Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 28นักการเมืองถิ่นกระบี่.

28นักการเมืองถิ่นกระบี่.

Published by Meng Krub, 2021-06-14 02:43:02

Description: 28นักการเมืองถิ่นกระบี่.

Search

Read the Text Version

บ1ทท่ี บทน�ำ การศกึ ษา “การเมืองถน่ิ ” และ “นกั การเมอื งถิ่น” จังหวดั กระบ่ี” โครงการสำ�รวจเพ่ือประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่น : จังหวัดกระบี่ เป็นส่วนหน่ึงของโครงการสำ�รวจเพ่ือประมวลข้อมูลนักการเมือง ถ่ินทว่ั ประเทศ เป็นฐานขอ้ มลู ท่สี ำ�คญั ในการท�ำ ความเขา้ ใจพฒั นาการ ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย แต่เนอ่ื งจากยงั ขาดขอ้ มลู ด้าน ประวตั ศิ าสตร์ การวจิ ยั ในครงั้ นจี้ งึ ท�ำ เพอื่ เตมิ เตม็ ใหก้ บั การเมอื งถน่ิ ไทย โดยเฉพาะจังหวดั กระบี่ การจัดการศึกษาข้อมูลการเมืองถ่ินของแต่ละจังหวัด มักขาด การศกึ ษาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง การจนิ ตนาการการเมอื งถนิ่ จงึ มกั ถกู มองขา้ ม ความส�ำ คญั ไปอยา่ งนา่ เสยี ดาย ทง้ั ทกี่ ารเตบิ โตของการเมอื งระดบั ชาติ ท้ังหลายในประเทศลว้ นแล้วแตเ่ กดิ จากการเมืองถ่นิ โครงการสำ�รวจเพ่ือประมวลข้อมูลนักการเมืองถ่ิน : จังหวัด 1

นกั การเมืองถิ่นจังหวัดกระบ่ี กระบี่ ดำ�เนินการศึกษา โดยรวบรวมเอกสารด้านประวัติศาสตร์ การเมอื งการปกครอง การรวมกลมุ่ ของผสู้ นบั สนนุ นกั การเมอื งถนิ่ การ สงั กดั พรรคการเมอื งของนกั การเมอื งถนิ่ รวมถงึ ศกึ ษาบทบาทของผนู้ �ำ ทม่ี สี ว่ นรว่ มในการขบั เคลอ่ื นการเมอื งของจงั หวดั กระบ่ี เพอื่ ใหเ้ กดิ ความ เขา้ ใจบรบิ ทการเมอื งถนิ่ ของจงั หวดั กระบต่ี งั้ แตอ่ ดตี ถงึ ปจั จบุ นั ใหช้ ดั เจน ย่ิงข้ึน และเกิดประโยชน์ในการทำ�ความเข้าใจการเมืองถิ่นในจังหวัด อืน่ ๆ ส�ำ หรบั ผู้ทส่ี นใจการเมอื งได้ศกึ ษาเพ่ิมเตมิ ส่ิงหนึ่งที่ยืนยันความสำ�คัญของการเมืองถิ่นได้เป็นอย่างดีจาก นักคดิ ทสี่ �ำ คัญของประเทศนัน่ คืองานเขียนของ อเนก เหลา่ ธรรมทัศน์ เรื่อง สองนัคราประชาธิปไตย : แนวทางปฎริ ูปการเมอื ง เศรษฐกิจเพ่ือ ประชาธปิ ไตยทว่ี า่ “คนชนบทตงั้ รฐั บาล คนเมอื งลม้ รฐั บาล” เนน้ ย�ำ้ ถงึ จดุ เดน่ ของการเมืองในพ้นื ที่ตา่ งจังหวดั หรอื การเมืองถน่ิ ทเี่ ช่อื มโยงกับ การเมอื งในระดบั ชาตไิ ดเ้ ปน็ อยา่ งดแี ละไมอ่ าจจะละเลยได้ ส�ำ นกั วจิ ยั และพฒั นา สถาบนั พระปกเกลา้ จงึ ใหค้ วามส�ำ คญั กบั ความเคลอ่ื นไหว ของการเมอื งถนิ่ “โครงการส�ำ รวจเพอื่ ประมวลขอ้ มลู นกั การเมอื งถน่ิ ” เปรียบเสมือนการบันทึกประวัติศาสตร์การเมืองถิ่นและนักการเมือง ถ่นิ ของประเทศ ให้เป็นองคค์ วามรู้ เป็นสมองให้กบั ประเทศเพื่อคนรุ่น หลังได้คน้ ควา้ นบั ได้ว่าเปน็ ความรับผดิ ชอบ ทส่ี ำ�คญั ยิ่งตอ่ การศึกษา พฒั นาการทางการเมอื งการปกครองของประเทศ และเปน็ งานวจิ ยั ทมี่ ี คุณค่าส�ำ หรับทุกคนได้รจู้ กั นกั การเมอื งมากข้นึ โครงการสำ�รวจเพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถ่ินในพื้นที่ จังหวัดกระบ่ี มีการดำ�เนินศึกษาโดยการรวบรวมข้อมูลของนัก การเมอื งในจงั หวดั กระบี่ นบั ตง้ั แตอ่ ดตี ถงึ ปจั จบุ นั เพอ่ื ใหผ้ สู้ นใจไดเ้ หน็ พัฒนาการทางด้านการเมืองถ่ินและนักการเมืองถ่ินในจังหวัดกระบี่ 2

กอ่ นทจี่ ะไดร้ จู้ กั นกั การเมอื งในบทบาทนกั การเมอื งระดบั ชาตใิ นการทำ� หน้าทเี่ ป็นผูบ้ ริหารประเทศตอ่ ไป การศกึ ษาเกีย่ วกบั “การเมอื งถิ่น” และ “นักการเมอื งถนิ่ ” จังหวดั กระบ่ี การศึกษา “การเมอื งถน่ิ ” และ “นักการเมืองถิ่น” จงั หวดั กระบ่ี เป็นงานวิจัยท่ีเน้นการศึกษานักการเมืองท่ีมีบทบาทในอดีตและได้รับ การเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา เพ่ือต้องการ ทราบถึงเครือข่ายและความสัมพันธ์ของนักการเมืองในจังหวัดกระบ่ี ว่าแต่ละช่วงแต่ละยุค มีลักษณะที่สำ�คัญอย่างไร มีบทบาทและความ สมั พนั ธก์ บั กลมุ่ ผลประโยชน์ หรอื กลมุ่ ทไี่ มเ่ ปน็ ทางการวา่ มสี ว่ นในการ สนับสนุนการเมืองในจังหวัดกระบ่ีอย่างไร เช่น กลุ่มพ่อค้า นักธุรกิจ วงศาคณาญาติ เป็นต้น ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคการเมืองกับนัก การเมอื งเปน็ อยา่ งไรและวธิ กี ารหาเสยี งในการเลอื กตงั้ ของนกั การเมอื ง ในจงั หวดั กระบ่ี ตงั้ แตอ่ ดตี ถงึ ปจั จบุ นั มรี ปู แบบและวธิ กี ารอยา่ งไร ทงั้ นี้ ผวู้ จิ ยั ท�ำ การศกึ ษาการเมอื งตง้ั แตก่ ารเลอื กตงั้ ทว่ั ไป ครง้ั แรกของจงั หวดั กระบี่ คือวนั ท่ี 15 พฤศจิกายน 2476 จนถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผแู้ ทนราษฎรเมอ่ื วนั ท่ี 23 ธนั วาคม 2550 ทผี่ า่ นมา โดยใหค้ วามส�ำ คญั กับเครือข่ายและความสัมพันธ์ของนักการเมือง บทบาทของกลุ่มผล ประโยชน์ และกลุม่ ทไี่ ม่เปน็ ทางการ ความสัมพันธข์ องพรรคการเมอื ง กับนักการเมืองในจังหวัดกระบี่ ตลอดจนรูปแบบ วิธีการต่างๆ ท่ีใช้ สำ�หรบั การเลือกต้งั แต่ละครั้งกระท่ังถงึ การเลือกตัง้ ครั้งล่าสุด การรวบรวมข้อมูลสำ�หรับการทำ�วิจัยในครั้งน้ี ผู้วิจัยทำ�การ เก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารด้านประวัติศาสตร์การเมืองท่ีเก่ียวข้อง 3

นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวัดกระบ่ี ทั้งหมดและจากการสัมภาษณ์นักการเมืองและบุคคลท่ีเกี่ยวข้อง ที่สามารถให้ข้อมูลได้ รวมถึงการสังเกตพฤติกรรมทางการเมือง วัฒนธรรมการเมอื งและประเดน็ ต่างๆ ในพ้นื ทจี่ งั หวัดกระบี่ สำ�หรับการนำ�เสนอ จะนำ�เสนอโดยการพรรณนาที่ชี้ให้เหน็ ถงึ การเชอ่ื มโยงของนกั การเมอื งกบั การพฒั นาการทางการเมอื ง เศรษฐกจิ และสงั คม ในจงั หวดั กระบตี่ ามกรอบแนวคดิ ในการศกึ ษา โดยเนน้ การใช้ อำ�นาจของนักการเมอื งถ่ินผา่ นพรรคการเมอื ง กลุม่ ผลประโยชน์ กลุ่ม ไม่ใชผ่ ลประโยชน์ วัฒนธรรมทอ้ งถ่นิ เช่น การเมือง ศาสนา (ความ สัมพันธ์ระหว่างพุทธกับอิสลาม)ประเพณีต่างๆ ความเป็นภาวะผู้นำ� รวมถึงรูปแบบและกลยุทธ์ต่างๆ ทุกรูปแบบเพ่ือให้ตนเองได้รับการ เลอื กตั้งเป็นตวั แทนของประชาชน 4

บ2ทท่ี แนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง การศึกษาโครงการสำ�รวจเพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่นใน พ้ืนท่ีแต่ละจังหวัดนั้น ปัจจุบันน้ีได้มีการศึกษาไว้มากพอสมควร สบื เนอ่ื งมาจากการสง่ เสรมิ สนบั สนนุ ของส�ำ นกั วจิ ยั และพฒั นา สถาบนั พระปกเกล้า และหนว่ ยงานอืน่ แนวความคดิ ของนักวชิ าการแตล่ ะคน ทศี่ กึ ษา ลว้ นใชแ้ นวคดิ ทฤษฎที แ่ี ตกตา่ งกนั ไปตามความถนดั และความ เหมาะสมของพื้นท่ีท่ีศึกษา ซ่ึงงานวิจัยเล่มน้ีผู้วิจัยใช้กรอบแนวคิดที่ ส�ำ คญั ตา่ งๆ เพอื่ ใหเ้ กดิ ความสมบรู ณข์ องการศึกษา ซึ่งมีรายละเอียด ดงั นี้ การพัฒนาทางการเมอื ง (Political Development) การพัฒนาทางการเมือง นยิ ามของค�ำ วา่ การพฒั นาการเมือง อยา่ งกวา้ ง ๆ อาจกลา่ วไดว้ า่ คอื การเปลย่ี นแปลงชนดิ หนง่ึ ทเี่ กดิ ขน้ึ ใน 5

นักการเมอื งถิน่ จังหวดั กระบี่ สงั คมโดยมเี ปา้ หมายทีแ่ นน่ อน เพอื่ เพ่มิ ประสทิ ธภิ าพในการใชอ้ ำ�นาจ ในสิ่งที่มีคุณค่าให้กับสมาชิกของสังคมอย่างเป็นธรรมกว่าเดิม เป็นท่ี แนน่ อนว่าในการเปล่ียนแปลงนน้ั ยอ่ มตอ้ งกระทบต่อสว่ นต่าง ๆ ของ สงั คม เชน่ โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างไมอ่ าจหลีกเล่ียงได้ ทงั้ น้เี พราะในสงั คมหนง่ึ ๆ น้ันย่อมไมอ่ าจแยกไปพจิ ารณาแตล่ ะส่วน โดยไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันได้ ดังเช่นนักวิชาการหลายท่านที่ให้ทัศนะ ไว้ว่า การเมือง เศรษฐกิจและสังคม มีความสัมพันธ์กัน เม่ือส่วนใด สว่ นหนงึ่ กระทบกระเทือนหรอื เปลี่ยนแปลงไปกจ็ ะส่งผลให้ส่วนอื่น ๆ เปลี่ยนไปดว้ ย แนวความคดิ เกี่ยวกับการพัฒนาทางการเมือง แนวความคิดเกี่ยวกับการพัฒนาทางการเมือง (The Concept of Political Development ) โดยทัศนะของนักวชิ าการตะวันตกมีความ หลากหลายแตกตา่ งกนั ไป ขึ้นอยู่กบั จุดเนน้ ในการวเิ คราะห์ของแต่ละ ทศั นะ อย่างไรกต็ าม ลูเซยี น ไพย์ ( Lucian W. Pye 1966, 33-45) ไดพ้ ยายามรวบรวมแนวความคิดเกยี่ วกับการพฒั นาทางการเมืองจาก ทศั นะต่าง ๆ ทหี่ ลากหลาย และสรปุ ให้เห็นความแตกต่าง ดังน้ี 1. การพัฒนาทางการเมือง คือ การทำ�ให้ระบบการเมืองเป็น รากฐานของการพฒั นาเศรษฐกจิ (political development as political prerequisite of economic development) แนวคดิ นีไ้ ดร้ บั อทิ ธิพลจาก นักเศรษฐศาสตร์ที่มีความเห็นว่า เงื่อนไขทางสังคมและการเมืองมี บทบาทส�ำ คญั ตอ่ การสง่ เสรมิ หรอื เปน็ อปุ สรรคตอ่ ความพยายามในการ เพ่มิ รายได้เฉลยี่ ของประชาชน กลา่ วคอื หากระบบการเมืองมรี ะดบั การพัฒนาสูงจะส่งเสริมให้เกิดความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ ในทางตรง 6

กนั ขา้ ม ถ้าสังคมใดในระดบั การศึกษาทางการเมืองต่ำ�จะเปน็ อปุ สรรค ตอ่ การพฒั นาทางเศรษฐกจิ ดงั นนั้ ความส�ำ เรจ็ ในการพฒั นาเศรษฐกจิ จงึ ขนึ้ อยกู่ บั ระดบั การพฒั นาของระบบการเมอื งแตล่ ะสงั คมเปน็ ส�ำ คญั แนวคดิ นอ้ี าจจะท�ำ ใหม้ องการพฒั นาทางดา้ นการเมอื งเปน็ ไปในทางลบ มากกวา่ ทางบวก ทงั้ นเ้ี มอื่ พจิ ารณาจากความจรงิ ทางเศรษฐศาสตร์ จะ เหน็ ไดว้ า่ ระบบการเมอื งมลี กั ษณะเปน็ อปุ สรรคมากกวา่ การสง่ เสรมิ การ พฒั นาทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะในประเทศท่ยี ากจน การเปลี่ยนแปลง ทางการเมืองจะเกิดขึ้นเร็วกว่าการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และ ประชาชนโดยทว่ั ไปจะพจิ ารณาการพฒั นาทางการเมอื งทเี่ ปน็ อสิ ระจาก การพฒั นาทางดา้ นเศรษฐกจิ ดงั นนั้ การเชอื่ มการพฒั นาทางการเมอื ง เขา้ กบั การพฒั นาทางดา้ นเศรษฐกจิ เพยี งปจั จยั เดยี ว อาจท�ำ ใหม้ องขา้ ม ปัจจยั อนื่ ทม่ี คี วามสำ�คัญต่อการพัฒนาทางดา้ นการเมอื งเช่นกัน 2. การพัฒนาทางการเมือง คือ ระบบการเมืองของสังคม อตุ สาหกรรม (political development as the politics typical of industrial societies) การพัฒนาทางการเมืองมีความสัมพันธ์กับการพัฒนา เศรษฐกิจ กล่าวคือ สงั คมทีพ่ ัฒนาจนก้าวสู่สงั คมอตุ สาหกรรมได้นั้น ระบบการเมอื งจะต้องมกี ารพัฒนาสงู ดังน้นั ลกั ษณะระบบการเมอื ง ของสงั คมอตุ สาหกรรมคอื รปู ธรรมของระบบการเมอื งทพี่ ฒั นาแลว้ ซงึ่ จะเห็นได้ว่าจากกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมช้ันนำ�ของโลก 7 ประเทศ ล้วนเป็นประเทศท่ีมีระดับการพัฒนาทางการเมืองสูงทั้งส้ิน แสดง ให้เห็นความสำ�เร็จของสังคมอุตสาหกรรมมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด กบั ความสำ�เรจ็ ในการพัฒนาทางการเมอื ง 3. การพฒั นาทางการเมอื ง คอื การเปลยี่ นแปลงระบบการเมอื ง ให้ทันสมยั (political development as political modernization) ความ 7

