Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เลือกตั้ง62เชียงใหม่

เลือกตั้ง62เชียงใหม่

Description: การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่
ไพลิน ภู่จีนาพันธุ์

Keywords: เลือกตั้ง,2562,เชียงใหม

Search

Read the Text Version

เรอื่ ง การศึกษาความเคลอื่ นไหวทางการเมอื งและพฤตกิ รรมการเลือกตัง้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร 2562 จงั หวัดเชยี งใหม่ Political Activities and Electoral Behavior in the 2019 Thailand General Election in Chiangmai ผเู้ ขียน ไพลนิ ภจู่ ีนาพันธุ์ เลขมาตรฐานสากลประจ�ำ หนงั สือ (e-book) 978-616-476-124-7 รหสั สิ่งพมิ พ์สถาบัน สวพ.63-45-00.0 (ebook) พมิ พค์ ร้ังที่ 1 สิงหาคม 2563 ประสานงาน วลยั พร ล้ออัศจรรย์ สงวนลิขสทิ ธ ์ิ © 2563 ลขิ สิทธ์ขิ องสถาบันพระปกเกล้า จัดพมิ พ์โดย ส�ำ นกั วจิ ยั และพัฒนา สถาบนั พระปกเกลา้ ศนู ยร์ าชการเฉลมิ พระเกียรติ 80 พรรษาฯ อาคารรฐั ประศาสนภักดี ช้นั 5 (โซนทศิ ใต้) เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจง้ วัฒนะ แขวงทงุ่ สองหอ้ ง เขตหลักส่ี กรงุ เทพฯ 10210 โทรศพั ท์ 0-2141-9596 โทรสาร 0-2143-8177 http://www.kpi.ac.th

3 ค�ำน�ำสถาบันพระปกเกล้า การเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรเมอ่ื วนั ที่ 24 มนี าคม พ.ศ.2562 เปน็ การเลอื กตงั้ ครงั้ แรกภายหลงั การประกาศใช้รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซ่งึ ได้มกี ารเปลย่ี นแปลงกติกาทเ่ี กย่ี วขอ้ ง กบั การเลอื กตงั้ หลายประการ ไดแ้ ก่ การน�ำระบบการเลอื กตง้ั ทเ่ี รยี กวา่ “การเลอื กตง้ั แบบจดั สรรปนั สว่ นผสม” มาใช้ โดยก�ำหนดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เขตละหน่ึงคน และประชาชนผู้มีสิทธ ิ เลอื กตงั้ มสี ทิ ธอิ อกเสยี งลงคะแนนเลอื กตง้ั ไดค้ นละหนง่ึ คะแนน สว่ นสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรแบบบญั ชรี ายชอ่ื นน้ั เป็นการจัดสรรโดยค�ำนวณจากคะแนนรวมท่ีพรรคการเมืองได้จากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบ แบ่งเขตทั่วประเทศ การก�ำหนดให้พรรคการเมืองสามารถเสนอรายช่ือบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งต้ังเป็น นายกรัฐมนตรีไม่เกินสามรายชื่อ การก�ำหนดในเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครรับเลือกต้ัง รูปแบบและวิธีการรณรงค์หาเสียงเลือกต้ัง ตลอดจนบทลงโทษกรณีกระท�ำความผิดเก่ียวกับการเลือกต้ัง ท่ีเข้มข้นกว่าการเลือกต้ังคร้ังก่อนๆ นอกจากนี้ การเลือกต้ังเม่ือวันที่ 24 มีนาคม 2562 ยังเกิดขึ้นท่ามกลาง บรบิ ทและสภาพแวดลอ้ มทางสงั คม เศรษฐกจิ และการเมอื งทเี่ ปลย่ี นแปลงไปจากการเลอื กตง้ั ทว่ั ไปครง้ั หลงั สดุ เม่ือปี 2554 เป็นอย่างมาก อาทิ การว่างเว้นจากการเลือกต้ังเกือบแปดปีท�ำให้มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งคร้ังแรก (First Time Voter) มากกว่า 7 ล้านคน การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของเทคโนโลยีการส่ือสาร (Digital Disruption) ท�ำให้ส่ือใหม่ (new media) เข้ามามีอิทธิพลในการเลือกต้ังอย่างเด่นชัดเป็นครั้งแรก การเปลี่ยนแปลงในกติกาและสภาพแวดล้อมดังกล่าวท�ำให้เกิดการเปล่ียนแปลงในกระบวนการจัดการเลือกต้ัง ยุทธวิธีการหาเสียงของผู้สมัครและพรรคการเมือง รวมถึงพฤติกรรมการตัดสินใจลงคะแนนของประชาชน อยา่ งมีนยั ยะส�ำคญั และนา่ สนใจยิง่ หนังสือขุด “การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562” นี้เป็นผลการศึกษาจากชุดโครงการวิจัย ท่ีสถาบันพระปกเกล้าได้จัดท�ำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส�ำรวจและบันทึกปรากฏการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะในมิติของความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเม่ือ 24 มนี าคม พ.ศ. 2562 ในจังหวดั ต่าง ๆ ได้แก่ กรงุ เทพมหานคร กาฬสินธุ์ ก�ำแพงเพชร กาญจนบุรี ขอนแก่น ชลบุรี เชียงใหม่ แพร่ ร้อยเอ็ด สงขลา สุพรรณบุรี สุรินทร์ พะเยา พิษณุโลก ปัตตานี สุราษฎร์ธานี เลย สระแก้ว และอุบลราชธานี ข้อมูลที่น�ำเสนอในหนังสือชุดน้ีได้ฉายให้เห็นภาพในระดับพ้ืนท่ีของบรรยากาศ และความเคลื่อนไหวของพรรคการเมือง องค์กรและกลุ่มทางการเมืองต่าง ๆ ความเคล่ือนไหวและพฤติกรรม

4 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ ทางการเมืองของผู้สมัครรับเลือกต้ัง บทบาทของหน่วยงานท่ีเข้ามาเกี่ยวข้องในการเลือกตั้ง พฤติกรรมทาง การเมืองของประชาชนและกลุ่มการเมือง การใช้ทรัพยากรต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องค่าใช้จ่าย การเปลยี่ นแปลงของขว้ั อ�ำนาจทางการเมอื ง การยา้ ยพรรคการเมอื ง ปจั จยั ทส่ี ง่ ผลตอ่ การตดั สนิ ใจทางการเมอื ง รวมทั้งการวิเคราะห์ผลการเลือกต้ังท่ีเกิดข้ึน การเคลื่อนไหวและการรณรงค์ในการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัดท่ี ปรากฏในส่ือออนไลน์ ตลอดจนประเด็นอื่น ๆ ที่น่าสนใจที่ปรากฏขึ้นมาในช่วงระหว่างการมีพระราชกฤษฎีกา ก�ำหนดใหม้ กี ารเลอื กตง้ั วนั เลือกต้งั และหลังการเลอื กตงั้ สถาบนั พระปกเกลา้ ขอขอบคณุ รองศาสตราจารย์ ฐปนรรต พรหมอินทร ์ รองศาสตราจารย์ พรชยั เทพปญั ญา รองศาสตราจารย์ ดร.สามารถ ทองเฝอื รองศาสตราจารย์ ดร.กตญั ญู แกว้ หานาม รองศาสตราจารย์ ดร.ศิวัช ศรีโภคางกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไพลิน ภู่จีนาพันธุ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บูฆอรี ยีหมะ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสด์ิ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิเชียร ตันศิริคงคล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กฤษฎา พรรณราย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐพงศ์ บุญเหลือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ศุทธิกานต์ มีจ่ัน ดร.พมิ พล์ ิขิต แกว้ หานาม ดร.พิสมัย ศรีเนตร ดร.จนั ทรา ธนะวัฒนาวงศ์ ดร.ภคพร วฒั นด�ำรง ดร.ประเทอื ง มว่ งออ่ น ดร.ณรนิ ทร์ เจรญิ ทรพั ยานนท ์ ดร.เสรมิ สทิ ธิ์ สรอ้ ยสอดศร ี อาจารย์ ชนนั ทพิ ย์ จนั ทรโสภา อาจารย์ อุบลวรรณ สุภาแสน อาจารย์ ดารารัตน์ ค�ำเปง็ ตลอดจนผู้เกยี่ วขอ้ งทุกทา่ นท่ใี ห้ความอนุเคราะหร์ ว่ มด�ำเนิน งานวิจัย ขอขอบพระคุณทรงคุณวุฒิทุกท่านที่กรุณาเป็นผู้พิจารณาให้ข้อเสนอแนะเพื่อให้งานวิจัยมีคุณภาพ สถาบันพระปกเกล้าคาดหวังว่าผลจากการศึกษาของชุดโครงการวิจัยนี้ จะเป็นฐานข้อมูลส�ำคัญที่จะน�ำไปสู ่ การพัฒนาประชาธปิ ไตยของประเทศไทยตอ่ ไป สถาบันพระปกเกล้า 2563

5 ค�ำน�ำ การศกึ ษาวจิ ยั เรอ่ื ง “การศกึ ษาความเคลอื่ นไหวทางการเมอื งและพฤตกิ รรมการเลอื กตง้ั ของสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. 2562 จงั หวดั เชยี งใหม”่ ไดร้ บั การสนบั สนนุ จากสถาบนั พระปกเกลา้ โดยเปน็ การวจิ ยั ทีท่ �ำการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลทัง้ ในช่วงกอ่ นและหลังการเลอื กตั้งท่วั ไปวนั ที่ 24 มีนาคม 2562 ภายใตร้ ัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2560 จังหวดั เชยี งใหม่ซง่ึ เป็นจังหวดั ที่มีทนี่ ง่ั ของสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร มากทสี่ ดุ ในเขตจงั หวดั ภาคเหนอื กลา่ วคอื มจี �ำนวนทงั้ สน้ิ 9 ทนี่ งั่ จงึ มคี วามส�ำคญั ตอ่ การสรา้ งการเปลย่ี นแปลง ทางการเมอื งทง้ั ในระดบั พน้ื ทแ่ี ละระดบั ชาติ ขอ้ มลู บางสว่ นเกย่ี วกบั ผใู้ หส้ มั ภาษณไ์ มส่ ามารถเปดิ เผยได้ อนั เนอ่ื ง มาจากแนวทางของจรยิ ธรรมในการวจิ ยั และการใหค้ วามส�ำคญั สทิ ธขิ องผใู้ หข้ อ้ มลู กอปรกบั บรบิ ททางการเมอื ง ทยี่ งั มกี ารควบคมุ ดว้ ยกฎหมาย เนอื้ หาและการวเิ คราะหใ์ นรายงานฉบบั สมบรู ณฉ์ บบั นจ้ี งึ เนน้ การน�ำเสนอในเชงิ อธิบายพรรณนา (Descriptive Explanation) จากขอ้ มลู ท่รี วบรวมโดยผวู้ จิ ยั และผ้ชู ่วยวจิ ัยทั้งหมด การวจิ ยั ครงั้ นส้ี �ำเรจ็ ลลุ ว่ งไปได้ ตอ้ งขอขอบพระคณุ สถาบนั พระปกเกลา้ ทใ่ี หโ้ อกาสและการสนบั สนนุ งบประมาณในการด�ำเนินการวิจัย ขอขอบพระคุณผู้ให้ข้อมูล ทั้งหัวหน้าพรรคการเมือง ผู้สมัครสมาชิก สภาผแู้ ทนราษฎร (ส.ส.) จงั หวดั เชยี งใหมแ่ ละผสู้ มคั ร ส.ส. ในบางจงั หวดั ของภาคเหนอื ตอนบนทมี่ บี ทบาทส�ำคญั ในการก�ำหนดยทุ ธศาสตรห์ าเสยี งของพรรคการเมอื ง นกั การเมอื งทอ้ งถนิ่ ทมี หาเสยี งของพรรคการเมอื ง ผนู้ �ำชมุ ชน ประชาชนหลากหลายทไี่ ดม้ โี อกาสพบเจอกนั ขอขอบพระคณุ คณาจารยใ์ นส�ำนกั วชิ าการเมอื งการปกครองทชี่ ว่ ย เติมเต็มความคิดในช่วงเวลาของการเก็บรวบรวมข้อมูลการเลือกตั้ง ตลอดจนช่วยกันท�ำกิจกรรมทางการเมือง ทท่ี �ำใหผ้ วู้ จิ ยั มโี อกาสในการสมั ภาษณแ์ ละแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ทางการเมอื งทห่ี ลากหลาย สดุ ทา้ ยขอขอบคณุ สมาชกิ ในครอบครัวทกุ คนที่เข้าใจและให้พนื้ ทีใ่ นการท�ำงานกบั ผูว้ ิจัยในช่วงกวา่ 10 เดอื นท่ผี า่ นมา ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างย่ิงว่ารายงานวิจัยฉบับน้ีจะได้น�ำเสนอข้อมูลเก่ียวกับการเมืองการเลือกตั้งใน จงั หวดั เชยี งใหมท่ เี่ ปน็ ประโยชน์ และหวงั เปน็ อยา่ งยง่ิ วา่ จะชว่ ยตอ่ ยอดความคดิ และความรอู้ นั จะเปน็ ขอ้ มลู และ คุณค่าบางประการต่อผู้ที่สนใจศึกษาการเลือกตั้งในจังหวัดเชียงใหม่ และหากมีความผิดพลาดประการใด ผู้วิจัยขอรบั ผิดชอบแต่เพยี งผูเ้ ดียว ไพลิน ภ่จู ีนาพนั ธ์ุ

6 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ บทคัดย่อ การวิจัยเร่ือง “การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 จังหวัดเชียงใหม่” เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมีวัตถุประสงค ์ การวิจัยเพื่อศึกษาและอธิบายบริบททางการเมืองและความเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคการเมือง และนกั การเมอื ง กระบวนการคดั สรรผสู้ มคั รรบั เลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร (ส.ส.) ของพรรคการเมอื ง รวมทงั้ ปจั จยั ทสี่ ง่ ผลตอ่ การตดั สนิ ใจเปน็ สมาชกิ พรรคการเมอื งเพอื่ ลงสมคั รรบั เลอื กตง้ั ในนามพรรคการเมอื ง ในเขตเลอื กตง้ั จงั หวดั เชยี งใหม่ เพอ่ื หาแนวทางและวธิ กี าร และรปู แบบในการระดมทรพั ยากร เพอ่ื แขง่ ขนั ในการเลอื กตงั้ รวมทง้ั วเิ คราะหก์ ารเปลย่ี นแปลงของพฤตกิ รรมประชาชน กลมุ่ การเมอื งในพนื้ ท่ี ตลอดจน การรณรงค์หาเสยี งเลือกตง้ั ของผสู้ มคั รรับเลอื กตง้ั สมาชกิ ผูแ้ ทนราษฎร จังหวดั เชยี งใหม่ การวิจัยน้ีมีการเก็บรวบรวมข้อมูลพ้ืนที่ การวิจัยเอกสาร และการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูล (Key Informants) ทีม่ สี ว่ นเกย่ี วขอ้ งในกระบวนการการเลอื กตงั้ ท้ังผ้สู มคั รสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร ผู้บรหิ าร พรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมือง ผู้น�ำชุมชน ผู้บริหารท้องถ่ิน ข้าราชการในระดับภูมิภาค และ ประชาชนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง ผลจากการศึกษาพบว่าบริบททางการเมืองท่ียังมีการควบคุม ก�ำกับโดยรัฐบาลส่งผลให้เกิดข้อจ�ำกัดในการหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งและพรรคการเมือง การคัดสรรผู้สมัครรับเลือกต้ังของพรรคการเมืองมีความแตกต่างไปตามยุทธศาสตร์และฐานคะแนนเสียง ของพรรคการเมอื ง ระบบการเลอื กตงั้ แบบจดั สรรปนั สว่ นผสมมผี ลตอ่ กระบวนการคดั สรรผสู้ มคั รรบั เลอื กตง้ั พรรคการเมืองหลายพรรคไม่ได้คาดหวังการชนะการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งแต่ต้องการคะแนนเสียงเพื่อ ทนี่ งั่ ในระบบบญั ชรี ายชอ่ื รวมไปถงึ สอ่ื ออนไลน์ (Social Media) มผี ลตอ่ รปู แบบและวธิ กี ารรณรงคห์ าเสยี ง เลือกต้ังของพรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้ง และยังมีผลต่อการรับรู้ทางการเมืองของประชาชนท่ีมี ผลใหป้ ระชาชนในจังหวัดเชียงใหม่มีความตื่นตวั ทางการเมอื งในการออกไปใชส้ ิทธิลงคะแนนเสยี งเลอื กตง้ั วันที่ 24 มนี าคม พ.ศ. 2562 โดยเฉพาะกลุม่ ผู้มสี ิทธเิ ลือกตง้ั คร้งั แรก (First-time Voters) ท้งั น้ี บทบาท ของหวั คะแนน เครอื ขา่ ยระบบอปุ ถมั ภ์ และการซอื้ เสยี งยงั คงปรากฎในการเลอื กตง้ั และเปน็ เงอื่ นไขส�ำคญั ท่ีท�ำให้พรรคการเมอื งและผสู้ มคั รไมแ่ พแ้ ตไ่ ม่ได้เปน็ หลักประกนั เดยี วทีจ่ ะท�ำให้ชนะการเลือกต้งั อกี ต่อไป

7 ข้อเสนอแนะในการศึกษาวิจัยน้ี คือ การสร้างบทบาทการท�ำงานร่วมกันในรูปแบบของภาค ี เครือข่ายเพื่อประชาธิปไตยระหว่างคณะกรรมการการเลือกต้ัง พรรคการเมืองและสาขาพรรคการเมือง ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สถาบันการศึกษาและภาคประชาสังคมอื่น ในจังหวัดเชียงใหม่ ในการ ให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนท้ังเร่ืองของระบบเลือกต้ังและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างท่ัวถึง องค์กร ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเลือกตั้งและสถาบันการศึกษาควรมีการเปิดพ้ืนท่ีเวทีสาธารณะและจัดกิจกรรม ในการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายและระบบการเลือกตั้ง เพื่อน�ำไปสู่การตัดสินใจ ลงคะแนนเสียงเลือกต้งั ทีม่ คี ุณภาพและสะทอ้ นความต้องการของประชาชนอย่างแทจ้ ริง

8 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ Abstract This work, entitled “The Study of Political Movements and Electoral Behaviors of the 2019 General Election in Chiang Mai Province,” is a qualitative research study. The research is aimed at examining and expounding the political context, political behaviors of political parties and politicians, the political parties’ processes for selecting candidates to run for election to the House of Representatives, and factors influencing the decision to become a political party member and to run for election as MP on behalf of the political parties in Chiang Mai constituencies. Another objective of this study is to comprehend the direction, methods, and means of resource mobilization required for the electioneering competition while attempting to analyze changes in people’s behavior, local political groups, and the election campaigns of the MP candidates in Chiang Mai Province. This research study collected data concerning local areas, undertook document research, and conducted interviews with key informants involved in the election process, including MP candidates, executives of political parties, members of political parties, community leaders, local administrators, government officials at a regional level, and eligible voters. The result of the study shows that the political context in which the government’s supervision is prominent gives rise to restrictions on campaigning for candidates and political parties. Political parties’ candidate selection process varied according to the strategy and voting base of each political party. The mixed member apportionment system (MMA) adopted for this election affected the candidate selection process. Although there were many political parties that which did not expect to win the election in their constituencies, there was a strong need to try attract votes in order to win

9 party list seats. Interestingly, social media shaped the form and method of campaigning for political parties and candidates, and influenced people’s political perceptions, resulting in the political awareness among Chiang Mai people, especially first-time voters, to exercise their voting rights on March 24, 2019. The role of the campaigners, the patronage system network, and vote-buying appeared to be seen in the election, and they were important factors in giving a chance to secure the victory of political parties and candidates, but these factors alone did not determine victory that the candidates will win the elections. This research study proposes that a collaborative role and concerted effort form of the network parties among the Election Commission, political parties and political party branches, election candidates, educational institutions, and other civil sectors in Chiang Mai be established so that the general public can be thoroughly educated about the electoral system and relevant laws. Organizations involved in election management and educational institutions should encourage and support the organization of public forums and activities to promote knowledge and understanding about laws and election systems, which should lead to quality voting decisions that truly reflect the needs of the people.

