ การรวมตวั ของมหาอ�านาจอน่ื ๆ เพ่ือหยดุ ยง้ั โรงพิมพ โรงเรยี น โรงพยาบาล จักรพรรดินโปเลียนท่ี ๑ และสามารถรบชนะกองทัพฝรั่งเศสได้ใน ค.ศ. ๑๘๑๕ หลังจากนั้นมีการฟืนฟู เปนตน ) ราชวงศ์ต่างๆ ที่สูญเสียอ�านาจไประหว่างสงครามนโปเลียน (Napoleonic Wars, ค.ศ. ๑๘๐๔ - ๑๘๑๕) รวมทง้ั ราชวงศ์บูร์บง (Bourbon) ของฝรง่ั เศสด้วย อธบิ ายความรู อย่างไรกด็ ี ในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๙ อา� นาจของกษตั ริยเ์ ร่ิมถูกตอ่ ตา้ น มกี ารเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ จากการแพรข่ ยายของลทั ธเิ สรนี ยิ มและชาตนิ ยิ ม ทา� ใหร้ ปู แบบการปกครองประเทศตา่ งๆ มกี ารเปลย่ี นแปลง ครใู หน ักเรยี นอภปิ รายรวมกันใน เกิดการปฏิวัติในดินแดนต่างๆ ท่ัวยุโรปเป็นระลอกๆ รัฐสภาจึงมีบทบาทส�าคัญขึ้นและกษัตริย์ต้องตกอยู่ ประเด็น “สมัยพระเจาหลุยสท ี่ 14 ภายใต้อ�านาจการควบคุมของรัฐสภาในระดับหนึ่ง ระหว่าง ค.ศ. ๑๘๗๑ - ๑๙๑๔ ชาวยุโรปจ�านวนหน่ึง ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย จึงเห็นว่าเป็น ระยะเวลาอันงดงาม (The Beautiful Times) ทป่ี ระชาชนมสี ทิ ธิและเสรีภาพ ทัง้ ความเจรญิ เจริญรุงเรอื งที่สดุ ” จากนั้นสรปุ ทางวิทยาศาสตร์ก็น�ามาซ่ึงความสะดวกสบายแก่ชีวิตด้วย ขณะเดียวกันหลักการของรัฐบาลที่เป็นตัวแทน สาระสําคญั สงครูผสู อน ของประชาชนก็เป็นท่ียอมรับกันโดยท่ัวไปและมีทีท่าว่าจะพัฒนาต่อไป พลเมืองเพศชายในประเทศต่างๆ ได้รับสิทธิในการลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง อย่างไรก็ดี ในทางตรงกันข้าม ลัทธิมากซ์ที่เกิดข้ึนก็มองเห็น นกั เรยี นควรรู การเอารดั เอาเปรยี บของนายทนุ ตอ่ ชนชน้ั แรงงานและตอ้ งการเปลย่ี นแปลงระบบการเมอื งการปกครองเพอ่ื ใหส้ ังคมปราศจากชนชั้นและมคี วามเสมอภาคกัน โดยที่ชนช้นั แรงงานมบี ทบาทเป็นผูน้ �าในการปกครอง พระเจา เฟรเดอรกิ มหาราช เปน พระมหากษตั รยิ ส มบรู ณาญาสทิ ธริ าชย 1๒1 ผมู คี ุณธรรม ทรงคบหากบั นักปรัชญา ท่ีมีช่อื เสียงในสมยั นน้ั เชน วอลแตร พระองคท รงสนับสนุนดานการศกึ ษา และขันติธรรมทางศาสนา ทรง สนับสนนุ การอตุ สาหกรรม โปรดให ขุดคลอง สรางถนน สะพาน ในสมยั ของพระองค ปรสั เซียมดี ินแดน และกองทัพเพ่ิมข้นึ คูมือครู 121

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Engage Explore Evaluate อธิบายความรู (ยอ จากฉบับนักเรยี น 20%) • การปกครองในระบอบ เมอื่ สงครามโลกครง้ั ท่ี ๑ (ค.ศ. ๑๙๑๔ - ๑๙๑๘) สน้ิ สดุ ลง ระบอบการปกครองแบบกษตั รยิ ์ในรสั เซยี ประชาธิปไตยของทวีปยุโรป เยอรมนี และออสเตรียก็สิ้นสดุ ลงพรอ้ มกบั เกดิ ระบอบการปกครองแบบสังคมนยิ มขึ้นในรสั เซีย ฝรง่ั เศสได้ ในปจจบุ ันมีลักษณะอยางไร เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นสาธารณรัฐต้ังแต่ ค.ศ. ๑๘๗๑ ส่วนเยอรมนีและออสเตรียก็มีการสถาปนา (แนวตอบ เปนการปกครองที่เนน ระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ ระหว่างทศวรรษ ๑๙๒๐ - กลางทศวรรษ ๑๙๓๐ อิตาลีซ่ึงมีเบนีโต ความสําคญั ของปจ เจกบคุ คลนิยม มุสโสลีนี (Benito Mussolini) และเยอรมนีมีอดอลฟ์ ฮติ เลอร์ (Adolf Hitler) เป็นผนู้ �า ไดป้ ระกาศปกครอง โดยถอื วาประชาชนเปนทมี่ าของ ประเทศดว้ ย ระบอบเผดจ็ การฟาสซสิ ต์ (Fascism) หรอื ระบอบเผดจ็ การทหาร ทผี่ นู้ า� มอี า� นาจควบคมุ กา� ลงั อาํ นาจอธปิ ไตย มีรฐั สภาทาํ หนาท่ี ทหาร ต�ารวจ และเปน็ พรรคการเมอื งเดยี ว โดยประชาชนต้องจงรักภักดี มีความศรัทธาและความเชือ่ ม่นั เปนตัวแทนของประชาชน ทุกคน ในผ้นู �า ลทั ธิฟาสซสิ ตจ์ งึ มสี ว่ นทา� ใหเ้ ยอรมนเี หิมเกริมและกอ่ สงครามโลกครัง้ ที่ ๒ (ค.ศ. ๑๙๓๙ - ๑๙๔๕) มีสทิ ธิ เสรภี าพ และความ เสมอภาคภายใตก ฎหมาย) ระบอบการปกครองในทวปี ยุโรปสมยั ปจั จุบนั • ลทั ธิมากซมคี วามสาํ คญั ตอระบอบ หลังสงครามโลกครัง้ ที่ ๒ ระบอบการปกครองของยโุ รปแยกออกเป็น ๒ ระบอบอยา่ งเด่นชดั ดังนี้ เผดจ็ การคอมมิวนิสตอ ยา งไร ๑) ระบอบประชาธิปไตย เป็นระบอบที่เน้นความเป็นปัจเจกบุคคลนิยม (individualism) เหตุผลนิยม (แนวตอบ ลัทธิมากซเ ปนอดุ มการณ (rationalism) และเสรภี าพ (freedom) หลักการสา� คัญของแนวความคิดประชาธิปไตย คอื สิทธิ เสรภี าพ ทางการเมอื งทต่ี อ งการปฏิวัติ ของประชาชน ประชาชนเป็นที่มาของอา� นาจอธิปไตย ทุกคนมสี ิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคภายใต้ ลม ลางระบบทุนนยิ ม และนํา กฎหมาย การปกครองระบอบประชาธปิ ไตยมตี น้ กา� เนดิ มาตง้ั แตส่ มยั กรกี โบราณ เมอ่ื กวา่ ๕๐๐ ปกี อ่ นครสิ ต์ เสรีภาพมาสูชนช้นั กรรมาชีพ ศักราช โดยนครรัฐเอเธนส์เป็นดินแดนแห่งแรกที่ให้สิทธิแก่พลเมืองเพศชายท่ีเป็นเสรีชนทุกคนมีสิทธิใน โดยมีปรัชญาทางความคิดวา การเลอื กตง้ั และเขา้ นงั่ ในสภา ทง้ั ยงั ดา� รงตา� แหนง่ ผปู้ กครองได้ ระบอบการปกครองแบบประชาธปิ ไตยเปน็ มนุษยท กุ คนจะตองมคี วาม ระบอบการปกครองที่ประชาชนมีอ�านาจสงู สดุ โดยมรี ฐั สภาทา� หนา้ ทเ่ี ปน็ ตวั แทนของประชาชน เทาเทยี มกัน ไมมกี ารขม เหง ๒) ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ เป็นระบอบการปกครองท่ีอ้างอุดมการณ์ของลัทธิมากซ์ในการสร้าง หรือเอาเปรยี บตอ กนั ซ่งึ สังคมที่ปราศจากชนชั้น และมีความเสมอภาคกันในด้านต่างๆ โดยชนช้ันแรงงานเป็นผู้ปกครองประเทศ ลทั ธมิ ากซไดนาํ ไปสูการจดั ตง้ั ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์มีพรรคการเมืองเพียง พรรคคอมมวิ นิสตในประเทศ พรรคเดียว ผู้น�าพรรคคอมมิวนิสต์และผู้น�ารัฐเป็น ตางๆ และยึดถือเปน แนวทาง คนเดียวกัน สหภาพโซเวียตเป็นประเทศแรกที่มี ในการตอ สูทางการเมอื งและ การปกครองในระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ภายหลัง ปกครองประเทศภายหลังปฏิวตั ิ การปฏิวัติรัสเซียในเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๙๑๗ หลัง เปน ระบอบคอมมวิ นสิ ตแลว ) สงครามโลกคร้ังที่ ๒ ก็มีประเทศอื่นปกครองใน ระบอบเผดจ็ การคอมมวิ นสิ ตอ์ กี ๑๖ ประเทศ แตเ่ มอื่ ขยายความเขาใจ สหภาพโซเวียตล่มสลายลงใน ค.ศ. ๑๙๙๑ ก็เหลือ เพยี งไมก่ ปี่ ระเทศ เชน่ จนี ควิ บา เกาหลเี หนอื เปน็ ตน้ นกั เรยี นรว มกนั อภปิ รายในประเดน็ ส่วนบรรดาประเทศบริวารของสหภาพโซเวียตเดิม “ประชาธิปไตยกบั คอมมิวนสิ ต (รวมท้ังรัสเซีย) ก็ต้องปฏิรูปการปกครองตนเองใน มีขอ ดีหรอื ขอเสียอยา งไร” โดย วลาดีมีร์ เลนิน หัวหน้าพรรคบอลเชวิค เรียกร้องให้ แนวทางของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ครคู อยเสนอแนะเพมิ่ เตมิ โค่นลม้ รฐั บาลซารน์ ิโคลสั ที่ ๒ ในชว่ งการปฏิวตั ิรสั เซยี ด้วย ค.ศ. ๑๙๑๗ นักเรียนควรรู 1๒๒ ลัทธิมากซ แนวปฏบิ ัติทางการเมอื ง และทฤษฎีทางสงั คมท่มี พี น้ื ฐานมาจากผลงานเรอ่ื ง แถลงการณพรรคคอมมิวนสิ ต (The Communist Manifesto) ของคารล มากซ ผเู ปนทั้งนักปรัชญา นกั เศรษฐศาสตร นักขาว และนักปฏิวัติในสมยั คริสตศตวรรษท่ี 19 รวมกัน กบั ฟรีดริช เองเงลิ ส เพือ่ นรว มงานทใ่ี กลช ิดของมากซ ซึ่งทาํ ใหแ นวคิดสงั คมนยิ มเปน ที่รูจ ักและยอมรับกนั ทว่ั ไป มากขนึ้ ในเวลาตอ มา 122 คูม อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate ๒) พฒั นาการดา้ นเศรษฐกิจ ระหวา่ ง ค.ศ. ๔๗๖ - ๑๐๕๐ หรือสมัยกลางตอนตน้ สํารวจคน หา ชาวไร่ชาวนาส่วนใหญ่ตา่ งสูญเสยี อสิ รภาพและ กลายเป็นทาสติดที่ดิน (serf) ต้องอยู่ในสังกัด ครูถามนักเรยี นวาผลของการทาํ ของขนุ นางเจา้ ของทดี่ นิ และดา� รงชวี ติ อยู่ในเขต สงครามครูเสดไดทาํ ใหอารยธรรม แมเนอร์ (manor) ซง่ึ เป็นเขตทีด่ นิ ในปกครอง ของโลกตะวนั ออกเผยแพรเ ขามายงั ของขุนนาง และเป็นท่ีเพาะปลูกและอยู่อาศัย โลกตะวันตก ใหน กั เรียนไปสบื คน วา โดยมเี ขตทเ่ี ปน็ ทต่ี งั้ ปราสาทของขนุ นางเจา้ ของ อารยธรรมตะวนั ออกอะไรบาง ทดี่ นิ และเขตหมบู่ า้ นซงึ่ เปน็ เขตทอ่ี ยอู่ าศยั ของ ทม่ี อี ิทธพิ ลตอโลกตะวันตก พวกทาสตดิ ทด่ี นิ และชาวไรช่ าวนาบางคนทเ่ี ปน็ เสรีชน เศรษฐกิจในเขตแมเนอร์เป็นเศรษฐกิจ อธบิ ายความรู พอเลีย้ งตนเอง (self - sufficient economy) ที่ ชาวไร่ชาวนาต่างประกอบอาชีพพอกินพอใช้ 1. ครูใหน กั เรียนกลมุ ท่ี 2 ท่ีศึกษา และผลิตสินค้าเพื่อใช้เองหรือแลกเปล่ียนกัน เก่ยี วกบั พัฒนาการดานเศรษฐกิจ การค้าที่เคยรุ่งเรืองในสมัยจักรวรรดิโรมันต้อง ภาพวาดแมเนอร์ ซึ่งเป็นเขตที่ต้ังปราสาทของขุนนาง ของทวีปยุโรปออกมานําเสนอ เจ้าของท่ีดนิ บรเิ วณรอบๆ จะมที ่ีดนิ สำาหรับใหช้ าวนาและ ผลงานหนาชั้นเรียน หยดุ ชะงกั เปน็ เวลากว่า ๕๐๐ ปี กอ่ นที่ยโุ รปจะ ทาสตดิ ท่ีดนิ ทาำ การเพาะปลกู และเลีย้ งสัตว์ ฟืนตัวจนสามารถสร้างความเป็นปกแผ่นและปลอดภัยจากการรุกรานของพวกอนารยชน จ�านวน 2. ครใู หน ักเรยี นอธบิ ายถึงสภาพ ประชากรไดเ้ พ่มิ มากขน้ึ และสามารถผลิตสนิ ค้าเพอ่ื การคา้ ขายทั้งภายในประเทศและส่งออกได้ เศรษฐกิจของยุโรปในสมยั กลาง การฟืนตัวของเศรษฐกิจและสังคมของยุโรป ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสงครามครูเสด เม่อื เทียบกับเศรษฐกจิ ในสมยั ใหม (Crusades, ค.ศ. ๑๐๙๖ - ๑๒๙๑) ท่ีชาวคริสต์รบกับชาวมุสลิมในดินแดนตะวันออกกลาง และ (แนวตอบ ในสมัยกลาง เศรษฐกจิ มีโอกาสน�าเอาความรู้ ความเจริญ และศิลปวิทยาการของโลกตะวันออกกลับมาเผยแพร่ให้แก่ ของยโุ รปชว งแรกเปนเศรษฐกิจ โลกตะวันตกหลังจากท่คี วามรตู้ ่างๆ เหลา่ นี้หายไปในสมัยกลางตอนตน้ สว่ นสินค้าที่โลกตะวันตก ระบบแมเนอรหรือเศรษฐกิจ ต้องการ ได้แก่ เครอื่ งเทศ น้า� ตาล ข้าว สม้ มะนาว พรกิ ไทย ผา้ ไหม และพรม โดยมพี ่อคา้ อิตาลี แบบพอเลย้ี งตนเอง โดยอาศัย เป็นคนกลางและท�าให้อิตาลีเป็นดินแดนท่ีม่ังค่ังที่สุดในทวีปยุโรป พ่อค้าอิตาลีซึ่งเป็นท่ีรู้จักกันดี เกษตรกรรมเปนหลกั แตหลังจาก ได้แก่ มาร์โก โปโล (Marco Polo) ชาวเวนสิ ไดเ้ ดินทางไปคา้ ขายจนถึงเมืองจีน และกลับมาเลา่ การทําสงครามครูเสด เมือง เรอ่ื งราวความเจรญิ ร่งุ เรอื งและวฒั นธรรมของโลกตะวันออกจนเป็นท่รี ู้จักแพร่หลาย ในยโุ รปมีการเจรญิ เติบโต เปน ในชว่ งระยะเวลาดงั กล่าว เมือง (town, city) กลายเปน็ ทตี่ ้งั ของศูนย์กลางการค้าและ ศูนยกลางการคาและเศรษฐกจิ เศรษฐกิจ องค์กรการค้าและองค์กรช่างฝีมือแต่ละประเภท ซึ่งเรียกว่า กิลด์ (guild) กลายเป็น เกิดองคกรการคา และองคกร ที่ฝกงานเพ่ือพัฒนาฝีมือ เกิดระบบทุนนิยม (capitalism) ต่อมาท�าให้พ่อค้าที่ร่�ารวยซึ่งเป็น ชางฝม ือแตละประเภท เรียกวา นายทุนกลายเป็นผู้มีอิทธิพลทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการปกครอง เศรษฐกิจการค้าของ กิลด แตใ นสมัยใหมเมือ่ มีการ ชาติตะวนั ตกมีการขยายตัวมากยิง่ ขึน้ เมือ่ เกดิ การคา้ ขายในระดบั โลก สาํ รวจทางทะเลและคน พบ ดนิ แดนใหม ทําใหมหาอํานาจ 1๒๓ ยุโรปไดย ึดครองตลาดการคา ในดนิ แดนโพนทะเล กอ ใหเกดิ เศรษฐกจิ แบบพาณชิ ยนยิ ม และตอ มาไดพัฒนามาเปน ระบบทุนนยิ มในปลายครสิ ต ศตวรรษท่ี 18 และในกลาง คริสตศ ตวรรษที่ 19 กไ็ ดเ กิด เศรษฐกิจแบบสังคมนยิ ม) นกั เรยี นควรรู คูมือครู 123 แมเนอร ตามรากศัพท คําวา “แมเนอร” หมายถงึ บา นหรอื คฤหาสนหรือปราสาทซึ่งเปนทอ่ี ยขู องขุนนาง ในแตล ะแมเนอร ประกอบดว ย 1. คฤหาสนห รอื ปราสาทของขุนนาง 2. หมูบา นทป่ี ระกอบดวย โบสถ บานเรอื น รานชางฝม อื และอืน่ ๆ ไกลออกไปจะเปน ทีอ่ ยอู าศยั ของชาวไรช าวนา ทาสตดิ ที่ดนิ โรงสขี าว โรงทําขนมปง โรงเหลา องุน และอ่ืนๆ และ 3. ท่ดี ินขนาดใหญส าํ หรับเพาะปลูก ทงุ หญาเลยี้ งสัตว ปา ไม สระน้ํา