นักการเมอื งถ่นิ จังหวัดกระบี่ คิดเห็นนี้มีความเช่ือม่ันว่า สังคมที่ประสบความสำ�เร็จในการพัฒนา อุตสาหกรรมจะมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการเปลี่ยนแปลงระบบ การเมืองให้ทันสมยั (political modernization) กลา่ วคอื จะท�ำ ให้เกดิ การแบง่ โครงสรา้ งทางการเมอื งใหม้ คี วามแตกตา่ งซบั ซอ้ น จะสรา้ งสรรค์ ให้เกิดเอกภาพในอำ�นาจการปกครอง และส่งเสริมให้ประชาชน มีส่วนร่วมทางการเมือง ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการทำ�ระบบการเมือง ใหท้ ันสมยั คือ การท�ำ ให้เกดิ การพัฒนาทางการเมอื ง 4. การพฒั นาทางการเมอื ง คอื การเสรมิ สรา้ งรฐั ชาติ (political development as the operation of a Nation - State) แนวคิดน้ชี ี้ให้ เห็นว่า สังคมที่มีการปฏิรูประบบการเมืองจากระบบเดิมไปสู่ระบบ ท่ีมีสมรรถนะในการดำ�รงรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมมีความ สามารถในการระดมทรัพยากรเพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์แก่สังคมอย่าง มีประสิทธิภาพ และได้รับการยอมรับจากนานาชาติในฐานะที่เป็นรัฐ อธิปไตย ซง่ึ เปน็ ลักษณะของการเสริมสรา้ งความเปน็ ”รฐั ชาต”ิ โดย ใช้นโยบายชาตินิยมเป็นเครื่องมือสำ�คัญ ปรากฏการณ์น้ีเป็นลักษณะ หนง่ึ ทางการพฒั นาทางการเมือง 5. การพัฒนาทางการเมือง คือ การพัฒนาระบบบริหาร และกฎหมาย (political development as administrative and legal development) แนวคดิ นม้ี คี วามเชอื่ วา่ การพฒั นาทางการเมอื งจะตอ้ ง เริ่มต้นจากการจัดระเบียบทางกฎหมายและบริหารให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะระบบข้าราชการท่ีมีประสิทธิภาพ จะเป็นหัวใจสำ�คัญของ กระบวนการพฒั นา ภายใตท้ ศั นะนกี้ ารปกครองระบบบรหิ ารจะสง่ เสรมิ ให้เกิดการขยายตัวของความคิดที่เป็นเหตุเป็นผล (rationality) โดย ยดึ มน่ั ใหห้ ลกั กฎหมายและการสง่ เสรมิ ความสามารถและความชำ�นาญ 8

เฉพาะบคุ คล กระบวนการน้ลี ักษณะหนึ่งของการพัฒนาทางการเมือง 6. การพัฒนาทางการเมือง คือ การระดมมวลชนและการ มสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งของประชาชน (political development as mass mobilization and participation) แนวคดิ นถ้ี อื วา่ เปน็ อ�ำ นาจทางการเมอื ง เปน็ ของประชาชน ดงั นนั้ ประชาชนจะตอ้ งแสดงบทบาทในการควบคมุ ก�ำ กบั และตรวจสอบระบบการเมอื ง เพอ่ื ใหม้ นั่ ใจวา่ การบรหิ ารประเทศ เป็นไปเพ่ือประโยชนข์ องประชาชนอยา่ งแทจ้ รงิ 7. การพัฒนาทางการเมือง คือ การสร้างสรรค์ระบอบ ประชาธิปไตย (political development as the building of demo- cracy ) การพัฒนาทางการเมืองที่แท้จริง คือ การสร้างสรรค์ระบอบ ประชาธิปไตย ดังนั้น การทำ�ให้ระบบการเมืองมีระดับความเป็น ประชาธิปไตยมากเพียงใด ย่อมแสดงว่าระบบการเมืองน้ันยิ่งมี ระดับการพัฒนาทางการเมืองสูง ท้ังนี้เพราะหลักการของระบอบ ประชาธิปไตยกค็ ือเปา้ หมายของการพัฒนาทางการเมอื งน้ันเอง 8. การพัฒนาทางการเมือง คือ การสร้างเสถียรภาพและ การเปลี่ยนแปลงตามกฏกติกา (political development as stability and orderly change) แนวความคดิ น้ีมีความคิดเห็นว่า ปรากฏการณ์ สำ�คัญของระบบการเมืองคือ ระบบการเมืองอาจเปลี่ยนแปลงได้ เสมอ และเง่ือนไขทางเศรษฐกิจและสังคมอาจส่งผลกระทบที่สำ�คัญ ต่อการเปล่ียนแปลงทางการเมือง แต่ระบบการเมืองท่ีพัฒนาแล้ว การเปลี่ยนแปลงใด ๆ จะต้องเป็นไปตามกติกาหรือระบบกฏเกณฑ์ที่ กำ�หนดไว้ กล่าวคือไม่มีการใช้กำ�ลังนอกระบบเพื่อการเปลี่ยนแปลง อ�ำ นาจทางการเมือง 9. การพัฒนาทางการเมือง คือ การระดมสรรพกำ�ลังและ 9

นกั การเมืองถ่นิ จงั หวัดกระบ่ี อำ�นาจ (political development as mobilization and power) แนว ความคดิ นมี้ คี วามคดิ เหน็ วา่ ระบบการเมอื งทม่ี ศี กั ยภาพมคี วามสามารถ ในการใช้อำ�นาจบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ ตรงกันข้ามกับระบบ การเมอื งทไี่ มม่ น่ั คง การตดั สนิ ใจของผบู้ รหิ ารจะมอี �ำ นาจในทางปฏบิ ตั ิ ต�่ำ มากโดยเฉพาะอ�ำ นาจในการรเิ รมิ่ นโยบายใหมแ่ ทบจะไมม่ เี ลย ดงั นน้ั ระบบการเมืองที่สามารถระดมสรรพกำ�ลังและอำ�นาจของรัฐเพ่ือการ เสริมสร้างการบริหารและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพทำ�ให้ การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำ�กัดเกิดประโยชน์สูงสุดแก่สังคม แสดง ว่าระบบสงั คมนั้นมรี ะบบการพฒั นาทางการเมอื งสงู 10. การพฒั นาทางการเมอื ง คอื มติ หิ นง่ึ ของการเปลย่ี นแปลง ทางสังคม (political development as one aspect of a multi Dimensional process of social change) แนวความคิดนีม้ ีความเห็น ว่ารูปแบบท้ังหมดของการพัฒนาท้ังการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และ การเมอื งมคี วามสมั พนั ธอ์ ยา่ งใกลช้ ดิ ไมม่ กี ารพฒั นาดา้ นใดทเี่ ปน็ อสิ ระ จากกนั โดยสน้ิ เชงิ อาทิ เชน่ ความทนั สมยั (modernization) เปน็ รูป แบบของการพฒั นาทเี่ กย่ี วขอ้ งทง้ั การพฒั นาทางเศรษฐกจิ สงั คม และ การเมือง ดังน้ัน กระบวนการพัฒนาทางการเมืองจึงเป็นมิติหนึ่งของ กระบวนการเปลย่ี นแปลงทางสังคมที่พง่ึ พาซึ่งกนั และกัน จากแนวความคดิ และทศั นะทส่ี �ำ คญั เกยี่ วกบั การพฒั นาทางการ เมอื งตามท่ี ไพย์ (Pye) ไดน้ �ำ เสนอไว้ เมื่อพจิ ารณาในสาระสำ�คัญจะ เห็นได้ว่า การพัฒนาทางการเมืองมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการ พฒั นาทางเศรษฐกจิ และสงั คม จงึ บรู ณาการความหมายของการพฒั นา ทางการเมอื งไดว้ า่ หมายถงึ การเสรมิ สรา้ งระบบการเมอื งทสี่ ง่ ผลตอ่ การ พฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คม และระบบการเมอื งของประเทศ เพอื่ ตอบ 10

สนองความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่และเป็นระบบการเมืองที่ เปิดโอกาสให้ประชาชนมีบทบาทในการควบคุม กำ�กับ ตรวจสอบ ผบู้ รหิ ารอยา่ งใกล้ชดิ เพ่ือให้มัน่ ใจวา่ การตดั สินใจตา่ ง ๆ ทางการเมอื ง จะต้องมีประสิทธิภาพในการสนองตอบประโยชน์ความต้องการของ ประชาชน กอ่ ให้เกดิ การเปล่ียนแปลงระบบการเมอื งทีท่ นั สมัย ท�ำ ให้ มนษุ ยเ์ หน็ คณุ คา่ ความส�ำ คญั ของสทิ ธติ นเอง น�ำ ไปสกู่ ารเรยี กรอ้ งและ เกดิ กลมุ่ ต่างๆ เชน่ พรรคการเมือง กลมุ่ ผลประโยชน์ กลุม่ อทิ ธิพลและ กลมุ่ อนื่ ๆ เกดิ ความรกั ชาติ บางทศั นะอาจเหน็ วา่ การชมุ นมุ เคลอ่ื นไหว ของประชาชนอาจนำ�ไปสู่ความวุ่นวายทางการเมือง ทำ�ให้ระบบ การเมอื งลา้ หลงั โดยเฉพาะในสงั คมทไ่ี รเ้ สถยี รภาพทางการเมอื ง การ เคลอ่ื นไหวทางการเมอื งของประชาชนจะยงิ่ ท�ำ ใหร้ ฐั บาลไรเ้ สถยี รภาพ มากยง่ิ ข้นึ แตโ่ ดยเนื้อแท้แล้วการชุมนมุ เคลอื่ นไหวของประชาชน คอื การแสดงออกถึงความต้องการท่ีผู้บริหารประเทศจะต้องเร่งรัดแก้ไข หากผบู้ รหิ ารประเทศไมส่ ามารถสนองตอบความตอ้ งการของประชาชน ได้ก็ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนเลือกสรรผู้อื่นเข้ามาทำ�หน้าที่แทน ดงั นนั้ การระดมพลงั ประชาชนและการรว่ มมอื ของประชาชนจงึ สะทอ้ น การแสดงออกซง่ึ การเปน็ เจา้ ของอ�ำ นาจอธปิ ไตยทแ่ี ทจ้ รงิ ของประชาชน จงึ กลา่ วไดว้ า่ การมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งของประชาชนคอื ดชั นบี ง่ บอก ถงึ ระดบั การพฒั นาทางการเมอื งของแตล่ ะสงั คม เชน่ การเรยี กรอ้ งสทิ ธิ ตา่ งๆ ของกลมุ่ เสอ้ื เหลอื งและเสอื้ แดง เปน็ ตน้ มกี ารพฒั นากฎหมาย และการบริหารองค์กรให้มีประสิทธิภาพ รู้จักใช้เหตุและผลในการ เคารพสิทธิของแต ละคน ฉะน้ันระบบการเมืองที่มีการเปล่ียนแปลง ตามกฏกติกาจะช่วยให้เกิดเสถียรภาพทางการเมือง มีอำ�นาจใน การบรหิ าร ไม่วา่ การเปลีย่ นแปลงนัน้ จะเกิดข้นึ บอ่ ยหรอื ไมก่ ็ตาม ท้ังน้ี 11

นักการเมอื งถิ่นจงั หวดั กระบี่ เพราะการเปลย่ี นแปลงตามกฏกตกิ าจะท�ำ ใหป้ ระชาชนเกดิ การยอมรบั และเชือ่ มน่ั ซง่ึ เป็นปัจจัยส�ำ คัญตอ่ เสถยี รภาพทางการเมือง องคป์ ระกอบของการพัฒนาทางการเมือง ภายใตก้ รอบความคดิ เกยี่ วกบั การพฒั นาทางการเมอื ง แมจ้ ะมี ทศั นะทหี่ ลากหลายกต็ าม แตโ่ ดยเน้อื แท้ของการพัฒนาทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาทางทัศนะใดก็ตาม จะต้องประกอบไปด้วย คณุ ลกั ษณะทสี่ �ำ คญั เปน็ เสมอื นองคป์ ระกอบการพฒั นาการเมอื งไดแ้ ก่ 1. ความเสมอภาค (equality) ประชาชนจะต้องมีความ เสมอภาคในการร่วมมือทางการเมือง ท้ังในการใช้สิทธิทางการเมือง และในการร่วมกิจกรรมทางการเมือง ความเสมอภาคทางการเมือง จะส่งเสริมให้ประชาชนแสดงออกซึ่งการเป็นเจ้าของอำ�นาจอธิปไตย ที่แท้จริง นอกจากนี้ประชาชนต้องรู้จักมีความเสมอภาคทางกฎหมาย กฎหมายจะตอ้ งบงั คบั ประชาชน อยา่ งเสมอภาคเทา่ เทยี มกนั ประชาชน ไมว่ า่ จะยากจนหรอื ร�ำ่ รวยจะตอ้ งไดร้ บั ความคมุ้ ครองจากกฎหมายและ กระบวนการยตุ ธิ รรมอยา่ งเสมอภาคเทา่ เทยี มกนั ในการเลอื กสรรบคุ คล เขา้ ด�ำ รงต�ำ แหนง่ ทางการเมอื งจะตอ้ งยดึ หลกั ความสามารถของบคุ คล มใิ ชย่ ดึ ถอื ชาตติ ระกลู ดงั นน้ั ประชาชนจะตอ้ งมคี วามเสมอภาคในการ ไดร้ บั โอกาสในการคดั เลอื กด�ำ รงต�ำ แหนง่ หนา้ ท่ี ทงั้ ต�ำ แหนง่ ขา้ ราชการ ทางการเมอื งและขา้ ราชการประจ�ำ โดยค�ำ นงึ ความสามารถทเ่ี หมาะสม เปน็ เกณฑ์ ความเสมอภาคมคี วามหมายครอบคลมุ ทงั้ ความเสมอภาค ในด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม โดยประชาชนจะต้องได้รับสิทธิ ประโยชน์เท่าเทียมกันโดยเฉพาะสิทธิที่จะได้รับบริการทางรัฐบาล ท้ัง บริการด้านศึกษา สาธารณสุข สวัสดิภาพและสวัสดิการ ตลอดจนส่ิง 12

อ�ำ นวยประโยชน์ในการด�ำ รงชวี ิตอย่างมีคุณภาพ 2. ความสามารถของระบบการเมอื ง (capacity) หมายถงึ ความ สามารถท่ีระบบการเมืองตอบสนองความต้องการของประชาชนท้ัง ในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม สมรรถนะของระบบการเมือง จะมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับนโยบายสาธารณะท่ีมีผลกระทบต่อ ประชาชนถ้าระบบการเมืองมีสมรรถนะสูง นโยบายสาธารณะที่เกิด จากกระบวนการตัดสินใจของระบบการเมืองจะต้องส่งเสริมให้เกิด สภาพแวดลอ้ มทดี่ ที ง้ั เศรษฐกจิ และสงั คม ระบบการเมอื งทมี่ รี ะดบั การ พัฒนาสูงจะสามารถผลักดันการพัฒนาประเทศทั้งทางเศรษฐกิจและ สังคม จากกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมไปสู่สังคมอุตสาหกรรม เพ่ือ สง่ เสรมิ ใหป้ ระชาชนมรี ายไดท้ ม่ี น่ั คงและมคี ณุ ภาพชวี ติ ทดี่ ี นอกจากนี้ สมรรถนะของระบบการเมอื งยงั มคี วามหมายครอบคลมุ ถงึ การก�ำ หนด นโยบายของรฐั บาลไปปฏบิ ตั อิ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพอกี ดว้ ย ดงั นนั้ ระบบ การพัฒนาจึงมิได้มีความหมายแต่เพียงว่าสามารถทำ�งานได้จำ�นวน มาก แต่งานท่ีทำ�น้ันจะต้องมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายตามที่ ต้องการดว้ ย 3. การออกแบบโครงสร้างทางการเมอื งใหม้ ีความแตกต่างและ มีความช�ำ นาญเฉพาะ (Differentiation and specialization ) เปา้ หมาย ของการพัฒนาระบบการเมืองจะต้องเสริมสร้างให้โครงสร้างทาง การเมืองมีความแตกต่างตามกิจ และมีความชำ�นาญเฉพาะในเรื่อง ปฏิบัติกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน ดังน้ัน หน่วย งานและองค์กรต่าง ๆ ของรัฐจะต้องได้รับการจัดตั้งให้สมกับกิจที่จะ ต้องรับผิดชอบ การดำ�เนินการเช่นน้ีจะทำ�ให้หน่วยงานและองค์กร ต่างๆ สามารถปฏิบัติกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะทำ�ให้ประชาชน 13