10 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ บทสรุปส�ำหรับผู้บริหาร การเลอื กตงั้ ภายใตร้ ฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2560 เมอื่ วนั ที่ 24 มนี าคม 2562 มคี วามส�ำคญั ต่อพัฒนาการและการเปล่ียนแปลงทางการเมืองการปกครองไทย ความส�ำคัญของการเลือกต้ังในปี พ.ศ.2562 ไม่ได้เป็นเพียงกระบวนการทางการเมืองท่ีเป็นองค์ประกอบส�ำคัญของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย เทา่ นนั้ แตย่ งั มคี วามส�ำคญั ตอ่ กระบวนการการเรยี นรกู้ ารเปลยี่ นผา่ นทางการเมอื งทสี่ �ำคญั เหน็ ไดจ้ ากการเกดิ ขน้ึ ของวาทกรรมเชิงอุดมการณ์ทางการเมืองของขั้วประชาธิปไตยและข้ัวตรงกันข้าม ที่ประทุขึ้นมาท่ามกลาง ความตน่ื ตวั ทางการเมอื งของประชาชนผมู้ สี ทิ ธลิ งคะแนนเสยี งเลอื กตง้ั เกดิ ปรากฎการณก์ ารแสดงออกทางการเมอื ง ของประชาชนท้ังในโลกออนไลน์และในพ้ืนท่ีสาธารณะปรากฎให้เห็นอย่างต่อเน่ือง ในขณะเดียวกันเกิดการ ขับเคล่ือนทางการเมืองของสถาบันและองค์กรทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล คณะกรรมการการเลือกต้ัง (กกต.) พรรคการเมอื ง และกลุ่มการเมืองตา่ ง ๆ ได้มีบทบาทและปฏสิ มั พนั ธ์ทางการเมืองกับประชาชนมากขน้ึ การเลือกต้ังคร้ังน้ีนอกจากสะท้อนการเปล่ียนแปลงและพัฒนาการการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน แลว้ ยงั ปรากฎใหเ้ หน็ การตนื่ ตวั ของพรรคการเมอื งและผสู้ มคั รรบั เลอื กตง้ั ทมี่ จี �ำนวนพรรคการเมอื งและผสู้ มคั ร รบั เลอื กต้งั ทเ่ี สนอตวั ในการเลอื กตั้งครง้ั มจี �ำนวนมากทีส่ ุดในประวัติศาสตรก์ ารเมอื งไทย ในการเลือกตั้งวันท่ี 24 มีนาคม พ.ศ.2562 จึงถือเป็นความท้าทายของการศึกษาพัฒนาทาง การเมอื งไทย ไมว่ า่ จะเปน็ บทบญั ญตั ใิ นรฐั ธรรมนญู พ.ศ.2560 การเปลย่ี นแปลงระบบการเลอื กตงั้ โดยการใชร้ ะบบ จัดสรรปันส่วนผสม (Mixed Member Apportionment System: MMA) ที่ท�ำให้มีกฎเกณฑ์และแนวทาง การจัดการการเลือกตั้งแตกต่างออกไปจากระบบการเลือกต้ังที่ประชาชนคุ้นเคยจากการเลือกต้ังในอดีต เช่น การมีบัตรเลือกต้ังใบเดียว การที่หมายเลขผู้สมัครรับเลือกตั้งจากพรรคเดียวกันมีหมายเลขผู้สมัครแตกต่างกัน ในเขตการเลอื กตงั้ คนละเขตในจงั หวดั เดยี วกนั หรอื วธิ กี ารค�ำนวนคะแนนเสยี งแบบนบั ทกุ เสยี งทมี่ ผี ลตอ่ สดั สว่ น จ�ำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบบญั ชีรายช่ือ เปน็ ต้น

11 การศึกษาวิจัยเรื่อง “การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 จังหวัดเชียงใหม่” จึงมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพ่ือศึกษาและอธิบายบริบท ทางการเมอื งและความเคลอื่ นไหวทางการเมอื งของพรรคการเมอื งและนกั การเมอื ง กระบวนการคดั สรรผสู้ มคั ร รับเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของพรรคการเมอื ง รวมท้ังปจั จัยที่ส่งผลต่อการตดั สนิ ใจเปน็ สมาชกิ พรรคการเมืองเพื่อลงสมัครรับเลือกต้ัง ในนามพรรคการเมืองในเขตเลือกต้ังจังหวัดเชียงใหม่ เพ่ือหาแนวทาง และวิธีการ และรูปแบบในการระดมทรัพยากร เพ่ือแข่งขันในการเลือกตั้ง รวมท้ังวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลง ของพฤติกรรมประชาชน กลุ่มการเมืองในพื้นที่ ตลอดจนการรณรงค์หาเสียงเลือกต้ังของผู้สมัครรับเลือกตั้ง สมาชกิ ผแู้ ทนราษฎร จงั หวดั เชยี งใหม่ ในการศกึ ษาวจิ ยั นเี้ ปน็ การศกึ ษาวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ ดว้ ยการคน้ ควา้ และวจิ ยั เอกสาร (Documentary Research) และการลงพื้นที่เก็บข้อมูล (Field Research) ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview Method) และการสมั ภาษณ์กลุ่ม (Focus-group Interview Method) โดยผ้ใู ห้ข้อมูล ประกอบไปดว้ ย ผสู้ มคั รรบั เลอื กตง้ั จากหลากหลายพรรคการเมอื ง แตเ่ ปน็ ผสู้ มคั รครอบคลมุ ทง้ั 9 เขตการเลอื กตง้ั ในจงั หวดั เชยี งใหม่ ผสู้ นบั สนนุ พรรคการเมอื ง ตวั แทนของพรรคการเมอื งและสาขาพรรคการเมอื ง, หนว่ ยงานรฐั ท่ีเก่ียวข้อง เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง ข้าราชการท้องถิ่นท่ีมีส่วนเก่ียวข้องกับการจัดการการเลือกต้ัง, นักวิชาการทางรัฐศาสตร์, ผู้น�ำท้องถิ่น เครือข่ายกลุ่มผู้น�ำการเมืองของพรรคการเมืองในพ้ืนท่ีจังหวัดเชียงใหม่, ประชาชนผมู้ สี ทิ ธลิ งคะแนนเสยี งเลอื กตงั้ ในพน้ื ทจี่ งั หวดั เชยี งใหม่ โดยมกี ลมุ่ ผมู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตงั้ ครงั้ แรก และประชาชน ท่วั ไปโดยแบ่งเปน็ กล่มุ ผู้มสี ทิ ธเิ ลือกตงั้ ท่ีอาศัยในเขตอ�ำเภอเมอื งและเขตอ�ำเภอรอบนอกอ�ำเภอเมอื งเชียงใหม่ ความส�ำคัญของจังหวัดเชียงใหม่นอกเหนือจากการที่เป็นจังหวัดท่ีมีจ�ำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) มาท่ีสุดในพ้ืนที่ภาคเหนือแล้ว ยังเป็นพ้ืนท่ีท่ีถือเป็นยุทธศาสตร์ทางการเมืองของพรรคการเมืองใหญ่ คือ พรรคเพ่ือไทย ที่ครองความนิยมในพ้ืนที่มาอย่างยาวนานนับต้ังแต่การเลือกตั้งในปี พ.ศ.2544 ในนามของ พรรคไทยรักไทย จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งถือเป็นจังหวัดท่ีพรรคเพ่ือไทยชนะการเลือกตั้งทั้ง 9 เขตในการเลือกต้ัง ในวันท่ี 24 มีนาคม พ.ศ.2562 และจังหวัดเชียงใหม่ยังเป็นจังหวัดแรกท่ีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีการให้ใบส้มแก่ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่ชนะการเลือกตั้งใน เขต 8 จึงส่งผลให้ กกต.ประกาศให้มีการ จดั การเลือกตัง้ ใหม่ในวันท่ี 26 พฤษภาคม 2562 มีผลท�ำให้ผสู้ มัครจากพรรคอนาคตใหมช่ นะการเลอื กตงั้ ใหม่ ผลจากการศึกษาวิจัยพบว่า ประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ระหว่างเขตอ�ำเภอเมืองและใกล้เขต อ�ำเภอเมืองกับเขตนอกเมืองและพื้นที่ห่างไกลออกไป ต่างให้ความสนใจและต่ืนตัวกับการเลือกตั้งในวันท ่ี 24 มนี าคม 2562 เนอื่ งจากการไมม่ กี ารเลอื กตงั้ มาเปน็ ระยะเวลานานนบั ตง้ั แตเ่ หตกุ ารณร์ ฐั ประหาร พ.ศ.2557 และการเตบิ โตของสอ่ื โซเชยี ลมเี ดยี และโทรทศั นด์ จิ ทิ ลั ท�ำใหป้ ระชาชนสามารถเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ขา่ วสารทางการเมอื ง ไดง้ า่ ยและรวดเรว็ มากขนึ้ อยา่ งไรกต็ าม ความแตกตา่ งของพน้ื ทรี่ อบนอกเขตอ�ำเภอเมอื งจ�ำนวนมาก โดยเฉพาะ ในเขตพ้ืนที่ห่างไกลบนที่ราบสูงและชุมชนชาติพันธุ์ ยังไม่เข้าใจเงื่อนไข รายละเอียด กติกาของระบบ การเลือกต้ังแบบจัดสรรปันส่วนผสมอย่างถูกต้อง ดังนั้น เม่ือพื้นที่ที่ความรู้ความเข้าใจทางการเมืองยังเข้าไม่ ถึง จึงง่ายต่อการช้ีน�ำข้อมูลการเมือง ข่าวสารการเลือกต้ังโดยหัวคะแนน ตัวแทนพรรคการเมืองหรือผู้สมัคร

12 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ รับเลือกต้ังในพื้นที่มากกว่า กกต.หรือหน่วยงานของภาครัฐ จากการศึกษาพบว่าประชาชนไม่เข้าใจเรื่องการ เปลย่ี นแปลงบตั รเลอื กตงั้ ทมี่ บี ตั รเลอื กตงั้ เพยี งใบเดยี ว และในการลงคะแนนเสยี งเลอื กตงั้ ประชาชนไมส่ ามารถสะทอ้ น ความตอ้ งการทแี่ ทจ้ รงิ เพราะการพยายามใหส้ มการขององคป์ ระกอบ 3 อยา่ งคอื นายกรฐั มนตรี พรรคการเมอื ง และส.ส.เขตเลอื กตงั้ ลงตวั ในการหยอ่ นบตั รเลอื กตงั้ ใบเดยี วเปน็ เรอ่ื งทย่ี าก แตจ่ ากผลการศกึ ษาพบวา่ ประชาชน ในจังหวัดเชียงใหม่จึงให้น�้ำหนักในตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้งโดยพิจารณาจากพรรคการเมืองเป็นหลัก แมจ้ ะมจี �ำนวนพรรคการเมอื งในการเลอื กตง้ั ครง้ั นจี้ �ำนวนมาก แตพ่ รรคการเมอื งทเ่ี ดน่ และมคี วามไดเ้ ปรยี บจะยงั คง มเี พยี งพรรคเพอื่ ไทย พรรคพลงั ประชารฐั และพรรคอนาคตใหม่ ในขณะทพ่ี รรคการเมอื งอนื่ ๆ ไมไ่ ดร้ บั ความนยิ ม มากนัก แต่ด้วยระบบการเลือกต้ังที่นับทุกคะแนนเสียง ทุกพรรคการเมืองต่างต้องการหาเสียงเพื่อประโยชน์ ของคะแนนในระบบบัญชีรายชอื่ ของพรรคแต่ไม่ไดห้ วงั ผลการชนะการเลอื กต้ังในเขตเลือกตง้ั จังหวดั เชยี งใหม่ การคดั สรรผสู้ มคั รรบั เลอื กตง้ั ของพรรคการเมอื งในกรณขี องจงั หวดั เชยี งใหม่ พรรคการเมอื งมแี นวทาง ในการคัดเลือกผู้สมัครที่ไม่แตกต่างกันมากนัก ยกเว้นพรรคอนาคตใหม่ท่ีมีวิธีการเลือกผู้สมัครรับเลือกต้ัง แตกตา่ งออกไป การคดั เลอื กผสู้ มคั รในภาพรวมของจงั หวดั เชยี งใหมจ่ ะมอี ยู่ 3 แนวทาง คอื 1. คนทเ่ี คยเปน็ อดตี ส.ส. หรืออดีตนักการเมืองระดับชาติ 2. คนท่ีเคยด�ำรงต�ำแหน่งทางการเมืองระดับท้องถ่ินหรืออดีตข้าราชการ เครือข่ายทางการเมืองในท้องถ่ินของพรรคการเมือง รวมถึงคนท่ีมีสถานภาพทางเศรษฐกิจสังคมที่เป็นท่ีรู้จัก โดดเด่นในจังหวัดเชียงใหม่ 3. คนท่ีมีความสนใจท�ำงานหรือเป็นตัวแทนของพรรคการเมืองและเสนอตัวผ่าน การคัดเลือกของพรรค ประชาชนไม่ได้ให้ความส�ำคัญต่อรายช่ือผู้สมัครรับเลือกต้ังในระบบบัญชีรายชื่อมากนัก แต่เน้นไป 4 ประเด็น คือ รายช่ือคนที่พรรคเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าพรรค ช่ือพรรคการเมือง ช่ือผู้สมัคร ส.ส.ในเขตเลือกต้ังของตนเอง และนโยบายพรรคโดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจและการแก้ไข ปญั หาความยากจน ซงึ่ ในพนื้ ทจี่ งั หวดั เชยี งใหมโ่ ดยเฉพาะเขตรอบนอกตวั อ�ำเภอเมอื งยงั จดจ�ำนโยบายของพรรค ไทยรกั ไทยในอดตี และตอ้ งการนโยบายประชานยิ มในลกั ษณะเดยี วกันจากพรรคการเมอื งท่ีหาเสียงเลอื กตง้ั ขอ้ สังเกตประการหนึง่ ในการเลอื กต้งั วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2562 คอื ระบบเลือกต้งั ที่นบั ทกุ คะแนน เสยี งสง่ ผลใหพ้ รรคการเมอื งสง่ ผสู้ มคั รรบั เลอื กตง้ั ในแตล่ ะเขตเลอื กตงั้ เพอ่ื ใหไ้ ดค้ ะแนนเสยี งไมว่ า่ จะไดอ้ นั ดบั ใด ก็ตาม เลยท�ำให้การเลือกต้ังครั้งน้ีบทบาททางเพศของชาย หญิง และเพศที่สามมีมากข้ึนในพื้นท่ีการเมืองของ จงั หวดั เชยี งใหมห่ รอื อาจกลา่ วไดว้ า่ ระบบการเลอื กตงั้ คอื เงอื่ นไขส�ำคญั ในการก�ำหนดพน้ื ทข่ี องโอกาสทางการเมอื ง ของผู้หญิง เพราะในการเลือกตั้งคร้ังนี้มีจ�ำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งเพศหญิงท่ีมีคุณสมบัติลงสมัครถึง 73 คน แต่มีผ้หู ญิงเพยี งคนเดยี วชนะเลอื กตัง้ ในเขต 1 จังหวดั เชียงใหม่ ซง่ึ เป็นอดตี ส.ส.และมาจากตระกลู การเมอื ง ความเปลย่ี นแปลงทางการเมอื งในพน้ื ทที่ ส่ี �ำคญั อกี ประการคอื กลมุ่ ผมู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตงั้ ครงั้ แรกในจงั หวดั เชยี งใหมท่ มี่ คี วามส�ำคญั ทง้ั ในเชงิ ยทุ ธศาสตรข์ องพรรคการเมอื งและในเชงิ สญั ญะของการเมอื งในยคุ เปลยี่ นผา่ น ซึ่งในจังหวัดเชียงใหม่มีสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาถึง 12 แห่ง ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มนี้มีความนิยมใน พรรคอนาคตใหมท่ เ่ี ปน็ ไปตามยทุ ธศาสตรก์ ารเลอื กตงั้ ของพรรคอยแู่ ลว้ ประกอบกบั รปู แบบและวธิ กี ารหาเสยี ง ที่เน้นส่ือออนไลน์และกิจกรรมสาธารณะในพ้ืนที่จังหวัดเชียงใหม่อย่างต่อเน่ือง ท�ำให้พรรคอนาคตใหม่ได้รับ

13 คะแนนเสียงจากฐานคนรุ่นใหม่ในจังหวัด แต่ความน่าสนใจคือ การขยายความนิยมออกไปในพื้นที่รอบนอกที่ ท�ำให้คะแนนเสียงรวมทั้งจังหวัดของพรรคอนาคตใหม่มาเป็นอันดับสอง รองจากพรรคเพื่อไทย หากพิจารณา จากผสู้ มคั รรับเลอื กตง้ั ของพรรคอนาคตใหม่ทัง้ 9 เขต จะพบวา่ ไม่มใี ครมีประสบการณเ์ คยลงสมคั รรบั เลือกตัง้ ส.ส.และถือว่าเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ ข้อมูลของกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกต้ังครั้งแรกในจังหวัดเชียงใหม่สะท้อนชัดเจน ว่าที่ตัดสินใจลงคะแนนเสียงให้พรรคอนาคตใหม่เพราะหัวหน้าพรรคและการน�ำเสนอความคิดและแนวทาง เชงิ อุดมการณ์ท่ตี อ้ งการเปลี่ยนแปลงและมีภาพลักษณ์ของการเปน็ ตัวแทนคนรนุ่ ใหม่ ในขณะที่พรรคการเมืองอื่น ๆ มีการใช้สื่อออนไลน์เพ่ิมมากข้ึน ทั้ง Facebook และ Line มาเป็น ส่วนหน่ึงของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง โดยส่วนใหญ่ใช้เพื่อติดต่อประสานงาน ส่งข่าวสารให้แก่เครือข่าย ผสู้ นบั สนนุ ในพน้ื ทห่ี รอื แจง้ ใหป้ ระชาชนทราบถงึ ภารกจิ หรอื ก�ำหนดการในการลงพน้ื ทหี่ าเสยี งเลอื กตง้ั แตว่ ธิ กี าร ในการหาเสียงแบบเดินสายเข้าชุมชนผ่านการเข้าร่วมงานส�ำคัญทางศาสนาหรือวัฒนธรรมชุมชน การใช้รถแห่ การตดิ ปา้ ยหาเสยี ง ตลอดจนการจดั ปราศรยั ในพนื้ ที่ การแจกโบรชวั รแ์ นะน�ำตวั ในพน้ื ทต่ี ลาดยงั คงเปน็ วธิ รี ณรงค์ หาเสียงทย่ี ดึ โยงกับลกั ษณะพน้ื ท่ขี องจังหวัดเชียงใหม่และวฒั นธรรมชมุ ชนที่ไดผ้ ลมากท่สี ดุ ระบบอปุ ถมั ภแ์ ละระบบหวั คะแนนยงั มคี วามจ�ำเปน็ และความส�ำคญั ตอ่ การเลอื กตง้ั ซงึ่ พรรคเพอื่ ไทย ยังคงมีความสัมพันธ์กับเครือข่ายการเมืองและผู้น�ำท้องถ่ินในระดับพื้นที่ได้กว้างขวาง ถือเป็นความได้เปรียบ เหนอื พรรคการเมอื งอนื่ ๆ ในขณะทพี่ รรคอนาคตใหมม่ กี ลมุ่ คนรนุ่ ใหมห่ รอื กลมุ่ ผลู้ งคะแนนเสยี งเลอื กตงั้ ครงั้ แรก ให้การสนับสนุนอย่างเปิดเผย โดยแสดงบทบาทผู้สนับสนุนพรรคในฐานะหัวคะแนนไซเบอร์ท่ีพร้อมน�ำเสนอ และสนับสนุนพรรคและหัวหน้าพรรคท่ีตนชื่นชอบผ่านส่ือออนไลน์ ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐมีกลไกของ หนว่ ยงานรฐั และกลมุ่ ผนู้ �ำชมุ ชนเปน็ ผสู้ นบั สนนุ ในพน้ื ที่ กลมุ่ การเมอื งทอ้ งถนิ่ และนกั การเมอื งทอ้ งถน่ิ ตา่ งเหน็ วา่ ระบบหวั คะแนนในการเลอื กตง้ั ครง้ั นม้ี คี วามแตกตา่ งไปจากการเลอื กตง้ั ในอดตี เพราะหวั คะแนนววิ ฒั นาการไปส ู่ กลุ่มคนหลายคนท่ีไม่ใช่แค่ผู้น�ำท้องถ่ินเท่านั้น แต่อาจเป็นกลุ่มสตรี กลุ่มเยาวชน หรือบุคคลภายนอกท่ีพรรค สง่ เขา้ มาในชมุ ชน เปน็ ตน้ ส�ำหรบั พรรคการเมอื งใหมห่ ลายพรรคทเี่ กดิ ขนึ้ แนน่ อนวา่ การสรา้ งระบบหวั คะแนน ขึ้นมาใหม่ไมใ่ ช่เรื่องง่าย ดังนน้ั อกี วิธกี ารหนึ่งทป่ี รากฎในการเลอื กตัง้ จงั หวดั เชยี งใหม่ คือ วิธกี ารซ้ือหวั คะแนน ของพรรคการเมืองอื่นมาช่วยตนเอง และวิธีการชักจูงผู้น�ำท้องถ่ินผ่านกลไกรัฐและนโยบายเพ่ือมาสนับสนุน ผู้สมัครรับเลือกตั้ง การซื้อสิทธิขายเสียงเลือกต้ังยังคงปรากฎให้เห็นทั้งในรูปแบบของการให้เงินและการให้ ผลประโยชน์ผ่านนโยบาย การซื้อเสียงไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ท�ำให้ชนะการเลือกตั้งดังเช่นในอดีตอีกต่อไป แต่การซ้ือเสียงเป็นหลักประกันพ้ืนฐานหรือปัจจัยหนึ่งในหลายปัจจัยที่จะท�ำให้ผู้สมัครไม่แพ้ในการเลือกตั้ง การศึกษาวิจัยน้ีพบว่าความหมายของการซ้ือเสียงเปลี่ยนไปจากเดิม เพราะไม่ควรมองเพียงเงินที่มีการจ่ายรับ ในการเลอื กตงั้ เทา่ นน้ั แตก่ ารซอื้ เสยี งควรหมายความรวมถงึ รปู แบบ วธิ กี าร แนวนโยบายทมี่ แี นวโนม้ การเสนอ ผลประโยชนเ์ พื่อแลกกบั คะแนนเสยี งในช่วงเวลาของการเลือกตงั้ ท่ีสง่ ผลตอ่ พฤติกรรมการลงคะแนนเสยี งของ ประชาชน

14 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ จากการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ในชว่ งกอ่ น ระหวา่ งและหลงั การเลอื กตงั้ ในจงั หวดั ชยี งใหม่ พบวา่ การเลอื กตงั้ ในวนั ท่ี 24 มนี าคม พ.ศ.2562 ได้น�ำไปสู่โจทยท์ างการเมอื งเก่ียวกับรฐั ธรรมนญู ระบบเลือกตง้ั พรรคการเมือง พฤติกรรมทางการเมืองของประชาชน และสื่อออนไลน์ ที่จ�ำเป็นต้องท�ำการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อท�ำ ความเขา้ ใจปรากฎการณท์ างการเมอื ง พฤตกิ รรมทางการเมอื งของประชาชนในพน้ื ท่ี รวมทง้ั การออกแบบระบบ การเลือกตั้งให้สอดคล้องกับการตั้งม่ันของประชาธิปไตยที่สะท้อนสิทธิและความต้องการของประชาชนอย่าง แทจ้ รงิ ซง่ึ จะเกดิ ขนึ้ ไดเ้ มอื่ ประชาชนเปน็ ตัวแสดงส�ำคญั เพราะการเลอื กตั้งไมใ่ ชแ่ คก่ ารลงคะแนนเสยี งเลอื กตงั้ แตย่ งั รวมถงึ การเขา้ ใจกตกิ า บทบาทหนา้ ทข่ี องตนเอง การท�ำหนา้ ทพ่ี ลเมอื งในการเฝา้ ตดิ ตาม ตรวจสอบสถาบนั ทางการเมอื งทั้งรัฐบาล พรรคการเมอื ง และองคก์ รของรฐั ใหท้ �ำหนา้ ทแ่ี ละบทบาทของตนเอง เมื่อประชาชนส่วนใหญ่ให้ความส�ำคัญต่อบทบาทของพรรคการเมืองมากข้ึน ดังน้ัน ข้อเสนอแนะ ของการวจิ ยั คอื การสรา้ งองคก์ รพรรคการเมอื งใหม้ คี วามเขม้ แขง็ ซง่ึ มคี วามส�ำคญั ตอ่ การพฒั นาการเมอื ง ควรมี การสง่ เสรมิ บทบาทของพรรคการเมอื งผา่ นสาขาพรรคและท�ำงานในรปู แบบของภาครี ะหวา่ งกลมุ่ และองคก์ รตา่ ง ๆ ในพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกต้ังดังเช่นจังหวัดเชียงใหม่ การให้ความรู้เก่ียวกับรัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งเพ่ือคุณภาพของคะแนนเสียง การพัฒนาศักยภาพของ คณะกรรมการการเลือกตั้งในการน�ำเทคโนโลยีการเก็บรวบรวมข้อมูลประชากร รายละเอียดผู้มีสิทธิเลือกต้ัง เพื่อใช้ในการส่งเสริมความรู้ พัฒนาบุคลากรของ กกต. และจัดการเลือกตั้งให้มีประสิทธิภาพมีมาตรฐาน การพัฒนาพรรคการเมืองควรส่งเสริมพรรคให้มีบทบาทในการน�ำเสนอนโยบายที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ตอบสนองความต้องการของประชาชน ที่ส่งผลให้พรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ท่ีได้รับเลือก ซ่ึงมาจากความต้องการของประชาชนและมีบทบาทความเป็นตัวแทนแบบประชาธิปไตยของประชาชนอย่าง แทจ้ รงิ

15 Executive Summary The Study of Political Movements and Electoral Behaviors of the 2019 General Election in Chiang Mai Province The March 24, 2019 general election under the Constitution of the Kingdom of Thailand 2017 was crucial and directly associated with the development and changes of Thai politics. The election was not only a political process, as an important component of democracy, but was also a learning process concerning major political transitions as evidenced in the emergence of the ideological discourses of democracy and polar opposites amid the political awakening of eligible voters. The political expression that occurred appeared online and in public forums was unprecedented and ongoing. At the same time, there are political activities of institutions and political organizations, whether they be the government, Election Commission, political parties and various political groups, which have a greater role and political interaction with the people. The said election not only reflects the change and development of people’s political participation, but also mirrors the level of preparation of political parties and candidates; the 2019 general election saw more registered parties and candidates than any other election in the history of Thai politics. The election on March 24, 2019 is considered a challenge for the study of Thai political development. The challenge encompasses the provisions of the 2017 Constitution and changes to the electoral system with the introduction of a mixed member apportionment system (MMA),

16 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ resulting in election rules and guidelines different from those in the previous electoral system with which people are familiar. Among the changes, a single ballot was adopted, candidates from the same party were assigned different numbers in each constituency, even within the same province, and a new method of vote counting and calculation was adopted so that every single vote affects the proportion of the party-list MPs. This research study entitled The Study of Political Movements and Electoral Behaviors of the 2019 General Election in Chiang Mai Province therefore aims to examine and explain the political and political changes related to political parties and politicians, the political parties’ candidate selection process, and factors affecting the decision to become a political party member to run for election in a Chiang Mai constituency. The objective is also to comprehend the guidelines/direction, methods, and forms of resource mobilization necessary for competition in the election. Changes in behaviors of people and local political groups, as well as the election campaigns of the MP candidates in Chiang Mai Province will be analyzed. This qualitative research, covering all nine constituencies in Chiang Mai, is conducted through documentary research and field research with in-depth interview method and focus- group interview method. The informants include candidates from various political parties, political party supporters, representatives of political parties, political party branches, relevant government agencies such as the Election Commission, local government officials involved in election management, political science scholars, local leaders, political influencers of various political parties in Chiang Mai area, and eligible voters in Chiang Mai, with first time voters and the general public divided into groups of voters residing in the Mueang District and the outer districts of Mueang Chiang Mai District. Apart from being the province with the highest number of MPs in the northern region, Chiang Mai is considered a political stronghold of Pheu Thai Party, one of the major political parties, since the 2001 election (at the time in the form of predecessor party Thai Rak Thai). Pheu Thai Party won in all nine of Chiang Mai’s constituencies in the March 24, 2019 election. Chiang Mai is the first province where the Election Commission issued an “Orange Card” to the Pheu Thai candidate who had already won the in Constituency 8, resulting in the Election Commission’s announcement calling a new election on May 26, 2019. Subsequently, the candidate from the Future Forward Party won that new election.

17 The results of the research showed that people in Chiang Mai, whether living in Muang District and its peripheries, or the outer districts and remote areas, were strongly interested and active during the March 24, 2019 election because it was the first election organized after the 2014 coup d’état, coupled with the growth of social media and digital television that enabled people to have access to political information easily and promptly. However, there appeared to be differences in the outskirts of Muang district, especially in remote areas on the highlands and ethnic communities, specifically that people in those areas still did not understand the conditions and details of the mixed member apportionment electoral system (MMA). Therefore, in the areas where political understanding was not fully present, the manipulation of political information tended to occur. Election news is delivered or spread by the campaigners, political party representatives, or candidates in the areas, rather than by the Election Commission or government agencies. The study indicates that people were not fully aware of the change from multiple ballots to the single ballot. And in the voting, people are unable to voice their real needs because the new election system tries to combine three elements: selection of the prime minister, political parties for party list seat allocation, and MPs in the constituencies, into a single ballot. That results in a very difficult decision to make. Yet, the result of the study shows that the people in Chiang Mai made their voting decisions mainly on the basis of political party. Despite the large number of political parties in this election, the dominant political parties were the Pheu Thai Party, Palang Pracharath Party, and the Future Forward Party, while other political parties were not very popular. And yet, the new election system dictates that every vote has to be counted and hence every political party put effort into campaigning in order to get votes in the party list system, even though they did not expect to actually win any constituency race in Chiang Mai. Regarding the selection of political party candidates in Chiang Mai Province, the direction or guidelines used do not differ greatly between most political parties, Though an exception can be seen in the case of Future Forward Party, which adopted a different method for obtaining its candidates. Generally, in Chiang Mai, candidates were selected in three ways: 1. chosen from among former MPs or former national level politicians; 2. chosen from among people who previously held political positions at the local level or former civil servants, members of local political networks, and people with prominent socioeconomic status in Chiang Mai; and 3. people who are interested to work or represent political parties and were proposed and approved by the parties. Interestingly, people do not pay much attention to the roster

18 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ of party-list candidates, but, instead, focus on four things: the list of people the parties proposed as prime minister or leaders of the parties; names of political parties; the MP candidates in their own constituency; and the policies of the parties, especially economic policies and poverty alleviation. In Chiang Mai, especially the outskirts of the Muang District, most people still remember the policies of the Thai Rak Thai Party and express a need for similar populist policies from political parties campaigning in the election. One clear observation is that since all votes cast contribute to the party list calculation, all parties had an incentive to field candidates in every constituency, regardless of whether they would be likely to win in any particular constituency. Therefore, this election was increasing roles of males, females, and the third gender in the political participation in Chiang Mai Province. In other words, the electoral system was important conditions in determining the women’s political opportunity as there were 73 female qualified candidates in this election. Despite this, the only woman who won, in Constituency 1, was a former MP and a descendant from a political family. Another political change in Chiang Mai is related to first-time voters as they are important both in terms of the strategic direction of political parties and a sign of the transitioning political era. In Chiang Mai, there are 12 universities and it is undeniable that this group of people seem to favor the Future Forward Party, which is in line with the party’s election strategy. Coupled with a format and method of campaigning that continuously focuses on online media and public activities in Chiang Mai, the Future Forward Party gained a considerable amount of votes from the new generation of people in the province. But what is interesting is how the Future Forward Party expanded its popularity into the outer areas and that enabled the party to obtain the second-highest total vote tally, after Pheu Thai Party. When considering the candidates for the Future Forward Party in the nine constituencies, it was found that none had any previous experience in running for election as an MP and they were simply considered the “new faces” candidates. Data concerning the first-time voters in Chiang Mai clearly shows that the decision to vote for the Future Forward Party is linked to the party leader and the presentation of ideological ideas and approaches voicing the need for change and the image of the new generation.

19 Many political parties rely heavily on online media, both Facebook and Line, and consider these platforms as part of the election campaign, used for coordinating and distributing information to the local network of supporters or to inform the public about the mission or schedule for the election campaign. However, personal community visits, attendance at important religious or cultural events, announcements using motor vehicles, campaign signs, the delivery of speeches in the area, and distribution of brochures for self-introduction in markets are still the most effective campaigning activities that respond to the nature of Chiang Mai and the community culture. Patronage and vote canvasser systems are found to be necessary and vital for the election. Pheu Thai Party maintains extensive relationships with political networks and local leaders, which viewed as giving the party an advantage over other political parties. The Future Forward Party receives open support from groups of young people or first-time voters, who play the role of party supporters as cyber campaigners, ready to present and support the party and their favorite party leader via online platforms. As for the Palang Pracharat Party, mechanisms of government agencies and community leaders take the role of supporters in the area. Local political groups and local politicians are of the opinion that the nature of vote canvassers in this election has evolved to be quite different from in previous elections because the vote canvassers now may come from various groups of people, not just local leaders. The evolved campaigners may be women’s groups, youth groups, or outsiders assigned by parties to work in communities. It is natural that, for many newly-formed political parties, the vote canvasser system cannot be easily established or promptly exercised. To address this issue, a new method is chosen. Parties with weak campaigner systems persuade or buy the help of other parties’ local vote canvassers to campaign. Local leaders are persuaded, through state mechanisms and policies, to support candidates. Vote buying can still be identified, both in terms of offers of money and promises of benefits through policies. Vote buying is not the sole factor that enables a political party to win the election as was the case in the past, but it has become the basic guarantee or one of many factors that will prevent the candidates from losing the election. This study found that the meaning of vote buying has changed as it cannot be viewed only in monetary terms in the election. The meaning of vote buying should include all the patterns, methods, and policies that exhibit a tendency to offer benefits in exchange for votes at the time of the election, which affect people’s voting behavior.

20 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ From the analysis of pre-election data, during the election and after the election in Chiang Mai, it was found that the election March 24, 2019 raised political issues regarding the constitution, election system, political parties, political behavior of people, and online media, which require ongoing research to understand the political phenomenon, political behavior of people in the area, and the design of the electoral system which is more consistent with the democratic intent that truly effects the rights and needs of the people. This can only happen when people become crucial players. Elections are not limited to people’s casting the votes only, but they also include understanding about the rules, roles, and responsibilities. Elections involve people acting as citizens monitoring political institutions, government, political parties, and government organizations to ensure that they perform their duties and roles. As the majority of people are realizing the importance of the role of political parties, this study proposes certain suggestions. Political party organizations should be strengthened as they are closely tied with political development. The role of political parties should be promoted through party branches and the political activities should be collaborated in the form of interactive network between groups and organizations in the area, especially areas with great diversity in culture and nature of voters such as Chiang Mai. People should be provided with knowledge about the constitution and election laws so that the elections can ensure the quality of votes. The potential of the Election Commission should be enhanced utilizing technology to collect demographic data and details of eligible voters, thus increase the efficiency, accuracy and reliability of the data for the Election Commission’s personnel. With that, the elections should be managed efficiently and maintain the democratic election. For the development of political parties, they should be encouraged to design succinct and concrete policy in response to the needs of the people. The political parties and candidates, as a result, would be elected on the basis of people’s needs and would be able to perform the role of truly democratic representatives of the people.

สารบัญ 21 หน้า คำ� น�ำสถาบนั พระปกเกล้า 3 ค�ำน�ำ 5 บทคดั ย่อภาษาไทย 6 บทคัดยอ่ ภาษาอังกฤษ 8 บทสรปุ ผบู้ รหิ ารภาษาไทย 10 บทสรุปผบู้ รหิ ารภาษาอังกฤษ 15 สารบัญ 21 สารบญั ตาราง 24 สารบัญแผนภาพ 25 บทที่ 1 บทนำ� 26 1.1 บทน�ำ 27 1.2 วตั ถุประสงค ์ 30 1.3 ขอบเขตของการศกึ ษา 31 1.4 ประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะได้รบั 31 1.5 ระยะเวลาท�ำการศึกษา 32

22 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ หน้า บทท่ี 2 แนวคิดในการอธบิ ายและวิเคราะหใ์ นการศกึ ษาวจิ ยั และการทบทวนวรรณกรรม 34 2.1 แนวคิดการจัดการการเลือกตง้ั (Electoral Management) 35 2.2 แนวคิดการตั้งม่นั ของประชาธปิ ไตย (Consolidated Democracy) 43 2.3 แนวคิดเก่ียวกับพฤติกรรมการเลอื กตง้ั (Electoral Behaviour) 44 2.4 การทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยท่ีเกี่ยวขอ้ ง 46 บทท่ี 3 วิธีการศกึ ษาวจิ ัย 52 3.1 แนวทางการวจิ ยั 53 3.2 วิธกี ารเก็บข้อมูล 53 3.3 ผใู้ หข้ ้อมลู 54 3.4 การวิเคราะห์ข้อมลู 55 3.5 ขอ้ จ�ำกัดของการวิจยั 55 บทที่ 4 บริบทการเมอื งและการต่อสู้แขง่ ขันการเลือกต้ังในจังหวัดเชียงใหม่ 58 4.1 ขอ้ มลู พ้ืนฐานการเลอื กตัง้ ของบริบททางการเมอื ง 59 4.2 ขอ้ มูลผมู้ สี ิทธเิ ลือกต้ังจงั หวัดเชียงใหม่ 64 4.3 ข้อมูลเขตเลือกต้ังนบั ตั้งแตร่ ฐั ธรรมนญู 2540, 2550 และ 2560 65 4.4 ขอ้ มลู ผู้สมคั รรับเลอื กต้ัง 69 4.5 การเลอื กตัง้ ตามพระราชกฤษฎีกาก�ำหนดให้มกี ารเลอื กต้งั 73 สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรเปน็ การท่วั ไป พ.ศ. 2562 4.6 ผลกระทบของระบบการเลือกตง้ั แบบจัดสรรปนั สว่ นผสม 4.7 ความนิยมในตัวบคุ คลกับตระกูลการเมืองในการเลอื กต้งั 80 4.8 ผูส้ มคั รผหู้ ญิงกับการเลือกตงั้ 85 89

23 หนา้ บทท่ี 5 การเคลือ่ นไหว การแข่งขนั และการใช้อ�ำนาจของพรรคการเมืองและผูส้ มัครรับเลอื กตงั้ 98 ในการหาเสยี งเลือกตง้ั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร 2562 จงั หวดั เชียงใหม่ 5.1 การเคลือ่ นไหวของพรรคการเมอื ง กลุม่ การเมอื งและการแข่งขนั การเลือกตั้ง 99 ของพรรคการเมอื งและผ้สู มัครสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรในจังหวัดเชียงใหม่ 5.2 รปู แบบและวิธีการในการการรณรงค์หาเสยี งเลือกตงั้ ของ 105 ผูส้ มัครรบั เลอื กตงั้ สมาชกิ ผู้แทนราษฎรในจงั หวดั เชยี งใหม ่ 5.3 กระบวนการคดั สรรผู้สมคั รรบั เลือกตงั้ ของพรรคการเมอื ง 116 5.4 การเปลยี่ นแปลงของพฤติกรรมทางการเมอื งของประชาชนและ 120 กลุ่มการเมืองในพ้นื ท่ีในการเลอื กตั้งสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร จงั หวัดเชียงใหม่ 5.4.1 ผ้มู ีสทิ ธิลงคะแนนเสียงเลอื กตั้งกับการเลอื กในระบบจดั สรรปันส่วนผสม 121 5.4.2 ระบบอุปถัมภ์ ระบบหัวคะแนนกับการซ้อื เสียงในการเลอื กตัง้ จังหวดั เชยี งใหม่ 125 5.4.3 การด�ำเนนิ การของสาขาพรรคการเมอื งในจงั หวดั เชียงใหม่ 129 บทท่ี 6 บทสรุปและข้อเสนอแนะ 136 6.1 บทสรปุ 137 6.2 ขอ้ เสนอแนะของการศกึ ษาวิจยั 141 เอกสารอ้างอิง 143

24 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ สารบัญตาราง หน้า 29 ตาราง 1.1 แสดงขอ้ มลู การใช้สิทธิเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตง้ั 62 จงั หวัดเชยี งใหม่ 69 ตาราง 4.1 ตารางแสดงระบบการเลือกตั้ง จ�ำนวน ส.ส. และสัดสว่ นประชากร 77 ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 – พ.ศ. 2562 ของจงั หวัดเชียงใหม่ 89 ตาราง 4.2 แสดงขอ้ มูลของผูส้ มคั รรบั เลอื กตั้งทไี่ ดร้ ับเลอื กคะแนนสูงสดุ 3 อนั ดบั แรก 91 ของทงั้ 9 เขตเลอื กตั้งในจงั หวดั เชียงใหม่ 106 ตาราง 4.3 แสดงจ�ำนวนผ้มู าใช้สิทธิลงคะแนนกอ่ นวนั เลอื กต้งั (ล่วงหนา้ ) 138 ณ ท่เี ลอื กตัง้ กลางนอกเขตเลอื กต้งั วันที่ 17 มนี าคม พ.ศ. 2562 รวมท้ัง 9 เขต ตาราง 4.4 ตารางแสดงผลการลงคะแนนเสยี งเลือกต้ังตามเพศ ในการเลอื กตัง้ ท่ัวไป วนั ท่ี 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 จังหวัดเชยี งใหม่ ตาราง 4.5 แสดงจ�ำนวนผสู้ มคั รสมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรผูห้ ญิงและผลคะแนน ในการเลอื กตั้งทั่วไปวนั ที่ 24 มนี าคม พ.ศ. 2562 จงั หวดั เชียงใหม ่ ตาราง 5.1 คะแนนผู้สมคั รรับเลอื กต้งั 3 อนั ดบั แรกในแต่ละเขตเลือกตัง้ จงั หวัดเชียงใหม่ ตาราง 6.1 รายชื่อผ้ทู ไ่ี ด้รับเลือกตัง้ เป็น ส.ส.จาก 9 เขตเลือกตัง้ จงั หวัดเชียงใหม่ ในการเลือกต้งั ทวั่ ไปวนั ท่ี 24 มนี าคม พ.ศ. 2562

25 สารบัญแผนภาพ หน้า แผนภาพ 4.1 แผนท่กี ารแบ่งเขตเลอื กตง้ั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวัดเชยี งใหม่ 68 ตามรฐั ธรรมนญู ฯ พ.ศ. 2560 78 แผนภาพ 4.2 แสดงสถติ คิ ะแนนการเลอื กตัง้ สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรเป็นการทั่วไป 84 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 จังหวดั เชยี งใหม่ 90 แผนภาพ 4.3 แสดงสัดส่วนของคะแนนการเลอื กต้งั ของพรรคการเมอื งที่ไดค้ ะแนนรวมสงู สุด 3 อนั ดับแรกของจังหวัดเชียงใหม่ในการเลอื กตั้ง วนั ท่ี 24 มนี าคม พ.ศ. 2562 แผนภาพ 4.4 แสดงคา่ รอ้ ยละการลงคะแนนเสยี งเลือกต้งั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร จังหวดั เชยี งใหม่ แบง่ ตามคะแนนของเพศในการเลือกตัง้ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562

26 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ บทที่ 1 บทน�ำ

27 1.1 บทน�ำ ประชาธิปไตย (Democracy) เป็นระบอบการปกครองที่เติบโตงอกงามจากการยอมรับอ�ำนาจของ ประชาชน สามารถจ�ำแนกรปู แบบออกไดเ้ ปน็ 2 ประเภทดว้ ยกนั คอื ประชาธปิ ไตยทางตรง (Direct Democracy) ซงึ่ เปน็ ลกั ษณะของการปกครองทป่ี ระชาชนสามารถเขา้ ไปมสี ว่ นในการปกครองโดยตรง ในกระบวนการก�ำหนด นโยบายเพ่ือบริหารประเทศ หรือในรูปแบบของการชุมนุมแลกเปล่ียนความคิดเห็นและตัดสินใจเรื่องการเมือง แต่ในปัจจุบันภายใต้บริบททางการเมืองสมัยใหม่ ตลอดจนความซับซ้อนของโครงสร้างและปัจจัยแวดล้อม ทางการเมือง เช่น จ�ำนวนประชากรที่มีมากขึ้น การอพยพเคลื่อนย้ายถ่ินฐาน หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงของ อาชีพและระดับการศึกษา ท�ำให้กฎ กติกาและรูปแบบของการใช้อ�ำนาจของประชาชนในการปกครองตาม ระบอบประชาธิปไตยตอ้ งอาศยั ประชาธิปไตยทางออ้ ม (Indirect Democracy) โดยใช้อ�ำนาจผ่านการเลอื กต้ัง (Election) ในการเลือกผู้แทน (Representative) เพื่อให้ได้มาซึ่งตัวแทนในการใช้อ�ำนาจทางการเมือง การปกครองแทนประชาชน ซง่ึ ถอื เปน็ รปู แบบพนื้ ฐานทเี่ หมาะสมทสี่ ดุ ในสงั คมการเมอื งทเี่ ปดิ พน้ื ทขี่ องเสรภี าพ ในการเลอื กตงั้ เพ่อื ใหไ้ ดผ้ แู้ ทนของประชาชนอยา่ งแทจ้ รงิ การเลือกต้ังจึงถือเป็นกิจกรรมที่สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนในฐานะเจ้าของอ�ำนาจอธิปไตย ตามรัฐธรรมนูญ เพ่ือแสวงหาบุคคลหรือพรรคการเมืองในการท�ำหน้าที่ทางการบริหารและนิติบัญญัติเพื่อ ก�ำหนดตัดสินใจเชิงนโยบายและบริหารประเทศเพ่ือประโยชน์สูงสุด สนองตอบความต้องการของประชาชน การเลือกต้ังจึงถือได้ว่าเป็นกระบวนการทางการเมืองท่ีมีความส�ำคัญ โดยหลักการพื้นฐานในการด�ำเนินการ จดั การเลอื กตงั้ ทเ่ี สรแี ละเปน็ ธรรม เพอื่ ใหผ้ ลการลงคะแนนเสยี งเลอื กตง้ั เปน็ ดงั่ กระจกสะทอ้ นเจตจ�ำนงทแ่ี ทจ้ รงิ ของประชาชน และยังเป็นตวั ชวี้ ัดพฒั นาการการมสี ว่ นร่วมทางการเมืองของประเทศ อีกทงั้ การเลอื กตงั้ ยงั ช่วย ส่งเสริมและกระตุ้นบทบาททั้งในส่วนของพรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งในการน�ำเสนอนโยบาย ผู้น�ำ และอุดมการณ์ทางการเมืองท่ีเป็นทางเลือกที่สอดคล้องต่อความต้องการของประชาชน ซ่ึงเป็นสิ่งที่ประชาชน คาดหวงั และมีความส�ำคญั ตอ่ การเปลย่ี นแปลงโครงสร้างอ�ำนาจทางการเมอื ง นอกจากนี้ การเลือกต้ังยังเป็นกระบวนการท่ีสะท้อนบทบาททั้งองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชนและ ภาคประชาสังคม ซึ่งเป็นตัวแสดงส�ำคัญทางการเมืองท่ีสามารถส่งผลต่อกระบวนการการเลือกต้ัง และการ เปลยี่ นแปลงของพฤตกิ รรมการเลอื กตงั้ ของประชาชน ใหต้ อบสนองตอ่ การสง่ บคุ คลหรอื กลมุ่ บคุ คลทางการเมอื ง ทม่ี แี นวคดิ หรอื แนวนโยบายในการใชอ้ �ำนาจอนั สอดคลอ้ งตอ่ ความตอ้ งการของตนเขา้ ไปปฏบิ ตั หิ นา้ ทตี่ ลอดจนถงึ การตดั สนิ ใจเพอ่ื ใหเ้ กดิ ประโยชนแ์ กส่ ว่ นรวม การเลอื กตง้ั จงึ เปน็ เครอ่ื งมอื ส�ำคญั และเปน็ ชอ่ งทางใหป้ ระชาชนเกดิ ทางเลอื กในการปกครองและสนองตอบความตอ้ งการของตนเอง หากพจิ ารณาในทางทฤษฎี การเลอื กตง้ั ถอื เปน็ กิจกรรมที่ส�ำคัญอยา่ งยง่ิ ในกระบวนการทางการเมือง อนั เปน็ พน้ื ฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทเ่ี ปน็ ตวั บง่ ชส้ี �ำคญั วา่ ในชว่ งเวลาหนง่ึ คณะบคุ คลใดจะไดท้ �ำหนา้ ทใ่ี นการบรหิ ารประเทศ และประเทศจะเปน็ ไป ในทิศทางใด ล้วนมาจากคะแนนเสียงความเห็นชอบของประชาชนส่วนใหญ่จากกระบวนการเลือกตั้ง โดยการ ตัดสนิ ใจของประชาชนทม่ี ีปฏิสัมพันธต์ อ่ นโยบายของผ้สู มคั รรับเลือกตง้ั และพรรคการเมอื งน้นั ๆ

28 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ ส�ำหรบั ประเทศไทยในปี พ.ศ. 2562 นบั เปน็ ปีแห่งการเปลีย่ นแปลงของการเมอื งไทยทม่ี คี วามส�ำคญั เพราะได้มีการก�ำหนดให้มีการเลือกต้ังในวันท่ี 24 มีนาคม ภายหลังจากการเกิดสุญญากาศของการเลือกต้ัง ทงั้ ในระดบั ชาตแิ ละระดบั ทอ้ งถน่ิ มากวา่ 5 ปี นบั จากการรฐั ประหารในปี พ.ศ. 2557 โดยภายหลงั การรฐั ประหาร รฐั บาลทีน่ �ำโดยพลเอกประยทุ ธ์ จนั ทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะรกั ษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อีกท้ังยงั เปน็ หวั หนา้ ฝา่ ยบริหาร คอื การเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ด�ำเนนิ การควบคุม การด�ำเนินกิจกรรมทางการเมอื งเพ่ือขจัด ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและสกัดการเติบโตของเครือข่ายอ�ำนาจทางการเมืองของกลุ่มการเมืองและ พรรคการเมอื งตา่ ง ๆ ทเ่ี ชอื่ วา่ สง่ ผลตอ่ ความมนั่ คงและอาจเปน็ ตน้ ตอทน่ี �ำมาสคู่ วามขดั แยง้ ทางการเมอื ง ดงั นนั้ สถานการณ์และสภาพแวดล้อมทางการเมืองก่อนความชัดเจนของการก�ำหนดวันเลือกตั้ง จึงเต็มไปด้วย กระแสข่าวของการเกิดขึ้นใหม่และการแตกกลุ่มของพรรคการเมือง การเปล่ียนแปลงผู้สมัครในเขตเลือกตั้ง การโยกย้ายพรรคของผู้สมัครรับเลือกต้ัง การใช้อ�ำนาจอิทธิพลของข้อมูลในการสร้างข่าว ความเชื่อ ตลอดจน เกิดการถกเถียงเรยี กรอ้ งความเสมอภาคและเปน็ ธรรมจากรฐั บาลในการหาเสียงเลอื กตั้งอย่างต่อเน่ือง นอกเหนือจากนี้ กฎหมายรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 (พ.ร.ป.เลือกต้ังฯ) และกฎหมายอ่ืน ๆ รวมทั้งประกาศต่าง ๆ ของ คณะกรรมการการเลือกต้ัง (กกต.) มีประเด็นและข้อก�ำหนดที่ส่งผลให้มีการเปล่ียนแปลงองค์ประกอบของการ เลือกต้ังหลายประการ เช่น ระบบการเลือกต้ังที่เปลี่ยนจากบัตรเลือกตั้ง 2 ใบเหลือบัตรเลือกตั้งเพียงใบเดียว การเปลี่ยนแปลงจ�ำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบแบ่งเขตเลือกตั้งจาก 375 คน ให้ลดลงเหลือ 350 คน และเพม่ิ จ�ำนวนสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรแบบบญั ชรี ายชอื่ จาก 125 คนเปน็ 150 คน รวมจ�ำนวนทงั้ สนิ้ 500 คน การเปลี่ยนเขตเลือกต้ังท่ีมีการก�ำหนดพื้นที่ที่แตกต่างไปจากการเลือกตั้งเดิม น�ำมาสู่การเคล่ือนตัว ของฐานคะแนนเสียงของพรรคการเมืองและอดีตนักการเมืองในพื้นที่ จนน�ำไปสู่การปรับเปล่ียนยุทธศาสตร ์ ในการต่อสู้การเลือกตง้ั การเปลย่ี นแปลงและเคลอื่ นไหวทางการเมอื งในระดบั ชาตทิ งั้ จากรฐั บาล องคก์ ร สถาบนั ทางการเมอื ง ต่าง ๆ และภาคประชาสังคมส่งผลต่อทิศทางการเปล่ียนแปลงของบริบท โอกาส และอ�ำนาจทางการเมืองของ กลมุ่ การเมอื งในจงั หวดั ตา่ ง ๆ รวมไปถงึ จงั หวดั เชยี งใหมซ่ งึ่ ถอื วา่ เปน็ พนื้ ทยี่ ทุ ธศาสตรท์ างการเมอื งของพรรคการเมอื ง หลายพรรค และทผี่ า่ นมามกี ารตอ่ สทู้ างการเมอื งอยา่ งเขม้ ขน้ มาตลอด เนอื่ งดว้ ยจ�ำนวนสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ของจังหวัดเชียงใหม่มีจ�ำนวนมากที่สุดในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ในขณะเดียวกันความหลากหลาย และตัวแปรทางการเมืองท่ีน่าสนใจ เช่น การเป็นจังหวัดศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการท่องเท่ียว เป็นจังหวัด ท่ีเป็นที่ต้ังของสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษา 12 สถาบัน1 ท่ีท�ำให้เชียงใหม่มีกลุ่มนักเรียน นักศึกษา 1 สถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษา 12 สถาบัน ในจังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัย เทคโนโยลีราชมงคลล้านนา, มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่, สถาบันการพละศึกษาประจ�ำ วิทยาเขตเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่, มหาวิทยาลัยพายัพ, มหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น, มหาวิทยาลัยมหามกุฏ ราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา, มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่, วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่, วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี เชยี งใหม่ และมหาวทิ ยาลัยแม่โจ้

29 ที่เป็นกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกต้ังคร้ังแรกจ�ำนวนมาก พร้อมกับการเป็นเมืองหลักของภาคเหนือตอนบนท่ีมีการเติบโต ของภาคอตุ สาหกรรมและการคมนาคม ท�ำใหเ้ กิดกลมุ่ วิชาชพี ต่าง ๆ เพอ่ื ตอบสนองความเติบโตของเมอื ง และ เกิดการย้ายถิ่นฐานเข้ามาอาศัยในจังหวัดเชียงใหม่อย่างหนาแน่นมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงกลายมาเป็นตัวแปร ทน่ี �ำไปสกู่ ารก�ำหนดนโยบายพรรคและจดุ แขง็ ของผสู้ มคั รรบั เลอื กตง้ั ในพนื้ ที่ ทจ่ี ะน�ำเสนอทง้ั ประเดน็ เชงิ นโยบาย และความเชื่อม่ันในการท�ำงานทางการเมืองให้แก่จังหวัดเชียงใหม่ท่ีมีสภาพความแตกต่างท้ังในด้านภูมิศาสตร์ และเศรษฐกิจในแตล่ ะเขตเลอื กตั้ง ความเคล่ือนไหวทางการเมืองก่อนการเลือกต้ังท่ีคาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2562 ก่อให้เกิดกระแส การต่ืนตัวของพรรคการเมืองและนักการเมืองที่พยายามน�ำเสนอตัวต่อการเป็นตัวแทนของประชาชนจาก หลากหลายพรรค มที งั้ นกั การเมอื งทเ่ี คยเปน็ อดตี สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร และจากกลมุ่ คนรนุ่ ใหมท่ ยี่ งั ไมเ่ คยมี ประสบการณท์ างการเมอื ง การรณรงคป์ ระชาสมั พนั ธห์ าสมาชกิ พรรคทไี่ ดด้ �ำเนนิ การอยา่ งเปดิ เผยและไมเ่ ปดิ เผย การน�ำเสนอนโยบายและเริ่มการใช้ยุทธศาสตร์ในการหาเสียงเลือกตั้งทั้งท่ีเป็นทางการและไม่เป็นทางการ จึงเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการแบ่งเขตการเลือกต้ังในการเลือกตั้งปี 2562 ของพ้ืนที่จังหวัด เชียงใหม่ลดเหลือ 9 เขตเลือกตั้ง ท�ำให้มีจ�ำนวนสมาชิกสภาผู้แทนแบบแบ่งเขตมีจ�ำนวน 9 คน การปรับเขต พื้นท่ีเขตเลือกตั้งใหม่น้ีจึงมีผลต่อการเปล่ียนแปลงกระบวนทัพการหาเสียง เครือข่ายท้องถ่ิน และการต่อรอง ผลประโยชน์ในพ้ืนทร่ี ะหว่างตวั บุคคลและพรรคการเมือง จ�ำนวน ผใู้ ชส้ ทิ ธิ บัตร สมาชกิ ผู้มีสทิ ธิ เลือกต้ัง ร้อยละ ไม่ประสงค์ ร้อยละ เลอื กตั้ง สภาผ้แู ทน เลอื กต้งั 1,002,549 ร้อยละ บตั รเสยี 955,935 ลงคะแนน ราษฎร 943,215 83.13 77,145 7.69 44,471 4.44 872,593 83.18 32,049 3.35 61,154 6.40 3 กรกฎาคม 10 1,205,955 82.66 75,682 8.02 27,688 2.94 2554 78.83 22,902 2.62 16,613 1.90 23 ธนั วาคม 11 1,149,288 2550 6 กมุ ภาพนั ธ์ 10 1,141,118 2548 6 มกราคม 10 1,106,980 2544 ตาราง 1.1 แสดงข้อมูลการใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จังหวัด เชียงใหม่ (อ้างจาก ข้อมูล สถิติ และผลการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2544, พ.ศ. 2548, พ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2554 จาก ส�ำนักงานคณะกรรมการการเลือกตง้ั )

30 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ จากตาราง 1.1 ข้างต้นจะเห็นว่า จ�ำนวนผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในจังหวัดเชียงใหม ่ โดยภาพรวมอยใู่ นเกณฑท์ ค่ี อ่ นขา้ งสงู แตใ่ นขณะเดยี วกนั ตวั เลขของบตั รเสยี และผไู้ มป่ ระสงคล์ งคะแนนกส็ ะทอ้ น ใหเ้ หน็ ถงึ การเปลย่ี นแปลงระบบการเลอื กตงั้ อยา่ งเหน็ ไดช้ ดั ทนี่ �ำไปสกู่ ารใหเ้ หน็ ถงึ ความส�ำคญั ของการใหค้ วามร้ ู และท�ำความเขา้ ใจเรื่องของระบบการเลือกตั้งที่น�ำมาสกู่ ารลงคะแนนเสยี งท่ถี ูกตอ้ งและมคี ณุ ภาพด้วย อย่างไรก็ตาม การเลือกต้ังทั่วไปท่ีจะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2562 น้ัน ได้น�ำมาสู่ข้อถกเถียงและค�ำถาม จ�ำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองของการเกิดข้ึนของพรรคการเมืองใหม่ ๆ จ�ำนวนผู้สมัครในแต่ละเขตเลือกตั้ง มีจ�ำนวนมากเพ่ือกอบโกยและเก็บคะแนนเสียงให้แก่พรรคการเมืองของตนเองอันเป็นผลมาจากระบบ การเลอื กตงั้ ในรฐั ธรรมนญู พ.ศ. 2560 โดยการใชร้ ะบบการเลอื กตงั้ แบบจดั สรรปนั สว่ นผสมทม่ี กี ารเปลย่ี นแปลง ในรายละเอยี ดของทง้ั ผสู้ มคั รรบั เลอื กตงั้ และผลู้ งคะแนนเสยี งเลอื กตงั้ ทา่ มกลางระยะเวลาทมี่ อี ยา่ งจ�ำกดั น�ำมาส ู่ ความสับสนและความขาดซึ่งข้อมูลในภาคประชาชน ตลอดจนการต่อสู้แข่งขันทางการเมืองของนักการเมือง พรรคการเมืองหนา้ เดมิ และหน้าใหมใ่ นพ้ืนท่ีจงั หวดั เชียงใหม่ ทีอ่ ยภู่ ายใตก้ ารก�ำหนดควบคมุ ดว้ ยเง่อื นไขต่าง ๆ จงั หวดั เชยี งใหมซ่ ง่ึ เปน็ จงั หวดั ทเ่ี ตบิ โตทางดา้ นเศรษฐกจิ การศกึ ษา และความเปน็ เมอื งอยา่ งรวดเรว็ อีกท้ังในทางการเมืองยังเป็นจังหวัดที่ฐานคะแนนเสียงของพรรคการเมืองเดิมท่ียังคงรักษาฐานอ�ำนาจในพ้ืนท ี่ มานับสิบปี การเปลี่ยนผ่านอ�ำนาจของผู้น�ำการเมืองท้ังในระดับประเทศและระดับท้องถ่ินในช่วงเวลาของ สุญญากาศทางการเมอื งภายหลงั การรฐั ประหาร พ.ศ. 2557 ต่างสง่ ผลต่อความคิดและพฤติกรรมทางการเมือง ของประชาชน สภาวะก่อนและหลงั การเลอื กตัง้ ทผี่ นั แปรนีจ้ งึ เป็นท่ีมาของการตง้ั ค�ำถามจนน�ำมาสกู่ ารตั้งโจทย์ วจิ ยั ในการศกึ ษาวจิ ยั นท้ี เี่ กย่ี วขอ้ งกบั บรบิ ททางการเมอื ง พฤตกิ รรมของทงั้ พรรคการเมอื ง ผสู้ มคั ร และประชาชน การต่อสู้แข่งขันผ่านกลไก หรือกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่จะน�ำมาสู่การหาค�ำตอบในเชิงวิชาการเพื่อท�ำความเข้าใจ และผลิตความร้คู วามเข้าใจของการเลือกตั้งใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ สงั คมและผสู้ นใจตอ่ ไป 1.2 วัตถุประสงค์ 1) เพ่ือศึกษาและอธิบายบริบท บรรยากาศทางการเมืองและความเคล่ือนไหวทางการเมือง ของพรรคการเมอื งและนกั การเมอื ง ตลอดจนกลมุ่ การเมอื งทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรในจังหวัดเชยี งใหม่ 2) เพื่อศึกษาความเคล่ือนไหว พฤติกรรมทางการเมือง ตลอดจนการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ของพรรคการเมอื งและผู้สมัครรับเลือกต้งั สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรในจงั หวัดเชียงใหม่ 3) เพอ่ื ศกึ ษาการเปลยี่ นแปลงของพฤตกิ รรมการเลอื กตง้ั ของประชาชน และกลมุ่ การเมอื งในพน้ื ท่ี ที่เกย่ี วข้องกับการเลอื กตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจงั หวัดเชยี งใหม่

31 4) เพ่ือศึกษากระบวนการคัดสรรผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมือง รวมท้ังปัจจัยท่ีส่งผล ต่อการตัดสินใจเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคการเมือง ในเขตเลือกตัง้ จังหวดั เชียงใหม่ 1.3 ขอบเขตของการศึกษา 1) ขอบเขตดา้ นเวลา ขอบเขตด้านเวลาของการศึกษาประกอบไปด้วย การศึกษาต้ังแต่ช่วงก่อนการเลือกตั้ง ช่วงระหว่างการมีพระราชกฤษฎีกาก�ำหนดให้มีการเลือกต้ัง การเก็บข้อมูลวันเลือกต้ัง จนถึงภายหลังจาก คณะกรรมการเลือกต้ังประกาศรับรองผลการเลือกต้ังอย่างเป็นทางการ และผลการเลือกต้ังซ่อมของเขต การเลอื กต้ังท่ี 8 จังหวดั เชียงใหม่ 2) ขอบเขตประชากร ประชากรที่ท�ำการศึกษาได้แก่ ผู้ลงสมัครรับเลือกต้ัง สาขาพรรคการเมือง หน่วยงานภาครัฐ กลุ่มผู้มีสิทธิเลือกต้ังครั้งแรก องค์กรอิสระ องค์กรสาธารณะ สื่อมวลชน และองค์กรอ่ืน ๆ ที่มีอิทธิพล ในการเลือกต้งั ในระดบั เขตจงั หวัดเชยี งใหม่ 3) ขอบเขตพ้ืนท่ี พื้นท่ีเลอื กตั้งในจังหวดั เชียงใหม่ 1.4 ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ 1) ได้ทราบถึงบรรยากาศทางการเมืองและความเคล่ือนไหวทางการเมืองของพรรคการเมือง และนักการเมือง ตลอดจนกลุ่มการเมืองท่ีเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในจังหวัดเชียงใหม่ 2) ไดเ้ ขา้ ใจแนวทางและพฤตกิ รรมการระดมทรพั ยากรตา่ ง ๆ ในการด�ำเนนิ การแขง่ ขนั การเลอื กตงั้ ท้ังของพรรคการเมืองและผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ความเคล่ือนไหว พฤติกรรมทาง การเมือง ตลอดจนกระบวนการคัดสรรผู้สมัครรับเลือกต้ังของพรรคการเมือง และแนวทาง ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมือง รวมทั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรในจังหวดั เชียงใหม่

32 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ 3) ได้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรม แบบแผนพฤติกรรมทางการเมืองของทั้งผู้สมัคร รบั เลอื กต้ังสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร ภาคประชาชน และกลมุ่ การเมืองในพ้นื ทที่ ่เี ก่ียวขอ้ งกับ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ระบบการเลือกต้ังใหม่ตาม รัฐธรรมนูญ 2560 4) ได้ทราบถึงปัญหา อุปสรรคและข้อจ�ำกัดของพรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งในจังหวัด เชียงใหม่อันเกิดจากระบบการเลือกตั้งจัดสรรปันส่วนผสมและกฎเกณฑ์ ระเบียบ ตลอดจน กฎหมายการเลอื กตั้งทเ่ี กี่ยวขอ้ ง 1.5 ระยะเวลาท�ำการศึกษา 1 มกราคม 2562 – 30 กรกฎาคม 2562

33

34 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ บทที่ 2 แนวคิดในการ อธิบายและวิเคราะห์ ในการศึกษาวิจัย และการทบทวน วรรณกรรม

35 ในการศกึ ษาวจิ ยั เรอื่ งเกยี่ วกบั การเลอื กตงั้ พรรคการเมอื งและพฤตกิ รรมของผลู้ งคะแนนเสยี งเลอื กตง้ั มีแนวคิดและทฤษฎีมากมายที่สามารถน�ำมาใช้ในการวิเคราะห์และอธิบายเพื่อตอบโจทย์ของการวิจัยและ บรรลุเป้าหมายของวัตถุประสงค์ในการศึกษา ในการศึกษาวิจัยเร่ือง “การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมือง และพฤติกรรมการเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎร 2562 จังหวัดเชยี งใหม”่ ได้น�ำแนวคดิ เก่ียวกบั การจัดการ การเลือกตั้งท่ีปรากฏแนวคิดและระเบียบ กฎเกณฑ์ตลอดจนองค์กรท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการเลือกตั้ง มาเป็นกรอบในการอธิบายรูปแบบและกฎเกณฑ์ ข้อก�ำหนดต่าง ๆ ของการเลือกตั้งที่ส่งผลต่อความเข้าใจและ การด�ำเนินการในการจัดการเลือกตั้ง การตั้งม่ันของความเป็นพรรคการเมือง การรณรงค์หาเสียงเลือกต้ัง และ แนวคดิ เก่ียวกับพฤติกรรมการเลือกตัง้ มาสนับสนนุ การวิเคราะห์ 2.1 แนวคิดการจัดการการเลือกต้ัง (Electoral Management) การจดั การการเลอื กตงั้ เกย่ี วขอ้ งสมั พนั ธก์ บั การออกแบบระบบการเลอื กตงั้ และการสรา้ งสภาพแวดลอ้ ม ของการเลือกต้ังท่ีเกี่ยวข้องกับกฎ ระเบียบ และข้อก�ำหนดต่าง ๆ ท่ีจะถูกใช้ด�ำเนินการในการเลือกต้ัง ซ่ึงต้อง อาศยั องคก์ รทเ่ี ปน็ ทางการมคี วามชอบธรรมตามกฎหมาย และมอี �ำนาจมาเปน็ องคก์ รหลกั ในการบรหิ ารจดั การ (IDEA, 2014) ในการท�ำความเขา้ ใจเรอื่ งการจดั การการเลอื กตง้ั สง่ิ ส�ำคญั คอื การท�ำความเขา้ ใจระบบการเลอื กตง้ั ท่ีมีการประกาศใช้เสียก่อน โดยหลักการท่ัวไประบบการเลือกต้ังสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระบบหลัก คือ ระบบเสยี งขา้ งมาก (Majority or Plurality System) ระบบสัดส่วน (Proportional System) และระบบผสม (Mixed System) โดยทปี่ ระเทศไทยมกี ารใชร้ ะบบการเลอื กตง้ั ปรบั เปลย่ี นไปตามสาระและกลไกตามรฐั ธรรมนญู ทีม่ ักเป็นผลมาจากสภาพบรบิ ทแวดลอ้ มทางการเมอื งในแต่ละช่วงเวลา ในการเลอื กตงั้ วนั ที่ 24 มนี าคม 2562 นนั้ ระบบการเลอื กตง้ั เปน็ ไปตามรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั ร ไทยฉบับปี พ.ศ. 2560 โดยมีการก�ำหนดระบบการเลือกตั้งท่ีเรียกว่า ระบบเลือกต้ังแบบจัดสรรปันส่วนผสม (Mixed Member Apportionment System: MMA) ซึ่งมีความแตกต่างไปจากระบบผสมเสียงข้างมาก (Mixed Member Majority System: MMM) ท่ีมีการใช้ในการเลือกต้ัง พ.ศ. 2544, พ.ศ. 2548, พ.ศ. 2550 และพ.ศ. 2554 (ณชั ชาภทั ร อมรกุล, อรรถสทิ ธ์ิ พานแกว้ และฐติ ิกร สงั ข์แกว้ , 2562, น. 83)

36 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ 2.1.1 ระบบจดั สรรปนั สว่ นผสม รัฐธรรมนูญก�ำหนดระบบเลือกต้ังแบบจัดสรรปันส่วนผสม (Mixed Member Apportionment System: MMA) ซ่ึงเป็นระบบการเลือกต้ังแบบใหม่ที่น�ำมาใช้ครั้งแรกในการเลือกต้ัง พ.ศ. 2562 นี้ โดยระบบ การเลอื กตง้ั ดงั กลา่ วก�ำหนดใหม้ สี มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรแบบแบง่ เขต 350 คน ซง่ึ มาจากผสู้ มคั รรบั เลอื กตง้ั สงั กดั พรรคการเมืองทไี่ ดค้ ะแนนเสียงมากทีส่ ดุ ในเขตนน้ั ๆ และต้องมากกวา่ คะแนนไม่ประสงค์ลงคะแนน ในขณะท่ี สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรแบบบญั ชรี ายชอ่ื (Party List) มาจากคะแนนเสยี งของพรรคการเมอื งทไ่ี ดร้ บั ทงั้ ประเทศ หารดว้ ย 150 ไดเ้ ปน็ จ�ำนวนสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรทพ่ี งึ มขี องพรรคการเมอื งนนั้ ๆ แลว้ น�ำจ�ำนวนดงั กลา่ วมาเพม่ิ ใหส้ มาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรเขตทพี่ รรคการเมอื งดงั กลา่ วได้อยูก่ อ่ นแล้ว จะเห็นได้วา่ หลกั การพน้ื ฐานของระบบ เลอื กตั้งตามรัฐธรรมนญู ฉบบั พ.ศ. 2560 ยังคงอยู่บนพ้นื ฐานของหลักการเสียงขา้ งมาก (Majority Principle) ทม่ี าของระบบเลอื กตงั้ แบบจดั สรรปนั สว่ นผสมทรี่ ะบใุ นเอกสารวชิ าการของส�ำนกั งานเลขาสภาผแู้ ทน ราษฎรปรากฏชัดเจนคือ การออกแบบระบบการเลือกตั้งเพื่อแก้ไขปัญหาระบบการเลือกตั้งและผลของการ เลอื กต้งั ทผี่ ่านมาของการเมืองไทยในอดีต ดังท่ีปรากฏในเอกสาร ความวา่ “ความมุ่งหวงั ของคณะกรรมการรา่ ง รัฐธรรมนูญต้องการแก้ไขสภาพปัญหาการเมืองไทยที่เกิดขึ้นในอดีตโดยหามาตรการป้องกันมิให้บุคคลซ่ึงเคย กระทำ� การทจุ รติ ตอ่ หนา้ ทห่ี รอื ทจุ รติ ในการเลอื กตง้ั เขา้ สอู่ ำ� นาจทางการเมอื งและกำ� หนดโครงสรา้ งฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั ิ ที่มีความเหมาะสมกับประเทศไทยในอนาคต” (ส�ำนักวิชาการ ส�ำนักงานเลขาสภาผู้แทนราษฎร, 2559, น.3) ดังน้ัน เพ่ือให้เป็นไปตามความมุ่งหวังดังกล่าว จึงได้ก�ำหนดให้มีหลักการใหม่ของระบบการเลือกต้ังสมาชิก สภาผูแ้ ทนราษฎร สรปุ ได้ดงั น้ี (ส�ำนกั วิชาการ ส�ำนักงานเลขาสภาผู้แทนราษฎร, 2559, น.3-4) 1. หลักคิดระบบการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เหมาะสมกับประเทศไทย เนื่องจากในอดีต คะแนนของประชาชนท่ีเลือกผู้สมัครรับเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งซ่ึงไม่ได้คะแนน เปน็ ล�ำดบั ที่ 1 ของเขตเลอื กตง้ั นนั้ ๆ (ไมช่ นะการเลอื กตงั้ ) คะแนนดงั กลา่ วแทบจะถกู ทง้ิ สญู เปลา่ ดงั นนั้ หลกั คดิ ระบบการเลือกต้ังสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรที่เหมาะสมกับประเทศไทยจะต้องประกอบด้วย 1) สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรควรมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง 2) ระบบการเลือกตงั้ ไม่ควรซับซ้อน ประชาชนเข้าใจง่าย 3) เพื่อเป็นการเคารพประชาชนที่ลงคะแนน จึงจะพยายามท�ำให้คะแนนเลือกต้ังที่ประชาชน ลงใหท้ กุ คะแนนมคี วามหมาย ไมว่ า่ จะลงคะแนนใหบ้ คุ คลใด คะแนนทเ่ี ลอื กไปไมค่ วรสญู เปลา่ 4) เป็นระบบการเลอื กตัง้ ทสี่ ง่ เสรมิ ใหป้ ระชาชนสนใจออกมาใช้สทิ ธิเลือกตงั้ 5) เขา้ กับบรบิ ทหรือวถิ ีชวี ิตของไทยโดยไมข่ ดั กับหลักสากล เพื่อเป็นการท�ำให้หลักคิดข้างต้นมีความเป็นไปได้ จึงก�ำหนดให้มีการเลือกต้ังแบบแบ่งเขตโดยใช ้ ระบบคะแนนน�ำเสียงข้างมากและน�ำระบบสัดส่วนมาใช้ โดยการค�ำนวณแบ่งสัดส่วนการได้มาซึ่งสมาชิก

37 สภาผแู้ ทนราษฎรแบบบญั ชรี ายชอ่ื โดยใชบ้ ตั รเลอื กตงั้ แบบแบง่ เขตใบเดยี วและใหผ้ มู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตง้ั เลอื กผสู้ มคั ร รบั เลอื กตง้ั แบบแบง่ เขตไดเ้ ขตละ 1 คน การเปลยี่ นรปู แบบของบตั รเลอื กตง้ั ภายใตร้ ฐั ธรรมนญู 2560 นี้ ไดส้ ง่ ผล อยา่ งมากตอ่ การตดั สนิ ใจของประชาชนผมู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตง้ั ซงึ่ การเลอื กตง้ั ภายใตร้ ฐั ธรรมนญู 2540 และ 2550 นน้ั ไดก้ �ำหนดใหม้ บี ตั รเลอื กตง้ั 2 ใบ โดยมกี ารแบง่ การเลอื กตวั บคุ คลผสู้ มคั รในเขตตา่ ง ๆ และ เลอื กพรรคการเมอื ง หรือท่ีเรียกว่าเป็นการเลือก “คนท่ีรัก” และ “พรรคที่ชอบ” ท่ีได้ท�ำการแบ่งบัตรเลือกตั้งอย่างชัดเจนระหว่าง การเลือกผู้สมัครแบบแบ่งเขตกับบัญชีรายช่ือของพรรคการเมือง (บีบีซีไทย, 2561) แต่ในขณะที่การเลือกตั้ง ในวันที่ 24 มีนาคม 2562 น้ัน เป็นการให้เลือกโดยการกาบัตรเพียงใบเดียว ซ่ึงบัตรหน่ึงใบนี้จะเป็นการเลือก ท้ังผู้สมัครและพรรคการเมือง ในการกาบัตรเพียงครั้งเดียว (ปุรวิชญ์ วัฒนสุข, 2562) หรือกล่าวได้ว่าเป็น การเลือกผู้สมัครในเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายช่ือในคราวเดียว ซ่ึงอาจหมายรวมไปถึงการเลือกตัวบุคคล ทพ่ี รรคจะเสนอขึน้ เปน็ นายกรฐั มนตรี ในการกาบัตรเลือกต้ัง 1 ใบ โดยภายหลังการจัดการเลือกต้ังเสร็จสิ้น ให้น�ำคะแนนของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบ แบ่งเขตของทุกคนมารวมเป็นคะแนนของพรรค และน�ำคะแนนของทุกพรรคการเมืองมารวมเป็นคะแนน ทง้ั ประเทศ จากนนั้ จงึ หาคา่ เฉลยี่ คะแนนของสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรทพ่ี รรคควรจะไดต้ อ่ 1 คน คอื น�ำคะแนน ของทุกพรรคที่ได้รับเลือกต้ังท้ังประเทศหารด้วยจ�ำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท้ังหมด (500 คน) จากนั้น ให้น�ำผลค่าเฉล่ียท่ีได้ไปหารจ�ำนวนคะแนนที่แต่ละพรรคได้ เพ่ือให้ได้มาซ่ึงจ�ำนวนท่ีแต่ละพรรคจะพึงมีสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรได้ ซ่ึงวิธีข้ันตอนของการค�ำนวณคะแนนในการที่จะได้มาซึ่งจ�ำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ท่พี รรคการเมืองพงึ มี และการไดม้ าซึง่ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชรี ายชื่อของพรรคการเมือง มขี ้ันตอน และรายละเอยี ด ดงั นี้ (ปุรวชิ ญ์ วฒั นสขุ , 2562) 1) น�ำผลรวมของคะแนนท่ีเลือก ส.ส. จากทุกเขตเลือกต้ังของประเทศ จากทุกพรรคการเมืองท่ีส่ง ผู้สมัครลงแข่งขันในรูปแบบบัญชีรายชื่อ มาหารด้วย 500 ซ่ึงเป็นจ�ำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดใน สภาผแู้ ทนราษฎร ผลจากการค�ำนวณจะได้เปน็ สัดส่วนคะแนนตอ่ ส.ส. 1 คน 2) น�ำสัดส่วนคะแนนที่หารได้ในข้อที่ 1 ไปหารคะแนนรวมทั้งประเทศที่พรรคการเมืองพรรคน้ัน ๆ ได้รบั เลือกจากระบบแบง่ เขต จะไดจ้ �ำนวน ส.ส. ทั้งหมดทพี่ รรคนั้นพงึ มี 3) น�ำจ�ำนวน ส.ส. ทง้ั หมดทพ่ี รรคนน้ั พึงมี ลบด้วยจ�ำนวน ส.ส. แบบแบง่ เขต ทพ่ี รรคการเมอื งนั้น ๆ ได้รบั จะได้ จ�ำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายชอื่ ทีพ่ รรคน้นั พึงมี 3.1) หากผลลพั ธเ์ ปน็ ทศนยิ ม จะยงั ไมน่ �ำเอาผลลพั ธท์ เ่ี ปน็ ทศนยิ มมาคดิ รว่ ม โดยจะไมท่ �ำการปดั เศษ ทศนิยมขึ้นหรือลง ให้น�ำเอาเฉพาะจ�ำนวนเต็มมาใช้คัดสรรจ�ำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายช่ือที่ พรรคการเมืองน้ัน ๆ พึงมี ซ่ึงทศนิยมจะถูกน�ำมาใช้ในกรณีที่รวมทุกพรรคแล้วจ�ำนวน ส.ส. แบบบญั ชรี ายชอ่ื ยงั ไมถ่ งึ 150 คน ใหพ้ รรคการเมอื งทมี่ เี ศษทศนยิ มเหลอื มากทส่ี ดุ ไดร้ บั ส.ส. แบบบญั ชรี ายช่ือเพิ่มอกี 1 คน ตามล�ำดบั จนกวา่ จะครบจ�ำนวน 150 คน

38 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ 3.2) ในกรณีท่ีทศนิยมของพรรคการเมืองมีจ�ำนวนเท่ากัน ให้น�ำเอาคะแนนรวมทั้งประเทศท่ี พรรคการเมืองนั้นได้เป็นตัวต้ัง หารด้วย จ�ำนวน ส.ส. ท่ีพึงมีของพรรคน้ัน หากพรรคใด มีผลลัพธ์จ�ำนวนมากกว่า กใ็ หจ้ ดั สรร ส.ส. แบบบัญชีรายช่ือใหแ้ ก่พรรคนัน้ 4) ถ้าหากในกรณีที่พรรคการเมืองใดมีจ�ำนวน ส.ส. แบบแบ่งเขตเท่ากับหรือมากกว่าจ�ำนวน ส.ส. ที่พรรคน้ัน ๆ พึงมี ให้พรรคการเมืองน้ัน ๆ มี ส.ส. แบบแบ่งเขตได้เพียงอย่างเดียว ไม่มีสิทธิท่ีจะมี ส.ส. แบบบัญชีรายช่ือเพ่ิมอีก และให้น�ำจ�ำนวน ส.ส. บัญชีรายชื่อท่ีพึงมีน้ันไปจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองอ่ืนที่มี ส.ส. แบบแบ่งเขตต�่ำกว่าจ�ำนวน ส.ส. ท่ีพรรคอื่นน้ัน ๆ พึงมีได้ ตามอัตราส่วนลดหลั่นกันไป แต่ต้องไม่ท�ำให้ พรรคการเมืองอ่ืนนั้น ๆ มี ส.ส. เกนิ กว่าจ�ำนวนทพ่ี งึ มี 4.1) กรณีน้ีจะท�ำการน�ำเอาสัดส่วนคะแนน ส.ส. 1 คนไปหารกับจ�ำนวนคะแนนที่พรรคการเมือง ไดร้ ับจากเขตเลือกตัง้ นน้ั ใหไ้ ด้ผลทศนิยม 4 ต�ำแหน่ง โดยในกรณที ่ไี มส่ ามารถจัดสรรจ�ำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายช่ือได้ครบตาม 150 คน ให้ (1) พรรคการเมืองท่ีได้รับผลค�ำนวณทศนิยม 4 ต�ำแหน่งที่สงู ทีส่ ดุ ได้รบั การจดั สรร ส.ส. แบบบญั ชรี ายช่ือเพ่ิมข้ึนตามล�ำดบั จนกวา่ จะครบ 150 คน (2) ในกรณที กี่ ระท�ำตาม (1) แลว้ ยงั ไมไ่ ดจ้ �ำนวน ส.ส. แบบบญั ชรี ายชอ่ื ครบ 150 คน ให้น�ำค่าเฉล่ียของพรรคการเมืองต่อ ส.ส. 1 คนมาพิจารณา หากพรรคการเมืองใดมีค่าเฉล่ีย คะแนนต่อ ส.ส. 1 คนมากกวา่ พรรคอื่น จะได้รับจัดสรร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อเพมิ่ อกี 1 คน และ (3) ในกรณีท่ีกระท�ำตาม (1) และ (2) แล้ว แต่ทว่าผลคือมีพรรคการเมืองมากกว่า หนง่ึ พรรคทมี่ คี ะแนนเฉลีย่ เท่ากนั ใหต้ ัดสนิ โดยท�ำการจบั ฉลาก 5) เม่ือได้จ�ำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคแล้ว ให้ผู้สมัครตามล�ำดับของบัญชีรายช่ือ ในพรรคการเมอื งนนั้ ๆ ไดร้ ับเลอื กตั้งเป็น ส.ส. จะเหน็ ไดว้ า่ หลกั การส�ำคญั ของการออกแบบระบบการเลอื กตงั้ นอี้ กี ประการคอื การท�ำใหท้ กุ คะแนน ที่ประชาชนลงให้ในการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีความหมาย และไม่ถูกทิ้งเสียเปล่า หลักการ “คะแนนเสียงไม่ตกน�้ำ” จึงเป็นหลักการหน่ึงของการนับคะแนนของระบบการเลือกต้ังแบบสัดส่วนที่ให้ ความส�ำคญั กบั คะแนนเสยี งทกุ เสยี ง โดนใชห้ ลกั การความเสมอภาคทค่ี ะแนนทกุ คะแนนไมว่ า่ จะลงคะแนนไปให้ ใคร แมค้ ะแนนทไี่ ดม้ กี ารลงคะแนนใหไ้ ปเปน็ ผสู้ มคั รเขตเลอื กตง้ั ทไี่ มช่ นะการเลอื กตง้ั กต็ าม แตค่ ะแนนเหลา่ นน้ั จะถกู น�ำไปนบั รวมเพอ่ื ค�ำนวณการแบง่ สดั สว่ นทนี่ ง่ั ในรฐั สภา จากระบบการเลอื กตงั้ แบบใหมด่ งั กลา่ ว จะเหน็ วา่ จะมีพรรคการเมืองจ�ำนวนมากท่ีมีโอกาสได้รับการเลือกตั้งจากคะแนนเสียงและมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จากเขตเลือกตั้ง ปรากฏการณ์การเมืองภายหลังการเลือกต้ังจึงเป็นระบบรัฐสภาที่มีพรรคการเมืองจ�ำนวนมาก รวมไปถึงพรรคขนาดกลางและพรรคขนาดเล็กจ�ำนวนมากเช่นกัน ท�ำให้กระบวนการต่อรองอ�ำนาจและ ผลประโยชน์เกิดข้ึนได้ง่ายและมีมากขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ พรรคการเมืองหรือกลุ่มอ�ำนาจที่ถือครองอ�ำนาจและ ผลประโยชนข์ องรฐั เป็นหลกั จึงจะเปน็ ผู้ก�ำหนดกลไกการต่อรองเหลา่ นัน้ ได้

39 2.1.1 คณะกรรมการการเลอื กตั้ง (กกต.) ปฏเิ สธไมไ่ ดว้ า่ องคก์ รส�ำคญั ทเี่ ปน็ ตวั แสดงหลกั ในการด�ำเนนิ การจดั การการเลอื กตงั้ นบั ตงั้ แตร่ ฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย ฉบบั พ.ศ. 2540 คอื คณะกรรมการการเลอื กตงั้ (กกต.) ทก่ี �ำหนดไวใ้ หเ้ ปน็ องคก์ รอสิ ระ ตามรัฐธรรมนูญ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ พ.ศ. 2560 และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 ได้ก�ำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งและศาล มีอ�ำนาจในการเลือกตั้งมากขึ้น (ณัชชาภัทร อมรกุล, อรรถสิทธ์ิ พานแก้ว และฐิติกร สังข์แก้ว, 2562, น. 94) กกต. จะมีอ�ำนาจหน้าท่ีอยู่ 3 ประการ ที่ครอบคลุมท้ัง ด้านบริหาร คือการควบคุมและด�ำเนินการจัดให้ม ี การเลอื กตง้ั ทงั้ การเลอื กตงั้ ระดบั ชาติ ระดบั ทอ้ งถน่ิ รวมทงั้ การออกเสยี งประชามติ ดา้ นตลุ าการ คอื การสบื สวน สอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาด สั่งให้มีการเลือกต้ังใหม่ นับคะแนนใหม่ รวมท้ังการสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ผสู้ มคั รและสมาชกิ สภา ทที่ �ำผดิ กฏหมายเลอื กตง้ั และดา้ นนติ บิ ญั ญตั ิ คอื การออกกฏระเบยี บ ค�ำสงั่ ขอ้ ก�ำหนด ทจ่ี �ำเป็นต่อการปฏบิ ตั ิงาน (ส�ำนกั งานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, 2559) ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 ระบุให้ม ี การคัดสรรต�ำแหน่งกรรมการการเลือกต้ัง จ�ำนวน 7 คน ใหด้ �ำรงต�ำแหนง่ ประธานกรรมการการเลือกตงั้ 1 คน และ 6 คนท่ีเหลือด�ำรงต�ำแหน่งกรรมการการเลือกตั้ง ซ่ึงมีวาระการด�ำรงต�ำแหน่ง 7 ปี หรืออาจมีการสรรหา ใหม่เม่ือกรรมการตาย ลาออก ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม เจตนารมณ์ของการเพิ่มจ�ำนวนของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง จาก 5 คน เป็น 7 คน ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เป็นไปเพ่ือ “…ตรวจสอบการทุจริตในการเลือกตั้งมีความเข้มข้นข้ึน และได้กําหนดคุณสมบัติของบุคคลท่ีจะ ดาํ รงตาํ แหนง่ คณะกรรมการการเลอื กตงั้ ไวส้ งู กวา่ เดมิ เพราะตอ้ งการไดผ้ มู้ คี วามรคู้ วามสามารถ มคี วามเปน็ กลาง ทางการเมือง ซ่ือสัตย์สุจริตเป็นท่ีประจักษ์และมีความกล้าหาญ รวมท้ังมีอํานาจเพ่ิมมากขึ้นเพื่อขจัดการทุจริต การเลือกต้ัง อย่างจริงจัง…” (วัชราภรณ์ จุ้ยลําเพ็ญ, 2560, น. 6) บทบาทของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในการเลอื กตั้งวันที่ 24 มนี าคม 2562 จึงไมใ่ ชเ่ พียงผจู้ ัดการการเลอื กตัง้ แต่ยังรวมถึงการใหค้ วามร้คู วามเขา้ ใจ ฝึกอบรมเจ้าหน้าท่ีในการเตรียมการเลือกตั้ง และมีอ�ำนาจในการให้คุณให้โทษแก่พรรคการเมืองและผู้สมัคร รับเลือกตัง้ ไดต้ ามกฎหมาย นอกจากหนา้ ทแี่ ละอาํ นาจตามทบี่ ญั ญตั ไิ วใ้ นรฐั ธรรมนญู แลว้ กกต. มหี นา้ ทแ่ี ละอ�ำนาจตามมาตรา 22 ของพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยคณะกรรมการการเลอื กตง้ั พ.ศ. 25602 ซง่ึ หลกั ๆ เกย่ี วขอ้ งกบั 2 พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยคณะกรรมการการเลอื กตงั้ พ.ศ. 2560 มาตรา 22 (1) หนา้ ทแ่ี ละอาํ นาจทก่ี าํ หนด ไวใ้ นพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู นแ้ี ละกฎหมายอน่ื (2) ออกขอ้ กาํ หนด ระเบยี บ หรอื ประกาศตามทก่ี าํ หนดไวใ้ นพระราชบญั ญตั ิ ประกอบรัฐธรรมนูญน้ี และกฎหมายอ่ืน (3) วินิจฉัยช้ีขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งเกี่ยวกับข้อกําหนด ระเบียบ หรือประกาศของ คณะกรรมการ (4) วางระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าท่ีของผู้ปฏิบัติงานของสํานักงาน ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าท่ีอ่ืนของรัฐ ในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง การสืบสวนและไต่สวน และการอื่นใดที่ จําเป็น เพือ่ ใหเ้ ปน็ ไปตามกฎหมายเกย่ี วกบั การเลือกต้งั และพรรคการเมือง (5) ส่งเสรมิ สนับสนุนใหห้ น่วยงานของรัฐ สถาบัน การศกึ ษา และองคก์ รเอกชน ในการสรา้ งความรู้ ความเขา้ ใจทถ่ี กู ตอ้ งใหแ้ กป่ ระชาชนเกย่ี วกบั การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย อนั มพี ระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมขุ การมีส่วนรว่ มทางการเมอื งของประชาชน หรอื ให้ประชาชนมสี ว่ นรว่ มในการตรวจสอบ การเลือกต้ัง และความรู้ท่ีถูกต้องเก่ียวกับรัฐธรรมนูญ ท้ังน้ี ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไข ท่ีคณะกรรมการกําหนด

40 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ การก�ำกบั ควบคมุ ดแู ลการจดั การเลอื กตงั้ ทว่ั ประเทศ โดยการด�ำเนนิ งานผา่ นคณะกรรมการการเลอื กตง้ั ประจ�ำ จังหวัดต่าง ๆ เพ่ือให้การควบคุม กํากับ ดูแลการเลือกต้ังเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม หรือเป็นไปโดยชอบ ด้วยกฎหมาย ให้ถือเป็นหน้าท่ีและอํานาจของคณะกรรมการท่ีจะต้องดําเนินการสอดส่อง สืบสวน หรือไต่สวน เพ่ือป้องกันและขจัดการกระทําหรือการงดเว้นการกระทําใดอันจะก่อให้เกิดความไม่สุจริตหรือไม่เท่ียงธรรม ในการเลือกต้ังได้ ไม่ว่าจะเป็นเวลาในระหว่างประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งหรือไม่ก็ตาม (พระราชบัญญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญว่าดว้ ยคณะกรรมการการเลือกต้งั พ.ศ. 2560) การจดั การเลอื กตงั้ ประจ�ำหนว่ ย ซง่ึ คณะกรรมการการเลอื กตงั้ ไดก้ �ำหนดระยะเวลาการลงคะแนนเสยี ง เลือกต้ังยาวนานขึ้นถึง 9 ชั่วโมง คือในช่วงเวลา 8.00-17.00 น. ซึ่งเปล่ียนจากเวลาเดิมท่ีในการเลือกต้ังจะ ปิดหีบในเวลา 15.00 น. ด้วยเหตุผลเพ่ือส่งเสริมการมีส่วนร่วมแก่ประชาชนให้มาใช้สิทธิมากข้ึน และ เอ้ืออ�ำนวยต่อการเดินทางมาลงคะแนนเสียง ณ หน่วยเลือกตั้งของประชาชนในพื้นท่ีห่างไกล ซึ่งจะท�ำการนับ คะแนน ณ หน่วยเลือกตั้งโดยเปิดเผยจนเสร็จส้ินในคราวเดียว เพ่ือป้องกันการทุจริตในระหว่างการขนย้าย หีบบัตร หลังจากน้ัน จะท�ำการรวบรวมคะแนนในแต่ละหน่วยส่งต่อไปที่เขตเลือกตั้ง เพ่ือรวบรวมผลคะแนน ในแต่ละเขตน้ัน ๆ พร้อมรายงานผลการเลือกตั้งต่อคณะกรรมการการเลือกต้ังประจ�ำจังหวัด และรายงานต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้งส่วนกลาง เพื่อประกาศและรับรองผลการเลือกต้ัง นอกจากน้ีแล้ว คณะกรรมการ การเลือกตั้งยังมีหน้าท่ีในการก�ำหนดคุณลักษณะของผู้สมัครรับเลือกต้ังตลอดจนถึงการก�ำหนดข้อบังคับท่ีห้าม มิให้ผู้ลงสมัครกระท�ำ ซึ่งในการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม 2562 ได้ก�ำหนดข้อห้ามกระท�ำผิดกฎหมาย ดังนี้ (ส�ำนกั งานคณะกรรมการการเลอื กตงั้ , 2559) ข้อหา้ มกระท�ำผิดกฎหมายเลอื กต้ัง 1) หา้ มซื้อเสยี ง หรอื จดั เตรียมซ้ือเสียง 2) หา้ มรบั เงนิ และประโยชนอ์ น่ื ใด เพอ่ื ลงคะแนนเลอื กตั้ง 3) ห้ามส่งเสียงและห้ามขายหรือจัดเล้ียงสุรา ต้ังแต่ 18.00 น. ของวันก่อนวันเลือกตั้งจนส้ินสุด วนั เลือกตง้ั 4) หา้ มนายจ้างขัดขวางการไปใชส้ ิทธขิ องลกู จ้าง 5) หา้ มขัดขวางหรอื หน่วงเหน่ียวมิใหผ้ ู้มสี ิทธเิ ลอื กตั้งไป ณ ที่เลือกตงั้ 6) ห้ามจัดยานพาหนะ (ยกเว้นหน่วยงานรัฐ) ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปเลือกตั้ง โดยไปต้องเสีย ค่าโดยสาร 7) ห้ามท�ำใหบ้ ัตรเลอื กตง้ั ช�ำรดุ อย่างจงใจ (6) วางระเบียบเก่ียวกับการชําระค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายสําหรับการจัดการเลือกตั้งและดอกเบี้ย หรือเบี้ยปรับ รวมตลอดท้ัง วธิ กี ารและเงอ่ื นไขในการลดหรอื ยกเวน้ ดอกเบย้ี หรอื เบยี้ ปรบั (7) กาํ กบั และตดิ ตามการใชจ้ า่ ยเงนิ อดุ หนนุ ทพี่ รรคการเมอื งไดร้ บั การจดั สรรตามกฎหมาย ประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยพรรคการเมอื งเพอื่ ใหเ้ ปน็ ไปโดยถกู ตอ้ งตามกฎหมายดงั กลา่ ว (8) รายงาน ผลการปฏบิ ตั งิ านประจาํ ปแี ละขอ้ สงั เกตตอ่ รฐั สภาและเผยแพรใ่ หป้ ระชาชนทราบเปน็ การทวั่ ไป (9) จดั ใหม้ กี ารศกึ ษา วเิ คราะห ์ หรือวิจัย เพื่อกําหนดวิธีการหรือมาตรการให้การเลือกต้ัง เป็นไปโดยสุจริตและเท่ียงธรรม หรือเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย (10) ออกระเบียบกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขในการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ และสาํ นกั งาน

41 8) หา้ มถ่ายภาพบัตรเลอื กต้งั ท่ีตนเองไดล้ งคะแนนแล้วดว้ ยเคร่อื งมือหรืออุปกรณใ์ ด ๆ 9) หา้ มเล่นการพนนั ขนั ต่อใด ๆ เกย่ี วกับผลการเลือกตง้ั 10) ห้ามเปิดเผยหรือเผยแพร่ผลส�ำรวจความคิดเห็นของประชาชนเก่ียวกับการเลือกตั้ง (โพล) ในระหว่างเวลา 7 วนั กอ่ นวนั เลือกต้ังจนถงึ เวลาปิดการลงคะแนนเลือกตัง้ ในการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม 2562 น้ี มีการตั้งให้การไม่ซ้ือสิทธิขายเสียงเป็นวาระแห่งชาติ ดังน้ันแล้วจึงให้อ�ำนาจคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในการลงโทษผู้สมัครท่ีประพฤติผิดตามกฎข้อระเบียบที่ได้ กลา่ วในขา้ งตน้ ซงึ่ ในรฐั ธรรมนญู 2560 รวมทง้ั กฎหมายประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการคณะกรรมการเลอื กตงั้ และกฎหมายประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. 2561 ไดก้ �ำหนดใหผ้ มู้ อี �ำนาจ ในการพจิ ารณาตรวจสอบความโปรง่ ใสในการเลอื กตง้ั และอ�ำนาจในการตดั สนิ โทษคอื คณะกรรมการการเลอื กตงั้ (กกต.) และศาล ซึง่ ได้แบ่งระดบั ความผดิ จาก “ใบ” สีตา่ ง ๆ 4 สี 4 ระดบั ด้วยกัน คือ (ประชาไท, 2562) 1) ใบเหลือง คืออ�ำนาจในการส่ังให้มีการเลือกต้ังใหม่ โดยพบชัดเจนว่ามีผู้กระท�ำผิด ท่ีท�ำให ้ การเลอื กตงั้ ไมเ่ ปน็ ไปอยา่ งสจุ รติ หรอื เทยี่ งธรรม โดยสามารถใหใ้ นชว่ งระยะกอ่ น ระหวา่ ง หรอื หลงั การประกาศ ผลเลือกตั้งก็ได้ ซึ่งจะส่งผลให้ กกต. มอี �ำนาจในการสั่งระงบั ยับยั้ง แกไ้ ขเปลยี่ นแปลง หรอื ยกเลิกการเลอื กตง้ั และส่ังให้มีการเลือกต้ังใหม่ในช่วงระหว่างมีการจัดการเลือกต้ัง ในกรณีท่ีให้ใบเหลืองหลังจากผลเลือกต้ัง ประกาศแล้ว กกต. จะมีอ�ำนาจในการส่งยืน่ ค�ำร้องตอ่ ศาลฎกี า เพ่อื พิจารณาออกค�ำวินิจฉัยความผิด 2) ใบสม้ เป็นอ�ำนาจของ กกต. ทจ่ี ะสามารถน�ำผสู้ มัครทีข่ าดคุณสมบัติหรอื มีลกั ษณะต้องหา้ มออก จากการเลือกตั้งช่ัวคราว โดยในการให้ใบส้มก่อนการเลือกต้ังน้ัน จะส่งผลให้ผู้สมัครทั้งในแบบแบ่งเขตหรือ บญั ชรี ายชอื่ ผนู้ น้ั ไมม่ สี ทิ ธเ์ิ ขา้ รบั การเลอื กตงั้ หรอื ในชว่ งกอ่ นการประกาศผลการเลอื กตงั้ กกต. สบื สวนสอบสวน แล้วว่ามีเหตุให้การเลือกต้ังไม่เป็นไปอย่างสุจริตและเท่ียงธรรม หรือมีหลักฐานอันควรเช่ือได้ว่า ผู้สมัครคนใด กระท�ำ สนับสนุน หรือเป็นใจแก่การกระท�ำท่ีมิชอบ กกต. มีอ�ำนาจสูงสุดในการระงับสิทธิสมัครรับเลือกต้ัง เป็นระยะเวลา 1 ปี นับต้งั แตม่ ีค�ำส่งั 3) ใบแดง คือการเพิกถอนสิทธิเลือกต้ังของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซ่ึงส่งผลให้ไม่สามารถเลือกต้ังใน ระยะเวลาท่ีก�ำหนด โดยให้อ�ำนาจการเพิกถอนน้ีเป็นอ�ำนาจของศาลฎีกา หากการสืบสวนสอบสวนภายหลัง จากการประกาศผลการเลือกต้ัง แล้วมีหลักฐานว่ามีการกระท�ำอันเป็นการทุจริตการเลือกต้ัง กกต. จะต้องส่ง ค�ำร้องยื่นให้ศาลฎีกาตัดสิน เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกต้ังหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นเป็นเวลา 10 ปี นับต้งั แตม่ ีค�ำส่งั 4) ใบด�ำ คือ เม่ือผู้นั้นถูกศาลฎีกาสั่งเพิกถอนสิทธิการเลือกต้ังต่อเน่ืองมาจากใบแดง นับภายหลัง การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี ท�ำให้ผู้น้ันจะไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสมัครรับเลือกเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถ่ินและไม่มีสิทธิด�ำรงต�ำแหน่งทาง การเมืองใดตลอดชีวิต

42 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ การก�ำหนดจ�ำนวนสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ทแี่ ตล่ ะจงั หวัดพงึ มี (มาตรา 26) 1) ใหใ้ ชจ้ �ำนวนราษฎรทงั้ ประเทศตามหลกั ฐานการทะเบยี นราษฎรในปสี ดุ ทา้ ยกอ่ นปที มี่ กี ารเลอื กตง้ั หารด้วยจ�ำนวน ส.ส. แบบแบ่งเขตทั้งหมดคือ 350 คน จะได้เป็นจ�ำนวนราษฎรต่อ ส.ส.แบบแบ่งเขตหน่ึงคน โดยในการเลือกต้ังปี 2562 คณะกรรมการการเลือกต้ัง (กกต.) ได้ใช้จ�ำนวนราษฎรตามฐานทะเบียนราษฎรปี 2560 จ�ำนวน 66,188,503 คน มาค�ำนวณ และเม่อื น�ำจ�ำนวนดงั กลา่ วมาหารกบั จ�ำนวน ส.ส. 350 เขต กจ็ ะได้ ผลลัพธ์เปน็ ราษฎรเฉลี่ย 189,110 คน ตอ่ ส.ส. หนึ่งคน 2) จังหวัดใดท่ีมีจ�ำนวนราษฎรไม่ถึง 189,110 คน ให้จังหวัดนั้นมี ส.ส. แบบแบ่งเขตได้หน่ึงคน โดยการเลือกต้งั ครัง้ นมี้ ี 8 จังหวดั จาก 77 จงั หวัดทมี่ ี ส.ส. แบบแบ่งเขตจงั หวดั ละหน่งึ คน คอื ตราด นครนายก พังงา แม่ฮ่องสอน ระนอง สมุทรสงคราม สิงห์บุรี และอ่างทอง โดยจังหวัดจ�ำนวนราษฎรน้อยท่ีสุดคือจังหวัด ระนอง 190,399 คน ส่วนจงั หวัดที่เหลอื สว่ นใหญ่มีราษฎรเกิน 200,000 คน 3) หากจงั หวดั ไหนมีจ�ำนวนราษฎรเกินจ�ำนวนราษฎรตอ่ ส.ส.แบบแบง่ เขตหนึ่งคน ใหเ้ พม่ิ ท่นี ่ัง ส.ส. ไปตามสัดส่วนจ�ำนวนราษฎร และแบ่งเขตเท่าจ�ำนวนของ ส.ส.แบบแบ่งเขต โดยการแบ่งเขตจะต้องค�ำนึงถึง พน้ื ท่เี ขตเลอื กต้ังที่ตดิ ตอ่ กนั และจ�ำนวนราษฎรท่ีใกลเ้ คียงกนั เกณฑ์การแบง่ เขตเลอื กต้ัง (มาตรา 27) 1) ใหร้ วมอ�ำเภอเป็นหน่ึงเขตเลอื กต้งั 2) ค�ำนึงถึงลักษณะพน้ื ท่ที ีใ่ กล้เคยี งกนั 3) ความสะดวกในการเดินทาง 4) การเคยอย่ใู นเขตเลอื กตงั้ เดยี วกนั อย่างไรก็ตามหากรวมอ�ำเภอตามท่ีระบุแล้วได้จ�ำนวนราษฎรมากหรือน้อยเกินไปสามารถแบ่งต�ำบล ออกมาได้ แต่จะแยกหมู่บ้านออกจากต�ำบลไม่ได้ โดยให้แบ่งตามสภาพของชุมชนที่ราษฎรมีการติดต่อกันเป็น ประจ�ำมีลักษณะเป็นชุมชนเดียวกันและสามารถเดินทางติดต่อกันได้สะดวก แต่ต้องมีจ�ำนวนราษฎรใกล้เคียง กนั มากท่สี ุด (iLaw, 2561) ในการเลอื กตงั้ 24 มนี าคม 2562 นน้ั ส�ำนกั งานคณะกรรมการการเลอื กตงั้ ตอ้ งมกี ารปรบั ตวั อยา่ งมาก ตอ่ การเปลยี่ นแปลงของกฎระเบยี บ ตลอดจนพฤตกิ รรมการเลอื กตง้ั ของประชาชนทม่ี กี ารเปลย่ี นแปลง การเตรยี ม ความพร้อมของเจ้าหนา้ ที่ กกต. ในการเตรยี มการจดั การเลอื กตั้งเกดิ ขึน้ ท่ามกลางความคาดหวังและการต่นื ตัว ของประชาชน กกต.จ�ำเป็นต้องเข้าถึงประชาชนทั้งในเชิงประชาสัมพันธ์และเชิงกลยุทธ์ผ่านส่ือออนไลน์ ที่ต้องเท่าทันการใช้ส่ือออนไลน์ของพรรคการเมืองและนักการเมือง เพื่อให้ กกต.เป็นแหล่งข้อมูลส�ำคัญของ ประชาชนในการท�ำความเข้าใจการเลือกต้ัง และเป็นแหล่งข้อมูลที่ถูกต้อง เพ่ือให้การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรมาจากความตอ้ งการของประชาชนอยา่ งแทจ้ รงิ

43 2.2 แนวคิดการตั้งม่ันของความเป็นประชาธิปไตย (Consolidated Democracy) การท�ำความเขา้ ใจเรอื่ งการตง้ั มนั่ ของความเปน็ พรรคการเมอื ง ตอ้ งยอ้ นกลบั ไปท�ำความเขา้ ใจแนวคดิ ของการต้ังม่ันของประชาธิปไตย ซ่ึงมองว่าทัศนคติและพฤติกรรมของประชาชนมีพื้นฐานความเข้าใจเร่ือง ประชาธิปไตย และประชาธปิ ไตยเปน็ วถิ ชี ีวิตของประชาชน (จริ าภรณ์ ด�ำจันทร,์ 2560, น.25) ความตงั้ ม่นั ของ ประชาธปิ ไตยนบั เปน็ เปา้ หมายส�ำคญั ของการเมอื งสมยั ใหม่ แตห่ นทางทจ่ี ะน�ำมาสเู่ ปา้ หมายนค้ี อื การด�ำเนนิ การ จัดการเลือกต้ังท่ีมีประชาชนและพรรคการเมืองเป็นองค์ประกอบส�ำคัญ เพราะกระบวนการในการเลือกต้ัง ถอื เปน็ กระบวนการในการรองรบั หลกั การเสยี งขา้ งมากและความตอ้ งการของประชาชนในระบอบประชาธปิ ไตย ท่ีแท้จริง ความต้ังมั่นทางการเมืองเกิดควบคู่ไปกับกระบวนการสร้างความเป็นประชาธิปไตยท่ีต้องผนวก องค์ประกอบ 5 ประการท่ีเสริมสร้างสมรภูมิของความต้ังมั่นคือ สถาบันทางการเมือง, เศรษฐกิจ, กฎหมาย, ระบบราชการ และภาคประชาสงั คม (Linz and Stepan, 1996) ซงึ่ วฒั นา สกุ ณั ศลี (2555) ไดน้ �ำเสนอแนวคดิ ของ Linz and Stepan ท่ีเสนอประเด็นที่ส�ำคัญเกี่ยวกับกระบวนการสร้างความชอบธรรมของประชาธิปไตย ซง่ึ ถอื เปน็ การยอมรบั ทางการเมอื งวา่ “หากประเทศใดมรี ะบบประชาธปิ ไตยทม่ี น่ั คงและแขง็ แรงกเ็ ฉพาะตอ่ เมอ่ื บรรดาผนู้ ำ� คนสำ� คญั ๆ ของประเทศและประชาชนสว่ นใหญเ่ หน็ วา่ ระบบประชาธปิ ไตยเปน็ ระบบการเมอื งเดยี ว ทส่ี ำ� คญั และตอ้ งสนบั สนุน” (วฒั นา สกุ ัณศีล, 2555, น.222) Rose and Shin (2000, pp. 331-354) ศกึ ษากลมุ่ ประเทศโลกที่ 1 และโลกท่ี 3 ถงึ ความแตกตา่ งของ กระบวนการสรา้ งประชาธปิ ไตย และพบวา่ ประเทศโลกท่ี 3 คอื ประเทศท่ีมักมีการจัดการแขง่ ขนั การเลือกตัง้ ภายหลังการปกครองโดยผู้น�ำแบบเผด็จการ มากกว่าเป็นการพัฒนาสถาบันทางการเมืองอื่น ขึ้นมาก่อนหน้า ซึ่งมีผลท�ำให้การพัฒนาประชาธิปไตยเป็นไปอย่างล่าช้า และมักมีระบอบประชาธิปไตยท่ีไม่สมบูรณ์ ท่ีส�ำคัญ คือ การสร้างความมั่นคงของประชาธิปไตยต้องเกิดมาจากความเข้มแข็งของสถาบันทางการเมืองท่ีสามารถ ตอบสนองความตอ้ งการใหแ้ กป่ ระชาชนได้ ซงึ่ พรรคการเมอื งถอื เปน็ สถาบนั ทางการเมอื งทส่ี �ำคญั ในขณะที่ Gerard (2002) น�ำเสนอวา่ ความตง้ั มน่ั ของประชาธปิ ไตยขน้ึ อยกู่ บั การตดั สนิ ใจและยทุ ธศาสตรข์ องชนชนั้ น�ำเปน็ ส�ำคญั มากกว่า ดังน้ันอาจกล่าวไดว้ า่ ความเปน็ ไปของประชาธปิ ไตยจงึ ขน้ึ อย่กู บั ทีม่ าและอุดมการณข์ องชนช้นั น�ำดว้ ย สิริพรรณ นกสวน สวัสดี (2561) ได้ท�ำการศึกษาวิจัยเร่ืองประชาธิปไตยและการเปล่ียนผ่านไปสู่ ประชาธิปไตย โดยเป็นการศึกษาเปรียบเทียบ 8 ประเทศ โดยศึกษาลักษณะร่วมและลักษณะต่างจนน�ำมาสู่ ข้อสรุปในการศึกษาที่พบว่าไม่มีความแน่ชัดในเร่ืองของเจตนารมณ์ของการสร้างประชาธิปไตยในประเทศของ ผู้น�ำทางการเมืองทั้งที่มาจากการเลือกต้ังและชนชั้นน�ำ ในขณะที่สังคมไทยสถาบันทางการเมืองหลักเช่น รฐั ธรรมนญู รฐั บาล และการเลอื กตงั้ ยงั ไมเ่ ปน็ ทยี่ อมรบั วา่ เปน็ สถาบนั ทจี่ ะชว่ ยแกว้ กิ ฤตแิ ละปญั หาความขดั แยง้ จนสร้างความต้งั มนั่ ของประชาธปิ ไตยได้

44 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ ในการศกึ ษาวจิ ยั ของจริ าภรณ์ ด�ำจนั ทร์ (2561) พบวา่ มแี นวคดิ ของทง้ั นกั วชิ าการไทยและตา่ งประเทศ ทเ่ี สนอปจั จยั หรอื เงอ่ื นไขของกระบวนการในการสรา้ งประชาธปิ ไตยทต่ี งั้ มนั่ เพราะระบอบประชาธปิ ไตยกลายเปน็ ระบอบที่ได้รับการยอมรับว่าชอบธรรมที่สุด ท�ำให้กระบวนการสร้างความชอบธรรมด้วยการสร้างรูปแบบ ประชาธิปไตยมารองรับอ�ำนาจจึงเป็นส่ิงส�ำคัญ นอกจากน้ี จิราภรณ์ ยังเสนอตัวแสดงทางการเมืองท่ีมีปัญหา ไม่สามารถแสดงบทบาทในการท�ำให้ประชาธิปไตยมั่นคงได้ เช่น พรรคการเมือง (จิราภรณ์ ด�ำจันทร์, 2561, น.199) ซึ่งพรรคการเมืองไทยมีสภาพท่ีอ่อนแอเม่ือเทียบกับกลุ่มประเทศที่เป็นประชาธิปไตย พรรคการเมือง มีความขัดแย้งท้ังภายในและภายนอก ท�ำให้การแสดงบทบาทของสมาชิกพรรคไม่สามารถมุ่งเน้นเรื่องการ ท�ำหนา้ ทีต่ ามบทบาทในสภา และการท�ำใหป้ ระชาธปิ ไตยมีความมนั่ คง ดังน้นั การศึกษาเร่อื งความม่ันคงของประชาธปิ ไตยและความตั้งม่นั ทางการเมอื งหรอื พรรคการเมือง จึงเป็นประเด็นส�ำคัญในการศึกษา โดยเฉพาะในสังคมที่เพิ่งเปลี่ยนผ่านจากลักษณะอ�ำนาจปกครองหนึ่งไปสู ่ อีกรูปแบบ และท่ีส�ำคัญหากการเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดจากสังคมแบบเผด็จการไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ความตอ้ งการและกระบวนการในการสรา้ งความมน่ั คงของประชาธปิ ไตยจะด�ำเนนิ ไปดว้ ยความยากล�ำบากและ อาจน�ำมาสู่ปัญหาทางการเมืองและความขัดแย้งของสถาบันทางการเมืองภายในด้วย หากแต่กระบวนการใน การสร้างความม่ันคงของประชาธิปไตยและความต้ังมั่นในประชาธิปไตยได้ถูกขับเคล่ือนไปด้วยฐานก�ำลังของ ประชาชนจะเปน็ สิ่งทช่ี ่วยส่งเสรมิ ให้การพัฒนาประชาธปิ ไตยเขม้ แข็งได้อยา่ งรวดเรว็ ข้นึ 2.3 แนวคิดเก่ียวกับพฤติกรรมการลงคะแนนเสียง เลือกตั้ง (Electoral Behaviour) การท�ำความเขา้ ใจและศกึ ษาความสมั พนั ธข์ องรฐั ระบอบประชาธปิ ไตยและประชาชนสามารถศกึ ษา ไดด้ ว้ ยการอาศยั การอธบิ ายผา่ นแนวคดิ ทฤษฎเี กยี่ วกบั พฤตกิ รรมการลงคะแนนเสยี งเลอื กตงั้ เนอ่ื งจากในระบอบ ประชาธิปไตย การลงคะแนนเสียงเลือกต้ังของประชาชนสามารถสะท้อนความต้องการ การก�ำหนดทิศทาง ในการพัฒนาประเทศและการเลือกตัวแทนทางการเมืองท่ีสะท้อนอุดมการณ์ทางการเมืองของประชาชนได้ โดยพน้ื ฐานของการศกึ ษาพฤตกิ รรมการเลอื กตง้ั นนั้ เชอื่ วา่ มนษุ ยท์ กุ คนมเี หตผุ ลในการเลอื กแตจ่ ะมอี งคป์ ระกอบ หรอื เงอื่ นไขอะไรท่ีมาสนับสนนุ เหตผุ ลก็ขึ้นอยูก่ บั ปจั จยั หลากหลายประการ การศึกษาพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกต้ังในระบบการเมืองต่าง ๆ น้ัน แง่มุมหนึ่งนับได้ว่า เป็นส่วนหน่ึงของความพยายามท่ีจะท�ำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย เพราะความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับกระบวนการปกครองได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นหัวใจ ของกิจกรรมทางการเมืองทุกระบบ ซึ่งในการศึกษาพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกต้ังในสังคมสมัยใหม่นั้น ย่ิงมีความซับซ้อนและหลากหลายมากข้ึนกว่าการน�ำเสนอเพียงแนวคิดการเลือกอย่างมีเหตุผลเพียงอย่างเดียว

45 แต่จ�ำเป็นต้องศึกษาควบคู่กันไปกับทฤษฎีปัจจัยตัวก�ำหนด (Deterministic Theory) กล่าวคือ ศึกษาว่า ในการเลือกลงคะแนนเสียงน้ันมีปัจจัยใดบ้างท่ีมีผลต่อการตัดสินใจทางการเมืองของผู้มีสิทธิเลือกต้ัง โดยในทางทฤษฎีแล้วได้ก�ำหนดปัจจัยอย่างท่ัวไปเช่น เพศ อายุ อาชีพ การศึกษา ท่ีอยู่อาศัย ฯลฯ เหล่าน้ี เป็นปัจจัยพื้นฐาน แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัจจัยทางสังคม การเมือง ท่ีส่งผลต่อการเลือกใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียง อีกด้วย ปัจจัยที่ 1 คือการพึ่งพาต่อรัฐหรือเป็นลูกจ้างรัฐ/ข้าราชการ ปัจจัยที่ 2 คือการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และปัจจัยที่ 3 คือการหลีกหนีความขัดแย้งโดยไม่ไปใช้สิทธ์ิ (สมพันธ์ เตชะอธิกและคณะ, 2553, น.5-6) นอกจากนี้ ตามการศกึ ษาของ Seymour Martin Lipset (1997 อ้างใน ศุภมติ ร ปิตพิ ฒั น,์ 2562) ได้ค้นหาว่า อะไรคือปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยเฉพาะพฤติกรรมในการเลือกต้ังของประชาชน ผู้ออกเสียงลงคะแนน อะไรคือแหล่งที่มาของคุณค่าและขบวนการเคลื่อนไหวที่ช่วยรักษาสนับสนุนหรือเป็น อันตรายต่อสังคมประชาธิปไตย รวมท้ังอธิบายว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกตั้งนอกจากจะมีผลต่อการตัดสินใจ เลือกแล้ว ยังมีผลต่อการตัดสินใจว่าจะไปลงคะแนนเสียงหรือไม่อีกด้วย (สมพันธ์ เตชะอธิกและคณะ, 2553, น.5-6) แต่การอธิบายในเชิงทฤษฎีน้ีได้อธิบายศึกษาภายใต้สภาวการณ์ของการเมืองท่ีเป็นรูปแบบปกติท่ัวไป แต่ขณะท่ีบริบททางการเมืองไทยน้ันยังมีมิติท่ีหลากหลายมากกว่าน้ัน ไม่ว่าจะเป็นการสังกัดพรรคการเมือง ตัวบุคคล หรืออุดมการณ์ชุดใดชุดหน่ึง ระบบอุปถัมภ์ ลักษณะการรวมกลุ่มภายใต้การน�ำของหัวคะแนน การใชน้ โยบายประชานิยม การใชส้ ่อื หรอื การด�ำเนนิ งานผ่านองคก์ รของภาครัฐ/ราชการ เหล่านีเ้ ปน็ ต้น โดยเฉพาะการผสานกนั ระหวา่ งปจั จยั สองประการคอื ระบบอปุ ถมั ภแ์ ละการขยายตวั ของทนุ ทอ้ งถนิ่ การขยายตวั ของนายทนุ พอ่ คา้ ในทอ้ งถนิ่ ทไ่ี ดผ้ นั ตวั เขา้ มาในแวดวงการเมอื ง และใชก้ �ำลงั ทนุ ในการหาเสยี งเลอื กตง้ั ทั้งการรณรงคห์ าเสียงเลือกต้ังในรูปแบบปกติ และการซอ้ื เสยี ง (Vote Buying) โดยด�ำเนนิ การผ่านคนกลางคือ หัวคะแนน จนกลายเป็นวิธีการส�ำคัญในการชนะการเลือกต้ังท่ามกลางความต้องการของปัจจัยทางเศรษฐกิจ ของชุมชนท้องถิ่นในชนบท การซ้ือเสียงจึงจัดเป็นอีกปัจจัยหนึ่งท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงของ ผมู้ สี ทิ ธิลงคะแนนเสยี งเลอื กตง้ั ในสังคมชนบทไทย ทยี่ ึดถือระบบวัฒนธรรมบุญคณุ อุปถมั ภ์ (Patron System) ที่เอ้ือประโยชน์ซึ่งกันและกันอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้ กล่าวคือเงินซ้ือเสียงอาจไม่สามารถก�ำหนดพฤติกรรม การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้ ถ้าขาดมิติของการเป็นผู้อุปถัมภ์ท่ีจะช่วยเหลือประชาชนในท้องถิ่นได้ จากมุมมองต่อรัฐว่าเป็นองค์กรท่ีไม่อาจพ่ึงพาได้เท่ากับนักการเมืองในท้องท่ีของตน แต่ในขณะเดียวกัน ชนชั้นกลางในเมืองกลับมีลักษณะการเลือกลงคะแนนเสียงให้แก่พรรคการเมืองด้วยวิจารณญาณทางการเมือง มากกวา่ ลกั ษณะของการช�ำระหนบ้ี ุญคุณ (ศทุ ธิกานต์ มจี ัน่ , 2556, น.112- 115) จากแนวคิดท่ีใช้มาประกอบการอธิบายการศึกษาจะเห็นว่า การจัดการเลือกตั้งให้ตอบสนอง ความต้องการและการแสดงออกซ่ึงสิทธิของประชาชนถือเป็นพื้นฐานท่ีส�ำคัญของการสร้างความตั้งม่ันของ ประชาธิปไตย เน่ืองจากน�ำมาสู่การสร้างสถาบันทางการเมืองและพรรคการเมืองให้เข้มแข็ง โดยเฉพาะ รัฐธรรมนูญ กฎหมายต่าง ๆ และแนวทางในการจัดการเลือกตั้งมีผลต่อการเรียนรู้ทางการเมืองของประชาชน และสง่ ผลตอ่ ทั้งการพัฒนาและก�ำหนดพฤตกิ รรมทางการเมอื งของประชาชน

46 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ 2.4 การทบทวนวรรณกรรมและงานวจิ ยั ทีเ่ กย่ี วขอ้ ง การทบทวนวรรณกรรมและงานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วขอ้ งในการศกึ ษาวจิ ยั นี้ ไดแ้ บง่ กลมุ่ งานวรรณกรรมและ งานวจิ ยั ออกเปน็ 2 สว่ นหลกั คอื 1) งานวรรณกรรมและงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั รฐั ธรรมนญู ระบบเลอื กตง้ั และ พรรคการเมอื งทอ่ี ธบิ ายถงึ ความส�ำคญั ความเชอื่ มโยงของสถาบนั ทางการเมอื งตา่ ง ๆ ทส่ี ง่ ผลตอ่ การเปลย่ี นแปลง ทางการเมืองและสะท้อนภาพของการเมืองไทยในช่วงเวลาท่ีผ่านมาท่ีสามารถน�ำมาอธิบายการเลือกต้ังในวันท่ี 24 มนี าคม 2562 2) งานศกึ ษาวจิ ยั และวรรณกรรมทเี่ กย่ี วกบั การเมอื ง การเลอื กตงั้ และพฤตกิ รรมการเลอื กตงั้ ของประชาชนหรอื บริบททางการเมอื งในจงั หวดั เชยี งใหม่ 1) งานวรรณกรรมและงานวิจัยท่เี กย่ี วขอ้ งกับรัฐธรรมนูญ ระบบเลือกตั้ง และพรรคการเมอื ง สมชยั แสนภมู ิ (2557) ท�ำการศกึ ษาวจิ ยั เรอ่ื ง การจดั องคก์ รพรรคภายใตก้ ารนำ� ของทกั ษณิ ชนิ วตั ร: ศึกษากรณพี รรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพ่ือไทย งานของสมชยั เสนอภาพของโครงสรา้ ง การบริหารและการจัดการภายในของพรรคการเมืองที่ส่งทอดต่อเน่ืองกันคือ ไทยรักไทย พลังประชาชน และ เพื่อไทย แกนกลางส�ำคัญของพรรคทั้ง 3 นี้คือ การเป็นพรรคที่มีโครงสร้างแนวด่ิง โดยบุคคลท่ีมีบทบาทใน การก�ำหนดทิศทางของพรรคทั้ง 3 ต้ังแต่การเลือกผู้สมัครรับเลือกต้ังถึงการตัดสินใจต่าง ๆ ของพรรคคือ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มชนชั้นน�ำในพรรคเป็นหลัก การก�ำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ของพรรค มีการหาข้อมูลและรวบรวมความต้องการของประชาชนผ่านการวิจัย จนน�ำมาสู่การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบ นโยบาย การหาเสยี ง การสรา้ งภาพลกั ษณต์ า่ ง ๆ ของพรรคการเมอื งทงั้ 3 ทท่ี �ำใหแ้ ตกตา่ งจากพรรคการเมอื งอนื่ ๆ ประเด็นส�ำคัญท่ีปรากฏในการศึกษาวิจัยของแสนชัยคือ ความเป็นประชาธิปไตยภายในพรรคอาจไม่ใช่เง่ือนไข ของการท�ำใหพ้ รรคการเมอื งชนะ เพราะพรรคท้ัง 3 ไดร้ ับชัยชนะมาอยา่ งต่อเน่อื ง ปัจจยั ส�ำคัญคือ การบริหาร จัดการพรรคแบบเบ็ดเสร็จโดยชนช้ันน�ำของพรรค แต่การจัดโครงสร้างการบริหารแบบบนลงล่างก็ท�ำให้ลด ความขัดแย้งและง่ายต่อการจัดสรรผลประโยชน์โดยผู้น�ำพรรค จะเห็นว่าลักษณะการด�ำเนินการของพรรค นับตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย ประสบความส�ำเร็จในการเลือกต้ังมา อย่างต่อเนื่องแม้จะเปลี่ยนชื่อพรรคหรือผู้น�ำพรรคการเมืองก็ตาม การยึดครองพื้นที่ฐานคะแนนเสียงในพื้นท่ี ภมู ภิ าคตา่ ง ๆ โดยเฉพาะภาคเหนอื ตอนบน มผี ลอยา่ งยงิ่ ตอ่ การจงรกั ภกั ดตี อ่ พรรคการเมอื งอนั เกดิ จากการยดึ โยง กับนโยบายพรรค และผ้นู �ำพรรค คอื พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวตั ร หรอื อาจกลา่ วไดว้ า่ นับต้งั แตพ่ รรคไทยรักไทย จนมาถงึ พรรคเพ่อื ไทยในปจั จุบนั พรรคท้งั 3 นีไ้ ดเ้ ปล่ียนแปลงความคดิ เร่ืองการยดึ ติดกบั ตัวบุคคลในพื้นทม่ี าสู่ การยดึ ติดกบั พรรคการเมอื งและนโยบายพรรคการเมืองอย่างเห็นไดช้ ดั เจน สติธร ธนานิธิโชติ (2558) เสนอบทความเรื่อง ความได้เปรียบในสนามเลือกต้ังของทายาท ตระกลู นกั การเมอื ง สตธิ รไดศ้ กึ ษาตระกลู การเมอื งในกลมุ่ ประเทศประชาธปิ ไตย และประเทศทมี่ คี วามเสยี่ งใน การไมเ่ ปน็ ประชาธปิ ไตยทสี่ มบรู ณพ์ บวา่ ตระกลู การเมอื งไมใ่ ชเ่ รอื่ งแปลกใหมแ่ ตป่ รากฏใหเ้ หน็ ในประวตั ศิ าสตร์ การเมอื งของหลายประเทศ ในขณะที่พบว่าตระกลู การเมืองในอดตี เปน็ ส่ิงส�ำคญั ต่อการเลือกตั้งในประเทศไทย

47 การอยู่ในสายสัมพันธ์หรือเครือข่ายของตระกูลการเมืองอาจน�ำไปสู่โอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขัน การเลอื กตงั้ แตย่ งั ตอ้ งอาศยั ปจั จยั อนื่ ๆ ประกอบ โดยขอ้ มลู ส�ำคญั ทไี่ ดท้ �ำการศกึ ษาคอื ผลการเลอื กตงั้ ในปี 2554 พบว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหน้าใหม่น้ันมีสัดส่วนครึ่งต่อคร่ึงท่ีมาจากจากตระกูลการเมือง ในสัดส่วนของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหน้าใหมท่ ไ่ี มไ่ ดอ้ ยใู่ นสายสัมพนั ธข์ องตระกลู การเมือง พบวา่ เกือบครึ่งมปี ระสบการณ์ ในการเป็นนักการเมืองท้องถิ่นมาก่อน การศึกษาของสติธรท�ำให้เห็นถึงการด�ำรงอยู่ของระบบอุปถัมภ์ผ่าน สายตระกูลไปสู่ผู้ลงคะแนนเสียงเลือกต้ังในเขตเลือกต้งั และในจงั หวดั น้นั ๆ ในขณะเดยี วกันกเ็ หน็ สัญญาณของ ความเส่อื มถอยของอ�ำนาจของตระกูลการเมอื งในระบบการเลือกตง้ั บทความของ วีระพงศ์ เชาวลิต (2561) เร่ือง บทบาทของพรรคการเมืองไทยกับการเลือกตั้งใน รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2560 ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ ระบบการเลอื กตง้ั แบบจดั สรรปนั สว่ นผสมนนั้ ท�ำให้พรรคการเมืองมีความส�ำคัญมากขึ้น และทุกพรรคการเมืองมีโอกาสในการได้คะแนนเสียงท่ีถูกเอามานับ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ เกิดการซื้อตัวผู้น�ำท้องถ่ิน หรือบุคคลที่มีช่ือเสียงเป็นท่ีรู้จักเพ่ือลงสมัครรับเลือกตั้ง ในนามพรรคการเมือง ซ่ึงระบบการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับน้ีท�ำให้เห็นเป้าหมายของการสร้าง รัฐบาลผสมมากกว่าการสร้างรัฐบาลท่ีมาจากพรรคการเมืองเข้มแข็ง วีระพงศ์ได้วิเคราะห์เพ่ิมเติมว่า รัฐธรรมนูญอาจจะไม่ได้สร้างปัญหาในเรื่องของการใช้ระบบการเลือกตั้งจัดสรรปันส่วนผสม แต่ยังมีปัญหา ต่อเน่ืองท่ีเกิดตามมาภายหลังการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับน้ีคือ การท�ำงานของรัฐบาล ท่ีจะเป็นการผสม ของพรรคการเมืองรวมกันจ�ำนวนมากจนน�ำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลผสมอันเป็นที่มาของการต่อรองผลประโยชน์ ทางการเมืองของกลุม่ การเมอื งในระบบรัฐสภา การศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเลือกต้ังแบบจัดสรรปันส่วนผสม ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 สะท้อน ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงระบบพรรคการเมืองและพฤติกรรมของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง เช่นงานของ ณสดมภ์ ธิติปรีชา (2560) ที่ศึกษาระบบการเลือกต้ัง การจัดการการเลือกต้ังท่ีมีผลต่อผลการเลือกต้ัง เรื่อง ระบบเลือกตั้งและการจัดการเลือกต้ัง: เป้าหมายและผลลัพธ์ทางการเมือง จากการศึกษาพบว่าบริบททาง การเมอื งในชว่ งเวลาตา่ ง ๆ มคี วามส�ำคญั ตอ่ การก�ำหนดเปา้ หมายของผมู้ อี �ำนาจในการก�ำหนดกตกิ าทางการเมอื ง รวมถึงระบบการเลือกต้ังในช่วงเวลานั้น โดยได้ใช้การจัดการเลือกตั้งและระบบเลือกต้ังเป็นเคร่ืองมือหนึ่ง ในการบรรลุเป้าประสงค์ทางการเมืองที่ต้องการให้เป็นและผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดข้ึน อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ อาจไม่เป็นไปตามเป้าหมายของผู้มีอ�ำนาจในการก�ำหนดกติกาเสมอไป เน่ืองจากความรู้ความเข้าใจและ ความตน่ื ตัวทางการเมืองของประชาชน ท่อี ยู่ท่ามกลางความเปลีย่ นแปลงของสังคมโลก ท้ังนี้ ณสดมภ์ยงั พบว่า ระบบการเลือกต้ังของประเทศไทย ถูกออกแบบมาเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเมืองแทบท้ังสิ้น แม้กระทั่งการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ก็เป็นไปตามเป้าหมายในการลดบทบาทความส�ำคัญของ พรรคการเมืองจากการใช้บัตรเลือกต้ังแบบใบเดียว ดังน้ันจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าการท�ำความเข้าใจผลการเลือกต้ัง และพฤติกรรมการเลือกต้งั ของประชาชนน้ัน ต้องท�ำความเขา้ ใจถงึ ระบบการเลอื กตั้งและรปู แบบ ประเภทของ การเลือกตั้งที่มีการออกแบบและก�ำหนดมาให้สอดคลอ้ งตามเปา้ หมายของรัฐ

48 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ สิริพรรณ นกสวน สวัสดี (2561) ได้น�ำเสนอสาระส�ำคัญของการเลือกต้ังในหนังสือ ระบบเลือกต้ัง เปรียบเทียบ ซ่ึงชี้ให้เห็นถึงความส�ำคัญในการท�ำความเข้าใจระบบเลือกตั้งว่ามีความส�ำคัญอย่างมากต่อ การก�ำหนดทศิ ทางและความเปน็ ไปของระบบการเมอื ง โดยเฉพาะการศกึ ษาเรอื่ งระบบการเลอื กตง้ั สามารถท�ำให้ เกิดความเข้าใจสถานการณ์การเมือง ประวัติศาสตร์การเมือง และปรากฏการณ์ของการเมืองทั้งก่อนและหลัง การเลือกตั้ง ระบบการเลือกต้ังยึดโยงตัวแสดงหลัก ๆ ไว้คือ พรรคการเมืองและประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ัง การยึดหลักการพื้นฐานของการเลือกตั้งจึงเป็นสะพานเชื่อมโยงไปสู่กระบวนการสร้างประชาธิปไตย การให้ ความส�ำคัญกับการออกแบบระบบการเลือกต้ังได้รับความส�ำคัญมาอย่างยาวนาน แต่ส�ำหรับประเทศไทย อาจกลา่ วไดว้ า่ เรม่ิ เหน็ นบั ตง้ั แตก่ ารประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู พ.ศ. 2540 ทม่ี กี ารใชร้ ะบบการเลอื กตงั้ สดั สว่ นผสม ที่มีส่วนผสมของระบบบัญชีรายช่ือกับระบบเขตเดียวเบอร์เดียว ที่น�ำมาสู่การเติบโตของพรรคการเมือง ขนาดใหญ่ และเป็นการกล่ันกรองพรรคการเมืองให้น้อยลงเพื่อแก้ปัญหาความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาลผสม ดังที่เป็นปัญหาในอดีตของการเมืองไทย ความส�ำคัญของระบบการเลือกตั้งถูกน�ำมาศึกษาเปรียบเทียบใน หลายประเทศ โดยเฉพาะระบบการเลือกต้ังได้ถูกให้ความหมายว่าเป็นส่วนหน่ึงของการปฏิรูปการเมือง แม้แต่ ในการปฏิรูปการเมืองปี พ.ศ. 2540 การเปล่ียนแปลงระบบเลือกตั้งถือเป็นการปฏิรูปการเมืองท่ีท�ำให้เกิด การเปล่ียนแปลงของโครงสร้างการเมือง เช่น การปฏิรูปการเมืองท่ีน�ำไปสู่การเปลี่ยนไปสู่ระบบเลือกต้ังแบบ สดั ส่วนท�ำใหผ้ สู้ มคั รหญิงมีโอกาสเขา้ มาท�ำหนา้ ที่ ส.ส. ในสภาเพิ่มมากขนึ้ (ปรุ วิชญ์ วฒั นสุข, 2557, น.143) สิริพรรณ นกสวน สวัสดี (2561) สะท้อนการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นประชาธิปไตยด้วยการปฏิรูป การเมือง ในหนังสือ การเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยเปรียบเทียบ โดยศึกษา 8 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย ชิลี อาร์เจนตินา ตูนิเซีย ไนจีเรีย ยูเครน และโปแลนด์ พบว่าบริบททางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และประวัติศาสตร์การเมืองของแต่ละประเทศเป็นข้อก�ำหนดส�ำคัญต่อกระบวนการสร้างประชาธิปไตยภายใน ประเทศ การปฏิรูปการเมืองที่เกดิ ขน้ึ ในประเทศต่าง ๆ ถา้ เกิดจากความตอ้ งการของประชาชนแลว้ น้นั กจ็ ะน�ำ มาสู่รัฐธรรมนูญและสถาบันทางการเมืองที่ได้รับการยอมรับ แต่องคาพยพทางการเมืองหากเกิดจากเพียง อ�ำนาจของชนชนั้ น�ำหรอื ผมู้ อี �ำนาจการปฏริ ปู การเมอื ง กระบวนการของประชาธปิ ไตยกจ็ ะไมส่ ามารถเกดิ ขนึ้ ได ้ เม่ือระบบการเลือกต้ังมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการเลือกต้ังของประชาชนแล้ว พรรคการเมือง ซง่ึ ถอื เปน็ ทง้ั สถาบนั ทางการเมอื งและองคก์ รทางการเมอื งจ�ำตอ้ งปรบั ทงั้ โครงสรา้ งบทบาทและกลยทุ ธก์ ารแขง่ ขนั ภายใตก้ ติกาตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งหนังสือ ความหวงั และความน่าจะเปน็ ฉากทศั นพ์ รรคการเมอื งไทย ภายใต้ รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2560 โดย ณชั ชาภัทร อมรกลุ อรรถสิทธิ์ พานแกว้ และฐิตกิ ร สงั ขแ์ ก้ว (2562) ชีใ้ ห้เห็น ถงึ ความส�ำคญั ของพรรคการเมอื งทถี่ กู คาดหวงั จากประชาชนในการสรา้ งความเปลยี่ นแปลง แตใ่ นขณะทก่ี ตกิ า ตามรัฐธรรมนูญกลับก�ำหนดควบคุมการด�ำเนินงานของพรรคการเมืองให้เป็นไปด้วยความยากล�ำบากกว่า รฐั ธรรมนญู อนื่ ๆ ทผี่ า่ นมา ซง่ึ การศกึ ษานช้ี ใี้ หเ้ หน็ ฉากทศั นห์ รอื ภาพทอ่ี าจปรากฏในอนาคตของพรรคการเมอื ง ไทยภายใตก้ ฎหมายและกตกิ าใหมใ่ นรฐั ธรรมนญู และพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยพรรคการเมอื ง พ.ศ. 2560 รวมทั้งการคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดภายหลังการเลือกตั้ง พรรคการเมืองไทยจะมีการเปลี่ยนแปลง ท้ังโครงสรา้ งและคณุ ลักษณะ ทที่ �ำให้พรรคการเมืองตอ้ งขบคิดวา่ การยดึ โยงกบั ประชาชนจะกลายเปน็ สิง่ ท่ีเปน็ ฐานอ�ำนาจท่ีส�ำคัญท่สี ดุ ของพรรคภายใตแ้ รงกดดันจากรัฐหรอื ผูม้ อี �ำนาจ

49 2) งานศึกษาวิจัยและวรรณกรรมท่ีเก่ียวกับการเมือง การเลือกต้ัง และพฤติกรรมการเลือกต้ัง ของประชาชนหรือบรบิ ททางการเมอื งในจังหวัดเชียงใหม่ ปยิ ดา มหาบุญญานนท์ (2547) ได้ท�ำการศึกษาวิจัยเรื่อง ปัญหาการจดั การสาขาพรรคไทยรักไทย ในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่าพรรคไทยรักไทยแม้ไม่ได้มีสาขาพรรคการเมืองมากเท่ากับพรรคเก่าแก่อย่าง พรรคประชาธปิ ตั ย์ แตม่ กี ารบรหิ ารจดั การสาขาพรรคในจงั หวดั เชยี งใหมซ่ ง่ึ ถอื เปน็ สาขาศนู ยก์ ลางของกลมุ่ จงั หวดั 9 จังหวัดในภาคเหนือได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการระดมทรัพยากรเพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับ การท�ำหน้าท่ีสาขาเพื่อเช่ือมโยงกับผู้สนับสนุนพรรคไทยรักไทยและสมาชิกพรรคในจังหวัดอ่ืน ๆ ด้วย โดย จังหวัดอ่ืน ๆ ตั้งข้ึนมาในลักษณะศูนย์ประสานงาน โดยเฉพาะจังหวัดที่มีเครือข่ายนักการเมืองระดับท้องถิ่น เนอ่ื งจากการเลอื กตงั้ ในปี พ.ศ. 2544 พรรคไทยรกั ไทยไดส้ รา้ งเครอื ขา่ ยการเมอื งในระดบั พน้ื ทไ่ี ดอ้ ยา่ งเปน็ ระบบ และเขม้ แขง็ ขนึ้ มาก ดงั นนั้ การเตรยี มสาขาพรรคในจงั หวดั เชยี งใหมเ่ พอื่ รองรบั การท�ำงานของศนู ยป์ ระสานงาน จึงมีความส�ำคัญ ส�ำนักงานใหญ่พรรคและผู้บริหารพรรคจะเป็นผู้ที่วางแนวทางการบริหารจัดการสาขาและ แบ่งบทบาทหน้าที่ในพื้นท่ี โดยเฉพาะการที่นางเยาวภา วงศ์สวัสด์ิ น้องสาวของ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย เป็นผู้รับผิดชอบพ้ืนท่ีภาคเหนือของพรรคไทยรักไทย ยิ่งท�ำให้สาขาพรรคไทยรักไทย มคี วามส�ำคญั อยา่ งยงิ่ ไมใ่ ชเ่ พยี งบทบาทของส�ำนกั งานในการประสานงานในพน้ื ทภ่ี าคเหนอื แตย่ งั รวมถงึ การเปน็ เหมือนสญั ลกั ษณ์และภาพลกั ษณ์ของพรรคในชว่ งเวลาของการเมอื งทม่ี คี วามนยิ มพรรคการเมืองสูง เพียงกมล มานะรัตน์ (2547) ศึกษาวิจัยเรื่อง การเมืองเร่ืองการเลือกต้ัง: ศึกษากรณีการรณรงค์ หาเสียงเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2547 พบว่านโยบายกลายเป็นปัจจัยส�ำคัญ ตอ่ การหาเสยี งเลอื กตง้ั ในระดบั ทอ้ งถน่ิ โดยเฉพาะการใชน้ โยบายหาเสยี งการเลอื กตงั้ ทอ้ งถนิ่ ในจงั หวดั เชยี งใหม่ ท่ีเน้นนโยบายท่ีเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองมากกว่าการหาเสียงที่ว่ากล่าวให้ร้ายป้ายสีกันดังเช่นในอดีต ผู้สมัคร รับเลือกตั้งต�ำแหน่งนายกเทศมนตรีมีทั้งบุคคลที่มีชื่อเสียงและบุคคลท่ีไม่ได้มีเครือข่ายทางการเมืองมาก่อน แต่ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ยังคงเป็นกลไกส�ำคัญในการเชื่อมเครือข่ายทางการเมืองของท้องถ่ิน การเลือกต้ัง ในระดบั ทอ้ งถนิ่ ท�ำใหเ้ กดิ ความสมั พนั ธท์ างตรงระหวา่ งนกั การเมอื งทอ้ งถน่ิ กบั ประชาชนโดยตรงไดง้ า่ ยมากกวา่ การเมอื งระดบั ชาติ ดงั นน้ั บทบาทของหวั คะแนนในการเลอื กตงั้ ระดบั ทอ้ งถน่ิ ไมไ่ ดม้ คี วามจ�ำเปน็ หรอื มบี ทบาท มากนักในการเมืองระดับท้องถิ่น งานของเพียงกมล ท�ำให้เห็นถึงความเชื่อมโยงบริบทการเมืองระดับชาติและ ระดับท้องถิ่นได้อย่างชัดเจน เพราะปัจจัยการหาเสียงเรื่อง นโยบายกลายเป็นเงื่อนไขการลงคะแนนเลือกตั้ง ของประชาชน นโยบายพรรคการเมืองหรือนโยบายกลุ่มการเมืองจึงมีความส�ำคัญต่อการชนะการเลือกตั้ง แม้จังหวัดเชียงใหม่จะถือเป็นพ้ืนท่ีส�ำคัญของพรรคไทยรักไทย ตลอดจนมาสู่พรรคพลังประชาชน และ พรรคเพื่อไทย ในบางบริบททางการเมืองท�ำให้เชียงใหม่ถูกเรียกว่าพ้ืนท่ีเสื้อแดง หรือกลุ่มสนับสนุนพรรค ไทยรักไทยและ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตรก็ตาม แต่ในการเลือกต้ังระดับท้องถิ่น การเชื่อมโยงประเด็นเร่ือง พรรคไทยรักไทยหรือกลุ่มคนเส้ือแดงกับการเลือกต้ังท้องถ่ิน ต้องอาศัยองค์ประกอบที่ส�ำคัญอีกประการคือ เรื่องของตระกลู การเมอื ง

50 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดเชียงใหม่ ดังที่ พิศาล พันธุเสนีย์ (2553) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง กลยุทธ์ในการหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัคร นายกเทศมนตรนี ครเชยี งใหมใ่ นการเลอื กตง้ั วนั ที่ 4 ตลุ าคม 2552 พบวา่ ในดา้ นหนง่ึ การหาเสยี งเพอื่ ลงแขง่ ขนั ชิงต�ำแหน่งนายกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงใหม่น้ัน มีการพยายามเช่ือมโยงความสัมพันธ์กับพรรคการเมือง ระดบั ชาติ ทงั้ ในลกั ษณะของแนวนโยบายและสญั ลกั ษณส์ ี โลโก้ สโลแกน ตลอดจนภาพถา่ ย แต่ในอกี ด้านหน่ึง คือการท่ีผู้สมัครทั้ง 10 คน ได้มีการน�ำเสนอพื้นฐานครอบครัว และประวัติตนเองที่เป็นตระกูลเก่าแก่ มีความสัมพันธ์เช่ือมโยงกับเครือข่ายทางการเมืองในอดีตหรือมีความเป็นเครือญาติ ตลอดจนการเป็นท่ีรู้จัก ในพ้นื ที่จากการท�ำธรุ กิจมาอยา่ งตอ่ เนอ่ื งยาวนาน สุรชัย ตั้งมกรา (2556) ศึกษาเร่ือง การเมืองเร่ืองการเลือกต้ัง: ศึกษาการหาเสียงเลือกตั้งวันท่ี 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เขตเลือกตัง้ ที่ 5 จงั หวดั เชียงใหม่ จากการศกึ ษาของสุรชัยพบว่า ภายใต้บรบิ ทของ ความขดั แยง้ มผี ลตอ่ การรวมกลมุ่ ของคนในพน้ื ทม่ี าก โดยเฉพาะในพนื้ ทจ่ี งั หวดั เชยี งใหมซ่ ง่ึ เปน็ พน้ื ทใ่ี นการศกึ ษา เพราะมีการรวมกลุ่มของคนเส้ือแดงท่ีเข้มแข็ง ซ่ึงเกิดมาจากกลุ่มเกษตรกรในพ้ืนที่จนพัฒนามาสู่การรวมกลุ่ม ทางการเมืองที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยให้ชนะการเลือกต้ังในปี พ.ศ. 2554 การมีกลุ่มการเมืองของคนในพ้ืนที่ คอยสนับสนุนกลายเป็นกลไกส�ำคัญที่เช่ือมต่อความสัมพันธ์กับทั้งประชาชนและผู้น�ำท้องถ่ิน ผ่านสายสัมพันธ์ เชิงอุปถัมภ์ ผนวกรวมกับความนิยมในตัวอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร และนโยบายต่าง ๆ ที่พรรคไทยรักไทย เคยท�ำไว้ เปน็ สงิ่ ส�ำคญั ทที่ �ำใหฐ้ านการเมอื งของพรรคเพอื่ ไทยเขม้ แขง็ และการด�ำเนนิ กจิ กรรมทางการเมอื งของ พรรคก็สามารถด�ำเนนิ การไดอ้ ย่างตอ่ เนอ่ื งจนน�ำมาสกู่ ารชนะการเลอื กตงั้ และความนยิ มทพี่ รรคการเมอื งอ่นื ๆ ไมส่ ามารถเจาะฐานคะแนนเสียงได้ ในงานศกึ ษาของ สมพนั ธ์ เตชะอธกิ และคณะ (2553) เรอ่ื งการศกึ ษาความเคลอื่ นไหวทางการเมอื ง ในการออกเสียงประชามติและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกผู้แทนราษฎร 2550: จังหวัดขอนแก่น ได้อธิบายถึงบทบาทในการเลือกตัดสินใจลงคะแนนเสียงของประชาชนในพ้ืนที่จังหวัดขอนแก่น ภายหลัง การประกาศใชร้ ัฐธรรมนูญปี 2550 วา่ การตดั สนิ ใจลงคะแนนเสยี งของประชาชนในพืน้ ทีน่ น้ั ไม่ไดย้ ึดตดิ อยู่กับ ตัวผู้สมัครอีกต่อไป แต่หากได้ให้ความส�ำคัญเน้นหนักไปที่ พรรคการเมืองกับผู้บริหารพรรค และที่ส�ำคัญคือ ลกั ษณะของการเปน็ ตวั แทนของอ�ำนาจขวั้ ใดขวั้ หนง่ึ อยา่ งชดั เจน สว่ นแรงจงู ใจในการชกั น�ำใหป้ ระชาชนออกไป ใช้สิทธิเลือกต้ังนั้น ได้อธิบายว่าเกิดจากความต้องการท่ีจะได้มาซ่ึงรัฐบาลที่มาจากการเลือกต้ัง นอกจากนี้แล้ว ภายหลังผลการเลือกตั้งประกาศออกมาพบว่า พรรคพลังประชาชนประสบความส�ำเร็จอย่างล้นหลามภายใต้ กระแสหวนคนื “ทกั ษณิ ” ซ่ึงยงั คงระอุภายใต้สภาวการณ์ทางการเมอื งในชว่ งหลังการรฐั ประหาร 19 กันยายน 2549 อาจกล่าวไดว้ ่าในการเลอื กตั้งในปี 2550 นั้น พรรคการเมอื งทแ่ี สดงตวั ว่าเปน็ ผู้สนับสนนุ ฝา่ ยการเมอื งใด การเมืองหนง่ึ มักจะได้รบั แรงสนบั สนนุ จากประชาชนทส่ี มาทานอุดมการณ์ในฝ่ายฝั่งนัน้ อยา่ งชัดเจน