นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี ว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย นายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช ใช้ชีวิตบนเส้นทางการเมือง ระดับท้องถิ่น สลับกับการเมืองระดับประเทศ ตลอดระยะเวลา 28 ปี (พ.ศ.2526 – พ.ศ.2554) ในวันที่ 25 สิงหาคม 2526 ได้รับ เลือกเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ปี พ.ศ. 2531 ได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็น ประธานสภาจังหวัด ต่อมาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ต่ออีก 2 สมัย (พ.ศ. 2533 และพ.ศ. 2538) ใน พ.ศ. 2542 นายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช ได้รับเลือก เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรี และลาออกใน พ.ศ. 2543 เพื่อสมัครแข่งขันเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 20 (6 มกราคม 2544) โดยสังกัดพรรคชาติไทยตามนายกมลผู้เป็นบิดา โดยเลือกลงแข่งขันในเขตการเลือกตั้งที่ 2 ประกอบด้วย อำเภอ เมือง (เฉพาะตำบลโคกตูม ตำบลนิคมสร้างตนเอง ตำบล เขาพระงาม ตำบลท่าศาลา ตำบลเขาสามยอด) และอำเภอ พัฒนานิคม เนื่องจากการเลือกตั้งครั้งนี้นายนิยม วรปัญญา ตระกลู คู่แข่งทางการเมืองและเจ้าของพื้นที่เดิมย้ายไปลงแข่งขัน ในเขต 5 เพื่อให้ลูกชาย นายพงษ์ศักดิ์ วรปัญญา ลงแข่งขัน ในเขตนี้แทน ทำให้นายกมล จิระพันธุ์วาณิช วิเคราะห์แล้ว เห็นว่าในเขตนี้มีแต่ผู้ลงสมัครหน้าใหม่ ต่างล้วนเป็นทายาท ทางการเมืองทั้งนั้น จึงเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันและ สนับสนุนให้ลูกชายลงแข่งขันในครั้งนี้ แต่พ่ายแพ้ในที่สุด เพราะสู้ตระกูลวรปัญญาเจ้าของพื้นที่เดิมไม่ได้ 86
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี หลังจากนั้นในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2543 นายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช ลงแข่งขันเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดอีกครั้งหนึ่ง และได้รับการเลือกตั้ง ในสมัย ต่อมาของการเมืองระดับท้องถิ่น นายสุบรรณ ได้รับเลือกตั้ง กลับมาเป็นนายกนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ต่อเนื่องอีก 2 สมัย (2547, 2551) ผลงานที่โดดเด่นของนายสุบรรณระหว่าง อยู่ในตำแหน่งนายกนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด คือการ สร้างความเข้มแข็งทางการเมืองระดับท้องถิ่น และสนับสนุน งานด้านกีฬา ด้วยการรับตำแหน่งประธานสโมสรลพบุรีเอฟซี โดยใช้เงินงบประมาณขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสนับสนุน การทำทีมด้วย การตัดสินใจสร้างความเข้มแข็งทางการเมืองระดับ ท้องถิ่นของตระกูลจิระพันธุ์วาณิชของนายสุบรรณ นั้นนอกจาก สนับสนุนนายกมลในการแข่งขัน และทำหน้าที่นักการเมือง ระดับชาติแล้วนายสุบรรณ ยังสนับสนุนบุคคลใกล้ชิดให้ลง แขง่ ขนั การเมอื งระดบั ชาติ คอื ครอบครวั สละชพี และนางสายชล มิตรานนท์ ครอบครัวสละชีพ คือครอบครัวที่มีความสนิทคุ้นเคยกับ ตระกูลจิระพันธุ์วาณิชซึ่งเกิดจากการช่วยเหลือพึ่งพาทาง การเมืองท้องถิ่นจังหวัดลพบุรีมานาน ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ตระกูลเริ่มจากพี่น้องครอบครัวสละชีพอยู่ในแวดวงการเมือง ระดับท้องถิ่น โดยมีพี่ชายนายสมศักดิ์ สละชีพ เป็นสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรี รองมาคือนายจำเริญ สละชีพ เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ที่เริ่มจากการได้รับเลือกตั้งเป็น 87
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี ผู้ใหญ่บ้านประมาณ 10 ปี และเป็นกำนันกว่า 7 ปี ที่ตำบล พรหมมาสตร์ อำเภอเมืองลพบุรี จนได้รับเลือกให้เป็นประธาน ชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน อำเภอเมืองลพบุรี นายจำเริญเคยเป็น หัวคะแนนใหญ่ให้ นายณัฐพล เกียรติวินัยสกุล ของพรรค ไทยรักไทย จนได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. จากการเลือกตั้ง ทั่วไปครั้งที่ 20 น้องชายคนรองคือ นายสมเดช สละชีพ เป็น สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรี และมีน้องชาย คนเล็กคือ นายรังสรรค์ สละชีพ เป็นรองนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดลพบุรี สมัยที่นายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช เป็น นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ทำให้นายจำเริญมีความสนิท สนมกับนายสุบรรณ ซึ่งเคยช่วยสองพ่อลูกตระกูลจิระพันธุ์ วาณิชหาเสียงโดยไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย แม้จะถูกกลั่นแกล้ง จากนักการเมืองระดับชาติ ต่อมาเมื่อมีการเตรียมความพร้อมก่อนเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 21 (วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548) นายจำเริญสนใจที่จะลง แข่งขันเลือกตั้งในสนามการเมืองระดับประเทศ เนื่องจาก เห็นว่า ส.ส.ในพื้นที่ที่เคยสนับสนุน ไม่สนใจแก้ปัญหาอย่าง จริงจัง เวลาชาวบ้านมีปัญหาเดือดร้อนต้องการให้ ส.ส.ในพื้นที่ ช่วย แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา เมื่อไปหาที่บ้านก็ถูกกีดกัน จึงได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากนายกมล และ นายสุบรรณ ด้วยการแนะนำให้สังกัดพรรคชาติไทย และพา เข้าพบนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคซึ่งได้รับการ ตอบรับอย่างดี ทางพรรคจึงสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพราะเห็นว่า นายจำเริญเป็นคนหนุ่มไฟแรง และพรรคชาติไทยจะได้ตัวแทน 88
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี ลงสมัคร ส.ส.ลพบุรีเขต 1 แข่งกับนายณัฐพล เกียรติวินัยสกุล พรรคไทยรักไทย และน.ส.ผ่องศรี ธาราภูมิ พรรคประชาธิปัตย์ นายจำเริญ สละชีพ เห็นว่านโยบายของพรรคชาติไทย สอดคล้องกับความคิดของตนเอง จึงมีความมั่นใจว่าจาก ประสบการณ์ที่ทำงานในพื้นที่มาตลอด ทำให้รู้จักปัญหาของ ประชาชนในพื้นที่จะสามารถนำสิ่งเหล่านี้มาพัฒนาพื้นที่ให้ดี ขึ้น เป็นสาเหตุหนึ่งที่จะครองใจคนในพื้นที่ได้ดีกว่าคู่ต่อสู้ แต่ก็ ล้มเหลวไม่ได้รับการเลือกตั้งเป็นส.ส.ในสมัยดังกล่าว จึงย้อนกลับไปสู่การเมืองระดับท้องถิ่น และได้รับเลือกเป็น นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองลพบุรี นอกจากนี้นายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช ยังมีส่วนในการ ผลักดันให้นายรังสรรค์ สละชีพ อดีตรองนายกองค์การบริหาร สว่ นจงั หวดั ลพบรุ ี ถงึ แมจ้ ะไมเ่ คยเลน่ การเมอื งระดบั ชาตมิ ากอ่ น แต่ด้วยประสบการณ์ทางการเมืองระดับท้องถิ่นนาน 8 ปี จึงได้แรงสนับสนุนอย่างเต็มที่จากนายจำเริญ สละชีพ นายก- เทศมนตรีเทศบาลเมืองลพบุรี และมีความคุ้นเคยกับ นายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช ในสมัยที่เป็นนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด ให้สมัครแข่งขันในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 23 (3 กรกฎาคม 2554) ในนามพรรคภมู ใิ จ เขต 1 ลพบรุ ี ประกอบดว้ ย อำเภอเมืองลพบุรี (เฉพาะเทศบาลเมืองลพบุรี เทศบาลเมือง เขาสามยอด เทศบาลตำบลเขาพระงาม เทศบาลตำบล ท่าศาลา เทศบาลตำบลโคกตูม เทศบาลตำบลถนนใหญ่ เทศบาลตำบลกกโก ตำบลป่าตาล ตำบลทะเลชุบศร และ ตำบลท่าแค) แต่ก็ล้มเหลวไม่ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. 89
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี ส่วนนางสายชล มิตรานนท์ ก็เป็นนักการเมืองท้องถิ่น อีกคนหนึ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลจิระพันธุ์วาณิช ก่อน เข้าสู่การเมืองเคยรับราชการครู และมีธุรกิจส่วนตัวในท้องถิ่น เนื่องจากเป็นชาวอำเภอชัยบาดาลโดยกำเนิด และเห็นว่า ยังขาดความเจริญอยู่มาก โดยเฉพาะปัญหาของเกษตรกร จึงมี ความต้องการช่วยเหลือชาวบ้านให้อยู่ดีกินดี บทบาททาง การเมืองของนางสายชลเริ่มจากการทุ่มเทให้กับงานท้องถิ่น และสังคมมาตลอด โดยทำงานอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) การเข้าสู่การเมืองครั้งแรกในสมัยการเลือกตั้งครั้งที่ 20 (6 มกราคม 2544) ในนามพรรคประชาธิปัตย์ เขตเลือกตั้งที่ 5 ประกอบด้วย อำเภอชัยบาดาล อำเภอลำสนธิ อำเภอโคกเจริญ ฐานเสียงของนางสายชล คือ กลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกลุ่มอาสาสมัครแม่บ้านในพื้นที่ซึ่งแกนหลักในการหาเสียง นอกจากนี้ยังใช้วิธีการหาเสียงแบบเคาะประตูบ้านกับทีมงาน ผู้หญิง ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยยึดนโยบายของ พรรคในการหาเสียง แต่เขตเลือกตั้งที่ 5 เป็นพื้นที่ของนายนิยม วรปัญญา อดีตส.ส.ลพบุรีหลายสมัย จึงทำให้นางสายชล มิตรานนท์ แพ้การเลือกตั้ง ต่อมาภายหลังนางสายชล ได้พยายามเข้าหาประชาชนที่เป็นฐานเสียงมากขึ้น โดยหวังว่า จะได้รับเลือกตั้งในสมัยต่อมา และตัดสินใจลงแข่งขันรับ เลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 5 ต่อมาอีก 3 สมัย แต่ก็ล้มเหลว ทุกครั้งถึงแม้จะได้แรงสนับสนุนจากตระกูลจิระพันธุ์วาณิชและ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลลำนารายณ์ในสมัยนั้น 90
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี ต่อมากภายหลังเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองกับตระกูล จิระพันธุ์วาณิช จากการตัดสินยุบพรรค ของศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 2 ธันวาคม 2551 ส่งผลให้พรรคชาติไทยถูกยุบ และ ตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค ขณะนั้นจำนวน 43 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีนายกมล จิระพันธุ์วาณิช รวมอยู่ด้วย ส่งผลให้เสาหลักทางการเมืองของตระกูลถูกโค่นลง ทำให้เกิด การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ทางการเมือง กล่าวคือ ภายหลัง จากที่นายกมล ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตระกูลจิระพันธุ์วาณิช จึงตัดสินใจเลือกทายาททางการเมืองรุ่นต่อไป โดยให้ นายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช ลูกชายคนโตขึ้นมาบริหาร ยุทธศาสตร์ทางการเมืองของตระกูล เนื่องจากคุมฐานเสียง ทางการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดลพบุรีโดยเฉพาะเขตอำเภอเมือง ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้มีการดึงนางสาวมัลลิกา จิระพันธ์วานิช น้องสาวของนายสุบรรณที่มีประสบการณ์ การเมืองระดับท้องถิ่น ให้เข้ามาสู่การเมืองระดับชาติ ส่วนนายกมลทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและผู้สนับสนุนเบื้องหลัง นางสาวมลั ลกิ า จริ ะพนั ธว์ านชิ เกดิ เมอ่ื วนั ท่ี 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 ภูมิลำเนาจังหวัดลพบุรี จบการศึกษาในระดับ ปริญญาตรี สาขาศึกษาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และระดับปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัย รามคำแหง ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว ในด้านประสบการณ์ ทางการเมืองระดับท้องถิ่นที่ผ่านมาเคยเป็นสมาชิกสภา เทศบาลเมืองลพบุรี สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ลพบุรี เนื่องจากอยู่ในแวดวงเครือญาติที่เป็นนักการเมือง โดยเฉพาะพ่อและพี่ชาย คือ นายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรี 91
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี เส้นทางในการเข้าสู่ทางการเมืองระดับชาตินั้น เกิดขึ้น จากการลงเลือกตั้งเพื่อเป็นตัวแทนของบิดา เนื่องจากบิดา ถูกตัดสิทธิทางการเมืองของพรรคชาติไทย โดยบิดาของ นางสาวมัลลิกา จิระพันธ์วานิช เป็นผู้ที่มีฐานเสียงจำนวนมาก ทำให้นางสาวมัลลิกา จิระพันธ์วานิช สามารถที่จะเข้าถึง ประชาชนได้อย่างสะดวก และสามารถเป็นที่รู้จักของชาวบ้าน ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งบทบาททางการเมืองของนางสาวมัลลิกา จิระพันธ์วานิช ลงสมัครและได้เป็น ส.ส. ครั้งแรกสังกัดพรรค ชาติไทย เขตเลือกตั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 และได้รับ การเลือกตั้งต่ออีกสมัยจากเขตเลือกตั้งที่ 2 ในนามพรรค ภมู ิใจไทย ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2555 ที่ประชุมคณะกรรมการ การเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเสนอเรื่องไปยังศาลฎีกาแผนกคดี เลือกตั้ง ให้สั่งเลือกตั้งใหม่ ส.ส.เขต 2 ลพบุรี แทนนางสาว มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช ส.ส.ลพบุรี เขต 2 พรรคภูมิใจไทย เนื่องจากพบว่าหัวคะแนนได้มีการจ่ายเงินให้กับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ลงคะแนนเสียงให้ พร้อมกับให้มีการดำเนินคดี อาญากับหัวคะแนนจำนวนหลายคน สำนักวินิจฉัยและคด ี จะยกร่างคำวินิจฉัยและคำร้องเพื่อยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดี เลือกตั้งต่อไป นายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช ในฐานะผู้กำหนด ยุทธศาสตร์ทางการเมืองของตระกูลจิระพันธุ์วาณิช พร้อมกับ การสร้างฐานเสียงในพื้นที่ และเป็นหัวคะแนนคนสำคัญของ จังหวัดลพบุรีให้กับพรรคภูมิใจไทยในภายหลังจากที่พรรค 92
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี ชาติไทยถูกยุบ เนื่องจากนายสุบรรณเป็นรุ่นน้องสวนกุหลาบ ที่สนิทกับนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำคนสำคัญของพรรค ภูมิใจไทย และเรียนรุ่นเดียวกับ พล.ต.ต.เพิ่มพูน ชิดชอบ น้องชายนายเนวิน ที่ชักชวนให้เข้าร่วมก่อตั้งพรรคภูมิใจไทย จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นายสุบรรณสนับสนุนผู้สมัคร ส.ส. ของจังหวัดลพบุรี สังกัดพรรคภูมิใจไทยในการเลือกตั้ง ครง้ั ลา่ สดุ (3 กรกฎาคม 2554) ไดแ้ ก่ เขตเลอื กตง้ั ท่ี 1 นายรงั สรรค์ สละชีพ เขตเลือกตั้งที่ 2 นางสาวมัลลิกา จิระพันธ์วานิช และ เขตเลือกตั้งที่ 4 นายเกียรติ เหลืองขจรวิทย์ อดีตสมาชิก องค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรี ด้วยกระแสการแข่งขันทางการเมืองที่เข้มข้น และรุนแรง มากขึ้นในช่วงใกล้วันเลือกตั้ง จึงเกิดเหตุการณ์คนร้ายลอบยิง นายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช ในวันที่ 16 มิถุนายน 2554 เป็นเหตุให้นายสุบรรณเสียชีวิต และเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ ของตระกูลใหญ่ทางการเมืองในจังหวัดลพบุรี ในขณะที ่ นางสาวมัลลิกา จิระพันธ์วานิช น้องสาวก็ถูกขู่จากบุคคลลึกลับ เช่นเดียวกัน เหตุการณ์ด้งกล่าวไม่ได้ทำให้ตระกูลใหญ่ทางการเมือง ในจังหวัดลพบุรีเลิกอาชีพนี้ แต่กลับเป็นแรงผลักดันให้คนรอบ ตัวของนายสุบรรณเข้าสู่การเมือง ดังเช่นการลงแข่งขันและ ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรีของ นางอรพิน จิระพันธ์วานิช ภรรยาของนายสุบรรณ และอดีต ส.อบจ.ลพบุรี นอกจากนี้ยังช่วยสร้างกระแสทางการเมืองของ พรรคภมู ใิ จไทยจนนอ้ งสาวไดร้ บั เลอื กตง้ั เปน็ ส.ส. ในปจั จบุ นั ดว้ ย 93
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี ดังนั้น ตระกูลจิระพันธุ์วาณิชเป็นตระกูลที่สร้างฐาน อำนาจทางการเมืองจากระดับท้องถิ่นสู่ระดับประเทศ โดยมี วัฒนธรรมทางการเมืองตั้งแต่รุ่นพ่อ คือ นายกมล ที่เป็นคนใน พน้ื ท่ี เนอ่ื งจากบคุ ลกิ สว่ นตวั ของนายกมล ทพ่ี ดู จาตรงไปตรงมา เข้ากับคนในชุมชนได้อย่างดีโดยไม่ถือตัว โดยที่นายกมลร่วมทำ กิจกรรมกับชาวบ้านในชุมชน และการทำงานสาธารณะอย่าง สม่ำเสมอ เช่น การร่วมกิจกรรมในวัดกับชาวบ้าน นอกจากนี้ ปัจจัยที่ทำให้นายกมล จิระพันธุ์วาณิช ได้รับเลือกตั้ง คือ การช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งให้กับชาวบ้านอย่างเสมอต้นเสมอปลาย และการทำงานเพื่อการพัฒนาชุมชน พัฒนาประชาชนอย่าง ทุ่มเท จึงเป็นการสร้างบารมีทางการเมืองให้กับตัวนายกมล และครอบครัวจิระพันธุ์วาณิช ฐานเสียงสำคัญของตระกูลจิระพันธุ์วาณิช และ เครือข่ายคือ ประชาชนที่อยู่ในเขตอำเภอเมืองลพบุรีที่มีใกล้ชิด กับประชาชน เนื่องจากอาชีพเก่าของนายกมล คือนักธุรกิจ เกี่ยวกับการตีเหล็ก และศูนย์การค้าในจังหวัดลพบุรี ผนวกกับ ประสบการณ์การเมืองระดับท้องถิ่นทำให้เป็นครอบครัว นักการเมืองอาชีพ ที่มีความเข้าใจและเข้าถึงความต้องการ และปัญหาต่าง ๆ ของประชาชนได้เป็นอย่างดี สามารถแก้ไข ปัญหาความต้องการของประชาชนได้ทันเวลาในทุกเรื่อง จึงทำให้ประชาชนในพื้นที่มีความไว้วางใจ และมั่นใจกับผลงาน ทางการเมืองของตระกูลนี้ ส่วนวิธีการการหาเสียงเลือกตั้งที่นิยมใช้ คือ การเดิน หาเสียงแบบเคาะประตูบ้านเพื่อเข้าถึงตัวประชาชนผู้มีสิทธิ 94
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี เลือกตั้งโดยตรง นอกจากนี้มีการตระเวนออกหาเสียงในรูปแบบ ทัวร์หมู่บ้านเพื่อขอคะแนนเสียงจากประชาชน ด้วยการ ชูนโยบายหลักของพรรคการเมืองที่สอดคล้องกับความต้องการ ของคนในพื้นที่ มีการเชื่อมโยงนโยบายระหว่างการเมืองระดับ ท้องถิ่นกับการเมืองระดับชาติ ซึ่งเป็นจุดเด่นของคนในตระกูล จิระพันธุ์วาณิช และเครือข่ายทำให้มีโอกาสทางการเมืองเหนือ คู่แข่ง ตระกูลธาราภูมิ ตระกูลการเมืองท้องถิ่นจังหวัดลพบุรีที่ยืดครองพื้นที่ใน เขตเมืองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา โดยนายนิพนธ์ ธาราภูมิ บุตรชายของนายสมศักดิ์ กับนางวิมล ธาราภูมิ เกิดวันที่ 17 พฤษภาคม 2496 จบการศึกษามัธยมปลายโรงเรียน ดงตาลวิทยา อาชีพก่อนเข้าสู่การเมืองคือ การทำธุรกิจ การเกษตร นายนิพนธ์เป็นคนแรกที่เข้าสู่การเมืองระดับชาติ คนแรกของตระกูล ในปี พ.ศ. 2535 เริ่มจากการร่วมกิจกรรม ทางการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายค้านในขณะนั้น เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง และเสนอว่า ผดู้ ำรงตำแหนง่ นายกรฐั มนตรตี อ้ งมาจากการเลอื กตง้ั เหตกุ ารณ์ ครั้งนี้เริ่มต้นมาจากเหตุการณ์รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 หรือ 1 ปีก่อนหน้าการประท้วง ซึ่ง รสช. ได้ยึดอำนาจจาก รัฐบาล ซึ่งมีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็น นายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลหลักว่า มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างหนักใน รัฐบาล และรัฐบาลพยายามทำลายสถาบันทหาร โดยหลังจาก ยึดอำนาจ คณะ รสช. ได้เลือก นายอานันท์ ปันยารชุน เป็น 95
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี นายกรัฐมนตรีรักษาการ มีการแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ขึ้น รวมทั้งการแต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 20 คน เพื่อร่างรัฐธรรมนญู ใหม่ หลังจากร่างรัฐธรรมนูญสำเร็จ ก็ได้มีการจัดการเลือกตั้ง ทั่วไปเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 โดยพรรคที่ได้จำนวน ผู้แทนมากที่สุดคือ พรรคสามัคคีธรรม (79 คน) ได้เป็นแกนนำ จัดตั้งรัฐบาล โดยมีการรวมตัวกับพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ คือ พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม และพรรคราษฎร และมีการ เตรียมเสนอนายณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคสามัคคีธรรม ในฐานะหัวหน้าพรรคที่มีผู้แทนมากที่สุด ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ปรากฏว่า ทางโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา นางมาร์กาเร็ต แท็ตไวเลอร์ ได้ออกมาประกาศว่า นายณรงค์ นั้นเป็นผู้หนึ่งที่ไม่สามารถขอวีซ่าเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้ เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับนักค้ายาเสพติด ในที่สุด จึงมีการเสนอชื่อ พลเอกสุจินดา คราประยูร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ซึ่งเมื่อได้รับพระราชทานแต่งตั้ง อย่างเป็นทางการแล้ว ก็เกิดความไม่พอใจของประชาชนในวง กว้าง เนื่องจากก่อนหน้านี้ ในระหว่างที่มีการทักท้วงโต้แย้ง เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นมาใหม่ว่า ไม่มีความเป็น ประชาธิปไตย ซึ่งรัฐธรรมนญู ฉบับนี้ก็ได้ถูกประกาศใช้ ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าวนายนิพนธ์ได้ลงแข่งขัน เลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 13 กันยายน 2535 ในนามพรรค ประชาธิปัตย์ เขต 1 ที่มีฐานเสียงคือประชาชนที่อาศัยใน เขตเมอื งจงึ ทำใหไ้ ดร้ บั การเลอื กตง้ั เปน็ ส.ส. สมยั แรก และตอ่ มา 96
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี อีก 2 สมัย จนกระทั่งการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 20 (6 ม.ค. 2544) นายนิพนธ์ ลงแข่งขันเลือกตั้งในเขต 1 คือเขตอำเภอเมือง และ ส่งน้องสาวนางสาวผ่องศรี ธาราภูมิ เข้าสู่การเมืองระดับชาติ เป็นครั้งแรกในเขต 2 ประกอบด้วยอำเภอเมืองบางส่วน และ อำเภอพัฒนานิคม ภายหลังจากลงพื้นที่พบปะประชาชน มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่เนื่องจากสู้กระแสพรรคการเมือง คู่แข่งไม่ได้จึงทำให้ไม่ได้รับการเลือกตั้งทั้ง 2 คน ตระกลู ธาราภมู ไิ ดว้ างรากฐานทางการเมอื งระดบั ทอ้ งถนิ่ โดยสร้างเครือข่ายและเครือญาติที่มีบทบาททางการเมือง เช่น นางดรุณี รุ่งศรีทอง อดีตสมาชิกสภาเทศบาลเมืองลพบุรีติดต่อ กัน 3 สมัย และนายนิวัตร ธาราภูมิ อดีตนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดลพบุรี พี่สาวและพี่ชายของนางสาวผ่องศรี ธาราภูมิ ซึ่งมีส่วนช่วยสร้างความเข็งแกร่งทางการเมืองของตระกูล ธาราภมู ิได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตเทศบาล ส่วนนางสาวผ่องศรี ธาราภูมิ เกิดเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2502 ภูมิลำเนาจังหวัดลพบุรี จบการศึกษาระดับปริญญา ตรีและโท สาขาวิทยาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อาชีพก่อนเลือกตั้ง คือ ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว มีประสบการณ์ทางการเมืองในหลายตำแหน่งประกอบด้วย ผู้ช่วยดำเนินงานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ (นายโพธิพงษ์ ล่ำซำ) ผู้เชี่ยวชาญประจำตัวสมาชิกสภา ผแู้ ทนราษฎร (นายนพิ นธ์ ธาราภมู )ิ กรรมาธกิ ารการสาธารณสขุ สภาผู้แทนราษฎร คณะทำงานวิชาการ ผู้นำฝ่ายค้านในสภา ผู้แทนราษฎร (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ผู้ช่วยดำเนินงาน 97
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ผู้เชี่ยวชาญประจำ ตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรรมาธิการสาธารณสุข สภา ผู้แทนราษฎร คณะทำงานวิชาการ ผู้นำฝ่ายค้านในสภา ผู้แทนราษฎรประธานสาขาพรรคประชาธิปัตย์ จังหวัดลพบุรี เขต 1 และเขต 2 นอกจากนี้ในวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ.2554 ที่ประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ของพรรคประชาธิปัตย์มีมติเลือกนางสาวผ่องศรี ธาราภูมิให้ ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค ต่อมาในปลาย พ.ศ.2556 เธอได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ของพรรค ให้ดำรงตำแหน่ง นายทะเบียนพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนผลงานที่โดดเด่นระดับ ชาติคือการยื่นข้อเสนอขอให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อ ศึกษา ติดตาม แนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพติด สารเสพติด และกระบวนการฟอกเงิน เส้นทางการเข้าสู่การเมืองเกิดจากการที่พี่ชายของ นางสาวผ่องศรี ธาราภูมิ คือ นายนิพนธ์ ธาราภูมิ ซึ่งเป็นอดีต สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรก่อนหน้า รวมทั้งตนเองเป็นข้าราชการ ครู และตนเองชอบทำงานสาธารณะเพื่อส่วนรวมมีโอกาสลง พื้นที่ด้วยตนเองและจากการช่วยพี่ชายหาเสียง กลุ่มฐานเสียง ที่สำคัญของนางสาวผ่องศรี ธาราภูมิ คือประชาชนและ เครือข่ายผู้สูงอายุ เกษตรกรในท้องที่ ทำให้มีคนสนับสนุน จำนวนมาก รวมทั้งตนเองเคยรับราชการครูมาก่อน จึงมี ลูกศิษย์เป็นฐานเสียง รูปแบบการหาเสียงจะเน้นเข้าร่วมทำงาน กับประชาชนอย่างแบบต่อเนื่อง รวมทั้งตนเองเป็นคนทำงาน ที่ไม่มีศัตรู จึงสามารถทำงานได้กับทุกคน บทบาททางการเมือง ที่โดดเด่นของตนเองคือ การลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชน 98
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี อย่างทันท่วงทีในเวลาที่ประชาชนประสบปัญหา ปัญหาที่พบ จากการเข้าสู้เส้นทางทางการเมือง คือ การแทรกแซงใน ทางการเมือง การถูกย้ายพื้นที่และจังหวัดลพบุรีเป็นจังหวัด เขตของทหารทำให้เกิดปัญหาในการหาเสียงเนื่องจากมีผู้มี อิทธิพลจำนวนมาก นอกจากนี้ทายาททางการเมืองรุ่นต่อมา คือ ลูกของ นายนิพนธ์ ธาราภูมิ ได้แก่ นายเกรียงไกร ธาราภูมิ ลูกชาย คนโต เคยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ในเขตอำเภอเมืองในปี พ.ศ.2547-2551 นายเกรียงไกรสะสม ประสบการณ์ทางการเมืองจากพ่อ เมื่อครั้งยังเป็น ส.ส. ปี พ.ศ. 2539-2549 เป็นเลขา ส.ส.ให้นางสาวผ่องศรีตั้งแต่ พ.ศ. 2547 ถึง พ.ศ. 2551 และเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล โคกลำพานในปี พ.ศ.2552-2554 ต่อมาได้ลงแข่งขันในการ เลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 23 (3 ก.ค. 2554) เขตการเลือกตั้งที่ 2 ในนามพรรคประชาธิปัตย์ โดยนางสาวผ่องศรีย้ายไปลงแข่งขัน ในเขตเลือกตั้งที่ 1 แต่ก็ไม่ได้รับการเลือกตั้งทั้ง 2 คน ในขณะที่ลูกสาวคนรอง คือ นางสาวอัจฉรา ธาราภูมิ ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลโคกลำพาน อำเภอเมืองลพบุรีในปัจจุบัน และลูกชายคนสุดท้อง คือ ว่าที่ร้อยตรีโตมร ธาราภูมิ ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว ให้ลงสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลเมืองลพบุรี เขต 3 ในปี พ.ศ. 2550 เนื่องจากครอบครัวธาราภูมิเห็นว่าเป็นคนหนุ่ม ไฟแรง และเพิ่งจบปริญญาตรี เพื่อสร้างทายาททางการเมือง ของตระกลู ธาราภมู ิที่จะมาบริหารบ้านเมืองต่อไป 99
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี ต่อมาช่วงปี 2547 ตระกูลธาราภูมิต้องเผชิญกับอุปสรรค เนื่องจากนายนิพนธ์ ธาราภูมิ ป่วยจึงไม่สามารถลงสมัคร เลือกตั้งได้ จึงเป็นเหตุให้ น.ส.ผ่องศรี ต้องสืบทอดเจตนารมณ์ ของพี่ชาย ถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จ 2 สมัยติดต่อกัน แต่ เนื่องจากนายนิพนธ์เป็น ส.ส. ลพบุรีที่มีผลงานมากมายจนเป็น ที่ยอมรับของคนในพื้นที่ แต่ก็สามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ด้วยการนำนายนิพนธ์ที่นั่งรถเข็นออกมาหาเสียงขอคะแนน สงสารจากประชาชน และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี รูปแบบการหาเสียงและฐานคะแนนของตระกูลธาราภูมิ คือ การขยันออกพื้นที่ต่อเนื่องของนายนิพนธ์ ส่วนหัวคะแนน สำคัญ คือ กลุ่มกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้มีอิทธิพล และสมาชิก องค์การบริหารส่วนตำบล ที่เข้ามาสนับสนุนเพราะเป็นคนหา งบประมาณให้ในฐานะส.ส.ในพื้นที่ สำหรับน.ส.ผ่องศรี น้องสาวทำงานคลุกคลีกับประชาชนในระดับรากหญ้าตลอด เวลา ในรูปแบบของผู้ประสานและที่ปรึกษาเครือข่ายองค์กร ชุมชน เสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน กลุ่มองค์กรเครือข่าย สร้างสุขภาพผู้สูงอายุ เกษตรอินทรีย์ และท้องถิ่นน่าอยู่ โดย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแม่บ้าน และบางส่วนคือกลุ่มคะแนนเก่าของ พี่ชาย จึงทำให้มั่นใจว่าจะได้รับการเลือกตั้งอย่างแน่นอน เพราะประชาชนมองเห็นความตั้งใจจริงว่าทำงานเพื่อส่วนรวม ฐานคะแนนส่วนใหญ่คือประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขต เทศบาลประกอบด้วยพื้นที่ตำบลท่าหินและบางส่วนของตำบล ทะเลชุบศร นอกจากนี้ต้นทุนของน.ส.ผ่องศรี ธาราภูมิ คือ การได้กองทุน SIF ของธนาคารออมสินภายหลังจากการลาออก 100
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี จากอาชีพครู ซึ่งเป็นงบประมาณที่สำคัญในการสร้างชื่อเสียง จากการทำกิจกรรมดังกล่าวข้างต้น ตระกูลเกียรติวินัยสกุล เป็นอีกตระกูลหนึ่งที่มีบทบาททางการเมืองในจังหวัด ลพบุรี เพราะเป็นตระกูลใหญ่ของลพบุรี มีญาติพี่น้องจำนวน มากอยู่ในวงการเมืองท้องถิ่นทั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด และสมาชิกสภาเทศบาลเมืองลพบุรี คนสำคัญ ของตระกูลที่บทบาททางการเมืองโดดเด่น คือ นายณัฐพล เกียรติวินัยสกุล เพราะได้รับเลือกเป็นส.ส. คนแรกของตระกูล และการได้มาซึ่งตำแหน่งทางการเมืองในครั้งนั้น ได้มาจากการ ล้มนายนิพนธ์ ธาราภมู ิ อดีตส.ส.เก่าหลายสมัยในพื้นที่เดียวกัน นายณัฐพล เกียรติวินัยสกุล เกิดเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2512 ที่อำเภอเมืองลพบุรี เป็นบุตรของนายวินัยกับ นางประนอม เกียรติวินัยสกุล จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมศาสตร์ จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า- คุณทหาร และจบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขา บริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยยอร์จ วอชิงตัน อาชีพก่อนเข้า เส้นทางการเมือง คือ ธุรกิจส่วนตัวซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ ครอบครัว โดยนายวินัยผู้เป็นพ่อได้ก่อตั้งธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ขึ้น จนมีขนาดใหญ่ระดับร้อยล้าน ประสบการณ์ทางการเมือง เคยเป็นสมาชิกสภาจังหวัด 2 สมัย เป็นประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดลพบุรี ฐานเสียงส่วนใหญ่มาจากกำนันผู้ใหญ่บ้านผู้มีอิทธิพล และ กลุ่มองค์การบริหารส่วนตำบล โดยเฉพาะในเขตอำเภอเมือง 101
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี โดยเฉพาะนายจำรัส สละชีพ กำนันตำบลพรหมมาสตร์ และ ประธานชมรมชมรมกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านอำเภอเมืองลพบุรี ซึ่งภายหลังกลายเป็นคู่แข่งทางการเมืองในเขตเดียวกัน นายณัฐพล ตัดสินใจลงแข่งขันการเมืองระดับชาต ิ ครั้งแรก ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 20 (6 ม.ค. 2544) โดยมี นายวินัยให้การสนับสนุน ภายหลังจากประกาศลงสมัครรับ เลือกตั้งเป็น ส.ส. ลพบุรี เขต 1 อำเภอเมืองลพบุรี (เฉพาะ ต.ท่าหิน ต.ทะเลชุบศร ต.โครกระเทียม ต.ถนนใหญ่ ต.กกโก ต.โก่งธนู ต.โคกลำพาน ต.งิ้วราย ต.ดอนโพธิ์ ต.ตะลุง ต.ท่าแค ต.บ้านข่อย ต.ท้ายตลาด ต.ป่าตาล ต.พรหมมาสตร์ ต.โพธิ์เก้าต้น ต.สี่คลอง และต.โพธิ์ตรุ) เกิดเหตุนายวินัยถูกยิง เสียชีวิต โดยนายณัฐพลเข้าใจว่าคนร้ายต้องการยิงบิดาและ ตัวเองให้ตาย แต่ตนเองสามารถวิ่งหนีไปได้ จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้นายณัฐพลต้องปรึกษา หารือกับแม่ น้า และอา ได้ช่วยกันออกหาเสียงให้ เดินหาเสียง ตั้งแต่เช้าจรดมืด เดินทุกตรอกซอยแต่ได้รับการตอบรับที่ดีจาก การขยันออกพื้นที่ อย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยความคุ้นเคยที่เกิด ขึ้นจากคลุกคลีกับประชาชน ตั้งแต่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น เมื่อประชาชนในพื้นที่เดือดร้อนก็เข้าไปช่วย มุ่งหวังให้ประชาชน มีกินมีใช้ นอกจากนี้ยังช่วยประสานงานกับหน่วยงานอื่น ๆ ให้ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน จึงทำให้นายณัฐพล ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. ในสมัยดังกล่าว และอีกสมัยต่อมา นอกจากนี้นายพิชัย เกียรติวินัยสกุล คือเครือญาติ คนหนึ่งของตระกูลที่เข้าสู่การเมืองระดับชาติ โดยเริ่มจาก 102
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี แวดวงการเมืองระดับท้องถิ่นในช่วง พ.ศ. 2533 – 2547 นายพิชัยเคยดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาจังหวัด รองนายก- องค์การบริหารส่วนจังหวัด และนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดลพบุรี หลังจากว่างเว้นทางการเมืองท้องถิ่นเป็น เวลา 10 กว่าปี ตลอดระยะเวลาได้เห็นเพื่อนร่วมงาน เพื่อน ร่วมอาชีพประสบความสำเร็จจากการลงเลือกตั้งในสนาม การเมืองระดับชาติ จึงทำให้นายพิชัยสนใจลงสมัคร ส.ส. จากประสบการณ์ทางการเมืองระดับท้องถิ่น ที่มี เครือข่ายในสาขาอาชีพต่าง ๆ จำนวนมาก และสร้างผลงานให้ กับประชาชนในพื้นที่ จึงทำให้นายพิชัย เกียรติวินัยสกุล ได้รับ เลือกเป็น ส.ส. ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 23 (3 ก.ค. 2554) จากเขตเลือกตั้งที่ 1 สังกัดพรรคเพื่อไทย ในขณะที่นายณัฐพล หลานชายตัดสินใจย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย และสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อในลำดับที่ 20 ในครั้งเดียวกัน แต ่ พรรคภูมิใจไทยได้ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เพียง 5 ลำดับแรก นายณัฐพลจึงไม่ได้เป็น ส.ส. รู ป แ บ บ ก า ร ห า เ ส ี ย ง แ ล ะ ฐ า น ค ะ แ น น ข อ ง ต ร ะ กู ล เกียรติวินัยสกุล คือ การหาเสียงใช้วิธีการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และการชูนโยบายพรรค พร้อมกับใช้ผลงานเก่าในขณะที่เป็น นักการเมืองท้องถิ่น ส่วนหัวคะแนนสำคัญ คือ กลุ่มกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้มีอิทธิพล และสมาชิกสภาจังหวัด ตระกูลสุดลาภา มีสายสกุลที่ยาวนาน และใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย ์ มาตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยา ซึ่งเป็นราชสกุลเก่าของ 103
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และมีการสืบสายสกุลจากเชื้อสาย พระมหากษัตริย์ต่อมาอีกหลายพระองค์ เนื่องจากมีพระโอรส มากจึงได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งสำคัญทางการปกครอง ในฐานะเจ้าเมืองลูกหลวง และหัวเมืองต่าง ๆ ทางภาคอีสาน หัวเมืองมะละกา และหัวเมืองมาลายู แต่ยังคงมีถิ่นฐานอยู่ใน เขตพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดลพบุรีในปัจจุบัน ซึ่งเป็นต้นตระกูลนักการเมืองที่มีบทบาทโดดเด่นคนหนึ่ง ในจังหวัดลพบุรีและระดับประเทศ คือ นายเชาวน์วัศ สุดลาภา เกิดเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2476 นาย เชาวน์วัศ สุดลาภา ได้สมรสกับคุณกมลทิพย์ สุดลาภา มีบุตร - ธิดารวม 3 คน ได้แก่ นายเกรียงยศ สุดลาภา อดีตรองโฆษกกรุงเทพมหานคร (ดูแลด้านกิจการ กทม.) อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นางพจน์ศิรินทร์ (สุดลาภา) สุวรรณรัฐ อาชีพ ผู้พิพากษา นักธุรกิจ สมรสกับ ว่าที่พันเอก นิมิตต์ สุวรรณรัฐ สายพระยาเจริญราชภักดี นายกาจบดินทร์ สุดลาภา อาชีพนักธุรกิจ และอดีตดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษา รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (พล.อ.อ. สมบุญ ระหงษ์) ใน พ.ศ. 2542-พ.ศ. 2544 และในด้านคู่ชีวิตนายกาจบดินทร์ สมรสกับ วิภาดา (บุนนาค) สุดลาภา สายพระยาวิชยาธิบดี แบน บุนนาค นายเชาวน์วัศ สุดลาภา สำเร็จการศึกษาระดับ มัธยมศึกษา ปีที่ 8 โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ระดับปริญญาตรี จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระดับ ปริญญาโท จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระดับปริญญาเอก Diploma ทางรัฐประศาสนศาสตร์ ณ 104
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี กรุงบอนน์ ประเทศเยอรมนี ระดับปริญญาเอก Diploma ทาง รัฐประศาสนศาสตร์ จาก lnstitute of Social Studies จาก กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ปริญญาเอกดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ จาก 2 มหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกา สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่น 28 ชีวิตการทำงานของนายเชาวน์วัศ เริ่มต้นจากการเติบโต ในแวดวงราชการสายกระทรวงมหาดไทย โดยเริ่มจากตำแหน่ง ปลัดอำเภอ ตั้งแต่ พ.ศ.2500 – 2506 ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงมหาดไทย ในสมัยจอมพลประภาส จารุเสถียร (พ.ศ.2507 – 2511) โดยครองตำแหน่งควบอีกหนึ่งตำแหน่ง ในช่วงเวลาคาบเกี่ยวกับคือ นายอำเภอศรีประจันต์ จังหวัด สุพรรณบุรี (พ.ศ.2509 – 2510) ต่อมาเลื่อนตำแหน่งเป็น ผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่ สำนักงานปลัดกระทรวง มหาดไทย จนถึงปี พ.ศ.2512 ย้ายไปเป็นเลขานุการรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงมหาดไทย (จอมพลประภาส จารุเสถียร) ในรัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี และ ย้ายไปรับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดต่าง ๆ ได้แก่ จังหวัด พังงา จังหวัดลพบุรี จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดเพชรบุรี บทบาทงานราชการที่เห็นได้ชัดครั้งเมื่อดำรงตำแหน่ง ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั พงั งา (พ.ศ.2519 – 2520) ไดท้ ำการปราบปราม แร่เถื่อน ต่อมาในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี (พ.ศ.2520 – 2522) ได้ปราบปรามโจรเรียกค่าไถ่ในจังหวัดลพบุรี น า ย เ ช า ว น ์ ว ั ศ ไ ด ้ ร ั บ ก า ร แ ต ่ ง ต ั ้ ง ใ ห ้ เ ป ็ น ผู ้ ว ่ า ร า ช ก า ร กรุงเทพมหานคร คนที่ 7 (พ.ศ.2522 – 2524) ในสมัยนายชวน 105
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี หลีกภัย ได้แสดงผลงานผ่านนโยบายกรุงเทพสีเขียวโดยการ ปลูกต้นไม้รอบจังหวัดกรุงเทพมหานครในถนนทุกสาย ผู้ดำเนินการสร้างถนนรัชดาภิเษกและในอีกหลายสาย ผู้ก่อตั้ง ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง (ร่วมมือกับ รัฐบาลญี่ปุ่น) และเป็นผู้ก่อตั้งตลาดนัดจตุจักร นอกจากนี้ ในระหว่างที่ดำรงค์ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี (พ.ศ.2527 – 2531) ได้สร้างผลงานที่โดดเด่นคือการกวาดล้าง ซุ้มมือปืนจังหวัดเพชรบุรีได้สำเร็จราบคราบ นอกจากนี้ยังมี ผลงานทโ่ี ดดเดน่ ดา้ นอน่ื ๆ ไดแ้ ก่ การจดั ตง้ั วทิ ยาลยั การปกครอง ริเริ่มให้มีการพิมพ์หมายเลขโทรศัพท์ต่อท้ายต้นร่างหนังสือ ราชการ ริเริ่มจัดตั้งสำนักนโยบายและแผนมหาดไทย การเป็น กรรมการร่างพระราชบัญญัติกรุงเทพมหานครฉบับแรก นายเชาวน์วัศ ได้ผ่านประสบการณ์ทั้งในในแวดวง ราชการและการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มเข้าสู่วงการ การเมืองครั้งแรกจากการได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภา นิติบัญญัติแห่งชาติ ในรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร เมื่อ พ.ศ.2515 ต่อมาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงมหาดไทย ในคณะรัฐมนตรีชุดที่ 41 สมัย พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อ พ.ศ.2523 ซึ่งในขณะนั้นนายเชาวน์วัศยังดำรงตำแหน่งข้าราชการพลเรือน เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ใน พ.ศ. 2531 นายเชาวน์วัศ ลาออกจากราชการเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และได้รับเลือกตั้ง 4 สมัยต่อเนื่อง (พ.ศ. 2531 – 2538) และได้รับการแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าพรรค กิจสังคม ในช่วงเวลาดังกล่าวได้ดำรงตำแหน่งประธาน 106
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี คณะกรรมการการศึกษาสภาผู้แทนราษฎร และประธาน คณะกรรมการที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายการต่างประเทศ ในสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี (พ.ศ.2531 – 2534) เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (พ.ศ.2534) เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 (พ.ศ.2535) และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง มหาดไทย ในคณะรัฐมนตรีชุดที่ 50 สมัยนายชวน หลีกภัย เป็น นายกรัฐมนตรี (พ.ศ. 2535 – 2538) นับเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงมหาดไทยเปน็ ครง้ั ท่ี 2 และเปน็ ทป่ี รกึ ษานายกรฐั มนตรี ด้านการบริหารในสมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี (พ.ศ. 2538 – 2539) จากผลงานทเ่ี ดน่ ชัดจงึ ทำให้ไดร้ บั รางวลั กติ ตคิ ณุ สมั พันธ์ (สังข์เงิน) ทางด้านสาขาการบริหารและการปกครอง (ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2522) จากสมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของจังหวัดลพบุรี และ ยังได้รับการก่อตั้งอนุสาวรีย์เชาวน์วัศ สุดลาภา ขึ้นที่อำเภอ กะปง จังหวัดพังงา เพื่อให้เป็นอนุสรณ์แห่งผู้ว่าคนดี และ ที่สำคัญนายเชาวน์วัศ สุดลาภา ได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคล สำคัญของจังหวัดลพบุรี เป็นสาเหตุให้นายเชาวน์วัศชนะ การเลือกตั้งเป็น สส. จังหวัดลพบุรี 4 สมัย ทายาทคนสำคัญของเชาวน์วัศที่เข้าสู่วงการการเมือง คือ นายเกรียงยศ สุดลาภา ซึ่งเป็นบุตรชายคนโต จบ การศึกษาปริญญาตรี Kendall College รัฐชิคาโก ประเทศ สหรัฐอเมริกา ปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต 107
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. 2544 นายเกรียงยศ สุดลาภา เข้าเวทีการเมือง ครั้งแรกโดยการได้รับการแต่งตั้งให้เป็น รองโฆษก กรุงเทพมหานคร (ดูแลด้านกิจการกรุงเทพมหานคร) ในสมัย นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และเคยสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบ แบ่งเขตในเขตเลือกตั้งที่ 6 กรุงเทพมหานคร สังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ แต่ได้เพียงลำดับที่ 4 และได้ลงเลือกตั้งระบบ บัญชีรายชื่อในนามพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งในปี พ.ศ. 2554 อยู่ในลำดับที่ 68 ต่อมาใน พ.ศ. 2551 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายเกรียงยศ สุดลาภา เป็นผู้หนึ่งที่ได้ รับการเสนอชื่อให้ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมแทนนายทิวา เงินยวง ในการเลือกตั้งซ่อม เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 แต่ สุดท้ายพรรคประชาธิปัตย์ มีมติให้นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ เป็นตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้ง ต่อมาในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง ตระกูลสุดลาภาเป็นตระกูลเก่าแก่สืบทอดเชื้อสายจาก พระมหากษัตริย์และมีบทบาทในการเมืองการปกครอง อย่างมากตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ โดยทายาท จำนวนมากตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ 108
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี ในจังหวัดลพบุรีมีนายเชาวน์วัศ สุดลาภา เป็นบุคคลที่มีบทบาท อย่างมากในจังหวัดผ่านบทบาทข้าราชการประจำ จนเป็นที่ ยอมรับนับถือของประชาชนทั่วไปจึงเป็นเหตุให้ได้รับการ เลือกตั้งให้เป็นสส.จังหวัดลพบุรีออย่างต่อเนื่องถึง 4 สมัย ทำให้ มีผลงานและตำแหน่งสำคัญในระดับชาติตลอดระยะเวลา 30 ปี ที่ผ่านมา พลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ เกิดเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2467 สำเร็จการศึกษา วิทยาศาสตรบัณฑิต (ทบ.) จากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอม- เกล้าและวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ. รุ่นที่ 16) สมรส กับคุณหญิงประพาฬสิทธิ์ สิริสัมพันธ์ มีบุตรธิดา คือ พลตรี สิทธิชัย สิริสัมพันธ์ พลตรีหญิงสุนันทา วีระบูล พลเอกวุฒิชัย สิริสัมพันธ์ และนางศจีจันท สนิทธรรมยุติ พลเอก เทยี นชยั เรม่ิ รบั ราชการเปน็ ทหาร สงั กดั กองทพั บก ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษป่าหวาย และเป็น ผู้ก่อตั้งหน่วยทหารหน่วยนี้ ต่อมาได้รับตำแหน่งเจ้ากรมรักษา ดินแดน และรองผู้บัญชาการทหารบก ในระหว่างรับราชการ ทหาร ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ปราบสลัดอากาศ และ ยับยั้งการปฏิวัติรัฐประหารหลายครั้ง โดยครั้งสำคัญ คือ กบฏทหารนอกราชการ (กบฏ 9 กันยา) ซึ่งพันเอก มนูญ รูปขจร นายทหารนอกประจำการ ไดน้ ำกำลงั ทหารเขา้ ยดึ กองบญั ชาการ ทหารสูงสุด และประกาศให้ พลเอกเสริม ณ นคร เป็นหัวหน้า คณะปฏวิ ตั ยิ ดึ อำนาจจากรฐั บาลของ พลเอกเปรม ตณิ สลู านนท์ นายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ระหว่างการไปราชการต่างประเทศ 109
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี พร้อมกับพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งพลเอก เทียนชัย ศิริสัมพันธ์ ในฐานะรองผู้บัญชาการทหารบก ได้รวมตัวกันต่อต้าน และ ควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ในเวลาต่อมา ในขณะรับราชการเคยได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภา นิติบัญญัติแห่งชาติ ใน พ.ศ. 2516 ต่อมาภายหลังจากเกษียณ ราชการได้เข้าทำงานทางการเมือง โดยลงเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี ในตำแหน่งหัวหน้าพรรคราษฎร และได้รับการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ.2529 และปี พ.ศ.2531 จนได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี 2 สมัย (พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี) ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการในปี พ.ศ.2533 – 2534 นอกจากนั้นยังได้ รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงพาณิชย์ ต่อมาพลเอก เทียนชัย ได้รับแต่งตั้งเป็น รองประธานกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย และมีความ สนใจในด้านกีฬามวยไทย จนได้รับแต่งตั้งเป็นประธานสหพันธ์ สมาคมมวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ และเป็นประธานที่ปรึกษา ของสมาคมครมู วยไทย จากการที่พลเอก เทียนชัย เป็นผู้ก่อตั้งหน่วยทหาร หน่วยรบพิเศษป่าหวาย และได้รับการแต่งตั้งเป็นบัญชาการ จึงมีความคุ้นเคยกับพื้นที่จังหวัดลพบุรี ต่อมาเมื่อเข้าสู่เส้นทาง การเมืองในตำแหน่งหัวหน้าพรรคราษฎร ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาจาก พรรคสหชาติ ในปี พ.ศ. 2529 จึงตัดสินใจเลือกจังหวัดลพบุรี 110
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี เป็นพื้นที่เป้าหมายในการลงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ภายหลังจากได้รับการเลือกตั้งได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่ง สำคัญของรัฐบาล นายอำนวย คลังผา เกิดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2488 มีภูมิลำเนาจังหวัด ลพบุรี จบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาศิลปศาสตรบัณฑิต จากสถาบันราชภัฏเทพสตรี และกำลังศึกษาปริญญาโท คณะศิลปศาสตร์สาขารัฐประศาสนศาสตร์ นายอำนวย คลังผา มีประสบการณ์ทางการเมืองในหลายตำแหน่ง ประกอบด้วย ตำแหน่งผู้ช่วยโฆษกคณะกรรมาธิการการศึกษา ตำแหน่ง กรรมาธิการการปกครอง ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลพบุรี ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง (สมัยนายมารวย ผดุงสิทธิ์ เป็นรัฐมนตรี) ตำแหน่งรองประธานคณะอนุกรรมการที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายติดตามการปฏิบัติงานของส่วนราชการ ตำแหน่งผู้ช่วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (สมัยนายประมวล รุจนเสรี เป็นรัฐมนตรี) และตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทย (สมัยนายสมชาย รุจนเสรี เป็นรัฐมนตรี) ปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งประธานกรรมาธิการ การทหารของสภาผู้แทน ราษฎร ช่วงวัยรุ่นประกอบอาชีพเกษตรกรรม ควบคู่ไปกับการ เป็นกำนันตำบลวังเพลิงระหว่างปี 2514-2539 ตลอดระยะเวลา 25 ปี ได้รับรางวัลแหนบทองคำรวม 5 ครั้ง โดยการเป็นกำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งทำให้มีความใกล้ชิดกับประชาชน และ 111
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี ทำหน้าที่ในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่ประชาชนในชุมชน โดยสร้างฐานเสียงด้วยตนเองจากการเข้าถึงประชาชนด้วย ตนเองและส่วนหนึ่งมาจากที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม จึงทำให้มีความใกล้ชิดและเข้าใจประชาชนมากขึ้น รู้ปัญหา ของประชาชน และช่วยประชาชนแก้ไขปัญหาในทุกเวลา วิธีการหาเสียงจะใช้แนวคิด “ประชาชน เป็นเจ้านาย เราเป็น ลูกน้อง” โดยนายอำนวย คลังผา กล่าวว่า “ไม่ว่าจะมาจาก ตำแหน่งใดในการเมือง ก็ต้องมาจากการเลือกของประชาชน ตลอด” เส้นทางในการเข้าสู่การเมืองของนายอำนวย คลังผา เริ่มมาจากการลงสมัครส.ส.ลพบุรี เขต 2 สังกัดพรรค ความหวังใหม่ในปี 2539 และได้รับการเลือกตั้งในครั้งแรก ต่อมาปี 2544 ย้ายไปสังกัดพรรคไทยรักไทย ลงแข่งขันในเขต 4 หลังจากนั้นได้รับเลือกตั้งเรื่อยมาอีก 3 สมัย ดังนั้นการที่ได้รับการเลือกตั้งจึงเกิดมาจากการเข้าถึง ประชาชนและพบประชาชนอย่างจริงใจ ให้ความเคารพ ประชาชนเหมือนพี่น้อง ในส่วนของสถานการณ์การเมืองใน ปัจจุบันของจังหวัดลพบุรี ณ ขณะนั้น มีการแข่งขันทาง การเมืองที่รุนแรงในรูปแบบต่างๆ ทั้งการฉายหนัง การแจกของ ให้แก่ประชาชน แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่ประชาชนส่วนใหญ ่ จะเข้าใจอะไรมากขึ้น รวมทั้งการเข้าถึงการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสารจากภาครัฐ จึงทำให้รูปแบบการหาเสียงด้วยวิธีการ แจกของมีจำนวนลดลง 112
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี พื้นที่ฐานเสียงหลักของนายอำนวย คือ อำเภอโคกสำโรง อำเภอหนองม่วง อำเภอสระโบสถ์ และอำเภอโคกเจริญ หัวคะแนนส่วนใหญ่คือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ เนื่องจาก ความสัมพันธ์กับอาชีพเดิม คือกำนันที่มีบทบาทสำคัญในพื้นที่ การหาเสียงของนายอำนวย ใช้วิธีการเข้าพบประชาชน ตลอดตั้งแต่ก่อนเป็น ส.ส. และหลังจากได้รับตำแหน่งก็ยัง เข้าหาประชาชนอย่างสม่ำเสมอ ในช่วงมีการแข่งขันเลือกตั้ง ทั่วไปเน้นการใช้รถหาเสียงตามหมู่บ้าน และเดินหาเสียงตาม เทศกาลงานต่าง ๆ ที่หน่วยงานราชการจัดขึ้นเพื่อให้พบปะกับ ประชาชน และหลีกเลี่ยงการทำผิดกฎหมาย เช่นงานเทศกาล ทุ่งทานตะวันบานที่หนองม่วง ซึ่งมีประชาชนเดินทางมาร่วม งานจำนวนมาก ซึ่งนายอำนวยก็ใช้โอกาสนี้เดินหาเสียงพบปะ กับประชาชนโดยไม่มีใบแนะนำตัว เดินขอคะแนนแบบถึงตัว จากความมั่นใจของประชาชนต่อนโยบายพรรคที่สามารถช่วย ให้ชาวบ้านพ้นจากความยากจนได้ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ นายอำนวยได้รับการเลือกตั้งมากตลอดระยะเวลา 16 ปี นอกจากนี้ นักการเมืองคนสำคัญอีกคนหนึ่งของจังหวัด ลพบุรีที่ได้รับการสนับสนุนจากนายอำนวย และพรรค ไทยรักไทย คือ นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ลงสมัคร ส.ส.ลพบุรี เขต 3 เพื่อแข่งกับนายกมล จิระพันธุ์วาณิช เนื่องจากพรรค ไทยรักไทยเคยส่ง พล.ต.อ.บุญชู วังกานนท์ ลงสู้กับนายกมล แต่แพ้การเลือกตั้ง จึงหันมาสนับสนุนนายสุชาติแทน 113
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี นายสุชาติ ลายน้ำเงิน เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2505 ภูมิลำเนาบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ในสาขารัฐศาสตร์ และจบปริญญาโทในสาขาสื่อสารการเมืองจากมหาวิทยาลัย เกริก อาชีพก่อนการเข้าสู่การเมืองคือ ลูกจ้างส่วนราชการ หลังจากการเข้าสู่การเมืองแล้วได้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หลายตำแหน่ง ประกอบด้วย การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปี 2548 โฆษกกรรมาธิการแรงงาน รองประธานสภาสหภาพ แรงงานองค์การค้าของครุสภากรรมการบริหารสมาพันธ์ รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ กรรมการบริหารสมาพันธ์แรงงาน และ คณะกรรมการเจรจาข้อเรียกร้องด้านแรงงาน ส่วนเส้นทางในการเข้าสู่การเมืองได้สังกัดพรรค ไทยรักไทย ฐานเสียงจะมาจากประชาชนในชุมชน โดยในปี 2548 ได้รับเลือก นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ใช้วิธีการหาเสียง โดยวิธีการต่างๆ เช่น การร่วมช่วยงานบุญของชุมชน และ งานเทศกาลต่างๆ ตามประเพณีไทย ซึ่งยุคต้น ของการแข่งขัน ทางการเมือง มีแข่งขันกันอย่างรุนแรง แต่ในยุคปัจจุบันมีความ คลี่คลายมาก ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ได้รับ การเลือกตั้งคือ นโยบายของพรรคไทยรักไทยที่มีความน่าสนใจ และตอบสนองความต้องการของประชาชน นอกจากนี้ การที่ นายสุชาติประสานงานกับสำนักชลประทานที่ 10 เรื่องน้ำให้ ประชาชนทำการเกษตรซึ่งเป็นการช่วยเหลือประชาชนและ หาเสียงในคราวเดียวกัน 114
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี ฐานเสียงของนายสุชาติ แน่นหนาในเขตตำบล บ้านกล้วย ตำบลบ้านทราย อำเภอท่าวุ้ง ที่เป็นคนไทยพวน แต่ภายหลังในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 23 หัวคะแนนในพื้นที่ ท่าวุ้งถูกยิงเสียชีวิต ผนวกกับการที่ฐานเสียงไม่เพียงพอจึงทำให้ นายสุชาติแพ้การเลือกตั้ง ตระกูลเช้ือเพ็ชร์ ผู้มีบทบาทสำคัญของตระกูลเชื้อเพ็ชร์ คือ นายวรวิทย์ เชื้อเพ็ชร์ อดีตเคยประกอบอาชีพทนายความ และเป็นอดีต สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดลพบุรี ปี 2545-2549 และในปี 2550 หลังพ้นตำแหน่ง นายวรวิทย์ลงสมัคร ส.ส.เขต 2 ลพบุรี สังกัด พรรคประชาธิปัตย์แต่สอบตก นายวรวิทย์ถือเป็นนักการเมือง ที่ได้รับการยอมรับจากแวดวงการเมืองลพบุรี ว่าเป็น นักการเมืองที่เล่นการเมืองตรงไปตรงมา ไม่สนับสนุนการใช้เงิน ซื้อเสียงเลือกตั้งได้รับฉายา “นักสู้มือเปล่า” นายวรวิทย์สนับสนุนน้องสาว น้องชาย และนางรุ่งนภา ผู้เป็นภรรยาลงเล่นการเมืองท้องถิ่น โดยนางรุ่งนภา เคยเป็น อดีตรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) โคกสำโรง สมัยที่ผ่านมา แต่ในการเลือกตั้งท้องถิ่นในปี พ.ศ.2551 ซึ่งเปิด รับสมัครในวันที่ 28 กรกฎาคม 2551 เป็นวันแรก นายวรวิทย์ ได้ประกาศวางตัวเป็นกลางไม่สนับสนุนใคร และไม่ส่งภรรยา พร้อมทั้งน้องสาวและน้องชายลงสมัครด้วย แต่นายวรวิทย์ ถกู ยิงเสียชีวิตในวันเดียวกัน นายวรวิทย์เคยผลักดันให้เครือญาติเข้าสู่สนามการเมือง ระดับชาติ ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 21 (6 ก.พ. 2548) โดยให้ 115
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากนายวรวิทย์ใกล้ชิดกับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคมหาชน ในขณะนั้น และส่งน้องสาวและน้องชายเข้าสังกัดพรรคมหาชน นางพัชราภรณ์ เชื้อเพ็ชร์ ลงสมัครในเขตเลือกตั้งที่ 4 และ ว่าที่ ร.ต. เสวต เชื้อเพ็ชร์ ลงสมัครในเขตเลือกตั้งที่ 5 นางพัชราภรณ์ เชื้อเพ็ชร์ ปัจจุบันอายุ 45 ปี จบ การศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาการจัดการทั่วไป (การตลาด) และสาขาครุศาสตร์บัณฑิต (การศึกษาปฐมวัย) จาก มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี จากอาชีพเดิมก่อนเข้าสู่การเมือง คือเจ้าของกิจการด้านการเกษตร และเป็นตัวแทนขายของ บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวจึงทำให้รู้ถึงปัญหา ของเกษตรกรที่ไม่ได้รับการแก้ไขให้ตรงจุด จึงตัดสินใจเข้าสู่ การเมืองโดยมีประสบการณ์ทางการเมืองครั้งแรกจากการสมัคร เลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัดลพบุรี แต่ไม่ได้รับการเลือกเพราะ เป็นผู้สมัครหน้าใหม่ และลงสมัครส.ส.ในครั้งที่ 21 แต่ก็ไม่ได้รับ การเลือกตั้งเช่นกัน ส่วน ว่าที่ ร.ต. เสวต เชื้อเพ็ชร์ จบการศึกษาปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น ตัดสินใจ ลงสนามการเมืองครั้งแรก โดยได้รับการสนับสนุนจาก นายวรวิทย์พี่ชายเคยลงสมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ลพบุรี และไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่ได้คะแนนไม่น้อยจึงตัดสินใจ ลงการเมืองระดับประเทศอีกครั้ง สาเหตุในการตัดสินใจมีบทบาททางการเมืองของตระกูล เชื้อเพ็ชร์ เกิดจากการทำธุรกิจของครับครัวที่เป็นธุรกิจ 116
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี การเกษตร และการลงพื้นที่มาพอสมควรทำให้เข้าใจประชาชน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร ทั้งทำไร่และทำนา ที่ผ่านมา การทำไร่ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ เพราะต้องพึ่งน้ำฝนอย่าง เดียวซึ่งมีความสัมพันธ์กับปัญหาหนี้สินทางการเกษตร นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบให้เกษตรกรต้องอพยพแรงงาน ไปรับจ้างทำงานต่างถิ่น เพราะไม่มีการสร้างงานในพื้นที่ คนในครอบครัวจึงมีความเห็นตรงการที่ต้องการช่วย เหลือส่งเสริมให้ประชาชนทำงานเป็นกลุ่ม ในรูปแบบของกลุ่ม แม่บ้าน เพื่อหารายได้จุนเจือในระหว่างรอการเก็บเกี่ยวพืชไร่ หรือการผลิตในฤดูการใหม่ โดยไม่ต้องทิ้งถิ่นฐานไปทำงานที่อื่น ครอบครัวก็ไม่แตกแยก ในส่วนของน้ำทำการเกษตรก็ประสาน ดึงน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ส่งให้เกษตรกรในทุกอำเภอ ฐานเสียงที่สำคัญของตระกูลเชื้อเพ็ชร์ คือกลุ่มเกษตรกร ในพื้นที่อำเภอโคกสำโรง และมีกลุ่มแม่บ้านที่ให้การสนับสนุน เนื่องจากความใกล้ชิดจากการทำธุรกิจของครอบครัว ส่วน วิธีการหาเสียงที่ดำเนินการตามแนวทางนักสู้มือเปล่า ไม่มี เงินซื้อเสียง แค่ชี้แจงนโยบายอย่างเดียว ควบคู่ไปกับการขึ้น ป้ายแนะนำตัวเอง นอกจากนี้ยังใช้วิธีการเดินเข้าหาประชาชน และชี้แจงถึงงานที่จะดำเนินการให้ แจ้งให้ทราบถึงผลงานและ บทบาททางการเมืองที่ผ่านมาก ทั้งนี่เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ บริบททางการเมืองในท้องถิ่นมากขึ้น การหาเสียงในช่วง เลือกตั้งจะเน้นที่การเดินเข้าหาประชาชนแบบเคาะประตูบ้าน ทุกหลังพร้อมแจกบัตรแนะนำตัว 117
บ5ทท ่ี สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ สรุปภาพรวมการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี จังหวัดลพบุรีเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีลักษณะการเมือง ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของประเทศไทย ในการเป็นเมือง ทางประวัติศาสตร์ ศูนย์กลางการทหาร โดยมีจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นผู้ที่มีบทบาทในการพัฒนาเมืองลพบุรีให้ เป็นศูนย์กลางการทหาร ตั้งแต่นั้นมาการเมืองในจังหวัดจึงเต็ม ไปด้วยผู้มีอิทธิพลหลากกลุ่มแต่ไม่ชัดเจน ซึ่งเปลี่ยนแปลง ไปตามปัจจัยต่าง ๆ จึงทำให้การเมืองในจังหวัดลพบุร ี มีอัตลักษณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึง การไม่มีกลุ่มอิทธิพลในลักษณะ ตระกูลใหญ่ที่มีบทบาททางการเมือง และมีการสืบทอดทายาท มาเป็นระยะเวลายาวนานดังเช่นการเมืองในจังหวัดอื่น แต่ การเมืองจังหวัดลพบุรีขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ปัจจัยแรกคือการสร้างเครือข่ายทางการเมืองโดยใช้ เครือญาติ และคนสนิทที่ช่วยเหลือกัน มาเป็นฐานทางการเมือง
สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ จากการใช้ฐานเสียงร่วมกันระหว่างการเมืองท้องถิ่นกับ การเมืองระดับชาติ ส่วนใหญ่อาศัยความคุ้นเคยกับประชาชน ในพื้นที่จากการทำธุรกิจของครอบครัว การสร้างผลงาน ในขณะที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น เพื่อนำมาใช้ในการหาเสียง ปัจจัยต่อมาคือ การยึดตัวบุคคลเป็นหลัก จากการศึกษา พบว่า นักการเมืองคนไหนที่มีความใกล้ชิดกับประชาชน ในลักษณะความสัมพันธ์ของสังคมไทยก็จะได้รับการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้วิถีทางทาง การเมืองของนักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรีสอดคลองกับข้อเสนอ ของ กนก วงษ์ตระหง่าน (2528:336) อธิบายลักษณะการรวม กลุ่มของคนไทยที่เน้นความสัมพันธ์ส่วนตัวมากกว่าหลักของ การรวมกลุ่มโดยอิงผลประโยชน์และอุดมการณ์ร่วมกัน ซึ่งการ เกิดกลุ่มในลักษณะนี้เป็นผลมาจากการที่คนไทยมีวัฒนธรรม ทางสังคมที่ยึดตัวบุคคล (Personalism) ส่วนปัจจัยประการสุดท้าย คือ การยึดถือกระแสของ พรรคการเมืองในแต่ละยุคเป็นหลักในการเลือกตั้ง โดยใช้ นโยบายของพรรคในการหาเสียง ดังเห็นได้จากการเลือกตั้ง แต่ละครั้งที่ผ่านมา ดังนั้นสถานการณ์ทางการเมืองในจังหวัด ลพบุรีจึงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ที่สะท้อนให้เห็นถึง ความเป็นอนิจจังทางการเมือง จากจำนวนนักการเมืองน้อยคน ที่สามารถยืนหยัดบนเวทีการเลือกตั้งได้มากกว่า 5 สมัย ส่วน คนที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ก็ด้วย 3 ปัจจัยหลักดังที่กล่าวข้างต้น ในขณะที่ความรุนแรงทางการเมืองก็ยังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา 119
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี นักการเมืองที่ใช้เทคนิคดังกล่าวและได้รับการเลือกตั้ง มากที่สุดคือ ตระกูลวรปัญญา ที่นำโดยนายนิยม ได้รับเลือกตั้ง ให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 13 สมัย จากการสังกัด พรรคการเมือง 6 พรรคตามช่วงเวลาต่างๆ ได้แก่ พรรคสังคม ชาตินิยม พรรคกิจสังคม พรรคชาติไทย พรรคไทยรักไทย พรรค พลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย นายนิยม ได้รับการเลือกตั้ง ในเขตการเลือกตั้งที่ 2 เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเป็นคนเก่าแก่ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ และความคุ้นชินกับประชาชน โดยมี กลุ่มครแู ละลูกศิษย์เป็นฐานเสียง ตระกูลสุดลาภา เป็นตระกูลเก่าแก่สืบทอดเชื้อสายจาก พระมหากษัตริย์และมีบทบาทในการเมืองการปกครองอย่าง มากตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ โดยทายาทจำนวน มากตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ในจังหวัด ลพบุรีมีนายเชาวน์วัศ สุดลาภา เป็นบุคคลที่มีบทบาทอย่างมาก ในจังหวัดผ่านบทบาทข้าราชการประจำ จนเป็นที่ยอมรับนับถือ ของประชาชนทั่วไปจึงเป็นเหตุให้ได้รับ การเลือกตั้งให้เป็น สส.จังหวัดลพบุรีออย่างต่อเนื่องถึง 4 สมัย ทำให้มีผลงานและ ตำแหน่งสำคัญในระดับชาติตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา และมีทายาททางการเมืองคือ นายเกรียงยศ สุดลาภา ซึ่งม ี สายสัมพันธ์กับพรรคประชาธิปัตย์ แต่มีบทบาทในเขต กรุงเทพมหานครเป็นหลัก ตระกลู จริ ะพนั ธว์ุ าณชิ ทน่ี ำโดย นายกมล จริ ะพนั ธว์ุ าณชิ ชนะการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 1 จากการสังกัดพรรคชาติไทย จึงทำให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 8 สมัย เนื่องจากเป็น 120
สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ผู้ที่มีฐานเสียงจำนวนมาก สามารถที่จะเข้าถึงประชาชนได้ อย่างสะดวก และเป็นที่รู้จักของชาวบ้าน ใช้วิธีการช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งให้กับชาวบ้านอย่างเสมอต้นเสมอปลาย และ การทำงานเพื่อการพัฒนาชุมชน พัฒนาประชาชนอย่างทุ่มเท ภายหลังถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองพร้อมกับพรรคเพื่อไทยจึงส่ง บุตรสาว คือ นางสาวมัลลิกา จิระพันธ์วานิช เข้าสู่สนาม การเมืองแทนโดยอาศัยฐานเสียงเก่าของตน จนได้รับการ เลือกตั้ง 2 สมัยล่าสุด พลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ เป็นผู้ก่อตั้งหน่วยทหาร หน่วยรบพิเศษป่าหวาย และได้รับการแต่งตั้งเป็นบัญชาการ จึงมีความคุ้นเคยกับพื้นที่จังหวัดลพบุรี ต่อมาเมื่อเข้าสู่เส้น ทางการเมืองในตำแหน่งหัวหน้าพรรคราษฎร ซึ่งเปลี่ยนชื่อมา จากพรรคสหชาติในปีพ.ศ. 2529 จึงตัดสินใจเลือกจังหวัดลพบุรี เป็นพื้นที่เป้าหมายในการลงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไดร้ บั การเลอื กตง้ั ทว่ั ไปในปี พ.ศ.2529 และปี พ.ศ.2531 จนไดร้ บั ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี 2 สมัย (พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายก- รัฐมนตรี) ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในปี พ.ศ.2533 – 2534 นอกจากนั้นยังได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิก วุฒิสภา ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ต่อมา พลเอก เทียนชัย ได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานกรรมการ โอลิมปิกแห่งประเทศไทย และมีความสนใจในด้านกีฬา มวยไทย จนได้รับแต่งตั้งเป็นประธานสหพันธ์สหพันธ์สมาคม มวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ และเป็นประธานที่ปรึกษาของ สมาคมครูมวยไทย 121
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี นายอำนวย คลังผา เป็นนักการเมืองในจังหวัดลพบุร ี ที่มีประสบการณ์มากพอสมควรในระดับติดลมบน จากการ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 5 สมัย (ตั้งแต่ พ.ศ. 2539 – พ.ศ. 2554) จากการสังกัดพรรคความหวังใหม่ พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย เหตุผลที่ได้รับการ เลือกตั้งจึงเกิดมาจากการเข้าถึงประชาชนและพบประชาชน อย่างจริงใจ ให้ความเคารพประชาชนเหมือนพี่น้องตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ส่วนประชาชนที่สนับสนุนส่วนใหญ่อยู่ในเขต 2 ซึ่งมีอาชีพเกษตรกร สรุปผลการวิจัย จากการศึกษาเอกสาร และสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง สามารถสรุปและอภิปรายผลนักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุร ี ได้ดังนี้ 1. นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรีที่เคยได้รับการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ดูรายละเอียดในตาราง 1) เมื่อ จำแนกตามภูมิหลังสามารถจัดได้เป็นกลุ่มต่าง ๆ ได้แก่ กลุ่มครู อาจารย์ กลุ่มข้าราชการเก่า กลุ่มนักการเมืองท้องถิ่น กลุ่ม นักธุรกิจ และทนายความ จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่คือกลุ่มชน ชั้นนำ และผู้บริหาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญทางการเมือง และสังคมจากการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวของกับความเป็นอยู่ของ ประชาชน จึงเป็นกลุ่มคนที่ได้รับการยอมรับและได้รับเลือกให้ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ด้วยเหตุผลและแนวคิดของ ทฤษฎีผู้นำในยุคปัจจุบันนี้ ประชาชนมีบทบาทมากขึ้นมากกว่า ในอดีตที่ผ่านมานั่นคือ การที่ได้เข้าไปมีอำนาจในการเลือกสรร 122
สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ผู้แทนของตนเอง ให้ไปทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย ผ่าน ทางกระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามระบอบ การครองแบบประชาธิปไตย (Dye, 1984: 28-29) แต่อย่างไร ก็ตามประชาชนยังคงเลือกตัวแทนที่มาจากกลุ่มชนชั้นนำใน สังคม เพราะยึดมั่นกับความสามารถในตัวผู้นำกลุ่มต่างๆ 2. นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรีที่มีเครือข่ายสัมพันธ์ ฉันท์เครือญาติทางการเมืองระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ มีน้อยราย คือ ตระกูลจิระพันธ์วานิช ตระกูลวรปัญญา ตระกูล เกียรติวินัยสกุล ตระกูลธาราภูมิ ตระกูลสุดลาภา ตระกูล เชื้อเพ็ชร์ พลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ และนายอำนวย คลังผา 3. บทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ในการสนับสนุน นักการเมืองถิ่นในจังหวัดลพบุรี พบว่า จากการที่จังหวัดลพบุรี ถูกพัฒนาให้เป็นเมืองทหาร ทำให้กลุ่มผลประโยชน์หรือกลุ่ม ผสู้ นบั สนนุ ทางการเมอื งแบง่ เปน็ 2 กลมุ่ หลกั คอื กลมุ่ ประชาชน ทั่วไปที่เป็นเกษตรกรซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่สนับสนุนบุคลใดบุคคล หนึ่งเป็นการเฉพาะเจาะจง (ยกเว้นนักการเมืองเก่าแก่ที่มีความ คุ้นเคย) แต่สังเกตได้ว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่สัมพันธ์กับภูมิหลัง ของนักการเมือง เช่น ถ้านักการเมืองมีอาชีพเป็นเป็นครูมาก่อน กลุ่มที่สนับสนุนก็คือ กลุ่มเพื่อนครูและลูกศิษย์ ถ้านักการเมือง มีเครือญาติเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็จะใช้ฐานเสียง เดียวกัน เป็นต้น ต่อมาขยายฐานเสียงโดยใช้วิธีการเข้าถึง ประชาชนในพื้นที่ให้การช่วยเหลือ ส่งเสริม และสนับสนุน จนเปน็ ทย่ี อมรบั นบั ถอื ในชมุ ชน สว่ นอกี กลมุ่ คอื กลมุ่ ขา้ ราชการ ทหารที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับประชาชนทั่วไป จึงทำให้บริบท 123
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี การเมืองเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสของพรรคการเมืองในช่วง เวลาต่าง ๆ จากข้อสังเกตของผู้วิจัยจึงสันนิษฐานว่า อาจเป็น เพราะปัจจัยความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันทหารกับการเมือง 4. บทบาทของพรรคการเมืองในการสนับสนุนและ สัมพันธ์กับนักการเมืองถิ่นในจังหวัดลพบุรี จากข้อมูลการ เลือกตั้งแสดงให้เห็นได้ว่า พรรคการเมืองที่เคยได้รับการ เลือกตั้งในจังหวัดลพบุรีตั้งแต่อดีตประกอบด้วย 1. พรรคชาติไทย 2. พรรคประชาธิปัตย์ 3. พรรคกิจสังคม 4. พรรคราษฎร 5. ความหวังใหม่ 6. พรรคไทยรักไทย 7. พรรคเพื่อไทย 8. พรรคภมู ิใจไทยชาติพัฒนา 5. กลวิธีที่ใช้ในการหาเสียง นักการเมืองถิ่นในจังหวัด ลพบุรีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มักใช้เทคนิควิธีการหาเสียง ที่เหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ สรุปได้ดังต่อไปนี้ 5.1 การฉายภาพยนตร์ 5.2 การแจกสิ่งของ และเปลี่ยนเป็นแจกเงินตรา ในภายหลัง 5.3 การช่วยเหลืออุปถัมภ์ ในรูปแบบต่างๆ รวมถึง การอาศัยผลงานหรือบารมีของเครือญาติ 124
สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 5.4 การเข้าร่วมกิจกรรมงานบุญประเพณี กิจกรรม ทางสังคม และวัฒนธรรมต่างๆ 5.5 การลงพื้นที่เยี่ยมเยียนพบปะพูดคุยประชาชน อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการใช้วิธีการช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งให้กับ ชาวบ้านอย่างเสมอต้นเสมอปลาย และการทำงานเพื่อการ พัฒนาชุมชน พัฒนาประชาชนอย่างทุ่มเท 5.6 การนำผลงานเก่าในขณะเป็นนักการเมือง ท้องถิ่น และนโยบายพรรคมาใช้ในการหาเสียง 5.7 การนำผลงานและชื่อเสียงในตำแหน่งข้าราชการ ประจำมาใช้ในการหาเสียง อภิปรายผล จากการศึกษาค้นคว้าสามารถที่จะสรุป และอภิปรายผล ถึงการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี โดยการพิจารณา ในเชิงพัฒนาการได้ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ภาพในอดีต : หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นการสิ้นสุดพระราชอำนาจในระบอบสมบูรณา- ญาสิทธิราชย์ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ย ั ง ก ่ อ ใ ห ้ เ ก ิ ด ค ว า ม ข ั ด แ ย ้ ง ท า ง ก า ร เ ม ื อ ง ร ะ ห ว ่ า ง ก ล ุ ่ ม ผลประโยชน์ต่างๆ ที่มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ทั้งนี้เป็นเพราะยังมีผู้เห็นว่าการ ที่คณะราษฎรยึดอำนาจการปกครองมาจากพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองที่มี พระมหากษัตริย์ เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญนั้น ยังมิได้เป็น 125
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี ไปตามคำแถลงที่ให้ไว้กับประชาชน หลังจากนั้นการเมือง ก็ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด 30 ปี จากทั้งปัจจัยภายในอันเนื่อง มาจากการปฏิวัติ และกบฏหลายครั้ง ผนวกกับการไม่รับรู้ ไม่เข้าใจทางการเมืองของประชาชนทั่วไป รวมถึงปัจจัย ภายนอก คอื สงครามโลกครง้ั ทส่ี อง เมอ่ื จอมพล ป. พบิ ลู สงคราม ประกาศร่วมสงครามกับฝ่ายญี่ปุ่นจึงยิ่งทำให้สถานการณ์ ทางการเมืองแย่ลงไปอีก การเมืองในจังหวัดลพบุรียุคนั้น มีความรุนแรงมาก มีทั้งการฆ่ากันและการยิงกัน ทำให้ผู้ที่ เกี่ยวข้องกับการเมืองต่างได้รับผลกระทบจากความรุนแรง ในการแข่งขันกันทางการเมืองโดยการถูกลอบทำร้ายจากคู่แข่ง จึงกลายเป็นกลยุทธ์หลักในการเข้าสู่เส้นทางการเมือง ในยุคต่อมาเริ่มจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นพลพวงมาจากการที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจและขึ้นเป็นรัฐบาลใน พ.ศ.2501 นั้น จอมพลสฤษดิ์ ใช้การปกครองระบบพ่อขุน ซึ่งได้แก่ การใช้ อำนาจเด็ดขาดในการปกครองโดยการล้มสถาบันและกลไก การเมืองแบบมีส่วนร่วม เท่ากับเป็นการแช่เย็นการเมือง ขณะเดียวกันก็เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม พูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นการกลับไปสู่ระบบการเมืองการปกครองแบบโบราณ ในลักษณะที่เน้นการปกครองบริหารดูแลประชาชนให้อยู่ดีกินดี แบบพ่อปกครองลูก โดยผู้อยู่ใต้ปกครองไม่ต้องมีส่วนรู้เห็น การมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยไม่พัฒนา สถาบันให้คนมีส่วนร่วมนั้น ย่อมนำไปสู่ปัญหาข้อขัดแย้ง ซึ่งเป็นลักษณะธรรมดาของโลก คือการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตาม ย่อมไม่ได้เป็นไปในลักษณะที่ทุกคนจะได้ประโยชน์เท่าเทียมกัน 126
สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ เช่น การแบ่งสรรผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจนั้น ย่อมจะมี ข้อขัดแย้งเกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นผลมาจากนโยบายการพัฒนา ประเทศนั้นย่อมจะนำไปสู่การเรียกร้องใหม่ ๆ การที่ จอมพลถนอมได้ทำการรัฐประหารตัวเองเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2514 และกลับไปสู่การเมืองแบบสฤษดิ์ เห็นได้ชัดว่าเกิดการ เสียดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกับการ พัฒนาการเมืองซึ่งได้แก่ สถาบันการเมือง สถานการณ์ข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงความล้มสลาย ทางการเมือง และสถาบันทางการเมือง ผนวกกับการขาด ทิศทางที่แน่ชัด จึงทำให้การแข่งขันทางการเมืองในจังหวัด ลพบุรีเต็มไปด้วยความฉ้อฉลในการแข่งขันทางการเมือง นักการเมืองในสมัยนั้นนิยมหาเสียงด้วยวิธีการ ฉายหนัง เลี้ยงข้าว รวมถึงการแจกข้าวของ และกลายเป็นการแจก เงินตราให้กับประชาชนซึ่งเป็นการซื้อเสียง เนื่องจากในสมัยนั้น ยังไม่มีกฎหมายห้ามซื้อสิทธิขายเสียง การเลือกตั้งของจังหวัด ลพบุรีในยุคนั้นมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคต่าง ๆ เข้าร่วม การแข่งขันหลายพรรค ประกอบด้วย พรรคชาติไทย พรรค กิจสังคม พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง จากทั้งสองยุคสะท้อนภาพการเมืองถิ่นจังหวัดพลบุรี ในอดีต สอดคล้องกับการอธิบายของสิทธิพันธ์ พุทธพหุ (2551) เกี่ยวกับกรอบการศึกษาสังคมวิทยาการเมือง (Political Sociology) ที่ให้ความสนใจกับพฤติกรรมการเลือกตั้ง การรวม กลุ่มอำนาจทางเศรษฐกิจกับการตัดสินใจทางการเมือง อุดมการณ์ของขบวนการทางการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ 127
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี รวมถึงพรรคการเมือง และปัจจัยทางจิตวิทยาที่มีต่อพฤติกรรม ทางการเมือง นอกจากนี้แนวคิดดั้งเดิมยังส่งผลต่อความ แตกต่างของรูปแบบการเมือง อันเกิดจากพฤติกรรมของ นักการเมือง ได้แก่ การหาเสียงทางการเมือง การปฏิบัติงาน ในฐานะตัวแทนของประชาชน รวมถึงการตัดสินใจทางการเมือง เป็นต้น การเมืองในอดีตจึงติดกับกรอบแนวคิดที่มุ่งแย่งชิง ผลประโยชน์ส่วนบุคคล หรือกลุ่มบุคคล ตลอดจนการรักษา ผลประโยชน์ของตนไว้ จากการแสดงพฤติกรรมทุกรูปแบบ เพื่อให้ตนเองเข้าสู่อำนาจ และอยู่ในอำนาจได้นานที่สุดเท่าที่จะ ทำได้ จึงเป็นการเมืองที่ไม่สร้างสรรค์ มุ่งทำลายฝ่ายตรงข้าม หรือฝ่ายที่ไม่ใช่พรรคพวกของตนเองทุกรูปแบบ จึงส่งผลให้การ บริหารและการตัดสินใจทางการเมืองเป็นไปเพื่อคนกลุ่มน้อยที่ ยึดโยงกับอำนาจรัฐ นอกจากนี้ยังเป็นอุปสรรค ต่อการพัฒนา ประเทศชาติโดยรวม (Machiavelli, 1950) ภาพปัจจุบัน : ยุคประชาธิปไตยก้าวหน้าจาก รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ส่งผลให้ประชาชนตื่นตัวทางการเมือง มากขึ้น เกิดจากการเรียนรู้ และมีประสบการณ์โดยตรงกับ พรรคการเมืองจากการได้รับประโยชน์สาธารณะผ่านนโยบาย ต่าง ๆ ที่พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลยื่นให้ อีกทั้งการมีกฎหมาย เลือกตั้งที่ระบุเกี่ยวกับการห้ามซื้อเสียง จึงทำให้ประชาชน ส่วนใหญ่จะเข้าใจอะไรมากขึ้น รวมทั้งการเข้าถึงการเผยแพร่ ข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐ รูปแบบการหาเสียงด้วยวิธีการ แจกของมีจำนวนลดลง 128
สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ นอกจากนี้ เหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ซึ่งได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549 โดยได้กำหนดให้มีการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญและ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้น และท้ายที่สุดก็ได้มาซึ่ง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 กลับดึงให้ สถานการณ์ทางการเมืองถอยหลังย้อนกลับไปในอดีต และ ส่งผลในด้านลบออกมาอย่างมากมายทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แต่กลับทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจอย่าง ประจักษ์ชัดเจนมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับแก่นแท้ของการเมืองภายใต้ ระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นการเมืองในจังหวัดลพบุรีตลอดช่วงระยะเวลา 15 ปีหลัง เป็นการเมืองสมัยใหม่ที่มีการซื้อเสียงน้อยลงอันเนื่อง มาจากเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย นักการเมืองในจังหวัด ลพบุรีจึงใช้รูปแบบวิธีการหาเสียงที่หลากหลาย เช่น การร่วม ชว่ ยงานบญุ ของชมุ ชน และงานเทศกาลตา่ งๆ ตามประเพณไี ทย อีกทั้งการที่นักการเมืองส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับประชาชน ในเชิงการช่วยเหลือ การเป็นที่พึ่งของประชาชน และการร่วม กิจกรรมทางสังคมกับประชาชน ซึ่งเป็นรูปแบบการหาเสียงและ วิธีการสร้างคะแนนนิยมของนักการเมืองถิ่น ซึ่งปัจจัยที่สำคัญ ที่นำไปสู่ความสำเร็จทางการเมืองคือการคลุกคลีกับประชาชน เพื่อให้ประชาชนไว้วางใจ รวมถึงนโยบายของพรรคที่มีความ น่าสนใจ และตอบสนองความต้องการของประชาชน ทำให้ สถานการณ์ทางการเมืองลดความรุนแรงลงอย่างมากจาก ยุคก่อน 129
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี ส่วนการเข้าสู่การเมืองของนักการเมืองเริ่มจากสนาม การเมืองระดับท้องถิ่น ตั้งแต่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภา ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับต่าง ๆ เริ่มจากการมี เครือญาติหรือคนในครอบครัวที่อยู่ในแวดวงการเมืองมาก่อน ชักชวนให้เข้ามามีส่วนร่วมและมีประสบการณ์ทางการเมือง ในระดับท้องถิ่น และระดับประเทศตามลำดับ สรุปได้ว่า การเมืองสมัยใหม่จึงให้ความสำคัญกับ การตอบสนองความต้องการของประชาชน ที่อยู่ในสถานะ พลเมืองของรัฐ ซึ่งมีความชอบธรรมในการได้รับผลประโยชน์ สาธารณะที่รัฐจัดสรรให้ ทั้งนี้ก็เพื่อความอยู่ดีมีสุขอย่างทั่วถึง และเท่าเทียม อันเป็นฐานรากของการพัฒนารัฐชาติ ดังที่ Orion F. White,Jr. and Cynthia J. Mcswain (1990 : 34) ได้เสนอไว้ว่า การเมืองและการบริหารงานภาครัฐควรจะเปลี่ยนแปลงจาก ระบบที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนไปสู่ระบบชุมชนประชาธิปไตย อย่างแท้จริง จะนำไปสู่ความเสมอภาคและเสรีภาพ โดยที่ภาค รัฐควรกระจายอำนาจและความรับผิดชอบจากจุดศูนย์กลาง ไปสู่ส่วนปฏิบัติ และการให้สาธารณชนมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น ตามหลักประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ดังนั้นในการบริหารภาครัฐ ควรฟังเสียงประชาชน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ และ สร้างรูปแบบความต้องการเหล่านั้น เพื่อตอบสนองความ ต้องการของประชาชน และเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน นอกจากนี้เหตุผลและแนวคิดของทฤษฎีผู้นำในยุค ปัจจุบันนี้ จะพบว่า ประชาชนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ นั้น นับวันที่จะมีบทบาทมากขึ้นมากกว่าในอดีตที่ผ่านมานั่นคือ 130
สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การที่ได้เข้าไปมีอำนาจในการเลือกสรรผู้แทนของตนเอง ให้ไป ทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย ผ่านทางกระบวนการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามระบอบการปกครองแบบ ประชาธิปไตย (Dye, 1984: 28-29) สำหรับการนำเอาทฤษฎีผู้นำมาใช้ในการวิเคราะห์ การเลือกตั้งนักการเมืองถิ่นในยุคปัจจุบันนี้ มีการเปลี่ยนแปลง ไปอย่างเห็นได้ชัดเจนก็คือ จะเห็นได้ว่าเมื่อประชาชนส่วนใหญ่ ของประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มชั้นล่างสุด ได้มีการศึกษามากขึ้น มีการพัฒนาความรู้ ความสามารถ และความรับผิดชอบใน หน้าที่ของประชาชนที่ถูกต้องแล้ว ทำให้ประชาชนในกลุ่มนี ้ มีอำนาจในการมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศมากขึ้น นั่นก็คือ การที่ประชาชนสามารถที่จะใช้อำนาจของตนเองตามระบอบ ประชาธิปไตยในการคัดเลือกตัวแทน หรือการเลือกตั้งสมาชิก ผู้แทนราษฎรที่ตนเองต้องการให้ได้เข้าไปตัวแทน โดยพิจารณา ถึง ตัวแทนที่มาจากพรรคการเมืองที่มีนโยบายที่ตรงกันกับ ความต้องการของตนเองมากที่สุด เพื่อให้ได้พรรคการเมืองที่ม ี นโยบายดังกล่าว ได้นำนโยบายของพรรคการเมืองนั้นไปใช้ใน การบริหารประเทศได้ตามความต้องการ ดังนั้นประชาชนส่วนใหญ่จึงเป็นผู้ที่มีอำนาจในการ คัดเลือกตัวแทนของตนเอง คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ พรรคการเมืองที่ต้องการได้เข้าไปบริหารประเทศตามที่ตนเอง หรือประชาชนต้องการได้อย่างแท้จริงในยุคปัจจุบัน นั่นหมาย ถึงว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนั้นสามารถที่จะคัดเลือก ผู้นำที่สามารถกำหนดนโยบาย เพื่อนำไปใช้ในการบริหาร 131
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี ประเทศให้เกิดความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น และสามารถที่จะ ทำการควบคุมตรวจสอบผู้ที่นำนโยบายไปปฏิบัติ คือ ข้าราชการประจำและผู้บริหารให้สามารถที่จะนำนโยบาย ไปปฏิบัติให้บังเกิดผลสำเร็จตามต้องการในที่สุด การเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรีมีลักษณะเฉพาะ เนื่องจาก เป็นเมืองที่ได้รับการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางทางทหารตั้งแต่ สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ทำให้เกิดกลุ่มผู้มีอิทธิพลเป็น จำนวนมาก การเมืองในจังหวัดลพบุรีจึงปราศจากกลุ่มอิทธิพล ในลักษณะตระกูลใหญ่ที่มีบทบาททางการเมือง และมีการ สืบทอดทายาทมาเป็นระยะเวลายาวนานดังเช่นการเมืองใน จังหวัดอื่น หรือแม้แต่เครือข่ายทางการเมืองก็มีน้อย การเมือง จังหวัดลพบุรีจึงขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ปัจจัยแรกคือ การสร้างเครือข่ายทางการเมืองโดยใช้เครือญาติ และคนสนิทที่ ช่วยเหลือกัน มาเป็นฐานทางการเมือง จากการใช้ฐานเสียง ร่วมกันระหว่างการเมืองท้องถิ่นกับการเมืองระดับชาติ ส่วนใหญ่อาศัยความคุ้นเคยกับประชาชนในพื้นที่จากการทำ ธุรกิจของครอบครัว การสร้างผลงานในขณะที่เป็นนักการเมือง ท้องถิ่น เพื่อนำมาใช้ในการหาเสียง ปจั จยั ตอ่ มาคอื การยดึ ตวั บคุ คลเปน็ หลกั จากการศกึ ษา พบว่า นักการเมืองคนไหนที่มีความใกล้ชิดกับประชาชน ในลักษณะความสัมพันธ์ของสังคมไทยก็จะได้รับการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้วิถีทาง ทางการเมืองของนักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรีสอดคลองกับ ข้อเสนอของ กนก วงษ์ตระหง่าน (2528:336) อธิบายลักษณะ 132
สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การรวมกลุ่มของคนไทยที่เน้นความสัมพันธ์ส่วนตัวมากกว่า หลักของการรวมกลุ่มโดยอิงผลประโยชน์และอุดมการณ์ร่วมกัน ซึ่งการเกิดกลุ่มในลักษณะนี้เป็นผลมาจากการที่คนไทย มีวัฒนธรรมทางสังคมที่ยึดตัวบุคคล (Personalism) ส่วนปัจจัยประการสุดท้าย คือ การยึดถือกระแสของ พรรคการเมืองในแต่ละยุคเป็นหลักในการเลือกตั้ง โดยใช้ นโยบายของพรรคในการหาเสียง ดังเห็นได้จากการเลือกตั้ง แต่ละครั้งที่ผ่านมา ดังนั้นสถานการณ์ทางการเมืองในจังหวัด ลพบุรีจึงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ที่สะท้อนให้เห็นถึง ความเป็นอนิจจังทางการเมือง จากจำนวนนักการเมืองน้อยคน ที่สามารถยืนหยัดบนเวทีการเลือกตั้งได้มากกว่า 5 สมัย ส่วนคนที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ก็ด้วย 3 ปัจจัยหลักดังที่กล่าว ข้างต้น ในขณะที่ความรุนแรงทางการเมืองก็ยังเกิดขึ้นอยู่ตลอด เวลา ดังนั้นการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรีสมัยใหม่สอดคล้องกับ ผลการศึกษาของลูเซียน พาย (Lucian W. Pye อ้างใน สิทธิ พันธ์, 2551) เกี่ยวกับการเมืองของของสังคมที่อยู่ในระยะ เปลี่ยนแปลงพบว่าสภาพการณ์ทางการเมืองที่ปรากฏอยู่ใน สังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงมีลักษณะคล้ายคลึงกันทั่วโลก ดังนี้ สังคมที่อยู่ในระยะของการเปลี่ยนแปลงนักการเมือง หรือผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่สามารถแยกบทบาททางการเมืองกับ บทบาททางสังคมออกจากกันได้ กล่าวคือนักการเมืองต้องทำ หน้าที่ออกกฎกติกามาบังคับใช้บนพื้นฐานความเสมอภาคของ ทุกคนในสังคม แต่สิ่งที่พบเสมอในสังคมแบบนี้คือผลประโยชน์ 133
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี ต่าง ๆ ถกู นำมาใช้เพื่อเป็นฐานในการหาเสียงให้กับนักการเมือง ในพรรคของตนเองเป็นสำคัญ นอกจากนี้การตั้งพรรคการเมือง มีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องรักษาผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้นำ และพรรคพวกเป็นสำคัญ การยึดถือตัวบุคคลเป็นหลักมากกว่าการยึดหลักการ ในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง โดยจะเห็นได้จากนโยบาย พรรคที่ขึ้นอยู่กับการชี้นำของผู้นำและสมาชิกพรรค ซึ่งจะต้อง ยอมรับและภักดีต่อพรรคตราบเท่าที่นโยบายของผู้นำนั้น ไม่ทำให้สมาชิกเสียประโยชน์ ผู้ที่ต้องการมีส่วนร่วมทางการเมืองส่วนใหญ่ขาด เอกภาพ และมักถูกแทรกแซงจากอำนาจรัฐ ตลอดจนพรรคที่ ตนเองสังกัดอยู่ รวมถึงการกีดกัน หรือการจำกัดของเขต ทางการเมือง โดยอาศัยกฎเกณฑ์มาเอื้อต่อการดำรงอยู่ของ สถานภาพผู้นำของตนเอง จึงกระบวนการทางการเมืองที่ไม่ ผ่านสื่อกลางทางการเมือง กล่าวคือ เมื่อประชาชนมีเรื่อง เดือดร้อนและต้องการให้รัฐเข้ามาช่วยเยียวยาปัญหาจะไม ่ เรียกร้องผ่านองค์กรที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง แต่จะรวมตัวกัน แล้วมุ่งตรงไปที่ศูนย์กลางอำนาจคือ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเสนอ ปัญหาให้รัฐบาลรับรู้รับทราบ บทบาทของนักการเมืองจะเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา ตลอดเวลา ขาดหลักการและอุดมการณ์ ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่ม ผลประโยชน์ที่จัดตั้งขึ้นเฉพาะหน้าทำให้ขาดความจริงจัง และ ส่วนใหญ่จัดตั้งเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง หรือเรียกร้องให้ รัฐบาลให้ผลประโยชน์ตนเองมากขึ้นกว่าเดิม 134
สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ผู้นำทางการเมืองที่ต้องการได้รับคะแนนนิยมจะต้อง เข้าหาคนทุกกลุ่มในพื้นที่ของตน หรือทั่วประเทศ เพื่อให้เกิด การยอมรับของประชาชนที่เป็นฐานเสียง และนิยมใช้การต่อสู้ ทางการเมืองผ่านรูปแบบสัญลักษณ์และศักดิ์ศรี เพื่อให้เกิด ลักษณะของผู้นำบารมี กล่าวคือการมีบุคลิก หรือลักษณะ พิเศษที่ปรากฏอยู่ในตัวบุคคล ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างศรัทธา ให้ประชาชนรู้สึกเชื่อมั่นว่าผู้นำสามารถนำพาไปได้ ภาพในอนาคต : การเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรีในอนาคต มีแนวโน้มของการพัฒนาอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นผลจากปัจจัย ภายใน คือ ปรากฏการณ์ทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 ทำให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรที่เป็นคนจน (เป็นกลุ่มที่มีมากที่สุดในจังหวัดลพบุรี) ได้เรียนรู้เกี่ยวกับระบบ การเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย รวมถึงผลประโยชน์ สาธารณะ (public interest) ที่ประชาชนได้รับโดยตรงจาก นโยบายของรัฐบาลในยุคนั้น แต่เหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ผนวกกับผลพวงทางการเมืองที่เกิดจาก การทำรัฐประหารครั้งล่าสุด เปรียบเสมือนแรงผลักทางการ เมืองในด้านลบที่ส่งผลให้ประชาชนเรียนรู้จากการเปรียบเทียบ ผลดีและผลร้ายจากเหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมาตลอด ระยะเวลา 15 ปี นอกจากนี้ปัจจัยภายนอก คือ การเปลี่ยนแปลง โครงสร้างการเมืองและเศรษฐกิจ และสังคม อันเนื่องมาจาก การศึกษาของประชาชนที่สูงขึ้น เศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ข่าวสารมีความ 135
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169