นักการเมอื งถน่ิ จงั หวดั กระบ่ี ได้รับความพอใจการบริการของรัฐอย่างเสมอภาคท่ัวหน้า นอกจาก นี้การแบ่งแยกโครงสร้างทางการเมืองการปกครองตามความชำ�นาญ เฉพาะมิได้หมายความว่าเป็นการแบ่งแยกองค์กรของรัฐให้เป็นอิสระ โดยไม่เก่ียวข้องกัน แต่ความหมายถึงความเป็นอิสระที่มีการทำ�งาน อย่างประสานกันเก้อื กูลกันเป็นการบูรณาการความสามารถท่แี ตกต่าง เขา้ ดว้ ยกนั เพอ่ื บรรลเุ ปา้ หมายในการสรา้ งสรรคส์ งั คมทด่ี ใี หแ้ กป่ ระชาชน 4. การเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีเหตุมีผล (Secularization of political culture) โดยท่ัวไปสังคมแบบดั้งเดิมท่ี ปกครองแบบอำ�นาจนิยมมักจะปลูกฝังให้ประชาชนยึดม่ันในจารีต ประเพณแี บบไมม่ เี หตผุ ล ยดึ ถอื โชคลาภเปน็ สรณะ ปลกู ฝงั ใหป้ ระชาชน เห็นว่าผู้ปกครองเป็นผู้มีบารมี ส่วนประชาชนที่ยากจนอดอยากเป็น เพราะกรรมเกา่ แตช่ าติก่อน ดังนัน้ การพฒั นาทางการเมอื งจึงมงุ่ ทจี่ ะ สง่ เสรมิ ใหป้ ระชาชนใชเ้ หตใุ ชผ้ ลในการด�ำ รงชวี ติ โดนเฉพาะความเปน็ เหตคุ วามเปน็ ผลทปี่ ระชาชนจะตอ้ งควบคมุ ก�ำ กบั และตรวจสอบระบบ การเมืองอยา่ งใกล้ชดิ ในสังคมที่ประชาชนได้รับการศึกษาและได้รับการฝึกฝนรู้จัก คิดแบบมีเหตุผล ซึ่งเรียกว่าเป็นความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ ปรากฏอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงล้วนมีเหตุมีผลทั้งสิ้น และเหตุผล ที่สำ�คัญของประชาคม การเมืองก็คือ การสร้างชีวิตที่ดีและมี ความสุขให้กบั ประชาชน การบรรลุเปา้ หมายดงั กลา่ วประชาชนตอ้ งได้ รับโอกาสอย่างเสมอภาคในการพัฒนาตนเองให้ รอดพ้นจากการเอา รัดเอาเปรียบของผู้อ่ืน และสามารถใช้สิทธิเสรีภาพทางการเมืองด้าน ความมีเหตุมีผล เพื่อป้องกันมิให้ผู้อื่นละเมิดโดยมิชอบธรรม ดังน้ัน องค์ประกอบสำ�คัญประการหนึ่งของการพัฒนาทางการเมืองคือ การ 14

เสริมสร้างให้ประชาชนมีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีเหตุมีผล เพื่อ การดำ�รงรักษาระบบการเมืองที่ดีให้มีเสถียรภาพมั่นคง อันก่อให้เกิด ประโยชน์สุขแก่ประชาชนอย่างเสมอภาคทั่วหน้า วัฒนธรรมทาง การเมอื งท่มี เี หตมุ ีผลจะพบไดท้ ั่วไปในสงั คมอุตสาหกรรม 5. ความเป็นอิสระของระบบย่อย (subsystem autonomy) องค์ประกอบของการพัฒนาทางการเมืองท่ีสำ�คัญท่ีสุดประการหน่ึง คือ ความเป็นอิสระต่อระบบย่อย ระบบการเมืองใดก็ตามที่ระบบ ยอ่ ยมคี วามเปน็ อสิ ระนอ้ ยหรอื ไมม่ คี วามเป็นอิสระเลยแสดงว่า ระบบ การเมอื งนนั้ เปน็ ระบบรวมศนู ยอ์ �ำ นาจ ลกั ษณะของการรวมศนู ยอ์ �ำ นาจ ท่ีจะทำ�ให้ประสิทธิภาพของการตัดสินใจเพ่ือแก้ปัญหาของประชาชน และการบริการของประชาชนต�ำ่ เพราะผูบ้ ริหารอยู่ห่างไกลจากสภาพ ปัญหาท่ีแท้จริงของประชาชน และขาดความผูกพันในการตอบสนอง ความต้องการของประชาชน ตรงกันข้าม ระบบการเมืองที่มีการ กระจายอำ�นาจ จะทำ�ใหร้ ะบบยอ่ ยมีความเปน็ อิสระ ความอสิ ระในท่ี น้ีหมายถงึ รวมเปน็ อสิ ระในการปกครองตนเอง ความเป็นอิสระในการ พิจารณาปัญหาและความต้องการของตน ตลอดจนความเป็นอิสระ ในการตัดสินใจเพื่อกำ�หนดทางเลือกที่เหมาะสมในการพัฒนาชีวิต และชุมชนของตนเอง การกระจายอำ�นาจคือ สัญลักษณ์ของความ มีประสิทธิภาพ ในขณะที่การรวมศูนย์อำ�นาจคือ สัญลักษณ์ของการ ไร้ประสิทธิภาพ ดังนั้น การกระจายอำ�นาจให้หน่วยย่อยมีความเป็น อิสระในการปฏิบัติกิจของตนจะทำ�ให้หน่วยงานย่อยมีสมรรถนะ ในการตอบสนองความต้องการขอประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ ความเป็นอิสระของระบบย่อย ได้แก่ การให้อิสระแก่หน่วยงานการ ปกครองทอ้ งถิน่ ระบบพรรคการเมอื ง เป็นต้น 15

นกั การเมืองถน่ิ จงั หวัดกระบี่ จากองคป์ ระกอบทสี่ �ำ คญั การพฒั นาการเมอื งไมว่ า่ จะเปน็ เรอ่ื ง ของความเสมอภาค ความเชื่อ ความไว้วางใจ ทัศนคติ ล้วนฝังราก ลึกอยู่ในจิตใจของคนใต้มานานแล้ว จนมีการพูดกันติดปากว่าคนใต้ มีวัฒนธรรมการเมืองสูง เล่นการเมืองเป็น รู้จักเล่นการเมือง ต่ืนมา ตอนเชา้ กก็ ิน น�ำ้ ชา-กาแฟ คยุ เร่ืองการบ้านการเมือง แต่ละคนทม่ี าคยุ กันมีเหตุผลยอมรับความคิดคนอ่ืน เคารพกฎกติกา มีความกล้าหาญ ที่วิพากษ์วิจารณ์เหตุบ้านการเมือง นี่คือวัฒนธรรมทางด้านการเมือง ของคนใต้ บทบาทของพรรคการเมือง พรรคการเมือง ถือเป็นยาขนานเอกท่ีมีอิทธิพลต่อการ เปล่ียนแปลงการเมืองของประเทศหรือของโลกโดยเฉพาะการเมือง ระดับโลกอย่างสหรัฐอเมริกา เมื่อเปล่ียนผู้นำ�บริหารประเทศต้อง เปลยี่ นขว้ั พรรคการเมอื ง สง่ ผลใหเ้ กดิ การตนื่ ตวั อยา่ งมากตอ่ เหตกุ ารณ์ ที่เกิดข้ึนเพราะต้องมีการปรับนโยบายของประเทศตนเองให้เข้ากับ นโยบายของพรรคการเมอื งในอเมรกิ า ซง่ึ ขณะนพ้ี รรค เดโมแครตเปน็ แกนน�ำ ในการบรหิ ารประเทศภายใตก้ ารน�ำ ของประธานาธบิ ดบี ารกั โอบามา ผนู้ �ำ ผวิ สคี นแรกของประเทศ บทบาทของพรรคการเมอื งทสี่ ำ�คญั ตามท่ี กล่าวมา ลว้ นเปน็ องค์การท่มี ีบทบาทสำ�คญั ตอ่ การเมอื งการปกครอง หลายประการ และประชาชนจะสนบั สนนุ พรรคการเมอื งหรอื ไม่ ยอ่ ม ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พรรคการเมืองเสนอให้แก่ประชาชน และขึ้นอยู่กับ ศักยภาพของพรรคการเมืองในการบริหารงานเพ่ือให้ประชาชนเกิด ความเชอื่ มน่ั หรือศรัทธาในพรรค ส่ิงที่พรรคการเมืองเสนอให้แก่ประชาชน เพ่ือเป็นเคร่ืองแลก 16

เปลย่ี นกบั เสยี งสนบั สนนุ หรอื จงู ใจใหป้ ระชาชนสนบั สนนุ พรรคนน้ั อาจ จำ�แนกได้เป็น อุดมการณ์ นโยบาย บคุ ลกิ ลกั ษณะ เกยี รติยศช่อื เสียง ของพรรคหรือตัวบุคคลที่เป็นนักการเมือง อิทธิพลหรือความสัมพันธ์ ส่วนตัว ความสามารถในการให้การอุปถัมภ์หรือการซ้ือเสียง ส่ิงท่ี พรรคการเมอื งเสนอใหแ้ กป่ ระชาชนเหลา่ นอี้ าจจะเปน็ ทต่ี อ้ งการหรอื ไม่ ตอ้ งการของประชาชน สดุ แทแ้ ตค่ า่ นยิ ม ความตอ้ งการของประชาชน ในแต่ละทอ้ งถิ่น ในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งอาจแตกต่างกันไป ส่วนศักยภาพของพรรคการเมืองในการบริหารงาน ได้แก่ ความสามารถในการจัดการ ซ่ึงรวมไปถึงการจัดองค์การ รูปแบบการ บรหิ าร อตั ราก�ำ ลงั เจา้ หนา้ ท่ี งบประมาณ อปุ กรณ์ เครอื่ งมอื นอกจาก นี้ ศักยภาพในการทำ�หน้าท่ียังรวมไปถึงความสามัคคีภายในพรรค และระบบพรรคการเมืองอีกด้วย ในกรณีของประเทศไทย สาเหตุที่ พรรคการเมอื งไทยออ่ นแอไมอ่ าจพฒั นาเปน็ สถาบนั ขนาดใหญแ่ ละไม่ สามารถท�ำ หนา้ ทใ่ี หเ้ ปน็ ทถ่ี กู ใจประชาชนนน้ั กลา่ วไดว้ า่ เกดิ จากปจั จยั ต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวกับพรรคการเมืองไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นอุดมการณ์และ นโยบาย การจัดองค์การ การจัดทำ�กิจกรรมและระบบพรรคการเมอื ง พรรคการเมอื งกับการคดั เลือกผ้สู มคั รรบั เลือกตงั้ พรรคการเมืองโดยมากจะคัดเลือกผู้สมัครโดยจะพิจารณา คุณสมบัติของผู้ที่จะสง่ ลงสมคั รรับเลือกตัง้ ดังนี้ 1. ช่ือเสียงของผู้สมัคร ว่าเป็นที่รู้จักและยอมรับนับถือของ ประชาชนในเขตเลือกตั้งมากน้อยเพียงใดเพราะหากมีชื่อเสียงเป็นที่ นยิ ม ย่อมสะท้อนถึงโอกาสทจี่ ะได้รับเลือกตั้งจากประชาชนในเขตนัน้ 2. ฐานเสียง คือ การได้รับการสนับสนุนของประชาชนในเขต 17

นกั การเมืองถน่ิ จังหวัดกระบี่ เลือกต้ังต่อผู้สมัคร เช่น การมีเครือญาติ พ่ีน้อง พรรคพวก บุคคลที่ เคารพนับถือ เป็นต้น โดยที่กลุ่มเหล่านี้พร้อมท่ีจะลงคะแนนเสียงให้ แก่ผู้สมัคร ฐานเสียงน้ีครอบคลุมถึงการจัดตั้งตัวแทน หรือหัวคะแนน ทจ่ี ะช่วยในการหาเสยี งอีกด้วย 3. ความประพฤติและการประกอบอาชีพ พรรคการเมืองจะ พิจารณาการประพฤติตัวของผู้สมัครจากความรู้สึกของประชาชนจาก เขตเลือกตง้ั นน้ั ว่าเหน็ เปน็ อย่างไร ดหี รอื ไม่ดี สว่ นในดา้ นอาชีพกจ็ ะ ต้องประกอบอาชีพที่ประชาชนไมร่ ังเกียจและไม่ผิดกฎหมาย 4. ฐานะทางเศรษฐกจิ โดยทวั่ ไปแลว้ พรรคการเมอื งจะใหค้ วาม สนใจกับผู้สมัครที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี เพราะจะได้ไม่เป็นภาระใน เรอ่ื งคา่ ใชจ้ า่ ยของพรรคการเมืองมากนัก สำ�หรับวิธีการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองมี วิธกี ารส�ำ คญั อยู่ 3 วธิ ี ไดแ้ ก่ 1. คดั เลอื กผา่ นกลไกพรรคการเมอื ง จะเปน็ สาขาพรรคการเมอื ง หรอื ศูนย์ประสานงาน 2. คดั เลือกผา่ นกรรมการสรรหาผสู้ มคั รของพรรคการเมือง 3. คัดเลอื กจากผแู้ ทนราษฎรของพรรคการเมือง ในการหาเสียงเลือกต้ังพรรคการเมืองจะให้การสนับสนุนด้าน วิชาการ ด้านบุคลากร วสั ดุอุปกรณ์และดา้ นเงินทุน การใชอ้ าสาสมคั ร การใช้ผู้นำ�พรรคการเมืองหรือผู้ที่มีชื่อเสียงของพรรคการเมืองช่วยใน การหาเสยี งการเสนอนโยบายพรรคการเมอื ง และแนวทางแกไ้ ขปญั หา รวมทั้ง กลยทุ ธ์ตา่ ง ๆ ในการหาเสียง โดยมีเป้าหมายเพ่ือใหผ้ ้สู มัคร ของพรรคการเมืองได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การ ศึกษาพรรคการเมืองในปัจจุบันจากแนวคิดของ กนก วงศ์ตระหง่าน 18

กลา่ วไวน้ า่ สนใจวา่ แนวคดิ หรอื ทฤษฎขี องการพรรคการเมอื งนน้ั ไมค่ วร ศึกษาเฉพาะเน้ือหาของพรรคการเมอื งเทา่ นัน้ แต่ควรศกึ ษาโครงสรา้ ง ขององค์ความรู้เก่ียวกับพรรคการเมืองด้วย พรรคการเมืองส่วนมาก มักจะคัดเลือกผู้สมัครท่ีมีความโดดเด่นในแต่ละด้านแตกต่างกันไป โดยจะพิจารณาคุณสมบัติของผู้ที่จะส่งลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อให้ได้ บุคคลทพี่ ร้อมจะเขา้ มาทำ�หน้าท่ีเปน็ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งบาง พรรคการเมอื งกเ็ ลอื กลกู ตวั เองขนึ้ มาเพอ่ื สบื ทอดวงศส์ กลุ หรอื เลอื กหวั คะแนน แตโ่ ดยสรปุ แลว้ พรรคการเมอื งกม็ บี ทบาททสี่ �ำ คญั ตอ่ การเลอื ก ผสู้ มคั รและถอื เปน็ มตเิ ดด็ ขาดในการรบั สมคั รสมาชกิ เพอื่ สง่ ลงรบั สมคั ร รบั เลอื กต้ังในเวทกี ารเมอื งตอ่ ไป แนวคิดกลุม่ ผลประโยชน์ (Interest Groups ) กลุ่มผลประโยชน์ หรือนักวิชาการบางคนเรียกว่า กลุ่มกดดัน (Pressure) หรือกลุ่มบุคคลที่รวมตัวกัน เพื่อเรียกร้อง ต่อสู้เพื่อสิทธิ ประโยชนต์ า่ ง ๆ ของพวกตนเพ่อื รักษาสิทธติ า่ งๆไว้โดยไม่มเี จตนาเขา้ รว่ มบรหิ ารประเทศ เชน่ กลมุ่ เรยี กรอ้ งสทิ ธสิ ตรกี ลมุ่ สหภาพแรงงานตอ่ สู้ เพ่อื ขอเพิม่ ค่าจา้ ง กลุ่มสมาคมพ่อคา้ กลมุ่ นสิ ิตนักศึกษา โกวทิ วงศส์ รุ วฒั น์ (2548) ใหค้ วามหมายของกลมุ่ ผลประโยชน์ ไวว้ า่ กลมุ่ ผลประโยชนค์ อื กลมุ่ อาชพี เชน่ กลมุ่ ชาวไรอ่ อ้ ย กลมุ่ โรงงาน น�ำ้ ตาล กลมุ่ นายธนาคาร กลมุ่ ผใู้ ชแ้ รงงานในรฐั วสิ าหกจิ กลมุ่ ทหาร กลมุ่ ข้าราชการพลเรือน กลมุ่ ย่ีปั๊วสลากกนิ แบ่ง กลมุ่ ผู้ทำ�ธุรกจิ ผูกขาดทาง โทรคมนาคม กลุ่มเลี้ยงไก่ไข่ กลุ่มผู้เล้ยี งไก่เน้อื กลมุ่ ผู้เล้ียงกุ้งกุลาด�ำ กลุ่มผูส้ ง่ั และผสมปยุ๋ เคมีขาย กลุ่มผ้คู ้ายางมะตอย เป็นตน้ 19

