นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี 36 รฐั ธรรมนญู และทม่ี าของ การเลือกตง้ั ทว่ั ไป จำนวนเขต จำนวนสมาชกิ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร เลือกตัง้ สภาผู้แทนราษฎร (เขต) (คน) สภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิกจำนวน 500 คน แบ่งออกเป็น การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 23 4 4 ส.ส.ประเภทบัญชีรายชื่อ 125 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง (3 ก.ค. 2554) โดยตรงของประชาชนทั้งประเทศ โดยการเลือกพรรค ทำให้จังหวัดลพบุรีมีเขต และส.ส.แบบแบ่งเขตการเลือกตั้งมีจำนวน 375 คน การเลือกตั้ง 4 เขต และมีผู้ได้ ใช้เกณฑ์คำนวณสัดส่วนจากจำนวนประชากรทั่วประเทศ รับเลือกเขตละ 1 คน ต่อ ส.ส. 375 คน และแบ่งเขตการเลือกตั้งแบบเขตเดียว เบอร์เดียว
ข้อมูลท่ัวไปของจังหวัดลพบุรี 21 ภาพท่ี 2 แผนที่แบ่งเขตการเลือกต้งั สมาชิกสภา ภาพท่ี 2 แผนทแ่ี บงเขผตู้แกาทรเนลรอื กาตษ้ังฎสมราจชงั กิ หสภวดัาผลแู พทนบรรุาษี 3ฎรกจรงั กหวฎัดาลคพมบรุ ี235ก5ร4ก ฎาคม 2554 ทม่ี า: สาํ นักงา ทนี่มคเขาณต:ะเสกลำอืรนรกักมตงก้งั าาทนรี่ คก1ณาประเรลกะือกรกรอมตบกงั้ ดปาวรรยกะจาอราํ ําเจลเงัภือหอกวเมตดั ือั้งลปงพลรบพะรุจบี,ำุร2จี (5ังเฉ5ห4พวาัดะลเทพศบบุราี,ล2เ5ม5ือ4งล พบุรี เทศบาลเมือง เขาสามยอด เทศบาลตาํ บเลขเขตาเพลระืองากมตเทั้งศทบีา่ ล1ตปาํ บรละทกา ศอาลบาดเท้วศยบาอลตำําเบภลอโคเกมตือูมงเลทศพบบาลุรตี ําบลถนนใหญ เทศบาลตําบลก(กเฉโกพตาําะบเลทปศาบตาาลลเตมาํ ือบงลลทะพเลบชุรบุ ี เศทรศแบละาตลาํ เบมลือทงา เแขคา)สามยอด เทศบาล ตำเขบตลเลเือขกาตพ้ังรทะี่ 2งาปมระกเทอบศดบวายลอตําำเภบอลเมทือ่างลศพาบลุราี (เเฉทพศาะบตาําลบลตบำาบงขลัน หมาก ตําบล พดแลอระหนอมโาํพมเภาธส์ิอตตบํารา บนตปโลหคาํ ่าตบมกตะล่ี ลตาโุงพูลมธตติเ์เํากทำบา ศบลตบนบลาทาตนละําขบเตอลลยำชโบกุบตงลําศธบถนรลูนตแทนาํลาบยใะลหตตโลญคำากบด่ กเลทตะทเําศท่าบบียแลมคาโพล)ต ธตํา์ิตบำรลบุ โแคลลกกะลตกําําโพบกาลนสต่ีคตำลําบอบลงล) งอิ้วํราาเภยอตทําาบวลุง โคกเจรญิ อาํ เภอเชขยั ตบเลาอืดกาลต้ัง(เทฉี่ พ3าปะรตะาํ กบอลบชดัยวนยารอาาํ ยเภณอ โตคํากบสลาํ ศโริลงาทอําิพเภยอ ตหํานบอลงมมวว งงคออํามเภตอําสบรละมโ3บะ7สกถอก อหําวเภานอ ตาํ บลบา นใหมสามัคคี และตําบลเขาแหลม) เขตเลอื กต้ังท่ี 4 ประกอบดว ย อําเภอพฒั นานคิ ม อาํ เภอทาหลวง อําเภอลาํ สนธิ อาํ เภอชัย
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี เขตเลือกตั้งที่ 2 ประกอบด้วย อำเภอเมืองลพบุรี (เฉพาะตำบลบางขันหมาก ตำบลพรหมมาสตร์ ตำบลโพธิ์ เก้าต้น ตำบลโก่งธนู ตำบลโคกกะเทียม ตำบลโคกลำพาน ตำบลงิ้วราย ตำบลดอนโพธิ์ ตำบลตะลุง ตำบลบ้านข่อย ตำบลท้ายตลาด ตำบลโพธิ์ตรุ และตำบลสี่คลอง อำเภอท่าวุ้ง และอำเภอบ้านหมี่ เขตเลือกตั้งที่ 3 ประกอบด้วย อำเภอโคกสำโรง อำเภอ หนองม่วง อำเภอสระโบสถ์ อำเภอโคกเจริญ อำเภอชัยบาดาล (เฉพาะตำบลชัยนารายณ์ ตำบลศิลาทิพย์ ตำบลม่วงค่อม ตำบลมะกอกหวาน ตำบลบ้านใหม่สามัคคี และตำบลเขา แหลม) เขตเลือกตั้งที่ 4 ประกอบด้วย อำเภอพัฒนานิคม อำเภอท่าหลวง อำเภอลำสนธิ อำเภอชัยบาดาล (เฉพาะ เทศบาลตำบลลำนารายณ์ ตำบลห้วยหิน ตำบลลำนารายณ์ ตำบลบัวชุม ตำบลท่าดินดำ ตำบลซับตะเคียน ตำบลนาโสม ตำบลหนองยายโต๊ะ ตำบลเกาะรัง ตำบลท่ามะนาว ตำบล นิคมลำนารายณ์ และตำบลชัยบาดาล 38
5.2 จำนวนประชากรที่มีสิทธเลือกตั้งในจังหวัดลพบุรี ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดลพบุรี, 2554 ข้อมูลท่ัวไปของจังหวัดลพบุรี 39
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี 5.3 พรรคการเมืองที่มีบทบาทในจังหวัด พรรคการเมืองที่มีบทบาทในจังหวัดลพบุรี จากการ ศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีต่อการตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองของ ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดลพบุรี คือ ปัจจัยการเมือง ระดับประเทศ จากผลการเลือกตั้งที่สะท้อนให้เห็นถึง พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกจากประชาชนในจังหวัดลพบุรี สอดคล้องกับผลการเลือกตั้งระดับประเทศ คือ พรรคการเมือง ที่สมาชิกได้รับการเลือกมากเป็น 3 อันดับแรก ดังรายละเอียด ต่อไปนี้ การเลือกตั้งท่ัวไปครั้งที่ 8 (26 ก.พ. 2500) ซึ่งเป็น ครั้งแรกที่มีการสังกัดพรรคการเมือง โดยผู้ที่รับเลือกตั้ง เป็น ส.ส. จังหวัดลพบุรี สังกัดพรรคเสรีมนังคศิลาที่มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นหัวหน้าพรรค และเป็นพรรคที่มีจำนวน ส.ส.ได้รับการเลือกตั้งมากที่สุด แต่อย่างไรก็ตามมีการวิพากษ์ วิจารณ์กันในวงกว้างว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีการโกงการเลือกตั้ง ให้แก่ผู้สมัครของพรรคเสรีมนังคศิลา เนื่องจากจอมพล ป. พิบูล สงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีและมีหน้าที่ควบคุมการเลือกตั้ง จึงทำให้เกิดการชุมนุมประท้วงที่หน้าทำเนียบรัฐบาล การเลือกต้ังท่ัวไปครั้งท่ี 10 (10 ก.พ. 2512) โดยผู้ที่ รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จังหวัดลพบุรี 2 คน สังกัดพรรคสหประชา- ไทย ซึ่งเป็นพรรคที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดจนทำให้มี จำนวน ส.ส. มากเป็นอันดับแรก เนื่องจากมีจอมพล ถนอม กิตติขจร เป็นหัวหน้าพรรค 40
ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดลพบุรี ในยุควิกฤติทางการเมือง พ.ศ. 2514 – พ.ศ. 2519 มีการ เลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 11 ในวันที่ 26 มกราคม 2518 และครั้งที่ 12 ในวันที่ 4 เมษายน 2519 อีกทั้งการบังคับให้ผู้สมัคร ส.ส.ทุกคน ต้องสังกัดพรรคการเมือง จึงทำให้มีพรรคการเมืองเกิดขึ้น มากมาย ส่งผลให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดลพบุรี ตัดสินใจเลือกบุคคลมากว่าเลือกพรรคการเมือง ดังผลการ เลือกตั้งที่แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของพรรคที่ได้รับการ เลือกตั้ง ต้ังแต่การเลือกตั้งท่ัวไปคร้ังท่ี 14 (18 เม.ย. 2526) จนถึง ครั้งที่ 19 (2 ก.ค. 2538) พรรคการเมืองที่ได้รับความนิยม ที่สุดในจังหวัดลพบุรีคือ พรรคชาติไทย เนื่องจากเป็นพรรคที่มี บทบาททางการเมืองระดับชาติอย่างเด่นชัดมาโดยตลอด ดังสะท้อนให้เห็นถึงผลการเลือกตั้งของพรรค จากจำนวน สมาชิกได้รับการเลือกตั้งเป็นอันดับแรก หรือไม่ก็อันดับที่สอง ตลอดระยะเวลาดังกล่าว ในการเลือกตั้งท่ัวไปคร้ังที่ 20 (17 พ.ย. 2539) เนื่องจากกระแสพรรความหวังใหม่จึงทำให้ประชาชนในจังหวัด ลพบุรีส่วนหนึ่งหันมาเลือกพรรคความหวังใหม่ แต่ก็ยังมี บางส่วนที่ยังคงเลือกพรรคชาติไทย ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ได้ รับเลือก 1 คน เนื่องจากเป็นคนในพื้นที่ และมีผลงานในทำงาน เพื่อประชาชนอย่างชัดเจน จึงทำให้ได้รับการเลือกเป็น ส.ส. ในสมัยที่ 3 คือ นายนิพนธ์ ธาราภมู ิ การเลือกตั้งท่ัวไปคร้ังที่ 21 (6 ม.ค. 2544) จากการที่ มีพรรคใหม่จัดตั้งขึ้นเป็นจำนวนมาก และกระแสความนิยม 41
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี พรรคในระดับประเทศที่มีมาก พรรคไทยรักไทยจึงได้รับการ เลือกตั้งในจังหวัดลพบุรี จำนวน 4 คน แต่มี ส.ส.เก่าแก่ 6 สมัย ภายใต้สังกัดพรรคชาติไทย คือ นายกมล จิระพันธ์วานิช ก็ได้ รับการเลือกตั้งในครั้งนี้ การเลือกตั้งท่ัวไปครั้งท่ี 22 (6 ก.พ. 2548) ถึงครั้งที่ 24 (3 ก.ค. 2554) ความนิยมในพรรคไทยรักไทย ยังคงมีอย่าง ต่อเนื่องจากผลงานในการบริหารประเทศ จึงทำให้ได้รับ การเลือกตั้งมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าจะประสบกับอุบัติเหตุ ทางการเมือง จนต้องมีการยุบพรรค และมีการเปลี่ยนชื่อใหม่ เป็นพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย แต่ก็ยังคงได้รับ ความนิยมอยู่ในปัจจุบัน 42
แนวคิด ทฤษฎี บ3ทท ี่ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษา “นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี” ในการศึกษา ครั้งนี้ผู้ศึกษาได้รวบรวมเอกสารด้านหลักการแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วย 1. แนวคดิ เกย่ี วกบั การเมอื งและการหาเสยี งทางการเมอื ง 2. แนวคิดเกี่ยวกับชนชั้นนำ แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องข้างต้น ปรากฏ รายละเอียดดังนี้
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี 1. แนวคิดเก่ียวกับการเมืองและการหาเสียง ทางการเมือง การเมอื งเปน็ เรอ่ื งทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ บั คำวา่ “สาธารณะ” อันหมายรวมถึงพื้นที่สาธารณะ (Public space) ที่โยงใยกับ องค์ประกอบต่าง ๆ ได้แก่ นโยบาย กฎหมาย พลเมือง รัฐบุรุษ และกลุ่มทางการเมือง เป็นต้น นอกจากนี้เป้าหมายที่สำคัญ ของการเมือง คือ ประโยชน์สาธารณะ (Public interest) ที่ผู้แทน ทางการเมืองทั้งหลายต่างต้องผลิต ออกมาเพื่อตอบสนองต่อ ความต้องการของกลุ่มผลประโยชน์ที่ตนเองเป็นตัวแทน ซึ่งเป็น ล ั ก ษ ณ ะ ข อ ง ก า ร เ ม ื อ ง ภ า ย ใ ต ้ รู ป แ บ บ ก า ร ป ก ค ร อ ง แ บ บ ประชาธิปไตยทางอ้อม ที่ประชาชนเลือกผู้แทนมาทำหน้าที่ ปกครองประเทศแทนตน โดยให้เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยในด้าน ต่าง ๆ การเมืองสมัยใหม่จึงให้ความสำคัญกับการตอบ สนองความต้องการของประชาชน ที่อยู่ในสถานะพลเมืองของ รัฐ ซึ่งมีความชอบธรรมในการได้รับผลประโยชน์สาธารณะที่รัฐ จัดสรรให้ ทั้งนี้ก็เพื่อความอยู่ดีมีสุข อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม อันเป็นฐานรากของการพัฒนารัฐชาติ ดังที่ Orion F. White,Jr. and Cynthia J. Mcswain (1990 : 34) ได้เสนอไว้ว่า การเมือง และการบริหารงานภาครัฐควรจะเปลี่ยนแปลงจากระบบที่เห็น แก่ประโยชน์ส่วนตนไปสู่ระบบชุมชนประชาธิปไตยอย่างแท้จริง จะนำไปสู่ความเสมอภาคและเสรีภาพ โดยที่ภาครัฐควร กระจายอำนาจและความรับผิดชอบจากจุดศูนย์กลางไปสู่ส่วน ปฏิบัติ และการให้สาธารณชนมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น ตามหลัก 44
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ดังนั้นในการบริหารภาครัฐควรฟัง เสียงประชาชน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ และสร้าง รูปแบบความต้องการเหล่านั้น เพื่อตอบสนองความต้องการ ของประชาชน และเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน ดังนั้น การเมืองจึงมิใช่กรอบแนวคิดที่มุ่งแย่งชิง ผลประโยชน์ส่วนบุคคล หรือกลุ่มบุคคล ตลอดจนการรักษา ผลประโยชน์ของตนไว้ จากการแสดงพฤติกรรมทุกรูปแบบเพื่อ ให้ตนเองเข้าสู่อำนาจ และอยู่ในอำนาจได้นานที่สุดเท่าที่จะ ทำได้ จึงเป็นการเมืองที่ไม่สร้างสรรค์ มุ่งทำลายฝ่ายตรงข้าม หรือฝ่ายที่ไม่ใช่พรรคพวกของตนเองทุกรูปแบบ จึงส่งผลให้การ บริหารและการตัดสินใจทางการเมืองเป็นไปเพื่อคนกลุ่มน้อยที่ ยึดโยงกับอำนาจรัฐ นอกจากนี้ยังเป็นอุปสรรค ต่อการพัฒนา ประเทศชาติโดยรวม (Machiavelli, 1950) ภาพกระบวนทัศน์ทางการเมืองที่มีความขัดแย้งกัน ระหว่างกรอบแนวคิดดั้งเดิมและกรอบแนวคิดใหม่ส่งผลต่อ ความแตกต่างของรูปแบบการเมือง อันเกิดจากพฤติกรรมของ นักการเมือง ได้แก่ การหาเสียงทางการเมือง การปฏิบัติงาน ในฐานะตัวแทนของประชาชน รวมถึงการตัดสินใจทางการเมือง เป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาสังคมวิทยาการเมือง (Political Sociology) ที่ให้ความสนใจกับพฤติกรรมการเลือกตั้ง การรวมกลุ่มอำนาจทางเศรษฐกิจกับการตัดสินใจทางการเมือง อุดมการณ์ของขบวนการทางการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ รวมถึงพรรคการเมืองและปัจจัยทางจิตวิทยาที่มีต่อพฤติกรรม ทางการเมือง (สิทธิพันธ์, 2551) ลูเซียน พาย (Lucian W. Pye 45
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี อ้างใน สิทธิพันธ์, 2551) ได้ศึกษาการเมืองของสังคมที่อยู่ใน ระยะเปลี่ยนแปลงพบว่า สภาพการณ์ทางการเมืองที่ปรากฏอยู่ ในสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงมีลักษณะคล้ายคลึงกันทั่วโลก ดังนี้ สังคมที่อยู่ในระยะของการเปลี่ยนแปลงนักการเมือง หรือผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่สามารถแยกบทบาททางการเมืองกับ บทบาททางสังคมออกจากกันได้ กล่าวคือนักการเมืองต้องทำ หน้าที่ออกกฎกติกามาบังคับใช้บนพื้นฐานความเสมอภาคของ ทุกคนในสังคม แต่สิ่งที่พบเสมอในสังคมแบบนี้คือผลประโยชน์ ต่าง ๆ ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นฐานในการหาเสียงให้กับนักการ เมืองในพรรคของตนเองเป็นสำคัญ นอกจากนี้การตั้งพรรค การเมืองมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องรักษาผลประโยชน์ส่วนตัว ของผู้นำและพรรคพวกเป็นสำคัญ การยึดถือตัวบุคคลเป็นหลักมากกว่าการยึดหลักการ ในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง โดยจะเห็นได้จากนโยบาย พรรคที่ขึ้นอยู่กับการชี้นำของผู้นำและสมาชิกพรรค ซึ่งจะต้อง ยอมรับและภักดีต่อพรรคตราบเท่าที่นโยบายของผู้นำนั้น ไม่ทำให้สมาชิกเสียประโยชน์ ผู้ที่ต้องการมีส่วนร่วมทางการเมืองส่วนใหญ่ถูก แทรกแซงจากอำนาจรัฐ ตลอดจนพรรคที่ตนเองสังกัดอยู่ รวม ถึงการกีดกัน หรือการจำกัดของเขตทางการเมือง โดยอาศัย กฎเกณฑ์มาเอื้อต่อการดำรงอยู่ของสถานภาพผู้นำของตนเอง กระบวนการทางการเมืองที่ไม่ผ่านสื่อกลางทางการเมือง กล่าวคือ เมื่อประชาชนมีเรื่องเดือดร้อนและต้องการให้รัฐเข้ามา 46
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ช่วยเยียวยาปัญหาจะไม่เรียกร้องผ่านองค์กรที่ทำหน้าทีเป็น สื่อกลาง แต่จะรวมตัวกันแล้วมุ่งตรงไปที่ศูนย์กลางอำนาจ คือ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเสนอปัญหาให้รัฐบาลรับรู้รับทราบ บทบาทของนักการเมืองจะเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา ตลอดเวลา ขาดหลักการและอุดมการณ์ ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่ม ผลประโยชน์ที่จัดตั้งขึ้นเฉพาะหน้าทำให้ขาดความจริงจัง และ ส่วนใหญ่จัดตั้งเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง หรือเรียกร้องให้ รัฐบาลให้ผลประโยชน์ตนเองมากขึ้นกว่าเดิม ผู้นำทางการเมืองที่ต้องการได้รับคะแนนนิยมจะต้อง เข้าหาคนทุกกลุ่มในพื้นที่ของตน หรือทั่วประเทศ เพื่อให้เกิด การยอมรับของประชาชนที่เป็นฐานเสียง และนิยมใช้การต่อสู้ ทางการเมืองผ่านรูปแบบสัญลักษณ์และศักดิ์ศรี เพื่อให้เกิด ลักษณะของผู้นำบารมี กล่าวคือการมีบุคลิก หรือลักษณะ พิเศษที่ปรากฏอยู่ในตัวบุคคล ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างศรัทธา ให้ประชาชนรู้สึกเชื่อมั่นว่าผู้นำสามารถนำพาไปได้ 2. แนวคิดเก่ียวกับชนช้ันนำ ทฤษฎีชนชั้นผู้นำ(Elite Theory) มีลักษณะที่สำคัญของ ทฤษฎีคือ นโยบายถือเป็นความรับผิดชอบของผู้นำที่ปกครอง ประเทศ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้นำเป็นผู้ที่กำหนดนโยบาย นั่นเอง ทั้งนี้เพราะประชาชนโดยทั่วไปขาดความสนใจและ ความรู้ในเรื่องนโยบาย ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้นำ (Thomas R. Dye and Harmon Zeigler, 1981) 47
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี ภาพท่ี 3 ลักษณะสำคญั ของทฤษฎีผนู้ ำ ผนู้ ำ ข้าราชการประจำ/ผู้บริหาร ประชาชน จากรูปที่ 2 ตามทฤษฎีผู้นำ ได้แบ่งคนในสังคม หรือ ในประเทศออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือ ชนชั้นนำ ข้าราชการ ประจำ หรือ ผู้บริหาร และประชาชน โดยหน้าที่หลักของคนทั้ง 3 กลุ่มนั้นมีแตกต่างกันออกไปเนื่องจากระดับหรือฐานะของ คนในแต่ละระดับดังกล่าวนั้นแตกต่างกันตามระดับหรือฐานะ กล่าวคือ กลุ่มของชนชั้นนำซึ่งมีจำนวนน้อยที่สุดมีอำนาจหน้าที่ ในการกำหนดนโยบายหรือการตัดสินปัญหานโยบายของชาติ เนื่องจากเป็นผนู้ ำท่มี คี วามร้คู วามเช่ียวชาญในดา้ นการนโยบาย ในกลุ่มของข้าราชการประจำ หรือผู้บริหารจะมีหน้าที่ที่สำคัญ ก็คือ การนำนโยบายไปปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ ที่ได้ตั้งเอาไว้ ในส่วนของประชาชนที่เป็นกลุ่มของคนส่วนใหญ่ 48
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ของประเทศนั้น จะมีบทบาทในการที่ใช้อำนาจในการเลือก ผู้แทนให้เป็นตัวแทนในการเข้าไปกำหนดนโยบายเพื่อ ตอบสนองความต้องการที่คาดหวังเอาไว้นั่นเอง โดยมีการ ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ที่นำนโยบายไปปฏิบัติให ้ บรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ด้วยเหตุผลและแนวคิดของทฤษฎีผู้นำดังกล่าวในยุค ปัจจุบันนี้ จะพบว่า ประชาชน ที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศนั้น นับวันที่จะมีบทบาทมากขึ้นมากกว่าในอดีตที่ผ่านมานั่นคือ การที่ได้เข้าไปมีอำนาจในการเลือกสรรผู้แทนของตนเอง ให้ไป ทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย ผ่านทางกระบวนการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามระบอบการปกครองแบบ ประชาธิปไตย (Dye, 1984: 28-29) สำหรับการนำเอาทฤษฎีผู้นำ (Elite Theory) มาใช้ในการ วิเคราะห์การเลือกตั้งนักการเมืองถิ่นในยุคปัจจุบันนี้ มีการ เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดเจนก็คือ จะเห็นได้ว่าเมื่อ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มชั้นล่างสุด ได้มีการ ศึกษามากขึ้น มีการพัฒนาความรู้ ความสามารถ และความ รับผิดชอบในหน้าที่ของประชาชนที่ถูกต้องแล้ว ทำให้ประชาชน ในกลุ่มนี้มีอำนาจในการมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ มากขึ้น นั่นก็คือการที่ประชาชนสามารถที่จะใช้อำนาจของ ตนเองตามระบอบประชาธิปไตยในการคัดเลือกตัวแทน หรือ การเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎรที่ตนเองต้องการให้ได้เข้าไป ตัวแทน โดยพิจารณาถึง ตัวแทนที่มาจากพรรคการเมืองที่มี นโยบายที่ตรงกันกับความต้องการของตนเองมากที่สุด เพื่อให้ 49
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี ได้พรรคการเมืองที่มีนโยบายดังกล่าว ได้นำนโยบายของ พรรคการเมืองนั้นไปใช้ในการบริหารประเทศได้ตามความ ต้องการ ดังนั้นประชาชนส่วนใหญ่จึงเป็นผู้ที่มีอำนาจในการ คัดเลือกตัวแทนของตนเอง คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ พรรคการเมืองที่ต้องการได้เข้าไปบริหารประเทศตามที่ตนเอง หรือประชาชนต้องการได้อย่างแท้จริงในยุคปัจจุบัน นั่นหมาย ถึงว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนั้นสามารถที่จะคัดเลือก ผู้นำที่สามารถกำหนดนโยบาย เพื่อนำไปใช้ในการบริหาร ประเทศให้เกิดความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น และสามารถ ที่จะทำการควบคุมตรวจสอบผู้ที่นำนโยบายไปปฏิบัติ คือ ข้าราชการประจำและผู้บริหารให้สามารถปฏิบัติให้บังเกิด ผลสำเร็จตามต้องการ 50
นักการเมืองถิ่น บ4ทท ี่ จังหวัดลพบุรี 1. ภูมิหลังทางการเมืองของจังหวัดลพบุรี 1.1 ลพบุรีในอดีต ลพบุรีเป็นเมืองที่มีความหลากหลายและต่อเนื่องของ ความเจริญทางวัฒนธรรมยาวนานกว่า 3,000 ปี ตั้งแต่สมัย ก่อนประวัติศาสตร์ การพบหลักฐานต่างๆ แสดงว่า ลพบุรีเป็น ที่ตั้งของชุมชนมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ในส่วนของการ สร้างเมืองลพบุรีนั้น ตามประวัติศาสตร์ในพงศาวดารโยนก กล่าวว่า ผู้สร้างเมืองลพบุรีหรือที่เรียกว่า “ละโว้” ในสมัย โบราณ คือ พระเจ้ากาฬวรรณดิษ (ข้อมูลบางแหล่งกล่าวไว้ว่า พระเจ้ากาฬวรรณดิษ คือกษัตริย์ผู้ครองเมืองตาก มีความ ประสงค์ที่จะสร้างเมืองในแว่นแคว้นสุวรรณภูมิ ซึ่งก็คือเมือง ลพบุรี เมื่อสร่างเสร็จแล้ว พระองค์จึงได้เสด็จมาเสวยราชย ์ ที่เมืองลพบุรี อันเป็นปฐมกษัตริย์ของเมืองลพบุรีตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา) (หวน, 2511: น. 2)
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี พระเจ้ากาฬวรรณดิษ ราชโอรสแห่งพระเจ้ากรุงขอม กรุงขอมสร้างขึ้นใน พ.ศ.1002 และเป็นเมืองที่มีความสำคัญ มาตั้งแต่สมัยทวารวดีเคยอยู่ใต้อำนาจของมอญและขอม (จังหวัดลพบุรี, 2554) ต่อมารัชทายาท คือ พระยาพาลีราช ได้ครองเมืองลพบุรีต่อ ทำให้อาณาเขตของอาณาจักรลพบุรีนั้น แผ่ไปไกลมาก ดังจะเห็นได้จากสมัยหนึ่งมีการส่งนางจามเทวี ราชธิดาไปครองเมืองหริภุญไชย ตามคำเชิญชวนของชาวเมือง ต่อมาเมื่ออาณาจักรโยนกเชียงแสนเป็นใหญ่ขึ้นก็ได้แผ่อิทธิพล มาครอบครองเมืองลพบุรี หลังจากนั้นมีการผลัดกันปกครอง เมืองลพบุรีระหว่างอาณาจักรขอม อาณาจักรมอญ (พม่า) ขึ้นอยู่กับสรรพกำลังของแต่ละอาณาจักร (หวน, 2511: น. 3) ในจังหวัดลพบุรีมีชุมชนโบราณ ชื่อ สวะปุระ จากการ บันทึกประวัติศาสตร์ตำนานชินกาลมาทีปกรณ์ ในสมัยพระนาง จามเทวี ครองเมืองหริภุญชัย (พ.ศ. 1205) โดยจารึกเป็นภาษา มอญบนเสาแปดเหลี่ยม และหลักฐานโบราณวัตถุสถานเป็นสิ่ง ก่อสร้างในพุทธศตวรรษที่ 11-15 ซึ่งเป็นหลักฐานถึงความเจริญ ทางด้านเทคโนโลยีในการสร้างคูเมือง กำแพงดิน เส้นทาง คมนาคม รวมถึงความเชื่อและศาสนาที่ปรากฏในยุคนั้น (ชูศรี, 2542: น. 26) หลัง พ.ศ. 1500 ละโว้มีฐานะเป็น รัฐขนาดเล็กในที่ราบ ลุ่มน้ำลพบุรี-ป่าสัก และเป็นส่วนหนึ่งของรัฐทวารวดีซึ่งเป็นรัฐ ขนาดใหญ่ ได้มีการปรับเปลี่ยนเชื่อวงศ์ชน ที่เกี่ยวดองเป็น เครือญาติกับเมืองพระนวคบริเวณทะเลสาบในกัมพูชา ด้านภาษา ซึ่งเป็นผลจากสภาพแวดล้อมและความจำเป็นทาง 52
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี ศาสนา-การเมือง ทำให้รัฐที่อยู่ใกล้ทะเลต้องปรับปรุงตัวอักษร ทราวดีมาใช้ ทำให้มีลักษณะเฉพาะขึ้นมาอย่างน้อย 2 กลุ่ม คือ อักษรมอญ และอักษรขอม ต่อมาภายหลังกายเป็นอาณาจักร ใหญ่ 2 แห่ง คือ รามัญประเทศนับถือศาสนาพุทธเถรวาท (ในประเทศพม่า) และกัมพุชเทศ นับถือศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู ในกัมพชู า) (สุจิตต์, 2549: น. 162-163) แต่ก็มีความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ถึงที่มาของชื่อ เมืองละโว้ ดังที่ ชูศรี (2542: น. 27) กล่าวว่า ในพุทธศตวรรษที่ 15-16 ได้มีการเปลี่ยนแปลงชื่อจาก สวปุระ เป็น ลว หรือละโว้ ในสมัยที่ตกอยู่ในอำนาจการเมืองของอาณาจักรเขมร ซึ่งศิลา จารึกได้กล่าวถึงพระทานกรมรเตงดำกวนอัญศรี สุรยวรมเทวะ ซึ่งเชื่อกันว่าน่าจะเป็นพระเจ้าสุรยวรมันที่ 1 (พ.ศ. 1545-1593) มีการสืบทอดความว่า ก่อนการตั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีต้องมี การส่งส่วยน้ำจากทะเลชุบศร ให้แก่กษัตริย์เขมรในสมัยนั้นด้วย หลัง พ.ศ. 1700 มีการเปลี่ยนแปลงทางศาสนา การเมือง ครั้งใหญ่ เนื่องจากอาณาจักรกัมพูชาเปลี่ยนศาสนาจากศาสนา พราหมณ์ เป็นพุทธศาสนาแบบหมายาน จึงส่งผลให้บ้านเมือง และรัฐเครือญาติยอมรับนับถือมหายานตามไปด้วย และยังก่อ ให้เกิดความขัดแย้ง เพราะฝ่ายที่นับถือพุทธศาสนาเถรวาท ไม่ยอมรับ โดยเฉพาะพวกที่สืบตระกูลไทย-ลาว เลยเกิด การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เช่น เปลี่ยนราชวงศ์และย้าย ศูนย์กลางของรัฐ ดังกรณีรัฐละโว้ย้ายไปอยู่ที่อโยธยา- ศรีรามเทพนครริมแม่น้ำเจ้าพระยา (กลายเป็นกรุงศรีอยุธยา ในเวลาต่อมา) ส่วนลุ่มน้ำยมก็เกิดรัฐสุโขทัยขึ้นพร้อมกับรัฐ 53
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี สุพรรณภูมิ (ที่สืบเนื่องพุทธเถรวาทจากอู่ทอง-นครชัยศรี) โดย รัฐเหล่านี้มีการรวมตัวกันทางการเมืองอย่างหลวม ๆ มีชื่อใน เอกสารว่าสยามประเทศ (สุจิตต์, 2549: น. 166-167) 1.2 สมัยกรุงศรีอยุธยา ในรชั สมยั ของพระเจา้ อทู่ องปฐมกษตั รยิ แ์ หง่ กรงุ ศรอี ยธุ ยา ลพบุรีดำรงฐานะเป็นเมืองลูกหลวง กล่าวคือ พระเจ้าอู่ทอง ได้โปรดให้พระราเมศวร ราชโอรสองค์ใหญ่เสด็จมาครองเมือง ลพบุรี ซึ่งพระราเมศวรโปรดให้สร้างป้อม คูเมืองและสร้าง กำแพงเมอื งอยา่ งมน่ั คง เมอ่ื พระเจา้ อทู่ องสวรรคต พระราเมศวร ได้ถวายราชบัลลังค์ให้แก่พระปิตุลาของพระองค์ ซึ่งได ้ ครองราชย์ พระนามวา่ พระบรมราชาธริ าชท่ี 1 สว่ นพระราเมศวร ยังคงครองเมืองลพบุรีต่อไปจนถึง พ.ศ.1931 สมเด็จพระบรม- ราชาธิราชที่ 1 สวรรคต พระราเมศวรจึงขึ้นครองราชย์ ณ กรุงศรีอยุธยา (จังหวัดลพบุรี, 2554) หลังจากนั้นเมืองลพบุรีได้ลดความสำคัญลง จนถึงสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2175 – พ.ศ. 2231) เมือง ลพบุรีได้รับการทำนุบำรุงขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งนี้สืบเนื่องจาก ก า ร ค ุ ก ค า ม ข อ ง ช น ช า ต ิ ฮ อ ล ั น ด า ท ี ่ ต ิ ด ต ่ อ ค ้ า ข า ย ก ั บ กรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเห็นว่า กรุงศรีอยุธยาไม่ปลอดภัยจากการปิดล้อมและระดมยิงของ ข้าศึกยามเกิดศึกสงคราม เนื่องจากใกล้ปากอ่าวมากเกินไป จึงได้สร้างเมืองลพบุรีเป็นราชธานีแห่งที่ 2 ขึ้น เพราะเมือง ลพบุรีมีที่ตั้งทางยุทธศาสตร์เหมาะสมซึ่งในการสร้างเมืองลพบุรี นั้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้รับความช่วยเหลือจากช่าง 54
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี ชาวฝรั่งเศสและอิตาเลียน ได้สร้างพระราชวังที่มีป้อมปราการ เป็นแนวป้องกันอย่างมั่นคง ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงโปรดประทับที่เมืองลพบุรี ตามหลักฐานปรากฏว่า พระองค์ ประทับอยู่ที่เมืองลพบุรี ปีละ 8-9 เดือน โปรดให้ทูตและชาว ต่างประเทศเข้าเฝ้าที่เมืองลพบุรีหลายครั้ง ศรีศักร (2540) กล่าวไว้ว่า การแปรพระราชฐานของพระมหากษัตริย์ในยุค สมเด็จพระนารายณ์ เป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นจากกการติดต่อกับ ทางยุโรป และทำให้เกิดการสร้างพระราชวังและพระราชฐาน ในที่ต่าง ๆ นอกบริเวณราชธานี เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชสวรรคต ใน พ.ศ.2231 ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรค์ ภายในพระนารายณ์ราชนิเวศน์ เมืองลพบุรีก็หมดความสำคัญลง สมเด็จพระเพทราชาได้ทรง ย้ายหน่วยราชการทั้งหมดกลับกรุงศรีอยุธยา และในสมัยต่อมา ก็ไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดเสร็จมาประทับที่เมืองลพบุรีอีก เมือง ลพบุรีจึงมีสภาพเกือบเป็นเมืองร้างตลอดระยะเวลา 90 ปี เนื่องจากชาวไทยไปยังกรุงศรีอยุธยา จึงทำให้มีชาวไทยเผ่า ต่าง ๆ ย้ายมาอยู่อาศัยแทน จึงทำให้มีชาวเมืองที่พูดสำเนียง ต่างกันออกไป เช่น พวกที่พูดสำเนียงอีสาน คือพวกที่อพยพ มาจากเมืองเวียงจันท์ พวกที่พดู ภาษาไทยพวน คือพวกที่อพยพ มาจากหลวงพระบาง และมีชาวมอญบางส่วนที่มาอยู่ตำบล บางขันหมากก็เป็นชาวหงสาวดี เป็นต้น (หวน, 2511: น. 4-5) 1.3 สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์โปรดให้บูรณะเมืองลพบุรีขึ้น 55
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี มาอีกครั้งใน พ.ศ.2406 มีการซ่อมกำแพงเมือง ป้อมและประตู รวมทั้งมีการสร้างพระที่นั่งพิมานมงกุฎในพระราชวัง พร้อมทั้ง พระราชทานนามพระราชวังว่า “พระนารายณ์ราชนิเวศน์” เนื่องจากมีการติดต่อกับต่างประเทศมากขึ้น ทรงเกรงว่าจะถูก เรือรบต่างชาติปิดปากอ่าวบ้างก็เป็นได้ และทรงจัดให้มีการ ปกครองประเทศแบบใหม่ โดยให้มีมณฑล จังหวัด และอำเภอ ลพบุรีจึงเป็นจังหวัดสำคัญจังหวัดหนึ่งของมณฑลอยุธยา และ เป็นที่ตั้งสำคัญทางการทหาร (ตรี, 2509) 1.4 สมัยหลังการเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จังหวัดลพบุรีได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วในสมัย จอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเห็นว่า จังหวัดลพบุรีมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสำหรับเป็นที่ตั้ง กองกำลังทหาร จึงได้กำหนดนโยบาย และใช้นโยบายจำนวน มากในการพัฒนาจังหวัดลพบุรี ดังจะเห็นได้จากการวางผัง เมืองใหม่ และการก่อสร้างอาคารสถานที่ต่าง ๆ (กรมศิลปากร, 2542) ตั้งแต่นั้นมาลพบุรีจึงกลายเป็นเมืองสำคัญทางการทหาร ของประเทศไทย ที่เรียกว่า เมืองทหาร หรือเมืองใหม่ และ กลายเป็นศูนย์กลางของหน่วยงานราชการ โดยตั้งอยู่ฝั่งทิศ ตะวันออกของทางรถไฟ คือเขตอำเภอเมือง ประกอบด้วยตำบล ป่าหวาย ตำบลดงสวอง (ปัจจุบันคือ ตำบลเขาสามยอด) ตำบล หนองแขมไปจนถึงตำบลโคกกระเทียม (หวน, 2511. น.10) ซึ่งมี ความเจริญในลักษณะของความเป็นเมืองมากขึ้น แต่พื้นที่ รอบนอกยงั คงเปน็ ชนบททำใหป้ ระชาชนประกอบอาชพี เกษตรกร เป็นส่วนใหญ่ จึงส่งผลต่อความคิดเห็นของประชาชนกับ 56
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี การเมอื งแตกตา่ งกนั ระหวา่ งคนเมอื งกบั คนชนบททม่ี คี วามตอ้ งการ ไม่เหมือนกัน จึงทำให้การเลือกตั้งของจังหวัดลพบุรีออกมาใน รูปแบบพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคขึ้นไปแข่งขันกันมาตลอด จากผลการเลือกตั้งจะเห็นได้ว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ อดีตจนถึงปัจจุบันมาจากต่างพรรค 2จัง. หกวาัดรลเลพือบกุรตี ้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การเลือกตั้งและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัด ลพบุรี ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 ถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2554) นับตั้งแต่มี การเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา คณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร หลังเปลี่ยนแปลง การปกครองได้ประกาศแต่งตั้งผู้แทนชั่วคราวขึ้น เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 จำนวน 70 คน ถือว่าผู้แทนราษฎรชั่วคราว ชุดนี้ เป็นสภาชุดที่ 1 ต่อมาเมื่อได้มีการปฏิวัติเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 และได้มีการแต่งตั้งสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 2 ขึ้น ซึ่งประชาชนยังไม่มีโอกาสได้เลือกตัวแทนของ ตนเองเข้าดำเนินการบริหารประเทศ ในช่วงต้นของการ เปลี่ยนแปลงการปกครอง จากข้อมูลการเลือกตั้งครั้งแรกใน พ.ศ. 2476 ถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2554) สามารถลำดับเหตุการณ์ การเลือกตั้งและรายชื่อผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรของจังหวัดลพบุรี ได้ดังนี้ 57
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 1 (15 พ.ย. 2476) การเลอื กตง้ั ครง้ั แรกไดเ้ รม่ิ ขน้ึ ใน พ.ศ.2476 คอื มพี ระราช- กฤษฎีกา กำหนดให้กรมการอำเภอดำเนินการเลือกตั้งผู้แทน ตำบล ระหวา่ งวนั ท่ี 1 ตลุ าคม ถงึ วนั ท่ี 15 พฤศจกิ ายน พ.ศ.2476 ได้ผู้แทนราษฎรทั่วประเทศจำนวน 78 คน ทำหน้าที่เป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 และนับเป็น “ผู้แทนราษฎร” ชุดแรกที่เข้ามาทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร และสิ้นสุดเมื่อ ครบวาระ 4 ปี ในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2480 ผู้ที่ได้รับเลือกเป็น ส.ส.ของจังหวัดลพบุรีคนแรก คือ นายสว่าง ศรีวิโรจน์ สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 2 (7 พ.ย. 2480) ใน พ.ศ.2480 ได้จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปทั่วประเทศ โดยให้ราษฎรเป็นผู้เลือกโดยตรง และกำหนดวิธีแบ่งเขตให้ แต่ละเขตเลือกผู้แทนราษฎรได้เขตละ 1 คน จังหวัดลพบุร ี ในสมัยนั้นมีผู้แทนราษฎรได้ 1 คน ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งครั้งนั้น คือ นายแฟ้ม วรพิทยุต ซึ่งเป็นผู้แทนราษฎรคนแรกของจังหวัด ลพบุรีที่ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาน สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 3 (12 พ.ย. 2481) การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งโดยใช้วิธีแบ่งเขต เลือกตั้ง ให้แต่ละเขตมีผู้แทนราษฎรได้ 1 คน ทำให้จังหวัด ส่วนใหญ่ทั่วประเทศมีผู้แทนราษฎรได้ 1 คน ผู้ที่ได้รับเลือกเป็น ส.ส. คนที่ 3 ของลพบุรี คือ นายสำอาง ศรีสวัสดิ์ ต่อมาถึงแก่ กรรมในระหว่างดำรงตำแหน่ง (21 ม.ค. 2486) จึงมีการเลือก ผู้แทนคนใหม่ คือ นายประเสริฐ วาสิกสิน ได้เข้ามาเป็น ส.ส. 58
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี แทนเมื่อ 9 พ.ค. 2486 สภาชุดนี้สิ้นสุดลงโดยการยุบสภา ในวันที่ 15 ตุลาคม 2488 สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 4 (6 ม.ค. 2489) สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 4 ได้มาจากการเลือกตั้งภายใต้ กฎเกณฑ์เดิม ซึ่งใช้เกณฑ์จำนวนประชากร 200,000 คน ต่อ ส.ส. 1 คน มีวาระ 4 ปี โดยจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2489 จังหวัดลพบุรีมีผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง เป็นส.ส.คนที่สี่ คือ นายกฤตย์ สงวนวงศ์ ต่อมารวมกับ ส.ส. ที่ได้รับการเลือกตั้งในชุดที่ 5 ทำให้สภาชุดนี้สิ้นสุดลงพร้อมกัน สภาผู้แทนราษฎรเพิ่มเติมชุดที่ 4 (5 ส.ค. 2489) ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2489 (นำมาใช้ภายหลังการเลือกตั้งครั้งที่ 4) กำหนดให้สภาผู้แทน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน โดยแบ่งเขตเลือกตั้ง แบบเดิม และเป็นการเลือกตั้งเพิ่มเติมในวันที่ 5 ส.ค. 2489 เพื่อ ให้ได้จำนวน ส.ส.เพิ่มในสภา จังหวัดลพบุรีจึงมี ส.ส.เพิ่มอีก 1 คน คือ นายบุญช่วย มาประเสริฐ ต่อมา สภาชุดนี้สิ้นสุดลง เมื่อ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 เนื่องจากการทำรัฐประหารของ พลโทผิน ชุณหะวัณ สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 5 (29 ม.ค. 2491) รัฐธรรมนูญฉบับแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2490 (5 ธ.ค. 2490) กำหนดให้มี 2 สภา คือ สภาผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้ง และวุฒิสภามาจาก การแต่งตั้ง ส.ส.มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน 59
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี เป็นการเลือกแบบรวมเขตจังหวัดละ 1 คน โดยจัดการเลือกตั้ง วันที่ 29 ม.ค. 2491 ส.ส.ลพบุรีที่เข้าสู่สภาชุดที่ 6 คือ นายบุญมี ปาร์มวงศ์ สภาชุดนี้สิ้นสุดลงเนื่องจากการทำรัฐประหารของ พลเอกผิน ชุณหะวัณ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 6 (26 ก.พ. 2495) สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ได้มาจากการเลือกตั้ง ภายใต้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไข เพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 ที่ใช้วิธีและเกณฑ์การเลือกตั้ง เหมือนครั้งก่อน แต่กำหนดให้สภามีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี สภาชุดนี้จึงสิ้นสุดลงตามวาระ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 ส.ส.จังหวัดลพบุรีที่ได้รับการเลือกตั้งในสมัยนี้ คือ นายศิริ ภักดีวงศ์ สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 7 (26 ก.พ. 2500) ภายใต้เงื่อนไขเดิม (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495) จึงเกิดการ เลือกตั้งผู้แทนราษฎรชุดที่ 8 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ในการเมืองไทยคือ การลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคการเมือง ผู้ที่ได้รับการ เลือกตั้งเป็นส.ส.ลพบุรี คือ นายบุญช่วย มาประเสริฐ สังกัด พรรคเสรีมนังคศิลา ซึ่งได้จำนวนส.ส.มากที่สุดในครั้งนั้น สภา ผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลงจากการทำรัฐประหารของจอมพล สฤษดิ์ ธนรัชต์ เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 60
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 8 (15 ธ.ค. 2500) การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายหลังการทำ รัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 ซึ่งยังคงใช้รัฐธรรมนูญฉบับเดิม คือการใช้ระบบ การเลือกตั้งแบบรวมเขตจังหวัด โดยกำหนดเกณฑ์ประชากร 150,000 คนต่อ ส.ส. 1 คน ทำให้จังหวัดลพบุรีมี ส.ส. เพิ่มขึ้น เป็น 2 คน และผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง คือ นายบุญมี ปาร์มวงศ์ สังกัดพรรคสหภูมิ และได้รับเลือกเป็นส.ส.สมัยที่สอง และ พล.ต. เฉลิม พงษ์สวัสดิ์ ไม่สังกัดพรรคการเมือง (ในสมัยนั้น กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมือง) แต่สภา ชุดนี้ก็สิ้นสุดลงก่อนครบวาระจากการทำรัฐประหารครั้งที่ 2 ของจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 9 (10 ก.พ. 2512) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 กำหนด ใหม้ จี ำนวน ส.ส. 219 คน จากการเลอื กตง้ั โดยตรงจากประชาชน ใช้ระบบการเลือกตั้งแบบรวมเขตจังหวัด และมีวาระในการ ดำรงตำแหน่ง 4 ปี ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.ลพบุรี ครั้งนี้ 3 คน ได้แก่ ส.ส.สังกัดพรรคสหประชาไทย คือ นายบุญช่วย มาประเสริฐ นายบุญเจริญ ปิยะสุวรรณ์ และ ส.ส.สังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ คือ นายเสรี แพทย์ศรีวงษ์ สภาชุดนี้สิ้นสุดลงจาก การทำรัฐประหารของจอมพลถนอม กิตติขจร เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 61
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 10 (26 ม.ค. 2518) สภาชุดนี้มาจากการเลือกตั้งในวันที่ 26 มกราคม 2518 ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2517 กำหนดให้มีส.ส. มาจากการเลือกตั้ง โดยตรงจากประชาชน ในระบบการเลือกตั้งแบบผสม กำหนด ให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวน ส.ส.ได้ไม่เกิน 3 คน และไม่น้อย กว่า 2 คน จึงทำให้มีการแบ่งเขตเลือกตั้งย่อยภายในเขตจังหวัด ในกรณีที่จังหวัดใดจังหวัดหนึ่งมีจำนวนส.ส.มากกว่า 3 คน มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี การเลือกตั้งครั้งนี้จึงทำให้จังหวัด ลพบุรีมีจำนวน ส.ส.เพิ่มเป็น 4 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 เขต เขตละ 2 คน ได้แก่ เขตเลือกตั้งที่ 1 นายบุญมี ปาร์มวงศ์ สังกัดพรรคเกษตรสังคม เป็นส.ส.สมัยที่ 3 และนายนิยม วรปัญญา สังกัดพรรคสังคมชาตินิยม เขตเลือกตั้งที่ 2 นายเฉลิมชัย ทองตันไตรย์ สังกัดพรรคชาติไทย และนายธีระ ปิยะสุวรรณ์ สังกัดพรรคพลังใหม่ สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุด ลงโดยพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2519 มีผล บังคับใช้วันที่ 12 มกราคม 2519 สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 11 (4 เม.ย. 2519) สมาชิสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้มาจากการเลือกตั้งในวันที่ 4 เมษายน 2519 โดยใช้เกณฑ์การเลือกตั้งเดิม (รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2517) จังหวัดลพบุรีจึงมี ส.ส.จากการเลือกตั้งดังนี้ เขตเลือกตั้งที่ 1 นายนิยม วรปัญญา สังกัดพรรคกิจสังคม นายธีระ ปิยะสุวรรณ์ สังกัดพรรคธรรมสังคม เขตเลือกตั้งที่ 2 นายเฉลิมชัย เล็กชม สังกัดพรรคกิจสังคม และนายนิกร นนทวงศ์ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ สภาชุดนี้สิ้นสุดลงจาก 62
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี การยึดอำนาจการปกครองของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชะลออยู่ ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 12 (22 เม.ย. 2522) หลังจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองประเทศไทย จึงมี รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ปี 2521 ที่เพิ่มจำนวน ส.ส.ในสภาเป็น 301 คน จากการเลือกตั้งวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2522 แต่ไม่มี การเปลี่ยนแปลงวิธีและเกณฑ์การเลือกตั้ง จังหวัดลพบุรีจึงมี ส.ส.จากการเลือกตั้งทั้ง 2 เขต ดังนี้ เขตเลือกตั้งที่ 1 นายสวัสดิ์ วงศ์กวี สังกัดพรรคเสรีธรรม นายบัญญัติ วงษ์ประยูร สังกัด พรรคกิจสังคม เขตเลือกตั้งที่ 2 นายโอภาส พลศิลป สังกัด พรรคกิจสังคม และนายธีระ ปิยะสุวรรณ์ ไม่สังกัดพรรค การเมือง สภาชุดนี้สิ้นสุดลง เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2526 จากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2526 สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 13 (18 เม.ย. 2526) เนื่องจากยังคงใช้รัฐธรรมนูญฉบับเดิม จึงทำให้เกิด การเลือกตั้งในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2526 จังหวัดลพบุรี มี ส.ส.จากการเลือกตั้งทั้ง 2 เขต ดังนี้ เขตเลือกตั้งที่ 1 นายสวสั ด์ิ วงศก์ วี สงั กดั พรรคชาตไิ ทย นายกมล จริ ะพนั ธว์ุ าณชิ สังกัดพรรคชาติไทย เขตเลอื กต้งั ที่ 2 นายนยิ ม วรปญั ญา สังกัด พรรคชาติไทย และนายโอภาส พลศิลป สังกัดพรรคกิจสังคม สภาชุดนี้สิ้นสุดลง เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 จาก พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2529 63
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 14 (27 ก.ค. 2529) การเลือกตั้งครั้งนี้จังหวัดลพบุรีมีการแบ่งสัดส่วน ส.ส.ใหม่ ภายใต้เกณฑ์เดิมเนื่องจากมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น ในเขตเลือกตั้งที่ 1 จึงมีส.ส.ได้ 3 คน มีผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง ได้แก่ นายกมล จิระพันธุ์วาณิช สังกัดพรรคชาติไทย พล.อ.เทียนชัย สิริสัมพันธ์ สังกัดพรรคราษฎร พล.ท.เอนก บุนยถี สังกัดพรรคชาติไทย เขตเลือกตั้งที่ 2 มีส.ส. 2 คน ได้แก่ นายนิยม วรปัญญา สังกัดพรรคชาติไทย นายโอภาส พลศิลป สังกัดพรรคสหประชาธิปไตย การเลือกตั้งครั้งนี้ ส.ส.ทุกคนต้อง สังกัดพรรคการเมือง และพรรคการเมืองนั้นจะต้องส่งสมาชิก เข้ารับสมัครเลือกตั้งไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.ทั้งหมด สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2531 จากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2531 สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 15 (24 ก.ค. 2531) ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2521 การเลือกตั้งครั้งที่ 16 เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 มีผู้ได้ รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.จังหวัดลพบุรีแบ่งตามเขตได้ดังนี้ เขตเลือกตั้งที่ 1 พล.อ.เทียนชัย สิริสัมพันธ์ และนายเชาวน์วัศ สดุ ลาภา ทง้ั สองคนสงั กดั พรรคราษฎร นายกมล จริ ะพนั ธว์ุ าณชิ สังกัดพรรคชาติไทย เขตเลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ พล.ท.เอนก บุนยถี และนายนิยม วรปัญญา ทั้งสองคนสังกัดพรรคชาติไทยซึ่งเป็น พรรคที่ได้จำนวน ส.ส.มากที่สุดในสภา สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ สิ้นสุดลงเนื่องจากการยึดอำนาจการปกครองของคณะรักษา ความสงบเรยี บรอ้ ยแหง่ ชาติ (รสช.) ในวนั ท่ี 23 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2534 64
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 16 (22 มี.ค. 2535) ต า ม บ ท บ ั ญ ญ ั ต ิ ท ี ่ ก ำ ห น ด ไ ว ้ ใ น ร ั ฐ ธ ร ร ม นู ญ แ ห ่ ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 กำหนดให้มีจำนวน ส.ส. 360 คน เป็นการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ใช้วิธีการ เลือกตั้งแบบผสมตามเกณฑ์เหมือนกับรัฐธรรมนูญปี 2521 แต่ กำหนดเพิ่มเติมในส่วนของเกณฑ์อัตราเฉลี่ยของประชากร ทั้งประเทศต่อ ส.ส. 360 คน คือ ประชากร 150,000 คนขึ้นไป ต่อ ส.ส. 1 คน มีวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี โดย ส.ส.ทุกคนต้อง สังกัดพรรคการเมือง และพรรคการเมืองนั้นจะต้องส่งสมาชิก สมัครเป็น ส.ส.ไม่น้อยกว่า 120 คน จากการเลือกตั้งวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553 มีผู้ได้รับ การเลือกตั้งเป็น ส.ส.จังหวัดลพบุรีแบ่งตามเขตได้ดังนี้ เขตเลือกตั้งที่ 1 ได้แก่ นายกมล จิระพันธุ์วาณิช สังกัดพรรค ชาติไทย นายเชาวน์วัศ สุดลาภา สังกัดพรรคกิจสังคม นายสวัสดิ์ วงศ์กวี สังกัดพรรคความหวังใหม่ เขตเลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ นายรัศมี วรรณิสสร สังกัดพรรคสามัคคีธรรม และ นายนิยม วรปัญญา สังกัดพรรคชาติไทย สภาผู้แทนราษฎร ชุดนี้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2535 จากพระราช- กฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2535 สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 17 (13 ก.ย. 2535) จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2535 (10 กันยายน พ.ศ. 2535) แต่ไม่มีการ เปลี่ยนวิธีและเกณฑ์การเลือกตั้ง จากการผลเลือกตั้งวันที่ 13 65
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี กันยายน พ.ศ. 2535 มีผู้ได้รับการเลือกตั้งเป็นส.ส.จังหวัดลพบุรี แบ่งตามเขตได้ดังนี้ เขตเลือกตั้งที่ 1 ได้แก่ นายกมล จิระพันธุ์- วาณิช สังกัดพรรคชาติไทย นายนิพนธ์ ธาราภูมิ สังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ นายบุญทรง วงศ์กวี สังกัดพรรคความหวังใหม่ เขตเลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ นายเชาวน์วัศ สุดลาภา สังกัดพรรค กิจสังคม และนายนิยม วรปัญญา สังกัดพรรคชาติไทย สภา ผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 จากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2538 สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 18 (2 ก.ค. 2538) สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้มีจำนวน 391 คน เนื่องจากมีการ แก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช 2535 (10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538) และมีการเปลี่ยนเกณฑ์จาก เดิมที่กำหนดจำนวน ส.ส.คงที่ 360 คน เป็นเกณฑ์กำหนดตาม ประชากร 150,000 คน ต่อส.ส. 1 คน แต่จังหวัดลพบุรียังคงมี จำนวน ส.ส. 5 คน มีการแบ่งเขตการเลือกตั้งออกเป็น 2 เขต ได้แก่ เขตเลือกตั้งที่ 1 ได้แก่ พล.ต.อ.บุญชู วังกานนท์ สังกัดพรรคความหวังใหม่ นายนิพนธ์ ธาราภูมิ สังกัดพรรค ประชาธปิ ตั ย์ และนายอบุ ลศกั ด์ิ บัวหลวงงาม สงั กัดพรรคความ หวงั ใหม่ เขตเลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ นายเชาวน์วัศ สุดลาภา สังกัด พรรคกิจสังคม และนายนิยม วรปัญญา สังกัดพรรคชาติไทย สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2539 จากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2539 66
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 19 (17 พ.ย. 2539) สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้มีจำนวน 393 คน เนื่องจากมีการ แก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับที่ 6) พุทธศักราช 2535 (27 กันยายน พ.ศ. 2539) แต่ยังคงใช้เกณฑ์และวิธีการ เลือกตั้งแบบเดิม จึงมีผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.จังหวัดลพบุรี แบ่งตามเขตต่าง ๆ ดังนี้ เขตเลือกตั้งที่ 1 ได้แก่ นายกมล จิระพันธุ์วาณิช สังกัดพรรคชาติไทย นายนิพนธ์ ธาราภูมิ สังกัด พรรคประชาธิปัตย์ และพล.ต.อ.บุญชู วังกานนท์ สังกัดพรรค ความหวังใหม่ เขตเลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ นายนิยม วรปัญญา สังกัดพรรคชาติไทย นายอำนวย คลังผา สังกัดพรรค ความหวังใหม่ สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 จากพระราชกฤษฎีกายุบสภา ผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2543 สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 20 (6 ม.ค. 2544) ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรมี ส.ส.จำนวน 500 คน แบ่งออกเป็น ส.ส.ประเภทบัญชีรายชื่อ 100 คน ซึ่งมา จากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนทั้งประเทศ โดยการ เลือกพรรค และ ส.ส.แบบแบ่งเขตการเลือกตั้งมีจำนวน 400 คน ใช้เกณฑ์คำนวณประชากรต่อ ส.ส. 1 คน กำหนดให้แต่ละเขต การเลือกตั้งมี ส.ส. 1 คน หรือที่เรียกว่า “เขตเดียวเบอร์เดียว” ทำให้จังหวัดลพบุรีแบ่งเขตการเลือกตั้งออกเป็น 5 เขต มีผู้ที่ได้ รับเลือกเป็น ส.ส. เขตละ 1 คน ได้แก่ เขตเลือกตั้งที่ 1 นายณัฐพล เกียรติวินัยสกุล สังกัดพรรคไทยรักไทย เขตเลือกตั้ง 67
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี ที่ 2 นายพงษ์ศักดิ์ วรปัญญา สังกัดพรรคไทยรักไทย เขต เลือกตั้งที่ 3 นายกมล จิระพันธุ์วาณิช สังกัดพรรคชาติไทย เขตเลือกตั้งที่ 4 นายอำนวย คลังผา สังกัดพรรคไทยรักไทย และเขตเลือกต้ังท่ี 5 นายนยิ ม วรปญั ญา สังกัดพรรคไทยรกั ไทย สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลงเนื่องจากดำรงตำแหน่งครบ วาระ เมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2548 สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 21 (6 ก.พ. 2548) ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับเดิมจึงไม่มีการเปลี่ยนวิธีและ เกณฑ์การเลือกตั้ง จังหวัดลพบุรีจึงมีผู้ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ได้แก่ เขตเลือกตั้งที่ 1 นายณัฐพล เกียรติวินัยสกุล สังกัดพรรค ไทยรักไทย เขตเลือกตั้งที่ 2 นายพงษ์ศักดิ์ วรปัญญา สังกัด พรรคไทยรักไทย เขตเลือกตั้งที่ 3 นายสุชาติ ลายน้ำเงิน สังกัด พรรคไทยรักไทย เขตเลือกตั้งที่ 4 นายอำนวย คลังผา สังกัด พรรคไทยรักไทย และเขตเลือกตั้งที่ 5 นายนิยม วรปัญญา สังกัดพรรคไทยรักไทย สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลง เนื่องจากการรัฐประหารนำโดย คณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งมีพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะ เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 22 (23 ธ.ค. 2550) ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรมี ส.ส.จำนวน 480 คน แบ่งออกเป็น ส.ส.ประเภทบัญชีรายชื่อ 80 คน ซึ่งมา 68
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี จากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนทั้งประเทศ โดยการเลือก พรรค และ ส.ส.แบบแบ่งเขตการเลือกตั้งมีจำนวน 400 คน ใช้เกณฑ์คำนวณสัดส่วนจากจำนวนประชากรทั่วประเทศต่อ ส.ส. 400 คน และกลับไปใช้วิธีการแบ่งเขตแบบเก่า คือ แบบ เขตใหญ่เรียงเบอร์ จังหวัดลพบุรีจึงมีเขตเลือกตั้ง 2 เขต ได้แก่ เขตเลือกตั้งที่ 1 มี ส.ส. 3 คน คือ นายสุชาติ ลายน้ำเงิน สังกัด พรรคพลังประชาชน นางสาวผ่องศรี ธาราภูมิ สังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ และนางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช สังกัดพรรค ชาติไทยพัฒนา เขตเลือกตั้งที่ 2 มี ส.ส. 2 คน คือ นายอำนวย คลังผา และนายนิยม วรปัญญา ทั้งสองคนสังกัดพรรค พลังประชาชน สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 จากพระราชกฤษฎกี ายบุ สภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. 2554 สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 23 (3 ก.ค. 2554) ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2554 (3 มีนาคม พ.ศ. 2554) กำหนดให้มี ส.ส.จำนวน 500 คน แบ่งออกเป็น ส.ส. ประเภทบัญชีรายชื่อ 125 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรง ของประชาชนทั้งประเทศ โดยการเลือกพรรค และ ส.ส.แบบ แบ่งเขตการเลือกตั้งมีจำนวน 375 คน ใช้เกณฑ์คำนวณสัดส่วน จากจำนวนประชากรทั่วประเทศต่อ ส.ส. 375 คน และแบ่งเขต การเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว ทำให้จังหวัดลพบุรีมีเขต การเลือกตั้ง 4 เขต และมีผู้ได้รับเลือกเขตละ 1 คน ได้แก่ เขตเลือกตั้งที่ 1 นายพิชัย เกียรติวินัยสกุล สังกัดพรรคเพื่อไทย 69
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี เขตเลือกตั้งที่ 2 นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช สังกัดพรรค ภูมิใจไทย เขตเลือกตั้งที่ 3 นายอำนวย คลังผา สังกัดพรรคเพื่อ ไทย เขตเลือกตั้งที่ 4 นายเกียรติ เหลืองขจรวิทย์ สังกัดพรรค ภมู ิใจไทย สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ยังดำรงตำแหน่งในปัจจุบัน 70
ตารางที่ 3 สรปุ ผลการเลอื กต้งั และสมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรของจังหวัดลพบรุ ี ต้ังแต่ พ.ศ.2476 ถึงปัจจุบัน (พ.ศ.2554) คร้งั ท่ ี วนั /เดือน/ปี รายช่อื ส.ส. เขต พรรค 1 15 พ.ย. 2476 นายสว่าง ศรีวิโรจน์ 2 7 พ.ย. 2480 นายแฟ้ม วรพิทยุต 3 12 พ.ย. 2481 นายสำอาง ศรีสวัสดิ์ (ถึงแก่กรรม 21 ม.ค. 2486) นายประเสริฐ วาสิกสิน (แทน 9 พ.ค. 2486) เสรีมนังคศิลา 4 6 ม.ค. 2489 นายกฤตย์ สงวนวงศ์ เพิ่มเติม 5 ส.ค. 2489 นายบุญช่วย มาประเสริฐ นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี 71 5 29 ม.ค. 2491 นายบุญมี ปาร์มวงศ์ 6 26 ก.พ. 2495 นายศิริ ภักดีวงศ์ 7 26 ก.พ. 2500 นายบุญช่วย มาประเสริฐ
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี 72 ครั้งท ี่ วัน/เดอื น/ปี รายชอ่ื ส.ส. เขต พรรค สหภมู ิ 8 15 ธ.ค. 2500 นายบุญมี ปาร์มวงศ์ ไม่สังกัดพรรค พล.ต. เฉลิม พงษ์สวัสดิ์ สหประชาไทย 9 10 ก.พ. 2512 นายบุญช่วย มาประเสริฐ สหประชาไทย นายบุญเจริญ ปิยะสุวรรณ์ ประชาธิปัตย์ นายเสรี แพทย์ศรีวงษ์ 10 26 ม.ค. 2518 นายบุญมี ปาร์มวงศ์ 1 เกษตรสังคม นายนิยม วรปัญญา 1 สังคมชาตินิยม นายเฉลิมชัย ทองตันไตรย์ 2 ชาติไทย นายธีระ ปิยะสุวรรณ์ 2 พลังใหม่ 1 กิจสังคม 11 4 เม.ย. 2519 นายนิยม วรปัญญา 1 ธรรมสังคม นายธีระ ปิยะสุวรรณ์ 2 กิจสังคม นายเฉลิมชัย เล็กชม 2 ประชาธิปัตย์ นายนิกร นนทวงศ์
คร้ังที่ วนั /เดือน/ป ี รายชือ่ ส.ส. เขต พรรค 1 เสรีธรรม 12 22 เม.ย. 2522 นายสวัสดิ์ วงศ์กวี 1 กิจสังคม นายบัญญัติ วงษ์ประยูร 2 ไม่สังกัดพรรค นายธีระ ปิยะสุวรรณ์ 2 กิจสังคม นายโอภาส พลศิลป 1 ชาติไทย 13 18 เม.ย. 2526 นายสวัสดิ์ วงศ์กวี 1 ชาติไทย นายกมล จิระพันธุ์วาณิช 2 ชาติไทย นายนิยม วรปัญญา 2 กิจสังคม นายโอภาส พลศิลป 1 ชาติไทย 14 27 ก.ค. 2529 นายกมล จิระพันธุ์วาณิช 1 ราษฎร พล.อ.เทียนชัย สิริสัมพันธ์ 1 ชาติไทย 2 ชาติไทย 2 สหประชาธิปไตย นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี พล.ท.เอนก บุนยถี 73 นายนิยม วรปัญญา นายโอภาส พลศิลป
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี 74 คร้ังท ี่ วัน/เดือน/ปี รายชอ่ื ส.ส. เขต พรรค 1 ราษฎร 15 24 ก.ค. 2531 พล.อ.เทียนชัย สิริสัมพันธ์ 1 ราษฎร นายเชาวน์วัศ สุดลาภา 1 ชาติไทย นายกมล จิระพันธุ์วาณิช 2 ชาติไทย พล.ท.เอนก บุนยถี 2 ชาติไทย นายนิยม วรปัญญา 1 ชาติไทย 16 22 มี.ค. 2535 นายกมล จิระพันธุ์วาณิช 1 กิจสังคม นายเชาวน์วัศ สุดลาภา 1 ความหวังใหม่ นายสวัสดิ์ วงศ์กวี 2 สามัคคีธรรม นายรัศมี วรรณิสสร 2 ชาติไทย นายนิยม วรปัญญา 1 ชาติไทย 17 13 ก.ย. 2535 นายกมล จิระพันธุ์วาณิช 1 ความหวังใหม่ นายบุญทรง วงศ์กวี 1 ประชาธิปัตย์ นายนิพนธ์ ธาราภมู ิ 2 กิจสังคม นายเชาวน์วัศ สุดลาภา 2 ชาติไทย นายนิยม วรปัญญา
คร้งั ที่ วนั /เดอื น/ป ี รายชื่อ ส.ส. เขต พรรค 1 ความหวังใหม่ 18 2 ก.ค. 2538 พล.ต.อ.บุญชู วังกานนท์ 1 ประชาธิปัตย์ นายนิพนธ์ ธาราภูมิ 1 ความหวังใหม่ นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม 2 กิจสังคม นายเชาวน์วัศ สุดลาภา 2 ชาติไทย นายนิยม วรปัญญา 1 ชาติไทย 19 17 พ.ย. 2539 นายกมล จิระพันธุ์วาณิช 1 ประชาธิปัตย์ นายนิพนธ์ ธาราภมู ิ 1 ความหวังใหม่ พล.ต.อ.บุญชู วังกานนท์ 2 ชาติไทย นายนิยม วรปัญญาผา 2 ความหวังใหม่ นายอำนวย คลัง 1 ไทยรักไทย 2 ไทยรักไทย 3 ชาติไทย 4 ไทยรักไทย 5 ไทยรักไทย นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี 75 20 6 ม.ค. 2544 นายณัฐพล เกียรติวินัยสกุล นายพงษ์ศักดิ์ วรปัญญา นายกมล จิระพันธุ์วาณิช นายอำนวย คลังผา นายนิยม วรปัญญา
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี 76 ครั้งที่ วนั /เดอื น/ป ี รายชอ่ื ส.ส. เขต พรรค 21 6 ก.พ. 2548 นายณัฐพล เกียรติวินัยสกุล 1 ไทยรักไทย นายพงษ์ศักดิ์ วรปัญญา 2 ไทยรักไทย 22 23 ธ.ค. 2550 นายสุชาติ ลายน้ำเงิน 3 ไทยรักไทย นายอำนวย คลังผา 4 ไทยรักไทย 23 3 ก.ค. 2554 นายนิยม วรปัญญา 5 ไทยรักไทย ที่มา: ห้องสมุดรัฐสภา นายสุชาติ ลายน้ำเงิน 1 พลังประชาชน นางสาวผ่องศรี ธาราภมู ิ 1 ประชาธิปัตย์ นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช 1 ชาติไทยพัฒนา นายนิยม วรปัญญา 2 พลังประชาชน นายอำนวย คลังผา 2 พลังประชาชน นายพิชัย เกียรติวินัยสกุล 1 เพื่อไทย นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช 2 ภมู ิใจไทย นายอำนวย คลังผา 3 เพื่อไทย นายเกียรติ เหลืองขจรวิทย์ 4 ภูมิใจไทย
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี 3. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่ีมีบทบาทสำคัญ ในจังหวัดลพบุรี ตระกูลวรปัญญา นำโดยนายนิยม วรปัญญา เป็นสมาชิกของครอบครัว คนแรกที่เข้าสู่วงการการเมือง นายนิยมเกิดเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2473 จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ในสาขา ครุศาสตร์ และปริญญาโท สาขาการบริหารการศึกษา จาก สถาบันราชภัฏพระนคร มีภูมิลำเนาที่อำเภอชัยบาดาล จังหวัด ลพบุรี ตั้งแต่สำเร็จการศึกษาก็ยึดอาชีพข้าราชการครูมาโดย ตลอด จากผลงานดีเด่นในการปฏิบัติหน้าที่ ได้แก่ ครูดีเด่นจาก กระทรวงศึกษาธิการ ครูดีเด่นจากสมาพันธ์สมาคมครูโรงเรียน เอกชน นายนิยมมีลูก 6 คน คือ นางสาวอรุณี วรปัญญา รับราชการกรมสรรพากร นางรัชนี มนูพิพัฒน์พงศ์ อยู่โรงเรียน พณิชยการช่างเทคนิคลำนารายณ์ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี พ.อ.ประมาณ วรปัญญา รับราชการทหารวิทยาลัยการทัพบก นายประเสริฐ วรปัญญา นายพงษ์ศักดิ์ วรปัญญา เจ้าของ บริษัท นิยมชัยแทรคเตอร์ และนางสาวน้ำทิพย์ วรปัญญา เจ้าของบริษัท ทองมาคอนแทรคเตอร์ จำกัด สำหรับเส้นทางในการเข้าสู่การเมืองจะเป็นการทำงาน ให้กับชุมชนมาตลอด จนเข้าไปช่วยงานการเมืองให้กับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่ง สถานการณ์ทางการเมืองในยุคนั้นมีความรุนแรงมาก ทั้งการ ฆ่ากันและการยิงกัน ซึ่งนายนิยม วรปัญญา ก็ได้รับผลกระทบ จากความรุนแรงในการแข่งขันกันทางการเมืองโดยการถูกลอบ ทำร้ายโดยการยิง 77
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี นายนิยม วรปัญญา เริ่มทำหน้าที่ในฐานะสภาผู้แทน ราษฎรครั้งแรกที่กำหนดให้มีการแบ่งเขตการเลือกตั้ง ในการ เลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 10 (วันที่ 26 มกราคม 2518) ในนามพรรค สงั คมชาตนิ ยิ ม ทม่ี นี ายประสทิ ธ์ิ กาญจนวฒั น์ เปน็ หวั หนา้ พรรค ต่อมาในสมัยที่ 2 ได้ย้ายไปอยู่พรรคกิจสังคมภายใต้การนำของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ทั้งสองสมัยนายนิยมลงเลือกตั้งในเขต 1 ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของจังหวัดประกอบด้วยพื้นที่เขตอำเภอเมือง อำเภอพนัสนิคม อำเภอบ้านหมี่ อำเภอท่าวุ้ง และอำเภอ โคกสำโรง ฐานเสียงส่วนใหญ่มาจากลูกศิษย์จำนวนหนึ่งที่การ ให้การสนับสนุน ต่อมาการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 13 (วันที่ 18 เมษายน 2526) เป็นครั้งแรกที่นายนิยมลงสมัครในนามพรรคชาติไทย ที่มี พลตำรวจเอกประมาณ อดิเรกสาร และย้ายมาลงแข่งขันในเขต 2 ประกอบด้วยอำเภอสระโบสถ์ อำเภอหนองม่วง อำเภอ โคกเจริญ อำเภอท่าหลวง อำเภอชัยบาดาล และอำเภอลำสนธิ และได้รับการเลือกตั้งเป็นส.ส.ต่อมาอีก 7 สมัย ทำให้สามารถ สร้างฐานเสียงที่เข้มแข็งขึ้นในเขตพื้นที่อำเภอชัยบาดาล อำเภอ ลำสนธิ และอำเภอโคกเจริญ ซึ่งกลายเป็นเขตการเลือกตั้งที่ 5 ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 20 (วันที่ 6 มกราคม 2544) และครั้งที่ 21 (วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548) ทายาทการเมืองคนรองของตระกูลวรปัญญา คือ นายสนิท วรปัญญา น้องชายของนายนิยม วรปัญญา บุคคล เบื้องหลังที่ทำให้ตระกูลวรปัญญากลายเป็นตระกูลการเมือง ดังจังหวัดลพบุรีในปัจจุบัน 78
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี นายสนิท วรปัญญา เกิดเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2482 ที่ตำบลศรีเทพ อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ สมรสกับ นางมณฑา เชวงศักดิ์สงคราม บุตรีหลวงเชวงศักดิ์สงคราม มีบุตร 3 คน เข้ารับการศึกษาในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียน ประจำตำบลศรีเทพ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนมัธยม ประจำอำเภอวิเชียรบุรี และโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ โคกสำโรง ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ พระนคร ระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขา เศรษฐศาสตร์ ระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา สาขาเศรษฐศาสตร์ ได้รับ Certificate in Local Administration (Berlin), Certificate in International Marketing (Tuft University) และศึกษาจบวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 30 เริ่มทำงานในปี 2503 เป็นพนักงานโครงการของสภา พัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ปี 2508 เป็นเศรษฐกร กรมวิเทศ สหการ กระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ ปี 2510 เป็นอาจารย์ ประจำสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ปี 2514 เป็นหัวหน้า กองคลังสินค้า องค์การคลังสินค้า ปี 2516 เป็นหัวหน้ากองแผน งานฯ สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปี 2518 เป็นผู้ช่วย ผู้อำนวยการ สำนักงานประกันภัย ปี 2522 เป็นนักบริหาร 9 และรองผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัย ปี 2526 เป็นรอง อธิบดีกรมการค้าภายใน ปี 2529 เป็นที่ปรึกษาการพาณิชย์ 10 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปี 2531 เป็นอธิบดีกรมการค้า ภายใน ปี 2532 เป็นอธิบดีกรมการประกันภัย ปี 2537 เป็น รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ และรักษาการปลัดกระทรวงพาณิชย์ 79
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี ปี 2538 เป็นอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก และอยู่ในตำแหน่งนี้ จนเกษียณอายุราชการในปี 2542 ชีวิตทางการเมืองของนายสนิทเริ่มจากการตัดสินใจเดิน เข้าสู่ถนนสายการเมือง เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาประกาศให้มี การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นครั้งแรก ตามรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2543 ด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดลพบุรี และได้รับเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดลพบุรี โดยมี คะแนนเป็นอันดับ 1 ได้รับเลือกถึง 133,872 คะแนน เมื่อจัด อันดับคะแนนของผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภาทั่วประเทศแล้ว ปรากฏว่า อยู่ในอันดับ 13 ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ได้คะแนนจาก ประชาชนจังหวัดลพบุรีอย่างท่วมท้นว่า มาจากผลงานที่ทำไว้ ตั้งแต่ยังรับราชการที่กระทรวงพาณิชย์ เมื่อดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมส่งเสริมการส่งออก ได้ส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศด้วย การผลักดันสินค้าส่งออกในภาวะวิกฤตจากตัวเลขติดลบเป็น ตัวเลขส่งออกบวกขึ้นมา 6-7% การคิดป้ายสินค้าตราประเทศ ไทย การนำกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา มาตรา 301 มาใช้ว่า ด้วยเรื่อง การปลอมแปลงสินค้า รวมทั้ง การตั้ง “กองธุรกิจ บริการ” ในกรมส่งเสริมการส่งออก มีหน้าที่ดูแลเรื่อง ธุรกิจ บริการ ที่ยังไม่มีกฎหมายรองรับทุกประเภท และเมื่อดำรง ตำแหน่งอธิบดีกรมการประกันภัย ได้ผลักดันให้มีการทำประกัน ภัยรถยนต์ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นผลงานที่ได้สร้างชื่อเสียงจนเป็นที่ รู้จักของประชาชนทั้งประเทศ 80
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี ซึ่งการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาครั้งนี้ ไม่ใช่ เป็นความตั้งใจแรกหลังเกษียณจากชีวิตราชการ เพราะได้ วางแผนชีวิตหลังเกษียณไว้ว่าจะเป็นที่ปรึกษาให้แก่ พรรคการเมืองเท่านั้น เนื่องจากความรู้ความสามารถกับ ประสบการณ์ที่อยู่ในวงราชการมาค่อนชีวิตนั้นน่าจะยังสามารถ ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้ไม่มากก็น้อย แต่เมื่อ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เปิดช่องให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการ เลือกตั้งได้ จึงคิดว่าการทำงานในตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาน่าจะ เหมาะมากกว่าการเป็นที่ปรึกษาพรรคการเมือง เพราะจะช่วย ผลักดันแนวคิดของตนหลายเรื่องที่ยังค้างคาสมัยรับราชการให้ ประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่า แล้วยังเป็นตำแหน่งที่ปลอดจาก พรรคการเมืองอีกด้วย ภายหลังบุตรเริ่มเข้าสู่แวดวงการเมืองจากการสนับสนุน ของนายนิยม ซึ่งกลายเป็นการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งของ ตระกูลวรปัญญาในจังหวัดลพบุรี โดยเฉพาะในช่วงหลัง ตั้งแต่ พ.ศ. 2542 บุตรชายคือ นายพงศ์ศักดิ์ วรปัญญา ได้รับ เลือกเป็นนายกเทศมนตรีตำบลลำนารายณ์ พ.ศ. 2543 นายประเสริฐ วรปัญญา บุตรชายอีกคนหนึ่งได้รับเลือกจาก อำเภอชัยบาดาลเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด และในปีเดียวกัน นายสนิท วรปัญญา น้องชายของนายนิยม ไดร้ บั เลอื กเปน็ สมาชกิ วฒุ สิ ภา จงั หวดั ลพบรุ ี ซง่ึ เปน็ บคุ คลสำคญั ที่ทำให้กระแสการเมืองในจังหวัดลพบุรีเปลี่ยนไปจากความ นิยมพรรคความหวังใหม่ พรรคชาติไทย และพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการสร้างความนิยมให้กับพรรคไทยรักไทยมากขึ้น และมี 81
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี ส่วนสนับสนุนให้หลานชายทั้งสองคนเข้าสู่สนามการเมืองระดับ ประเทศ นายพงศ์ศักดิ์ วรปัญญา ลงสมัครรับเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 20 (วันที่ 6 มกราคม 2544) และครั้งที่ 21 (วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548) สังกัดพรรคไทยรักไทยในเขต 2 ซึ่งเป็นเขตดั้งเดิมของ บิดาได้แก่ อำเภอเมืองบางส่วน กับอำเภอพัฒนานิคม ทำให้ ประสบความสำเร็จได้รับการเลือกตั้งทั้ง 2 สมัย โดยนายนิยม วรปัญญา ย้ายพรรคไปสังกัดพรรคไทยรักไทย และย้ายไปลง เขตเลือกตั้งที่ 5 ถิ่นเก่าอำเภอชัยบาดาลโดยเฉพาะในเขต เทศบาลตำบลลำนารายณ์ ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญจึงทำให้ได้ รับเลือกเช่นกัน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพราะตระกูลวรปัญญาเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงทางการเมือง และธุรกิจของจังหวัดลพบุรี ต่อมานายพงศ์ศักดิ์ วรปัญญา ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี เนื่องจากดำรงค์ตำแหน่งเป็น กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยร่วมกับพวก 111 คน ในขณะที่นายประเสริฐ วรปัญญา ทายาทคนที่สองของ ตระกูลวรปัญญาที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดลพบุรี จากการเลือกตั้งวุฒิสภาไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2549 และ ถูกกล่าวหาว่าเป็นสภาครอบครัวเนื่องจากเป็นลูกของนายนิยม วรปัญญา ซึ่งมีตำแหน่งเป็นส.ส.ในขณะนั้น สิ้นสุดตำแหน่งลง เนื่องจากการรัฐประหารนำโดย คณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งมีพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะ เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 82
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลพบุรี ทายาททางการเมืองคนล่าสุดของตระกูลวรปัญญา คือ นายพหล วรปัญญา อดีตผู้จัดการ บริษัท นิยมชัย จำกัด ซึ่ง เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ในอำเภอชัยบาดาล หลานชายที่นายนิยมผลักดันให้ลงเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุด (3 กรกฎาคม 2554) สังกัดพรรคเพื่อไทย ในเขตเลือกตั้งที่ 4 ประกอบด้วย อำเภอพัฒนานิคม อำเภอท่าหลวง อำเภอลำสนธิ อำเภอชัยบาดาล (เฉพาะเทศบาลตำบลลำนารายณ์ ตำบล ห้วยหิน ตำบลลำนารายณ์ ตำบลบัวชุม ตำบลท่าดินดำ ตำบล ซับตะเคียน ตำบลนาโสม ตำบลหนองยายโต๊ะ ตำบลเกาะรัง ตำบลท่ามะนาว ตำบลนิคมลำนารายณ์ และตำบลชัยบาดาล) พื้นที่เก่าของตนเอง ส่วนนายนิยมย้ายไปลง ส.ส. แบบบัญชี รายชื่อในลำดับที่ 55 ของพรรคเพื่อไทยเช่นกันทำให้ได้เป็น ส.ส. อีกสมัยและเป็นครั้งแรกที่เป็นแบบบัญชีรายชื่อ ส่วนนายพหล วรปัญญา คะแนนเสียงสู้พรรคคู่แข่งไม่ได้จึงพลาดการเป็น ส.ส. ในสมัยปัจจุบัน รูปแบบในการหาเสียงของตระกลู วรปัญญาที่ใช้มาตั้งแต่ สมัย 30 ปีก่อน คือ การเข้าถึงประชาชน การทำงานพัฒนา ท้องถิ่นที่เน้นการมีส่วนร่วมกับประชาชนในชุมชน ด้วยการใช้ รถปราศรยั หาเสยี ง ผสมกบั การเดนิ เทา้ เคาะประตบู า้ น การหาเสยี ง ตามตลาดสด และการร่วมงานพิธีสำคัญ ๆ ของชุมชน ปัจจัยที่ทำให้ได้รับเลือกตั้งในอดีตมาจากคะแนนเสียง ส่วนใหญ่มาจากลูกศิษย์และเพื่อนครูที่คอยให้การสนับสนุน และเป็นฐานเสียงที่สำคัญ เนื่องจากนายนิยม วรปัญญา เป็น ผู้ก่อตั้งโรงเรียนนารายณ์วิทยา ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอชัยบาดาล 83
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี นอกจากนี้การย้ายพรรคการเมืองของนายนิยม แสดงให้เห็นถึง การวิเคราะห์เหตุการณ์ วิเคราะห์กระแสของพรรคการเมือง ระดับประเทศในแต่ละยุค ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นายนิยม วรปัญญา มีประสบการณ์ทางการเมืองในตำแหน่ง สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จังหวัดลพบุรีมากถึง 12 สมัย และได้รับรางวัล ในการปฏิบัติงานดีเด่น ดังเช่น ผลงานดีเด่นในการปฏิบัติหน้าที่ ในรัฐสภา และเป็นผู้มีผลงานดีเด่นในการปฏิบัติหน้าที่ในสภา ผู้แทนราษฎร เนื่องจากไม่เคยขาดการประชุมสภา นอกจากนี้ พ.ศ.2546 ยังเป็นผู้เสนอให้ตั้งจังหวัดพระนารายณ์โดยแยก บางส่วนของจังหวัดลพบุรีออกมาตั้งเป็นจังหวัดใหม่ ในปัจจุบัน ตระกูลวรปัญญามีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้วยวิธีการวาง รากฐานทางการเมือง ที่อาศัยเครือญาติเจ้าของธุรกิจขนาด ใหญ่ของจังหวัด สู่ถนนการเมืองระดับท้องถิ่นและขยับขึ้นเป็น นักการเมืองระดับประเทศตามกระแสความเปลี่ยนแปลงของ การเมืองถิ่น จึงส่งผลให้ตระกูลวรปัญญากลายเป็นตระกูล ที่ทรงอิทธิพลทั้งทางธุรกิจ และทางการเมืองในจังหวัดลพบุรี ตระกูลจิระพันธุ์วาณิช การเข้าสู่วงการการเมืองของตระกูล เริ่มจากนายกมล จิระพันธุ์วาณิช เกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2475 ภูมิลำเนา จังหวัดลพบุรี จบการศึกษาปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์ จาก ประเทศไต้หวันก่อนที่จะเข้าสู่การเมืองได้ประกอบอาชีพ รับเหมาก่อสร้าง นายกมลมีบุตร 2 คน คือ นายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช และน.ส.มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช 84
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลพบุรี เส้นทางการเมือง และบทบาททางการเมืองของนายกมล จิระพันธุ์วาณิช เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2518 โดยการเป็นสมาชิกสภา จังหวัดจากการชักชวนของญาติและเพื่อน นายกมลได้ข้อง เกี่ยวกับวงการการเมืองระดับท้องถิ่นเป็นเวลาประมาณ 8 ปี ก่อนตัดสินใจเข้าลงแข่งขันในสนามการเมืองระดับชาติครั้งแรก จากการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 13 ใน พ.ศ.2526 สังกัดพรรค ชาติไทย ในเขตการเลือกตั้งที่ 1 ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของจังหวัด ประกอบด้วยพื้นที่เขตอำเภอเมือง อำเภอพนัสนิคม อำเภอ บ้านหมี่ อำเภอท่าวุ่ง และอำเภอโคกสำโรง และได้รับเลือกให้ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดลพบุรี นายกมลได้รับ เลือกตั้งในเขตเดิมและพรรคเดิมติดต่อกันถึง 6 สมัย หลังจากนายกมลได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ในวันที่ 18 เมษายน 2526 ได้มีส่วนผลักดันให้ลูกชายคนโต คือ นายสุบรรณ จิระพันธุ์วาณิช ซึ่งขณะนั้นมีอายุ 25 ปี เข้ามา ส า น ต ่ อ บ ท บ า ท ท า ง ก า ร เ ม ื อ ง ร ะ ด ั บ ท ้ อ ง ถ ิ ่ น ข อ ง ต ร ะ กู ล จิระพันธุ์วาณิช โดยเริ่มจากการสมัครเป็นสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดลพบุรี และได้รับการเลือกตั้งในวันที่ 25 สิงหาคม 2526 โดยใช้ฐานเสียงเดิมของบิดา นายสุบรรณมีส่วน สำคัญอย่างมากในการสร้างรากฐานทางการเมืองให้กับตระกูล เนื่องจากเป็นคนหนุ่ม และมีบทบาทที่โดดเด่นในการเมืองระดับ ท้องถิ่นของจังหวัดลพบุรี จากการสั่งสมประสบการณ์ทาง การเมืองระดับท้องถิ่นและการเมืองระดับชาติโดยมีนายกมล เป็นผู้สนับสนุนหลัก จึงดำรงค์ตำแหน่งต่าง ๆ ได้แก่ ที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เลขานุการรัฐมนตรี 85
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169