Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 35นักการเมืองถิ่นมหาสารคาม

35นักการเมืองถิ่นมหาสารคาม

Description: เล่มที่35นักการเมืองถิ่นมหาสารคาม

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถ่ินจังหวัดมหาสารคาม โดย ฉลาด จันทรสมบัติ ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data ฉลาด จนั ทรสมบัต.ิ นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั มหาสารคาม- - กรงุ เทพฯ : สถาบนั พระปกเกลา้ , 2557. 180 หน้า. -- (นักการเมืองถิ่น). 1. นักการเมือง 2. นักการเมือง--มหาสารคาม. 3. ไทย--การเมืองและการปกครอง. l. ชื่อเรื่อง. 324.2092 ISBN : 978-974-449-769-7 รหัสสง่ิ พมิ พ์ของสถาบันพระปกเกล้า สวพ.57-XX-500.0 เลขมาตรฐานสากลประจำหนังสอื 978-974-449-769-7 ราคา - บาท พิมพค์ รั้งที่ 1 มิถุนายน 2557 จำนวนพมิ พ์ 500 เล่ม ลิขสิทธ ์ิ สถาบันพระปกเกล้า ทีป่ รึกษา ศาสตราจารย์(พิเศษ)นรนิติ เศรษฐบุตร รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา หงษ์ไกรเลิศ รองศาสตราจารย์พรชัย เทพปัญญา ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ผู้แต่ง รองศาสตราจารย์ ดร.ฉลาด จันทรสมบัติ ผ้พู มิ พผ์ ู้โฆษณา สถาบันพระปกเกล้า จดั พมิ พโ์ ดย สถาบันพระปกเกล้า ศนู ย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ อาคารรัฐศาสนภักดี ชั้น 5 (โซนทิศใต้) เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 02-141-9607 โทรสาร 02-143-8177 http://www.kpi.ac.th พิมพ์ที่ บริษัท เอ.พี. กราฟิค ดีไซน์และการพิมพ์ จำกัด 745 ถนนนครไชยศรี แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทรศัพท์ 02-243-9040-4 โทรสาร 02-243-3225

นักการเมืองถิ่น จังหวัดมหาสารคาม ฉลาด จันทรสมบัติ สถาบันพระปกเกล้า อภินันทนาการ

คำนำ รายงานโครงการสำรวจข้อมูลนักการเมืองถิ่นในพื้นที่ จังหวัดมหาสารคาม เป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจข้อมูลถิ่นใน พื้นที่จังหวัดต่างๆ ที่สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ได้จัดทุนสนับสนุนให้นักวิชาการสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ ดำเนินการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลทำการวิจัยในพื้นที่จังหวัด มหาสารคาม ในการศึกษาในครั้งนี้ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษา นักการเมืองถิ่นของจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งรายละเอียดใน รายงานได้กล่าวถึงประวัติส่วนตัว ครอบครอบครัว สมรรถนะ และภาวะความเป็นผู้นำ บทบาทหน้าที่การทำงานทางการเมือง ผลงานทั้งในรัฐสภาและนอกรัฐภา ตลอดจนความคิดเห็น และข้อเสนอแนะในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทย ในอนาคต

นักการเมืองถิ่นจังหวัดมหาสารคาม ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ อย่างยิ่งต่อผู้ที่สนใจต้องการศึกษาในเรื่องดังกล่าว และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปเป็นข้อมูลในการวางแผนพัฒนา และปฏิรูปการเมืองการปกครองของไทยให้มีความเป็น ประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น รองศาสตราจารย์ ดร.ฉลาด จันทรสมบัติ มิถุนายน 2557

บทคัดย่อ ผู้นำในการเปลี่ยนแปลงของประเทศที่มีการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยเกือบทั่วโลก ให้ความสำคัญกับการให้มี ตวั แทนของประชาชนเขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการเลอื กตง้ั ตวั แทนเขา้ มาบริหารราชการแผ่นดินในระบบรัฐสภา คือ สมาชิกวุฒิสภา สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร และอน่ื ๆ ตามทม่ี กี ารออกแบบในระบบ การปกครองของประเทศนั้น ในประเทศไทย โดยเฉพาะสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ก็มีความสำคัญประการหนึ่ง จึงได้มี โครงการสำรวจเพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่นจังหวัด มหาสารคาม โดยการสนับสนุนงบประมาณจากสถาบัน พระปกเกล้า การเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภาของประเทศไทย ตง้ั แตก่ ารเลอื กตง้ั ครง้ั แรกเมอ่ื ปี พ.ศ. 2476 จนกระทง้ั มกี ารเลอื ก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดมหาสารคาม พ.ศ. 2550 วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1) เพื่อรู้จักนักการเมืองที่เคยได้รับ เลือกตั้งในจังหวัดที่ทำการศึกษา 2) เพื่อทราบถึงเครือข่ายและ ความสัมพันธ์ของนักการเมืองที่ทำการศึกษา 3) เพื่อทราบถึง

นักการเมืองถ่ินจังหวัดมหาสารคาม บทบาทและความสมั พนั ธข์ องกลมุ่ ผลประโยชนแ์ ละกลมุ่ ทไ่ี มเ่ ปน็ ทางการ เชน่ ครอบครวั วงศาคณาญาติ ทม่ี สี ว่ นในการสนบั สนนุ ทางการเมอื งแกนกั การเมอื งในจงั หวดั 4) เพอ่ื ทราบสมรรถนะและ ความสามารถเบอ้ื งตน้ ของนกั การเมอื งในจงั หวดั 5) เพอ่ื ทราบถงึ วิธีการหาเสียงในการเลือกตั้งของนักการเมืองในจังหวัด กลุ่ม ประชากร ที่ใช้ในการศึกษามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ยังม ี ชีวิตอยู่ รวม 17 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้มา โดยการพิจารณาเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) รวม 11 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเป็นแบบสัมภาษณ์แบบไม่มี โครงสร้าง แบบสอบถาม และเอกสารหลักฐาน การวิเคราะห์ ข้อมูลใช้พรรณนาวิเคราะห์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช ้ คา่ ความถ่ี ผลการศกึ ษาปรากฏดงั น ้ี 1. ภูมิหลังของนักการเมืองถ่ินจังหวัดมหาสารคาม สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ (1) กลุ่มอดีตข้าราชการ เชน่ ครู อาจารย์ นกั วชิ าการ (2) กลมุ่ นกั ธรุ กจิ และผกู้ วา้ งขวางใน พน้ื ท่ี และ (3) กลมุ่ นกั กฎหมาย 2. เครือข่ายความสัมพันธ์ของนักการเมือง ถือเป็น ประเดน็ ทม่ี คี วามสำคญั มากในการดำเนนิ งานทางการเมอื ง โดย นกั การเมอื งจงั หวดั มหาสารคามสว่ นใหญไ่ ดอ้ าศยั ฐานอาชพี เดมิ ของตนเองเปน็ หลกั ในการสรา้ งความใกลช้ ดิ กบั ชาวบา้ น 3. ด้านพรรคการเมือง การเลือกตั้งในอดีต ประชาชน ส่วนใหญ่จะเน้นการมองที่ความสามารถของตัวบุคคลเป็นหลัก แต่ในระยะต่อมา ปัจจัยด้านพรรคการเมืองเข้ามามีบทบาท สำคัญในการสร้างความนิยมให้กับคนในพื้นที่เป็นอย่างมาก VII

นักการเมืองถ่ินจังหวัดมหาสารคาม โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา การเมืองในจังหวัด มหาสารคามเริ่มจะมีการผูกขาดจากพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้อง ผกู พนั กบั พ.ต.ท. ดร.ทกั ษณิ ชนิ วตั ร จนถงึ ปจั จบุ นั 4. สมรรถนะและความสามารถพ้ืนฐานของสมาชิก สภาผแู้ ทนราษฎรถอื เปน็ ปจั จยั สำคญั โดยคณุ ลกั ษณะสำคญั 3 อันดับแรก ได้แก ่ (1) มีความใฝ่รู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ (2) มีศีลธรรมจริยธรรม แสดงตนเป็นแบบอย่างที่ดีตามหลัก วัฒนธรรม ประเพณีและเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาและ วัฒนธรรมประเพณีอย่างสม่ำเสมอ และ (3) มีความเป็นกันเอง โอบออ้ มอารชี ว่ ยเหลอื ผอู้ น่ื 5. กลวิธีหาเสียงของนักการเมืองถิ่นจังหวัด มหาสารคามที่ประสบความสำเร็จ พบว่า ในอดีตใช้การ ปราศรัย พบปะประชาชน การพูดจูงใจ ตลอดจนการใช ้ หัวคะแนนที่เชื่อถือได้ตามหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ แต่ในปัจจุบัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องเน้นการเข้าถึงประชาชนในพื้นท ี่ มีความจริงใจกับประชาชนในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดย ยึดหลักประชาธิปไตยในการทำงาน รวมทั้งการสร้างทีมงาน ในพื้นที่ที่มีคุณภาพทำหน้าที่คอยประสานและคอยช่วยเหลือ ปัญหาของชาวบ้านในเบื้องต้นในพื้นที่ ซึ่งสามารถทำได้อย่าง รวดเรว็ และปฏบิ ตั ไิ ดจ้ รงิ VIII

Abstract Transformational leaders of democratic countries around the world recognize the importance of citizens participating in selecting their political representatives who undertake national administration, including parliamentarians such as senators and MPs, according to the design of their country’s system of government. In Thailand, members of the House of Representatives are especially important. Therefore, the survey project for collecting data about politicians of Maha Sarakam Province was performed with financial support from King Prajadhipok’s Institute. Thailand’s first election for members of parliament was in 1933, and this study covers the period from then through the 2007 general election. The objectives of this study were: 1) to know the politicians who have been elected in Maha Sarakam; 2) to know the

นักการเมืองถิ่นจังหวัดมหาสารคาม network relationships of those politicians; 3) to know the role and relationships of benefit groups and informal groups such as family and relatives regarding political support in the province; 4) to know preliminary capability and competency of politicians in the province; and 5) to know the canvassing techniques used by politicians in the province. Of the population of elected members of parliament from the province, 17 were still alive. Information for this study was obtained by purposive sampling of 11 persons. The data collection instruments used in this study were unstructured interview, observation, and documentary study. Data were analyzed by descriptive analysis. The statistical tool used for data analysis was frequency. The research findings were as follow. 1. Politicians in Maha Sarakam Province could be categorized into three major backgrounds: (1) former state officials; (2) businessmen and locally well-known people; and (3) lawyers. 2. The politicians’ relationship networks were very important in political operations; most politicians in Maha Sarakam Province relied on their former occupations in order to build close relationships to people in their constituencies. 3. Political party has become one of the most important factors determining which politicians win elections.

นักการเมืองถิ่นจังหวัดมหาสารคาม In the past, most of Maha Sarakam people tended to focus their attention on the personal competency of the candidates. However, since the 2001 House election until the present, candidates who are members of political parties linked to ex- Prime Minister Thaksin Shinawatra have always won the election in Maha Sarakam Province. 4. Personal capability and competency has been a critical factor for Maha Sarakam politicians to maintain their political power. The top three characteristics of successful politicians include: (1) self-development by participating in training, following the national news, and having the ability to apply their knowledge and competency in solving community problems; (2) being a role model according to traditional and cultural principles as well as participating regularly in religious, traditional, and cultural activities; and (3) being friendly, generous, and supportive. 5. The successful campaign techniques utilized by Maha Sarakam politicians could be divided into two phases. In the past, politicians preferred motivating voters by means of campaign speeches, personal meetings with them, and using reliable canvassers in the village, sub-district, and district. At present, the members of parliament have to focus on the needs of the people in the province. They have to be honest with people in solving community problems working together XI

นักการเมืองถ่ินจังหวัดมหาสารคาม with them based on democratic principles. Moreover, they have to set up a local team in order to take care of community problems and work in cooperation with villagers. XII

สารบัญ หน้า คำนำผแู้ ต่ง IV บทคัดย่อ VI Abstract IX บทที่ 1 บทนำ 1 ความเป็นมาของการศึกษา 1 วัตถุประสงค์ 3 ขอบเขตของการศึกษา 3 วิธีดำเนินการศึกษา 4 ระยะเวลาในการศึกษา 4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 4 บทที่ 2 ข้อมลู บรบิ ทของจงั หวัด 7 ด้านกายภาพ 7 ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 10 ด้านโครงสร้างพื้นฐาน 12 ด้านสังคม 15 ด้านเศรษฐกิจ 20

นักการเมืองถ่ินจังหวัดมหาสารคาม หนา้ 24 26 ด้านการเมืองการปกครอง 28 แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับผู้นำ 29 แนวทางความคิดเกี่ยวกับระบบอุปถัมภ์ 30 ทฤษฎีโครงสร้างอำนาจ 31 ทฤษฎีจิตวิทยาทางการเมือง 41 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 42 บทที่ 3 ผลการศกึ ษา 47 นายกริช กงเพชร 53 นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ 58 นายสุชาติ โชคชัยวัฒนากร 63 นายสุชาติ ศรีสังข์ 69 นายประวัติ ทองสมบูรณ์ 76 นายทองหล่อ พลโคตร 83 ดร.สุทิน คลังแสง 90 นางมยุรา อุรเคนทร์ 96 นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง 101 นายสรรพภัญญู ศิริไปล์ 109 นางกุสุมาลวตี ศิริโกมุท 109 บทท่ี 4 สรุป อภิปรายผลและขอ้ เสนอแนะ 125 สรุปผลการวิจัย 128 ข้อเสนอแนะ 131 บรรณานุกรม 132 ภาคผนวก 137 ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู ภาคผนวก ข ภาพนักการเมืองถิ่นจังหวัดมหาสารคาม พ.ศ.2476-2550 XIV

นักการเมืองถ่ินจังหวัดมหาสารคาม หน้า ภาคผนวก ค ภาพประกอบในการเก็บข้อมูล 143 ภาคผนวก ง ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 150 จังหวัดมหาสารคาม ตั้งแต่ปี พ.ศ.2476-2550 ประวัตผิ ู้วิจัย 153 XV



บ1ทท ี่ บทนำ ความเป็นมาและสภาพปัญหา การเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 ได้สร้างระบบการเมืองแบบที่ประชาชนเลือก ผู้แทนของตนเข้าไปทำหน้าที่กำหนดนโยบายสาธารณะแทนตน ทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ที่ผ่านมาในระดับชาติ ประเทศไทยจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อมรวม 20 ครั้ง มีการเลือกตั้งสมาชิก วุฒิสภาทางอ้อม 1 ครั้งในปี พ.ศ.2489 และมีการเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภาโดยตรงครั้งแรกไปเมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ.2543 ในขณะที่ในระดับท้องถิ่นก็ได้จัดให้มีการเลือกตั้ง ตัวแทนเพื่อทำหน้าที่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในหลาย รูปแบบพัฒนาขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตาม คงมิอาจปฏิเสธได้ว่าการศึกษาการเมือง การปกครองไทยที่ผ่านมายังมุ่งเน้นไปที่การเมืองในระดับชาติ

นักการเมืองถ่ินจังหวัดมหาสารคาม เป็นส่วนใหญ่ สิ่งที่ขาดไปของภาคการเมืองที่ศึกษากันอยู่ก็คือ สิ่งที่เรียกว่า “การเมืองถิ่น” หรือ “การเมืองท้องถิ่น” ที่เป็น การศึกษาเรื่องราวของการเมืองที่เกิดขึ้นในอาณาบริเวณของ ท้องถิ่นที่เป็นจังหวัดต่างๆ ในประเทศไทยซึ่งเป็นปรากฏการณ ์ ที่เป็นภาพคู่ขนานไปกับการเมืองระดับชาติอีกระนาบหนึ่ง เพราะในขณะที่เวทีการเมือง ณ ศูนย์กลางของประเทศกำลัง เข้มข้นด้วยการชิงไหวชิงพริบของนักการเมืองในสภาและ พรรคการเมืองต่างๆ อีกด้านหนึ่งในพื้นที่จังหวัด บรรดาสมัคร พรรคพวกและผู้สนับสนุนทั้งหลายก็กำลังดำเนินกิจกรรมเพื่อ รักษาฐานเสียงในพื้นที่ด้วยเช่นกัน และทันที่ที่ภารกิจที่ส่วน กลางสิ้นสุดลง การลงพื้นที่พบปะประชาชนตามสถานที่และ งานบุญ งานประเพณีต่างๆ เป็นสิ่งที่นักการเมืองผู้หวังชัยชนะ ในการเลือกตั้งมิอาจขาดตกบกพร่องได้ ภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจังหวัดนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึง หลายสิ่งหลายอย่างของการเมืองไทยที่ดำเนินมาต่อเนื่อง ยาวนาน ในแง่มุมที่จะไม่สามารถพบได้เลยในการเมืองระดับ ชาติ “การเมืองถิ่น” และนักการเมืองถิ่น จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ทำการศึกษามิใช่น้อย เพื่อเติมเต็มองค์ความรู้ที่ยังขาดหายและ หากนำสิ่งที่ได้ค้นพบนี้มาพิจารณาอย่างลึกซึ้งก็น่าจะทำให้ สามารถเข้าใจการเมืองไทยได้ชัดเจนขึ้นในมุมมองที่แตกต่าง จากการมองแบบเดิมๆ

บทนำ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อรู้จักนักการเมืองที่เคยได้รับเลือกตั้งในจังหวัด ที่ทำการศึกษา 2. เพื่อทราบถึงเครือข่ายและความสัมพันธ์ของ นักการเมืองที่ทำการศึกษา 3. เพื่อทราบถึงบทบาทและความสัมพันธ์ของกลุ่ม ผลประโยชนแ์ ละกลมุ่ ทไ่ี มเ่ ปน็ ทางการ เชน่ ครอบครวั วงศาคณาญาติ ทม่ี สี ว่ นในการสนบั สนนุ ทางการเมอื ง และนักการเมืองในจังหวัด 4. เพื่อทราบบทบาทและความสัมพันธ์ของพรรค การเมืองกับนักการเมืองในจังหวัด 5. เพื่อทราบถึงวิธีการหาเสียงในการเลือกตั้งของ นักการเมืองในจังหวัด ขอบเข ตการศึกษา ศึกษาการเมืองของนักการเมืองระดับชาติตั้งแต่การ เลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกจนถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร พ.ศ. 2550 ในจังหวัดที่ทำการศึกษา โดยให้ความ สำคัญกับเครือข่ายและความสัมพันธ์ของนักการเมือง บทบาท ของกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการต่างๆ บทบาท และความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับนักการเมืองภายใน จังหวัดตลอดจนรูปแบบ วิธีการ และกลวิธีต่างที่นักการเมืองใช้ ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง

นักการเมืองถิ่นจังหวัดมหาสารคาม วิธีดำเนินการศึกษา อาศัยการวิจัยเชิงคุณภาพเป็นเครื่องมือสำคัญในการ ศึกษา ได้แก่ 1. การศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ 2. การสัมภาษณ์บุคคลที่สามารถให้ข้อมูลโยงใยไปถึง นักการเมืองคนต่างๆ ในพื้นที่ได้ ระยะเวลาทำการศึกษา ระยะเวลาทำการศึกษา มีนาคม 2552 – มีนาคม 2553 ประโย ชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. เข้าใจถึงกลไกทางการเมืองในจังหวัดที่ทำการศึกษา ตั้งแต่มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน 2. ได้ทราบว่าตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรกเป็นต้นมา มีนักการเมืองคนใดในจังหวัดที่ทำการศึกษาได้รับ เลือกตั้งบ้าง และชัยชนะของนักการเมืองเหล่านี้ มีสาเหตุและปัจจัยอะไรสนับสนุน 3. ได้ทราบถึงความสำคัญของกลุ่มผลประโยชน์และ กลมุ่ ทไ่ี มเ่ ปน็ ทางการ เชน่ ครอบครวั วงศาคณาญาติ ที่มีต่อการเมืองในท้องถิ่นที่ทำการศึกษา 4. ได้ทราบถึงความสำคัญของพรรคการเมืองในการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัด

บทนำ 5. ไดท้ ราบรปู แบบวธิ กี าร และกลวธิ ตี า่ งๆ ทน่ี กั การเมอื ง ใช้ในการเลือกตั้ง 6. ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับ “การเมืองถิ่น” และ “นักการเมืองถิ่น” สำหรับองค์ความรู้ในการศึกษา วิจัยเกี่ยวกับการเมืองการปกครองไทยต่อไป



บ2ทท ่ี ข้อมูลบริบท ของจังหวัด ด้านกายภาพ 1. ท่ีต้ังและขนาด จังหวัดมหาสารคามตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของภาค ตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ 15 องศา 25 ลิบดา และ 16 องศา 40 ลิบดาเหนือ เส้นแวงที่ 102 องศา 50 ลิบดา และ 103 องศา 30 ลิปดาตะวันออก มีพื้นที่ 5,228.843 ตาราง กิโลเมตร หรือ 3,268,026.87 ไร่ ห่างจากกรุงเทพฯ โดยทาง รถยนต์ 470 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ จังหวัดขอนแก่นและจังหวัดกาฬสินธุ์ ทิศใต้ ติดต่อกับ จังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์

นักการเมืองถิ่นจังหวัดมหาสารคาม ทิศตะวันออก ติดต่อกับ จังหวัดกาฬสินธุ์และจังหวัดร้อยเอ็ด ทิศตะวันตก ติดต่อกับ จังหวัดขอนแก่นและจังหวัดบุรีรัมย์ 2. ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปของจังหวัดมหาสารคาม เป็นพื้นที่ค่อนข้างราบเรียบ ถึงลูกคลื่นลอนลาด พื้นที่โดยทั่วไป มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 130 – 230 เมตร ด้าน ทิศตะวันตกและทิศเหนือเป็นที่สูงในเขตอำเภอโกสุมพิสัย อำเภอเชียงยืน และอำเภอกันทรวิชัย ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ ครง่ึ หนึ่งของพื้นที่จงั หวัด และคอ่ ยๆ ลาดเทมาทางทิศตะวันออก และทิศใต้มีลำน้ำสำคัญหลายสายไหลผ่าน สภาพพื้นที่ สามารถแบ่งออกได้ 3 ลักษณะ คือ 1.1 พื้นที่ราบเรียบถึงค่อนข้างราบเรียบ ส่วนใหญ่เป็น ที่ราบลุ่มริมน้ำ เช่น ที่ราบลุ่มริมแม่น้ำชี ในบริเวณอำเภอเมือง มหาสารคาม อำเภอโกสุมพิสัย และทางตอนใต้ของจังหวัดแถบ ชายทุ่งกุลาร้องไห้ 1.2 พื้นที่ค่อนข้างราบเรียบสลับกับลูกคลื่นลอนลาด พบทางบริเวณตอนเหนือของอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย เป็นแนว ยาวไปทางตะวันออกถึงอำเภอเมืองมหาสารคาม 1.3 พื้นที่ลูกคลื่นลอนลาด สลับกับพื้นที่ลูกคลื่นลอนชัน พบทางตอนเหนือ และตะวันตกของจังหวัด บริเวณนี้มีเนื้อที่ ประมาณครึ่งหนึ่งของเนื้อที่ของจังหวัด

ข้อมูลบริบทพื้นท่ีศึกษาจังหวัดมหาสารคาม 3. ลักษณะภูมิอากาศ เป็นลักษณะภูมิอากาศแบบมรสุมเมืองร้อน (Tropical Monsoon Climate) ในช่วงมรสุมฤดูร้อนจะได้รับลมมรสุม ตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดมาจากมหาสมุทรอินเดีย สภาพโดยทั่วไป จะมีลักษณะ ฝนตกสลับกับอากาศแห้งมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย ในปี 2549 ประมาณ 1,304.7 มม./ปี โดยมีจำนวนวันที่ฝนตก ตลอดทั้งปีจำนวน 109 วัน ปริมาณฝนสูงสุดเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2549 วัดได้ 81.7 มิลลิเมตร ในปี 2550 ตั้งแต่เดือน มกราคม – กรกฎาคม อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 34.80 องศา เซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยประมาณ 38.30 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2550 วัดได้ประมาณ 41.50 องศาเซลเซียส สำหรับฤดูต่างๆ มี 3 ฤดู คือ ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่ เดือนมีนาคมไปจนถึงเดือนมิถุนายน ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือน กรกฎาคมไปจนถึงเดือนตุลาคม และฤดูหนาวเริ่มตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน เป็นต้นไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 4. เขตการปกครอง จังหวัดมหาสารคามมีพื้นที่ประมาณ 5,228.843 ตาราง กิโลเมตร แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 13 อำเภอ 133 ตำบล (องค์การบริหารส่วนตำบล 131 แห่ง) 1,944 หมู่บ้าน โดยอำเภอ ที่มีพื้นที่มากที่สุด คือ โกสุมพิสัย รองลงมาคือ อำเภอบรบือ, อำเภอวาปีปทุม และอำเภอเมืองฯ ตามลำดับ มีพื้นที่เท่ากับ 827.876, 681.622, 605.744 และ 556.697 ตารางกิโลเมตร หรือ คิดเป็นร้อยละ 15.83, 13.03, 11.58 และ 10.64 ของพื้นที่ ทั้งหมดของจังหวัด มีเทศบาลทั้งหมด 11 แห่ง แบ่งเป็นเทศบาล

นักการเมืองถิ่นจังหวัดมหาสารคาม เมือง จำนวน 1 แห่ง คือ เทศบาลเมืองมหาสารคาม ที่เหลืออีก 10 แห่ง เป็นเทศบาลตำบล โดยอำเภอยางสีสุราช อำเภอกุดรัง และอำเภอชื่นชมไม่มีเทศบาลตั้งอยู่ รวมพื้นที่ในเขตเทศบาล ทั้งหมด 86,876 ตารางกิโลเมตร หรือร้อยละ 1.66 ของพื้นที่ จังหวัด ด้านทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม 1. ทรัพยากรธรรมชาติ 1.1 ปา่ ไม้ สภาพป่าไม้ของจังหวัด ส่วนใหญ่เป็นป่าเต็งรัง ซึ่งอยู่ ทางทิศใต้ของจังหวัด บริเวณกิ่งอำเภอกุดรัง อำเภอบรบือ อำเภอนาเชือก อำเภอนาดูนและอำเภอวาปีปทุม มีป่าสงวน แห่งชาติ 10 แห่ง มีวนอุทยาน 2 แห่ง คือ วนอุทยานโกสัมพี และวนอุทยานชีหลง มีสวนรุกชาติ2 แห่งคือ สวนรุกชาติ พุทธมณฑล และสวนรุกชาติท่าสองคอน เขตห้ามล่าสัตว์ป่า จำนวน 1 แห่ง คือ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าดูนลำพันจากข้อมูลของ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพบว่าในปี 2548 จังหวัดมีพื้นที่ป่าไม้จำนวน 139,164 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 4.20 ของพื้นที่จังหวัด 1.2 ทรัพยากรแร่ธาตุและพลังงาน จังหวัดมหาสารคามมีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญคือ แร่เกลือหิน มีมากใต้พื้นดินซึ่งเป็นชั้นหินแกรนิตในกลุ่ม หินตะกอนโคราช โดยเกลือที่พบมีความหนา 168.505 ฟุต 10

ข้อมูลบริบทพ้ืนท่ีศึกษาจังหวัดมหาสารคาม มีปริมาณบ่งชี้ของเกลือมากกว่า 700 ล้านตัน พบมากที่อำเภอ กันทรวิชัย อำเภอบรบือ และอำเภอวาปีปทุม ปัจจุบันจังหวัด มหาสารคามมีโรงงานอุตสาหกรรมผลิตเกลือสินเธาว์ จำนวน 16 โรงงาน กำลังการผลิตรวมประมาณ 240,000 ตันต่อปี 2. คุณภาพสิ่งแวดล้อม จากรายงานการศึกษาฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษา เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการและจัดลำดับความสำคัญการลงทุน เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจังหวัดมหาสารคาม ที่จัดทำโดย บริษัทแอ็กกี้คอนซัลท์ จำกัด ในปี 2539 สามารถสรุปคุณภาพ สิ่งแวดล้อมของจังหวัดมหาสารคามในด้านต่างๆ ได้ดังนี้ 2.1 น้ำเสยี แหล่งกำเนิดน้ำเสียในเขตเทศบาลมาจากหลายแหล่ง ด้วยกัน เช่น อาคารบ้านเรือนโรงเรียน โรงพยาบาล คลินิก เอกชน ร้านอาหาร/ภัตตาคาร โรงแรม สถานีบริการน้ำมัน ตลาดสด โรงฆ่าสัตว์ ฯลฯ จากการประมาณการอัตราการเกิด น้ำเสียต่อวันในเขตเทศบาลในปี2538 พบว่ามีประมาณ 19,560 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน หรือประมาณร้อยละ 42.6 ของน้ำเสีย ทั้งหมดมาจากเทศบาลเมืองมหาสารคามและร้อยละ 12.28 ของน้ำเสียมาจากเทศบาลตำบลพยัคฆภูมิพิสัย ส่วนเทศบาล ตำบลที่มีน้ำเสียเป็นอันดับรองลงไป ได้แก่ เทศบาลตำบล หัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย, เทศบาลตำบลบรบือ อำเภอบรบือ และเทศบาลตำบลหนองแสง อำเภอวาปีปทุม ตามลำดับ ถ้าสถานการณ์การเกิดน้ำเสียต่อวันยังอยู่ในอัตราเดิมกับของปี 2538 คาดว่าอีก 20 ปี ข้างหน้า หรือในปี2558 อัตราการเกิด 11

นักการเมืองถ่ินจังหวัดมหาสารคาม น้ำเสียจะเพิ่มสงู ขึ้นเป็น 24,012 ลกู บาศก์เมตรต่อวัน 2.2 ขยะมลู ฝอย อัตราการเกิดขยะมูลฝอยในปี 2538 มีประมาณ 86.06 ตันต่อวัน และจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 105.64 ตันต่อวันในปี 2558 ทั้งนี้อยู่ภายใต้ข้อสมมุติที่ว่าพฤติกรรมการผลิตขยะมูลฝอยของ คนไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อัตราการเกิดขยะมูลฝอยต่อวันมี ปริมาณสูงที่สุด คือ เทศบาลเมืองในปี2538 พบว่ามีจำนวน 36.66 ตันต่อวัน จากปริมาณขยะทั้งหมดของจังหวัด คือ 86.06 ตันต่อวัน หรือคิดเป็นร้อยละ 42.60 ของปริมาณขยะมูลฝอย ทั้งหมด สำหรับเทศบาลตำบลที่มีอัตราการเกิดขยะมูลฝอยต่อ วันค่อนข้างสูงตามปริมาณมากน้อยรองลงมาได้แก่ เทศบาล ตำบลพยัคฆภูมิพิสัย, หัวขวา, บรบือ และหนองแสง ตามลำดับ ขยะมูลฝอยที่เก็บได้ในแต่ละวัน จะขนไปยังพื้นที่ๆ กำหนดไว้ เป็นที่ทิ้ง ซึ่งอยู่ห่างจากเทศบาลประมาณ 0.5 ถึง 7 กิโลเมตร และวิธีกำจัดขยะที่นิยมปฏิบัติในปัจจุบันคือ กองบนพื้นที่จัด เตรียมไว้และเผาฝังกลบ อย่างถูกสุขลักษณะ เผาในเตาเผา และเผาในหลุม แต่ที่นิยมกันมากคือกองบนพื้นที่จัดเตรียมไว้ และเผา ด้านโครงสร้างพ้ืนฐาน 1. การไฟฟ้า ปี 2550 มีครัวเรือนที่มีไฟฟ้าใช้จำนวน 232,998 ครัวเรือน ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ จำนวน 2,192 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 0.94 ของจำนวนครัวเรือนที่มีไฟฟ้า เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2549 12

ข้อมูลบริบทพื้นท่ีศึกษาจังหวัดมหาสารคาม มีครัวเรือนที่มีไฟฟ้าใช้เพิ่มขึ้น จำนวน 2,911 ครัวเรือน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 1.25 ของจำนวนครัวเรือนทั้งหมดที่มีไฟฟ้าใช้ในปี 2549 2. การประปา จังหวัดมหาสารคามมีระบบประปาใช้จำนวน 11 อำเภอ สำหรับอำเภอที่ไม่มีระบบประปาใช้ได้แก่ อำเภอยางสีสุราช และอำเภอชื่นชม ปี 2550 จังหวัดมีน้ำประปาที่ผลิตได้ทั้ง จังหวัด จำนวน 8,595,752 ลูกบาศก์เมตร สามารถจ่ายน้ำเพื่อ สาธารณประโยชน์ จำนวน 14,090 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็น ร้อยละ 0.16 ของน้ำประปาที่ผลิตได้ สามารถผลิตน้ำเพื่อ จำหน่ายให้แก่ผู้ใช้ได้จำนวน 5,226,111 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็น ร้อยละ 60.71 ของน้ำประปาที่ผลิตได้ 3. การบริการโทรศัพท์ สถิติปี 2550 จังหวัดมีเลขหมายโทรศัพท์ที่เปิดให้บริการ ทั้งหมด 41,149 เลขหมาย อำเภอที่เปิดให้บริการเลขหมาย โทรศัพท์มากที่สุดคือ อำเภอเมืองมหาสารคาม รองลงมาคือ อำเภอโกสุมพิสัย และอำเภอเชียงยืน โดยมีเลขหมายให้บริการ เท่ากับ 14,980 4,722 และ 4,568 เลขหมาย ตามลำดับ สำหรับ อำเภอที่เปิดให้บริการเลขหมายน้อยที่สุดคือ อำเภอชื่นชม มีจำนวนเลขหมายโทรศัพท์เท่ากับ 236 เลขหมาย คิดเป็น ร้อยละ 0.57 ของจำนวนเลขหมายที่เปิดให้บริการทั้งหมด 4. การส่ือสารโทรคมนาคม 4.1 การบริการรับฝากไปรษณียภัณฑ์และโทรเลขจังหวัด มีที่ทำการไปรษณีย์ 12 แห่ง อำเภอละ 1 แห่ง ยกเว้นอำเภอ 13

นักการเมืองถิ่นจังหวัดมหาสารคาม กุดรัง จะใช้บริการของที่ทำการไปรษณีย์ของอำเภอบรบือและ อำเภอชื่นชมจะใช้บริการที่ทำการไปรษณีย์อำเภอเชียงยืน ส่วน ไปรษณีย์รับฝากมีแห่งเดียวคือไปรษณีย์รับฝากโนนศรีสวัสดิ์ อำเภอเมืองมหาสารคาม 4.2 สถานีวิทยุกระจายเสียง จังหวัดมหาสารคาม มี สถานีวิทยุกระจายเสียงหลัก จำนวน 5 สถานี ได้แก่ สถานีวิทยุ กรมการรักษาดินแดน (รด.) กองทัพอากาศ (ทอ.) สถานีวิทยุ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศ ไทย (สสวท.) และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) นอกจากนี้ยังมีสถานีวิทยุชุมชนอีกจำนวน 36 สถานี 5. แหล่งน้ำ 5.1 จำนวนแหล่งน้ำทั้งหมดเท่ากับ 16,419 แห่ง แยก ออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้ 1) อ่างเก็บน้ำ แยกเป็นขนาดกลาง 18 แห่ง ขนาด เล็ก 312 แห่ง 2) ฝายคอนกรีต จำนวน 70 แห่ง 3) ทำนบ จำนวน 1 แห่ง 4) สระ,หนอง,บึง จำนวน 9,953 แห่ง 5) คู, คลอง จำนวน 392 แห่ง 6) บ่อบาดาล จำนวน 5,673 แห่ง 5.2 แหล่งน้ำชลประทาน แหล่งน้ำชลประทานจังหวัด มหาสารคาม ประกอบด้วยอ่างเก็บน้ำขนาดกลางจำนวน 14

ข้อมูลบริบทพ้ืนท่ีศึกษาจังหวัดมหาสารคาม 18 อ่างมีพื้นที่ชลประทานรวมทั้งสิ้นประมาณ 73,262 ไร่ และ มีพื้นที่รับน้ำฝนทั้งปีรวมทั้งสิ้นปีประมาณ 33,029.54 ตร.กม. อ่างเก็บน้ำที่มีพื้นที่ชลประทานมากที่สุดคือ ฝ่ายวังยาง มีพื้นที่ ชลประทานเท่ากับ 21,230 ไร่ รองลงมาคืออ่างเก็บน้ำ ห้วยคือ มีพื้นที่ชลประทานเท่ากับ 18,500 ไร่ 5.3 สถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า ปี 2549 จังหวัดได้จัดตั้ง สถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า จำนวน 75 สถานี มีครัวเรือนที่ได้รับ ประโยชน์ 187 ครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่ 13,909 ไร่ อำเภอที่มี สถานีสูบน้ำมากที่สุดคืออำเภอเมือง รองลงมาคืออำเภอ โกสุมพิสัย และอำเภอกันทรวิชัย โดยมีสถานีสูบน้ำเท่ากับ 30 23 และ 22 สถานี ตามลำดับ ด้านสังคม 1. การศึกษา จังหวัดมหาสารคาม เป็นจังหวัดที่เป็นจังหวัดศูนย์กลาง การศึกษาของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ชื่อว่าเป็นเมือง “ตักสิลานคร” เนื่องจากเป็นที่รวมของสถาบันการศึกษาทุก ระดับชั้น โดยเฉพาะมีจำนวนนิสิตนักศึกษาของมหาวิทยาลัย มหาสารคามและมหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม รวมกันทั้ง สิ้นประมาณ 45,000 คน (สถิติปีการศึกษา 2549/2550) โดย สามารถจำแนกตามระบบการศึกษาและสังกัด ดังนี้ 1.1 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย 15

นักการเมืองถ่ินจังหวัดมหาสารคาม (1) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามหาสารคาม เขต 1 โรงเรียนสังกัด 312 โรงเรียน (2) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามหาสารคาม เขต 2 โรงเรียนสังกัด 333 โรงเรียน 1.2 ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดมหาสารคาม 1 แห่ง 1.3 ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดมหาสารคาม 1 แห่ง ระดับอำเภอ 12 แห่ง 1.4 สังกัดกองการศึกษาเทศบาลเมืองมหาสารคาม โรงเรียนในสังกัด 7 โรงเรียน 1.5 สังกัดการศึกษาเอกชนจังหวัดมหาสารคาม จำนวน 23 โรงเรียน 1.6 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ประกอบด้วย (1) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 16 คณะ (2) มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม 5 คณะ 1.7 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนวน 6 แห่ง (1) วิทยาลัยเทคนิคมหาสารคาม (2) วิทยาลัยอาชีวศึกษามหาสารคาม (3) วิททยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีจังหวัด มหาสารคาม (4) วิทยาลัยสารพัดช่างมหาสารคาม 16

ข้อมูลบริบทพ้ืนท่ีศึกษาจังหวัดมหาสารคาม (5) วิทยาลัยการอาชีพวาปีปทุม (6) วิทยาลัยการอาชีพพยัคฆภูมิพิสัย 1.8 สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตมหาสารคาม จำนวน 1 แห่ง 1.9 สถานศึกษาสังกัดกรมการศาสนา ประกอบด้วย (1) โรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญจำนวน 11 แห่ง (2) โรงเรียนศาสนาแผนกธรรม จำนวน 13 แห่ง (3) โรงเรียนศาสนาแผนก บาลี จำนวน 11 แห่ง (4) ศนู ย์พัฒนาเด็กเล็ก จำนวน 143 แห่ง 1.10 สถานศึกษาอื่นๆ ประกอบด้วย (1) สำนักบริหารการศึกษาส่วนท้องถิ่น 7 แห่ง (2) ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดกรมพัฒนาชุมชน จำนวน 110 แห่ง (3) วิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม (4) สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบล 11 แห่ง 2. วัฒนธรรม ประเพณี จังหวัดมีงานประเพณีที่สำคัญ ได้แก่ 2.1 งานนมัสการพระธาตุนาดูน อำเภอนาดูน เป็นงาน ประเพณีประจำปีซึ่งจัดขึ้นในช่วงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 ของทุกปี เพื่อเป็นการนมัสการองค์พระธาตุ ในงานมีขบวนแห่ประเพณี 12 เดือน การแสดงตำนานนครจำปาศรี 17

นักการเมืองถ่ินจังหวัดมหาสารคาม 2.2 งานบุญเบิกฟ้า จัดขึ้น ในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ของ ทุกปี ถือเป็นงานประเพณีประจำปีของชาวจังหวัดมหาสารคาม และเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด ซึ่งมีแนวความคิดที่ฟื้นฟ ู เกี่ยวกับการทำนา เพื่อให้คนทั้งหลายได้ตระหนักถึงความ สำคัญของชาวนาและการบำรุงดินอันเป็นหัวใจสำคัญของการ ผลิตข้าว กำหนดจัดงาน 10 วัน 10 คืน 2.3 งานประเพณีบุญบั้งไฟ จัดขึ้นในเดือน 6 ของทุกปี ที่อำเภอพยัคฆภูมิพิสัยจัดเป็นงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่ 2.4 งานออนซอนกลองยาว เป็นงานประเพณีของชาว อำเภอวาปีปทุม ซึ่งทุกหมู่บ้านมีคณะกลองยาว โดยมีการผลิต กลองยาวเสียงดี ไว้สำหรับประกวดกลองยาวชิงชนะเลิศระดับ ประเทศ ซึ่งจะจัดงานหลังวันมาฆบูชาประมาณ 1 เดือน หรือ ประมาณกลางเดือนมีนาคมของทุกปี 2.5 งานประเพณีแข่งเรือยาว ลอยกระทง ล่องเรือไฟ เป็นงานประเพณีชาวพุทธที่ได้ปฏิบัติสืบทอดกันมากระทั่ง ปัจจุบัน จะจัดขึ้นในวันออกพรรษา เพื่ออนุรักษ์ส่งเสริม ประเพณีอันดีงาม สถานที่จัดงานบริเวณบึงบอน ตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย 2.6 งานบุญพาข้าวลิง หรือบุญเลี้ยงอาหารลิง เป็นงาน ประจำปีของชาวอำเภอโกสุมพิสัย ยึดเอาวันที่2 เมษายนของ ทุกทุกปีเป็นวันจัดงาน เพื่อหารายได้สมทบเป็นกองทุนจัดซื้อ อาหารไว้เลี้ยงฝูงลิงตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นการแสดงออกในการ ทำบุญให้ทานแก่สัตว์ 18

ข้อมูลบริบทพื้นท่ีศึกษาจังหวัดมหาสารคาม 3. การสาธารณสุข 3.1 สถานบริการสาธารณสุข จังหวัดมหาสารคาม มีสถานบริการสาธารณสุข 2 ประเภท คือ (1) สถานบริการสาธารณสุขของรัฐ ประกอบด้วย โรงพยาบาลทั่วไป ขนาด 472 เตียง 1 แห่ง/ โรงพยาบาลชุมชน ขนาด 120 เตียง 1 แห่ง/ ขนาด 90 เตียง 1 แห่ง /ขนาด 60 เตียง 3 แห่ง/ ขนาด 30 เตียง 5 แห่ง/สถานีอนามัย 175 แห่ง ประกอบด้วยสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 1 แห่ง/สถานีอนามัยขนาดใหญ่25 แห่ง/ สถานีอนามัยทั่วไป 149 แห่ง (2) สถานบริการสาธารณสุขของเอกชน ประกอบ ด้วย โรงพยาบาล (ขนาด 50 เตียง) 1 แห่ง คลีนิคเวชกรรม 62 แหง่คลีนิคทันตกรรม 9 แห่ง สถานผดุงครรภ์ 37 แห่ง คลีนิคแลป 1 แห่ง ร้านขายยาแผนปัจจุบัน 447 แห่ง ร้านขายยา แผนปัจจุบันเฉพาะบรรจุเสร็จ 45 แห่ง ร้านขาย ยาแผนปัจจุบันบรรจุเสร็จสำหรับสัตว์ 12 แห่ง ร้านขายยาแผนโบราณ 12 แห่ง ร้านผลิตยา แผนโบราณ 3 แห่ง ร้านจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ ประเภท 3 หรือ 4 จำนวน 12 แห่ง 3.2 บุคลากรด้านสาธารณสุข ปี 2550 จังหวัด มหาสารคาม มีบุคลากรด้านสาธารณสุขภาครัฐในสังกัด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด จำนวน 913 คน ได้แก่ แพทย์ 19

นักการเมืองถิ่นจังหวัดมหาสารคาม จำนวน 94 คน ทันตแพทย์จำนวน 27 คน เภสัชกรจำนวน 70 คน พยาบาลวิชาชีพจำนวน 720 คน ด้านเศรษฐกิจ 1. ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด ปี 2549 จังหวัดมหาสารคามมีมูลค่าประมาณการ ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (Gross Provincial Product, GPP) ตามราคาประจำปี เท่ากับ 30,137 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2548 จำนวน 2,363 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.50 โดยมีมูลค่า ผลติ ภณั ฑเ์ ฉลย่ี ตอ่ คนตอ่ ปี เทา่ กบั 31,495 บาท เมอ่ื เปรยี บเทยี บ มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในปี 2548 จังหวัดจัดอยู่ในลำดับที่ 12 ของภาค และเป็นอันดับที่ 49 ของประเทศ 2. การเกษตรกรรม 2.1 จำนวนพื้นที่ประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินปี 2549 จังหวัด มีพื้นที่การใช้ประโยชน์ที่ดินรวม 2,293,417 ไร่ (ไม่รวม พื้นที่อื่นๆ) คิดเป็นร้อยละ 70.17 ของพื้นที่จังหวัด ที่นามีพื้นที่ มากที่สุดเท่ากับ 1,925,568 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 83.96 รองลงมา คือ ที่อยู่อาศัยจำนวน 187,104 ไร่และที่ดินรกร้างว่างเปล่า จำนวน 151,489 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 8.15 และ 6.60 ของพื้นที่ใช้ ประโยชน์ปี 2550 จังหวัด มีพื้นที่การใช้ประโยชน์ที่ดินรวม 2,185,590 ไร่ (ไม่รวมพื้นที่อื่นๆ) คิดเป็นร้อยละ 86.15 ของพื้นที่ จังหวัด ที่นามีพื้นที่มากที่สุดเท่ากับ 2,204,474 ไร่คิดเป็นร้อยละ 67.45 รองลงมาคือ ที่อยู่อาศัยจำนวน 195,194 ไร่คิดเป็นร้อยละ 5.97 20

ข้อมูลบริบทพ้ืนท่ีศึกษาจังหวัดมหาสารคาม 2.2 พืชเศรษฐกิจ พืชเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัด มหาสารคาม ได้แก่ข้าวนาปี ข้าวเจ้านาปรังข้าวเหนียวนาปรัง อ้อยโรงงาน และ มันสำปะหลัง (ฤดูเก็บเกี่ยวปี 2549/2550) - ข้าวนาปี พื้นที่เพาะปลูก 2,132,457 ไร่ ผลผลิต เฉลี่ย 416 ก.ก./ไร่ - ข้าวนาปรัง พื้นที่เพาะปลูก 134,366 ไร่ ผลผลิต เฉลี่ย 748 ก.ก./ไร่ - ออ้ ยโรงงาน พืน้ ทเ่ี พาะปลกู 131,096 ไร่ ผลผลติ เฉลี่ย 10,264 ก.ก./ไร่ - มนั สำปะหลงั พน้ื ทเ่ี พาะปลกู 73,390 ไร่ ผลผลติ เฉลี่ย 2,470 ก.ก./ไร่ - ยางพารา พื้นที่เพาะปลูก 1,747 ไร่ ผลผลิต เฉลี่ย 134 ก.ก./ไร่ 2.3 จำนวนครัวเรือนในภาคเกษตรกรรม ในปี 2550 จงั หวดั มคี รวั เรอื นภาคการเกษตรกรรม จำนวน 161,137 ครวั เรอื น คิดเป็นร้อยละ 26.73 ของจำนวนครัวเรือนภาคการเกษตรกรรม ทั้งหมด เมื่อเปรียบเทียบภาคการเกษตรกรรมปี 2549 เพิ่มขึ้น 8,102 ครัวเรือน หรือมีพื้นที่ร้อยละ 5.29 ของครัวเรือนภาค เกษตรกรรมปี 2549 อำเภอที่มีครัวเรือนภาคการเกษตรกรรม มากที่สุดคือ อำเภอโกสุมพิสัย รองลงมา คือ อำเภอบรบือ โดยมีสัดส่วนภาคการเกษตรกรรม เท่ากับ 22,955 และ 20,583 ครัวเรือน ตามลำดับ 21

นักการเมืองถิ่นจังหวัดมหาสารคาม 3. สถานประกอบการอุตสาหกรรม จังหวัดมหาสารคามมีสถานประกอบการอุตสาหกรรม จำนวน 18 ประเภท ประเภทสถานประกอบการอุตสาหกรรม มากที่สุดคืออโลหะ รองลงมาคือ ขนส่ง มีจำนวนเท่ากับ 55 และ 38 แห่ง ตามลำดับ มีจำนวนเงินทุนรวมทั้งสิ้น 5,649,409,074 บาท สถานประกอบการอุตสาหกรรมที่มีเงินทุน มากที่สุดคือ อาหาร รองลงมาคือ สิ่งทอโดยมีเงินทุนเท่ากับ 3,463,336,000 บาทและ 579,685,015 บาท ตามลำดับ 4. การพาณิชย์ ส ถ ิ ต ิ ข ้ อ มู ล ณ เ ด ื อ น ก ร ก ฎ า ค ม 2 5 5 0 จ ั ง ห ว ั ด มหาสารคามมีจำนวนบริษัท/ห้างหุ้นส่วนจำกัด และร้านค้า แบ่งประเภทได้ ดังนี้ 4.1 ประเภทนิติบุคคล - ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 5 ราย - ห้างหุ้นส่วนจำกัด 880 ราย - บริษัทจำกัด 195 ราย 4.2 ร้านค้าจดทะเบียนพาณิชย์ ในเขตอำเภอเมือง มหาสารคาม จำนวน 3,240 ราย 4.4 ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงิน จังหวัด มีจำนวนธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงิน ดังนี้ - ธนาคารพาณิชย์ จำนวน 14 สาขา - สถาบันการเงินเฉพาะกิจ จำนวน 16 สาขา ประกอบด้วย 1) ธนาคารเพื่อการเกษตรและ 22

ข้อมูลบริบทพื้นท่ีศึกษาจังหวัดมหาสารคาม สหกรณ์การเกษตร จำนวน 8 สาขา 2) ธนาคาร ออมสิน จำนวน 6 สาขา 3) ธนาคาร อาคารสงเคราะห์ (สาขาย่อย) จำนวน 1 สาขา และ 4) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมแห่งประเทศไทยสาขา มหาสารคาม 1 สาขา 5. แรงงาน สถิติปี 2549 (ณ เดือน พฤศจิกายน 2549) กำลังแรงงาน มีจำนวน 522,634 คน ในจำนวนนี้มีงานทำ 514,519 คน หรือ คิดเป็นร้อยละ 98.44 ของจำนวนแรงงานปัจจุบันเป็นผู้ว่างงาน จำนวน 8,115 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 1.55 ของจำนวนแรงงาน ปัจจุบัน เป็นแรงงานที่รอฤดูกาลจำนวน 49 คน ปี 2550 จังหวัด มหาสารคาม มีอัตราค่าจ้างรายวันๆ ละ 142 บาท แต่ไม่เกิน วันละ 146 บาท 6. การเงินการคลัง 6.1 เงินฝากและปริมาณสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ สถิติข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2550 จังหวัดมีปริมาณเงินฝาก เท่ากับ 18,386.58 ล้านบาท ขยายตัวอัตราร้อยละ 11.35 และ มีปริมาณสินเชื่อเท่ากับ 21,171.68 ล้านบาท ขยายตัวอัตรา ร้อยละ 7.36 6.2 ภาษีสรรพากร ผลการจัดเก็บภาษีสรรพากรจังหวัด มหาสารคาม ณ เดือนกรกฎาคม 2550 รวมทุกประเภทภาษี มีจำนวนทั้งสิ้น 40,809,499.46 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2549 จำนวน 5.77 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.50 โดยประเภทภาษี 23

นักการเมืองถ่ินจังหวัดมหาสารคาม ที่สามารถจัดเก็บได้มากที่สุด คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถจัดเก็บได้ จำนวน 16.79 ล้านบาท รองลงมาคือ ภาษี มูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้นิติบุคคล เท่ากับ 13.96 ล้านบาท และ 4.47 ล้านบาท ตามลำดับ ด้านการเมืองการปกครอง 1. ประชากร (มีนาคม 2551) มีประชากรทั้งหมด จำนวน 936,123 คน แบง่ เปน็ ชาย จำนวน 464,030 คน เปน็ หญงิ จำนวน 472,093 คน จำนวนครวั เรอื นทง้ั หมด 242,448 ครวั เรอื น 2. เขตการปกครอง จังหวัดแบ่งเขตการปกครองออก เป็น 13 อำเภอ 133 ตำบล 1 เทศบาลเมือง 10 เทศบาลตำบล หมู่บ้านจำนวน 1,944 หมู่บ้าน 3. โครงสร้างส่วนราชการ ประกอบด้วยส่วนราชการ ทั้งหมดจำนวน 68 หน่วยงาน ประกอบด้วย ส่วนราชการบริหาร ส่วนกลางจำนวน 41 หน่วยงาน ส่วนราชการบริหารส่วน ภูมิภาคสังกัดกระทรวง ทบวง กรม จำนวน 27 หน่วยงาน และ มีส่วนราชการอิสระจำนวน 4 หน่วยงาน องค์กรบริหารราชการ ส่วนท้องถิ่น 3 รูปแบบ คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด จำนวน 1 แห่ง เทศบาล จำนวน 11 แห่ง และองค์การบริหารส่วนตำบล จำนวน 131 แห่ง 4. การเมือง จังหวัดมหาสารคาม มีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรแบบแบ่งเขต จำนวน 6 คน และสัดส่วน จำนวน 1 คน มีสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 1 คน สมาชิกองค์การบริหารส่วน จังหวัด จำนวน 30 คน สมาชิกสภาเทศบาลเมือง จำนวน 24

ข้อมูลบริบทพ้ืนท่ีศึกษาจังหวัดมหาสารคาม 18 คน สมาชิกเทศบาลตำบล จำนวน 120 คน และสมาชิก องค์การบริหารส่วนตำบล จำนวน 3,722 คน 5. การแบ่งเขตเลือกตั้ง จังหวัดมหาสารคามแบ่งเขต การเลือกตั้งออกเป็น 2 เขต ประกอบด้วย 5.1 เขตเลือกตั้งที่ 1 ประกอบด้วย อำเภอเมือง อำเภอกนั ทรวชิ ยั อำเภอเชยี งยนื อำเภอชน่ื ชม อำเภอโกสมุ พสิ ยั และอำเภอกุดรัง 5.2 เขตเลือกตั้งที่ 2 ประกอบด้วย อำเภอแกดำ อำเภอวาปีปทุม อำเภอนาดูน อำเภอนาเชือก อำเภอ พยัคฆภมู ิพิสัย อำเภอยางสีสุราช และอำเภอบรบือ 25

นักการเมืองถ่ินจังหวัดมหาสารคาม แนวคิด ทฤษฎีเก่ียวกับผู้นำ 1. การศึกษาคุณลักษณะผู้นำ นักการศึกษาได้พยายามให้ทัศนะเกี่ยวกับคุณลักษณะ ผู้นำที่ดีไว้มากมาย ที่น่าสนใจ สำหรับนำมาประกอบการศึกษา ภาวะผู้ตามทฤษฎีคุณลักษณะผู้นำ ดังนี้ กิติพันธ์ รุจิรกุล (2529: 40-41) มีความเห็นว่า คุณลักษณะที่ผู้นำควรมีนั้น ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบที่สำคัญ 7 ประการ คือ 1) การมีสุขภาพร่างกายที่ดี คือ มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง อดทนพร้อมที่จะเผชิญกับงานที่มีร่างกายแข็งแรง อยู่เสมอจะมีลักษณะเด่นเน้นให้กลายเป็นผู้นำได้ง่าย 2) อารมณ์ ความมีอารมณ์ดี บังคับตนเองได้ และ สามารถบังคับผู้อื่นได้ด้วย 3) สติปัญญาและคุณภาพทางสมอง ผู้นำที่ดีควรมี ความสามารถในการที่จะศึกษาและเข้าใจประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้ผ่านพบมา มีความสามารถในการดใช้สมองเชาว์ไหวพริบ และสติปัญญา อันประกอบไปด้วยความสามารถในการพูด จูงใจให้คนอื่นคล้อยตาม มีเหตุผล มีความจำดี มีความรู้เรื่องที่ เกี่ยวกับงานเป็นอย่างดี มีความสามารถในการวินิจฉัยเพื่อ ตัดสินใจ มีความสามารถในการปรับตัวให้เหมาะสมกับ สถานการณ์ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 4) ภูมิหลังทางสังคมและประสบการณ์ คือ มีภูมิหลัง ทส่ี ะอาด ทรงเกยี รติ มปี ระสบการณก์ วา้ งขวางและลกึ ซง้ึ ในงาน 26

ข้อมูลบริบทพื้นท่ีศึกษาจังหวัดมหาสารคาม 5) บุคลิกภาพและความสนใจ คือ มีความเชื่อมั่นใน ตนเอง มีการสมาคมดี ใจกว้างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มีความเกรงใจ ซื่อสัตย์ กระตือรือร้น มีความกล้า ความร่าเริง มีแรงจูงใจ ใฝ่สัมฤทธิ์สูง มีอารมณ์ขันมีกริยาความประพฤติ ศีลธรรม จรรยา ความสุภาพ ความอ่อนโยน และไม่เห็นแก่ตัว 6) ลักษณะที่เกี่ยวข้องกับงาน ผู้นำที่ดีควรมีความ ปรารถนาที่จะทำดีที่สุด มีความปรารถนาที่จะรับผิดชอบงาน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค สนุกกับงานที่ทำ 7) ลักษณะทางสังคม คือ ต้องการร่วมมือกับคนอื่น เป็นผู้มีเกียรติ เป็นที่ยอมรับในหมู่สังคม เข้าสังคมได้ดี มีความ เฉลียวฉลาดในการเข้าร่วมสังคม นพพงษ์ บุญจิตราดุล (2525: 96) ได้กล่าวถึงคุณลักษณะ ของผู้นำว่าประกอบด้วย 6 ประการ คือ 1) ผู้นำจะต้องเป็นผู้มีความสามารถ (Capacity) ซึ่ง ประกอบด้วยความมีปัญญาไหวพริบ การตื่นตัวเสมอทันต่อ เหตุการณ์ การใช้เวลาและภาษาที่ถูก ความเป็นผู้ริเริ่มเป็นของ ตนเองและความเป็นผู้มีการตัดสินปัญหาที่ดี 2) ผู้นำจะต้องเป็นผู้มีความสำเร็จ (Achievement) ความสำเร็จทางด้านวิชาการแสวงหาความรู้ความสำเร็จ ทางการศึกษา 3) ผู้นำจะต้องเป็นผู้มีความรับผิดชอบ (Responsibility) เขาจะต้องเป็นคนที่คนอื่นพึ่งพาได้มีความคิดริเริ่ม มีความ สม่ำเสมอ มั่นคง อดทน กล้าพูด กล้าทำ มีความเชื่อมั่นตนเอง 27

นักการเมืองถ่ินจังหวัดมหาสารคาม และมีความปรารถนาที่จะเป็นเลิศหรือทะเยอทะยาน 4) ผู้นำจะต้องเป็นผู้เข้าไปมีส่วนร่วม (Participation) ในกิจกรรมด้านสังคม ให้ความร่วมมือ รู้จักปรับตัว และ มีอารมณ์ขัน 5) ผู้นำจะต้องมีฐานะทางสังคม (Status) มีตำแหน่ง ฐานะทางสังคมเป็นที่รู้จักทั่วไป 6) รู้สภาพการณ์ (Situation) รู้สภาวะทางจิตใจของ คนในระดับต่างๆ รู้ฐานะทักษะ ความต้องการและสนใจของ ผู้ใต้บังคับบัญชา รู้ในวัตถุประสงค์ขององค์การที่จะต้องทำให้ สำเร็จมีผู้กล่าวว่า ผู้นำที่ดีจะต้องเป็นผู้ตามที่ดีด้วย แนวค วามคิดเก่ียวกับระบบอุปถัมภ์ ชัยอนันต์ สมุทวาณิช (2525: 41-42) กล่าวถึงลักษณะ ของสังคมไทย มีการรวมกลุ่ม และเกิดกลุ่มซึ่งมีความหมาย เกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันเป็นบุคคล ในลักษณะความสัมพันธ์ เชิงอุปถัมภ์ (Patron-clients) ซึ่งอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัว ความไว้วางใจ และความใกล้ชิดสนิทสนมกันเป็นที่ตั้ง ความ สัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์นี้ มีลักษณะเดียวกันกับความสัมพันธ์แบบ นายกับไพร่ ซึ่งเป็นลักษณะความสัมพันธ์แบบศักดินาที่ยังคง อยู่ในสังคมไทย กนก วงษ์ตระหง่าน (2528: 336) ได้กล่าวถึงความ สัมพันธ์ส่วนตัวกับการเมืองไทยว่า การเมืองที่เกิดการรวมกลุ่ม นั้น เป็นการเกิดกลุ่มในลักษณะที่อิงอยู่กับบุคคลมากกว่า 28

ข้อมูลบริบทพ้ืนท่ีศึกษาจังหวัดมหาสารคาม หลักการหรือผลประโยชน์ร่วมกันนี้ มีเหตุมาจากการที่คนไทย มีวัฒนธรรมสังคมที่ยึดตัวบุคคล (Personalism) กล่าวคือ โครงสร้างของสังคมไทย เป็นการผูกโยงเข้าด้วยกันของความ เป็นส่วนตัว ความใกล้ชิดสนิทสนม ไว้วางใจ และช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน สนิท สมัครการ (2523: 18) กล่าวว่า ระบบอุปถัมภ์ หากพจิ ารณาในวงกวา้ งเปน็ เชงิ สงั คมมานษุ วทิ ยา นา่ จะหมายถงึ ลักษณะของความสัมพันธ์ทางสังคมประเภทหนึ่ง ซึ่งผู้ที่มีความ สัมพันธ์แต่ละฝ่าย มีบทบาทหน้าที่และความคาดหวังต่อกัน บางประการ ซึ่งเป็นที่รับรู้หรือยอมรับกันตามธรรมเนียม ประเพณีหรือวัฒนธรรมทางสังคม และแบ่งระบบอุปถัมภ์ ออกเป็น 4 แบบ คือ ระบบอุปถัมภ์ที่มีอยู่ในหมู่ญาติ ระบบ อุปถัมภ์ที่มีอยู่ในหมู่มิตรสหาย ระบบอุปถัมภ์ในองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ระบบอุปถัมภ์ระหว่างอาชีพ ทฤษฎีโครงสร้างอำนาจ พาเรโต (อ้างในพรศักดิ์ ผ่องแผ้ว. 2537: 491) กล่าวว่า “ทุกๆ คนจะถูกปกครองโดยชนชั้นนำ ซึ่งถูกเลือกสรรขึ้นมาจาก ประชาชน” มอสกา (อ้างในพรศักดิ์ ผ่องแผ้ว. 2537: 491-492) กล่าวว่า ในทุกสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมที่ด้อยพัฒนามากๆ หรือสังคมที่เรืองรองด้วยอารธรรมใหม่ๆ ไปจนถึงสังคมที่เจริญ ก้าวหน้า และทรงพลัง ต่างก็มีคนอยู่สองชนชั้น คือ ชนชั้น ผู้ปกครอง และชนชั้นผู้ถูกปกครอง ชนชั้นปกครองนั้นมีจำนวน 29

นักการเมืองถ่ินจังหวัดมหาสารคาม น้อย แต่เป็นผู้ปฎิบัติภาระหน้าที่ทางการเมืองผูกขาดอำนาจ และเสวยสุขจากประโยชน์ที่เกิดจากอำนาจเหล่านั้น ในขณะที่ อีกชนชั้นหนึ่งมีจำนวนมากถูกกระทำ และถูกควบคุมโดย ชนกลุ่มแรกซึ่งอยู่ในสภาพที่เป็นไปตามกฎหมายมากน้อย ต่างกัน มีระดับการใช้อำนาจตามอำเภอใจและมีความวุ่นวาย แตกต่างกัน ทฤษฎีจิตวิทยาทางการเมือง ณรงค์ สินสวัสดิ์ (2537: 20-23) ได้อ้างถึงปมด้อยของ ผู้นำทางการเมืองไว้ว่า ในสังคมมนุษย์ยังมีปัจจัยอื่นที่กระตุ้น ให้บางคนมีความต้องการที่จะมีอำนาจมากกว่าคนอื่นซึ่ง นักจิตวิทยาเรียกว่าปมด้อย ความต้องการอยากเด่นกว่าคนอื่น และต้องการไปถึงเป้าหมายในชีวิตของตนเอง เป้าหมายนี้ อาจจะเป็นเป้าหมายที่มีทางเป็นไปได้จริงหรือเป็นความเพ้อฝัน ก็ตาม มนุษย์มีพลังที่ติดตัวมาตามธรรมชาติที่จะผลักดันให้เขา ใช้ความพยายามที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย ความรู้สึกมีปมด้อย จะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสัดส่วนที่เขาสามารถสร้างความ สำเร็จตามเป้าหมายของเขา ถ้าสำเร็จมากปมด้อยจะน้อย สำเร็จน้อยปมด้อยก็จะมีมาก ส่วนความสำเร็จจะมีมากหรือ น้อยนั้น เป็นการตีความของแต่ละบุคคล การมีปมด้อยจะทำให้ คนที่มีปมด้อย พยายามลดปมด้อยนั้น ซึ่งอาจจะได้ด้วยความ พยายามที่จะให้ได้มา ซึ่งสิ่งที่ขาดไปนั้น หรือถ้าไม่ได้ก็จะ ชดเชยด้วยวิธีอื่น ลาสเวล (อ้างใน ณรงค์ สินสวัสดิ์ 2537:33-34) กล่าวว่า 30

ข้อมูลบริบทพื้นท่ีศึกษาจังหวัดมหาสารคาม บุคคลบางคนเมื่ออยู่ในวัยเด็กจะมีความรู้สึกว่าตนเองเป็นคนที่ ขาดศักดิ์ศรี ไม่มีความหมายต่อคนอื่น ไม่มีความสามารถเท่า คนอื่น ไม่ได้รับการยกย่องเท่าคนอื่นเท่าที่ควรจะได้รับ ลาสเวล เรียกความรู้สึกเช่นนี้ว่า การมีความภูมิใจในศักดิ์ศรีของตนเอง น้อย และตั้งสมมุติฐานว่าคนที่มีความภูมิใจในศักดิ์ศรีของ ตนเองน้อยนี้จะมีพลังจูงใจให้เข้าแสวงหาอำนาจเมื่อโตขึ้น เพื่อเป็นการชดเชย งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ภิญโญ ตันพิทยคุปต์ (2548 : 71-86) ได้ศึกษาวิจัย รายงานการวิจัยโครงการสำรวจเพื่อประมวลข้อมูลนักการเมือง ถิ่น พบว่า นักการเมืองถิ่นสงขลา หากจำแนกตามภูมิหลังแล้ว จะแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มนักกฎหมาย กลุ่มอดีตข้าราชการ กลุ่มนักธุรกิจ และกลุ่มผู้กว้างขวาง หากจำแนกโดยเครือข่ายา สายสัมพันธ์จะเป็นคู่บิดา-บุตร 2 คู่ คู่พี่น้องร่วมบิดามารดา 2 คู่ เป็นญาติสกุลเดียวกัน 1 คู่ และนับแต่การเลือกตั้งครั้งแรกในปี พ.ศ.2476 จนถงึ การเลือกตัง้ ครัง้ ล่าสดุ 6 ก.พ. 2548 นักการเมอื ง จาก 7 พรรคได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรของจังหวัดสงขลา แต่นับแต่นายชวน หลีกภัย ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ พรรคประชาธิปัตย์ก็ผู้ขาดการเมืองถิ่นสงขลา ผู้สมัครของพรรคชนะการเลือกตั้งในทุกเขตและทุกครั้งของการ เลือกตั้ง นักการเมืองคนสำคัญที่เป็นเสมือนผู้วางฐานรากแห่ง ความศรัทธาในพรรคประชาธิปัตย์ในจิตใจของชาวสงขลาคือ นายคล้าย ละอองมณี กลุ่มมณี กลุ่มผลประโยชน์ที่มีบทบาท ต่อการเมืองถิ่นสงขลามีทั้งกลุ่มที่เป็นทางการและกลุ่มที่ไม่เป็น 31

นักการเมืองถิ่นจังหวัดมหาสารคาม ทางการ กลุ่มที่สำคัญที่สุดคือพรรคประชาธิปัตย์ บุคคลที่มี บทบาทสูงยิ่งคือ นายชวน หลีกภัย และกลวิธีสำคัญในการ หาเสียงจะเป็นกลวิธีสำคัญในการรักษาฐานเสียงด้วย ได้แก่ การลงพื้นที่ พบปะประชาชน การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมใน ชุมชน การปราศรัย และการให้ความอุปถัมภ์ช่วยเหลือใน รูปแบบต่างๆ และในทัศนะของนักการเมืองถิ่นปัจจุบัน กลุ่ม สตรีแม่บ้านเป็นคะแนนเสียงสำคัญและเชื่อถือได้มาก ในการเมืองถิ่นสงขลา นงนุช พรชัยไชยวัฒน์ (2549 : 57-61) ได้ศึกษาวิจัย พฤติกรรมจริยธรรมนักการเมืองท้องถิ่นระดับผู้นำในจังหวัด ชลบุรี พบว่า 1. พฤติกรรมจริยธรรมนักการเมืองท้องถิ่นระดับผู้นำ ในจังหวัดชลบุรี จำแนกตามเพศและประสบการณ์ โดยรวมอยู่ ในระดับที่ค่อนข้างสูง คือยึดหลักการปฏิบัติตามเกณฑ์หรือ กฎหมายของสังคม 2. พฤติกรรมจริยธรรมนักการเมืองท้องถิ่นระดับผู้นำ ในจังหวัดชลบุรี จำแนกตามเพศและประสบการณ์ในตำแหน่ง มีพฤติกรรมจริยธรรมแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ครรชิต เหมะรักษ์ (2550: 63-67) ได้ศึกษาวิจัย คุณลักษณะของนักการเมืองท้องถิ่นที่พึงประสงค์ของประชาชน ในอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 36-45 ปี มีสถานภาพสมรสแล้ว มีการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3) และมัธยมศึกษา ตอนปลาย (ม.6) หรือ ปวช. ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป 32

ข้อมูลบริบทพื้นท่ีศึกษาจังหวัดมหาสารคาม มีรายได้ต่อเดือนระหว่าง 5,000-10,000 บาท และเป็นคนที่เกิด ในพื้นที่ ผลการศึกษาคุณลักษณะของนักการเมืองท้องถิ่น ที่พึงประสงค์ในทรรศนะของประชาชนในเขตอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา พบว่า ประชาชนต้องการนักการเมืองท้องถิ่น ที่มีลักษณะเป็นผู้ที่มีการศึกษาสูง ผู้ที่มีอัธยาศัยดี และเข้ากับ ประชาชนทุกระดับได้ง่าย รองลงมาคือ นักการเมืองท้องถิ่น ต้องเป็นผู้ที่มีการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการส่งเสริม อาชีพให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น มีการจัดทำแผนงบประมาณ ให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน และมีการจัดสรร เงินงบประมาณให้ท้องถิ่นที่พึงประสงค์ในภาพรวมไม่แตกต่าง กัน และผลการเปรียบเทียบคุณลักษณะของนักการเมือง ท้องถิ่นที่พึงประสงค์ พบว่า เพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับ การศึกษา อาชีพ รายได้ต่อเดือน และภูมิลำเนาที่แตกต่างกัน มีคุณลักษณะของนักการเมืองท้องถิ่นที่พึงประสงค์ในภาพรวม ไม่แตกต่างกัน กมลวรรณ ทองขันธ์ (2551: 53-59) ได้ศึกษางานวิจัย ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้นำชุมชนกับนักการเมืองท้องถิ่น ในกระบวนการพัฒนาท้องถิ่นของเทศบาลตำบลยางเนิ้ง อำเภอ สารภี จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า 1. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำ ชุมชนกับนักการเมือง ในกระบวนการพัฒนาท้องถิ่น ผู้นำชุมชนกับคณะผู้บริหาร ท้องถิ่น สมาชิกสภาเทศบาล ได้ร่วมกันพัฒนาท้องถิ่นของ ตนเอง อาทิเช่น ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการพัฒนา คุณภาพชีวิต กลุ่มผู้นำชุมชน สามารถประสานความต้องการ 33