นักการเมอื งถิ่นจังหวดั กระบ่ี ค�ำ วา่ กลมุ่ ผลประโยชน์ (Interest Groups) กบั ค�ำ วา่ กลมุ่ อทิ ธพิ ล (Presure Groups) เปน็ คำ�ทีม่ ักจะใช้ปะปนกัน เนือ่ งจากมคี วามหมาย ใกล้เคยี งกนั การใหค้ วามหมายท่แี ตกต่างกนั เปน็ ผลมาจากนักวิชาการ แตล่ ะคนทีม่ อง คอื ตามทศั นะของการมองหรือการศึกษา (Approach) กลุ่มผลประโยชน์น้ันพิจารณาตามหลักของความเป็นจริงจาก พฤติกรรมแล้วเป็นการรวมตัวของกลุ่มชนท่ีมีผลประโยชน์ได้ยึดถือ เอาแนวอาชีพเดียวกันเป็นหลัก เม่ือการรวมตัวกันดำ�เนินไปได้ด้วย ดี มกี ารจดั องค์การทด่ี ี มีประสิทธภิ าพแลว้ กจ็ ะสามารถสรา้ งพลังและ เปลย่ี นแปลงกลายเปน็ กลมุ่ ทมี่ อี ทิ ธพิ ล (Influence) และอ�ำ นาจ (Power) เหนือรัฐบาล เหนือผู้บริหารประเทศได้ พลังอำ�นาจท่ีว่านี้รวมไปถึง จำ�นวนสมาชิกที่เขา้ รว่ มในกลุ่มด้วย กลมุ่ ผลประโยชน์หรอื Interest Groups หมายถึงกลุ่มตัวแทน สาขา อาชพี สาขาในสังคม ซ่งึ มีจำ�นวนมาก และตามความเชี่ยวชาญ เฉพาะสาขา ค�ำ ตอ่ ไปนมี้ คี วามหมายทใ่ี กลเ้ คยี งกนั และมกั ใชป้ ะปนกนั อยู่เสมอคอื Pressure Groups หมายถงึ กลุ่มผลกั ดัน หรอื กลุ่มอิทธพิ ล Organized Groups หมายถงึ การรวมกลมุ่ ของผมู้ ผี ลประโยชน์ หรอื ผลประโยชน์ท่ีรวมกนั ในลกั ษณะขององคก์ าร Group interest หมายถงึ ผลประโยชนข์ องกลมุ่ ไมเ่ หมอื นกนั กบั Organized Groups เพราะเปน็ การรวมกนั เฉยๆ ไม่มกี ารจัดองค์การ Ideological Groups หมายถึง กลุ่มอุดมการณ์ ไม่มีการแบ่ง เป็นชัน้ เพศและอาชพี Lobby หมายถึง กลุ่มแลกเปลี่ยนผลประโยชน์นอกสภา เปรยี บเทยี บเป็นสภาท่ี 3 ของสหรัฐอเมริกา 20

Political Groups หมายถงึ กลุม่ การเมืองหรอื สโมสรการเมือง Political Clubs Powers Groups หมายถงึ กลมุ่ พลังต่างๆ ขบวนการต่างๆ จดุ หมายส�ำ คญั ของกลมุ่ ตา่ งๆ นค้ี อื การปอ้ งกนั ผลประโยชนข์ อง กลุม่ ซงึ่ แบ่งแยกตามสาขาของสงั คมผลประโยชนน์ นั้ อาจหมายถงึ ผล ประโยชน์เฉพาะของกล่มุ หรอื ผลประโยชนน์ อกกลมุ่ คอื ผลประโยชน์ ทั่วไปที่เปน็ สาธารณะ รวมถงึ จดุ หมายสดุ ทา้ ยคอื การมีอิทธพิ ลเหนอื นโยบายสาธารณะ นานานิยาม ความหมายของกลุ่มผลประโยชนม์ ีมาก เชน่ กลุ่มผลประโยชน์ในความหมายตามพจนานุกรม ศัพท์ สังคมวิทยาน้ันอธิบายว่าgroups interest คือ ผลประโยชน์ของกลุ่ม หมายถึง “ภาวะความรู้สึกต่ืนตัวท่ีเกิดขึ้นในบุคคลที่ทำ�งานร่วมกัน เป็นกลมุ่ เพอื่ ใหบ้ รรลถุ งึ วัตถุประสงค์ซึง่ ถอื ว่าเป็นผลประโยชนร์ ว่ มกัน ของกลมุ่ ” Interest group คอื กลุ่มผลประโยชน์ หมายถงึ “กลมุ่ ท่ีจัดตัง้ ขึ้นเพื่อภารกิจหรือผลประโยชน์เฉพาะอย่าง เช่น กลุ่มเรียกร้องสิทธิ สตรี หรือกลุ่มพอ่ ค้า” ศาสตราจารย์แกรแฮม วู๊ดต้ัน (Graham Wootton) แห่ง มหาวิทยาลยั Tuffts สหรฐั อเมริกา ได้อธิบายความหมายของกล่มุ ผล ประโยชนไ์ ว้ว่า กลุ่มผลประโยชน์ คือ กลุ่มทุกกลุ่ม หรือองค์การทุกองค์การ ที่แสวงหาอิทธิพลเหนือนโยบายสาธารณะ (Public Policy) ตามวิถี ทางที่กำ�หนด ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธท่ีจะรับผิดชอบโดยตรงที่จะ ปกครองประเทศ 21

นกั การเมอื งถน่ิ จังหวัดกระบี่ กลุ่มผลประโยชน์เป็นของผู้ร่วมทัศนะท่ีได้ทำ�การเรียกร้อง ต่อกลุ่มอ่ืน ๆ ในสังคม และเม่ือใดท่ีกลุ่มผลประโยชน์นี้กระทำ�การ เรยี กรอ้ งขอ้ เสนอของตน โดยผา่ นสถาบนั ใด ๆ ของรฐั บาล กต็ าม กลมุ่ ผลประโยชน์น้ีจะกลายเป็นกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง (Political Interest Groups) และเม่ือใดที่กลุ่มผลประโยชน์ปฏิบัติการในระดับ การเมือง กลุ่มนี้จะถูกเรียกว่ากลมุ่ ผลักดัน (Presure Groups) วทิ ยา นภาศริ กิ ุลกจิ และสุรพล ราชภณั ฑารกั ษ์ (2544) ได้จัด แบ่งประเภทของกลุ่มผลประโยชน์ตามแนวของศาสตราจารย์ มอริส ดแู วรเ์ ซ่ (Marice Duverger) เปน็ 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คอื 1. กลุ่มผลกั ดนั จรงิ ได้แก่ กลุม่ ผลกั ดนั เฉพาะกรณี เปน็ กลมุ่ ผล ประโยชน์ท่ีมีจุดมุ่งหมายทางการเมืองเฉพาะเรื่อง ในอเมริกา เรียก Lobby กลุ่มผลักดันบางส่วน ส่วนมากจะเป็นกลุ่มผลประโยชน์ทาง เศรษฐกิจ เช่น สหภาพแรงงาน สมาคมนายจ้าง ฯลฯ กลุ่มผลักดัน เอกชน เช่น สมาคมสตรี สมาคมเยาวชน กลุ่มผลักดันมหาชน เกิด ข้ึนโดยหน่วยงานของรัฐเพื่อบีบบังคับให้รัฐบาลมีนโยบายตามที่กลุ่ม ต้องการ หรืออาจจะเป็นพนักงาน เจ้าหน้าท่ีของรัฐ เป็นต้น กลุ่ม ผลักดันภายนอกประเทศ เป็นกลุ่มจากรัฐอ่ืนอาจจะเป็นรัฐบาลของ ประเทศอ่ืน หรอื กลมุ่ องค์การระหวา่ งประเทศ เป็นต้น 2. กลุ่มผลักดันแฝง เป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นเพื่อให้บริการด้าน ต่าง ๆ แก่ประชาชนทั่วไป เป็นต้นว่า กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ เป็นกลุ่มนัก วชิ าการเชย่ี วชาญเฉพาะเรอ่ื ง เชน่ ส�ำ นกั งานจดั หาทนุ เพอื่ การเลอื กตงั้ ส�ำ นกั งานเพอื่ การรณรงคท์ างการเมอื ง กลมุ่ สอ่ื สารมวลชน เปน็ กลมุ่ ผล ประโยชนแ์ บง่ เปน็ หลายรปู แบบ เชน่ สอื่ สง่ิ พมิ พ์ วทิ ยุ โทรทศั น์ เปน็ ตน้ บรรดากลุ่มผลประโยชน์หรือกลุ่มผลักดันต่าง ๆ ข้างต้นเมื่อ 22

รวมตัวกนั มวี ตั ถุประสงค์เจรจาต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง เชน่ การมีบทบาทในการกำ�หนดนโยบายสำ�คัญๆ การจัดสรรทรัพยากร ในการบริหารอาจจะกลายรูปเป็นพรรคการเมือง ซึ่งกลุ่มจะมีพลัง ต่อรองได้มากน้อยแค่ไหนข้ึนอยู่กับ ขนาดของกลุ่มสถานภาพการ ยอมรับของสังคมท่ีมีต่อกลุ่ม ความสามัคคีของสมาชิกในกลุ่ม ความ เป็นผ้นู ำ� เชน่ กลุม่ เส้ือเหลอื งในประเทศไทยมขี ่าวการแปรสภาพจาก กลุ่มเปน็ พรรคการเมอื งในอนาคต แนวคิดเกีย่ วกบั ผูน้ ำ�ทางการเมือง บทบาทของผู้นำ�ทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคน จะมีขนาด ใดกต็ ามยอ่ มจะตอ้ งมคี วามตอ้ งการ “ผู้น�ำ ” ในทกุ สถานการณ์ ซ่ึงหาก ขาดผนู้ �ำ แลว้ กลมุ่ คนนนั้ ยอ่ มขาดการประสานงานซง่ึ กนั และกนั และไม่ สามารถปฏบิ ตั งิ านใหบ้ รรลคุ วามส�ำ เรจ็ ได้ ดงั นน้ั จงึ มผี ใู้ หค้ วามหมายไว้ ต่างกัน เช่น ผู้น�ำ คอื ผูท้ ่ีกอ่ ใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลงทีน่ �ำ ไปส่ผู ลส�ำ เร็จ ทด่ี ขี ้นึ ผลจากความส�ำ เร็จทเ่ี กิดข้ึนนจ้ี ะเปน็ ตัวชว้ี ดั ผลของ “ภาวะผนู้ ำ�” ทั้งนี้ผู้นำ�ท่ีแท้จริงอาจจะไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในตำ�แหน่ง หรือมีช่ือเสียงท่ีเม่ือ เอย่ ชอื่ แลว้ เปน็ ทรี่ จู้ กั แตเ่ ขาจะตอ้ งเปน็ ผทู้ �ำ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงขน้ึ ได้ อยา่ งไรกต็ ามอาจจะกล่าวได้ว่า ภาวะผนู้ �ำ น้นั สามารถวดั ไดด้ ว้ ยผล ท่เี กดิ จากการนำ� ไมไ่ ดว้ ดั ดว้ ยตำ�แหนง่ หรืออ�ำ นาจหนา้ ทต่ี ามกฎหมาย ซ่ึงถ้าจะกล่าวถึงค่าของคนก็ต้องอยู่ท่ีผลของงาน ไม่ได้อยู่ท่ีความเป็น คนของใคร ดังน้นั คนที่เปน็ ผนู้ ำ� มีภาวะผนู้ ำ�จะต้องเปน็ คนดี คนเกง่ มคี ุณธรรม มองกว้าง คดิ ไกล ใฝ่สงู และตอ้ งแสดงบทบาทผนู้ �ำ อยา่ ง ถูกต้องและเปน็ ที่ยอมรับของสังคม 23

นกั การเมอื งถนิ่ จงั หวัดกระบ่ี ผนู้ �ำ ในสงั คมไทย แมว้ า่ คนไทยและสงั คมไทยมลี กั ษณะเปน็ โครงสรา้ งแบบอปุ ถมั ภ์ ผนู้ �ำ ในความหมายของโครงสรา้ งแบบนจี้ ะหมายถงึ ผทู้ ส่ี ามารถใหค้ วาม ชว่ ยเหลอื และความคมุ้ ครองได้ ยนื เคยี งบา่ เคยี งไหลเ่ วลามภี ยั ความถกู ผิดไม่ใช่สิ่งสำ�คัญระหว่างพวกเดยี วกันเอง ผู้ที่มีก�ำ ลังมากกว่าย่อมเปน็ ผ้ทู ไี่ ดเ้ ปรยี บในการผลกั ดนั การเมืองใหเ้ ป็นไปตามทตี่ ้องการ สังคมทกุ สังคมจะต้องมีความขัดแย้งเพราะการที่คนมาอยู่รวมกันเป็นจำ�นวน มาก หลากหลายอาชีพย่อมมีความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่างกันออกไป เร่ืองที่จะดำ�เนินการน้ันอาจเป็นท่ีพอใจของคนกลุ่มหนึ่ง แต่อาจไม่ เป็นที่พอใจของคนอีกกลุ่มหน่ึง ผู้นำ�หรือผู้ปกครองท่ีดีจึงต้องเป็นผู้ที่ สามารถจะรจู้ กั ประสานประโยชนข์ องกลมุ่ ตา่ ง ๆ ดว้ ยการเปน็ ทยี่ อมรบั ของประชาชน มคี วามเจนจัดในการโฆษณาชวนเชอ่ื เทา่ ๆ กบั การตอ่ ตา้ นการโฆษณาชวนเชือ่ และเจนจดั ในการใชภ้ าษาใหผ้ ้อู นื่ คล้อยตาม โดยสรปุ แลว้ ในระบอบประชาธปิ ไตยนนั้ ถอื วา่ อำ�นาจเปน็ ของ ประชาชน ผนู้ �ำ เปน็ เพยี งบคุ คลทปี่ ระชาชนสว่ นใหญเ่ หน็ พอ้ งตอ้ งกนั วา่ มีความเหมาะสมที่จะเข้ามาบริหารประเทศเพ่ือประโยชน์ของคนส่วน ใหญ่ ผนู้ �ำ ในสงั คมไทย เปน็ แกนกลางขององคก์ ารทางสงั คม การเมอื ง แทบทกุ ประเภทตง้ั แตก่ ลมุ่ ผลประโยชนเ์ ลก็ ๆ ไปจนถงึ องคก์ รการเมอื ง ขนาดใหญ่ อำ�นาจภายในกลุ่มข้ึนอยู่กับความสามารถของผู้นำ�ในการ พิจารณาตนเอง ให้เป็นท่ีประจักษ์ว่า เป็นผู้นำ�ท่ีมีศักยภาพในการนำ� มีความรับผิดชอบต่อความเจริญก้าวหน้าของกลุ่ม ในทางตรงกันข้าม การเส่ือมสลายของการเป็นผู้นำ�ไม่ว่าชราภาพ การตายหรือการหมด สน้ิ อ�ำ นาจ ยอ่ มน�ำ มาซงึ่ ความเสอ่ื มสลายของกลมุ่ นอกเสยี จากวา่ จะมี ผนู้ �ำ คนใหมท่ เี่ หมาะสมขน้ึ มาสบื แทนและสามารถสานตอ่ ความสมั พนั ธ์ 24

กลมุ่ การเมอื งในสงั คมไทย มกั ไมม่ กี ารจดั ตงั้ ในรปู แบบขององคก์ ารทมี่ ี ความถาวร มิได้เป็นระบบภายใตก้ ารจดั ตง้ั กฏระเบยี บ เสน้ ทางสำ�คญั สายหน่ึงสู่ความเปน็ ผนู้ �ำ ในสังคมไทย คือ การแสวงหาผู้อุปถัมภ์อยา่ ง ถกู ตอ้ งและเหมาะสมดว้ ยการแสดงความจงรกั ภกั ดี ซอื่ สตั ย์ เชอ่ื ฟงั และ เปน็ ประโยชน์ตอ่ เจ้านาย ผู้หยิบยนื่ ความสัมพนั ธ์ในลักษณะน้ี เปน็ สิ่ง ทเี่ ราพบเหน็ ไดใ้ นชวี ประวตั ขิ องผนู้ �ำ ทปี่ ระสบความส�ำ เรจ็ ทางการเมอื ง แทบทกุ อยา่ ง การปรบั เปลยี่ นผอู้ ปุ ถมั ภใ์ นเวลาและโอกาสอนั เหมาะสม จึงเป็นช่องทางสู่ความสำ�เร็จสำ�หรับนักการเมืองทุกคน ความอ่อนแอ แปรปรวนของโครงสร้างความสัมพันธ์ภายในกลุ่มย่อมนำ�มาซ่ึงความ อ่อนแอแปรปรวนของระบบการเมืองเช่นเดียวกัน โครงสร้างของกลุ่ม และระบบการเมืองที่ยืดหยุ่นอ่อนไหวนี้เอง นำ�ไปสู่ปัญหาวิกฤติเรื่อง ผ้นู ำ�และปญั หาเสถยี รภาพของรฐั บาลเสมอมา ในชว่ งทศวรรษที่ผ่าน มา ผู้นำ�ทางการเมืองมักให้ความสำ�คัญกับการลงทุนจากต่างประเทศ อุตสาหกรรมส่งออก การทอ่ งเที่ยว และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกจิ ทกี่ ระจกุ ตัวอยูแ่ ต่ในเมอื งและภาคอตุ สาหกรรม แตไ่ มเ่ คยมุ่งแกป้ ัญหา ความยากจนและภาวะการว่างงานในชนบท ดูเหมือนว่ารัฐบาลแทบ ทกุ ชดุ ท�ำ หนา้ ทร่ี ับใชร้ ะบบราชการและภาคธรุ กจิ เอกชน อนั เป็นพลงั ช้ันนำ�ทางการเมืองท่ีมีอำ�นาจสูง มากกว่าท่ีจะมุ่งแก้ปัญหาประเทศที่ เหมาะสม ระบบการเมืองไทยในปัจจุบัน เป็นการเมืองเร่ืองความอยู่ รอด ตราบใดท่ีนักการเมืองและผู้นำ�ทางการเมืองมุ่งเอาตัวรอด และ ประชาชนถูกผลักให้อยู่นอกระบบ ตราบน้ันสังคมการเมืองก็ยังคง ประสบปัญหาเสถียรภาพของรัฐบาลและวิกฤติด้านผู้นำ�ต่อไปอีก นาน บุคลิกภาพและคุณลักษณะทางสังคมของผู้นำ�การเมืองไทย 25

นกั การเมืองถน่ิ จงั หวัดกระบี่ การพิจารณาภาพรวมแห่งคุณลักษณะของความเป็นผู้นำ�ในสังคมไทย เป็นสิ่งที่กระทำ�ได้ค่อนข้างลำ�บาก เน่ืองจากเพราะผู้นำ�แต่ละท่านมี บุคลิกลักษณะและเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ผู้นำ�ทุกท่าน มีความ ทะเยอทะยานและแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูง มีความมุ่งมั่นและความ ปรารถนาอย่างแรงกล้าท่ีจะแสดงฝีมือของตนให้ผู้อ่ืนยอมรับ มีความ ขยันขันแข็งและความอดทนเพ่ือให้ได้มาซ่ึงความสำ�เร็จของตน แต่ ความสำ�เร็จยังหมายถึง ความสามารถในการสร้างสัมพันธภาพอัน ใกล้ชิดกับเจ้านายที่มีอำ�นาจและทรัพยากรเหนือความสามารถใน การทำ�ตนให้เป็นประโยชน์ต่อเจ้านาย ผู้นำ�ย่อมจะต้องเป็นบุคคลท่ีมี “พลังงาน” สูง ไม่ชอบอยู่นิ่งเฉยหากแต่ใช้ชีวิตดิ้นรนแสวงหาโอกาส ในการเล่ือนสถานภาพต�ำ แหนง่ และฐานะอยู่ตลอดเวลา การเป็นผู้นำ�ในสังคมไทย ยังหมายถึงความพร้อมที่จะรับผิด ชอบในชะตาชีวิตของผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ตาม ท่ีสถานภาพต่ำ�กว่าตน ความรู้สึกสงสารเห็นอกเห็นใจผู้อ่ืน จึงเป็น คุณลักษณะท่ีส่งเสริม“ภาพลักษณ์”แห่งการเป็นผู้นำ�ที่ดีในสถานการณ์ ปัจจบุ นั ซึง่ ผู้นำ�ประเทศในระดบั นายกรัฐมนตรี ไดร้ ับคำ�ครหาในเรอื่ ง การขาดคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมในการเปน็ ผนู้ �ำ สง่ ผลใหเ้ กดิ วกิ ฤตการณ์ ทางการเมอื งครง้ั รนุ แรงทส่ี ดุ ในรฐั บาลปจั จบุ นั เปน็ ผลเนอื่ งมาจากการ ขาดภาวะผู้นำ�ของนายกรัฐมนตรี ทั้งการใช้วาจาไม่เหมาะสมต่อองค์ พระประมุขหลายคร้ังหลายคราว การประชดประชันผู้ที่มีความเห็น ขดั แยง้ การลแุ กอ่ �ำ นาจในการตดั สนิ พจิ ารณากำ�หนดนโยบายหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เล่ห์เหล่ียมแสวงหาผลประโยชน์ทาง เศรษฐกิจสำ�หรับตนเองและครอบครวั โดยการท�ำ นติ กิ รรมอ�ำ พรางใน รปู แบบตา่ ง ๆ ซงึ่ แมว้ า่ จะไมส่ ามารถแสดงความผดิ ชดั แจง้ ทางกฎหมาย 26

แต่ในด้านคณุ ธรรมนน้ั สังคมบางสว่ นไมใ่ หก้ ารยอมรับอีกตอ่ ไป ผู้นำ�ทางการเมืองท่ีพึงประสงค์ในสังคมไทย ได้มีปูชนียบุคคล แสดงทัศนะไว้แล้ว และเป็นท่ียอมรับของสังคมโดยทั่วไปดังคำ�กล่าว ของ ฯพณฯ องคมนตรี พลเอกเปรม ติณสลู านนท์ ซึง่ ไดก้ ลา่ วปาฐกถา พิเศษ ในงานครบรอบ 50 ปี คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบัน บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เม่ือ 9 กรกฎาคม 2548 ที่ผ่านมา ใน หัวข้อ “จริยธรรมของการบริหารภาครัฐ” (http://www.nidambe11. net/ekonomiz/2005q3/article2005july10p1.htm) ดังนี้ หลักสำ�คัญ ของ Good Governance มี 5 ประการ คอื 1. Accountability ความ น่าเชื่อถือและมีกฏเกณฑ์ชัดเจน 2. Transparency ความโปร่งใส 3. Participation การมีส่วนร่วม 4. Predictability ความสามารถคาด การณ์ได้ 5. ความสอดคลอ้ งของทง้ั 4 หลักการข้างต้น ซ่ึงคุณธรรมควบคู่กับจริยธรรม เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์และ เสรมิ ซงึ่ กนั และกนั ประเทศทพี่ ฒั นาแลว้ อยา่ งสหรฐั อเมรกิ ายงั ใหค้ วาม สำ�คัญของจรยิ ธรรม เพราะเช่ือวา่ การบริหารที่ยดึ หลกั กฎหมายอย่าง เดียวไม่เพยี งพอตอ่ การบรหิ ารจัดการทด่ี ี หรอื Good Governance ได้ และจรยิ ธรรมของการบรหิ ารงานภาครฐั ยอ่ มน�ำ ไปใชใ้ นการบรหิ ารงาน ภาคเอกชนไดด้ ว้ ย การใชจ้ รยิ ธรรมและคณุ ธรรมในการบรหิ ารงานภาค รฐั และภาคเอกชน ทผี่ บู้ รหิ ารพงึ น�ำ ไปใช้ และขจดั สง่ิ ทไี่ มด่ ใี หห้ มดไป คอื 1. ความซ่ือสัตย์ ซ่ึงมิใช่เป็นการประพฤติปฏิบัติถูกต้องตาม กฎหมายเท่านั้น แต่ต้องถูกต้องตามจริยธรรมและศีลธรรมด้วย มิได้ หมายเฉพาะตนเองซอ่ื สตั ยเ์ ทา่ นน้ั แตต่ อ้ งควบคมุ ใหค้ นรอบตวั มคี วาม ซื่อสัตย์ องค์กร องค์การใด ผู้บริหารมีกิเลสต้องขจัดด้วยหิริโอตัปปะ (ความละอายและเกรงกลัวตอ่ บาป) 27

นักการเมอื งถ่ินจงั หวดั กระบ่ี 2. กฎหมายแม้กฎหมายไม่สามารถอุดช่องโหว่ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ เพราะกฎหมายวางมาตรฐานข้ันตำ่�ของการประพฤติ มิชอบไว้เท่าน้ัน แต่มาตรฐานทางจริยธรรมในเร่ืองของการประพฤติ ชอบและความซือ่ สตั ยน์ น้ั สูงกว่ากฎหมาย บางเรื่องกฎหมายว่าไมผ่ ดิ แต่เมอ่ื ดมู าตรฐานทางจรยิ ธรรมกถ็ อื ว่าผิดได้ 3. ความเปน็ ธรรม ข้อน้ี ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสลู านนท์ ได้กล่าวว่า ยากท่ีจะบอกว่าความเป็นธรรมคืออะไร บ้างว่าความเป็น ธรรมอยู่ที่กฎหมาย ถ้าทำ�ถูกกฎหมายก็ถือว่าเป็นธรรม บ้างว่าความ เป็นธรรมอยู่ท่ีจิตสำ�นึกของผู้บริหาร ก็ไม่น่าจะถูกนัก เพราะผู้บริหาร ลำ�เอยี งได้ บา้ งกว็ า่ ถา้ คนส่วนใหญไ่ ด้ประโยชนส์ ูงสดุ ถอื วา่ เปน็ ธรรม ความเป็นธรรมของการบริหาร น่าจะหมายถึง การให้โอกาสแก่คน ยากจน คนด้อยโอกาส คนที่เสียเปรียบในสังคมให้พัฒนาฐานะทาง เศรษฐกิจและสภาพทางสังคมสูงข้ึนอย่างมีหลักการและเหตุผล ผู้ที่มี ฐานะทางเศรษฐกิจสูงและมีความได้เปรียบอยู่แล้วควรต้องยอมเสีย ประโยชนบ์ า้ งในความเปน็ ธรรมตอ้ งมคี วามยตุ ธิ รรมอยดู่ ว้ ยผบู้ รหิ ารจะ ต้องไมล่ ุแกอ่ �ำ นาจ ใช้อ�ำ นาจเบียดเบยี นผอู้ น่ื ใชช้ อ่ งว่างของกฎหมาย เพิ่มอำ�นาจให้ตนเอง ต้องมีมาตรฐานในการบริหารมาตรฐานเดียว ไมใ่ ชส่ องหรอื หลายมาตรฐาน หรอื ไมม่ มี าตรฐานเลย นกึ จะท�ำ อยา่ งไร กท็ ำ�เพราะมอี �ำ นาจ 4. ประสทิ ธภิ าพ ในการบรหิ ารงานมกั ถกเถยี งกนั เกยี่ วกบั เรอ่ื งนี้ วา่ ในตวั ประสทิ ธภิ าพเองอาจไมส่ อดคลอ้ งกบั จรยิ ธรรม กรณนี ี้ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เลือกจริยธรรม เพราะเช่ือว่าสามารถหา หนทางทจ่ี ะใหป้ ระสทิ ธภิ าพไปดว้ ยกนั ไดก้ บั จรยิ ธรรม ไมว่ า่ จะเปน็ เรอื่ ง ความซื่อสตั ย์ ความโปร่งใสหรือความเปน็ ธรรม 28

5. ความโปร่งใส มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญและในพระราช บัญญัติ ข้อมูลข่าวสารให้รัฐเปิดเผยข้อมูลแก่ประชาชนการหลีกเลี่ยง ไมเ่ ปดิ เผยข้อมูลถอื วา่ ขัดจริยธรรม 6. ความมน่ั คงของรฐั การใชจ้ รยิ ธรรมในการบรหิ ารความมนั่ คง อาจจะกระทบสทิ ธเิ สรภี าพของประชาชน จงึ ตอ้ งหาสมดลุ ใหไ้ ด้ ปญั หา 3 จงั หวดั ชายแดนภาคใตท้ มี่ อี ยู่ และอาจมตี อ่ ไป เพราะผบู้ รหิ ารอาจจะ ยงั หาความสมดลุ ไม่พบ 7. ค่านิยม คนไทยในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าความรำ่�รวย สร้างชื่อเสียง เกียรติยศ และฐานะได้ จึงมีคนจำ�นวนไม่น้อยรีบสร้าง ความรำ่�รวยโดยไม่แยแสต่อจริยธรรม และท่ีแปลกแต่จริง และเป็น อันตรายอย่างย่ิง คือ เรามักจะนิยมยกย่องคนรำ่�รวยว่าเป็นคนดี น่า เคารพนบั ถอื โดยไมใ่ สใ่ จวา่ ร�่ำ รวยมาดว้ ยวธิ ใี ด และดหู มนิ่ คนจนตา่ งๆ นานา วา่ เหม็นสาบ มอซอ พูดไม่เพราะมีความรู้น้อย ไมอ่ ยากคบหา สมาคมด้วยตราบใดทีเ่ หม็นสาบคนยาก จากแนวความคดิ ของ ฯพณฯ พลเอกเปรม ตณิ สลู านนท์ จะเหน็ ได้ว่าสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน และเป็นแนวทางที่ผู้นำ�ทาง การเมืองควรจะต้องนำ�มาเป็นหลักในการปฏิบัติ ในขณะเดียวกัน ประชาชนก็จำ�เป็นจะต้องนำ�หลักน้ีมาเป็นดัชนีช้ีวัดประสิทธิภาพและ ความเหมาะสมของผู้ที่เสนอตัวเข้ามาเป็นผู้นำ�ทางการเมืองของสังคม ไทย เพื่อให้สอดคล้องกับขนบธรรมเนียม ประเพณีของไทย และ สามารถนำ�พาประเทศชาตไิ ปสู่ความวัฒนาถาวรอย่างย่งั ยนื แนวความคิดและทฤษฏีที่สำ�คัญที่ผู้วิจัยใช้เพื่อศึกษาในการ วิจัยครั้งน้ีเป็นประเด็นท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนาทางการเมืองตามที่ได้ นำ�เสนอไวใ้ นสาระสำ�คญั จะเห็นได้ว่า การพัฒนาทางการเมอื งมคี วาม 29

นักการเมอื งถิ่นจงั หวดั กระบ่ี สัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความพยายามในการพัฒนาทั้งทางเศรษฐกิจ และสังคม และเป็นการตอบสนองความต้องการของประชาชนส่วน ใหญ่และเปน็ ระบบการเมืองทเ่ี ปิดโอกาสใหป้ ระชาชนมบี ทบาทในการ ควบคุม กำ�กับ ตรวจสอบผู้บริหารอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มั่นใจว่าการ ตดั สินใจต่าง ๆ ทางการเมืองจะต้องมีประสทิ ธภิ าพในการสนองตอบ ประโยชน์ความต้องการของประชาชน ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ระบบการเมืองให้ทันสมัยทำ�ให้มนุษย์เห็นคุณค่าความสำ�คัญของสิทธิ ตนเองน�ำ ไปสกู่ ารเรยี กรอ้ งและเกดิ กลมุ่ ตา่ งๆ เชน่ พรรคการเมอื งกลมุ่ ผลประโยชน์ กลุ่มอิทธิพลและกลุ่มอ่ืนๆ ข้ึนมา ดังนั้น การระดม พลังประชาชนและการร่วมมือของประชาชนจึงสะท้อนการแสดงออก ซ่ึงการเป็นเจ้าของอำ�นาจอธิปไตยท่ีแท้จริงของประชาชน จึงกล่าว ได้ว่า การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนคือดัชนีบ่งบอกถึง ระดับการพัฒนาทางการเมอื งของแตล่ ะสังคม เช่น การเรยี กรอ้ งสิทธิ ต่างๆ ของกลุ่มเสอ้ื เหลอื งและเส้ือแดง เปน็ ตน้ แนวคิดเก่ยี วกับพรรคการเมืองส่วนมากมักจะคัดเลือกผู้สมัคร ท่ีมีความโดดเด่นในแต่ละด้านแตกต่างกันไป โดยจะพิจารณา คุณสมบัติของผู้ท่ีจะส่งลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อให้ได้บุคคลที่พร้อมจะ เข้ามาทำ�หน้าท่ีเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซ่ึงบางพรรคก็เลือกลูก ตัวเองขึ้นมาเพื่อสืบทอดวงศ์สกุลหรือเลือกหัวคะแนน แต่โดยสรุป แล้วพรรคการเมืองมีบทบาทสำ�คัญต่อการเลือกผู้สมัครและถือเป็น มติเด็ดขาดในการรับสมัครสมาชิกเพ่ือส่งลงสมัครรับเลือกตั้งในเวที การเมืองต่อไป แนวคดิ กลมุ่ ผลประโยชน์ มีวตั ถุประสงคเ์ จรจาต่อรอง ผลประโยชน์ทางการเมือง เช่น การมีบทบาทในการกำ�หนดนโยบาย สำ�คัญๆ การจัดสรรทรัพยากรในการบริหารอาจจะกลายรูปเป็น 30

พรรคการเมือง ซึ่งกลุ่มจะมีพลังต่อรองได้มากน้อยแค่ไหนข้ึนอยู่กับ ขนาดของกลมุ่ สถานภาพการยอมรบั ของสงั คมทม่ี ตี อ่ กลมุ่ ความสามคั คี ของสมาชิกในกลุ่ม ความเปน็ ผู้น�ำ เช่นกลมุ่ เสือ้ เหลอื งในประเทศไทยมี ข่าวการแปรสภาพจากกลุ่มเป็นพรรคการเมืองในอนาคตและแนวคิด เกี่ยวกับผู้นำ�ทางการเมือง (Political Leaders) คือ บุคคลที่ถือครอง ตำ�แหน่งท่ีเด่นที่สุด ท่ีเก่ียวข้องกับการใช้อำ�นาจหน้าที่ในโครงสร้าง อำ�นาจรัฐ เป็นบุคคลที่มีอำ�นาจ และอิทธิพลในกระบวนการตัดสินใจ ทางการเมืองอยา่ งแทจ้ รงิ ความเป็นผนู้ �ำ ทเ่ี ปล่ียนแปลงการเมอื งและมี อทิ ธิพลตอ่ การขับเคลอ่ื นก�ำ หนดทิศทางประเทศได้เป็นอยา่ งดี แนวคิดในการพัฒนาการเมืองซ่ึงนักวิชาการท้ังนอกประเทศ และในประเทศ พยายามหารูปแบบการพัฒนาไม่ว่าจะเป็นการปรับ แนวคดิ พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ บทบาทของผู้นำ�การเมอื ง แต่ดูเหมือนว่าการเมืองโดยเฉพาะการเมืองไทยก็ยังยำ่�อยู่กับปัญหา เดิมหรือนักวิชาการอย่างศาสตราจารย์พรชัย เทพปัญญา นิยาม พฤติกรรมน้ีว่าเป็น “วัฎจักรแห่งความชั่วร้าย” เป็นการตอกยำ้�ว่าการ พฒั นาการเมอื งยงั อยกู่ บั ทท่ี �ำ อยา่ งไร การพฒั นาการเมอื งจะกา้ วหนา้ หรอื พฒั นามากขนึ้ ลว้ นเปน็ โจทยท์ ท่ี กุ คนตอ้ งชว่ ยกนั คดิ ตอ่ ไป ดงั แสดง ในภาพท่ี 2.1 31

นักการเมืองถ่ินจังหวัดกระบ่ี ภาพท่ี 2.1 วัฎจกั รแหง่ ความช่ัวรา้ ย รัฐประหาร วกิ ฤตการณ ์ การปกครองโดยทหาร รัฐธรรมนูญ ความขัดแย้ง การเลอื กตั้ง กระบวนการประชาธิปไตย ทม่ี า : วฎั จักรแห่งความชัว่ รา้ ย พรชยั เทพปัญญา, 2549. เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วขอ้ ง บฆู อรี ยีหมะ (2549) ศกึ ษานักการเมอื งถ่นิ จังหวดั ปตั ตานี มี วตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ทำ�ความรจู้ กั กบั นกั การเมอื งจงั หวดั ปตั ตานตี งั้ แตอ่ ดตี ถึงปัจจุบัน ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ เครือข่าย ความสัมพันธ์ระหว่าง กลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ เช่น ครอบครัว พ่อค้า ตลอดจนกลยุทธ์หรือเทคนิคการหาเสียง และความสัมพันธ์ของตัว 32

นักการเมืองกับพรรคการเมือง ซึ่งจากการศึกษานักการเมืองถิ่นใน จังหวัดปัตตานี พบว่า การเมืองปัตตานีสามารถแบ่งพัฒนาการเป็น 3 ยุค คือ ยุคแรก ระหว่างปี พ.ศ. 2476-2528 เป็นการต่อสู้ช่วงชิง ทางการเมอื งระหวา่ งตระกลู อดตี เจา้ เมอื งกบั ตระกลู นกั การศาสนาและ เครอื ขา่ ย ยคุ สอง ระหวา่ งปี พ.ศ. 2529-2547 มกี ารกอ่ ตงั้ กลมุ่ การเมอื ง เพื่อเป็นกลไกในการต่อรองกับพรรคการเมืองและกลยุทธ์ในการ เลือกต้ัง คือกลุ่ม วะดะห์และกลุ่มญามาอะฮ์อุลามะอ์ปัตตานีดารุส สลาม (ชุมชนนักปราชญ์แห่งปัตตานี)และยุคปัจจุบัน 2548-ปัจจุบัน การเกิดวิกฤติความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ก่อให้เกิดความ เปล่ียนแปลงทางการเมือง เมื่ออดีตนักการเมืองผู้มีช่ือเสียงต้อง พ่ายแพ้ให้กบั นักการเมืองหน้าใหม่ ภญิ โญ ตนั พทิ ยคปุ ต์ (2549) ศกึ ษานกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั สงขลา มวี ตั ถปุ ระสงค์เพอื่ ทำ�ความ รู้จกั และท�ำ ความเข้าใจบทบาทพฤตกิ รรม ของนักการเมืองจังหวัดสงขลา ต้ังแต่อดีตถึงปัจจุบัน พบว่า นักการ เมืองถิ่นสงขลา หากจำ�แนกตามภูมิหลังแล้วจะแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม กลุ่มนกั กฎหมาย กลมุ่ อดีตขา้ ราชการ กล่มุ ธรุ กจิ และกล่มุ ผู้กว้างขวาง หากจำ�แนกโดยเครือข่ายสายสัมพันธ์จะเป็นคู่บิดา กับบุตร 2 คู่ คู่พ่ี นอ้ งรว่ มบดิ า 2 คู่ เปน็ ญาตสิ กุลเดยี วกนั 1 คู่ และนบั จากการเลือกต้ัง ครัง้ แรก พ.ศ. 2476 ถึง 6 ก.พ. 2548 นกั การเมืองจาก 7 พรรคได้รบั การเลือกต้ัง แต่นับจากนายชวน หลีกภัย ได้เป็นหัวหน้าพรรค ประชาธิปตั ย พรรคประชาธิปัตย์ก็ผกู ขาดการเมอื งถิน่ สงขลาตลอดมา ผสู้ มคั รของพรรคประชาธปิ ตั ยก์ ช็ นะทกุ เขตทกุ ครง้ั นกั การเมอื งทสี่ �ำ คญั เสมือนผู้วางฐานรากแห่งการศรัทธาพรรคประชาธิปัตย์ในจิตสำ�นึก ของคนสงขลาคือ นายคล้าย ละอองมณี กลุ่มผลประโยชน์ท่ีสำ�คัญ 33

นักการเมืองถนิ่ จังหวัดกระบี่ ต่อการเมืองสงขลาคือพรรคประชาธิปัตย์ บุคคลท่ีมีบทบาทสูงยิ่งคือ นายชวน หลีกภัย และกลวิธีสำ�คัญในการหาเสียงในการรักษาฐาน เสยี งคือ การลงพน้ื ท่ี พบปะประชาชน การเข้าร่วมกจิ กรรมทางสังคม ในชุมชน การปราศรัยและการให้ความอุปถัมภ์ช่วยเหลือในรูปแบบ ต่างๆ และในทศั นะของนกั การเมืองถิ่นปัจจบุ ันกลุ่มสตรี แมบ่ ้าน เปน็ คะแนนเสยี งสำ�คญั และเช่ือถือได้มากในการเมืองสงขลา สานิตย์ เพชรกาฬ (2549) ศึกษานกั การเมืองถนิ่ จังหวดั พทั ลุง มีวัตถุประสงค์เพื่อทำ�ความรู้จักและทำ�ความเข้าใจบทบาทพฤติกรรม ของนกั การเมอื งจงั หวดั พทั ลงุ ตงั้ แตอ่ ดตี ถงึ ปจั จบุ นั พบวา่ นกั การเมอื ง ถิน่ พัทลงุ สามารถจ�ำ แนกตามภมู หิ ลังของอาชพี และบทบาทพฤติกรรม ได้ 3 กลุ่ม กลุ่มข้าราชการ กลุ่มนักกฎหมาย และกลุ่มบุคคลผู้กว้าง ขวางในสังคม โดยกลุ่มข้าราชการที่ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.มาก ทสี่ ุด สว่ นใหญจ่ ากขา้ ราชการครู ส่วนกลมุ่ ธุรกิจส่วนใหญ่ยังไมป่ ระสบ ความสำ�เรจ็ ปจั จัยทท่ี ำ�ให้ไดร้ ับการเลือกต้งั ส่วนใหญม่ าจากศกั ยภาพ ของนกั การเมอื ง และอทิ ธพิ ลของพรรคการเมอื งทส่ี งั กดั คอื การเลอื กตง้ั ช่วงแรกต้ังแต่ พ.ศ. 2476-2518 การได้รับการเลือกต้ังเกิดจากความ นยิ มสว่ นบคุ คลมากกวา่ อทิ ธพิ ลพรรคการเมอื ง และในชว่ งตอ่ มาตง้ั แต่ พ.ศ. 2519-2535 อิทธิพลพรรคการเมืองเป็นปัจจัยสำ�คัญควบคู่กับ ศกั ยภาพของนกั การเมอื ง ท�ำ ใหน้ กั การเมอื งพรรคตา่ งๆ ไดร้ บั เลอื กตงั้ เขา้ มาหลายพรรค แตแ่ นวโนม้ ความนยิ มตอ่ พรรคประชาธปิ ตั ยเ์ รม่ิ มสี งู ขนึ้ กวา่ พรรคการเมอื งอืน่ จนกระท่งั การเลอื กต้ัง เมอื่ วันท่ี 13 กันยายน 2535 เปน็ มา นกั การเมอื งทสี่ งั กดั พรรคประชาธปิ ตั ยส์ ามารถไดร้ บั การ เลือกตั้งยกทีมทุกคร้ัง ทั้งน้ีเพราะความนิยมของประชาชนในพัทลุงท่ี มตี อ่ พรรคประชาธิปตั ย์ โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ความนิยมทมี่ ีตอ่ นายชวน 34

หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะนั้น ส่วนศักยภาพของ ผู้สมคั รก็เปน็ ปัจจัยรองลงมา ศรดุ า สมพอง (2550) ศกึ ษานกั การเมอื งถนิ่ จงั หวดั ฉะเชงิ เทรา มีวัตถุประสงค์เพื่อรู้จักและเข้าใจบทบาทพฤติกรรมของนักการ เมืองจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งจากการศึกษานักการเมืองถิ่นในจังหวัด ฉะเชิงเทรา พบว่า 1) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดฉะเชิงเทรา ต้งั แต่อดีตถึงปัจจบุ นั (พ.ศ. 2548) จะเปน็ บคุ คลในกลุม่ ชนช้ันน�ำ ของ จังหวดั มสี ถานภาพทางเศรษฐกจิ และสงั คมทีด่ ี เป็นท่ีรจู้ ักของคนใน จังหวัด โดยมีปัจจัยที่สำ�คัญจากพื้นฐานทางด้านอาชีพรับราชการโดย เฉพาะการเปน็ สมาชกิ องคก์ รปกครองสว่ นท้องถน่ิ มากอ่ น 2) ลกั ษณะ ทางการเมืองในจังหวัดฉะเชิงเทราจะเป็นการสืบทอดอำ�นาจทาง การเมอื ง โดยเฉพาะในกลมุ่ เครอื ญาติ และการไดร้ บั การสนบั สนนุ จาก กลุ่มอทิ ธิพลทางการเมอื ง ซึ่งในปจั จบุ ันมีอยู่ด้วยกนั 2 กลมุ่ คือ กลุ่ม ตระกูลฉายแสง นําโดยนายอนันต์ ฉายแสง และกล่มุ ตระกูลตนั เจริญ นําโดยนายสุชาติ ตนั เจริญ 3) ในการสังกดั พรรคการเมืองของสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรในจังหวดั ฉะเชิงเทรา จะไมไ่ ด้ใหค้ วามส�ำ คญั มากนัก เพราะลักษณะการลงคะแนนของประชาชนทั่วไปจะยึดท่ีตัวบุคคลเป็น หลัก 4) วิธีที่ใช้ในการหาเสียงของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน จงั หวัดฉะเชงิ เทรา โดยทว่ั ไปจะใชก้ ารลงพน้ื ทพี่ บปะประชาชนในพื้นที่ การปราศรยั บนเวที การใชส้ อ่ื ประชาสมั พนั ธต์ า่ ง ๆ การใชร้ ถขยายเสยี ง วิ่งตามท้องถนน แต่ที่สำ�คัญจะใช้วิธีการผ่านทาง “หัวคะแนน” ซ่ึงจะ เป็นผู้ทมี่ ีบารมใี นพืน้ ที่ เชน่ สมาชิกองคก์ ารบริหารส่วนจังหวดั (อบจ.) สมาชกิ องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บล (อบต.) ก�ำ นนั ผใู้ หญบ่ า้ น ผนู้ �ำ ชมุ ชน เปน็ ต้น 35

นกั การเมอื งถิน่ จังหวัดกระบ่ี พิชญ์ สมพอง (2551) ศึกษานักการเมืองถิ่นจังหวัดยโสธร มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื รจู้ กั นกั การเมอื งทเี่ คยไดร้ บั เลอื กตง้ั ในจงั หวดั ยโสธร เครือข่ายความสัมพันธ์ของนักการเมืองในจังหวัดยโสธร บทบาทของ เครือข่ายและกลุ่มผลประโยชน์ในการสนับสนุนนักการเมืองถ่ินยโสธร กลวิธีในการหาเสียงของนักการเมืองถ่ินยโสธร ผลการศึกษาพบว่า นกั การเมอื งถนิ่ ยโสธรจ�ำ แนกได้ 3 กลมุ่ ใหญ่ คอื กลมุ่ นกั สอ่ื สารมวลชน กลุ่มครู อาจารย์ ข้าราชการเก่า และนักกฎหมาย กลุ่มนักการเมือง ท้องถิ่นและนักธุรกจิ เครือข่ายสายสมั พนั ธท์ ่ีพบจะเปน็ บดิ า–บตุ ร 1 คู่ นอกนนั้ จะเปน็ การเชอ่ื มโยงเครอื ขา่ ยกบั กลมุ่ ผลประโยชนท์ างการเมอื ง ในระดบั ทอ้ งถนิ่ กลมุ่ ผลประโยชนท์ างเศรษฐกจิ และกลมุ่ ผลประโยชน์ ทางสังคม และวัฒนธรรม พรรคการเมืองคือกลุ่มผลประโยชน์ทาง การเมืองมบี ทบาทสูงต่อนักการเมืองถิ่นยโสธร นักการเมืองถน่ิ ยโสธร มีการเปล่ียนสังกัดพรรคตามวาระของรัฐบาล โดยพรรคใดเป็นรัฐบาล บรหิ ารประเทศ นกั การเมอื งถนิ่ ยโสธรกส็ งั กดั พรรคนนั้ สว่ นกลวธิ สี �ำ คญั ในการหาเสียงได้แก่ การลงพ้ืนท่ีพบประชาชนโดยสม่ำ�เสมอ การให้ ความอุปถัมภ์ชว่ ยเหลือในรูปแบบตา่ ง ๆ ดลฤดี วรรณสุทธะ (2544) ได้ศึกษาพฤติกรรมการเลือกตั้ง สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร: ศกึ ษากรณกี ารเลอื กตง้ั ทว่ั ไปเมอ่ื 6 มกราคม 2544 ในพนื้ ทอี่ �ำ เภอกดุ ชุม จงั หวัดยโสธร พบว่า“ระบบอุปถัมภ”์ ได้แก่ การซ้ือเสียง การให้ผลประโยชน์ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการ ลงคะแนนเสียงเลือกต้ังของประชาชน ส่วนกลุ่มเครือญาติไม่มีความ สัมพันธ์กับพฤติกรรมคะแนนเสียงเลือกต้ังของประชาชน คุณลักษณะ ของประชากร ไดแ้ ก่ เพศ อายุ ระดับการศกึ ษา อาชีพ และรายไดท้ ่ตี ่าง กันมผี ลท�ำ ใหม้ ีทัศนะเก่ียวกับระบบอปุ ถมั ภแ์ ตกตา่ งกัน 36

ดารารตั น์ เมตตารกิ านนท์ (2535) ได้ศึกษา ผนู้ �ำ ท้องถิน่ อสี าน กบั เครอื ขา่ ยความสมั พนั ธ์ โดยไดศ้ กึ ษาสมาชกิ สภาเทศบาลเมอื งยโสธร ในชดุ ปี พ.ศ.2535 พบวา่ กลมุ่ ทกี่ มุ อ�ำ นาจทางการเมอื งในระยะแรกของ การตั้งเมืองยโสธรคือ กลุ่มไทย อีสาน ภายหลังปฏริ ูปการปกครองใน สมัยรัชกาลท่ี 5 โอกาสก็เปดิ ใหบ้ ุคคลผทู้ ี่มี “ความรู”้ ในระบบราชการ เขา้ มาเป็นผู้นำ� ตัง้ แต่ พ.ศ. 2518 เป็นตน้ มา แกนนำ�กลุม่ ผมู้ ีอ�ำ นาจ ทางการเมอื งทอ้ งถน่ิ ไดเ้ ปลย่ี นมาสกู่ ลมุ่ พอ่ คา้ ชาวจนี ทม่ี ธี รุ กจิ กอ่ สรา้ ง และบริการ-บันเทิง ผสมกับกลุ่มพ่อค้าชาวจีนในเมืองที่มีการเชื่อม ประสานสัมพันธ์กับผู้นำ�คุ้มต่าง ๆ ท่ีมีเชื้อสายไทยอีสาน มีการรวม “ทนุ ” ชว่ ยเหลอื อปุ ถมั ภท์ างการเมอื งซง่ึ กนั และกนั มกี ารขยายฐานของ เครอื ขา่ ยสมั พนั ธไ์ ปยงั กลมุ่ องคก์ รตา่ ง ๆ ทงั้ ดา้ นการคา้ และสาธารณะ กศุ ล ตลอดจนกล่มุ พลงั ทางสงั คม เช่น กลมุ่ ลูกเสือชาวบา้ น กลมุ่ สตรี หอการค้า มูลนิธิสโมสรไลอ้อนส์โรตารี ฯลฯ การประสานเครือข่าย เหนียวแน่นด้านผลประโยชน์ทำ�ให้ประสบผลสำ�เร็จในการเลือกต้ัง สมาชิกสภาเทศบาลเกือบทุกครั้ง เครือข่ายดังกล่าวยังเช่ือมประสาน สูเ่ ครือขา่ ย ข้อมูล-ข่าวสาร ทัง้ ในระดับการเลอื กต้ัง สว่ นท้องถิ่น และ ระดับชาติ ซง่ึ ในอนาคตการกระจกุ ตัวของอ�ำ นาจการบรหิ ารท้องถิน่ มี แนวโน้มจะก่อให้เกิดปัญหา ความขัดแย้งในด้านการครอบครองและ แบง่ ปนั ทรัพยากรได้ ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์ และปณัทดา เผือกพันธ์ (2535) ศกึ ษาผนู้ �ำ ทอ้ งถน่ิ กบั เครอื ขา่ ยสมั พนั ธ์ โดยศกึ ษาเชงิ วเิ คราะหจ์ ากกรณี เทศบาลเมอื งยโสธร กบั ระดับต�ำ บล กรณกี �ำ นนั สตรีตำ�บลนาหนองทุ่ม อ.ชมุ แพ จ.ขอนแกน่ เมอื่ ปี พ.ศ.2535 พบว่า คณุ ลักษณะท่สี �ำ คัญใน การได้รบั ชยั ชนะในการเลือกตงั้ คือ (1) เป็นผูท้ ีม่ ีฐานทนุ ม่งั คั่ง (2) เป็น 37

นักการเมืองถิน่ จงั หวัดกระบี่ ผู้อปุ ถมั ภช์ ุมชน (3) เข้าถึงแกนนำ�ของกล่มุ หรอื คุ้ม (4) เข้าถงึ กลุ่มพลงั มวลชนจัดตั้งตา่ ง ๆ และมกี ารยืนยนั สมมุตฐิ านวา่ ระบบอุปถมั ภเ์ ดมิ ได้เปลีย่ นแปลงจากแนวคดิ “บญุ ” กับ “อ�ำ นาจ” ไปสรู่ ะบบอุปถัมภใ์ หม่ คอื ความสัมพนั ธ์ของ “ทนุ ท่ีมัง่ คง่ั ” กับ “อำ�นาจ” ชุมชนทีเ่ ปลีย่ นเปน็ ชุมชนเมือง การสมาคม เครือข่ายสัมพันธ์แม้จะเป็นครัวเรือน เพ่ือน บา้ น เครอื ญาติ แต่เนื้อหา และความหมายไดเ้ ปล่ยี นไปเป็นการเมือง และเศรษฐกิจการค้า กลุ่มพลังมวลชนทางการเมืองท้องถ่ินที่รัฐจัดตั้ง ขน้ึ ไมเ่ พยี งแคเ่ ปน็ พลงั สนบั สนนุ อ�ำ นาจรฐั บาลกลางเทา่ นนั้ แตไ่ ดก้ ลาย มาเปน็ พลงั สนบั สนนุ อ�ำ นาจทางการเมอื งของผนู้ �ำ ทอ้ งถน่ิ ดว้ ยซง่ึ ถอื วา่ เปน็ อุปสรรคของการพฒั นาประชาธปิ ไตย 38

บ3ทที่ ขอ้ มูลทวั่ ไปและประวัติ ความเปน็ มาของจงั หวัดกระบี่ ป ระวัติความเป็นมาของจังหวัดกระบ่ีที่ผ่านมา ดินแดนบริเวณ จังหวัดกระบี่ยุคโบราณ นักโบราณคดีเข้ามาศึกษาร่องรอย การประกอบกิจกรรมของมนุษย์สมัยโบราณจังหวัดกระบี่ เช่น การขดุ คน้ ขอ้ มลู ถ�ำ้ หลงั โรงเรยี นโดย ดร.ดกั ลาส ด.ี แอนเดอรส์ นั ทตี่ �ำ บล ทับปริก อำ�เภอเมือง พบว่าเพิงผาแห่งนี้เป็นท่ีอยู่ของมนุษย์มาหลาย สมยั หลกั ฐานตา่ งๆทพ่ี บเปน็ โครงกระดกู เศษเถา้ ถา่ น เมลด็ พชื เปลอื ก หอย เครอื่ งมอื หนิ เศษเครอื่ งปนั้ ดนิ เผา เมอื่ น�ำ ไปพสิ จู นจ์ ากชน้ั ดนิ แลว้ ปรากฏวา่ มีอายถุ ึง 27,000-30,000 ปี การขุดค้นทางโบราณคดี โดย ดร.สุรินทร์ ภู่ขจรและคณะ ท่ี แหลง่ ถ�ำ้ อา่ วโกบ และถ�ำ้ หมอเขยี วบา้ นหนา้ ชงิ ต�ำ บลกระบนี่ อ้ ย อ�ำ เภอ เมือง ก็พบหลักฐานมากมาย จำ�พวกเครื่องมือหิน โครงกระดูก เถ้า 39

นกั การเมืองถิน่ จังหวัดกระบ่ี ถา่ น เมลด็ พชื กระดูกสตั ว์ เปลอื กหอย และอน่ื ๆ จากข้อมูลเบือ้ งตน้ ไดส้ รปุ วา่ มมี นษุ ยก์ อ่ นประวตั ศิ าสตรเ์ ขา้ มาอาศยั และท�ำ กจิ กรรมตา่ งๆ มาไม่ นอ้ ยกว่า 37,000 - 3,300 ปี อย่างต่อเนอ่ื งจากทงั้ สองแหลง่ ดัง กล่าวล้วนเป็นข้อมูลเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยและเอเชีย ตะวันออก เฉียงใต้ ร่องรอยการเคลื่อนย้ายและการประกอบกิจกรรมต่างๆของ มนษุ ยส์ มยั โบราณและตอ่ เนอ่ื งลงมาถงึ สมยั ประวตั ศิ าสตรท์ ส่ี �ำ คญั ของ จงั หวัดกระบ่มี ี ดงั น้ี 3.1 เครอื่ งมือหนิ เช่น เครื่องมือหินกะเทาะและหนิ ขัด พบท่ีถ้�ำ สระ อ�ำ เภอปลายพระยา ถ้�ำ หลงั โรงเรยี นทับปรกิ และเพิงผาอ่าวโกบ อำ�เภอเมอื ง แทน่ บด ครกหิน ลกู กลิ้งหินบด สากหิน หินลบั มีรปู แบบ ตา่ งๆ นกั โบราณคดกี �ำ หนดอายถุ งึ 6,500 ปี มาแลว้ พบทชี่ มุ ชนโบราณ คลองทอ่ ม เครอื่ งประดบั ท�ำ จากหนิ เชน่ ลกู ปดั และก�ำ ไลตา่ งๆพบทถ่ี �ำ้ แหง้ บางเหยี น อ�ำ เภอปลายพระยา , ชุมชนโบราณคลองทอ่ มและแหล่งถำ้�เสอื 3.1.1 เคร่ืองป้ันดินเผา สมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ พบที่ ชมุ ชนคลองทอ่ ม อ�ำ เภอคลองทอ่ ม และพบทเ่ี ขาขนาบน�ำ้ อ�ำ เภอเมอื ง สว่ นสมยั ประวตั ศิ าสตรพ์ บทเี่ ขาชอ่ งตลาด เขาปนู เหนอื เขาปนู ใต้ ในเขต อำ�เภออา่ วลกึ 3.1.2 ภาพเขยี นสี ในจังหวดั กระบม่ี เี พิงผาที่เปน็ แหลง่ ภาพ เขียน ดงั นี้ ถำ�้ ผหี วั โต ถ�ำ้ เขาตีบ แหลมไฟไหม้ แหลมชาวเล ถ้ำ�ชาวเล เขากาโรส(ทา้ ยแรด) เขาขนาบน�้ำ ถำ�้ ไวกิ้ง(พพี ีเล) ถ้ำ�ป่าหมาก 3.1.3 เสน้ ทางเดนิ ขา้ มคาบสมทุ ร การเดินทางขา้ มแหลม ในสมยั กอ่ นอาศยั เสน้ ทางล�ำ น�้ำ เปน็ ส�ำ คญั ส�ำ หรบั จงั หวดั กระบร่ี อ่ งรอย หลักฐานท่เี ปน็ เสน้ ทางข้ามแหลมได้แก่ 40

- คลองท่อม-คลองสินปุน-อ่าวบ้านดอน จากปลาย คลองท่อมเดินบกไปลงคลองสินปุนออกแม่นำ้�หลวง(ตาปี)ท่ีบ้าน ทา่ ยาง(อ�ำ เภอทงุ่ ใหญ่)ไปออกอา่ วบา้ นดอน - คลองท่อม-คลองสนิ ปนุ -ทา่ ยาง-นครศรธี รรมราช - คลองปากลาว-คีรีรัฐนิคม-อ่าวบ้านดอน จากคลองปาก ลาวในเขตอำ�เภอ อ่าวลึกผ่านเขาต่อไปออกคลองพุมดวง(คีรีรัฐนิคม) ออกแมน่ �ำ้ หลวงต่อไปอ่าวบ้านดอน 3.1.4 ชุมชนโบราณคลองท่อม(ควนลูกปัด) นักโบราณคดี หลายท่านให้ความเห็นว่าบริเวณจังหวัดกระบ่ีน้ันเคยเป็นบ้านเมืองมา แลว้ ตง้ั แต่ พ.ศ.900 ในบนั ทกึ จนี ทเ่ี ดนิ ทางมาแถมทะเลใต้ ระบชุ อื่ เมอื ง หนึ่งว่า “โป-โล-โส” และบันทึกจีนอีกฉบับหนึ่งบันทึกชื่อ”เกียนปาย” นกั โบราณคดีเหน็ วา่ เป็นช่อื ชุมชนในเขตจงั หวดั กระบ่ปี จั จุบัน 3.2 กระบี่ในสมัยอาณาจักรนครศรีธรรมราช กระบี่หลังจากที่ ชุมชนดั้งเดิมสลายตัวแล้ว คงเหลือแต่กลุ่มเล็กน้อยตั้งถ่ินฐานทำ�มา หากินอยู่ตามย่านลำ�น้ำ� สภาพท่ัวไปยังเป็นเขาดงดิบที่อุดมสมบูรณ์ ด้วยทรัพยากรป่าไม้สัตว์ป่านานาชนิดอยู่ในเขตการปกครองของเมือง นครศรธี รรมราช 3.3 กระบใี่ นสมยั อาณาจักรสโุ ขทยั อาณาจกั รนครศรธี รรมราช มอี �ำ นาจในแหลมมาลายมู าได้ระยะหนึง่ มกี ษตั รยิ ์สบื มา 4-5 พระองค์ มาสิ้นสุดอำ�นาจลงเมื่อพ่อขุนรามคำ�แหงลงมาตีได้นครศรีธรรมราชมี ฐานะเป็นเมืองพระยามหานคร ตามรูปการปกครองสมัยสุโขทัย ต้อง ถวายเคร่ืองราชบรรณาการตามกำ�หนด ความสัมพันธ์ระหว่างเมือง นครศรีธรรมราชและสุโขทัยเป็นไปด้วยดี ดินแดนกระบ่ีในยุคนี้ผนวก อยกู่ บั นครศรธี รรมราช จงึ ไมม่ บี ทบาทในฐานะเปน็ เมอื ง คงมแี ตช่ มุ ชน 41

นกั การเมืองถ่ินจงั หวดั กระบ่ี ชาวอพยพเข้าไปตง้ั ถิ่นฐานท�ำ มาหากนิ ตามแหล่งนำ�้ ที่ราบเชงิ เขาและ ชายฝง่ั ทะเลท่วั ไป 3.4 กระบใี่ นสมัยกรุงศรีอยธุ ยา เมืองนครศรีธรรมราชยงั คงขน้ึ ต่อกรุงศรีอยุธยา เพราะยังเป็นระยะไทยรวมไทยคือ สุโขทัย อยุธยา และนครศรีธรรมราช ล้วนถูกรวมเข้ามาเป็นอาณาจักรเดียวกัน จน กระทง่ั เสยี กรงุ ความสมั พนั ธข์ องเมอื งนครศรธี รรมราชกบั กรงุ ศรอี ยธุ ยา สน้ิ สดุ ลง ดนิ แดนเมอื งกระบยี่ งั คงเปน็ ดนิ แดนของเมอื งนครศรธี รรมราช อยู่เชน่ เดมิ 3.5 กระบใี่ นสมยั กรงุ ธนบรุ ี เมอื่ กรงุ ศรอี ยธุ ยาเสยี แกพมา่ หลวง สิทธินายเวร (หน)ู ซ่ึงเป็นปลัดเมืองในขณะน้ันต้งั ตัวเป็นอสิ ระเรยี กว่า “ชุมชนเจ้านครศรีธรรมราช” โดยรวบรวมกำ�ลังจากชุมชนต่างๆ ที่อยู่ ใกล้เคียงเข้าด้วยกันรวมท้ังกระบ่ีด้วย เพ่ือรักษาสถานการณ์ทางใต้ให้ ม่ันคง พระยาตากเหน็ ว่า เมอื งนครศรีธรรมราชพรอ้ มไปดว้ ยผู้คนและ เสบยี งอาหาร อยู่ใกลท้ ะเลสามารถหาอาวุธได้งา่ ย เกรงว่าจะก่อความ ยุ่งยากในภายหลังจึงลงมาปราบปราม เมืองนครศรีธรรมราชให้อยู่ใน อำ�นาจ แล้วให้พระราชวงศ์ส่วนกลางลงไปปกครอง กระบี่ยุคนี้เริ่มมี ผู้อพยพเข้ามาต้ังหลักแหล่งทำ�มาหากินมากขึ้น สมัยพระเจ้าตากสิน ติดต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนและไทย เป็นอย่างแน่นแฟ้นระยะนี้มี ชาวจนี อพยพเข้ามาในประเทศมากขึน้ 3.6 กระบ่ีในสมยั กรุงรตั นโกสินทร์ พระปลัดเมอื งมาต้งั เพนียด จบั ชา้ งอย่หู ลายปี เลง็ เห็นว่าชาวบ้านท่ตี ิดตามเขา้ มา ทำ�มาหากนิ นนั้ ต่างคนอยู่เป็นหมู่เป็นพวก ขาดคนควบคุมดูแลอาจก่อให้เกิดปัญหา ในอนาคตได้ จึงรายงานไปยังเจ้านครศรีธรรมราช เพื่อจัดต้ังเขตการ ปกครอง เรียกวา่ “แขวง” ขนึ้ 3 แห่ง 42

- แขวงเมืองบา้ นปกาไสคอื บรเิ วณคา่ ยจบั ช้าง - แขวงเมืองบา้ นคลองพนตัง้ อยรู่ มิ คลองปากพน - แขวงเมืองบ้านปากลาวตง้ั อยู่รมิ คลองปากลาว ต่อมาแขวงปกาไสมีความเจริญและผู้คนมากขึ้นตามลำ�ดับ พระปลัดเมืองจึงได้ย้ายมาทำ�การตั้งท่ีบ้านหินขวาง ปากคลองกระบี่ ใหญ่ ต่อมาได้รับการยกฐานะจากแขวงข้ึนเป็นเมืองใน ร.ศ.95 พ.ศ. 2415 สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หวั รัชกาลที่ 5 ให้ ชือ่ วา่ ”เมอื งกระบ่”ี ครัง้ แรกมี 4 อำ�เภอ คอื อ�ำ เภอเมืองกระบี่ อำ�เภอ ปากลาว อ�ำ เภอคลองพนและอ�ำ เภอเกาะลันตา 3.7 กระบใ่ี นสมยั การปกครองมณฑลเทศาภบิ าล การเทศาภบิ าล เปน็ การปกครอง ท่สี มเด็จกรมพระยาด�ำ รงราชานุภาพ นำ�มาปรบั ปรงุ ระเบยี บการบรหิ าร ราชการแผน่ ดนิ ในสว่ นภมู ภิ าค จงั หวดั กระบไ่ี ดร้ วม อยูใ่ นมณฑลภเู ก็ต กระบเ่ี มืองชายทะเลในฝัน งดงามด้วยหาดทรายขาว น้�ำ ทะเล ใส ปะการังสวย ถำ้�โตรกชะโงกผา และหมู่เกาะน้อยใหญ่กว่า 130 เกาะ รวมกันเป็นมนต์เสน่ห์ท่ีสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเท่ียว ท่ีมาเยือน กระบ่ี เป็นจังหวดั ทีต่ ง้ั อยรู่ มิ ฝงั่ ทะเลอนั ดามัน อยูห่ ่างจาก กรงุ เทพฯ 814 กโิ ลเมตร มเี นอ้ื ที่ 4,708 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย ภเู ขา ทดี่ อน ท่รี าบ หมเู่ กาะนอ้ ยใหญ่กว่า 130 เกาะ อดุ มไปดว้ ยปา่ ชายเลน ตัวเมืองกระบ่มี แี มน่ ้�ำ ยาวประมาณ 5 กิโลเมตร ไหลผา่ นลงสู่ ทะเลอนั ดามนั ทตี่ �ำ บลปากน�้ำ นอกจากนยี้ งั มคี ลองปกาสยั คลองกระบ่ี ใหญ่ และคลองกระบน่ี อ้ ย มตี น้ ก�ำ เนดิ จากเทอื กเขาทสี่ งู ทส่ี ดุ ในจงั หวดั กระบี่ คอื เทอื กเขาพนมเบญจา จากหลกั ฐานทางโบราณคดี สนั นษิ ฐานวา่ บรเิ วณเมอื งกระบเ่ี คย 43

นักการเมอื งถ่ินจังหวดั กระบ่ี เปน็ แหลง่ ชมุ ชนโบราณทเ่ี กา่ แกม่ ากแหง่ หนง่ึ ในประเทศไทยตงั้ แตส่ มยั ก่อนประวัติศาสตร์และต่อเน่ืองมาจนถึงสมัยประวัติศาสตร์ นอกจาก น้ียังมีข้อสันนิษฐานเก่ียวกับชื่อเมืองกระบี่ว่า อาจมาจากความหมาย ทแ่ี ปลวา่ ดาบ เน่ืองจากมตี �ำ นานเล่าสืบต่อกนั มาเกี่ยวกบั การขดุ พบ มดี ดาบโบราณกอ่ นที่จะสรา้ งเมอื ง ภาพท่ี 3.1 แผนทจ่ี งั หวดั กระบี่ 44

ข้อมูลประชากรจังหวัดกระบี่ จงั หวดั กระบี่ มเี นอื้ ที่ 4,708.512 ตารางกโิ ลเมตร ประกอบดว้ ย อำ�เภอ 8 อำ�เภอ 51 ต�ำ บล 389 หมบู่ ้าน 1 เทศบาลเมอื ง 9 เทศบาล ตำ�บลและ 51 องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บล ประชากร 418,705 คน ชาย 209,827 คน หญิง 208,878 คน จำ�นวนบา้ น 134,107 ครัวเรือน  ตารางที่ 3.1 ข้อมูลประชากรจังหวดั กระบ่ี ลำ�ดับที่ ชอื่ อำ�เภอ ชาย หญงิ รวม จ�ำ นวนบ้าน 1 เมือง 49,524 51,288 100,812 39,462 2 เกาะลนั ตา 15,047 14,586 29,633 8,962 3 เขาพนม 24,936 24,556 49,492 14,688 4 คลองท่อม 35,591 34,746 70,337 20,634 5 อา่ วลกึ 26,467 26,351 52,818 15,871 6 ปลายพระยา 18,643 18,131 36,774 10,442 7 ลำ�ทบั 10,910 10,669 21,579 6,905 8 เหนอื คลอง 28,709 28,551 57,260 17,143 ทีม่ า : กรมการปกครอง, ธนั วาคม 2551. 45

นักการเมืองถิน่ จงั หวดั กระบ่ี รายได้ทางเศรษฐกจิ ของจังหวัดกระบ่ี รายได้ทางเศรษฐกิจของจังหวัดกระบ่ี อยู่ในภาคการผลิตด้าน การเกษตร สินค้าหลักคือ ปาล์มน้ำ�มันและยางพารา และภาคการ ท่องเที่ยว ในปี 2550 ประชากรมีรายได้เฉล่ียต่อหัว เท่ากับคนละ 115,500 บาท / ปี ผลิตภณั ฑม์ วลรวมของจงั หวัด เท่ากบั 43,958 ล้าน บาท รายไดจ้ ากภาคเกษตร คดิ เปน็ มลู คา่ 22,418 ลา้ นบาทหรอื รอ้ ยละ 51.14 รายได้จากนอกภาคเกษตร คดิ เป็นมูลคา่ 21,477 ล้านบาทหรือ ร้อยละ 48.86   (ขอ้ มูล GPP จังหวดั กระบ)่ี สภาพภูมิประเทศ ทางตอนเหนือประกอบด้วยเทือกเขายาวทอดตัวไปในแนว เหนือใต้ สลับกับสภาพพื้นท่ีแบบลูกคล่ืนลอนลาด และลอนชัน มี ที่ราบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตก บริเวณทางใต้มีสภาพภูมิอากาศเป็น ภเู ขากระจัดกระจาย สลบั กบั พื้นที่แบบลูกคล่ืน สว่ นบรเิ วณทางตอนใต้ สุดและตะวันตกเฉียงใต้ มีสภาพพื้นที่เป็นแบบลูกคล่ืนลอนลาดจนถึง ค่อนข้างเรยี บ และมีภเู ขาสูงๆ ต�ำ่ ๆ สลับกันไป บริเวณดา้ นตะวันตกมี ลกั ษณะ เป็นชายฝ่งั ติดกับทะเลอันดามนั ยาวประมาณ 160 กโิ ลเมตร ประกอบด้วยหมู่เกาะน้อยใหญ่ประมาณ 130 เกาะ แต่เป็นเกาะที่มี ประชากรอาศัยอยูป่ ระมาณ 13 เกาะ เกาะท่ีส�ำ คัญได้แก่ เกาะลนั ตา เป็นทต่ี ้งั ของอ�ำ เภอเกาะลนั ตา และเกาะพพี ี ซึ่งอยใู่ นเขตอำ�เภอเมอื ง เป็นสถานที่ท่องเท่ียวท่ีสวยงามติดอันดับของโลก บริเวณตัวเมืองมี แม่น�้ำ กระบี่ ยาวประมาณ 5 กม. ไหลผา่ นลงสู่ทะเลอนั ดามนั ที่ ตำ�บล ปากน�้ำ นอกจากนยี้ งั มคี ลอง ปกาสยั คลองกระบใ่ี หญ่ และคลองกระบ่ี น้อย ซ่ึงมตี ้นก�ำ เนดิ มาจากเทอื กเขาพนมเบญจา เทอื กเขาทส่ี งู ทส่ี ดุ ใน 46

จงั หวัดกระบี่ ลักษณะภมู ิอากาศ จงั หวดั กระบมี่ ภี มู อิ ากาศแบบมรสมุ เขตรอ้ นซงึ่ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจาก ลมมรสมุ ตะวันตกเฉยี งใต้ และลมมรสมุ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ทำ�ให้มี ฝนตกชุกตลอดปี และมีเพียง 2 ฤดู คอื ฤดรู ้อน มี 4 เดอื น เร่มิ ตง้ั แตเ่ ดอื นพฤศจกิ ายน ไปจนถึงเดือน เมษายน ฤดูฝน มี 8 เดือน เร่ิมตั้งแต่เดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือน ตุลาคม ที่เรยี กกันวา่ ฝนแปดแดดสี่ สภาพสงั คม ศาสนา ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธประมาณ 63.7 เปอรเ์ ซน็ ต์ ศาสนาอสิ ลามประมาณ 34.3 เปอรเ์ ซน็ ต์ อาจมผี ถู้ อื ศาสนา อื่น ๆ บา้ งเล็กนอ้ ย ประมาณ 2 เปอรเ์ ซ็นต์ การศึกษา จังหวัดกระบี่จัดการศึกษาต้ังแต่ระดับก่อนประถม ศึกษา ระดับประถมศึกษาถึงระดับอุดมศึกษา ในระดับมัธยมศึกษามี ทัง่ ถึงทกุ อ�ำ เภอ และมโี รงเรยี นกาญจนาภิเษก วทิ ยาลยั ในพระบรม ราชูปถมั ภ์ ซ่ึงกอ่ ตั้งขนึ้ เพอื่ ฉลองปีกาญจนาภเิ ษก ระดับอุดมศกึ ษา มี วิทยาลัยเทคนิคกระบ่ี วิทยาลัยเกษตรกรรมกระบี่ วิทยาลัยพลศึกษา วิทยาลยั ชมุ ชนปกาไส และวิทยาลัยสารพดั ช่าง จงั หวดั กระบ่ีมีงานประเพณี เช่น งานทำ�บุญวนั สารทเดอื น 10 ประเพณแี หพ่ ระและกนิ เจของชาวไทยเชอื้ สายจนี ประเพณลี อยเรอื ของ ชาวเล ประเพณอี อกบวชของชาวมุสลิม เป็นต้น 47

นกั การเมืองถ่ินจงั หวดั กระบี่ การเลน่ พน้ื เมอื ง จงั หวดั กระบมี่ กี ารเลน่ และการแสดงพน้ื เมอื ง หนงั ตะลุง มโนห์รา ลิเกปา่ รองแงง็ และเพลงตนั หยง การสาธารณสขุ จงั หวดั กระบไี่ ดข้ ยายการสาธารณสขุ ไปทว่ั ทกุ อำ�เภอ ต�ำ บลมโี รงพยาบาลประจ�ำ อำ�เภอทุกแห่ง สถานีอนามยั ประจ�ำ ตำ�บลทกุ ตำ�บล น้เี พอื่ เปน็ การบรกิ ารประชาชนให้ท่วั ถงึ หนว่ ยการปกครอง จงั หวัดกระบี่ แบ่งการปกครองออกเป็น 8 อ�ำ เภอ ไดแ้ ก่ อำ�เภอเมืองกระบ่ี มี 10 ตำ�บล ได้แก่ ตำ�บลปากน้ำ� ต�ำ บล กระบใ่ี หญ ต�ำ บลกระบีน่ ้อย ต�ำ บลเขาคราม ตำ�บลเขาทอง ต�ำ บลทับ ปรกิ ต�ำ บลไสไทย ต�ำ บลอา่ วนาง ต�ำ บลหนองทะเล ต�ำ บลคลองประสงค์ อ�ำ เภออ่าวลึก มี 9 ต�ำ บล ได้แก่ ตำ�บลอา่ วลกึ ใต้ ตำ�บลคลอง หิน ตำ�บลนาเหนือ ตำ�บลแหลมสัก ตำ�บลอ่าวลึกน้อย ตำ�บลอ่าวลึก เหนือ ต�ำ บลคลองยา ต�ำ บลเขาใหญ่ ต�ำ บลบา้ นกลาง อำ�เภอปลายพระยา มี 4 ต�ำ บล ไดแ้ ก่ ตำ�บลปลายพระยา ต�ำ บลเขาเขน ตำ�บลเขาต่อ ตำ�บลคีรีวง อำ�เภอคลองท่อม มี 7 ตำ�บล ได้แก่ ตำ�บลคลองท่อมใต้ ตำ�บลคลองท่อมเหนือ ตำ�บลคลองพน ตำ�บลทรายขาว ตำ�บลพรุ ดินนา ต�ำ บลเพหลา ต�ำ บลหว้ ยน้ำ�ขาว     อำ�เภอเกาะลันตา มี 5 ตำ�บล ได้แก่ ตำ�บลเกาะลันตาใหญ่ ต�ำ บลเกาะลนั ตานอ้ ย ต�ำ บลเกาะกลาง ตำ�บลคลองยาง ต�ำ บลศาลา ดา่ น อำ�เภอลำ�ทบั มี 4 ตำ�บล ได้แก่ ตำ�บลลำ�ทับ ตำ�บลดินอุดม ตำ�บลทงุ่ ไทรทอง ตำ�บลดินแดง 48

อ�ำ เภอเหนอื คลอง มี 8 ต�ำ บล ไดแ้ ก่ ต�ำ บลเหนอื คลอง ต�ำ บล หว้ ยยงู ต�ำ บลโคกยาง ต�ำ บลปกาศยั ต�ำ บลคลองเขมา้ ต�ำ บลคลองขนาน ตำ�บลตลิ่งชัน ตำ�บลเกาะศรีบอยา อ�ำ เภอเขาพนม มี 6 ต�ำ บล ไดแ้ ก่ ต�ำ บลเขาพนม ต�ำ บลเขาดนิ ต�ำ บลสนิ ปนุ ตำ�บลพรุเดียว ตำ�บลหนา้ เขา ตำ�บลโคกหาร 49


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook