Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 46นักการเมืองถิ่นกาฬสินธ์

46นักการเมืองถิ่นกาฬสินธ์

Description: เล่มที่46นักการเมืองถิ่นกาฬสินธ์

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธ์ุ ตารางที่ 61 คะแนนเลือกต้ัง ส.ส. แบบแบง่ เขต จงั หวัดกาฬสนิ ธุ์ เขต 4 (3 กรกฎาคม 2554) หมายเลข พรรคสงั กดั ชือ่ - นามสกุล คะแนน หมายเหต ุ ผู้สมัคร 58867 อันดับ 1 1 เพื่อไทย นายพีระเพชร ศิริกุล 2 ชาติพัฒนา นายจิราวุฒิ สุทธิแสน 449 - เพื่อแผ่นดิน 11097 - 10 ประชาธิปัตย์ นายชอบเรียน วงศ์ศิริ 16 ภมู ิใจไทย นายสำราญ ญาณกาย 16895 - 23 ชาติสามัคคี นางสาวญาดารัศมี 241 - สามคุ้มทิม ที่มา. จาก คะแนนเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต จังหวัดกาฬสินธุ์ เขต 4 (3 กรกฎาคม 2554), โดย สำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้งประจำจังหวัดกาฬสินธุ์, ม.ป.ป. ตารางที่ 62 คะแนนเลือกตงั้ ส.ส. แบบแบ่งเขต จังหวัดกาฬสนิ ธ์ุ เขต 5 (3 กรกฎาคม 2554) หมายเลข พรรคสังกัด ชอ่ื - นามสกลุ คะแนน หมายเหต ุ ผ้สู มคั ร 54178 อันดับ 1 1 เพื่อไทย นายนิพนธ์ ศรีธเรศ 2 ชาติพัฒนา นายบุญมี โพธิ์ขี 118 - เพื่อแผ่นดิน 1461 - 10 ประชาธิปัตย์ นายสุวิทย์ นันอำไพ 12 รักษ์สันติ ว่าที่ร้อยตรีตาด ขวาวงษ์ 172 - 16 ภูมิใจไทย นางสาวภัทรา วรามิตร 39440 - 21 ชาติไทยพัฒนา นายพัฒนา ระวิสี 35 - 34 ความหวังใหม่ นายคงเดช เฉิดสถิตย์ 263 - ที่มา. จาก คะแนนเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต จังหวัดกาฬสินธุ์ เขต 5 (3 กรกฎาคม 2554), โดย สำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้งประจำจังหวัดกาฬสินธุ์, ม.ป.ป. 126

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธ์ุ ตารางที่ 63 คะแนนเลือกต้งั ส.ส. แบบแบง่ เขต จังหวัดกาฬสินธุ์ เขต 6 (3 กรกฎาคม 2554) หมายเลข พรรคสังกัด ชอื่ - นามสกุล คะแนน หมายเหต ุ ผู้สมคั ร 62573 อันดับ 1 1 เพื่อไทย นายประเสริฐ บุญเรือง 2 ชาติพัฒนา นางแววมณี โพธิ์ขี 214 - เพื่อแผ่นดิน - 9 พลังมวลชน นายเชี่ยวชาญ อินทรเสนา 82 10 ประชาธิปัตย์ นายธวัชวงศ์ชัย ไตรทิพย์ 5158 - 12 รักษ์สันติ นายบัณฑิต ภนู ากลม 782 - 14 กิจสังคม นายชาติชาย แสงยะรักษ์ 627 - 16 ภูมิใจไทย นายแมว้ มงคลชยั ไชยทองศร ี 10594 - 33 ประชาสันติ นายพินิจ อัฐนาค 385 - 34 ความหวังใหม่ นายอิสระ อินทร์ยา 5888 - ที่มา. จาก คะแนนเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต จังหวัดกาฬสินธุ์ เขต 6 (3 กรกฎาคม 2554), โดย สำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้งประจำจังหวัดกาฬสินธุ์, ม.ป.ป. 4กา. 2ฬสกินาธร์ุยเุคมแื อรงกแ(ลพะ.นศั .ก 2ก4า7ร6เ ม-ื อ2ง5ถ3ิ่ น9จ)ั ง ห วั ด ในช่วงแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้นยังไม่มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร เพราะคณะราษฎร ได้ออก พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 โดยกำหนดให้มีสภาเดียว มีสภาผู้แทน ราษฎร 70 คนมาจากการแต่งตั้ง การเลือกตั้งได้เริ่มมีขึ้นครั้ง แรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 โดย เลือกเฉพาะสมาชิกประเภทที่ 1 เท่านั้น ส่วนประเภทที่ 2 นั้นมา 127

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธ์ุ จากการแต่งตั้ง (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2542, หน้า 13) การเมืองในช่วงนี้ ค่อนข้างจะมีลักษณะความเป็น การเมืองไม่มากนัก เพราะนักการเมืองไม่ได้สังกัด พรรคการเมือง นักการเมืองส่วนใหญ่มักจะอิงอยู่กับองค์กร หรือสถาบันที่มีอำนาจทางการเมือง เช่น ระบบราชการ หรือ สถาบันทหารเป็นหลัก การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองจะเป็น เรื่องของความเป็นปัจเจก ใช้ความสำคัญของบุคคลเป็นหลัก ความสำคัญของบุคคลนี้อาจเกิดขึ้นเพราะบารมีวิสัยส่วนตัว อำนาจหน้าที่จากทางการ ตลอดจนอำนาจ หน้าที่จากทาง ราชการ ตลอดจนอำนาจจากทางระบบราชการหรือทหาร ให้การสนับสนุน ยิ่งโดยเฉพาะการเลือกตั้งในครั้งแรกนั้น เป็นการเลือกตั้งทางอ้อม กล่าวคือ ประชาชนจะมีการเลือก ผู้แทนตำบลก่อน และผู้แทนตำบลจะเป็นผู้เลือกสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรโดยตรงอีกครั้งหนึ่ง จากวิธีการนี้จึงทำให้ผู้ที่ได้รับ การเลือกตั้ง เป็นคนที่รู้จักกว้างขวางในเฉพาะคนในระดับหนึ่ง เท่านั้น อาจจะเป็นบุคคลชั้นนำของจังหวัด ดังนั้นอาจจะกล่าว ได้ว่าการเลือกตั้งครั้งแรกนั้นเป็นการเลือกกันเองระหว่าง ชนชั้นนำของจังหวัด วิธีการเลือกตั้งทางอ้อมนี้เหตุผลที่สำคัญของการนำมา ใช้ก็คือประชาชนยังขาดการศึกษา ไม่สามารถที่จะเข้าใจ การปกครองระบอบประชาธิปไตยได้ดีพอ ผลพวงจาก แนวความคิดนี้ได้ดำเนินมาเป็นระยะเวลา ประมาณ 13 ปี เพราะฉะนั้นกิจกรรมทางการเมืองของนักการเมืองถิ่นส่วนใหญ่ 128

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธ์ุ จะจำกัดอยู่ในคนกลุ่มเดียวเท่านั้น การหาเสียงหรือการทำ กิจกรรมทางการเมืองคงมีในเฉพาะกลุ่มคนดังกล่าว การชี้นำ ทางการเมืองจะมีโอกาสเกิดขึ้นโดยการดำเนินการของ เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั เชน่ กำนนั หรอื ผใู้ หญบ่ า้ นภายในตำบล สำหรบั การเมืองในช่วงแรกนี้ นักการเมืองถิ่นของจังหวัดกาฬสินธุ์ที่ได้ รับการเลือกตั้งทางอ้อมยังไม่มีเนื่องจากจังหวัดกาฬสินธุ์ยังเป็น ส่วนหนึ่งของจังหวัดมหาสารคาม การเลือกตั้งโดยตรงครั้งแรก ในจังหวัดกาฬสินธุ์ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ได้มีการเลือกตั้งเมื่อ 29 มกราคม พ.ศ. 2491 เป็นการเลือกตั้งแบบรวมเขตจังหวัด (จังหวัดละ 1 เขต) ใช้เกณฑ์ประชากร 150,000 คน ต่อ ส.ส. 1 คน (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2542, หน้า 19) ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้แก่ นายกว้าง ทองทวี ถึงแก่กรรมเมื่อ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 ต่อมานายเอ็จ บุญไชย ได้รับเลือกตั้งแทนเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2494 การเลือกตั้งครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 ในการ เลือกตั้งครั้งนี้จังหวัดกาฬสินธุ์มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 2 คน ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้แก่ นายชาญยุทธ ไชยคำมิ่งและนายสุปัน พูลพัฒน์ และได้อยู่จนหมดวาระ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 (กรมการปกครอง, ม.ป.ป.) การเมืองไทยยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก อำนาจ ทางการเมืองส่วนใหญ่อยู่ในมือของทหาร นักการเมืองที่ สามารถที่จะยืนอยู่ในเวทีการเมืองได้นาน ๆ ต้องอยู่ภายใต้ 129

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธ์ุ สังกัดทหาร เพราะฉะนั้นในช่วงแรกนักการเมืองจึงไม่นิยมสังกัด พรรคการเมือง เพราะถ้าสังกัดพรรคการเมืองแล้วจะทำให้ความ มีอิสระทางการเมืองน้อยลง การหาเสียงเลือกตั้งก็ยังเป็นเช่น เดิม คือ การอาศัยความเป็นบุคคลที่มีชื่อของตนภายในท้องถิ่น ระบบราชการ และการเอื้ออาทรของผู้มีอำนาจทางการเมือง ในขณะนั้น เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 ได้มีการเลือกตั้ง ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช 2495 ในการเลือกตั้งครั้งนี้จังหวัด กาฬสินธุ์มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 3 คน ผู้ที่ได้รับเลือกตั้ง เข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้แก่ นายชาญ ศิริกุล, นายฉลอง ประจัญบาน และนายเหรียญ สืบพันธุ์ โดยทั้งหมดสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ (กรมการ ปกครอง, ม.ป.ป.) สำหรับสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ได้สิ้นสุดลง เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 โดยการทำรัฐประหารนำโดย จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ สาเหตุหรือข้ออ้างในการยึดอำนาจคือ ประชาชนไม่พอใจรัฐบาล สืบเนื่องมาจากการเลือกตั้งที่สกปรก ในการยึดอำนาจในครั้งนี้ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ยึดอำนาจ จากจอมพล ป. พิบูลสงคราม จากการยึดอำนาจการปกครอง โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในครั้งนี้ไม่ได้มีการยกเลิก รัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ จึงมีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 ในการเลือกตั้งครั้งนี้จังหวัดกาฬสินธุ์มีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรได้ 3 คน ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้แก่นายชาญยุทธ ไชยคำมิ่ง, นายสุปัน พูลพัฒน์ และนายชาญ ศิริกุล ได้รับการเลือกตั้ง เข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่ได้สังกัด 130

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธุ์ พรรคการเมือง (กรมการปกครอง, ม.ป.ป.) แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดนี้อยู่ได้ไม่นานก็ถูกปฏิวัติ นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 สาเหตุของการปฏิวัติ ก็คือรัฐบาลไม่สามารถควบคุมเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มาจากการเลือกตั้งได้ (บริษัท ฐานข้อมูลข่าวสารไทย จำกัด, ม.ป.ป.) การปฏิวัติครั้งนั้นนักวิชาการหลายท่านได้ตั้งข้อสังเกต ไว้ว่า น่าจะเป็นการรู้กันระหว่าง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และ พลโทถนอม กิตติขจร เพราะหลังจากการปฏิวัติครั้งนี้ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้เข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 ถึงวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506 โดยการอสัญกรรม การเข้าสู่ตำแหน่งครั้งนี้ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้อาศัยอำนาจรัฐธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 มาใช้โดยอำนาจของสภาแต่งตั้ง หลังจาก การอสัญกรรมของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พลเอกถนอม กิตติขจร ยศในขณะนั้น ก็ได้สืบทอดอำนาจต่อ โดยอาศัยมติ แต่งตั้ง จากสภาแต่งตั้งชุดเดิมในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พลเอกถนอม กิตติขจร ได้อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประมาณ 6 ปี (บริษัท ฐานข้อมูลข่าวสารไทย จำกัด, ม.ป.ป.) ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 และได้มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2512 ในการเลือกตั้งครั้งนี้จังหวัดกาฬสินธุ์มีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร ได้ 4 คน ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ นายสุปัน พูลพัฒน์, นายชาญยุทธ 131

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธ์ุ ไทยคำมิ่ง, นายสมพงษ์ อยู่หุ่น ซึ่งทั้งสามคนไม่ได้สังกัด พรรคการเมือง และนายขุนทอง ภูผิวเดือน สังกัดพรรคประชา- ธิปัตย์ (กรมการปกครอง, ม.ป.ป.) ในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรค ประชาธิปัตย์ได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด มากกว่าพรรค สหประชาไทยของพลเอกถนอม กิตติขจร แต่ไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล เพราะในสมัยนั้นบุคคลที่จะเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้นั้น จะต้องได้รับเสียงข้างมากของสองสภารวมกัน คือ สภาผู้แทน ราษฎร มาจากการเลือกตั้งและวุฒิสมาชิกมาจากการแต่งตั้ง รัฐบาลซึ่งนำโดยจอมพลถนอม กิตติขจร ได้บริหารประเทศ ประมาณ 2 ปีก็เกิดการปฏิวัติขึ้น เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 แต่การปฏิวัติครั้งนี้ถือว่าเป็น การปฏิวัติตนเองของ จอมพลถนอม กิตติขจร สาเหตุของการปฎิวัติคือ ไม่สามารถ ควบคุมเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งได้ สำหรับวิธีการหาเสียงของนักการเมืองในจังหวัดกาฬสินธุ์นั้น ก็ไม่ได้แตกต่างกัน กล่าวคือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสมัย นั้น นิยมการปราศรัย แต่ก่อนจะมีการปราศรัยจะมีการเล่น มหรสพต่าง ๆ เช่น การฉายหนังกลางแปลง ลิเก ดนตรี เพื่อ เรียกความสนใจของประชาชนให้เข้ามาฟังการปราศรัยรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร ได้เข้าบริหารประเทศเป็นสมัยที่ 4 เมื่อ วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2515 จนถึง 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ได้ลาออกจากตำแหน่งเพราะเกิดการจลาจล “วัน 14 ตุลา มหาวิปโยค” (บริษัท ฐานข้อมลู ข่าวสารไทย จำกัด, ม.ป.ป.) เมื่อเริ่มต้นใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517 ได้มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 ขึ้น ในช่วงนี้ถือว่าเป็นยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน รัฐธรรมนูญแห่ง 132

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาฬสินธุ์ ราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2517 นี้ถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญ ที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดฉบับหนึ่ง จังหวัดกาฬสินธุ์ในการ เลือกตั้งครั้งนี้ สามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 4 คน แบ่งออกเป็น 2 เขต เขตเลือกตั้งที่ 1 นายทองเส็ง ภูวิชัย และ นายขนุ ทอง ภผู วิ เดอื น ทง้ั คสู่ งั กดั พรรคประชาธปิ ตั ย์ เขตเลอื กตง้ั ที่ 2 นายพิชัย ยันตุบุศย์ สังกัดพรรคกิจสังคมและนายมานิต ไสยวิจิตร (กรมการปกครอง, ม.ป.ป.) ในการเลือกตั้งครั้งนี้ การต่อสู้ทางการเมือง ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงแรก อย่างสิ้นเชิง อำนาจของทหารมีน้อยลงจนเสมือนดูว่าไม่มีเลย ดังนั้น การต่อสู้ทางการเมืองจึงเป็นเรื่องของนักการเมืองล้วน ๆ และในยุคนี้เป็นยุคเริ่มต้นที่นักธุรกิจเริ่มเดินทางเข้าสู่ระบบ การเมืองด้วยตัวเอง ไม่ต้องอาศัยอำนาจทางทหารเหมือนในยุค ก่อน ๆ การกำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสังกัด พรรคการเมือง การกำหนดให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ต้องมาจากการเลือกตั้ง ทำให้การต่อสู้ทางการเมือง เริ่มมีการ ใช้หัวคะแนน การใช้เงิน ตลอดจนการใช้อำนาจหรืออิทธิพล ท้องถิ่นให้ชนะการเลือกตั้ง นโยบายของพรรคการเมืองที่นำมา สู่ประชาชนเริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้น พรรคประชาธิปัตย์ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ในการจัดตั้งรัฐบาล โดยมี ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เป็นนายก- รัฐมนตรี และมีนายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ ประธานสภา ผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภา แต่อย่างไรรัฐบาลชุด ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ก็ต้องยุบสภาเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2518 ด้วยสาเหตุที่ไม่ได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร และได้มีการเลือกตั้งใหม่เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 ในการ 133

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธ์ุ เลือกตั้งครั้งนี้ ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรของจังหวัดกาฬสินธุ์ได้แก่ เขตเลือกตั้งที่ 1 นายทองคำ บาดาล สังกัดพรรคชาติไทย, นายไพโรจน์ ศาสตราวาหะ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และนายจรัญ ปัทมดิลก สังกัดพรรคธรรมสังคม เขตเลือกตั้งที่ 2 นายประยูร โง่นคำ และนายขุนทอง ภูผิวเดือน ทั้งคู่สังกัดพรรคประชา- ธิปัตย์ (กรมการปกครอง, ม.ป.ป.) ในการเลือกตั้งครั้งนี้พรรค ประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด แต่ไม่สามารถตั้ง รัฐบาลได้ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช มีเพียง 18 เสียงและได้เป็น นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ต้องจารึก ไว้ว่ามีเพียง 18 เสียง ก็สามารถที่จะตั้งรัฐบาลได้และได้เกิด ศึกสายโลหิตขึ้นในตระกูลปราโมช โดยที่ในขณะนั้น พรรคประชาธิปัตย์ได้รับการสนับสนุนจากพรรคเกษตรสังคม และพรรคแนวร่วมสังคมนิยม ซึ่งมีจำนวนสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรรวมกันมิได้เป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา ต่อมา ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม ซึ่งมีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรเพียง 18 คนแต่ได้รับการสนับสนุนจากพรรค การเมือง 12 พรรค ได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นเสียงข้างมากในสภา จึงได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2518 รัฐบาลผสม 12 พรรค ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช บริหารประเทศภายใต้ความกดดัน ต่าง ๆ อันเกิดจากความขัดแย้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของพรรคร่วมรัฐบาลเอง และได้มีการสถาปนาผู้แทนราษฎร ฝ่ายค้านกลุ่มหนึ่งเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมต ิ ไม่ไว้วางใจรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จึงตัดสินใจยุบสภา 134

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2519 ในการเลือกตั้ง ครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งเข้ามามากที่สุดถึง 114 คน และได้จัดตั้งรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้กลับมา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2519 และได้ลาออกเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2519 เพราะ วิกฤตการณ์การกลับมาของจอมพลถนอม กิตติขจร เพื่อที่จะ อุปสมบท แต่อย่างไรก็ตาม ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ก็ได้กลับมา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แต่ก็เกิดวิกฤติการณ์ชุมนุมประท้วง ของนักศึกษา ประชาชน ที่ธรรมศาสตร์ รัฐบาลแก้ไข สถานการณ์ไม่ได้จึงเกิดการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน นำโดย พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี รวม 4 สมัยแต่เป็นระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น (บริษัท ฐานข้อมูล ข่าวสารไทย จำกัด, ม.ป.ป.) หลังจากการเข้ายึดอำนาจโดย พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ประเทศไทยก็ไม่ได้มีการเลือกตั้งเลย จนกระทั่งมีการประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2521 และได้ ให้มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2522 การเลือกตั้ง ในครั้งนี้ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ จังหวัดกาฬสินธุ์ได้แก่ เขตเลือกตั้งที่ 1 นายพิชญ์ แดนวงศ์ สังกัดพรรคกิจสังคม นายชิงชัย มงคลธรรม สังกัดพรรค ธรรมสังคม และนายพิชัย ยันตุบุศย์ สังกัดพรรคกิจสังคม เขตเลือกตั้งที่ 2 นายประยูร โง่นคำ และนายขุนทอง ภูผิวเดือน ทั้งคู่สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ (กรมการปกครอง, ม.ป.ป.) พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถึงแม้พรรคกิจสังคมจะได้เสียงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 135

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธุ์ มากที่สุดถึง 80 คน ก็ตาม แต่พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ได้ดำรงตำแหน่งประมาณ 9 เดือน ก็ได้ลาออกเมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2523 เพราะวิกฤติการณ์น้ำมันและผู้อพยพลี้ภัย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จึงเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แทนโดยมติของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาชุดเดิม และบริหารประเทศเป็นระยะเวลา 3 ปีได้ยุบสภาเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2526 และได้จัดให้มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2526 พรรคกิจสังคมได้รับเลือกตั้งเข้ามามาก ที่สุด คือ 92 คน แต่ไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลเช่นกัน เพราะการเมือง ในยุคนั้นถือว่าเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ คือ มีสภาผู้แทนราษฎร ที่มาจากการเลือกตั้ง และมีวุฒิสภามาจากการแต่งตั้ง แต่มี อำนาจเช่นกันในการกำหนดผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายก- รัฐมนตรี สำหรับวุฒิสภาในสมัยนั้นจะประกอบไปด้วยทหาร ผมู้ ีอำนาจในการควบคุมกำลงั กองทพั เปน็ สว่ นใหญเ่ พราะฉะนัน้ ไม่น่าจะเป็นที่แปลกใจว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์จะได้เป็น รัฐมนตรีอีกเป็นสมัยที่ 2 (บริษัท ฐานข้อมูลข่าวสารไทย จำกัด, ม.ป.ป.) สำหรับจังหวัดกาฬสินธุ์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้มีการ แบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็น 2 เขต คือเขตเลือกตั้งที่ 1 ผู้ที่ได้รับ การเลือกตั้งคือ นายสังข์ทอง ศรีธเรศ สังกัดพรรคกิจสังคม นางพวงเพชร ศรีทอง สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และ นายวิวัฒนไชย ณ กาฬสินธุ์ สังกัดพรรคชาติประชาธิปไตย ส่วนเขตเลือกตั้งที่ 2 คือนายใหม่ ศิรินวกุล สังกัดพรรค กิจสังคม และนายขุนทอง ภูผิวเดือน สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ (กรมการปกครอง, ม.ป.ป.) พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ขึ้นดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีประมาณ 3 ปีและได้ยุบสภาเมื่อวันที่ 136

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาฬสินธุ์ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 เนื่องจากรัฐบาลแพ้เสียงในสภา และ ได้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 พรรคประชาธิปัตย์ได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด 100 ที่นั่ง พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้รับการเสนอชื่อดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีอีกเป็นครั้งที่ 3 (บริษัท ฐานข้อมูลข่าวสารไทย จำกัด, ม.ป.ป.) การเมืองในจังหวัดกาฬสินธุ์ เริ่มมีการต่อสู้กัน ระหว่างสองพรรคการเมืองคือ พรรคกิจสังคมและพรรค ประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ในเขตเลือกตั้งที่ 1 ผู้ที่ได้รับ เลือกเข้ามาได้แก่ นายสังข์ทอง ศรีธเรศ สังกัดพรรค กิจสังคม นายพิชัย มงคลวิรกุล สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และ นายวิวัฒนไชย ณ กาฬสินธุ์ สังกัดพรรคกิจสังคม ส่วนเขต เลือกตั้งที่ 2 คือ นายใหม่ ศิรินวกุล สังกัดพรรคกิจสังคม และ นายวิทยา ภูมิเหล่าแจ้ง สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ (กรมการ ปกครอง, ม.ป.ป.) พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ขึ้นดำรงตำแหน่ง นายกครั้งนี้ประสบปัญหาความขัดแย้งจากพรรคร่วมรัฐบาล และคาดว่าจะมีผลกระทบต่อการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีทั้งคณะ ในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2531 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์จึงได้ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2531 และมีการเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2531 พรรคชาติไทยนำโดยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคได้รับการเลือกตั้ง และได้รวมเสียง พรรคการเมืองต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้พลเอกเปรม ติณสูลา นนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่พลเอกเปรม ไม่ขอรับตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ทำให้พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรค ชาติไทย ได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 137

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธุ์ คนที่ 17 ของประเทศไทย (บริษัท ฐานข้อมูลข่าวสารไทย จำกัด, ม.ป.ป.) พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ได้เข้ารับตำแหน่งนายก- รัฐมนตรี ในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2531 และได้ลาออกเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2533 เพื่อปรับคณะรัฐมนตรี และจัดตั้งรัฐบาล ใหม่ ต่อมาพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ก็ได้กลับเข้าสู่ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 โดยมติของสองสภา ในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2533 และได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 เนื่องจากเกิดการยึดอำนาจโดย คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติหรือ รสช. นำโดย พล.อ. สุนทร คงสมพงษ์ นายอานันท์ ปันยารชุน ได้เข้าสู่ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2534 ด้วยความเห็นชอบจากประธานสภา รสช. และได้ออกจาก ตำแหน่งเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2535 เพื่อให้มีการเลือกตั้ง ทั่วไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2534 รัฐธรรมนูญฉบับนี้เพิ่มความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น กล่าวคือ การกำหนดให้อำนาจสภาผู้แทนราษฎรเพียงสภาเดียวเป็น ผู ้ ก ำ ห น ด ต ำ แ ห น ่ ง น า ย ก ร ั ฐ ม น ต ร ี จ า ก ร ั ฐ ธ ร ร ม นู ญ แ ห ่ ง ราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2534 เริ่มใช้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2534 ได้ให้มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 พรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด คือพรรค สามัคคีธรรม 79 ที่นั่ง รองลงมาพรรคชาติไทย 74 ที่นั่ง ผู้ที่ได้ รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือ พลเอกสุจินดา คราประยูร เมื่อ วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2535 พลเอกสุจินดา คราประยูร มิได้เป็น หัวหน้าพรรคการเมือง หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่ได้รับ 138

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาฬสินธ์ุ การสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคสามัคคีธรรม พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทย และพรรค ราษฎร รวม 5 พรรค รัฐบาลพลเอกสุจินดา คราประยูร สิ้นสุด ลงโดยการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 เนื่องจากเกิดเหตุจลาจลหรือเรียกว่า “พฤษภาทมิฬ” (บริษัท ฐานข้อมลู ข่าวสารไทย จำกัด, ม.ป.ป.) ในการเลือกตั้งครั้งนี้ของจังหวัดกาฬสินธุ์ ในเขตเลือกตั้ง ที่ 1 ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฏร ได้แก่ นายสังข์ทอง ศรีธเรศ สังกัดพรรคความหวังใหม่ นายพิชัย มงคลวิรกุล สังกัดพรรคสามัคคีธรรม นายวิวัฒนไชย ณ กาฬสินธุ์ สังกัดพรรคกิจสังคม ส่วนเขตเลือกตั้งที่ 2 มี นายใหม่ ศิรินวกุล สังกัดพรรคสามัคคีธรรม นายอภิชาต หาลำเจียก สังกัดพรรคสามัคคีธรรม และนายบวร ภูจริต สังกัดพรรคความหวังใหม่ (กรมการปกครอง, ม.ป.ป.) หลังจาก การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอก สุจินดา คราประยูร ผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือ นายอานันท์ ปันยารชุน โดยประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ได้ตัดสินใจเสนอชื่อ นายอานันท์ ปันยารชุน ขึ้นทูลเกล้าฯ โดยหวังว่าจะให้ นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นผู้ประสานรอยร้าวจากเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่ประชาชนเรียกร้อง และเป็นขั้นกลางก่อนมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ รัฐบาล นายอานันท์ จึงอยู่เพียงระยะสั้นเท่านั้น และได้ยุบสภาเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2535 โดยมีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 จากการเลือกตั้งพรรคที่ได้รับการเลือกตั้ง 139

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาฬสินธ์ุ มากที่สุดได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ 79 คน รองลงมาพรรคชาติ ไทย 77 คน นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย ์ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งครั้งนี้ (บริษัท ฐานข้อมูลข่าวสารไทย จำกัด, ม.ป.ป.) การเมืองในจังหวัด กาฬสินธุ์เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงกระแสพรรคความหวังใหม่เริ่ม แรงมากขึ้นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดกาฬสินธุ์ ในเขตเลือกตั้งที่ 1 ได้แก่ นายสังข์ทอง ศรีธเรศ สังกัดพรรคความหวังใหม่ นายชิงชัย มงคลธรรม สังกัด พรรคความหวังใหม่ และนายวิวัฒนไชย ณ กาฬสินธุ์ สังกัด พรรคกิจสังคม เขตเลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ นายขุนทอง ภูผิวเดือน สังกัดพรรคความหวังใหม่ นางสาวอรดี สุทธศรี สังกัดพรรค ชาติพัฒนา และนายบวร ภูจริต สังกัดพรรคความหวังใหม่ (กรมการปกครอง, ม.ป.ป.) นายชวน หลีกภัย ได้เข้ามาบริหาร ประเทศในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนถึงวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 และได้ยุบสภา เพราะจากการที่รัฐบาลถูกเสนอ ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตร ี ทั้งคณะในประเด็นเรื่องเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01 ก่อนลงมติ พรรคพลังธรรมถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล นายชวน หลีกภัย จึงตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎร (บริษัท ฐานข้อมูล ข่าวสารไทย จำกัด, ม.ป.ป.) เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 และได้มีการเลือกตั้ง ทั่วไปเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 ในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคชาติไทยได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด คือ 92 ที่นั่ง รองลงมา คอื พรรคประชาธปิ ตั ย์ 86 ทน่ี ง่ั นายบรรหาร ศลิ ปอาชา ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 140

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาฬสินธ์ุ พ.ศ. 2538 (บริษัท ฐานข้อมูลข่าวสารไทย จำกัด, ม.ป.ป.) การเมืองในจังหวัดกาฬสินธุ์มี การเปลี่ยนแปลงกระแส ความนิยมพรรคความหวังใหม่ก็ยังคงลักษณะเช่นเดิม เหมือน การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว กล่าวคือ มีกลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่สังกัดพรรคความหวังใหม่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาจำนวน 4 ที่ นั่งจากทั้งหมด 6 ที่นั่ง เขตเลือกตั้งที่ 1 ได้แก่ นายสังข์ทอง ศรีธเรศ นายชิงชัย มงคลธรรม และนายพิชัย มงคลวิรกุล ทั้ง 3 คนสังกัดพรรคความหวังใหม่ เขตเลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ นางสาวอรดี สุทธศรี สังกัดพรรคชาติพัฒนา นายวิทยา ภูมิเหล่าแจ้ง สังกัดพรรคความหวังใหม่และนายเงิน ไชยศิวา มงคล สังกัดพรรคความหวังใหม่ (กรมการปกครอง, ม.ป.ป.) นายบรรหาร ศิลปอาชา บริหารงานโดยรัฐบาลผสม 6 พรรค 209 เสียง ถูกฝ่ายค้านขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายบรรหาร ศิลปอาชา ในหลายประเด็น ก่อนลงมติในวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2539 พรรคร่วมรัฐบาลบังคับให้นายบรรหาร ศิลปอาชา ลาออกเพื่อที่จะเอาพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ มาเป็น นายกรัฐมนตรี แต่ตกลงกันไม่ได้ และนายบรรหาร ได้แถลงต่อ สื่อมวลชนว่าจะลาออกภายใน 7 วัน แต่ผลสุดท้ายนายบรรหาร ได้ตัดสินใจยุบสภา และให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ในการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ พรรค ความหวังใหม่ซึ่งมี พลเอกเชาวลิต ยงใจยุทธ เป็นหัวหน้าได้รับ การเลือกตั้งเข้ามามากที่สุดถึง 125 ที่นั่ง และพรรคการเมือง ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นอันดับ 2 ได้แก่พรรคประชาธิปัตย์ 123 ที่นั่ง ทำให้พลเอกเชาวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี (บริษัท ฐานข้อมูลข่าวสารไทย จำกัด, ม.ป.ป.) สำหรับการเมือง 141

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาฬสินธ์ุ ในจังหวัดกาฬสินธุ์ในครั้งนี้ถือว่าถูกครอบครองอย่างเบ็ดเสร็จ ของพรรคความหวังใหม่ที่สามารถได้รับการเลือกตั้งเข้ามาแบบ ยกทีม ถือว่าเป็นความสำเร็จงดงามทางการเมืองของพรรค ความหวังใหม่ในจังหวัดกาฬสินธุ์ เขตเลือกตั้งที่ 1 ได้แก่ นายสังข์ทอง ศรีธเรศ นายชิงชัย มงคลธรรม และนายพิชัย มงคลวิรยกุล เขตเลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ นายบวร ภจู ริต นายวิทยา ภูมิเหล่าแจ้ง และนายเงิน ไชยศิวามงคล (กรมการปกครอง, ม.ป.ป.) พลเอกเชาวลติ ยงใจยทุ ธ บรหิ ารงานประเทศ ทา่ มกลาง ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ได้รับเงินกู้จากกองทุนการเงิน ระหว่างประเทศ (IMF) 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีการลดค่า เงินบาท ในที่สุด พลเอกเชาวลิต ยงใจยุทธ ได้ลาออกจาก ตำแหน่งเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 โดยมีเหตุผลว่า เพื่อให้มีนายกคนใหม่เข้ามาแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจ เป็นที่น่า สังเกตอย่างยิ่งว่าพลเอกเชาวลิต ยงใจยุทธ ใช้วิธีการลาออก แทนที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎร เท่าที่มีการสันนิษฐาน คิดว่า น่าจะมีการตกลงภายในระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลว่าจะเอา พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี อีกครั้ง แต่ผลปรากฏว่า เกิดปรากฏการณ์ “งูเห่า” ขึ้นที่จังหวัด สมุทรปราการ กล่าวคือ กลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนาย วัฒนา อัศวเหม ได้แหกโผของพรรคประชากรไทย โดยไปร่วม กับพรรคกิจสังคม พรรคชาติพัฒนา และพรรคประชาธิปัตย์ จัดตั้งรัฐบาล ทำให้นายชวน หลีกภัย ได้กลับมาเป็น นายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 (บริษัท ฐานข้อมลู ข่าวสารไทย จำกัด, ม.ป.ป.) 142

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาฬสินธ์ุ รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ได้บริหารประเทศไปเกือบ 4 ปี และได้มีการยุบสภา ให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 เป็นการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 4.2.1 ภูมิหลังเครือข่ายทางการเมืองและกลวิธีการหาเสียง ของนักการเมืองยุคแรก 1) นายสงั ข์ทอง ศรธี เรศ นายสังข์ทอง ศรีธเรศ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดกาฬสินธุ์ 7 สมัยคือ จากการเลือกตั้งในปี 2526, 2529, 2531, 2535, 2538 และ 2539 ในระยะแรกได้สังกัด พรรคกิจสังคม ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2535 ได้ย้ายมาสังกัดพรรค ความหวังใหม่ 1.1) ข้อมลู การดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายสังข์ทอง ศรีธเรศ ได้ดำรงตำแหน่ง สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาฬสินธุ์จำนวน 7 สมัย โฆษกคณะ กรรมาธิการการศึกษา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (สมัยพลเอกเชาวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี) รัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (สมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี) 1.2) ข้อมูลส่วนบุคคล นายสงั ขท์ อง ศรธี เรศ เกดิ เมอ่ื วนั ท่ี 30 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2484 จบการศึกษาระดับปริญญาตรีนิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง 143

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธ์ุ 1.3) การเข้าสู่การเมือง นายสังข์ทอง ศรีธเรศ เริ่มเข้าสู่การเมือง โดยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ใน พ.ศ. 2526 ในนามพรรคกิจสังคม โดยลงสมัครในเขต เลือกตั้งที่ 1 จังหวัดหวัดกาฬสินธุ์ ต่อมาได้ย้ายไปสังกัดพรรค ความหวังใหม่ใน พ.ศ. 2535 นายสังข์ทอง ศรีธเรศได้รับการ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 7 สมัย ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดของผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดกาฬสินธุ์ นายสังข์ทอง ศรีธเรศ เป็นนักการเมืองถิ่น จังหวัดกาฬสินธุ์คนหนึ่งที่ถือได้ว่าประสบความสำเร็จทางด้าน การเมืองเพราะได้ดำรงตำแหน่งสำคัญต่างๆ ทางการเมือง เช่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 2 สมัย และรัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย 1.4) ฐานเสียงและเครือข่ายทางการเมือง ฐานเสียงและเครือข่ายทางการเมืองของ นายสังข์ทอง ศรีธเรศ จะประกอบด้วยหลาย ๆ กลุ่ม ที่สำคัญ ก็จะเป็นกลุ่มข้าราชการครูซึ่งเป็นฐานเสียงที่สำคัญที่ให้การ สนับสนุนทางการเมือง นอกจากนี้นายสังข์ทอง ศรีธเรศ ยังมี กลุ่มเครือญาติ “ศรีธเรศ” ซึ่งถือเป็นเครือข่ายญาติสามารถ เชื่อมโยงสร้างพลังเป็นเครือข่ายทางการเมือง หัวคะแนนและ เป็นฐานเสียงสำคัญที่ให้ประสบความสำเร็จในการรับสมัคร เลือกตั้งทุกครั้งอีกด้วย 144

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธ์ุ 1.5) รปู แบบ/กลวิธีการหาเสียง กลวิธีหาเสียงของนายสังข์ทอง ศรีธเรศ จะมี วิธีการหาเสียงด้วยการใช้วิธีการปราศรัยในที่ชุมชนบ้าง วัดบ้าง โดยจะมีการปราศรัยในเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายในการทำงาน ของตนเอง นโยบายของพรรคการเมือง การปราศรัยจะเป็นการ ปราศรัยเวทีเล็ก ๆ เพื่อจะได้เจาะเข้าถึงประชาชน นอกจากนี้ นายสังข์ทอง ศรีธเรศ ยังถือเป็นแบบอย่างของสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรที่ลงพื้นที่เพื่อรับทราบปัญหาจากปากของ ประชาชนในพื้นที่ ซึ่งการลงพื้นที่พบปะกับประชาชนในพื้นที่ เป็นประจำทำให้เป็นที่พึงพอใจของประชาชน ประชาชนในพื้นที่ จะรู้สึกว่าได้รับการดูแลจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นอย่าง ดี ซึ่งการลงพื้นที่เป็นประจำดังกล่าวถือเป็นกลวิธีหาเสียงแบบ ต่อเนื่องอีกทางหนึ่งซึ่งส่งผลให้ได้รับการไว้วางใจจากประชาชน ได้รับเลือกตั้งทุกครั้ง 1.6) ปัจจัยที่ทำให้ได้รับการเลือกตั้ง ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ได้รับการเลือกตั้งของ นายสังข์ทอง ศรีธเรศ คือการลงพื้นที่เพื่อรับทราบปัญหาจาก ปากของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งการลงพื้นที่พบปะกับประชาชน ในพื้นที่เป็นประจำทำให้เป็นที่พึงพอใจของประชาชน ประชาชน ในพื้นที่จะรู้สึกว่าได้รับการดูแลจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นอย่างดีเป็นที่เคารพและรักของประชาชนเมื่อลงสมัคร รับเลือกตั้งจะได้รับการเลือกตั้งทุก ๆ ครั้ง 145

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาฬสินธ์ุ 1.7) ข้อมลู อื่น ๆ บุคลิกและภาพลักษณ์ของนายสังข์ทอง ศรีธเรศ จะเป็นนักการเมืองที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน สุภาพ ทำให้เป็นที่เคารพรักของประชาชน ใครมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ อะไรก็สามารถเข้าถึงตัวเพื่อขอให้ช่วยเหลือได้ตลอดเวลา 2) นายขุนทอง ภผู วิ เดือน นายขนุ ทอง ภผู วิ เดอื น เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ของจังหวัดกาฬสินธุ์ 6 สมัยคือ จากการเลือกตั้งในปี 2512, 2518, 2519, 2522, 2526 และ 2535 ในระยะแรกลงสมัครไม่ได้ สังกัดพรรคการเมือง ต่อมาย้ายมาสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ถือเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดกาฬสินธุ์ คนเดียว ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้รับการเลือกตั้งติดต่อกัน 5 สมัย ต่อมาได้ย้ายไปสังกัดพรรคความหวังใหม่และก็ได้รับการ เลือกตั้งอีกครั้งใน พ.ศ. 2535 2.1) ข้อมูลการดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายขนุ ทอง ภผู วิ เดอื น ไดด้ ำรงตำแหนง่ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาฬสินธุ์จำนวน 6 สมัย รัฐมนตร ี ช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีช่วยการกระทรวง มหาดไทย 2.2) ข้อมลู ส่วนบุคคล นายขนุ ทอง ภผู วิ เดอื น เกดิ เมอ่ื วนั ท่ี 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2470 อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ จบการศึกษา ระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนประชาบาลตำบลยางตลาด 146

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 5 จาก โรงเรียนเพิ่มพูนวิทยาคม อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนกาฬสินธุ์- พิทยาสรรพ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และระดับปริญญาตรีนิติศาสตร์ บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2.3) การเข้าสู่การเมือง ชีวิตทางการเมืองของนายขุนทอง ภูผิวเดือน เริ่มเข้าสู่การเมืองโดยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร ใน พ.ศ. 2512 ในนามพรรคประชาธิปัตย์ และ ได้รับการเลือกตั้งติดต่อกันเรื่อยมาอีก 5 สมัย ต่อมาได้ย้ายไป สังกัดพรรคความหวังใหม่ใน พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นยุคที่พรรค ความหวังใหม่ภายใต้การนำของพลเอกเชาวลิต ยงใจยุทธ กำลังเป็นที่กระแสนิยมและได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรอีกครั้งในสังกัดพรรคความหวังใหม่ นายขุนทอง ภูผิวเดือนเป็นนักการเมืองถิ่น จังหวัดกาฬสินธุ์คนหนึ่งที่ถือได้ว่าประสบความสำเร็จทางด้าน การเมืองเพราะได้ดำรงตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ ทางการเมือง เช่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 2 ครั้ง รัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย 2.4) ฐานเสียงและเครือข่ายทางการเมือง ฐานเสียงและเครือข่ายทางการเมืองของ นายขุนทอง ภูผิวเดือน จะประกอบด้วยหลาย ๆ กลุ่ม ที่สำคัญ ก็จะเป็นกลุ่มข้าราชการครูซึ่งเป็นฐานเสียงที่สำคัญที่ให้การ สนับสนุนทางการเมือง 147

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธ์ุ 2.5) รูปแบบ/กลวิธีการหาเสียง กลวิธีหาเสียงของนายขุนทอง ภูผิวเดือน จะมี การเดินเคาะประตูบ้านเพื่อขอคะแนนเสียงโดยจะมีการดำเนิน การจนครอบคลุมพื้นที่ และก็ใช้วิธีการปราศรัยในที่ชุมชนบ้าง วัดบ้าง โดยจะมีการปราศรัยในเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายในการ ทำงานของตนเองและนโยบายของพรรคการเมือง การปราศรัย จะเป็นเวทีเล็ก ๆ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีการจัดทำรถแห่ประชาสัมพันธ์เป็นเครื่องมือ ในการหาเสียงอีกด้วย 2.6) ปัจจัยที่ทำให้ได้รับการเลือกตั้ง ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ได้รับการเลือกตั้งของ นายขุนทอง ภูผิวเดือน ประกอบด้วย การเป็นข้าราชการครูเก่า เคยดำรงตำแหน่งครูใหญ่ ทำให้มีลูกศิษย์ลูกหามากมายเป็นที่ รู้จักของคนทั่วไป เมื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร ทำให้ได้การสนับสนุนจากกลุ่มข้าราชการครูและกลุ่ม ลูกศิษย์ซึ่งถือได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ได้รับการเลือกตั้ง 2.7) ข้อมลู อื่น ๆ บุคลิกและภาพลักษณ์ของนายขุนทอง ภูผิวเดือน จะเป็นนักการเมืองที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน สุภาพ ทำให้เป็นที่ชื่นชมของประชาชนและการเป็นข้าราชการครูเก่า ทำให้เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป 148

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธุ์ 3) นายชงิ ชยั มงคลธรรม นายชิงชัย มงคลธรรม เป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรของจังหวัดกาฬสินธุ์ 4 สมัยคือ จากการเลือกตั้งในปี 2522, 2535, 2538 และ 2539 ในระยะแรกได้สังกัดธรรมสังคม ต่อมาย้ายมาสังกัดความหวังใหม่ และได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้า พรรคความหวังใหม่จนถึงปัจจุบัน 3.1) ข้อมูลการดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายชงิ ชยั มงคลธรรม ไดด้ ำรงตำแหนง่ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาฬสินธุ์จำนวน 4 สมัย ผู้ช่วย เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รองประธาน คณะกรรมาธิการสิ่งแวดล้อมสภาผู้แทนราษฎร กรรมาธิการ การท่องเที่ยวสภาผู้แทนราษฎร ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร รัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ศึกษาธิการ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ กองทุนฟื้นฟแู ละพัฒนาเกษตรกร กรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 3.2) ข้อมูลส่วนบุคคล นายชงิ ชยั มงคลธรรม เกดิ เมอ่ื วนั ท่ี 24 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2494 เป็นบุตรของ นายอั้ง กับนางจันทร มงคลธรรม จบการศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนภูแล่นช้างคเชนทร์ พิทยาการ จังหวัดกาฬสินธุ์ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา 149

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาฬสินธุ์ จากโรงเรียนผะดุงศิษย์พิทยา กรุงเทพมหานคร และโรงเรียน เอี่ยมบรรหารวิทยา กรุงเทพมหานคร จบการศึกษาระดับ ปกศ. สูง จากวิทยาลัยครูมหาสารคาม และระดับปริญญาตรี การศึกษาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม 3.3) การเข้าสู่การเมือง นายชิงชัย มงคลธรรม เริ่มเข้าสู่การเมือง โดยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ใน พ.ศ. 2522 ในนามพรรคธรรมสังคม ต่อมาได้ย้ายไปสังกัด พรรคความหวังใหม่ใน พ.ศ. 2538 ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งในสังกัดพรรคความหวังใหม่ และ ได้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการพรรคความหวังใหม่ รองหัวหน้า พรรคความหวังใหม่ ผู้บริหารพรรคความหวังใหม่ และใน พ.ศ. 2545 ก็ได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคความหวังใหม่ นายชิงชัย มงคลธรรมเป็นนักการเมืองถิ่น จังหวัดกาฬสินธุ์คนหนึ่งที่ถือได้ว่าประสบความสำเร็จทางด้าน การเมืองเพราะได้ดำรงตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ ทางการเมือง เช่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีประจำสำนัก นายกรัฐมนตรี และตำแหน่งสำคัญที่สุดคือ ตำแหน่งรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คนเดียวของจังหวัดกาฬสินธุ์ที่ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ แต่หลังจาก พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา นายชิงชัย มงคลธรรม และพรรคความหวังใหม่ก็ไม่ค่อย ประสบความสำเร็จทางการเมือง เนื่องจากกระแสความนิยม 150

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาฬสินธุ์ ของพรรคไทยรักไทยและความนิยมในตัว พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาฬสินธุ์ที่เดิม สังกัดพรรคความหวังใหม่ได้ย้ายไปสังกัดพรรคไทยรักไทย จนหมด ทำให้พรรคความหวังใหม่ขาดผู้สมัครสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรที่เป็นแม่เหล็ก 3.4) ฐานเสียงและเครือข่ายทางการเมือง ฐานเสียงและเครือข่ายทางการเมืองของ นายชิงชัย มงคลธรรม จะประกอบด้วยหลาย ๆ กลุ่ม ที่สำคัญ ก็จะเป็นกลุ่มข้าราชการครูซึ่งเป็นฐานเสียงที่สำคัญที่ให้การ สนับสนุนทางการเมือง นอกจากนี้นายชิงชัย มงคลธรรม ยังมี กลุ่มสตรีต่าง ๆ ที่ให้การสนับสนุนเป็นฐานเสียงอีกด้วย 3.5) รูปแบบ/กลวิธีการหาเสียง กลวิธีหาเสียงของนายชิงชัย มงคลธรรม จะมี การใช้วิธีการปราศรัยในที่ชุมชนบ้าง วัดบ้าง โดยจะมีการ ปราศรัยในเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายในการทำงานของตนเอง นโยบายของพรรคการเมือง คือ พรรคความหวังใหม่ การ ปราศรัยจะเป็นเวทีใหญ่สลับกับการปราศรัยเวทีเล็ก ๆ เนื่องจากต้องช่วยเหลือลูกพรรคความหวังใหม่ในการหาเสียง รับสมัครเลือกตั้ง การปราศรัยจะมีการดำเนินการจนครอบคลุม พื้นที่ นอกจากนี้ยังมีการใช้สื่อประชาสัมพันธ์ผ่านวิทยุกระจาย เสียงและขบวนรถแห่เป็นเครื่องมือในการหาเสียงอีกทางหนึ่ง 3.6) ปัจจัยที่ทำให้ได้รับการเลือกตั้ง ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ได้รับการเลือกตั้งของ 151

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาฬสินธุ์ นายชิงชัย มงคลธรรม ประกอบด้วย การเป็นนักการเมืองที่มี อุดมการณ์สูง สามารถเข้าถึงกลุ่มต่าง ๆ ได้อย่างทั่วถึง ประชาชนสามารถเข้าถึงตัวได้สะดวก 3.7) ข้อมลู อื่น ๆ บ ุ ค ล ิ ก แ ล ะ ภ า พ ล ั ก ษ ณ ์ ข อ ง น า ย ช ิ ง ช ั ย มงคลธรรม จะเป็นนักการเมืองที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน สุภาพทำให้เป็นที่ชื่นชมของประชาชน 4.2.2 สรุปภาพรวมการเมืองจังหวัดกาฬสินธุ์ในยุคแรก การเมืองในช่วงแรก โดยภาพรวมจะให้ความสำคัญกับ ตัวนักการเมืองมากกว่าพรรคการเมือง สำหรับตัวนักการเมือง ส่วนใหญ่ในจังหวัดกาฬสินธุ์นั้น ดูจากประวัติครอบครัวและ การทำงานก็เป็นเพียงบุคคลที่มีผู้รู้จักในระดับท้องถิ่น นักการเมืองจะเปลี่ยนขั้วไป พรรคการเมืองที่เข้ามามีบทบาท ทางการเมืองในจังหวัดกาฬสินธุ์ ในช่วงแรก ๆ ก็จะมี พรรคประชาธิปัตย์ พรรคกิจสังคม พรรคธรรมสังคม พรรค สามัคคีธรรมและพรรคความหวังใหม่ นักการเมืองถิ่นของ จังหวัดกาฬสินธุ์ในช่วงแรกส่วนใหญ่จะมาจากวงการราชการ คือ ข้าราชการครู บทบาทของกลุ่มธุรกิจ และกลุ่มอิทธิพลใน จังหวัดยังไม่มีมากนักทางการเมือง เพราะทุกกลุ่มจะอยู่ภายใต้ การดูแลของทหาร นักธุรกิจในยุคนั้นยังไม่คิดจะนำธุรกิจเข้าไป ในระบบการเมือง คิดแต่เพียงทำอย่างไรธุรกิจสามารถดำเนิน ไปได้ด้วยดี ซึ่งต้องพึ่งพิงสถาบันทหาร เพราะฉะนั้นแล้วสรุป ได้ว่า นักธุรกิจส่วนใหญ่ไม่นิยมเล่นการเมือง เพราะทหารเป็น ผู้กุมอำนาจทางการเมือง ดังนั้นนักธุรกิจจึงอิงผลประโยชน์กับ 152

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาฬสินธ์ุ ทหารในเรื่องของผลประโยชน์ทางธุรกิจเท่านั้น การต่อสู้ ทางการเมืองในจังหวัดกาฬสินธุ์ในสมัยนั้นไม่รุนแรง ถ้อยทีถ้อย อาศัย ส่วนใหญ่เป็นพวกเดียวกัน 4.3 การเมืองและนักการเมืองถ่ิน จังหวัดกาฬสินธ์ุยุคท่ีสอง (พ.ศ. 2540 - 2555) ในช่วงที่สองนี้ ถือได้ว่าเป็นยุคปัจจุบันของการเมืองไทย และถือได้ว่าเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของการเมือง ไทยที่มาตั้งแต่อดีต กล่าวคือ มีการให้ความสำคัญกับการมี ส่วนร่วมของประชาชน การตรวจสอบโดยปะชาชน องค์กร อิสระที่มาตรวจสอบนักการเมืองในด้านต่าง ๆ ตลอดจนสิทธิ เสรีภาพและหน้าที่ของประชาชน ที่มีเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ หลังจากมีการใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ประเทศก็มีการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 ในการเลือกตั้งครั้งแรกนี้ ถือว่า พลิกโฉมหน้าจากเดิมจากการที่มีการเลือกตั้งเฉพาะสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร ที่มาจากแต่ละเขต ในครั้งนี้ได้มีการเลือก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน และมาจากเขตเลือกตั้ง 400 คน สำหรับเขตเลือกตั้งแต่ละเขต จะมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 1 คนในการเลือกตั้งครั้งนี้ ได้เกิดกระแสพรรคไทยรักไทยฟีเวอร์ขึ้นมาทั้ง ๆ ที่เป็นพรรค ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ทำให้พันตำรวจโททักษิณ ชิณวัตร ได้เข้ามา 153

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธ์ุ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยมีพรรคร่วมรัฐบาล ได้แก่ พรรคความหวังใหม่ พรรคชาติพัฒนา พรรคเสรีธรรม ซึ่งท้าย ที่สุดพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 3 พรรค ก็ได้มีการยุบรวมพรรคเข้ากับ พรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่ทางการเมืองเช่นกัน แต่เป็นปรากฏการณ์ที่ผู้คนทั้งหลายยังกังขาว่าเป็นแนวทางของ ประชาธิปไตยหรือ ธนาธิปไตย จังหวัดกาฬสินธุ์ ก็เช่นกันกับ จังหวัดอื่น ๆ ที่มีผลกระทบจากกระแสของพรรคไทยรักไทย ทำให้สมาชิกที่สังกัดความหวังใหม่ บางส่วนได้ย้ายไปสังกัด พรรคการเมืองใหม่ตามกระแสความนิยมคือพรรคไทยรักไทย ของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 ผู้ที่ได้รับ เลือกตั้งมีดังต่อไปนี้ เขต 1 นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ สังกัดพรรค ไทยรักไทย เขต 2 นายสาวอรดี สุทธศรี สังกัดพรรคชาติไทย เขต 3 นายวิทยา ภูมิเหล่าแจ้ง สังกัดพรรคไทยรักไทย เขต 4 นายพีระเพชร ศิริกุล สังกัดพรรคความหวังใหม่ เขต 5 นางบุญรื่น ศรีธเรศ สังกัดพรรคไทยรักไทย และเขต 6 นายประเสริฐ บุญเรือง สังกัดพรรคความหวังใหม่ (สำนักงาน คณะกรรมการเลือกตั้ง, ม.ป.ป.) การเลือกตั้งครั้งนี้คงจะเป็นที่ ตัวพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ที่ทำให้พรรคไทยรักไทยเป็น พรรคที่มีนโยบายชัดเจน กว่าพรรคอื่น ๆ อาจจะกล่าวได้ว่า เหนืออย่างสิ้นเชิง นโยบายของพรรคไทยรักไทย ค่อนข้างจะ เป็นรูปธรรม เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เงินกองทุน หมู่บ้าน ธนาคารคนจน และโครงการอื่น ๆ อีกมากมายสิ่งที่ สำคัญอีกประการหนึ่งก็หลังจากการปฏิรูปการเมือง ประชาชน เข้าในการเมืองมากขึ้น มีการรณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจเรื่อง 154

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาฬสินธ์ุ การเลือกตั้ง การเลือกตัวแทน นอกจากนี้พรรคไทยรักไทยถือได้ ว่าเป็นพรรคที่มีความพร้อม ในด้านต่าง ๆ มากที่สุดในการ เลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นทุน เครื่องมือสื่อสาร บุคลากร การแบ่ง เขตเลือกตั้ง แบบคนเดียวเขตเดียว ก็เป็นตัวแปรที่สำคัญในการ เลือกตั้งเพราะประชาชนสามารถที่จะเลือกตัวแทนที่อยู่ในเขต เล็ก ๆ ของตน ที่มีความผูกพันใกล้ชิด นักรัฐศาสตร์หลายคนได้ กล่าวไว้ว่ายิ่งเขตเลือกตั้งเล็กลง เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ผลพวงของปัจจัยเหล่านี้ก็มีผลมาสู่การเลือกตั้ง การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 พรรคไทย รักไทย ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาทั้งหมด 6 เขต และในการ เลือกตั้งครั้งนี้ นางสาวอรดี สุทธศรี ได้ย้ายจากพรรคชาติไทย มาอยู่พรรค ไทยรักไทยและนายพีระเพชร ศิริกุล ได้ย้ายจาก พรรคความหวงั ใหมม่ าอยพู่ รรคไทยรกั ไทย และไดร้ บั การเลอื กตง้ั สำหรับสมาชิกสภาผู้แทนที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามีดังต่อไปนี้ เขตที่ 1 นางบุญรื่น ศรีธเรศ เขตที่ 2 นางสาวอรดี สุทธศรี เขตที่ 3 นายวิทยา ภูมิเหล่าแจ้ง เขตที่ 4 นายพีระเพชร ศิริกุล เขตที่ 5 นางสาวภัทรา วรามิตร และเขตที่ 6 นายประเสริฐ บุญเรือง (สำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง, ม.ป.ป.) การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 มีการ ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 ได้มีการแบ่งเขตการเลือกตั้งใหม่ โดยแบ่งออกเป็น 2 เขต การเลือกตั้งในครั้งนี้ พรรคไทยรักไทย ก็สามารถกวาดที่นั่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาฬสินธุ์ได้ครบทุกที่นั่ง ดังนี้ เขตเลอื กตง้ั ท่ี 1 นางบญุ รน่ื ศรธี เรศ นายวรี ะวฒั น์ โอสถานเุ คราะห์ 155

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธ์ุ นายคมเดช ไชยศิวามงคล และเขตเลือกตั้งที่ 2 นายประเสริฐ บุญเรือง นายพีระเพชร ศิริกุล นายนิพนธ์ ศรีธเรศ (สำนักงาน คณะกรรมการเลือกตั้ง, ม.ป.ป.) การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ซึ่งเป็นการ เลือกตั้งครั้งล่าสุด พรรคไทยรักไทยสามารถกวาดที่นั่งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาฬสินธุ์ได้ครบทุกที่นั่ง ดังนี้ เขตเลือกตั้งที่ 1 นางบุญรื่น ศรีธเรศ นายวีระวัฒน์ โอสถานุ- เคราะห์ นายคมเดช ไชยศิวามงคล และเขตเลือกตั้งที่ 2 นายประเสรฐิ บญุ เรอื ง นายพรี ะเพชร ศริ กิ ลุ นายนพิ นธ์ ศรธี เรศ (สำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง, ม.ป.ป.) 4.3.1 ภูมิหลังเครือข่ายทางการเมืองและกลวิธีการหาเสียง ของนักการเมืองยุคที่สอง 1) นายประเสริฐ บุญเรือง นายประเสรฐิ บญุ เรอื ง เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ของจังหวัดกาฬสินธุ์ติดต่อกัน 4 สมัยคือ จากการเลือกตั้ง ในปี 2544, 2548, 2550 และ 2554 ในระยะแรกได้สังกัดพรรค ความหวังใหม่ ต่อมาได้ย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชาชน ต่อมา เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญได้มี คำสั่งยุบพรรคพลังประชาชน จังได้ไปสังกัดพรรคไทยรักไทย เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2551 1.1) ข้อมลู การดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายประเสริฐ บุญเรืองได้ดำรงตำแหน่ง กรรมาธิการวิสามัญงบประมาณสภาผู้แทนราษฎร โฆษก 156

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาฬสินธุ์ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 กรรมาธิการสามัญ กรรมาธิการพลังงานสภาผู้แทนราษฎร กรรมาธิการสามัญ กรรมาธิการปกครองสภาผู้แทนราษฎร โฆษกคณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาศึกษาปรับปรุงโครงสร้างองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น รองประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและบรรเทา ผลกระทบจากภัยธรรมชาตแิ ละสาธารณะภยั สภาผแู้ ทนราษฎร คนที่ 1 และที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ 1.2) ข้อมลู ส่วนบุคคล นายประเสริฐ บุญเรือง เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502 เป็นบุตรของนายคำพอ บุญเรือง และนางคำเบา บุญเรือง เป็นบุตรคนสุดท้องจากพี่น้องทั้งหมด 5 คน สมรสกับนางบุญหนา (ไชยคำมิ่ง) บุญเรือง มีบุตรร่วมกัน 3 คน ด้านการศึกษาจบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขา บริหารทรัพยากรมนุษย์ จากสถาบันราชภัฏมหาสารความ และ ปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิตนโยบายสาธารณะ จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม 1.3) การเข้าสู่การเมือง ทิศทางด้านการเมืองของนายประเสริฐ บุญเรือง เมื่อเรียนหนังสือจบการศึกษาระดับปริญญาตรีก็เข้า มาเป็นกรรมการสุขาภิบาล เมื่อ พ.ศ. 2524 เป็นกรรมการ สุขาภิบาลอยู่ได้ประมาณ 3 ปี 4 เดือน เลยเปลี่ยนสายงานจาก กรรมการสุขาภิบาลมาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้าน เปลี่ยนแนวจากผู้นำท้องถิ่นมาเป็นผู้นำท้องที่ เป็นผู้ใหญ่บ้าน 157

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาฬสินธ์ุ ประมาณ 6 ปีในอำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ก็มาเป็นกำนัน ไดป้ ระมาณ 6 ปี จนถงึ พ.ศ. 2544 กม็ กี ารประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู ปี 2544 มีการแบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็นเขตเล็ก ๆ เขตเลือกตั้งที่ 6 มีอำเภอ กุสิมาลา อำเภอเขาวง อำเภอนาคู ลงสมัครรับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในนามของพรรค ความหวังใหม่ ซึ่งตอนนั้นมี พลเอกเชาวลิต ยงใจยุทธ เป็น หัวหน้าพรรค ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในนามของพรรคความหวังใหม่ 1.4) ฐานเสียงและเครือข่ายทางการเมือง ฐานเสียงและเครือข่ายทางการเมืองของ นายประเสริฐ ศรีเรืองจะเป็นกลุ่มของผู้นำท้องที่ คือ กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน เพราะนายประเสริฐ ศรีเรืองเคยเป็นกำนันและ ผู้ใหญ่บ้านในอำเภอเขาวงมาก่อน เวลาทำงานก็จะคลุกคลีกับ ชาวบ้านเกือบทุกงาน มีความผูกพันกับชาวบ้านมาตั้งแต่สมัย ยังเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ตอนที่เป็นกำนันก็ได้ทำงานในภาค ความขับเคลื่อนเป็นตัวแทนกลุ่มกำนัน ผู้ใหญ่บ้านจนได้รับ รางวัลเป็นกำนันยอดเยี่ยมภาคพิเศษในจังหวัดกาฬสินธุ์ ก็มีชื่อเสียงที่ดีในทางด้านนี้จนกระทั่งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรของจังหวัดกาฬสินธุ์ ดังนั้นฐานเสียงที่สำคัญและ เครือข่ายของผู้นำท้องที่ จึงเป็นฐานเสียงและเครือข่ายอันทรง พลัง 1.5) รปู แบบ/กลวิธีการหาเสียง กลวิธีหาเสียงของนายประเสริฐ บุญเรือง จะมี การใชว้ ธิ กี ารปราศรยั ในทช่ี มุ ชนบา้ ง วดั บา้ ง โดยจะมกี ารปราศรยั 158

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธ์ุ ในเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายของพรรคการเมือง นอกจากนั้นก็จะ เป็นการปราศรัยเกี่ยวกับแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกร การปราศรัยเกือบทุกครั้งจะเป็นเวทีเล็ก ๆ แต่จะปราศรัย จนครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 90% ขาดอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน ตอนที่ปราศรัยก็จะบอกว่าใครที่มีปัญหาเดือดร้อนก็ให้มาหา ตลอดเวลา แต่ยกเว้นเรื่องเดือดร้อนจากการตัดไม้ทำลายป่า และเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติดถ้าใครมาหาก็จะดำเนินการขั้น เด็ดขาด 1.6) ปัจจัยที่ทำให้ได้รับการเลือกตั้ง ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ได้รับการเลือกตั้งของ นายประเสริฐ บุญเรือง ประกอบด้วย การเป็นคนที่ตรงไป ตรงมา พูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ชาวบ้านเดือดร้อนมีปัญหา อะไรไม่ว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เรื่อง งานบุญวัฒนธรรมประเพณีฮีตสิบสองคลองสิบสี่ ก็จะเข้าไป ดูแลและทำตลอดมา นอกจากนี้กลุ่มเครือข่ายผู้นำท้องที่ ประกอบด้วยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกประการ หนึ่งเพราะเป็นฐานเสียงและเครือข่ายทางการเมืองที่เข้มแข็ง 1.7) ข้อมูลอื่น ๆ บุคลิกและภาพลักษณ์ของนายประเสริฐ ศรีเรือง จะเป็นคนที่ชาวบ้านเข้าถึงตัวได้ง่าย ไม่มีการหยิ่งหรือ ถือตัวทำให้เป็นที่ประทับใจของชาวบ้าน 159

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาฬสินธุ์ 2) นายคมเดช ไชยศิวามงคล (เงิน ไชยศิวามงคล) นายคมเดช ไชยศิวามงคล เป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรของจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 4 สมัย คือใน พ.ศ. 2538, 2539, 2550 และ 2554 เดิมใช้ชื่อ “เงิน ไชยศิวามงคล” ในการ ลงรับสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรค ความหวังใหม่ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “คมเดช ไชยศิวามงคล” และได้ย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทยจนถึงปัจจุบัน 2.1) ข้อมูลการดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายคมเดช ไชยศิวามงคล ได้ดำรงตำแหน่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 4 สมัย และเคยดำรงตำแหนง่ กรรมาธกิ ารงบประมาณ สภาผแู้ ทนราษฎร และรองประธานคณะกรรมการสื่อสารและคมนาคม สภา ผู้แทนราษฎร คนที่ 5 2.2) ข้อมูลส่วนบุคคล นายคมเดช ไชยศิวามงคล เกิดเมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2498 เป็นบุตรของนายเชี่ยวชัย และนางนิภา ไชยศิวามงคล เป็นบุตรคนที่ 3 จากพี่น้องทั้งหมด 8 คน จบการ ศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) จากโรงเรียนการช่าง กาฬสินธุ์ และระดับปริญญาตรี ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขา การจัดการทั่วไป จากมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม นายคมเดช ไชยศิวามงคล เริ่มเข้าสู่การเมือง ครั้งแรกโดยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาจังหวัด 160

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาฬสินธ์ุ กาฬสินธุ์ ใน พ.ศ. 2533 และได้รับการไว้วางใจจากประชาชน ในท้องถิ่น โดยได้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาจังหวัดกาฬสินธุ ์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2533-2537 หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับการ เล่นการเมืองระดับท้องถิ่น นายคมเดช ไชยศิวามงคล ก็ได้เริ่ม ลงเล่นการเมืองระดับชาติ โดยได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาฬสินธุ์ เขตเลือกตั้งที่ 2 ในนามของพรรคชาติไทย และใน พ.ศ. 2539 ก็ได้ย้ายไปสังกัด พรรคความหวังใหม่ จากนั้นได้มีการย้ายพรรคอีกครั้งหนึ่งตาม กระแสของการเมืองเข้าไปสังกัดพรรคไทยรักไทย เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2551 2.4) ฐานเสียงและเครือข่ายทางการเมือง นายคมเดช ไชยศิวามงคล มีฐานเสียงและ เครือข่ายทางการเมือง คือ กลุ่มนักการเมืองท้องถิ่น เพราะว่า ก่อนที่จะมาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนายคมเดช ไชยศิวา มงคล เคยเป็นนักการเมืองท้องถิ่นมาก่อนทำให้มีความสนิทชิด เชื้อกับนักการเมืองในท้องถิ่นในจังหวัดกาฬสินธุ์เป็นอย่างดี ซึ่งเครือข่ายนักการเมืองท้องถิ่นนี้จะกลายเป็นฐานเสียงและ หัวคะแนนสำคัญในการเลือกตั้ง 2.5) รปู แบบ/กลวิธีการหาเสียง รูปแบบและวิธีการหาเสียงของนายคมเดช ไชยศิวามงคล จะใช้วิธีการหาเสียงโดยการออกไปพบปะกับ ประชาชนพร้อมกับหัวคะแนนที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น และจะ มีการปราศรัยหาเสียงโดยการชูนโยบายของพรรคและหัวหน้า พรรค นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งหัวคะแนนที่เป็นนักการเมือง 161

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธ์ุ ท้องถิ่นให้มีการคุมโซนต่าง ๆ ของตนเองเพื่อให้ได้คะแนนเสียง ได้มากที่สุด ซึ่งถือได้ว่าเป็นกลวิธีสำคัญในการหาเสียง 2.6) ปัจจัยที่ทำให้ได้รับการเลือกตั้ง ปัจจัยที่ทำให้ได้รับการเลือกตั้งของนายคมเดช ไชยศิวามงคล คือ การที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นมาก่อนทำให้มี เครือข่ายฐานเสียงจากกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่น ปัจจัยที่สำคัญ อีกประการหนึ่งที่ทำให้ได้รับการเลือกตั้งคืออิทธิพลของ พรรคการเมืองที่สังกัด คือ พรรคไทยรักไทย ซึ่งถือเป็นพรรค การเมืองที่มีอิทธิพลอย่างมากในภาคเหนือและภาคอีสาน 2.7) ข้อมูลอื่นๆ ภาพลักษณ์ของนายคมเดช ไชยศิวามงคล ที่ปรากฏต่อสาธารณะ จะเป็นนักการเมืองที่มีอุดมการณ์ ทางการเมือง มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาท้องถิ่น 3) นายวิทยา ภมู ิเหล่าแจง้ นายวทิ ยา ภมู เิ หลา่ แจง้ เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ของจังหวัดกาฬสินธุ์ 5 สมัยคือ จากการเลือกตั้งใน 2529, 2538, 2539, 2544 และ 2548 ในระยะแรกได้สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ต่อมาได้ย้ายไปสังกัดความหวังใหม่ และพรรคเพื่อไทย ตามลำดับ 3.1) ข้อมูลการดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายวิทยา ภูมิเหล่าแจ้ง ได้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้ช่วย เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เลขานุการ 162

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาฬสินธุ์ รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย และประธานกรรมาธิการ ตรวจรายงานและเปิดเผยรายงานการประชุมลับ 3.2) ข้อมลู ส่วนบุคคล นายวทิ ยา ภมู เิ หลา่ แจง้ เกดิ เมอ่ื วนั ท่ี 13 มนี าคม พ.ศ. 2494 เปน็ บตุ รของนายสนุ่ และนางนวลจนั ทร์ ภมู เิ หลา่ แจง้ จบการศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนผดุงราษฎร์วิทยา จังหวัดกาฬสินธุ์ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียน ศรีวิกรม กรุงเทพมหานคร ระดับปริญญาตรี B.A. U-OF. MANILA, MANILA ปริญญาโท M.A. LONG ISLAND U. NEWYORK U.S.A. และปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ 3.3) การเข้าสู่การเมือง ทศิ ทางดา้ นการเมอื งของนายวทิ ยา ภมู เิ หลา่ แจง้ เริ่มเข้าสู่การเมืองโดยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร ใน พ.ศ. 2529 ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ต่อมา ใน พ.ศ. 2538 ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อีกครั้งในสังกัดพรรคความหวังใหม่ และใน พ.ศ. 2544 ก็ย้ายไป สงั กดั พรรคไทยรกั ไทย แตใ่ น พ.ศ. 2550 ไดย้ า้ ยพรรคอกี ครง้ั หนง่ึ โดยได้ย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อแผ่นดิน แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทน 3.4) ฐานเสียงและเครือข่ายทางการเมือง ฐานเสียงและเครือข่ายทางการเมืองของ นายวิทยา ภูมิเหล่าแจ้ง เป็นกลุ่มของพ่อค้าและนักธุรกิจ 163

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาฬสินธ์ุ เพราะนายวิทยา ภูมิเหล่าแจ้งเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการ หอการค้าจังหวัดกาฬสินธุ์ ทำให้มีเครือข่ายของนักธุรกิจและ พ่อค้าในท้องถิ่น เป็นเครือข่ายทางการเมือง และถือเป็นกลุ่ม สนับสนุนที่มีบทบาททางการเมือง 3.5) รูปแบบ/กลวิธีการหาเสียง กลวิธีหาเสียงของนายวิทยา ภูมิเหล่าแจ้ง จะมี การใช้วิธีการปราศรัยในที่ชุมชนบ้าง วัดบ้าง โดยจะมีการ ปราศรัยในเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายในการทำงานของตนเอง นโยบายของพรรคการเมือง การปราศรัยเกือบทุกครั้งจะเป็นเวที เล็ก ๆ แต่จะปราศรัยจนครอบคลุมพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีการใช้ ขบวนรถแห่เป็นเครื่องมือในการหาเสียงอีกทางหนึ่ง 3.6) ปัจจัยที่ทำให้ได้รับการเลือกตั้ง ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ได้รับการเลือกตั้งของ นายวิทยา ภูมิเหล่าแจ้ง ประกอบด้วย การเป็นนักการเมืองที่มี ความรู้สูง มีบทบาทในการทำงานด้านภาคธุรกิจต่าง ๆ 3.7) ข้อมูลอื่น ๆ บคุ ลกิ และภาพลกั ษณข์ องนายวทิ ยา ภมู เิ หลา่ แจง้ จะเป็นนักการเมืองที่มีความรู้ จบการศึกษาจากต่างประเทศ 4.3.2 สรุปภาพรวมการเมืองจังหวัดกาฬสินธุ์ในยุคที่สอง ในช่วงที่สองถือได้ว่าเป็นยุคปัจจุบันของการเมืองไทย และถือได้ว่าเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของการเมือง ไทยที่มาตั้งแต่อดีต กล่าวคือ มีการให้ความสำคัญกับการมี 164

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธุ์ ส่วนร่วมของประชาชน การตรวจสอบโดยปะชาชน องค์กร อิสระที่มาตรวจสอบนักการเมืองในด้านต่าง ๆ ตลอดจนสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ของประชาชน ที่มีเพิ่มขึ้นอีกมากมายใน รัฐธรรมนญู ฉบับนี้ ในช่วงการปฏิรูปการเมือง หรือการใช้รัฐธรรมนูญฉบับ ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าการต่อสู้ทางการเมืองในแต่ละจังหวัดจะมี ความสำคัญในการเลือกตั้งมาก แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลง ไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อระบบทุนใหญ่เข้ามามีอำนาจเหนือระบบ การเมือง และในขณะเดียวกันก็ใช้อำนาจทางการเมืองให้ระบบ ทุนมีขนาดใหญ่มากขึ้นจากปัจจัยนี้ระบบทุนท้องถิ่นจะต้อง จำยอมต่อระบบทุนใหญ่ มิฉะนั้นจะไม่สามารถอยู่ในสถานะ เดิมได้ การเข้าร่วมของผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นคงจะเป็นการเข้าร่วม และสมยอมเพราะมคี วามตอ้ งการรกั ษาสถานภาพเดมิ ของตนไว้ และรู้ว่าตัวต่อสู้คือ ระบบทุนใหญ่แล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร การเมืองในจังหวัดกาฬสินธุ์เป็นตัวอย่างที่ดีในข้อสังเกตนี้ จากการที่พรรคความหวังใหม่ต้องหายไปจากการเมืองในระดับ ชาติของจังหวัดกาฬสินธุ์ตั้งแต่การเลือกตั้งสามครั้งหลังสุด พรรคไทยรักไทยสามารถกวาดที่นั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาได้ทั้งหมด 165

บ5ทท ี่ สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปผลการวิจัย 5.1.1 สรุปภาพรวมการเมืองในจังหวัดกาฬสินธุ์ การเมืองในจังหวัดกาฬสินธุ์มีพัฒนาการมาตั้งแต่ การเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศจากระบบสมบูรณา- ญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยใน พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ซึ่งก็ได้มีการเริ่มพร้อม ๆ กันทั่วประเทศ นักการเมือง ถิ่นของจังหวัดกาฬสินธุ์ในช่วงแรก (พ.ศ.2475-2540) จังหวัด ก า ฬ ส ิ น ธ ุ ์ แ ย ก ต ั ว อ อ ก ม า จ า ก จ ั ง ห ว ั ด ม ห า ส า ร ค า ม แ ล ะ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดกาฬสินธุ ์ เริ่มขึ้นครั้งแรกในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2491 จังหวัดกาฬสินธุ์ มสี มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร คอื นายกวา้ ง ทองทวี ไดถ้ งึ แกก่ รรม เมื่อ 26 พฤศจิกายน 2493 ต่อมานายเอ็จ บุญไชย ได้รับ เลือกตั้งแทนเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2494 ในช่วงแรกนี้ไม่ได้ สังกัดพรรคการเมืองใด ๆ อาศัยความโดดเด่นและความ

สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ สามารถของตัวผู้สมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นเกณฑ์ ในการวัดความนิยมจากประชาชน ต่อมาพรรคประชาธิปัตย์และพรรคกิจสังคม ได้เข้ามี บทบาททางการเมืองในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของจังหวัดกาฬสินธุ์ นักการเมืองที่มีความโดดเด่นคือ นายขุนทอง ภูผิวเดือน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 5 สมัยสังกัด พรรคประชาธิปัตย์ และนายสังข์ทอง ศรีธเรศ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 7 สมัยสังกัดพรรคกิจสังคม การต่อสู้ทางการเมือง ในช่วงนี้จะเป็นการต่อสู้กันในลักษณะเดิม ๆ คือ การใช้ความ กว้างขวางเฉพาะตัวและเครือญาติเป็นเครื่องมือช่วยในการ เลือกตั้ง การรณรงค์หาเสียงทางการเมืองส่วนใหญ่จะใช้การ ปราศรัย บางครั้งมีการใช้หนังกลางแปลงเข้ามาเป็นเครื่องมือ ชูโรงที่ให้ประชาชนเข้ามาฟังการปราศรัย แต่หลังจากหมดยุค ของนายขุนทอง ภูผิวเดือน พรรคประชาธิปัตย์ ก็ถือได้ว่าเริ่ม หมดบทบาททางการเมืองในจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยผู้สมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคประชาธิปัตย์และได้รับ ครั้งสุดท้ายในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 คือ นายพิชัย มงคลวิรกุล และนายวิทยา ภูมิเหล่าแจ้ง สำหรับการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2535 การเมืองใน จังหวัดกาฬสินธุ์มีการเปลี่ยนแปลงกระแสความนิยมในพรรค ความหวังใหม่ของพลเอกเชาวลิต ยงใจยุทธ มีมากขึ้นมีการ ชูประเด็นในการหาเสียงนายกรัฐมนตรีต้องเป็นคนภาคอีสาน นายสังข์ทอง ศรีธเรศ ได้ย้ายสังกัดจากพรรคกิจสังคม ไปสังกัดพรรคความหวังใหม่ และในการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2539 167

นักการเมืองถิ่นจังหวัดกาฬสินธุ์ ถือว่าพรรคความหวังใหม่ประสบความสำเร็จสูงสุดผู้สมัคร สังกัดพรรคความหวังใหม่ในจังหวัดกาฬสินธุ์ได้รับการเลือกตั้ง เข้ามาแบบยกทีม พรรคความหวังใหม่ได้รับการเลือกตั้ง เข้ามามากที่สุด 125 ที่นั่ง ทำให้พลเอกเชาวลิต ยงใจยุทธ เป็น นายกรัฐมนตรี เมื่อเข้าสู่ช่วงปฏิรูปการเมืองและรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 ถือได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลง เนื้อหาของการเมืองไทยที่มีมาตั้งแต่อดีต กล่าวคือ มีการให้ ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชน การตรวจสอบ โดยประชาชน องค์กรอิสระที่มาตรวจสอบนักการเมืองในด้าน ต่าง ๆ ตลอดจนสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ของประชาชนที่มีเพิ่ม ขึ้นมากมายในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ หลังจากมีการใช้รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 ประเทศก็มีการ เลือกตั้งครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 ในการเลือกตั้ง ครั้งแรกนี้ ถือว่าพลิกโฉมหน้าจากเดิมจากการที่มีการเลือกตั้ง เฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มาจากแต่ละเขต ในครั้งนี้ ได้มีการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเลือกตั้งแบบบัญช ี รายชื่อ 100 คน และมาจากเขตเลือกตั้ง 400 คน สำหรับ เขตเลือกตั้งแต่ละเขต จะมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 1 คนใน การเลือกตั้งครั้งนี้ ได้เกิดกระแสพรรคไทยรักไทยฟีเวอร์ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่เป็นพรรคที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ทำให้พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยมีพรรคร่วม รัฐบาลได้แก่พรรคความหวังใหม่ พรรคชาติพัฒนา และพรรค เสรีธรรม ซึ่งท้ายที่สุดพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 3 พรรค ก็ได้มีการยุบ รวมพรรคเข้ากับพรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่ 168

สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ ทางการเมืองเช่นกัน แต่เป็นปรากฏการณ์ที่ผู้คนทั้งหลาย ยังกังขาว่าเป็นแนวทางของประชาธิปไตยหรือ ธนาธิปไตย จังหวัดกาฬสินธุ์ ก็เช่นกันกับจังหวัดอื่น ๆ ที่มีผลกระทบจาก กระแสของพรรคไทยรักไทย ทำให้สมาชิกที่สังกัดความหวังใหม่ บางส่วนได้ย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่ตามกระแสความ นิยมคือพรรคไทยรักไทยของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร การเลือกตั้งในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ถือได้ว่า พรรคไทยรักไทยได้ปักธงชัยลงใน จังหวัดกาฬสินธุ์เป็นที่ เรียบร้อยเพราะว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัด กาฬสินธุ์ที่เคยสังกัดพรรคอื่น เช่น นางสาวอรดี สุทธิศรี นายพีระเพชร ศิริกุล และนายประเสริฐ บุญเรือง ทนกระแส ของพรรคไทยรักไทยไม่ไหวทั้งหมดได้ย้ายไปสังกัดพรรค ไทยรักไทยจนหมดสิ้น สำหรับตระกูลของนักการเมืองที่เด่นชัด ที่สุดมีการสืบต่ออำนาจทางการเมืองในจังหวัดกาฬสินธุ์ คือ ตระกูล “ศรีธเรศ” โดยเริ่มมาตั้งแต่สมัยของนายสังข์ทอง ศรีธเรศ เมื่อหมดยุคของนายสังข์ทอง นางบุญรื่น ศรีธเรศ ก็สืบต่ออำนาจทางการเมืองและได้มีการสร้างเครือข่ายทาง การเมืองมีการดึงเอานายนิพนธ์ ศรีธเรศ เข้ามาเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดกาฬสินธุ์ได้อีกด้วย 169

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธ์ุ 170 ตารางที่ 64 การเลือกตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจังหวัดกาฬสนิ ธ ุ์ ครง้ั ท่ ี วัน/เดอื น/ปี ชื่อ – สกลุ เขต พรรคการเมอื ง หมายเหต ุ 1. 29 ม.ค. 2491 1. นายกว้าง ทองทวี ไม่ได้สังกัดพรรค ถึงแก่กรรม 2. 26 ก.พ. 2495 2. นายเอ็จ บุญไชย ได้รับเลือกตั้งแทน 3. 26 ก.พ. 2500 1. นายชาญยุทธ ไชยคำมิ่ง ไม่ได้สังกัดพรรค 2. นายสุปัน พลู พัฒน์ ไม่ได้สังกัดพรรค 4. 15 ธ.ค. 2500 1. นายชาญ ศิริกุล 2. นายฉลอง ประจัญบาน ไม่ได้สังกัดพรรค 5. 10 ก.พ. 2512 3. นายเหรียญ สืบพันธุ์ ประชาธิปัตย์ 1. นายชาญยุทธ ไชยคำมิ่ง 2. นายสุปัน พูลพัฒน์ ประชาธิปัตย์ 3. นายชาญ ศิริกุล ประชาธิปัตย์ 1. นายสุปัน พลู พัฒน์ ไม่ได้สังกัดพรรค 2. นายชาญยุทธ ไชยคำมิ่ง ไม่ได้สังกัดพรรค 3. นายสมพงษ์ อยู่หุ่น ไม่ได้สังกัดพรรค 4. นายขุนทอง ภผู ิวเดือน ไม่ได้สังกัดพรรค ไม่ได้สังกัดพรรค ไม่ได้สังกัดพรรค ประชาธิปัตย์

ครง้ั ที ่ วนั /เดอื น/ปี ชื่อ – สกุล เขต พรรคการเมอื ง หมายเหต ุ 6. 26 ม.ค. 2518 1. นายทองเส็ง ภวู ิชัย 1 ประชาธิปัตย์ 2. นายขุนทอง ภผู ิวเดือน 1 ประชาธิปัตย์ 3. นายพิชัย ยันตุบุศย์ 2 กิจสังคม 4. นายมานิต ไสยวิจิตร 2 เกษตรสังคม 7. 4 เม.ย. 2519 นายทองคำ บาดาล 1 ชาติไทย 2. นายไพโรจน์ ศาสตราวาหะ 1 ประชาธิปัตย์ 3. นายจรัญ ปัทมดิลก 1 ธรรมสังคม 4. นายประยูร โง่นคำ 2 ประชาธิปัตย์ นายขุนทอง ภูผิวเดือน 2 ประชาธิปัตย์ สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 171 1 กิจสังคม 8. 22 เม.ย. 2522 1. นายพิชญ์ แดนวงศ์ 1 ธรรมสังคม 2. นายชิงชัย มงคลธรรม 3. และนายพิชัย ยันตะบุศย์ 1 กิจสังคม 4. นายประยูร โง่นคำ 2 ประชาธิปัตย์ 5. นายขุนทอง ภผู ิวเดือน 2 ประชาธิปัตย์

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธ์ุ วัน/เดอื น/ปี 172 18 เม.ย. 2526 ครงั้ ท ่ี 27 ก.ค. 2529 ชอ่ื – สกุล เขต พรรคการเมอื ง หมายเหตุ 9. 24 ก.ค. 2531 1. นายสังข์ทอง ศรีธเรศ 1 กิจสังคม 10. 2. นางพวงเพชร ศรีทอง 1 ประชาธิปัตย์ 11. 3. นายวิวัฒนไชย ณ กาฬสินธุ์ 1 ชาติประชาธิปไตย 4. นายใหม่ ศิรินวกุล 2 กิจสังคม 5. นายขุนทอง ภูผิวเดือน 2 ประชาธิปัตย์ 1. นายสังข์ทอง ศรีธเรศ 1 กิจสังคม 2. นายพิชัย มงคลวิรกุล 1 ประชาธิปัตย์ 3. นายวิวัฒนไชย ณ กาฬสินธุ์ 1 กิจสังคม 4. นายใหม่ ศิรินวกุล 2 กิจสังคม 5. นายวิทยา ภมู ิเหล่าแจ้ง 2 ประชาธิปัตย์ 1. นายสังข์ทอง ศรีธเรศ 1 กิจสังคม 2. นายพิชัย มงคลวิรกุล 1 ประชาชน 3. นายวิวัฒนไชย ณ กาฬสินธุ์ 1 กิจสังคม 4. นายใหม่ ศิรินวกุล 2 กิจสังคม 5. นายอภิชาต หาลำเจียก 2 กิจสังคม 6. นายบวร ภูจริต 2 กิจสังคม

ครง้ั ท ี่ วัน/เดอื น/ป ี ชื่อ – สกลุ เขต พรรคการเมอื ง หมายเหตุ 12. 22 มี.ค. 2535 1. นายสังข์ทอง ศรีธเรศ 1 ความหวังใหม่ 2. นายพิชัย มงคลวิรกุล 1 สามัคคีธรรม 3. นายวิวัฒนไชย ณ กาฬสินธุ์ 1 กิจสังคม 4. นายใหม่ ศิรินวกุล 2 สามัคคีธรรม 5. นายอภิชาต หาลำเจียก 2 สามัคคีธรรม 6. นายบวร ภจู ริต 2 ความหวังใหม่ 13. 13 ก.ย. 2535 1. นายสังข์ทอง ศรีธเรศ 1 ความหวังใหม่ 2. นายชิงชัย มงคลธรรม 1 ความหวังใหม่ 3. นายวิวัฒนไชย ณ กาฬสินธุ์ 1 กิจสังคม 4. นายขุนทอง ภผู ิวเดือน 2 ความหวังใหม่ 5. นางสาวอรดี สุทธศรี 2 ชาติพัฒนา 6. นายบวร ภจู ริต 2 ความหวังใหม่ สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 173 14. 2 ก.ค. 2538 1. นายสังข์ทอง ศรีธเรศ 1 ความหวังใหม่ 2. นายชิงชัย มงคลธรรม 1 ความหวังใหม่ 3. นายพิชัย มงคลวิรกุล 1 ความหวังใหม่ 4. นางสาวอรดี สุทธศรี 2 ชาติพัฒนา 5. นายวิทยา ภมู ิเหล่าแจ้ง 2 ความหวังใหม่ 6. นายเงิน ไชยศิวามงคล 2 ชาติไทย

ครั้งท ี่ นักการเมืองถ่ินจังหวัดกาฬสินธ์ุ วัน/เดือน/ป ีชอื่ – สกลุ เขต พรรคการเมือง หมายเหต ุ 15. 174 17 พ.ย. 2539 1. นายสังข์ทอง ศรีธเรศ 16. 6 ม.ค. 2544 2. นายชิงชัย มงคลธรรม 1 ความหวังใหม่ 17. 6 ก.พ. 2548 3. นายพิชัย มงคลวิรกุล 1 ความหวังใหม่ 4. นายบวร ภจู ริต 1 ความหวังใหม่ 5. นายวิทยา ภูมิเหล่าแจ้ง 2 ความหวังใหม่ 6. นายเงิน ไชยศิวามงคล 2 ความหวังใหม่ 1. นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ 2 ความหวังใหม่ 2. นางสาวอรดี สุทธศรี 3. นายวิทยา ภูมิเหล่าแจ้ง 1 ไทยรักไทย 4. นายพีระเพชร ศิริกุล 2 ชาติไทย 5. นางบุญรื่น ศรีธเรศ 3 ไทยรักไทย 6. นายประเสริฐ บุญเรือง 4 ความหวังใหม่ 1. นายบุญรื่น ศรีธเรศ 5 ไทยรักไทย 2. นางสาวอรดี สุทธศรี 6 ความหวังใหม่ 3. นายวิทยา ภูมิเหล่าแจ้ง 4. นายพีระเพชร ศิริกุล 1 ไทยรักไทย 5. นางสาวภัทรา วรามิตร 2 ไทยรักไทย 6. นายประเสริฐ บุญเรือง 3 ไทยรักไทย 4 ไทยรักไทย 5 ไทยรักไทย 6 ไทยรักไทย

ครงั้ ที่ วัน/เดอื น/ปี ชื่อ – สกุล เขต พรรคการเมือง หมายเหต ุ 18. 23 ธ.ค. 2550 1. นางบุญรื่น ศรีธเรศ 1 เพื่อไทย 2. นายวีระวัฒน์ โอสถานุเคราะห์ 1 เพื่อไทย 3. นายคมเดช ไชยศิวามงคล 1 เพื่อไทย 4. นายประเสริฐ บุญเรือง 2 เพื่อไทย 5. นายพีระเพชร ศิริกุล 2 เพื่อไทย 6. นายนิพนธ์ ศรีธเรศ 2 เพื่อไทย 19. 3 ก.ค. 2554 1. นางบุญรื่น ศรีธเรศ 1 เพื่อไทย 2. นายวีระวัฒน์ โอสถานุเคราะห์ 2 เพื่อไทย 3. นายคมเดช ไชยศิวามงคล 3 เพื่อไทย 4. นายประเสริฐ บุญเรือง 4 เพื่อไทย สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 5. นายพีระเพชร ศิริกุล 5 เพื่อไทย 175 6. นายนิพนธ์ ศรีธเรศ 6 เพื่อไทย