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Engage Explore Evaluate อธิบายความรู (ยอ จากฉบบั นักเรยี น 20%) • ลทั ธพิ าณชิ ยนิยมสง ผลกระทบ ในปลายสมัยกลาง ชาวยุโรปได้สร้างนวัตกรรมการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์และเทคโนโลยี ตอ ดนิ แดนใหมโ พน ทะเลอยา งไร ทสี่ า� คัญ คือ การประดิษฐป์ ืนใหญท่ ่ีเปล่ยี นแปลงวิธกี ารรบ และเคร่อื งพิมพท์ ีผ่ ลติ หนงั สือไดม้ าก (แนวตอบ ลัทธพิ าณชิ ยนิยมนําไป และมีราคาถูก ซึ่งสามารถกระจายความรู้ได้อย่างกว้างขวาง ท�าให้ชาวยุโรปหันมาสนใจใน สกู ารยดึ ครองดนิ แดนโพนทะเล เรื่องต่างๆ รวมท้ังความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ก่อให้เกิดสมัยแห่งการค้นพบและการส�ารวจโดย ตางๆ เปน อาณานคิ มเพอ่ื เปน คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) ค้นพบทวีปอเมริกาใน ค.ศ. ๑๔๙๒ และ แหลง วตั ถุดิบและตลาดการคา วาสโก ดา กามา (Vasco da Gama) แลน่ เรอื อ้อมแหลมกูด๊ โฮป (Good Hope) ในทวีปแอฟริกา ชาวพื้นเมอื งตองถกู เอารัด สู่อินเดียใน ค.ศ. ๑๔๙๘ ซึ่งนับว่ายุโรปได้เข้าสู่ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ทั้งเป็นก้าวส�าคัญท่ีท�าให้ เอาเปรยี บและถกู นําไปใชแรงงาน วัฒนธรรมตะวันตกแพร่กระจาย มีการเผยแผ่คริสต์ศาสนาทั้งนิกายโรมันคาทอลิกและนิกาย ใหแกมหาอํานาจตะวันตก) โปรเตสแตนตอ์ ยา่ งกวา้ งขวาง เมอื่ นานาประเทศในยโุ รปสามารถควบคมุ และยดึ ครองตลาดการคา้ ในดนิ แดนโพน้ ทะเลได้ ทา� ใหเ้ กดิ การปฏวิ ตั ทิ างการคา้ (Commercial Revolution) ทพ่ี อ่ คา้ เรง่ ผลติ • เศรษฐกิจแบบทนุ นยิ มและ สนิ คา้ จา� นวนมาก กอ่ ให้เกดิ การพัฒนาในด้านเศรษฐกิจท่มี ีรูปแบบต่างๆ มาจนถงึ ปจั จบุ ัน ดังนี้ แบบสังคมนยิ มมลี ักษณะอยา งไร (แนวตอบ เศรษฐกิจแบบทนุ นิยม เปนระบบท่สี ง เสรมิ ใหน ายทนุ เศรษฐกจิ แบบพาณชิ ยนิยม แขงขนั อยา งเสรี โดยที่รัฐไมค วร เขา ไปกาวกายกบั การคา สวน เศรษฐกจิ แบบพาณชิ ยนยิ ม (mercantilism) เปน็ ระบบเศรษฐกจิ ทเี่ กดิ ขน้ึ และพฒั นาพรอ้ มๆ กบั การ เศรษฐกจิ แบบสังคมนิยม เปน กอ่ ตวั ของรฐั ชาติ เปน็ รปู แบบของเศรษฐกจิ ระหวา่ งครสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ โดยรฐั เขา้ ควบคมุ อตุ สาหกรรม ระบบทร่ี ฐั บาลจะเปนผกู ําหนด และการคา้ ภายในประเทศ สง่ เสรมิ การดา� เนนิ ธรุ กจิ ของพอ่ คา้ การสง่ สนิ คา้ ออก และกดี กนั การนา� เขา้ สนิ คา้ และวางแผนในการทาํ กจิ กรรม จากต่างประเทศ ลัทธิพาณิชยนิยมเป็นผลจากความเชื่อว่าการควบคุมและการด�าเนินธุรกิจต่างๆ จะท�าให้ ทางเศรษฐกจิ ทั้งหมด) รัฐม่ันคง เข้มแข็ง ดังนั้น จึงถือเป็นหน้าท่ีและความจ�าเป็นของรัฐท่ีจะต้องด�าเนินการทุกวิถีทางเพื่อเป็น เจา้ ของทรัพยากรและโภคทรัพย์ตา่ งๆ และเขา้ ครอบครองดินแดนต่างๆ แลว้ จัดตงั้ เปน็ อาณานิคม เผยแผ่ ขยายความเขา ใจ ศาสนา ท้ายท่ีสุดก็ก่อให้เกิดความขัดแย้งกันเองและเข้าสู่สงคราม กลายเป็นสงครามท่ีลุกลามในภูมิภาค อนื่ ๆ ของโลก เชน่ สงครามเจด็ ปี (Seven Years’ War, ค.ศ. ๑๗๕๖ - ๑๗๖๓) ระหวา่ งฝรง่ั เศสและออสเตรยี ครซู ักถามนักเรียนวา นักเรียน กับองั กฤษและปรสั เซยี ก่อให้เกิดการรบกันท้ังในทวีปยุโรป อเมริกา และเอเชีย คดิ วา ระบบทุนนยิ มทีห่ ลายประเทศ ใชกันอยูในปจจบุ นั มขี อ ดแี ละขอเสีย เศรษฐกจิ แบบทุนนยิ ม อยางไร ปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ ได้เกิดแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์และการเมืองที่ส�าคัญ คือ แนวคิด (แนวตอบ ขอดี เชน เกิดแรงจงู ใจ ไลส์เซ - แฟร์ (laissez - faire เป็นคา� ฝรง่ั เศส หมายถึง ปลอ่ ยใหเ้ ป็นเอง) และแนวคดิ การคา้ เสรี (free ใหคนมงุ ขยันทํางานเพ่อื ใหไดผล trade) ของแอดัม สมิท (Adam Smith) ชาวสกอต เจ้าของผลงานเร่ือง The Wealth of Nations ประโยชนสงู สุด กอ ใหเกดิ การพัฒนา (ค.ศ. ๑๗๗๖) ท่ีกา� หนดใหอ้ ปุ สงค์ (demand) และอุปทาน (supply) เปน็ ตัวกา� หนดกลไกของตลาด เศรษฐกิจ อนั นําไปสูการเจรญิ เตบิ โต ของเมือง การคมนาคมขนสง อกี ท้ัง ด้านเศรษฐกิจนนั้ ไลสเ์ ซ - แฟร์ หมายถึง การด�าเนนิ นโยบายภายในทร่ี ฐั บาลไม่ควรเขา้ ไปก้าวกา่ ย ทาํ ใหตน ทุนการผลิตตํ่า สินคาจึงมี กบั การคา้ เปน็ ธรุ กจิ ของภาคเอกชนทง้ั ในดา้ นอตุ สาหกรรมและการเงนิ ระบบเศรษฐกจิ แบบเสรนี ยิ มสง่ เสรมิ ราคาถกู ขอเสีย เชน เจา ของกจิ การ ใหน้ ายทนุ แข่งขันกันอยา่ งเสรี ผูบ้ รโิ ภคจะทา� ให้กลไกของตลาดเคลื่อนไหวและนา� ความม่งั ค่ังมาสู่รฐั ได้ ขนาดเลก็ ตองเลกิ กิจการ กอใหเกดิ ปญหาส่งิ แวดลอ ม ปญ หาชองวา ง 1๒๔ ของรายไดร ะหวางคนรวยกับคนจน เปนตน) 124 คูมือครู นกั เรยี นควรรู อาณานคิ ม ดนิ แดนซึง่ ไมมีอาํ นาจอธปิ ไตยเปนของตนเอง ตองอยภู ายใตก ารยดึ ครองและ ปกครองของประเทศอ่นื ในชวงครสิ ตศ ตวรรษท่ี 17 - 18 เม่ือชาวยุโรปคน พบดนิ แดนใหมทอ่ี ยู โพน ทะเลหลายแหง เชน ทวีปอเมรกิ า แอฟริกา ประเทศตา งๆ ในยุโรปจงึ ตอ งการทีจ่ ะยึดครอง ดินแดนใหมเ หลา นนั้ เปน อาณานคิ ม

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate อย่างไรก็ดี ทั้งแนวคิดไลส์เซ - แฟร์ และการค้าเสรีดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากชนช้ันนายทุน อธิบายความรู อกี ทง้ั สอดคลอ้ งกบั ลทั ธเิ สรนี ยิ ม จงึ ทา� ใหเ้ กดิ การสะสมทนุ การลงทนุ และขยายทนุ อยา่ งกวา้ งขวาง เกดิ ระบบ ตลาดการคา้ เสรแี บบทนุ นยิ ม (free market capitalism) ไปทวั่ โลก โดยรฐั ใหก้ ารสนบั สนนุ และออกกฎหมาย 1. นักเรียนกลุมท่ี 3 ท่ีศึกษา ตา่ งๆ เพอ่ื คมุ้ ครองสทิ ธเิ สรภี าพในการทา� ธรุ กจิ และการคา้ การครอบครองทรพั ยส์ นิ และการทา� สญั ญาตา่ งๆ พัฒนาการดานสังคมและ ศลิ ปวัฒนธรรมของทวปี ยุโรป ในโลกปัจจุบันระบบทุนนิยมและแนวคิดไลส์เซ - แฟร์ และการค้าเสรีก็ยังคงเป็นนโยบายเศรษฐกิจ ออกมานําเสนอผลงาน ทส่ี า� คัญของประเทศประชาธิปไตย โดยรฐั เข้ามามีบทบาทในด้านการวางนโยบาย การควบคุมคณุ ภาพและ วธิ กี ารผลติ ตลอดจนการดูแลในเรอ่ื งสวสั ดกิ ารของผ้ใู ชแ้ รงงานดว้ ย 2. ครูซักถามนกั เรียนวา สังคมยโุ รป ในสมัยกลางมีความเหมือนหรอื เศรษฐกจิ แบบสังคมนยิ ม แตกตางจากสังคมยโุ รปในสมัย ปจจบุ ันอยา งไร เศรษฐกจิ แบบสงั คมนยิ ม(socialism) เปน็ ระบบเศรษฐกจิ ทพี่ ฒั นามาจากแนวความคดิ ทางการเมอื ง (แนวตอบ สงั คมยุโรปสมยั กลาง ของคารล์ มากซ์ (Karl Marx) นักสังคมนิยมท่ีมีช่อื เสยี งของยุโรป เกิดขน้ึ กลางครสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๑๙ เพือ่ ระยะแรกจะมีชนช้ันเพียง 3 กลมุ ตอบโต้การขยายตัวของลัทธิทุนนิยมและการเอารัดเอาเปรียบชนช้ันแรงงาน เขาต้องการสร้างระบบ ไดแ ก กษัตริย - ขนุ นาง นักบวช เศรษฐกิจที่เสมอภาค คือ การยกเลิกกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล และให้มีการจัดการทางการผลิตโดย และชาวไร - ชาวนา (ทาสตดิ ท่ดี นิ ) ชนช้ันแรงงาน ซ่ึงชนช้ันแรงงานจะใช้อ�านาจเผด็จการในการปกครองเพ่ือผลักดันนโยบายสังคมนิยมให้ ตอ มาเมื่อเมอื งเจรญิ ขน้ึ กเ็ กิด บรรลผุ ลสา� เรจ็ ชนชนั้ กลางทีป่ ระกอบอาชพี ตา งๆ เชน ชางฝม อื ลกู จาง พอคา ๓) พัฒนาการดา้ นสังคมและศลิ ปวัฒนธรรม มีดงั น้ี อาจารย นักศกึ ษา ขณะท่ีสังคม ยโุ รปปจจบุ นั จะไมมขี นุ นาง กาํ เนดิ ของชนช้นั กลาง ภาพวาดช่างฝีมือ เป็นชนชั้นกลางในสังคมยุโรปซ่ึง บางประเทศมีกษัตริย และ เกดิ ขนึ้ ภายหลงั จากการขยายตวั ทางเศรษฐกจิ บางประเทศก็ไมม ีกษตั รยิ  ในสมัยกลางตอนต้น สังคมของตะวันตก ทุกคนมคี วามเสมอภาคเทา เทยี ม ประกอบดว้ ย ชนชน้ั ๓ ฐานนั ดร ไดแ้ ก่ กษตั รยิ ์-ขนุ นาง กันหมด แตช นชัน้ กลางทัง้ ใน นกั บวช และชาวไร่ - ชาวนา (ทาสตดิ ที่ดนิ ) แต่เม่อื สมยั กลางและในสมัยปจ จบุ ันก็ยงั มีการฟืนตัวของเศรษฐกิจและเมืองขึ้นในคริสต์- มีบทบาทสาํ คัญในการพัฒนาและ ศตวรรษที่ ๑๑ สังคมยุโรปก็เกิดชนช้ันใหม่ คือ สรา งความเจรญิ ใหแกบา นเมือง) ชนชนั้ กลางหรอื ชนชนั้ กระฎม พี ทปี่ ระกอบอาชพี ตา่ งๆ เช่น ช่างฝีมือ ลูกจ้าง พ่อค้า อาจารย์ นักศึกษา นกั เรยี นควรรู โดยอาศัยอยู่ในเขตเมือง ถือว่าเป็น ชนชั้นใหม่ ของ สังคมตะวันตก ชนชั้นกลางเหล่าน้ีได้ร่วมกันวาง กษตั ริย - ขุนนาง เปนชนชนั้ รากฐานความเจริญให้แก่สังคมยุโรปและปลูกฝัง ปกครอง ขุนนางสวนใหญเปน นกั รบ อุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติในการอยู่ร่วมกัน เช่น มหี นาทีป่ กครองและปอ งกันดินแดน สิทธิและหน้าที่ของชาวเมือง การจัดเก็บภาษีและ จงรกั ภักดตี อ กษตั รยิ ข องตน ขนุ นาง คา่ ปรบั เปน็ ตน้ เพอ่ื นา� รายไดม้ าบรหิ าร การทา� นบุ า� รงุ จะเปน เจาของท่ดี ินผืนใหญนอย และการป้องกันเมือง ส่งเสริมและขยายการศึกษา เปน เจาของปราสาทหรอื คฤหาสน มอี าํ นาจสทิ ธิข์ าดในดินแดนและ 1๒5 คฤหาสนของตน ตาํ แหนงขนุ นาง จะสบื ทอดทางสายโลหิตใหแกบุตร นกั เรียนควรรู คมู ือครู 125 ชาวไร - ชาวนา (ทาสตดิ ทีด่ นิ ) เปน สามัญชนทมี่ ีชวี ติ อยกู บั การหาเล้ียงชพี จากท่ดี ินของกษตั ริย ขุนนางชั้นสงู และขุนนางผูน อยตางๆ ตอ งมีความจงรกั ภกั ดีและทาํ งานรบั ใชขุนนางเจา ของทด่ี นิ หรือลอรด โดยการทาํ นาบนทีด่ ินของลอรด เกบ็ เก่ยี วพืชผล จายคา ธรรมเนียม สรางสะพาน ถนน และอื่นๆ เพอื่ แลกกบั การใหค วามคุมครองชีวิตและครอบครวั ของตน

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate สํารวจคน หา (ยอ จากฉบบั นักเรยี น 20%) ครูซักถามนกั เรยี นวา ทําไมการ การจดั ตง้ั มหาวทิ ยาลยั และเกดิ การฟน ฟศู ลิ ปวทิ ยาการและความเจรญิ อนื่ ๆ ตลอดจนสง เสรมิ คณุ ธรรมและ ฟน ฟูศิลปวทิ ยาการจึงเรมิ่ ที่อิตาลี ใหความสําคญั แกสทิ ธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของปจเจกบคุ คล ซง่ึ เปน พ้นื ฐานสาํ คัญท่ที าํ ใหส ังคม กอ น จากน้นั ใหน กั เรียนไปสืบคน ยโุ รปสามารถพฒั นาระบอบการปกครองแบบประชาธปิ ไตย ขอ มลู อธิบายความรู การขยายตัวของเมอื งในยคุ ปฏวิ ัติอตุ สาหกรรม นักเรยี นนําขอ มูลที่ไดม าอภิปราย การขยายตัวของเมืองในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเดนชัดข้ึนในกลางคริสตศตวรรษที่ ๑๙ กลาวคือ รว มกนั ในชั้นเรยี น ครูขอตัวแทน ใน ค.ศ. ๑๘๕๑ การสาํ รวจสาํ มะโนครวั ในองั กฤษบง ชี้ใหเ หน็ เปน ครง้ั แรกวา มปี ระชากรอาศยั อยูในเขตเมอื ง นกั เรยี นมาสรุปคําตอบ มากกวา ในเขตชนบท ขณะที่ประเทศอนื่ ๆ กม็ ีแนวโนม ของสังคมเมืองในลักษณะเดยี วกนั นด้ี วย แตเ ม่ือสิ้น คริสตศ ตวรรษที่ ๑๙ มีเมืองกวา ๕๐ แหง ท่มี ปี ระชากรมากกวา ๑ ลา นคน ปจจบุ นั ประชากรสวนใหญใน (แนวตอบ เพราะอิตาลเี ปน แหลง ทวปี ยุโรปมากกวา รอ ยละ ๕๐ - ๖๐ อาศัยอยูในเขตเมอื งซ่งึ มีขนาดใหญ กําเนดิ ของอารยธรรมโรมันท่ีมี รองรอยความเจรญิ รงุ เรืองเหลอื อยู การสรางสรรคทางศิลปวฒั นธรรม นอกจากนี้ สภาพทางภูมิศาสตร มมุ แITมว า ศิลปวฒั นธรรมของกรกี -โรมนั คือ รากเหงา ของอารยธรรมตะวนั ตก แตค ริสตศาสนาซง่ึ เปน และสภาพเศรษฐกิจของอิตาลกี ็มี ทย่ี อศมกึ รษบั าในคจนกั ครววรารขดอโิ รมมูลนั เพตงั้ิม่ แเตตต ิมน เคกรย่ี สิ วตกศ ับตยวรุครษท่ี ๔ และมอี ทิ ธพิ ลอยา งมากในโลกตะวนั ตกจนสมยั กลาง ความเหมาะสม โดยคาบสมุทรอิตาลี ไดชฟือ่ นวาฟยูศคุ ลิ แปหวงิทศยรทัาธกาา(รAไgดeท oี่ f Faith) ก็คือ พลงั ทแ่ี ตง เตมิ ใหศลิ ปวฒั นธรรมของยุโรปบรรลุความงามและ เปนศนู ยก ลางการคมนาคมทั้ง ควาwมwสมwบ.รูaณrtแs.บcบhuทla้ังม.aีกcา.รtสhร/า~งwมeหsาtว/หิpาuรb(liccaath-edral) ดว ยศลิ ปะแบบกอทกิ ไปทัว่ ยโุ รปในระหวาง ค.ศ. ทางบกและทางทะเล จงึ มีการ ๑๑๐ti๐on-_๑r๓e๐n๐aisมsจีaาํ nนcวeน.มhาtmกกlวภาา๕ค๐ว๐ชิ าแภหางษตาอ มาในยคุ ฟน ฟศู ลิ ปวิทยาการ (Renaissance) ทเี่ รม่ิ ตนใน แลกเปลย่ี นเรียนรวู ิทยาการกับ อิตาตละีในวันกลตากงคครณิสตะศอตกั วษรรรษศทา่ีส๑ต๔ร จยฬุโราปลสงากมราณรถ ฟนฟูการศึกษาและผลงานสรางสรรคทางดานวิจิตรศิลป ชาวตางชาต)ิ มหาวทิ ยาลัย ของกรีก - โรมันขึ้นมาใหม ศิลปนตางหวนกลับไป สูโลกของธรรมชาติ จนเกิดเปนรูปแบบของศิลปะ ซึ่งเปนความงามของธรรมชาติและกายวิภาคของ มนษุ ยท จี่ ดั วา เปน ผลงานอนั ยงิ่ ใหญข องพระเปน เจา นกั เรยี นควรรู มัสซกั ซโี อ (Masaccio, ค.ศ. ๑๔๐๑ - ๑๔๒๘) เปน จิตรกรอติ าลคี นแรกทน่ี าํ เทคนคิ การวาดภาพ ๓ มติ ิ ยุคฟน ฟูศลิ ปวิทยาการ หมายถงึ มาใช จนเกิดเปน แนวคดิ ใหมท ว่ี าลักษณะที่ สมจริง การเกิดใหม (Rebirth) หรอื การ รือ้ ฟน (Revival) ศลิ ปวทิ ยาการ (realism) น้นั เปน อยางไร ของกรีกและโรมนั แบงเปน 4 ระยะ ในชวงระยะเวลานี้ งานจิตรกรรมและงาน ไดแ ก ประติมากรรมก็เริ่มมีความโดดเดน มีการสรางงาน ระยะที่ 1 เรียกวา ระยะคลาสสิก ประตมิ ากรรมเปน รปู นกั บญุ ประดบั ประดาตามจตั รุ สั ซ่ึงอาจจะเรียกวา การยอ นกลบั ไปสู ตา งๆ รวมทง้ั ภาพจติ รกรรมฝาผนงั ปนู เปย ก(fresco) โรม เปนการกลับไปศกึ ษาเร่อื งราว ตามผนังของโบสถวหิ ารและบา นเรือนตา งๆ ศิลปน ของโรมซ่งึ เคยเปนศนู ยก ลางการ มหาวิหารแรงสหรือมหาวิหารนอเทรอดามแหงแรงส ชาวเฟลมิชหรือดัตชเปนพวกแรกท่ีพัฒนาเทคนิค ปกครองของโรมนั โบราณ ประเทศฝรั่งเศส สรางขึ้นเมื่อประมาณ ค.ศ. ๑๒๒๕ - ๑๒๙๙ แสดงลกั ษณะสถาปต ยกรรมแบบกอทกิ ระยะที่ 2 เรยี กวา ระยะมนษุ ยธรรม ๑๒๖ ซึง่ อาจจะเรยี กวา การยอ นกลบั ไปสู เอเธนส โดยกลบั ไปศกึ ษาเรอ่ื งราวและ ผลงานตา งๆ ของกรกี ทก่ี รงุ เอเธนส ระยะที่ 3 เรยี กวา ระยะศาสนา ซึ่ง อาจจะเรียกวา การยอ นกลบั ไปสูเ ยรซู าเลม็ โดยการศึกษาเร่อื งราวของศาสนา นักเรยี นควรรู ระยะที่ 4 เรียกวา การฟน ฟศู ลิ ปวิทยาการ ทางเหนอื ซ่งึ มีลักษณะพิเศษของตวั เองแบบ มหาวทิ ยาลยั ตลอดชว งระยะเวลาของสมยั กลาง ไดม มี หาวิทยาลยั ตามทีต่ างๆ ถงึ 75 แหง เยอรมนั แตกตา งจากโรมนั เชน มหาวิทยาลยั โบโลญาในอิตาลี มหาวทิ ยาลยั ไฮเดลเบริ กในเยอรมนี มหาวิทยาลัยปารีส ในฝรั่งเศส มหาวทิ ยาลัยออกซฟอรดและมหาวิทยาลัยเคมบรดิ จในองั กฤษ เปนตน 126 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Engage Explore Evaluate การวาดภาพสีน้�ามันที่ผสมไข่ขาวและน�้าแทนสีฝุ่น ซ่ึงสามารถสร้างสีอ่อนแก่ ดูโปร่งใส มีรายละเอียด อธบิ ายความรู เหมอื นภาพถา่ ยในปจั จบุ นั ในเวลาตอ่ มาศลิ ปนิ อติ าลกี น็ า� ไปพฒั นาเปน็ ภาพเขยี นใสก่ รอบประดบั ฝาภายใน อาคารทพ่ี กั อาศยั โดนาเตลโล (Donatello, ค.ศ. ๑๓๖๘ - ๑๔๖๖) เปน็ ประตมิ ากรคนแรกทสี่ รา้ งผลงาน เดวดิ ครูตั้งคาํ ถามเพ่ือใหนกั เรยี นชวย (David) เดก็ หนมุ่ ในคมั ภรี ์ไบเบลิ เปน็ รปู ชายหนมุ่ เปลอื ยในทา่ ยนื โดดเดน่ อยา่ งอสิ ระจากขอ้ บงั คบั ทเี่ ครง่ ครดั กันตอบ เชน ของสมยั กลาง แตก่ ส็ ะท้อนความเปน็ ธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ ในครสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๑๕ - ๑๖ ศิลปกรรมของอิตาลีได้พัฒนาถึงขีดสงู สุดและเป็นแม่แบบให้แก่ศลิ ปิน • รปู แบบศลิ ปะในสมยั กลางมี ชาตอิ นื่ ๆ ในยโุ รป ศลิ ปนิ ทมี่ ชี อื่ เสยี งทส่ี ดุ ของยคุ ฟนื ฟศู ลิ ปวทิ ยาการ คอื เลโอนาร์โด ดา วนิ ชี(Leonardoda ความแตกตางจากสมัยฟนฟู Vinci, ค.ศ. ๑๔๕๒ - ๑๕๑๙) ซง่ึ ถือเปน็ มหาศลิ ปนิ แห่งศลิ ปนิ ทง้ั ปวง ตอ่ มาในคริสตศ์ ตวรรษท่ี ๑๗ รูปแบบ ศิลปวิทยาการอยางไร ของศลิ ปกรรมในยคุ ฟนื ฟศู ลิ ปวทิ ยาการกม็ กี ารพฒั นาจนมรี ปู แบบอลงั การ หรหู รา ฟงุ้ เฟอ้ และแวววบั ดว้ ย (แนวตอบ ในสมัยกลาง ศิลปน สที อง เกดิ เปน็ ศลิ ปะบาโรก (Baroque) ในอติ าลี ศลิ ปะบาโรกถกู นา� มาใชเ้ พอ่ื ความยง่ิ ใหญข่ องครสิ ตศ์ าสนา จะสรางสรรคงานศิลปะเพอ่ื นิกายโรมันคาทอลิก ส่วนในฝร่ังเศส ศิลปะบาโรกก็ถูกน�าไปใช้เพื่อสร้างความสุขและความหรูหราแก่ รบั ใชครสิ ตศ าสนา จนสมัย ชนชน้ั สงู เชน่ การสรา้ งพระราชวงั แวรซ์ ายของพระเจา้ หลยุ สท์ ่ี ๑๔ ตอ่ มาศลิ ปะบาโรกจากราชสา� นกั กข็ ยาย กลางไดชื่อวา ยุคแหง ศรทั ธา เขา้ สู่คฤหาสนข์ องชนชั้นขุนนาง และในตน้ คริสตศ์ ตวรรษท่ี ๑๘ เมอื งหลวงของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะ สมัยนงี้ านศลิ ปะจะเปน การ เยอรมนกี เ็ กดิ การพฒั นารปู แบบงานศลิ ปะท่ีใหอ้ สิ ระแกจ่ นิ ตนาการและการใชแ้ สง โดยเนน้ ความสวา่ งมากขนึ้ สรา งมหาวิหาร รูปปนนักบญุ จึงมีผู้เรียกศลิ ปะบาโรกในระยะเวลาตอ่ มาวา่ ศิลปะโรโกโก (Rococo) พระเยซู ภาพจิตรกรรมฝาผนงั ใน ค.ศ. ๑๘๓๙ ได้มีการประดิษฐ์กลอ้ งถ่ายรูปขึ้น ทา� ให้การวาดภาพเหมือนคน (portrait) เสอ่ื มลง ในโบสถว หิ าร สว นสมยั ฟน ฟู จิตรกรหันไปสนใจวาดภาพจากสภาพความเป็นจริงตามธรรมชาติและสังคมมากขึ้น ซ่ึงส่งผลให้ ศิลปะ ศิลปวิทยาการ ศลิ ปนไดหัน เรยี ลลสิ ต์หรือสัจนยิ ม (Realism) มีบทบาทส�าคัญในชว่ งกลางคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๙ ภาพวาดแนวสัจนยิ ม กลบั ไปสนใจงานศลิ ปะของ มกั ถา่ ยทอดความเปน็ จรงิ ของชวี ติ ในสงั คมอตุ สาหกรรม ทงั้ ความมงั่ คงั่ ของนายทนุ และชวี ติ ของคนยากจน กรกี -โรมนั จึงนําความงามของ ในเมอื งใหญ่ ตลอดจนการใชช้ วี ติ ในชนบท ขณะเดยี วกนั ศลิ ปนิ กน็ า� หลกั วทิ ยาศาสตรม์ าประยกุ ตก์ บั แนวทาง กรีก-โรมนั มาผสมผสานเขา กบั ศลิ ปะ ทา� ใหภ้ าพวาดมีลกั ษณะใหมท่ ี่สว่างและสดใสมากขน้ึ จงึ ไดช้ ื่อวา่ อิมเพรสชันนสิ ต์ (Impressionism) ความศรทั ธาในครสิ ตศาสนา จติ รกรที่โดดเดน่ เชน่ โกลด โมเน (Claude Monet) ปแี ยร์ โอกสู ต์ เรอนวั ร์ (Pierre Auguste Renoir) เปน็ ตน้ จนเกิดเปน รปู แบบศิลปะซ่ึงเปน ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งท่ี ๑ และ ความงามตามธรรมชาติ) สงครามโลกครั้งที่ ๒ รูปแบบงานศิลปะพัฒนา ก้าวหน้ามากข้ึนในด้านเทคนิคและการแสดงออก • ในสมยั การปฏวิ ตั ิอตุ สาหกรรม โดยศิลปินได้พยายามประยุกต์ใช้เทคนิคใหม่ๆ รูปแบบงานศลิ ปะมลี กั ษณะ สร้างงานศิลปะท่ีสอดคล้องกับความต้องการของ อยา งไร สังคมและยุคสมัย มีการถ่ายทอดอารมณ์และ (แนวตอบ เปนศิลปะเรียลลิสต ความคดิ ทอี่ สิ ระในรปู แบบตา่ งๆ ศลิ ปะแนวใหม่ เชน่ หรือสัจนยิ ม (Realism) ท่ี ลัทธิส�าแดงพลังอารมณ์แนวนามธรรม (Abstract สะทอ นภาพความเปน จริงของ Expressionism) ศิลปะประชานิยม (Pop Art) สังคมอตุ สาหกรรม ไมว าจะ จลนศิลป์ (Kinetic Art) เป็นต้น ทา� ใหก้ ารสร้างสรรค์ ภาพ “งานเล้ียงอาหารกลางวันวันเล่นเรือ” ของปีแยร์ เปนความม่ังคง่ั ของนายทนุ งานศิลปะกา้ วหน้ามากขน้ึ โอกสู ต์ เรอนวั ร์ จติ รกรชาวฝรงั่ เศส ศลิ ปะอมิ เพรสชนั นสิ ต์ และชวี ิตความยากจนของ คนในเมอื งใหญ ตลอดจน 1๒7 การใชช วี ติ ในชนบท) นักเรียนควรรู ขยายความเขาใจ อมิ เพรสชนั นิสต เปน ขบวนการศลิ ปะท่เี กดิ ขึน้ ในครสิ ตศตวรรษท่ี 19 ลกั ษณะของภาพวาด ใหน ักเรยี นเขยี นเรยี งความ แบบอมิ เพรสชนั นิสต คือ การใชพ กู ันตวดั สี ใชส ีสวา งๆ จติ รกรแนวอมิ เพรสชนั นิสตมักจะนํา เก่ยี วกบั “ศิลปะตะวนั ตกในสมยั ใด หลักทฤษฎสี ี แสงอาทิตย มาชว ยใหสีมีความกระจางสดใสมากข้ึน จะไมใ ชส ีดํา เพราะถือวา สีดาํ ที่นกั เรยี นชนื่ ชอบมากท่ีสุด” พรอม ไมม ีในธรรมชาติ เนนรปู ทรงที่เกิดข้ึนดวยแสงและเงา รวมทงั้ แสงท่สี ะทอ นและเงาทต่ี กทอดดวย เหตผุ ล ความยาวไมเ กนิ 1 หนา กระดาษรายงาน คมู ือครู 127

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตนุ ความสนใจ àÊÃÁÔ ÊÒÃÐ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) ครใู หน ักเรยี นดภู าพโมนา ลิซา ศÈลิลิ ปปินÇเอิทกÊÂมÒÂั ก¿Ò„¹œ ¿รู จากหนงั สอื เรยี น หนา 128 แลว ต้ัง คาํ ถามกระตุนความสนใจวา ทาํ ไม ภาพโมนา ลิซาถงึ โดงดงั ไปทวั่ โลก สาํ รวจคนหา ในช่วงต้นของสมัย¿„œน¿ูÈิลปวิทยาการ Èิลปวั²นธรรมและ วิทยาการของกรีก - โรมันได้มีอิทธิพลต่อชาวยุโรปในสมัยนี้อย่างมาก ครูใหน กั เรียนอานหนงั สอื เรียน โดยผู้ปกครองนครรั°ตา่ งæ ในอิตาลี สนั ตะปาปา ตลอด¨นพ่อคา้ ท่ี หนา 128 เกย่ี วกับศลิ ปนเอกสมยั รำ่ารวยได้ให้การอุป¶ัมภ์Èิลปินมากมาย Èิลปินท่ีสำาคัญในสมัย¿„œน¿ู ฟน ฟูศลิ ปวทิ ยาการ จากน้นั ไป Èลิ ปวิทยาการ ไดแ้ ก่ สบื คนเพิ่มเตมิ วา ในสมัยนี้ยงั มี ñ. เลโ͹ารโ ´ ´Ò ǹิ ªÕ (Leonardo da Vinci, ค.È. ๑ôõ๒ - ศิลปนคนใดอกี โดยใหศกึ ษา ๑õ๑ù) ผลงานของเขา¨ะใช้น้ำาหนักที่กลมกลืน สีที่นุ่มนวล และ ถึงประวัติและผลงานของศลิ ปน บรรยากาÈท่ีสงบน่ิงลึกซึ้ง ผลงานที่สำาคัญ เช่น ภาพวาดโมนาลิซา (Mona Lisa) พระกระยาหารมอ้ื สดุ ทา้ ย (The Last Supper) เปน็ ตน้ อธบิ ายความรู ò. มเÕ กล¹ั เ¨โล (Michelangelo, ค.È. ๑ô÷õ - ๑õöô) ผลงาน ของเขา¨ะมีลกั ษณะแขçงกร้าว เข้มแขงç เตมç ไปด้วยพลัง และมีความ ครสู มุ นักเรยี นแสดงความคิดเห็น มหมึ า ผลงานทสี่ าำ คัญ เช่น ภาพเรื่องราวตามคมั ภีร์ไบเบลิ บนเพดาน ถึงผลงานของศลิ ปน ที่นักเรียน ของหอสวดซิสทนี (Sistine Chapel) ในนครร°ั วาติกนั รูปปนœ˜ เดวิด ชนื่ ชอบมากทีส่ ดุ (David) โมเสส (Moses) ปเ‚ อตา (Pieta) เปน็ ตน้ ภาพโมนาลิซา ó. รÒ¿ÒเÍล (Raphael, ค.È. ๑ôø๓ - ๑õ๒ð) ผลงานที่สาำ คัญ คือ The Sistine Madonna ซ่ึงเปน็ ภาพพระแม่มาเรยี และพระบุตรทีเ่ หมอื น¨รงิ และมชี ีวติ ¨ิตใ¨ นกั เรียนควรรู (ภาพซา้ ย) ภาพ “พระกระยาหารม้ือสดุ ทา้ ย” (ภาพลา่ ง) ภาพ “กาำ เนดิ แอดมั ” บนเพดานของหอสวดซสิ ทนี ภาพโมนา ลซิ า หรือ ลาโชกงด (La Joconde) เปน ภาพวาดสีนํา้ มัน 1๒8 ขนาดความสูง 77 เซนตเิ มตร กวาง 53 เซนตเิ มตร ผลงานของ @ มุม IT เลโอนารโ ด ดา วินชี วาดขนึ้ ระหวา ง ค.ศ. 1503 - 1507 เปนภาพท่ีทว่ั โลก ศึกษาคนควาขอมูลเพ่มิ เติมเกยี่ วกับยุคฟน ฟศู ิลปวทิ ยาการไดท่ี รูจกั กนั ดีภาพหน่งึ ในฐานะสภุ าพสตรี www.arts.chula.ac.th/~west/publication_renaissance.html ที่มรี อยย้มิ อันเปนปรศิ นา ปจจบุ นั ภาควชิ าภาษาตะวันตก คณะอักษรศาสตร จุฬาลงกรณม หาวทิ ยาลัย ถกู เก็บรักษาอยทู พ่ี ิพธิ ภัณฑล ฟู ว กรงุ ปารสี ประเทศฝรัง่ เศส คาํ วา “โมนา ลิซา” ไดถกู ตั้งข้ึนโดย จอรโจ วาซารี (Giorgio Vasari) ศลิ ปน อติ าลี หลงั จากดา วนิ ชเี สยี ชวี ติ ไปแลว 31 ป ในหนงั สอื ทเ่ี ขาตพี มิ พน นั้ ไดบ อกไวว า ผทู น่ี งั่ อยใู นรปู นนั้ คอื ลซิ า เกอรารด นี ี ภรรยาของขุนนางนกั ธุรกจิ ผูม่ังคัง่ ชาวเมอื งฟลอเรนซน ามวา ฟรานเชสโก เดล โจกอนโด (Francesco del Giocondo) 128 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate นอกจากพัฒนาการในดา้ นต่างๆ ทีท่ า� ให้ชาตติ ะวนั ตกมบี ทบาทในโลกแล้ว ในคริสต์- สํารวจคน หา ศตวรรษท่ี ๑๗ - ๑๘ ได้เกิดเหตุการณ์การปฏิวัติคร้ังใหญ่ข้ึนในทวีปยุโรป ๓ เหตุการณ์ ได้แก่ การปฏวิ ัติวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Revolution) ในคริสตศ์ ตวรรษที่ ๑๗ การปฏิวตั ิอตุ สาหกรรม นกั เรยี นสบื คน เหตุการณ (Industrial Revolution) และการปฏิวัติทาง การปฏวิ ัตคิ รง้ั ใหญในทวีปยุโรป ภูมิปัญญา (Intellectual Revolution) หรือ 3 เหตุการณ ไดแก การปฏวิ ัติ ยุคภูมิธรรม (Age of Enlightenment) ในกลาง วิทยาศาสตร การปฏิวัตอิ ุตสาหกรรม คริสต์ศตวรรษท่ี ๑๘ และการปฏิวัติฝร่ังเศส และการปฏวิ ัตฝิ รงั่ เศส จากนัน้ นํา (French Revolution) ในปลายคริสต์ศตวรรษ ขอ มลู มาอภปิ รายรว มกันในช้นั เรยี น ท่ี ๑๘ ซ่ึงถือว่ามีความส�าคัญและมีผลกระทบ ต่อการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา เศรษฐกิจ อธบิ ายความรู การเมอื ง ตลอดจนโลกทศั น์ สงั คมและวฒั นธรรม ของดนิ แดนต่างๆ ในทวีปยุโรปมากท่สี ดุ ครูใหนักเรียนวิเคราะหผลของการ การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ซ่ึงได้แก่ ปฏวิ ัตคิ รง้ั ใหญทัง้ 3 เหตุการณท ่ีมตี อ การต้ังข้อสังเกต การตรวจสอบอย่างมีเหตุผล ภาพวาดชาวยุโรปกำาลังค้นคว้าทดลองทางวิทยาศาสตร์ พฒั นาการของทวีปยโุ รป และผา่ นการพสิ จู นท์ ดลอง และมขี อ้ สรปุ โดยไม่ อันนำามาซึ่งทฤษฎีท่ีสามารถนำามาประยุกต์ใช้ให้เกิด ประโยชนใ์ นการดาำ เนนิ ชวี ติ นักเรียนควรรู เช่อื อะไรอย่างงมงาย ท�าให้ชาตติ ะวันตกเชือ่ มั่นในการเรยี นรู้ แสวงหาความเป็นจรงิ มากข้ึน จน มงเตสกีเยอ เปนขนุ นางและ ท�าให้ชาติตะวันตกน�าความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ไปพัฒนาเครื่องมือเคร่ืองใช้ต่างๆ ยารักษาโรค ตุลาการชาวฝร่งั เศส มชี ีวิตอยู ตลอดจนอาวธุ ยทุ โธปกรณ์ ขณะเดยี วกนั การปฏวิ ตั วิ ทิ ยาศาสตรก์ ก็ อ่ ใหเ้ กดิ การปฏวิ ตั ทิ างภมู ปิ ญั ญา ระหวาง ค.ศ. 1689 - 1755 ไดเ ขียน หรอื ยคุ ภมู ิธรรม ที่ท�าใหเ้ กดิ นักปรชั ญาเมธสี �าคญั ได้แก่ จอหน์ ลอก (John Locke) มงเตสกเี ยอ ผลงานชนิ้ สาํ คญั คอื The Spirit (Montesquieu) วอลแตร์ (Voltaire) และรูโซ (Rousseau) เจ้าของผลงาน สัญญาประชาคม of Laws และพมิ พเผยแพรใน ค.ศ. (Social Contract) ที่ค�านึงถึงสิทธิ เสรีภาพของประชาชน และ เจตจ�านงร่วมของประชาชน 1748 แนวความคดิ ของเขาท่ีเนน (General Will) กลายเป็นแรงจงู ใจให้ชาวฝร่งั เศสกอ่ การปฏิวัติฝรงั่ เศสใน ค.ศ. ๑๗๘๙ เรยี กร้อง หลักการแบง แยกอาํ นาจออกเปน เสรีภาพ ความเสมอภาค และภราดรภาพ (Liberty, Equality and Fraternity) เพื่อสร้างความ 3 ฝา ย ไดแ ก อํานาจนติ ิบญั ญัติ เสมอภาคในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ท�าให้ในเวลาต่อมามีการล้มระบอบกษัตริย์ใน บรหิ าร และตลุ าการ ไดเ ปน ท่ีนิยม ฝรัง่ เศสและจดั ตง้ั ระบอบการปกครองแบบสาธารณรฐั ขน้ึ ในหมนู ักกฎหมายและนกั ปกครอง ส่วนการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เกิดข้ึนในอังกฤษเป็นแห่งแรกในกลางคริสต์ศตวรรษ ของประเทศตา งๆ ในเวลาตอ มา ที่ ๑๘ โดยการเปล่ียนแปลงวิธีการผลิตและระบบการผลิตจากการใช้แรงงานคน สัตว์ และ ซงึ่ การรางรฐั ธรรมนญู ของสหรัฐ- พลังธรรมชาติ มาเป็นการใช้เคร่ืองจักรกลที่สามารถผลิตสินค้าได้เป็นจ�านวนมากก็ก่อให้เกิดการ อเมรกิ าใน ค.ศ. 1787 กม็ พี ืน้ ฐาน เปล่ียนแปลงทั้งในด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมในคริสต์ศตวรรษ มาจากแนวความคิดของมงเตสกเี ยอ ที่ ๑๙ อยา่ งมาก อีกท้ังยังเป็นกระบวนการทีเ่ กดิ ขน้ึ อยา่ งต่อเน่อื งมาจนถึงปัจจุบัน และปจ จุบนั รฐั ธรรมนญู ของประเทศ ประชาธิปไตยเกอื บทกุ ประเทศกไ็ ด 1๒9 ยึดหลกั การของมงเตสกีเยอเปน หลัก เขาจงึ ไดรบั สมญาวา เจา ทฤษฎีแหง การแบงแยกอํานาจ เกรด็ แนะครู ระหวา งการสอน ครูอาจใชเทคนิคคูคดิ โดยใหน กั เรยี นคดิ คาํ ตอบของตนกอ น จากน้นั จบั คู กบั เพือ่ นเพอื่ ตรวจสอบคําตอบรว มกนั เมอื่ ตรวจสอบจนถกู ตอ งแลว กใ็ หนักเรียนนาํ คําตอบที่ได มาอธบิ ายใหเ พื่อนๆ ฟง หนา ชนั้ เรียน คมู อื ครู 129

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Engage Explore Evaluate อธิบายความรู (ยอจากฉบบั นักเรียน 20%) ครซู กั ถามนักเรยี นวา พัฒนาการ ในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๒๐ ประเทศมหาอา� นาจยโุ รปไดเ้ กดิ ความขดั แยง้ กนั และเผชญิ กบั ของทวปี ยโุ รปในชวงคริสตศ ตวรรษ ปญั หาตา่ งๆ เชน่ การเรยี กรอ้ งอา� นาจปกครองตนเองของชนใตป้ กครอง ปญั หาเชอ้ื ชาติ ลทั ธกิ ารเมอื ง ท่ี 20 จนถึงปจจุบันเปนอยา งไร ตลอดจนการแข่งขันกันเองเพ่ือมีอ�านาจควบคุมเศรษฐกิจและดินแดนต่างๆ ท่ัวโลกท่ีเป็นแหล่ง ทรัพยากรธรรมชาติ และจุดยุทธศาสตร์ส�าคัญ (แนวตอบ ในคริสตศ ตวรรษที่ 20 จนต้องเข้าสู้รบกันในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ทวปี ยโุ รปไดเกิดความขัดแยงทาง (ค.ศ. ๑๙๑๔-๑๙๑๘) และสงครามโลกคร้ังที่ ๒ การเมอื ง เศรษฐกิจ ตลอดจนปญ หา (ค.ศ. ๑๙๓๙-๑๙๔๕) ซง่ึ เกดิ ความหายนะไปทว่ั เช้อื ชาติ จนนําไปสูการกอสงคราม ท�าให้ประเทศมหาอ�านาจยุโรปเก่า ได้แก่ โลกคร้ังที่ 1 และสงครามโลกครัง้ ที่ 2 อังกฤษ ฝร่ังเศส ออสเตรีย และเยอรมนี ทําใหม หาอาํ นาจยโุ รปหมดบทบาท ต่างสูญเสียบทบาทผู้น�าและเปิดโอกาสให้ ลงและสหรัฐอเมริกาและสหภาพ สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตก้าวขึ้นมา โซเวยี ตขน้ึ มามอี าํ นาจแทน ภายหลงั เปน็ ประเทศผูน้ �าของโลกแทน สงครามโลกคร้ังที่ 2 เปนตน มาจนถึง หลังจากท่ีสงครามโลกครั้งท่ี ๒ ปจ จบุ นั ประเทศตา งๆ ในยโุ รปได (ซ้าย) อดอล์ฟ ฮติ เลอร์แหง่ เยอรมนี และเบนีโต มุสโสลนี ี ยุติลง ยุโรปต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ต่างๆ พยายามรวมตวั กันเพอื่ สรา งความ แห่งอิตาลี (ขวา) ได้ดำาเนินนโยบายต่างประเทศที่สร้าง ทง้ั ภายในและภายนอก ตลอดจนการเรง่ บรู ณะ แข็งแกรง ทางการเมอื ง เศรษฐกิจ ความขัดแย้งระหว่างประเทศจนนำาไปสู่การเกิดสงคราม ฟนื ฟปู ระเทศ ประเทศมหาอา� นาจยโุ รปตะวนั ตก และการทหาร โดยมกี ารจัดตง้ั โลกคร้งั ท่ี ๒ องคก รความรว มมือข้ึน เชน สหภาพยโุ รป เปน ตน) ตา่ งสญู เสยี บทบาทและอาณานคิ มทเ่ี คยเปน็ ฐานอา� นาจทางเศรษฐกจิ และการเมอื งมาเปน็ ระยะเวลา ยาวนาน ดังนั้น เพ่ือด�ารงบทบาทของประเทศผู้น�าและสามารถแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาและ ขยายความเขา ใจ สหภาพโซเวยี ตทง้ั ดา้ นเศรษฐกจิ การเมอื งการปกครอง และการทหาร กลุม่ ประเทศยุโรปตะวันตก จงึ ไดพ้ ยายามรวมตวั กนั เพ่อื สรา้ งความแข็งแกรง่ ให้กบั ประเทศของตนอกี ครัง้ โดยร่วมประชมุ กนั นกั เรยี นแสดงความคดิ เหน็ รวมกนั และด�าเนินการอยา่ งเปน็ รปู ธรรม เกิดการจัดตงั้ สหภาพยุโรป (European Union : EU) ขนึ้ โดย เกี่ยวกับประโยชนทีไ่ ดร บั จากการ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ใหน้ านาประเทศในยโุ รป(ตะวนั ตก) มเี อกภาพในการดา� เนนิ นโยบายดา้ นการเมอื ง รวมกลมุ ของประเทศตา งๆ ในยโุ รป เศรษฐกิจ การเงิน การป้องกันและการต่างประเทศ ตลอดจนด้านสังคมและวัฒนธรรม (ดูราย ละเอียดเพิม่ เตมิ ในหัวขอ้ ท่ี ๒.๒ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๗) เกร็ดแนะครู มาตรการส�าคัญของการสร้างยุโรปในเชิงบูรณาการ ได้แก่ การสร้างยุโรปของชาว ยโุ รป (People’s Europe) คอื รวมประเทศตา่ งๆ ทงั้ หมดตงั้ แตช่ ายฝง่ั มหาสมทุ รแอตแลนตกิ จนถงึ ครอู ธิบายเพิ่มเตมิ วา การใช เทอื กเขายูรลั เข้าเป็นอนั หน่งึ อันเดียวกนั ทงั้ น้ี ไดม้ ีการด�าเนนิ การมาตง้ั แต่ ค.ศ. ๑๙๘๕ เพือ่ ให้ อาํ นาจปกครองในระบอบเผด็จการ ประชากรในประเทศที่มีความแตกต่างกันท้ังในภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ความเช่ือ ทหารเปนการทําลายกระบวนการ และค่านยิ มให้ซึมซบั ความเปน็ พวกเดียวกนั ยุติธรรมและนาํ ไปสูการปกครอง เผด็จการเบด็ เสรจ็ จงึ ทําใหป ระเทศ 1๓0 ที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย หวาดระแวงและผนึกกาํ ลงั กนั ตอ ตา น จนนาํ ไปสูการเผชิญหนา กนั ข้ึน 130 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate 1.๓ อทิ ธพิ ลของทวีปยโุ รปต่อสังคมโลก กระตุนความสนใจ ในด้านการเมืองการปกครอง อุดมการณ์ประชาธิปไตยซ่ึงเร่ิมจากสมัยกรีกที่ส่งเสริมให้ ประชาชนตระหนักถึงสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบต่อรัฐนับว่ามีความส�าคัญเป็นอย่างย่ิง ครูกระตนุ ความสนใจของนกั เรยี น ถือเป็นแม่แบบของระบอบการปกครองแบบ โดยตง้ั ประเดน็ “ทวปี ยโุ รปในความ ประชาธิปไตย ทั้งยังก่อให้เกิดระบอบกษัตริย์ รจู กั ของขา พเจา” แลวใหน กั เรียน ภายใต้รัฐธรรมนูญอีกด้วย ที่ยกย่องให้กษัตริย์ รว มกันแสดงความคดิ เหน็ โดยครู เป็นพระประมุขของประเทศแต่ให้อ�านาจการ ชว ยเสนอแนะเพม่ิ เตมิ ปกครองและบรหิ ารประเทศแก่ประชาชน ส่วน แบบดอรกิ สาํ รวจคนหา โรมันก็มีชื่อเสียงในเรื่องการรักสิทธิ เสรีภาพ ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาเกยี่ วกบั อทิ ธพิ ล ส่วนบุคคล และการมีระเบียบวินัยของสังคม ของทวีปยุโรปท่ีมีตอสังคมโลกจาก กฎหมายสิบสองโต๊ะของโรมันได้ให้ความ แบบไอออนิก แหลงการเรียนรูตางๆ จากนั้นสรุป สาระสาํ คญั ในรปู แบบแผนผงั ความคดิ ยตุ ธิ รรมแกพ่ ลเมอื งทกุ ชนชน้ั อยา่ งทดั เทยี มกนั และเปน็ แม่แบบของการออกประมวลกฎหมาย นักเรียนควรรู ในนานาประเทศท่ัวโลก ส่วนงานศิลปะแขนง แบบคอรินเทยี น ประชาธิปไตย ตรงกับภาษา ต่างๆ ของกรีก-โรมัน ก็ถือเป็นต้นแบบใน หวั เสากรกี แบบตา่ งๆ ไดม้ อี ทิ ธพิ ลตอ่ งานสถาปตั ยกรรมของ อังกฤษวา Democracy มาจาก งานสร้างสรรค์ท่ัวโลก รวมทั้งอาคารสถานท่ี โรมนั และไดส้ บื ทอดใหแ้ กโ่ ลกตะวนั ตกมาจนถงึ ปจั จบุ นั รากศพั ทภาษากรกี 2 คาํ คอื Demo หมายถงึ ประชาชน กบั คฤหาสน์ พระราชวัง โบสถ์วิหารทมี่ ีใหเ้ ห็นกันทวั่ ไปท่ียงั คงนยิ มรูปแบบสถาปัตยกรรมกรกี -โรมัน Kratos หมายถงึ อํานาจอธปิ ไตย อยู่จนถงึ ปจั จุบนั เม่ือนําคาํ 2 คาํ รวมกันแลว หมายถงึ ในสมัยกลาง แม้ว่าช่วงเวลาระหว่างการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันใน ค.ศ. ๔๗๖ จนถึง การปกครองทีป่ ระชาชนเปน เจาของ การฟนื ตวั ของเมอื งในคริสตศ์ ตวรรษที่ ๑๑ แสงของอารยธรรมตะวันตกจะริบหรีล่ งเพราะเกิดจาก อํานาจ หรอื อาํ นาจสงู สดุ ในการ การรุกรานของพวกอนารยชนจนแทบมืดสนิทนั้น แต่เมื่อยุโรปฟืนตัวข้ึนอีกคร้ัง การสร้างสรรค์ ปกครองเปน ของประชาชน ระบอบ ความเจรญิ และอารยธรรมของยโุ รปกร็ ดุ หนา้ อยา่ งรวดเรว็ เมอื งในสมยั กลางของยโุ รปไดก้ ลายเปน็ ประชาธิปไตยเริม่ เกิดข้ึนในกรีกเมื่อ แม่แบบของเมืองในปัจจุบัน ท้ังได้รูปแบบและการจัดระบบการปกครองแบบเทศาภิบาล มีการ ประมาณ 500 ปก อนคริสตศ กั ราช เก็บภาษจี ากชาวเมือง การจัดการปอ้ งกันตนเอง มกี ารจดั ตั้งธนาคาร การจดั ตลาดนัด การกา� หนด โดยนครรฐั เอเธนสไดช ือ่ วาเปน วนั ท่ี ๑ มกราคมเป็นวนั ข้ึนปีใหม่ และอืน่ ๆ รวมท้ังการเกิดชนช้นั กลางและการสร้างคา่ นิยมของ นครรัฐแหงแรกท่ีมีรปู แบบ ชนชั้นกลางที่เน้นบทบาทและหน้าท่ีที่มีต่อสังคม เช่น การเสียภาษีอากรเพ่ือน�ารายได้ไปบริหาร การปกครองแบบประชาธปิ ไตย และป้องกันเมือง ตลอดจนการใฝ่การศึกษาจนก่อให้เกิดมหาวิทยาลัยข้ึน อีกท้ังยังมีการสร้าง ทใ่ี หพ ลเมอื งชายทุกคนทบ่ี รรลุ มหาวิหารกอทิกที่มีลักษณะโดดเด่นเฉพาะและพัฒนามาจากรูปแบบสถาปัตยกรรมโรมัน และ นิติภาวะ (20 ป) มสี ิทธเิ ปนเจา ของ ถ่ายทอดไปสู่นานาประเทศทั่วโลกพร้อมกับการเผยแผ่คริสต์ศาสนาซึ่งเป็นที่ยอมรับกันตั้งแต่ อํานาจอธปิ ไตยและเปน ผูใ ชอาํ นาจ ตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๔ ในสมยั จกั รวรรดิโรมัน ในการปกครอง ออกกฎหมาย หรอื ตดั สินปญหาในการประชมุ รวมกัน 1๓1 นกั เรียนควรรู คูมอื ครู 131 กฎหมายสิบสองโตะ ประกาศใชเม่ือ 450 ปกอนคริสตศักราช กฎหมายนี้มีลกั ษณะท่ีเขมงวด และมีบทลงโทษรุนแรง หลักการสําคัญของกฎหมายโรมัน คือ ใหความสําคัญในเรื่องสิทธิของ บคุ คล ทกุ คนจะไดร บั ความเทา เทยี มกนั ตามกฎหมาย ไมม กี ารทรมานผตู อ งหาเพอื่ ใหร บั สารภาพ รวมทัง้ ถือวา ผตู องหา คือ ผบู ริสุทธิ์ตราบเทาทีย่ ังไมส ามารถพสิ จู นค วามผดิ ได

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate อธบิ ายความรู (ยอ จากฉบับนกั เรียน 20%) • การปฏิรูปศาสนามคี วามสําคัญ ตอสงั คมโลกอยา งไร (แนวตอบ การปฏิรปู ศาสนาเปน อิทธพิ ลของอารยธรรมตะวันตกเปน็ ท่ีประจักษม์ ากข้ึนในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๑๖ เมือ่ ยุโรปก้าว การปฏริ ปู ของครสิ ตศ าสนิกชน เขา้ สยู่ คุ แหง่ การคน้ พบและการสา� รวจ และการปฏริ ปู ศาสนา ทา� ใหช้ าวครสิ ตม์ ที างเลอื กทจ่ี ะปฏบิ ตั ิ ท่ีไมเ หน็ ดว ยกับขอปฏบิ ตั ิของ ตามกฎเกณฑ์ของนิกายโรมันคาทอลิกท่ีเน้นพิธีกรรมและยกย่องให้สันตะปาปาเป็นผู้น�าสูงสุดใน ครสิ ตจกั ร หรอื นกิ ายโปรเตสแตนตท์ ม่ี งุ่ การมศี รทั ธาหรอื ความเชอ่ื และยดึ ถอื พระคมั ภรี ์ไบเบลิ เปน็ องคกรศาสนจักรคาทอลิกและ การแสวงหาผลประโยชนตางๆ หลกั ปฏบิ ตั สิ งู สดุ มกี ารจดั ตงั้ อาณานคิ มและสถานกี ารคา้ ขนึ้ ทงั้ ในทวปี เอเชยี และทวปี อเมรกิ า เกดิ โดยมีมารต ิน ลูเทอรเ ปนผนู าํ การแข่งขันกันในการขยายอ�านาจของชาติตะวันตกและการเกิดลัทธิพาณิชยนิยมและการปฏิวัติ การปฏิรปู ศาสนามคี วามสําคัญ ทางการค้าซึ่งท�าให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนขยายตัวมากข้ึน ส่วนอารยธรรมและภาษา ตอ โลก คือ สง ผลใหค รสิ ตศาสนา ตะวนั ตก ไดแ้ ก่ ภาษาสเปน โปรตุเกส อังกฤษ และฝรั่งเศส ก็ไดร้ ับการเผยแพรอ่ ย่างกว้างขวาง ถกู แบง ออกเปน กลมุ โรมนั คาทอลกิ รวมทัง้ สัตว์ เชน่ ม้า วัว ลา และพืช เชน่ สม้ ข้าวโอต๊ และผลเบอรร์ ี เป็นต้น อีกทัง้ การเผยแผ่ และกลมุ โปรเตสแตนต ซ่ึงทง้ั 2 คริสต์ศาสนานิกายโรมนั คาทอลกิ และโปรเตสแตนต์ก็ใช้มชิ ชนั นารีและวิธีการรนุ แรง ขณะเดยี วกนั กลมุ ไดม ีบทบาทตอโลกปจ จบุ นั ) ก็มีการละเมิดวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นจนถึงขั้นเข้าท�าลายอารยธรรมดงั ทเี่ กดิ ขนึ้ กบั ชนพน้ื เมอื งใน • การปฏิวตั วิ ิทยาศาสตรแ ละ ทวปี อเมรกิ า นอกจากนี้ ชาวยุโรปยังได้น�าเชื้อโรคต่างๆ เช่น โรคไข้ทรพิษ โรคมาลาเรีย และ การปฏิวัติอุตสาหกรรมซึ่งเริม่ ข้นึ โรคหัด ไปตดิ ชาวพ้นื เมืองจนเกดิ การลม้ ตายจ�านวนมากอกี ด้วย ในทวปี ยุโรปสง ผลตอ โลกอยางไร (แนวตอบ ทาํ ใหป ระเทศมีความ นับตง้ั แต่คริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ เปน็ ต้นมา ไดเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงในยโุ รปหลายดา้ น ไดแ้ ก่ เจริญกาวหนา อตุ สาหกรรมมี การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ การปฏิวัติอุตสาหกรรม การปฏิวัติทางภูมิปัญญาในยุคภูมิธรรม และ การเตบิ โต ประชากรกม็ ีชีวิต การปฏิวัติฝร่ังเศส ซึ่งล้วนแต่ปูทางให้ยุโรปก้าวสู่การเป็นผู้น�าของโลก การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ความเปนอยูท่ดี ี มีความสะดวก ทา� ใหส้ งั คมตะวันตกกา้ วหนา้ ดา้ นเทคโนโลยแี ละวิทยาการตา่ งๆ มากกวา่ ดินแดนอื่นๆ ของโลก สบายมากขึน้ แตข ณะเดยี วกัน ส่วนการปฏิวัติอุตสาหกรรมก็ท�าให้ยุโรปเปล่ียนแปลงจากสังคมเกษตรกรรมเป็นสังคม การเตบิ โตของอตุ สาหกรรม อตุ สาหกรรมทที่ นั สมยั ประชาชนมกี ารกนิ ดอี ยดู่ ี กก็ อ ใหเกดิ ปญ หาตามมาดวย ท�าให้เศรษฐกิจแบบทุนนิยมขยายตัวอย่างมาก เชนกนั เชน ปญหาสง่ิ แวดลอ ม และคนจนถกู เอารดั เอาเปรียบมากยง่ิ ข้นึ ขณะ ปญหาสังคม รวมถึงนาํ ไปสู เดียวกันก็เกิดลัทธิสังคมนิยมที่พยายามสร้าง การยดึ ครองดนิ แดนอื่นเปน ความทดั เทยี มทางดา้ นเศรษฐกจิ ตอ่ มาในปลาย อาณานิคม เปน ตน) ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๑๙ เกดิ ลทั ธจิ กั รวรรดนิ ยิ มใหม่ และการลา่ อาณานคิ มโพน้ ทะเล ซ่ึงมีผลต่อการ ขยายตัวของตลาดการค้าและการย�่ายีอ�านาจ นักเรียนควรรู อธปิ ไตยของประเทศทอ่ี อ่ นแอกวา่ การเผยแพร่ วัฒนธรรมและภาษาตะวันตกและความเช่ือใน การปฏิวัตอิ ุตสาหกรรม สามารถ ภาพวาดการเจรญิ เตบิ โตของสงั คมเมอื งในยโุ รป ซงึ่ เปน็ ผล คริสต์ศาสนาท้ังนิกายโรมันคาทอลิกและนิกาย แบง ออกเปน 2 ระยะ คอื การปฏิวตั ิ มาจากการปฏวิ ตั อิ ตุ สาหกรรม โปรเตสแตนต์ให้กว้างขวางย่งิ ข้ึน อุตสาหกรรมระยะแรก ระหวาง ค.ศ. 1750 - 1870 เปนการนําพลงั ไอนาํ้ และเคร่ืองจกั รไอน้าํ มาใชใน 1๓๒ อุตสาหกรรมทอผา กบั การปฏิวัติ อตุ สาหกรรมระยะที่ 2 ระหวา ง ค.ศ. 1870 เปนตน มาจนถงึ ปจจุบนั มีการ คิดคน และนาํ พลงั งานใหมๆ เชน ไฟฟา นา้ํ มนั พลงั งานนิวเคลียรม าใช กอ ใหเ กิดอุตสาหกรรมใหมๆ มากขึ้น เกิดการผลิตในระบบโรงงานทใ่ี ช เครอ่ื งจักรหุนยนตในการผลติ สนิ คาแทนการใชแ รงงานคน 132 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore ในคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๘ ยังเป็นยุคของการเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ และความเป็นธรรม อธิบายความรู ของนักปรัชญาเมธี (philosophe) ในยุคภูมิธรรมท่ีน�าไปสู่การปฏิวัติอเมริกัน ค.ศ. ๑๗๗๖ และ การปฏวิ ตั ฝิ รงั่ เศส ค.ศ. ๑๗๘๙ ของชนชน้ั กลาง ครใู หนักเรยี นวิเคราะหวา เพื่อความเป็นประชาธิปไตยตามแนวทางของ สงครามโลกคร้ังที่ 1 และคร้งั ท่ี 2 เสรีภาพ ความเสมอภาค และภราดรภาพ ท่เี กิดขึ้นในทวีปยุโรปสง ผลตอ ต่อมายังน�าไปสู่การเกิดลัทธิชาตินิยมที่ชนชาติ สังคมโลกอยา งไร เดยี วกนั ตอ้ งการรวมดนิ แดนของตนใหเ้ ปน็ ชาติ ขน้ึ หรือกา� จดั อทิ ธิพลของต่างชาติออกไป (แนวตอบ เกดิ ผลหลายประการ ในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี ๒๐ มหาอ�านาจยุโรป เชน กอ ใหเ กดิ การสูญเสียชวี ติ ผคู น ได้เกิดความขัดแย้งกันในด้านผลประโยชน์และ จาํ นวนมากจากประเทศตางๆ การพยายามจัดระเบียบโลกตามความต้องการ ท่วั โลก เกิดประเทศขน้ึ ใหมในโลก ของแต่ละประเทศจนเกิดสงครามโลกครั้งท่ี ๑ หลายประเทศ เกิดการจัดตั้งองคการ (ค.ศ. ๑๙๑๔-๑๙๑๘) และสงครามโลกครัง้ ท่ี ๒ ระหวา งประเทศเพ่ือแกไ ขขอขดั แยง (ค.ศ. ๑๙๓๙-๑๙๔๕) หลังสงครามโลกครงั้ ที่ ๒ ภาพวาดการบกุ ทลายคกุ บาสตยี ์ (Bastille) ซงึ่ เปน็ ทคี่ มุ ขงั และรักษาสนั ติภาพ ไมวาจะเปน สิ้นสุดลง ได้มีความพยายามจัดตั้งองค์การ นักโทษการเมืองเม่ือวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๗๘๙ องคก ารสนั นิบาตชาติ หรือองคการ ถอื เปน็ จดุ เรมิ่ ตน้ ของการปฏวิ ตั ฝิ รง่ั เศส สหประชาชาติ รวมทั้งการตระหนกั ถึงภัยอันตรายจากการใชอ าวธุ ระหว่างประเทศข้ึนเพื่อเสริมสร้างสันติภาพและความร่วมมือของโลก โดยเฉพาะองค์การ นิวเคลยี ร เปน ตน ) สหประชาชาติ (United Nations) ซ่ึงยังคงมีบทบาทต่อประชาชาติในปจั จบุ ัน นอกจากน้ี ผลของ ลัทธิสังคมนิยมท่ีต้องการสร้างสังคมแห่งความเสมอภาคท่ีปราศจากชนชั้นก็ก่อให้เกิดการปฏิวัติ ขยายความเขา ใจ รสั เซยี ค.ศ. ๑๙๑๗ ทา� ใหร้ สั เซยี เปลย่ี นแปลงการปกครองเปน็ ระบอบคอมมวิ นสิ ตเ์ ปน็ ประเทศแรก ของโลก และได้ขยายตัวจากยุโรปไปสู่ดินแดนต่างๆ ของโลกในเวลาต่อมา ขณะเดียวกัน นกั เรยี นไปสืบคนเก่ยี วกบั อิทธพิ ล สหรฐั อเมริกาก็เริ่มมีบทบาทในการเมอื งโลกมากขึ้น ของทวีปยุโรปท่มี ตี อไทยต้ังแตอดตี ในช่วงหลงั สงครามโลกครัง้ ท่ี ๒ ยุโรปตอ้ งสูญเสียสถานภาพการเป็นมหาอ�านาจอนั ดับหนึง่ จนถึงปจ จุบัน จากนั้นนาํ ขอมลู มา ของโลก และถูกแบ่งแยกออกเป็นยุโรปตะวันตกท่ีมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และ จัดนิทรรศการ ยุโรปตะวันออกปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ อย่างไรก็ดี ประเทศยุโรปตะวันตกได้วางแผน พัฒนาตัวเองไปสู่ความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันเพ่ือรักษาความเป็นประเทศผู้น�าโลกไว้โดยจัดต้ัง ตรวจสอบผล สหภาพยโุ รปหรืออยี ู (European Union : EU) ขึน้ ใน ค.ศ. ๑๙๙๓ ในปัจจบุ ันก็เป็นแม่แบบใหแ้ ก่ สมาคมประชาชาติแหง่ เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้หรอื อาเซียน (ASEAN ก่อตง้ั ใน ค.ศ. ๑๙๖๗) ใน 1. ตรวจแผนผังความคดิ การรวมตวั เปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั ดว้ ยการสรา้ งความเขม้ แขง็ ในดา้ นเศรษฐกจิ ของภมู ภิ าคของตน 2. การนาํ เสนอ PowerPoint โดยมกี ารจดั ตงั้ เขตการคา้ เสรแี หง่ อาเซยี นหรอื อาฟตา (AFTA) และมกี ารประกาศกฎบตั รอาเซยี น (ASEAN Charter) ข้ึนใน ค.ศ. ๒๐๐๘ ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอนิ โดนเี ซีย เกย่ี วกับพัฒนาการและการสรา ง สรรคดานตา งๆ ของทวีปยโุ รป 1๓๓ 3. ตรวจตารางเปรยี บเทยี บววิ ฒั นาการ ของระบอบสมบูรณาญาสทิ ธริ าชย นกั เรียนควรรู ในยุโรป 4. ตรวจเรียงความเกย่ี วกบั ศิลปะ ยคุ ภมู ธิ รรม หรอื ยคุ แหง การรแู จง เปรยี บเสมอื นยคุ แหง แสงสวา งทสี่ อ งทางใหช าวยโุ รปพน จาก ตะวันตกท่นี กั เรยี นชนื่ ชอบ ยคุ มดื ในสมยั กลาง เกดิ ขน้ึ ในครสิ ตศ ตวรรษที่ 18 เปน ยคุ ทมี่ นษุ ยร จู กั การคดิ วเิ คราะห ใชส ตปิ ญ ญา มากทส่ี ดุ ในการแสวงหาความรูมากข้ึน มีศูนยกลางอยูท่ีฝรั่งเศสและแพรไปทั่วยุโรปตลอดจนถึงอเมริกา 5. การมีสวนรว มในการอภปิ ราย และตอมาไดแผขยายไปทั่วโลก นักคิดคนสําคัญ เชน วอลแตร, มงเตสกีเยอ, ชอง ชาก รูโซ, ในชนั้ เรยี น แอดัม สมิท เปน ตน 6. การจดั นิทรรศการของนักเรยี น 7. การแสดงความคดิ เห็นของ นักเรยี น คมู อื ครู 133

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตนุ ความสนใจ (ยอ จากฉบับนกั เรยี น 20%) ครูนําภาพคริสโตเฟอร โคลัมบัส ๒. ทวีปอเมรกิ าเหนอื มาใหนักเรียนดู แลวต้ังคําถามวา มคี วามเกยี่ วขอ งกบั ทวปี อเมรกิ าเหนอื ทวีปอเมรกิ าเหนือเป็นท่ีตั้งของประเทศท่ีม่ังคั่งด้วยทรพั ยากรและความเจริญก้าวหน้าทางดา้ น อยา งไร ตา่ งๆ มปี ระเทศที่สา� คญั ไดแ้ ก่ สหรฐั อเมรกิ า แคนาดา และเม็กซิโก อเมริกาเหนือเป็นทวปี ใหม่ท่ี ครสิ โตเฟอร ์ โคลมั บสั (Christopher Columbus) ชาวเจนวั แหง่ อติ าลคี น้ พบเปน็ ครง้ั แรกใน ค.ศ. ๑๔๙๒ (แนวตอบ เปนผูคน พบทวีปอเมรกิ า เหนือเม่ือ ค.ศ. 1492) อเมรกิ าเหนือเปน็ แหลง่ อารยธรรมโบราณของโลก อารยธรรมที่ส�าคัญ คือ อารยธรรมของ พวกอินเดียนเผ่ามายา (Maya) และอารยธรรมอัซเต็ก (Aztec) เป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่เป็น สํารวจคนหา อันดับ ๓ ของโลกรองจากเอเชียและแอฟริกา โดยมีเน้ือที่ท้ังหมดประมาณ ๒๒,๑๒๖,๑๐๖ ตารางกโิ ลเมตร มปี ระชากรทงั้ หมดประมาณ ๕๓๐ ลา้ นคน ประชากรสว่ นใหญท่ งั้ ของสหรฐั อเมรกิ า ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาทต่ี ง้ั และสภาพ และแคนาดาเปน็ ชนผวิ ขาวทส่ี บื เชอื้ สายและวัฒนธรรมมาจากยโุ รปโดยเฉพาะองั กฤษและฝรง่ั เศส ภูมิศาสตรของทวีปอเมริกาเหนือ จึงเรียกช่ือทัว่ ไปวา่ กลุ่มแองโกลอเมริกา (Anglo America) สว่ นประชากรในแถบลาตินอเมรกิ า เพิ่มเติมจากหนังสือเรียน จากนั้นมา โดยเฉพาะเมก็ ซโิ กเปน็ ชนชาตผิ สมระหวา่ งพวกอนิ เดยี นพน้ื เมอื งกบั ชาวสเปน ซง่ึ ทา� ใหเ้ กดิ ลกู ผสม อภิปรายรวมกันวาอยูตรงสวนใดของ ทเี่ รยี กวา่ เมสตโิ ซ(Mestizo) และยงั มปี ระชากรลกู ผสมทเี่ กดิ จากชาวผวิ ขาวกบั ชาวแอฟรกิ นั ผวิ ดา� โลกและมีผลตอพัฒนาการของทวีป ที่เป็นทาส เรยี กวา่ มลู าตโต (Mulatto) ด้วย ศาสนาหลักทส่ี า� คัญของประชากรในทวีปเอเมริกา อยา งไร เหนือ คอื ครสิ ตศ์ าสนานกิ ายโปรเตสแตนตแ์ ละนกิ ายโรมนั คาทอลิก นกั เรียนควรรู ๒.๑ ที่ต้ังและสภาพภมู ศิ าสตร์ท่ีมผี ลตอ่ พฒั นาการของทวปี คริสโตเฟอร โคลัมบัส ไดเ ดินทาง ทวปี อเมรกิ าเหนอื ตงั้ อยู่ในเขตซกี โลกเหนอื ทง้ั หมด ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศคลา้ ยรปู สามเหลย่ี ม ผา นมหาสมุทรแอตแลนติกดวย โดยมีฐานกวา้ งอยทู่ างตอนเหนอื และมียอดอย่ทู างใต ้ แบง่ ออกเป็น ๓ ภมู ิภาค ซ่งึ มีประเทศตา่ งๆ กองเรือ 3 ลํา ไดแก ซานตามาเรีย อยู่รวมกัน โดยมีเน้ือท่ีทั้งหมด ๑๐,๙๑๖,๑๓๙ ตารางกิโลเมตร ภูมิภาคอเมริกากลางซ่ึงรวม ปน ตา และนนิ ญา มงุ ไปทางตะวนั ตก เม็กซิโกด้วยมีเน้ือที่ประมาณ ๒,๔๙๗,๙๘๐ ตารางกิโลเมตร และภูมิภาคเวสต์อินดีสมีเนื้อท่ี เพราะเชอื่ วา โลกกลม จนคน พบ ประมาณ ๒๕๑,๙๘๗ ตารางกโิ ลเมตร สา� หรบั ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศและโครงสรา้ งทางธรณวี ทิ ยาของ ดินแดนใหม คอื หมเู กาะบาฮามาส ทวปี อเมรกิ าเหนือสามารถแบ่งออกเป็น ๓ เขตใหญ่ๆ ดงั นี้ ซง่ึ เขาเขา ใจวา คอื อินเดยี จงึ เรียก ช่อื ดินแดนนว้ี า หมูเ กาะอินเดีย ลักษณะภมู ิประเทศ สาระสาำ คัญ ตะวันตก และเรยี กประชาชนที่ อาศยั อยแู ถบนี้วา ชาวอนิ เดยี น ๑. เขตเทอื กเขาสงู ภาคตะวันตก เป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน บริเวณเทือกเขามักเป็นที่ราบสูงหรือ แอ่งแผ่นดิน (Basin) ค่ันอยู่ เป็นเขตที่อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุอันมีค่า นักเรียนควรรู ๒. เขตทร่ี าบตอนกลาง เชน่ ปิโตรเลียม แร่เงนิ ทองคาำ ตะก่ัว สังกะสี ทองแดง เปน็ ตน้ ทง้ั ยงั ๓. เขตภเู ขาหินเกา่ ภาคตะวนั ออก อดุ มไปด้วยป่าเขา แมน่ ้ำาลำาธาร และหบุ เขาลกึ ชันทีส่ วยงาม อารยธรรมของพวกอนิ เดยี น เป็นบริเวณท่ีราบกว้างขวาง ประกอบด้วย เนินและที่ราบสูง พ้ืนที่ เผา มายา สันนิษฐานวาเจริญรงุ เรอื ง ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นลูกคล่ืน ที่ราบบางแห่งประกอบด้วยทะเลสาบ ระหวาง 200 ปกอนคริสตศกั ราช ขนาดใหญ ่ จนถงึ ค.ศ. 800 กอ ตวั อยแู ถบประเทศ เปน็ เทือกเขาและท่ีราบสงู อุดมไปดว้ ยทะเลสาบใหญน่ อ้ ย กวั เตมาลา และแหลมยูคาตาน (Yucatan) ในประเทศเมก็ ซิโก ๑34 ปจ จบุ นั ชาวมายารจู ักคิดตัวอกั ษร ภาษาเขียนและตวั เลขขนึ้ มีการ นกั เรียนควรรู ฆามนษุ ยเพือ่ บูชายญั พระเจา อารยธรรมอัซเต็ก ชาวอัซเต็กเปนชนชาติอเมริกันอินเดียน ซ่ึงอาศัยอยูแถบประเทศเม็กซิโก 134 คูมอื ครู ในปจ จบุ นั ตง้ั แตเ มอื่ ประมาณครสิ ตศ ตวรรษท่ี 13 เปน นกั รบทก่ี ลา หาญ แตไ มเ จรญิ เทา ชาวมายา มหี ลกั ฐานของการใชภ าษาพดู และเขยี น มกี ารนบั เลข มเี งนิ เหรยี ญใช และมกี ารฆา บชู ายญั เชน กนั

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate นอกจากน ้ี การทมี่ มี หาสมทุ รแอตแลนตกิ แผนทท่ี วปี อเมรกิ าเหนอื อธิบายความรู ทางด้านตะวันออกของทวีปและมหาสมุทร ม ห า ส มุ ท ร อ า ร ก ติ ก ครซู ักถามวา ทวีปอเมรกิ าเหนอื มีทีต่ ัง้ และสภาพภมู ิศาสตรท เ่ี หมาะ แปซิฟิกทางด้านตะวันตกของทวีปก็ท�าให้ ทะเลโบฟอรต ก(เรดนี นแมลารนกด)  ไอซแ ลนด แกก ารต้งั ถนิ่ ฐานของผคู นอยา งไร สะดวกต่อการติดต่อค้าขายทางทะเลกับนานา (สอหะรแัฐอลเสมกริกาา) ประเทศ และมหาสมทุ รทงั้ สองก็เปน็ พรมแดน อาวแบฟฟนชอ งแคบเดวสิ (แนวตอบ ทวีปอเมรกิ าเหนือมี ธรรมชาตทิ ปี่ อ้ งกนั การบกุ รกุ จากประเทศอนื่ ได้ อา วอะแลสกา ทะเลแลบราดอร สภาพภูมิศาสตรท ีป่ ระกอบดว ย อย่างดี ทวีปอเมริกาเหนือมีทะเลสาบ น้�าตก เขตเทอื กเขาสงู ทางตะวันตก ซ่ึงเปน และแม่น�้าจ�านวนมาก แม่น�้าที่ส�าคัญที่สุดมี เ ทื อ ก เ ข า ร็ อ ก กี อา วฮดั สัน ก.นวิ ฟน แลนด เขตทอ่ี ุดมสมบรู ณดว ยแรธ าตุอนั มีคา ทง้ั ยังอุดมดว ยปาเขา แมน ํ้าลําธาร แคนาดา น เขตทร่ี าบตอนกลาง หรอื เกรตเพลนส เปน ท่รี าบใหญท ี่มีความอุดมสมบรู ณ ๓ สาย ได้แก่ แมน่ �้ำแมกเคนซี (Mackenzie) ส ห รั ฐ อ เ ม ริ ก า เทื อ กเขาแอปพาเลเ ีชย ของทวปี และเขตภเู ขาหินเกา มคี วามยาวประมาณ ๑,๘๐๐ กโิ ลเมตร จดั เปน็ ภาคตะวนั ออก การท่ีมที ี่ต้งั รายลอม แมน่ า้� ทยี่ าวเปน็ อนั ดบั ๒ ของทวปี อเมรกิ าเหนอื ดว ยมหาสมทุ รแอตแลนตกิ และ เปน็ เสน้ ทางคมนาคมขนสง่ ทางตอนเหนอื ของ อาวเม็กซโิ ก บาฮามาส มหาสมุทรแปซฟิ ก ทําใหสะดวก ทวีป อยู่ในประเทศแคนาดา แม่น�้ำเซนต์ แกก ารเดินทางติดตอคาขายกบั ลอวเ์ รนซ์ (St.Lawrence) ไหลลงสมู่ หาสมุทร ม ห า ส มุ ท ร เม็กซโิ ก คิวบา โดมินิกนั ชาตติ างๆ รวมท้งั การมแี มนํ้า แ ป ซิ ฟ ก เฮติ สําคญั ๆ เชน แมนา้ํ เซนตล อวเรนซ แมนาํ้ แมกเคนซี แมนํ้ามสิ ซสิ ซิปป เบลซี จาเมกทาะเลแคริบเบยี น จงึ สงเสริมการเพาะปลูกและการ ฮอนดรู สั เดินเรอื ขนสง และยังมภี ูมอิ ากาศ หลากหลายเชนเดียวกบั เอเชีย จาก กวั เตมาลา นิการากัว สภาพภมู ิศาสตรดังกลา วจึงทําให เอลซัลวาดอร มกี ารเขา มาตงั้ ถิ่นฐานของผูคน คอสตาริกา ปานามา ต้งั แตอดีตจนถึงปจจบุ ัน) เวเนซุเอลา นกั เรียนควรรู โคลอมเบีย ปาไม พน้ื ที่ปา ไมแ หลงใหญอ ยูใน แอตแลนตกิ มคี วามยาวประมาณ ๑,๒๒๕ กโิ ลเมตร มปี ระชากรอาศยั อยหู่ นาแนน่ บรเิ วณลมุ่ แมน่ า�้ ประเทศแคนาดาและสหรัฐอเมริกา และเป็นเขตอุตสาหกรรมท้ังของแคนาดาและสหรัฐอเมริกา แม่น้�าสายนี้ใช้เดินเรือขนาดใหญ่ได้ สว นใหญเ ปน ไมประเภทไมสน ไดแก ตลอดทงั้ สาย เนอ่ื งจากมกี ารขดุ คลอง สรา้ งเขอ่ื นและประตนู า้� ไวเ้ ปน็ ระยะๆ และ แมน่ ำ�้ มสิ ซสิ ซปิ ปี เฟอร ไซเปรส และสปรูซ ซึง่ พนื้ ทีป่ า (Mississippi) ในสหรฐั อเมริกา มีความยาว ๓,๗๙๒ กิโลเมตร เป็นแหลง่ เพาะปลูกท่ีสา� คัญ แม่นา้� ในแคนาดาและสหรฐั อเมริกามีทัง้ และน้�าตกยังเป็นแหล่งก�าเนิดพลังงานไฟฟ้าที่ช่วยส่งเสริมการอุตสาหกรรมของประเทศให้เจริญ ปาธรรมชาติท่เี ปนของรฐั และพื้นท่ี รดุ หนา้ ปา เอกชนท่ีไดร บั อนญุ าตใหปลูก การทดี่ นิ แดนสว่ นใหญข่ องอเมรกิ าเหนอื มพี น้ื ทต่ี ง้ั แตเ่ ขตทรอปกิ ขนึ้ ไปจนถงึ เขตขวั้ โลกเหนอื เปน สวนปา สาํ หรบั ตดั มาใชใน ท�าให้มีภูมิอากาศเกือบทุกประเภทเช่นเดียวกับทวีปเอเชีย เช่น มีเขตภูมิอากาศแบบทุนดราท่ีมี อุตสาหกรรมปาไม อากาศหนาวเยน็ และยาวนานในฤดหู นาว เขตภูมอิ ากาศแบบภเู ขา เขตภมู ิอากาศแบบทะเลทราย เขตภูมิอากาศแบบป่าดิบช้ืน และเขตภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนท่ีค่อนข้างช้ืนในฤดูหนาว สว่ นฤดรู อ้ นแหง้ แลง้ และอบอนุ่ เปน็ ตน้ จากเขตภมู อิ ากาศทห่ี ลากหลายดงั กลา่ วทา� ใหอ้ เมรกิ าเหนอื อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลิตผลทางการเกษตรหลากหลายประเภทและมีแร่ธาตุนานาชนิด รวมท้ัง ป่าไม้ ป่าไม้มีทั้งป่าไม้ผลัดใบและป่าสนซ่ึงเป็นแหล่งท่ีมาของวัสดุก่อสร้างต่างๆ รวมท้ังการท�า กระดาษและเส้นใยสังเคราะห์อื่นๆ อีกมาก นอกจากน้ี บริเวณสองฟากฝั่งมหาสมุทรของทวีป อเมรกิ าเหนอื โดยเฉพาะชายฝง่ั ทะเลดา้ นตะวนั ออกยงั อดุ มสมบรู ณด์ ว้ ยอาหารทะเลและเปน็ แหลง่ ประมงทส่ี า� คัญของทวปี 135 @ มุม IT ศกึ ษาคน ควา ขอมูลเพ่ิมเติมเกย่ี วกับทวปี อเมรกิ าเหนือไดที่ www.mfa.go.th/web/478.php กระทรวงการตา งประเทศ คูมอื ครู 135

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate สํารวจคนหา (ยอจากฉบบั นักเรยี น 20%) ครูใหนกั เรยี นศกึ ษาพัฒนาการ ๒.๒ พัฒนาการและการสร้างสรรคด์ า้ นตา่ งๆ และการสรา งสรรคด า นตางๆ ของ สา� หรบั พัฒนาการและการสรา้ งสรรค์ดา้ นตา่ งๆ ของทวีปอเมริกาเหนือสามารถสรปุ ได้ ดังน้ี ทวีปอเมรกิ าเหนือเพมิ่ เติมจาก หนังสอื เรยี น แลวจัดทาํ รายงาน ๑) พฒั นาการดา้ นการเมอื งการปกครอง ทัง้ สหรฐั อเมรกิ าและแคนาดาปกครอง สง ครผู ูสอน ในระบอบประชาธิปไตย สหรัฐอเมริกาเดิมเป็นอาณานิคมของอังกฤษซึ่งอังกฤษได้ให้สิทธิการ ปกครองตนเองในระดับหน่ึง แต่อังกฤษก็ปกครองอย่างเอาเปรียบและเก็บภาษีสูง ซ่ึงท�าให้ อธิบายความรู ชาวอาณานิคมอเมริกันไม่พอใจและคิดแยกตัวออกจนน�าไปสู่สงครามการปฏิวัติของชาวอเมริกัน ระหวา่ ง ค.ศ. ๑๗๗๖ - ๑๗๘๑ หลงั การประกาศเอกราชจากองั กฤษไดส้ า� เรจ็ สหรฐั อเมรกิ าปกครอง ครตู ั้งคําถามใหนักเรียนตอบ เชน ประเทศแบบสหพนั ธรฐั สาธารณรฐั (FederalRepublic) ซง่ึ มกี ารแบง่ สรรอา� นาจระหวา่ งรฐั บาลกลาง • เพราะเหตใุ ดชาวอาณานคิ ม กบั รฐั บาลมลรฐั โดยมปี ระธานาธบิ ดเี ปน็ ประมขุ และมรี ฐั ธรรมนญู เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ หลักการส�าคัญของรัฐธรรมนูญ คือ ประชาชนเป็นแหล่งที่มาของอ�านาจสูงสุด หลังจากนั้น อเมริกนั ถึงทําสงครามประกาศ ชาวอเมริกันก็เริ่มขยายถ่ินฐานจากฝั่งตะวันออกของทวีปไปยังดินแดนทางตะวันตกจรดชายฝั่ง เอกราชจากอังกฤษ มหาสมทุ รแปซิฟิก ในชว่ งการกอ่ ร่างสรา้ งประเทศ สหรัฐอเมรกิ าดา� เนนิ นโยบายแยกตวั อย่อู ยา่ ง (แนวตอบ เพราะอังกฤษปกครอง โดดเด่ียวโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในยุโรป และประกาศหลักการมอนโร (Monroe Doctrine) ชาวอาณานคิ มอยา งกดขีแ่ ละ ใน ค.ศ. ๑๘๒๓ หา้ มประเทศในยโุ รปเขา้ มาแสวงหาผลประโยชน์ในทวีปอเมริกา เอาเปรยี บ เชน ไมใ หม ผี แู ทนของ ในชว่ งการกอ่ สรา้ งประเทศและขยายดนิ แดนไปทางตะวนั ตกนนั้ ปญั หาทาสเปน็ ปญั หา ตนในการเขา รว มประชมุ ที่รัฐสภา ส�าคัญทางสังคมที่ชาวอเมริกันก�าลังเผชิญอยู่ จนน�าไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกัน องั กฤษ มีการบังคับเรียกเกบ็ มลรัฐทางภาคเหนือซ่ึงเป็นเขตอุตสาหกรรมและไม่ใช้แรงงานทาสนิโกรมักขัดแย้งกับมลรัฐทาง ภาษสี งู เปน ตน) ภาคใต้ซึ่งเป็นเขตเกษตรกรรม ที่มีการปลูกฝ้าย ยาสูบ และข้าวเป็นพืชหลัก ท้ังอาศัยแรงงาน • ภายหลงั การประกาศเอกราช ทาสนิโกร ชาวอเมริกันทางภาคเหนือเรียกร้องให้มีการยกเลิกระบบทาส แต่ชาวอเมริกันทาง สหรฐั อเมรกิ ามกี ารปกครองแบบใด ภาคใต้ไม่เห็นด้วย นอกจากน้ี ในการจัดสรร (แนวตอบ แบบสหพันธรฐั งบประมาณจากรัฐบาลกลาง มลรัฐภาคใต้มัก สาธารณรัฐ โดยมปี ระธานาธิบดี เสียเปรียบเพราะเป็นเสียงส่วนน้อยในรัฐสภา เปนประมขุ และมรี ัฐธรรมนูญ ดังน้ัน เมอ่ื รัฐบาลกลางประกาศยกเลิกทาสโดย เปน กฎหมายสงู สดุ ของประเทศ มลรฐั ทางภาคเหนอื และมลรฐั ทางภาคตะวนั ตก หลักการสําคญั ของรัฐธรรมนญู ให้การสนับสนุน มลรัฐทางภาคใต้จึงประกาศ คอื ประชาชนเปนแหลง ที่มา แยกตัวออกจากรัฐบาลกลาง ฝ่ายรัฐบาลกลาง ของอาํ นาจสูงสดุ ) จึงเห็นว่ามลรัฐทางภาคใต้เป็นกบฏ สงคราม • ปญ หาทาสมคี วามเกีย่ วของกับ กลางเมืองอเมริกันจึงเกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. การทาํ สงครามกลางเมืองอเมริกนั ทาสนิโกรเป็นแรงงานหลักในการทำาเกษตรกรรมของ ๑๘๖๑ - ๑๘๖๕ และส้ินสุดลงด้วยความปราชัย อยา งไร มลรัฐทางภาคใต้ และได้เป็นสาเหตุท่ีนำาไปสู่การเกิด ของมลรัฐทางภาคใต้ซ่งึ เป็นสมรภูมิในการรบ (แนวตอบ แรงงานทาสมีความ สงครามกลางเมอื งอเมรกิ นั จําเปน ตอ มลรัฐทางภาคใตซ่ึงเปน เขตเกษตรกรรม ขณะที่มลรัฐทาง 1๓6 ภาคเหนอื ซึง่ เปนเขตอุตสาหกรรม เรียกรองใหม กี ารยกเลิกระบบทาส เกรด็ แนะครู มลรฐั ทางภาคใตไมยอมและได ประกาศแยกตวั ออกจากรัฐบาล ครคู วรเลาภมู ิหลังทางประวัติศาสตรข องทวีปอเมรกิ าเหนอื โดยเฉพาะสหรฐั อเมริกาให กลาง ฝา ยรัฐบาลกลางเหน็ วา นักเรยี นฟง เพราะเปนประเทศขนาดใหญท ีม่ ีความสาํ คญั มากซ่งึ มอี ิทธพิ ลตอ โลกปจจบุ นั มลรฐั ทางภาคใตเปนกบฏ จงึ นาํ อยางยงิ่ โดยเร่ิมจากเร่ืองราวการอพยพของผคู นจากประเทศตา งๆ ในยุโรปเขา มาตงั้ ถนิ่ ฐาน ไปสูการทาํ สงครามกลางเมอื งข้นึ ) ในดินแดนใหมแ ละรวมตัวกันกอตงั้ เปน ประเทศขนึ้ 136 คูม ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate หลังสงครามกลางเมืองส้ินสุดลง สหรฐั อเมริกาก็มีความมั่นคงทางการเมอื งและการ อธิบายความรู ปกครอง รัฐบาลกลางจะควบคมุ และก�าหนดนโยบายทส่ี �าคัญในดา้ นการออกเงินตรา นโยบายตา่ ง ประเทศ และการป้องกันประเทศ และใหร้ ฐั บาลมลรฐั มีสิทธิในการปกครองตนเอง ทั้งรฐั บาลกลาง ครสู นทนากบั นักเรยี นเกี่ยวกับ และรฐั บาลมลรฐั จะแบง่ แยกอา� นาจการปกครองเปน็ ฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั ิ บรหิ าร และตลุ าการ ซงึ่ อา� นาจ พัฒนาการดา นการเมืองการปกครอง ท้งั ๓ ฝา่ ยเปน็ อิสระต่อกนั และคอยตรวจสอบ ของประเทศแคนาดา โดยใหตัวแทน และถ่วงดุลอ�านาจซึ่งกันและกัน ในส่วนของ นกั เรียนออกมาสรปุ สาระสาํ คญั รัฐบาลกลาง อ�านาจนิติบัญญัติอยู่ที่รัฐสภา บริหารอยู่ที่ประธานาธิบดี และตุลาการอยู่ท่ี นกั เรยี นควรรู ศาลสูงสุดตามล�าดับ หลักการส�าคัญของการ ปกครอง คือ ประชาชนเป็นแหล่งท่ีมาของ รฐั บาลกลาง เปน หนว ยการ อ�านาจสงู สุด ปกครองสูงสุด มีฝายบริหารซง่ึ มี ส่วนแคนาดาเดิมเป็นอาณานิคม ประธานาธบิ ดีเปนผนู าํ มรี ัฐสภา ของฝรั่งเศส แต่ฝรั่งเศสก็ไม่ได้สนใจที่จะ ประกอบดว ย 2 สภา ไดแก สภาสูง ปกครองอย่างจริงจังนัก เพราะเห็นว่ายังเป็น ทาำ เนยี บขาว (White House) เปน็ สถานทท่ี าำ งานและทพี่ กั หรอื วุฒิสภา จํานวน 100 คน ดนิ แดนลา้ หลงั และไมม่ กี ารสา� รวจพน้ื ทที่ งั้ หมด ของประธานาธบิ ดสี หรฐั อเมรกิ า ตงั้ อยทู่ กี่ รงุ วอชงิ ตนั ด.ี ซ.ี มาจากการเลือกตงั้ และสภาลา ง หรอื สภาผแู ทนราษฎร ซึ่งมาจาก ฝรั่งเศสเพียงแต่ใช้แคนาดาเป็นตลาดใหญ่ของการค้าขนสัตว์เท่านั้น เม่ืออังกฤษได้อาณานิคม การเลือกตัง้ จากประชาชนเชน กนั อเมริกันในทวีปอเมริกาเหนือ อังกฤษจึงต้องการแย่งชิงตลาดการค้าขนสัตว์ของฝร่ังเศสและน�า สุดทา ย คอื ศาลสูง หัวหนา ศาลสูง ไปสู่การเกิดสงครามระหว่างอังกฤษกับฝร่ังเศสใน ค.ศ. ๑๗๕๖ ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และต้อง จะมาจากการแตง ตง้ั ของ สูญเสียแคนาดาให้อังกฤษ อังกฤษใช้นโยบายประนีประนอมในการปกครองชาวแคนาดาเชื้อสาย ประธานาธบิ ดี ฝรง่ั เศส โดยให้ควเิ บก (Quebec) ซงึ่ ประชากรร้อยละ ๙๙ มเี ช้อื สายฝรั่งเศสมสี ิทธปิ กครองตนเอง ระดับหนึ่ง ขณะเดียวกันอังกฤษก็สนับสนุนให้ชาวอังกฤษเข้ามาตั้งถิ่นฐานในแคนาดามากข้ึน นักเรียนควรรู การอพยพของชาวอังกฤษท่ีเกิดข้ึนอย่างต่อเน่ืองท�าให้เกิดวัฒนธรรมท่ีแตกต่างกันอย่างมาก ระหวา่ งชาวแคนาดาเช้อื สายอังกฤษกบั ชาวแคนาดาเช้อื สายฝร่ังเศส รฐั บาลมลรฐั แตล ะมลรัฐจะมี แม้อังกฤษจะปกครองแคนาดาอย่างผ่อนปรนแต่ชาวแคนาดาก็ต่อต้านระบบการ รัฐธรรมนญู เปน ของตนเองเพ่อื ปกครองอาณานิคมของอังกฤษและเรียกร้องให้ปฏิรูปการเมืองโดยเฉพาะการมีผู้แทนรัฐสภาที่มา กาํ หนดรปู แบบการปกครอง จากการเลือกต้ัง อังกฤษไม่เห็นด้วยในระยะแรกแต่เม่ือชาวแคนาดาเคลื่อนไหวต่อต้านจนน�าไปสู่ การปกครองในมลรฐั จะแยกอํานาจ การจลาจล อังกฤษจงึ ยอมปฏริ ปู ระบบการเมอื งและเปล่ยี นรปู แบบการปกครองเป็นสหพันธรฐั ใน ในการปกครองออกเปน 3 ฝา ย ค.ศ. ๑๘๖๗ โดยมีสมเด็จพระราชนิ นี าถเอลิซาเบทที่ ๒ แห่งสหราชอาณาจกั รเป็นประมขุ ทรงใช้ เชน เดยี วกับรฐั บาลกลางหรือฝาย พระราชอ�านาจผ่านผู้ส�าเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะท่ีอ�านาจบริหารประเทศที่แท้จริงอยู่ท่ี บริหาร มผี ูว าการมลรัฐ (Governor) นายกรัฐมนตรีและรัฐสภา ซึ่งมาจากการเลอื กตั้งโดยตรงของ ประชาชนเปน หวั หนาสงู สดุ 1๓7 @ มุม IT ศกึ ษาคน ควาขอมูลเพ่มิ เติม เกีย่ วกบั ประเทศแคนาดาไดท ่ี www.canadainternational.gc. ca/thailand-thailande/ สถานทตู แคนาดาประจาํ ประเทศไทย คมู ือครู 137

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate อธิบายความรู (ยอ จากฉบับนกั เรยี น 20%) • เพราะเหตใุ ดภายหลังการประกาศ รัฐสภาแคนาดา ประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎรหรือสภาสามัญที่สมาชิกมาจาก เอกราชจากชาติตะวนั ตก เมก็ ซิโก การเลอื กตง้ั และวฒุ สิ ภาซง่ึ สมาชกิ มาจากการแตง่ ตง้ั หนา้ ทหี่ ลกั ของวฒุ สิ ภา คอื การใหค้ า� ปรกึ ษา จึงมีการเมืองการปกครอง และยับยัง้ กฎหมายจากสภาสามัญทว่ี ุฒิสภาไมเ่ หน็ ด้วย มกี ารแบ่งอ�านาจระหว่างรัฐบาลกลางกับ ท่ไี มม ่นั คงนัก รัฐบาลมณฑลต่างๆ โดยรัฐบาลกลางดูแลเร่ืองส�าคัญต่างๆ เช่น การป้องกันประเทศ การค้า (แนวตอบ เพราะประชากรสว นใหญ นโยบายต่างประเทศ การเงนิ เปน็ ต้น รฐั บาลทอ้ งถน่ิ ในมณฑลตา่ งๆ มีอ�านาจปกครองตนเองสูง ยังมีฐานะยากจน ไมมกี ารศึกษา โดยบรหิ ารงานผา่ นระบบรัฐสภา (แตไ่ มม่ วี ุฒิสภา) เพื่อดา� เนินการดา้ นทรัพยากรธรรมชาติ การ ทดี่ เี พียงพอ จงึ ขาดความรูค วาม ศกึ ษา การคมนาคม และสุขภาพ เขา ใจเกยี่ วกับระบบการเมือง ส่วนกลุ่มประเทศในอเมริกากลางโดยเฉพาะเม็กซิโกซ่ึงเดิมเป็นอาณานิคมของสเปน การเมอื งจงึ เปนระบอบเผด็จการ และได้ก่อการปฏิวัติประกาศอิสรภาพจากสเปนเป็นผลส�าเร็จใน ค.ศ. ๑๘๑๐ หลังการปฏิวัติ ท่ีมกี ารแยงชิงอาํ นาจกันอยูเสมอ) การเมืองการปกครองก็ไม่มั่นคง เพราะประชากรส่วนใหญ่ยากจน ไม่มีการศึกษา และขาด ประสบการณแ์ ละความรูค้ วามเขา้ ใจในระบบการเมือง การปกครองจึงเปน็ แบบเผดจ็ การและมักมี • ภายหลงั การปฏวิ ัตใิ น ค.ศ. 1917 การแย่งชิงอ�านาจกันเสมอ อย่างไรก็ตาม ใน ค.ศ. ๑๙๑๗ มีการปฏิวัติเพ่ือเปลี่ยนแปลงระบอบ เม็กซิโกมีการปกครองรปู แบบใด การเมอื งใหเ้ ปน็ ประชาธปิ ไตยโดยมรี ฐั ธรรมนญู เปน็ กฎหมายหลกั ของประเทศ ซงึ่ รฐั ธรรมนญู ฉบบั (แนวตอบ ปกครองในระบอบ ค.ศ. ๑๙๑๗ ยังคงใชส้ ืบตอ่ กันมาจนถึงปจั จุบัน เม็กซโิ กจงึ ปกครองแบบสหพันธรัฐ มีรัฐบาลกลาง ประชาธปิ ไตยแบบสหพันธรัฐ และรัฐบาลท้องถ่ิน มีประธานาธิบดีเป็นท้ังประมุขของประเทศและผู้น�ารัฐบาล และเป็นผู้แต่งตั้ง มรี ฐั บาลกลางและรัฐบาลทองถ่ิน คณะรัฐมนตรี ฝ่ายนิติบัญญัติมีวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจาก มีประธานาธิบดเี ปนประมุข การเลือกต้งั โดยตรงและการเลือกตัง้ แบบสดั สว่ น (party list) ของประเทศและประมุขฝา ย บรหิ าร ไมม รี องประธานาธบิ ดี ๒) พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจของประเทศในอเมริกาเหนือเป็น ประธานาธบิ ดีมอี าํ นาจแตงตง้ั ระบบการคา้ เสรี ทเี่ อกชนตา่ งแขง่ ขนั กนั ดา� เนนิ คณะรัฐมนตรี ฝา ยนติ บิ ญั ญตั ิ การทางธุรกิจอย่างอิสระภายในขอบเขตของ มีวุฒิสภาและสภาผแู ทนราษฎร กฎหมาย สว่ นรฐั จะควบคมุ และดา� เนนิ การทาง สมาชกิ สภาผูแทนราษฎรมาจาก ธุรกจิ ทเี่ กี่ยวกบั กิจการสาธารณะและสวัสดภิ าพ การเลือกตงั้ โดยตรงและการ ของสงั คมสว่ นรวม ทรพั ยากรและแรธ่ าตทุ ม่ี อี ยู่ เลอื กตงั้ แบบสดั สวน) มาก ตลอดจนเงินทุนและแรงงานท่ีมีคุณภาพ จ�านวนมากและมีเส้นทางขนส่งท่ีดี ท�าให้ นกั เรียนควรรู อเมริกาเหนือเป็นทวปี ทเ่ี จริญกา้ วหนา้ ทางดา้ น อตุ สาหกรรมของโลก สหรฐั อเมรกิ าเปน็ ประเทศ อตุ สาหกรรมทีส่ ําคญั เชน อุตสาหกรรมผลติ รถยนตใ์ นสหรฐั อเมรกิ าทำาให้ประเทศมี ผนู้ า� ทางอตุ สาหกรรมทส่ี า� คญั รายไดป้ ระชาชาติ การผลติ ยานยนต โดยอตุ สาหกรรม รายได้จากการผลิตสินค้าและมีความเจริญก้าวหน้าทาง กวา่ คร่งึ มาจากสินค้าอตุ สาหกรรม รถยนตของสหรฐั อเมรกิ ามศี ูนยกลาง ด้านอุตสาหกรรมของโลก อยทู ี่เมืองดที รอยต เครื่องจกั รกล อาวุธยุทโธปกรณ เครอ่ื งบิน จรวด 1๓8 ดาวเทยี ม เหล็กและเหลก็ กลา อปุ กรณและเครอ่ื งใชไฟฟา เคร่อื งมอื สือ่ สารและโทรคมนาคม อาหารสําเรจ็ รูป เปน ตน 138 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Engage Explore Expand Evaluate ความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจส่วนหน่ึงเป็นเพราะมีการจัดต้ังระบบธนาคารกลาง อธิบายความรู เพอื่ ควบคมุ ธนาคารและสถาบนั การเงนิ ตา่ งๆ ใหม้ น่ั คงขน้ึ ในเรอ่ื งของการใหส้ นิ เชอ่ื อตั ราดอกเบยี้ และการหมนุ เวยี นของเงนิ ขณะเดยี วกนั รฐั บาลกจ็ ดั ระบบประกนั สงั คม (Social Security System) ครูต้งั คาํ ถามใหนกั เรยี นตอบวา และโครงการสวสั ดกิ ารสงั คมดา้ นตา่ งๆ เพอื่ ใหป้ ระชากรมหี ลกั ประกนั ทมี่ นั่ คงในการดา� รงชวี ติ การ เพราะเหตุใดสภาพเศรษฐกจิ ของ ประกันสังคมและโครงการสวสั ดกิ ารดงั กลา่ วจึงมีสว่ นช่วยใหเ้ ศรษฐกิจมเี สถยี รภาพดว้ ย สหรัฐอเมรกิ ากบั แคนาดาจึงมคี วาม ส่วนแคนาดา ระบบเศรษฐกิจขนึ้ อยู่กับทรัพยากรธรรมชาตเิ พราะเป็นประเทศผู้ผลิต เจริญกาวหนากวาประเทศอืน่ ใน และสง่ ออกยูเรเนียม ถา่ นหิน แกส๊ โปแตสเซียม และอน่ื ๆ อุตสาหกรรมท่ีสา� คัญของประเทศ เช่น ทวีปอเมรกิ าเหนอื อุตสาหกรรมป่าไม้ อุปกรณ์คมนาคม ผลิตภัณฑ์จากกระดาษและเคมีภัณฑ์ การแปรรูปอาหาร เปน็ ตน้ การทส่ี หรฐั อเมรกิ าใหค้ วามชว่ ยเหลอื ดา้ นบคุ ลากรและเทคโนโลยสี มยั ใหม่ แคนาดาจงึ เปน็ (แนวตอบ เพราะประชากร ประเทศอตุ สาหกรรมขนาดใหญ่อกี ประเทศหนง่ึ ของโลก โดยเขตอุตสาหกรรมจะอยู่บรเิ วณตอนใต้ สว นมากไดร บั การศึกษามาอยา งดี ส่วนเม็กซิโกและกลุ่มประเทศในอเมริกากลาง รวมทั้งกลุ่มหมู่เกาะเวสต์อินดีสเป็นประเทศก�าลัง จงึ พฒั นาเศรษฐกจิ ใหเ จรญิ กา วหนา พฒั นา ความเจรญิ ทางเศรษฐกจิ ยงั คงอย่ใู นระดบั ปานกลางเพราะประชากรสว่ นใหญป่ ระกอบอาชพี มีการสงออกสนิ คาทางดาน เกษตรกรรมและการประมง ระบบเศรษฐกจิ ของประเทศเหลา่ นมี้ ลี กั ษณะสา� คญั ทค่ี ลา้ ยคลงึ กนั คอื อุตสาหกรรมมากกวาเกษตรกรรม การพง่ึ พาเงนิ ลงทนุ จากตา่ งประเทศและพงึ่ พงิ สหรฐั อเมรกิ ากบั แคนาดาซง่ึ เปน็ ตลาดสง่ ออกทส่ี า� คญั ขณะท่ปี ระเทศอนื่ ๆ จะสง ออก เมก็ ซโิ กและประเทศในกลมุ่ อเมรกิ ากลางไดแ้ กป้ ญั หาเศรษฐกจิ ดว้ ยการรวมกลมุ่ ทางเศรษฐกจิ อยา่ ง สนิ คาเกษตรกรรมมากกวา ใกล้ชดิ เชน่ การจดั ตัง้ เขตการคา้ เสรีทวีปอเมรกิ า (Free Trade Area of the Americas : FTAA) อุตสาหกรรม จึงมกั ขาดดลุ ขึ้นและพยายามขยายความสมั พันธ์ด้านเศรษฐกจิ การคา้ และการลงทุนกบั ประเทศในภูมภิ าค การคา กบั ตางประเทศ) ๓) พัฒนาการด้านสังคมและ ศลิ ปวฒั นธรรม ทวปี อเมรกิ าเหนอื มผี คู้ นหลาก นักเรียนควรรู หลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ร่วมกัน วัฒนธรรมและ วิถีชีวิตจึงเป็นวัฒนธรรมท่ีผสมผสาน สหรัฐ- เกษตรกรรม พชื ทปี่ ลกู จนกลาย อเมริกาและแคนาดาซ่ึงประชากรส่วนใหญ่เป็น เปน สนิ คาเกษตรกรรม เชน กลว ย คนผวิ ขาวจะมแี บบแผนทางสงั คมและวฒั นธรรม ยาสบู กาแฟ โกโก ขา วโพด โดย ท่ีคลา้ ยคลึงกัน โดยสงั คมกล่มุ แองโกลอเมริกา ผลผลิตสว นใหญจะสงออกไปยงั จะเป็นสังคมเมืองและสังคมอุตสาหกรรมที่มี สหรฐั อเมริกา เมก็ ซโิ ก ประเทศใน มาตรฐานการครองชพี สงู และเจรญิ กา้ วหนา้ ทาง ทวปี อเมรกิ าใต และสหภาพยโุ รป วิทยาการ ผู้คนมีความขยันและเช่ือมั่นในการ ศกึ ษา มรี ะเบยี บวนิ ยั ในการทา� งาน รกั กฬี าเปน็ สภาพสังคมเมอื งนวิ ยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมรกิ า จะเห็น นกั เรียนควรรู ชวี ติ จติ ใจ และนยิ มการเตรยี มแผนงานลว่ งหนา้ ได้ถึงความเจริญเติบโตของเมืองที่มีทั้งตึกสูง อาคาร ตลอดจนชอบความสะดวกสบายในชวี ติ ประจา� วนั บา้ นเรือน และยวดยานพาหนะ การรวมกลมุ ทางเศรษฐกจิ ทสี่ าํ คญั เชน กลุมขอตกลงเขตการคาเสรี 1๓9 อเมริกาเหนือ หรือนาฟตา (NAFTA) กอ ตงั้ เมอ่ื ค.ศ. 1994 กลมุ ขอ ตกลงเขต @ มมุ IT การคาเสรีสหรัฐอเมริกา-สาธารณรัฐ โดมินิกัน-อเมริกากลาง หรือคาฟตา ศกึ ษาคน ควา ขอ มูลเพมิ่ เตมิ เกี่ยวกับเขตการคาเสรแี หง ทวปี อเมริกาไดท ่ี www.mfa.go.th/ (CAFTA) เปนขอตกลงทางเศรษฐกิจ fealac/thai_latin_america_focus_detail.php?section=2&id=40 กองลาตินอเมริกา ที่สหรัฐอเมริกาทํากับสาธารณรัฐ กรมอเมรกิ าและแปซฟิ กใต โดมนิ กิ นั และประเทศในอเมรกิ ากลาง อีก 5 ประเทศ ไดแก คอสตาริกา เอลซัลวาดอร กัวเตมาลา ฮอนดูรัส และนกิ ารากัว เมอื่ ค.ศ. 2005 คมู ือครู 139

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate สาํ รวจคน หา (ยอ จากฉบบั นกั เรยี น 20%) นกั เรยี นไปสืบคนเพ่มิ เตมิ เกีย่ วกับ อย่างไรก็ตาม การที่มีชนกลุ่มน้อยต่างๆ อาศัยอยู่ในประเทศเป็นจ�านวนมาก เช่น วฒั นธรรมของกลมุ ลาตนิ อเมรกิ า พวกยุโรปตะวันออก จนี อินเดยี เมก็ ซกิ นั เปน็ ตน้ ทา� ใหส้ ังคมและวัฒนธรรมของชนกลมุ่ นอ้ ย และวิเคราะหถึงความสาํ คัญทาง เหล่านเ้ี ปน็ ส่วนหนึ่งของเอกลกั ษณ์ทางวฒั นธรรมแหง่ ประเทศ วฒั นธรรมทม่ี ีตอประเทศ สว่ นสังคมกลุ่มลาตนิ อเมรกิ าในเม็กซโิ กและอเมริกากลาง ซ่งึ ประชากรสว่ นใหญ่เปน็ พวกเมสติโซ เป็นสังคมเกษตรท่ีมีความแตกตา่ งมากระหว่างเมอื งกบั ชนบท ประชากรส่วนใหญ่ อธบิ ายความรู ยากจนและจา� นวนไมน่ อ้ ยอา่ นเขยี นไมไ่ ด้ สว่ นวฒั นธรรมจะเปน็ วฒั นธรรมผสมระหวา่ งวฒั นธรรม ของอินเดียนแดงกับสเปน และวัฒนธรรมสเปนกับวัฒนธรรมนิโกรแอฟริกันและยุโรปตะวันตก ครูใหน ักเรียนรวมกันวิเคราะหถงึ การเตน้ รา� และดนตรกี เ็ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของชวี ติ ทางวฒั นธรรมและเปน็ อตั ลกั ษณท์ สี่ า� คญั ของประเทศ ความแตกตางทางสงั คมและ แถบนี้ ดนตรีและการเต้นรา� ทรี่ ู้จักกันดีท่วั โลก คือ แทงโกและแซมบา ในแตล่ ะปยี งั มงี านเทศกาล วฒั นธรรมระหวางกลุมแองโกล คารน์ ิวลั ประจ�าปีซึง่ จัดข้ึนก่อนฤดถู อื ศลี จะมีการเต้นรา� กันอย่างสนกุ สนาน อเมริกากบั กลุม ลาตินอเมรกิ า ๒.๓ อทิ ธิพลของทวีปอเมริกาเหนอื ตอ่ สงั คมโลก (แนวตอบ สังคมกลุมแองโกล สหรฐั อเมริกาซึ่งเป็นประเทศท่มี ง่ั คัง่ และมีความเจริญก้าวหนา้ ทั้งทางด้านอุตสาหกรรมและ อเมรกิ าจะเปน สังคมเมืองและ เทคโนโลยตี า่ งๆ มากที่สดุ ในทวปี อเมรกิ าเหนือไดช้ ือ่ วา่ เปน็ ผู้นา� การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย สงั คมอตุ สาหกรรมทม่ี มี าตรฐาน อุดมการณ์ทางการเมืองของสหรัฐอเมริกาที่ถือว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกันและทุกคน การครองชพี สูงและมวี ทิ ยาการเจริญ ต้องได้รับสิทธิตามธรรมชาติท่ีผู้ใดจะลิดรอนหรือบิดเบือนไปไม่ได้ ก็เป็นหลักการปกครองที่ กา วหนา ประชากรไดรับการศึกษา นานาประเทศทั่วโลกยอมรบั และทา� ใหอ้ ดุ มคตอิ เมริกันท่ีว่า รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน อยา งดี สว นสงั คมกลมุ ลาตินอเมริกา และเพื่อประชาชนแพร่หลายไปทั่วโลก ส่วนแนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะสิทธิ เสรีภาพ ประชากรสวนใหญเปน พวกเมสติโซ ขั้นพ้ืนฐานในการแสดงออกซ่ึงความคิดเห็นและการนับถือศาสนาก็เป็นแนวทางการปกครองที่ เปน สงั คมเกษตร ประชากรสว นใหญ ประเทศตา่ งๆ นา� ไปใช้ในการปกครองประเทศ สหรัฐอเมรกิ าจึงเปน็ ประเทศอภิมหาอา� นาจที่เปน็ อา นเขียนไมไ ด วัฒนธรรมจะผสม ผู้น�าของประเทศต่างๆ ในการปกครองตาม ระหวา งวฒั นธรรมอินเดยี นแดง ระบอบประชาธิปไตย กับสเปน และวฒั นธรรมสเปนกับ ความก้าวหน้าทางการคมนาคมสื่อสาร วฒั นธรรมนโิ กรแอฟริกันและ และเทคโนโลยยี งั ทา� ใหอ้ เมรกิ าเหนอื โดยเฉพาะ ยโุ รปตะวนั ตก) สหรฐั อเมรกิ าซงึ่ เปน็ ประเทศชน้ั นา� ในการพฒั นา ดา้ นการสอ่ื สารนา� แบบแผนชวี ติ และวฒั นธรรม นักเรยี นควรรู อเมริกันเผยแพรไ่ ปทั่วโลก เช่น ดนตรีอเมริกนั ภาพยนตร์ฮอลลวี ดู อาหารจานด่วน และอ่ืนๆ แทงโก ตรงกบั ภาษาอังกฤษวา ท�าให้ผู้คนท่ัวโลกรู้จักและคุ้นเคยกับวัฒนธรรม “Tango” มาจากภาษาละตินวา วฒั นธรรมการรบั ประทานอาหารจานดว่ น เปน็ วฒั นธรรม อเมรกิ นั “Tangere” ซ่ึงหมายถงึ การสัมผสั อเมรกิ นั อย่างหนง่ึ ท่ีแพรห่ ลายในหลายประเทศ แทงโกเกดิ ขึ้นครงั้ แรกในชวง ระหวา ง ค.ศ. 1850 - 1880 ใน 1๔0 เมอื งบัวโนสไอเรสของประเทศ อารเ จนตนิ า จากนนั้ จงึ คอ ยๆ แผ นกั เรยี นควรรู ขยายไปยงั ประเทศตางๆ ท่วั โลก การเตน แทงโกกลายเปนสญั ลกั ษณ แซมบา ตรงกับภาษาองั กฤษวา “Samba” มีรากฐานมาจากภาษาแองโกลาทมี่ ีความหมายวา และเปน สวนหน่ึงในชวี ติ ของ คําเชอ้ื เชิญเพอ่ื ไปเตนราํ ตน แบบของแซมบามาจากแอฟรกิ า แตไดร บั การพัฒนามากทสี่ ุดที่ ชาวอารเจนตินาจนถึงปจ จบุ นั ประเทศบราซิล ซึ่งจะปรากฏใหเหน็ ในงานเทศกาลรืน่ เรงิ และตามโรงเรียนสอนจงั หวะแซมบา ในประเทศบราซลิ 140 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate นอกจากน้ี ความเป็นผูน้ า� ของสหรฐั อเมริกาในด้านเทคโนโลยีเรือ่ งไมโครชปิ คอมพิวเตอร์ กระตนุ ความสนใจ โทรศพั ทเ์ คลื่อนท่ี รวมถงึ การถา่ ยทอดสดเหตกุ ารณ์สา� คญั ตา่ งๆ ผา่ นดาวเทยี มทา� ให้ผคู้ นท่วั โลก กลายเปน็ สว่ นหนง่ึ ของกนั และกนั โลกกถ็ กู ยอ่ ใหม้ ขี นาดเลก็ ลง กระแสโลกาภวิ ตั น์ (Globalization) ครกู ระตุนความสนใจของนกั เรยี น ท่ีเกิดข้นึ ในปลายครสิ ต์ศตวรรษท่ี ๒๐ ซ่ึงเรม่ิ ตน้ ขึ้นในอเมริกาเหนือกท็ �าใหเ้ กดิ การเปล่ยี นแปลงที่ โดยถามวา สา� คญั ในประวัติศาสตร์โลก • นกั เรียนเคยดภู าพยนตร ความเปน็ ผูน้ า� ด้านอวกาศและนิวเคลยี ร์ของสหรฐั อเมริกา ซงึ่ ทา� ให้อเมริกาเหนอื มีบทบาท ฮอลลวี ดู หรอื เคยทานอาหาร โดดเด่นด้านความมั่นคงทางการเมืองและเป็นผู้น�าทางการทหารของโลกได้ท�าให้ประชาคมโลก จานดว นอยางแมคโดนลั ด ตระหนักถึงอา� นาจความนา่ กลัวของอาวุธนวิ เคลยี ร์ สหรัฐอเมริกาจึงมบี ทบาทส�าคญั ในการจะชว่ ย หรอื เคเอฟซีหรือไม สร้างโลกท่ีมีสันติภาพ เพราะสามารถผลักดันเรื่องการลดก�าลังอาวุธและเลิกล้มการสร้างอาวุธ นิวเคลียร์ซึ่งจะน�าไปสู่การร่วมมือกันในการป้องกันการเกิดสงคราม นอกจากน้ี ความส�าเร็จของ • นกั เรยี นรไู หมวา ตน กาํ เนดิ ของ สหรัฐอเมริกาในการส่งมนุษย์เดินทางไปสู่อวกาศและถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทางไปนอกโลก ภาพยนตรฮ อลลีวูด หรืออาหาร ท�าให้ผู้คนทั่วโลกสามารถเห็นโลกท่ีตนอาศัยอยู่ได้เป็นครั้งแรก และต่างตระหนักถึงความส�าคัญ จานดวนเหลา นน้ั มาจากที่ใด ของโลกและภยั รา้ ยแรงของอาวธุ นวิ เคลยี รท์ สี่ ามารถทา� ลายโลกไดภ้ ายในพรบิ ตา แนวความคดิ ของ การปอ้ งกนั โลกไม่ใหถ้ กู ทา� ลาย ก็ไดน้ า� ไปสกู่ ารเสรมิ สรา้ งความรว่ มมอื ระหวา่ งกนั และการพยายาม สํารวจคนหา จะแกไ้ ขปัญหาความขัดแยง้ ต่างๆ ของโลก ครใู หนักเรียนศึกษาคน ควา เพมิ่ เติมเกีย่ วกับอิทธพิ ลของทวปี อเมรกิ าเหนอื ตอ สงั คมโลกจาก แหลงการเรียนรตู างๆ อธบิ ายความรู ครูซกั ถามนกั เรยี นวา นอกจาก ภาพยนตรฮ อลลวี ูดและอาหารจาน ดว นแลว อเมรกิ าเหนอื ยงั มีอิทธพิ ล ตอโลกในเรอ่ื งใดอีกบาง (แนวตอบ เชน อดุ มการณทาง การเมืองทีว่ า รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพ่อื ประชาชน เร่อื งเทคโนโลยีเกี่ยวกับคอมพวิ เตอร การคมนาคมสอื่ สาร อวกาศ เร่อื ง ดนตรี เชน ร็อกแอนดโ รล เปนตน) การปลอ่ ยกระสวยอวกาศขององค์การนาซา (NASA) ของสหรฐั อเมริกา แสดงให้เหน็ ถงึ ความเปน็ ผ้นู ำาของสหรฐั อเมรกิ า ขยายความเขา ใจ ทางดา้ นเทคโนโลยอี วกาศ ครูใหน ักเรียนวิเคราะหว า 1๔1 วัฒนธรรมอเมริกนั อะไรบาง ท่ีนักเรยี นสมควรนาํ มาใชใ ห เกดิ ประโยชนใ นการดําเนนิ ชวี ติ ประจําวัน นกั เรียนควรรู คูมือครู 141 นวิ เคลยี ร สหรัฐอเมรกิ าเปนประเทศแรกท่ผี ลติ อาวธุ นิวเคลียรไ ด โดยมกี ารนาํ มาใชจริง ในตอนปลายสงครามโลกครงั้ ที่ 2 ดว ยการนําระเบดิ นวิ เคลียร 2 ลกู ไปทิ้งทเ่ี มอื งฮิโระชิมะและ เมอื งนะงะซะกขิ องญปี่ ุน หลังจากนน้ั ไดม กี ารทดลองอกี หลายรอยครัง้ ประเทศทีแ่ จง วา มอี าวธุ นวิ เคลยี รแลว ไดแ ก สหรฐั อเมรกิ า รสั เซีย องั กฤษ ฝร่ังเศส จีน อินเดีย และปากีสถาน

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate กระตนุ ความสนใจ (ยอ จากฉบับนกั เรียน 20%) ครูกระตุนความสนใจนกั เรียนดว ย ó. ·Ç»Õ ÍàÁÃÔ¡Ò㵌 การใหนักเรยี นยกตวั อยางสถานท่ี สําคญั ๆ ในอเมรกิ าใตท น่ี ักเรยี นรูจกั ทวีปอเมริกาใตเปนดินแดนสวนใหญของดินแดนที่เรียกวา ลาตินอเมริกา ประกอบดวย ๑๙ ประเทศ มอี าณาเขตตงั้ แตต อนเหนอื ของประเทศเมก็ ซโิ กจนถงึ ตอนใตส ดุ ของทวปี อเมรกิ าใต ประเทศ สํารวจคน หา สวนใหญเคยเปนอาณานิคมของสเปน จากสภาพภูมิประเทศท่ีเปนแนวภูเขายาวเหยียด ท่ีราบสูง ทะเลทรายและปา ดงดบิ ทาํ ใหใ ชป ระโยชนจ ากทดี่ นิ ไมส ะดวก การขาดแคลนเงนิ ทนุ ทาํ ใหต อ งอาศยั ครูใหน กั เรยี นศึกษาเกย่ี วกับ ความชว ยเหลอื จากภายนอก จงึ เปด โอกาสใหม หาอาํ นาจเขา ไปมอี ทิ ธพิ ลและแสวงหาผลประโยชน ทตี่ ้ังและสภาพภมู ศิ าสตรของทวีป ขณะเดียวกันการเมอื งทเ่ี ปลี่ยนแปลงอยเู นืองๆ ก็สง ผลกระทบตอการพัฒนาเศรษฐกจิ ดว ยเชน กัน อเมริกาใตเพม่ิ เตมิ จากหนงั สอื เรียน ๓.๑ ที่ตัง้ และสภาพภูมิศาสตรทมี่ ีผลตอ พัฒนาการของทวปี อธิบายความรู ทวีปอเมริกาใตเปนทวีปท่ีใหญเปนอันดับ ๔ ของโลก พื้นท่ีสวนใหญอยูในเขตซีกโลกใต • จากแผนท่ที วีปอเมริกาใตใน โดยมพี นื้ ทท่ี งั้ หมดประมาณ ๑๗.๘ ลา นตารางกโิ ลเมตร มปี ระชากรประมาณ ๖๓๐ ลา นคน สาํ หรบั หนา 142 จงอธบิ ายลักษณะทัว่ ไป สภาพภูมปิ ระเทศและภูมิอากาศไดรับอทิ ธิพลจาก ๒ องคป ระกอบหลกั ดงั น้ี ของทวีปมาพอสังเขป (แนวตอบ ทวปี อเมริกาใตมลี ักษณะ ๑) เทือกเขาแอนดีส ทอดตัวยาวจากเหนือจรดใตขนานไปกับชายฝงมหาสมุทร รูปรางคลายรปู สามเหล่ียมโดย พนื้ ท่ีทางตอนบนเปน ฐานกวา ง แปซฟิ ก ราวกบั กระดกู สนั หลงั ของทวปี มรี ะยะทางประมาณ ๗,๖๕๐ กโิ ลเมตร ประกอบดว ยภเู ขาไฟ แลวเรยี วแคบลงมาทางใต มี หลายลกู จงึ ทาํ ใหม กี ารทาํ เกษตรกรรมในทส่ี งู ซงึ่ ใชป ระโยชนจ ากดนิ ภเู ขาไฟ บรรดาอาณาจกั รของ ดินแดนตอ เนื่องมาจากทวีป อเมรกิ าเหนือ และมมี หาสมุทร แผนท่ที วปี อเมรกิ าใต ชาวพ้ืนเมืองกอนถูกชาติตะวันตกรุกรานจึง อยูลอมรอบ คือ มหาสมทุ ร กอตั้งในเขตเทือกเขานี้รวมท้ังจักรวรรดิอินคา แอตแลนติกขนาบอยูทางดา น ตรนิโติแเดบดโกและ (Incas) หลังสเปนเขายึดครองแลวก็พบอีกวา ตะวนั ออก และมหาสมทุ รแปซิฟก เปน เขตทอี่ ดุ มสมบรู ณด ว ยแรธ าตุ จงึ สรา งความ ขนาบอยูทางดานตะวันตก) เวเนซุเอลา มงั่ คั่งอยางมหาศาล กายอานา นซาเูรมิ • สภาพภูมศิ าสตรข องอเมรกิ าใต เ ทื อ ก เ ข า แโคลอมเบยี ดนิ แดนเฟรนชเ กียนา ๒) แมนํ้าแอมะซอน เปนแมนาํ้ มีอิทธพิ ลตอพัฒนาการของทวปี (ฝรง่ั เศส) อยา งไร สายยาวอันดับ ๒ ของโลกรองจากแมน้ําไนล (แนวตอบ สภาพภมู ิศาสตรข อง เอกวาดอร เ ืท อ ก เ ข าชิแ ีลอ น ีด ส บราซิล อยูใตเ สน ศนู ยส ตู รเลก็ นอ ย มตี น นา้ํ เรมิ่ จากเขต ทวีปอเมริกาใตไ ดร บั อิทธิพล หิมะละลายในเทือกเขาแอนดีสบริเวณประเทศ จาก 2 องคประกอบหลกั คือ เปรู ทีร่ าบสงู มาโตกรอสโซ เปรู จากนั้นสาขาตางๆ ไหลมาบรรจบกนั โดย เทือกเขาแอนดสี ทที่ อดตัวยาว ไหลจากเขตทสี่ งู ฝง ตะวนั ตกสทู รี่ าบฝง ตะวนั ออก จากเหนอื จรดใต เปน เขตทม่ี ี อ น ดี ส โบลเิ วีย ระยะทางประมาณ ๖,๒๗๕ กโิ ลเมตร ผา นบรเิ วณ ความอุดมสมบูรณดว ยแรธาตุ ปารากวยั ปาดงดิบเปนสวนใหญ เขตปาฝนของแมน้ํา จึงทําใหมีการทําเกษตรกรรมใน มหาสมุทรแปซิฟก แอมะซอนน้ีนับเปนเขตปาฝนที่กวางใหญที่สุด ที่สูง กบั แมนาํ้ แอมะซอน สภาพ ของโลกดว ย จงึ เรยี กวา เปน เขตปอดของโลก พ้นื ท่เี ปน ปาดิบช้ืน ซงึ่ เปน แหลง อารเจนตนิ า อรุ ุกวยั ผลิตออกซิเจนที่สําคญั สําหรบั สภาพภูมิอากาศกม็ ีหลายลักษณะ ที่ราบ ูสงปาตาโกเ ีนย มหาสมทุ รแอตแลนตกิ เชน แบบสะวนั นาทางตอนเหนือ ของทวีป แบบอบอนุ ชน้ื ๑๔๒ แบบทะเลทราย เปน ตน ) นกั เรยี นควรรู 142 คมู อื ครู แมน ํ้าแอมะซอน มตี นกาํ เนดิ มาจากเทือกเขาแอนดสี ในประเทศเปรู โดยไหลจากตะวันตก ไปยงั ตะวนั ออก ผา นทิศตะวนั ตกเฉียงเหนอื ของทวีปอเมรกิ าใตอ อกสมู หาสมุทรแอตแลนตกิ ทางตอนเหนอื ของบราซิล รวมระยะทางประมาณ 6,400 กโิ ลเมตร การไหลของนํา้ ชว ยพดั พา ตะกอน ดนิ และแรธาตใุ หแ กพ ้ืนทสี่ องฝง แมนา้ํ ทาํ ใหเ กดิ ความอดุ มสมบรู ณ ปริมาณน้าํ จดื 1 ใน 5 ของโลกกม็ าจากแมน้ําแอมะซอน

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Expand Engage Evaluate àÊÃÔÁÊÒÃÐ ภูมิหลัง·า§»ระÇัµÔÈาสµร¢Í§ สาํ รวจคนหา ทÇÕปÍเมริกÒ㵌 ครใู หน กั เรยี นสืบคนเกย่ี วกับแหลง อารยธรรมโบราณในทวีปอเมริกาใต จากแหลงการเรียนรูตางๆ จากนั้น จัดทาํ เปนสมดุ ภาพ กอ่ นชาวยโุ รปเขา้ ไปตง้ั ¶น่ิ °านในทวปี อเมรกิ าใต ้ ชาวอนิ เดยี นพน้ื เมอื งเคยสรา้ งความเ¨รญิ ในเขตภาคตะวนั ตก อธบิ ายความรู รมิ ½ง›˜ มหาสมทุ รแปซ¿ิ กิ มากอ่ น¨นประมาณ ค.È. ๑ôõð กลมุ่ อนิ คา (Incas) เอาชนะกลมุ่ อนื่ ไดแ้ ละสรา้ ง¨กั รวรรดิ สดุ ทา้ ยของชาวอินเดียนพ้ืนเมืองทีท่ อดยาวไปตามชาย½˜›ง ป˜¨¨บุ นั คอื พืน้ ทีใ่ นประเทÈเอกวาดอร์ เปรู โบลิเวีย ครใู หน ักเรียนศกึ ษาภมู หิ ลังทาง ชลิ ี และอารเ์ ¨นตินา ประวตั ิศาสตรข องทวีปอเมริกาใต ประมาณ ค.È. ๑õ๓õ สเปนสามาร¶สรา้ ง¨ักรวรรดิของตนในทวปี อเมริกาขนึ้ แทนท¨ี่ กั รวรรดิอนิ คา และตัง้ จากหนงั สือเรียน หนา 143 จากนัน้ Èูนยก์ ลางการปกครองขน้ึ ๒ แหง่ ได้แก่ นวิ สเปน (New Spain) ทางเหนือ และเปรทู างใต ้ ขณะเดยี วกนั สุมตัวแทนนกั เรยี นออกมาสรุปสาระ โปรตเุ กสกตç ง้ั Èนู ยก์ ลางการปกครองในบราซลิ หลงั ¨ากเรอื ของนกั สาำ รว¨ชาวโปรตเุ กส¶กู กระแสลมพดั ¨ากชาย½ง›˜ สาํ คัญ ตะวันตกของทวปี แอ¿รกิ ามายงั ชาย½˜›งตะวันออกของทวปี อเมรกิ าใต้ ชาวอินเดียนพน้ื เมอื งตอ้ งทำางานหนกั ให้แก่ ชาวสเปนและโปรตเุ กสทเ่ี ขา้ มาตง้ั อาณานคิ ม¨นลม้ ปว่ ยและเสยี ชวี ติ ¨าำ นวนมาก ดงั นน้ั ¨งึ มกี ารนาำ เขา้ ทาสแรงงาน ขยายความเขาใจ ¨ากทวีปแอ¿รกิ ามายงั ทวปี อเมรกิ าใต้ หลัง¨ากเกือบ ๓ðð ป‚ที่¶ูกสเปนและโปรตุเกสปกครอง ชาวอาณานิคมซึ่งมีการผสมผสานทางเชื้อชาติ ครูใหน ักเรียนรวมกันวเิ คราะหวา กพç ยายามลกุ ขน้ึ เรยี กรอ้ งอสิ รภาพ¨ากประเทÈแม ่ ใน ค.È. ๑ø๑ð เกดิ การเปลย่ี นแปลงผปู้ กครองในสเปน สงคราม การศึกษาภมู หิ ลงั ทางประวตั ศิ าสตร ประกาÈเอกราช¨ากสเปน¨ึงเร่มิ ขึ้น ซโิ มน โบลิวาร ์ (Simon Bolivar) ชาวเวเนซเุ อลานำาชาวอาณานคิ มทาง ของทวปี อเมริกาใตม คี วามสําคัญตอ ตอนเหนือของทวปี สูก้ บั สเปน¨นสำาเรç¨ สำาหรบั ทางตอนใต้ โÎเซ เดอ ซานมารต์ นิ (Jose’ de San Martin) นกั เรียนอยางไร ชาวอาร์เ¨นตินาเป็นผู้นำาการต่อสู้ปลดปลอ่ ย ซานมารต์ นิ ได้พบกับโบลิวาร์ใน ค.È. ๑ø๒๒ ไม่นานตอ่ มาสงคราม ประกาÈเอกราช¨ากสเปนในอเมริกาใต้กçสิ้นสุดลง (แนวตอบ ทําใหเ รารแู ละเขาใจใน ส่วนบราซลิ ซึง่ ประชากร ๒ ใน ๓ เป็นทาสเช้อื สายแอ¿ริกนั ที¶่ กู ตอ้ นมาเปน็ แรงงานในการผลิต½‡าย ยาสูบ ความเปนมาของประเทศตา งๆ ใน และนาำ้ ตาล ใน ค.È. ๑ø๒๒ โอรสของกษตั รยิ โ์ ปรตเุ กสทลี่ ภี้ ยั มาประทบั ทบ่ี ราซลิ ทรงประกาÈเอกราช¨ากโปรตเุ กส ทวปี อเมรกิ าใต ต้งั แตเ ร่ิมแรกทม่ี ี และส¶าปนาพระองคเ์ ปน็ ¨กั รพรรดิเปโดรท ่ี ๑ ชนพ้นื เมอื งอาศัยอยูและสรา งสม เมอื งมาชู ปกชูของจักรวรรดิอนิ คา ต้ังอยูบ่ นเทือกเขา ความเจริญรุงเรอื ง จนกระทั่ง แอนดสี ประเทศเปรู แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความเจริญทาง ชาวยุโรปเขา มาตงั้ ถิ่นฐานและขยาย อารยธรรมท่ีมีความเป็นระเบียบแบบแผน อาํ นาจเขา ยดึ ครองดนิ แดนตางๆ เปน อาณานคิ มและไดถ า ยทอด วฒั นธรรมใหแกช นพ้นื เมอื งและ ผสมผสานจนเปน วัฒนธรรม ท่เี หน็ อยใู นปจจบุ ัน) นกั เรียนควรรู 1๔๓ เมอื งมาชู ปกชู (Machu Picchu) หรอื นยิ มเรียกอีกช่ือวา เมอื งสาบสญู แหง อนิ คา สนั นษิ ฐานวาสรางขึ้น เมอื่ ประมาณ ค.ศ. 1450 ต้ังอยูบน เทอื กเขาสงู ในประเทศเปรู ที่ความสูงประมาณ 2,350 เมตร อารยธรรมโบราณแหงนีไ้ ดถกู ลมื โดยคนภายนอกจนกระทัง่ มกี ารคนพบอีกครั้งเมื่อ ค.ศ. 1911 ใน ค.ศ. 1983 องคก ารยูเนสโก ไดป ระกาศใหเมอื งมาชู ปก ชูเปนมรดกโลก และใน ค.ศ. 2007 มาชู ปก ชไู ดรบั เลือกใหเ ปน หน่งึ ในเจ็ดส่ิงมหัศจรรยข องโลกยุคใหม คมู อื ครู 143


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook